94
พอได้ยินดังน้ัน พระองค์จึงต้ังจิตอธิฐาน จากนั้น
ก็ทรงลูบท่ีศีรษะ เกศาของพระองค์ก็หลุดออกหมดเลย
จากนั้นผ้ากาสาวะก็ลอยมาสวมที่ร่างของพระองค์
พระองค์ก็ตรัสว่า “บัดนี้เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว
เราไม่ใช่กษัตริย์ของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว เราสละ
ราชสมบัติแล้ว ขอให้พวกท่านจงกลับไปเถิด ส่วนเราจะ
ไปตามล�ำพัง” จากนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็เหาะไป
อย่ตู ามลำ� พัง กับเหลา่ พระปัจเจกพุทธเจา้ ในปา่ หิมพานต์
จากนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ตรัสสอนว่า “ดูก่อน
พวกท่านท้งั หลาย การยินดีในเร่ืองกามกิเลสกเ็ หมอื นกบั
ต้นมะม่วงท่ีมีผล ที่มันฆ่าตัวเองน่ันล่ะ ถ้าพวกท่าน
ทั้งหลายยังยินดีในรูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัสอยู่ล่ะก็
รปู , เสียง, กลนิ่ , รส, สมั ผสั อนั น้ันละ่ ทจ่ี ะฆ่าพวกท่านเอง
เพราะฉะนน้ั พวกทา่ นทง้ั หลายตอ้ งพจิ ารณาดใู หเ้ หน็
ในโทษภยั ตราบใดทพี่ วกทา่ นยงั ไมเ่ หน็ ในโทษภยั ตราบนน้ั
พวกท่านก็ยังไม่พ้นจากโทษภัย เพราะพวกท่านจะยังคง
ยนิ ดีที่จะหมกมนุ่ อยใู่ นโทษภยั อันน้นั อยู่”
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตสุ สโก 95
เมือ่ พระพุทธองคเ์ ทศน์จบลง พระนวกะเหล่านั้นทงั้
๕๐๐ รูป ต่างไดส้ �ำเร็จมรรคผลโดยลำ� ดบั
น่ีแหละ เรื่องน้ีพระพุทธองค์ท่านได้แสดงธรรมท่ี
วดั ปา่ เชตวนั ในตอนกลางดกึ ในขณะทเ่ี หลา่ พระบวชใหม่
ทง้ั หลาย มวั คดิ ถงึ ตรกึ ตรองแตเ่ รอื่ งกามกเิ ลส พระพทุ ธองค์
จงึ ทรงเตอื นใหเ้ หน็ โทษวา่ การนกึ คดิ คำ� นงึ ถงึ กามอยา่ งนน้ั
มนั เปน็ โทษ
96
๑๕
หวั ใจในศลี ๕
หัวใจในศีล ๕ ถ้าให้สรุปแล้วก็คือ ๑. การที่เรา
เอาใจเขามาใสใ่ จเรา และ ๒. การที่เราเอาใจเราไปใสใ่ จเขา
คอื ถ้าเราไมอ่ ยากให้คนอ่ืนมาท�ำกับเราอย่างไร เราก็
ไมค่ วรไปทำ� กบั เขาอยา่ งนนั้ (เชน่ ถา้ เราไมอ่ ยากใหค้ นอน่ื
มาเบียดเบียนเรา เราก็ต้องไม่เบียดเบียนเขาก่อน) หรือ
ถ้าเราอยากให้คนอื่นมาทำ� กบั เราอยา่ งไร เรากค็ วรทีจ่ ะทำ�
กบั เขาอย่างนน้ั ก่อน (เชน่ ถา้ เราอยากใหค้ นอนื่ มีเมตตา
กบั เรา เราก็ต้องมเี มตตากับเขาก่อน)
นแ่ี หละ ศลี ของพระพุทธเจา้ มีประโยชน์ มีคุณค่า
แล้วทีน้ี ใครควรจะเป็นผู้รักษาศีล? คนที่อกหัก-
หลกั ลอย-คอยงาน-สงั ขารเสอื่ ม ใชไ่ หม?
คนเฒา่ คนแกท่ ีช่ อบเข้าวัดฟงั ธรรม ใชไ่ หม?
พระสงฆ์, สามเณรและแม่ชี ใชไ่ หม?
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 97
นักโทษ หรือคนทีเ่ คยติดคกุ ใชไ่ หม?
ถ้าจะว่าไปแล้ว การรักษาศีลอันนี้ถือเป็นหน้าท่ี
ของเราทกุ คน ถา้ หากพวกเราตอ้ งการความสงบรม่ เยน็ ใน
ชมุ ชนของพวกเรา พวกเรากต็ อ้ งเคารพเทิดทูนในศีล ๕
พวกเราจะได้รับแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุขถ้วนหน้ากัน
แต่ถ้าหากพวกเราขาดศีล ๕ ก็หาความไว้เน้ือเช่ือใจกัน
ในชุมชนสังคมไม่ได้ เพราะศีล ๕ เป็นศีลคุ้มครองโลก
ดังน้ัน สมควรอยา่ งย่ิงทเ่ี ราทุกคนจะตอ้ งรกั ษาศีล
ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่รักษาศีล แต่กลับอยากจะให้แต่
คนอ่ืนรักษาศีล ที่จริงก็คนที่ไม่มีศีล ไม่รักษาศีลน่ันล่ะ
ที่จะท�ำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนวุ่นวาย คุณค่าของศีลน้ัน
พระพุทธเจา้ ทรงรบั รองแล้วว่า
สีเลนะ สุคะติง ยันติ ผู้จะไปสู่สุคติได้เพราะศีล
คมุ้ ครอง ไมใ่ หเ้ ราถลำ� ทำ� ชว่ั อยเู่ ปน็ มนษุ ยห์ รอื เปน็ เทวดา
ก็มคี วามสขุ
สีลเลนะ โภคะสัมปะทา ผู้จะมีโภคสมบัติได้
เพราะศลี โภคสมบตั นิ นั้ รม่ เยน็ เพราะเราหามาดว้ ยความรู้
98
ความฉลาดของเรา คนมปี ญั ญายอ่ มหาทรัพย์ได้ คนขยนั
ยอ่ มหาทรพั ย์ได้
สีลเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นเหตุให้ถึงซึ่ง
พระนิพพาน ถ้าเราส�ำรวมกาย วาจาดีแล้ว เวลาเราไป
ภาวนา เราก็สามารถท�ำส�ำเร็จไปถึงข้ันมรรคผลนิพพาน
อย่าดถู ูกอานสิ งส์ศลี ว่าเล็กนอ้ ย เพราะศีลนเี้ ปน็ บาทฐาน
สามารถเป็นเครื่องหนุนส่งให้ไปถึงนิพพานได้ เพราะศีล
๕ น้ีคือศีลของพระโสดาบัน ส่วนศีล ๘ น้ีคือศีลของ
พระอนาคามี คอื ไมว่ า่ จะเจตนาหรอื ไมเ่ จตนากต็ าม ศลี ๘
อนั นกี้ ็ศีลบรสิ ุทธแ์ิ ละบริบรู ณอ์ ยูต่ ลอดในพระอนาคามี
การรับศีลนี่มันง่าย แต่การรักษาศีลมันยาก นี้ก็
เหมือนกบั การปลกู ต้นไมม้ ันงา่ ย แตก่ ารดูแลรักษาตน้ ไม้
มนั ยาก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ชว่ ง ๒-๓ ปแี รก มนั ยงิ่ ตอ้ งการ
การดแู ลรกั ษาเอาใจใส่ กเ็ หมอื นกบั การทเี่ รารบั ศลี เรากต็ อ้ ง
คอยดูเเลรกั ษาศีลเราให้บรสิ ทุ ธ์ิ บรบิ ูรณ์ ไมใ่ ห้ด่างพร้อย
ไม่ให้มวั หมอง
(จากรูป: หลวงตามหาบัว, หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม และหลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม
ในคราวมารว่ มงานมรณภาพคณุ แม่ชีแกว้ เสยี งลำ�้ ถา่ ยเมอื่ วนั ที่ ๒๓ มิ.ย. ๓๔)
(จากรูป: หลวงพ่อและหลวงตามหาบัว ในคราวมาร่วมงานฉลองเจดีย์ คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้�ำ
(สำ� นักชีบา้ นห้วยทราย อ.ค�ำชะอี จ.มกุ ดาหาร) ถ่ายเมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ มี.ค. ๕๓)
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 99
๑๖
ความเปน็ มา ตอน ๔:
ความเปน็ มาของการเรยี กขาน
ผู้ทจี่ ะบวชวา่ นาค
วันน้ีเป็นวันออกพรรษา เห็นคณะญาติโยมมาวัด
หลายกลุ่มนะ บางกลุ่มก็บอกว่าจะมาดูบ้ังไฟพญานาค
ถ้าจะวา่ ไปสมยั ที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (วดั หนิ หมากเป้ง
อ.ศรเี ชียงใหม่ จ.หนองคาย) ท่านยังทรงธาตขุ ันธอ์ ยูน่ ั้น
กุฏิของท่านอยู่ติดริมฝั่งแม่น้�ำโขง ตัวท่านเองก็เคยเห็น
แสงผุดขึ้นมาจากในแม่น�้ำโขง แล้วลอยหายขึ้นไปบน
ท้องฟ้าเหมือนกันนะ แต่ท่านก็บอกว่า “อย่าไปพูดนะ
ถ้าไปพูด ประเดี๋ยวญาติโยมเขาจะหาว่าพระนี่งมงาย
เห็นนัน่ เหน็ นี่”
โดยมาก กจ็ ะเหน็ ดวงไฟลกั ษณะนเ้ี ฉพาะในวนั สำ� คญั
ทางพทุ ธศาสนา เชน่ วนั วสิ าขบชู า วนั มาฆบชู า โดยเฉพาะ
วันออกพรรษา ย่ิงปีไหนท่ีวันออกพรรษาบ้านเราตรงกับ
ของประเทศลาว คนื วนั นนั้ กจ็ ะขนึ้ มาเยอะนะ แตถ่ า้ ปไี หน
100
ทว่ี นั ออกพรรษาไมต่ รงกนั ของทางลาวกจ็ ะขน้ึ มามากกวา่
โดยมากวนั ออกพรรษาของลาวจะมาทหี ลงั ของไทย แตป่ นี ้ี
รสู้ กึ จะออกตรงกนั นะ
พระพุทธศาสนาไม่ปฏิเสธเร่ืองพญานาค เร่ืองครุฑ
เรื่องเทวดาในช้ันต่างๆ ตลอดจนถึงพรหม ตามท่ีมีใน
พระไตรปิฎก สัตว์เดรจั ฉานก็มนี านาชนิด อยา่ งทเี่ ราเหน็
บางชนิดก็กินสัตว์ บางชนิดก็กินพืช อันน้ีคือสัตวโลก
(สัต-ตะ-วะ-โลก) ที่มองเห็นได้เรยี กว่า สตั วเ์ ดรัจฉาน
แตท่ ม่ี องไมเ่ หน็ เรยี กวา่ ภมู เิ ทวดา มเี ทวดาทอ่ี ยตู่ าม
จอมปลวก, หน้าผาบา้ ง, รุกขเทวดากค็ อื เทวดาท่ีสงิ สถติ
อยตู่ ามตน้ ไม,้ อากาศธาตเุ ทวดากค็ อื เทวดาทอ่ี ยใู่ นทว่ี า่ ง
ในอากาศ และเทวดาทอี่ ยใู่ นสวรรคช์ น้ั ตา่ งๆ ทงั้ ๖ ชน้ั คอื
จาตมุ หาราชิกา, ดาวดงึ ส,์ ยามา, ดสุ ิต, นมิ มานรดี และ
ปรนมิ มติ วสวตั ตี สวรรค์แตล่ ะชน้ั กย็ ังแตกตา่ งกัน
พญานาคมีจรงิ ไหม? ในหลกั พระพุทธศาสนา กว็ ่า
มีพญานาค พญานาคเป็นสัตว์เดรัจฉานในตระกูลงู
ในพระไตรปฎิ กยงั มกี ารกลา่ วถงึ นาคอยหู่ ลายครง้ั อยา่ งเชน่
ในเรอ่ื งนี้
