The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2021-04-03 04:03:03

หนังสือ ปู่สอนหลาน อาจารย์สอนศิษย์

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก

2

โดย พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตุสสโก
วดั ป่ านาค�ำนอ้ ย อ.นายูง จ.อุดรธานี

จดั พมิ พ์เป็นธรรมทานโดย
มลู นิธิ “วริ ยิ ะ ณศลี วันต์ วดั ปา่ นาคำ� น้อย”
พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๑ เมษายน ๒๕๖๔
จ�ำนวนพิมพ์ ๑๐,๐๐๐ เลม่

สงวนลิขสิทธ์ิ หา้ มคดั ลอก ตดั ตอน
หรือนำ� ไปพมิ พเ์ พือ่ จ�ำหน่าย

หากทา่ นใดประสงค์จะพมิ พแ์ จกเป็นธรรมทาน
กรณุ าติดตอ่ ขออนญุ าตจาก

วัดปา่ นาคำ� นอ้ ย ต.บ้านก้อง อ.นายูง จ.อุดรธานี ๔๑๓๘๐
คุณพชิ ิต โตนติ วิ งศ์ โทร: ๐๘๑-๘๒๙-๕๒๑๓

พิมพท์ ี่ : บริษทั ศิลป์สยามบรรจุภัณฑแ์ ละการพิมพ์ จ�ำกัด
Tel. ๐-๒๔๔๔-๓๓๕๑-๒ Fax. ๐-๒๔๔๔-๐๐๗๘
E-mail: [email protected]

พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 3

คำ� ปรารภ
สมเดจ็ พระบรมศาสดาของพวกเราทา่ นทงั้ หลาย
ผทู้ รงมพี ระกรณุ าตอ่ ปวงสรรพสตั ว์ ใหญน่ อ้ ย ทรงเปน็
นาถะท่ีพึ่งพิงของโลก ในคราวหนึ่งเสด็จจาริกไป
ในชนบท แล้วเสด็จกลับมายังกรุงสาวัตถี ได้ทอด
พระเนตรเห็นพระสงฆ์หมู่ใหญ่จ�ำนวน ๕๐๐ รูป
ก�ำลงั นั่งสนทนากันอยใู่ นศาลาโรงฉนั ณ พระเชตะวนั
มหาวหิ าร อารามของทา่ นอนาถปณิ ฑกิ เศรษฐี ตา่ งปรารภ
ถึงหนทางท่ีตนท่องเท่ียวไป ในชนบทคามนิคม
น้อยใหญ่ พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยแห่ง
พระอรหัตของภกิ ษเุ หลา่ น้นั ทรงพระดำ� ริวา่ ‘หากเรา
ปรารภธรรมอันเหมาะสมแก่ศากยบุตรพุทธชิโนรส
เหล่านี้ อรหตั ตธรรมสงู สดุ กจ็ ักพึงบรรลไุ ด้ในวนั น้ี’
จึงทรงเปล่งสีหนาทกถาตรัสถามถึงหัวข้อท่ี
ปรารภกัน เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ด้วยเร่ืองน้ัน”
จึงตรัสว่า “ทางที่พวกเธอพูดถึงนี้ เป็นทางภายนอก
ธรรมดาภิกษุควรท�ำกิจในอริยมรรค ด้วยว่าเมื่อภิกษุท�ำ

4

อย่างน้ัน ย่อมพน้ จากทกุ ขท์ งั้ ปวงได้” แล้วตรัสพระคาถา
เหล่าน้ีอันเป็นสันทิฏฐิกธรรม ธรรมอันจะพึงเห็นด้วย
ตนเอง อันมีเน้ือความแห่งอมฤตธรรมโสรจสรงจรุงจิต
ภิกษุทง้ั หลายเหล่านน้ั ใหเ้ บิกบานในธรรม ดงั นี้
“บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ ๘ ประเสรฐิ สดุ
บรรดาสัจจะท้งั หลาย อรยิ สจั ๔ ประเสรฐิ สุด บรรดา
ธรรมทง้ั หลาย วริ าคธรรม ธรรมสน้ิ ความกำ� หนดั ยนิ ดี
ประเสรฐิ สดุ บรรดาสัตว์ ๒ เทา้ ทั้งหลาย พระตถาคต
ผูม้ ีจักษุ ทรงประเสริฐสุด
ทางเพ่ือความหมดจดแห่งทัสสนะ คือทางนี้
เท่านน้ั ทางอ่ืนไม่มี เปน็ เอกายนมรรค หนทางอันเอก
เพราะฉะนั้น เธอท้ังหลายจงด�ำเนินไปตามทางนี้แล
ที่ท�ำมารและเสนาให้หลง ด้วยว่าเธอทั้งหลายด�ำเนิน
ไปตามทางนแี้ ล้ว จักท�ำทีส่ ดุ แหง่ ทุกขไ์ ด้ เราทราบวธิ ี
ถอนลูกศรคือกิเลสแล้ว จึงบอกทางน้ีแก่เธอท้ังหลาย
‘ตุมฺเหหิ กจิ ฺจํ อาตปปฺ ํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ปฏิปนนฺ า
ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา’ เธอทั้งหลายพึง
ทำ� ความเพยี รเอง พระตถาคตทงั้ หลายเปน็ แตผ่ ชู้ บ้ี อก

พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 5

ชนทงั้ หลาย ผมู้ ปี กตเิ พง่ พนิ จิ ดำ� เนนิ ไปแลว้ จะหลดุ พน้
จากเครือ่ งผูกของมาร”
ภกิ ษเุ หลา่ นั้น เม่อื เพง่ พนิ จิ พจิ ารณาหนทางสายเอก
มอี ฏั ฐงั คกิ มรรค มรรคมอี งค์ ๘ อนั มสี มั มาทฐิ เิ ปน็ ประธาน
สัมมาสมาธิเป็นท่ีสุด ใคร่ครวญขบคิดในจตุราริยสัจ
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จนบังเกิดวิราคธรรม
ธรรมเป็นเครื่องปราศจากราคะความก�ำหนัดเครื่องย้อม
ออกจากจิตใจได้เบ็ดเสร็จ ตระหนักแจ้งชัดว่า บรรดา
สั ต ว ์ ส อ ง เ ท ้ า มี เ ท ว ด า แ ล ะ ม นุ ษ ย ์ ทั้ ง ห ม ด เ ป ็ น ต ้ น
พระตถาคต ผู้ทรงมจี กั ษุ ทรงประเสรฐิ ท่ีสุด ภกิ ษทุ ง้ั ปวง
ได้พิจารณาตามรู้ตามเห็นหย่ังปัญญามรรคลงใน
ไตรลกั ษณญาณ คอื อนจิ จตา ทกุ ขตา อนตั ตตา ถอนความ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้โดยประการทั้งปวง กระท�ำให้แจ้งซึ่ง
พระนพิ พาน ณ เบอ้ื งพระพกั ตร์ ทราบวา่ วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ํ
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กตํ กรณียํ กิจท่ีควรท�ำได้ท�ำ
เสร็จแลว้ นาปรํ อิตฺถตตฺ ายาติ ปชานาติ กิจท่จี ะท�ำให้
ย่ิงไปกว่าน้ีทราบว่าไม่มีแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้
บรรลผุ ลสงู สุดในพระพทุ ธศาสนา เป็นพทุ โธ ธัมโม สังโฆ

6

คือธรรมแท้ท้ังแท่ง ดังในบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย
“รตนัตตยัปปภาวาภิยาจนคาถา” ท่ีว่า พุทฺโธ ธมฺโม
สงโฺ ฆ จาติ นานาโหนตฺ มปฺ ิ วตถฺ โุ ต ถา้ วา่ โดยชอื่ กเ็ หมอื น
แยกกันเป็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แต่โดย
ความหมายนับเป็นอันหนึ่งเดียวอันเดียวกันด้วย
เกี่ยวเนอ่ื งกนั อญฺญมญฺญาวโิ ยคา ว เอกภี ตู มปฺ นตฺถโต
คือพุทธะในพระทัย และพุทธะในใจของสาวก สมาน
เป็นหนึง่ เดยี วน่ันเอง
ธรรมเทศนาอันเป็นดุจการถอนลูกศรที่ปักเสียบ
จิตให้ทุพพลภาพ มีอาการเจ็บป่วยปางตาย แต่อาศัย
พระมหากรณุ าของพระบรมศาสดา ซง่ึ ทรงมพี ระอธั ยาศยั
ใหญ่เปน็ พืน้ ดังมีพระมหาสมณภาษติ แสดงไว้วา่ “มหา-
ปุริสภาวสฺส ลกฺขโณ กรุณาสโห” อัธยาศัยที่ทนอยู่
ไมไ่ ด้เพราะกรณุ า เป็นลกั ษณะของมหาบรุ ษุ ดงั ทที่ รง
มพี ระมหากรณุ าแกภ่ กิ ษเุ หลา่ นนั้ ใหไ้ ดป้ ระสบพบนพิ พาน
สมบัติ จงึ มผี ลมีอานิสงสม์ าก นำ� ประโยชน์สขุ อย่างยงั่ ยืน
ใหบ้ งั เกดิ แกภ่ กิ ษุ ๕๐๐ เหลา่ นนั้ ทลี่ ว้ นไดด้ มื่ ดำ่� อมฤตธรรม
นับเป็นอศั จรรย์และควรค่าแก่การอนโุ มทนายินดตี ่อท่าน

