The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์

การศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์

การศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่1-12 ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เอกสารวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรเลขที่ ... กันยายน 2561 OFFICE OF AGRICULTURAL ECONOMICS REGIONAL OFFICE1-12 OFFICE OF AGRICULTURE ECONOMICS MINISTRY OF AGRICULTURE AND COOPERATIVES AGRICULTURAL ECONOMICS RESEARCH NO. SEPTEMBER 2018


ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กรุงเทพมหำนคร OFFICE OF AGRICULTURAL ECONOMICS MINISTRY FOR AGRICULTURAL AND COOPERATIVES BANGKOK THAILAND http://www.oae.go.th E-mail: [email protected] TEL 0-2561-2870 FAX 0-2940-6641


การศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดย ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่1 - 12 ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์


บทคัดย่อ การจัดท าแนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในครั้งนี้ได้จ าแนกเป็น 6 กลุ่ม ชนิดสินค้าส าคัญที่มีปริมาณการผลิตอย่างแพร่หลายในพื้นที่ทั่วประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง โดยอาศัยข้อมูลหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ อันได้แก่ ข้อมูลสภาพการตลาดในด้านต่างๆ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติอย่างง่าย และข้อมูลด้านทัศนคติและความ คิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาด อาทิ การด าเนินนโยบายด้านเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐ ผลการด าเนินงานของตลาด โดยใช้ Likert Scale ให้ค่าคะแนนที่สะท้อนถึงระดับความส าคัญของข้อมูลในแต่ละ ประเด็นแล้วน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วย SWOT และ TOWS Matrix พิจารณาครอบคลุมถึงสภาพแวดล้อมภายใน และสภาพแวดล้อมภายนอกทางด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตร อินทรีย์ของไทยจ านวน 6,276 ราย ประกอบด้วย ผู้ประกอบการค้า กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับการ จ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งในและต่างประเทศ เกษตรกรผู้ผลิต ผู้จัดการตลาด ตลอดจนผู้บริโภคทั้งที่เคย และไม่เคยบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการภาคเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม หรือผู้ที่สนใจใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจผลิตและลงทุนด้านการตลาด หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง น าไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดท าแนวทางการส่งเสริมการผลิตการตลาดตลอดห่วงโซ่อุปทาน การจัดท า แผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ให้บรรลุผลน าไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้ง เป็นข้อเสนอแนะที่ผู้บริหารระดับสูงสามารถน าไปประกอบการพิจารณาก าหนดนโยบาย มาตรการ แผนงาน โครงการที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลการศึกษา พบว่า ความต้องการของผู้บริโภคสินค้าเกษตรทั้งที่เคยบริโภคสินค้าอินทรีย์และไม่เคย ส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงบวกต่อสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งด้านพฤติกรรมตลาด ผลการด าเนินงาน และรูปแบบช่อง ทางการจ าหน่าย ท าให้สามารถสร้างโอกาสในการขยายการผลิตและตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ในอนาคต ส ำหรับแนวทำงกำรพัฒนำศักยภำพด้ำนกำรตลำดสินค้ำเกษตรอินทรีย์ภำพรวมของประเทศ มี8 แนวทำง ได้แก่ 1) พัฒนำฐำนข้อมูลด้ำนกำรผลิตให้ทันสมัยเพื่อสนับสนุนกำรตลำดสินค้ำเกษตรอินทรีย์ โดยจ าแนกเป็นรายกลุ่ม สินค้าให้มีเป็นปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางระดับประเทศสร้างระบบฐานข้อมูลราคา กลางสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อสร้างมาตรฐานด้านราคา 2) ส่งเสริม สนับสนุนกำรเพิ่มตลำดสินค้ำเกษตรอินทรีย์ โดยสร้างตลาดจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นการเฉพาะในทุกจังหวัด และทยอยเพิ่มแสวงหาตลาดใหม่ ๆ สร้างสื่อต่างๆ ผ่าน Social Media เพื่อขยายช่องทางการจ าหน่าย จัดท าฐานข้อมูลการผลิต การตลาดเพื่อเชื่อมโยงการ บริหารจัดการสินค้า 3) สร้ำงผู้ประกอบกำรสินค้ำเกษตรอินทรีย์รำยใหม่ เน้นเพิ่มจ านวนเร่งพัฒนาทักษะด้านการ บริหารจัดการธุรกิจ สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ า 4) ส่งเสริมกำรวิจัยพัฒนำผลิตภัณฑ์แปรรูปเชิงนวัตกรรม เน้น เพิ่มความหลากหลายของสินค้า โดยให้พิจารณาจากแนวโน้มความต้องการของตลาด 5) พัฒนำตลำด สร้ำงควำม โดดเด่นด้วยอัตลักษณ์เชิงพื้นที่เพื่อสร้ำงมูลค่ำเพิ่ม โดยเพิ่มประเภทชนิดและปริมาณสินค้าเพื่อสร้างทางเลือก พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ตั้งศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมทั่วประเทศเน้นเข้าถึงชุมชน เชื่อมโยงด้านการตลาด ระหว่างเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ผลิตพืชอาหารสัตว์อินทรีย์ และผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์อินทรีย์ ส่งเสริมให้มี การน า IT มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตลาดออนไลน์ เน้นการตลาดแบบเกื้อกูล โดยในระยะแรกเชื่อมโยงการตลาด ข


ระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ศูนย์กระจายสินค้ากับ Modern Trade โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงแรม ร้านของ ฝาก ในแหล่งท่องเที่ยวส าคัญทั่วประเทศและต่างจังหวัดที่ไม่ใช่แหล่งผลิตสินค้านั้น 6) สร้ำงควำมเชื่อมั่นในสินค้ำ เกษตรอินทรีย์ด้วยกำรพัฒนำระบบกำรตรวจรับรองมำตรฐำน โดยสนับสนุนให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกรตรวจ รับรองมาตรฐาน เร่งขับเคลื่อนพัฒนาเกษตรกรผู้ผลิตและระบบการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรสู่ระบบเกษตร อินทรีย์ตามระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee System : PGS) ส่งเสริมให้มีระบบการ ตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งผลิต และสุ่มตรวจสอบสินค้าที่วางจ าหน่ายตามท้องตลาดอย่างสม่ าเสมอ 7) กระตุ้นควำมต้องกำรบริโภคสินค้ำเกษตรอินทรีย์ให้เพิ่มมำกขึ้น โดยประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการบริโภคผ่านสื่อ ต่างๆ ก าหนดเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนให้แก่เด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ประสานความร่วมมือกับ ลูกค้า แต่งตั้งอาสาสมัครเกษตรอินทรีย์ก าหนดอัตราการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ที่บริโภค จัดมหกรรมงานแสดง สินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งในและนอกต่างประเทศประชาสัมพันธ์โดยคัดเลือกบุคคลที่มีชื่อเสียง มีภาพลักษณ์ที่ดีด้าน การดูแลสุขภาพ เป็นตัวแทนที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของสินค้า (Brand Ambassador) ผ่านช่องทางการสื่อสาร ต่างๆที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย 8) พัฒนำคุณภำพผลผลิตและผลิตภัณฑ์สนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อ พัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์ ดังนั้น จึงมีข้อเสนอแนะจากการศึกษาหลายประการ ได้แก่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตร อินทรีย์ในพื้นที่ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐควรบูรณาการขับเคลื่อนงานภายใต้นโยบายเกษตรอินทรีย์ให้มากขึ้น กระตุ้นการบริโภคสินค้าอินทรีย์โดยการประชาสัมพันธ์ ควรจัดท าฐานข้อมูลผู้ผลิต ผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตร อินทรีย์ในแต่ละชนิดสินค้าให้เป็นปัจจุบัน และวิเคราะห์ภาพรวมของสถานการณ์การผลิต การตลาด สินค้าเกษตร อินทรีย์ในระดับพื้นที่เพื่อให้หน่วยงานอื่นๆน าไปต่อยอดใช้ประโยชน์ ค


Abstract This study aimed to formulate guidelines for development of organic agricultural product marketing potentials. Six groups of agricultural products, namely, rice, soybeans, vegetables, fruits, livestock and fisheries, were classified in this study. The sample groups comprised dealers and farmers, related government agencies and networks, and consumers. The sample size of all groups was totally 6,276 persons. Data was analyzed by using Likert Scale for evaluation of attitude and view towards government policy, market system and performance along with SWOT/TOWS matrix model for internal and external environment assessments of the organic agricultural marketing The results of the study showed that consumers had positive attitudes towards organic agricultural products in terms of market conduct, performance, and channels. There was an opportunity to enlarge the organic agricultural production and marketing. Overall, there were eight approaches to develop potentials of organic agricultural product marketing as follows: 1) Developing up-to-date production and marketing database of organic agricultural product throughout the country. The establishment of national data center and reference price database would be used to create price standards. 2) Encouraging and supporting increases in organic agricultural product markets. Government should gradually establish organic agricultural product markets in every province and extend marketing channels through social media. 3) Encouraging new entrepreneurs of organic agricultural products. This included number and management skills of entrepreneurs as well as low interest loan support. 4) Promoting research and development on innovative processed products. Increases in product diversification should be in line with trends of market demand. 5) Developing market and creating outstanding spatial identity for value-added. Government should develop logistics, establish distribution centers throughout the country, promote information technology for online markets, and etc. 6) Building trustworthy in organic agricultural products by developing certified system standards. 7) Stimulating increases in demand for organic agricultural products. 8) Developing quality of produces and products. In conclusion, this study suggested that firstly, related agencies particularly government sector should put more effort to effectively integrate work under the organic agriculture policy; secondly, organic agricultural product information should be largely publicized to stimulate consumption; lastly, government sector should formulate and constantly update producer as well as entrepreneur database including production and marketing situation of organic agricultural products for future uses. ง


ค ำน ำ ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 1-12 ได้ตระหนักถึงควำมส ำคัญของกำรเพิ่มศักยภำพด้ำนกำรตลำด สินค้ำเกษตรอินทรีย์ของไทยเพื่อสอดรับตำมยุทธศำสตร์กำรพัฒนำเกษตรอินทรีย์แห่งชำติภำยใต้ยุทธศำสตร์ที่ 3 พัฒนำกำรตลำดสินค้ำและบริกำรและกำรรับรองมำตรฐำนเกษตรอินทรีย์กลยุทธ์ 3.2 ส่งเสริมและพัฒนำตลำด สินค้ำและบริกำรที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์ซึ่งมีแนวทำงหนึ่ง คือ กำรสร้ำงและส่งเสริมช่องทำงกำรตลำด ส ำหรับสินค้ำเกษตรอินทรีย์ทั้งในประเทศและต่ำงประเทศ จึงมุ่งศึกษำข้อมูลเชิงลึกของสถำนกำรณ์ด้ำนกำรตลำด ในกลุ่มสินค้ำเกษตรส ำคัญ 6 ชนิด ได้แก่ ข้ำว ถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง อันได้แก่ สภำพกำรตลำด และทัศนคติของบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตลำดสินค้ำเกษตรอินทรีย์ เพื่อน ำมำวิเครำะห์ สภำพแวดล้อมภำยในและภำยนอก ประกอบกำรพิจำรณำเสนอแนะแนวทำงกำรพัฒนำศักยภำพด้ำนกำรตลำด สินค้ำเกษตรอินทรีย์ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตลำดสินค้ำเกษตรอินทรีย์ได้รับประโยชน์จำก กำรด ำเนินกำรผลิต กำรตลำดในธุรกิจสินค้ำเกษตรอินทรีย์ สร้ำงมูลค่ำเพิ่มทำงกำรค้ำให้กับประเทศ ร่วมผลักดัน ให้ประเทศไทยก้ำวสู่กำรเป็นผู้น ำด้ำนเกษตรอินทรีย์เพื่อสร้ำงควำมมั่นคงทำงด้ำนรำยได้ที่มีควำมยั่งยืนอย่ำง แท้จริง นักวิชำกำร สังกัด ส่วนแผนพัฒนำเขตเศรษฐกิจกำรเกษตร ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 1-12 ขอขอบคุณเกษตรกร สถำบันเกษตรกร ผู้ประกอบกำรรวบรวมและจ ำหน่ำยสินค้ำอินทรีย์ ผู้บริโภค และ เจ้ำหน้ำที่ภำครัฐ ภำคีเครือข่ำยที่เกี่ยวข้อง ที่เสียสละเวลำอนุเครำะห์ข้อมูล และขอขอบคุณคณะนักวิชำกำรสังกัด ส่วนแผนพัฒนำเขตเศรษฐกิจกำรเกษตร ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 1-12 ทุกท่ำน ที่ร่วมบูรณำกำรท ำงำน ตลอดระยะเวลำกำรจัดท ำเอกสำรงำนวิชำกำรฉบับนี้หำกรำยงำนวิจัยฉบับนี้มีข้อผิดพลำดประกำรใด ต้อง ขออภัยมำ ณ ที่นี้ด้วย และหวังเป็นอย่ำงยิ่งว่ำเอกสำรรำยงำนวิชำกำรฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่เจ้ำหน้ำที่ทั้ง หน่วยงำนภำครัฐและหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องในกำรน ำไปใช้เป็นแนวทำงในกำรส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนำ ศักยภำพด้ำนกำรตลำดสินค้ำเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยให้บรรลุผลสู่กำรพัฒนำที่ยั่งยืนต่อไป ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 1-12 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตร กันยำยน 2561 จ


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ข Abstract ง ค าน า จ สารบัญตาราง ฉ สารบัญตารางผนวก ช สารบัญภาพ ฎ บทที่1 บทน า 1 1.1 ความส าคัญของการวิจัย 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 3 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 1.5 วิธีการวิจัย 6 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 11 บทที่2 การตรวจเอกสาร แนวคิดทฤษฎี 12 2.1 การตรวจเอกสาร 12 2.2 แนวคิดและทฤษฎี 14 บทที่3 ข้อมูลทั่วไป 24 3.1 สภาพการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ 24 3.2 การขับเคลื่อนงานด้านนโยบายและมาตรการของรัฐด้านเกษตรอินทรีย์ 33 บทที่4 ผลการศึกษา 41 4.1 ทัศนคติของบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 42 4.2 แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 50 4.3 แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ภาพรวมของประเทศ 160 บทที่5 สรุปและข้อเสนอแนะ 164 5.1 บทสรุป 5.2 ข้อเสนอแนะ 164 183 บรรณานุกรม 185 ภาคผนวก 187 มาตรฐานและการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ 253


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1.1 จ านวนตัวอย่างของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดของสินค้าเกษตรอินทรีย์6 ชนิดสินค้า 10 2.1 TOWS Matrix : Threats - Opportunities - Weakness - Strengths 15 3.1 ผลการด าเนินงานตามแผนงานโครงการภายใต้นโยบายเกษตรอินทรีย์ในช่วงปี2560-2561 38 4.1 ผลการวิเคราะห์ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ภาครัฐเกี่ยวกับปัญหาในระบบการตลาดข้าวอินทรีย์ 43 4.2 ผลการวิเคราะห์ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ภาครัฐเกี่ยวกับปัญหาในระบบการตลาดผักอินทรีย์ 44 4.3 ผลการวิเคราะห์ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ภาครัฐเกี่ยวกับปัญหาในระบบการตลาดผลไม้อินทรีย์ 44 4.4 ผลการวิเคราะห์ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ภาครัฐเกี่ยวกับปัญหาในระบบการตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ 45 4.5 ผลการวิเคราะห์ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ภาครัฐเกี่ยวกับปัญหาในระบบการตลาดประมงอินทรีย์ 46 4.1 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าข้าวอินทรีย์ 65 4.2 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าถั่วเหลืองอินทรีย์ 83 4.3 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าพืชผักอินทรีย์ 97 4.4 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าผลไม้อินทรีย์ 121 4.5 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 140 4.6 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าประมงอินทรีย์ 157 ฉ


สารบัญตารางผนวก ตารางผนวกที่ หน้า 1 ร้อยละของชนิดสินค้าข้าว ปริมาณผลผลิต มูลค่าที่จ าหน่าย และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ ได้รับการรับรอง 188 2 ราคาข้าวอินทรีย์และราคาข้าวทั่วไป จ าแนกตามสายพันธุ์ชนิดและผลิตภัณฑ์ 188 3 ต้นทุนการตลาดข้าวอินทรีย์ปี 2561 189 4 ส่วนเหลื่อมการตลาดข้าวอินทรีย์จ าแนกตามสายพันธุ์และชนิดข้าว 190 5 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมตลาดข้าวอินทรีย์ 191 6 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับผลการด าเนินงานของตลาดข้าวอินทรีย์ 192 7 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับรูปแบบและช่องทางการจ าหน่ายข้าว อินทรีย์ 193 8 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าข้าวอินทรีย์เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริม ศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 194 9 ชนิด ปริมาณ และมูลค่าการผลิตถั่วเหลืองอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ ในแหล่งผลิตส าคัญ 195 10 ราคาผลผลิตถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบระหว่างอินทรีย์กับทั่วไป 195 11 การกระจายผลผลิตถั่วเหลืองอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางการจ าหน่ายต่างๆ 196 12 สถานที่จ าหน่าย ปริมาณ มูลค่าถั่วเหลืองอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ 197 13 ค่าใช้จ่ายในการขนส่งผลผลิตถั่วเหลืองอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ 198 14 ค่าใช้จ่ายทางการตลาดของสินค้าถั่วเหลืองอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ 198 15 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมตลาดถั่วเหลืองอินทรีย์ 199 16 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดเกี่ยวกับผลการด าเนินงานของตลาดถั่วเหลือง อินทรีย์ 200 17 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดเกี่ยวกับรูปแบบและช่องทางการจ าหน่าย ถั่วเหลืองอินทรีย์ 202 18 ชนิด ปริมาณ และมูลค่าการผลิตผักอินทรีย์ปี 2560 203 19 เปรียบเทียบราคาระหว่างผักอินทรีย์กับผักทั่วไปที่เกษตรกรขายได้ในตลาดทั่วไป 204 20 ราคาผักเปรียบเทียบระหว่างผักอินทรีย์กับผักทั่วไปที่เกษตรกรขายได้ในตลาด Modern Trade 204 21 สถานที่จ าหน่าย ปริมาณ มูลค่าผักอินทรีย์ 205 22 ค่าใช้จ่ายในการขนส่งผักอินทรีย์ 206 23 ต้นทุนค่าใช้จ่ายการตลาดผักอินทรีย์ 207 ช


สารบัญตารางผนวก (ต่อ) ตารางผนวกที่ หน้า 24 ส่วนเหลื่อมการตลาดของราคาผักอินทรีย์ 207 25 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดผักอินทรีย์ด้านพฤติกรรมตลาดผักอินทรีย์ 208 26 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดผักอินทรีย์เกี่ยวกับด้านผลการด าเนินงานของ ตลาดพืชผักอินทรีย์ 209 27 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดผักอินทรีย์เกี่ยวกับด้านรูปแบบ และช่องทางการ จ าหน่ายพืชผักอินทรีย์ 210 28 ชนิด ปริมาณ และมูลค่าการผลิตผลไม้อินทรีย์และผลิตภัณฑ์ ปี 2560 ในแหล่งผลิตส าคัญ 212 29 ปริมาณ มูลค่าสตรอเบอร์รี่อินทรีย์และผลิตภัณฑ์ ปี 2560 ในแหล่งผลิตส าคัญของภาคเหนือ 213 30 ชนิดสินค้าปริมาณ และมูลค่าไม้ผลอินทรีย์ปี 2560 ในแหล่งผลิตส าคัญของภาคกลาง 213 31 ชนิดสินค้าปริมาณที่จ าหน่ายและมูลค่าผลไม้อินทรีย์ในแหล่งผลิตส าคัญของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 214 32 ราคาผลผลิตผลไม้เปรียบเทียบระหว่างอินทรีย์กับทั่วไป 214 33 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางการจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้ามะพร้าว(แกง)อินทรีย์ 215 34 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้าทุเรียนอินทรีย์ 215 35 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้ามังคุดอินทรีย์ 216 36 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้ากล้วยอินทรีย์ 216 37 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้ามะม่วงอินทรีย์ 217 38 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้าลองกองอินทรีย์ 217 39 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้าเงาะอินทรีย์ 218 40 การกระจายผลผลิตผ่านช่องทางจ าหน่ายและวิถีตลาดสินค้าแตงโมอินทรีย์ 218 41 การรวบรวมการขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งผลไม้อินทรีย์และผลิตภัณฑ์ 219 42 ระบบการจ าหน่าย การรับจ่ายเงิน ผลไม้อินทรีย์และผลิตภัณฑ์ในตลาดต่างๆ 220 43 ต้นทุนการตลาดของผลไม้อินทรีย์ 223 44 ส่วนเหลื่อมการตลาดของราคาไม้ผลอินทรีย์ 223 45 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมตลาดผลไม้อินทรีย์ 224 46 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดเกี่ยวกับผลการด าเนินงานของตลาดผลไม้ อินทรีย์ 225 47 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดเกี่ยวกับรูปแบบและช่องทางการจ าหน่ายผลไม้ อินทรีย์ 227 48 ชนิด ปริมาณ และมูลค่าการผลิตน านมอินทรีย์ ปี 2560 ในแหล่งผลิตส าคัญ 228 ซ