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตสุ สโก 101
ในคร้ังพทุ ธกาล พอพระพทุ ธเจ้าประกาศพระพทุ ธ-
ศาสนา กม็ คี นมาขอบวชเป็นจำ� นวนมาก มีนาคตนหนง่ึ
เลือ่ มใสในพระพุทธศาสนาจนอยากที่จะบวชบ้าง เมื่อคดิ
ได้ดังน้ัน ก็จ�ำแลงตัวเป็นมนุษย์แล้วเข้าไปขอพระ
ท่านบวช พระอปุ ชั ฌายผ์ ูบ้ วชให้ ด้วยไมร่ ู้ ท่านกเ็ ลยบวช
พระให้ นาคในร่างของพระท่านก็ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ
เหมอื นกบั พระทวั่ ไป ทา่ นไดเ้ ลอื กจำ� วดั ในกฏุ หิ อ้ งทา้ ยสดุ
ของพระวิหาร โดยไดอ้ ยรู่ ่วมห้องกบั พระอีกรูปหนึง่
ตอนเวลานอนในตอนกลางคืน นาคก็ไม่ยอมหลับ
เพราะกลวั วา่ ตนจะเผลอคนื รา่ งเดมิ แตพ่ อพระเพอื่ นทอ่ี ยู่
รว่ มหอ้ งทา่ นออกไปเดนิ จงกรม นาคเกดิ วางใจ กเ็ ลยเผลอ
หลับไปจนคลายรา่ งกลับเป็นนาคดงั เดมิ ในพระไตรปิฎก
ได้ระบุไว้ว่า เวลาท่ีนาคนอนหลับหรือมีเพศสัมพันธ์กับ
นางนาค ฤทธ์ิจะคลายกลับเป็นร่างเดิมคืองูทันที เพราะ
เผลอขาดสติ
ต่อมาเม่ือพระรูปนั้นท่านกลับมาที่ห้อง พอเข้ามา
ก็ตกใจร้องเสียงดังล่ันจนพระรูปอื่นต้องพากันออกมาดู
เพราะเหน็ เป็นนาคนอนขดอยใู่ นหอ้ งแทน เม่ือนาคได้ยิน
102
เสียงเอะอะก็ต่ืนขึ้น แล้วก็จ�ำแลงกายเป็นพระตามเดิม
เมื่อพระทั้งหลายทราบแล้วว่าพระรูปน้ีเป็นนาคจ�ำแลงมา
จงึ ถามว่า
“ท่านเปน็ ใคร?” “ผมเป็นนาคครับ ”
“แล้วท่ีท่านท�ำเช่นนี้ เพราะเหตุใด?” “ผมเล่ือมใส
ในพระธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็เลยขอบวช”
นาคจงึ ไดเ้ ลา่ สาเหตทุ ตี่ นตอ้ งจำ� แลงเปน็ คน ใหเ้ หลา่ พระฟงั
พระสงฆก์ เ็ ลยไปกราบทลู ถามพระพทุ ธเจา้ วา่ “นาคนี่
สามารถบวชไดห้ รอื ไม?่ พระเจา้ ขา้ ” พระพทุ ธเจา้ กบ็ อกวา่
“นาคไม่สามารถบวชได้ ในศาสนาของเราตถาคต
ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานอะไรก็ตาม หรือจะเป็นเทวดาไม่ว่า
อนิ ทร์ วา่ พรหม กบ็ วชไมไ่ ดท้ ง้ั นนั้ เพราะไมส่ ามารถเจรญิ
ในพระธรรมวนิ ยั ของเราตถาคตได้ ทจ่ี ะบวชไดก้ ค็ อื มนษุ ย์
เทา่ นั้น”
“ดูก่อน ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้
อนปุ สมั บนั คอื สตั วด์ ริ จั ฉาน ทอี่ ปุ สมบทแลว้ ตอ้ งใหส้ กึ เสยี ”
จากนน้ั พระองค์ตรัสกบั นาควา่
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตุสสโก 103
“เพราะเธอเปน็ นาค เราตถาคตจงึ ไมอ่ นญุ าตใหบ้ วช
เพราะนาคเปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน หากเธอปรารถนาเปน็ มนษุ ย์
ขอใหเ้ ธอจงรกั ษาศลี ๘ ในวนั พระ คอื ในวนั ขนึ้ ๘, ๑๕ คำ่�
และวันแรม ๘, ๑๕ คำ่� ดว้ ยอานสิ งสน์ จี้ ะส่งผลใหเ้ ธอพ้น
จากอัตภาพชาติก�ำเนิดท่ีเป็นนาคอยู่น้ี และจะให้เธอได้
ไปเกิดเป็นมนุษย์ในชาติถัดไป เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็ค่อย
มาบวชนะ”
เม่ือได้ยินดังน้ัน นาคตัวน้ันก็เลยยอมที่จะลาสิกขา
ซง่ึ ในจดุ น้ี บางตำ� รากไ็ ดก้ ลา่ วเพม่ิ เตมิ อกี วา่ กอ่ นจะจากไป
นาคก็เลยกราบทลู ขอพรจากพระพุทธเจ้าว่า
“ข้าพเจ้าเคารพนับถือในพระธรรมค�ำส่ังสอนของ
พระพทุ ธเจา้ ถงึ จะบวชไมไ่ ด้ แตอ่ ยา่ งนอ้ ยกข็ อใหข้ า้ พเจา้
ได้ฝากช่ือเอาไวใ้ นพระพุทธศาสนาดว้ ยเถิด พระเจา้ ข้า”
นับแต่น้ันมา จึงมีค�ำเรียกขานผู้ท่ีจะบวชเป็นพระ
ว่า นาค สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน น่ีแหละ อันน้ีคือ
ความเป็นมาของการเรยี กขานผ้ทู จ่ี ะบวชวา่ นาค
104
๑๗
ยายหงวนหลงปา่
แม่ตู้หงวน เป็นโยมท่ีอุปัฏฐากวัดป่าบ้านเพิ่มมา
ต้ังแต่ในสมัยท่ีสร้างวัดใหม่ๆ คือตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐
หลังจากที่ศาลาหลังปัจจุบันนี้สร้างเสร็จแล้วในเดือน
พฤษภาคมพ.ศ.๒๕๓๐หลวงพอ่ กเ็ ลยไปประเดมิ จำ� พรรษา
ที่วัดป่าบ้านเพิ่ม (ต.นาแค อ.นายูง จ.อุดรธานี) เป็น
ครั้งแรก
ในช่วงน้ัน หลวงพ่อก็ได้ลูกหลานของพ่อตู้ช้าง
และแม่ตู้หงวนเหล่าน้ีน่ีแหละ คอยดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐาก
ส่วนแม่ตู้หงวนเองก็ไปวัดไม่เคยขาด (ในภาษาอีสาน
พ่อตู้และแม่ตู้ หมายถึงคนเฒ่าคนแก่ท่ีมีลูกมีหลาน
แตบ่ างครัง้ กจ็ ะเรียก พ่อใหญแ่ ละแมใ่ หญแ่ ทน)
ต่อมาหลวงพ่อค�ำสด อรุโณ ท่านก็ได้ไปจ�ำพรรษา
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ต้ังแต่น้ันมา ท่านก็ได้อยู่จ�ำพรรษา
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 105
ท่ีวัดป่าบ้านเพิ่มมาโดยตลอด แต่ถึงหลวงพ่อจะไม่ได้ไป
จำ� พรรษาทนี่ นั่ แตล่ กู หลานเหลา่ นน้ั กย็ งั แวะมาเยยี่ มเยยี น
ยังได้ไปมาหาสู่กันอยู่ ถือได้ว่าเป็นญาติโยมผู้ท่ีต้ังม่ัน
มนั่ คงในธรรม
แมต่ หู้ งวนอปุ ฏั ฐากทวี่ ดั ปา่ บา้ นเพม่ิ มาตง้ั แตต่ อนที่
หลวงพ่อไปอยู่ท่ีนั่นแล้ว เม่ือวันก่อนคือวันท่ี ๒๔
กรกฎาคมทผี่ า่ นมา พอดเี ปน็ ชว่ งทเี่ หด็ ปา่ ออก เมอื่ ผเู้ ฒา่
กลับมาจากไปวัดแล้ว ก็เลยเข้าป่าไปเก็บเห็ดตะไคร้และ
เหด็ ระโงกเพือ่ นำ� มาทำ� เป็นอาหารใสบ่ าตร
ลูกสาวคนสุดท้องของแก ท่ีเป็นครูสอนหนังสือ
เดก็ เล็ก เป็นหว่ งกเ็ ลยหา้ มยายนะว่า “ยายอายตุ ัง้ ๗๕ ปี
แลว้ นะ” แตย่ ายแกกว็ า่ “กไ็ ปชวนคนรนุ่ ราวคราวเดยี วกนั
ให้ไปด้วย แต่ไม่มีใครไปได้ เพราะสุขภาพเขาไม่ดีกัน
หมดแล้ว เมือ่ ไมม่ ีใครไปดว้ ยได้ เข้าไปเองคนเดียวกไ็ ด”้
คือลกู หลานกห็ ้ามแล้วแต่ยายแกก็ไม่ฟัง
เมื่อผู้เฒ่าได้มีดกับตะกร้ามาอันหนึ่ง ก็ด่ิงเข้าป่า
เดินหาเก็บเห็ดป่าของแกไปเร่ือยเลยทีนี้ จนตกค่�ำก็ยัง
106
ไมก่ ลบั ออกมา ลกู หลานก็ชว่ ยกนั ออกตามหา เพราะยาย
ออกไปตงั้ แต่ ๑๑ โมงเช้าแลว้ ระดมคนในหมู่บ้านออก
ตามหากันทง้ั วันทัง้ คืน จนอกี วนั หนึ่งก็ยังหากนั ไมเ่ จอ
คือหายไปตั้งแต่วันท่ี ๒๔ ตอน ๑๑ โมงเช้า
จนหลวงพ่อเองก็พึ่งมาทราบในวันท่ี ๒๗ ว่าแม่ตู้หงวน
หายไป หลังฉันเช้าเสร็จวันท่ี ๒๗ ลูกเขยแม่ตู้หงวนก็
รอ้ นใจเขา้ มาแจง้ กบั หลวงพอ่ วา่ “หลวงพอ่ ชว่ ยดว้ ยครบั ๆ
แม่ตู้หงวนหายครบั ” หลวงพอ่ ก็เลยถามวา่
“เอา้ หายไปไดอ้ ยา่ งไร? ผเู้ ฒา่ สงู อายถุ งึ ขนาดนแี้ ลว้
ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน วันพระเมื่อคืน คือวันท่ี ๒๖
แรม ๑๕ ค�่ำ ฝนกต็ กหนกั มากทัง้ คนื ”
“ถ้าอย่างนั้น ให้ลองกลับไปหาที่ถ้�ำปลาที่อยู่ตรง
ตีนเขา ตรงจดุ ท่ีหลวงพ่อเคยไปภาวนาดนู ะ”
จนสุดท้าย เขาก็ไปหาแม่ตู้เจอที่ถ้�ำปลาพอดีนะ
เปน็ ถำ้� ทอ่ี ยทู่ างทศิ ตะวนั ตกของบา้ นเพม่ิ โดยอยหู่ า่ งจาก
บา้ นเพม่ิ ไปประมาณ ๒ กม. กว่าๆ พอเจอแลว้ เขาเลยมา
นมิ นต์หลวงพอ่ ไปฉนั ทีบ่ ้านเขาในวันที่ ๒๘ เพอื่ รบั ขวญั
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 107
ใหก้ ำ� ลงั ใจ เพราะตอนนลี้ กู หลานขวญั หนดี ฝี อ่ กนั หมดแลว้
หลวงพอ่ กเ็ ลยรบั นมิ นต์
ทีนี้พอเจอหน้า หลวงพ่อก็เลยถามแม่ตู้หงวนว่า
“แมต่ เู้ ดนิ ไปอยา่ งไรเหรอ? แลว้ ไมค่ ำ�่ มดื เหรอ?” แมต่ หู้ งวน
ก็เลยเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า แม่ตู้เข้าไปหาเก็บเห็ดและ
หนอ่ ไมใ้ นปา่ แตห่ าไมไ่ ดเ้ ลย แกกเ็ ลยเดนิ ไปเรอ่ื ยๆ จนรสู้ กึ
เหน่ือย ก็เลยนงั่ พัก แล้วกภ็ าวนาพทุ โธๆ ไปเรือ่ ยๆ ด้วย
พอตกกลางคนื กไ็ ม่มดื ค�่ำ แต่กลับสว่าง ใบไมข้ ้างๆ ก็ยัง
เปน็ แสงสวา่ ง คอื เปน็ เหมอื นกบั เทยี นทจี่ ดุ สวา่ ง แตพ่ อแก
จบั มาดู กเ็ ห็นเปน็ ใบไม้นะ
หลวงพ่อก็เลยถามต่อว่า “แล้วมีคนอ่ืนอีกไหม?”