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 7

พระผู้หลุดพ้นทั้ง ๕๐๐ นั้นมาตราบเท่าจนถึงทุกวันนี้
(ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
มรรควรรค ข้อ ๓๐ หน้า ๗๓)
การมาศกึ ษาในสำ� นกั ครอู าจารยก์ รรมฐาน หากจะพดู
กค็ งจะพดู ไดว้ า่ ศษิ ยก์ รรมฐานตดิ ครอู าจารย์ กไ็ มน่ า่ จะผดิ
ดุจดั่งเม่ือคราวพระมหาบัว ญาณสัมปันโน คร้ังไปพำ� นัก
ศึกษาปฏิบัติด้านจิตตภาวนากับท่านพระอาจารย์มั่น
ภูรทิ ัตตเถระ ณ วัดป่าบา้ นหนองผอื ต�ำบลนาใน อำ� เภอ
พรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านได้ให้เหตุผลไว้
ตอนหนึ่งว่า การเทศนาของท่านพระอาจารย์ม่ัน
มีกุศโลบายอบรมศิษย์ผู้มาอยู่ศึกษาปฏิบัติ ให้ได้ความ
ก้าวหน้าในการบ�ำเพ็ญด้านจิตตภาวนาเป็นอย่างดียิ่ง
โดยเฉพาะขณะฟังเทศน์ เป็นการปฏิบัติจิตตภาวนา
ท่ีไม่แพ้การบ�ำเพ็ญภาวนาท�ำความพากความเพียรอยู่
ตามล�ำพังเป็นตน้ ดงั ปรากฏในประมวลพระธรรมเทศนา
พระธรรมวิสุทธิมงคล (ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณ-
สมั ปันโน) เลม่ ๔ มคี วามตอนหน่งึ ว่า

8

“พระกรรมฐานถือครูถืออาจารย์เป็นส�ำคัญมาก
ท่านเป็นผู้คอยให้อุบายทางภายใน ปริยัติเราไม่ได้
ประมาท การเรยี นมามากน้อย ถา้ เจ้าของไม่เป็นทาง
ด้านจิตใจแล้ว จะน�ำมาสอนคนอื่น มันสอนไม่ได้นะ
ก็เหมือนกับเรายกยาท้ังหีบไปรักษากัน ถ้าเป็นหมอ
แลว้ ไมต่ อ้ งมาก ถามดอู าการของโลกวา่ เปน็ อยา่ งไรๆ
พอคนไขเ้ ลา่ ใหฟ้ งั เทา่ นนั้ แหละ หมอจบั ยามาเขม็ เดยี ว
เท่าน้ันล่ะหรือหลอดเดียวปั๊บ! เข้าไปเลย ไม่ต้องไป
ยกยามาท้ังหีบทั้งกล่องมาทุ่มใส่กันเลย น่ีจิตใจเป็น
อย่างไร เอ๊า! ว่ามาซิ พอเลา่ ขึ้นมาปับ๊ ! รูแ้ ลว้ แก้ปับ๊ !
ทนั ทเี ลย มเี ทา่ นน้ั ไม่มาก รูจ้ ุดทคี่ วรไมค่ วร” คดั จาก
พระธรรมเทศนา “พระกรรมฐานถอื ครอู าจารยเ์ ปน็ หลกั ”
เทศน์อบรมพระ เม่อื วนั ท่ี ๒๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๔
ณ วดั ปา่ บา้ นตาด อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั อุดรธานี
อุบายธรรมท่ีน�ำมาอบรมถ่ายทอดศิษย์นั้น ก็น�ำ
ความรู้หรือประสบการณ์ที่ตนได้เคยอยู่ฝึกฝนอบรมใน
สำ� นกั พอ่ แมค่ รอู าจารย์ นบั ตงั้ แตห่ ลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โณ
วดั ดอยแมป่ ง๋ั จ.เชยี งใหม่ หลวงตาพระมหาบวั ญาณ-

พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 9

สัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี หลวงปู่หล้า
เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าบ้านห้วยทราย
จ.มุกดาหาร ในความท่ีตนได้รับการอบรมบ่มเพาะใน
ทางธรรม มาเป็นล�ำดับ จึงนับเป็นประสบการณ์ส�ำคัญ
ในชีวิตเพศสมณะ นับต้ังแต่เป็นสามเณร ผู้เป็นเหล่ากอ
ของสมณะ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แลว้ ญัตติเปน็ พระภิกษุ
ในพระพุทธศาสนา เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ด�ำรงสมณเพศ
ครองผ้ากาสาวพัสตร์นับแต่กึ่งพุทธกาลมาตราบกระท่ัง
ปจั จบุ นั จะวา่ ทง้ั ชวี ติ ฝงั ฝากไวใ้ นพระพทุ ธศาสนา กไ็ มผ่ ดิ
ไดร้ บั การสง่ั สอนธรรมะภาคปฏบิ ตั ิ ในแบบ “เรยี นตามพอ่
กอ่ ตามคร”ู ผนวกกบั “ปสู่ อนหลาน อาจารยส์ อนศษิ ย”์
จึงตกผลึกเปน็ องค์ความรู้ทตี่ นคดิ ว่าทรงคา่ เพราะไดร้ ับ
การฝกึ ฝนอบรมมาอยา่ งใกลช้ ดิ จากทา่ นผเู้ ปน็ ปรมาจารย์
ทางธรรมดงั กลา่ วมา และ “มารดาในธรรม” คณุ แมช่ แี กว้
เสยี งล�้ำ สำ� นักชบี ้านหว้ ยทราย จ.มกุ ดาหาร ที่ฟมู ฟกั
อุปถมั ภ์ค้�ำชูตนมาตง้ั แตต่ นี เท่าฝาหอย

10

ด้วยเหตุนั้น จึงตระหนักดีว่าในความต้ังใจของตน
ที่ถือว่าได้เกิดมารับใช้พระพุทธศาสนา สิ่งไหนก็ตามที่
เกิดประโยชน์ กจ็ ะได้บอกกลา่ วแนะน�ำสิง่ น้นั ๆ ท่ีตนได้
รับอบรมมาจากพอ่ แมค่ รูอาจารยอ์ ันทรงค่า ตนก็ว่าจะนำ�
มาขยายผล คิด พูด ท�ำความดีให้พร้อมสรรพ จะไมค่ ดิ
พดู ทำ� ในสงิ่ ไมด่ ที งั้ ปวง ซงึ่ นอกจากไมเ่ กดิ ประโยชนแ์ ลว้
กลับมีแต่โทษถ่ายเดียว จักพัฒนาจิตใจให้ผ่องแผ้วตาม
แนวพระบรมศาสดา ภกิ ษอุ รหันต์ ๕๐๐ ดงั กลา่ วขา้ งต้น
และบรู พาจารยพ์ ระกรรมฐาน ตามแนวปฏปิ ทาพระธดุ งค-
กรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ผู้เป็น
ปูชนียาจารย์ ถูปารหบุคคล เพราะเราต่างเกิดมาแสวง
สุขประโยชน์ การที่จะได้ยินได้ฟังความประพฤติปฏิบัติ
ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย จึงนับเป็นมงคลอย่าง
สงู สดุ อกี ทงั้ ตนกถ็ อื หลกั ทวี่ า่ “หากตอ้ งการใหล้ กู ศษิ ยด์ ี
ต้องท�ำดีให้ลูกศิษย์ดู” แบบแผนความประพฤติเหล่านี้
สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้เป็นแบบแผนของการครองตน
ครองธรรม ทง้ั ฝา่ ยคดโี ลกและฝา่ ยคดธี รรม อกี ทงั้ ประสบ
ผลเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ปัจจุบัน
ประโยชนภ์ ายภาคหน้า ประโยชน์อยา่ งยิ่ง เพราะเม่อื ศิษย์
ผู้ได้รับการอบรมดี เม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ

พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สันตสุ สโก 11

ทางโลกและทางธรรม มีวิชชาและจรณะ ความรู้ดีความ
ประพฤตงิ าม หากเข้าไปในชุมชนใด กจ็ ะเป็นผู้ท�ำโลกท�ำ
ชมุ ชนของตนใหง้ ดงาม สมเปน็ ศษิ ยพ์ ระอาจารยก์ รรมฐาน
ผมู้ ปี ระสบการณด์ ว้ ยการศกึ ษามาดี ดว้ ยการปฏบิ ตั มิ างาม
จนเปน็ ทเี่ ขา้ ใจแจม่ ชดั ดา้ นการศกึ ษาขอ้ อรรถขอ้ ธรรมและ
ด้านความหนักแน่นในหลักปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นต้น
กเ็ ทา่ กบั เปน็ ผทู้ รงคณุ สมบตั สิ ามารถนำ� ธรรมหรอื คำ� สอน
เหลา่ นี้ไปบอกกล่าวขยายผลแกผ่ ้ทู เ่ี ขา้ มาศึกษาหรอื ทตี่ น
ไปเกยี่ วขอ้ ง ก็จะเกดิ ประโยชนเ์ ป็นทอดๆ ไป ไม่ไดห้ ยดุ
อยูก่ บั ผู้ใดใครผูห้ นงึ่ เสมอื นเทียนเล่มหนึ่งจุดไว้ กม็ ผี จู้ ุด
เทียนเล่มใหม่อีกต่อๆ ไป จุดสว่างไปๆ ไม่หยุดไม่ถอย
พุทธธรรมในใจก็เบิกบานสว่างไสวจ�ำเริญขึ้นในใจตนและ
ในใจชน โดยเฉพาะ พระพุทธองค์ก็ทรงมีพุทธประสงค์
ฝากศาสนาไวก้ บั พทุ ธบรษิ ทั ๔ คอื ภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก
อบุ าสกิ าใหช้ ว่ ยกนั ดแู ลแนะนำ� อบรมสงั่ สอนกนั และกนั ได้
สามารถตักเตือนกันและกันได้ เพราะส่ิงเหล่าน้ีและ
ส่ิงเหล่าน้ันล้วนเป็นปัจจัยแห่งความเจริญวัฒนาสถาพร
ของพระพทุ ธศาสนา ทจ่ี กั ทรงคณุ ควรคา่ แกโ่ ลกตราบนาน
เทา่ นาน

