The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2021-04-03 04:03:03

หนังสือ ปู่สอนหลาน อาจารย์สอนศิษย์

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก

48

จากนั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ไม่นาน พระองค์
ก็มาเทศน์โปรดพระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดาของพระองค์
ท่ีกรุงกบิลพัสดุ์ จนได้ส�ำเร็จเป็นโสดาบัน พอมาเทศน์
โปรดคร้งั ที่ ๒ กไ็ ด้ส�ำเรจ็ เป็นอนาคามี พอมาเทศนโ์ ปรด
ครั้งท่ี ๓ ก็ได้ส�ำเร็จอรหันต์ ในขณะท่ีทรงประชวรหนัก
ก่อนทจ่ี ะสวรรคตเพยี ง ๗ วนั
หรือแม้แต่พระอรหันตสาวกและพระอรหันต์
ทั้งหลาย ท่านเหล่าน้ีไม่เคยทอดท้ิงมารดาบิดาเลย
อย่างพระสารีบุตร ท่ีโยมมารดาของท่านเป็นมิจฉาทิฐิ
ในเวลาท่ีท่านใกล้จะนิพพาน ท่านก็ยังไปโปรดมารดา
ของท่านเป็นครั้งสุดท้ายจนส�ำเร็จเป็นโสดาบัน แต่ส่วน
พระโมคัลลานะน้นั ท่านโปรดโยมมารดาทา่ นไม่ได้ เพราะ
มารดาท่านนเี้ ป็นมิจฉาทฐิ ิอย่างสุดๆ
หรอื อยา่ งหลวงตามหาบวั เอง กเ็ ชน่ เดยี วกนั หลงั จาก
ทที่ า่ นไปพกั อยทู่ บ่ี า้ นหว้ ยทราย (อ.คำ� ชะอี จ.มกุ ดาหาร) ได้
๒ พรรษา จากนน้ั ทา่ นกก็ ลบั ไปทบ่ี า้ นตาด เพอื่ พาโยมมารดา
ท่านไปบวชและพักอยู่ท่ีวัดป่าสถานีทดลองพล้ิว หรือ
วดั ชากใหญ่ (อ.แหลมสงิ ห์ จ.จนั ทบรุ )ี เปน็ เวลา ๑ พรรษา

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 49

หลังจากน้ันท่านจึงได้พาโยมมารดากลับมาอยู่ท่ี
บา้ นตาด เพราะโยมมารดาทา่ นไม่สัปปายะในเรอ่ื งอาหาร
การกินของท่ีน่ัน นอกจากนี้โยมมารดาท่านก็ยังล้มป่วย
เป็นอัมพาต องค์หลวงตาท่านก็เลยต้องพาโยมมารดา
ทา่ นกลบั มารกั ษาตวั ทบ่ี า้ นตาด เพราะโรคนถี้ กู กบั ยาหมอ
พ้ืนบ้านที่อยู่บ้านจ่ัน ซ่ึงอยู่ห่างจากบ้านตาดไปประมาณ
๕ กม. องคห์ ลวงตาทา่ นเลยตอ้ งมาอยทู่ บ่ี า้ นตาดเพอ่ื คอย
ดแู ลโยมมารดาทา่ น ทีนี้พอนานๆ ไป ท่านกเ็ ลยต้องได้
สรา้ งวดั ปา่ บา้ นตาดขน้ึ มาเพอื่ เอาไวป้ ฏบิ ตั ดิ เู เลโยมมารดา
ท่านซ่งึ บวชชอี ยู่
ตลอดเวลาท่ีหลวงพ่อไปอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดเป็น
เวลา ๑๒ ปี เวลาญาติโยมเอาอาหารมาถวายช่วงฉนั เชา้
หลวงพอ่ มีหนา้ ทีจ่ ดั อาหารทต่ี รงหนา้ หลวงตา คอยถวาย
ส่งท่าน พอหลวงตาท่านตักอาหารใส่ในบาตรท่านแล้ว
ทา่ นก็สง่ ตอ่ ใหล้ ำ� ดบั ถดั ไป นอกจากน้ี หลวงพ่อก็ยังต้อง
คอยจดั อาหารสำ� หรบั เลยี้ งแขกและผคู้ นในโรงครวั อกี ดว้ ย
ครั้งหนึ่งหลวงตาเห็นทุเรียนมานะ ท่านก็พูดว่า
“โอ้ อนั นเี้ อาใหโ้ ยมมารดาเรานะ ทเ่ี รามาอยทู่ นี่ ี่ เราไมไ่ ดอ้ ยู่