แม่ตู้หงวนก็ตอบว่า มี เห็นคนอยู่เยอะ เพียงแต่ไม่รู้ว่า
เป็นใคร เพราะเขาก็ไม่ได้เข้ามาใกล้ ก็เลยไม่ได้พูดคุย
ถามไถ่กันว่าเป็นใคร แต่ก็มีคนท่ีเข้ามาใกล้คือพ่อปู่กับ
แม่ย่าท่ีเสียไปแล้ว เห็นท่านมาน่ังตะบันหมากอยู่ข้างๆ
แล้วถามวา่ “เอ้า ลกู สะใภ้ มาท�ำอหี ยังอยู่แถวน?ี้ ” “ก็มา
หาเก็บเหด็ เกบ็ หน่อไม้” “แล้วได้บล่ ะ่ ?” “ก็พอได้อย่”ู
108
จากนนั้ กเ็ หน็ ครบู าอาจารยแ์ บบผา่ นๆ คอื เหน็ แวบ้ ๆ
แตไ่ มช่ ดั วา่ เป็นองคไ์ หน ตอนนง่ั พักอยู่ แมต่ หู้ งวนกล็ นื่
หกล้มไปทีหน่ึงจนคางไปกระแทกกับพ้ืน ส่วนขาก็โดน
หนามเกยี่ วเปน็ แผล ชว่ งทห่ี ลงอยนู่ นั้ กไ็ มไ่ ดท้ านอะไรเลย
แต่ก็ไมห่ ิวไม่เหน่อื ย เพราะยังไดด้ มื่ น้�ำอยู่ พอไปถงึ คลอง
กด็ มื่ น้�ำ แตไ่ มก่ ินมากกลัวปวดทอ้ ง
หลวงพ่อเลยถามต่อว่า “แล้วตอนท่ีจะกลับล่ะ
เป็นอย่างไร?” แม่ตู้หงวนกเ็ ล่าวา่ ตอนทจ่ี ะกลับ ก็มีคน
ตามมาส่งเยอะแยะเลย พากันมาบอกแม่ตู้ว่า ให้เดินไป
ตามทางนน้ี ะ อยา่ ไปทางอนื่ นะ แลว้ จะถงึ หมบู่ า้ น แกกเ็ ลย
เดินมาเรื่อยๆ จนมาเจอกับพวกท่ีออกตามหา ก็เลยได้
กลับออกมา
ในระหว่างท่ีแม่ตู้หายไป หลวงพ่อก็เข้าไปกราบรูป
เหมือนหลวงปู่ม่ัน แล้วก็ต้ังจิตอธิษฐานขอบารมีครูบา
อาจารย์และส่ิงศักดิ์สิทธิ์ว่า “ได้โปรดช่วยผู้เฒ่าด้วยเถิด
เพราะผู้เฒ่าเองก็เป็นผู้ถือศีลปฏิบัติธรรม มาโค้งสุดท้าย
ได้หายไป กด็ ูจะไม่ถกู ต้อง ไมเ่ ป็นธรรม เว้นเสยี แตถ่ ้าเขา
มีกรรมในอดีตชาตจิ รงิ ๆ ถ้าอยา่ งนน้ั กต็ อ้ งสุดแท้แต”่
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 109
จากนน้ั พอกลบั ไปหาแมต่ หู้ งวนอกี รอบ กเ็ จอตรงนน้ั
จริงๆ ทีนี้พวกญาติพ่ีน้องและชาวบ้านที่ออกตามหา
ก็เลยพากันฮือฮาว่า “โอ้โฮ พอหลวงพ่อให้ไปหาตรงน้ัน
ก็เจอจริงๆ หลวงพ่อน่ีแม่นอย่างกับมีตาทิพย์เลย เอ
แลว้ อยา่ งนจี้ ะรดู้ ว้ ยไหมหนอวา่ หวยงวดหนา้ นจี้ ะออกเลข
อะไร?”
ท่ีจริงก็ตาไม่ทิพย์หรอก เมื่อแม่ตู้หงวนกลับมา
คราวนี้ หลวงพ่อก็เลยบอกไปว่า “คงจะรับวิบากกรรม
ที่ผ่านมา ที่เจ้าตัวได้เคยขังหมูหมากาไก่ให้ตากแดด
ตากฝนไวก้ ระมงั ตอ่ ไปนกี้ อ็ ยา่ ไปทำ� บาปสมุ่ สสี่ มุ่ หา้ อกี นะ
แม่ตนู้ ะ”
ถ้าจะว่าไป ก็แปลกอยู่เหมือนกันนะ เพราะช่วงท่ี
หายไป แม่ตู้เล่าว่าในป่าฝนตกหนักมาก แต่ก็ไม่หนาว
ไมห่ วิ ทง้ั ทจ่ี รงิ กน็ า่ จะเปน็ ตะครวิ เพราะอายตุ ง้ั ๗๕ ปแี ลว้
คงเป็นอานิสงส์ผลบุญค้มุ ครอง
น่ีแหละ คนดีผคี ุ้มของจริง ถา้ เปน็ คนดมี ีศีลมธี รรม
ไม่ว่าไปตกระก�ำล�ำบากท่ีไหนก็ตาม ก็ยังมีสิ่งเกื้อหนุน
110
รองรับ คือถึงจะมีกรรมอยู่แต่ผลบุญก็ยังคอยตาม
ชว่ ยเหลอื บญุ ตวั นถี้ งึ มองไมเ่ หน็ แตเ่ ปน็ พลงั พอตกทกุ ข์
ได้ยากขึ้นมา บุญกุศลอันน้ีก็จะเข้ามาคุ้มครอง แต่ถ้า
พวกเราไม่เคยได้สร้างไว้ อะไรจะมาช่วยเราได้ล่ะทีน้ี
เพราะฉะนนั้ ให้ท�ำแตก่ รรมดี ถา้ ท�ำแตก่ รรมดี กรรมดกี ็
จะคุม้ ครอง
อยา่ งยายหงวนน้ีละ่ ถึงจะหลงอยูใ่ นป่าถึง ๓-๔ วนั
ไม่ได้กนิ ขา้ วปลาอาหาร ผู้เฒ่าก็นมิ ิตเห็นแตส่ ่ิงดีๆ มคี น
มีน�้ำใจเข้ามาช่วยเหลือมาส่งให้ จนลูกหลานได้ไปพบ
แมจ้ ะมีกรรมท�ำใหพ้ ลดั หลงไปบ้างก็ตามที
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 111
๑๘
ผสู้ ำ� รวมอินทรียย์ อ่ มพ้ นทุกขไ์ ด้
(ปญั จภรี ุกชาดก)
เมื่อพวกเราได้เข้ามาบวชเป็นพระ ก็ให้ยึดใน
คำ� สภุ าษติ ทว่ี า่ เกลอื รกั ษาความเคม็ ฉนั ใด กข็ อใหพ้ วกทา่ น
รกั ษาในการทำ� ความดฉี นั นน้ั อยา่ ไดล้ ดละ เพราะพวกเรา
ทา่ นทง้ั หลายถอื เปน็ ศากยบตุ ร เปน็ พทุ ธชโิ นรส ศากยบตุ ร
คอื เปน็ บตุ รของพระพทุ ธเจา้ สว่ นพทุ ธชโิ นรสคอื เปน็ โอรส
ของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ก่อนจะคิด จะพูด จะท�ำอะไร
กต็ อ้ งคดิ ใครค่ รวญใหร้ อบคอบดที สี่ ดุ กอ่ น กค็ อื ใหส้ ำ� รวม
กาย-วาจา-ใจของตนเองน่นั ล่ะ จงึ จะเปน็ พระทดี่ ไี ด้
ในครงั้ พุทธกาล มีพระท่อี ยู่ดว้ ยกนั ๖ องค์ มานั่ง
ล้อมวงสนทนาธรรมกัน องค์แรกก็บอกว่าผมส�ำรวมตา
องค์หนึ่งก็บอกว่าผมส�ำรวมหู อีกองค์ก็ว่าผมส�ำรวม
จมกู อกี องคก์ ว็ า่ ผมสำ� รวมลน้ิ อกี องคก์ ว็ า่ ผมสำ� รวมกาย
สว่ นองคส์ ุดทา้ ยกว็ ่าผมส�ำรวมใจ
112
สรุปคือต่างองค์ต่างก็พูดว่าตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ
อนั ทต่ี วั เองสำ� รวมอยอู่ นั นน้ั ละ่ ทเี่ ลศิ ประเสรฐิ กวา่ อนั อน่ื ๆ
ทีน้ีเม่ือหาข้อสรุปไม่ได้ พระสงฆ์เหล่านี้จึงได้ไปกราบทูล
ถามพระพุทธเจา้ เพือ่ ให้ทรงเปน็ ผูว้ ินจิ ฉัย
พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รสั วา่ “การสำ� รวมทวารทง้ั ๖ เหลา่ น้ี
น่ีแหละนับเป็นของท�ำไดย้ าก ในอดตี ชาติเราตถาคตกไ็ ด้
เคยบอกพวกทา่ นแลว้ วา่ ใหส้ ำ� รวมในทวารทงั้ ๖ แตเ่ พราะ
พวกท่านเคยขาดการส�ำรวมในทวารท้ัง ๖ จึงได้ตก
เป็นอาหารของยักษ์ขิณีในชาตินั้น” “สมัยไหนหนอ?