12

หนังสือ “ปู่สอนหลาน อาจารย์สอนศิษย์”
ได้ท�ำการคัดสรรประมวลสารัตถธรรมท่ีได้อบรมศิษย์
ท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ ต่างกรรมต่างวาระ หลายรส
หลายชาติ ท่ีเห็นเป็นประโยชน์ตามที่กล่าว ณ เบื้องต้น
ซึ่งบัดนี้คณะศิษย์มีความวิริยะอุตสาหะ น�ำมาจัดพิมพ์
เป็นรูปเล่ม เปน็ ภาษาธรรมทเี่ ข้าใจไดง้ า่ ยๆ โดย บางตอน
มีชาดกนิทานธรรมเปน็ ตน้ มาสาธกประกอบ อาจกอ่ ให้
เกิดประโยชน์แก่ท่านผูส้ นใจใฝธ่ รรม อันนับเป็นอุปกรณ์
เกือ้ กูลการปฏิบัตไิ ด้อีกส่วนหนงึ่ ตามสมควร

จงึ ขออนโุ มทนาสาธกุ าร

(พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตสุ สโก)
วดั ป่านาคำ� น้อย อ.นายงู จ.อุดรธานี

๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔

พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 13

สารบญั

ชือ่ เรื่อง หนา้
๑. ความในใจของหลวงพอ่ ๑๙
๒. แหม่มเห็นพระไม่คุยกนั ๒๓
๓. โยมส�ำเรจ็ อรหนั ต์ไดห้ รือไม?่
(ชาดกสนั ตตมิ หาอ�ำมาตย์) ๒๖
๔. ความเป็นมา ตอน ๑:
ความเป็นมาของพทุ ธอุปฏั ฐาก ๓๙
๕. บวชเปน็ พระก็ดูแลบิดามารดาได้ ๔๗
๖. หลวงปมู่ น่ั ดูแลโยมมารดา ๕๑
๗. ศีลคอื อะไร? ๕๗
๘. ความเปน็ มา ตอน ๒: ความเปน็ มา
งานบุญประทายข้าวเปลอื กทว่ี ัดป่าบา้ นตาด ๖๐
๙. ทายาทบญุ ทายาทบาป ๖๕
๑๐. พระสารีบตุ รลานพิ พาน ๗๑
๑๑. ศีลคุ้มครองทงั้ ในท่ลี บั และในทแ่ี จง้ ๗๙
๑๒. ความเปน็ มา ตอน ๓:
ความเป็นมาของผา้ จีวร ๘๒
๑๓. กรรมฐานกลายพนั ธ์ ุ ๘๕

14

๑๔. มะมว่ งไม่มผี ล คนไม่มียศ ๘๙
๑๕. หวั ใจในศลี ๕ ๙๖
๑๖. ความเปน็ มา ตอน ๔: ความเป็นมา ๙๙
ของการเรยี กขานผู้ทีจ่ ะบวชว่านาค ๑๐๔
๑๗. ยายหงวนหลงป่า ๑๑๑
๑๘. ผู้ส�ำรวมอนิ ทรยี ย์ ่อมพน้ ทุกขไ์ ด้ ๑๑๘
(ปญั จภรี ุกชาดก) ๑๒๑
๑๙. การมีสติกบั ตนนัน้ แลคอื การภาวนา ๑๒๖
๒๐. ความเป็นมา ตอน ๕: ความเปน็ มา ๑๓๕
ของคาถานกคมุ้ (วัฏฏกปรติ ร) ๑๓๘
๒๑. ไม่สง่ พระไปตาย ๑๔๕
๒๒. บวชในพรรษาไดห้ รือไม่? ๑๕๐
๒๓. ภาวนาในอิริยาบถ ๔ ๑๕๓
๒๔. ความเปน็ มา ตอน ๖: ๑๕๘
ความเป็นมาของผ้าอาบนำ้� ฝน
๒๕. ใหเ้ ป็นผึง้ งาน ที่ร้จู กั เลือกสรรแต่สง่ิ ทีด่ ี
๒๖. ตัวหาปลาแต่ใจอยวู่ ดั
หรอื ตัวอยวู่ ัดแตใ่ จหาปลา
๒๗. เดินจงกรมตอ้ งคู่กับน่ังสมาธิ

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 15

๒๘. ความเป็นมา ตอน ๗: ความเป็นมา
ของคาถานกยูงทอง (โมรปริตร) ๑๖๑
๒๙. ฤกษ์งามยามดีวันสกึ ๑๗๐
๓๐. บญุ กุศลของเรา เราต้องทำ� เอง ๑๗๓
๓๑. อานาปานสติเกอื บถกู กบั ทุกจรติ ๑๗๕
๓๒. ความเปน็ มา ตอน ๘:
ความเปน็ มาของวันธรรมสวนะ ๑๗๙
๓๓. ลูกศษิ ย์ขข้ี อ ทำ� อาจารย์หนักใจ ๑๘๓
๓๔. บญุ เอาใหเ้ ขา แลว้ บญุ เราหมดไหม? ๑๘๖
๓๕. ผ้ปู ฏบิ ตั ิควรรจู้ รติ ของตนเอง ๑๘๙
๓๖. ความเป็นมา ตอน ๙:
ความเปน็ มาของงานท�ำบุญเปิดโลกธาตุ ๑๙๒
๓๗. การมคี รูบาอาจารยเ์ ป็นสิ่งส�ำคญั ๑๙๔
๓๘. ทำ� บุญ ท�ำกุศล ทำ� แทนใหก้ นั ไม่ได ้ ๑๙๗
๓๙. การปฏบิ ัติธรรมเหมือนกับการปลูกตน้ ไม้ ๒๐๐
๔๐. ความเปน็ มา ตอน ๑๐: ความเปน็ มา
ของการถวายผา้ กฐนิ ตอน ๑ ๒๐๓
๔๑. กาด�ำเกาะภเู ขาทอง ๒๐๖
๔๒. ทำ� บญุ เองนัน้ ชัวร์กวา่ ๒๑๐
๔๓. วนั นี้ เราก�ำไรหรอื ขาดทนุ ? ๒๑๒

16

๔๔. ความเปน็ มา ตอน ๑๑: ความเปน็ มา
ของการถวายผ้ากฐิน ตอน ๒ ๒๑๖
๔๕. ศลี และวินัยยงั มีอยตู่ ราบใด
ศาสนาของตถาคตก็ยังอยูต่ ราบน้ัน ๒๒๐
๔๖. อยา่ อจิ ฉาเขาถา้ บุญเราไม่ถงึ ๒๒๒
๔๗. สรา้ งเหตใุ ห้ดีกอ่ น
แล้วผลทด่ี จี ะตามมาเอง ๒๒๖
๔๘. ความเป็นมา ตอน ๑๒:
ความเป็นมาของการสวดพระปาฏโิ มกข ์ ๒๒๘
๔๙. ธรรมะหวั โน ธัมโมหัวแตก ๒๓๕
๕๐. อานิสงส์บุญค้มุ ครอง ๒๓๙
๕๑. เหมือนพัตตล์ กู กอลฟ์ ลงหลุม ๒๔๓
๕๒. ความเป็นมา ตอน ๑๓:
ความเปน็ มาวันมหาปวารณา ๒๔๖





พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สันตสุ สโก 17

พระธรรมเทศนาโดย
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สนั ตุสสโก

18

พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 19



ความในใจของหลวงพ่ อ

หลวงพ่อพยายามจะให้พวกเราได้รับการศึกษา
ในธรรมค�ำสอนของพระพุทธศาสนาให้มากที่สุดเท่าท่ีจะ
มากได้ บางทีก็คลา้ ยๆ กบั ยดั เยยี ดให้พวกเราไดย้ นิ ได้ฟงั
บางครั้งหลวงพ่อเองก็เป็นห่วงเหมือนกันว่า ถ้าให้มาก
เกนิ ไป มนั จะทำ� ใหเ้ บอื่ หนา่ ยเออื มระอาในการไดย้ นิ ไดฟ้ งั
หรอื เปลา่ อนั นหี้ ลวงพ่อกต็ อ้ งไดค้ ิดนะ
หลวงพ่อจึงได้ยกเอาหลากหลายเร่ืองราวแนว
ความคิดทงั้ จากนิทานชาดก จากประสบการณ์ตา่ งๆ มา
ถ่ายทอดให้พวกเราได้ยินเพ่ือเป็นแนวความคิด ถ้าจะให้
หลวงพ่อพาปฏิบัติแต่จิตตภาวนา หรือให้พูดแต่เรื่อง
วปิ สั สนา ซง่ึ เปน็ เรอื่ งดา้ นจติ ใจอยา่ งเดยี ว สำ� หรบั ผทู้ เ่ี ขา้ มา
ศกึ ษาใหมๆ่ เมอ่ื ฟงั ไปแลว้ กเ็ หมอื นกบั ยารกั ษาไมถ่ กู กบั
โรคอย่างนั้นล่ะ หลวงพ่อเคยไดส้ งั เกตในจุดน้นี ะ

20

เพราะฉะนนั้ หลวงพอ่ จงึ ตอ้ งไดใ้ หย้ าเปน็ ขนานออ่ น
บา้ งแข็งบ้าง เหมือนกับเวลาเราเลี้ยงเดก็ ออ่ นลักษณะน้ัน
ถ้าพ่อแม่เอาของแข็งๆ ของร้อนๆ ให้ลูกที่ไม่มีฟันที่ยัง
ไม่มีความสามารถท่ีจะกินได้ ผลท่ีสุดก็เปล่าประโยชน์
เผลอๆ ยังเป็นโทษอีกต่างหาก การที่จะแนะน�ำธรรม
คำ� สอนของพระพุทธศาสนา หลวงพ่อเองกต็ อ้ งไดค้ ดิ ใน
จดุ นีอ้ กี เหมอื นกันว่า ยาขนานไหน หรือธรรมะเรื่องไหน
ที่พวกเราพอจะรับได้
ทั้งนี้ถ้าจะให้ถูกใจทุกคนก็คงจะเป็นไปได้ยาก
แต่หลวงพ่อเองก็พยายามที่จะน�ำธรรมค�ำสอนของ
พระพทุ ธเจา้ ของครบู าอาจารย์ หรอื แนวทางทห่ี ลวงพอ่ เคย
ปฏบิ ตั มิ า มปี ระสบการณอ์ ยา่ งไรมา หลวงพอ่ กจ็ ะนำ� สง่ิ เหลา่ นี้
มาบอกกลา่ วแนะนำ� เพ่ือเป็นแนวทางใหเ้ กิดประโยชน์
ในความตง้ั ใจนี้ ถา้ ส่ิงไหนทีเ่ ป็นประโยชน์ หลวงพ่อ
จะบอกกล่าวแนะน�ำส่ิงน้ัน หลวงพ่อจะไม่พูดในส่ิงท่ี
ไม่เปน็ ประโยชน์ เพราะพวกเรามาแสวงหาประโยชน์จาก
การศึกษา จากการไดย้ นิ ไดฟ้ งั จะไดน้ �ำไปปฏบิ ตั จิ นเปน็
ทเี่ ข้าใจแลว้

