The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์

การศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์

2 122 Strategies รก เร่งขยายโอกาส างข้อได้เปรียบจากโอกาส ม้อินทรีย์โดยวิถีเศรษฐกิจ ง (S1S2S4S5S6S7S8 O1 ดงานวิจัย องค์ความรู้ ภูมิ รรูปผลไม้อินทรีย์ เพื่อสร้าง กิจ (S1S2S4 S5S6 S8 O1 ดผลไม้อินทรีย์และผลิตภัณฑ์ อินทรีย์วิถีพื้นบ้าน ตลาด รบริโภคในประเทศ (S1S2S3 4 O5 O6 O7 O8) ค้าให้ดีขึ้น และก าหนดราคา มาะสม สอดรับกับการตื่นตัว นค้าอินทรีย์ และการเข้าสู่ 3 O4) รีย์ โดยใช้ผลงานวิจัยและ รูปช่วยยืดอายุผลไม้ให้เก็บ รูปให้มีความหลากหลายมาก ขยายตลาดใหม่ทั้งในประเทศ S5 O5 O6 O8) WO Strategies กลยุทธ์เชิงรับ แก้ไขจุดอ่อน เพื่อสร้างข้อได้เปรียบจากโอกาส WO1 : เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ในแหล่ง ผลิต แหล่งจ าหน่าย และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ต่อเนื่อง (W2 W3 W5 W6O1 O3 O4 O6 O8) WO2 : สร้างกระบวนการรับรู้ในเรื่องคุณค่าและ ประโยชน์ของผลไม้อินทรีย์ ให้แก่ผู้บริโภคทุก ระดับ (W2 W5 W6 W7 W9 O1 O2 O4 O5 O7 O8) WO3 : สนับสนุนผู้ประกอบการค้าและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ผลไม้อินทรีย์ อีกทั้ง เพิ่ม พัฒนา และ เชื่อมโยงสู่ช่องทางการตลาดต่างๆ ( W1 W2 W3 W4 W5 W6 W7 W8 W9 W10 W11 O1 O2 O4O5 O6 O7 O8) WO4 : เชื่อมโยงตลาดกลาง ระหว่างเกษตรกร ผู้ผลิต และพ่อค้าคนกลางทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ (W2 W7 O1 O2 O5 O8) WO5: รวมกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้อินทรีย์ สร้างอ านาจในการก าหนดราคา โดยให้รัฐ สนับสนุนการรวมกลุ่มและการแปรรูปมากขึ้น (W1 W2 W5 W7 W8 W9 W10 O1 O5 O6 O8)


123 ตารางที่ 4.4 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้า ผลไม้อินทรีย์ (ต่อ) อุปสรรค (Threats) T1 : สภาพดินฟ้าอากาศส่งผลต่อปริมาณการผลิตและการค้า สินค้าอินทรีย์ในแต่ละปี T2 : มาตรฐาน Organic Thailand ของไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับ ของตลาดสากลมากนัก T3 : ไม่มีพ่อค้ารวบรวมท้องถิ่น (ล้ง) ผลไม้อินทรีย์ T4 : การสนับสนุนเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีความละเอียด เป็นที่ยอมรับได้ เพื่อสนับสนุนการตรวจสอบสารพิษตกค้างใน ผลไม้อินทรีย์ยังมีน้อย T5 : องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) (Organic Market) ด าเนินการขยายตลาดสินค้าอินทรีย์ แต่ยังไม่คลอบคลุมทั่วทุก จังหวัด T6 : ไม่มีมาตรฐานกลางในการก าหนดราคาสินค้าอินทรีย์ T7 : สินค้าทดแทน (Substitutes) มีมากราคาถูก หาซื้อง่าย ภาพลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างกัน T8 : ไม่มีหน่วยงานภาครัฐที่ท าหน้าที่รับผิดชอบการขับเคลื่อน การตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างชัดเจน T9 : กระบนการขอรับรองมาตรฐานสินค้า ใช้เวลานานมี ขั้นตอนที่ละเอียดมากเกินไป ท าให้เกษตรกรที่อยู่ในระยะ ปรับเปลี่ยนขาดแรงจูงใจในด้านการการผลิตอย่างต่อเนื่อง ST Str กลยุทธ์เ ใช้จุดแข็งแก้ไขปั ST1 : สนับสนุนกระบวนกา อินทรีย์อย่างต่อเนื่องในทุกภา ชุมชน และภาคีเครือข่ายสุขภาพ ST2 : ภาครัฐควรสนับสนุนกา อ.ต.ก. อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ST3 :สนับสนุนการวิจัย การแ ตรวจเช็คสารเคมีตกค้างให้แก่ ผลไม้อินทรีย์ (S1 S4 S5 S6 S7 ST4 : สนับสนุนเกษตรกรผ เริ่มต้น โดยให้ภาครัฐสนับสนุน มุ่งเน้นให้ผ่านการรับรองมาตรฐ ผลิตในมาตรฐาน Organic Thai (S6 S8 T8 T9 T10 T11) ST5 : เพิ่มมูลค่าให้กับผลไ ประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงประโย อินทรีย์ กับผลไม้ทั่วไป (S4 S5


3 123 rategies เชิงป้องกัน ปัญหาและอุปสรรค ารขับเคลื่อนด้านการตลาดผลไม้ คส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน พ (S3S5 S6 S8T1 T3T4T5) ารตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของ ง (S2 S8 S10 T5 T8 T11 T12) แปรรูป อุปกรณ์แปรรูป เครื่องมือ กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและแปรรูป 7 T4 T8 T10 T12) ผู้ผลิตผลไม้อินทรีย์ ตั้งแต่ระยะ น ดูแล ให้ค าปรึกษาอย่างต่อเนื่อง ฐาน PGS หลังจากนั้นพัฒนาสู่การ iland และมาตรฐานสากลต่อไป ไม้อินทรีย์ด้วยการแปรรูป และ ยชน์และความแตกต่างของผลไม้ 5 S6 S8 S9 T4 T5 T7 T11 T12) WT Strategies กลยุทธ์เชิงแก้ไข ลดละเลิก ตัดทอนหรือเลิกกิจการ WT1 : ผลักดันแผนงานโครงการต่างๆ ด้านการ พัฒนาตลาดผลไม้อินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูป ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี(W1 W2 W3 W7 W9 T4 T5T8) WT2 : เร่งประชาสัมพันธ์ และขับเคลื่อนแผนงาน ต่างๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์อินทรีย์อย่างจริงจัง มุ่งเน้นให้หน่วยงานในระดับพื้นที่ บูรณาการ ขับเคลื่อนอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง (W1 W7 W10 T8 T9) WT3 : สนับสนุนเงินทุนเพื่อศึกษาวิจัยทางด้าน การพัฒนาเทคโนโลยีแปรรูปผลไม้อินทรีย์ เพื่อ สร้างความหลากหลาย และเพิ่มมูลค่า (W10 T8)


124 ตารางที่ 4.4 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้า ผลไม้อินทรีย์ (ต่อ ) T10 : ผู้ผลิตรายใหม่ /คู่แข่ง (New Entry) เข้าระบบตลาดได้ ยาก เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนในการผลิต เกษตรอินทรีย์ T11 : ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสินค้าเกษตรอินทรีย์เนื่องจาก ไม่มั่นใจในการผลิต หรือมีการปลอมปนสินค้า T12 : ผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ประเภทต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ที่มา : จากการส ารวจ


4 124


125 แนวทางการพัฒนาผลไม้อินทรีย์ ด้วยการวิเคราะห์ TOWS Matrix ที่แสดงให้เห็นถึงปัจจัยภายนอก ที่เป็นโอกาสและอุปสรรคที่เผชิญอยู่สามารถน ามาจับคู่เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยภายในที่เป็นจุดแข็งและ จุดอ่อนการพัฒนาตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ สามารถจ าแนกเป็น 4 กลยุทธ์ที่ส าคัญ ดังนี้ กลยุทธ์ SO ใช้จุดแข็งช่วงชิงความได้เปรียบจากโอกาสภายนอก SO1 : ขยายการผลิตผลไม้อินทรีย์โดยวิถีเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการพึ่งตนเอง (S1 S2 S4 S5 S6 S7 S8 O1 O2 O3 O4 O5 O6 O7) SO2 : ส่งเสริมและต่อยอดงานวิจัย องค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการแปรรูปผลไม้อินทรีย์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในเชิงธุรกิจ (S1 S2 S4 S5 S6 S8 O1 O2 O4 O5O6) SO3 : สนับสนุนการตลาดผลไม้อินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูป ในรูปแบบตลาดอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน ตลาดอินทรีย์ชุมชนเพื่อเน้นการบริโภคในประเทศ (S1 S2 S3 S4 S5 S6 O1 O2 O3 O4 O5 O6 O7 O8) SO4 : พัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้น และก าหนดราคาสินค้าผลไม้อินทรีย์ให้เหมาะสม สอดรับกับการ ตื่นตัวเรื่องสุขภาพการบริโภคสินค้าอินทรีย์ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (S3 S6 O3 O4) SO5 : แปรรูปผลไม้อินทรีย์ โดยใช้ผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปช่วยยืดอายุผลไม้ให้ เก็บรักษาได้นานขึ้น และแปรรูปให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดใหม่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ (S1 S4 S5 O5 O6 O8) กลยุทธ์ WO ปรับปรุงจุดอ่อนโดยใช้ความได้เปรียบจากโอกาสภายนอก WO1 : เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ในแหล่งผลิต แหล่งจ าหน่าย และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ อย่าง แพร่หลายต่อเนื่อง (W2 W3 W5 W6O1 O3 O4 O6 O8) WO2 : สร้างกระบวนการรับรู้ในเรื่องคุณค่าและประโยชน์ของผลไม้อินทรีย์ ให้แก่ผู้บริโภคทุกระดับ (W2 W5 W6 W7 W9 O1 O2 O4 O5 O7 O8) WO3 : สนับสนุนผู้ประกอบการค้าและแปรรูปผลิตภัณฑ์ผลไม้อินทรีย์ อีกทั้งเพิ่ม พัฒนา และเชื่อมโยง สู่ช่องทางการตลาดต่างๆ ( W1 W2 W3 W4 W5 W6 W7 W8 W9 W10 W11 O1 O2 O4O5 O6 O7 O8) WO4 : เชื่อมโยงตลาดกลาง ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิต และพ่อค้าคนกลางทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ (W2 W7 O1 O2 O5 O8) WO5 : รวมกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้อินทรีย์ สร้างอ านาจในการก าหนดราคา โดยให้รัฐสนับสนุน การรวมกลุ่มและการแปรรูปมากขึ้น (W1 W2 W5 W7 W8 W9 W10 O1 O5 O6 O8) กลยุทธ์ ST ใช้จุดแข็งหลบหลีกภาวะคุกคามจากภายนอก ST1 : สนับสนุนกระบวนการขับเคลื่อนด้านการตลาดผลไม้อินทรีย์อย่างต่อเนื่องในทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และภาคีเครือข่ายสุขภาพ (S3 S5 S6 S8 T1 T3 T4 T5) ST2 : ภาครัฐควรสนับสนุนการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของ อ.ต.ก. อย่างจริงจังและต่อเนื่อง (S2 S8 S10 T5 T8 T11 T12) ST3 : สนับสนุนการวิจัย การแปรรูป อุปกรณ์แปรรูป เครื่องมือตรวจเช็คสารเคมีตกค้างให้แก่กลุ่ม เกษตรกรผู้ผลิตและแปรรูปผลไม้อินทรีย์ (S1 S4 S5 S6 S7 T4 T8 T10 T12)


126 ST4 : สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้อินทรีย์ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยให้ภาครัฐสนับสนุน ดูแลให้ค าปรึกษาอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นให้ผ่านการรับรองมาตรฐาน PGS หลังจากนั้นพัฒนาสู่การผลิตในมาตรฐาน Organic Thailand และมาตรฐานสากลต่อไป (S6 S8 T8 T9 T10 T11) ST5 : เพิ่มมูลค่าให้กับผลไม้อินทรีย์ด้วยการแปรรูป และประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงประโยชน์และความ แตกต่างของผลไม้อินทรีย์ กับผลไม้ทั่วไป (S4 S5 S6 S8 S9 T4 T5 T7 T11 T12) กลยุทธ์ WT ตั้งรับเพื่อปิดจุดอ่อนภายใน และหลบหลีกภาวะคุกคามจากภายนอก WT1 : ผลักดันแผนงานโครงการต่างๆ ด้านการพัฒนาตลาดผลไม้อินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูปใน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี(W1 W2 W3 W7 W9 T4 T5 T8) WT2 : เร่งประชาสัมพันธ์ และขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์อินทรีย์อย่างจริงจัง มุ่งเน้น ให้หน่วยงานในระดับพื้นที่ บูรณาการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง (W1 W7 W10 T8 T9) WT3 : สนับสนุนเงินทุนเพื่อศึกษาวิจัยทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแปรรูปผลไม้อินทรีย์เพื่อสร้าง ความหลากหลาย และเพิ่มมูลค่า (W10 T8) ดังนั้น แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดผลไม้อินทรีย์ มีดังนี้ 1) ส่งเสริมและสนับสนุนการเพิ่มตลาดผลไม้อินทรีย์ 1.1) บริหารจัดการสินค้าผลไม้อินทรีย์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน 1.2) ส่งเสริมการเพิ่มช่องทางการตลาดและบริการผลไม้อินทรีย์ มุ่งเน้นการพัฒนาและสร้าง ตลาดผลไม้อินทรีย์ให้เกิดขึ้นได้จริง 1.3) สร้างชุมชนต้นแบบด้านการพัฒนาตลาด โดยส่งเสริมการขยายตลาดผลไม้อินทรีย์แบบ เกื้อกูล มีระบบการค้าที่เป็นธรรมทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคในด้านคุณภาพสินค้าและราคา เชื่อมโยงผู้ผลิตกับ ผู้บริโภคภายในประเทศ 1.4) เพิ่มชนิดและปริมาณผลไม้อินทรีย์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น สอดคล้องกับความ ต้องการของตลาดต่างๆ 1.5) สนับสนุนการจัดท าฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนด้านการตลาดผลไม้อินทรีย์ตลอดห่วงโซ่ อุปทาน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ประโยชน์และเข้าถึงได้ง่าย 1.6) ขยายช่องทางตลาดแห่งใหม่ เพื่อรองรับการผลิต และสนับสนุนการส่งออกผลไม้อินทรีย์ ทั้งภายในประเทศและต่างประทศ 1.7) ส่งเสริมและสนับสนุนการตลาดออนไลน์ 1.8) ประชาสัมพันธ์แหล่งผลิตผลไม้อินทรีย์ เชื่อมโยงแหล่งจ าหน่ายผลไม้อินทรีย์กับเส้นทาง ท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มแหล่งจ าหน่าย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอินทรีย์มากขึ้น 2) สร้างผู้ประกอบการผลไม้อินทรีย์ 2.1) ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตการแปรรูปผลไม้อินทรีย์ ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ


127 2.2) เพิ่มผู้ประกอบการผลิตผลไม้อินทรีย์รายใหม่ให้มากขึ้น โดยให้เชื่อมโยงกับเครือข่ายของ ผู้ผลิตในประเทศเพื่อเป็นแหล่งผลิตผลไม้อินทรีย์ของประเทศรองรับปริมาณความต้องการสินค้าในตลาดต่างๆ 2.3) สนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาการผลิตผลไม้อินทรีย์ โดยให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ าแก่ ผู้ประกอบการ 2.4) พัฒนาระบบโลจิสติกส์ และจัดให้มีศูนย์กระจายสินค้าผลไม้อินทรีย์ทุกภาคในประเทศ เพื่อเอื้ออ านวยให้ผู้ประกอบการจ าหน่ายผลไม้อินทรีย์ 2.5) ส่งเสริมให้เกษตรกร ผู้ประกอบการผลิตผลไม้อินทรีย์ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้า เกษตรอินทรีย์ และสนับสนุนการตรวจรับรองมาตรฐานผลไม้อินทรีย์ตามระบบมาตรฐานต่างๆ เพื่อรองรับการ ขยายตลาด 2.6) ให้ความรู้แก่ผู้ผลิต ประกอบการค้า เรื่องการตลาดและระบบโลจิสติกส์เพื่อให้สามารถ ส่งออกผลไม้อินทรีย์สู่ตลาดโลก 3) สร้างความเชื่อมั่นในผลไม้อินทรีย์ 3.1) ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลไม้อินทรีย์ ให้แก่ผู้บริโภค เรื่องความ ปลอดภัยจากสารเคมี เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลไม้อินทรีย์ 3.2) พัฒนาระบบการตรวจสอบรับรองคุณภาพผลไม้อินทรีย์ และกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค 3.3) พัฒนาตลาดผลไม้อินทรีย์ ให้มีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ ผู้บริโภค 3.4) สนับสนุนระบบการตรวจรับรองมาตรฐานแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee System: PGS) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ท้องถิ่น เพื่อเพิ่มปริมาณผลไม้อินทรีย์ 3.5) ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผลไม้อินทรีย์ มาตรฐานผลไม้อินทรีย์และ คุณภาพสินค้าผลไม้อินทรีย์ไปยังผู้บริโภคในประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง 3.6) ส่งเสริมเผยแพร่และต่อยอดงานวิจัย นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศผลไม้อินทรีย์ และการน าไปใช้ประโยชน์ 3.7) สร้างการเรียนรู้ และรับรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร อินทรีย์แต่ละชนิดให้แก่กลุ่มผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป 4) กระตุ้นความต้องการผลไม้อินทรีย์ 4.1) ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้อินทรีย์พร้อมสร้างความรู้ ความเข้าใจในคุณภาพ ผลไม้อินทรีย์แก่ผู้บริโภคทุกระดับ รวมทั้งก าหนดเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนเกษตรอินทรีย์ให้แก่นักเรียน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาเป็นต้นไป 4.2) เพิ่มมูลค่าให้กับผลไม้อินทรีย์ มุ่งเน้นการสร้างความหลากหลายของชนิดและผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งพัฒนารูปลักษณ์คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม ทันสมัย ดึงดูดใจผู้บริโภค