พระเจ้าข้า” พระพทุ ธองคจ์ ึงตรัสเลา่ วา่
สมัยหนึ่ง ท่ีพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี
ครองราชสมบัติอยู่ พระองค์ทรงมีพระโอรส ๑๐๐ องค์
โดยมีพระกุมารเป็นพระโอรสองค์เล็กสุด ครั้นเมื่อ
พระกุมารเจริญวัยข้ึน พระราชาก็ได้นิมนต์พระปัจเจก-
พทุ ธเจา้ ใหม้ าฉนั ในพระราชวงั ในทกุ ๆ วนั พระกมุ ารจงึ ได้
ทรงปฏิบตั ิดแู ลพระปจั เจกพุทธเจ้าตลอดมา
จนวันหน่ึง พระกุมารได้เข้าไปทูลถามพระปัจเจก-
พุทธเจ้าว่า “ข้าพระองค์ จะได้เป็นกษัตริย์ครองราชย์ใน
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สันตสุ สโก 113
แผน่ ดนิ นไี้ หม? พระเจา้ ขา้ ” พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ไดต้ อบวา่
“ดกู อ่ น พระกมุ าร พระองคจ์ ะไมไ่ ดค้ รองราชยใ์ นพระนครนี้
แตจ่ ะได้เปน็ กษตั รยิ ์ครองราชยใ์ นนครตักศิลาแทน”
“แล้วข้าพระองค์จะเดินทางไปยังนครตักศิลาได้
อย่างไรหนอ? พระเจา้ ข้า”
“ดกู อ่ น พระกมุ าร การเดนิ ทางไปยงั นครตกั ศลิ านนั้
จะต้องฝ่าป่าดงดิบที่มีฝูงยักขินีและรากษสที่จ�ำแลงเป็น
นางฟา้ คอยหนว่ งเหนีย่ วบุรษุ ผูเ้ ดนิ ทางอยู่
ขอใหเ้ ธอจงเป็นผสู้ ำ� รวมกาย วาจา ใจให้ดี ไมใ่ ห้ตก
เปน็ ทาสของกเิ ลส เพราะถา้ หากเธอไมส่ �ำรวมแลว้ เธอจะ
ตกเปน็ อาหารของยกั ขนิ แี ละรากษสเหลา่ นน้ั อยา่ งแนน่ อน
หากทำ� เชน่ นนั้ ได้ เธอจะไดค้ รองราชสมบตั ใิ นนครนน้ั
ใน ๗ วนั ตอ่ จากนไ้ี ป เพราะขณะนเ้ี มอื งตกั ศลิ ายงั วา่ งจาก
พระเจ้าแผ่นดินอยู่ เขาก�ำลังจะมีการเสี่ยงทายหาพระเจ้า
แผน่ ดินในอีก ๗ วันขา้ งหน้า ดังนัน้ จะต้องรีบเดนิ ทาง
ให้ถึงภายใน ๗ วัน”
พระกมุ ารรบั โอวาทแลว้ กเ็ ตรยี มออกเดนิ ทาง พอเดนิ
ผ่านสนามพระราชส�ำนัก เมื่อเหล่ามหาดเล็กสังเกตเห็น
114
ก็พากันถามว่า “พระกุมารจะไปไหนหนอ? พระเจ้าข้า”
“เราจะออกเดนิ ทางไปเมอื งตักศลิ า”
“ขอให้พวกข้าพระองค์ติดตามไปด้วยเถิด
พระเจ้าข้า” “อย่าเลย เพราะถ้าพวกท่านไม่เข้มแข็งพอ
กจ็ ะตกเป็นอาหารของยักขนิ ีและรากษส”
“พวกข้าพระองค์ ขอให้สัจจะว่าจะหนักแน่นไม่
หวน่ั ไหวตอ่ สงิ่ ยว่ั ยทุ ง้ั ปวง พระเจา้ ขา้ ” “ถา้ เชน่ นนั้ กจ็ งมา
ด้วยกันเถิด”
ผลท่ีสุด พระกุมารก็ออกเดินทาง โดยมีมหาดเล็ก
ท้ัง ๕ ขอติดตามไปด้วย เมื่อเดินทางผ่านป่าดงดิบก็มี
ฝูงยักขินีเนรมิตเป็นหญิงสาวสวยมาเชิญชวนให้ไปพักยัง
ศาลาทต่ี นเนรมติ ไว้ พระกุมารกไ็ ม่ยอมมอง มีแตก่ ้มหนา้
เดนิ ดุ่มๆ ไปส่จู ุดหมายปลายทางของตนคือเมืองตักศลิ า
สว่ นมหาดเลก็ ผู้หน่ึงทีห่ ลงในรูป เม่ือเห็นหญิงสาวจ�ำแลง
กเ็ กิดลมุ่ หลงจนเดินร้ังทา้ ย
“เจ้าอย่าได้หลงในรูปของสาวสวยท่ีเห็นนั้นเลย
เพราะแท้จริงแล้วน่ันคือนางยักษ์จ�ำแลงมาเพื่อหลอกกิน
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 115
มนษุ ย”์ “แตข่ ้าพระองคท์ นไม่ไหวแล้ว เชิญพระกุมารไป
กอ่ นเถิด แล้วข้าพระองค์จะรบี ตามไปทหี ลงั พระเจ้าขา้ ”
เมือ่ ไมอ่ าจห้ามได้ พระกมุ ารจงึ รีบพามหาดเลก็ อกี ๔ คน
ที่เหลือเดินทางต่อไป ส่วนมหาดเล็กบุรุษผู้หลงในรูปนั้น
เม่ือมาถึงศาลา สาวสวยน้ันก็ได้กลายร่างเป็นนางยักษ์
จบั มหาดเล็กคนแรกนี้กินเปน็ อาหารทันที
จากน้ันนางยักษ์ก็ไปเนรมิตศาลาดักอยู่ข้างหน้าอีก
โดยคราวนจ้ี ำ� แลงกายนงั่ ขบั รอ้ งเลน่ เครอื่ งดนตรตี า่ งๆ อยู่
มหาดเล็กคนที่ ๒ ทหี่ ลงในเสยี งดนตรกี ต็ ัดสนิ ใจหยดุ พัก
ยังศาลาท่ีนางยักษ์เนรมิตไว้ “ข้าพระองค์ทนไม่ไหวแล้ว
เสยี งดนตรนี นั่ ชา่ งไพเราะจบั ใจเหลอื เกนิ เชญิ พระกมุ ารไป
กอ่ นเถดิ แล้วข้าพระองค์จะรบี ตามไปทีหลัง พระเจา้ ข้า”
มหาดเล็กคนท่ี ๒ ไม่ฟังค�ำทัดทานของพระกุมาร
เขา้ ไปยังศาลาที่นางยกั ษ์จ�ำแลงขบั กล่อมเพลงอยู่ เมอ่ื ไป
ถงึ กถ็ กู นางยกั ษจ์ บั กนิ อกี พระกมุ ารและมหาดเลก็ ทเ่ี หลอื
ยังคงเดินมุ่งหน้าไปยังนครตักศิลา ต่อมามหาดเล็กคนที่
๓ ผหู้ ลงในกลนิ่ กถ็ กู นางยกั ษล์ วงดว้ ยกลนิ่ ใหแ้ วะยงั ศาลา
จนตอ้ งตกเป็นอาหารของนางยักษ์อกี
116
พระกุมารและมหาดเล็กอีก ๒ คนที่เหลือเดินทาง
ต่อไปข้างหน้า ก็เจอนางยักษ์เนรมิตศาลาดักรออยู่
ในศาลานนั้ เตม็ ไปดว้ ยอาหารนานาชนดิ มหาดเลก็ คนท่ี ๔
ผหู้ ลงในรสอาหาร เมอ่ื เหน็ อาหารนน้ั แลว้ กน็ กึ อยากลมิ้ รส
จนทนไม่ไหว ต้องขอแวะเข้าไปกนิ อาหารในศาลา แต่กิน
ยังไมท่ ันจะอิ่มก็ถกู นางยักษจ์ บั กนิ เป็นอาหาร
นางยักษ์ได้ติดตามพระกุมารไปจนถึงเมืองตักศิลา
พระกุมารและมหาดเล็กอีก ๑ คนทเ่ี หลอื ก็เดินทางตอ่ ไป
ก็พบกบั นางยักษท์ ีม่ าดักรออยู่อกี คราวนี้ไดเ้ นรมิตศาลา
พรอ้ มดว้ ยทน่ี อนทเี่ บานมุ่ ดจุ ดงั ทน่ี อนทพิ ยใ์ นสรวงสวรรค์
นางยกั ษจ์ ำ� แลงไดช้ กั ชวนให้เข้าไปนอนพักผอ่ นท่ศี าลา
มหาดเลก็ คนที่ ๕ ผหู้ ลงในสมั ผสั ไมฟ่ งั เสยี งทดั ทาน
ของพระกุมาร เข้าไปยังศาลาแล้วนอนลงยังท่ีนอนท่ี
เนรมติ ไว้ แตย่ งั ไมท่ นั ไรกต็ อ้ งตกเปน็ อาหารของนางยกั ษ์
สรุปแล้ว มหาดเล็กท้ัง ๕ คนได้ถูกยักขินีจับกิน
จนหมด เพราะขาดการส�ำรวมในอินทรีย์ ๖ คือ ตา-หู-
จมกู -ลนิ้ -กาย-ใจ มแี ตพ่ ระกมุ ารเทา่ นนั้ ทเ่ี ดนิ ทางไปจนถงึ
เมอื งตักศิลา
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 117
เมอื่ มาถงึ พระกมุ ารกข็ นึ้ ไปพกั ผอ่ นบนแทน่ ศลิ าอาสน์
ทางราชวังก็แห่ราชรถมาอัญเชิญให้ขึ้นครองราชย์แล้ว
ก็ถวายราชสมบัติให้ สุดท้ายพระกุมารก็ได้ขึ้นเป็น
พระเจ้าแผ่นดินเมืองตักศิลา ในชาติน้ันเราตถาคตได้
เสวยพระชาติเป็นพระกุมาร เม่ือพระพุทธองค์ทรงยก
ชาดกน้ีมาแล้ว ทรงตรัสว่า
“ผใู้ ดก็ตาม ที่เปน็ สมณะนักบวช เป็นผ้ปู ฏบิ ตั ิธรรม
ถ้าไม่ส�ำรวมในอินทรีย์ ๖ คือ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ
ของตนเองแล้วล่ะก็ ก็ย่อมตกเป็นอาหารของยักขินีและ
รากษสทัง้ หลาย การส�ำรวมอนิ ทรยี ์ ๖ น้เี ปน็ หนทางทจี่ ะ
พน้ จากทกุ ขไ์ ด้ ดงั นนั้ ขอใหพ้ วกทา่ นทง้ั ๖ องค์ จงสำ� รวม
ในอินทรีย์ ๖ คือ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ของตนเอง
หากท�ำได้ก็จะเป็นผู้พ้นทุกข์ในสงสารวัฏถึงแดน
พระนพิ พาน”
น่แี หละ ขอใหพ้ วกเราทา่ นทัง้ หลาย จงเป็นผ้สู �ำรวม
ในอินทรีย์ทั้ง ๖ ของตนเอง หากท�ำได้พวกเราก็จะถึง
จดุ หมายปลายทางได้
118
๑๙
การมีสติกบั ตนนนั้ แล
คอื การภาวนา
นกั ปฏบิ ตั สิ ว่ นมากเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ เราตอ้ งเดนิ จงกรม
หรือนั่งสมาธิเสียก่อน แล้วถึงจะเรียกว่าเป็นการภาวนา
อนั นเ้ี ปน็ ความเขา้ ใจทย่ี งั คลาดเคลอื่ นอยู่ มนั กไ็ มใ่ ชแ่ บบนนั้
เสมอไป เพราะแท้ท่ีจรงิ แลว้ การภาวนา คอื การทำ� จติ ให้
อยกู่ บั ตวั เอง ใหม้ สี ตสิ มั ปชญั ญะอยใู่ นทกุ อริ ยิ าบถ ดงั นนั้
ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม แต่ถ้าจิตใจของเรา
อยกู่ ับตวั เองแลว้ ละก็ นัน่ ละ่ คือการภาวนา
ในทางตรงกนั ขา้ ม ถงึ แมว้ า่ เราจะนง่ั หลบั ตาทำ� สมาธิ
หรือเดินจงกรมอยู่ก็ตามที แต่ถ้าจิตใจของเราเอาแต่ส่ง
ออกไปข้างนอก อันนี้ก็เป็นแค่การน่ังคิดปรุงฟุ้งซ่านไป
เร่ือยเทา่ นน้ั ยงั ไมใ่ ช่การภาวนา
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นจึงทรงเน้นว่า ในแต่ละวนั ไม่ว่าเรา
จะท�ำกิจกรรมอะไรอยู่ หรือไม่ว่าเราจะอยู่ ณ สถานท่ีใด
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 119
กใ็ ห้เรามสี ติสัมปชัญญะอย่กู บั ตนเองให้ไดม้ ากทสี่ ดุ เทา่ ท่ี
จะมากได้ เพราะการที่เรามีสติอยู่กับตนเองน้ันก็เหมือน
กับว่าเราภาวนาอยู่ตลอดเวลา
แลว้ การภาวนานน้ั เราจะตอ้ งเร่มิ ตน้ อยา่ งไร?