49 ราคาผลผลิตน านมและผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบระหว่างอินทรีย์กับทั่วไป 228 50 ชนิด ปริมาณ และมูลค่าการผลิตสุกรอินทรีย์ ในแหล่งผลิตส าคัญ 228 51 ราคาผลผลิตเนื อสุกรเปรียบเทียบระหว่างอินทรีย์กับทั่วไป 228 52 ชนิด ปริมาณ และมูลค่าการผลิตไก่ไข่อินทรีย์ ในแหล่งผลิตส าคัญ 229 53 ราคาผลผลิตไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบระหว่างอินทรีย์กับทั่วไป 229 54 สถานที่จ าหน่าย ปริมาณ มูลค่า และค่าใช้จ่ายในการขนส่งไข่ไก่อินทรีย์ 230 55 ต้นทุนการตลาดในการจ าหน่ายไข่ไก่อินทรีย์และผลิตภัณฑ์ 230 56 ต้นทุนการตลาดของสินค้าสุกรอินทรีย์ 231 57 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ 232 58 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับผลการด าเนินงานของตลาดปศุสัตว์ อินทรีย์ 233 59 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับรูปแบบและช่องทางการจ าหน่ายปศุสัตว์ อินทรีย์ 235 60 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดปศุสัตว์เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมศักยภาพ ด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 237 61 ชนิด ปริมาณ มูลค่า มาตรฐานและช่องทางการจ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์ในแหล่งผลิต ส าคัญ 238 62 ส่วนเหลื่อมการตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ 238 63 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมตลาดประมงอินทรีย์ 239 64 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับรูปแบบและช่องทางการจ าหน่ายประมง อินทรีย์ 241 65 ทัศนคติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการตลาดเกี่ยวกับผลการด าเนินงานของตลาดประมง อินทรีย์ 241 66 เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษาชั นสูงสุดของผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ 243 67 จ านวนสมาชิกในครัวเรือนของผู้บริโภคสินค้าเกษตร 244 68 สมาชิกในครัวเรือนของผู้บริโภคสินค้าเกษตรที่มีปัญหาหรือมีความเสี่ยงเกี่ยวกับสุขภาพ 244 69 รายได้ในครัวเรือนของผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ 244 70 ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ของผู้บริโภคสินค้าเกษตร 245 71 72 ความสัมพันธ์ของเพศ อายุ และระดับการศึกษา ต่อความรู้ความเข้าใจตรา/สัญลักษณ์ ของผู้บริโภคสินค้าเกษตร พฤติกรรมการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ 247 248 73 สื่อกลางที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื อสินค้าอินทรีย์เพื่อบริโภค 248 ฌ


74 สัดส่วนของกลุ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ผู้บริโภคสินค้าเกษตรนิยม 249 75 เหตุผลในการเลือกซื อสินค้าเกษตรอินทรีย์ของผู้บริโภค 249 76 ประเภทอาหารที่สมาชิกครัวเรือนนิยมบริโภค 250 77 แหล่งเลือกซื อสินค้าเกษตรอินทรีย์ของผู้บริโภค 250 78 สาเหตุที่ผู้บริโภคไม่เลือกสินค้าเกษตรอินทรีย์ 250 ญ


สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 ปัจจัยส าคัญ 5 ประการที่ส่งผลต่อสภาวะการแข่งขัน (Porter's Five Forces Model) 20 2.2 กรอบแนวความคิดและความเชื่อมโยงของการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีในการศึกษา แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 23 4.1 วิถีตลาดข้าวอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 54 4.2 วิถีตลาดข้าวอินทรีย์ภาคเหนือ 55 4.3 วิถีตลาดข้าวอินทรีย์ภาคกลางและภาคตะวันออก 56 4.4 วิถีตลาดข้าวอินทรีย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 57 4.5 วิถีตลาดข้าวอินทรีย์ภาคใต้ 58 4.6 วิถีการตลาดถั่วเหลืองอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ภาพรวมประเทศ 75 4.7 วิถีการตลาดผักอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 91 4.8 วิถีการตลาดมะพร้าว(แกง)อินทรีย์ภาพรวมประเทศ 106 4.9 วิถีตลาดทุเรียนอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ภาพรวมประเทศ 108 4.10 วิถีตลาดมังคุดอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ภาพรวมประเทศ 109 4.11 วิถีตลาดกล้วยอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 110 4.12 วิถีตลาดมะม่วงอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 111 4.13 วิถีตลาดลองกองอินทรีย์ ภาพรวมประเทศ 112 4.14 วิถีตลาดเงาะอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 113 4.15 วิถีตลาดแตงโมอินทรีย์ ภาพรวมประเทศ 114 4.16 วิถีการตลาดน านมอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 129 4.17 วิถีการตลาดสุกรอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 131 4.18 วิถีตลาดไข่ไก่อินทรีย์ภาพรวมประเทศ 133 4.19 วิถีตลาดสินค้ากลุ่มประมงอินทรีย์ภาพรวมประเทศ 152 ฎ


1 บทที่ 1 บทน ำ 1.1 ควำมส ำคัญของกำรวิจัย ในปี 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560- 2564 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการจัดท ายุทธศาสตร์การพัฒนา เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ โดยมีคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติด าเนินการจัดท ายุทธศาสตร์ดังกล่าว ประกอบด้วย 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมการวิจัย การสร้าง และเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรมเกษตร ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาการผลิตสินค้าและบริการ ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาการตลาด สินค้าบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ยุทธศาสตร์ที่ 4 ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ ทั้งนี้เพื่อเป็น กรอบในการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ โดยมีกลไกการขับเคลื่อนระดับชาติและระดับ จังหวัด อาศัยการบูรณาการท างานจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นผู้น าด้านการผลิต การบริโภคสินค้าและการบริการเกษตรอินทรีย์ที่มีความยั่งยืน และเป็นที่ ยอมรับในระดับสากล” ต่อเนื่องจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2551- 2554) เป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 คือ เพิ่มพื้นที่ เกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 600,000 ไร่ เพิ่มจ านวนเกษตรกรไม่น้อยกว่า 30,000 ราย ในปี 2564 เพิ่มสัดส่วน ตลาดในประเทศต่อตลาดส่งออกเป็น 40 : 60 และยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านเพิ่มขึ้น จึงเห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์ฉบับนี้จะเป็นกรอบในการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทย เห็นได้จากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ตระหนักถึงความส าคัญของการสร้างมูลค่าทางการค้าจากการส่งเสริมการผลิต การตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์จึงได้มีการจัดท ายุทธศาสตร์ด้านเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง ทางด้านการ ผลิต ได้มีนโยบาย/ โครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เช่น โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2560-2564 ตั้งเป้าหมายเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวทั่วไปเป็นข้าวอินทรีย์ให้ได้ 1 ล้านไร่ในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะมีการสนับสนุน เงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเป็นระยะเวลา 3 ปีส าหรับด้านการตลาดได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมการค้าภายในจัดท าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ ปี2560-2564 ภายใต้วิสัยทัศน์“ไทย เป็นผู้น าด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน” ได้ก าหนดยุทธศาสตร์ไว้ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) สร้างการรับรู้ของผู้ที่เกี่ยวข้องและพัฒนาฐานข้อมูล 2) ผลักดันด้านการรับรองมาตรฐาน สินค้าเกษตรอินทรีย์และเชื่อมโยงตลาดในช่องทางต่างๆทั้งในระดับสากล ในระดับประเทศ และการรับรอง มาตรฐานอื่นๆที่มีความน่าเชื่อถือในตลาดสากล 3) พัฒนาและขยายตลาดสินค้าให้ตรงกับความต้องการของ ผู้บริโภค 4) พัฒนาและสร้างมูลค่าสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องทั้งตลาดในและต่างประเทศ ภาคการศึกษา เกษตรกร และผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


2 ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคสินค้าสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้การ ผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในโลกมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว จากข้อมูลในปี 2558 พบว่า ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์แหล่งใหญ่ของโลก คือ สหรัฐอเมริกาและยุโรปที่มีส่วน แบ่งการตลาดรวมประมาณร้อยละ 96 ของตลาดเกษตรอินทรีย์โลก มีมูลค่าประมาณ 7.5 หมื่นล้านยูโร หรือ ประมาณ 2.85 ล้านล้านบาท โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.58 หมื่นล้านยูโร รองลงมาคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส และจีน เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ อาทิ สเปน ไอร์แลนด์ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ก และลิกเตนสไตน์ ที่มีอัตราการขยายตัวของตลาดเกษตรอินทรีย์สูงขึ้น แบบก้าวกระโดด รวมทั้งตลาดเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคเอเชียที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นต่อเนื่องมีมูลค่า ประมาณ 243,516 ล้านบาท ส าหรับมูลค่าตลาดเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2,332 ล้านบาท เป็นมูลค่าในตลาดส่งออกและตลาดในประเทศร้อยละ 77.94 และ 22.06 ตามล าดับ ช่องทางการตลาดที่ ส าคัญมากถึงร้อยละ 60 คือ โมเดิร์นเทรด รองลงมาคือ ร้านกรีน ร้านอาหาร และจุดจ าหน่ายปลีก (Sale Point) มากกว่า 250 แห่ง ทั่วประเทศ สินค้าส่งออกส าคัญ คือ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและข้าว โดยตลาด ส าคัญอยู่ในภูมิภาคยุโรป อเมริกาเหนือ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกและอาเซียน (มูลนิธิสายใยแผ่นดิน, ปี 2559) เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทย พบว่าไทยมีพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตร อินทรีย์มากเป็นอันดับ 8 ของเอเชีย และอันดับ 4 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม มีความเหมาะสมทางด้านสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อการผลิต มีพื้นที่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน 284,918 ไร่ ผู้ผลิต 13,154 ครัวเรือน อัตราการขยายตัวด้านการผลิตมากเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและ ฟิลิปปินส์ดังนั้น ไทยจึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีโอกาสในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้น าด้านเกษตรอินทรีย์ของ อาเซียน แต่หากไม่มีความชัดเจนในการเตรียมพร้อมด้านการบริหารจัดการสินค้าไปยังช่องทางการจ าหน่าย ต่างๆ อย่างมีระบบอาจกระทบต่อความยั่งยืนในด้านการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระยะยาวได้ ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1-12 ได้ตระหนักถึงความส าคัญของการเพิ่มศักยภาพด้าน การตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยเพื่อสอดรับตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติใน ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการและการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์กลยุทธ์ 3.2 ส่งเสริมและพัฒนาตลาดสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์ซึ่งมีแนวทางหนึ่ง คือ การสร้างและ ส่งเสริมช่องทางการตลาดส าหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงมุ่งเน้นศึกษาข้อมูลเชิง ลึกของสถานการณ์ด้านการตลาด จ าแนกตามชนิดสินค้าเกษตรอินทรีย์หลัก 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว พืชไร่ พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง ทั้งทางด้านการตลาด การจัดการผลผลิตก่อนออกสู่ตลาด ทัศนคติของบุคคลที่ เกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาศักยภาพการตลาดสินค้าเกษตร อินทรีย์ สนับสนุนให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้รับประโยชน์จากการด าเนินการ ผลิต การตลาดในธุรกิจสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านรายได้ให้แก่ผู้ผลิตและ ผู้ประกอบการ สร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าให้กับประเทศ และร่วมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้น าด้าน เกษตรอินทรีย์ที่มีความยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้อย่างแท้จริง


3 1.2 วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาทัศนคติของบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 1.2.2 เพื่อศึกษาสภาพการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 1.2.3 เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 1.2.4 เพื่อจัดท าแนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 1.3 ขอบเขตของกำรวิจัย 1.3.1 สินค้ำเกษตรอินทรีย์ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง พืชผัก (ได้แก่ ผักสลัด คะน้า ต้นหอม ผักชีผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย) ผลไม้ (ได้แก่ มะพร้าว(แกง) ทุเรียน มังคุด กล้วยหอม มะม่วง ลองกอง เงาะ แตงโม) ปศุสัตว์ (ได้แก่ น้ านม สุกร ไข่ไก่) ประมง (ได้แก่ กุ้งแชบ๊วย กุ้งทะเล ปูไข่ หอยแครง หอยนางรม ปลาตะเพียน ปลานิล) 1.3.2 ประชำกรกลุ่มเป้ำหมำย ประกอบด้วย 3 ประเภท ได้แก่ 1) ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งตลาดในและต่างประเทศ จ าแนกรายสินค้า แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1.1) เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ผลิต รวบรวม และจ าหน่ายสินค้าด้วยตนเองทั้งที่ได้รับ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน และเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระยะ ปรับเปลี่ยน 1.2) ผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่รวบรวมและจ าหน่าย 1.3) ผู้จัดการตลาดที่มีบทบาทในการก าหนดหรือด าเนินการบริหารจัดการตลาดสินค้า ได้แก่ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เจ้าหน้าที่การตลาด เจ้าหน้าที่เกษตรที่รับผิดชอบตลาดสีเขียว ผู้จัดการร้านสินค้า สุขภาพ (ร้านเลมอนฟาร์ม ร้านเอเดน ร้านดอยค า) ผู้จัดการตลาดอินทรีย์สุเทพ เชียงใหม่ ฯลฯ 2) ผู้บริโภค จ าแนกรายสินค้า ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง โดยแต่ ละสินค้าได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 2.1) ผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ประกอบด้วย ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อการบริโภคเอง และผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อน าไปแปรรูปแล้วจ าหน่ายต่อ เช่น ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม ฯลฯ 2.2) ผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์แต่รู้จักสินค้าเกษตรอินทรีย์ 3) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 1.3.3 พื้นที่ท ำกำรศึกษำ แหล่งผลิตและจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ 1.3.4 ระยะเวลำข้อมูล 1) ข้อมูลการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ 1 มกราคม–31 ธันวาคม 2560 2) ข้อมูลการด าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2559-ปัจจุบัน (ปีงบประมาณ 2560-2561)


4 1.4 นิยำมศัพท์เฉพำะ 1.4.1 สินค้ำเกษตรอินทรีย์หมายถึง สินค้าที่ใช้ในการบริโภค โดยได้จากผลิตผลทางการเกษตรที่มี การผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ที่มีระบบการจัดการการผลิตด้านการเกษตรแบบองค์รวม ที่เกื้อหนุนต่อ ระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นการใช้วัสดุธรรมชาติ เลี่ยงการใช้วัตถุดิบจากการสังเคราะห์และ ไม่ใช้พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรม (Genetic Modification) โดยการจัดการ กับผลิตภัณฑ์จะเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์ และคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอน 1.4.2 ประเภทของสินค้ำเกษตรอินทรีย์จ าแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1) สินค้ำเกษตรอินทรีย์รับรองมำตรฐำน คือ ผลผลิตจากกระบวนการผลิตที่ได้จากระบบการ ผลิตที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่มีการใช้สารเคมีสังเคราะห์ สารเคมีทางการเกษตรและปุ๋ยเคมี เป็นระบบที่เกื้อกูล ต่อสิ่งแวดล้อม โดยพื้นที่ท าการผลิตได้รับการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบและรับรอง มาตรฐานเกษตรอินทรีย์และผ่านระยะปรับเปลี่ยนแล้ว อย่างไรก็ตาม หากเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อส่งออก จ าเป็นต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กรที่ประเทศผู้น าเข้ายอมรับและเชื่อถือ รวมถึงสินค้าเกษตร อินทรีย์ที่มีการรับรองโดยองค์กรผู้ผลิตเอง (Participatory Guarantee Systems : PGS) 2) สินค้ำเกษตรอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน คือ สินค้าที่อยู่ในช่วงระยะการปรับเปลี่ยนการผลิต เพื่อเตรียมขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานตรวจสอบและรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ เชื่อถือได้ ซึ่งถือเป็นช่วงฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยยึดตามมาตรฐานสินค้าแต่ละชนิด 1.4.3 ตลำดสินค้ำเกษตรอินทรีย์หมายถึง สถานที่ที่มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและ บริการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งรวมถึงการเชื่อมโยงสินค้า การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ซื้อผ่านช่องทางการจ าหน่ายตรง (Direct Channel) และทางอ้อม (Indirect Channel) การศึกษาครั้งนี้สามารถจ าแนกตลาดเกษตรอินทรีย์ได้ 9 ประเภท ดังนี้ 1) ตลำดสดปกติคือ ตลาดขายสินค้าทั่วไปในท้องถิ่นที่เกษตรกรหรือผู้ประกอบการค้า สามารถน าสินค้าและผลิตภัณฑ์ทั้งแบบทั่วไป ปลอดภัย ปลอดสารพิษ และอินทรีย์ มาจ าหน่ายให้กับผู้บริโภค ได้โดยตรง มักเปิดท าการทุกวัน 2) ตลำดนัดปกติเป็นตลาดที่จัดในสถานที่ที่มีผู้บริโภคอยู่หนาแน่น เช่น โรงพยาบาล ศาลากลางจังหวัด ฯลฯ โดยเกษตรกรหรือผู้ค้าสามารถน าสินค้าและผลิตภัณฑ์ทั้งแบบทั่วไป ปลอดภัย ปลอด สารพิษ และอินทรีย์มาจ าหน่าย ซึ่งผู้ประกอบการค้าอาจเป็นเกษตรกรผู้ผลิตหรือผู้จ าหน่ายก็ได้ ตลาดนัดจะ นิยมจัดเฉพาะวันและเวลาที่ก าหนด อาทิ ตลาดสีเขียว ตลาดเกษตรกร (Farmer Market) ตลาดประชารัฐ ตลาด ต้องชม หรือตลาดนัดประจ าท้องถิ่น ฯลฯ 3) ตลำดนัดเฉพำะ เป็นตลาดนัดที่อาจมีเฉพาะสินค้าอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน หรือสินค้าเกษตร อินทรีย์ในระยะปรับเปลี่ยน ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นตลาดสดขายปลีกสู่ผู้บริโภคโดยตรงที่เกษตรกรผู้ผลิตจะน า สินค้าของตนเองมาจ าหน่ายให้บริโภคโดยตรง สินค้าอินทรีย์ส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ท้องถิ่นที่