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 21

เมอื่ เปน็ ผใู้ หญต่ อ่ ไปภายภาคหนา้ กส็ ามารถนำ� ธรรม
ค�ำสอนเหล่านี้ไปบอกกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ท่ี
เข้ามาศึกษาเป็นทอดๆ ไป เพราะธรรมค�ำสอนของ
พระพทุ ธศาสนาน้ี ไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั ผใู้ ดใครผหู้ นงึ่ พระพทุ ธเจา้
ทรงวางไว้กบั พุทธบริษัท ๔ คือ ภกิ ษุ, สามเณร, อุบาสก
และอุบาสกิ า
อยา่ งในครง้ั พทุ ธกาล มอี บุ าสกเปน็ ผ้แู สดงธรรมให้
แกห่ มเู่ พอื่ นฟงั กม็ มี ากตอ่ มาก เพราะเหตใุ ด? เพราะทา่ นได้
เปน็ พระอรยิ บคุ คลแลว้ ในใจของทา่ นกม็ แี ตธ่ รรมะ ทา่ นก็
พร้อมที่จะแสดงธรรมต่างๆให้แก่ผู้ท่ียังไม่รู้ เหมือนกับ
พวกเราทเ่ี มอื่ เกดิ มายงั ไมไ่ ดเ้ รยี นหนงั สอื รนุ่ พที่ เี่ ขาศกึ ษา
เลา่ เรยี นมากอ่ นจนอา่ นเขยี นไดแ้ ล้ว เขากพ็ รอ้ มทจ่ี ะบอก
สอนรนุ่ นอ้ งวา่ ก-ฮ เขยี นอยา่ งไร เมอื่ รนุ่ พสี่ อนแลว้ ปฏบิ ตั ิ
ตาม ทนี รี้ นุ่ นอ้ งกจ็ ะไดค้ วามรคู้ วามฉลาดเหมอื นกนั ไมใ่ ช่
วา่ จะใหแ้ ตอ่ าจารยส์ อนอยา่ งเดยี ว เพราะถา้ ทา่ นไมม่ เี วลา
สอนจะทำ� อยา่ งไร? เรากต็ ้องพร้อมท่ีจะให้คนอืน่ สอนได้
อย่างพระอานนท์ท่ีแม้ท่านบวชกับพระพุทธเจ้า
เปน็ ผู้อปุ ฏั ฐากดูแลพระพุทธเจา้ แตท่ �ำไมทา่ นกลบั ส�ำเร็จ

22

โสดาบัน เมื่อฟังธรรมเทศนาจากพระปุณณมันตานีบุตร
แทนทจ่ี ะเปน็ จากพระพทุ ธเจา้ ? หรอื ในครง้ั พทุ ธกาล ทำ� ไม
พระแตล่ ะองคจ์ งึ ไดส้ ำ� เรจ็ ตา่ งกนั เรว็ บา้ งชา้ บา้ ง? บางองค์
หายใจเฮือกสุดท้ายจึงได้ส�ำเร็จ บางองค์เจ็บไข้ได้ป่วยจน
เห็นโทษภัยในร่างกายสังขาร เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวตนของ
เราจรงิ ๆ จึงทำ� ใจปล่อยวางไดส้ ำ� เร็จ อยา่ งนน้ั กม็ ี เพราะ
เหตใุ ด?
สรปุ คือการทีจ่ ะบรรลเุ ขา้ ใจในธรรม การได้ยินได้ฟงั
มันต้องประจวบเหมาะได้จังหวะ คือต้องฟังแล้วเข้าใจ
พร้อมที่จะปล่อยวางในจดุ นนั้ ๆ พอดี

พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 23



แหม่มเหน็ พระไม่คยุ กนั

ในสมัยท่ีหลวงพ่อยังอยู่ท่ีวัดป่าบ้านตาด วันหน่ึง
คุณนายภริยาท่านทูตสหรัฐฯ ประจ�ำประเทศไทย ท่านก็
มาใส่บาตรท่ีวัดป่าบ้านตาด เพราะสมัยนั้นยังมีสงคราม
เวยี ดนาม จงึ มที หารอเมรกิ นั จำ� นวนมากเขา้ มาประจำ� การ
อย่ทู ี่ จ.อดุ รฯ ทางสถานทตู ก็เลยสง่ บคุ คลส�ำคัญของเขา
เขา้ มาสังเกตการณ์
ทนี เี้ มือ่ คณุ นายเขา้ มาเห็น กเ็ กดิ สนใจ เพราะวดั ปา่
บ้านตาดสมัยนั้นมพี ระฝรง่ั อยู่หลายองค์ ทง้ั ชาวอังกฤษ,
ชาวอเมริกัน และชาวแคนาดา คุณนายเองก็ชอบไปวัด
ท�ำบุญอยู่แล้ว เพราะท่านสนใจเร่ืองพระพุทธศาสนา
เพยี งแตท่ า่ นยงั ไมร่ ูจ้ ักขนบธรรมเนยี มประเพณี
พอตอนฉนั จงั หันเช้า ท่านก็ขน้ึ มาน่ังท่ศี าลา พอมา
เหน็ วา่ พระตา่ งองค์ก็ตา่ งเดินมานัง่ เงียบประจำ� ที่ ไม่พูด

24

คุยกัน จากนั้นหลวงตามหาบัวท่านก็เป็นผู้ให้พร
พอคุณนายมาเห็นแบบนี้ ก็ไม่สบายใจ เพราะไปวัดอ่ืน
เห็นแต่พระพูดคุยสนทนากัน แต่ท�ำไมพระวัดน้ีไม่คุย
กนั เลย? พระวัดนท้ี ะเลากันหรอื เปล่านะ?
พอลงจากศาลา คณุ นายกเ็ ลยถามไกดท์ มี่ าดว้ ยกนั วา่
“พระวัดน้ี ท�ำไมตา่ งองคต์ ่างก็นงั่ เงยี บ? ท�ำไมไม่ยิม้ แย้ม
ต่อกันเลย? ท�ำไมตา่ งองค์ต่างดูเฉยเมยตอ่ กัน? พระท่าน
ทะเลาะกันหรือเปล่า? หรือเรามาท�ำอะไรให้พระท่าน
ทะเลาะกนั หรอื เปล่า?”
ทีนี้ไกด์เขาก็เลยมาถามองค์หลวงตาว่า “หลวงตา
ครบั พอดีคณุ นายเขาสงสัยวา่ ท�ำไมพระวดั น้จี ึงไม่พดู คยุ
สนทนากนั เลยครับผม?”
หลวงตามหาบัวท่านเลยอธิบายให้ฟังว่า น่ีเป็น
กฎระเบียบ เป็นประเพณีการเป็นอยู่ของพระกรรมฐาน
การเป็นอยู่ของพระต้องเป็นอย่างนี้ คือต้องอยู่ในความ
สงบ ไม่คึกคะนอง ถึงจะอยู่ด้วยกันมากมายขนาดไหน
ก็ตาม ผู้ท่ีจะพูดก็คือหัวหน้าท่ีเป็นผู้ใหญ่ เว้นเสียแต่
หวั หน้าไดม้ อบหมายใหอ้ งคไ์ หนท่านพดู แทน

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 25

สมมุติว่าจะมีการแสดงธรรม หัวหน้าก็จะบอกว่า
นมิ นตอ์ งคน์ น้ั เปน็ องคแ์ สดงธรรม ถา้ ทา่ นมอบหมายแลว้
องคน์ น้ั กจ็ ะเปน็ องคข์ น้ึ ไปแสดงธรรม เมอ่ื เสรจ็ แลว้ กล็ งมา
กราบองค์ที่เป็นหัวหน้า จากน้ันก็นั่งประจ�ำท่ี ไม่ใช่
องคไ์ หนนึกอยากจะพดู ก็พูด ตอ้ งได้รับอนุญาตเสียกอ่ น
เวลาที่พระอยู่ด้วยกัน ถ้าพระพูดพร้อมกันเม่ือขณะ
แสดงธรรม คอื ถา้ ตา่ งองคต์ า่ งแยง่ กนั แสดงธรรม ไมฟ่ งั กนั
ให้ปรับอาบัติปาจิตตีย์ พระในครั้งพุทธกาลท่านอยู่ด้วย
ความสงบ ไม่เอาเรื่องชาวบ้านมาพูดคุยสุงสิงกัน มีแต่
ภาวนาดูจิตดูใจของตนเองอยใู่ นความสงบ
นแี่ หละ อนั นเี้ ปน็ ประเพณกี ารเปน็ อยขู่ องพระมาแต่
ครั้งพุทธกาล