เรม่ิ แรก เราก็ต้องค่อยๆ ฝึกหดั ไปทีละน้อยๆ กอ่ น
เม่ือเราฝึกไปทีละน้อยๆ แล้ว ต่อไปมันก็จะเป็นนิสัย
เป็นท่มี งุ่ มัน่ ตง้ั ใจ และเปน็ ทเี่ ราอยากจะท�ำในจดุ นน้ั ใหไ้ ด้
ในเมอ่ื เรามคี วามพยายามตงั้ ใจอยู่ ในสกั วนั มนั กส็ น้ั เขา้ มาๆ
เหมือนเวลาเราเล้ียงวัวเล้ียงควาย ตอนแรกมันออกไป
หากินห่างไกล ต่อไปเราก็พยายามดูแลปกป้องมันเข้ามา
เรอื่ ยๆ จากนน้ั เรากเ็ อาเชอื กมามดั ผกู ตดิ กบั หลกั ผลทส่ี ดุ
พอมันจะขยับ เราก็รู้ไดว้ ่ามันจะขยบั เพราะสติเราทันมัน
นี้ก็เหมือนกัน ใจเราทีแรก มันก็อยู่ห่างไกลไม่รู้ว่า
ไปถึงไหน แต่ตราบใดท่ีเรามีความพยายาม มุ่งม่ันต้ังใจ
เอาสตเิ ขา้ ไปจบั ไปไลต่ อ้ นมา ใหม้ นั เขา้ มาอยใู่ นกายของเรา
ผลทสี่ ดุ กำ� หนดลมหายใจเขา้ -ออกมนั กอ็ ยู่ แตถ่ ึงมันจะ
อยกู่ เ็ ถอะ จติ มนั กย็ งั คดิ ปรงุ ฟงุ้ ซา่ น จติ มนั กย็ งั สง่ ออกไป
120
ข้างนอกอยู่บ้างเป็นบางครั้ง เราก็พยายามท�ำความเพียร
ตดิ ต่อกันให้สบื เนือ่ งให้ได้อย่างสม�ำ่ เสมอ
ผลทส่ี ดุ สตกิ บั จติ มนั กน็ ง่ิ พอจติ มนั นง่ิ จนเกดิ ความ
สงบได้แล้ว จากนั้นพอจิตมันจะขยับจะเคลื่อนออกจาก
ฐานทตี่ ง้ั คอื ความสงบอกี สตเิ รากจ็ ะทนั มนั อกี ทนี ้ี ตราบใด
ทีเ่ รายงั มคี วามต้ังใจ มีความพยายามอยู่ น่แี หละ อันนค้ี ือ
วิธีการท�ำจิตให้สงบ ให้มีสติสัมปชัญญะในการเป็นอยู่ใน
ทุกอริ ิยาบถ
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตสุ สโก 121
๒๐
ความเปน็ มา ตอน ๕:
ความเปน็ มาของคาถานกค้มุ
(วฏั ฏกปรติ ร)
สมัยหน่ึง พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปบิณฑบาตในกรุง
ราชคฤห์ แควน้ มคธ พรอ้ มดว้ ยสงฆห์ มใู่ หญห่ ลายรอ้ ยรปู
ครั้นเสด็จแล้ว พระพุทธเจ้าจึงเสด็จเข้าไปประทับในป่า
แหง่ หนึง่ พร้อมกับเหลา่ สงฆ์ ขณะนน้ั ไดเ้ กดิ ไฟปา่ ข้นึ มา
รอบดา้ นในทศิ ทัง้ ๔ จนสงฆ์ท้งั หลายพากันตน่ื ตระหนก
บางองคก์ จ็ ะพากนั ไปดบั ไฟ บางองคก์ พ็ ยายามจดุ ไฟเพอื่
ท�ำเป็นแนวกันไฟ แต่ก็ได้มีพระเถระในท่ีน้ันแนะน�ำว่า
ก็ในเม่ือพระพุทธเจ้าประทับอยู่ด้วยกันกับเราในท่ีน้ี
เราก็ควรไปกราบทูลพระองค์ให้ทรงทราบและแนะน�ำใน
เร่ืองน้ีจะดีกว่า
122
พระสงฆ์จึงพากันไปกราบทูลพระพุทธเจ้าท่ีประทับ
อยู่ ณ โคนตน้ ไทรใหญต่ น้ หนง่ึ เมอื่ พระองคท์ รงทราบเรอ่ื ง
ไฟป่า จึงได้ทรงเสด็จลุกข้ึนยืนทอดพระเนตรไปยังไฟป่า
ทม่ี าในทิศทงั้ ๔ ทนั ใดน้ันเองไฟปา่ เหลา่ น้นั ก็ได้ดับหมด
ในทนั ที
เมื่อสงฆ์ท้ังหลายเห็นดังนั้น ต่างพากันสรรเสริญว่า
“พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าเป็นท่ีมหัศจรรย์ยิ่งนัก
พระเจา้ ขา้ ” พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั วา่ “ดกู อ่ น สงฆท์ ง้ั หลาย
การทไี่ ฟปา่ ดบั ไปในจุดนีน้ ้นั ไม่ใช่เพราะพทุ ธานุภาพของ
เราตถาคตในชาตินี้ แต่เป็นเพราะอ�ำนาจแห่งสัจจะวาจา
บารมขี องเราตถาคตท่มี มี าแล้วต้ังแต่ในอดีตชาต”ิ
คร้นั แลว้ พระพทุ ธองคก์ ท็ รงตรสั เลา่ วา่
ในอดีตชาตสิ มัยหน่งึ พระองค์ไดท้ รงเสวยพระชาติ
เป็นนกคุ้ม คือเป็นพญานกคุ้มโพธิสัตว์ อาศัยอยู่ในป่า
แควน้ มคธ ครน้ั เมอื่ เกดิ ออกจากไขแ่ ลว้ วนั หนงึ่ ทพี่ อ่ และ
แม่นกค้มุ พากันออกไปหากนิ ปล่อยใหล้ กู นกคุ้มอยใู่ นรงั
ตามลำ� พงั ขณะนน้ั กไ็ ดเ้ กดิ ไฟปา่ ลามเขา้ มา ทำ� ใหน้ กทง้ั หลาย
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 123
รวมถึงพ่อและแม่นกคุ้ม พากันบินหนีตาย ปล่อยลูกนก
ทง้ิ ไวต้ ามลำ� พัง
จนเม่ือไฟป่าเข้ามาในทิศท้ัง ๔ รอบรัง ขณะนั้น
ลูกนกคุ้มเพิ่งจะเกิดใหม่ ขนก็ยังไม่มี ขาก็ยังอ่อนอยู่
เดินไม่ได้ เมื่อได้รู้ว่าตนเองตกอยู่ในวงล้อมของไฟป่า
พอเหลยี วหาพอ่ แมน่ กคมุ้ กไ็ มเ่ หน็ ลกู นกคมุ้ กค็ ดิ วา่ บดั น้ี
พ่อแม่เราไม่อยู่เสียแล้ว ก็คงจะไม่มีอะไรคุ้มครองเราได้
นอกจากบุญบารมีของเราเอง ลูกนกคุ้มโพธิสัตว์จึงได้
ตงั้ สจั จะวาจาวา่
“คณุ ของศีลนั้นมอี ยู่ คณุ ของธรรมนน้ั มอี ยู่ คุณของ
สจั จะวาจานนั้ มีอยู่ ปีกท้ัง ๒ ของขา้ พเจ้านัน้ มีอยู่ แตย่ ัง
บนิ ไม่ได้ เพราะไม่มีขน เท้าทง้ั ๒ ของขา้ พเจ้ามีอยู่ แตย่ ัง
เดนิ ไม่ได้ เพราะยงั เป็นลกู นก พ่อแมข่ องข้าพเจ้าน้นั มอี ยู่
แตบ่ ดั นมี้ ไิ ดอ้ ยู่กับขา้ พเจา้ แลว้
คงไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองข้าพเจ้าให้รอดพ้นจาก
ความตายในคราวนไ้ี ด้ นอกจากศีลบารมแี ละสจั จะบารมี
ทข่ี า้ พเจา้ ไดบ้ ำ� เพญ็ มาในอดตี ชาตเิ ทา่ นน้ั ทจ่ี ะคมุ้ ครองตวั
ข้าพเจ้าได้
124
ด้วยอ�ำนาจแห่งศีลบารมีและสัจจะบารมีเหล่านี้
ขอจงช่วยคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอไฟป่าจงดับไป
ดว้ ยเถิด นเี้ ป็นสัจจะวาจาของขา้ พเจ้า”
คือลูกนกคุ้มได้ต้ังจิตอธิษฐาน โดยระลึกถึงคุณ
ความดีของศีลและสัจจะท่ีตนได้ท�ำสั่งสมมาในอดีตชาติ
เมือ่ สิน้ ค�ำอธิษฐานนี้ ไฟปา่ ทีไ่ หมม้ าในทั้ง ๔ ทิศก็ดบั ลง
ในทนั ที โดยได้ดับอย่หู ่างจากรัง ๑๖ กรีส (ประมาณ ๑
กิโลครงึ่ ) ทแ่ี นวไฟป่าเข้ามาไม่ถึง
นับแต่นั้นมา คือตลอดทั้งกัลป์จวบจนมาถึงกาลนี้
ไฟป่าก็มิอาจเผาไหม้เข้ามาถึงเขตนี้ได้อีกเลย ซ่ึงมี
อาณาเขตโดยรอบ ๑๖ กรีส (ประมาณ ๑ กิโลคร่ึง)
เมอื่ ไฟปา่ เขา้ มาถงึ เขตนเ้ี มอ่ื ไหร่ ก็จะดบั ลงทุกครงั้
จนกระท่ังถึงสมัยที่พระพุทธเจ้าของเราอุบัติข้ึนมา
ในโลก เม่ือพระองคท์ รงไปอยู่ที่นั่นในวนั น้ัน ไฟป่ากเ็ ลย
ไหม้มาไม่ถึงพระองค์ ด้วยอ�ำนาจแห่งสัจจะอธิษฐาน
ของพญานกคุ้มโพธิสัตว์ในชาติน้ัน ซ่ึงบัดนี้ได้มาเป็น
พระพุทธเจ้า ส่วนพ่อและแม่นกคมุ้ ในชาติน้นั บดั น้ีได้มา
เปน็ พระบิดาและพระมารดาของพระพทุ ธองค์ในชาตนิ ้ี
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สันตสุ สโก 125
นี่แหละ อันน้คี อื ความเป็นมาของคาถานกคุ้ม
ดงั นนั้ ขอใหเ้ รามสี จั จะคอื ใหม้ คี วามจรงิ จงั และจรงิ ใจ
ในการปฏิบัติไม่ว่าจะสวดมนต์, ถือศีล และเจริญภาวนา
ก็ใหม้ คี วามต้ังใจในการท�ำคุณงามความดี ในเม่ือเรามีศีล
และสจั จะดีแลว้ ถึงแมจ้ ะเปน็ เพียงช่วั ครัง้ ชวั่ คราวก็ถอื วา่
