๘๕
86
๒.๕ จัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกับ
เพอ่ื นๆ จากการทำกิจกรรมตา่ งๆ
๓. ประเภทของการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียน
เป็นสำคญั นน้ั แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คอื
๓.๑ การสอนแบบเนน้ กิจกรรมการเรยี นรูเ้ ป็นหลกั และการสอนแบบเนน้ สอ่ื
๓.๑.๑ แบบเนน้ กิจกรรมการเรยี นรู้เปน็ หลัก การสอนแบบน้ี ได้แก่
๑) การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem Based Learning) เป็น
การจัดการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนระบุปัญหาท่ีต้องการเรียนรู้ ผู้เรียนจะคิดวิเคราะห์ปัญหา และ
ตั้งสมมติฐานอันเป็นท่ีมาของปัญหา แล้วหาทางทดสอบสมมติฐานท่ีตั้งไว้ ซึ่งผู้เรียนจะต้องมีความรู้
พ้ืนฐานท่ีจะเรียนรู้เน้ือหาต่าง ๆ มาก่อน เพื่อจะสามารถเรียนรู้เน้ือหา โดยกระบวนการใช้ปัญหาเป็น
หลักได้ หากพื้นความรู้เดิมของผู้เรียนไม่เพียงพอจะต้องค้นคว้า หาความรู้เพ่ิมเติมด้วยตนเอง ในการ
ดำเนินการสอนครูจะต้องนำปัญหาที่เป็นความจริงมา เขียนเป็นสถานการณ์ที่เกิดกับตัวผู้เรียนโดย
ผเู้ รียนจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน ตอ่ ไปน้ี
๑.๑) ทำความเข้าใจกบั ศพั ทบ์ างคำ หรือแนวคดิ ในสถานการณน์ ัน้ ๆ
๑.๒) ระบุประเดน็ ปัญหาจากสถานการณ์
๑.๓) วิเคราะห์ประเดน็ ปญั หา
๑.๔) ต้งั สมมตฐิ านเกี่ยวกบั ปญั หาน้นั ๆ
๑.๕) ทดสอบสมมตฐิ านและจดั ลำดับความสำคัญ
๑.๖) กำหนดวัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้
๑.๗) รวบรวมขอ้ มลู ข่าวสาร และความรู้จากแหล่งต่างๆ ด้วยตนเอง
๑.๘) สังเคราะหข์ อ้ มลู ใหม่ทไ่ี ด้พร้อมทัง้ ทดสอบ
๑.๙) สรุปผลการเรียนรแู้ ละหลกั การที่ได้จากการศกึ ษาปัญหา
กระบวนการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นหลักมีลักษณะท่ีสำคัญ คือผู้เรียนจะได้เรียนด้วยกัน
เป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๖-๘ คน มีการอภิปรายและค้นคว้าหา ความรู้ด้วยกัน มีการเรียนรู้ด้วย
ตนเอง เน้ือหาสาระท่ีกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้น้ัน จะเป็นเนื้อหาที่เกิดจากการบูรณาการเน้ือหาต่าง ๆ
เขา้ ด้วยกนั ผู้เรยี นจะเกดิ การเรยี นรู้ในเน้ือหาท่ีกำหนดนน้ั อยา่ งชดั เจน
๒) การสอนแบบนิรมิตวิทยา (Constructivism) เป็นการจัดการเรียนการ
สอนที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ของตนเอง โดยมีการเชื่อมโยงความรู้ใหม่ที่เกิดข้ึนกับความรู้
เดมิ ท่ีผเู้ รียนมีอยู่แล้ว การสรา้ งองค์ความรู้ใหม่ของผเู้ รียน อาจได้จากการดำเนินกิจกรรมการสอนท่ีให้
ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ระดมสมอง ศึกษาในความรู้ฯลฯ การตรวจสอบองคค์ วามรูใ้ หม่ ทำให้ได้
๘๖
87
ท้งั การตรวจสอบกันเองในระหว่างกลุ่มผู้เรียน ครูเป็นผู้ทีช่ ว่ ยเหลือให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบความรู้ใหม่ให้
ถกู ต้อง
ลำดบั ขึน้ ตอนการสอนตามแนวความคดิ Constructivism
๒.๑) ครูนำเสนอปัญหา ซึ่งเป็นคำถามท่ีเร้าให้ผู้เรียนเกิดความคิด ผู้เรียนตอบคำถามของ
ครโู ดยใหค้ ำตอบท่หี ลากหลาย
๒.๒) ครูให้ผู้เรียนช่วยกันหาคำตอบท่ีเป็นไปได้มากท่ีสุดโดยการอภิปรายร่วมกัน หรือให้
คน้ ควา้ จากแหลง่ ความรู้เทา่ ที่มีอยู่
๒.๓) ครใู ห้ผู้เรยี นชว่ ยกนั คดั เลือกคำตอบทตี่ รงกบั ประเด็นปญั หา
๒.๔) ครใู หผ้ เู้ รียนสรุปคำตอบท่ีเดน่ ชดั ทสี่ ดุ
๓) การสอนเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอด (Concept Attainment) เป็นการ
จัดการเรียนการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนทราบถึงคุณลักษณะของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือ
เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึง โดยสามารถระบุลักษณะเด่นลักษณะด้อยของส่ิงน้ัน ๆ ได้ สามารถนำ
ความรทู้ เ่ี กดิ ขนึ้ ไปใช้ในสถานการณ์อ่นื ๆ ได้ ขน้ั ตอนการสอน มีดงั นี้
๓.๑) ครูจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการนำเสนอเหตุการณ์
รายละเอียด
๓.๒) ครูให้ผู้เรียนระบุลักษณะเด่น ลักษณะด้อยของส่ิงท่ีสังเกต และให้ผู้เรียนหา
ลักษณะท่ีเหมอื นกนั ลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกัน
๓.๓) ครใู หผ้ เู้ รยี นสรปุ ลักษณะสำคญั ท่ีสังเกตไดพ้ ร้อมใหช้ ื่อของสิง่ นนั้
๓.๔) ครูตรวจสอบความเขา้ ใจของผเู้ รียนและความเปน็ ไปได้ ความเหมาะสมของชือ่
๓.๕) ครูกำหนดสถานการณ์ใหมใ่ ห้ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอดทเ่ี กดิ ขึน้ ไปใช้
๔) การสอนแบบร่วมมือกัน (Co-Operative Learning) เป็นการจัดการเรียนการ
สอนที่มุ่งให้ผู้เรียนร่วมมือกันทำงานช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และ
ประสานงานกัน เพ่ือใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ในเรอ่ื งที่เรียน
ลักษณะของการจดั การเรียนการสอน
๔.๑) จัดช้นั เรียน โดยการแบ่งกลุ่มผ้เู รียนออกเปน็ กลุ่มเลก็ ๆ ประมาณ ๒-๖ คน โดย
จัดคละกันตามความสามารถทางการเรียนมีทง้ั เกง่ ปานกลาง และออ่ น
๔.๒) ผู้เรียนจะต้องรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเองและรับผิดชอบ การเรียนรู้ของ
เพือ่ นๆ ภายในกลุม่ ของตนเองด้วย
๔.๓) สมาซิกทุกคนในกลุ่มจะต้องร่วมมือในการทำงานอย่างเต็มความสามารถ โดย
สนับสนนุ ยอมรับและไว้วางใจซง่ึ กนั และกนั เพือ่ ใหส้ มาซกิ ทกุ คนเกิดการเรยี นรู้ให้มากทส่ี ุด
๘๗
88
รูปแบบกิจกรรมการสอนเพื่อให้เกิดการเรยี นรู้แบบร่วมมือกัน มีหลากหลายรปู แบบ ได้แก่
Match Mind (คู่คิด), Pairs-Check (คู่ตรวจสอบ), Tree-Step Interview (ถาม-ตอบ เป็นขั้นตอน),
Think-Pair Share (แลกเปล่ียนความคิดเห็น), Team- Word Webbing (ทีมสนทนาระหว่างกัน),
Round Table (สนทนาโต๊ะกลม), Partners (คู่หู) และ Jigsaw (แนวคิดตอ่ ภาพ)
๓.๑.๒ แบบเน้นสื่อ เป็นประเภทของการสอนในลักษณะใช้สื่อเป็นหลัก เช่น การ
สอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป การสอนแบบศูนย์การเรียน การสอนโดยใช้โปรแกรม CAI เป็นต้น การ
สอนแบบนี้มลี ำดับขนั้ ตอนดงั น้ี
๑) ครูนำเสนอปัญหาซ่ึงเป็นคำถามท่ีเร้าให้ผู้เรียนเกิดความคิด ผู้เรียนตอบคำถาม
ของครูโดยใหค้ ำตอบทห่ี ลากหลาย
๒) ครูให้ผู้เรียนช่วยกันหาคำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดโดยการอภิปรายร่วมกัน หรือ
ให้คน้ ควา้ จากแหล่งความรเู้ ท่าทม่ี ีอยู่
๓) ครใู ห้ผเู้ รียนชว่ ยกนั คัดเลอื กคำตอบทต่ี รงกบั ประเดน็ ปัญหา
๔) ครใู หผ้ ู้เรยี นสรุปคำตอบที่เด่นชดั ทสี่ ดุ รายละเอียดของการดำเนนิ การสอนมีดงั น้ี
๑) ครบู อกใหผ้ ู้เรยี นทราบถงึ เน้ือหาทีจ่ ะเรยี น
๒) ครใู ห้ผู้เรียนระดมพลงั สมองแสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั เนื้อหาทีเ่ รยี น
๓) ครจู ดั กจิ กรรมใหผ้ ้เู รยี นปฏบิ ัตเิ พื่อสร้างองคค์ วามรู้ใหม่
๔) ครใู ห้ผเู้ รียนได้นำองคค์ วามรู้ท่สี ร้างขึน้ มาใช้ในสถานการณ์ทค่ี รูกำหนดให้
๕) ครูใหผ้ เู้ รียนสรปุ องค์ความรทู้ เี่ กิดข้นึ จากการเรยี นครั้งนี้
๗. รปู แบบการจัดการเรยี นรทู้ ี่เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ
การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซ่ึงมุ่งพัฒนาความรู้และทักษะทาง
วิชาชพี ทักษะชวี ติ และทกั ษะสังคม ปรากฏในวงการศกึ ษาไทยหลายรูปแบบ๑๓ ตวั อยา่ งเชน่
๑. การเรียนรู้จากกรณีปัญหา (Problem-Based Learning : PBL) เป็นรูปแบบการ
เรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนคิดและดำเนินการเรียนรู้ กำหนดวัตถุประสงค์
และเลือกแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยผู้สอนเป็นผู้ให้คำแนะนำ เป็นการส่งเสริม ให้เกิดการแก้ปัญหา
มากกว่าการจำเน้ือหาข้อเท็จจริง เป็นการส่งเสริมการทำงานเป็นกลุ่มและพัฒนาทักษะทางสังคม ซ่ึง
วิธีการน้ีจะทำได้ดีในการจัดการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษา เพราะผู้เรียนมีระดับความสามารถ
ทางการคดิ และการดำเนนิ การด้วยตนเองได้ดี
๑๓ กรมวิชาการ, กลวิธีจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับวิธีการเรียน (Learning style),
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพราว, ๒๕๔๔), หนา้ ๕๘.
๘๘
89
เงื่อนไขที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ประกอบด้วยความรู้เดิมของผู้เรียน ทำให้เกิดความเข้าใจ
ข้อมูลใหม่ได้ การจัดสถานการณ์ท่ีเหมือนจริง ส่งเสริมการแสดงออกและการนำไปใช้อย่างมี
ประสิทธิภาพ การให้โอกาสผู้เรียนได้ไตร่ตรองข้อมูลอย่างลึกซ้ึง ทำให้ผู้เรียนตอบคำถาม จดบันทึก
สรุป วพิ ากษว์ ิจารณ์สมมติฐานทไี่ ด้ตัง้ ไว้ไดด้ ี
๒. การเรียนรู้เป็นรายบุคคล (Individual study) เน่ืองจากผู้เรียนแต่ละบุคคลมี
ความสามารถในการเรยี นรู้และความสนใจในการเรยี นรู้ทแี่ ตกต่างกนั ดังนนั้ จึงจำเปน็ ที่จะตอ้ งมเี ทคนิค
หลายวิธี เพ่ือช่วยให้การจัดการเรียนในกลุ่มใหญ่สามารถตอบสนองผู้เรียน แต่ละคนท่ีแตกต่างกันได้
ด้วย เช่น
๒.๑ เทคนิคการใช้ Concept Mapping ท่ีมีหลักการใช้ตรวจสอบความคิดของ
ผู้เรียนว่าคิดอะไร เขา้ ใจส่งิ ทเ่ี รียนอย่างไรแล้วแสดงออกมาเปน็ กราฟฟิก
๒.๒ เทคนิค Learning Contracts คือ สัญญาที่ผู้เรียนกับผู้สอนร่วมกันกำหนด เพ่ือ
ใชเ้ ปน็ หลักยึดในการเรียนวา่ จะเรียนอะไร อยา่ งไร เวลาใด ใชเ้ กณฑอ์ ะไรประเมนิ
๒.๓ เทคนิค Know-Want-Learned ใช้เช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
ผสมผสานกบั การใช้ Mapping ความรู้เดิม เทคนคิ การรายงานหน้าชัน้ ที่ใหผ้ ู้เรยี นไปศึกษา ค้นคว้าด้วย
ตนเองมานำเสนอหน้าช้ัน ซึ่งอาจมีกิจกรรมทดสอบผฟู้ งั ดว้ ย
๒.๔ เทคนิคกระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นการเรียนท่ีทำให้ผู้เรียนได้
ร่วมมือกันแลกเปล่ียนความรู้ความคิดซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาให้
สำเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์
๓. การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) การเรียนรู้แบบน้ี มีความเช่ือ
พ้ืนฐานว่าผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้โดยการอาศัยประสบการณ์แห่งชีวิตท่ีได้รับ เพื่อค้นหาความจริง
โดยมีรากฐานจากทฤษฎีจิตวิทยาและปรัชญาการศึกษาท่ีหลากหลาย ซึ่งนักทฤษฎีสร้างสรรค์นิยมได้
ประยุกต์ทฤษฎีจิตวิทยาและปรัชญาการศึกษาดังกล่าว ในรูปแบบและมุมมองใหม่ ซ่ึงแบ่งออกเป็น ๒
กลุ่มใหญ่ คอื
๓.๑ กลุ่มที่เน้นกระบวนการรู้คิดในตัวบุคคล (Radical Constructivism or
Personal Constructivism or Cognitive Oriented Constructivist Theories) เป็นกลุ่มที่เน้นการ
เรียนรู้ของมนุษย์เป็นรายบุคคล โดยมีความเช่ือว่ามนุษย์แต่ละคนรู้วิธีเรียนและรู้วิธีคิด เพื่อสร้างองค์
ความรดู้ ว้ ยตนเอง
๓ .๒ กลุ่มที่เน้ นการสร้างความรู้โดยอาศัยปฏิสัมพั นธ์ทางสังคม (Social
Constructivism or Socially Oriented Constructivist Theories) เป็นกลุ่มท่ีเน้นว่าความรู้ คือ
ผลผลิตทางสังคมโดยมีข้อตกลงเบ้ืองต้นสองประการ คือ ความรู้ต้องสัมพันธ์กับชุมชนกับปัจจัยทาง
๘๙
90
วฒั นธรรมสังคม และประวัติศาสตร์มีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้นครูจึงมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก
ในการเรยี นรู้
๔. การเรียนรู้จากการสอนแบบเอส ไอ พี (SIP) การสอนแบบเอส ไอ พี เป็นรปู แบบการ
สอนท่ีพัฒนาข้ึน เพื่อฝึกทักษะทางการสอนให้กับผู้เรียนระดับอุดมศึกษา สาขาวิชาการศึกษาให้มี
ความร้คู วามเข้าใจ และความสามารถเก่ียวกับทักษะการสอน โดยผลที่เกิดกับผเู้ รียน มีผลทางตรง คือ
การมีทักษะการสอน การมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับทักษะทางการสอนและผลทางอ้อม คือ การ
สร้างความร้ดู ว้ ยตนเอง ความร่วมมอื ในการเรียนรู้ และ ความพงึ พอใจในการเรียนรู้
วิธีการท่ีใช้ในการสอน คือ การทดลองฝึกปฏิบัติจริงอย่างเข้มข้น ต่อเนื่องและเป็นระบบ
โดยการสอนแบบจุลภาคท่ีให้ผู้เรียนทุกคนมีบทบาทในการแกทดลอง ต้ังแต่เร่ิมต้นจน ส้ินสุดการฝึก
ข้นั ตอนการสอน คอื ขนั้ ความรู้ความเขา้ ใจ ขน้ั สำรวจ วเิ คราะห์ และออกแบบ
การฝึกทักษะ ขั้นฝึกทักษะ ขั้นประเมินผล โครงสร้างทางสังคมของรูปแบบการสอนอยู่ใน
ระดับปานกลางถึงต่ำ ในขณะท่ีผู้เรียนฝึกทดลองทักษะการสอนนั้นผู้สอนต้องให้การช่วยเหลือ
สนับสนุนอย่างใกลช้ ิด สิ่งท่ีจะทำให้การฝึกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คือความพร้อม
ของระบบสนับสนุน ได้แก่ ห้องปฏิบัติการสอน ห้องสื่อเอกสาร หลักสูตรและการสอน และเครื่องมือ
โสตทัศนปู กรณต์ ่างๆ ท่ีเก่ยี วข้อง
๕. การเรียนแบบแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง (Self-Study) การเรยี นรู้แบบน้ี เป็นการ
ให้ผู้เรียนศึกษาและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เช่น การจัดการเรียนการสอนแบบ สืบค้น (Inquiry
Instruction) การเรียนแบบค้นพบ (Discovery Learning) การเรียนแบบแก้ปัญหา (Problem
Solving) การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) ซึ่งการเรียนการสอนแบบแสวงหา
ความรู้ดว้ ยตนเองน้ีใช้ในการเรียนร้ทู ั้งที่เป็นรายบคุ คลและกระบวนการกลมุ่
๖. การเรียนรูจ้ ากการทำงาน (Work-Based Learning) การเรียนรู้แบบน้ี เปน็ การจัดการ
เรียนการสอนท่ีส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดพัฒนาการทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เน้ือหาสาระ การฝึก
ปฏิบัติจริง ฝึกฝนทักษะทางสังคม ทักษะชีวิต ทักษะวิชาชีพ การพัฒนาทักษะการคิดชั้นสูง โดย
สถาบันการศึกษา มักร่วมมือกับแหล่งงานในชุมชนรับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนร่วมกัน ตั้งแต่
การกำหนดวัตถปุ ระสงค์ การกำหนดเนื้อหากจิ กรรม และวธิ กี ารประเมิน
๗. การเรียนรู้ที่เน้นการวิจัยเพ่ือสร้างองค์ความรู้ (Research-Based Learning) การ
เรียนรู้ที่เน้นการวิจัยถือได้ว่าเป็นหัวใจของบัณฑิตศึกษา เพราะเป็นการเรยี นที่เน้นการแสวงหาความรู้
ด้วยตนเองของผู้เรียนโดยตรง เป็นการพัฒนากระบวนการแสวงหาความรู้ และการทดสอบ
ความสามารถทางการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน โดยรูปแบบการเรียนการสอนแบ่งได้เป็น ๔
ลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่
(๑) การสอนโดยใช้วิธีวจิ ัยเปน็ วิธีสอน
๙๐
91
(๒) การสอนโดยผูเ้ รยี นรว่ มทำโครงการวิจยั กบั อาจารย์
(๓) การสอนโดยผู้เรียนศกึ ษางานวิจัยของอาจารยแ์ ละของนักวจิ ัยชั้นนำในศาสตรท์ ศ่ี ึกษา
(๔) การสอนโดยใชผ้ ลการวิจยั ประกอบการสอน
๘. การเรียนรู้ที่ใช้วิธีสร้างผลงานจากการตกผลึกทางปั ญญา (Crystal-Based
Approach) การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบน้ีเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ความรู้ความคิดด้วย
ตนเองด้วยการรวบรวม ทำความเข้าใจ สรุปวิเคราะห์ และสงั เคราะห์จากการศึกษาด้วยตนเอง เหมาะ
สำหรับบัณฑิตศึกษา เพราะผู้เรียนท่ีเป็นผู้ใหญ่ มีประสบการณ์เกี่ยวกับศาสตร์ที่ศกึ ษามาในระดับหน่ึง
แล้ว
วิธกี ารเรียนรู้เริ่มจากการทำความเขา้ ใจกับผูเ้ รยี นให้เขา้ ใจวตั ถุประสงคข์ องการเรียนรู้ ตาม
แนวน้ี จากนั้นทำความเข้าใจในเน้ือหาและประเด็นหลักๆ ของรายวิชา มอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษา
วิเคราะห์เอกสาร แนวคิดตามประเด็นที่กำหนดแล้วให้ผู้เรียนพัฒนาแนวคิดในประเด็นต่างๆ แยกทีละ
ประเด็น โดยให้ผู้เรียนเขียนประเด็นเหล่าน้ันเป็นผลงานในลักษณะที่เป็นแนวคิดของตนเองที่ผ่านการ
กลั่นกรอง วิเคราะห์เจาะลึกจนตกผลึกทางความคิดเป็นของตนเอง จากน้ันจึงนำเสนอให้กลุ่มเพ่ือนได้
ช่วยวเิ คราะหว์ ิจารณ์อีกคร้ัง
๘. ทกั ษะและเทคนิคการจดั การเรยี นรู้แนวใหม่
ปัจจบุ ันความท้าทายดา้ นการศึกษาในยคุ ประเทศไทย ๔.๐ เพื่อเตรียมผู้เรียนให้มที ักษะใน
การดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑ น่ันคือ ครูผู้สอนจะต้องจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะการเรียนรู้
(learning skill) ท่ีส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ และทักษะจำเป็น ผู้สอนจึงต้องปรับเปล่ียน
วิธีการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงของสังคม เทคโนโลยี และการเรียนรู้
ของผู้เรียนจากผู้สอนคือผู้ถ่ายทอด ปรับเปล่ียนบทบาทเป็นผู้ชี้แนะวิธีการค้นคว้าหาความรู้และ
ประยุกต์ใช้ทักษะต่าง ๆ สร้างความเข้าใจด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย และ
เพ่ือตอบสนองพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติและการศกึ ษาแนวใหม่ ทีใ่ ห้จัดการเรียนการสอนโดย
เน้ น ผู้ เรี ย น เป็ น ศู น ย์ ก ล าง (student centered) ให้ ผู้ เรีย น เกิ ด ก ารเรีย น รู้ด้ วย ต น เอ ง๑๔
กระทรวงศึกษาธิการได้ กำหนดกรอบแนวคิดเพ่ือเป็นแนวทางในการปฏิบัติการปฏิรูป
การศึกษาไทยสู่ผลลัพธ์ Thailand 4.0 ท่ีครอบคลุมภารกิจการจัดการศึกษาใน ๔ องค์กรหลัก ท่ีมี
กรอบบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ เรียนรู้สู่คุณภาพผู้เรียนให้เป็นพลเมืองไทย ๔.๐ ได้แก่
๑๔ พงษพ์ ชั รินทร์ พธุ วัฒนะ, ทกั ษะและเทคนคิ การสอน, (ธนบรุ ี : คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั
ธนบรุ ี, ๒๕๕๙, (เอกสารอัดสำเนา), หนา้ ๑๙๖.