26



โยมสำ� เรจ็ อรหนั ตไ์ ดห้ รอื ไม?่
(ชาดกสนั ตตมิ หาอ�ำมาตย)์
เคยมีคนมาถามหลวงพ่ออยู่เสมอๆ นะว่า
เพศฆราวาสน้ันสามารถส�ำเร็จอรหันต์ ได้หรือไม่?
ในหลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้าน้ัน ท่านก็ไม่ได้
ปฏิเสธ คือถ้าผู้ใดก็ตามท่ีปฏิบัติถูกต้อง, ถูกหลัก และ
เป็นธรรมแล้วล่ะก็ ผู้นั้นสามารถถึงความสิ้นทุกข์ได้
เหมอื นกันท้งั สิน้
อย่างพระนางเขมาเถรี มเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร
แห่งกรุงราชคฤห์ ท่านได้ส�ำเร็จเป็นอรหันต์ตั้งแต่ยังเป็น
ฆราวาสอย,ู่ พระเจา้ สุทโธทนะ พระบิดาของพระพุทธเจา้
ท่านก็ได้ส�ำเร็จอรหันต์ ในขณะท่ีทรงประชวรหนักใกล้
สวรรคตในอีก ๗ วัน หรืออย่างสันตติมหาอ�ำมาตย์
ท่ีพอได้ฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ท่านได้ส�ำเร็จ
อรหนั ตข์ ณะทกี่ ำ� ลงั เมาเหล้าอยู่อีกต่างหาก

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 27

ทีน้ีพวกเราก็คงจะสงสัยว่า ท�ำไมคนเมาเหล้าก็ยัง
สำ� เร็จอรหันตไ์ ด?้ ถา้ เราทำ� อยา่ งน้ีบ้าง เรากต็ อ้ งสำ� เรจ็ ได้
ด้วยสิ? มันไม่ใชน่ ะ หลวงพอ่ จะเล่าๆ ประวัติของสันตติ
มหาอำ� มาตย์ให้ฟัง
สมัยหน่ึงท่ีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีวัดป่าเชตวัน
กรุงสาวัตถี ตอนเช้าพระพุทธองค์ไปบิณฑบาตกับ
พระอานนท์ ท่ีเป็นปัจฉาสมณะ คือเป็นพระผู้ติดตาม
ท่านกเ็ ดินบิณฑบาตตามหลังพระพุทธเจา้
กรุงสาวัตถีในสมัยน้ัน มีพระเจ้าปเสนทิโกศล
ปกครอง บรรดาหัวเมอื งในเขตปัจจนั ตชนบทเกดิ แข็งขอ้
พระองคจ์ งึ ทรงใหม้ หาอำ� มาตยท์ ม่ี ชี อ่ื วา่ สนั ตติ ยกทพั ไป
ปราบพวกกบฏเหลา่ นนั้ จนได้รบั ชยั ชนะ
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพอพระทัยมาก จึงเสด็จ
ปูนบ�ำเหน็จรางวัลให้สันตติมหาอ�ำมาตย์ โดยการตั้งให้
เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองแผ่นดิน เป็นเวลา ๗ วัน
พร้อมทั้งประราชทานนางระบ�ำผู้เลอโฉมให้นางหน่ึง
ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปปลีกประทับอยู่ที่ปราสาทอีก
หลังหนึ่ง

28

เม่ือสันตติมหาอ�ำมาตย์ได้ปกครองแผ่นดินแล้ว
ก็ทรงเคร่ืองกษัตริย์ แล้วเฉลิมฉลองชัยชนะด้วยสุรานารี
อยา่ งสนกุ สนาน ทง้ั กนิ ดม่ื เสพสมและเตน้ รำ� ทำ� เพลงอยา่ ง
เตม็ ท่ี จนมนึ เมามาตลอด ๖ วนั
จนล่วงเข้าวันสุดท้าย คือในเช้าวันท่ี ๗ ท่านก็ขึ้น
น่ังบนคอช้างเพื่อจะไปอาบน�้ำในแม่น้�ำอจิรวดีพร้อม
บริวาร ขณะนั้น พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ก�ำลัง
บณิ ฑบาตอยทู่ ปี่ ระตเู มอื งสาวตั ถี ฝา่ ยสนั ตตมิ หาอำ� มาตย์
ซึ่งขณะนั้นก�ำลังเมามายเกือบไม่ได้สติอยู่บนคอช้าง
พอเหน็ พระพทุ ธองคก์ บั พระอานนทเ์ ดนิ บณิ ฑบาตผา่ นมา
กผ็ งกหวั เพือ่ แสดงความเคารพตอ่ พระพทุ ธเจ้า
เม่ือพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็ทรง
แย้มพระโอษฐ์ เม่ือพระอานนท์เห็นเข้าจึงทูลถามว่า
“พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ ด้วยเหตุอันใดหนอ
พระเจา้ ข้า?” พระพุทธองคก์ ต็ รสั ตอบว่า
“อานนท์ สนั ตตมิ หาอำ� มาตยผ์ นู้ ้ี เขาจะไดส้ ำ� เรจ็ อรหนั ต์
ในเย็นวันนี้แหละ” เม่ือพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 29

เพยี งเทา่ น้ี ค�ำพดู นี้ก็ดงั ก้องไปทว่ั กรงุ สาวตั ถี ดว้ ยเพราะ
พทุ ธานภุ าพของพระพทุ ธองค์
เมอ่ื คนทงั้ หลายในเมอื งไดย้ นิ ดงั นแี้ ลว้ ทนี ผ้ี คู้ นตา่ ง
ก็พากันแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ
ก็เช่ือว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรก็ย่อมเป็นเช่นน้ัน
คำ� วา่ โกหกนไี้ มม่ ี สว่ นอกี กลมุ่ ทเ่ี ปน็ ฝา่ ยมจิ ฉาทฐิ กิ ไ็ มเ่ ชอ่ื
ต่างพากันว่า พระพุทธเจ้าขี้ตู่ พูดโกหกแน่ๆ คราวนี้
คนท่ีเมาเหล้าถึงขนาดน้ี จะให้ส�ำเร็จอรหันต์ได้ในเย็น
วนั น้ีเลยน้นั ยอ่ มเปน็ ไปไม่ได้
ฝ่ายสันตตมิ หาอ�ำมาตยน์ ้ี เมื่อพาบรวิ ารไปเลน่ นำ�้ ท่ี
ท่าอาบนำ�้ ตลอดวนั แลว้ พอตกตอนเย็น ก็ไปกนิ เลยี้ งดื่ม
ฉลองกนั ตอ่ ทส่ี วนอทุ ยาน เพราะคนื นเ้ี ปน็ คนื สดุ ทา้ ยแลว้
ที่จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน นางสนมคนโปรดของสันตติ
มหาอ�ำมาตย์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระราชทานให้
กอ็ อกไปรา่ ยร�ำขบั รอ้ ง แตข่ ณะท่กี �ำลังแสดงอยู่นัน้ นางก็
เกดิ เปน็ ลมสนิ้ ใจตายทนั ที เนอื่ งจากนางอดนอน อดอาหาร
มาเปน็ เวลาหลายวัน

30

เม่ือนางตายเท่าน้ันล่ะ ก็วงแตกกินอาหารไม่ลง
แล้วทีน้ี สันตติมหาอ�ำมาตย์พอได้เห็นนางสนมที่ตน
โปรดปราน มาตายตอ่ หนา้ เชน่ น้ี กเ็ ศรา้ โศกเสยี ใจอยา่ งแรง
เหล้าท่ีกินมาตลอด ๗ วัน หายเมาเป็นปลิดท้ิงเลยทีนี้
มีแต่ความทุกข์โศกอย่างแรงกล้าเข้ามาแทนที่ จนถึงกับ
รำ� พึงว่า
“ไม่มีใครที่จะเป็นที่พ่ึงให้เราได้อีกแล้วนอกจาก
พระพุทธเจ้า” จากนั้นเขาจึงรุดไปกราบพระพุทธเจ้าที่
วดั ปา่ เชตวันในทันใด แล้วกราบทลู วา่
“ข้าพระองค์ มคี วามทุกขโ์ ศกเศรา้ เหลอื เกนิ เพราะ
ภรรยาทพี่ ง่ึ ไดร้ บั พระราชทานมานน้ั อยๆู่ กม็ าตายเสยี แลว้
ขอพระองค์จงทรงเป็นท่ีพ่ึงของข้าพระองค์ ขอพระองค์
โปรดทรงเมตตาช่วยระงับความโศกเศร้าในใจของ
ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงทรง
เทศนาใหฟ้ ังว่า
“ดูก่อน สันตติ เธออย่าได้เสียใจร้องไห้กับเร่ือง
อยา่ งนเ้ี ลย วญิ ญาณของเขาไปสสู่ คุ ตแิ ลว้ เธอเคยเวยี นวา่ ย

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 31

ตายเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน เธอเคยร้องไห้ที่เสียคนรัก
มาแล้วอย่างนี้ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ น�้ำตาของเธอท่ีเคยร้องมา
แลว้ นั้น รวมๆ กนั แล้วมากกว่านำ้� ในมหาสมุทรท้งั ๔ น้ี
รวมกันเสียอีก เกิดอีกภพหน้าชาติหน้า มันก็เป็นอยู่
อยา่ งนแ้ี หละ ควรหรอื ยงั ทเ่ี ธอจะเบอ่ื หนา่ ยคลายกำ� หนดั ?
ควรหรือยงั ทเ่ี ธอจะพน้ ไปจากสังสารวฏั น้ีเสียท?ี ”
“ดูกอ่ น สันตติ สงั สารวัฏอันยาวนานจนหาเบอ้ื งตน้
หาเบื้องปลาย หาท่ีสุดไม่ได้นี้ เหล่าสัตวโลกผู้มีอวิชชา
เป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเคร่ืองประกอบไว้
ย่อมท่องเทีย่ วเวียนวา่ ยตายเกดิ จนหาทส่ี ้นิ สุดไม่ได”้
จากนั้นพระองค์ทรงตรัสพระคาถาว่า “กิเลสความ
กังวลใจในอดีตเธอจงวางเสีย กิเลสความกังวลใจใน
อนาคตเธอจงวางเสีย กิเลสความกังวลใจในปัจจุบันเธอ
จงวางเสีย ถ้าเธอจะไม่ยึดถือในขันธ์ เธอก็จงละวางมัน
เสียเถดิ แลว้ เธอก็จะเป็นผทู้ ่สี งบระงับไป”
พอแสดงธรรมบทนี้เพียง ๑ บทจบ คือเพียง ๔
บาทพระคาถาเท่านนั้ สันตติมหาอ�ำมาตย์ก็บรรลอุ รหันต์