เปน็ ศลี และสจั จะบารมแี ลว้ ถา้ เวลามคี วามทกุ ขย์ ากลำ� บาก
เกดิ ขนึ้ มา กใ็ หเ้ รารำ� ลกึ ถงึ ศลี ถงึ สจั จะเหมอื นอยา่ งนกคมุ้
ในชาดกนแ้ี หละ ถา้ ไมเ่ หลอื บา่ กวา่ แรงจรงิ ๆ กจ็ ะคมุ้ ครอง
เราให้รอดปลอดภยั ได้
(หมายเหตุ: วัฏฏกปริตรเป็นพระปริตรที่กล่าวอ้าง
คณุ ของศลี , สมาธ,ิ ปญั ญา, วิมตุ ติ, วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ
และสัจจะของพระพุทธเจ้าท้ังหลายในอดีต แล้วน้อมเอา
พระพุทธคุณดังกล่าวมาบังเกิดเป็นอานุภาพปกป้อง
คุ้มครองอันตรายที่จะเกิดจากไฟทั้งหลายให้เกิดความ
สขุ สวัสดีแกช่ วี ติ การสวดคาถานช้ี ว่ ยให้เกิดความรม่ เยน็
เปน็ สขุ และชว่ ยปอ้ งกนั อนั ตรายจากไฟและเหตเุ ดอื ดรอ้ น
วุ่นวายต่างๆ)
126
๒๑
ไมส่ ง่ พระไปตาย
วดั ปา่ หลุบเลา บ้านวงั แข้ (อ.นายงู จ.อุดรฯ) เป็นวดั
ท่ีหลวงพ่อสร้าง คือหลวงพ่อเป็นผู้รับมอบมาจากกรม
ป่าไม้ แล้วก็ได้มอบหมายให้อาจารย์เรืองท่านไปอยู่ดูแล
แตท่ า่ นกม็ าอยอู่ งคเ์ ดยี วอกี ทนี ้ี จะใหว้ า่ อยา่ งไรดลี ะ่ เพราะ
มนั เปน็ ปจั เจกนสิ ยั คอื ชอบอยอู่ งคเ์ ดยี ว ถา้ มอี กี คนมาอยู่
ดว้ ยเป็น ๒ องค์ กจ็ ะรสู้ กึ อึดอดั ไมส่ บายใจ แตถ่ ้าใหอ้ ยู่
องค์เดียวล่ะก็สบายใจ ส่วนคนที่ไปอาศัยอยู่ด้วย พอไป
อยู่ด้วยแล้วเห็นเจ้าของอึดอัด ตัวเองก็เลยพลอยอึดอัด
ไปด้วย ทีนี้เลยกลายเป็นว่า อยู่กันด้วยความไม่ผาสุก
ทง้ั ผ้อู ย่ผู ู้ไป ผลทส่ี ดุ กเ็ ลยต้องอยู่องคเ์ ดยี ว
อย่างวัดป่านาแค บ้านนาแค (อ.นายูง จ.อุดรฯ)
ก็ลักษณะเดียวกัน เพราะวัดมีเนื้อที่ ๕,๐๐๐ กว่าไร่
หลวงพ่อกเ็ ลยไปสรา้ งศาลาหลงั ใหญเ่ อาไว้ให้ แรกๆ ก็ให้
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 127
พระไปอยู่ ๕-๗ องค์ ต่อมาพอให้อาจารยศ์ กั ด์ทิ า่ นไปอยู่
กอ็ ยอู่ งคเ์ ดยี วมาตลอดจนเกอื บ ๑๐ ปแี ลว้ ศาลากร็ นุ่ ใหม่
สวยงามอีกต่างหาก แต่จะท�ำอย่างไรได้ล่ะ แค่ตัวเอง
องค์เดียวจะดูแลรักษาศาลาก็ยังจะไม่ไหว แล้วจะต�ำหนิ
ใครไดล้ ะ่ ทนี ้ี ก็เพราะตัวเองอยู่ไดแ้ ตก่ ับตวั เองนีล่ ะ่
คือท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธหมู่พวกนะ ใครท่ีอยากจะมา
กม็ าได้ แตพ่ อมาอยู่ กอ็ ยไู่ มท่ นอกี เพราะเหตใุ ด? กเ็ พราะ
ไม่มีใครแนะน�ำส่ังสอน หลวงพ่อเองทีแรกก็ส่งพระในวัด
ของเราไปนะ เพราะวดั เรากม็ พี ระมากอยู่ พอทจ่ี ะเฉลยี่ ได้
กส็ ง่ ไปตามวดั สาขาทย่ี งั ขาดพระ แตพ่ อสง่ ไปทไี ร กเ็ หมอื น
กบั ปลอ่ ยปลาไหลใสข่ โ้ี คลนหายเงียบทกุ ที
นกี้ เ็ หมอื นกนั พอสง่ ไปใหมๆ่ กด็ อี ยหู่ รอก แตพ่ ออยู่
ด้วยกนั ไปสกั พกั สมภารบ้าง พระท่ีไปอยู่บ้าง ความคดิ
ไมต่ รงกนั ผลทสี่ ดุ พระกเ็ ลยหนเี ตลดิ เปดิ เปงิ หรอื ลาสกิ ขา
ไปเลยก็มีมาก เม่ือหลวงพ่อมาพิจารณาดูแล้ว อันนี้
มันเป็นไปตามบุญวาสนาบารมีของสมภารแต่ละองค์
เราเอาเขา้ ไปใหไ้ มไ่ ด้ เพราะมนั กไ็ มไ่ ดม้ าจากบญุ บารมขี อง
สมภารองค์นน้ั ๆ
128
ถ้าเราเอาเข้าไป มันกเ็ หมอื นเอาไปขวางกันแล้วทนี ้ี
ทีแรกก็อยากจะได้หมู่อยู่ แต่พออยู่ไปแล้วมันขวางกัน
ผลท่สี ดุ กเ็ ลยอย่ดู ว้ ยกนั ไม่ได้ ไมร่ วู้ ่าใครขวางใครแล้วทนี ี้
ส่งไปทีไร แทนท่ีจะงอกเงย แทนที่จะช่วยกันดูแลรักษา
สมบตั ทิ ค่ี รบู าอาจารยท์ า่ นไดม้ าสรา้ งเอาไวเ้ พอื่ เปน็ สถานที่
ปฏิบัติธรรมต่อไปภายภาคหน้า
หลวงพอ่ กป็ วารณาไวอ้ ยแู่ ลว้ วา่ ถา้ มปี ญั หาหรอื ขาด
เหลอื อะไรในปจั จัย ๔ ก็เข้ามาหาหลวงพ่อได้ ถ้ามคี วาม
จำ� เปน็ อะไรทมี่ นั ขาด ทจี่ ะตอ้ งไดใ้ ช้ กเ็ ขา้ มาบอกเราไดน้ ะ
หลวงพ่อก็ปวารณาไว้อยู่ ไม่ใช่ว่าพอส่งไปแล้วก็ปิด
ประตูวัด ไม่ให้กลบั เข้ามาอีก ไมใ่ ชอ่ ยา่ งนน้ั เราเองกเ็ ปดิ
ประตูวัดไว้อยู่ตลอด ถ้าไปแล้วไม่น่าอยู่ จะกลับมาอีก
ก็ไดน้ ะ ทีน้หี ลวงพ่อก็เลยบอกว่า
“เออ พวกสมภารทัง้ หลายเน้อ บารมีตนเองมันต้อง
สร้างต้องหาเอง มันต้องแนะน�ำสั่งสอนอบรม มันต้อง
โน้มนา้ วจิตใจผมู้ าอยูเ่ อง มนั จงึ อยไู่ ด้ยืดยาว จะอาศัยแต่
วดั ใหญส่ ง่ ไปใหอ้ ยา่ งเดยี ว มนั ไมไ่ ดห้ รอก สมภารทง้ั หลาย
ต้องชว่ ยๆ กันคิดนะ ผมจะหยดุ ส่งแลว้ นะทนี ้”ี
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 129
นแ่ี หละ หลวงพอ่ เองกไ็ ม่ใช่ว่าจะใจดำ� ไม่สง่ พระไป
อยู่กับสมภาร หลวงพ่อน่คี ดิ แล้วคดิ อกี แต่เพราะทีผ่ ่านๆ
มามันเป็นแบบนี้จริงๆ จนหลวงพ่อเพ่ิงจะมาเข้าใจว่า
เพราะอยา่ งนนี้ เี่ อง หลวงปมู่ นั่ ทา่ นจงึ ไมส่ ง่ พระไปวดั ตา่ งๆ
เวลาท่ีญาตโิ ยมเขามาขอพระจากท่าน
ในช่วงท่ีหลวงตามหาบัวท่านอยู่กับหลวงปู่ม่ันท่ี
วดั ปา่ หนองผอื นาใน (อ.พรรณานคิ ม จ.สกลนคร) ศรทั ธา
ญาตโิ ยมจากบา้ นกดุ ไห เขามาหาหลวงปมู่ นั่ เพราะตอนที่
หลวงตามหาบัวออกไปเที่ยวปลีกวิเวกภาวนาอยู่ท่ีน่ัน
ชาวบ้านเขาศรัทธาเล่ือมใสมาก เพราะองค์หลวงตาท่าน
เข้าอกเขา้ ใจ รูจ้ กั วิธกี ารพดู คยุ กบั ชาวบ้าน
ผลท่ีสุด พอหลวงตามหาบัวท่านกลับจากเท่ียว
วิเวกในคร้ังน้ัน ชาวบ้านเขาก็เลยเฮโลเข้ามาขอท่านกับ
หลวงปมู่ นั่ วา่ “พวกขา้ นอ้ ย อยากจะไดพ้ ระ กเ็ ลยอยากจะ
มาขอทา่ นอาจารยม์ หาบวั ไปอยู่จ�ำพรรษาดว้ ยเถิด”
หลวงป่มู น่ั ท่านก็บอกวา่ “เอ้อ ก็สดุ แทแ้ ต่มหาเนอ้
จะไปอยกู่ ็ได้ ไม่ไปก็ได้ สดุ แท้แตน่ ะ” (หลวงตามหาบัว
130
ทา่ นเรยี นจบเปรยี ญธรรม ๓ ประโยค ทา่ นจงึ ไดส้ มณศกั ด์ิ
เป็น พระมหา ในสมัยน้ันพระท่ีเรียนจบ ปธ. ๓ นั้นมี
น้อยมาก ผู้คนจึงเรียกท่านว่า มหาบัว กันจนติดปาก
จนบางคนจึงเข้าใจผิดคิดว่าท่านชื่อมหาบัว ชื่อจริงท่าน
ช่ือบัว หลวงปู่ม่ันท่านจึงเรียกหลวงตามหาบัวว่า มหา
หรือไมก่ ็ ท่านมหา)
คือหลวงปู่มั่นท่านก็ไม่ได้บังคับอะไรนะ ทีนี้องค์
หลวงตาท่านก็เห็นว่า “เออ เราน่าจะไปสงเคราะห์เพื่อ
ฉลองศรทั ธาเขา” ปนี นั้ ทา่ นกเ็ ลยไปจำ� พรรษาทบี่ า้ นกดุ ไห
พอต่อมาเวลาท่ีมีญาติโยมมาขอพระอีก หลวงปู่มั่น
ท่านก็มีแต่บอกว่า “เอ้อ อันน้ีก็สุดแท้แต่พระท่านนะ
ถ้าองค์ไหนอยากจะไป ก็ไปได้นะ แต่ถ้าจะให้เราส่งไป
ไม่ เราไมส่ ่ง”
อย่างหลวงตามหาบัวเองก็เหมือนกัน เวลาท่ีท่าน
มาอยู่ท่ีบ้านตาด ญาติโยมไม่รู้ว่าเท่าไหร่ท่ีเขามานิมนต์