๙๑
92
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (สพฐ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ สำนักงาน
คณะกรรมการการอุดมศกึ ษา (สกอ.) โดยให้ทุกองค์กรจัดการศึกษาให้ได้ผลผลิตท่ีดีตามระดบั หลักสตู ร
และเกิดผลลัพธ์ในเป้าหมายการขับ เคล่ือน ประเทศโมเดล Thailand 4.0 ดังนั้น สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (สพฐ.) จำเป็นต้องส่งเสริมสถานศึกษา ให้จัดการเรียนรู้ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ให้ได้คุณภาพในผลผลิตที่ดีและเกิดผล
ลัพธ์ในเป้าหมายการขับเคลื่อนประเทศโมเดล Thailand 4.0 ด้วยนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แนว
Active Learning ที่เนน้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ Active Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนอย่างหนึ่ง
ท่ีตอบสนองหลักการของการศึกษาแนวใหม่ เป็นการเรียนรู้ ผ่านการปฏิบัติ หรือการลงมือทำ ซึ่ง
ความรู้ที่เกิดขึ้นกเ็ ปน็ ความรู้ท่ีไดจ้ ากประสบการณ์ กระบวนการ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ่ีผู้เรียน
ต้องได้มีโอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้การเรียนรู้โดย
การอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา อีกท้ัง ให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง
ได้แก่ การวเิ คราะหก์ ารสังเคราะห์และการประเมินค่า
๘.๑ การจดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning
Active Learning คือกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำ และได้ใช้
กระบวน การคิดเกี่ยวกับส่ิงที่ผู้เรียนได้กระทำลงไป เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้ สมมติฐาน
พื้นฐาน ๒ ประการคือ ๑) การเรียนรู้เป็นโดยธรรมชาติของมนุษย์และ ๒) แต่ละบุคคลมีแนวทางใน
การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยผู้เรียนจะถูกเปล่ียนบทบาท จากผู้รับความรู้ (receive) ไปสู่การมีส่วน
ร่วมในการสร้างความรู้ (co-creators) การเรียนแบบ Active Learning ทำให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ
จริงมากกว่าการฟัง ผู้เรียนจะต้องอ่าน เขียน อภิปราย และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาต่างๆ ในการ
เรียนซ่ึงมีความสัมพันธ์กัน ๓ ส่วน ได้แก่ ความรู้ ทักษะ ต่างๆ และทัศนคติการจัดกลุ่มพฤติกรรมการ
เรียนน้ี ถือได้ว่าเป็นจุดหมายของกระบวนการจัดการเรียนรู้ การสอนแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนได้ลงมือ
ปฏิบตั แิ ละการคิดเกยี่ วกับจุดประสงคห์ รืองานหรือ กจิ กรรมทก่ี ำลังทำ๑๕
๘.๒ ลกั ษณะสำคญั ของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
การเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นการเรียนรู้ท่ีต้องใช้กิจกรรมการเรียนการสอนที่
หลากหลายท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองผ่านการจัดการตนเองซ่ึงจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์
๑๕ Bonwell, J.A. & Eison, “Active Learning: Creating Excitement in the Classroom.” ERIC
Digest, (Washington D.C. : ERIC Clearing house on Higher Education, 1991), p. 197.
๙๒
93
พัฒนาความรู้ความเข้าใจและทักษะที่หลากหลาย เป็นกระบวนการท่ีประณีตรัดกุมและผู้เรียนได้รับ
ประโยชน์มากกว่าการเรยี นรู้ท่ีผู้เรยี นเป็นฝ่ายรับความรู้อาจนำมาขยายความให้เห็นเป็นลักษณะสำคัญ
ของการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ดงั นี้๑๖
๑. เป็นการเรียนการสอนท่ีพัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิดการแก้ปัญหาและการ
นำความรไู้ ปประยกุ ต์ใช้
๒. เปน็ การเรียนการสอนทเ่ี ปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเรยี นร้สู ูงสดุ
๓. ผู้เรียนสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละจดั ระบบการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
๔. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนท้ังในด้านการสร้างองค์ความรู้การสร้างปฎิ
สมั พนั ธ์รว่ มกนั ร่วมมอื กนั มากกวา่ การแข่งขนั
๕. ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน การแบ่งหน้าที่ความ
รบั ผดิ ชอบ
๖. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟังคิดอยา่ งล่มุ ลึก ผู้เรียนจะเป็นผู้
จดั ระบบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง
๗. เปน็ กจิ กรรมการเรยี นการสอนเนน้ ทักษะการคดิ ข้นั สงู
๘. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศและ
หลักการ ความคิดรวบยอด
๙. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย
ตนเอง
๑๐. ความรู้เกิดจากประสบการณก์ ารสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละการสรุปทบทวนของผู้เรียน
การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากการเรียนรู้แบบ Active Learning
มี ปัจจัยสำคัญได้แก่ การมีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ ผู้เรียนมีโอกาสลงมือปฏิบัติผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ
เลือกกิจกรรมและวธิ กี ารแก้ปัญหาด้วยตนเอง ผู้เรยี นได้ส่ือสารเกีย่ วกบั สิ่งทก่ี ำลังทำกบั ผู้อ่นื การเรยี นรู้
ที่กระตือรือร้น การประเมินการจัดห้องเรียน กำหนดการประจำวัน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนผู้เรียน
เนื้อหา การจัดการเรียนการสอน ซ่ึงการเรียนรู้แบบ Active Learning จะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถ
ปรับวธิ กี ารใช้กจิ กรรมและแหลง่ เรียนร้ทู ห่ี ลากหลาย
๘.๓ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
๑๖ เยาวเรศ ภักดีจิตร, Active Learning กับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑, เอกสารประกอบการ
เสวนาทางวิชาการ “วันส่งเสริมวิชาการสู่คุณภาพการเรียนการสอน” ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ หอประชุม
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค์, ๒๕๕๗, หนา้ ๑.
๙๓
94
สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ได้
อธิบายเก่ยี วกบั กระบวนการจัดการเรยี นรแู้ บบ Active Learning ไวด้ งั น้ี๑๗
๑. มสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้
๑) ผเู้ รียนมสี ว่ นร่วม เชน่ ต้งั คำถาม ตอบคำถาม นำเสนอ
๒) ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มในการอภิปราย แสดงความคดิ เหน็ แลกเปล่ียนคดิ เห็น
๓) ผเู้ รยี นมีสว่ นรว่ มในการเสนอการจดั กิจกรรมการเรียนรหู้ รือช้นิ งาน
๔) ผเู้ รียนได้ทำงานกลมุ่
๒. คิดวิเคราะห์ ประเมนิ ค่า สังเคราะห์
๑) ผู้เรยี นไดค้ ิดวิเคราะห์
๒) ผู้เรียนไดค้ ดิ สงั เคราะห์
๓) ผเู้ รยี นได้คิดอย่างมีวิจารณญาณ
๔) ผเู้ รยี นไดป้ ระเมนิ คา่
๓. สร้างการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง
๑) ผู้เรียนออกแบบการเรียนรูข้ องตนเอง (self directed)
๒) ผู้เรียนสรา้ งสรรค์ช้นิ งาน/ผลงาน (creation or innovative task)
๓) ผเู้ รยี นไดป้ ระเมนิ ตนเองเพอ่ื การพฒั นาการเรยี นรู้ (self evaluation)
๔) ผเู้ รยี นกำกบั ความกา้ วหน้าในการเรยี นรู้ของตนเอง (self management)
๔. นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ และเช่ือมโยงสภาพแวดล้อมใกล้ตัวปัญหาของชุมชน สังคม
หรือประเทศชาติ
๑) นำความรปู้ ระยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณใ์ หม่
๒) เชื่อมโยงความรู้กับสภาพแวดล้อมใกล้ตัว ปัญหาของชุมชน สังคม หรือ
ประเทศชาติ
๘.๔ รูปแบบวิธกี ารจดั กิจกรรมการเรยี นร้แู บบ Active Learning
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Active Learning)
ครอบคลุมวิธีการจดั การเรียนร้หู ลากหลายวธิ เี ชน่
๑. การเรียนร้โู ดยใช้กจิ กรรมเปน็ ฐาน (Activity-Based Learning)
๑๗ พงษ์พัชรนิ ทร์ พุธวัฒนะ, ทักษะและเทคนิคการสอน, หน้า ๑๙๙.
๙๔
95
๒. การเรยี นรู้เชิงประสบการณ์(Experiential Learning)
๓. การเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning)
๔. การเรียนร้โู ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning)
๕. การเรียนรู้ที่เน้นทกั ษะกระบวนการคดิ (Thinking Based Learning)
๖. การเรยี นรู้การบรกิ าร (Service Learning)
๗. การเรยี นรู้จากการสบื ค้น (Inquiry-Based Learning)
๘. การเรยี นรู้ด้วยการค้นพบ (Discovery Learning)
วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้ มีพ้ืนฐานมาจากแนวคิดท่ีว่า ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาท
หลักในการเรียนรู้ของตนเอง และสร้างองค์ความรู้ใหม่ (constructivist) ด้วยตนเอง สำนักวิชาการ
และมาตรฐานการศึกษา ได้อธิบายลักษณะของกิจกรรมในหน่วยการเรียนรู้ (Active Learning) ไว้
ดงั น้ี๑๘
๑. กระบวนการเรียนรทู้ ล่ี ดบทบาทการสอนและการใหค้ วามรู้โดยตรง แต่เปดิ โอกาสให้
ผเู้ รยี นมีสว่ นรว่ มสรา้ งองค์ความรู้ และจัดระบบการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
๒. กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สามารถนำความรู้ ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้
สามารถวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ ค่า และคิดสรา้ งสรรคส์ ิง่ ต่างๆ
๓. กิจกรรมเชื่อมโยงกับผู้เรียน สภาพแวดล้อมใกล้ตัว ปัญหาของชุมชน สังคม หรือ
ประเทศชาติ
๔. กิจกรรมเนน้ การน าความรู้ไปใชแ้ กป้ ญั หาใหม่ หรือสถานการณ์ใหม่
๕. กิจกรรมเนน้ ให้ผู้เรยี นได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างมีเหตุผล มโี อกาสร่วมอภปิ รายและ
นำเสนอผลงาน
สรปุ
กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนไปในทางที่ดีข้ึน จึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ใน
การพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอน ซึ่งครูผู้สอนจะต้องมีความรู้
ความเข้าใจ มีทักษะและความสามารถในการจัดการเรียนรู้ได้โดยการใช้เทคนิคและวิธีการสอนที่
๑๘ พงษพ์ ัชรนิ ทร์ พุธวฒั นะ, ทักษะและเทคนคิ การสอน, หนา้ ๒๐๐.
๙๕
96
หลากหลาย ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพตามแนวคิดและหลักการ
จดั การเรียนรู้ด้วยการให้ผู้เรียนปฏิบัติหรือกระทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเองทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล
ส่งผลให้มีการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียนและผู้เรียนด้วยกันเองและระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน จากการ
ดำเนินการในลกั ษณะดังกล่าว ทำให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้และประสบการณต์ รง จงึ มผี ลให้ได้รับความรู้
ความเข้าใจในเน้ือหาวิชาการ มีทักษะในการทำงาน และมีพฤติกรรมเชิงจริยธรรมตามวัตถุประสงค์
อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
การเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการศึกษา
แนวใหม่ เป็นการเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนการสอน โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด
กระบวนการคิดขั้นสูง (higher-order thinking) ด้วยการวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า ไม่
เพียงแต่ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ถามคำถาม อภิปรายร่วมกันและลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคำนึงถึง
ความรู้เดิมและความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ ท้ังนี้ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้
ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้หลักการของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก คือผู้สอนควรทราบว่า
ผู้เรียนมีความถนัดท่ีแตกต่างกันและควรทราบความรู้พื้นฐานของผู้เรียน และผู้สอนควรสร้าง
บรรยากาศในการเรียนให้ผเู้ รียนกล้าพูด กลา้ ตอบและมคี วามสุขทุกการเรยี นร้หู ลกั สำคญั ของการ สอน
แบบ Active Learning คือ ผู้สอนสอนให้น้อย เปิดใจให้กว้าง เปิดโอกาสให้ผู้เรียน เรียนรู้ด้วย ตนเอง
ให้มาก
๙๖
97
เอกสารอ้างองิ ทา้ ยบท
๑. ภาษาไทย
กมล ภู่ประเสริฐ. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา. กรุงเทพมหานคร : ทิปส์พับบลิเคช่ัน,
๒๕๔๔.
กรมวิชาการ. กลวิธีจัดการเรียนการสอนท่ีสอดคล้องกับวิธีการเรียน (Learning style).
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพค์ ุรสุ ภาลาดพราว, ๒๕๔๔.
กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานการศึกษา การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
ศูนยก์ ลาง. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๔๓.
กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔. กรุงเทพมหานคร :
องค์การรับสง่ สนิ ค้าและพัสดภุ ณั ฑ,์ ๒๕๔๕.
กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒ ๕๕๑ .
กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั , ๒๕๕๑.
ทิศนา แขมมณี. “การจัดการเรียนการสอนโดยยึดครูเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA Model).”
วารสารวิชาการ, ๓(๕) : ๒๕ : พฤษภาคม ๒๕๔๒.
ประเวศ วะสี. ทฤษฏกี ระบวนการทางปัญญา. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์, ๒๕๔๙.
พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ. ทักษะและเทคนิคการสอน. ธนบุรี : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
ธนบรุ ี, ๒๕๕๙.
พมิ พ์พนั ธ์ เตชะคุปค์. กระบวนการเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ผูเ้ รยี นเป็นสำคญั . กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ., ๒๕๔๔.
เยาวเรศ ภักดีจิตร. Active Learning กับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑. เอกสารประกอบการเสวนา
ทางวิชาการ “วันส่งเสริมวิชาการสู่คุณภาพการเรียนการสอน” ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ
หอประชมุ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค์, ๒๕๕๗.
ลักขณา สรีวัฒน์. จิตวิทยาในข้ันเรียน (ฉบับปรับปรุง). พิมพ์ครั้งท่ี ๓. มหาสารคาม : ธนภรณ์การ
พิมพ,์ ๒๕๕๔.
วฒั นาพร ระงับทุกข์. เทคนคิ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลกั สูตรการศึกษา
ขัน้ พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔. กรุงเทพมหานคร : พริกหวานกราฟพกิ , ๒๕๔๕.
วิระเดช เชื้อนาม. “การจัดการเรยี นการสอนโดยยึดผู้เรยี นเป็นศูนย์กลางคืออะไร.” วารสารวิชาการ.
๕(๒) : ๒-๔ : กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕.
สุภรณ์ สภาพงค์. “การเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนสำคัญที่สุด.” วารสารวิชาการ. ๕(๓): ๓๑-๓๒ : มีนาคม
๒๕๔๕.
๙๗
98
สวุ ิทย์ มลู คำ. เรยี นรู้สคู่ รูมืออาชพี . กรุงเทพมหานคร : ท.ี พี. พร้ิน, ๒๕๔๔.
๒. ภาษาอังกฤษ
Bonwell, J.A. & Eison. “Active Learning: Creating Excitement in the Classroom.” ERIC
Digest. Washington D.C. : ERIC Clearing house on Higher Education, 1991.
บทที่ ๕
กระบวนทัศนใ์ หมก่ บั การสอนสังคมศกึ ษา
ความนำ
การศึกษาแนวคิดเก่ียวกับกระบวนทัศน์ใหม่ ท่ามกลางความเปล่ียนแปลงของโลก
คุณภาพคน หรือทุนมนุษย์มีความสำคัญมากในศตวรรษที่ ๒๑ การเตรียมความพร้อมของคนไทยใน
อนาคต จึงเป็นหน้าที่ของระบบการศึกษาและครูท่ีมีคุณภาพ คุณภาพครูจึง เป็นปัจจัยสำคัญในการ
ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน และการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของครูต้องเกิดข้ึนไปพร้อม กับการ
เปลี่ยนแปลงยุคสมัย เพ่ือผลิตคนท่ีมีคุณภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน ตรงตามความต้องการ
ของประเทศ กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา คือแบบแผน และกรอบโครงสร้างท่ีกำหนดรูปแบบ
แนวทางการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมาย ดังน้ันการพัฒนาครูไทยให้มีคุณภาพจึงต้องพัฒนาตามวิสัยทัศน์
การศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ ซ่ึงมีแนวทางการพัฒนาครูในยุคดิจิตอล แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ดังน้ี ๑)
การเตรียมความพร้อมก่อนท่ีจะเป็นนิสิต/นักศึกษา ครู ๒) การฝึกภาคปฏิบัติระหว่างการเป็นนิสิต/
นักศึกษาครู และ ๓) การพัฒนาครูประจำการหลังจากสำเร็จการศึกษา
โลกในยุคปัจจุบันมีความรู้เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำให้คนต้องเรียนรู้และปรับตัวเพ่ือ
ความอยู่รอด โดยเฉพาะการใชเ้ ทคโนโลยีในการจัดการศึกษาตอ้ งจัดให้สอดคล้องกบั การเปล่ียนแปลง
ของบริบทโลก ซึ่งหลักสูตรการศึกษาในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ผู้เรียนจะใช้เวลาไม่นานในการศึกษา
เพราะผู้เรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงถือว่า
“เทคโนโลยี” เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการศึกษาในศตวรรษท่ี ๒๑ หรือในยุคดิจิตอลมุ่งเน้นให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับโลก และตระหนักถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษา
สอดคล้องกับ Kamat (as cited in Sanrattana) ได้กล่าวว่า “แนวโน้มใหม่ของการศึกษาใน
ศตวรรษที่ ๒๑” เป็นการก้าวสู่ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (creative thinking skills) มีทักษะ
เทคโนโลยี ส่ือ และสารสนเทศ (information, media, and technology skills) ในการจัด
การศึกษา๑ ซึ่งครูจะต้องนำเอาเทคโนโลยี และสารสนเทศ มาใช้เป็นส่ือในการสอนที่สามารถเข้าถึง
ผู้เรียนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนคำนึงถึงบริบทท่ีเป็นจริง และบูรณาการโดยใช้สห
วิทยาการในการสอนแบบร่วมมือ ใช้โครงงานเป็นฐาน พัฒนาทักษะการคิด แก้ปัญหา และใช้
เครอื่ งมือในการประเมินผลการเรียนรทู้ เี่ หมาะสม ซ่งึ มีรายละเอียดดังจะอธิบายตอ่ ไปนี้
๑ รักษิต สุทธิพงษ์, กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษากับการพัฒนาครูไทยในยุคดิจิตอล, วารสาร
ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, ปที ี่ ๑๙ ฉบบั ท่ี ๒ เมษายน – มถิ นุ ายน ๒๕๖๐.