128 4.3) แต่งตั้งอาสาสมัครด้านผลไม้อินทรีย์ในระดับพื้นที่ เพื่อให้ท าหน้าที่ให้ค าปรึกษา แนะน า ให้ความรู้เรื่องการผลิต การรักษาคุณภาพ การแปรรูป และการตลาดผลไม้อินทรีย์ 4.4) ประสานงานให้รัฐบาลก าหนดเป็นวาระเกษตรอินทรีย์แห่งชาติระยะเวลา 10 ปี และขอ ความร่วมมือส่วนราชการสนับสนุนการเชื่อมโยงตลาดและร่วมบริโภคผลไม้อินทรีย์ 4.5) พัฒนาสถานที่ตั้งของร้านจ าหน่าย จุดจัดแสดง และจุดวางจ าหน่ายสินค้าผลไม้อินทรีย์ มุ่งเน้นให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ซื้อ 4.6) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีเกี่ยวกับผลไม้อินทรีย์ของไทย อาทิ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยว เกษตรเชิงนิเวศน์ในแหล่งผลิต การจัดกิจกรรมจัดแสดงสินค้า และจัดนิทรรศการผลไม้อินทรีย์ระดับโลก เพื่อปลุกกระแส ให้ประชาชนทั่วโลกตื่นตัว เห็นถึงประโยชน์ของการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ 4.7) ลดหย่อนภาษีแก่ผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ 4.2.5 ปศุสัตว์ 1) สภาพการตลาด ผลการศึกษาสภาพการตลาดในประเด็นเกี่ยวกับโครงสร้างตลาด รูปแบบและช่องทางการ จ าหน่าย การรวบรวม การขนส่งสินค้า วิถีตลาด และต้นทุนการตลาด จ าแนกการพิจารณารายชนิดสินค้า ได้แก่ น้ านมอินทรีย์ สุกรอินทรีย์ และไข่ไก่อินทรีย์ พิจารณาได้ดังนี้ 1) น้ านมอินทรีย์ 1.1) โครงสร้างตลาด ปริมาณผลผลิตน้ านมอินทรีย์ที่ผลิตได้ในประเทศรวมทั้งสิ้น 1,620 ตันผลผลิต จ าหน่ายที่ฟาร์มทั้งหมด ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand มีปริมาณน้ านมที่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อินทรีย์ส่งให้กับแหล่งรับซื้อประมาณ 4.5 ตันต่อวัน หรือ 130-140 ตันต่อเดือน ราคาที่เกษตรกรจ าหน่ายได้อยู่ ระหว่าง 22.6-25 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ านมดิบ 1.2) พฤติกรรมการตลาดน้ านมอินทรีย์และการก าหนดราคา ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการตลาดเกี่ยวกับลักษณะของระบบตลาด ส่วนแบ่ง ตลาด การก าหนดราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์และความแตกต่างด้านราคาเมื่อเทียบกับสินค้าทั่วไป พบว่า เกษตรกรทุกรายท าการตกลงราคาซื้อขายระหว่างกัน ก าหนดราคาโดยผู้รับซื้อโดยใช้คุณภาพของผลผลิตน้ านม ดิบเป็นเกณฑ์ในการก าหนดราคา ราคาน้ านมอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐานการรับรองสูงกว่าน้ านมทั่วไปประมาณ 5-6 บาท/กิโลกรัม โดยราคาน้ านมอินทรีย์ 22.6–25 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาน้ านมทั่วไป 17–19 บาท/ กิโลกรัม ผู้ประกอบการรับซื้อนมอินทรีย์ ได้แก่ บริษัทแดรี่โฮม จ ากัด รับซื้อผลผลิตน้ านมโค ดิบอินทรีย์มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เป็นนมพาสเจอร์ไรซ์ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ไอศกรีม เนย ส่งจ าหน่ายให้กับ เครือข่ายต่างๆ ส่วนใหญ่จะจ าหน่ายผลผลิตเองในรูปของผลิตภัณฑ์หน้าฟาร์มส่งให้กับ Modern Trade


129 ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ โรงเรียน โรงแรม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์บางส่วนส่งจ าหน่ายในตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศกัมพูชา และลาว 1.3) รูปแบบ และช่องทางการจ าหน่าย ช่องทางการจ าหน่ายน้ านมอินทรีย์ผ่านตลาดค้าส่ง นั่นคือ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อินทรีย์จ าหน่ายน้ านมดิบให้ผู้ประกอบการที่รับซื้อไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่ นมพาสเจอร์ไรซ์ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ไอศกรีม เนย ฯลฯ ส่งจ าหน่ายให้กับเครือข่ายต่างๆ เพื่อจ าหน่ายในตลาดต่างๆ ส าหรับ ตลาดที่จัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากน้ านมอินทรีย์ มี 4 ประเภท ได้แก่ 1) ตลาด Modern Trade ได้แก่ ท็อปส์เซ็นทรัล ฯลฯ คิดเป็นร้อยละ 50) 2) ร้านอาหาร โรงเรียน และโรงแรม คิดเป็นร้อยละ 35 3) ตลาด เฉพาะ ได้แก่ จ าหน่ายเองหน้าร้าน Dairy Home Organic Outlet ถนนปากช่อง-เขาใหญ่ อ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา คิดเป็นร้อยละ 10 และ 4) ตลาดส่งออก ส่งไปยังต่างประเทศได้แก่ ประเทศกัมพูชา และลาว คิดเป็นร้อยละ 5 1.4) การรวบรวม การขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอินทรีย์ส่งผลผลิตน้ านมอินทรีย์ให้แก่ผู้ประกอบการรับ ซื้อผลผลิตทั้งหมดไปแปรรูปและจ าหน่ายต่อในตลาดต่าง โดยผู้ประกอบการได้มีการเพิ่มราคาให้แก่เกษตรกร เพื่อช่วยเหลือด้านการขนส่งในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ตามคุณภาพของน้ านมดิบ 1.5) วิถีตลาดน้ านมอินทรีย์ กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอินทรีย์น าผลผลิตน้ านมดิบทั้งหมดส่งจ าหน่ายให้กับ ผู้ประกอบการรับซื้อเพื่อน าน้ านมอินทรีย์ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต่างๆ ส่งจ าหน่ายให้กับเครือข่ายตลาด ต่างๆ พิจารณาได้จากภาพที่ 4.16 ภาพที่ 4.16 วิถีการตลาดน้ านมอินทรีย์ ที่มา : จากการส ารวจ น้ านมดิบ ผลิตภัณฑ์แปรรูป นมพาสเจอร์ไรส์ โยเกิร์ตนมเปรี้ยว เนย ผลผลิตน้ านมดิบ 100 % ผู้ประกอบการ แดรี่โฮม 100 % จ าหน่ายเอง หน้าร้าน 10 % ส่ง โรงพยาบาล/โรงเรียน/โรงแรม 35 % Modern Trade50 % ส่งจ าหน่ายต่างประเทศ5 % ผู้บริโภค 100%


130 1.6) ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาด ไม่มีต้นทุนการตลาดของน้ านมอินทรีย์ เนื่องจากเกษตรกรจ าหน่ายน้ านมดิบให้ผู้รับซื้อ โดยตรง แต่มีส่วนเหลื่อมการตลาดเท่ากับ 82-105 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากมีส่วนต่างระหว่างราคาสินค้าที่ เกษตรกรได้รับกับราคาที่ผู้บริโภคจ่าย พบว่า ราคาน้ านมอินทรีย์ที่เกษตรกรได้รับราคา 22–25 บาทต่อ กิโลกรัม ในขณะที่ผู้บริโภคจ่าย ราคา 100-130 บาทต่อกิโลกรัม 2) สุกรอินทรีย์ 2.1) โครงสร้างตลาด ปริมาณผลผลิตสุกรอินทรีย์ที่ผลิตได้ในประเทศรวมทั้งสิ้น 77,900 กิโลกรัมต่อปี คิดเป็นมูลค่า 14 ล้านบาทต่อปี ลักษณะการจ าหน่ายเป็นการน าสุกรมาคัดแยกและช าแหละแยกเฉพาะเนื้อแดง จ าหน่าย ผลผลิตสุกรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน PGS (Participatory Guarantee System) 2.2) พฤติกรรมการตลาดสุกรอินทรีย์และการก าหนดราคา เกษตรกร และผู้ประกอบการค้าเป็นผู้ก าหนดราคา โดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิต ท าให้ ราคาสุกรที่ได้รับมาตรฐานการรับรองเกษตรอินทรีย์สูงกว่าสุกรทั่วไป โดยราคาสุกรอินทรีย์อยู่ระหว่าง 160- 200 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาสุกรทั่วไปอยู่ระหว่าง 120-150 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกร และ ผู้ประกอบการค้าส่วนใหญ่นิยมจ าหน่ายผลผลิตที่ฟาร์ม หรือจุดรวบรวมในพื้นที่ 2.3) รูปแบบ และช่องทางการจ าหน่าย ช่องทางการจ าหน่ายสุกรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูป กระจายผลผลิตสุกรอินทรีย์และ ผลิตภัณฑ์แปรรูป ผ่านตลาด 5 ประเภท ได้แก่ 1) ตลาดนัดเฉพาะ อาทิ ตลาดวิถีธรรมชาติ บริเวณถนนริม สนามกีฬากลาง อ าเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นตลาดสดค้าปลีกที่เกษตรกรผู้ผลิตน าสินค้ามาจ าหน่ายให้ ผู้บริโภคโดยตรง ด าเนินการ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ เปิดจ าหน่ายวันศุกร์ (เวลา 6.00-12.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 25 2)ตลาดสมาชิก อาทิ ตลาดสุขใจ อ าเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นตลาดที่ผู้ผลิตสินค้าอินทรีย์มีส่วนร่วม ในการวางแผนการผลิต มีการน าผลผลิตมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เปิดจ าหน่ายทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์ 8.00-16.00 น. คิดเป็นร้อยละ 25 3) ร้านอาหาร โดยผู้ผลิตส่งเนื้อสุกรแปรรูป และผลิตภัณฑ์ สุกรอินทรีย์จ าหน่ายให้แก่ร้านอาหาร ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ และโรงแรมในกรุงเทพฯ คิด เป็นร้อยละ 30 4) ตลาดออนไลน์ เป็นตลาดที่ผู้ผลิตเป็นผู้จ าหน่ายเองผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต คิดเป็นร้อยละ 10 และ 5) ตลาดอื่นๆ อันได้แก่ จ าหน่ายเองที่ฟาร์ม คิดเป็นร้อยละ 10 2.4) การรวบรวม การขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง การรวบรวมผลผลิตสุกรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ด าเนินการใน 2 ลักษณะ คือ การรวบรวมผลผลิตของตนเองและในพื้นที่มาจ าหน่ายให้ผู้บริโภคในรูปแบบเนื้อสุกรช าแหละ และการ รวบรวมผลผลิตจ าหน่ายให้แก่พ่อค้าที่เข้ามารับซื้อผลผลิตในพื้นที่เพื่อน าไปจ าหน่ายหรือแปรรูปต่อ ส่วนใหญ่ เกษตรกรและผู้ประกอบการค้าร้อยละ 60 นิยมจ าหน่ายผลผลิตที่ฟาร์ม จุดรวบรวมของตนเอง และตลาด เฉพาะ ที่เหลืออีกร้อยละ 40 ค้าส่งให้พ่อค้าปลีกโดยใช้ตราสินค้า G-PORK และจ าหน่ายผ่านตลาดออนไลน์


131 ส าหรับค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสินค้าไปจ าหน่ายเฉลี่ย 15 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนใหญ่เป็น ค่าน้ ามันเชื้อเพลิง ส าหรับการขนส่งผลผลิตของเกษตรกรไปจ าหน่ายนั้น ผู้รวบรวมหรือผู้ประกอบการจะเป็น ผู้รับค่าใช้จ่ายในการขนส่งเอง กรณีจ าหน่ายสินค้าในตลาดเฉพาะ ตลาดนัด ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายใน ส่วนของค่าเช่าสถานที่เฉลี่ย 12 บาทต่อกิโลกรัม ภาพที่ 4.17 วิถีการตลาดสุกรอินทรีย์ ที่มา : จากการส ารวจ 2.5) วิถีตลาดสุกรอินทรีย์ เกษตรกรกระจายผลผลิตร้อยละ 30 จ าหน่ายให้แก่ร้านอาหาร และโรงแรมต่างๆในพื้นที่ อีกร้อยละ 50 จ าหน่ายผ่านตลาดนัดเฉพาะ อาทิ ตลาดวิถีธรรมชาติ และตลาดสมาชิก ในสัดส่วนเดียวกัน คือร้อยละ 25 ที่เหลืออีกร้อยละ 20 จ าหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ และจ าหน่ายเองที่ฟาร์ม ในสัดส่วนเดียวกัน คือ ร้อยละ 10 พิจารณาได้จากภาพที่ 4.17 2.6) ต้นทุนการตลาดและส่วนเหลื่อมการตลาด ต้นทุนการตลาดสุกรอินทรีย์ ค านวณจากค่าใช้จ่ายการตลาด ได้แก่ ค่าสถานที่ ค่าเช่าแผง ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ค่าขนส่ง ค่าเสียโอกาสเงินลงทุน ส าหรับส่วนเหลื่อมการตลาดของสุกรอินทรีย์ ไม่เกิน 40 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาสุกร อินทรีย์ที่เกษตรกรได้รับอยู่ระหว่าง 160-200 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาสินค้าที่ผู้บริโภคจ่ายอยู่ระหว่าง 200 บาทต่อกิโลกรัม จากตารางผนวดที่ 56 3) ไข่ไก่อินทรีย์ 3.1) โครงสร้างตลาด ปริมาณผลผลิตไข่ไก่อินทรีย์ที่ผลิตได้ในประเทศรวมทั้งสิ้น 5,495,366 ฟองต่อปี คิดเป็น มูลค่า 24,862,500 บาทต่อปี ผลผลิตได้รับการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand PGS และ มกท. ผลผลิตสุกรอินทรีย์ 100 % จ าหน่ายเองที่ฟาร์ม (10%) ตลาดเฉพาะ (ตลาดเกษตรวิถีธรรมชาติ) (25%) จ าหน่ายออนไลน์ (10%) ส่งร้านอาหาร /โรงแรม (30%) ตลาดสมาชิก (ตลาดสุขใจ) (25%)