ขอพระจากทา่ น ทา่ นกม็ แี ตบ่ อกวา่ “ไมไ่ ดห้ รอก เราไมส่ ง่
พระไปวัดต่างๆ เพราะเวลาเราส่งไป บางองค์ก็ลืมตัวไป
อวดศักดาอีกต่างหากว่า น่ีท่านอาจารย์มหาบัวส่งผมให้
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 131
มาเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้ปกครองดูแล หรือบางองค์ก็คิด
นอ้ ยใจไปเองวา่ เราขบั ไลไ่ สสง่ ใหอ้ อกจากวดั อยา่ งนนั้ กม็ ”ี
เพราะฉะน้ัน ใครอยากไปอยู่ท่ีไหน ก็ให้พิจารณา
ด้วยตนเองตามความเหมาะสมก็แล้วกัน ถ้าพร้อมแล้ว
ก็ไปได้นะ หลวงพ่อไม่ว่า แต่ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งไป
ให้อยู่ศึกษาไปก่อน เพราะเร่ืองวัตถุภายนอกน้ัน ไม่ใช่
ของจ�ำเป็นส�ำคัญ ตัวเองนั้นส�ำคัญกว่า ถ้ามองดูตัวเอง
แล้วว่าตัวเองพร้อมแล้วเม่ือไหร่ เม่ือน้ันล่ะไปที่ไหน
ก็ไปเถอะ แต่ถ้าดูตัวเองแล้วว่ายังไม่พร้อมแล้วยังฝืน
ไปนะ ไปแบบนกี้ เ็ ท่ากบั ว่าไปตาย ตายจากอะไร? ก็ตาย
ออกจากพระศาสนาไงละ่
ตลอดเวลาทีห่ ลวงพอ่ อยู่ท่ีวัดปา่ บ้านตาด เปน็ เวลา
๑๒ ปี หลวงพอ่ เองกไ็ มเ่ คยเหน็ วา่ หลวงตามหาบวั ทา่ นจะ
ส่งพระไปที่ไหน อย่างตัวหลวงพ่อเองที่มาอยู่ท่ีนี่ก็
เหมือนกัน ก็ไม่ใช่เพราะว่าท่านจะส่งมา แต่เป็นเพราะ
หลวงพ่อเคยมาเที่ยวธุดงค์แถบนี้อยู่หลายปี ก็เห็นว่า
ท่ีตรงนี้สัปปายะ แล้วก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากองค์หลวงตา
คอื พอทจ่ี ะไปมาหาสกู่ ันไดใ้ น ๑ วัน
132
พอมองดูตัวเองก็ว่า บัดน้ีเราน่าจะออกมาอยู่ที่นี่
แตก่ ารทห่ี ลวงพอ่ จะเขา้ ไปขออนญุ าต แลว้ กก็ ราบลาทา่ น
ต่อหน้าตรงๆ เลยน่ี หลวงพ่อเองก็ไม่กล้าเหมือนกันนะ
เพราะจะว่าไปแล้ว ที่หลวงพ่ออยู่กับองค์หลวงตามา
ตลอด ๑๒ ปี หลวงพอ่ กเ็ ปน็ ผดู้ แู ลทรี่ องจากองคท์ า่ นลงมา
เพราะในตอนน้ันท้ังหลวงปู่บุญมีและหลวงปู่ลีต่างก็ออก
ไปแลว้
หลวงพอ่ เองมอี ายพุ รรษามากกวา่ ทงั้ ทา่ นปญั ญาและ
ทา่ นเชอรี่ ยง่ิ สำ� หรบั พระไทยแลว้ กห็ ลวงพอ่ นแี่ หละทเ่ี ปน็
ผู้ดูแลเก่ียวกับผู้คนแขกไปใครมา แต่คราวน้ีหลวงพ่อก็
ขอลาออกมาเที่ยววิเวกหลังออกพรรษา ช่วงต้ังแต่เดือน
ธนั วาคมจนถงึ มนี าคมกก็ ลบั เขา้ วดั ละ่ บางปกี ไ็ มไ่ ดอ้ อกมา
แตบ่ างปีกข็ อองค์ทา่ นออกมาหาท่ีวเิ วกภาวนา
ทีน้ีจะให้เราเข้าไปขอกราบลาท่านเลย เราก็ไม่รู้
จะพดู วา่ อยา่ งไรดี ผลทส่ี ดุ กเ็ ลยเขยี นจดหมายขออนญุ าต
ท่านออกไปจำ� พรรษาข้างนอกในปนี ้ี เสร็จแลว้ หลวงพอ่ ก็
ฝากให้อาจารยน์ ภดลท่านคอยฟงั จนท่านแจง้ มาว่า
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตสุ สโก 133
“ปนี ี้ถ้าท่านอาจารยจ์ ะออก กอ็ อกได้ องคห์ ลวงตา
ท่านอนุญาต” ทีนี้เมื่อองค์หลวงตาท่านอนุญาตแล้ว
หลวงพ่อก็เลยออกมาอยู่ ณ ที่น่ีจนได้มาต้ังเป็นวัดป่า
นาคำ� น้อยแห่งนใ้ี นทส่ี ุด
จากน้ันหลวงพ่อก็ยังไปมาหาสู่อยู่ตลอด โดยจะ
เข้าไปท่ีวัดป่าบ้านตาด เดือนละ ๑-๒ ครั้ง บางทีก็ส่ง
พวกของปา่ ไปถวายบา้ ง หลงั จากนน้ั หลวงพอ่ กเ็ นน้ ถวาย
ปจั จยั แทน ปจั จยั ทม่ี าจากวดั เราๆ กเ็ อาไปถวายใหท้ า่ นไว้
ใชส้ งเคราะหโ์ ลก จนเรยี กวา่ เกอื บจะไมไ่ ดเ้ อามาใชส้ รา้ งวดั
เลยกว็ ่าได้ ถา้ จะมสี ร้างกม็ ีบา้ งเปน็ สว่ นน้อย เพราะฉะนัน้
วดั เราจงึ ไมม่ ดี า้ นวตั ถอุ ะไรมากมาย มแี ตช่ ว่ งหลงั ๆ นแ่ี หละ
ทเี่ พงิ่ จะมาเรมิ่ สรา้ งตอ่ เตมิ เหมอื นกบั รงั ตอ่ รงั แตน คอยตอ่
เติมไปเร่ือยๆ เพราะมีผู้เกย่ี วข้องเขา้ มามากขน้ึ ๆ
น่ีแหละ อันนี้คือการบริหารจัดการ ท�ำไมเราจึง
ไม่ส่งพระไป เพราะส่งไปก่ีคร้ังก็ละลายหายหมด เพราะ
อันน้ีมันขึน้ อยกู่ บั บุญวาสนาบารมขี องตัวสมภารเอง
สรุปคือเราที่เป็นสมภารต้องสร้างบารมีเอง เมื่อมี
ลูกศิษยข์ องเราเองแล้ว ทนี เี้ ม่อื จะบอกกล่าวอย่างไร เราก็
134
ท�ำได้ เพราะลูกศษิ ยท์ ี่เขา้ มา เขาเคารพนบั ถือ เขาลงใจใน
ครูบาอาจารย์ ในสมภารองค์นี้แล้ว ทีน้ีเมื่อพูดอย่างไร
เขาก็รับฟัง แต่ถ้าเราส่งไป ผู้ส่งไปก็จะว่าท่านอาจารย์ส่ง
ผมมานะ ทีน้ผี ูท้ มี่ าอยู่ด้วย เมอื่ ไม่ลงใจใหเ้ ขาก็จะเถียงว่า
กผ็ มไมไ่ ด้เป็นลูกศษิ ย์ท่านน่ี โดยมากมนั เปน็ ลกั ษณะน้ี
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 135
๒๒
บวชในพรรษาได้หรอื ไม?่
พวกเราอย่าไปคิดว่า หลวงพ่อห้ามไม่ให้บวชใน
พรรษานะ ถ้าหลวงพ่อท�ำอย่างน้ัน พระวินัยปรับโทษ
หลวงพอ่ อกี เหมอื นกนั การท่ีจะบวชในพรรษาหรอื วา่ รบั
พระในพรรษา พระพทุ ธเจา้ ทา่ นไมไ่ ดท้ รงหา้ มนะ แตถ่ า้ พระ
แหกคอก แหวกแนว แหวกพรรษา แบบนนั้ ไม่ไดน้ ะ
ต้นบัญญัติก็คือสมัยก่อน พระพุทธเจ้ายังไม่เคย
อนุญาตการบวชช่วงในพรรษามาก่อน ทีน้ีนางวิสาขา
ผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะฝ่ายทายิกา
ไดน้ ำ� หลานชายเขา้ มาขอบวช พระอปุ ชั ฌายท์ า่ นกบ็ อกวา่
“พวกอาตมาบวชใหไ้ มไ่ ดห้ รอก เพราะพระพทุ ธเจ้า
ท่านยังไม่ทรงอนุญาต คือไม่ได้ห้าม แล้วก็ยังไม่ทรง
อนุญาต ถ้าพวกเราจะบวชให้ในพรรษา ก็ดูจะเป็นเรื่อง
ยงุ่ เหยงิ วนุ่ วาย เพราะฉะนนั้ อาตมาจะยงั ไมบ่ วชให้ ควรรอ
ใหอ้ อกพรรษาเสยี ก่อน”
136
เมื่อพระอุปัชฌาย์แนะน�ำเช่นนี้ นางวิสาขาก็เลยเอา
หลานชายกลับมารอจนกระทั่งออกพรรษา แต่คราวน้ี
หลานชายเกดิ เปลย่ี นใจไมอ่ ยากบวชแลว้ นางวสิ าขากเ็ ลย
เสียความรู้สึกที่พระอุปัชฌาย์ท่านไม่บวชให้ต้ังแต่ทีแรก
ท�ำให้หลานชายเกิดเปลี่ยนใจไม่บวช นางวิสาขาก็เลยไป
กราบทูลขอพรจากพระพทุ ธเจ้าวา่
“หลานของหม่อมฉัน พอไม่ได้บวชในพรรษาก็
เลยเปล่ียนใจ เพราะเหตุน้ี หม่อมฉันจึงอยากขอพรจาก
พระพุทธองค์ว่า ถ้าเม่ือกุลบุตรผู้ใดอยากจะบวชใน
พระพุทธศาสนาในพรรษา ก็ขอให้พระพุทธองค์โปรด
ทรงอนุญาตให้กุลบุตรผู้นั้นสามารถบวชในพรรษาได้
ด้วยเถดิ พระเจา้ ขา้ ”
พระพุทธองค์จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ แล้วทรง
บัญญัติวินัยว่า นับแต่บัดนี้ไป ถ้ากุลบุตรอยากจะบวช
ในพรรษาก็อนุญาตให้บวชได้ ถ้าพระองค์ใดต้ังกติกาว่า
ในระหวา่ งพรรษา หา้ มไมใ่ หบ้ วช ใหป้ รับอาบตั ิทกุ กฎแก่
พระองคน์ ้ัน
แล้วช่วงระหว่างในพรรษา จะขอลาสิกขาไดไ้ หม?