๙๘
100
๑. ความหมายของกระบวนทศั น์ใหม่ทางการศกึ ษา
ได้มีนักวิชาการได้ให้ความหมายไว้มากมายอาทิเช่น ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์,๒ พจนานุกรม
ราชบัณฑิตยสถาน,๓ ประเวศ วะสี,๔ เสรี พงศ์พิศ,๕ กระทรวงศกึ ษาธิการ,๖ สิริลักษณ์ ย้ิมประสาทพร
,๗ แต็ปบร้า (Capra)๘ สรุปได้ว่า กระบวน ทัศน์ หมายถึง ตัวแบบ รูปแบบ กรอบแนวความคิด
แนวทางการศึกษามโนทัศน์ วธิ ีคิด การรับรู้ วธิ ีให้คุณค่า วถิ ีทั้งหมดของผู้คน หรือวิธีการปฏิบัติท่ีใดท่ี
หนึ่งมีการกระทำร่วมกันซ่ึงก่อให้เกิดวิสัยทัศน์แห่งความเป็นจริงซึ่งมีนัยของการเป็นรากฐานแม่บท
แห่งการพัฒนา ท่ีใช้วธิ กี ารทางการเรยี นรู้ เปน็ เครื่องมอื ในการศึกษาและแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหน่ึง
ซ่ึงเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ ณ ช่วงระยะเวลาหน่ึง เป็นการปรับเปล่ียนเช่ือมโยงแนวคิดการ
กระทำจากสิ่งหนึ่งไปสู่จากสิ่งหน่ึงโดยอาศัยรากฐานเดิมจากแม่บทมาปรับเปล่ียนให้เหมาะสมกับ
บริบทเป็นการเปล่ียนย้ายในระดับรากฐานของการคิด ระบบคุณค่าและ โลกทัศน์ของบุคคลตาม
บริบทสิ่งแวดล้อมที่เปล่ียนไปโดยที่ความจริงยังคงเดิม แต่ทัศนะเปลี่ยนไปตามการมองเห็นการรับรู้
และความเข้าใจความจรงิ ของสังคมโลกมากข้ึน๙
๒ ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์, ทฤษฎีไร้ระเบียบ : ทางแพร่งของสังคมสยาม, (กรุงเทพมหานคร : คบไฟ,
๒๕๓๗), หนา้ ๕๘.
๓ ราชบัณฑิตสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, ( กรุงเทพมหานคร : นานมี
บุคส์พบั ลเิ คช่ัน, ๒๕๔๒),หนา้ ๔๕.
๔ ประเวศ วะสี, วิถีมนษุ ย์ในศตวรรษท่ี ๒๑ สภู่ พภูมิใหมแ่ ห่งการพัฒนา, (กรงุ เทพมหานคร : มูลนธิ ิ
สดศรี- สฤษดิว์ งศ,์ ๒๕๔๕), หน้า ๒๔.
๕ เสรี พงศ์พิศ, ฐานคิดจากแผนแม่บทสู่วิสาหกิจชุมชน, (กรุงเทพมหานคร : ร้านรังสีการพิมพ์,
๒๕๔๗), หนา้ ๑๔.
๖ กระทรวงศึกษาธิการ, พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร :
องคก์ ารรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์, ๒๕๔๒), หน้า ๗.
๗ สิริลักษณ์ ย้ิมประสาทพร, กระบวนทัศน์ใหม่กับการเรียนรู้ของชุมชน, (กรุงเทพมหานคร :
โครงการเสรมิ สร้างการเรียนรู้เพอ่ื ชมุ ชนเปน็ สขุ , ๒๕๔๘), หน้า ๒๑.
๘ Capra, Fritjof, " The Concept of Paradigm Shift." Re-Vision, 1,3 (Number) : 12-15,
(1986).
๙ ศรีวรรณ ฉัตรสุริยวงศ์, “กระบวนทัศน์การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อส่งเสริม
ความสามารถด้านการคิดอย่างมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ัญหาเชงิ สรา้ งสรรค์ สำหรบั นักเรียนระดับประถมศึกษา”,
วทิ ยานพิ นธ์, (บัณฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๕๗), หนา้
๙๙
101
๒. ทฤษฎกี ารเปล่ียนแปลง
การเปลี่ยนแปลงเป็นรากฐานของธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ส่วนการ
เปล่ียนแปลงอีกหลายๆ อย่างท่ีเกิดข้ึนจากแรงผลักดันจากสภาพแวดล้อมดังท่ี เดอทรี และริกซ์
(Daughtrey and Ricks) ได้เสนอที่มาของการเปล่ียนแปลง คือ การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ
(Natural Change) แรงผลักดันจากสภาพแวดล้อม (Environmental Forces) การปฏิสัมพันธ์
ระหวา่ งมนุษยด์ ้วยกนั (Human Interaction) การปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กบั สิ่งแวดล้อม (Human
and Environmental Interaction)๑๐
ในปัจจุบัน ความสนใจและการศึกษาเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงองค์การ (Organizational
change) มีความหลากหลายท้ังในด้านหลักการพื้นฐาน มุมมอง และระเบียบวิธีการ การศึกษาแนว
นวัตกรรมองค์การ (Organizational renewal) ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลแนวคิดนิเวศย์วิทยาประชาการ
(Population ccology) เน้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กรคล้อยตามการเปลี่ยนแปลงของ
สงิ่ แวดลอ้ ม การศกึ ษาการพัฒนาองค์การแนวดัง้ เดิม (fraditional OD) ซ่งึ ได้รับอิทธิพลความคิดการ
เปลี่ยนแปลงตามแผน (Planned change) มุ่งการประยุกต์ใช้พฤติกรรมศาสตร์เพ่ือบำบัดรักษา
สุขภาพ (Therapy) และปรับองค์การให้มีประสิทธิผลและการศึกษาการพัฒนาองค์การแนว
ใหม่(Organizational transformaion) เน้นการเปล่ียนสภาพองค์กรให้มีความสามารถเรียนรู้และ
ปรับตัวไปสู่คุณภาพใหม่ท่ีตอบสนองความต้องการของกนและองค์กร ผลที่ตามมาคือมีการนำเสนอ
การเปลี่ยนแปลงองค์การหลากหลายจุดมุ่งหมายและรปู แบบ การเลือกใชร้ ูปแบบการเปล่ียนแปลงให้
เหมาะกบั โลกความจริงจึงยากลำบากมากขึน้
๒.๑ แนวคิดเกีย่ วกบั การเปล่ยี นแปลง
การเปล่ียนขนแปลงของผู้รับการติดตามช่วยเหลือ เป็นการกิจหลัก ซึ่งจะต้องดำเนินการ
ให้บรรลุผลสำเร็จ จึงกล่าวได้ว่าการติดตามช่วยเหลือ เป็นการทำให้เกิดพฤติกรรมการเปล่ียนแปลง
พฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ได้รับการติดตามช่วยเหลือนั้นเป็นภารกิจยาก ต้องอาศัยความรู้
ทักษะ ความอดทนและเวลา ดงั ท่ี ฟลเู มอร์ และแฟรงกลนิ ไดเ้ สนอแนวทางในการปฏิบัตงิ าน ดังน้ี
๑. คำนึงถึงองค์ประกอบทุกตัวที่มีความเก่ียวข้องในสถานการณ์เปล่ียนแปลง เนื่องจาก
การเปล่ียนแปลงต้องยกเลิกพฤติกรรมท่ีเคยปฏิบัติอยู่เดิมไปเป็นการปฏิบัติพฤติกรรมใหม่ผู้ท่ี
เปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมบุคคลอื่นจะตอ้ งเป็นแบบอย่างใหเ้ หน็ ในการปฏิบตั ิ
๑๐ Daughtrey, A. S., & Ricks, B. R., Contemporary supervision, managing people and
technology, (Singapore : McGraw – Hill, 1965), p.555.
๑๐๐
102
๒. การมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมง่ายข้ึนโดย
ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ชอบการถูกบังคับ ถ้าถูกบังกับจะเกิดการต่อต้านทันทีผู้นิเทศจึงควรช่วยให้ครู
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดว้ ยการมีส่วนร่วมใหค้ วามสำคัญแก่ครู
๓. ภาวะผู้นำของผู้บังกับบัญชามีส่วนสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนั้นการ
เปลี่ยนแปลงถ้ากำหนดนโยบายโดยผู้บังกับบัญชา ผู้บังคับบัญชาสนับสนุนย่อมจะทำให้การ
เปลี่ยนแปลงง่ายขึน้
๔. ติดตามช่วยเหลือจำเป็นต้องรู้เทคนิควิธีการเปลี่ยนแปลง และการเอาชนะพฤติกรรม
ต่อตา้ นการเปล่ียนแปลงจงึ จะทำใหก้ ารเปลยี่ นแปลงบรรลผุ ลสำเรจ็ ได้ตามเป้าประสงค์
๕. การเปล่ียนแปลงใดๆ ควรกระทำเฉพาะในสิ่งที่จำเป็นเท่าน้ัน เนื่องจากการ
เปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผู้ปฏบิ ัติงานมีความซับซ้อน ผ้ตู ิดตามช่วยเหลือและองค์กรจะต้องใช้ความ
พยายาม และใช้ทรัพยากรเป็นอย่างมาก เพื่อใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงและยงั มีผลต่อการกระทบบุคคล
อีกดว้ ย
๓. แนวทางการปรบั กระบวนทัศน์ตอ่ การปฏริ ูปการจัดการเรยี นรู้
กระบวนทัศนก์ ารจัดการเรียนรู้ เร่ิมท่ีการออกแบบการเรยี นการสอนเป็นกระบวนการวาง
แผนการเรียนการสอน การปรับเปล่ียนการเรียนรู้ลงสู้การางแผน ประกอบด้วย เน้ือหา วัสดุ ส่ือ
กิจกรรม แหล่งสารสนเทศและการประเมิน ส่ิงท่ีเป็นพ้ืนฐานสำคัญในการเปล่ียนกระบวนทัศน์คือ
ทฤษฎีการเรียนรู้ โดยสามารถออกแบบการสอนบนพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ ๓ กลุ่ม
ประกอบด้วย
๑. ทฤษฎีการเรียนรู้คลุ่มพฤติกรรมนิยม เน้นการถ่ายทอดเน้ือหาโดยแยกเป็นส่วนย่อย
ตามลำดับขั้นตอน ข้ามข้ันไม่ได้ มีการตั้งวัตถุประสงค์ก่อนเรียนและวัดผลหลังเรียน บางครั้งมีการ
เสริมแรงให้กับผู้เรียนเพื่อให้เกิดพฤตกิ รรมตอบสนองออกมา
๒. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิปัญญานิยม เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาที่เน้นผู้เรียนเรียนรู้
อย่างมีความหมายโดยการจัดระเบียบหมวดหมู่ของสารสนเทศ เพ่ือให้สมองสามารถบันทึกความรู้ท่ี
ได้รับมาใหม่ได้ง่ายเกิดการถ่ายโอนความรู้เดิม ไปสู่ความรู้ใหม่และสามารถเรียกกลับมาใช้ได้ตามท่ี
ต้องการ
๓. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มคอนสตรัคตวิ ิสต์ เนน้ การสร้างความรูด้ ้วยการกระตุ้นด้วยปัญหา
ที่ผู้เรียนพบได้จริงในชีวิตประจำวัน (สถานการณ์ปัญหา) โดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติที่ผ่าน
กระบวนการคิด แสวงหาคำตอบ การแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างกัน ความรตู้ ่างๆ จะถูกสร้างข้ึนด้วย
๑๐๑
103
ตนเองของผู้เรยี น โดยใช้ข้อมูลที่ไดร้ ับมาใหม่รวมกบั ความร้เู ดิมท่ีมีอยู่แล้วสามารถสร้างความหมายใน
การเรยี นรู้ของตนเอง
สรุปความแตกต่างของทฤษฎีการเรียนรู้ท้ัง ๓ กลุ่ม ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
มุ่งศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับพฤติกรรมท่ีแสดงออกมา เน้นความสำคัญของ
ส่ิงแวดล้อมเพราะเช่ือว่าส่ิงแวดล้อมจะเป็นตัวที่กำหนดพฤติกรรม กลุ่มพุทธิปัญญานิยม เน้นการ
ถ่ายทอดเน้ือหาเน้นให้ผู้เรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถจัดรวบรวมเรียบเรียงส่ิงที่เรียนมาเพื่อให้
สามารถเรียกกลับมาใชไ้ ด้ตามที่ตอ้ งการและสามารถถา่ ยโยงความรู้เดิมไปสู่ความรใู้ หม่กลุ่มคอนสตรัค
ตวิ ิสต์ ความรู้ต่างๆ จะถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของผู้เรียนเองโดยใช้ข้อมูลที่ได้รับมาใหม่รวมกับความรู้เดิม
ท่ีมีอยู่แล้ว ซ่ึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มคอนสตรัคติวิสต์สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๔๒ มากที่สุดเพราะเป็นทฤษฎีการเรียนรู้เก่ียวกับการสร้างองค์ความรดู้ ้วยตนเอง ในการปรับ
กระบวนทัศน์การจัดการเรียนรู้๑๑ ได้เสนอแนวทางการปรับกระบวนทัศน์ในการปฏิรูปการจัด
การศึกษาไวด้ ังน้ี
ตารางที่ ๕.๑ การปรบั กระบวนทศั น์ตอ่ การปฏิรปู การจัดการเรยี นรู้
กระบวนทศั น์เดมิ กระบวนทศั นใ์ หม่ เหตผุ ลประกอบ
๑.ประชาชนคือผ้อู ยูใ่ ต้การ ๑.ประชาชนคอื ลูกจ้างทตี่ อ้ ง ๑.ประชาชนคอื เจ้าของประเทศ
ปกครอง เอาใจใส่ ๒.ไมใ่ หส้ ถานการณบ์ ังคับให้
๒.มุ่งรักษาสถานภาพเดิม ๒.ผู้นำการเปล่ยี นแปลง เปลี่ยน
(Management for status Quo) (Change Leader) ๓.สร้างความยืดหย่นุ ไม่แข็ง
๓.ยึดระเบียบเข้มงวด ๓.ใช้กฎระเบยี บอย่างมีดลุ ย กระค้าง
(Management by Regulation) พนิ ิจ ๔.เพอ่ื ประโยชนข์ องประชาชน
๔.วดั ผลจากการทำกจิ กรรมตาม ๔.วดั ผลสมั ฤทธิ์ ๕.เพอื่ หน่วยงานอยู่รอด
คำสง่ั (Boss Oriented) ๕.รเิ รม่ิ สร้างสรรค์ ๖.ตอบสนองประชาชนไดเ้ ร็ว
๕.แบง่ งานกนั ทำตามหนา้ ที่ ๖.ยดึ ทมี งาน กระบวนการทำงาน ๗.ถ่ายอำนาจ
๖.รวมอำนาจ (Centralization) ๗.การกระจายอำนาจ ๘.เป็นเพอ่ื นมากหวา่ นาย
๗.เนน้ การควบคุม(Controller) (Decentralization) ๙.ทำงานได้เร็วขึ้น
๘.ทำงานตามสายบังคับบัญชา ๘.เนน้ การช่วยเหลือแนะนำ ๑๐.มเี ป้าหมายการทำงาน
๙.ทำงานเชา้ ชาม-เย็นชาม ๙. ทำงานแนวราบ- สรา้ ง ๑๑.สร้างมาตรฐานงาน
แกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ เครือขา่ ย ๑๒.ไม่เปน็ ฝา่ ยตัง้ รับ
๑๐.ไม่มกี ารวดั การใหบ้ รกิ าร ๑๐.สรา้ งตัวข้วี ัด ๑๓.สร้างความกระจา่ ง
๑๑กระทรวงศึกษาธิการ, ปรับกระบวนทัศน์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร
แหง่ ประเทศไทย, ๒๕๔๘), หนา้ ๗.
๑๐๒
104
๑.ไมช่ อบการเปลี่ยนแปลง ๑๑.พรอ้ มรับการเปลยี่ นแปลง ๑๔.ผลงานของรัฐเป็นสาธารณะ
อาศัยประสบการณ์ ความเคยชนิ กล้าหาญ
๑๒.ปกปิด ๑๒. โปร่งใส
๑๓.ตัดสินใจโดยภาครฐั
สรุปได้ว่าการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้สอนเป็น
ศูนย์กลาง (Teacher-centered) ในอดีตที่ผ่านมาน้ันไม่สามารถ พัฒนาผู้เรียนได้อยา่ งแท้จริง ในการ
ปฏิรูปการศึกษาจึงได้มีการปรับเปล่ียนแนวคิดเป็นการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(Learner-centered, Student-centered หรือ Child-centered) โดยมีหลักการว่า กระบวนการ
จัดการเรียนการสอนต้องเน้นให้ผู้เรียน สามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาความสามารถได้ตาม
ธรรมชาติเต็มตามศักยภาพของตนเอง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการฝึกและปฏิบัติ ในสภาพจริงของการ
ทำงาน มีการเช่ือมโยงสิ่งที่เรียนกับสังคม ได้เรียนรู้จากหลายๆ สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอก
ห้องเรียนมีการ จัดกิจกรรมและกระบวนการให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินและ
สร้างสรรค์สิ่งต่างๆโดยไม่เน้นไปท่ีการท่องจำเพียงเนื้อหา ผู้รีขนจึงมีอิสระในการเรียนมากข้ึน อาจ
กล่าวได้ว่าการศึกษาเปล่ียนมาให้ความสำคัญกับ "การเรียน" มากกว่า "การสอน" จากหลัก การและ
แนวคิด ดงั กล่าว ครูจงึ ได้พัฒนาแนวทางในการจดั กจิ กรรมที่เออื้ ประโยชน์สงู สดุ ใหแ้ ก่ผูเ้ รียน
ตารางท่ี ๕.๒ การเปรียบเทียบกระบวนทัศน์เก่ากับกระบวนทศั น์ใหม่ทางการศกึ ษา๑๒
กระบวนทศั นเ์ กา่ กระบวนทัศนใ์ หม่
มองโลกแบบแยกสว่ น(Atomism) โดยเชื่อว่า มองโลกแบบองคร์ วม (Wholism) โดยเชื่อวา่ ทุกอย่าง
องค์ประกอบย่อยของวตั ถสุ ามารถดำรงอยู่อย่างอิสระ เกยี่ วพนั กนั และสัมพนั ธ์กัน ดงั นัน้ จงึ เชอื่ ในการดำรงอยู่
ดงั น้ันจึงเช่ือการดำรงอยขู่ องปจั เจกชน ของกล่มุ ชน
เชอื่ ในความร่วมมือการประสานประโยชนแ์ ละ สนั ติภาพ
เชื่อในเรอ่ื งการแขง่ ขันการแสวงหากำไรและหลกั
ววิ ัฒนาการทค่ี นแข็งแรงเท่านน้ั ท่ีจะชนะ เชอื่ ในความประสานเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดียวกบั ธรรมชาติ
และตอ้ งเคารพธรรมชาติ
เชอื่ วา่ มนุษยอ์ ยูเ่ หนือธรรมชาตแิ ละสามารถเอาชนะ ช่อื ในการกระจายอำนาจและประชาธิปไตยแบบมสี ่วน
ธรรมชาติ รว่ ม
เชือ่ ในเรอ่ื งหลักรวมศนู ยอ์ ำนาจและเช่ือประชาธปิ ไตย เน้นความสำคัญของพลงั งานและจติ วญิ ญาณ
ตัวแทน
เนน้ ใหค้ วามสำคัญของวตั ถุสสารทเ่ี หนอื จติ วิญญาณ
๑๒ Kiatchokchai, P., The new paradigm of education in the 21st century, (Bangkok :
Education Press, 2002), p.45.
๑๐๓
105
เน้นความสำคัญของเศรษฐกจิ เน้นความสำคัญของคุณคา่ ความเปน็ มนุษย์
เชื่อวา่ ความจรงิ ต้องเปน็ ระบบและมีความแนน่ อน ชอ่ื วา่ โลกตง้ั อยู่บนพนื้ ฐานของการเปลีย่ นแปลงและ
หลากหลาย
ใช้ Text-Based Learning ใช้ IT-Based Learning
จากตารางจะเห็นได้ว่ากระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและ
การประยุกต์ใชค้ วามรู้ตามบริบทเป็นการศึกษาแบบไร้พรมแดน มีการใช้และบูรณาการเทคโนโลยีใน
การทำงานมากขน้ึ มีการดำเนนิ งานอย่างมสี ่วนร่วมในลักษณะเครือข่ายหรือห้นุ สว่ นที่มีความยดื หยุ่น
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ให้มีทักษะการคิดสร้างสรรค์ และมีทักษะการทำงานขั้นสูง
โดยใช้หลักการประเมินเชิงเปรียบเทียบเพ่ือพัฒนาความก้าวหน้าของผู้เรียน ดังที่ คณะกรรมาธิการ
นานาชาติว่าด้วยการศึกษาในศตวรรษท่ี ๒๑ ได้นำเสนอส่ีเสาหลักในการจัดการศึกษาในศตวรรษที่
๒๑๑๓ คือ ๑) เรียนรทู้ ี่จะอยู่ร่วมกัน เป็นการเรียนรู้เพ่ือเข้าใจเพื่อนมนุษย์ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือ
ขจัดความขัดแย้งด้วยสันติ วิธี ๒) เรียนเพื่อรู้เป็นการเปล่ียนแปลงความรู้ใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว จึง
จำเป็นต้องมีพื้นฐานพร้อมที่จะศึกษาในเชิงลึกในเรื่องท่ีสนใจ นำไปสู่การศึกษาตลอดชีวิต ช่วย
วางรากฐานท่ีมั่นคงสำหรับคนที่สนใจแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ๓) เรียนรู้เพื่อการปฏิบัติได้จริง
เป็นการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสถานการณ์ต่างๆ และให้สามารถ ทำงานเป็นกลุ่ม
ร่วมกับผู้อ่ืนได้ตลอดจนมีโอกาสได้ทดลองปฏิบัติและพัฒนาความสามารถของตนเองขณะเรียนใน
สายงานอาชีพของตนและงานทางสังคมอย่างจริงจัง ๔) เรียนรู้เพ่ือชีวิตเป็นการเรียนรู้ที่จะรู้สึก
รับผิดชอบต่อการ บรรลุเป้าหมายร่วมกับผู้อ่ืน ในขณะเดียวกันต้องมีความเป็นอิสระและรู้จักการ
ตดั สินใจการศกึ ษาจะตอ้ งกระตุ้น และปลกุ เร้าความสามารถพิเศษของคนให้ปรากฏออกมา
๑๓ UNESCO as cited in Sujjanun, J. Education and community development in the
21st century, (Bangkok : Odeonstore, 2013), pp. 145-146.