5 ด าเนินการโดยเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ในระดับจังหวัด นิยมจัดสัปดาห์ละ 1-2 วัน ในจังหวัดเชียงใหม่จะมี ตลาดประเภทนี้กว่า 20 ตลาด เช่น ตลาดเจเจ ตลาดข่วงเกษตรอินทรีย์ ตลาดอินทรีย์ในโรงเรียนปริ้นรอแยล วิทยาลัยโรงเรียนดาราวิทยาลัย โรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ ส่วนที่จังหวัดอื่นๆ พบตลาดประเภทนี้หลายแห่ง อาทิ ตลาดสีเขียวจังหวัดสุรินทร์ตลาดร่มเขียวจังหวัดอุดรธานีตลาดเกษตรกรยโสธร ฯลฯ ซึ่งพบว่าจะมี คณะกรรมการตลาดเป็นผู้ควบคุมและบริหารจัดการด้านมาตรฐานสินค้าและราคา 4) ตลำดระบบสมำชิก เป็นตลาดที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตสินค้าอินทรีย์ มุ่งเน้นการมีส่วนร่วม ในการวางแผนการผลิตและตกลงราคาล่วงหน้า เกษตรกรผู้ผลิตที่เป็นสมาชิกกลุ่มจะมีหลักประกันด้านรายได้ จากการได้รับค่าสินค้าตามก าหนดเวลา สินค้าเกษตรอินทรีย์จากตลาดดังกล่าวมีวางจ าหน่ายในหลายตลาด ทั่วไป อาทิ ตลาดสุขใจ โรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์ จังหวัดนครปฐม ตลาดอินทรีย์สหกรณ์อินทรีย์ แม่ทา จังหวัดเชียงใหม่ ฯลฯ 5) ตลำดเฉพำะ/ ร้ำนค้ำปลีกเฉพำะ เป็นตลาดหรือร้านค้าที่มีนโยบายในการจ าหน่ายสินค้า และผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์หรือสินค้าปลอดภัยจากสารพิษโดยเฉพาะ อาทิ สินค้าเกษตรอินทรีย์แปรรูป ข้าว พืชผัก ผลไม้ และสมุนไพรต่างๆ สินค้าที่วางจ าหน่ายมาจากกระบวนการผลิตที่เป็นเกษตรอินทรีย์ที่สามารถ ตรวจสอบได้อาทิ ร้านเลม่อนฟาร์ม ร้านเอเดนสาขาตลาด อตก. 6) ตลำดทั่วไปในโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) เป็นตลาดซูเปอร์มาเก็ต ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ที่เป็นแหล่งรวมของสินค้าและผลิตภัณฑ์หลากหลาย สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าคุณภาพ สินค้า/ผลิตภัณฑ์ อินทรีย์ทั้งที่เป็นสินค้าผลิตในประเทศและน าเข้าจากต่างประเทศ Tops Market Gourmet Market Villa Market Central Food Hall Foodland Big C Extra Tesco Lotus (Extra) และ ริมปิง จังหวัดเชียงใหม่ 7) ตลำดค้ำส่ง เป็นตลาดรวบรวมสินค้าและผลิตภัณฑ์อินทรีย์จากผู้ผลิตที่น าไปกระจาย จ าหน่ายในประเทศ เช่น ตลาดข้าวอินทรีย์ของสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ ฯลฯ 8) ตลำดส่งออก เป็นตลาดรวบรวมสินค้าและผลิตภัณฑ์อินทรีย์จากผู้ผลิตหรือกลุ่มผู้ผลิตเพื่อ ส่งจ าหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ บริษัทนครหลวงค้าข้าวที่รวบรวมข้าวอินทรีย์จากแหล่งผลิต ต.ศรีจอมแจ้ง จังหวัดพะเยา หรือเป็นเกษตรกรผู้ผลิตรายใหญ่บางรายที่มีความรู้ความสามารถในการท าตลาด ส่งออกด้วยตนเอง อาทิ ตลาดส่งออกชาอินทรีย์ จังหวัดเชียงราย ตลาดส่งออกล าไยอินทรีย์ จังหวัดเชียงใหม่ 9) ตลำดออนไลน์เป็นตลาดที่ขายผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตโดยผู้ผลิตน าสินค้ามาจ าหน่ายเอง หรือ ผู้ประกอบการค้าด าเนินการรวบรวมสินค้าจากผู้ผลิตมาจัดจ าหน่าย โดยผู้บริโภคสามารถเลือกดูสินค้าจาก Website ของผลิต/ผู้ประกอบการ หรือ Website สื่อกลางในการจ าหน่าย เช่น LAZADA E-bay ฯลฯ และ ท าการสั่งซื้อและช าระเงินผ่านระบบ Internet หรือระบบธนาคารได้ หลังจากนั้น ผู้ขายจะจัดส่งสินค้าให้ผู้ซื้อ ทั้งแบบผ่านทางไปรษณีย์ขนส่งเอกชน หรือนัดหมายจุดรับสินค้า ปัจจุบันตลาดประเภทนี้ได้รับความนิยมมาก ขึ้น เนื่องจากประหยัดเวลา ต้นทุนต่ า


6 1.5 วิธีกำรวิจัย 1.5.1 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1) วิธีกำรเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่าง ซึ่ง ลักษณะข้อมูลเป็นภาคตัดขวางจากหน่วยส ารวจ (Cross Section Data) ประกอบด้วย ข้อค าถามเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพที่มีทั้งค าถามปลายปิด (Closed-End Question) และค าถามปลายเปิด (Opened-End Question) ที่เกี่ยวกับทัศนคติต่อการผลิต การตลาด การบริหารจัดการด้านการตลาดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องใน ระบบตลาด 2) แหล่งข้อมูล ข้อมูลในการศึกษาได้มาจากแหล่งข้อมูล 2 แหล่ง ดังนี้ 2.1) ข้อมูลปฐมภูมิ(Primary Data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ 3 กลุ่ม โดยจ าแนกตัวอย่างเป็น 6 ชนิดสินค้า (ข้าว ถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมงอินทรีย์) ได้แก่ 2.1.1) กลุ่มผู้ประกอบการค้า จ าแนกออกเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย (1) เกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรที่ผลิต รวบรวม และจ าหน่ายสินค้าทั้งที่ได้รับ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน และเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระยะ ปรับเปลี่ยน (2) ผู้ประกอบการค้าที่รวบรวมและจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ (3) ผู้จัดการตลาดที่มีบทบาทในการก าหนดหรือด าเนินการบริหารจัดการ ตลาดสินค้า 2.1.2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบตลาดสินค้าเกษตร อินทรีย์ 2.1.3) ผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ (1) ผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้แก่ ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเกษตร อินทรีย์เพื่อการบริโภคเอง และผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อน าไปแปรรูปแล้วจ าหน่ายต่อ (2) ผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์แต่รู้จักสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยมีประเด็นการสัมภาษณ์หลายประเด็น ได้แก่ ทัศนคติด้านการตลาดเกี่ยวกับโครงสร้างตลาด รูปแบบและ ช่องทางการจ าหน่าย วิถีตลาด ผลการด าเนินงานของตลาด ต้นทุนการตลาด โดยใช้แบบสัมภาษณ์เป็น เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรตัวอย่าง ในการศึกษาครั้งนี้ได้ก าหนดขนาดตัวอย่างของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ จ าแนกรายสินค้า ดังนี้


7 1) ข้ำวอินทรีย์ 1.1) เกษตรกรผู้ผลิตข้าวที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ตัวอย่างก าหนดขนาด ตัวอย่าง ร้อยละ 10 จ านวน 396 ราย และเกษตรกรผู้ผลิตข้าวในระยะปรับเปลี่ยนก าหนดขนาดตัวอย่าง จ านวน 396 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายแบบไม่ใส่คืน (Simple Random Sampling without Replacement) ให้ได้จ านวนตัวอย่างครบตามจ านวน 1.2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้องก าหนดขนาดตัวอย่าง จ านวน 7 ราย/จังหวัด ในจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตข้าว 69 จังหวัด รวม 483 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบ เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกตามที่ต้องการ 1.3) ผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ใช้วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบ Snowball Technique ที่อาศัยการแนะน าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการค้ากลุ่มตัวอย่างที่เสนอแนะต่อกันมาเป็นทอดๆ ประกอบการพิจารณาจากฐานข้อมูลผลการสัมมนาเครือข่ายเกษตรกรกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเชื่อมโยงผู้ประกอบ ธุรกิจสินค้าอินทรีย์ระดับประเทศและฐานข้อมูลจากหน่วยงานระดับจังหวัดทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 2 ราย/ จังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ 69 จังหวัด รวม 138 ราย 1.4) ผู้บริโภคสินค้าเกษตรตัวอย่าง ก าหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้กฎแห่งความ ชัดเจน (Rule of Thumb) (Neuman, 1991 : หน้า 221) ซึ่งเป็นการก าหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดย ค านึงถึงขนาดประชากรในลักษณะของอัตราส่วนที่คิดเป็นร้อยละ ดังนี้ ประชากรน้อยกว่า 1,000 คน ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 30 ประชากรเท่ากับ 10,000 คน ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 10 ประชากรเท่ากับ 150,000 คน ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 1 ประชากรมากกว่า 10,000,000คน ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 0.025 ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคสินค้าเกษตรทั่วประเทศมีมากกว่า 10,000,000 คน จึงใช้ อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 0.03 ได้ขนาดตัวอย่างจ านวน 3,356 ราย และได้จัดสรรจ านวนผู้บริโภค สินค้าข้าวตัวอย่างตามสัดส่วนของจ านวนผู้ประกอบการในแต่ละชนิดสินค้าได้จ านวนขนาดตัวอย่างผู้บริโภค ข้าวจ านวน 894 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มโดยก าหนดสัดส่วนเท่ากันในกลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้า เกษตรอินทรีย์และกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จ านวน 447 ราย/กลุ่ม (สุวิมล ว่อง-วาณิช และ นงลักษณ์ วิรัชชัย, 2546: 122) 2) ถั่วเหลืองอินทรีย์ 2.1) เกษตรกรผู้ผลิตถั่วเหลืองที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ตัวอย่างและ เกษตรกรผู้ผลิตถั่วเหลืองในระยะปรับเปลี่ยนจะจัดเก็บข้อมูลทุกราย เนื่องจากมีเกษตรกรไม่มากนัก รวม 38 ราย โดยข้อมูลรายชื่อเกษตรกรอ้างอิงฐานข้อมูลจากการสอบถามคณะกรรมการขับเคลื่อนงานเกษตรอินทรีย์ ระดับจังหวัดและหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ


8 2.2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้องก าหนดขนาดตัวอย่าง จ านวน 7 ราย/ จังหวัด ในแหล่งผลิตถั่วเหลืองอินทรีย์5 จังหวัด รวม 35 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบ เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกตามที่ต้องการ 2.3) ผู้ประกอบการค้า สถาบันเกษตรกร พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีกสินค้าถั่วเหลืองอินทรีย์ใช้ วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบ Snowball Technique ที่อาศัยการแนะน าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการค้ากลุ่ม ตัวอย่างที่เสนอแนะต่อกันมาเป็นทอดๆ ประกอบการพิจารณาจากฐานข้อมูลผลการสัมมนาเครือข่ายเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเชื่อมโยงผู้ประกอบธุรกิจสินค้าอินทรีย์ระดับประเทศและฐานข้อมูลจากหน่วยงานระดับ จังหวัดทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 2 ราย/จังหวัด ที่เป็นแหล่งผลิตถั่วเหลืองอินทรีย์รวม 10 ราย 2.4) ผู้บริโภคถั่วเหลืองตัวอย่าง ได้จัดสรรจ านวนผู้บริโภคสินค้าถั่วเหลืองตัวอย่างตาม สัดส่วนของจ านวนผู้ประกอบการในแต่ละชนิดสินค้าได้จ านวนขนาดตัวอย่างผู้บริโภคถั่วเหลืองจ านวน 268 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มโดยก าหนดสัดส่วนเท่ากันในกลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ และกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ จ านวน 134 รายต่อกลุ่ม 3) พืชผักอินทรีย์ได้แก่ ผักสลัด คะน้ำ ต้นหอม ผักชี ผักบุ้ง ขึ้นฉ่ำย 3.1) เกษตรกรผู้ผลิตพืชผักที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ตัวอย่างก าหนดขนาด ตัวอย่างร้อยละ 30 จ านวน 40 ราย เช่นเดียวกับเกษตรกรผู้ผลิตพืชผักในระยะปรับเปลี่ยน ก าหนดขนาด ตัวอย่างร้อยละ 30 จ านวน 236 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบก าหนดสัดส่วน (Proportional Sampling) ในแต่ละชนิดสินค้าจนครบตามจ านวน 3.2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้องก าหนดขนาดตัวอย่าง จ านวน 7 ราย/จังหวัด ในแหล่งผลิตพืชผักอินทรีย์ 32 จังหวัด รวม 224 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบ เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกตามที่ต้องการ 3.3) ผู้ประกอบการค้า สถาบันเกษตรกร พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีกสินค้าพืชผักอินทรีย์ใช้วิธี คัดเลือกตัวอย่างแบบ Snowball Technique ที่อาศัยการแนะน าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการค้ากลุ่ม ตัวอย่างที่เสนอแนะต่อกันมาเป็นทอดๆ ประกอบการพิจารณาจากฐานข้อมูลผลการสัมมนาเครือข่ายเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเชื่อมโยงผู้ประกอบธุรกิจสินค้าอินทรีย์ระดับประเทศและฐานข้อมูลจากหน่วยงานระดับ จังหวัดทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 2 ราย/จังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าพืชผักอินทรีย์ รวม 64 ราย 3.4) ผู้บริโภคสินค้าพืชผักตัวอย่าง ได้จัดสรรจ านวนผู้บริโภคสินค้าพืชผักตัวอย่างตาม สัดส่วนของจ านวนผู้ประกอบการในแต่ละชนิดสินค้าได้จ านวนขนาดตัวอย่างผู้บริโภคพืชผักจ านวน 642 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มโดยก าหนดสัดส่วนเท่ากันในกลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์และ กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จ านวน 321 ราย/กลุ่ม 4) ผลไม้อินทรีย์ ได้แก่ มะพร้ำว(แกง) ทุเรียน มังคุด กล้วยหอม มะม่วง ลองกอง เงำะ แตงโม


9 4.1) เกษตรกรผู้ผลิตผลไม้ที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ตัวอย่างก าหนดขนาด ตัวอย่างร้อยละ 30 จ านวน 116 ราย เช่นเดียวกับเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้ในระยะปรับเปลี่ยน ก าหนดขนาด ตัวอย่างร้อยละ 30 จ านวน 86 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบก าหนดสัดส่วน (Proportional Sampling) ในแต่ละชนิดสินค้าจนครบตามจ านวน 4.2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้องก าหนดขนาดตัวอย่าง จ านวน 7 ราย/จังหวัด ในแหล่งผลิตผลไม้อินทรีย์44 จังหวัด รวม 308 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบ เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกตามที่ต้องการ 4.3) ผู้ประกอบการค้า สถาบันเกษตรกร พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีกสินค้าผลไม้อินทรีย์ใช้ วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบ Snowball Technique ที่อาศัยการแนะน าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการค้ากลุ่ม ตัวอย่างที่เสนอแนะต่อกันมาเป็นทอดๆ ประกอบการพิจารณาจากฐานข้อมูลผลการสัมมนาเครือข่ายเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเชื่อมโยงผู้ประกอบธุรกิจสินค้าอินทรีย์ระดับประเทศและฐานข้อมูลจากหน่วยงานระดับ จังหวัดทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 2 ราย/จังหวัด ที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าผลไม้อินทรีย์ รวม 88 ราย 4.4) ผู้บริโภคสินค้าผลไม้ตัวอย่าง ได้จัดสรรจ านวนผู้บริโภคสินค้าผลไม้ตัวอย่างตาม สัดส่วนของจ านวนผู้ประกอบการในแต่ละชนิดสินค้าได้จ านวนขนาดตัวอย่างผู้บริโภคผลไม้จ านวน 642 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มโดยก าหนดสัดส่วนเท่ากันในกลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์และ กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จ านวน 321 ราย/กลุ่ม 5) ปศุสัตว์ได้แก่ น้ ำนม สุกร และไข่ไก่ 5.1) เกษตรกรผู้ผลิตปศุสัตว์ที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ตัวอย่างก าหนดขนาด ตัวอย่างร้อยละ 30 จ านวน 46 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบก าหนดสัดส่วน (Proportional Sampling) ในแต่ละชนิดสินค้าจนครบตามจ านวน 5.2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้องก าหนดขนาดตัวอย่างจ านวน 7 ราย/จังหวัด ในจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ 12 จังหวัด รวม 84 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้ วิธีสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกตามที่ต้องการ 5.3) ผู้ประกอบการค้า สถาบันเกษตรกร พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีกสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ใช้วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบ Snowball Technique ที่อาศัยการแนะน าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการค้า กลุ่มตัวอย่างที่เสนอแนะต่อกันมาเป็นทอดๆ ประกอบการพิจารณาจากฐานข้อมูลผลการสัมมนาเครือข่าย เกษตรกรกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเชื่อมโยงผู้ประกอบธุรกิจสินค้าอินทรีย์ระดับประเทศและฐานข้อมูลจาก หน่วยงานระดับจังหวัดทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 2 ราย/จังหวัด ที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์รวม 24 ราย 5.4) ผู้บริโภคสินค้าปศุสัตว์ตัวอย่าง ได้จัดสรรจ านวนผู้บริโภคสินค้าปศุสัตว์ตัวอย่าง ตามสัดส่วนของจ านวนผู้ประกอบการในแต่ละชนิดสินค้าได้จ านวนขนาดตัวอย่างผู้บริโภคปศุสัตว์จ านวน 518 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มโดยก าหนดสัดส่วนเท่ากันในกลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตร อินทรีย์และกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จ านวน 259 ราย/กลุ่ม


10 6) ประมง ได้แก่กุ้งแชบ๊วย กุ้งทะเล ปูไข่ หอยแครง หอยนางรม ปลาตะเพียน ปลานิล 6.1) เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าประมงที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์และเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าประมงในระยะปรับเปลี่ยนจะจัดเก็บข้อมูลทุกรายเนื่องจากมีเกษตรกรไม่มากนัก รวม 36 ราย โดยข้อมูลรายชื่อเกษตรกรอ้างอิงฐานข้อมูลจากการสอบถามคณะกรรมการขับเคลื่อนงานเกษตรอินทรีย์ระดับ จังหวัดและหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ 6.2) เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้องก าหนดขนาดตัวอย่างจ านวน 7 ราย/จังหวัด ในแหล่งผลิตประมงอินทรีย์8 จังหวัด รวม 56 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มแบบ เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกตามที่ต้องการ 6.3) ผู้ประกอบการค้า สถาบันเกษตรกร พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีกสินค้าประมงอินทรีย์ ใช้วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบ Snowball Technique ที่อาศัยการแนะน าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการค้า กลุ่มตัวอย่างที่เสนอแนะต่อกันมาเป็นทอดๆ ประกอบการพิจารณาจากฐานข้อมูลผลการสัมมนาเครือข่าย เกษตรกรกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเชื่อมโยงผู้ประกอบธุรกิจสินค้าอินทรีย์ระดับประเทศและฐานข้อมูลจาก หน่วยงานระดับจังหวัดทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 2 ราย/จังหวัด ที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าประมงอินทรีย์ รวม 16 ราย 6.4) ผู้บริโภคสินค้าประมงตัวอย่าง ได้จัดสรรจ านวนผู้บริโภคสินค้าประมงตัวอย่าง ตามสัดส่วนของจ านวนผู้ประกอบการในแต่ละชนิดสินค้าได้จ านวนขนาดตัวอย่างผู้บริโภคประมงจ านวน 392 ราย เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วใช้วิธีสุ่มโดยก าหนดสัดส่วนเท่ากันในกลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ และกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ จ านวน 196 ราย/กลุ่ม ตำรำงที่ 1.1 จ ำนวนตัวอย่ำงของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลำดของสินค้ำเกษตรอินทรีย์6 ชนิดสินค้ำ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้ำว ถั่ว เหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ ประมง รวม เกษตรกรผู้ผลิต - เกษตรกรผ่านการรับรองมาตรฐาน - เกษตรกรผู้ผลิตในระยะปรับเปลี่ยน 792 396 396 38 28 10 276 40 236 202 116 86 46 46 - 36 23 13 1,390 649 741 เจ้ำหน้ำที่ภำครัฐ/ภำคประชำสังคม 483 35 224 308 84 56 1,190 ผู้ประกอบกำรค้ำ 138 10 64 88 24 16 340 ผู้บริโภค -ผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ -กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตร อินทรีย์แต่รู้จักสินค้าเกษตรอินทรีย์ 894 447 447 268 134 134 642 321 321 642 321 321 518 259 259 392 196 196 3,356 1,678 1,678 รวม 2,307 351 1,206 1,240 672 500 6,276 ที่มา : จากการค านวณ