50

เพอ่ื ใครอน่ื นะ แตเ่ ราอยเู่ พอ่ื โยมมารดาเรานะ” พอหลวงพอ่
ไดย้ ินอยา่ งนน้ั กส็ ะอกึ ในใจเหมอื นกนั นะว่า โอ หลวงตา
นท่ี า่ นระลกึ ในพระคุณของโยมมารดาท่านอยา่ งสดุ ซึ้ง
เพราะฉะน้ัน ถ้าอาหารประเภทไหนที่โยมมารดา
ท่านชอบ ให้องค์หลวงตาท่านได้เตือนเพียงคร้ังเดียว
เท่าน้ันล่ะ หลวงพ่อก็จะรู้ได้เลยว่า อันน้ีคืออาหารท่ีโยม
มารดาทา่ นชอบ เราตอ้ งเอาใสใ่ หท้ า่ น อยา่ ใหอ้ งคห์ ลวงตา
ทา่ นตอ้ งได้พดู อกี เป็นคร้งั ท่ี ๒ เราตอ้ งอ่านให้ออก
นี่แหละ อันน้ีคือวิธีที่หลวงตามหาบัวท่านปฏิบัติ
ต่อโยมมารดาของท่าน ท่านไม่ลืมในบุญคุณโยมมารดา
ของท่าน เพราะท่านยึดในแนวแถวปฏิปทาของ
พระพทุ ธเจา้ และพระอรหนั ตสาวกทัง้ หลาย

(จากรปู : คุณเเม่ชเี เก้ว เสยี งล้ำ� ผ้ทู ่หี ลวงพอ่ เคารพเปรยี บดงั มารดาในทางธรรมของทา่ น)

(จากรูป: หลวงพอ่ ถา่ ยกบั โยมบิดา (นายแดง ผวิ ข�ำ) เเละโยมมารดา (นางจอมเเกว้ ผิวข�ำ)
ของท่าน)

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตุสสโก 51



หลวงปูม่ ่นั ดแู ลโยมมารดา

สำ� หรบั หลวงปมู่ นั่ นน้ั พอโยมมารดาของทา่ นอายมุ าก
หลวงปู่ม่ันท่านก็ให้บวชชี จากน้ันท่านก็พาโยมมารดา
ทา่ นมาทาง จ.นครพนม จนได้ผ่านมาทางบา้ นหว้ ยทราย
จ.มกุ ดาหาร
ในสมัยที่หลวงพ่อติดตามหลวงปู่จามกลับไปโปรด
โยมย่าที่บ้านห้วยทรายในช่วงสุดท้ายก่อนที่ท่านจะ
ถึงแก่กรรมน้ัน ทุกวันตอนเย็น หลวงปู่จามท่านจะ
ไปเทศน์ธรรมะให้โยมย่าท่านฟัง ให้ท�ำจิตใจอย่างนี้
ใหพ้ ิจารณารา่ งกายสังขารวา่ ไมใ่ ชต่ วั ตนของเรานะ
ในชว่ งนน้ั บางครงั้ โยมยา่ กเ็ คยเลา่ ใหห้ ลวงพอ่ ฟงั วา่
ในสมัยที่หลวงปู่จาม หลวงอาของหลวงพ่อมีอายุได้
๑๔ ปี หลวงปู่มั่นทา่ นเคยพาโยมมารดาของท่าน พร้อม
ด้วยคณะสงฆ์และญาติโยม เดินทางมาจากบ้านสามผง