๑๐๔
106
๔. การปรบั กระบวนทศั น์การจดั การเรยี นรู้
ในการปรบั กระบวนทัศน์การจดั การเรียนรู้มีมากมายหลายวิธกี าร กระทรวงศกึ ษาธิการ๑๔
ได้เสนอแนวทางในการพัฒนาไวด้ ังนี้
๑. ความรแู้ ละเทคโนโลยี
มนุษย์สร้างจากองค์ความรู้จากการเฝ้าสังเกต ลองผิดลองถูกการศึกษาวิจัยและจาก
ประสบการณ์ ความรู้ใหม่จากความรู้เดิม ขึ้งฐานความรู้กว้าง ย่ิงมีโอกาสสร้างความรู้ใหม่ๆ จึง
จำเป็นต้องขยายโอกาสทางการศึกยาให้แก่คนไทยทุกหมู่เหล่าให้มีความกว้างขวางมากย่ิงข้ึน ซ่ึง
มนุษย์สามารถนำความรู้มาใช้งาน เทคโนโลยีเป็นวิธีการรูปแบบของการประยุกต์ความรู้ เพ่ือมา
ทำงานให้มนุษย์ สังคมที่มีฐานกว้าง และคนในสังคมคิดเป็น มีจนิ ตนาการมีความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ก็
ยิ่งมีประยุกต์ความรู้ เทคโนโลยีได้หลากหลาย สามารถนำความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินนำมาทดลองได้
อย่างหลากหลายและสามารถพิสจู น์ ค้นควา้ วจิ ยั ทดลองจนได้องค์ความรทู้ ่สี อดคลอ้ งกับคนไทยได้
๒. การเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้ท่ีผ่านมาทำให้เกิดการเปล่ียนแปลงท้ังค้านความรู้สึกนึกคิดและ
พฤติกรรมของผู้เรียนเป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีอยู่นานพอสมควร เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จึงเป็น
กระบวนการเปล่ียนแปลงที่อยู่นานพอสมควร เพราะฉะนัน้ การเรียนรจู้ ึงเปน็ กระบวนการเฉพาะบคุ คล
ของผู้เรียนแต่ละคน ความสำนึกและความพร้อมของผู้เรียนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญ การเรียนรู้จึงเป็น
กระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง การสอนเป็นกระบวนการสำคัญเพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้ครูผู้สอน
เปรียบเสมือนแหล่งความรู้หนึ่ง และเป็นผู้จัดการให้เกิดความรู้โดยสรุปแล้ว การเรียนรู้ คือ
กระบวนการปลูกฝัง ถ่ายทอด ฝึกอบรมสิ่งต่อไปน้ีคือความรู้ เจตคติ ความเข้าใจ ความเชื่อมวิธีการ
จดั การเรยี นรู้ตาม
ศรัทธา ระบบคุณค่า ระบบคุณธรรม การควบคุมและการดูแลตนเอง ทักษะการทำงาน ได้แก่ ผู้เรียน
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมของผู้เรียน ตามวัตถุประสงค์ของการ
เรยี นรู้
๓. การสอน
การจัดการเรียนเป็นกระบวนการที่นำไปสู่การเปล่ียนแปลงแก่ผู้เรียน เป็นกระบวนการ
กระตุ้นเร่งเร้า ขี้แนะและช่วยเหลือให้ผู้เรียนเกิดความรู้ การจัดการเรียนรู้จึงถือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เป็นเปา้ หมายในการวางแผนจดั ระบบและวางแผนทรัพยากรและการบริหารการศกึ ษา
๑๔ กระทรวงศึกษาธิการ, ปรับกระบวนทัศน์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร
แหง่ ประเทศไทย, ๒๕๔๘), หน้า ๑๓-๑๘.
๑๐๕
107
๔. เป้าหมายของการเรยี นรู้
เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้อยู่ที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดและ
พฤติกรรมของผเู้ รียนประเด็นต่อไปน้ี
๔.๑ การเรียนรู้ในทฤษฎีอย่างเดียว หรือมีความรู้เก่ียวกับเรื่องหรือส่ิงใดส่ิงหน่ึง
เท่านั้นไม่พอเพยี งทจ่ี ะทำเกิดการเปลี่ยนแปลง
๔.๒ ความเข้าใจในเร่ือง ใดขึ้นอยู่กับระดับความเชื่อต่อส่ิงนั้นด้วย ความเชื่ออาจผิด
หรือถูกก็ได้ ครูผ้สู อนจงึ มีหนา้ ที่ข้ีแนะในความร้ทู ีค่ รบถ้วนและเป็นจริงแกผ่ ู้เรียน
๔.๓ พฤติกรรมต่อสิ่ง ใดขึ้นกับการให้คุณค่าต่อส่ิงน้ันด้วย การให้คุณค่าเป็นการ
กำหนดค่าเปรียบเทียบท่ีบุกคลพึงมีต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึง ครูผู้สอนจึงต้องชี้แนะคุณค่าของส่งิ ที่จะเรียนรู้แก่
ศิษยผ์ ู้เรียนด้วย
๔.๔ การเรียนรู้จะเกิดได้ดีก็ต่อเม่ือผู้เรียนมีสมาธิ และรู้จักการควบคุมตนเอง
ครูผู้สอนอยู่ในฐานะท่ีจะช่วยเหลือเกื้อกูลให้ผู้เรียนรู้จักแบ่งเวลา รามทั้ง ช้ีแนะอบรม สั่งสอนในการ
ครองตนให้เกิดประโยชนส์ งู สุดทัง้ ต่อตนเองและผู้อน่ื
๕. วธิ กี ารจัดการเรียนร้ตู ามแนวการปรบั กระบวนทัศน์
การปรับกระบวนทัศน์ทางการศึกษาสู่การจัดการเรียนรู้เป็นแนวทางการคิดอย่างหนึ่งที่มี
ความสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพ และเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามพระราชบัญญัติ การ
จดั การศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศกึ ษาธิการ๑๕ ได้เสนอแนวการจดั การเรียนร้ดู ังนี้
๑. การบรรยาย (Lecture) โดยครูผสู้ อน
๒. วิทยากรรับเชิญ (Invited Speaker) ให้ความรู้ และประสบการณ์แก่ผู้เรียนในความ
เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะด้าน หรอื ความชำนาญในฐานะผ้รู บั ผดิ ชอบหรอื ผปู้ ระกอบการ
๓. ทีมผู้สอน (Team Teacher) ประกอบด้วยผู้สอนท่ีมีความสามารถหลากหลายความ
คิดเหน็ หรือหลากหลายความเชย่ี วชาญ เพอ่ื สนองความรู้ท่ีประสานกวา้ ง
๔. นักเรียนเป็นผู้สอน (Peer Teaching) มีรูปแบบการจัดหลากหลาย เช่น แบ่งกลุ่ม
ผู้เรียนเปน็ กล่มุ ยอ่ ยใหผ้ เู้ รยี นได้เรยี นรจู้ ากกนั และกนั ในรูปของกล่มุ ติวเพ่ือน สมั มนา กลุ่มอภปิ ราย
๕. การระดมสมอง (Brain Storming) เป็นการแสดงความคิดหลากหลายและเสรี โดย
ผเู้ รียน เชน่ หาวิธกี ารแก้ปัญหาแลว้ จงึ หาสรุปร่วมกัน
๖. การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small - Group Discussion) เพ่ือแลกเปลี่ยนความรู้
ความเห็นโดยให้ทกุ คนมีส่วนร่วมมากท่ีสดุ ในหัวข้อทกี่ ำหนด
๑๕ กระทรวงศกึ ษาธิการ, ปรบั กระบวนทัศน์, หน้า ๑๓-๑๘.
๑๐๖
108
๗. การอภิปรายโดยกลุ่มวิทยากร (Pane! Discussion) การนำเอาวิทยากรผู้เช่ียวชาญ
ด้านต่างๆ มาร่วมอภปิ รายเปน็ ผนู้ ำการประชุม
๘. การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Symposium Workshop) การประชุมเชิงปฏิบัติการต้อง
กำหนดวัตถุประสงค์ของการจัดดังกลา่ ววา่ จะให้ปฏิบตั ิการเร่ืองใดเรอื่ งหน่ึงให้สำเร็จตามเป้าหมายเร่ิม
โดยการเชิญวิทยากรกลุ่มเล็กมาให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม เพื่อเป็นการนำแล้วจึงแบ่งกลุ่ม
ผู้เข้าร่วมประชุมเป็นกลุ่มย่อย จะเพ่ือฝึกปฏิบัติการ โดยมีวิทยากรประจำกลุ่มคอยให้ความเห็นหรือ
วิจารณ์หรอื ชี้แนะ จนกลมุ่ สามารถปฏบิ ตั ิจนเสร็จตามเป้าหมาย
๙. การสัมมนา (Scrninar) เพื่อให้กลุ่มผู้เรียนขนาดเก็บได้ศึกษาลงลึกเฉพาะเร่ืองโดยการ
คน้ คว้าจากเอกสารตำรา หรอื จากงานวจิ ยั
๑๐. การจำลองแบบและการเล่นเกมส์ (Simulation and Games) เพ่ือสร้างเรื่องหรือ
สร้างสถานการณจ์ ำลอง เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นได้ตระหนกั นึกถึงประเดน็ หรอื ปญั หา
๑๑. การสาธิต (Demonstration) เพ่ือแสดงกระบานการ แสดงการปรากฏจริงหรือสร้าง
ความเขา้ ใจจากหุ่นจำลอง
๑๒. กรณีศึกษา (Casc study เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนจากกรณีที่เกิดข้ึนจริงในการ
ประกอบการ อาจเน้นเหตุการณ์ ประเด็นหลักของกรณี ประวัติ หรืองานวิจัยท่ีเก่ียวข้องก็ได้ในกรณี
การสอน การตัดสนิ ใจ สอนการแกป้ ัญหา สอนเจตคติ และระบบคุณคา่ คณุ ธรรมได้
๑๓. โครงงาน (Project Work) มีการเรียมโครงสร้างและรูปแบบของสาระการเรียนรู้เพื่อ
การแก้ปัญหาในโลกแห่งความจริงทำให้กระบวนการเรียนรู้มาจากประสบการณ์จริงมีความหมาย มี
เปา้ หมายให้แรงกระต้นุ และสรา้ งความกระตอื รือร้นได้อย่างดี
๑๔. การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกสถานที่ (On-Site Classes) นำนักเรียนไปศึกษา
นอกสถานที่ เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอดูดาว สวนพฤกษศาสตร์ วัดและศาสนาอื่นๆ สถาน
ประกอบการ โรงงาน เป็นตน้
๖. แนวทางการปรับกระบวนทัศน์การจัดการเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ ๒๑
ในปัจจุบัน โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีพลัง
ขับทางเทคโนโลยีและมีส่ือท่ีอิ่มตัวแต่เรายังไม่สามารถขับเคลื่อนการจัดการศึกษาของเราในรูปแบบ
ศตวรรษที่ ๒๐ เข้าสู่รูปแบบใหม่สำหรับศตวรรษท่ี ๒๑ ท่ีต้อง "นิยาม" คำว่า การศึกษาโรงเรียน
๑๐๗
109
หลักสตู ร ครู และผู้เรียน กันเสียใหม่ เพื่อให้การออกแบบการศึกษาสำหรับอนาคตประสบผลสำเร็จ๑๖
โดยมีปัจจัยสนบั สนนุ การเรียนรูใ้ นศตวรรษท่ี ๒๑
องคป์ ระกอบท่ีสำคัญและจำเป็นเพ่อื ในการเรียนรู้ของนักเรยี นทักษะในศตวรรษท่ี ๒๑ คือ
มาตรฐานศตวรรษท่ี ๒๑ การประเมินผลหลักสูตรการเรียนการสอนการพัฒนาอาชีพและ
สภาพแวดล้อมการเรียนรจู้ ะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ระบบสนบั สนนุ การผลติ ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดผลลพั ธ์ในศตวรรษท่ี
๒๑ สำหรบั นักเรยี นในปจั จบุ นั ดงั นี้
ตารางที่ ๕.๓ การปรับกระบวนทัศน์การจดั การเรียนร้ใู นสตวรรษท่ี ๒๑
ดา้ นหลักสูตร ผู้สอน ผเู้ รยี น การวดั และประเมิน
๑. สอนทักษะในศตวรรษ ๑.ผสู้ อนมีแนวทางการ ๑. เป็นนกั รว่ มมอื สามารถ ๑.รองรับความสมดลุ ของ
ที่ ๒๑ ซ่งึ แยกกนั ในบรบิ ท สอนมคี วามสามารถ เรียนรรู้ ่วมกับผูอ้ ่ืนได้ การประเมินรวมทง้ั มี
ของวชิ าหลักและรปู แบบ สำหรับการบรู ณาการ ๒. เรยี นรอู้ ยา่ งอิสระ คณุ ภาพสูง การทดสอบ
สหวทิ ยาการ ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ยดื หยุ่นเพื่อการเรยี นรู้ มาตรฐานพรอ้ มกบั การ
เคร่ืองมอื และกลยทุ ธก์ าร ตลอดชีวิต ประเมนิ ผลในช้ันเรียนทมี่ ี
๒. มุ่งเน้นการใหโ้ อกาส เรยี นการสอนไปสกู่ าร ประสทิ ธภิ าพ
สำหรับการใช้ทกั ษะใน ปฏบิ ัตใิ นชนั้ เรยี น ๒. เรยี นรูอ้ ย่างอิสระ
ศตวรรษที่ ๒๑ ในเนอ้ื ห้า ๒.การเรียนการสอนท่เี นน้ ยืดหยนุ่ เพอ่ื การเรยี นรู้ ๒. เนน้ ขอ้ เสนอแนะทเ่ี ปน็
และวิธีการตาม การทำโครงงาน ตลอดชวี ติ ประโยชน์ในการ
ความสามารถในการ ปฏบิ ตั ิงานของนกั เรยี นท่ี
เรียนรู้ ๓. แสดงให้เห็นวา่ มี ๓. เปน็ นกั วิเคราะห์ที่ ถูกฝงั ลงในการเรยี นรแู้ ละ
๓. ช่วยให้วิธกี ารเรยี นรู้ ความรู้ความเขา้ ใจในเรือ่ ง ฉลาด ชวี ิตประจำวัน
นวตั กรรมทบ่ี รู ณาการการ จรงิ สามารถเพม่ิ การ
ใชเ้ ทคโนโลยสี นับสนนุ แกป้ ัญหาการคดิ เชิง ๔.เป็นนักสังเคราะห์ท่ี ๓. การประเมินการใช้
แนวทางเพมิ่ เติมในการใช้ วิพากษ์และอ่นื ๆ ทกั ษะ สรา้ งสรรคส์ ามารถทำ เทคโนโลยใี หม้ คี วามสมดลุ
ปัญหาเปน็ ฐาน และทักษะ ในศตวรรษท่ี ๒๑ ความเขา้ ใจแนวคดิ ที่ ความชำนาญนกั เรยี นซง่ึ
การคดิ ข้นั สงู ๔. ทำใหช้ มุ ชนเปน็ แหลง่ เปน็ การวดั ทักษะใน
๔. สนบั สนนุ ให้รวม เรียนรู้ เกดิ การแลกเปล่ยี น ศตวรรษที่ ๒๑
ทรัพยากรของชมุ ชนภูมิ ความรรู้ ะหว่างชมุ ชน
ปญั ญาชาวบา้ นแหลง่ ๔. ช่วยใหก้ ารพัฒนา
คณุ ภาพนักเรียนมีการ
เรียนรทู้ กั ษะในศตวรรษท่ี
๑๖ วิโรจน์ สารรัตนะ, กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา กรณีทัศนะต่อการศึกษาศตวรรษที่ ๒๑,
(กรุงเทพมหานคร : ทิพยวิสทุ ธ์ิ, ๒๕๕๖), หน้า ๑๐๘.
๑๐๘
110
เรยี นรู้นอกห้องเรยี น ซบั ซอ้ นได้ ๒๑ เพ่อื การศกึ ษาและ
การทำงานในอนาคต
๕.พัฒนาความสามารถ
ในการระบตุ ัวตนของ ๕. ช่วยให้มาตรการการ
นักเรยี นโดยเฉพาะอย่าง ประเมินประสิทธิภาพ
ย่งิ ร้จู ดุ แข็งและจดุ อ่อน ระบบการศกึ ษาในระดบั ท่ี
ของผูเ้ รยี น สงู
๖. ชว่ ยให้ครูพัฒนา
ความสามารถในการใช้
กลยุทธ์ต่างๆ
จากตารางแสดงใหเ้ ห็นว่าควรจัดการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ ๒๑ มคี วามจำเป็นทจ่ี ะตอ้ งมีการ
เปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ควรศึกษาของโลก ทั้งในด้านของหลักสูตรการจัดการ
เรียนการสอน ครูผู้สอน ผู้เรียน และการวัดประเมินผล ซ่ึงมีการเปล่ียนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก
มุ้งเน้นการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียมเป็นสำคัญเป็นผู้คิด ผู้สร้าง ผู้ลงมือปฏิบัติในทุกข้ันตอน โดยเน้นการ
เรียนรู้แบบร่วมมือ การดัน หาความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต ผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
มากกว่าการสอนแบบเดิม ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ จัดเตรียมส่ือและอุปกรณ์ท่ีเหมาะสมกับการ
เรยี นรู้ การวัดและประเมินผลเน้นการประเมินตามสภาพจริง
ลักษณะของหลักสูตรจากหลักสูตรรูปแบบโรงงาน (Factory mode) ที่เกิดขึ้นในยุค
ปฏิวัติอุตสาหกรรม ซ่ึงมุ่งผลิตคนเข้าสู่โรงงานตามทัศนะพฤติกรรมนิยมของ Skinner (Skinner's
behaviorism) ยึดตำรา ยึดครู ยึดกระดาบดินสอเป็นสำคญั เปลี่ยนเป็นหลักสตู รรูปแบบยึด โครงงาน
เป็นฐาน (Project Based Curricurum) ยึดการขับเคล่ือนด้วยการวิจัย (Research Driven)เป็น
หลักสูตรเพ่ือชีวิต เชอ่ื มโยงชุมชนกับประเทศกับชาติ และกับนานาชาติ พัฒนาทักษะการคดิ ขั้นสูงพหุ
ปัญญา การอา่ นออกเขียนได้เชงิ พหเุ ทคโนโลยแี ละมลั ตมิ เี ดยี การเรยี นร้ปู ัญหาจากโลกทเี่ ป็นจรงิ
จากประเด็นเก่ียวกับความเป็นมนุษย์ (Humanity) และประเด็นเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อม
(Environment)๑๗
๑๗ วิโรจน์ สารรัตนะ, กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา กรณีทัศนะต่อการศึกษาศตวรรษท่ี ๒๑,
(กรงุ เทพมหานคร : ทพิ ยวสิ ุทธ์ิ, ๒๕๕๖), หน้า ๑๐๔-๑๐๖.