132 ส าหรับผลผลิตส่วนใหญ่ร้อยละ 98.3 เป็นผลผลิตที่ได้จากผู้ประกอบการค้าไข่ไก่อินทรีย์ที่ จดทะเบียนในรูปบริษัท ที่มีการด าเนินโครงการส่งเสริมพัฒนาสังคมและชุมชน ที่ส่งเสริมชาวเขาในพื้นที่จังหวัด ภาคเหนือปรับเปลี่ยนอาชีพจากปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และท าไร่เลื่อนลอยมาเลี้ยงไก่ไข่ และน าผลผลิตจ าหน่าย คืนให้แก่บริษัทเพื่อให้น าไปบรรจุแพ็คส่งจ าหน่ายในตลาดโมเดิร์นเทรด และร้านอาหารทั่วไปในพื้นที่ ที่เหลือ อีกร้อยละ 2.7 เป็นผลผลิตจากเกษตรกรที่เลี้ยงไก่อารมณ์ดีแบบปล่อยธรรมชาติ ในพื้นที่ภาคกลาง แล้วน า ผลผลิตมาจ าหน่ายในตลาดชุมชนรูปแบบการจ าหน่ายและช าระเงิน พบว่า ส่วนใหญ่จ าหน่ายและรับเงินค่า สินค้าทันที (ขายขาด) โดยวางจ าหน่ายในตลาดเฉพาะ โมเดิร์นเทรด และส่งออกตลาดประเทศ การแข่งขันทาง การตลาดมีน้อยเพราะมีผู้ผลิตน้อยราย ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถเข้ามาในธุรกิจได้ง่าย 3.2) พฤติกรรมการตลาดไข่ไก่อินทรีย์และการก าหนดราคา เกษตรกรและผู้ประกอบการส่วนใหญ่มากถึงร้อยละ 98.3 ก าหนดราคาไข่ไก่อินทรีย์โดย พิจารณาร่วมกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ผลิต ที่เหลืออีกร้อยละ 2.7 ก าหนดราคาโดยผู้ผลิต เมื่อพิจารณาด้านราคา พบว่า ราคาไข่ไก่อินทรีย์สูงกว่าราคาไข่ไก่ทั่วไป โดยราคาไข่ไก่อินทรีย์สูงสุดที่มีจ าหน่ายในตลาดอยู่ที่ 9 บาท ต่อฟอง ราคาไข่ไก่อินทรีย์แบบคละ 4.50-9 บาทต่อฟอง ราคาไข่ไก่อินทรีย์ทั่วไป 3-4 บาทต่อฟอง 3.3) รูปแบบและช่องทางการจ าหน่าย ผลผลิตเกือบทั้งหมดร้อยละ 99.8 ผู้ผลิตเป็นผู้จ าหน่ายเอง โดยมีการคัดแยกเกรดจ าหน่าย กระจายผลผลิตผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ ตลาด Modern Trade ร้านอาหาร โรงแรม และส่งออกตลาดประเทศ โดยผลผลิตร้อยละ 80 ส่งจ าหน่ายตลาด Modern Trade ได้แก่ Tops เทสโก้โลตัส มีความถี่ในการจ าหน่าย เฉลี่ย 1 ครั้งต่อสัปดาห์อีกร้อยละ 15 จ าหน่ายให้แก่ร้านอาหารโรงแรม ที่เหลืออีกร้อยละ 5 ส่งจ าหน่ายตลาด ต่างประเทศ 3.4) การรวบรวม การขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง ผู้ประกอบการค้าไข่ไก่อินทรีย์รายใหญ่ที่สุด ได้แก่ บริษัท ฮิลไทรบ์ออร์แกนิคส์ จ ากัด รองลงมา คือ เกษตรกรทั่วไป และเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานราชการ ส าหรับ บริษัท ฮิลไทรบ์ ออร์แกนิคส์ จ ากัด ได้ด าเนินรวบรวมผลผลิตจากสมาชิกเกษตรกรมาจุดรวบรวม และจ าหน่ายในตลาดชุมชน และได้มีการคัดแยกเกรดไข่ไก่อินทรีย์เพื่อบรรจุแพ็คจ าหน่ายส่งตลาดโมเดิร์นเทรด โดยมีต้นทุนค่าขนส่ง อาทิ ค่าจ้างเหมารถ ค่าจ้างแรงงาน เฉลี่ย 0.3 บาทต่อฟอง ในขณะที่ เกษตรกรทั่วไป และเกษตรกรที่ได้รับการ ส่งเสริมจากหน่วยงานราชการในพื้นที่จังหวัดภาคกลาง จะน าผลผลิตส่งจ าหน่ายที่ร้านอาหาร และในชุมชน มีต้นทุนค่าขนส่ง อาทิ ค่าน้ ามันรถ ค่าจ้างเหมารถเฉลี่ย 0.70 บาทต่อฟอง


133 ภาพที่ 4.18 วิถีตลาดไข่ไก่อินทรีย์ ที่มา : จากการส ารวจ 3.5) วิถีตลาดไข่ไก่อินทรีย์ ผู้รวบรวมรายใหญ่ ได้แก่ บริษัทฮิลไทรบ์ออร์แกนิคส์ จ ากัด รับซื้อผลผลิตจากฟาร์ม และ จุดรวบรวมคิดเป็นร้อยละ 99.8 น าผลผลิตไปส่งจ าหน่ายตลาดโมเดร์นเทรด เช่น ท๊อป และโลตัส คิดเป็น ร้อยละ 79.8 ร้านอาหาร/โรงแรม ส่งออกต่างประเทศ คิดเป็นร้อยละ 15 และ 5 ตามล าดับ ที่เหลืออีกร้อยละ 0.20 จ าไปจ าหน่ายในตลาดชุมชน พิจารณาจากภาพที่ 4.18 3.6) ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาด ต้นทุนการตลาดไข่ไก่อินทรีย์ มีค่าใช้จ่ายการตลาด ได้แก่ ค่าสถานที่ ค่าเช่าแผง ค่าใช้จ่าย ในการดูแลรักษา ค่าขนส่ง ค่าเสียโอกาสเงินลงทุน ประกอบด้วย ค่าขนส่ง 0.13 บาทต่อฟอง ค่าจ้างแรงงาน 0.21 บาทต่อฟอง ค่าดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าเสียโอกาสของเงินทุน 0.20 บาทต่อฟอง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าฉลาก 0.37 บาทต่อฟอง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ค่าบริหารจัดการตลาด) 0.33 บาทต่อฟอง รวมค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเท่ากับ 1.06 บาทต่อฟอง พิจารณาส่วนเหลื่อมการตลาดจ าแนกรายพื้นที่ พบว่า ในพื้นที่ภาคเหนือ พบว่า ผู้รวบรวม รายใหญ่ ได้แก่ บริษัทฮิลไทรบ์ออร์แกนิคส์ จ ากัด คัดเกรดไข่ไก่อินทรีย์ที่ได้มาตรฐานจ าหน่ายผ่านตลาดต่างๆ มีส่วนเหลื่อมการตลาด 4.50 บาทต่อฟอง เนื่องจากราคาผลผลิตที่เกษตรกรจ าหน่ายได้อยู่ระหว่าง 4.50 บาท ต่อฟอง ในขณะที่ราคาที่ผู้บริโภคจ่ายในตลาดต่างๆ อยู่ที่ 9 บาทต่อฟองในขณะที่ภาคกลาง มีส่วนเหลื่อม การตลาดไข่ไก่อินทรีย์ 1.50 บาทต่อฟอง ต่ ากว่าภาคเหนือ 3 บาทต่อฟอง เนื่องจากราคาผลผลิตที่เกษตรกร จ าหน่ายได้อยู่ระหว่าง 3.00-4.50 บาทต่อฟอง ในขณะที่ราคาที่ผู้บริโภคจ่ายในตลาดต่างๆ อยู่ที่ 6 บาทต่อฟอง โมเดร์นเทรด 79.8 % ผลผลิตไข่ไก่ อินทรีย์ 100 % จุดรวบรวม 99.8 % ร้านอาหาร/โรงแรม 15 % ส่งออกต่างประเทศ 5 % ตลาดชุมชน 0.2 %


134 2) ทัศนคติของบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2.1) ทัศนคติด้านพฤติกรรมตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดปศุสัตว์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.4-4.01 คะแนน) ว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นสินค้าที่มีคุณภาพมีความปลอดภัย รสชาติดี สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน กว่าสินค้าเกษตรที่ผลิตแบบทั่วไป มีป้ายบอกราคาชัดเจน กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรักสุขภาพ และการเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุท าให้มีความต้องการบริโภคสินค้าอินทรีย์เพิ่มขึ้น และปัจจุบันมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์มี อัตราเพิ่มขึ้นทุกปีแต่ชนิดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่วางจ าหน่ายในตลาดไม่หลากหลาย มีราคาจ าหน่ายสูงกว่า สินค้าเกษตรทั่วไปมาก โดยเฉพาะใน Modern Trade โดยราคาสินค้ามักเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและสถานที่ การวางจ าหน่าย ลักษณะการจัดวางสินค้าไม่ดึงดูดใจให้เกิดการซื้อ สภาวะโลกร้อน โรคและศัตรูพืชส่ง ผลกระทบต่อปริมาณคุณภาพและการเก็บรักษาสินค้าเกษตรอินทรีย์อีกทั้งเห็นว่าสินค้าเนื้อสัตว์อินทรีย์ (สุกร ไก่ ไข่ ปลา) และสินค้าแปรรูปที่พร้อมบริโภค (อาหารส าเร็จรูป) มีวางจ าหน่ายในตลาดน้อยมากเห็นด้วย ในระดับปานกลาง (3.26-3.36 คะแนน) ว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งตลาด สินค้าอินทรีย์/ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถจัดหาและจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ตรงตามความต้องการ ของผู้บริโภค/ผู้ผลิตรายใหม่/คู่แข่ง (New Entry) เข้าระบบตลาดได้ยากเนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการ ปรับเปลี่ยนในการผลิตเกษตรอินทรีย์ข้อตกลงการค้าเสรีท าให้สินค้าเกษตรอินทรีย์มีคู่แข่งในตลาดมาก การแข่งขันระหว่างธุรกิจสูงทั้งในและต่างประเทศการแข่งขันระหว่างธุรกิจสูงสินค้าอินทรีย์มีคู่แข่งในตลาดมาก ขึ้นทั้งในและต่างประเทศ พิจารณาจากตารางผนวกที่ 57 2.2) ทัศนคติด้านผลการด าเนินงานของตลาดผลไม้อินทรีย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดปศุสัตว์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.41-3.87 คะแนน) ว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์มีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ผู้ประกอบการขาดการขับเคลื่อนเกษตร อินทรีย์อย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ผู้ประกอบการขาดการสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสินค้า อินทรีย์ รสชาติของสินค้าเกษตรอินทรีย์แปรรูปส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยัง ขาดการรับรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ที่ถูกต้อง ผู้บริโภคไม่รู้จักสัญลักษณ์มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ประเภทต่างๆ กระแสเกษตรอินทรีย์จากสื่อต่างๆ และจากผู้มีชื่อเสียงในสังคมช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการการบริโภค เพิ่มขึ้น ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับจังหวัดได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ตลาดเกษตรกร ตลาดสี เขียว จ านวนเจ้าหน้าที่ภาครัฐ/ภาคเอกชนที่ตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่มีไม่เพียงพอ ตลาดยังไม่ชัดเจน/ปริมาณผลผลิตน้อย/ต้นทุนการดูแลรักษาสูง และแหล่งผลิตห่างไกลตลาดท าให้ผู้ผลิต/ผู้ขาย (Suppliers) มีอ านาจต่อรองด้านราคาค่อนข้างต่ า ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสินค้าเกษตรอินทรีย์เนื่องจากไม่ มั่นใจในการผลิต หรือมีการปลอมปนสินค้าเห็นด้วยในระดับปานกลาง (3.32-3.39 คะแนน) ว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยตนเอง ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยปี 2560-2564 ได้ให้ความส าคัญในด้านการตลาดเป็น 1 ใน 4 ยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ปี 2560-2564 ให้ความส าคัญในการเพิ่มการบริโภค สินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศมากขึ้น ภาครัฐสนับสนุนให้การพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ ให้มีความรู้ด้านเกษตร


135 อินทรีย์เพิ่มมาก ภาครัฐให้ความส าคัญต่อการพัฒนาเกษตรอินทรีย์และสนับสนุนให้เกิดการรับรู้นโยบายพัฒนา เกษตรอินทรีย์โดยการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและบริโภครับรู้และเข้าใจประโยชน์ของการผลิตและการบริโภค อินทรีย์ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ภาครัฐให้ความส าคัญในการสนับสนุนเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านมากขึ้น การขับเคลื่อนตลาดเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐฯ อาจไม่ต่อเนื่องหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ภาครัฐให้การ สนับสุนนการจัดท ามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกรที่ชัดเจนมีความน่าเชื่อถือและไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ มีนักลงทุน และผู้ประกอบการ รายใหม่ๆ เข้าสู่ห่วงโซ่สินค้าเกษตรอินทรีย์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ถูกก าหนดราคาจากตลาดส่งออก ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์มีการอธิบายข้อมูลโภชนาการและ คุณประโยชน์ของสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างชัดเจน พิจารณาจากตารางผนวกที่ 58 2.3) ทัศนคติด้านผลการด าเนินงานด้านรูปแบบ และช่องทางการจ าหน่าย ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดปศุสัตว์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.43-3.81 คะแนน) ว่า ขาดการประชาสัมพันธ์ด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้ซื้อหันมาบริโภค สินค้าอินทรีย์ตลาด/สถานที่จ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ตั้งอยู่ห่างไกลแหล่งชุมชน ช่องทางการจ าหน่ายสินค้า เกษตรอินทรีย์ต้องอาศัยคนกลางเพื่อเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค สินค้าเกษตรอินทรีย์มีมีบรรจุภัณฑ์ และฉลากที่สวยงามดึงดูดใจผู้บริโภคและสะดวกต่อการใช้งาน ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ใช้ระบบออนไลน์ในการ จัดจ าหน่าย ซึ่งสามารถลดต้นทุนการตลาดลงได้มาก ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาดเกษตรอินทรีย์ได้ยาก เช่น ไม่รู้ แหล่งจ าหน่าย ไม่รู้ชื่อเว็บไซต์และวิธีซื้อทางออนไลน์ฯลฯ ในแต่ละช่องทางการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์มี รูปแบบการจ าหน่ายที่หลากหลาย (ตลาดสมาชิก/ขายตรง ตลาดนัดตลาดเฉพาะ ตลาดทั่วไปตลาด Modern Trade ตลาดสด) ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าทั่วไปทดแทนสินค้าอินทรีย์ได้ง่าย (Substitutes) เนื่องจากมี จ าหน่ายทั่วไปภาพลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างกับสินค้าอินทรีย์ และราคาถูกกว่า ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ยัง มีน้อย ท าให้มีผู้ขายน้อยราย ส่งผลให้ไม่มีระบบการกระจายสินค้าที่ดี/หาซื้อได้ยาก ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาด เกษตรอินทรีย์ได้ยาก เช่น ไม่รู้แหล่งจ าหน่าย ไม่รู้วิธีซื้อทางออนไลน์ เห็นด้วยในระดับปานกลาง (3.05-3.4 คะแนน) ว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์มีการจ าหน่ายบนระบบออนไลน์มากขึ้นท าให้ลดต้นทุนการตลาดลงได้มาก มี การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่หลากหลาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายโฆษณา ฯลฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการใช้เทคโนโลยีในการจัดหาและบริหาร จัดการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อลดขั้นตอนและเวลาการจ าหน่าย ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่มีระบบ การรักษาคุณภาพสินค้าอย่างดี เช่น ใน Modern Trade ภาครัฐสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาตลาด สินค้าอินทรีย์เพิ่มช่องทางการจ าหน่ายสินค้าอินทรีย์มากขึ้น ระบบการคมนาคม ขนส่ง การสื่อสารไอทีและ นวัตกรรมต่างๆ ท าให้สะดวกในการสั่งซื้อและจัดจ าหน่าย และสามารถลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่ ตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีช่องทางเชื่อมโยงการตลาดสินค้าเกษตร อินทรีย์กับหน่วยงานภาครัฐ พิจารณาจากตารางผนวกที่ 59


136 2.4) ข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านการตลาดของผลไม้อินทรีย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดปศุสัตว์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.95-4.15 คะแนน) ว่า ควรประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจในเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่องในทุกสื่อ สนับสนุน การตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยในแต่ละตลาด สนับสนุนคนรุ่นใหม่ธุรกิจเกษตรอินทรีย์ สนับสนุนการ รวมกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ เพื่อให้มีสินค้าที่เพียงพอต่อความต้องการตลาด การวิจัย นวัตกรรม การแปรรูป อาหารอินทรีย์ แบบใหม่ๆ ส่งเสริมการเรียนการสอนเกษตรอินทรีย์ในทุกระดับ อนุบาล-อุดมศึกษา สร้าง Application Line ตลาดเกษตรอินทรีย์ เชื่อมโยงเครือข่ายทั้งประเทศ หน่วยงานภาครัฐให้ความช่วยเหลือใน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ตราสัญลักษณ์แก่ผู้ค้าในแต่ละตลาด สนับสนุนแหล่งเงินทุนด้านการตลาดดอกเบี้ยต่ า เสนอให้มีการลดหย่อนภาษีส าหรับผู้ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ปีละ 50,000-100,000 บาทต่อคน ส่วนด้าน รูปแบบและช่องทางการจ าหน่าย มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดปศุสัตว์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.90-4.13 คะแนน) ว่า ควรสนับสนุนให้มีร้านอาหารอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยว และในสถานที่ราชการและ เอกชน ขนาดใหญ่ สนับสนุนการเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์กับหน่วยงานภาครัฐ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เรือนจ า สนับสนุนการจัดตั้งร้านค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจร ในระดับจังหวัด ระดับภาค การสร้างตลาดใหม่ๆโดยภาครัฐ และภาคีเครือข่าย ในเขตชุมชน จัดงานเกษตรอินทรีย์ในระดับภาค เพื่อ น าเสนอ จัดแสดง จ าหน่าย และแลกเปลี่ยนความรู้ ปีละ 1 ครั้ง สร้างเครือข่ายผู้ค้าเกษตรอินทรีย์เชื่อมโยงซื้อ ขายแลกเปลี่ยนสินค้าแต่ละจังหวัด โดยภาครัฐเป็นแกนกลางในระยะแรกๆ การออกแบบภูมิทัศน์และสถานที่ ให้ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ ผู้บริโภคทุกระดับ สนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยค้าจ าหน่ายบนระบบออนไลน์ พิจารณาจากตารางผนวกที่ 60 3) สภาพแวดล้อมภายใน และภายนอกของระบบตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน และภายนอก (SWOT Analysis)ของระบบ การตลาดปศุสัตว์อินทรีย์เพื่อน าไปใช้ประกอบการวิเคราะห์ทางเลือกในการก าหนดกลยุทธ์การพัฒนาศักยภาพ ด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์(TOWS Matrix) พิจารณาได้ดังนี้ 3.1) จุดแข็ง (Strengths) S1 : รสชาติและคุณภาพของสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ส่วนใหญ่ดีกว่าสินค้าปศุสัตว์ทั่วไป S2 : สินค้าเกษตรอินทรีย์มีความปลอดภัย รสชาติดี S3 : ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงตามสถานที่การวางจ าหน่ายสินค้า S4 : ราคาสินค้าเหมาะสมกับคุณภาพ S5 : มีป้ายบอกราคาชัดเจน S6 : ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสินค้าอินทรีย์ S7 : ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ได้ตรงตามความ ต้องการของผู้บริโภค S8 : สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์มีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ PGS และ Organic Thailand