52

(อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม) ผ่านมาทางบ้านห้วยทราย
(อ.ค�ำชะอี จ.มกุ ดาหาร)
ในช่วงที่คณะพระธุดงค์มาแวะพักอยู่ท่ีบ้าน
ห้วยทราย โยมย่ายังได้มีโอกาสดูแลปรนนิบัติทั้งหลวงปู่
เสาร์และหลวงปู่มั่นหลายครั้งเลยนะ เพราะเวลาธุดงค์
ผ่านมาที่น่ี ท่านทง้ั คูก่ ็มาดว้ ยกัน พอมาถงึ องคห์ นึ่งก็อยู่
ที่หนึง่ สว่ นอกี องค์ก็แยกไปอยอู่ กี ที่หน่ึง แตอ่ ย่ใู กล้ๆ กนั
จากนัน้ ก็ย้ายไปด้วยกนั ไปอย่กู นั คนละหมูบ่ ้าน แต่กอ็ ยู่
ใกล้ๆ กันอีก สมัยน้ัน หลวงปู่เสาร์ก็อยู่ท่ีวัดถำ้� ภูผากูด
(หรอื วดั ถำ้� จ�ำปากนั ตสลี าวาส) บา้ นคนั แท (อ.หนองสงู
จ.มุกดาหาร)
ส่วนหลวงปู่ม่ันก็อยู่ที่วัดหนองน่อง (หรือวัดป่า
หว้ ยทราย) บา้ นหว้ ยทราย (อ.คำ� ชะอี จ.มกุ ดาหาร) คอื อยู่
ไมไ่ กลกนั ถา้ เดนิ ลดั ประมาณ ๒ ชวั่ โมงกวา่ ๆ กถ็ งึ กนั แลว้
น่ีแหละ หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น เวลาไปไหนมาไหน
ท่านท้งั คู่ก็ไปดว้ ยกนั
สว่ นโยมมารดาของหลวงปมู่ น่ั ทา่ นกเ็ ดนิ ทางมากบั
คณะดว้ ยการใชค้ านหามทา่ นนะ โดยทำ� เปน็ สาแหรกยาวๆ

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 53

ใหท้ ่านเขา้ ไปน่ัง แล้วใชผ้ ูช้ าย ๒ คน ช่วยกนั หามสง่ จาก
หมู่บ้านหน่ึงไปยังหมู่บ้านถัดไปโดยไปตามทางเกวียน
เพราะขณะนั้น โยมมารดาของหลวงปู่มั่นท่านอายุมาก
แลว้ นะ
สมมุตวิ า่ หลวงปูม่ ่นั มาพักทบ่ี ้านนาคำ� น้อยของเรา
คืนนี้ ส่วนโยมมารดาท่านจะไปพักที่บ้านน้�ำโสม คณะ
ญาติโยมของบ้านนาค�ำน้อยก็เตรียมกันแล้วหาม
โยมมารดาไปส่งที่บ้านน้�ำโสม โดยให้พระสงฆ์ส่วนหนึ่ง
เดินทางล่วงหน้าไปก่อน แล้วก็ไปจัดท่ีพักให้โยมมารดา
ทา่ นก่อน จากน้นั บ้านนาคำ� น้อยก็หามโยมมารดาทา่ นไป
สง่ ทบ่ี า้ นนำ้� โสม หลวงปมู่ น่ั กบั คณะพระทเี่ หลอื ๗-๑๐ องค์
ก็เดินทางตามหลังเป็นคณะใหญ่ปิดท้าย จากนั้นบ้าน
นำ้� โสมกห็ ามไปบ้านนางวั ท่อี ยถู่ ัดไป แลว้ ก็หามกนั ต่อไป
เป็นทอดๆ
ในขณะที่โยมย่าก�ำลังเล่าเร่ืองนี้ให้หลวงอาจามและ
หลวงพ่อฟังอยู่นั้น หลวงพ่อที่เป็นหลานก็เลยถือโอกาส
ถามเรอื่ งของโยมมารดาหลวงปมู่ นั่ โยมยา่ ทา่ นกเ็ ลยเลา่ วา่
โยมมารดาของหลวงป่มู น่ั ทา่ นตัวเลก็ ๆ ผอมๆ นะ เท่าท่ี
โยมยา่ ดูๆ หลวงป่มู นั่ น่ที ่านเคารพในโยมมารดาของทา่ น