11 2.2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่รวบรวมจากเอกสาร หนังสือบทความ วารสารสิ่งพิมพ์ งานวิจัย ตลอดจนข้อมูลที่ได้จากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐบาล ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ตลอดจนค้นคว้าข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 1.5.2 กำรวิเครำะห์ข้อมูล 1) กำรวิเครำะห์เชิงคุณภำพ (Qualitative Analysis) เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก (SWOT Analysis) ของระบบการตลาด สินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อน าไปใช้ประกอบการวิเคราะห์ทางเลือกในการก าหนดกลยุทธ์การพัฒนาศักยภาพด้าน การตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ (TOWS Matrix) 2) กำรวิเครำะห์เชิงปริมำณ เป็นการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) โดยใช้สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics Analysis) จ าแนกการวิเคราะห์ได้ดังนี้ 2.1) วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาด ได้แก่ โครงสร้างตลาด รูปแบบและช่องทางการจ าหน่าย วิถีตลาด ต้นทุนการตลาด ส่วนเหลื่อมการตลาด ฯลฯ จ าแนกรายสินค้า โดย ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติอย่างง่าย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ประกอบค าอธิบายค่า 2.2) วิเคราะห์ทัศนคติและความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดเกี่ยวกับการ ด าเนินนโยบายด้านเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐ ผลการด าเนินงานของตลาด ส่วนประสมการตลาด (ผลิตภัณฑ์ ราคา การจ าหน่าย และการส่งเสริมการตลาด) พฤติกรรมของระบบตลาด สภาพการแข่งขันของตลาด ฯลฯ จ าแนกรายสินค้า โดยใช้การวัดทัศนคติของลิเกิร์ต (Likert Scale) 1.6 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1.6.1 ผู้บริหารระดับสูงน าไปประกอบการพิจารณาก าหนดนโยบาย มาตรการ แผนงาน โครงการ 1.6.2 เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการภาคเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม หรือผู้ที่สนใจใช้ เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจผลิต และลงทุนด้านการตลาด 1.6.3 หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องน าไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดท าแนวทางการส่งเสริมการผลิต การตลาด ตลอดห่วงโซ่อุปทาน จัดท าแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนงานด้านเกษตรอินทรีย์ให้ บรรลุผลสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป


12 บทที่ 2 การตรวจเอกสาร แนวคิดและทฤษฎี 2.1 การตรวจเอกสาร ด้านการตลาดสินค้าปลอดภัยและสินค้าเกษตรอินทรีย์ ผุสดี กิจบุญ (2552) ศึกษาการผลิตและ การตลาดผักอินทรีย์ในประเทศไทย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการซื้อผักอินทรีย์ของผู้บริโภค ได้แก่ ปัจจัยด้าน ช่องทางการจัดจ าหน่าย ปัจจัยด้านจิตวิทยา และปัจจัยด้านราคา สอดคล้องการศึกษาปัจจัยที่ใช้ในการ ตัดสินใจ ซึ่งเป็นการศึกษาในการตัดสินใจซื้อผักปลอดสารพิษของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครของ วารุณี จีนศร (2554) พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจ าหน่ายเป็นสิ่งที่ ผู้บริโภคให้ความส าคัญโดยรวมในระดับมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ราคาและการส่งเสริมการตลาด นอกจากนี้ ความส าคัญด้านช่องทางการจัดจ าหน่ายและด้านการส่งเสริมการตลาด มีความสัมพันธ์กับมูลค่าในการซื้อต่อ ครั้งและความถี่ในการซื้อต่อเดือนอย่างมีนัยส าคัญ ส่วนด้านผลิตภัณฑ์และราคา มีความสัมพันธ์กับแนวโน้ม การซื้อผักปลอดสารพิษในอนาคตอย่างมีนัยส าคัญ ซึ่งการศึกษาของ สยาม อรุณศรีมรกต (2553) ศึกษาการ ผลิตและการตลาดผลไม้อินทรีย์ของผู้บริโภคในระดับมาก ได้แก่ ปัจจัยทางด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจ าหน่าย และปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ส่วนปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมและปัจจัย ทางด้านสังคมมีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลไม้อินทรีย์ในระดับปานกลาง ในขณะที่ปัจจัยทางด้านการส่งเสริม การตลาดมีผลต่อการตัดสินใจซื้อในระดับน้อย ด้านปัญหาในการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2551) ระบุว่า การพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยต้องอาศัยเวลาและขั้นตอนการพัฒนาอีกระยะหนึ่ง รวมทั้งยังต้องพยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคที่มีจึงจะท าให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้น าในการผลิตและการส่งออก สินค้าเกษตรอินทรีย์ของโลกได้ ส าหรับปัญหาในอดีตที่ผ่านมาของการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย ได้แก่ 1) ขาดการรับรองมาตรฐานยังไม่มีหน่วยงานของราชการออกมาให้การรับรองมาตรฐานสินค้า เกษตรอินทรีย์ท าให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ยังไม่เป็นที่เชื่อถือของผู้บริโภคมากนัก ผู้บริโภคไม่สามารถแยกสินค้า เกษตรอินทรีย์และสินค้าเกษตรทั่วไปได้ดังนั้นการก าหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ท าให้ตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น 2) การผลิตส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับสินค้าเกษตรอนามัยส่วนใหญ่เป็นพืชผัก มีเพียงข้าวสารบรรจุถุง เท่านั้นที่สามารถผลิตได้ในระดับสินค้าเกษตรอินทรีย์ และส่วนใหญ่เน้นการส่งออกตลาดต่างประเทศมากกว่า การจ าหน่ายในประเทศ ปัญหาบางประการอาจเกิดจากเกษตรกรยังไม่มีความรู้เพียงพอในการผลิตสินค้า เกษตรอินทรีย์ซึ่งทางกรมส่งเสริมการเกษตรได้มีการส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไปให้ค าแนะน าและค าปรึกษา แก่เกษตรกรเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่น่าสนใจส าหรับ เกษตรกรไทยคือข้าวผักผลไม้เมืองร้อน เครื่องเทศ สมุนไพร ชา กาแฟ ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ประมง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง


13 3) มีการผลิตแต่ไม่มีความหลากหลายของสินค้าในตลาดท าให้ผู้บริโภคไม่สามารถเลือกซื้อสินค้า เกษตรอินทรีย์ได้มากนัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งส่งเสริมโดยเฉพาะในเรื่องตลาด 4) ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์สูงกว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ประมาณร้อยละ 30 ท าให้ตลาดจ ากัดอยู่ เฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้สูง สาเหตุที่สินค้าเกษตรอินทรีย์มีราคาสูงสืบเนื่องจากยังมีการผลิตยังไม่มากแหล่งผลิตอยู่ กระจัดกระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์ถูกศัตรูพืชท าลายสร้างความเสียหายได้ง่ายและน้ าหนักของสินค้าเบากว่า ส่วนปัญหาที่พบในการปลูกผักอินทรีย์ คือ ปุ๋ยอินทรีย์และสารสกัดธรรมชาติที่ใช้ในการก าจัดศัตรูพืชหาได้ยาก ในขณะที่ปัญหาในการจัดจ าหน่ายผลผลิต คือ ปริมาณผลผลิตผักอินทรีย์ออกสู่ตลาดไม่ สม่ าเสมอท าให้ไม่สามารถก าหนดปริมาณผลผลิตให้แก่ผู้รับซื้อได้เช่นเดียวกับ สยาม อรุณศรีมรกต (2553) ที่กล่าวว่า ปัญหาในการปลูกผลไม้อินทรีย์ คือ ปริมาณผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่วน ปัญหาในการปลูกผลไม้แบบทั่วไปไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ปัญหาของผู้ประกอบการค้าคือ ต้นทุนการขนส่งสูง ด้านผู้บริโภค Nguyen Thi Phuong (2013) พบว่า ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีต่อ อาหารอินทรีย์ในประเทศออสเตรเลียและประเทศอื่นๆ พบว่า ถึงแม้อาหารอินทรีย์จะมีประโยชน์ แต่ด้วยราคา ที่สูงก็เป็นอุปสรรคต่อความต้องการของผู้บริโภค สอดรับกับการศึกษาของ Jessica Aschemann-Witzel, Stephan Zielke and John Thogersen (2014) พบว่า ปัญหาของความต้องการอาหารอินทรีย์ของผู้บริโภค คือ ราคาซึ่งเป็นอุปสรรคหลักในการเลือกซื้อสินค้าอินทรีย์มากกว่าระดับรายได้นอกจากนี้อิทธิพลของจ านวน สมาชิก และอายุของเด็กยังมีส่วนกระทบกับความตั้งใจซื้ออาหารอินทรีย์ซึ่งผู้ผลิตควรก าหนดราคาและใช้กล ยุทธ์ด้านการสื่อสารทางการตลาดเน้นเฉพาะกลุ่ม ด้านเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ศิริลักษณ์ ดีดน้อย (2553) ศึกษาการด าเนินงานของตลาดค้า ส่งผลไม้สี่แยกอินโดจีน จังหวัดพิษณุโลก โดยมุ่งเน้นการศึกษาด้านทัศนคติความคิดเห็นของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้จ าหน่ายที่มีต่อการด าเนินงานของตลาด ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคเพื่อเสนอแนะแนวทางในการ พัฒนา โดยเลือกใช้การก าหนดขนาดตัวอย่างแบบเป็นสัดส่วนและใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบตรวจสอบรายการที่มีการแบ่งระดับของความคิดเห็น ออกเป็น 5 ระดับ ที่มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ผลการศึกษา พบว่า ระดับการ ด าเนินงานของตลาดในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง โดยผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้จ าหน่าย มีความ คิดเห็นต่อผลการด าเนินงานของตลาดค้าส่งผลไม้สี่แยกอินโดจีนแตกต่างกัน ส าหรับเครื่องมือส าหรับ การศึกษาเพื่อหาแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรนั้น ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 2 (2554) ได้ใช้ เครื่องมือวิเคราะห์ถึงสภาพการผลิต การตลาด ได้แก่ วิถีการตลาด และการบริหารจัดการ จ าแนกเป็นการ วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก (SWOT Analysis) เพื่อน าไปประกอบการวิเคราะห์ทางเลือกใน การก าหนดกลยุทธ์ (TOWS Matrix) ในการศึกษาแนวทางการพัฒนาการผลิตการตลาดมันส าปะหลังในพื้นที่ ภาคเหนือตอนล่างเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเพิ่ม ศักยภาพด้านการผลิตการตลาดให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน าไปใช้ เป็นแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการผลิต การตลาดในพื้นที่ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ ดีแก่เกษตรกรได้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง


14 ในการศึกษาครั้งนี้ได้น าแนวคิดจากการศึกษาของ วารุณี จีนศร (2554) เกี่ยวกับส่วนประสมทาง การตลาดด้านผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจ าหน่าย ราคา การส่งเสริมการตลาด ฯลฯ มาประยุกต์ใช้ร่วมกับ ผลการศึกษาของศิริลักษณ์ ดีดน้อย (2553) เกี่ยวกับการวัดทัศนคติความคิดเห็นของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ จ าหน่ายที่มีต่อการด าเนินงานของตลาด ปัญหาและอุปสรรคที่จะน ามาใช้เสนอแนะแนวทางในการพัฒนา โดย เลือกใช้การก าหนดขนาดตัวอย่างแบบเป็นสัดส่วนและใช้แบบสอบถามที่มีการแบ่งระดับของความคิดเห็น ออกเป็น 5 ระดับรวมทั้งประยุกต์ใช้เครื่องมือในการศึกษาที่ ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 2 (2554) ได้ ศึกษาถึงแนวทางการพัฒนาการผลิตการตลาดมันส าปะหลังในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง โดยวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก (SWOT Analysis) เพื่อน าไปประกอบการวิเคราะห์ทางเลือกในการ ก าหนดกลยุทธ์ (TOWS Matrix) 2.2 แนวคิดและทฤษฎี การศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ กรณีศึกษา ข้าวถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง ได้ศึกษาสภาพการตลาด รูปแบบการจ าหน่าย ต้นทุนด้านการตลาด วิถีการตลาด ทัศนคติและความต้องการด้านการพัฒนาศักยภาพการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของบุคลที่ เกี่ยวข้องในระบบตลาด 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) เกษตรกรทีได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และเกษตรกรที่ผลิตสินค้า เกษตรอินทรีย์ในระยะปรับเปลี่ยน 2) พ่อค้าผู้ประกอบการ 3) เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้อง และ 4) ผู้บริโภคสินค้าเกษตรในตลาดต่างๆ โดยน าข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายในและภายนอกด้านการผลิตการตลาดต่างๆ เพื่อน ามาใช้ประกอบการวิเคราะห์เพื่อก าหนดกลยุทธ์การ พัฒนาศักยภาพการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้ง 6 ชนิดสินค้า ได้อาศัยแนวคิดและทฤษฎี ดังนี้ 2.2.1 แนวคิดการวิเคราะห์ SWOT (Strengths, Weakness, Opportunities and Threats Analysis) และ TOWS Matrix เป็นวิธีการหรือเครื่องมือส าหรับการวางแผนกลยุทธ์ที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายในกิจการต่าง ๆ กระบวนการวิเคราะห์ SWOT จะท าให้ทราบสถานภาพปัจจุบันขององค์กรว่ามีลักษณะอย่างไร เพื่อหากล ยุทธ์ที่เหมาะสมให้แก่องค์กรนั้นๆ (เอกชัย อภิศักดิ์กุลและทรรศนะ บุญขวัญ, 2551) 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน หมายถึง การตรวจสอบความสามารถและความพร้อมที่ท า ให้ทราบถึงจุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อนขององค์กร (Weakness) ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จาก โอกาส (Opportunities) และหลบหลีกจากอุปสรรค (Threats) ที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอกได้ การ วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนยังช่วยระบุถึงจุดแข็งที่ซ่อนอยู่ และจุดอ่อนที่ถูกละเลย องค์กรจะต้องสามารถ ระบุปัจจัยภายในขององค์กรที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อนได้เนื่องจากจุดแข็งน าไปสู่การได้เปรียบทางการแข่งขัน เป็นสิ่งซึ่งองค์กรมีอยู่ท าหรือสามารถท าได้ดีกว่าคู่แข่งขันจุดอ่อน คือ สิ่งซึ่งองค์กรมีหรือท าหรือไม่มีเลย ซึ่ง ในขณะที่คู่แข่งขันสามารถท าได้ดีกว่า การพิจารณาจุดอ่อนและจุดแข็งสามารถเปรียบเทียบได้กับปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ ผลการด าเนินงานที่ผ่านมาในอดีตขององค์กร (Past Performance) คู่แข่งขันที่ส าคัญขององค์กร (Key Competition)และอุตสาหกรรมทั้งหมด


15 2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก หมายถึง การประเมินสภาพแวดล้อมในการด าเนินธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้ดังนั้นจึงต้องศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มการ เปลี่ยนแปลงในอนาคตของสภาพแวดล้อมดังกล่าวว่าเป็นไปในลักษณะที่เป็นโอกาสหรืออุปสรรคในการด าเนิน ธุรกิจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมภายนอกก็ส่งผลต่อองค์กรธุรกิจแต่ละแห่งในลักษณะที่แตกต่าง กันการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดโอกาสส าหรับองค์กรบางแหล่งอาจจะกลายเป็นข้อก าหนดขององค์กรอื่นหรือ ถึงแม้องค์กรธุรกิจหลายแห่งอาจจะได้รับประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กันแต่บางแห่งก็อาจจะได้รับ ประโยชน์มากกว่าแห่งอื่น เนื่องจากลักษณะที่แตกต่างกันขององค์กรธุรกิจและความสามารถของผู้บริหารใน การที่จะก าหนดกลยุทธ์ให้ได้รับประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น ส าหรับแนวคิดการวิเคราะห์ TOWS Matrix เป็นแมทริกซ์ที่แสดงถึงโอกาสและอุปสรรคจาก ภายนอกองค์กรที่สัมพันธ์กับจุดแข็งและจุดอ่อนภายในองค์กรโดยมีทางเลือกของกลยุทธ์ 4 ทางเลือก ซึ่งเกิด จากการจับคู่ระหว่างปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ดังนี้ ตารางที่ 2.1 TOWS Matrix: Threats– Opportunities –Weaknesses – Strengths TOWS Matrix S W O S – O Strategies ใช้จุดแข็งเพื่อสร้างข้อได้เปรียบจากโอกาส W – O Strategies แก้ไขจุดอ่อน เพื่อสร้างข้อได้เปรียบจากโอกาส T S – TStrategies ใช้จุดแข็งหลีกเลี่ยง ลดอุปสรรค W – TStrategies ลดความอ่อนแอ หลีกเลี่ยงอุปสรรค อาจเลิกกิจการ ที่มา : อ้างอิงจากเอกชัย อภิศักดิ์กุล และทรรศนะ บุญขวัญ.การจัดการกลยุทธ์ (Strategic Management) ของ Michael A.Hitt, R.Duane Ireland and Robert E.Hoskisson กลยุทธ์ SO หรือเรียกว่า กลยุทธ์จุดแข็งกับโอกาส ได้แก่ กลยุทธ์ที่องค์กรจะใช้จุดแข็ง ภายในองค์กรอาศัยประโยชน์จากโอกาส ณ ภายนอกที่เปิดโอกาสให้ ซึ่งทุกองค์กรต่างมีความต้องการจะสร้าง ความเข้มแข็งภายในเพื่อสามารถอาศัยประโยชน์จากสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ณ ภายนอก ซึ่งมีหลาย องค์กรใช้กลยุทธ์WO ST SO เพื่อจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ที่สามารถใช้กลยุทธ์ SO ได้อีกหมายความว่า เมื่อ องค์กรมีความอ่อนแอภายในก็จะพยายามปรับปรุงให้องค์กรภายในเข้มแข็งขึ้น และเมื่อองค์กรประสบกับ อุปสรรค ณ ภายนอกก็จะพยายามหลีกเลี่ยงและมุ่งเข้าหาโอกาสต่อองค์กรให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กลยุทธ์ST หรือเรียกว่า กลยุทธ์จุดแข็งกับอุปสรรค ได้แก่ กลยุทธ์ที่จะใช้ความเข้มแข็งภายใน องค์กรหลีกเลี่ยงหรือลดอุปสรรค ณ ภายนอกทั้งจากคู่แข่งขันหรือปัจจัยอื่นๆ กลยุทธ์ WO หรือเรียกว่า กลยุทธ์จุดอ่อนกับโอกาส ได้แก่ กลยุทธ์ที่องค์กรจะปรับปรุง แก้ไขความอ่อนแอภายในองค์กรโดยอาศัยประโยชน์จากโอกาสภายนอกที่เปิดโอกาสให้ถึงแม้ว่าสิ่งแวดล้อม ภายนอกดีมาก แต่หากองค์กรมีปัญหาภายในเองก็อาจท าให้ไม่ได้รับประโยชน์จากโอกาสภายนอกที่มีอยู่