137 S9 : เกษตรกรผู้ผลิต/ผู้ประกอบการสามารถเชื่อมโยงเครือข่าย โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสาร ระหว่างกันเกี่ยวกับระบบการผลิตการตลาด S10 : ตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์มีการอธิบายข้อมูลโภชนาการและคุณประโยชน์ของ สินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างชัดเจน S11 : สินค้าไข่ไก่อินทรีย์มีบรรจุภัณฑ์และฉลากที่สวยงามดึงดูดใจผู้บริโภคและสะดวก ต่อการใช้งาน S12 : ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ใช้ระบบออนไลน์ในการจัดจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ซึ่งสามารถลดต้นทุนการตลาดลงได้มาก S13 : ตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ส่วนใหญ่มีระบบการรักษาคุณภาพสินค้าอย่างดี เช่น ใน Modern Trade 3.2) จุดอ่อน (Weaknesses) W1 : สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูป (อาหารส าเร็จรูป) มีปริมาณการผลิต น้อยไม่หลากหลายและมีอ านาจต่อรองด้านราคาค่อนข้างต่ า W2 : สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปมาก โดยเฉพาะใน Modern Trade W3 : การจัดวางสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ในสถานที่จ าหน่ายไม่ดึงดูดใจให้เกิดการซื้อ W4 : ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์กับภาครัฐน้อย/ไม่ ต่อเนื่อง W5 : เกษตรกรผู้ผลิตในระยะปรับเปลี่ยนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสินค้า ปศุสัตว์อินทรีย์ไม่มากนัก W6 : สินค้าเนื้อสุกรอินทรีย์ มาตรฐาน PGS ไม่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าถึง ระดับฟาร์มเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค W7 : การประชาสัมพันธ์ด้านการตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ยังมีน้อย W8 : ตลาด/สถานที่จ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์มีจ านวนน้อย ตั้งอยู่ห่างไกล แหล่งชุมชน W9 : ขาดการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่หลากหลาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายโฆษณาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง W10 : ผู้ประกอบการน้ านมอินทรีย์ขาดการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการสินค้าเพื่อ ลดต้นทุน ควบคุมคุณภาพ (Juice Tank) W11 : ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เชื่อมโยงการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์กับหน่วยงาน ภาครัฐค่อนข้างน้อย


138 3.3) โอกาส (Opportunities) O1 : กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและรักสุขภาพ ท าให้ความต้องการบริโภคสินค้าอินทรีย์ เพิ่มขึ้น O2 : กลุ่มผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์มีแนวโน้มขยายตัวสูง O3 : การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ท าให้ความต้องการบริโภคสินค้าสุขภาพ โดยเฉพาะสินค้า เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น O4 : มูลค่าการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์มีอัตราเพิ่มขึ้นในทุกปี O5 : ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับจังหวัดได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ตลาดเกษตรกร ตลาดสีเขียว O6 : ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยปี2560-2564 ได้ให้ความส าคัญในด้าน การตลาด เป็น1 ใน 4 ยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อน และ ให้ความส าคัญในการเพิ่มการบริโภคสินค้าเกษตร อินทรีย์ในประเทศมากขึ้น O7 : ภาครัฐให้ความส าคัญต่อการพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้มีความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ มากขึ้น O8 : ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษาวิจัยและพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ O9 : ภาครัฐให้ความส าคัญในการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและบริโภครับรู้และเข้าใจ ประโยชน์สินค้าอินทรีย์ O10 : ภาครัฐให้ความส าคัญในการสนับสนุนเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านมากขึ้น O11 : ระบบการคมนาคม ขนส่ง การสื่อสารไอทีและนวัตกรรมต่างๆ ท าให้สะดวกใน การสั่งซื้อและจัดจ าหน่ายและสามารถลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่ O12 : ภาครัฐให้การสนับสนุนการจัดท ามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทยแก่เกษตรกร โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านการตรวจรับรองมาตรฐาน 3.4) อุปสรรค (Threats) T1 : ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดการรับรู้ข้อมูลเกษตรอินทรีย์ที่ถูกต้อง T2 : ผู้บริโภคร้อยละ 50 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์มาตรฐานเกษตร อินทรีย์ประเภทต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง T3 : ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาดเกษตรอินทรีย์ได้ยาก เช่น ไม่รู้แหล่งจ าหน่าย ไม่รู้ชื่อ เว็บไซต์และวิธีซื้อทางออนไลน์ฯลฯ T4 : สภาวะโลกร้อน โรคและศัตรู ส่งผลกระทบต่อปริมาณคุณภาพ และการเก็บรักษา สินค้าเกษตรอินทรีย์ T5 : ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าทั่วไปทดแทนสินค้าอินทรีย์ได้ง่าย (Substitutes) เนื่องจากภาพลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างกัน T6 : ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ (ตลาดเฉพาะ) ยังมีน้อย


139 T7 : จ านวนเจ้าหน้าที่ภาครัฐ/ภาคเอกชนที่ตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ใน ระดับพื้นที่มีไม่เพียงพอ T8 : ต้นทุนการดูแลรักษาสูง T9 : ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสินค้าเกษตรอินทรีย์ เกี่ยวกับการปลอมปนสินค้า T10 : การขับเคลื่อนตลาดเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐฯอาจไม่ต่อเนื่องหากมีการ เปลี่ยนแปลงรัฐบาล T11 : ผู้ผลิตรายใหม่/คู่แข่ง (New Entry) เข้าระบบตลาดได้ยาก เนื่องจากต้องใช้ ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนในการผลิตเกษตรอินทรีย์ T12 : ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออก T13 : การแข่งขันระหว่างธุรกิจสูง สินค้าอินทรีย์มีคู่แข่งในตลาดมากขึ้นทั้งในและ ต่างประเทศ T14 : ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ถูกก าหนดราคาจากตลาดส่งออก 4) แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ จากการวิเคราะห์ศักยภาพภายใน (จุดแข็ง จุดอ่อน) และศักยภาพภายนอก (โอกาส อุปสรรค) น ามาวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix โดยก าหนดเป็นกลยุทธ์ 4 ทางเลือกในการก าหนดแนวทางในการพัฒนา ศักยภาพการตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ ได้ดังนี้


140 ตารางที่ 4.5 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ TOWS Matrix จุดแข็ง (Strengths) S1 รสชาติและคุณภาพของสินค้าปศุสัตว์อินท สินค้าปศุสัตว์ทั่วไป S2 สินค้าเกษตรอินทรีย์มีความปลอดภัย รสชา S3 ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงตามสถานที่การว ฯลฯ S4 ราคาสินค้าเหมาะสมกับคุณภาพ S5 มีป้ายบอกราคาชัดเจน S6 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถรักษาและ สินค้าอินทรีย์ S7 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถจ าหน่ายสิน ได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค S8 สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์มีการรับรองมาตรฐ PGS และ Organic Thailand S9 เกษตรกรผู้ผลิต/ผู้ประกอบการสามารถ โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารระหว่างกัน เกี่ยวก การตลาด S10 ตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์มีการอธิบาย และคุณประโยชน์ของสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่า S11 สินค้าไข่ไก่อินทรีย์มีบรรจุภัณฑ์และฉลาก ผู้บริโภคและสะดวกต่อการใช้งาน


0 140 ทรีย์ส่วนใหญ่ดีกว่า าติดี วางจ าหน่ายสินค้า เพิ่มส่วนแบ่งตลาด นค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ฐานเกษตรอินทรีย์ เชื่อมโยงเครือข่าย กับระบบการผลิต ยข้อมูลโภชนาการ งชัดเจน กที่สวยงามดึงดูดใจ จุดอ่อน (Weaknesses) W1 สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูป (อาหาร ส าเร็จรูป) มีปริมาณการผลิตน้อยไม่หลากหลายและมี อ านาจต่อรองด้านราคาค่อนข้างต่ า W2 สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปมาก โดยเฉพาะใน Modern Trade W3 การจัดวางสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ในสถานที่จ าหน่ายไม่ ดึงดูดใจให้เกิดการซื้อ W4 ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน เกษตรอินทรีย์กับภาครัฐน้อย/ไม่ต่อเนื่อง W5 เกษตรกรผู้ผลิตในระยะปรับเปลี่ยนมีความรู้ความ เข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ไม่มากนัก W6 สินค้าเนื้อสุกรอินทรีย์ มาตรฐาน PGS ไม่มีระบบ ตรวจสอบย้อนกลับสินค้าถึงระดับฟาร์ม เพื่อสร้างความ มั่นใจให้ผู้บริโภค W7 การประชาสัมพันธ์ด้านการตลาดสินค้าปศุสัตว์ อินทรีย์ยังมีน้อย W8 ตลาด/สถานที่จ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์มีจ านวน น้อย ตั้งอยู่ห่างไกลแหล่งชุมชน


141 ตารางที่ 4.5 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ (ต่อ) S12 ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ใช้ระบบอ จ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ซึ่งสามารถล ลงได้มาก S13 ตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ส่วนใหญ คุณภาพสินค้าอย่างดี เช่นใน Modern Tra โอกาส (Opportunities) O1 กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและรักสุขภาพ ท าให้ความต้องการบริโภคสินค้าอินทรีย์เพิ่มขึ้น O2 กลุ่มผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์มีแนวโน้ม ขยายตัวสูง O3 การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ท าให้ความต้องการ บริโภคสินค้าสุขภาพ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อินทรีย์เพิ่มขึ้น O4 มูลค่าการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์มีอัตรา เพิ่มขึ้นในทุกปี O5 ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับจังหวัด ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ตลาด เกษตรกร ตลาดสีเขียว SO Strategies SO1 : ส่งเสริมและสนับสนุนการบริโ อินทรีย์ภายในประเทศให้มากขึ้น (S1 S10 SO2 : สนับสนุนกลไกการขับเคลื่อนการด และการตลาดปศุสัตว์อินทรีย์อย่างเป็น (S18 O6) SO3 : จัดท าโครงการส่งเสริมและพัฒ อินทรีย์ในองค์กรเอกชนและหน่วยงานภาค SO4 : สนับสนุนช่องทางการตลาดของสิน ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความเชื่อมโ


1 141 ออนไลน์ในการจัด ลดต้นทุนการตลาด ญ่มีระบบการรักษา ade W9 มีการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่หลากหลาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายโฆษณา ฯลฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง W10 ผู้ประกอบการน้ านมอินทรีย์ขาดการใช้เทคโนโลยี ในการบริหารจัดการสินค้าเพื่อลดต้นทุน ควบคุมคุณภาพ (Juice Tank) W11 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เชื่อมโยงการตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์กับหน่วยงานภาครัฐค่อนข้างน้อย ภคสินค้าปศุสัตว์ 0 O6 O2 O7 ) ด าเนินงานการผลิต นระบบครบวงจร ฒนาตลาดปศุสัตว์ ครัฐ (S18 O2 O5) นค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ยงกัน (S9 O6 O7) WO Strategies WO1 : บูรณาการการแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดองค์ ความรู้ การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยี/นวัตกรรม และ การฝึกอบรมด้านการปศุสัตว์อินทรีย์(W1 O9) WO2 : สนับสนุนความต้องการสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้าน การปศุสัตว์อินทรีย์ของตลาด ควบคู่กับการสร้างความ เชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า และมุ่งรักษาระดับราคาให้มี เสถียรภาพ (W3 W5 O2 O4 O12) WO3 : ส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านปศุ สัตว์อินทรีย์ให้มีจ านวนมากและหลากหลาย เพื่อส่งเสริม และผลักดันให้เกิดการยอมรับในระดับสากล (W1O7)


142 ตารางที่ 4.5 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ (ต่อ) O6 ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยปี 2560-2564 ได้ให้ความส าคัญในด้านการตลาด เป็น1 ใน 4 ยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อน และ ให้ ความส าคัญในการเพิ่มการบริโภคสินค้าเกษตร อินทรีย์ในประเทศมากขึ้น O7 ภาครัฐให้ความส าคัญต่อการพัฒนาบุคลากร ภาครัฐฯ ให้มีความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์มากขึ้น O8 ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษาวิจัย และพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ O9 ภาครัฐให้ความส าคัญในการประชาสัมพันธ์ให้ ผู้ผลิตและบริโภครับรู้และเข้าใจประโยชน์สินค้า อินทรีย์ O10 ภาครัฐให้ความส าคัญในการสนับสนุนเกษตร อินทรีย์วิถีพื้นบ้านมากขึ้น O11 ระบบการคมนาคม ขนส่ง การสื่อสารไอทีและ นวัตกรรมต่างๆ ท าให้สะดวกในการสั่งซื้อและจัด จ าหน่าย และสามารถลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่ O12 ภาครัฐให้การสนับสนุนการจัดท ามาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ของไทยแก่เกษตรกรโดยไม่เสีย ค่าใช้จ่ายด้านการตรวจรับรองมาตรฐาน SO5 : พัฒนาและสนับสนุนการเข้าถึ ข้อมูล องค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรร การปศุสัตว์อินทรีย์ ผ่านช่องทางเทคโน ความสะดวก และรวดเร็ว (S9 S12 S14 SO6 : สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภ ตลาดสินค้าปศุสัตว์ ด้วยมาตรฐานการ อินทรีย์ (S3 S8 O1 O5 O10) SO7: อ านวยความสะดวกในการด าเน สินค้าปศุสัตว์ทั้งภายในประเทศแล ส่งเสริมการท าปศุสัตว์อินทรีย์ตาม ยั่งยืน (S8 S10O3 O5 O12) SO8 : สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกั อินทรีย์แก่เกษตรกร เพื่อพัฒนาระบ อินทรีย์ (S8 O7 O9) SO9 : สนับสนุนการพัฒนากลุ่มเกษ ความเข้าใจและทักษะในระบบการผ (S15 O7) SO10 : พัฒนาฟาร์มเลี้ยงสัตว์ราย รับรองตามมาตรฐานปศุสัตว์อินท มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) ตรวจสอบรับรองเทียบเท่าในระดับสา


2 142 ถึงเพื่อประยุกต์ใช้ ม และงานวิจัยด้าน นโลยีสารสนเทศให้มี O13) ภค ด้วยการขยาย รผลิตสินค้าปศุสัตว์ นินการขยายตลาด ละส่งออกรวมทั้ง แนวเกษตรกรรม กับการผลิตปศุสัตว์ บการผลิตปศุสัตว์ ษตรกรให้มีความรู้ ลิตปศุสัตว์อินทรีย์ ยย่อยให้ได้รับการ ทรีย์ของไทยตาม และมีระบบการ กล (S8 O4) WO4 : เพิ่มช่องทางในการโฆษณาสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ พร้อมจัดกิจกรรมออกร้านจ าหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อ ประชาสัมพันธ์ตามนิทรรศการต่างๆ (W3 W7 W8 O5 O8 O9) WO5 : เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ที่หลากหลาย สร้างรูปลักษณ์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการพัฒนา บรรจุภัณฑ์เพื่อให้เกิดความทันสมัยและตอบสนองต่อ ผู้บริโภคได้ตรงความต้องการ (W1O5 O8) WO6 : ส่งเสริมให้มีการใช้สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ เช่น น้ านมดิบภายในประเทศแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมทดแทน การน าเข้านมผง เช่น ชีส เนย นมผง โยเกิร์ต ฯลฯ ส าหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเบอร์รี่ (W1 W3 O2 O3 O5) WO7 : พัฒนาระบบโลจิสติกส์ส าหรับสินค้าปศุสัตว์ อินทรีย์และจัดให้มีศูนย์กระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์ WO8 : น าสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์เพื่อแปรรูปให้มีคุณค่า ทางอาหารที่สูงขึ้นเพื่อตอบสนอง ผู้บริโภคที่ปัจจุบันหัน มาใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้นและ (W6 W10 O2 O3) WO9 : ออกแบบฉลากบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยกับทุกเพศ ทุกวัยให้เป็นที่ดึงดูดและใส่ใจคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ อินทรีย์ในทุกขั้นตอนการผลิต (W5 W8 O3 O7 O9 O12)