32

เพราะบารมีท่านมีเต็มที่แล้ว จากนั้นท่านก็พิจารณาดู
อายสุ งั ขารของตน จนทราบวา่ บดั นท้ี า่ นไดห้ มดอายขุ ยั แลว้
ทา่ นจงึ กราบทลู ลาพระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานวา่ “ขอพระองค์
จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
พระเจา้ ข้า”
พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะสร้างความ
กระจ่างแก่มหาชนท้ัง ๒ พวกที่มาประชุมกัน คือพวก
มิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ เม่ือได้ฟังบุพกรรมที่สันตติ
มหาอ�ำมาตย์เคยท�ำมา ก็จะเกิดบุญเป็นอันมาก จึงทรง
ตรสั ว่า
“ดูก่อน สันตติ ผู้คนทั้งหลายยังสงสัยในตัวเธอ
อยู่นะ ดังน้ันเธอจึงควรจะแสดงให้เขาได้รู้ว่า บัดนี้เธอ
เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้ากระน้ัน ก่อนท่ีเธอจะนิพพาน
ขอเธอจงเล่าบพุ กรรมในอดตี ชาติทเี่ ธอท�ำ และเมื่อจะเล่า
ก็จงอย่าน่ังบนพ้ืนดินเล่า แต่จงนั่งบนอากาศสูง ๗ ช่ัว
ต้นตาลเลา่ เถดิ ”
จากนั้นสันตติมหาอ�ำมาตย์ก็กราบพระพุทธเจ้า
แล้วท่านก็เหาะข้ึนไปสูง ๑ ต้นล�ำตาล แล้วลงมากราบ

พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สันตสุ สโก 33

พระพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็เหาะขึ้นไปนั่งอยู่บนอากาศที่
ความสูง ๗ ช่วั ต้นล�ำตาล แลว้ ประกาศวา่ ท่ีข้าพเจา้ ได้
เป็นสันตติมหาอ�ำมาตย์ในชาตินี้น้ัน เป็นเพราะบุพกรรม
คอื กรรมดีในอดีตของขา้ พเจา้ ดงั น้ี
ยอ้ นนบั จากน้ไี ป ๙๑ กัลป์ ในสมัยของพระพทุ ธเจา้
วิปัสสี ข้าพระองค์ได้เกิดในตระกูลม่ังคั่งตระกูลหน่ึงใน
พนั ธมุ ดนี คร ขา้ พระองคม์ ศี รทั ธาเลอ่ื มใสในพระรตั นตรยั ,
ยินดีในการใหท้ าน และรกั ษาศลี มิได้ขาด เมอื่ ขา้ พระองค์
ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์และเมื่อได้ใคร่ครวญแล้ว
ข้าพระองค์จงึ ได้เทยี่ วประกาศคณุ ของพระรัตนตรยั
เมอื่ พระราชานามวา่ พนั ธมุ ะ ไดท้ ราบความจงึ รบั สง่ั
ให้ขา้ พระองค์มาเข้าเฝ้า แลว้ ไดต้ รัสถามว่า “เธอเทยี่ วท�ำ
อะไร?” “ขา้ พระองค์ ประกาศชักชวนมหาชนให้บ�ำเพญ็
การกศุ ล ดว้ ยการเจรญิ ในทาน ศลี และภาวนา พระเจา้ ขา้ ”
“แล้วเธอท�ำอย่างไร?” “ข้าพระองค์เดินไป พระเจ้าข้า”
“ถ้าอย่างน้ัน เธอไม่ควรเดินไป แต่ควรท่ีจะขี่ม้าไป
จะประกาศไดไ้ กลกวา่ ”

34

ต่อมาพระราชาให้มาเข้าเฝ้าอีก แล้วตรัสถามว่า
“เธอเทย่ี วทำ� อะไร?” “ขา้ พระองคท์ ำ� กรรมอยา่ งนน้ั ดว้ ยการ
ขม่ี า้ ทพี่ ระองคท์ รงพระราชทานให้ พระเจา้ ขา้ ” “ถา้ อยา่ งนน้ั
เธอไม่ควรขี่ม้าไป แต่ควรที่จะนั่งรถเทียมด้วยม้า
จะประกาศไดไ้ กลกว่า”
ต่อมาพระราชาให้มาเข้าเฝ้าอีก แล้วตรัสถามว่า
“เธอเท่ียวท�ำอะไร?” “ข้าพระองค์ท�ำกรรมอย่างนั้น
ด้วยการนั่งรถเทียมด้วยม้าที่พระองค์ทรงพระราชทานให้
พระเจา้ ขา้ ” “ถา้ อยา่ งนน้ั เธอไมค่ วรขน้ึ นง่ั รถเทยี มดว้ ยมา้
แต่ควรที่จะให้น่ังบนคอช้างท่ีประดับอาภรณ์อย่างดี
จะประกาศได้ไกลกว่า”
อานิสงส์ท่ีข้าพระองค์ได้ป่าวประกาศ ชักชวน
มหาชนใหบ้ �ำเพ็ญการกุศลอยู่ ๘๐,๐๐๐ ปี (ในสมัยของ
พระพุทธเจา้ วปิ สั สี ผคู้ นมอี ายขุ ัย ๘๐,๐๐๐ ป)ี ทำ� ให้มี
กล่ินจันทน์หอมฟุ้งออกจากกาย และกลิ่นอุบลหอมฟุ้ง
ออกจากปากของข้าพระองค์ตลอดกาลน้นั

พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 35

และเมอื่ หมดอายขุ ยั จากชาตนิ นั้ แลว้ กไ็ ดไ้ ปสสู่ วรรค์
ช้ันต่างๆ เป็นเอนก ไม่รู้จักทุคติเลย จนเมื่อออกจาก
สวรรคแ์ ลว้ จงึ ไดม้ าเกดิ เปน็ สนั ตตมิ หาอำ� มาตยใ์ นชาตนิ ี้ นี้
คือกรรมดีทีข่ ้าพระองคไ์ ดท้ ำ� ไวใ้ นอดีต พระเจา้ ข้า
จากนนั้ ทา่ นกข็ อลาปรนิ พิ พาน พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั
วา่ “สนั ตติ เธอจงไปตามกาลอนั ควรของเธอเถดิ ” สนั ตติ
มหาอ�ำมาตย์ทั้งท่ียังอยู่ในเครื่องทรงพระราชา นั่งอยู่บน
อากาศนั้น ไดเ้ ข้าเตโชธาตุปรินิพพาน รา่ งกายก็เผาไหม้
อยใู่ นอากาศ จนเหลอื แตอ่ ฐั ธิ าตทุ ง่ี ามเหมอื นกบั ดอกมะลิ
รว่ งตกลงมาจากบนอากาศ
พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้เอาผ้าขาวมาคล่ีรองรับ
อัฐิเหล่าน้ัน แล้วให้น�ำไปบรรจุในสถูปซึ่งสร้างไว้ในทาง
๔ แพร่ง เพื่อให้เป็นท่ีกราบไหว้สักการบูชาของมหาชน
ผู้สัญจรไปมาในทิศต่างๆ เพื่อให้เหล่าสาธุชนผู้เล่ือมใส
ได้กราบไหวบ้ ชู า ก็จะเปน็ บุญกุศลเป็นปัจจยั ให้ไปเกดิ ใน
สุคติ เพราะอันน้คี ือกระดูกของพระอรหันต์ ซ่งึ จดั อยใู่ น
ถูปารหบุคคล สันตติมหาอ�ำมาตย์น้ีถึงภายนอกท่านจะ
เป็นฆราวาส แตใ่ จของท่านนนั้ เป็นพระอรหนั ต์

36

ถูปารหบุคคล คือบุคคลผู้ควรแก่การสร้างสถูปไว้
เป็นท่ีกราบไหว้สักการบูชาของมหาชน น้ันมีอยู่ ๔
จ�ำพวก คอื ๑. พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ , ๒. พระปัจเจก-
พุทธเจ้า, ๓. พระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า และ
๔. พระเจ้าจกั รพรรดิ
(ในครั้งพุทธกาล ผู้ที่เข้านิพพานด้วยเตโชธาตุน้ัน
นอกจากสันตติมหาอ�ำมาตย์แล้ว ก็ยังมีพระอานนท์อีก
ทา่ นหนึง่ คอื เมอ่ื ท่านมอี ายไุ ด้ ๑๒๐ พรรษา ครัน้ เวลา
นพิ พาน พระญาติท้ังสองฝ่ังแม่น�ำ้ โรหณิ ีต่างปรารถนาให้
ท่านนิพพานที่บ้านเมืองของตน โดยไม่ยอมแก่กัน เม่ือ
พระอานนทเ์ หน็ วา่ นจ้ี ะเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ การทะเลาะกนั เพอ่ื
แย่งอัฐิธาตุ ท่านจึงเหาะข้ึนในอากาศแล้วเข้าเตโชธาตุ
ปรนิ พิ พาน โดยทา่ นไดอ้ ธษิ ฐานใหร้ า่ งกายทเี่ ผาไหมห้ มด
แลว้ แตกเปน็ ๒ สว่ น โดยสว่ นหนง่ึ ตกยงั ฝง่ั เมอื งกบลิ พสั ด์ุ
และอีกส่วนตกยังฝั่งเมืองเทวทหะ เพ่ือให้พระญาติ
ทง้ั สองฝา่ ยไดน้ ำ� อฐั ธิ าตขุ องทา่ นไปบรรจสุ ถปู ไวส้ กั การบชู า)
จากน้นั เหล่าพระในวดั ป่าเชตวนั กม็ าสนทนากนั ใน
โรงธรรมวา่ “เมอื่ ฆราวาสทเ่ี ปน็ อรหนั ต์ ลว่ งลบั ดบั ขนั ธไ์ ป

พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 37

อยา่ งนน้ั พวกเราควรจะเรยี กทา่ นวา่ สมณะ, พราหมณ์ หรอื
เรยี กท่านวา่ อยา่ งไรดี?”
(โรงธรรมหรือธรรมสภาน้ัน ถ้าในปัจจุบัน ก็คือ
โรงน�้ำร้อนท่ีมีอยู่ตามวัดในสายวัดกรรมฐานหรือวัดป่า
นน่ั เอง ซง่ึ ใชเ้ ปน็ ทใี่ หพ้ ระมานง่ั ฉนั นำ�้ ปานะ พดู คยุ สนทนา
ธรรมสากัจฉากันบ้างตามความจ�ำเป็น ในเมื่อมีปัญหา
ตดิ ขดั หรอื ขอ้ สงสยั ในทางธรรม อนั นคี้ อื วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั
ไมใ่ ชเ่ ปน็ ทใี่ หพ้ ระมานง่ั กง๊ มว่ั สมุ พดู คยุ เมา้ ทเ์ รอ่ื งชาวบา้ น
กันในแบบโลกๆ ในเมอื่ ไมม่ ขี ้อติดขดั อะไร ก็ควรที่จะมา
นง่ั ฉนั นำ�้ ปานะประมาณ ๑๐-๑๕ นาที พดู คุยถามไถ่กัน
แตพ่ อประมาณ จากน้ันตา่ งองคก์ ็ควรท่จี ะแยกยา้ ยกนั ไป
เพ่ือไม่ใหต้ ดิ ในหม่คู ณะและคิดปรุงฟุง้ ซ่านจนเกินไป)
ขณะนนั้ พระพุทธองคเ์ สด็จมาในท่ีนนั้ พอดี จงึ ตรัส
ถามเรือ่ งราว ก่อนจะทรงอธบิ ายวา่ “ดูก่อน สงฆ์ทัง้ หลาย
พวกเธอจะเรยี กบตุ รของเราวา่ พราหมณ์ (คอื ผลู้ อยบาปได)้
ก็ได้ หรือว่า สมณะ (คือผู้สงบ) ก็ได้ สมควรท้ังนั้น”
แลว้ ตรัสเปน็ พระคาถาว่า

38

“หากประพฤตฝิ กึ ฝนตนอยา่ งจรงิ จงั เปน็ ผเู้ ทยี่ งตรง
ต่อธรรม ด�ำเนินตามอริยมรรค หากมีความประพฤติ
อันสงบ ระงับไม่เบียดเบียนสัตว์ท้ังหลาย บุคคลเช่นน้ี
เราจะเรียกว่า พราหมณ์ (คือผู้ลอยบาปได้) หรือว่า
สมณะ (คือผสู้ งบ) กย็ อ่ มไดท้ ้งั น้ัน”
เมื่อพระพุทธองค์เทศน์จบลง พระภิกษุเหล่าน้ัน
ต่างกไ็ ดส้ ำ� เรจ็ มรรคผลโดยทว่ั กันโดยล�ำดบั

พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 39



ความเปน็ มา ตอน ๑:

ความเปน็ มาของพุ ทธอุปฏั ฐาก

หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ขณะท่ีมีพระชนมายุ
ได้ ๓๕ พรรษาและประกาศพระศาสนามาแล้วถึง ๒๐
พรรษาน้ัน พระพุทธองค์ก็ทรงมีพระชนมายุที่มากข้ึน
เรอ่ื ยๆ เหลา่ บรษิ ทั บรวิ ารกม็ ากขน้ึ เรอื่ ยๆ ภาระทตี่ อ้ งดแู ล
ก็มากขึ้นเรอื่ ยๆ
คอื ขณะทพ่ี ระพทุ ธองคม์ พี ระชนมายไุ ด้ ๕๕ พรรษา
นั้น ก็ยังไม่มีพระที่อุปัฏฐากดูแลรับใช้อย่างชัดเจน มีแต่
สลบั กนั ไปตามวาระ เชน่ พระนาคสมาละ, พระนาคิตะ,
พระอุปวาณะ, พระสาคตะ และพระเมฆิยะ เป็นต้น
(ผอู้ ปุ ัฏฐาก แปลวา่ ผรู้ ับใช,้ ผู้ดแู ลความเป็นอย)ู่
เมื่อยังหาผู้ท�ำหน้าที่พระอุปัฏฐากประจ�ำไม่ได้
ท�ำให้บางครั้งพระพุทธองค์ได้รับความล�ำบากพระวรกาย
เพราะตอ้ งถกู ปลอ่ ยใหป้ ระทบั อยตู่ ามลำ� พงั หลายครง้ั หรอื

40

บางครง้ั พระผปู้ ฏบิ ตั ดิ แู ลดอ้ื ดงึ ขดั รบั สงั่ ของพระพทุ ธองค์
ก็ยงั มี ซง่ึ ได้สรา้ งความล�ำบากแก่พระองคเ์ ปน็ อย่างมาก
โดยครงั้ ทเี่ ปน็ เหตใุ หญท่ สี่ ดุ คอื ในคราวทพ่ี ระเมฆยิ ะ
ได้ตามพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมที่หมู่บ้านในชนบท
พระเมฆิยะซึ่งขณะน้ันเป็นปัจฉาสมณะ คือเป็นพระ
ผตู้ ดิ ตามพระพทุ ธเจา้ ในวาระนนั้ พอเสรจ็ แลว้ พระพทุ ธองค์
ก็เสด็จกลับวัดป่าเชตวัน กรุงสาวัตถี โดยพระองค์เสด็จ
เดนิ นำ� หนา้ สว่ นพระเมฆยิ ะสะพายบาตรตนเองและบาตร
พระพุทธเจา้ เดนิ ตามหลังมา
เมอื่ เดนิ มาถงึ ทางสองแพรง่ พระเมฆยิ ะกไ็ ดก้ ราบทลู
ขนึ้ วา่ “ปา่ มะมว่ งทอ่ี ยตู่ รงนน้ั ดเู ปน็ ทส่ี งบสปั ปายะนา่ รม่ รนื่
ข้าพระองค์อยากจะขอไปภาวนาที่ตรงป่ามะม่วงน้ันก่อน
ขอพระองค์เสดจ็ ไปทางนีก้ ่อนเถิด พระเจ้าขา้ ”
“อย่าเลย เมฆิยะ ในเม่ือเรามาด้วยกัน ๒ องค์
เธอกค็ วรไปสง่ เราใหถ้ งึ ทเ่ี สยี กอ่ น เพราะเรายงั มกี จิ ธรุ ะตอ่
ท่วี ัดปา่ เชตวนั จากน้นั ถา้ เธอจะไปภาวนาทนี่ ั่น เธอกไ็ ป
ไดน้ ะ”

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 41

พระพุทธองค์ตรัสห้ามถึง ๓ คร้ัง แต่พระเมฆิยะก็
ยังด้ือดันทุรังจะขอแยกทางกับพระพุทธองค์ โดยท�ำท่า
จะวางบาตรและบริขารของพระพุทธเจา้ ลงบนพื้นดิน
ผลทสี่ ดุ พระพทุ ธองคก์ ต็ รสั วา่ “เมฆยิ ะ ถา้ เธอไมไ่ ป
ก็ให้เธอวางบาตรและบริขารของเราไว้ตรงทางสองแพร่ง
นนั่ ละ่ แลว้ เธอกจ็ งไปเถิด”
พระเมฆิยะก็วางบริขารพระพุทธองค์ลงตรงจุดนั้น
จริงๆ แล้วเดนิ แยกทางไปตามทตี่ นตอ้ งการ พระพุทธเจา้
ก็เอาบาตรและบริขารขึ้นสะพายบนพระอังสะ (บ่า) แล้ว
เสด็จกลับตามลำ� พังจนมาถึงทว่ี ดั ปา่ เชตวัน กรงุ สาวตั ถี
พอพระเมฆิยะท่านไปน่ังภาวนาท่ีป่ามะม่วงตาม
ล�ำพังได้วันเดียวเท่าน้ันล่ะ ก็เกิดวิตกกังวลในใจว่า
“ท�ำไมเราจึงดันทุรังขนาดนี้ ท�ำไมเราถึงท�ำอย่างนี้กับ
พระพทุ ธเจา้ ” ผลทสี่ ดุ ทา่ นกเ็ ลยตอ้ งกลบั มากราบขอขมา
พระพุทธเจ้าว่าที่ทา่ นไดก้ ระทำ� ไปน้ันไม่ถกู ต้อง
พระพุทธองค์จึงตรัสปลอบว่า “เรื่องน้ันเป็นเรื่อง
ของโลก มันไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่มีอะไรหรอกเมฆิยะ

42

ผิดมันก็ผิดไปแล้ว เราไม่ถือโทษโกรธใครอยู่แล้ว
เราไม่มีโทษ แล้วในเมื่อเราไม่มีโทษ เราจะไปเกิดโทษแก่
ใครได้อยา่ งไร?”
ต่อมาภายหลังพระพุทธองค์ก็ทรงเรียกประชุมสงฆ์
โดยทรงยกเร่ืองราวข้างต้นเป็นเหตุและประกาศในท่าม
กลางสงฆว์ า่ “ดกู อ่ น สงฆท์ ง้ั หลาย บดั นเี้ ราตถาคตลว่ งเขา้
สวู่ ยั ชราแลว้ สงฆท์ งั้ หลายมคี วามเหน็ อยา่ งไร ทสี่ มควรจะมี
ผทู้ ำ� หนา้ ทอี่ ปุ ฏั ฐากดแู ลเราตถาคตทเ่ี ปน็ กจิ จะลกั ษณะ?”
นี้คือสาเหตุที่พระพุทธเจ้าประกาศหาพุทธอุปัฏฐาก
พระสารบี ตุ รทเ่ี ปน็ พระอคั รสาวกเบอื้ งขวา คอื เปน็ มหาเถระ
รองจากพระพุทธเจ้า เม่ือท่านได้ยินอย่างน้ันก็สลดใจ
จึงนั่งกระหย่งพนมมือข้ึน แล้วกล่าวข้ึนในท่ามกลาง
สงฆ์ว่า
“ในเม่ือพระพุทธองค์ที่เป็นดุจบิดามีความขัดข้อง
ทจ่ี ะหาอปุ ฏั ฐาก อนั นกี้ ต็ อ้ งเปน็ หนา้ ทข่ี องบตุ รชายคนโต
ที่ต้องดูแลอุปัฏฐาก เพราะฉะน้ัน ข้าพระองค์ที่เป็นดุจ
บุตรชายใหญ่ จะขอรับหน้าที่พุทธอุปัฏฐากปฏิบัติต่อ
พระพุทธองค์นบั แตบ่ ัดนไ้ี ป พระเจา้ ขา้ ”