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 137
ถ้าตามพระวินัย ก็ไม่ถือว่าผิด เพียงแต่ไม่ค่อย
เหมาะสมเท่านั้นเอง ยกเว้นว่าผู้ขอบวชน้ันมีเจตนาแต่
แรกแล้วว่าจะขอบวชเพยี ง ๑ เดือนหรอื ๑๕ วนั เพราะ
ความจ�ำเป็นด้านหน้าที่การงานทางโลก ลาได้แค่นี้
มันสุดวิสัยจริงๆ อันนี้เราก็ไม่ว่ากัน แต่ส�ำหรับผู้บวช
ไม่มีกำ� หนด หรือบวชอย่างนอ้ ย ๑ พรรษา คือ ๓ เดอื น
แตเ่ กดิ เปลยี่ นใจอยากสกึ ในระหวา่ งพรรษา แบบนเ้ี รยี กวา่
ใจคอเหลาะแหละไมม่ นั่ คง แคเ่ พยี ง ๓ เดอื นกย็ งั ทนไมไ่ ด้
คนโบราณเขาก็เลยถือกันว่า ถ้าจะลาสิกขาก็ควรรอให้
ออกพรรษาเสียก่อน
138
๒๓
ภาวนาในอิรยิ าบถ ๔
การภาวนาน้ัน เราสามารถท�ำได้ในทุกอิริยาบถ
ไม่ว่าจะยืน-เดิน-นั่ง-นอน ท�ำได้ทั้งนั้น การเดินนั้น
คือให้เดินตามปกติ เพียงแต่ให้เรามีสติในการก้าวเดิน
สว่ นการนง่ั นน้ั การนงั่ ทถ่ี กู ตอ้ งคอื ใหน้ งั่ ขดั สมาธิ เพราะวา่
ศนู ยก์ ลางจะไดล้ งตรงตวั แตถ่ า้ นงั่ พบั เพยี บนี่ มนั จะเอยี ง
หนักไปขา้ งใดข้างหนงึ่ ท�ำใหน้ ่งั ได้ไมน่ าน แล้วถ้าผู้ปว่ ย
หรอื ผสู้ งู อายจุ ะขอนงั่ ทา่ พบั เพยี บหรอื นงั่ เกา้ อภ้ี าวนาแทน
ไดไ้ หม? กไ็ ดอ้ ยู่
สว่ นการนอนกเ็ หมอื นกนั ถา้ นอนกค็ อื จะนอนทา่ ไหน
กไ็ ด้ แตถ่ า้ นอนทถ่ี กู วธิ กี ค็ อื การนอนแบบสหี ไสยาสน์ คอื
การนอนตะแคงขวา สว่ นการนอนตะแคงซา้ ยนน้ั ก็ไดอ้ ยู่
แตม่ ันจะรูส้ กึ แนน่ เพราะมนั จะกดทบั หวั ใจ แลว้ ถ้านอน
หงายแทนไดไ้ หม? กไ็ ดอ้ ยู่ แตส่ นู้ อนแบบตะแคงขวาไมไ่ ด้
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 139
การยนื ก็เหมือนกนั เราจะยนื อยา่ งไรก็ได้ แต่การยนื
ที่ถกู ตอ้ งคอื ใหย้ นื โดยมที ี่พิงอยู่ข้างหลัง อยา่ งพระในคร้ัง
พทุ ธกาล ทา่ นกย็ นื พงิ ตน้ ไม,้ เสา หรอื เเผน่ กระดาน เพราะ
ถา้ หากวา่ เรายนื แบบธรรมดา ไมม่ ที พ่ี งิ ขา้ งหลงั เมอื่ ยนื ไป
นานๆ มนั จะงว่ งจนรู้สกึ โงนเงน อาจจะท�ำใหล้ ้มท้ังยืนได้
แตถ่ า้ เรายนื พงิ ฝากระดาน กจ็ ะยืนไดน้ านกวา่
ส่วนการเดินนั้น หลวงปู่ม่ันท่านเสริมว่า การเดิน
จงกรม ไมค่ วรเดินแบบเอามือไขว้หลงั เพราะเหมอื นกบั
ทา่ นกั เลง ไมค่ วรเดนิ แบบเอามอื กอดอก เพราะเหมอื นกบั
คนเจ้าทุกข์ที่มีทุกข์ในใจ ไม่ควรเดินแกว่งแขนแบบปกติ
เพราะเหมือนกับเดินแบบขาดความเคารพ ท่าเดินท่ี
ถกู ตอ้ งคอื เปน็ ลกั ษณะทา่ รำ� พงึ ทาํ มอื ประสาน คลา้ ยๆ วา่
กำ� ลังใคร่ครวญตรกึ ตรองลักษณะนัน้
โดยมากครูบาอาจารย์ในสายหลวงปู่ม่ัน อย่าง
หลวงปู่หล้าก็ดี หลวงตามหาบัวก็ดี หรือแม้แต่คุณแม่ชี
แก้วกด็ ี ทา่ นกเ็ ดินจงกรมอย่างน้ี แต่ถา้ เป็นครบู าอาจารย์
ในสายอน่ื บางทที า่ นกใ็ หเ้ ดนิ เอามอื ไขวห้ ลงั อยา่ งนก้ี ม็ นี ะ
แตอ่ ันน้ีหลวงปูม่ นั่ ทา่ นไมใ่ ห้เดิน
140
ในหลักของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านก็มีแต่
ภาวนาในการยนื -เดนิ -นง่ั -นอนเทา่ นนั้ เอง ดงั นน้ั ไมว่ า่ เรา
จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ก็สามารถเป็นการภาวนาได้
ทั้งน้ัน ตราบใดท่ีเราไม่ขาดสติ แต่ถ้าเราเผลอขาดสติ
คดิ ปรุงฟงุ้ ออกไปขา้ งนอกเมอ่ื ไหร่ ถงึ จะเดินจงกรม หรือ
วา่ นง่ั สมาธใิ นรปู แบบอยกู่ ต็ ามที อนั นน้ั ยงั ไมใ่ ชก่ ารภาวนา
ในการภาวนานั้น โดยมากครูบาอาจารย์ท่านจะยึด
ใน ๒ อิรยิ าบถเท่านั้น คือการเดินกับการนง่ั เสียมากกวา่
คือนั่งแล้วก็เดิน เดินแล้วก็น่ัง สลับกันไปมา ส่วนการ
ยืนภาวนาน้ัน ในเเนวเเถวของหลวงปู่มั่น ท่านไม่นิยม
ยืนภาวนา เพราะเวลายืนเข้าไปนานๆ แล้วมันโงนเงนๆ
สว่ นนอนภาวนานนั้ ไมค่ อ่ ยไดย้ นิ เพราะโดยมากมนั มแี ต่
จะหลบั เสียมากกวา่
แต่หลวงปู่หล้า เขมปัตโต (วัดภูจ้อก้อ หรือวัด
บรรพตครี ี อ.หนองสงู จ.มกุ ดาหาร) ท่านเคยพูดใหฟ้ ังวา่
เวลาทท่ี า่ นนอนภาวนา ทา่ นไมห่ ลบั นะ เพราะทา่ นกำ� หนด
สติไว้กับพุท-โธ ตราบใดที่สติเข้มแข็งอยู่มันก็ไม่หลับ
แตถ่ า้ ทา่ นจะปลอ่ ยให้หลับ ทา่ นก็ปลอ่ ยไป พอต่ืนขน้ึ มา
พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 141
มันเหน็ พุท-โธกบั เหน็ ลมหายใจขนึ้ มาก่อนเลย อันนค้ี ือที่
ท่านฝึกหัดในการนอนภาวนา เเต่คนส่วนมากนอนหลับ
พอตน่ื ขนึ้ มากม็ แี ต่งวั เงีย
เพราะผู้ปฏิบัติแต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน
บางคนกถ็ กู จรติ กบั การนัง่ บางคนก็ชอบเดนิ ทีนแ้ี ล้วเรา
จะตอ้ งเดนิ หรอื นงั่ มากนอ้ ยแคไ่ หนอยา่ งไร? อนั นกี้ ส็ ดุ แท้
แตต่ วั ผปู้ ฏบิ ตั เิ อง โดยใหด้ ตู ามกาลเทศะและสถานทด่ี ว้ ย
ตามความเหมาะสม อยา่ งบางครง้ั ถา้ เราเดนิ จงกรม แลว้ ใจ
มนั คดิ ปรงุ ฟงุ้ ซา่ นไมส่ งบสกั ที เรากต็ อ้ งฝนื พยายามบงั คบั
จิตดู ให้มันอยู่กับการก้าวเดิน พยายามบังคับจิตจนอยู่
ในความสงบจนรวมลงเป็นหน่ึงได้ จนเมื่อจิตสงบ
พอสมควรแล้ว เราจงึ ค่อยมานัง่ ภาวนาต่อ
อย่างหลวงปู่บัว สิริปุณโณ (วัดราษฎร์สงเคราะห์
หรอื วดั ปา่ หนองแซง อ.หนองววั ซอ จ.อดุ รธาน)ี ทา่ นไดม้ ี
ครอบครวั มากอ่ น ภายหลังทา่ นจงึ บวชเมือ่ อายไุ ด้ ๕๓ ปี
ในช่วงท่ีท่านไปอยู่ท่ีส�ำนักสงฆ์บ้านห้วยทราย อ.คำ� ชะอี
จ.มุกดาหาร พอฉันเสร็จแล้ว ท่านก็จะเดินจงกรม คือ
ทา่ นเดนิ จงกรมจนทางเดนิ จงกรมของทา่ นลกึ เปน็ เหวเลย
ขนาดตอนฝนตกทา่ นยงั กางรม่ เดินจงกรมเลยนะ