54

มากนะ ในช่วงที่คณะธุดงค์แวะพักอยู่ท่ีบ้านห้วยทราย
เปน็ เวลาหลายวนั นน้ั คณะสงฆก์ ม็ าพกั อยทู่ วี่ ดั หนองนอ่ ง
คณะพระธุดงคส์ มยั นนั้ มพี ระประมาณ ๑๐ กวา่ องคน์ ะ
พระสงฆก์ พ็ กั อยขู่ า้ งในวดั สว่ นทพี่ กั ของโยมมารดา
ท่านจะท�ำเป็นกระต๊อบเล็กๆ ตั้งอยู่ข้างๆ ประตูทาง
เข้าวัด มีแม่ชีและแม่ด�ำที่มาด้วยกันอยู่ด้วย ๑-๒ คน
(ในภาษาอีสาน แม่ขาว หมายถึง โยมผู้หญิงที่นุ่งขาว
หม่ ขาวถอื ศีลปฏิบตั ธิ รรมเหมือนกับแม่ชแี ต่ไมไ่ ด้โกนหัว
เหมอื นแมช่ ี ส่วนคำ� ว่า แม่ด�ำ ในท่นี หี้ มายถึง โยมผหู้ ญิง
ที่ถือศีลปฏิบัติธรรมแต่ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาวและไม่ได้
โกนหัว ส่วนค�ำว่า พ่อออก หมายถึง โยมผู้ชาย และ
แม่ออก หมายถงึ โยมผหู้ ญิง)
ทกุ ๆ เชา้ เมอ่ื บณิ ฑบาตไดอ้ าหารมาแลว้ หลวงปมู่ น่ั
ทา่ นจะแวะเขา้ ไปหาโยมมารดาของทา่ นกอ่ นทกุ เชา้ โดยมี
พระติดตามท่านเข้าไปด้วย ๑ องค์ ทา่ นจะดูๆ อาหารใน
บาตรวา่ อาหารไหนทโ่ี ยมมารดาทา่ นพอจะทานได้ ทา่ นก็
เลือกอาหารจากในบาตรท่านเอาไปถวายโยมมารดาท่าน
ใหไ้ ดท้ านก่อนตัวท่านนะ

พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 55

โดยท่านจะให้แม่ชีใส่ในถ้วย เสร็จแล้วท่านจึงค่อย
กลับไปฉันพรอ้ มกบั พระสงฆใ์ นวัด คือถ้าใหพ้ ระฉันเสร็จ
ก่อน แล้วค่อยเอาอาหารเช้าไปให้โยมมารดาท่านทาน
มันสายเกินไป น่ีท่านดูถึงขนาดนั้น พอฉันเสร็จแล้ว
หลวงปู่มั่นท่านก็จะน�ำอาหารเพลไปให้โยมมารดาท่าน
ทานอกี ทีหนง่ึ
ต่อมาเมื่อโยมย่าของหลวงพ่อไปเห็นเข้า ท่านก็
สงสัยว่า “เอ อาจารย์มั่น ทา่ นเข้ามาท�ำอะไรตรงนีห้ นอ?”
พอตามเข้าไปนั่งดู จึงได้ทราบว่า อาจารย์มั่นท่านเป็น
ห่วงโยมมารดาท่าน พอบิณฑบาตมาแล้ว ท่านจึงต้อง
เอาอาหารใหโ้ ยมมารดาทา่ นก่อน ความท่โี ยมย่าท่านเป็น
ผมู้ ศี รทั ธาในครบู าอาจารยอ์ ยแู่ ลว้ เชา้ วดั ถดั มา ทา่ นกเ็ ลย
รบี ตื่นมาหุงขา้ วเหนยี วแตเ่ ช้า เสร็จแล้ว ก็เอาขา้ วเหนยี ว
หุงร้อนๆ อาหารทเี่ ปน็ ของอ่อนๆ ทแี่ ม่เฒ่าพอจะทานได้
เอาไปให้ท่านทานก่อนตั้งแต่เช้ามืดเลย เพื่อไม่ให้
หลวงปูม่ นั่ ท่านตอ้ งเปน็ ห่วง
ทนี พี้ อโยมยา่ เอาอาหารไปใหก้ อ่ นแตเ่ ชา้ โยมมารดา
ทา่ นกเ็ ลยทานอาหารของโยมยา่ วนั นน้ั พอหลวงปมู่ น่ั ทา่ น
มาถงึ โยมมารดากบ็ อกกบั ทา่ นวา่ “ครบู าลกู พอดแี มแ่ ดง