๑๐๙
111
ตารางท่ี ๕.๔ ตารางเปรยี บเทยี บหอ้ งเรยี นในศตวรรษท่ี ๒๐ และศตวรรษที่ ๒๑
หอ้ งเรยี นในศตวรรษท่ี ๒๐ หอ้ งเรียนในศตวรรษท่ี ๒๑
ยดึ ครเู ป็นศูนยก์ ลาง เรยี นโดดเดี่ยวใน ห้องเรยี น ตามสภาพแวดลอ้ ม เรยี นรู้ชีวิตจรงิ หลกั สูตร
หลักสตู รแบบแยกส่วน ทอ่ งจำ ยดึ โครงงานเป็นฐาน คิดสรา้ งสรรค์
ยดึ เวลาเป็นฐาน ยดึ ผลลพั ธ์เปน็ ฐาน
เน้นท่องจำขอ้ เท็จจริงทแี่ ปลกแยกจากชวี ติ จริง เน้นสิ่งที่นักเรียนรู้ สามารถทำไดแ้ ละเป็นได้
เนน้ ทักษะข้ันต่ำของ Bloom's taxonomy เนน้ ทกั ษะขนั้ สูงของ Bloom's taxonomy
ให้ความสำคญั กบั ตำรา ใหค้ วามสำคญั กบั การสืบค้นวจิ ัย
รอรับการสอน (passive learning) เรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
โดดเดีย่ วลำพงั ในหอ้ งสีเ่ หลย่ี ม เปิดโลกกว้างกับเพือ่ นร่วมช้นั เรยี นคนอนื่
ครูเป็นศนู ย์กลางของความสนใจและสารสนเทศ นักเรียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง ครเู ปน็ ผู้อำนวยความ
สะดวกหรือเปน็ โคช้
เสรภี าพทางการเรียนน้อย เสรภี าพทางการเรยี นสูง
ไมไ่ ว้วางใจกนั ไม่มกี ารจงู ใจนักเรยี น เช่ือใจกนั เรยี นรรู้ ่วมกนั จูงใจสงู
หลักสตู รแยกสว่ น หลักสตู รแบบบรู ณาการ หรอื สหวทิ ยาการ
คาดหวังตำ่ ให้ความสำคญั กบั สิ่งทีไ่ ดเ้ รยี นรู้
ให้ความสำคญั กบั เกรดเฉลย่ี คาดหวังนกั เรยี นประสบผลสำเรจ็ สงู
ครูเป็นผตู้ ดั สิน ตนเอง เพื่อน และคนอืน่ ๆ เป็นผปู้ ระเมนิ
หลักสตู รและโรงเรียนไมเ่ ก่ยี วข้องและไม่มี หลักสตู รคำนงึ ถึงความสนใจ ประสบการณ์
ความหมายตอ่ ผเู้ รยี น
ส่ิงพิมพ์เป็นพาหนะพ้นื ฐานเพือ่ การเรยี นรู้ ความสามารถพิเศษและโลกทีเ่ ป็นจรงิ
การปฏิบัติ โครงงาน สอื่ ประเภทตา่ งๆ ถกู ใช้
ไม่คำนึงถึงความหลากหลาย เพือ่ การเรยี นร้แู ละประในผล
เน้น 3R's อา่ น เขยี น และคดิ เลข คำนงึ ถึงความหลากหลายของนกั เรียน
รปู แบบโรงงาน (factory model ตอบสนอง เน้นความรู้พนื้ ฐานเชิงพนุ (multiple literacies :
ความตอ้ งการของนายจา้ งโรงงาน multicultural, media, information, emotional,
ecological, finanacial and cyber literacies)
ยดึ มัน่ ใน No child left behind และการทดสอบ รปู แบบโลก (global model ตอบสนองสงั คม
มาตรฐาน ไฮเทค เข้าถึงอินเทอร์เน็ต มเี ว็บไซด์ทคี่ รแู ละนกั เรยี นเข้าไปมี
ส่วนรว่ มเรียนรู้ โครงงานต่างๆ กบั ทวั่ โลกได้
มกี ารทดสอบมาตรฐาน แต่มีการประเมนิ ผลอย่างอืน่ ด้วย
๑๑๐
112
จากตารางที่ ๕.๓ สรุปได้ว่าในปัจจุบันการจัดการศึกษาของประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเป็น
แบบการเรียนรใู้ นสตวรรษท่ี ๒๐ ซ่งึ น้ันเป็นปัญหา สำหรับการเรียนรู้และการปรับเปล่ียนหลักสูตรซ่ึง
ปัญหาในการจัดการศึกษาของประเทศไทยมีหลายประเด็นท่ีต้องทำความเข้าใจ หากเราพิจารณาถึง
วกิ ฤตที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่จะเห็นไดว้ ่ามีใช่ปัญหาเศรษฐกิจการเมืองหรือสงั คมเท่านน้ั แต่เม่ือ
มองให้ลึกลงไปจะพบว่าปัญหาที่สำกัญก็คือประเทศไทยเกิดวิกฤตทางด้านกระบวนการคิดซ่ึงหาก
จัดการเรียนรู้ตามแนวทางการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ ก็จะมุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นบุคคลแห่งการ
เรียนรู้ มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เกิดการเรียนรู้
อยา่ งมคี วามสุขภายใต้การเปล่ียนแปลงและเป็นบุคคลท่ีมคี ุณภาพ
๗. การศกึ ษาในกระบวนทัศน์ใหม่ : กบั การเรยี นโดยใชว้ จิ ยั เปน็ ฐาน
กระบวนการวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบระเบียบเพ่ือให้ได้มาซึ่ง
ความรู้หรือข้อค้นพบใหม่ เป็นการพัฒนาให้ผู้เรียนมีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สามารถเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองอย่างต่อเน่ืองหรืออาจกล่าวได้ว่า กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ตลอด
ชีวิตซ่ึงสอดคล้องกับหลักการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ใน
หมวด ๔ มาตรา ๒๔ (๕) ว่า “ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อ
การเรียน และอำนวยความสะดวก เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้
การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้”๑๘ ผลจากพระราชบัญญัติการศึกษานี้ทำให้ผู้สอนนำ
กระบวนการวิจัยมาผสมผสานหรือบูรณาการใช้ในการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน
และเพอื่ ให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรูส้ ามารถใช้กระบวนการวจิ ัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวน การเรียนรู้มาก
ขึ้น สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษา ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ระยะที่ ๙ (พ.ศ.
๒๕๔๕ – ๒๕๔๙) ท่ีมุ่งเน้นให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ท่ีสร้างโอกาสให้คน
ไทยทุกคนคิดเป็น ทำเป็น มีเหตุผลสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต รู้จักใช้ข้อมูลที่มีอยู่อย่างหลากหลาย
เพื่อสร้างองค์ความรู้และพัฒนาตนเอง ซ่ึงการจะหล่อหลอมให้เกิดคุณลักษณะดังกล่าวได้ ต้องฝึกให้
รู้จักใช้กระบวนการเรียนรู้ท่ีเช่ือถือได้ และกระบวนการที่สร้างความรู้ได้อย่างเป็นระบบระเบียบคือ
การวจิ ัย
๑๘ สำนักงานปฏิรูปการศึกษา, แนวทางการบริหารและการจัดการศึกษาในเขตพ้ืนที่การศึกษาและ
สถานศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : สำนักงานปฏิรูปการศกึ ษา, ๒๕๔๕).
๑๑๑
113
ซ่ึงในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาฯ ระยะที่ ๙ ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า การวิจัยเป็น
แนวทางดำเนินการหน่ึงที่นำไปสู่การสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ การเรียนที่ใช้การวิจัย
เป็นฐานถือเป็นการปฏิรูปการศึกษา ดังน้ัน จะเห็นได้ว่ากระบวนการวิจัยไม่ได้เก่ียวข้องเฉพาะกับ
อาจารย์ผู้สอนเท่านั้นแม้แต่ผู้เรียนก็ต้องเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ผู้เรียนในยุคปฏิรูปการศึกษาควรมี
ทักษะกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นระบบและย่ังยืน และสามารถนำเอากระบวนการวิจัยไปพัฒนาการ
เรียนรู้ของตนเอง เช่น นำไปสร้างโครงงาน ตรวจสอบความรู้ของตนเอง แสวงหาความรู้ใหม่ๆ นำ
ความรูท้ ไ่ี ด้ไปประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจำวนั เป็นต้น๑๙
๗.๑ นยิ ามของการจดั การศกึ ษาแบบใช้การวจิ ยั เปน็ ฐาน
ปัจจุบันการจดั การเรยี นร้โู ดยใช้การวิจยั เป็นฐานนน้ั มีผู้เรียกแตกต่างกันไป เช่น การสอน
แบบเน้นการวิจัย การเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการวิจัย การสอนแบบวิจัย การเรียนการสอนที่มี
การวิจัยเป็นฐาน และการจัดการเรยี นรูแ้ บบใช้การวิจัยเป็นฐาน เป็นตน้ เสาวนีย์ กานตเ์ ดชารกั ษ์ ได้
ให้ความหมายของการสอนแบบเน้นการวิจัยว่าเป็นการนำแนวคิดการวิจัยมาเป็นพ้ืนฐานในการเรียน
การสอน และผสมผสานวิธีสอนแบบต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้าหาความรดู้ ้วยตนเอง จาก
ตำราเอกสารส่ือต่างๆ คำบอกเล่าของอาจารย์ รวมทั้งจากผลการวิจัยต่างๆ ตลอดจนทำรายงานหรือ
ทำวิจัยได้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ๒๐ ได้ให้คำนิยามของวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีมีการวิจัย
เป็นฐานไว้ว่า เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Research for Learning Development) ซ่ึงเป็น
การบูรณาการการจดั การเรียนการสอนโดยใช้การวิจยั เปน็ ส่วนหนงึ่ ของการเรียนรู้
ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา อดีตอธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวไว้ใน
หนังสือช่ือ “การศึกษาที่มีการวิจัยเป็นฐาน” ว่าการวิจัยนั้นเป็นเคร่ืองมืออย่างหน่ึงท่ีสามารถสร้าง
คุณลักษณะหลายอย่างที่การศึกษาต้องการได้ การวิจัยสามารถปรับเปล่ียนบุคคลให้ต้ังอยู่บน
ฐานขอ้ มูลและเหตุผล มวี ิจารณญาณ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ สรา้ งสรรค์และเกดิ นวัตกรรมได้๒๑ ขน้ั ตอน
๑๙ พิชญส์ ินี ชมพูคำ, การเรียนโดยใช้การวจิ ยั เป็นฐาน, (เอกสารประกอบการอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ
เรอื่ งวจิ ัยในช้นั เรียน หน่วยศกึ ษานิเทศกก์ รมสามญั ศกึ ษา เขตการศกึ ษา ๘, เชียงใหม,่ ๒๕๔๔), หน้า ๒๗.
๒๐ กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ, การวจิ ัยเพื่อพฒั นาการเรียนร้ตู ามหลักสตู ร การศกึ ษาขั้น
พ้ืนฐาน, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๗.
๒๑ จรัส สุวรรณเวลา, การศกึ ษาที่มวี ิจัยเป็นฐาน, ปาฐกถาพเิ ศษเน่อื งในโอกาสวันสถาปนาคณะครุ
ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ครัง้ ท่ี ๑๗, ๒๕๔๕.
๑๑๒
114
ของการวิจัยไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงความรู้ การประเมินความเชื่อถือได้ของความรู้ การตีค่า ความ
อสิ ระทางความคิดและเป็นตัวของตวั เองย่อมนำมาใช้เป็นเคร่ืองมือของการเรยี นรู้ได้ท้ังสิน้
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเติม ได้ให้ความ หมายเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้
แบบใช้การวิจัยเป็นฐานไว้ว่า เป็นการสอนเนื้อหาวิชา เร่ืองราว กระบวนการ ทักษะและอื่นๆ โดยใช้
รูปแบบการสอนชนิดท่ีทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เน้ือหา หรือสิ่งต่างๆ ท่ีต้องการสอนน้ัน โดยอาศัย
พื้นฐานกระบวนการวจิ ัย๒๒
อาชัญญา รัตนอุบล ได้ให้ความหมายว่า เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสนับสนุนให้
นักเรียนใช้การวิจัยเพ่ือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในเร่ืองท่ีตนสนใจ หรือต้องการแก้ไขปัญหาที่
เกิดข้ึนภายใต้ขอบเขตเนื้อหาท่ีเรียน๒๓ โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกการคิดและจัดการหา
เหตุผลในการตอบปัญหาตามโจทย์ที่นักเรียนต้ังไว้ โดยการผสมผสานองค์ความรู้แบบสหวิทยาการ
และศกึ ษาจากสถานการณ์จริง
อมรวิชช์ นาครทรรพ ได้ให้ความหมาย ของการสอนแบบวิจัยไว้ว่า เป็นกระบวนการ
เรยี นการสอนท่เี นน้ ให้ผเู้ รียนเรยี นรูจ้ ากการศึกษาค้นคว้าและ ค้นพบข้อเทจ็ จรงิ ต่าง ๆ ในเร่อื งท่ีศึกษา
ดว้ ยตนเองโดยอาศัยกระบวนการวจิ ัยอยา่ งเปน็ ระบบเปน็ เครอ่ื งมือสำคญั ๒๔
ทิศนา แขมมณี ที่ได้นิยามไว้ว่า เป็นการจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ใหม่หรือคำตอบท่ีเช่ือถือได้โดยใช้กระบวนการสืบสอบในศาสตรท์ ่ี
เก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีศึกษาวิจัยในการดำเนินการสืบค้น พิสูจน์ทดสอบ เก็บรวบรวมและวิเคราะห์
ข้อมูล๒๕
๒๒ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเติม, “การสอนแบบ Research-Based Learning”, ใน
แบบแผนและเครื่องมือวิจัยทางการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า
๔๘๓.
๒๓ อาชัญญา รัตนอุบล, “การสอนแบบเนน้ การวิจัยโดยใช้ สัญญาแห่งการเรยี นรู้” ในการเรียนการ
สอนท่ีมีการวจิ ยั เป็นฐาน, (กรุงเทพมหานคร : คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หนา้ ๖๑.
๒๔ อมรวิชช์ นาครทรรพ, “เรียนรู้คู่วิจัย : กรณีการสอนด้วยกระบวนการวิจัยภาคสนามวิชา
การศึกษากับสังคม คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”, ในการเรียน การสอนท่ีมีการวิจัยเป็นฐาน,
(กรงุ เทพมหานคร : คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หนา้ ๓๘.
๒๕ ทิศนา แขมมณี, การจัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้,
(กรงุ เทพมหานคร : สำนักวิจยั และพฒั นาการศึกษา, ๒๕๔๘), หนา้ ๒๗.
๑๑๓
115
สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน หมายถึง การนำกระบวนการวิจัย
หรอื ผลการวิจยั มาเปน็ พ้ืนฐานในการจดั การเรียนรู้หรอื นำเอากระบวนการวิจัยมาเปน็ เคร่ืองมอื ในการ
แสวงหาความรู้ เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะกระบวนการวิจัยและการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองโดย
ผู้สอนหรือครูใช้วิธีการสอนที่หลากหลายอันนำไปสู่การสร้างคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ให้เกิดข้ึนกับ
ผู้เรียน ลักษณะของการจัดการศึกษาแบบใช้การวิจัยเป็นฐาน มีดังนี้ คือหลักการที่ ๑ แนวคิด
พื้นฐาน เปลย่ี นแนวคดิ จาก “เรียนรโู้ ดยการฟงั /ตอบให้ถูก” เปน็ “การถาม/หาคำตอบเอง” หลักการ
ท่ี ๒ เป้าหมาย เปลี่ยนเป้าหมายจาก “การเรียนรู้โดยการจำ/ทำ/ใช้” เป็น “การคิด/ค้น/แสวงหา”
หลักการที่ ๓ วิธีสอน เปลี่ยนวิธีสอนจาก “การเรียนรู้โดยการบรรยาย” เป็น “การให้คำปรึกษา”
หลักการท่ี ๔ บทบาทผู้สอน เปล่ียนบทบาทผู้สอนจาก “การเป็นผู้ปฏิบัติเอง” เป็น “การจัดการให้
ผเู้ รยี น” ๒๖
๗.๒ รูปแบบการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนแบบใชก้ ารวิจยั เปน็ ฐาน
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเติม ได้เสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้การ
วิจยั เปน็ ฐานไว้ ๔ รปู แบบ๒๗ ไดแ้ ก่
๑. การจดั การเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย คือการให้ผู้เรียนไดฝ้ ึกปฏบิ ัตทิ ำวจิ ัยในระดับ
ต่างๆ เช่น การทำการทดลองในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ การศึกษารายกรณี (Case Study) การ
ทำโครงงาน การทำวิจัยเอกสาร การทำวิจัยฉบับจ๋ิว (Baby Research) การทำวิทยานิพนธ์ เป็นต้น
๒. การสอนโดยให้ผู้เรียนร่วมทำโครงการวิจัยกับอาจารย์หรือเป็นผู้ช่วยในโครงการวิจัย
(Under Study Concept) ในกรณีน้ีผู้สอนต้องเตรียมโครงการวิจัยไวร้ องรับเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสได้
ทำวิจัย เช่น รว่ มเก็บรวบรวมข้อมูล วเิ คราะห์ขอ้ มลู อยา่ งไรก็ตามวธิ ีน้ีจะมีข้อเสียท่ีผู้เรียนไมไ่ ด้เรียนรู้
กระบวนการทำวิจยั ครบถ้วนทกุ ข้นั ตอน
๓. การสอนโดยให้ผูเ้ รียนศกึ ษางานวจิ ัย เพ่ือเรียนรู้องค์ความรู้ หลกั การและทฤษฎีทใ่ี ช้ใน
การวิจัยเรื่องน้ันๆ วิธีการตั้งโจทย์ปัญหา วิธีการแก้ปัญหา ผลการวิจัย และการนำผลการวิจัยไปใช้
และศกึ ษาตอ่ ไป ทำให้ผเู้ รียนเขา้ ใจกระบวนการทำวจิ ยั มากขึน้
๒๖ ไพฑูรย์ สินลารัตน์, “หลักการสอนแบบเน้นการวิจัย (Research-Based Teaching) ใน
ระดับอุดมศึกษา,” ในการเรียนการสอนที่มีการวิจัยเป็นฐาน, (กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๑-๗.
๒๗ สมหวัง พิธิยานวุ ฒั น์ และทัศนยี ์ บุญเตมิ , “การสอนแบบ Research-Based Learning”, ใน
แบบแผนและเคร่ืองมอื วจิ ัยทางการศึกษา, หน้า ๒๘.
๑๑๔
116
๔. การสอนโดยใช้ผลการวิจัยประกอบการสอน เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้ว่า ทฤษฎี
ข้อความรู้ใหม่ๆ ในศาสตร์ของตนในปัจจุบันเป็นอย่างไร นอกจากน้ียังเป็นการสร้างศรัทธาต่อผู้สอน
รวมท้งั ทำให้ผู้สอนไมเ่ กิดความเบ่อื หนา่ ยท่ีตอ้ งสอนเนือ้ หาเดิมๆ ทกุ ปี
ทศิ นา แขมมณี ได้กล่าวถึงแนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการวิจัย
ว่ากระบวนการวิจัยคือวิธีวิจัยเพื่อให้ได้มาซ่ึงผลการวิจัย และผลการวิจัยก็คือผลที่ได้มาจากการ
ดำเนินงาน ดังน้ันแนวทางในการใช้การวิจัยในการเรียนการสอนจึงประกอบด้วยการใช้ผลการวิจัย
และใช้กระบวนการวิจัยในการเรียนการสอน การจัดการศึกษาแบบ RBL นั้นมีรูปแบบการจัด
การศึกษาดังน้ี๒๘
๑. RBL ท่ใี ช้ผลการวิจยั เป็นสาระการเรียนการสอน ประกอบดว้ ย การเรยี นรู้ผลการวิจยั /
ใช้ผลการวจิ ยั ประกอบการสอน การเรียนรจู้ ากการศึกษางานวิจัย/การสงั เคราะห์งานวิจัย
๒. RBL ท่ีใช้กระบวนการวิจัยเป็นกระบวนการเรียนการสอน ประกอบด้วย การเรียนรู้
วิชาวิจัย/วิธีทำวิจัย การเรียนรู้จากการทำวิจัย/รายงานเชิงวิจัย การเรียนรู้จากการทำวิจัย/ร่วมทำ
โครงการวิจัย การเรียนรู้จากการทำวิจัย/วิจัยขนาดเล็ก และการเรียนรู้จากการทำวิจัย/วิทยานิพนธ์
อย่างไรก็ตามพบว่ารูปแบบท่ีมีผู้นำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนกันอย่างแพร่หลาย
ในสถานศึกษา ต่างๆ ได้แก่ การนำผลการวิจัยมาใช้สนับสนุนเน้ือหาวิชาและการใช้กระบวนการวิจัย
เปน็ กระบวนการเรียนการสอน
๗.๓ ประโยชนจ์ ากการจัดการเรยี นการสอนโดยใชก้ ารวิจัยเปน็ ฐาน
เน่อื งจากการวิจยั เป็นกระบวนการในการแสวงหาความรหู้ รือขอ้ เท็จจริงโดยมจี ุดมุ่งหมาย
ท่ีแน่นอน เม่ือนำไปใช้ในระดับมหาวิทยาลัยจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างอิสระ ซ่ึง
สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของปรยี นันท์ สิทธจิ นิ ดา ท่ีกล่าวไว้ว่าการเรียนแบบใช้วิจัยเปน็ ฐานนช้ี ่วยกระตุ้น
ให้ผเู้ รยี นสนใจวชิ าที่เรยี นมากขนึ้ ทำให้ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนในวิชาน้ันสูงขึ้น เพราะเปน็ การเรียนที่
ไม่น่าเบ่ือ ไม่จำเจ สนุกสนาน ได้เผยศักยภาพของตนเอง๒๙ แต่ท่ีสำคัญกว่าน้ันคือเป็นการ
เปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ เปลี่ยนมุมมอง/ทัศนะของบุคคลให้คิดเป็น มีคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งแตกต่าง
จากการเรยี นแบบอื่นๆ การเรยี นแบบนี้นำไปส่กู ารเปล่ยี นแปลง สรุปได้ดงั นี้คอื
๑) เปลย่ี นรูปแบบจาก Teaching-Based เป็น Learning-Based
๒) เปลย่ี นลักษณะการเรียนจาก Passive เป็น Active
๒๘ ทิศนา แขมมณ,ี การจัดการเรยี นรโู้ ดยผเู้ รียนใช้การวิจยั เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้,
หน้า ๒๘.