143 ตารางที่ 4.5 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ (ต่อ) อุปสรรค (Threats) T1 ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดการรับรู้ข้อมูลเกษตร อินทรีย์ที่ถูกต้อง T2 ผู้บริโภคร้อยละ 50มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตรา สัญลักษณ์มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ประเภทต่างๆ ที่ไม่ ถูกต้อง T3 ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาดเกษตรอินทรีย์ได้ยาก เช่น ไม่รู้แหล่งจ าหน่าย ไม่รู้ชื่อเว็บไซต์และวิธีซื้อทาง ออนไลน์ฯลฯ T4 สภาวะโลกร้อน โรคและศัตรู ส่งผลกระทบต่อ ปริมาณคุณภาพ และการเก็บรักษาสินค้าเกษตรอินทรีย์ T5 ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าทั่วไปทดแทนสินค้า อินทรีย์ได้ง่าย (Substitutes) เนื่องจากภาพลักษณ์ ภายนอกไม่แตกต่างกัน T6ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ (ตลาดเฉพาะ) ยังมีน้อย T7 จ านวนเจ้าหน้าที่ภาครัฐ/ภาคเอกชนที่ตรวจรับรอง มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่มีไม่เพียงพอ T8ต้นทุนการดูแลรักษาสูง T9 ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสินค้าเกษตรอินทรีย์ เกี่ยวกับการปลอมปนสินค้า ST Strategies ST1 : พัฒนา และเสริมสร้างศักยภ ปศุสัตว์อินทรีย์ให้มีความเชี่ยวชาญใน อาชีพ (Smart Officer) (S8 S11 T2) ST2 : ประชาสัมพันธ์สร้างความ ปศุสัตว์อินทรีย์ เพื่อเกิดความเชื่อมั่น ปศุสัตว์อินทรีย์ไทยให้แก่ผู้บริโภค (S2 T10) ST3 : ส่งเสริมและสร้างสรรค์สินค้ ความโดดเด่น ด้วยอัตลักษณ์ที่มีควบคู (Branding) แล ะเอกลั กษณ์ สิ นค (S8 S11 T2) ST4 : จดทะเบียนฟาร์มเกษตรกรที่ และจัดตั้งศูนย์สารสนเทศสินค้าปศุสัต ST5: สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตสินค้ การรับรองมาตรฐาน และสนับสนุนกา ปศุสัตว์อินทรีย์ตามระบบมาตรฐานต่า ST6 : เชื่อมโยงแหล่งจ าหน่ายสินค เส้นทางท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดแล เพิ่มแหล่งจ าหน่ายและรายได้จากกา (S8 S11 T2)


3 143 s ภาพบุคลากรด้านการ การปฏิบัติงานอย่างมือ เข้าใจคุณภาพสินค้า นในคุณภาพของสินค้า 2 S5 S8 S10 T1 T2 ้าปศุสัตว์อินทรีย์ให้มี คู่กับการสร้างตราสินค้า ค้ าปศุ สั ต ว์ อิ นท รี ย์ ผู้ผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ ตว์อินทรีย์ (S6 O1 O6) ค้าปศุสัตว์อินทรีย์ให้ได้ ารตรวจรับรองมาตรฐาน งๆ (S8 T1 T2) ค้าปศุสัตว์อินทรีย์กับ ละระหว่างจังหวัด เพื่อ ารผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ WT Strategies WT1 : สร้างชุมชนต้นแบบพัฒนาตลาดสินค้าปศุสัตว์ อินทรีย์ที่เกื้อกูล และเป็นธรรมทั้งตลาดท้องถิ่น ตลาด ชุมชน โดยสร้างการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคภายในประเทศ (W2 W3 W7 T9T13 T15) WT2: พัฒนาระบบการตรวจสอบรับรองคุณภาพสินค้า ปศุสัตว์อินทรีย์และกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และด าเนินการควบคุมป้องกันและ บ าบัดโรคสัตว์ให้มีประสิทธิภาพ (W1 W5 T1) WT3:ส่งเสริมและสนับสนุนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ องค์กรเอกชน ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการปศุสัตว์อินทรีย์ในช่องทางต่างๆ (W3 W8 T5 T6) WT4 : ประชาสัมพันธ์แหล่งผลิต และจ าหน่ายสินค้า ปศุสัตว์อินทรีย์ โดยประชาสัมพันธ์สู่ผู้บริโภคเน้นสร้าง ความน่าเชื่อถือของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ตราสินค้า และการควบคุมคุณภาพสินค้า (W7 W9 T6 T10) WT5:จัดหาแหล่งตลาดเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้มี แพร่หลายโดยส่งเสริมจุดรับซื้อจัดที่วางจ าหน่ายสินค้า ปศุสัตว์อินทรีย์แยกกับสินค้าเคมีให้ชัดเจน (W6 W8 T6) WT6 : สนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยรวมตัวเป็นกลุ่ม หรือสหกรณ์ โดยสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงด้านการ ผลิตกับด้านการตลาด (W1 O8 O9)


144 ตารางที่ 4.5 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ (ต่อ) ที่มา : จากการส ารวจ T10 การขับเคลื่อนตลาดเกษตรอินทรีย์ของ ภาครัฐฯอาจไม่ต่อเนื่องหากมีการเปลี่ยนแปลง รัฐบาล T11 ผู้ผลิตรายใหม่/คู่แข่ง(New Entry) เข้า ระบบตลาดได้ยาก เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลา ในการปรับเปลี่ยนในการผลิตเกษตรอินทรีย์ T12 ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็น ตลาดส่งออก T13 การแข่งขันระหว่างธุรกิจสูง สินค้าอินทรีย์ มีคู่แข่งในตลาดมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ T14 ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ถูกก าหนดราคา จากตลาดส่งออก ST7 : อ านวยความสะดวกในการส่งออกสิ อินทรีย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แ ผู้ประกอบการ (S1 S18 T14 T15) ST8 : ศึกษาและส ารวจความต้องการของ และภายนอกประเทศ เพื่อน ามาสนับสนุน การจัดงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์โ Organic Expo) ในประเทศไทย (S7 S15 T ST9 : ส่งเสริมและสนับสนุนการตลาดออน ช่องทางการตลาดและประชาสัมพันธ์แหล ปศุสัตว์อินทรีย์ (S8 S11 T2)


4 144 สินค้าปศุสัตว์ แก่ผู้ผลิตและ งตลาดภายใน นและส่งเสริม โลก (World T6 T3) นไลน์ เพื่อเพิ่ม ล่งผลิตสินค้า WT7 : เพิ่มศักยภ าพการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ โดยกา ร พัฒ น า ก า ร ผ ลิ ตทุ ก ขั้ น ต อนใ ห้ มี ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย แ ล ะ มาตรฐานสากล (W1 W6 T14) WT8: ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยเชื่อมโยงการพัฒนา เกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ สอดคล้องกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น (W7 S9) WT9: พัฒนาสถานตั้งร้านจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ด้วย การแสดงสินค้าที่เอื้ออ านวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาใช้บริการ (W3W8 T5 T6 T7 T9) WT10 : พัฒนาตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ ให้มีระบบตรวจสอบ ย้อนกลับได้ (Traceability) (W3 T1 T2)


145 แนวทางการพัฒนาปศุสัตว์อินทรีย์ด้วยการวิเคราะห์ TOWS Matrix ที่แสดงให้เห็นถึงปัจจัย ภายนอกที่เป็นโอกาสและอุปสรรคที่เผชิญอยู่สามารถน ามาจับคู่เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยภายในที่เป็นจุดแข็ง และจุดอ่อนการพัฒนาตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ สามารถจ าแนกเป็น 4 กลยุทธ์ที่ส าคัญ ดังนี้ กลยุทธ์ SO ใช้จุดแข็งช่วงชิงความได้เปรียบจากโอกาสภายนอก SO1 : ส่งเสริมและสนับสนุนการบริโภคสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ภายในประเทศให้มากขึ้น (S1 S10 O6 O2 O7 ) SO2 : สนับสนุนกลไกการขับเคลื่อนการด าเนินงานการผลิตและการตลาดปศุสัตว์อินทรีย์อย่าง เป็นระบบครบวงจร (S18 O6) SO3 : จัดท าโครงการส่งเสริมและพัฒนาตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ในองค์กรเอกชนและหน่วยงาน ภาครัฐ (S18 O2O5) SO4 : สนับสนุนช่องทางการตลาดของสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความ เชื่อมโยงกัน (S9 O6 O7) SO5 : พัฒนาและสนับสนุนการเข้าถึงเพื่อประยุกต์ใช้ข้อมูล องค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัยด้านการปศุสัตว์อินทรีย์ ผ่านช่องทางเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความสะดวก และรวดเร็ว (S9 S12 S14 O13) SO6 : สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคด้วยการขยายตลาดสินค้าปศุสัตว์ ด้วยมาตรฐานการผลิต สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ (S3 S8 O1 O5 O10) SO7 : อ านวยความสะดวกในการด าเนินการขยายตลาดสินค้าปศุสัตว์ทั้งภายในประเทศและ ส่งออกรวมทั้งส่งเสริมการท าปศุสัตว์อินทรีย์ตามแนวเกษตรกรรมยั่งยืน (S8 S10O3 O5 O12) SO8 : สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์แก่เกษตรกรเพื่อพัฒนาระบบ การผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ (S8 O7 O9) SO9 : สนับสนุนการพัฒนากลุ่มเกษตรกรให้มีความรู้ความเข้าใจและทักษะในระบบการผลิต ปศุสัตว์อินทรีย์(S15 O7) SO10 : พัฒนาฟาร์มเลี้ยงสัตว์รายย่อยให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐานปศุสัตว์อินทรีย์ของไทย ตามมาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) และมีระบบการตรวจสอบรับรองเทียบเท่าในระดับสากล (S8 O4) กลยุทธ์ WO ปรับปรุงจุดอ่อนโดยใช้ความได้เปรียบจากโอกาสภายนอก WO1 : บูรณาการการแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยี/ นวัตกรรม และการฝึกอบรมด้านการปศุสัตว์อินทรีย์ (W1 O9) WO2 : สนับสนุนความต้องการสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านการปศุสัตว์อินทรีย์ของตลาด ควบคู่กับ การสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าและมุ่งรักษาระดับราคาให้มีเสถียรภาพ (W3 W5 O2 O4 O12) WO3 : ส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านปศุสัตว์อินทรีย์ให้มีจ านวนมากและ หลากหลาย เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการยอมรับในระดับสากล (W1 O7)


146 WO4 : เพิ่มช่องทางในการโฆษณาสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ พร้อมจัดกิจกรรมออกร้านจ าหน่าย ผลิตภัณฑ์เพื่อประชาสัมพันธ์ตามนิทรรศการต่างๆ (W3 W7 W8 O5 O8 O9) WO5 : เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ที่หลากหลาย สร้างรูปลักษณ์และคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อให้เกิดความทันสมัยและตอบสนองต่อผู้บริโภคได้ตรงความต้องการ (W1O5 O8) WO6 : ส่งเสริมให้มีการใช้สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ เช่น น้ านมดิบภายในประเทศแปรรูปเป็น ผลิตภัณฑ์นมทดแทนการน าเข้านมผง เช่น ชีส เนย นมผง โยเกิร์ต ฯลฯ ส าหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และเบเกอรี่ (W1 W3 O2 O3 O5) WO7 : พัฒนาระบบโลจิสติกส์ส าหรับสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์และจัดให้มีศูนย์กระจายสินค้า เกษตรอินทรีย์ WO8 : น าสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์เพื่อแปรรูปให้มีคุณค่าทางอาหารที่สูงขึ้นเพื่อตอบสนองผู้บริโภค ที่ปัจจุบันหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น (W6 W10 O2 O3) WO9 : ออกแบบฉลากบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยกับทุกเพศทุกวัยให้เป็นที่ดึงดูดและใส่ใจคุณภาพ สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ในทุกขั้นตอนการผลิต (W5 W8 O3 O7 O9 O12) กลยุทธ์ ST ใช้จุดแข็งหลบหลีกภาวะคุกคามจากภายนอก ST1 : พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านการปศุสัตว์อินทรีย์ให้มีความเชี่ยวชาญในการ ปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ (Smart Officer) (S8 S11 T2) ST2 : ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจคุณภาพสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นใน คุณภาพของสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ไทยแก่ผู้บริโภค (S2 S5 S8 S10 T1 T2 T10) ST3 : ส่งเสริมและสร้างสรรค์สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ให้มีความโดดเด่น ด้วยอัตลักษณ์ที่มีควบคู่ กับการสร้างตราสินค้า (Branding) และเอกลักษณ์สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ (S8 S11 T2) ST4 : จดทะเบียนฟาร์มเกษตรกรที่ผู้ผลิตปศุสัตว์อินทรีย์และจัดตั้งศูนย์สารสนเทศสินค้า ปศุสัตว์อินทรีย์ (S6 O1 O6) ST5 : สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ให้ได้การรับรองมาตรฐาน และสนับสนุน การตรวจรับรองมาตรฐานปศุสัตว์อินทรีย์ตามระบบมาตรฐานต่างๆ (S8 T1 T2) ST6 : เชื่อมโยงแหล่งจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์กับเส้นทางท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดและ ระหว่างจังหวัด เพื่อเพิ่มแหล่งจ าหน่ายและรายได้จากการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ (S8 S11 T2) ST7 : อ านวยความสะดวกในการส่งออกสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ให้แก่ผู้ผลิตและผู้ประกอบการ (S1 S18 T14 T15) ST8 : ศึกษาและส ารวจความต้องการของตลาดภายในและภายนอกประเทศ เพื่อน ามา สนับสนุนและส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์โลก (World Organic Expo) ในประเทศไทย (S7 S15 T6 T3)


147 ST9 : ส่งเสริมและสนับสนุนการตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและประชาสัมพันธ์ แหล่งผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ (S8 S11 T2) กลยุทธ์ WT ตั้งรับเพื่อปิดจุดอ่อนภายในและหลบหลีกภาวะคุกคามจากภายนอก WT1 : สร้างชุมชนต้นแบบพัฒนาตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ที่เกื้อกูล และเป็นธรรมทั้งตลาด ท้องถิ่น ตลาดชุมชน โดยสร้างการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคภายในประเทศ (W2 W3 W7 T9T13 T15) WT2: พัฒนาระบบการตรวจสอบรับรองคุณภาพสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์และกระบวนการผลิตให้ มีคุณภาพปลอดภัยต่อผู้บริโภค และด าเนินการควบคุมป้องกันและบ าบัดโรคสัตว์ให้มีประสิทธิภาพ (W1 W5 T1) WT3: ส่งเสริมและสนับสนุนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรเอกชน ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการปศุสัตว์อินทรีย์ในช่องทางต่างๆ (W3 W8 T5 T6) WT4 : ประชาสัมพันธ์แหล่งผลิต และจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ โดยประชาสัมพันธ์ สู่ผู้บริโภคเน้นสร้างความน่าเชื่อถือของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ตราสินค้า และ การควบคุมคุณภาพสินค้า (W7 W9 T6 T10) WT5: จัดหาแหล่งตลาดเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้มีแพร่หลายโดยส่งเสริมจุดรับซื้อจัดที่วาง จ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์แยกกับสินค้าเคมีให้ชัดเจน (W6 W8 T6) WT6 : สนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยรวมตัวเป็นกลุ่มหรือสหกรณ์ โดยสร้างเครือข่ายความ เชื่อมโยงด้านการผลิตกับด้านการตลาด (W1 O8 O9) WT7 : เพิ่มศักยภาพการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ โดยการพัฒนาการผลิตทุกขั้นตอนให้มีความ ปลอดภัยและมาตรฐานสากล (W1 W6 T14) WT8 : ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยเชื่อมโยงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นแนวทาง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น (W7 S9) WT9: พัฒนาสถานตั้งร้านจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ด้วยการแสดงสินค้าที่เอื้ออ านวยความ สะดวกให้กับผู้ที่มาใช้บริการ (W3W8 T5 T6 T7 T9) WT10: พัฒนาตลาดปศุสัตว์อินทรีย์ ให้มีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) (W3 T1 T2) ดังนั้น แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ มีดังนี้ 1) ส่งเสริมและสนับสนุนการเพิ่มตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 1.1) ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์อย่างจริงจัง และสนับสนุนการเพิ่ม ช่องทางการตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ให้มีความสะดวกในการเข้าถึงและใช้บริการ 1.2) สร้างชุมชนต้นแบบในการพัฒนาตลาดและขยายตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ที่เกื้อกูล ที่เป็น ธรรมด้านคุณภาพ ราคา โดยสร้างการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคภายในประเทศ 1.3) เพิ่มชนิดและปริมาณสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์เพื่อสร้างความหลากหลาย และให้สอดคล้อง ตรงตามความต้องการของตลาดในรูปแบบต่างๆ