56

(โยมย่าของหลวงพ่อช่ือแดง) เขาเอาอาหารมาให้แม่
ก่อนแลว้ แมก่ เ็ ลยไดท้ านไปก่อนแล้วละ่ ครูบาลกู ต่อไป
ไม่ต้องเอามาให้ก็ได้นะ เพราะว่าแม่แดงเขาก็เอามาให้
ทกุ วันๆ อยูแ่ ล้วล่ะ”
เม่ือหลวงปู่มั่นท่านได้ยินอย่างน้ัน ท่านก็เอ่ยชม
โยมย่าวา่ “เอ้อ แมแ่ ดง ดีแลว้ ” จากนน้ั มา โยมยา่ กเ็ ลยทำ�
อยา่ งนท้ี กุ วนั ตลอดระยะเวลาทโ่ี ยมมารดาของหลวงปมู่ น่ั
ทา่ นอย่ทู ่นี ั่น อนั น้ีคอื ทโ่ี ยมยา่ เลา่ ใหห้ ลวงพ่อฟัง นแี่ หละ
อันนี้คือทีห่ ลวงปมู่ ่ันทา่ นปฏิบัตติ อ่ โยมมารดาของท่าน
สรปุ คอื พระพทุ ธองคแ์ ละพระอรหนั ตสาวกทงั้ หลาย
ท่านเหล่านี้ไม่เคยลืมในพระคุณของบิดามารดาของท่าน
พวกเราในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าก็ควรจะ
ด�ำเนินตามแนวแถวของพุทธะ คือการร�ำลึกถึงพระคุณ
ของผู้มีอุปการคุณ คือบิดามารดาของเราเป็นอันดับแรก
จากนัน้ ก็ครูบาอาจารย์และผ้มู อี ุปการคณุ ทัง้ หลาย
พระพุทธองคท์ า่ นได้ทรงสรรเสรญิ ว่า ถา้ ผ้ใู ดก็ตาม
ร�ำลึกถึงพระคุณของผู้มีอุปการคุณ ไม่ว่าผู้น้ันจะอยู่
ณ สถานทีไ่ หน ก็ย่อมมแี ต่ความเจริญอยเู่ สมอ

พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 57



ศลี คอื อะไร?

ศลี ๕ ของพระพทุ ธศาสนานนั้ เปน็ ศีลทม่ี ีมาตัง้ แต่
กอ่ นทพี่ ระพทุ ธเจา้ จะทรงอบุ ตั ขิ น้ึ มาในโลกเสยี อกี เพราะ
ศีล ๕ เป็นศีลของฤๅษีชีไพรมาตั้งแต่ในยุคดึกด�ำบรรพ์
ถ้าเราศึกษาในพระไตรปิฎก ในสมัยท่ีพระพุทธเจ้าได้เคย
เสวยพระชาติเป็นสัตว์ต่างๆ พระองค์ก็ทรงเคยได้รักษา
ศีล ๕ และรกั ษาศีล ๘ คือศลี อุโบสถเปน็ พนื้ ฐาน
อย่างในอดีตชาติที่พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น
พระเวสสันดร พระองค์ก็ทรงรักษาศีลอุโบสถอยู่ในป่า
สมยั ตอนประพฤตติ นเปน็ ฤาษชี ไี พร รกั ษาศลี ๕ กม็ ี รกั ษา
ศีลอุโบสถก็มี หรือสมัยตอนท่ีเสวยพระชาติเป็นพระเจ้า
แผน่ ดิน พระองคก์ ็ทรงรักษาศีล ๕ เป็นพ้ืนฐาน
สรุปคือ ศีล ๕ เป็นศีลคุ้มครองโลกที่มีมาอยู่ก่อน
แล้วตั้งแต่ในยุคดึกด�ำบรรพ์ ไม่ใช่ว่าศีล ๕ เป็นศีลท่ี