๒๙ ปรียนันท์ สิทธจิ ินดา, ปรบั การเรยี นเปล่ียนการสอนด้วยวิจยั นอกช้ันเรียน. ออนไลน์ สืบค้นโดย
http://www.node.rbru.ac.th/article/article31.pdf(2552), (๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔).
๑๑๕
117
๓) เปลี่ยนจากวชิ าเป็นปญั ญา
๔) นักศกึ ษาได้เรยี นรู้ (Learning) มากกว่าการรู้ (Knowing)
๕) ไดเ้ ปลี่ยนแปลงตวั นกั ศึกษาโดยใช้งานวจิ ยั เปน็ วถิ ีของการเรียนรู้
อำรุง จันทวานิช ได้สรุปประโยชน์ของการจัดเรียนการสอนที่มีการวิจัยเป็นฐาน ไว้
ดังนี้๓๐
๑. ประโยชน์ต่อผู้เรียน โดยผู้เรียนได้รับการพัฒนาการเกิดทักษะการใช้การวิจัยในการ
แสวงหาความรู้ เรียนรู้ทฤษฎี แนวคิด หลักการและข้อค้นพบท่ีมีความหมายมีความเท่ียงตรง รู้จัก
วิเคราะห์ปัญหา การวางแผนการแก้ปัญหาหรือการพัฒนา เก็บรวบรวมข้อมูล สรุปผลนำผลการวิจัย
ไปประยุกต์ใช้ นอกจากน้ี ผู้เรียนมีโอกาสได้รักการพัฒนาทักษะการคิด (Thinking Skills) ทักษะการ
แก้ปัญหา (Problem Solving and Resolution Skills) ทักษะการบริหารจัดการเวลา (Time
Management Skills) ทักษะการส่ือสาร (Communication Skills) ทักษะประมวลผล (Computer
Skills) และทักษะการเรยี นรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning Skills)
๒. ประโยชน์ต่อครู ทำให้ครูมีการวางแผนทำงานในหน้าที่ของตนอย่างเป็นระบบ ได้แก่
วางแผนการสอน ออกแบบกิจกรรมโดยให้ผู้เรียนใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ที่
เหมาะสมกับผู้เรียน ประเมินผลการทำงานเป็นระยะโดยมเี ป้าหมายชัดเจนวา่ จะทำอะไรเม่ือไร เพราะ
อะไร และทำใหท้ ราบผลการกระทำว่าบรรลเุ ป้าหมายไดอ้ ย่างไร
๓. ประโยชน์ต่อวงการการศึกษา ซ่ึงผลของการจัดเรียนการสอนที่มีการวิจัยเป็นฐาน
สามารถนำมาเป็นข้อมูลในการแลกเปล่ียนการเรียนรู้ของครู เกยี่ วกับวิธีการจัดการการเรียนการสอน
เพื่อพัฒนาผเู้ รียนท่ีครูแต่ละคน ซึ่งครูแต่ละคนสามารถจะประยุกต์และนำไปใช้เพ่ือพัฒนาการจัดการ
เรียนการสอนของครอู ย่างต่อเนอ่ื ง
สรุปได้ว่า การเรียนการสอนโดยใช้การวิจัยเป็นฐานช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักวิธีการแสวงหา
ความรู้ จนกระทงั่ สามารถนำไปใชใ้ นการค้นควา้ หาความรทู้ ี่มีอย่รู อบตัวและเกิดข้ึนได้ตลอดเวลา หรือ
เรยี กวา่ เป็นการศกึ ษาตลอดชวี ติ ผเู้ รียนจงึ ต้องเรยี นรทู้ ่จี ะแสวงหาความรู้ไดด้ ้วยวิธีการของตนเอง การ
เรียนรู้ท่ีตัวเนื้อหาแต่อย่างเดียวจึงไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของการเรียนการสอนในยุคปฏิรูปการศึกษา
อีกตอ่ ไป
๓๐ อำรุง จันทวานิช, “ปาฐกถาพิเศษเร่ืองนโยบายส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนโดยผู้เรียนใช้
การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้,” ในการเรียนการสอนโดยผู้เรียนใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการเรียนร,ู้ (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๘), หนา้ ๘-๑๐.
๑๑๖
118
สรปุ
การจัดการศึกษาไทยในศตวรรษที่ ๒๑ จะประสบความสำเร็จได้จะต้องอาศัยการ
เปลี่ยนแปลงแนวคิด รูปแบบความคิด ทฤษฎีและวิธีการ มาตรฐานในการปฏิบัติงานของครู โดยเร่ิม
จากการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์เก่าไปส่กู ระบวนทัศน์ใหม่ มุ่งพฒั นาทักษะท่จี ำเป็นสำหรับผู้เรยี น
ในศตวรรษท่ี ๒๑ ซึ่งเป็นความท้าทายของครูในศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยเช่นกัน และการเปลี่ยนแปลง
กระบวนทัศน์ใหม่นี้ ประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากเทคโนโลยีดิจิตอลกับเครือข่ายสังคมออนไลน์
ส่งผลให้ครูไทยจะต้องเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้กระจายความรู้ไปเป็นผู้ประพันธ์การเรียนรู้ และ
ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเปลี่ยนสารสนเทศเป็นความรู้ และเปลี่ยนความรู้เป็นภูมิปัญญาได้ ดังน้ัน การ
ผลิตและพัฒนาครูยุคใหม่จะต้องปฏิรูปแนวคิด หรือกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษาให้สอดคล้องกับ
ลักษณะของผู้เรียนในยุคดิจิตอล ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑
เป็นสงั คมยคุ นวตั กรรม (innovation society) ที่ม่งุ เน้นให้คนมีความสามารถในการผลิตความรู้และ
สร้างนวัตกรรมมาใช้เพ่ือแก้ปัญหาของตนเองและพัฒนาประเทศได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบวนทัศน์เก่า
และกระบวนทัศนใ์ หม่มคี วามแตกต่าง
กระบวนทัศน์ใหม่ของการสอนสังคมศึกษาเป็นแนวคิดใหม่ทางการศึกษาในศตวรรษที่
๒๑ ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกและได้เห็นคุณค่าของความ
เป็นมนุษย์ ตลอดจนให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สามารถปรับตัวและทำงาน
ร่วมกันกับคนอ่ืนได้ โดยมีทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการจัดการและ
การใชเ้ ทคโนโลยีดจิ ิตอลเป็นเครื่องมอื ในการเรียนรู้ เพ่ือก่อให้เกดิ ประโยชนต์ ่อส่วนรวมไดอ้ ย่างสูงสุด
ทำให้สถาบันการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษาในการผลิตและพัฒนาการ
สอนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิตอล (Digital technology) ซ่ึงมีความสำคัญ
มากในปัจจุบัน และการเรียนการสอนจะต้องใช้การวิจัยเป็นฐานช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักวิธีการแสวงหา
ความรู้ จนกระทัง่ สามารถนำไปใชใ้ นการคน้ ควา้ หาความร้ทู ่มี ีอยู่รอบตัวและเกดิ ขึน้ ได้ตลอดเวลา หรือ
เรียกวา่ เป็นการศึกษาตลอดชีวติ
๑๑๗
119
เอกสารอ้างองิ ประจำบท
๑. ภาษาไทย
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. การวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตร การศึกษาข้ัน
พ้นื ฐาน.กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๕.
กระทรวงศึกษาธิการ. ปรับกระบวนทัศน์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง
ประเทศไทย, ๒๕๔๘.
กระทรวงศึกษาธกิ าร. พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรงุ เทพมหานคร : องค์การ
รบั สง่ สนิ ค้าและพัสดภุ ัณฑ์, ๒๕๔๒.
จรัส สุวรรณเวลา. การศึกษาที่มีวิจัยเป็นฐาน. ปาฐกถาพิเศษเนื่องในโอกาสวันสถาปนาคณะครุ
ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ครง้ั ท่ี ๑๗, ๒๕๔๕.
ชยั วัฒน์ ถริ ะพันธุ์. ทฤษฎีไร้ระเบยี บ : ทางแพร่งของสังคมสยาม. กรงุ เทพมหานคร : คบไฟ, ๒๕๓๗.
ทิศนา แขมมณี. การจัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้.
กรงุ เทพมหานคร : สำนักวิจัยและพัฒนาการศึกษา, ๒๕๔๘.
ประเวศ วะสี. วิถีมนุษย์ในศตวรรษท่ี ๒๑ สู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนา. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิ
สดศรี - สฤษดิว์ งศ,์ ๒๕๔๕.
ปรียนันท์ สิทธิจินดา. ปรับการเรียนเปล่ียนการสอนด้วยวิจัยนอกชั้นเรียน. ออนไลน์ สืบค้นโดย
http://www.node.rbru.ac.th/article/article31.pdf(2552), (๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔).
พิชญ์สินี ชมพูคำ. การเรียนโดยใช้การวิจัยเป็นฐาน. เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการเร่ือง
วิจัยในช้ันเรียน หน่วยศึกษานิเทศก์กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา ๘. เชียงใหม่,
๒๕๔๔.
พิณสุดา สิริธรังศรี. การกระจายอำนาจทางการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร : ม.ป.ท., ๒๕๔๒.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์. “หลักการสอนแบบเน้นการวิจัย (Research-Based Teaching) ใน
ระดับอุดมศึกษา”. ในการเรียนการสอนที่มีการวิจัยเป็นฐาน. กรงุ เทพมหานคร : คณะครุ
ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗.
รักษิต สุทธิพงษ์. กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษากับการพัฒนาครูไทยในยุคดิจิตอล. วารสาร
ศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร. ปีที่ ๑๙ ฉบับท่ี ๒ เมษายน – มิถนุ ายน ๒๕๖๐.
ราชบัณฑิตสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร : นานมี
บคุ ส์พบั ลเิ คช่ัน, ๒๕๔๒.
๑๑๘
120
วิโรจน์ สารรัตนะ. กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษากรณีทัศนะต่อการศึกษาศตวรรษที่ ๒๑.
กรงุ เทพมหานคร : ทิพยวสิ ุทธ์ิ, ๒๕๕๖.
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเติม. “การสอนแบบ Research-Based Learning”, ในแบบ
แผนและเคร่ืองมือวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.
สำนักงานปฏิรุปการศึกษา. แนวทางการบริหารและการจัดการศึกษาในเขตพ้ืนที่การศึกษาและ
สถานศกึ ษา, กรงุ เทพมหานคร : สำนักงานปฏิรปู การศกึ ษา, ๒๕๔๕.
สริ ิลักษณ์ ยิ้มประสาทพร. กระบวนทศั นใ์ หมก่ ับการเรียนรู้ของชุมชน, กรุงเทพมหานคร : โครงการ
เสริมสร้างการเรยี นร้เู พอื่ ชมุ ชนเปน็ สขุ , ๒๕๔๘.
เสรี พงศ์พิศ. ฐานคิดจากแผนแม่บทสู่วิสาหกิจชุมชน. กรุงเทพมหานคร : ร้านรังสีการพิมพ์,
๒๕๔๗.
อมรวิชช์ นาครทรรพ. “เรียนรู้คู่วิจัย : กรณีการสอนด้วยกระบวนการวิจัยภาคสนามวิชา
การศึกษากบั สังคม คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”. ในการเรียนการสอนท่ี
มกี ารวิจยั เป็นฐาน. กรงุ เทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๗.
อาชัญญา รัตนอุบล. “การสอนแบบเน้นการวิจัยโดยใช้ สัญญาแห่งการเรียนรู้” ในการเรียนการ
สอนท่ีมีการวิจัยเป็นฐาน. กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๔๗.
อำรุง จันทวานิช. “ปาฐกถาพิเศษเรื่องนโยบายส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนโดยผู้เรียนใช้การ
วิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้”. ในการเรียนการสอนโดยผู้เรียนใช้การวิจัย
เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว,
๒๕๔๘.
๒. ภาษาองั กฤษ
Capra, Fritjof, "The Concept of Paradigm Shift." Re-Vision, 1,3 (Number): 12-15, 1986.
Daughtrey, A. S., & Ricks, B. R.. Contemporary supervision, managing people and
technology. Singapore: McGraw – Hill, 1965.
Kiatchokchai, P.. The new paradigm of education in the 21st century. Bangkok :
Education Press, 2002.
วิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้”. ในการเรียนการสอนโดยผู้เรียนใช้การวิจัย
เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว,
๒๕๔๘. 121
๒. ภาษาอังกฤษ
Capra, Fritjof, "The Concept of Paradigm Shift." Re-Vision, 1,3 (Number): 12-15, 1986.
Daughtrey, A. S., & Ricks, B. R.. Contemporary supervision, managing people and
technology. Singapore: McGraw – Hill, 1965. ๑๑๙
Kiatchokchai, P.. The new paradigm of education in the 21st century. Bangkok :
Education Press, 2002.
UNESCO as cited in Sujjanun, J. Education and community development in the
21st century. Bangkok : Odeonstore, 2013.
บทที่ ๖
การสอนสงั คมศกึ ษาตามแนวทางพระพุทธศาสนา
ความนำ
การสอนสงั คมศกึ ษาตามแนวทางพระพุทธศาสนานัน้ พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนและชว่ ยเหลือ
สรรพสตั วใ์ ห้พ้นจากความทุกข์และสังสารวัฏ ตัง้ แต่เมอ่ื ครั้งทย่ี ังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ โดยมีจุดเริ่มต้น
มาจากการพิจารณาเห็นความทุกข์ของสรรพสัตว์และโทษภัยของกิเลสและสังสารวัฏ “เราตรัสรู้แล้ว
จะให้ผู้อื่นตรัสรู้ด้วย เราพ้นแล้วจะให้ผู้อื่นพ้นด้วย เราข้ามได้แล้ว จะให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย”
พระพุทธศาสนานบั เป็นสถาบันหลักของสงั คมไทยและเป็นแหลง่ กำเนดิ ทางวัฒนธรรม ประเพณี และ
เป็นวิถีชีวิตของคนไทย จนเป็นเอกลักษณ์และมรดกสำคัญของชาติ การศึกษาตามแนว
พระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาตนที่ได้ผลยั่งยืนโดยการฝึกปฏิบัติตนตามคุณธรรม ๓
ประการ คือ ศลี สมาธิ ปัญญา
การช่วยเหลือสรรพสัตวใ์ นสังคมในครัง้ ที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั้น เกิดจากพระพุทธคุณท่ี
มอี ย่ใู นพระองค์ โดยเฉพาะพระปญั ญาคณุ และพระมหากรุณาธิคณุ ซ่ึงพระพทุ ธองค์สามารถละอวิชชา
ตณั หา และอปุ าทานไดแ้ ลว้ จงึ ทรงมีปญั ญาและกรณุ าเป็นแรงจูงใจในการทำกจิ ต่าง ๆ เพ่ือช่วยเหลือ
สรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์เป็นฉันทะที่มุ่งหวังประโยชน์และความอยู่ดีมีสุขเพ่ื อผู้อื่นและสังคม
พระพุทธองค์ทรงให้ความช่วยเหลือทางด้านจิตใจแก่ผู้ประสบปัญหา หรือความทุกข์โดยเน้นการ
เยียวยาจิตใจเพื่อใหบ้ คุ คลเหล่านัน้ พน้ จากความทกุ ข์ ความโศกเศรา้ และมคี ุณธรรมในจิตทีพ่ ัฒนาข้ึน
จนกระท่งั เกดิ ดวงตาเห็นธรรม เป็นอริยบคุ คล เปน็ การบำเพญ็ พุทธกิจทางดา้ นปญั ญา การท่ีพระพุทธ
องค์ทรงใหค้ วามชว่ ยเหลือโดยเน้นการส่งเสรมิ หรือพัฒนาจิตใจให้เจรญิ ยง่ิ ๆ ขึ้น จนกระทงั่ เกิดปัญญา
รู้แจ้งสัจธรรม เปน็ พระอริยบุคคลพ้นจากกเิ ลสและความทุกข์
๑๒๑
124
๑. แนวคดิ เกี่ยวกับพระพทุ ธศาสนา
พระพุทธศาสนาไดเ้ ข้ามาประดษิ ฐานและมีความมั่นคงในสงั คมไทยมานานแล้ว นับตั้งแต่
สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา พระพุทธศาสนานับเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยและเป็นแหล่งกำเนิดทาง
วัฒนธรรม ประเพณี และเป็นวิถีชีวิตของคนไทย จนเป็นอกลักษณ์และมรดกสำคัญของชาติ รวมทั้ง
ด้านศาสนบุคคล ศาสนธรรม ศาสนวัตถุ-สถาน และศาสนพิธี การศึกษาตามแนวพระพุทธศาสนา
เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาตนท่ีได้ผลยั่งยนื ยาวนานโดยการฝึกปฏบิ ัตติ นตามคุณธรรม ๓ ประการ คือ
ศลี สมาธิ ปัญญา เพือ่ เป็นผ้ทู ่มี คี วามรู้ดี รูจ้ รงิ รแู้ จ้ง และมีความประพฤติดี
๑.๑ ความสำคญั ของพระพุทธศาสนา
ศาสนาเป็นสถาบันทางสังคมที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นระบบความ
เช่อื และหลักปฏิบัติท่ีมีปรากฏอยู่ในทุกสงั คม สำหรับประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจำ
ชาติ
๑) ความหมายของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรง
ตรัสสอนไว้เป็นหลักคำสอนสำคัญ มีพุทธบริษัท ๔ ซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาและศึกษาปฏิบัติ ตนตาม
คำสั่งสอนของพระศาสดา และเพอ่ื สบื ทอดพระธรรมแห่งพทุ ธศาสนา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน กล่าวไว้ว่า "พุทธ" แปลว่า ผู้ตรัสรู้ ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิก
บานแล้วใช้เฉพาะพระนามของพระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาเรียกเป็นสามัญว่าพระพุทธเจ้า
ดังนั้น พระพทุ ธศาสนาจงึ ไดช้ ่ือวา่ ศาสนาของผ้รู ู้ ผู้ต่ืน ผูเ้ บกิ บาน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีหลัก
เหตุผล ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและปัจจัยเป็นศาสนาที่ผู้นับถือศรัทธาต้องประพฤติปฏิบัติตามหลัก
ธรรมะด้วยตนเอง๑
พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ไดใ้ ห้ความหมายของพระพุทธศาสนาไว้ว่า พุทธศาสนาเป็นคำส่ัง
สอนของพระพุทธเจา้ อยา่ งกวา้ งในบดั น้ี หมายถึง ความเช่ือถอื การประพฤตปิ ฏบิ ัติและกจิ การทั้งหมด
ของหมูช่ นผูก้ ลา่ ววา่ ตนนบั ถือพระพุทธศาสนา๒
๑ ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน, (กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทศั น์,
๒๕๔๒), หน้า ๗๙๕.
๒ พระพรหมเวที (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ มหาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลัยม, (กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธาการพมิ พ,์ ๒๕๓๑), หนา้ ๑๙๔.
๑๒๒
125
พุทธทาสภิกขุ กล่าวถึง ความหมายของพระพุทธศาสนาว่า คือวิชารวมทั้งระเบียบปฏิบตั ิ
สำหรับจะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริง ๆ แล้ว เราย่อมไม่ปฏิบัติผิดต่อสงิ่
ทงั้ ปวง แต่ย่อมปฏบิ ตั ถิ ูกต่อสิง่ ท้ังปวง เมือ่ ปฏบิ ตั ถิ กู ตอ่ ส่งิ ทงั้ ปวงแล้ว ก็เป็นอนั ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้น
ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรายังไม่รู้จักสิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่มันเป็นจริงว่ามันเป็นอะไร เราจึงปฏิบัติผิดต่อสิ่ งทั้ง
ปวง ไม่มากก็น้อย ความทุกข์ก็เกิดขึ้นตามส่วน ตัวอย่างเช่น ไม่รู้จักชีวิตเป็นอะไร หน้าที่การงานคือ
อะไร เราย่อมปฏบิ ตั ผิ ิดตอ่ ส่ิงเหลา่ น้ี และความทกุ ข์กต็ ้องเกิดขน้ึ ตามสว่ นท่ีไมร่ ู้ การทร่ี ู้ว่าสงิ่ ทั้งปวงคือ
อะไรนนั้ เป็นเครื่องชว่ ยใหเ้ ราปฏบิ ตั ถิ กู ตอ่ สง่ิ ท้ังปวงโดยตรง๓
ปิ่น มุทุกันต์ ได้ให้ความหมายของพระพุทธศาสนาไว้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของ
พระพุทธ พระธรรม หมายถึงผู้ได้ตรัสรูอ้ ริยสัจอย่างถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งมีขึ้นในโลกเปน็ คร้ังคราว
แล้วทรงสอนหลักธรรมแกม่ วลมนษุ ย์ หลกั ธรรมทั้งสท่ี ที่ รงสอนนัน้ รวมเรียกว่า พระพทุ ธศาสนา๔
กล่าวโดยสรุป พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดที่
รวบรวมไว้ในพระไตรปิฎก เพื่อสั่งสอนให้คนทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
เพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีมหี ลักเหตุผล ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ
และปัจจัย เป็นศาสนาที่ผู้นับถือศรัทธาต้องประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมะด้วยตนเอง
พระพุทธศาสนาได้เข้ามาประดิษฐานและมีความมั่นคงในสังคมไทยมานานแล้ว วัดและพระสงฆ์จึง
เป็นศูนย์กลางและมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะการอบรมสั่งสอนด้านคุณธรรม
จริยธรรมให้แก่พุทธศาสนิกชนพระพุทธศาสนาจึงนับเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยและเป็น
แหล่งกำเนิดทางวัฒนธรรม ประเพณี และเป็นวิถีชีวิตของคนไทย พระพุทธศาสนาจึงเป็นเอกลักษณ์
และมรดกสำคญั ของชาติ สบื จนทกุ วนั นี้
๒) ลักษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา
การที่พระพุทธศาสนาเป็นที่ยึดถือของคนไทยเกือบทั้งประเทศนั้น ทั้งนี้เพราะ
พระพุทธศาสนามีลักษณะเด่นหลายประการ ดังที่ สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้สรุปลักษณะเด่นของ
พระพทุ ธศาสนา ไวด้ งั นี้ ๕
๓ พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ, พุทธปัญญากับการศึกษา สถาบันปัญญานันทะ ในมูลนิธิภิกขุ
ปัญญานันทะ, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๓๘), หน้า ๒๐๑.