148 1.4) สนับสนุนการจัดท าฐานข้อมูลของสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ด้านการใช้และการแลกเปลี่ยน ข้อมูลการผลิตการตลาดตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นระบบให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าถึงได้ง่าย 1.5) แสวงหาพื้นที่ทางการตลาดใหม่เพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ และอ านวย ความสะดวกในการด าเนินการขยายตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ทั้งภายในประเทศและต่างประทศเพื่อการ ส่งออก 1.6) ส่งเสริมและสนับสนุนการตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด และประชาสัมพันธ์ แหล่งผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 1.7) เชื่อมโยงแหล่งจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์กับเส้นทางท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดและ ระหว่างจังหวัดเพื่อเพิ่มแหล่งจ าหน่ายและสร้างรายได้จากการผลิต 2) สร้างผู้ประกอบการสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 2.1) เพิ่มผู้ประกอบการผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์รายใหม่ให้มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของ ผู้ผลิตในประเทศ 2.2) สนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์โดยให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ าแก่ ผู้ประกอบการสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 2.3) พัฒนาระบบโลจิสติกส์ และจัดให้มีศูนย์กระจายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ทุกจังหวัดในประเทศ เพื่อเอื้ออ านวยให้ผู้ประกอบการจ าหน่ายสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 2.4) ส่งเสริมให้เกษตรกร/ผู้ประกอบการผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ได้การรับรองมาตรฐาน และ สนับสนุนการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ตามระบบมาตรฐานต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตลาด 2.5) ให้ความรู้แก่ผู้ผลิต/ประกอบการเรื่องการตลาดและระบบโลจิสติกส์เพื่อให้สามารถส่งออก สินค้าปศุสัตว์สู่ตลาดโลก 3) สร้างความเชื่อมั่นในสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 3.1) สร้างความเข้าใจให้แก่ผู้บริโภคในคุณภาพสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์เรื่องความปลอดภัยจาก สารเคมีอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 3.2) พัฒนาระบบการตรวจสอบรับรองคุณภาพสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ และกระบวนการผลิตให้มี คุณภาพปลอดภัยต่อผู้บริโภค และด าเนินการควบคุมป้องกันและบ าบัดโรคสัตว์ให้มีประสิทธิภาพ 3.3) พัฒนาตลาดสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ให้มีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ ผู้บริโภค 3.4) สนับสนุนระบบการตรวจรับรองมาตรฐานแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee System : PGS) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ท้องถิ่น เพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 3.5) ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับระบบปศุสัตว์อินทรีย์ มาตรฐานปศุสัตว์อินทรีย์ และคุณภาพสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ไปยังผู้บริโภคในประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง


149 4) กระตุ้นความต้องการสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 4.1) ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการบริโภคสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์พร้อมสร้างความรู้ ความเข้าใจใน คุณภาพสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์แก่ผู้บริโภคทุกระดับ รวมทั้งก าหนดเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนเกษตรอินทรีย์ แก่นักเรียนระดับประถมและมัธยม 4.2) เพิ่มมูลค่าให้มีสินค้าผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์อินทรีย์ที่หลากหลาย พร้อมสร้างรูปลักษณ์และ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อให้เกิดความทันสมัยและตอบสนองต่อผู้บริโภคได้ตรง ความต้องการ 4.3) แต่งตั้งอาสาสมัครด้านปศุสัตว์อินทรีย์ในระดับพื้นที่ให้ค าแนะน า ความรู้เรื่องสินค้าปศุสัตว์ อินทรีย์และการรักษาคุณภาพ 4.4) ประสานงานให้รัฐบาลก าหนดเป็นวาระเกษตรอินทรีย์แห่งชาติระยะเวลา ๑๐ ปี และ ขอความร่วมมือส่วนราชการสนับสนุนการเชื่อมโยงตลาดและร่วมบริโภคสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 4.5) พัฒนาสถานที่ตั้งร้านจ าหน่าย และแสดงสินค้าสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ ที่เอื้ออ านวยความ สะดวกให้กับผู้ที่มาใช้บริการ 4.6) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีเรื่องสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ของไทยในสายตาของผู้บริโภคทั่วโลก เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศน์ จัดกิจกรรมออกร้านและนิทรรศการสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ระดับโลก ในประเทศไทยเพื่อปลุกกระแสและตอกย้ าให้เห็นถึงคุณประโยชน์ 4.7) ประสานงานให้รัฐบาลก าหนดการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ 4.2.6 ประมงอินทรีย์ 1) สภาพการตลาด ผลการศึกษาสภาพการตลาดในประเด็นเกี่ยวกับโครงสร้างตลาด รูปแบบและช่องทางการ จ าหน่าย การรวบรวม การขนส่งสินค้า วิถีตลาด และต้นทุนการตลาด ของกลุ่มสินค้าประมงอินทรีย์ 7 ชนิด ได้แก่กุ้งแชบ๊วยกุ้งทะเล ปูไข่หอยแครงหอยนางรมปลาตะเพียนและปลานิล พิจารณาได้ดังนี้ 1.1) โครงสร้างตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ เป็นการวิเคราะห์ถึงส่วนประกอบของตลาด โดยพิจารณาถึงชนิดสินค้า ปริมาณ ที่จ าหน่าย มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับ และพฤติกรรมการตลาด ดังนี้ (1) ชนิดสินค้า ปริมาณที่จ าหน่าย และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับ สินค้าประมงอินทรีย์ส่วนใหญ่จ าหน่ายในรูปแบบวัตถุดิบสด ทั้งแบบคัดแยกและ ไม่ได้คัดแยกคุณภาพ ผลผลิตมากถึงร้อยละ 94 อยู่ในระยะปรับเปลี่ยนภายใต้การรับรองมาตรฐาน Organic Thailand ที่เหลืออีกร้อยละ 6 ผ่านการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand แล้วปริมาณผลผลิตสินค้าประมง อินทรีย์รวมทั้งสิ้น 80.22 ตัน/ปี คิดเป็นมูลค่ารวม 9,200,550 บาท ผลผลิตส่วนใหญ่เป็นหอยนางรมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 59.52 มีปริมาณผลผลิต 36,500 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 5,475,000 บาท รองลงมา คือ ปลานิล มีปริมาณผลผลิต 30,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 1,200,000 บาท กุ้งแชบ๊วย มีปริมาณผลผลิต 3,480 กิโลกรัม


150 คิดเป็นมูลค่า 982,800 บาท หอยแครง มีปริมาณผลผลิต 8,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 980,000 บาท ปูไข่ มีปริมาณผลผลิต 500 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 298,000 บาท กุ้งทะเล มีปริมาณผลผลิต1,193 กิโลกรัม คิดเป็น มูลค่า 232,250 บาท และปลาตะเพียนมีปริมาณผลผลิต 550 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 32,500 บาท คิดเป็น ร้อยละ 13.04 10.68 10.65 3.24 2.52 และ 0.35 ของผลผลิตกลุ่มสินค้าประมงอินทรีย์ทั้งหมด ซึ่งปริมาณ ผลผลิตสินค้าประมงอินทรีย์มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่นๆ (2) ระบบพฤติกรรมการตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการตลาดเกี่ยวกับลักษณะของระบบตลาด ส่วนแบ่ง ตลาดการก าหนดราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์และความแตกต่างด้านราคาเมื่อเทียบกับสินค้าทั่วไป พบว่า มีเกณฑ์ การก าหนดราคาสินค้าประมงอินทรีย์ 3 รูปแบบ คือ 1) ก าหนดจากคณะกรรมการตลาดพิจารณา 2) ก าหนด จากราคาสินค้าทั่วไป และ 3) ก าหนดจากการใช้ราคาอ้างอิงจากตลาดอินทรีย์ โดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแพปลา บ้านหินร่มก าหนดราคาโดยคณะกรรมการตลาดร่วมกันพิจารณาจากราคาสินค้าทั่วไป และใช้ราคาอ้างอิงจาก ตลาดอินทรีย์เป็นเกณฑ์ร่วมในการตัดสินใจ โดยเกษตรกรรายย่อย หมู่ 7 บ้านทุ่งมน ต าบลทุ่งมน อ าเภอค าเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร และ หมู่ 4 บ้านลัดกะปิ ต าบลบางแก้ว อ าเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ร้อยละ 100 ผู้ผลิต เป็นผู้ก าหนดราคา ส าหรับการก าหนดราคาของเกษตรกรรายย่อย หมู่ 11 บ้านห้วยใต้ ต าบลบัวหุ่ง อ าเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้า โดยผู้ผลิตใช้ต้นทุนการผลิตเป็นเกณฑ์ในการ ตัดสินใจ ความแตกต่างทางด้านราคาสินค้าอินทรีย์กับสินค้าทั่วไป พบว่า กุ้งทะเล ปูไข่ ปลา ตะเพียน และปลานิล ไม่มีความแตกต่างทางด้านราคา ส่วนกุ้งแชบ๊วย หอยนางรม และหอยแครงอินทรีย์มี ราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไป ประมาณ 20-30 บาทต่อกิโลกรัม การจ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์ส่วนใหญ่จะไม่มีการ ประชาสัมพันธ์ ไม่มีการติดป้ายแสดงการผ่านมาตรฐานรับรองเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการค้าเห็น ว่า ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าประจ าที่รู้จักและเชื่อมั่นในสินค้า โดยสินค้าต่างๆเหล่านี้จะได้รับการตรวจสอบ มาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ประมาณ 1-2 ครั้งต่อปีพิจารณารายละเอียดตามตารางผนวกที่ 61 (3) รูปแบบ และช่องทางการจ าหน่าย รูปแบบการจ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์ พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้จ าหน่าย สินค้าเอง ทั้งจ าหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง หรือผู้ซื้อที่น าไปจ าหน่ายต่อ ส่วนใหญ่จะจ าหน่ายที่ฟาร์มหรือจุด รวบรวมของตนเอง หรือขายที่ตลาดเฉพาะ ได้แก่ กุ้งแชบ๊วย ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแพปลาบ้านหินร่ม จังหวัด พังงา ที่ส่งจ าหน่ายให้กับร้านอาหารและโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร กุ้งทะเล ปูไข่ หอยแครง หอยนางรม ของกลุ่มเกษตรกรรายย่อย จังหวัดสมุทรสงคราม ปลาตะเพียนของกลุ่มเกษตรกรรายย่อย จังหวัดยโสธร จะน าไปจ าหน่ายที่ตลาดค้าส่ง (ตลาดแม่กลอง ตลาดทะเลไทย) 10-12 ครั้งต่อเดือน ส าหรับปลานิลของกลุ่ม เกษตรกรรายย่อย จังหวัดศรีสะเกษ จะจ าหน่ายในตลาดสดชุมชนทุกวัน และจ าหน่ายในตลาดนัด 1 ครั้งต่อ สัปดาห์ช่องทางการกระจายสินค้ายังมีน้อย มีข้อจ ากัดด้านการขนส่ง การเก็บรักษาสินค้า และปริมาณสินค้ามี ไม่เพียงพอต่อความต้องการตลาด ส่วนใหญ่ผู้ซื้อจะติดต่อสั่งซื้อผลผลิตล่วงหน้าโดยตกลงราคาซื้อขายกับ


151 เกษตรกร ผู้ประกอบการค้าโดยผู้ซื้อจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งสินค้าและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่าง การขนส่งทั้งหมด (4) การรวบรวม การขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง การรวบรวมสินค้าประมงอินทรีย์เพื่อจ าหน่าย พบว่า เกษตรกรรายย่อยทั่วไปจะน า ผลผลิตไปจ าหน่ายเองโดยตรง หรือบางส่วนจะขนส่งผลผลิตไปยังจุดรวบรวมของกลุ่ม รายละเอียดด้าน การขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายแตกต่างกันในแต่ละชนิดสินค้า ดังนี้ กุ้งแชบ๊วยรวบรวมโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแพปลาบ้านหินร่ม จังหวัดพังงา เพื่อส่ง จ าหน่ายให้โรงพยาบาลร้านอาหาร ในกรุงเทพมหานคร และส่งจ าหน่ายตามรายการสั่งซื้อของลูกค้า ประมาณ 15-20 ครั้งต่อเดือน ค่าใช้จ่ายในการขนส่งประมาณ 1,840 บาทต่อครั้ง โดยผู้ซื้อจะรับภาระค่าใช้จ่ายในการ ขนส่งทั้งหมด ส่วนกุ้งทะเลของเกษตรกรรายย่อย จังหวัดสมุทรสงคราม ผลผลิตทั้งหมดจะจ าหน่ายให้แก่ตลาด ค้าส่ง (ตลาดแม่กลอง ตลาดทะเลไทย) ประมาณ 10-12 ครั้งต่อเดือน ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าประมาณ 320 บาทต่อครั้ง รวมระยะทางไป-กลับประมาณ 20 กิโลเมตร ปลาตะเพียน ผลิตโดยเกษตรกรรายย่อย จังหวัดยโสธร ผลผลิตทั้งหมดจ าหน่ายในตลาดสดชุมชนเป็นประจ าทุกวันค่าใช้จ่ายในการขนสินค้าประมาณ 100 บาทต่อครั้ง รวมระยะทางไป-กลับ ประมาณ 10 กิโลเมตร ส าหรับระบบการช าระเงินในการซื้อขายสินค้าประมงอินทรีย์ระหว่างผู้ผลิตและ ผู้ประกอบการ พบว่า ไม่ค่อยมีปัญหา เนื่องจากมีปริมาณสินค้าไม่มากนัก แต่หากมีการขายฝากเกษตรกรผู้ผลิต จะได้รับเงินหลังส่งมอบสินค้า 3 วัน (5) วิถีตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ วิถีตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ภาพรวมประเทศ พบว่า สินค้าประมงอินทรีย์ (กุ้งแชบ๊วย กุ้งทะเล ปูไข่ หอยแครง หอยนางรม ปลาตะเพียน ปลานิล) มีปริมาณผลผลิตรวม 80.22 ตัน ผลผลิตส่วนใหญ่ได้แก่ กุ้งทะเล ปูไข่หอยแครง และหอยนางรม คิดเป็นร้อยละ 57.58 ส่งไปจ าหน่ายตลาดค้าส่ง (ตลาดแม่กลอง ตลาดทะเลไทย) อีกร้อยละ 38.08 (ปลาตะเพียน ปลานิล) จ าหน่ายที่ตลาดสดและตลาดนัด ทั่วไปในชุมชนที่เหลืออีกร้อยละ 4.34 (กุ้งแชบ๊วย) ส่งไปจ าหน่ายที่ตลาดเฉพาะ (โรงพยาบาลร้านอาหาร) ในเขต กรุงเทพมหานครพิจารณาได้จากภาพที่ 4.19


152 ภาพที่ 4.19 วิถีตลาดสินค้ากลุ่มประมงอินทรีย์ภาพรวมประเทศ ที่มา : จากการส ารวจ (6) ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ สินค้าประมงอินทรีย์ไม่มีต้นทุนด้านการตลาด ส่วนใหญ่เกษตรกรจ าหน่ายสินค้าด้วยตนเอง ภายในครั้งเดียวให้แก่ผู้ซื้อโดยตรง ส าหรับส่วนเหลื่อมการตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ที่ได้จากการค านวณความ แตกต่างระหว่างราคาสินค้าที่ผู้บริโภคจ่ายกับราคาที่เกษตรกรได้รับ พบว่า กุ้งแชบ๊วย มีส่วนเหลื่อมการตลาด มากที่สุด ประมาณ 167 บาทต่อกิโลกรัม รองลงมา คือ กุ้งทะเล ปูไข่ ปลานิล หอยนางรม ปลาตะเพียน และ หอยแครง มีส่วนเหลื่อมการตลาดกิโลกรัมละ 100 80 60 50 10 และ 5 บาทต่อกิโลกรัม เห็นได้ว่า สินค้าที่มี ปริมาณผลผลิตน้อยแต่ตลาดมีความต้องการสูง จะมีส่วนเหลื่อมการตลาดค่อนข้างสูง พิจารณาได้จากตาราง ผนวกที่ 62 ตลาดเฉพาะ 4.34 % (กุ้งแชบ๊วย) (กุ้งแชบ๊วย) ตลาดค้าส่ง 57.58 % (กุ้งทะเล ปูไข่) (หอยแครงหอยนางรม) ตลาดสด/ตลาดนัด 38.08 % (ปลาตะเพียน ปลานิล) ผลผลิตสินค้าประมงอินทรีย์ 100 % มาตรฐานอินทรีย์ 6 % ระยะปรับเปลี่ยน 94 % ผู้บริโภค 100 %