58

พระพุทธเจ้าพ่ึงจะทรงบัญญัติขึ้นมาในโลก หลังจากท่ี
พระพุทธเจ้าทรงอุบัติข้ึนมาแล้วในโลกนี้ อันนั้นไม่ใช่
แตต่ ามทจี่ รงิ แลว้ พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงนำ� ศลี ๕ ซงึ่ เปน็ ศลี
คมุ้ ครองโลกทมี่ มี าแตด่ กึ ดำ� บรรพเ์ เลว้ นเี้ เหละ มาบญั ญตั ิ
ไว้ในพระพุทธศาสนา
ศลี คอื อะไร? ศลี คือการรักษากาย วาจาให้เรียบรอ้ ย
คนที่มศี ีลไม่วา่ ไปท่ีใด ก็มีแต่ความสงบร่มเย็นสงบสขุ ต่อ
ผอู้ น่ื เปน็ ทไ่ี วเ้ นอื้ เชอื่ ใจทงั้ ตอ่ ชมุ ชนและสงั คม เมอ่ื ประกอบ
การงานใดก็เป็นที่ยอมรับ ไว้ใจของผู้คนว่าคนๆ นี้เป็น
คนซ่อื สตั ย์สุจรติ เพราะเขาเปน็ ผมู้ ศี ลี ในทางตรงกันข้าม
คนไม่มีศีลเม่ือเข้าไปที่ใด ผู้คนก็หวาดระแวงแคลงใจ
ย่ิงใครท่ีมีประวัติที่ไม่ดีอยู่แล้วก็ย่ิงหาความเชื่อใจไว้ใจ
ไม่ได้ ย่งิ ถา้ เฉลียวฉลาดมากเท่าไหร่ ผคู้ นเขาก็ยง่ิ ระแวง
ขึ้นเท่านั้น เพราะคนๆ นั้นมันไม่มีศีล แถมยังฉลาด
แกมโกงอกี ไมร่ ู้วา่ มนั จะใชเ้ ล่หเ์ หลยี่ มไหน
ศีลน้ันมีหลายระดับ ส�ำหรับฆราวาสญาติโยมผู้ยัง
มหี นา้ ทธี่ รุ ะการงานทางโลกมากอยู่ แคม่ ศี ลี ๕ ขอ้ เทา่ นก้ี ็

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 59

เพยี งพอแลว้ เพราะศลี ๕ เปน็ ศลี ทต่ี ดั รากเหงา้ ของความ
ช่ัวร้ายทั้งปวง
ดงั น้ัน ขอใหพ้ วกเรามศี ีล ๕ เพราะศลี ๕ เปน็ เครอื่ ง
บง่ บอกความเปน็ มนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณ์ เปน็ บรรทดั ฐานตวั ชวี้ ดั
ความเป็นคนวา่ เปน็ คนๆ นน้ั คนดหี รอื เปน็ คนเลว เพราะ
คนดตี ้องมีศลี ๕ ถ้าหากเราขาดศลี ๕ แสดงว่าเราหยอ่ น
จากการเปน็ คนดหี รอื การเปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณ์ แลว้ ตอนน้ี
เรารู้ตัวเองหรือยังล่ะว่า ตอนน้ีศีลของเราน้ันอยู่ใน
ระดับไหน?