๔ ปิ่น มุทุกันต์, ประมวลศัพท์ ๖ ศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : นิตยสารคลังสมอง,
๒๕๓๔), หน้า ๒๒๓.
๕ สุชพี ปุญญานุภาพ, คุณลกั ษณะพิเศษแหง่ พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : องคก์ ารคา้ คุรสุ ภา
,๒๕๐๖), หนา้ ๖-๒๕.
๑๒๓
126
๑) แม้จะตัดความเชื่อในเรื่องฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ออก ก็ไม่ทำให้พระพุทธศาสนา
กระทบกระเทือนอะไรแม้แต่น้อย เพราะพระพุทธศาสนามิได้มีรากฐานอยู่บนอิทธิพลปาฏิหาริย์ หาก
อยู่ทเ่ี หตุผล และคณุ งามความดที พ่ี จิ ารณาเห็นได้จริง ๆ
๒) พระพุทธศาสนาเป็นตัวอย่างแห่งลัทธิประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดของโลก มีหลักการ
และวิธีการอันทันสมัยอยู่จนทุกวันนี้ ในเรื่องนี้เราอาจค้นคว้าได้จากเรื่องวินัยสงฆ์ (วินัยปิฎก) ซึ่งให้
สิทธิเสียงแก่พระภิกษใุ นที่ประชมุ รวมทั้งการไม่แบ่งช้ันคนที่เข้ามาบวช พระสงฆ์ทุกรูปจะตอ้ งเคารพ
กันตามอายกุ ารบวชก่อน-หลงั ไม่มกี ารรงั เกียจ เพราะมาจากฐานะหรือตระกูลต่างกนั
๓) พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกที่ส่งเสริมสทิ ธมิ นุษยชน โดยสอนให้เลิกระบบทาส ไม่
เอามนุษย์มาเป็นสินค้าสำหรบั ซื้อขาย ห้ามไมใ่ หพ้ ระภิกษุมีทาสไว้ใช้ กบั ทงั้ สอนใหเ้ ลิกทาสภายใน คือ
ไมเ่ ปน็ ทาสของความโลภ ความโกรธและความหลง ซ่ึงเกิดขึ้นในใจตนเอง
๔) พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาแรกท่ีสอนให้มนุษย์เลิกดูหม่นิ เหยียดหยามกนั เพราะเร่ือง
ถือชั้นวรรณะ เพราะเหตุชาติและวงศ์สกุลใครจะเกิดในสกุลสูงต่ำ ยากดีมีจนอย่างไร ไม่เป็นประมาณ
ถา้ ตง้ั อย่ใู นศลี ธรรมแล้ว กเ็ ชือ่ ว่าเป็นคนดที ค่ี วรยกย่องสรรเสริญ ถา้ ไม่ตัง้ อยู่ในศลี ธรรม ก็นบั ได้ว่าเป็น
คนพาลอันควรตำหนิ
๕) พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกที่สอนปฏิวัติเรื่องการทำบุญโดยวิธีฆ่าสัตว์ หรือฆ่า
มนุษย์ เพื่อบูชาสงิ่ ศักดิ์สิทธิ์ หรือการทำให้ผ้อู น่ื เดือดร้อน หากสอนให้ทำงานสงั คมสงเคราะห์แทนการ
เบียดเบยี นชวี ิตผู้อื่น ขยายความได้วา่ สอนใหท้ ำบุญทำทานดว้ ยวัตถุ ส่งิ ของ และสอนให้หาทางชำระ
จิตใจให้บริสทุ ธส์ิ ะอาดวา่ เปน็ บุญ
๖) พระพุทธศาสนาสอนให้สู้กบั ความจริงของชวี ิต เชน่ เรอ่ื งเกิด แก่ เจ็บ ตาย และให้เอา
ประโยชน์จากความจริงมาใช้งานให้ได้ คือ ทำให้ตนเองไม่ประมาทในการดำรงอยู่กับความจริง
เหลา่ น้นั
๗) พระพุทธศาสนาสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาเศรษฐกิจ
สอนใหแ้ กค้ วามชว่ั ดว้ ยความดี และสอนให้เริม่ ตน้ ทต่ี นเองก่อนผู้อืน่
๘) พระพุทธศาสนาสอนให้ถือธรรมะ คือ ความถูกต้องตามเหตุผลเป็นประมาณ ไม่สอน
ให้ถอื ตนเองเปน็ ใหญ่ ขยายความไดว้ ่า ในการคิด พดู กระทำสิ่งใด ใหค้ ดิ พจิ ารณาหาเหตุผลตามความ
เปน็ จรงิ ไม่ใหเ้ ข้าขา้ งประโยชน์ของตน
๑๒๔
127
๙) พระพทุ ธศาสนาสอนให้ใชส้ ตปิ ัญญาในการดำรงชวี ิต ใหร้ ู้จักกำจดั ทกุ ข์ โดยพิจารณาท่ี
ต้นเหตแุ ละใหแ้ ก้ไขโดยใช้เหตุผล หมายความว่าให้รบั รู้ไวว้ ่าตนเองมีศักยภาพ คือ ปัญญาท่ีช่วยให้เอา
ตัวรอดได้ ขอเพียงให้รจู้ ัก "คิด" ให้ถูกวธิ ี และมีความเพยี รพยายาม
๑๐) พระพุทธศาสนาสอนให้พึ่งตนเองในการประกอบคุณงามความดี โดยการยกระดับ
แห่งชีวิตของตนให้สูงขึ้น ไม่สอนให้คิดแต่จะเอาดีด้วยการอ้อนวอนบวงสรวง ขอความช่วยเหลือจาก
สิ่งลึกลับ ซึ่งเป็นการปล่อยตนให้ตกอยู่ในอำนาจของผู้อื่น ทำให้ไม่คิดพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าสูงขึ้น
๑๑) พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาเดียวในโลกที่กล้าปฏิเสธตรรกวิทยา (Logic ) ซึง่ ชาวโลก
ถือกันว่าเป็นศาสตร์แห่งศาสตร์ทั้งหลาย (Science of Science) โดยได้เสนอหลักการอย่างอื่นที่สูง
กว่า แน่นอนกว่า พร้อมทง้ั ใหเ้ หตุผลไวอ้ ย่างชดั เจน
๑๒) พรพุทธศาสนามีหลักเกณฑ์และวิธีการในการสั่งสอน ตลอดจนตัวคำสอนเองเป็น
วิทยาศาสตร์มากอ่ นท่วี ิทยาศาสตรข์ องโลกจะเกดิ ขึน้
นอกจากลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนาแล้ว พระธรรมปิฎก (ประยุต ปยุตฺโต) ได้
วิเคราะห์ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับสังคมไทยไว้ในหนังสือเรื่อง “ทางสายอิสรภาพของ
การศึกษาไทย” ว่า “ในทางการศึกษา เมื่อมองโดยภาพรวมพระพุทธศาสนา จัดเป็นวิชาสำหรับการ
เรียนรู้ โดยสถานะหลัก คอื ในฐานะที่เป็นระบบจริยธรรมสำหรบั ประชาชนส่วนใหญ่หรือเป็นแหล่งคำ
สอนของประชากรแทบทั้งหมดของประเทศ ทั้งในด้านวัตถุธรรม และในด้านนามธรรม ซึ่งมีอิทธิพล
ครอบคลุมมากที่สุดอย่างหนึ่งในวิถีชีวิตของสังคม เป็นมาตรฐานการดำเนินชีวิตสำหรับผู้นับถือและ
เปน็ สภาพแวดล้อมอนั กว้างใหญท่ างสังคมสำหรบั ผทู้ ไี่ ด้นบั ถือ”
๒. การศึกษาตามหลกั พระพุทธศาสนา
พระเทพเวที ไดใ้ ห้ความหมายของคำวา่ “ศกึ ษา” ไว้วา่ ศกึ ษาเปน็ คำที่มาจากภาษาสันสกฤต
ถ้าเป็นบาลกี ็คือสิกขา เรียกได้วา่ เป็นคำเดียวกนั ๖ เมอ่ื คำว่าศึกษาแปลวา่ สิกขา เราจะพบว่าสิกขาเป็น
หลักธรรมใหญ่ในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ซึ่งเราเรียกว่า ไตรสิกขา หรือสิกขา ๓ ดังนั้นจึงตอบได้เลย
ว่า หลักการศึกษาในพระพุทธศาสนาก็คือหลักไตรสิกขา หรือไตรสิกขานั่นเอง ซึ่งสิกขาคือหลัก
การศึกษาในพระพุทธศาสนา และสิกขานั้นมี ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หลักสิกขานี้ครอบคลุม
ข้อปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา สิกขาเป็นหลักธรรมภาคปฏิบัติ เมื่อหลักปฏิบัติทาง
๖ พระพรหมเวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ มหาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลัย, (กรุงเทพมหานคร : ดา่ นสุทธาการพมิ พ์, ๒๕๓๑), หนา้ ๓-๘.
๑๒๕
128
พระพุทธศาสนาทั้งหมดอยู่ในไตรสิกขา ก็กล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาแห่งการศึกษา
เรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรอื่ งของการศึกษาท้งั สิน้
อกี คำหนึ่งท่ีใช้กนั มากคือ ภาวนา แปลว่า การฝึกฝน อบรม การทำให้เกดิ ใหม้ ี ให้เป็น ให้
เจริญขึ้น เป็นความหมายหนึ่งของการปฏิบัติหรือกระบวนการปฏิบัติและอีกคำหนึ่งคือ ทมะ แปลว่า
การฝึกฝน โดยมากใช้บรรยายคุณสมบัติของบุคคลว่า คนที่ฝึกฝนดีแล้วจะเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่
มนุษย์ทั้งหลาย ดังคำบาลีที่กล่าวว่า ทนฺโต เสฎโฐ มนุสฺเสสุ ในบรรดามนุษย์ทั้งหลายนั้น ผู้ที่ฝึกแล้ว
เป็นผู้ประเสริฐสุด ถ้าแปลอย่างภาษาสมยั ใหม่คอื คนที่ประเสริฐสดุ ในหมูม่ นษุ ย์ก็คือคนท่ีมีการศึกษา
คำว่าสิกขา ทมะ และภาวนา จึงมีความหมายใช้แทนกันได้ทั้งหมด ดังนั้น การที่ได้มาพูดถึงเรื่อง
การศกึ ษาจงึ เปน็ การเข้าสเู่ ร่อื งของพระพุทธศาสนาโดยตรง
พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ ได้กล่าวถึง ความหมายของการศึกษา โดยพิจารณาจาก
กระบวนการและวธิ กี าร การศกึ ษา หมายถงึ กระบวนการฝกึ อบรมกาย วาจา ใจ เพือ่ ก่อใหเ้ กิดปัญญา
เปา้ หมายการศึกษา อย่ทู ีก่ ารดำรงชวี ิตอย่างมีความสุข พระพทุ ธเจ้าตรัสว่า การไดป้ ญั ญาเปน็ ความสุข
ทั้งนี้เพราะเมื่อมีปัญญาแล้วสามารถใช้แก้ปัญหา ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมได้ เมื่อชีวิตดำรงอยู่
อย่างไร้ปัญหา ความสุขก็เกิดขึ้น ดังที่ท่านพุทธทาส กล่าวถึงการศึกษาวา่ การศึกษา คือ การขาดเสยี
ซึ่งสัญชาตญาณอย่างสัตว์ หมายถึง การทำลายความรู้สึกใฝ่ต่ำที่คอยครอบงำใจ ให้มนุษย์แสดง
พฤติกรรมของตนออกมา โดยปราศจากการควบคุมใด ๆ ซึ่งลักษณะอาการคล้าย ๆ กับสัตว์ หรืออีก
นัยหนึ่ง ท่านกล่าวว่า การศึกษา คือ กระบวนการที่ทำให้รอด กล่าวคือ ในฝ่ายกาย คนจะอยู่รอด
เพราะมีสัมมาชีพ ในฝ่ายจิต รอดพ้นจากการเผาผลาญของเพลิงกิเลส สังคมรอดพ้นจากการ
เบียดเบียน เพราะท่านกล่าวว่า การศึกษา คือ เครื่องมือลดความเห็นแก่ตัว เมื่อความเห็นแก่ตัวลด
จนกระทั่งไม่มีความเหน็ แก่ตัว สังคมก็เป็นระเบียบเรยี บร้อย ไม่มีการกระทบกระทั่ง รอดพ้นจากการ
เบียดเบียนกนั
นอกจากนั้น พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ ยังได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาไว้ในอีก
หลายความหมาย เป็นต้นว่า
หลกั การศึกษาท่ีสมบูรณใ์ นทศั นะของทา่ นพทุ ธทาส ก็จะมีองคป์ ระกอบ ๓ ประการ คอื มี
ความฉลาด และมเี ครื่องมือควบคุมความฉลาด เพอ่ื ใหใ้ ช้ความฉลาดอยา่ งถูกต้อง มีวิชาชีพและอาชีพ
เพียงพอต่อการดำรงชพี มมี นุษยธรรม คือ ความเป็นมนษุ ยธรรม คอื ความเป็นมนุษยธรรมต้องพอตัว
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี นักการศึกษาไทยคนสำคญั ที่จุดประกายความคิด ในอันท่ี
จะนำเอาพุทธธรรมมาเป็นแนวคดิ หลักในการจัดการศึกษาไทย ได้ให้คำจำกัดความว่าคำว่าการศึกษา
เอาไว้ว่า "การศึกษาคือ ความเจริญของขันธ์ ๕ เพื่อว่า อกุศลมูลจะได้เบาบางลง" หมายความว่า
๑๒๖
129
มนุษย์มีส่วนประกอบสองประการคือ กายกับจิต หรือ นามกับรูป ก็คือส่วนกาย และมีองค์ประกอบ
ดา้ นความรูส้ กึ ที่เป็นนามทางจิตประกอบดว้ ย เวทนาความร้สู กึ สญั ญารู้จำ สังขารรู้คิด วญิ ญาณรู้รอบ
เมื่อทุกส่วนรวมกันเรียกว่า ขันธ์ ๕ การศึกษาก็คือ การพยายามที่จะรักษาขันธ์ให้บริสุทธิ์ เป็นอิสระ
จากการครอบงำของโลภะ โทสะ โมหะ หรือความเศร้าหมองประเภทอืน่ ๆ ที่จะทำลายอิสรภาพของ
ขันธ์ ๕ จุดหมายปลายทางของการศึกษาตามนัยนี้ก็คือ อิสรภาพของชีวิต อันจะมีผลเป็นความสุข
สงบเย็น๗
กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก๘ ได้ให้ความหมายของการศึกษาแนว
พระพุทธศาสนาไว้ คือ ไตรสิกขาจะนำพาผู้ศึกษาให้รู้ทันโลกและชีวิต จะนำผู้ศึกษาให้เป็นคนเก่งท่ี
โลกตอ้ งการ ๕ ประการ คอื เกง่ งาน เกง่ คน เกง่ ดี เกง่ คิด และเกง่ ดำเนนิ ชวี ิต
เกง่ ดำเนนิ ชวี ิต คือจุดประสงค์ของการศึกษา คนเก่งดำเนินชีวิตต้องเข้าใจคนอ่ืน ต้องเห็น
ใจคนอน่ื ต้องมคี วามจริงใจต่อคนอ่นื ต้องเอาใจคนอนื่ มาใสใจตน จะเห็นวา่ คนเกง่ ในการดำรงชีวิต ท้ัง
ชีวิตของเขามีแต่คนอื่น ตัวของเขาเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เมื่อให้หมด สละหมด ในที่สุดจะได้มา
ทงั้ หมด คอื น้ำใจจากปวงชนได้ความรักจากปวงชน ไดค้ วามภกั ดชี วั่ นริ นั ดร์
ดังนั้น การศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนาจึงหมายถึง การปฏิบัติ คือ เป็นทั้งศาสตร์คือ
หลักการ ทฤษฎี และศิลป์ คือการปฏิบัติ การนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ผู้มีการศึกษาใน
หลักการนจี้ ะมบี ุคลิกภาพปรากฏเดน่ ชัด ๓ ประการ คือ
๑) ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมเปน็ อยา่ งตำ่
๒) ดำรงตนในกุศลกรรมบถ ๑๐ เปน็ อย่างกลาง
๓) ฟอกจติ ของตนใหบ้ รสิ ุทธหิ์ ลดุ พน้ จากกเิ ลสเปน็ อย่างสงู
สุมน อมรวิวัฒน์๙ ได้กล่าวถึงสาระของการศึกษาตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาว่า
การศึกษาได้เริ่มขึ้นเมื่อบุคคลเกิดความเห็นและมีความรู้สึกว่าตนมีความจำเป็นจะต้องเรียนรู้และ
เข้าใจธรรมชาติอันเป็นความจริงของชีวิตนั้นคือต้องการรู้ “อะไร” ต่อจากนั้นผู้ศึกษาจะต้องฝึกฝน
ตนเองดว้ ยการปฏิบัติจริงทั้งกาย วาจา ใจ ดว้ ยการใช้สติปัญญาประกอบตลอดกระบวนการเพื่อจะได้
๗ พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ, พุทธปัญญากับการศึกษา สถาบันปัญญานันทะ ในมูลนิธิภิกขุ
ปญั ญานนั ทะ, (กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, ๒๕๓๘), หน้า ๔๐-๔๓.
๘ กรมยุทธศึกษาทหารบก กองอนุศาสนาจารย์, พุทธศาสตร์ ฉบับก้าวหน้า, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๙.
๙ สุมน อมรวิวัฒน์, การสอนโดยสร้างการศรัทธาและโยนิโสมนสิการ, คณะครุศาสตร์จุฬาลงกร
มหาวิทยาลัย, (กรุงเทพมหานคร : โครงการตำราคณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๐), หนา้ ๒๒-๒๔.
๑๒๗
130
บังเกิดผลคือความรู้แจ้งถึงวิธีการที่จะเข้าถึงธรรมชาติอันเป็นความจริงของชีวิต นั่นคือ เกิดความรู้
ความเข้าใจด้วยตนเองถึงเรื่องของ "อย่างไร" ซึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยการฝึกฝน ต่อจากนั้น
พุทธศาสนิกชนที่แท้จริงก็จะศึกษาต่อไปถึงผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้น โดยการคิดวิเคราะห์ว่าผล
ของการปฏิบัตินั้นคืออะไร มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ไม่ดีอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ควรละทิ้ง และ
อะไรคือสิ่งท่คี วรเพิ่มพูนให้เจริญงอกงามขึน้ อานิสงส์ของการปฏิบัติอันเป็นผลท่ีเกดิ ขึ้นแก่บุคคลนี้เอง
เป็นอดุ มการณ์อนั สูงสุดของการศึกษาตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา
สาระสำคญั ของการศึกษาตามนยั แห่งพระพุทธศาสนา จงึ ครอบคลุมการเรียนรู้ ๓ ประการ ท่ี
เรียกว่าพระสัทธรรม ๓ (ธรรมะอันด)ี ดังแผนภูมติ ่อไปน้ี๑๐
แผนภาพท่ี ๖.๑ : พระสัทธรรม ๓ (ธรรมะอันดี)
พระสัทธรรม ๓
ปริยัติ ปฏบิ ตั ิ ปฏิเวธ
- พระวนิ ัย - ศลี - มรรค
- พระสูตร - สมาธิ - ผล
- พระอภธิ รรม - ปัญญา - นิพพาน
ดังนั้น การศึกษาตามแนวพระพุทธศาสนาคอื การพัฒนาตนเพ่ือให้พน้ จากความเปน็ ทกุ ข์
สามารถแก้ปญั หาได้ด้วยตนเอง และให้มคี วามเจริญไปในทางทพ่ี ่ึงประสงค์ โดยการฝกึ ปฏิบัติตนตาม
คุณธรรม ๓ประการ คอื ศีล สมาธิ ปญั ญา เพ่อื เปน็ ผทู้ ม่ี คี วามร้ดู ี รู้จริง รแู้ จง้ และมคี วามประพฤติ ละ
ความโลภ โกรธ หลง ตลอดจนให้ร้ทู นั โลกและชีวติ
๑๐ สิริวรรณ ศรีพหล, การจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในสถานศึกษา, (นนทบุรี :
สำนกั พิมพม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๘), หน้า ๑๘.