153 2) ทัศนคติของบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ ผลการวิเคราะห์ทัศนคติและความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าประมงทางด้าน ผลการด าเนินงานของตลาด พฤติกรรมการตลาด รูปแบบและช่องทางการจ าหน่าย และข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับ การส่งเสริมศักยภาพด้านการตลาด พิจารณาได้ดังนี้ 2.1) ทัศนคติด้านพฤติกรรมตลาดประมงอินทรีย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดประมงอินทรีย์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.45-4.01 คะแนน) ว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย รสชาติดีกว่าสินค้าเกษตรที่ผลิตแบบ ทั่วไป สินค้าเกษตรอินทรีย์จ าพวกสัตว์น้ ามีน้อยมาก กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรักสุขภาพ และการเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุท าให้มีความต้องการบริโภคสินค้าอินทรีย์เพิ่มขึ้นและปัจจุบันมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์มีอัตรา เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ชนิดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่วางจ าหน่ายในตลาดไม่หลากหลาย สินค้าเกษตรอินทรีย์แปรรูปที่ พร้อมบริโภคมีน้อย (อาหารส าเร็จรูป) ราคาจ าหน่ายสินค้าประมงบางชนิดสูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไปมาก โดยเฉพาะใน Modern Trade ราคาสินค้ามักเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและสถานที่การวางจ าหน่าย ลักษณะ การจัดวางสินค้าไม่ดึงดูดใจให้ซื้อเห็นด้วยในระดับปานกลาง (3.27-3.36 คะแนน) ว่าผู้ผลิตรายใหม่/คู่แข่ง (New Entry) เข้าระบบตลาดได้ยากเนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนในการผลิตเกษตรอินทรีย์ แต่ข้อตกลงการค้าเสรีท าให้สินค้าเกษตรอินทรีย์มีคู่แข่งในตลาดสินค้าเกษตรมากขึ้น พิจารณาได้จากตาราง ผนวกที่ 63 2.2) ทัศนคติด้านผลการด าเนินงานของตลาดประมงอินทรีย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดประมงอินทรีย์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.39-3.88 คะแนน)ว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสินค้าเกษตรอินทรีย์เนื่องจากไม่มั่นใจในการผลิต ไม่รู้จักสัญลักษณ์ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์และส่วนใหญ่ยังขาดการรับรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ที่ถูกต้องทั้งนี้กระแสเกษตรอินทรีย์ จากสื่อต่างๆ และจากผู้มีชื่อเสียงในสังคมช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการการบริโภคเพิ่มขึ้นมีตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ระดับจังหวัดได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ตลาดเกษตรกร ตลาดสีเขียวสินค้าเกษตร อินทรีย์มีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แต่ตลาดยังไม่ชัดเจน ปริมาณผลผลิตน้อย ต้นทุนการดูแลรักษาสูง และแหล่งผลิตห่างไกลตลาด ท าให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการค้ามีอ านาจต่อรองด้านราคาค่อนข้างต่ า จ านวน เจ้าหน้าที่ภาครัฐ/ภาคเอกชนที่ตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่มีไม่เพียงพอนอกจากนี้ยังให้ ความเห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย ตนเองแต่ขาดการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่องจากภาครัฐขาดการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับสินค้าอินทรีย์และมีทัศนคติความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการด าเนินงานของตลาดในระดับปานกลาง (3.23-3.37 คะแนน) ว่าตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ถูกก าหนดราคาจากตลาดส่งออกมีการอธิบายข้อมูล โภชนาการและคุณประโยชน์ของสินค้าอย่างชัดเจนมีนักลงทุน และผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้าสู่ห่วงโซ่สินค้า เกษตรอินทรีย์มากขึ้น ภาครัฐให้ความส าคัญต่อการพัฒนาเกษตรอินทรีย์และสนับสนุนให้เกิดการรับรู้นโยบาย พัฒนาเกษตรอินทรีย์โดยการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภครับรู้และเข้าใจประโยชน์ของการผลิตและการ


154 บริโภคอินทรีย์ได้อย่างถูกต้องสนับสนุนการจัดท ามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร สนับสนุนให้การพัฒนา บุคลากรภาครัฐให้มีความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ และสนับสนุนเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านมากขึ้น นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ ปี 2560-2564 ยังให้ความส าคัญในการเพิ่มการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ใน ประเทศ และให้ความส าคัญ เป็น 1 ใน 4 ยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อน ทั้งนี้การขับเคลื่อนตลาดเกษตรอินทรีย์ ของภาครัฐฯอาจไม่ต่อเนื่องหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลรายละเอียดพิจารณาได้จากตารางผนวกที่ 65 2.3) ทัศนคติด้านรูปแบบ และช่องทางการจ าหน่ายประมงอินทรีย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดประมงอินทรีย์เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมาก (3.41-3.81คะแนน) ว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์มีการขายบนระบบออนไลน์มากขึ้นท าให้ลดต้นทุนการตลาดลง ได้มาก และมีการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่หลากหลาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายโฆษณา ฯลฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง แต่ยังขาดการประชาสัมพันธ์ด้านการตลาด สถานที่จ าหน่ายตั้งอยู่ห่างไกลแหล่งชุมชนช่องทางการจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ต้องอาศัยคนกลางเพื่อ เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาดเกษตรอินทรีย์ได้ยากตลาดมีน้อยท าให้มีผู้ขาย น้อยราย ส่งผลให้ไม่มีระบบการกระจายสินค้าที่ดี ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาดเกษตรอินทรีย์ได้ยาก ประกอบกับ สามารถเลือกซื้อสินค้าทั่วไปทดแทนสินค้าอินทรีย์ได้ง่ายเนื่องจากมีขายทั่วไป ภาพลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างกับ สินค้าอินทรีย์และราคาถูกกว่าเห็นด้วยในระดับปานกลาง (3.05-3.39 คะแนน) ว่าตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ส่วนใหญ่มีระบบการรักษาคุณภาพสินค้าอย่างดี ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออก ผู้ประกอบการใช้เทคโนโลยีในการจัดหาและบริหารจัดการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อลดขั้นตอนและเวลาการ จ าหน่ายผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีช่องทางเชื่อมโยงการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์กับหน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐ สนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์เพิ่มช่องทางการจ าหน่ายสินค้าอินทรีย์มากขึ้น และ ระบบการคมนาคม ขนส่งการสื่อสารไอทีและนวัตกรรมต่างๆ ท าให้สะดวกในการสั่งซื้อ และจัดจ าหน่ายและ สามารถลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่ รายละเอียดพิจารณาได้จากตารางผนวกที่ 64 2.4) ข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านการตลาดของประมงอินทรีย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบตลาดส่วนใหญ่เห็นด้วยในระดับค่อนข้างมากกับข้อเสนอแนะ ด้านผลการด าเนินงานของตลาด ว่าควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการส่งเสริมความรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่อง สินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อต่างๆควรสนับสนุนการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยในแต่ละ ตลาดควรสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ประกอบธุรกิจจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ ควรสนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกร อินทรีย์เพื่อให้มีสินค้าที่เพียงพอต่อความต้องการตลาด ควรพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมด้านการแปรรูป อาหารอินทรีย์ ควรส่งเสริมการเรียนการสอนเกษตรอินทรีย์ในทุกระดับชั้นตั้งแต่อนุบาล-อุดมศึกษา ควรสร้าง Application Line ตลาดเกษตรอินทรีย์ เชื่อมโยงเครือข่ายทั้งประเทศควรมีหน่วยงานภาครัฐสนับสนุนให้ ความช่วยเหลือในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ตราสัญลักษณ์แก่ผู้ค้าในแต่ละตลาด ควรสนับสนุนแหล่งเงินทุน ด้านการตลาดดอกเบี้ยต่ า ควรลดหย่อนภาษีส าหรับผู้ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ปีละ 50,000-100,000 บาท/คน/ปี และด้านรูปแบบและช่องทางการจ าหน่ายได้แก่ ควรสนับสนุนการเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์กับ


155 หน่วยงานภาครัฐ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เรือนจ า ควรสนับสนุนการจัดตั้งร้านค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์แบบ ครบวงจร ในระดับจังหวัดระดับภาค ควรสนับสนุนให้มีร้านอาหารอินทรีย์ เพื่อการท่องเที่ยว และในสถานที่ ราชการและเอกชนขนาดใหญ่ ควรสร้างตลาดใหม่ๆโดยภาครัฐ และภาคีเครือข่ายในเขตชุมชน ควรจัดงาน เกษตรอินทรีย์ในระดับภาค เพื่อน าเสนอ แสดง จ าหน่าย และแลกเปลี่ยนความรู้ ปีละ1ครั้ง ควรสร้างเครือข่าย ผู้ค้าเกษตรอินทรีย์เชื่อมโยงซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าแต่ละจังหวัด โดยภาครัฐเป็นแกนกลางในระยะแรก ออกแบบภูมิทัศน์และสถานที่ของตลาดให้ทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ ผู้บริโภคทุกระดับ และควรสนับสนุนให้ เกษตรกรรายย่อยจ าหน่ายสินค้าบนระบบออนไลน์ 3) สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบตลาดประมงอินทรีย์ เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก (SWOT Analysis) ของระบบการตลาด ประมงอินทรีย์เพื่อน าไปใช้ประกอบการวิเคราะห์ทางเลือกในการก าหนดกลยุทธ์การพัฒนาศักยภาพด้าน การตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ (TOWS Matrix) ส าหรับผลวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของ ระบบตลาดประมงอินทรีย์ พิจารณาได้ดังนี้ 3.1) จุดแข็ง (Strengths) S1 : สินค้าประมงอินทรีย์มีคุณภาพ ปลอดภัย และรสชาติดีกว่าสินค้าทั่วไป S2 : ราคาสินค้าประมงอินทรีย์สูงกว่าสินค้าทั่วไป แต่ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ S3 : ผู้ผลิตสินค้าประมงอินทรีย์ส่วนใหญ่สามารถสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายโดยใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศด้วยตนเอง S4 :ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ใช้ระบบออนไลน์ในการจัดจ าหน่ายซึ่งสามารถลดต้นทุนการตลาดลง ได้มาก S5 : มีแหล่งผลิตหรือฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ าตัวอย่างที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ทั้ง ประมงน้ าจืดและประมงทะเล S6 : มีแหล่งปัจจัยการผลิตประมงอินทรีย์ที่เชื่อถือได้ ทั้งอาหารและพันธุ์สัตว์ สร้างความ มั่นใจให้กับผู้บริโภค 3.2) จุดอ่อน (Weaknesses) W1 : ผู้ผลิตประมงอินทรีย์ที่อยู่ในระยะปรับเปลี่ยนบางราย ยังมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการผลิตสินค้าประมงอินทรีย์ไม่มากนัก W2 : สินค้าประมงอินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูปมีปริมาณน้อย ชนิดสินค้าไม่หลากหลาย และผลผลิตออกสู่ตลาดไม่สม่ าเสมอ W3 :แหล่งผลิตประมงทะเลอินทรีย์ห่างไกลจากตลาดและชุมชน ท าให้มีต้นทุนการขนส่ง และการเก็บรักษาสินค้าสูง W4 : กลุ่มสินค้าประมงอินทรีย์มีอายุสั้น เน่าเสียง่ายต้องอาศัยระบบการบริหารจัดการที่ดี


156 W5 : ช่องทางการจ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์ยังไม่แพร่หลาย ไม่มีจ าหน่ายตามร้าน ทั่วไป W6 : ราคาสินค้าประมงอินทรีย์เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล และสถานที่การวางจ าหน่าย W7 : ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่รู้จักแหล่งจ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูป W8 : ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ไม่ถูกต้อง 3.3) โอกาส (Opportunities) O1 : ภาครัฐให้ความส าคัญกับการด าเนินงานเกษตรอินทรีย์ และสนับสนุนตลาดเกษตร อินทรีย์ระดับจังหวัดมากขึ้น O2 : การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและการตื่นตัวเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคท าให้มีปริมาณความ ต้องการสินค้าประมงอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น O3 : สื่อช่องทางในการประชาสัมพันธ์ที่หลากหลายกระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภค สินค้าประมงอินทรีย์เพิ่มขึ้น O4 : มีกลุ่มธุรกิจบริการที่ต่อยอดจากธุรกิจการผลิตการค้าสินค้าอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น O5 : มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมากขึ้น มีระบบตรวจรับรองมาตรฐานสัตว์น้ าอินทรีย์ (มกท.)สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคมากขึ้น 3.4) อุปสรรค (Threats) T1 : การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐขาดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน อย่างจริงจัง T2 : บุคลากรภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนงานทางด้านการตลาดสินค้า ประมงอินทรีย์น้อย มีจ านวนผู้ตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่ไม่เพียงพอ T3 : ช่องทางการจ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์ยังไม่แพร่หลาย ไม่มีวางจ าหน่ายในตลาด อื่นๆ มากนัก T4 : ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาดสถานที่จ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์ได้ยาก เพราะแหล่ง ผลิตอยู่ห่างไกลตลาดและชุมชน T5 : ผู้บริโภคยังไม่รู้จักแหล่งผลิตสินค้าประมงอินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูปมากนัก T6 : ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ไม่ถูกต้อง T7 : สภาวะโลกร้อนและโรคระบาด ส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพสินค้าประมงอินทรีย์ 4) แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดประมงอินทรีย์ จากการวิเคราะห์ศักยภาพภายใน (จุดแข็ง จุดอ่อน) และศักยภาพภายนอก (โอกาส อุปสรรค) น ามาวิเคราะห์ต่อด้วย TOWS Matrix โดยก าหนดเป็นกลยุทธ์ 4 ทางเลือกในการก าหนดแนวทางในการพัฒนา ศักยภาพการตลาดประมงอินทรีย์ ได้ดังนี้


157 ตารางที่ 4.6 ผลการวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าประมงอินทรีย์ TOWS Matrix จุดแข็ง (Strengths S1 : สินค้าประมงอินทรีย์มีคุณภาพ ป ดีกว่าสินค้าทั่วไป S2 : ราคาสินค้าประมงอินทรีย์สูงก เหมาะสมกับคุณภาพ S3 : ผู้ผลิตสินค้าประมงอินทรีย์ส่วนให เชื่อมโยงเครือข่ายโดยใช้เทคโนโลยีสารสน S4 : ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ใช้ระบบออนไ ซึ่งสามารถลดต้นทุนการตลาดลงได้มาก S5 : มีแหล่งผลิตหรือฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ รับรองมาตรฐานอินทรีย์ทั้งประมงน้ าจืดแ S6 : มีแหล่งปัจจัยการผลิตประมงอินทรีย์ ลูกพันธุ์ สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โอกาส (Opportunities) O1 : ภาครัฐให้ความส าคัญเรื่องเกษตรอินทรีย์มากขึ้น และสนับสนุนตลาดเกษตรอินทรีย์ระดับจังหวัด O2 : การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและการตื่นตัวเรื่อง สุขภาพของผู้บริโภค ท าให้ความต้องการสินค้าประมง อินทรีย์เพิ่มมากขึ้น O3 : สื่อช่องทางต่างๆ ที่หลากหลาย กระตุ้นให้การ บริโภคสินค้าประมงอินทรีย์เพิ่มขึ้น O4 : มีกลุ่มธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าอินทรีย์ เพิ่มมากขึ้น SO Strategies SO1 สนับสนุนการขยายการผลิตและ (S1-S6, O1-O5) SO2การเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ผลิต-ผู้บริ บริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าอินทรีย์ (O (S3-S6, O1-O4) SO3 ส่งเสริมการต่อยอดธุรกิจการท่อ สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวแนววิถีพื้นบ้ SO4 สนับสนุนผู้ประกอบการใหม่ (Start รูปสินค้าประมงอินทรีย์ (S1-S6, O1-O5)