60



ความเปน็ มา ตอน ๒:

ความเปน็ มางานบญุ ประทายขา้ วเปลอื ก
ทว่ี ดั ปา่ บ้านตาด

วันพรุ่งน้ีจะมีการท�ำบุญประทายข้าวเปลือกท่ีวัดป่า
บ้านตาด งานบุญประทายข้าวเปลือกคืออะไร? งานบุญ
ประทายข้าวเปลือกคืองานประเพณีที่มีมาแต่โบราณของ
ชาวอีสานซึง่ ท�ำนาเปน็ อาชพี หลัก
เม่ือหมดฤดูกาลเก็บเกยี่ วข้าวแล้ว ชาวนาจะพากนั
น�ำข้าวเปลือกของตนท่ีปลูกได้มาท�ำบุญถวายแก่วัด
โดยน�ำข้าวมากองรวมกัน จากน้ันจึงนิมนต์พระมาสวด
เจริญพระพทุ ธมนต์และทำ� บญุ อุทศิ
โดยน�้ำท่ีได้จากพิธีเจริญพระพุทธมนต์น้ี ชาวบ้าน
จะน�ำไปปะพรมคนในครอบครัวเพื่อให้ครอบครัวเกิด
สิริมงคลอยู่เย็นเป็นสุข และน�ำไปปะพรมเรือกสวนไร่นา

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตสุ สโก 61

ตลอดจนสงิ่ ของทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เชน่ บา้ นเรอื น, ยงุ้ ขา้ ว, เกวยี น
เป็นต้น เพื่อให้ได้ผลผลิตที่งอกงาม การน�ำข้าวเปลือก
ท่ไี ด้หลังเกบ็ เกีย่ วนีม้ าท�ำบญุ ถวายพระ เปน็ ส่งิ ท่ีชาวบา้ น
เขายึดปฏิบัติกันมาช้านาน เพราะเช่ือว่าเป็นมงคลท�ำให้
ชวี ิตเจริญรุ่งเรือง
งานบุญประทายข้าวเปลือกท่ีวัดป่าบ้านตาดนี้
ตอนที่หลวงตามหาบัวท่านกลับไปอยู่ที่บ้านตาด ทีแรก
ท่านก็ไม่ค่อยสนใจนะ เพราะงานบุญประทายข้าวเปลือก
เปน็ งานประจำ� ปขี องชาวบา้ นเขาอยแู่ ลว้ คอื ถงึ จะเกบ็ เกย่ี ว
ข้าวได้มากไดน้ อ้ ยแค่ไหน เขาก็ท�ำเปน็ ประจำ� ทุกๆ ปี
พอท�ำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะจัดท�ำบุญ
ประทายข้าวเปลือก ถ้าวัดในชุมชนของเขาร้าง คือถ้า
ชว่ งนนั้ วดั ประจำ� หมบู่ า้ นไมม่ พี ระจำ� วดั อยเู่ ลย เขากจ็ ะไป
นิมนต์พระจากที่หมู่บ้านอื่นมาท�ำบุญแทน พอเสร็จแล้ว
เขาก็จะยกขา้ วถวายใหท้ า่ นเลย เป็นอยา่ งนปี้ ระจ�ำทุกปี
ทนี เี้ มอ่ื องคห์ ลวงตาทา่ นสรา้ งวดั ปา่ บา้ นตาดขนึ้ ทนี ี้
ญาติโยมเขาก็เลยมาขอท่านจัดงานประเพณีบุญประทาย