16 เพราะจุดอ่อนอาจท าให้องค์กรไม่สามารถอยู่ได้จึงควรหาวิธีในการเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง เพราะยังมี โอกาสหรือช่องทางในการด าเนินงานในองค์กรต่อไปได้ กลยุทธ์ WT หรือเรียกว่า กลยุทธ์จุดอ่อนกับอุปสรรค ได้แก่ กลยุทธ์ที่ปกป้ององค์กรอย่าง ที่สุด คือ พยายามลดความอ่อนแอภายใน และหลีกเลี่ยงสภาวะแวดล้อมภายนอกที่เป็นอุปสรรคให้ได้มากที่สุด หากองค์กรเผชิญกับอุปสรรคภายนอกและภายในก็ยังอ่อนแอ องค์กรก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีอาจต้อง เลิกกิจการ 2.2.2 แนวคิดด้านการวัดทัศนคติของมนุษย์ ทัศนคติ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งที่เกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ และ สภาพการณ์ เมื่อเกิดความรู้สึกนั้นแล้วจะมีการเตรียมพร้อมเพื่อสร้างปฏิกิริยาตอบโต้ไปในทิศทางใดทิศทาง หนึ่งตามความรู้สึกของตนเอง การศึกษาทัศนคติของบุคคลสามารถท าได้โดยดูจากการแสดงพฤติกรรมของผู้ นั้นโดยใช้วิธีการสังเกต สอบถาม สัมภาษณ์ และทดสอบ นักจิตวิทยามีความเห็นว่าทัศนคติเป็นพื้นฐานอย่าง หนึ่งในการก าหนดพฤติกรรมของมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าทัศนคติเป็นพื้นฐานที่แท้จริงในการแสดงพฤติกรรมของ แต่ละบุคคล และสามารถจ าแนกทัศนคติออกเป็น 2 ประเภท คือ ทัศนคติทางบวก คือ ความรู้สึกที่ดี ที่ชอบ ที่ อยากมีความสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และทัศนคติทางลบ คือ ความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่อยากมีความสัมพันธ์ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดทัศนคติ ได้แก่ ประสบการณ์ต่างๆในอดีตที่ถูกหล่อหลอมมาจากความ เชื่อของแต่ละคน และการรับทัศนคติของผู้อื่นมาเป็นของตน ส าหรับแนวคิดเกี่ยวกับการวัดทัศนคตินั้น นิยมใช้ การวัดทัศนคติด้วยวิธีของลิเกิร์ต (Likert Scale) เป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้สึกและความเชื่อของบุคคลทั้ง ทางบวกและทางลบ แล้วให้ผู้ตอบเลือกค าตอบจากตัวเลือกที่มี โดยก าหนดเป็นคะแนน และมีขั้นตอนการ สร้างแบบทดสอบของลิเกิร์ตที่ต้องก าหนดขอบเขตความหมายของทัศนคติให้ชัดเจนแล้วสร้างข้อความที่เป็น ความรู้สึก ความเชื่อ หรือความตั้งใจที่จะท าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีทั้งความหมายทางบวกและลบคละกันไป โดยต้อง อ่านเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ก ากวม และถ้าหากต้องการเปรียบเทียบทัศนคติที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งระหว่างกลุ่ม หรือในกลุ่มเดียวกันให้ท าการทดสอบก่อนโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างที่คล้ายกับประชากรที่จะศึกษาจริงมาเป็น ค่าเฉลี่ย วิธีทางสถิติที่น ามาใช้วัดทัศนคติที่มีความแตกต่างระหว่างบุคคลนั้น นักจิตวิทยา ได้น าหลัก ทางสถิติมาใช้เป็นเครื่องมือในการวัด โดยน าข้อมูลหรือคะแนนดิบที่ได้มาวิเคราะห์ตีความหมายด้วยวิธีทาง สถิติหลายวิธี อาทิ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ฐานนิยม ในการศึกษาครั้งนี้ได้เลือกใช้ค่าเฉลี่ยใน การอธิบายค่า จากการก าหนดเกณฑ์ 5 ระดับชั้น คือ น้อยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก และมากที่สุด โดยคิดค่า คะแนนด้วยการถ่วงน้ าหนักตามปริมาณสัดส่วนของเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าแต่ละชนิด แต่ละกลุ่ม ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นต่างๆ เพื่อหาค่าค าตอบทางด้านทัศนคติที่มีต่อ ประเด็นต่างๆ โดยค่าคะแนนทัศนคติและความต้องการของเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าแต่ละชนิด แต่ละกลุ่มที่ได้รับ มาตรฐานการรับรองเกษตรอินทรีย์ ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในแต่ ละประเด็นจะถูกก าหนดอยู่ในเกณฑ์แต่ละระดับตั้งแต่มากที่สุดถึงน้อยที่สุด เพื่อน าไปประกอบการพิจารณา


17 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก ด้านการผลิตและการตลาด (SWOT Analysis) หลังจากนั้น น าผล การวิเคราะห์ SWOT ที่จัดเรียงล าดับตามความส าคัญแล้วไปก าหนดเป็นแนวทางแนวทางการพัฒนาศักยภาพ การตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ (TOWS Matrix) ให้มีความเหมาะสม และตรงกับความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วน เสียในระดับพื้นที่มากที่สุด(วารุณี จีนศร, 2554) การวัดทัศนคติด้วยวิธีของลิเกิร์ตมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ 5 คะแนน ส าหรับระดับพฤติกรรมการปฏิบัติมากที่สุด 4 คะแนน ส าหรับระดับพฤติกรรมการปฏิบัติมาก 3 คะแนน ส าหรับระดับพฤติกรรมการปฏิบัติปานกลาง 2 คะแนน ส าหรับระดับพฤติกรรมการปฏิบัติน้อย 1 คะแนน ส าหรับระดับพฤติกรรมการปฏิบัติน้อยที่สุด การแบ่งช่วงกว้างของอันตรภาคชั้น ช่วงกว้างของอันตรภาคชั้น คะแนนสูงสุด คะแนนต่ าสุด จ านวนชั้น เกณฑ์การแปลความหมายเพื่อจัดระดับคะแนนเฉลี่ยในช่วงดังต่อไปนี้ คะแนนเฉลี่ย ความหมาย 4.21 – 5.00 มีระดับพฤติกรรมการปฏิบัติมาก 3.41 – 4.20 มีระดับพฤติกรรมการปฏิบัติค่อนข้างมาก 2.61 – 3.40 มีระดับพฤติกรรมการปฏิบัติปานกลาง 1.81 – 2.60 มีระดับพฤติกรรมการปฏิบัติค่อนข้างน้อย 1.00 – 1.80 มีระดับพฤติกรรมการปฏิบัติน้อย ส าหรับข้อค าถามเชิงคุณภาพที่ก าหนดระดับคะแนนของข้อความแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เห็น ด้วย ไม่เห็นด้วย และไม่ทราบ โดยอธิบายค่าแต่ละระดับในรูปร้อยละ ดังนี้ เกณฑ์การแปลความหมาย คะแนนเฉลี่ย ความหมาย 81 – 100 มีการรับรู้ในระดับมากที่สุด 61 – 80 มีการรับรู้ในระดับมาก 41 – 60 มีการรับรู้ในระดับปานกลาง 21 – 40 มีการรับรู้ในระดับน้อย 0 – 20 มีการรับรู้ในระดับน้อยที่สุด


18 2.2.3 ทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค พฤติกรรมผู้บริโภค หมายถึง การแสดงออกของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้ สินค้า และบริการทางเศรษฐกิจ รวมถึงกระบวนการในการตัดสินใจที่มีผลต่อการแสดงออก อาทิ พฤติกรรม การซื้อและการใช้ของผู้บริโภค เพื่อให้ทราบถึงลักษณะความต้องการ และพฤติกรรมการซื้อและการใช้ของ ผู้บริโภคปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการซื้อและการใช้ของผู้บริโภค ซึ่งเป็นการศึกษาถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้ใช้ ลักษณะของผู้ซื้อที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัย ด้านจิตวิทยารวมถึงขั้นตอนการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยจะใช้ข้อค าถาม 6Ws และ 1H ประกอบด้วย Who ลักษณะของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย What สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการซื้อ Why วัตถุประสงค์ในการซื้อสินค้าหรือ บริการ Who Participates ผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ When โอกาสในการซื้อผิดหวัง Where ช่องทาง หรือแหล่งที่ซื้อ และ How ขั้นตอนในการตัดสินใจเลือกซื้อ ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ได้น าทฤษฎีพฤติกรรม ผู้บริโภคมาจัดท าเป็นข้อค าถามเพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมการบริโภค (ลัดดา พิศาลบุตร และปิยะดา พิศาลบุตร, 2552) 2.2.4 แนวคิดด้านการวิเคราะห์ตลาด (อ้างอิงจาก สยาม อรุณศรีมรกต และคณะ, 2553) การวิเคราะห์ด้านการตลาดสินค้าเกษตรแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของผู้ศึกษา ซึ่งในครั้งนี้จะผสมผสานวิธีการวิเคราะห์ตลาดแบบต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงสภาพของ ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ จ าแนกรายชนิดสินค้าเพื่อน าไปใช้ประกอบการวิเคราะห์ SWOT ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ถึงหน้าที่ของการตลาด (Functional Approach) เป็นการวิเคราะห์ สภาพกิจกรรมต่างๆ ในการเคลื่อนย้ายผลผลิตจากแหล่งผลิตไปยังผู้บริโภคได้แก่ การรวบรวม การซื้อการขาย การแปรรูป การจัดมาตรฐานสินค้า การเก็บรักษา การขนส่ง ความเสี่ยงด้านต่างๆฯลฯวิธีนี้มีประโยชน์ในด้าน การเปรียบเทียบต้นทุนของผู้ที่ท าหน้าที่การตลาดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเพราะจะทราบถึงความแตกต่างของ ต้นทุนการตลาดของผลผลิตชนิดต่างๆช่วยให้การปรับปรุงด าเนินงานของตลาดเป็นไปได้ง่ายขึ้นเพราะ สามารถ สะท้อนข้อเท็จจริงได้ชัดเจน 2) การวิเคราะห์ถึงสถาบัน (Institutional Approach) เป็นการวิเคราะห์ถึงการเข้ามามี ส่วนร่วมประกอบกิจกรรมด้านตลาดทั้งในแง่ส่งเสริม หรือเป็นอุปสรรคต่อความมีประสิทธิภาพการตลาดของ หน่วยงานบุคคลองค์กรบุคคล ผู้แปรรูป สถาบันต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนที่มีผลต่อการตลาด อีกทั้งท าให้ ทราบว่าใครมีบทบาทหน้าที่ในตลาดอย่างไร รวมทั้งวิเคราะห์ถึงวิถีการตลาด 3) การวิเคราะห์ถึงการปฏิบัติ(Performance Approach) เป็นการวิเคราะห์ถึงผลการ ปฏิบัติที่เกิดขึ้นในตลาดของผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบตลาด ทั้งในด้านการก าหนดราคาสินค้า ก าไรการวิเคราะห์ ต้นทุนผลตอบแทนด้านการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาด (Marketing Margins) ส่วนเหลื่อมการตลาด หมายถึง ส่วนแตกต่างระหว่างราคาสินค้าที่ผู้บริโภคจ่าย (Consumer Price) กับราคาที่เกษตรกรหรือผู้ผลิตได้รับ (Farm Price) โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อส่วนเหลื่อมการตลาดสูง คือ 1) ลักษณะของสินค้าที่เน่าเสียง่ายมีขนาดใหญ่และห่างไกลแหล่งบริโภค 2) การให้บริการในสินค้ามาก 3)


19 ลักษณะความต้องการสินค้าส าเร็จรูป มีความสะดวกสบายในการซื้อหาเพื่อบริโภค 4) ลักษณะโครงสร้างและการ ตั้งราคาในตลาดของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะหน่วยธุรกิจที่มีความได้เปรียบจะตั้งราคาสินค้าให้สูงกว่า หน่วยธุรกิจอื่นๆ 4) การศึกษาวิเคราะห์สินค้าแต่ละชนิด (Commodity Approach) เป็นการศึกษาเพื่อ สร้างความรู้ ความเข้าใจในตลาดสินค้าเกษตรแต่ละชนิด ว่ามีลักษณะเฉพาะอย่างไรเพื่อน ามาประกอบการ วิเคราะห์บริหารจัดการตลาด 5) การศึกษาวิเคราะห์ลักษณะของระบบตลาด (Marketing System Approach) เป็น การวิเคราะห์เพื่อดูลักษณะความสัมพันธ์ของการด าเนินธุรกิจต่างๆ ในการตลาด ระหว่างผู้ผลิต ผู้จ าหน่าย ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค จ าแนกออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 5.1) การศึกษาโครงสร้างการตลาด (Structure) หรือการวิเคราะห์ส่วนประกอบของ การตลาด ประกอบด้วย ผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง พ่อค้าส่ง–ปลีก ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคว่ามีความสัมพันธ์ อย่างไร โดยการพิจารณาในหลายด้าน อาทิ ความแตกต่างของสินค้าสามารถตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภคได้แค่ไหน ใครเป็นผู้น าตลาด มีจ านวนและขนาดธุรกิจ ลักษณะการแข่งขันของตลาด สภาพวิถี การตลาดเป็นอย่างไร มีส่วนแบ่งการตลาดระดับการผูกขาดที่กระทบต่อผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะเข้าสู่ธุรกิจ หรือการออกจากธุรกิจมากน้อยเพียงใด 5.2) การศึกษาระบบพฤติกรรมการตลาด (Behavioral System) พิจารณาบุคคลที่ท า หน้าที่ในการตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ในตลาดว่ามีระบบพฤติกรรมแบบใด โดยพฤติกรรมของบุคคลในระบบ ตลาดจะแสดงออกในลักษณะการตัดสินใจด้านต่างๆ อาทิการก าหนดราคา ขนาดของธุรกิจ การก าหนด นโยบายการผลิต และกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย จ าแนกได้4 ประเภท ได้แก่ 5.2.1) ระบบปัจจัยผลผลิต คือ พฤติกรรมชอบตัดสินใจบนพื้นฐานของปัจจัยที่หา ยากแต่ให้ได้ผลผลิตที่น่าพอใจมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยลดต้นทุนด้านการตลาด 5.2.2) ระบบอ านาจ คือ พฤติกรรมชอบการแข่งขันเพื่อเอาชนะธุรกิจอื่นๆ เพื่อสร้าง อ านาจผูกขาดให้ตนเอง 5.2.3) ระบบข่าวสารธุรกิจ คือ พฤติกรรมที่บุคคลในระบบตลาดมีความรวดเร็วด้าน ข้อมูลข่าวสารการตลาด จะนิยมท าการทดสอบประกอบการตัดสินใจ 5.2.4) ระบบการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน คือ พฤติกรรม ที่บุคคลในระบบตลาดมีการตัดสินใจที่ฉับไวพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของการตลาดเพื่อการแข่งขัน 5.3) การศึกษาผลการด าเนินงานของตลาด (Performance) เป็นการวิเคราะห์เพื่อให้ ทราบถึงระบบตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถศึกษาได้หลายวิธี ดังนี้


20 5.3.1) การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย คือ การวิเคราะห์ถึงค่าใช้จ่าย เพื่อโน้มน้าวหรือกระตุ้นให้มีการบริโภคสินค้ามากขึ้น อาทิ ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้เกี่ยวกับตัว สินค้าการวางจ าหน่ายสินค้าให้ดึงดูดใจผู้บริโภค ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะสูงขึ้นตามขนาดของธุรกิจ แต่ถ้ามีสัดส่วน ค่าใช้จ่ายด้านนี้สูงเกินไปเมื่อเทียบกับต้นทุนการตลาดทั้งหมดจะสะท้อนว่าผลการด าเนินงานของตลาดขาด ประสิทธิภาพ 5.3.2) การวิเคราะห์ด้านตัวสินค้า คือ การวิเคราะห์ถึงระบบหรือรูปแบบการ ส่งเสริมการขายว่าตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด แสดงถึงการประสบความส าเร็จในการ ด าเนินธุรกิจ 5.3.3) การวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีการผลิตและการตลาด คือ การวิเคราะห์ถึง ความสามารถในการลดต้นทุนการตลาดโดยน าเทคโนโลยีเพื่อการผลิต การตลาดที่มีประสิทธิภาพมา ประยุกต์ใช้ ให้บริการการตลาดดีขึ้น แสดงถึงการประสบความส าเร็จในการด าเนินธุรกิจ 5.3.4) การวิเคราะห์ด้านผลก าไรและต้นทุนการตลาดของหน่วยธุรกิจ คือ การ วิเคราะห์ถึงอัตราผลก าไร ความคุ้มค่าในการลงทุนด้านการตลาด ที่จะส่งผลต่อการสร้างแรงจูงใจในการขยาย ธุรกิจซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบตลาด 5.4) แนวคิด Five-Force Model เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยหรือสภาพการแข่งขันของธุรกิจที่จะท าให้ทราบถึงที่มาของ ความรุนแรงและอิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะการแข่งขัน (พักตร์ผจง วัฒนสินธุ์ และพสุ เดชะรินทร์, 2545) รวมทั้งได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยด้านนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์ด้วย ภาพที่ 2.1 ปัจจัยส าคัญ 5 ประการที่ส่งผลต่อสภาวะการแข่งขัน (Porter's Five Forces Model)


21 Michael E. Porter ได้เสนอแนวคิดว่ามีปัจจัยส าคัญ 5 ประการที่ส่งผลต่อสภาวะใน การแข่งขัน หรือที่เรียกกันว่า Five-Forces Model ภายใต้แนวคิดนี้กลุ่มขององค์กรธุรกิจที่ท าการผลิตสินค้า หรือบริการจะมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกัน หรือสามารถทดแทนกันได้ ซึ่งการวิเคราะห์นี้จะช่วยในการบ่งชี้ ถึงโอกาสในการได้ก าไรของธุรกิจ และข้อจ ากัดที่องค์กรธุรกิจจะต้องเผชิญ โดยปัจจัยทั้ง 5 ประการนี้จะ เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ลักษณะที่ส าคัญของว่า Five-Forces Model ประกอบด้วย 5.4.1) ข้อจ ากัดในการเข้าสู่อุตสาหกรรมของคู่แข่งขันใหม่ (Threat of New Entrants or Potential Competitors) คู่แข่งขันใหม่ๆที่มีอยู่ในขณะนั้นมีความสามารถและมีแนวโน้มที่จะ เข้ามาในธุรกิจ ดังนั้น จึงพยายามป้องกันไม่ให้องค์กรใหม่ๆ เข้ามาเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสภาวะในการ แข่งขันในธุรกิจ อาทิ ส่วนแบ่งตลาด ซึ่งปัจจัยส าคัญที่ท าให้คู่แข่งขันเข้ามาในอุตสาหกรรม คือต้นทุนการผลิต และการโต้ตอบจากองค์กรธุรกิจเดิม 5.4.2) ค ว ามรุ นแ รงของสภ า ว ะก า รแข่งขัน ร ะห ว่ างองค์ก รที่ อยู่ใน ธุ รกิ จ เดียวกัน (Intensity of Rivalry Among Existing Competitors) สภาวะการแข่งขันของธุรกิจจะทวีความรุนแรง ขึ้นเมื่อองค์กรอื่นๆมองเห็นช่องทางในการได้ก าไรมากขึ้น หรือถูกคุกคามจากการกระท าขององค์กรอื่น เช่น การลดราคา การต่อสู้ทางด้านการตลาด การแนะน าสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด หรือการเพิ่มการให้บริการหลังการ ขายแก่ลูกค้า 5.4.3) การมีสินค้าหรือบริการที่สามารถทดแทนกันได้(Threat of Substitute Products or Services) ธุรกิจหนึ่งอาจจะมีการแข่งขันกับธุรกิจอื่นที่ผลิตสินค้าที่มีลักษณะที่ทดแทนกันได้ แม้ว่าจะเป็นสินค้าคนละชนิด แต่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เหมือนกัน สินค้าทดแทนจะเป็น ข้อจ ากัดไม่ให้มีการตั้งราคาสินค้าที่สูงเกินไปเนื่องจากลูกค้าอาจจะหันไปใช้สินค้าที่ทดแทนกันได้ และถ้า ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ (Switching Cost) ต่ า ปัจจัยในด้านการใช้สินค้าทดแทนก็จะมีผลมากขึ้น เช่น ชาอาจเป็นสินค้าทดแทนของกาแฟ ธุรกิจที่สามารถผลิตสินค้าที่ไม่มีสินค้าทดแทนได้ย่อมมีผลตอบแทนที่ สูงสามารถหาก าไรได้มาก 5.4.4) อ านาจต่อรองของผู้ซื้อ (Bargaining Power of Buyer) ผู้ซื้อจะมีผลกระทบต่อ ธุรกิจ ถ้าผู้ซื้อมีอ านาจต่อรองหรือมีอิทธิพลต่อการก าหนดราคาของสินค้าและบริการให้ต่ าลงได้ หรือมีอิทธิพล ในการต่อรองให้ธุรกิจเพิ่มคุณภาพของสินค้าและบริการให้มากขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการด าเนินงานขององค์กร ธุรกิจสูงขึ้น 5.4.5) อ านาจต่อรองของผู้ขายวัตถุดิบ (Bargaining Power of Suppliers) ผู้ขาย วัตถุดิบจะมีอิทธิพลต่อธุรกิจนั้นเนื่องจากสามารถก าหนดให้สินค้ามีราคาสูง/ต่ า เพิ่ม/ลดคุณภาพของสินค้าได้ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนและก าไรขององค์กรธุรกิจ ในกรณีที่ผู้ขายมีความอ่อนแอหรือมีอ านาจในการต่อรองต่ าย่อม ถูกผู้ซื้อกดราคาและเรียกร้องสินค้าที่มีคุณภาพที่สูงขึ้นได้ แนวคิดดังกล่าวน ามาประยุกต์ใช้ในการศึกษาระบบพฤติกรรมตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์เพื่อให้ทราบถึงโครงสร้างตลาดที่จะน าไปประกอบการวิเคราะห์ระบบตลาด ซึ่งจะเป็นข้อมูล ประกอบการวิเคราะห์ SWOT