7 157 s) ปลอดภัย และรสชาติ กว่าสินค้าทั่วไป และ หญ่สามารถสร้างและ นเทศด้วยตนเอง ลน์ในการจัดจ าหน่าย ว์น้ าตัวอย่างที่ผ่านการ และประมงทะเล ย์ ทั้งด้านอาหารและ จุดอ่อน (Weaknesses) W1 : ผู้ผลิตประมงอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยนบางส่วนยังมี ความรู้ความเข้าใจการผลิตอินทรีย์ไม่เพียงพอ W2 : สินค้าประมงอินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูปมีปริมาณน้อย ชนิดไม่หลากหลาย และสินค้าออกสู่ตลาดไม่สม่ าเสมอ W3 :แหล่งผลิตประมงทะเลอินทรีย์ห่างไกลจากตลาดและชุมชน ท าให้มีต้นทุนการเก็บรักษาและขนส่งสูง W4 : สินค้าประมงอินทรีย์ เป็นอาหารที่มีอายุสั้น เน่าเสียง่าย ะเพิ่มช่องทางตลาด ริโภค และกลุ่มธุรกิจ Organic Services) งเที่ยวที่เป็นมิตรกับ ้าน (S1-S6, O1,O4) up) ให้ท าธุรกิจแปร WO Strategies WO1 เสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรในการผลิตระบบ อินทรีย์ การบริหารจัดการสินค้าและท าการตลาดแบบมืออาชีพ (W1 W4, O1 O5) WO2 ส่งเสริมและต่อยอดงานวิจัยพัฒนา องค์ความรู้ ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น ในการแปรรูปและพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้า ประมงอินทรีย์เพื่อยืดอายุและเพิ่มมูลค่าสินค้า (W2-W4, O1-O4) WO3สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์จ าหน่าย และการกระจายสินค้า ในแต่ละจังหวัด (W2-W4, O1 O5)


158 ตารางที่ 4.6 การวิเคราะห์ด้วย TOWS Matrix กรณีสินค้าประมงอินทรีย์ (ต่อ) ที่มา : จากการส ารวจ O5 : มีเทคโนโลยีการผลิตก้าวหน้า และระบบ ตรวจสอบรับรองมาตรฐานสัตว์น้ าอินทรีย์ที่ชัดเจน (มกท.) SO5 สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ าแก่ผู้ประ ห่วงโซ่ (S1-S6,O1-O5) อุปสรรค (Threats) T1 : การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐขาด ความต่อเนื่อง T2 : บุคลากรภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ ขับเคลื่อนด้านการตลาดประมงอินทรีย์มีน้อย ผู้ตรวจ รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่มีไม่ เพียงพอ T3 : ช่องทางการจ าหน่ายสินค้าประมงอินทรีย์ยังไม่ แพร่หลาย ไม่มีจ าหน่ายตามร้านทั่วไป T4 : ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงตลาดหรือสถานที่จ าหน่าย สินค้าประมงอินทรีย์ได้ยาก เพราะแหล่งผลิตอยู่ ห่างไกลตลาดและชุมชน T5 : ผู้บริโภคยังไม่รู้จักแหล่งผลิตสินค้าประมงอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมากนัก T6 : ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เกษตรอินทรีย์ไม่ถูกต้อง T7 : สภาวะโลกร้อนและโรคระบาด ส่งผลต่อปริมาณ และคุณภาพสินค้าประมงอินทรีย์ ST Strategies ST1 ปรับกลไลการขับเคลื่อนด้านการต อย่างบูรณาการทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครั และภาคีเครือข่ายสุขภาพ (S1-S6,T1-T2 ST2 ส่งเสริมตลาดเกษตรอินทรีย์ระดับจ รวมทั้งสนับสนุนให้ร้านค้าทั่วไปน าสินค้า วางจ าหน่ายในโอกาสต่างๆ (S1-S4,T3-T5 ST3 จัดตั้งศูนย์ให้ค าปรึกษาเรื่องมาตรฐาน ตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ เพื่อให้เกษตรก มั่นใจ (S1-S6,T1-T6) ST4 ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคทุกระดับ มี ถูกต้องเกี่ยวกับระบบผลิตและมาตรฐาน รวมทั้งการรับรู้แหล่งผลิต แหล่งจ าหน่าย อย่างต่อเนื่อง (S1-S6,T6-T6)


8 158 ะกอบการค้าในตลอด ตลาดประมงอินทรีย์ รัฐ ภาคเอกชน ชุมชน ) จังหวัดอย่างต่อเนื่อง าประมงอินทรีย์มาจัด 5) นการผลิตและส่งเสริม กรและผู้บริโภคมีความ มีความรู้ความเข้าใจที่ นสินค้าประมงอินทรีย์ ยสินค้า ผ่านสื่อต่างๆ WT Strategies WT1 ผลักดันแผนงานโครงการต่างๆ ด้านส่งเสริมประมงอินทรีย์ แล ะผลิตภัณฑ์แป ร รูป บ ร ร จุในยุท ธศ าสต ร์ช าติ 20 ปี (W1-W4,T1-T7) WT2 สนับสนุนมาตรฐานท้องถิ่น/และการรับรองมาตรฐานแบบ มีส่วนร่วม PGS (W1 W2,T1 T2 T7)


159 WT2 สนับสนุนการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ท้องถิ่นและมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ แบบมีส่วนร่วม (PGS) ดังนั้น แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดประมงอินทรีย์ มีดังนี้ 1. ส่งเสริมและสนับสนุนการเพิ่มตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ 1.1) สนับสนุนการขยายการผลิตในพื้นที่เหมาะสม เช่น ส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ าจืด อินทรีย์ เสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรเพื่อบริหารจัดการด้านการผลิตและการตลาดแบบมืออาชีพ 1.2) ส่งเสริมการตลาดแนวใหม่ด้วยการน าเทคโนโลยีและสื่อสมัยใหม่มาด าเนินการ อาทิการค้า ออนไลน์ Application Line ฯลฯ 1.3) จัดตั้งศูนย์จ าหน่าย และการกระจายสินค้าในทุกจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตส าคัญ 1.4) เชื่อมโยงเครือข่ายผู้ผลิตผู้บริโภค และกลุ่มธุรกิจบริการที่มีความต้องการใช้สินค้าอินทรีย์ 1.5) ส่งเสริมการต่อยอดธุรกิจประมงอินทรีย์กับธุรกิจการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวตามแนววิถีพื้นบ้าน 1.6) สนับสนุนการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ท้องถิ่น และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ แบบมีส่วนร่วม (PGS) 2. สร้างผู้ประกอบการธุรกิจประมงอินทรีย์รุ่นใหม่ 2.1) สนับสนุนผู้ประกอบการใหม่ (Start up) ให้ท าธุรกิจแปรรูปสินค้าประมงอินทรีย์ 2.2) สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ าแก่ผู้ประกอบการค้าสินค้าอินทรีย์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน 3. สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและกระตุ้นความต้องการสินค้าประมงอินทรีย์ 3.1) จัดตั้งศูนย์ให้ค าปรึกษาเรื่องมาตรฐานการผลิตและส่งเสริมตลาดสินค้าประมงอินทรีย์ เพื่อให้เกษตรกรและผู้บริโภคมีความมั่นใจ หรือจัดตั้งอาสาสมัครเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่ให้ค าแนะน า ความรู้เรื่องสินค้าเกษตรอินทรีย์และการรักษาคุณภาพ 3.2) ส่งเสริมตลาดเกษตรอินทรีย์ระดับจังหวัดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนให้ร้านค้าทั่วไปน า สินค้าประมงอินทรีย์มาจัดวางจ าหน่ายในโอกาสต่างๆ 3.3) ใช้มาตรการลดหย่อนภาษีส าหรับผู้ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ 3.4) ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคทุกระดับ มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบผลิตและ มาตรฐานสินค้าประมงอินทรีย์ รวมทั้งการรับรู้แหล่งผลิต แหล่งจ าหน่ายสินค้า ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ส่งเสริมการเรียนการสอนเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา 4. ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงอินทรีย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า 4.1) ส่งเสริมและต่อยอดงานวิจัยพัฒนา องค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้าประมงอินทรีย์เพื่อช่วยยืดอายุและเพิ่มมูลค่าสินค้า


160 4.3 แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ภาพรวมของประเทศ จากการศึกษาถึงทัศนคติของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ใน 6 กลุ่มสินค้า ส าคัญ ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง ด้วยการให้ค่าคะแนนแบบ Likert แล้วน ามา วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก สามารถน าผลที่ได้มาก าหนดเป็นแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ได้ดังนี้ 1) พัฒนาฐานข้อมูลด้านการผลิตให้ทันสมัยเพื่อสนับสนุนการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 1.1) พัฒนาฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยจ าแนกเป็นรายกลุ่มสินค้าให้มีความ ทันสมัยเป็นปัจจุบัน ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สามารถน ามาใช้ส าหรับการวางแผนพัฒนา และการ บริหารจัดการด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่เชื่อมโยงจากระดับชาติสู่ระดับจังหวัด 1.2) จัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางสินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับประเทศ โดยมุ่งเน้นการน า IT มาประยุกต์ใช้ ในการให้บริการข้อมูลทั้งด้านการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ แก่หน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ เกษตรกรผู้ผลิต และประชาชนทั่วไป ได้อย่างครบถ้วน มีความสะดวกรวดเร็ว และทันต่อความต้องการใช้ 1.3) สร้างระบบฐานข้อมูลราคากลางสินค้าเกษตรอินทรีย์ จ าแนกตามชนิด และประเภทสินค้า เพื่อสร้างมาตรฐานทางด้านราคาให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค 2) ส่งเสริมสนับสนุนการเพิ่มตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2.1) สร้างตลาดจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นการเฉพาะในทุกจังหวัด และทยอยเพิ่มจ านวน ตลาด เพื่อเพิ่มช่องทางการจ าหน่าย และสร้างความแตกต่างทางด้านราคาโดยเน้นกระจายในแหล่งชุมชน หรือ สถานที่มีประชาชนอยู่รวมกันหนาแน่น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ง่ายขึ้น เช่น สถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด สถานที่ราชการ ธนาคาร ย่านการค้า ฯลฯ ได้แก่ ตลาดสดเกษตรอินทรีย์ ตลาดสินค้าเกษตรแปรรูป ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์พร้อมบริโภค ร้านอาหารเกษตรอินทรีย์ในแหล่ง ท่องเที่ยว 2.2) ทุกหน่วยงานในระดับจังหวัดควรร่วมบูรณาการขับเคลื่อนการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตร อินทรีย์ให้เป็นรูปธรรม โดยก าหนดให้เป็นวาระส าคัญของจังหวัด 2.3) แสวงหาตลาดใหม่ๆ เพื่อขยายปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะในกลุ่ม สินค้าข้าว พืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง 2.4) สร้างสื่อต่างๆ ผ่าน Social Media เพื่อขยายช่องทางการจ าหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น 2.5) สนับสนุนการจัดท าฐานข้อมูลการผลิตการตลาด เพื่อเชื่อมโยงการบริหารจัดการสินค้า เกษตรอินทรีย์ระดับชาติและระดับจังหวัด 3) สร้างผู้ประกอบการสินค้าเกษตรอินทรีย์รายใหม่ (New Entry) 3.1) เพิ่มจ านวนผู้ประกอบการรายใหม่ควบคู่กับการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องสินค้าเกษตร อินทรีย์อย่างถูกต้อง และเร่งพัฒนาทักษะด้านการบริหารจัดการธุรกิจสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างประสิทธิภาพ


161 3.2) สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ า หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ให้แก่ผู้ประกอบการสินค้าเกษตร อินทรีย์รายใหม่ สามารถน าไปลงทุนพัฒนาธุรกิจทางด้านการตลาดเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดสินค้าเกษตร อินทรีย์ 3.3) เร่งสร้างระบบการเชื่อมโยงทางการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการสินค้าเกษตรอินทรีย์รายใหม่และรายเดิม เพื่อให้ผู้บริโภค เข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ง่ายขึ้น 4) ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปเชิงนวัตกรรม 4.1) สนับสนุนการวิจัยพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มคุณภาพและมูลค่าสินค้า รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้แก่ผู้บริโภค โดยพิจารณาจาก แนวโน้มความต้องการของตลาด 4.2) เผยแพร่ผลงานวิจัยด้านการแปรรูปและธุรกิจเกษตรอินทรีย์ไปสู่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาค ส่วนในระบบการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อน าไปพัฒนาศักยภาพในระดับพื้นที่ต่อไป 5) พัฒนาตลาด สร้างความโดดเด่นด้วยอัตลักษณ์เชิงพื้นที่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม 5.1) เพิ่มประเภท ชนิด และปริมาณสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ หลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และมีปริมาณที่เพียงพอ 5.2) พัฒนาระบบโลจิสติกส์สินค้าเกษตรอินทรีย์ และจัดให้มีศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมทั่ว ประเทศ โดยมุ่งเน้นให้เข้าถึงพื้นที่ในระดับชุมชน 5.3) ส่งเสริมและสร้างสรรค์สินค้าเกษตรอินทรีย์ตามศักยภาพพื้นที่ เน้นการสร้างอัตลักษณ์เชิง พื้นที่ให้มีความโดดเด่นควบคู่กับการสร้างตราสินค้า (Branding) เพื่อสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) 5.4) สนับสนุนการเชื่อมโยงด้านการตลาดระหว่างเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ผลิตพืชอาหาร สัตว์อินทรีย์ และผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์อินทรีย์ 5.5) เชื่อมโยงการตลาดสินค้าอินทรีย์ระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ศูนย์กระจายสินค้า กับ Modern Trade โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงแรม ร้านของฝาก ในแหล่งท่องเที่ยวส าคัญทั่วประเทศ และ ต่างจังหวัดที่ไม่ใช่แหล่งผลิตสินค้านั้น 5.6) ส่งเสริมให้มีการน า IT มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตลาดออนไลน์ เพื่อให้สามารถเข้าถึง ผู้บริโภครุ่นใหม่ทั้งกลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่ได้มากยิ่งขึ้น 5.7) เน้นการตลาดแบบเกื้อกูล โดยในระยะแรกของการส่งเสริมด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ ควรก าหนดราคาให้มีความแตกต่างกับสินค้าทั่วไปหรือสินค้าที่มีมาตรฐานล าดับต่ ากว่าสามารถท าได้ แต่ต้องไม่ มากเกินไป เพราะปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังสับสน และไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัยของแต่ละมาตรฐานการ รับรอง


162 6) สร้างความเชื่อมั่นในสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วยการพัฒนาระบบการตรวจรับรองมาตรฐาน 6.1) สนับสนุนให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกรที่ท าการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการ ตรวจรับรองมาตรฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในอนาคตที่ผู้บริโภคหันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น 6.2) เพิ่มการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรฐานเกษตร อินทรีย์ชนิดต่างๆ ให้แก่กลุ่มผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างการยอมรับใน มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทั้งที่เป็นมาตรฐานในประเทศ และมาตรฐานสากล 6.3) ยกระดับมาตรฐานการรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล 6.4) เร่งขับเคลื่อนพัฒนาเกษตรกรผู้ผลิต และระบบการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรสู่ระบบ เกษตรอินทรีย์ตามระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Partiicipatory Guarantee Systems : PGS) มาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ท้องถิ่น และเกษตรอินทรีย์วิถีชุมชน เพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระบบตลาด ที่สอดคล้องกับปริมาณความต้องการของผู้บริโภค 6.5) พัฒนา และส่งเสริมการท าฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ให้ได้รับการตรวจรับรองมาตรฐานทั้งของ ประเทศไทยและระดับสากล เพื่อรองรับการขยายของตลาด 6.6) ส่งเสริมให้มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งผลิต และมีการสุ่มตรวจสอบสินค้า เกษตรอินทรีย์ที่วางจ าหน่ายตามท้องตลาดอย่างสม่ าเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค 6.7) ปรับปรุงกระบวนการขั้นตอนการตรวจรับรองคุณภาพมาตรฐานให้มีความสะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก 7) กระตุ้นความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้เพิ่มมากขึ้น 7.1) ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ และสร้างความรู้ความเข้าใจถึง ประโยชน์ของการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ และโทษของสินค้าเกษตรที่ผลิตโดยใช้สารเคมี ผ่านสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวางเข้าถึงผู้บริโภคในทุกระดับ 7.2) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรน าความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต และประโยชน์ของการบริโภค สินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยก าหนดเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนให้แก่เด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา เพื่อเป็นการปลูกฝัง และสร้างความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง 7.3) ขอความร่วมมือจากส่วนราชการทั่วประเทศให้อุดหนุนผู้ประกอบการที่ใช้สินค้าเกษตร อินทรีย์เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร อาหารว่างรวมถึงประสานความร่วมมือกับสมาคมโรงแรม ภัตตาคาร เพื่อขอให้สนับสนุนการใช้วัตถุดิบจากเครือข่ายการผลิต การตลาดเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ 7.4) แต่งตั้งอาสาสมัครเกษตรอินทรีย์ในระดับพื้นที่เพื่อให้ค าปรึกษา แนะน า ความรู้เกี่ยวกับสินค้า เกษตรอินทรีย์ และการดูแลรักษาคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานการรับรอง 7.5) รัฐบาลมีมาตรการจูงใจโดยก าหนดอัตราการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ที่บริโภคสินค้าเกษตร อินทรีย์เช่น ผู้บริโภคมียอดซื้อ 100,000 บาท/ปีสามารถน ามาลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น


Click to View FlipBook Version