๑๒๘
131
๓. ความหมายของการสอนสงั คมศึกษาในทศั นะทางพทุ ธศาสนา
ความหมายของการศึกษาในการสอนตามหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาเนน้ ในดา้ นฝึกตน
ไม่ให้ประมาท ความประมาท คือ ความเลินเล่อ เผลอสติ ไม่สำรวมระวัง กาย วาจา ใจ ส่วนความไม่
ประมาทมวี ินยั ตรงกนั ขา้ ม ไดแ้ ก่ ความรอบคอบ มีสตคิ อยกำกบั การกระทำ วาจา ใจ
พุทธปรัชญาได้หล่อหลอมเป็นวิถีดำเนินชีวิตของคนไทย จึงเห็นควรให้พุทธปรัชญา
การศึกษาเป็นปรัชญาการศึกษาที่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นไทย ผู้รู้ที่สนับสนุนให้พิจารณาปรัชญา
การศึกษาไทยบนพื้นฐานของพุทธปรัชญาพระพุทธเจ้าชี้ให้เห็นถึงความจริงหรือสัจธรรมในหลักไตร
ลักษณ์ ซึ่งไดแ้ ก่
อนิจจงั คือ ความเป็นของไม่เทีย่ ง
ทกุ ขัง คอื ความเปน็ ทุกข์
อนัตตา คือ ความเป็นของไมใ่ ชต่ น
พุทธปรัชญาการศึกษา คือ การพัฒนาขันธ์ ๕ เพื่อให้ความโง่เขลาของผู้เรียนลดน้อยลง
และหมดไปในที่สุด และให้อยู่ในสังคมอย่างเป็นคนเก่ง คนดี และคนมีความสุขในโลกปัจจุบันและ
อนาคต
สติ คือ ความระลึกรสู้ กึ ตัวอยูเ่ สมอจำเปน็ ต้องใช้ในกิจกรรมทุกอย่าง ต้ังแตก่ ารทำการงาน
ตามปกติ และกรณศี ึกษาเปน็ เหตุการณ์ตามชว่ งตา่ งประกอบ ด้ังนี้
๓.๑ หลกั คำสอนในเรื่องปัจฉิมโอวาท
“ดกู อ่ น ภกิ ษุทัง้ หลาย…. บดั นี้ เราเตือนทา่ นท้ังหลาย สงั ขารท้ังหลาย มีความเสือ่ มไปเป็น
ธรรมดา ทา่ นท้ังหลาย จงทำความไม่ประมาทใหถ้ ึงพร้อมเถดิ ” ๑๑
อธิบาย พระพุทธเจ้าตรัสสอน เรื่องความไมป่ ระมาท เป็นพระโอวาทสดุ ท้ายในที่อนื่ ทรง
สั่งสอนว่า กุศลธรรมทั้งหมด รวมลงในความไม่ประมาท เหมือนรอยเท้าสัตว์เดินดินต่างๆ รวมลงใน
รอยเท้าช้างฉะนั้น ความไม่ประมาท จะเป็นเหตุให้เราเตือนใจ ตามคำสอนที่ทรงเตือนไว้ว่า “วันคืน
ล่วงไป ๆ บัดนี้ เราทำอะไรอยู่” เราจะได้หม่ันพิจารณาดูตน และหาโอกาสเพิ่มพูนคณุ งามความดี ละ
ความชั่วให้ลดลงน้อยลงความไม่ประมาทจะเตือนไม่ให้เราลืมตน เห็นเป็นจริงเป็นจังกับชีวิตในโลก
ประหนึ่งว่าจะดำรงอยูไ่ ดช้ ั่วกัปชั่วกัลป์ ในที่สุด ทุกคนจะต้องจบลงด้วยความตาย ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ
ก็จะเปลีย่ นมอื ไปเปน็ ของคนอื่น ท่ีดนิ ทเี่ รานึกวา่ เปน็ ของเรา แตถ่ ้าเราจะกลายเป็นเถ้าถา่ น ฝังเรี่ยราย
อยู่บนพื้นดินนั้น หรือ บางที เขาก็จะเก็บไว้ในโกศเล็กๆ เหมือนของเด็กเล่น แต่ไม่มีใครอยากจับต้อง
ถึงทส่ี ุด เหมือนๆ กนั เชน่ น้ี ในขณะท่ีมชี วี ิตอยู่ จึงควรตง้ั อย่ใู นความไม่ประมาท ถือเอาสาระจากชีวิตที่
เน่าเปอ่ื ย ไม่มีสาระนี้ไวใ้ ห้ได้ดว้ ยการบำเพญ็ คณุ งามความดี บำเพ็ญประโยชน์ทา่ น ใหส้ มบูรณ์เถดิ ..
๑๑ ดรู ายละเอยี ดในมหาปรินิพพานสตู ร, ๑๐/ ๑๘๐.
๑๒๙
132
“ความไม่ประมาท” เป็นหลักธรรมระดับหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา ก่อนเสด็จดับขันธ
ปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้ตรัสปัจฉิมโอวาทว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท” หากความไม่
ประมาทไมส่ ำคญั กค็ งไมน่ ำมาตรสั เป็นปัจฉมิ โอวาทเป็นแน่
๓.๒ พุทธพธิ ีคำสอนทว่ั ไป
พระพุทธศาสนาสอนเรอ่ื งความไมป่ ระมาทและความประมาทคกู่ ันในกรณีทั่ว ๆ ไปเพ่ือให้
พทุ ธศาสนกิ ชนทราบผลดีของความไม่ประมาท และผลรา้ ยของความประมาทเปรยี บเทยี บ
คำสอนเฉพาะกรณี ระดับตำ่ แบง่ เป็น ๔ อยา่ ง
๑. ในการละกายทุจรติ ประพฤติกายสุจรติ
๒. ในการละวจสี ุจริต ประพฤตวิ จีสุจรติ
๓. ในการละมโนทจุ ริตประพฤติมโนสจุ ริต
๔. ในการละความเหน็ ผิด ทำความเหน็ ใหถ้ กู
คำสอนในระดบั สงู แบง่ เป็น ๔ อยา่ ง
๑. ระวงั ใจไม่ใหก้ ำหนดั ในอารมณ์เป็นท่ตี ง้ั แห่งความกำหนัด
๒. ระวังใจไมใ่ ห้ขดั เคอื ง ในอารมณ์เปน็ ทต่ี ้งั แห่งความขัดเคือง
๓. ระวงั ใจไมใ่ หห้ ลง ในอารมณ์เปน็ ทีต่ ั้งแหง่ ความหลง
๔. ระวงั ใจไม่ให้มัวเมา ในอารมณเ์ ป็นท่ตี ัง้ แห่งความมัวเมา
คำสอนโดยรวบยอด พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ท่านท้ังหลาย จงมคี วามไม่ประมาท หรือ
แปลอย่างยาวโดยเพิ่มเติมข้อความเข้าว่า ท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึง
พร้อมดว้ ยความไมป่ ระมาท
คำสอนเรื่องความไม่ประมาทจึงเป็นคำสอนที่กว้าง ประมวลคำสอนอื่นๆ ไว้เปรียบเทียบ
เหมือนร้อยเท้าช้างที่ใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์อื่นๆ ที่ รวมลงในรอยเท้าช้างได้คำสอนเรื่องความไม่
ประมาท จึงสำคัญทสี่ ดุ ประการหนึง่
ภารกิจสำคัญของการศึกษาคือ การฝึกอบรมบุคคลให้พัฒนาปัญญา ให้เกิดความรู้ความ
เข้าใจในขอ้ เท็จจรงิ และสภาวะของสิ่งทั้งหลาย มที ศั นคติตอ่ สิง่ ท้ังหลายอย่างถกู ต้อง
ปฏิบตั แิ ละจัดการกบั สิง่ ทั้งหลายตามที่ควรจะเป็น เพอ่ื ใหเ้ กิดเป็นประโยชน์ตน คือ ความ
มีชีวิตอยู่อย่างสำเร็จผลดีที่สุด มีจิตใจเป็นอิสระ มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ และประโยชน์ต่อผู้อื่น คือ
สามารถชว่ ยสรา้ งสรรคป์ ระโยชน์สขุ แกช่ นทัง้ หลายท่อี ยู่รว่ มกันเปน็ สงั คมได้
ลีลาการสอนเมื่อมองกว้างๆ การสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง จะดำเนินไปจนถึง
ผลสำเร็จ โดยมคี ณุ ลักษณะซงึ่ เรียกได้วา่ เป็นลีลาในการสอน ๔ อยา่ ง ดงั นี้
๑๓๐
133
๑. สนั ทสั สนา อธิบายใหเ้ ห็นชดั เจนแจม่ แจง้ เหมอื นจูงมอื ไปดเู ห็นกบั ตา
๒. สมาทปนา จูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรบั และนำไปปฏิบตั ิ
๓. สมุตเตชนา เร้าใจใหแ้ กล้วกลา้ บงั เกดิ กำลังใจ ปลุกใหม้ อี ตุ สาหะแขง็ ขัน มั่นใจว่าจะทำ
ให้สำเรจ็ ได้ ไมห่ วน่ั ระย่อตอ่ ความเหนอื่ ยยาก
๔. สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง
เพราะมองเหน็ คณุ ประโยชนท์ ีจ่ ะได้รบั จากการปฏบิ ัติ
๓.๓ ประโยชน์ของปัจฉมิ โอวาท
พระพุทธองค์ตรัสว่า ความไม่ประมาทเป็นบิดา ของธรรมะทั้งปวง (ทรงเปรียบความไม่
ประมาทเหมือนรอยเท้าช้าง ที่ใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน) ธรรมะข้อไม่
ประมาท จึงเป็นธรรมที่ใหญ่กว่าธรรมะทั้งหลาย ถ้าไม่ประมาทความชั่วอย่างอื่นก็เกิดขึ้นไม่ได้ ความ
ไม่ประมาทจึงมีประโยชน์ตอ่ บุคคล เมื่อบุคคลใดดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทุกสิ่งที่ทำ พูด คิด
ก็เป็นไปด้วยความไม่ประมาท ผลที่เกิดขึ้นคือความถูกต้องจากการกระทำ พูด คิด แล้วผลนั้นก็ส่งผล
ให้มีชวี ิตมคี วามสขุ ความเจรญิ และส่งผลต่อสงั คมอีกดว้ ย
๓.๔ ประโยชน์ของปัจฉมิ โอวาทตอ่ การดำเนนิ ชวี ิตและสงั คม
๑.ประโยชน์ในการดำเนนิ ชีวติ สว่ นบคุ คล
ความไม่ประมาทมีประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่และการดำเนินชีวิต เช่น ในการปฏิบัติ
หนา้ ทหี่ รอื การดำเนินชีวิตท่ีมคี วามเสีย่ ง ต่ออุบัตภิ ัยมาก ในการทำงานที่ละเอยี ดประณีต ในการครอง
เรอื น ในการป้องกนั โรค
๒.ประโยชน์ต่อสังคม การป้องกันประเทศ การป้องกันอาชญากรรม การวางแผน
เศรษฐกจิ และสังคม ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง ประเทศ
๓.ประโยชน์ในการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา การปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาจะต้องมี
ความไมป่ ระมาท กลา่ วคือมีสตกิ ำกบั อยู่ เสมอ การรกั ษาศลี การเจรญิ สมาธหิ รอื การทำกรรมฐาน การ
เจรญิ ปัญญา๑๒
๔. ปรชั ญาการสอนสังคมศกึ ษาในทศั นะทางพุทธศาสนา
แนวคิดมาจากพระพุทธศาสนา (Buddhism) จากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้า และปรัชญาการศึกษาอนื่ ๆ การศึกษาในพุทธปรัชญา คือ การศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริง เข้าใจ
ความหมายของชวี ิต ทัง้ ดำรงชวี ิตให้สอดคล้องสมั พันธ์กบั ความจริง
๑๒ พระวเิ ทศพรหมคณุ และคณะ, พุทธวธิ กี ับการสอนสังคมศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท จรลั
สนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด, ๒๕๖๒), หนา้ ๑๖๑.
๑๓๑
134
การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาจึงต้องส่งเสริมการพัฒนาประเทศไทยไปสู่โมเดลประเทศ
ไทยทมี่ เี ปา้ หมายจะพัฒนาประเทศใหเ้ ป็นประเทศในโลกท่หี น่งึ ภายในปี พ.ศ.๒๕๗๙ เป็นประเทศให้มี
รายได้สูงและขับเคล่ือนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมดว้ ยการพฒั นาท่ีสมดลุ ๔ มิติ ได้แก่ ๑) มีความสมดุล
ในความมั่งคั่ง ๒) ทางเศรษฐกิจ ๓) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมการมีสังคมที่อยู่ดีมีสุขและการเสริมสร้าง
ภูมิปัญญามนุษย์ และต้องปรับระบบการ ให้สอดคล้องการบริหารพระพุทธศาสนา ในสมัยพระ
พุทธกาลการบริหารคณะสงฆ์ของพระพุทธเจ้ามีลักษณะเป็นประชาธิปไตย โดยเน้นให้พระสงฆ์
ปกครองดแู ลกันเองลกั ษณะท่ีเรียกวา่ ประชาธปิ ไตยในหมู่สงฆ์ มปี รากฏ ดง้ั น้ี
๑. พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ให้แก่คณะสงฆ์ เช่น การให้คณะสงฆ์เป็นผู้
ตรวจสอบ คณุ สมบัติของผมู้ าบวชและทำพธิ บี วชใหเ้ ป็นตน้
๒. พระพุทธเจา้ ทรงเคารพในมติของคณะสงฆ์ เมือ่ คณะสงฆ์มีมติออกมาอย่างไร พระบรม
ศาสดาจะทรงเคารพในมตนิ น้ั
๓. พระภิกษตุ ้องเขา้ รว่ มในกิจกรรมของคณะสงฆ์
๔. การประชมุ คณะสงฆ์ พระภิกษทุ ุกรูปที่เขา้ ร่วมประชุม มีสทิ ธิแสดงความคิดเห็น เมื่อมี
ความเหน็ แตกตา่ งกนั จะใชว้ ธิ ีลงมติโดยใช้เสียงข้างมากเปน็ ขอ้ ยุติ
๕. การมอบฉันทะ เมื่อพระภิกษุรูปใด จำเป็นต้องออกจากที่ประชุม เพื่อไปทำกิจส่วนตวั
จะต้องให้ฉันทะก่อน แปลว่า อนุญาตให้การประชุมดำเนินต่อไปได้ แม้มีการลงมติใด ๆ พระภิกษุรูป
นั้นต้องยอมรบั ในมตนิ ้นั จะคัดคา้ นในภายหลงั โดยอา้ งวา่ ไมอ่ ยใู่ นท่ปี ระชุมไมไ่ ด้
๖. การทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ จะต้องยึดถือประโยชน์สุขส่วนร่วม และความถูกต้อง
ตามหลกั ประชาธิปไตยเปน็ ทต่ี ัง้ พระพุทธเจ้าจะไมท่ รงใชอ้ ำนาจในฐานะพระบรมศาสดาเขา้ แทรกแซง
เปรียบเทียบทศั นะความหมายของการศกึ ษาทางพุทธศาสนา ที่สืบทอดมาถึงสมณะสาวก
ภกิ ษไุ ทย คอื ท่านพทุ ธทาสภิกขุไดก้ ล่าวถึงการศึกษาและความหมายของการศึกษาไว้ว่า “การศึกษา”
ที่แท้จริง มีลักษณะหรือมีความหมายเป็นพิเศษอยู่ คือต้องดูออกมาจากข้างใน แล้วแก้ไขปัญหาข้าง
นอก คำวา่ ศกึ ษา หรือ สกิ ขา รวมความหมายแลว้ ท่านกล่าวว่าคือการ ดูตวั เอง เห็นตวั เอง รู้จักตวั เอง
จึงจะเรียกว่า สิกขา ๑๓คำว่าศึกษาในภาษาไทยอาจจะแคบไป ภาษาบาลีว่า สิกฺขา ในภาษาสันสกฤต
เรียกวา่ ศึกษา คำ ๓ คำ น้ี แม้จะต่างกันโดยเสยี งหรือโดยพยัญชนะ กเ็ ปน็ คำเดียวกนั คำวา่ สิกฺขา ใน
ภาษาบาลี หมายถึง การประพฤติปฏิบัติ กระทำเพื่อใหด้ ับทุกข์สิ้นเชิง รวมถึงความรู้ด้วยเพราะฉะน้ัน
ความรู้กับการปฏิบัติต้องไปด้วยกัน ไม่แยกกัน มีความมุ่งหมายคือการดับทุกข์๑๔ ถ้าจะกล่าวว่า ตาม
๑๓ พุทธทาสภิกขุ, การศึกษาที่สามารถกำจัดความเหน็ แก่ตัว, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพธ์ รรมบชู า,
๒๕๓๒), หน้า ๑๐-๑๒.
๑๔ พุทธทาสภิกขุ, การศึกษาที่สามารถกำจัดความเห็นแก่ตัว, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ธรรมบูชา,
๒๕๓๒), หนา้ ๑๑๙-๑๒๐.
๑๓๒
135
ภาษาบาลี คำว่า สิกฺขา มาจากคำว่า สะ แปลว่าเอง อิกขะ แปลว่าดู-เห็น สะ+ อิกขะ รวมกันเป็น
สกิ ขะ คือ สกิ ขา แปลว่า ผ้ดู ูเอง เห็นเอง คือ เหน็ ภายในให้ทวั่ พร้อม๑๕
จากทัศนะของพทุ ธทาสภกิ ขุ ชีใ้ หเ้ ห็นวา่ การศึกษาตอ้ งเปน็ ไปเพ่อื กระตุน้ เพ่ือไปสู่การดับ
ทุกข์ ให้การศึกษาหันกลับมามองถึงธรรมชาติภายในตวั ของมนุษยว์ า่ เป็นอย่างไร แทนที่การศึกษาจะ
มุ่งเน้นการพัฒนา หรือให้ความสนใจกับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจาก การส่งเสริมคุณค่าที่อยู่ภายในตัวตน
ของแต่ละคน เพราะมิฉะนั้นการศกึ ษาก็ไมส่ ามารถนำไปสู่การพน้ ทุกข์ได้ พทุ ธทาสภกิ ขุ จงึ ต้องการให้
การศึกษาเป็นไปเพื่อการดับทุกข์ จึงต้องเริ่มจากการมีศีล มีสมาธิ และปัญญา ซึ่งก็ต้องเกิดจากการ
ฝึกฝนอบรมอย่างครอบคลุม หรือการให้ความสำคัญอย่างจริงจัง และเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญ
อยา่ งตอ่ เนื่อง ควบค่กู บั การปฏบิ ัตจิ ากหลักวชิ า เพราะเพยี งแตว่ ชิ าอย่างเดียว หากขาดการปฏิบัติ จะ
เป็นการทำให้การศึกษาเป็นไปในทางที่ดีงามลดลง เพราะการศึกษาเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ หรือ
การศกึ ษาท่ีสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ท่ีเชื่อว่าสามารถฝกึ ฝนพัฒนาได้ให้เป็นยิ่งกว่าการเป็นมนุษย์
ทั่วไป
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึง ความหมายของการศึกษาว่า คำว่า
“การศึกษา” มาจากภาษาบาลีว่า สิกฺขา แต่เราเอาตามสันสกฤตว่า “ศึกฺษา” ทั้ง สิกฺขา และ ศึกฺษา
และศึกษาเป็นคำเดียวกัน๑๖ ซึ่งทั้งพระพรหมคุณาภรณ์ และพุทธทาสภิกขุ มีความเห็นเรื่อง
ความหมายของการศึกษาตรงกัน ส่วนการศึกษาของพระพรหมคุณาภรณ์ เรียกการฝึกของมนุษย์ว่า
การศึกษา (สิกฺขา) หรือพัฒนาชีวิต (ภาวนา) ๑๗ ซึ่งเป็นการศึกษาที่เรียกว่า ไตรสิกขา และการศึกษา
คือ การพัฒนาชีวิตที่ดำเนินไปตลอดจนกระทั่งบรรลุเป้าหมาย คืออิสรภาพและความสุขตามหลัก
ไตรสิกขา๑๘
พระพรหมคุณาภรณ์ ต้องการเน้นความหมายของการศึกษาอย่างพุทธทาสภิกขุท่ีมุ่งเน้น
การให้ความหมายการศึกษา ในเชิงฝึกฝนอบรมตนให้ก่อเกดิ ความสมดุลท้ังทางร่างกายและจิตใจ และ
มุ่งการศึกษาเพื่ออิสรภาพภายในที่ว่า การศึกษาภายในตนเป็นสิ่งที่ยืนยันตัวตนแน่นอน เพราะเกี่ยว
๑๕ พุทธทาสภิกขุ, คือคือดวงประทีปของโลก, ที่ระลึกในงานเกษียณอายุราชการของอาจารย์เบญจะ
เจรญิ ผล. โรงเรียนชลกันยากลู จงั หวัดชลบุรี กันยายน ๒๕๓๔, หน้า ๑๙.
๑๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), การศึกษาเพื่อการอบรมที่ยั่งยืน, กรุงเทพมหานคร: บริษัท
สหธรรมกิ จำกดั , ๒๕๓๙), หนา้ ๑๒.
๑๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคม, กรุงเทพมหานคร:
บรษิ ัทสหธรรมิก จำกัด, ๒๕๔๙), หน้า ๗.
๑๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมกับการศกึ ษาของไทย, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หา
จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๒), หนา้ ๔๗.