22 5.5) ต้นทุนการตลาด (Marketing Cost) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการท าหน้าที่ทางการตลาดของผู้ด าเนินการทาง การตลาดที่เคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย ต้นทุนทางการตลาดนี้ประกอบด้วย ค่าขนส่ง ค่าเก็บรักษา ค่าแปรรูป ค่าจ้างแรงงาน ค่าดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าเสียโอกาสของเงินทุน และค่าใช้จ่าย อื่นๆ ซึ่งต้นทุนการตลาดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบการค านวณส่วนเหลื่อมการตลาด ซึ่งส่วนเหลือม การตลาดจะรวมก าไรของผู้ประกอบการค้าไว้ด้วย ถ้าตลาดเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ก าไรจะมีเพียงก าไรปกติ เท่านั้น 6) การศึกษาวิจัยการตลาด (Historical Marketing Approach) เป็นการศึกษาถึงสาเหตุปัจจัยของการเกิดปัญหาด้านการตลาดในอดีต ซึ่งอาจเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงของนโยบายการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีฯลฯ โดยจะน าผลการวิเคราะห์ที่ได้จาก การสอบถามมาวิเคราะห์ร่วมกับด้านอื่นๆ และน ามาประกอบการวิเคราะห์ SWOT และ TOWS เพื่อจัดท า แนวทางการพัฒนาต่อไป 2.2.5 แนวคิดส่วนประสมทางการตลาด (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2550) ส่วนประสมทางการตลาดเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมเพื่อท าให้กิจการด าเนินอยู่ได้ โดยองค์กรจะต้องน าปัจจัยต่างๆดังกล่าวมารวมกัน สร้างสรรค์ส่วนประสมทางการตลาดขึ้นมาในอัตราส่วนที่เหมาะสมเพื่อก าหนดกลยุทธ์สนองความพึงพอใจของ ตลาดการก าหนดส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix) หรือ 4P’s มีองค์ประกอบส าคัญ ดังนี้ 1) ผลิตภัณฑ์(Product) หมายถึง สิ่งที่ธุรกิจเสนอขายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้เกิดความพึงพอใจผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายอาจจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้แต่ต้องมีอรรถประโยชน์(Utility) และมีคุณค่า (Value) 2) ราคา (Price) หมายถึง จ านวนเงินที่ผู้บริโภคต้องช าระเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการ หรือเป็น สิ่งที่ก าหนดมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในรูปของเงินตราผู้บริโภคจะเปรียบเทียบและตัดสินใจซื้อเมื่อประเมินว่าสินค้า นั้นมีคุณค่าสูงกว่าราคา 3) การจัดจ าหน่าย (Place) หมายถึง เส้นทางที่ผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดผ่านช่องทางการจ าหน่าย ประกอบด้วย ผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง ผู้บริโภคคนสุดท้ายโดยมีกิจกรรมที่ช่วยกระจายสินค้า คือ การขนส่งการ เก็บรักษาสินค้าคงคลัง การคลังสินค้า การบริการสินค้าคงเหลือ ฯลฯ 4) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เป็นเครื่องมือในการสร้างความพึงพอใจและจูงใจให้เกิด ความต้องการต่อสินค้าและบริการ โดยคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึก ความเชื่อ ทัศนคติและพฤติกรรม ของ ผู้ซื้อ สามารถด าเนินการแบบผสมผสานเครื่องมือ (Integrated Marketing Communication: IMC) อาทิ การโฆษณาการขายโดยใช้พนักงานขาย การส่งเสริมการขาย การประชาสัมพันธ์และการตลาดทางตรง


23 แบบสัมภาษณ์: เครื่องมือที่ใช้ใน การจัดเก็บข้อมูล แนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ภาพที่ 2.2 กรอบแนวความคิดและความเชื่อมโยงของการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีในการศึกษา แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าที่ศึกษา : ข้าว ถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์และประมง เกษตรกรผู้ผลิตและจ าหน่ายสินค้า เกษตรอินทรีย์ - เกษตรกรทีได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทั้ง จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน - เกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระยะ ปรับเปลี่ยน ผู้ประกอบการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ และผู้จัดการตลาดต่างๆ ผู้บริโภคสินค้าเกษตรได้แก่ - ผู้บริโภคตัวอย่างที่เคยซื้อสินค้าเกษตร อินทรีย์เพื่อบริโภคเองหรือน าไปแปรรูป - ผู้บริโภคตัวอย่างที่ไม่เคยซื้อสินค้าเกษตร อินทรีย์ แต่รู้จักสินค้าเกษตรอินทรีย์ วิถีตลาด การวิเคราะห์ตลาด (หน้าที่ตลาด, สถาบัน, การปฏิบัติ, การวิเคราะห์สินค้า, ลักษณะตลาด, ต้นทุนการตลาด, ส่วนประสมทางการตลาด) การขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการ ด้านระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ วิเคราะห์เชิงคุณภาพ : SWOT Analysis, TOWS Matrix วิเคราะห์เชิงปริมาณ : สถิติอย่างง่าย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ประกอบ ค าอธิบายค่า และใช้การวัดทัศนคติ ของลิเกิร์ต (Likert Scale) พฤติกรรม ผู้บริโภค เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐและ ภาคีเครือข่าย ประเด็นการวิเคราะห์สภาพการตลาด


24 บทที่ 3 ข้อมูลทั่วไป 3.1 สภาพการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ 3.1.1 ข้าวอินทรีย์ คาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวอินทรีย์กับข้าวทั่วไปว่า ในปีเพาะปลูก 2560/61 ประเทศไทยจะมีเนื้อ ที่ปลูกข้าวอินทรีย์ 91,936 ไร่ ผลผลิต 40,626 ตัน คิดเป็นร้อยละ 0.16 ของปริมาณผลผลิตข้าวทั่วไปที่มีเนื้อที่ ปลูก 58,962,000ไร่ ผลผลิต 24,074,355 ตัน ภาพรวมประเทศ ปริมาณผลผลิตข้าวอินทรีย์ในประเทศที่ผลิตได้รวมทั้งสิ้น 40,626 ตัน ผลผลิต ส่วนใหญ่เป็นข้าวแปรรูปร้อยละ 49.84 รองลงมา คือ ข้าวเปลือกและเมล็ดพันธุ์ข้าวคิดเป็นร้อยละ 49.43 และ 0.73 ตามล าดับ เมื่อพิจารณามูลค่าข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในประเทศส่วนใหญ่เป็นข้าวแปรรูป โดยมีมูลค่า การค้ามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 75.51 ของมูลค่าข้าวอินทรีย์ทั้งหมด รองลงมา คือ ข้าวเปลือก และเมล็ดพันธุ์ ข้าว คิดเป็นร้อยละ 24.01 และ 0.48 ตามล าดับ ดังนั้น ควรสนับสนุนให้เกิดการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ผลผลิต ข้าวอินทรีย์เป็นการจ าหน่ายในตลาดภายในประเทศมากถึงร้อยละ 63.03 ของปริมาณข้าวอินทรีย์ทั้งหมด ที่ เหลืออีกร้อยละ 36.97 ส่งจ าหน่ายตลาดต่างประเทศ สายพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพในการส่งออก ได้แก่ ข้าวหอม มะลิ 105 ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวเหนียว กข6 และข้าวชัยนาท ซึ่งได้รับมาตรฐาน Organic Thailand IFOAMEU NOP และ JAS ส่วนที่เหลือเป็นข้าวพื้นเมือง ได้แก่ ข้าวสังข์หยด (ข้าว GI พัทลุง)ข้าวเล็บ นกข้าวเหนียวสันป่าตอง 1ข้าวสินเหล็ก ข้าวหอมปทุม ข้าวหอมสุรินทร์ข้าวหอมอุบล ข้าวทับทิมชุมแพ ข้าวบือโปะ โละและข้าวพันธุ์ใหม่ที่ได้วิจัยและพัฒนา ได้แก่ ข้าวเจ้าพันธุ์ กข12 กข15 กข18 กข43 ข้าวมะลิธรรมศาสตร์ ข้าวปิ่นเกษตร ข้าวญี่ปุ่น ซึ่งได้รับมาตรฐาน Organic สามารถพิจารณาการผลิตข้าว จ าแนกตามภูมิภาค ได้ดังนี้ ภาคเหนือ ข้าวอินทรีย์ในตลาดข้าวอินทรีย์ภาคเหนือส่วนใหญ่เป็นข้าวนาปี มีผลผลิต 1,798 ตัน มีช่องทางการจ าหน่ายตลาดในประเทศร้อยละ 72.55 และตลาดต่างประเทศร้อยละ 27.45 ของปริมาณข้าว ทั้งหมด สายพันธุ์ข้าวที่นิยมผลิตและมีศักยภาพในการส่งออกส าคัญ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมนิล และข้าวญี่ปุ่น นอกจากนี้ ได้มีการเพิ่มการผลิตข้าวสายพันธุ์อื่นๆ ที่ตลาดมีความ ต้องการมากขึ้น อาทิ ข้าวเหนียว กข6 ข้าวพันธุ์พื้นเมือง หรือข้าวประจ าถิ่น ได้แก่ ข้าวเหนียวสันป่าตอง1 (เชียงใหม่) ข้าวบือโปะโละ (เชียงใหม่) ข้าวเหนียวด า ข้าวเหนียวลืมผัว ข้าวพันธุ์อื่นๆ และข้าวพันธุ์ใหม่ที่ได้วิจัย และพัฒนา คือ ข้าว กข15 ซึ่งมาตรฐานข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในพื้นที่ภาคเหนือผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตร อินทรีย์ Organic Thailand มาตรฐานท้องถิ่น มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือมาตรฐานประเทศไทย (Organic Thailand) และมาตรฐานสากล ได้แก่ IFOAM EU NOP และ JAS


25 ภาคกลางและภาคตะวันออก ข้าวอินทรีย์ในตลาดข้าวอินทรีย์ภาคกลางส่วนใหญ่เป็นข้าวนาปีมี ผลผลิต 1,825 ตัน ในขณะที่ภาคตะวันออกมีผลผลิตเพียง 122 ตัน ผลผลิตน าไปจ าหน่ายในตลาด ภายในประเทศทั้งหมด สายพันธุ์ข้าวที่นิยมผลิตคือ ข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวไรซ์เบอร์รี่ ส่วนที่เหลือเป็นข้าว พื้นเมือง ได้แก่ ข้าวสินเหล็ก ข้าวหอมปทุมเทพ ข้าวช่อราตรี และข้าวพันธุ์อื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีการผลิตข้าว สายพันธุ์ใหม่ที่มีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิธรรมศาสตร์ ข้าว กข14 และ กข15 ซึ่งมาตรฐาน ข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ Organic Thailand ภาคตะวันตก ข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในตลาดข้าวอินทรีย์ภาคตะวันตกเป็นข้าวนาปี มีผลผลิต 65 ตัน ผลผลิตน าไปจ าหน่ายในตลาดภายในประเทศทั้งหมด สายพันธุ์ข้าวที่นิยมผลิต คือ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวไรซ์ เบอร์รี่ และข้าวหอมปทุม ซึ่งมาตรฐานข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในพื้นที่ภาคตะวันตกผ่านการรับรองมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ Organic Thailand ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าวอินทรีย์ในตลาดข้าวอินทรีย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นข้าวนาปีมี ผลผลิต 35,642 ตัน โดยมีการจ าหน่ายตลาดในประเทศร้อยละ 61.12 และต่างประเทศร้อยละ 38.88 ของ ปริมาณข้าวอินทรีย์ทั้งหมด สายพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพในการส่งออกส าคัญ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ105 ข้าวหอมมะลิ แดง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวชัยนาท และข้าวหอมมะลิด า ซึ่งได้รับมาตรฐานทั้ง Organic Thailand และในระดับ สากล ได้แก่ IFOAM,EU,NOP และ JAS ส่วนที่เหลือเป็นข้าวเหนียว กข6 ข้าวพันธุ์พื้นเมือง ได้แก่ ข้าวหอม สุรินทร์ ข้าวหอมอุบล ข้าวทับทิมชุมแพ (ขอนแก่น) และข้าวพันธุ์อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นข้าวพันธุ์ใหม่ที่มีการวิจัย และพัฒนาพันธุ์ ได้แก่ ข้าว กข12 กข15 กข18 ซึ่งมาตรฐานข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ Organic Thailand และมาตรฐานสากล ได้แก่ IFOAM EU NOP และ JAS ภาคใต้ข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในตลาดข้าวอินทรีย์ภาคใต้เป็นข้าวนาปี มีผลผลิต 1,389 ตัน ซึ่งข้าว อินทรีย์จัดจ าหน่ายตลาดในประเทศทั้งหมด สายพันธุ์ข้าวที่นิยม คือ ข้าวสังข์หยดซึ่งเป็นข้าวประจ าถิ่นของ จังหวัดพัทลุง (ข้าว GI) และข้าวเล็บนก ซึ่งมาตรฐานข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ในพื้นที่ภาคใต้ผ่านการรับรอง มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ Organic Thailand 3.1.2 ถั่วเหลืองอินทรีย์ ถั่วเหลืองอินทรีย์ส่วนใหญ่ที่วางจ าหน่ายในตลาดเป็นผลผลิตจากการผลิตถั่วเหลืองฤดูแล้ง (หลังนา) มีเพียงเล็กน้อยที่เป็นถั่วเหลืองฤดูฝน สายพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมผลิต ได้แก่ พันธุ์เชียงใหม่ 60 แหล่งผลิตส าคัญ คือ จ.เชียงใหม่ ศรีสะเกษ และล าปาง ส าหรับแหล่งผลิตใน จ.เชียงใหม่ อยู่ในพื้นที่ 3 อ าเภอได้แก่ อ.แม่แตง (กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปแม่บ้านสันป่ายาง ต.สันป่ายาง กลุ่มเกษตรอินทรีย์ต้นน้ าแม่ฮาว บ้านดอนเจียง ต าบลสบเปิง) กลุ่มเกษตรกรอ าเภอแม่ริม และกลุ่มเกษตรกรอ าเภอสันป่าตอง มีปริมาณผลผลิต 11-12 ตันต่อ ปี ได้รับมาตรฐานรับรอง Organic Thailand และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ (มอน.) ซึ่งมีปริมาณ ผลผลิตใกล้เคียงกับแหล่งผลิตใน จ.ศรีสะเกษ ที่ผลิตถั่วเหลืองในพื้นที่นาอินทรีย์พื้นที่ ต.ผักไหม อ.ห้วยทับทัน (กลุ่มวิสาหกิจส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวต าบลผักไหม) มีประมาณ 12 ตัน และได้รับมาตรฐานรับรอง


26 Organic Thailand เช่นเดียวกัน ส่วนแหล่งผลิตในจังหวัดล าปาง คือ อ.แม่พริก (กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตร อินทรีย์บ้านแม่พริกลุ่ม) มีปริมาณผลผลิต 9 ตัน ขณะนี้ยังอยู่ในระยะปรับเปลี่ยนภายใต้มาตรฐานการรับรอง Organic Thailand 3.1.3 ผักอินทรีย์ ผักอินทรีย์มีแนวโน้มความต้องการบริโภคเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตามกระแสรักสุขภาพที่มีมากขึ้น ประกอบกับการขยายตัวของชุมชนเมืองที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตผักด้วยตนเอง ต้องซื้อผักบริโภค แม้ว่าผักอินทรีย์จะมีราคาสูงกว่าผักทั่วไป เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูงกว่าจากผลผลิตต่อไร่ที่ต่ ากว่า การผลิตทั่วไป และมีต้นทุนแรงงานเพื่อดูแลรักษา มีความละเอียดและพิถีพิถันมาก ผักอินทรีย์สามารถปลูกได้ ในทุกภาคของประเทศไทย ปัจจุบันมีจ านวนชนิดสินค้ามากขึ้น อาทิผักสลัด (สลัดเรดโอ๊ค สลัดเรดคอรัล กรีนโอ๊คบัตเตอร์เฮด ผักสลัดแก้ว) คะน้า ต้นหอม ผักชี ผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย หอมหัวใหญ่ กระเทียม หอมแดง กวางตุ้ง กะหล่ าปลี พริกขี้หนู พริกหยวก ตะไคร้ มะนาว กะเพรา ถั่วฝักยาว แตงกวา ฟักทอง มะเขือ บวบ ผักกาดขาว กระเจี๊ยบเขียว โหระพา ถั่วพู ถั่วลันเตา มะเขือเทศ ชะอม กุ่ยช่าย ข่า มะกรูด ชะอม ฟัก แครอท ข้าวโพดหวาน หน่อไม้ และเห็ดต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตผักอินทรีย์ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีการศึกษาถึงกระบวนการผลิต เพื่อให้สินค้าที่ผลิตได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต โดยศึกษาหาความรู้ สร้างความเข้าใจก่อนท าการผลิต สามารถพิจารณาสภาพการผลิตผักอินทรีย์จ าแนกรายภาคได้ดังนี้ ภาคเหนือ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.ล าพูน และ จ.พะเยา มีบริษัท สหกิจสมุนไพรไทย จ ากัด กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกผักปลอดภัยบ้านตุ่น ท าหน้าที่รวบรวมผลผลิตผักอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิต ภายใต้มาตรฐาน IFOAM Organic Thailand สินค้าที่ผลิต ได้แก่ ผักสลัด หอมหัวใหญ่ กระเทียม หอมแดง ส่วนในพื้นที่ จ.สุโขทัย จ.น่าน จ.อุตรดิตถ์ และ จ.พิษณุโลก กลุ่มเกษตรกรจะท าหน้าที่รวบรวมผลผลิตผัก อินทรีย์จากเกษตรกรสมาชิกกลุ่ม ภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand โดยมีเกษตรกรบางรายยังอยู่ในระยะ ปรับเปลี่ยนภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand สินค้าที่ผลิต ได้แก่ ผักสลัด คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง กะหล่ าปลี พริก ส าหรับในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ สหกรณ์ผู้ปลูกผักปลอดภัยภูทับเบิก อ.หล่มสัก จะท าหน้าที่รวบรวมผลผลิต ผักอินทรีย์จากเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์ฯ ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่อยู่ในระยะปรับเปลี่ยน ได้แก่ สลัดเรดโอ๊ค สลัดเรดคอรัล กรีนโอ๊ค ผักสลัดแก้ว คะน้าฮ่องกง ฯลฯ ภาคกลาง ในพื้นที่ จ.ราชบุรี จ.นครปฐม จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.กาญจนบุรีมีมูลนิธิ อาสาเพื่อนพึ่งพา(ภา)ยามยาก แก้วเกษตรไทย ท าหน้าที่รวบรวมผลผลิตผักอินทรีย์จากเกษตรกรและกลุ่ม เกษตรกรผู้ผลิต ภายใต้มาตรฐาน IFOAM Organic Thailand และ PGS โดยมีเกษตรกรบางรายยังอยู่ในระยะ ปรับเปลี่ยนภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand สินค้าที่ผลิต ได้แก่ ผักสลัด คะน้า ผักชีฝรั่ง ผักบุ้ง กวางตุ้ง พริก ตะไคร้ ฯลฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่จ.นครราชสีมา มีวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์แปลงใหญ่นิคม เศรษฐกิจพอเพียง ท าหน้าที่รวบรวมผลผลิตผักอินทรีย์จากเกษตรกรผู้ผลิต แหล่งผลิตส าคัญ คือ อ.วังน้ าเขียว ผลผลิตส่วนใหญ่อยู่ในระยะปรับเปลี่ยนภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand ได้แก่ ผักสลัดแก้ว เรดโอ๊ค