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 43

“อย่าเลย สารีบุตร เพราะเธอเองก็มีหน้าท่ีช่วยเรา
แนะนำ� สงั่ สอนเหลา่ พทุ ธบรษิ ทั ในเมอ่ื มอี ะไรเรากจ็ ะไดใ้ ห้
เธอเปน็ ผแู้ นะนำ� ส่งั สอนแทน เพราะฉะนัน้ ยังไมใ่ ชห่ นา้ ที่
เธอท่ีจะมาอุปัฏฐากเราตถาคต หน้าท่ีน้ีให้องค์อ่ืนเถิด”
เม่ือพระพทุ ธองคท์ รงไมอ่ นุญาต พระสารีบตุ รก็นง่ั ลง
จากน้ันพระโมคคัลลานะท่ีเป็นอัครสาวกเบ้ืองซ้าย,
พระมหากัสสัปปะ, พระอนุรุทธะ และเหล่าพระอสีติ-
มหาสาวก องคถ์ ดั มาเรยี งลำ� ดบั ตามพรรษา กแ็ สดงความ
จำ� นงขนึ้ มาเรอื่ ยๆ แตท่ กุ รปู นน้ั พระพทุ ธองคก์ ย็ งั ไมท่ รงรบั
จนเมอื่ มาถงึ พระอานนทน์ นั้ ทา่ นกลบั นงั่ นง่ิ เฉย (ขณะนนั้
พระอานนทท์ า่ นบวชมาได้ ๑๙ พรรษา)
เหล่าสงฆ์ทั้งหลายจึงถามว่า “ท่านอานนท์ ท�ำไม
ท่านจึงไม่ขอโอกาส แสดงความจ�ำนงที่จะปฏิบัติต่อ
พระพทุ ธเจา้ เลา่ ?” พระอานนทก์ ก็ ราบทลู ตอ่ พระพทุ ธองค์
ในท่ามกลางสงฆ์วา่
“ถ้าหากพระองค์เห็นว่า ข้าพระองค์เหมาะสมท่ีจะ
รบั หนา้ ทพ่ี ทุ ธอปุ ฏั ฐาก ขา้ พระองคก์ ย็ นิ ดนี อ้ มรบั แตก่ อ่ น
ท่ีจะรับ ข้าพระองค์ทูลขอพร ๘ ประการ พระเจา้ ข้า”

44

พระพุทธองค์จึงตรัสวา่ “วา่ มาเถดิ อานนท”์
พระอานนทก์ ็กราบทูลข้นึ วา่
๑. ขออยา่ ประทานจีวรอนั ประณีตแกข่ ้าพระองค์
๒. ขออยา่ ประทานอาหารอนั ประณตี แกข่ า้ พระองค์
๓. ขออยา่ ใหข้ า้ พระองคอ์ ยใู่ นทป่ี ระทบั ของพระองค์
๔. ขอไดโ้ ปรดอยา่ พาขา้ พระองคไ์ ปทน่ี น่ั เวลาเสดจ็
ไปในทีน่ ิมนต์
๕. เมอื่ ข้าพระองค์รับนิมนตท์ ่ีไหนแล้ว ขอให้เสด็จ
ไปสงเคราะห์แก่ผนู้ มิ นตใ์ นทนี่ ้นั
๖. เม่ือพุทธบริษัท ๔ ก็ดี หรือผู้ที่ยังไม่นับถือ
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็ดี ต้องการจะเข้าเฝ้า ขอให้
ข้าพระองคน์ ำ� คนเหลา่ น้นั เข้าเฝา้ ได้ตามต้องการ
๗. ถ้าข้าพระองค์เกิดความข้องใจสงสัยในธรรมะ
เรื่องใดขึ้นมา ขอให้ข้าพระองค์มีโอกาสเข้าเฝ้าทูลถาม
ความสงสัยน้นั ไดท้ กุ เม่ือทุกเวลา
๘. เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องใด
ในทลี่ ับหลังข้าพระองค์ ขอไดโ้ ปรดทรงแสดงธรรมน้นั แก่
ข้าพระองค์อีกครงั้ หน่งึ

พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 45

พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั ถามวา่ “ดกู อ่ น อานนท์ เหตใุ ด
เธอจงึ ขอพรเช่นนนั้ ?”
พระอานนท์ก็กราบทูลว่า “เหตุท่ีข้าพระองค์ขอพร
ข้อที่ ๑-๔ เพื่อป้องกันข้อครหาว่า ข้าพระองค์รับใช้
พระพุทธเจ้าเพ่ือต้องการผลประโยชน์ลาภสักการะจาก
พระองค์ ส่วนข้อท่ี ๕-๗ หากข้าพระองค์ไม่สามารถ
สงเคราะหต์ อ่ คนทเี่ ขานมิ นตม์ า หรอื คนทต่ี อ้ งการเขา้ เฝา้
กจ็ ะมคี นพดู ไดอ้ กี วา่ พระอานนทร์ บั ใชใ้ กลช้ ดิ พระพทุ ธเจา้
เสยี เปล่า แม้กิจเพยี งเทา่ นี้ แตก่ ลบั ทำ� อะไรไมไ่ ด้”
“และโดยเฉพาะพรขอ้ ที่ ๘ หากขา้ พระองคไ์ มท่ ราบ
ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ถ้าเวลามีผู้มาถามทีหลังว่า
คาถาน้ี สตู รนี้ ชาดกนี้ พระพทุ ธองคต์ รสั กบั ใคร? เมอื่ ไหร?่
ท่ีไหน? อย่างไร? แลว้ ตอบเขาไมไ่ ด้ ผคู้ นกจ็ ะตำ� หนิไดว้ า่
พระอานนท์เปน็ ผ้ตู ิดตามรับใช้พระองคไ์ ปทุกที่ แตท่ ำ� ไม
เรื่องเท่าน้ีก็ยังไม่รู้ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ข้าพระองค์จึงได้
กราบทูลขอพร ๘ ประการนจี้ ากพระองค์ พระเจา้ ขา้ ”

46

“อานนท์ เราตถาคตให้พรเหล่าน้ีแก่เธอ” เม่ือ
พระพุทธเจ้าได้ฟังค�ำชี้แจงของพระอานนท์แล้ว ก็ทรง
อนญุ าตใหต้ ามที่พระอานนท์ขอทกุ ประการ
นับแตน่ ั้นมา พระอานนทจ์ งึ ได้รบั แตง่ ตั้งเปน็ พุทธ-
อปุ ฏั ฐาก มหี นา้ ทด่ี แู ลรบั ใชพ้ ระพทุ ธเจา้ เชน่ ถวายนำ้� รอ้ น
และนำ้� เยน็ , ถวายไมเ้ จยี (ไมส้ ฟี นั ) ๓ ขนาด, นวดพระหตั ถ์
และพระบาท (มือและเท้า), นวดพระปฤษฎางค์ (หลัง),
ปดั กวาดพระคนั ธกฎุ ี (ทป่ี ระทบั ของพระพุทธเจา้ )
และเม่ือเสร็จกิจจึงออกมาอยู่ยามหน้าพระคันธกุฎี
เวลากลางคืน โดยคอยถือประทีปเดินวนเวียนรอบ
พระคนั ธกฎุ ถี งึ คนื ละ ๘ รอบ พระอานนทไ์ ดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี
อุปัฏฐากพระพุทธองค์ตลอดมาเป็นเวลา ๒๕ พรรษา
ตราบจนพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเม่ือ
พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา
นีแ่ หละ อันน้ีคือความเปน็ มาของพทุ ธอุปัฏฐาก

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 47



บวชเปน็ พระก็ดแู ลบิดามารดาได้

ถ้าได้ศึกษาจากในพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าท่าน
ไมเ่ คยลมื พระคณุ ของบดิ ามารดาทา่ นเลย เมอ่ื พระพทุ ธองค์
ประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาก็สวรรคต ขึ้นไปจุติเป็น
เทวบุตรอยู่ที่สวรรค์ช้ันดุสิต เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และประกาศเผยแผ่
พระศาสนามาพอสมควรแล้ว ท่านก็เสด็จข้ึนไปโปรด
พระมารดาบนสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ สซ์ ง่ึ พระอนิ ทรป์ กครองอยู่
เทพบุตรที่เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้า ก็เสด็จ
ลงมาฟังพระธรรมเทศนาอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พระพุทธเจ้าทรงโปรดพระมารดาเป็นเวลา ๓ เดือน
ตลอดพรรษา ในพรรษาที่ ๗ (นับแตป่ ีทต่ี รัสรู)้ จากน้นั
พระพุทธองค์จึงได้เสด็จลงมาสู่เมืองมนุษย์ ซึ่งอันนี้คือ
ท่มี าของวนั ตกั บาตรเทโว คือเปน็ วนั ทพ่ี ระพุทธเจ้าเสดจ็
กลบั ลงมาสู่เมอื งมนุษย์


Click to View FlipBook Version