27 กรีนโอ๊คบัตเตอร์เฮด ผักบุ้ง ฯลฯ ส่วนในพื้นที่ จ.มหาสารคาม จ.ขอนแก่น จ.ร้อยเอ็ด และ จ.กาฬสินธุ์ มีกลุ่ม วิสาหกิจชุมชนบ้านหนองหอยเชียงส่ง ท าหน้าที่รวบรวมผลผลิตผักอินทรีย์ ภายใต้มาตรฐาน IFOAM Organic Thailand โดยมีเกษตรกรบางรายยังอยู่ในระยะปรับเปลี่ยนภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand และสินค้าที่ ผลิต ได้แก่ คะน้า ต้นหอม ผักชี กวางตุ้ง มะนาว พริก กะหล่ าปลี กระเพรา ถั่วฝักยาว ฯลฯ 3.1.4 ผลไม้อินทรีย์ แนวโน้มการค้าผลไม้อินทรีย์ของประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สอดรับกับกระแสความตื่นตัว เรื่อง สุขอนามัยและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งกระตุ้นให้ผู้คนหันมาเลือกบริโภคสินค้าที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ มากขึ้นแม้จะมีราคาจ าหน่ายสูงกว่าราคาสินค้าโดยทั่วไป ท าให้มีการขยายพื้นที่เพื่อผลิตผลไม้อินทรีย์เพิ่มมาก ขึ้น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตผลไม้ทั่วไปเป็นผลไม้อินทรีย์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น สามารถพิจารณาสภาพการผลิตผลไม้อินทรีย์ จ าแนกรายภาค ได้ดังนี้ ภาคเหนือ แหล่งผลิตที่ส าคัญอยู่ใน จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ล าพูน น่าน สุโขทัย แพร่ เชียงราย ล าปาง เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และอุตรดิตถ์ มีวิสาหกิจชุมชนแม่ทาออร์แกนิค วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกผัก ปลอดภัยบ้านตุ่น บริษัทเอ็มทีที.คอฟฟี่ จ ากัด ไร่ฮานาดะออร์แกนิคฟาร์ม บริษัท Sweet Memory@Pai ชนะ ออร์แกนิค บริษัทสหกิจสมุนไพรไทยจ ากัด และกลุ่มเกษตรกรอ าเภอทุ่งหัวช้าง ท าหน้าที่เป็นผู้รวบรวมผลผลิต ผลไม้อินทรีย์จากเกษตรกรผู้ผลิต ภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand มาตรฐาน IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) มาตรฐาน USDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture) มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น (Japanese Agricultural Standard) มาตรฐานองค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ (มอน.) และมาตรฐานระบบการรับรองแบบมี ส่วนร่วม(Participatory Guarantee Systems : PGS) ผลิตผลไม้อินทรีย์หลากหลายชนิด ได้แก่ สตรอว์เบอร์รี่ เงาะโรงเรียน ทุเรียน ลองกอง มะม่วงน้ าดอกไม้สีทอง ล าไย ฝรั่ง กาแฟ อาโวคาโด น้อยหน่า กระท้อน ละมุด มะนาวแป้น มะนาว มะตูม หม่อนผลสด ส้มโอ มะละกอ ขนุน มะพร้าว สับปะรด เสาวรส มะไฟ ลิ้นจี่ มะยงชิด แตงโม มะขาม มะขามป้อม มะเฟืองหวาน มะเฟืองเปรี้ยว ชมพู่ มะยม แก้วมังกร แคนตาลูป แตงไทย หมากเม่า หมาก เชอรี่ อินทผาลัม มะกอกน้ า มะกอก ตะลิงปิง มะเดื่อ พลับ อ้อย สาลี่ เมล่อน พุทรา กล้วยหอม กล้วยหอมทอง กล้วยน้ าว้า และกล้วยนาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แหล่งผลิตที่ส าคัญอยู่ในจังหวัด จ.ยโสธร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครราชสีมา สกลนคร เลย มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ มีกลุ่มเกษตรอินทรีย์เครือข่าย ปลูกฮัก ท าหน้าที่เป็นผู้รวบรวมผลผลิตผลไม้อินทรีย์จากเกษตรกรผู้ผลิต ภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand และมาตรฐานระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee Systems : PGS) สินค้าที่ผลิตมี หลากหลายชนิด ได้แก่ แตงโม กล้วยน้ าว้า กล้วยหอม กล้วยหอมทอง มะพร้าวน้ าหอม น้อยหน่า แก้วมังกร ฝรั่งแป้นสีทอง ฝรั่งกิมจู หมากเม่า มะละกอ เสาวรส สับปะรด พุทรา ล าไย ขนุน ส้มโอ กระท้อน มะกอกน้ า มะกอก ชมพู่ มะขามเปรี้ยว มะขาม ส้มป่อย หม่อนผลสด หมาก มะนาวแป้น มะนาว สาเก มะม่วงหลากหลายพันธุ์


28 ได้แก่ มะม่วงแก้ว น้ าดอกไม้สีทองเบอร์ 1 น้ าดอกไม้ เขียวเสวย อกร่องสีทอง เขียวใหญ่ มหาชนก โชคอนันต์ และงามเมืองย่า ภาคตะวันออก แหล่งผลิตที่ส าคัญอยู่ในจังหวัด จ.ระยอง จันทบุรี ตราด และฉะเชิงเทรา มี วิสาหกิจชุมชนเกษตรเพื่อสุขภาพบ้านปัถวีอ.มะขาม วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตพืชสมุนไพรบ้านเกาะลอย และ กลุ่มเกษตรอินทรีย์อ าเภอสนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ท าหน้าที่เป็นผู้รวบรวมผลผลิตผลไม้อินทรีย์จากเกษตรกร ผู้ผลิต ภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand มาตรฐาน IFOAM(International Federation of Organic Agriculture Movements) มาตรฐาน USDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture) มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น (Japanese Agricultural Standard : JAS) มาตรฐาน ระบบเกษตรอินทรีย์แคนาดา (Canada Organic Regime : COR) และมาตรฐานการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee Systems : PGS) สินค้าที่ผลิตหลากหลายชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สละ ระก า ล าไย ฝรั่ง สับปะรด ส้มโอ ละมุด มะม่วง กระท้อน มะพร้าว มะละกอ เมล่อน น้อยหน่า ชมพู่ หม่อนผลสด มะเดื่อฝรั่ง มะตูม ขนุน มะยงชิด มะปราง องุ่นบราซิล เสาวรส มะขามหวาน มะขามเปรี้ยว มะขามป้อม ส ารอง มะนาว หว้า มะกอกฝรั่ง มะกอกป่า มะกอกน้ ามัน ตะขบป่า มะไฟ สาเก หมาก กาแฟ ส้มจี๊ด ส้มซ่า มะเฟือง มะอึก กล้วยหอม กล้วยน้ าว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุก และกล้วยเล็บมือนาง ภาคใต้แหล่งผลิตที่ส าคัญอยู่ในจังหวัด จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง สตูล นราธิวาส และพัทลุง มีชมรมเกษตรอินทรีย์เกาะพะงัน วิสาหกิจชุมชนชาวสวนมะพร้าว อ.เกาะพะงัน วิสาหกิจชุมชนกลุ่ม มังคุดทุเรียนอินทรีย์ และบริษัทเฮอริเทจโกรวเวอร์คอร์ปอเรชั่น ท าหน้าที่เป็นผู้รวบรวมผลผลิตผลไม้อินทรีย์ จากเกษตรกรผู้ผลิต ภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand มาตรฐาน IFOAM (International Federationof Organic Agriculture Movements : IFOAM) มาตรฐาน USDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture : USDA) มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น (Japanese Agricultural Standard : JAS) และมาตรฐานการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee Systems : PGS) สินค้าที่ผลิตหลากหลายชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง มะพร้าว(แกง) มะพร้าวน้ าหอม เม็ดมะม่วง หิมพานต์ เมล่อน มะม่วง กล้วยน้ าว้า กล้วยเล็บมือนาง ส้มโอ ลางสาด ส้มโชกุน มะนาว มะละกอ มะยงชิด น้อยหน่า ขนุน ขนุนจ าปาดะ สละ และกระท้อน ภาคกลาง แหล่งผลิตที่ส าคัญอยู่ในจังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี เพชรบุรี ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์มีสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จ ากัด และบริษัทแก้วเกษตรไทย จ ากัด ท าหน้าที่เป็น ผู้รวบรวมผลผลิตผลไม้อินทรีย์จากเกษตรกรผู้ผลิต ภายใต้มาตรฐาน Organic Thailand มาตรฐาน IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) และมาตรฐานการรับรองแบบมีส่วน ร่วม (Participatory Guarantee Systems : PGS) สินค้าที่ผลิตหลากหลายชนิด ได้แก่มะพร้าว (แกง) มะพร้าว น้ าหอม ฝรั่ง มะม่วง ขนุน ชมพู่ กระท้อน ลิ้นจี่ ล าไย แก้วมังกร เมล่อน กล้วยน้ าว้า กล้วยหอมทอง กล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง มะละกอ มะนาว หม่อนผลสด สับปะรด ส้มโอ มะกอกน้ า มะกอกป่า มะขาม และ มะเฟือง พิจารณาสภาพการผลิตผลไม้อินทรีย์ จ าแนกรายชนิด ได้ดังนี้


29 มะพร้าว(แกง)อินทรีย์เกษตรกรชาวสวนมะพร้าวส่วนใหญ่เป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชนชาวสวน มะพร้าว อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานีและอ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์โดยวิสาหกิจชุมชนชาวสวน มะพร้าว อ.เกาะพะงัน มีสมาชิกชาวสวนมะพร้าว จ านวน 34 ราย พื้นที่ปลูกมะพร้าวอินทรีย์รวม 167 ไร่ กิจกรรมที่กลุ่มด าเนินการ คือ การเพาะปลูกมะพร้าวเพื่อขายผลสด แปรรูปเป็นมะพร้าวแห้ง และน้ ามัน มะพร้าวสกัดเย็น โดยน าไปจ าหน่ายในตลาดและสถานที่ท่องเที่ยวภายในเกาะ ซึ่งผลผลิตยังไม่เพียงพอกับ ความต้องการของตลาด ซึ่งวิสาหกิจชุมชนฯ ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบ “ระบบการรับรองแบบมีส่วน ร่วม” (Participatory Guarantee System : PGS) ที่สมาชิกกลุ่มผู้ผลิตและชุมชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ กันเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ มูลนิธิสายใยแผ่นดินร่วมกับกลุ่มเกษตรกรและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องบนเกาะพะงัน เนื่องจากเกษตรกรและผู้ประกอบการบนเกาะมีแผนจะขายผลผลิตอินทรีย์เฉพาะ ในท้องถิ่นโดยเฉพาะมะพร้าวของเกาะพะงันซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) และปัจจุบันเกษตรกรให้ความสนใจการท าเกษตรอินทรีย์และอยู่ระหว่าง การปรับเปลี่ยนลดการใช้สารเคมีเป็นจ านวนมากโดยวิสาหกิจชุมชนฯ ก าหนดเป้าหมายขยายพื้นที่ปลูก มะพร้าวอินทรีย์ในเกาะพะงันเป็น 1,500 ไร่ ภายในปี 2564 นอกจากนี้ เกษตรกรได้เข้าร่วมโครงการเกษตร แปลงใหญ่เพื่อร่วมกันบริหารจัดการผลผลิตมะพร้าวเกาะพะงันแบบครบวงจร ทุเรียนอินทรีย์เกษตรกรชาวสวนทุเรียนส่วนใหญ่ปลูกพืชแบบสวนผสมผสาน ประมาณ 4 ชนิด ปริมาณการผลิตแต่ละรายไม่มากนัก โดยยึดวิถีแบบพอเพียงในการด าเนินงาน พันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์ หมอนทอง และชะนี โดยมีแหล่งผลิตทุเรียนอินทรีย์ที่ส าคัญอยู่ทางภาคตะวันออก ในจ.ระยอง จันทบุรี และ ตราด มีวิสาหกิจชุมชนฯ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) วิสาหกิจชุมชนเกษตรเพื่อสุขภาพบ้านปัถวีอ.มะขาม จ.จันทบุรีเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจ ชุมชนปัถวี ที่เปิดเป็นสวนผลไม้ท่องเที่ยวเชิงเกษตรมีสมาชิก จ านวน 50 คนวิสาหกิจชุมชนฯ ได้ด าเนินการโดย ยึดหลัก “ปัถวีโมเดล” แนวทางการท าสวนผลไม้อินทรีย์ที่น้อมน าแนวพระราชด าริฯ เศรษฐกิจพอเพียงมาปรับ ใช้ เพื่อความปลอดภัยของเกษตรกร และผู้บริโภค รวมทั้งระบบนิเวศ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมซึ่งมีกลยุทธ์คือ ชม ชิม ช็อป ผลผลิตทางการเกษตร ผลไม้สด สะอาด ปลอดภัยจากสารพิษ โดย เปิดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ มากินชิมในสวนผลไม้อินทรีย์ และขายหน้าสวนส าหรับซื้อฝาก กลับบ้านไปด้วย และที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นทุกปี จากการที่นักท่องเที่ยวบอกต่อกันถึง ประโยชน์ของการเที่ยวสวนผลไม้อินทรีย์ สวนอากาศปลอดโปร่ง ไร้มวลสารพิษแอบแฝงในอากาศที่หายใจ นอกจากนี้ วิสาหกิจชุมชนฯ ยังมีบริการส่งผลไม้อินทรีย์ทางไปรษณีย์ให้ลูกค้า ซึ่งเป็นบริการที่สะดวกไม่ต้อง เดินทางมาถึงสวน


30 2) วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตพืชสมุนไพรบ้านเกาะลอย อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี มีสมาชิก จ านวน 45 คนโดยให้เกษตรกรในหมู่บ้านเป็นก าลังหลักในการผลิตผลไม้แบบอินทรีย์ ซึ่งในช่วงแรกจะแนะน า เกษตรกร ตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตจนเก็บผลผลิตมาขายให้วิสาหกิจชุมชนฯ และน าผลไม้ สมุนไพรมาแปรรูปใน รูปแบบต่างๆ ทั้งเครื่องดื่มแบบน้ าและแบบผง เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและเพิ่มช่องทางการตลาดกลุ่มวิสาหกิจ ชุมชนฯ ซึ่งจะด าเนินการวางแผนการผลิต โดยใช้แนวทาง “การตลาดน าการผลิต” เริ่มจากดูการตลาดในปีที่ ผ่านๆ มา ประกอบกับทิศทางแนวโน้มของตลาด และแจ้งแผนความต้องการสินค้าให้เกษตรกรผู้ผลิตรับทราบ ซึ่งแผนการผลิตของสมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ กับแผนการตลาดของวิสาหกิจชุมชนฯ ต้องมีความสอดคล้องกัน รวมทั้งสนับสนุนให้ความรู้แก่เกษตรกร เรื่องระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ มาตรฐานการรับรอง และให้ ค าปรึกษาแนะน าและแก้ไขปัญหาให้เกษตรกร พร้อมลงตรวจเยี่ยมแปลง สุ่มตรวจแปลง ประเมิน ติดตาม ระบบการผลิต ตรวจสอบสินค้าให้ได้ตามคุณภาพที่ต้องการ เพื่อให้ได้ผลผลิตตามข้อก าหนดมาตรฐานและการ เปิดรับซื้อผลผลิตอินทรีย์ จะแบ่งเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ 1) รับซื้อจากเกษตรกรในหมู่บ้านที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจ ชุมชนฯ 2) รับซื้อจากสวนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับรองมาตรฐานภายในจ.จันทบุรีโดยการรับซื้อสินค้าเกษตร อินทรีย์ เริ่มแรกวิสาหกิจชุมชนฯ จะตั้งราคามาตรฐานเดียวกันทั้งปี (Standard) ซึ่งก าหนดระยะเวลา 1 ปี และจะท าการปรับราคาเพิ่มขึ้นให้เกษตรกรประมาณ 20-40 % การก าหนดราคารับซื้อจะพิจารณา เปรียบเทียบกับราคาตลาดภายใน จ.จันทบุรี มังคุดอินทรีย์เกษตรกรชาวสวนมังคุดส่วนใหญ่ปลูกพืชแบบสวนผสมผสาน ประมาณ 7 ชนิด ปริมาณการผลิตแต่ละรายไม่มากนัก จะยึดวิถีแบบพอเพียงในการด าเนินงาน โดยมีแหล่งผลิตมังคุดอินทรีย์ที่ ส าคัญอยู่ทางภาคตะวันออก ในจ.ระยอง จันทบุรี และตราด มีวิสาหกิจชุมชนฯ 2 กลุ่ม ดังนี้ วิสาหกิจชุมชน เกษตรเพื่อสุขภาพบ้านปัถวีอ.มะขาม จ.จันทบุรีและวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตพืชสมุนไพรบ้านเกาะลอย อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี กล้วยอินทรีย์เกษตรกรชาวสวนกล้วยส่วนใหญ่ปลูกพืชแบบสวนผสมผสาน ประมาณ 5 ชนิด ปริมาณการผลิตแต่ละรายไม่มากนัก โดยมีแหล่งผลิตกล้วยอินทรีย์ที่ส าคัญอยู่ในหลายภาคของประเทศ โดย ภาคเหนือ อยู่ในจ.ล าพูน น่าน สุโขทัย และอุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในจ.กาฬสินธุ์ และขอนแก่น ภาคกลาง อยู่ในจ.นครปฐม กาญจนบุรี และเพชรบุรี ภาคตะวันออก อยู่ในจ.ระยอง จันทบุรี และตราด ส่วน ภาคตะวันออกเกษตรกรจะผลิตไว้เพียงเพื่อบริโภค แจกญาติพี่น้องและเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นการค้าและ พันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์กล้วยน้ าว้า กล้วยหอม กล้วยหอมทอง และกล้วยไข่ ฯลฯ มะม่วงอินทรีย์เกษตรกรชาวสวนมะม่วงส่วนใหญ่ปลูกพืชแบบสวนผสมผสาน ประมาณ 5 ชนิด ซึ่งปริมาณการผลิตแต่ละรายไม่มากนัก โดยมีแหล่งผลิตมะม่วงอินทรีย์ที่ส าคัญอยู่ในหลายภาคของประเทศ ภาคเหนือ อยู่ในจ.เชียงใหม่ น่าน และอุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในจ.กาฬสินธุ์ ขอนแก่น และ อ านาจเจริญ ภาคตะวันออก อยู่ในจ.จันทบุรี และตราด ส่วนภาคตะวันออกเกษตรกรจะผลิตไว้เพียงเพื่อบริโภค แจกญาติพี่น้อง และเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ไม่เป็นการค้า และพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์น้ าดอกไม้สีทองเบอร์ 1 น้ าดอกไม้ เขียวเสวย เขียวใหญ่ มหาชนก โชคอนันต์ และงามเมืองย่า


31 ลองกองอินทรีย์เกษตรกรชาวสวนลองกองส่วนใหญ่ปลูกพืชแบบสวนผสมผสาน ประมาณ 7 ชนิด ปริมาณการผลิตแต่ละรายไม่มากนัก จะยึดวิถีแบบพอเพียงในการด าเนินงาน โดยมีแหล่งผลิตลองกองอินทรีย์ ที่ส าคัญอยู่ทางภาคตะวันออก ในจ.ระยอง จันทบุรี และตราด และพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์ตันหยง เป็นต้น มีวิสาหกิจชุมชนฯ 2 กลุ่ม ดังนี้ วิสาหกิจชุมชนเกษตรเพื่อสุขภาพบ้านปัถวีอ.มะขาม จ.จันทบุรีและวิสาหกิจ ชุมชนกลุ่มผู้ผลิตพืชสมุนไพรบ้านเกาะลอย อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี เงาะอินทรีย์ เกษตรกรชาวสวนเงาะส่วนใหญ่ปลูกพืชแบบสวนผสมผสาน ประมาณ 7 ชนิด ปริมาณการผลิตแต่ละรายไม่มากนัก จะยึดวิถีแบบพอเพียงในการด าเนินงาน โดยมีแหล่งผลิตเงาะอินทรีย์ที่ ส าคัญอยู่ทางภาคตะวันออก ใน จ.ระยอง จันทบุรี และตราด และพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์เงาะโรงเรียน เป็นต้น มีวิสาหกิจชุมชนฯ 2 กลุ่ม ดังนี้ วิสาหกิจชุมชนเกษตรเพื่อสุขภาพบ้านปัถวีอ.มะขาม จ.จันทบุรีและ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตพืชสมุนไพรบ้านเกาะลอย อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรีและภาคเหนือ อยู่ใน จ.พะเยา แตงโมอินทรีย์แหล่งผลิตแตงโมอินทรีย์ที่ส าคัญ คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะใน จ.ยโสธร ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบเกษตรอินทรีย์ มีกลุ่มเกษตรอินทรีย์เครือข่ายปลูกฮัก ที่เกิดจากการรวมตัว ระหว่างเกษตรกรท านารุ่นเก่าและเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีสมาชิก จ านวน 500 ราย ปลูกแตงโม จ านวน 2,250 ไร่ หลังฤดูท านาข้าว เนื่องจากเห็นว่าเป็นพืชระยะสั้นใช้น้ าน้อย ปัจจุบันแตงโมอินทรีย์อยู่ในระยะปรับเปลี่ยน ระยะเวลาการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ประมาณ 65-70 วัน สายพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์กินรี และจินตหรา 3.1.5 ปศุสัตว์อินทรีย์ 1) น ้านมอินทรีย์ น้ านมอินทรีย์มีแหล่งผลิตส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใน ต.หนองย่างเสือ ต.ซับสนุ่น และต.ล าพญากลาง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอินทรีย์เพื่อผลิตน้ านมดิบอินทรีย์ส่งให้กับบริษัทแดรี่โฮม จ ากัด โดยบริษัทจะรับซื้อผลผลิตน้ านมดิบจากเกษตรกรในเขตรัศมีไม่เกิน 50 กิโลเมตร และปริมาณการรับซื้อต่อวัน 4.5 ตัน หรือ 130-140 ตันต่อเดือน โดยเกษตรกรจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อผลิตน้ านมอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ปัจจุบันกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมอินทรีย์มีการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาจูงใจ และความสามารถใน การลดต้นทุนในการเลี้ยง การเลี้ยงโคนมอินทรีย์เกษตรกรจะไม่เน้นการให้อาหารมากเกินไป แม่โคนมจะมี ความสุขจากการได้แทะเล็มหญ้าในแปลง อาหารข้นที่เสริมแต่ละวันจะให้ปริมาณไม่มาก และที่ส าคัญวัตถุดิบที่ น ามาใช้จะต้องไม่มีส่วนผสมที่มาจากพืชหรือสัตว์ที่เกิดจากกระบวนการตัดพันธุกรรม (GMOs) ซึ่งการเลี้ยงใน ระบบนี้จะท าให้แม่โคสุขภาพดีและแข็งแรง ส่วนในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพแม่โค เกษตรกรจะเน้นในเรื่องการใช้ วิธีธรรมชาติในการรักษา


32 2) สุกรอินทรีย์ สุกรอินทรีย์ ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า หมูหลุมอินทรีย์ วิถีการเลี้ยงหมูหลุมอินทรีย์ยึดแนวทาง ปฏิบัติตามแนวคิดเกษตรกรรมธรรมชาติที่เน้นการพึ่งพาตนเอง เป็นการเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารจ าหน่ายให้ ผู้บริโภคในท้องถิ่น เน้นเทคนิคด้วยการจัดการคอกไม่ให้มีน้ าเสียจากฟาร์ม ด้วยการขุดหลุมลึกใช้วัสดุรองพื้น คอก เพื่อขจัดปัญหาสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงการใช้ยาและวัคซีน เน้นการใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่นทดแทน ท าให้สุกร ไม่เครียด มีสุขภาพดี ปลอดสารพิษ และมีคุณภาพเนื้อดี แหล่งผลิตสุกรอินทรีย์ที่ส าคัญอยู่ที่ต าบลดอนแร่ อ าเภอเมือง จังหวัดราชบุรี มาตรฐานอินทรีย์ที่ได้รับ คือ มาตรฐาน PGS (Participatory Guarantee System) ซึ่งเป็นระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์โดยชุมชน ตามหลักการและมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล สายพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมผลิต ได้แก่ พันธุ์ดูร็อกเจอร์ซี่ ที่อัตราการเจริญเติบโตดี เนื้อมาก แข็งแรง ปรับตัวให้ เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีแต่เลี้ยงลูกไม่เก่งเหมาะส าหรับใช้เป็นพ่อพันธุ์พันธุ์ลาร์จไวท์ มีลักษณะหูตั้ง ล าตัวยาว ขาแข็งแรง มีความสามารถในการเป็นแม่พันธุ์ที่ดีให้ลูกดกและเลี้ยงลูกเก่งเหมาะส าหรับใช้เป็นแม่พันธุ์ และพันธุ์ แลนด์เรซ มีลักษณะหูปรก ล าตัวยาว รูปร่างมีมัดกล้ามเนื้อ ให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่ง เนื้อที่จ าหน่ายในตลาดได้ท า ช าแหละและคัดแยกชิ้นส่วน อาทิ มันขาว สามชั้น สันนอก สันใน และเนื้อสุกรสับแล้วบรรจุถุงระบบ สุญญากาศ เพื่อให้มีความสดใหม่และเก็บรักษาได้นานขึ้น เป็นเนื้อสุกรเกรด A ภายใต้ตราสัญลักษณ์ G-PORK นอกจากนี้ได้น าเนื้อมาแปรรูปเป็นเนื้อหมูแดดเดียวและกุนเชียงหมู ซึ่งเป็นการถนอมอาหาร เพิ่มความ หลากหลายของผลิตภัณฑ์ ช่วยขยายตลาดให้สินค้าเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น 3) ไข่ไก่อินทรีย์ ไข่ไก่อินทรีย์ มีแหล่งผลิตที่ส าคัญ ได้แก่ 1) ต าบลวาวี อ าเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยบริษัท ฮิลไทรบ์ออร์แกนิคส์ จ ากัด มีการส่งเสริมพัฒนาสังคมและชุมชนโดยเฉพาะเกษตรกรชาวเขาบน พื้นที่สูงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเข้ามาส่งเสริมชาวเขาเผ่าอาข่าและเผ่าปกาเกอะญอ(กะเหรี่ยง) ให้ ปรับเปลี่ยนอาชีพจากเดิม คือ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และท าไร่เลื่อนลอย เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ตั้งแต่ปี 2556 โดยเกษตรกรฯ ที่เข้าร่วมโครงการได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตฟรีทั้งพันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ อินทรีย์ เช่น ปลายข้าวและร าอินทรีย์ ข้าวโพดอินทรีย์ และกากถั่วเหลืองอินทรีย์ พร้อมจัดอบรมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ และมีนักสัตวบาลคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ค าแนะน าและเป็นที่ปรึกษา อย่างใกล้ชิด ตลอดจนรับซื้อผลผลิตไข่ไก่อินทรีย์คืนจากเกษตรกรด้วย ซึ่งสามารถช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพให้ ชาวเขาอย่างยั่งยืนและสอดคล้องตามหลักเกษตรอินทรีย์อย่างแท้จริง และ 2) อ าเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และศูนย์วิจัยและบ ารุงพันธุ์สัตว์อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี โดยมีการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์เลี้ยงแบบตามธรรมชาติ แบบกึ่งปล่อย จึงเป็นไก่อารมณ์ดี แสดงพฤติกรรมธรรมชาติ ไม่เครียด อยู่กันแบบรวมกลุ่ม จิกกินอาหาร ธรรมชาติ หญ้า สมุนไพร หนอนและแมลงซึ่งไก่ได้รับวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ ใช้อาหารสัตว์ที่มีในท้องถิ่น ตามธรรมชาติอยู่ในฟาร์มขนาดเล็ก ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ร่มรื่น ท าให้ไก่ แข็งแรง โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ไข่แดงจะออกเป็นสีเหลืองธรรมชาติเพราะไม่ได้ใช้สารเร่งไข่ขาวจะไม่มี ความแน่น ไม่คาวจัด อาหารที่ใช้เลี้ยงจะผสมขึ้นเองจากพืชสมุนไพรนานาชนิด โดยเป็นพืชออแกนิกทั้งหมด


33 ไม่ใส่สารเคมี หรือสารเร่งฮอร์โมนใดๆ การเลี้ยงด้วยวิธีนี้ จะท าให้ไก่สุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดี ไม่เครียด ลักษณะเด่นของไข่ เนื้อไข่ขาวจะข้น ไข่แดงจะนูน ไม่มีกลิ่นคาว ลักษณะการผลิตไข่ไก่อินทรีย์ของจังหวัดเชียงราย ราชบุรี และอุทัยธานี ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย มากนักต้องพิถีพิถันในเรื่องพันธุ์ สถานที่ และวัตถุดิบที่น ามาใช้เป็นอาหาร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และร าข้าว ซึ่งผู้เลี้ยงจะต้องมีแหล่งผลิตอาหารอินทรีย์เอง เกษตรกรบางรายเลี้ยงแบบวิถีพื้นบ้านและจ าหน่ายในชุมขน จึงไม่ได้สนใจเข้ารับการตรวจรับรองเพื่อขอมาตรฐานการรับรองเกษตรอินทรีย์ 3.1.6 ประมงอินทรีย์ สัดส่วนของปริมาณสินค้าประมงอินทรีย์ที่ผลิตในประเทศมีน้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้าเกษตร อินทรีย์กลุ่มอื่นๆ โดยสินค้าประมงอินทรีย์ได้แก่ กุ้งแชบ๊วย กุ้งทะเล ปูไข่ หอยแครง หอยนางรม ปลาตะเพียน ปลานิล ส่วนใหญ่นิยมจ าหน่ายในรูปวัตถุดิบสด พิจารณารายละเอียดแหล่งผลิตส าคัญได้ดังนี้ 1) กุ้งแชบ๊วยอินทรีย์ผลิตโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแพปลาบ้านหินร่ม หมู่ 2 บ้านหินร่ม ต.คลองคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เป็นการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยจ านวน 10-15 ราย เพื่อรวบรวมผลผลิตในนาม กลุ่มส่งไปขายตลาดเฉพาะ มีปริมาณผลผลิต 3,480 กิโลกรัม/ปี โดยสมาชิกในกลุ่มทั้งหมดผ่านการรับรอง มาตรฐาน Organic Thailand ซึ่งประมงอินทรีย์ในประเทศจะมีกลุ่มลักษณะเช่นนี้ประมาณ 5 กลุ่ม กระจาย อยู่ใน จ.เพชรบุรี สงขลา พัทลุง กระบี่ และพังงา เป็นเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ า อินทรีย์ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน (การด าเนินงานของมูลนิธิสายใยแผ่นดินร่วมกับแพปลาที่เกิดจากการรวมกลุ่ม ของชาวบ้านผู้ท าประมงพื้นถิ่น) 2) กุ้งทะเลอินทรีย์ปูไข่อินทรีย์หอยแครงอินทรีย์ และหอยนางรม อินทรีย์ ผลิตโดยเกษตรกรราย ย่อย ในพื้นที่ หมู่ 4 บ้านลัดกะปิ ต.บางแก้ว อ าเภอเมือง จ.สมุทรสงคราม มีปริมาณผลผลิต 46,193 กิโลกรัม/ ปี โดยสินค้าประมงที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand คือ กุ้งทะเล และปูไข่ ส่วนหอยแครง และ หอยนางรม อยู่ในระยะปรับเปลี่ยน 3) ปลาตะเพียนอินทรีย์ผลิตโดยเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ หมู่ 7 บ้านทุ่งมน ต.ทุ่งมน อ.ค าเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร อยู่ในระยะปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่มาตรฐาน Organic Thailand ปริมาณสินค้ามีน้อย ประมาณ 550 กิโลกรัมต่อปี ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงมีการจ าหน่ายเฉพาะในตลาดชุมชนเท่านั้น และปลานิล ผลิตโดย เกษตรกรรายย่อย ในพื้นที่หมู่ 11 บ้านห้วยใต้ ต.บัวหุ่ง อ.ราศีไศล จ.ศรีษะเกษ มีปริมาณผลผลิต 30,000 กิโลกรัมต่อปี อยู่ในระยะปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่มาตรฐาน Organic Thailand 3.2 การขับเคลื่อนงานด้านนโยบายและมาตรการของรัฐด้านเกษตรอินทรีย์ ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560–2564 ได้ก าหนดแผนการ ด าเนินงานเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น (ปีงบประมาณ 2560) ระยะกลาง (ปีงบประมาณ 2561-2562) และ ระยะยาว (ปีงบประมาณ 2563-2564) ใน 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมด าเนินการ ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี และกระทรวงพาณิชย์


34 แผนการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560–2564 ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีการด าเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ในปีงบประมาณ 2560-2561 ซึ่งเป็น การด าเนินงานตามแผนระยะสั้น (ปีงบประมาณ 2560) และระยะกลางในปีแรก (ปีงบประมาณ 2561) ประกอบด้วย 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ 10 กลยุทธ์ โดยในปีงบประมาณ 2560 ได้จัดท าแผนงบประมาณจ านวน 1,023.22 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2561 จ านวน 1,251.71 ล้านบาท เมื่อพิจารณาแผนการด าเนินงาน พบว่า ในระยะต้น (ปีงบประมาณ 2560) รัฐบาลให้ความส าคัญในการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ เกี่ยวกับการ บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างแหล่งน้ า รวมถึงการตรวจรับรอง และประเมินแปลง/ฟาร์ม พัฒนาสถานประกอบการต้นแบบ และในระยะกลาง (ปีงบประมาณ 2561) จะให้ความส าคัญกับการพัฒนา บุคลากร โดยเฉพาะเกษตรกรเพื่อให้เข้าใจถึงการท าเกษตรอินทรีย์ การส่งเสริมการแปรรูป เพิ่มศักยภาพ ผู้ประกอบการ และโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยพิจารณารายละเอียดแผนงานในแต่ละประเด็น ยุทธศาสตร์ได้ดังนี้ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรม เกษตรอินทรีย์ เป็นการส่งเสริมวิจัย สร้างความเข้าใจ และจัดท าฐานข้อมูลเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ มีกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันขับเคลื่อน มีงบประมาณสนับสนุนการด าเนินงาน ปีงบประมาณ 2560 จ านวน 150.04 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2561 จ านวน 334.62 ล้านบาท กลยุทธ์ที่ 1.1 ส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่ องค์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ปีงบประมาณ 2560ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินงานทั้งสิ้น 89.00 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) แผนการส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ งบประมาณ 87.40 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98.20 เป็นโครงการวิจัยเกี่ยวกับการผลิตอินทรีย์ ยกระดับอุตสาหกรรมแปรรูป และนวัตกรรมเกี่ยวกับเกษตร อินทรีย์ และ 2) แผนการสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ งบประมาณ 1.60 ล้านบาท คิด เป็นร้อยละ 1.80 เป็นโครงการผลิตสื่อองค์ความรู้ การประกวด Thailand Organic Innovation Award (TOIA) และสัมมนาวิชาการ ปีงบประมาณ 2561 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินงานทั้งสิ้น 89.63 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) แผนการส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ งบประมาณ 86.13 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 96.10 เป็นโครงการวิจัยเกี่ยวกับการผลิตอินทรีย์ ยกระดับอุตสาหกรรมแปรรูป และนวัตกรรมเกี่ยวกับเกษตร อินทรีย์ และ 2) แผนการสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ งบประมาณ 3.50 ล้านบาท คิด เป็นร้อยละ 3.90 เป็นโครงการผลิตสื่อองค์ความรู้ และการใช้คู่มือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์


35 กลยุทธ์ที่ 1.2 เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร บุคลากรที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป ปีงบประมาณ 2560 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินงานทั้งสิ้น 57.04 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) แผนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 14.51 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.44 เป็นการ อบรมและพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน และผู้ตรวจประเมิน และ 2) แผนการอบรมเกษตรกร งบประมาณ 37.13 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 65.09 เป็นการอบรมในด้านการผลิต และการรับรองมาตรฐาน 3) แผนการ เผยแพร่องค์ความรู้ งบประมาณ 5.40 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.47 เป็นการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ จุดสาธิต ส่งเสริม พัฒนา ติดตามประเมินผล และพัฒนาต่อยอด ปีงบประมาณ 2561 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินงานทั้งสิ้น 240.66 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) แผนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 18.26 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.59 เป็นการอบรม และพัฒนาบุคลากร กษ. ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เกษตรกรผ่านเครือข่ายศูนย์ปราชญ์ ศพก. และ 2) แผนการอบรม เกษตรกร งบประมาณ 212.38 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 88.25 เป็นการอบรมในด้านการผลิต และการรับรอง มาตรฐาน 3) แผนการเผยแพร่องค์ความรู้ งบประมาณ 10.02 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.16 เป็นการจัดตั้ง ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ PGS บริการวิชาการ และถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรอินทรีย์ 4.0 กลยุทธ์ที่ 1.3 สร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ปีงบประมาณ 2560 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินงานทั้งสิ้น 4ล้านบาท เป็นการ จัดท าและพัฒนาฐานข้อมูลเกษตรกรในการผลิตและจัดท าแผนที่เกษตรอินทรีย์ ปีงบประมาณ 2561 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินงานทั้งสิ้น 4.33 ล้านบาท เป็น การจัดท าและพัฒนาฐานข้อมูลเกษตรกรในการผลิต ฐานข้อมูลผลงานวิจัย จัดท าท าเนียบผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์ และถ่ายทอดการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการเกษตรแบบพกพา (TAMIS) ตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาการผลิตสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ เป็นการพัฒนาศักยภาพการผลิต บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตเกษตรอินทรีย์ มี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ร่วมขับเคลื่อน มีงบประมาณสนับสนุนการด าเนินงาน ปีงบประมาณ 2560 จ านวน 750.07 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2561 จ านวน 801.54 ล้านบาท กลยุทธ์ที่ 2.1 พัฒนาศักยภาพการผลิตเกษตรอินทรีย์ ปีงบประมาณ 2560 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินงานทั้งสิ้น 696.57 ล้านบาท เป็นการพัฒนากลุ่มเกษตรกร ชุมชน เพื่อสู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ การสร้างเครือข่าย และการจัดท าเขต เกษตรอินทรีย์


Click to View FlipBook Version