62

ขา้ วเปลอื ก โดยเขาใหเ้ หตผุ ลวา่ เพราะการทำ� นาแตล่ ะครง้ั
ทำ� ใหส้ ตั วท์ อี่ ยใู่ นดนิ ในทอ้ งนา เชน่ กบ, เขยี ด และไสเ้ ดอื น
ต้องตายไปไม่ใช่น้อยเพราะใช้ไถ ใช้คราด นอกจากนี้
กย็ งั ไดใ้ ชก้ ำ� ลงั ของววั ควายลากไถนา แมไ้ มส่ มคั รใจ แตม่ นั
ก็ต้องท�ำ เพราะมันถูกชาวนาบังคับ ดังน้ัน เม่ือเราได้
ขา้ วมาแลว้ พวกเราทีเ่ ป็นชาวนาก็ควรท่ีจะทำ� บุญอทุ ศิ ให้
สัตวต์ า่ งๆ เหลา่ นี้ ที่ไดเ้ สยี สละแรงงานและชวี ิต ใหม้ ารับ
ส่วนบุญส่วนกุศล เม่ือฟังๆ ดูแล้ว องค์หลวงตาท่านก็
ยอมรับในเหตผุ ล ท่านกเ็ ลยอนญุ าต ตัง้ แต่น้นั มา วดั ป่า
บา้ นตาดจงึ ไดม้ กี ารจดั งานบุญนเี้ ปน็ ประจำ� ทุกปี
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ (วัดป่าศิลาพร  ต.หนอง
เปด็ อ.เมอื ง จ.ยโสธร) ศษิ ยอ์ าวโุ สในองคห์ ลวงตามหาบวั
ทา่ นเลา่ วา่ งานบญุ นแ้ี รกเรม่ิ ชาวบา้ นตาดจดั งานในพนื้ ที่
ของโรงเรียนบ้านตาดก่อน โดยชาวบ้านน�ำข้าวเปลือก
มากองรวมกนั บนลานดนิ แลว้ นมิ นตอ์ งค์หลวงตาพรอ้ ม
คณะสงฆ์ไปเจริญพระพทุ ธมนต์และรบั ถวายภัตตาหาร
ต่อมาจึงค่อยขยับมาจัดงานท่ีวัดป่าบ้านตาด โดย
ข้าวเปลือกที่นำ� มาถวายนน้ั แรกๆ ก็มีชาวบ้านจากบา้ น

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตสุ สโก 63

ตาดและบ้านกกสะทอนน�ำมาถวาย ทางวัดก็จะน�ำข้าว
เปลือกที่ได้มานั้น ไปสีเป็นข้าวสารมาเก็บไว้และน�ำออก
แจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้, ชาวบ้านที่เดือดร้อน หรือส่วน
ราชการโดยเฉพาะโรงเรยี น, ทหาร, ตำ� รวจและโรงพยาบาล
ตามชายแดนถนิ่ ทุรกนั ดาร
ต่อมาก็เร่ิมกระจายออกกว้างมากข้ึนๆ วัดป่า
บ้านตาดก็เลยมีการท�ำบุญประทายข้าวเปลือกเพื่ออุทิศ
บญุ กศุ ลเปน็ ประจำ� ทกุ ปี เวลามงี านบญุ ประทายขา้ วเปลอื ก
ทีไร วัดป่าบ้านตาดก็จะได้ข้าวหลายพันกระสอบ เพราะ
ชาวนาเขาเอาขา้ วมาถวายจนกองเปน็ ภเู ขาเลากา
เมอื่ ขา้ วเปลอื กมากเกนิ กวา่ ทจ่ี ะเกบ็ ไหว โรงสกี จ็ ะมา
ช่วยรับซ้ือ แล้วก็จะถวายจตุปัจจัยส่วนนี้ให้องค์หลวงตา
เม่ือได้ปัจจัยเหล่านี้มา องค์หลวงตาท่านก็จะน�ำปัจจัย
สว่ นนไี้ ปใชเ้ พอ่ื ชว่ ยสงเคราะหโ์ ลก ทา่ นไมไ่ ดเ้ กบ็ เอาไวเ้ อง
เลยนะ แมแ้ ต่จะเอาไปใช้ในวดั ของทา่ น ทา่ นก็ไม่เอานะ
ท่านมีแต่น�ำออกช่วยส่วนรวมตลอดมา มีเท่าไรๆ
ก็น�ำออกไปสร้างนั่นสร้างนี่ เช่น ซ้ือเครื่องมือแพทย์

64

สร้างตึกให้โรงพยาบาล โรงพยาบาลท่ัวประเทศไทย
ถา้ ขดั ขอ้ งอะไร ทา่ นกช็ ว่ ยเหลอื ตามกำ� ลงั ทท่ี า่ นมี โดยทา่ น
จะใหโ้ รงพยาบาลเปน็ อนั ดบั หนง่ึ อนั ดบั ตอ่ มากใ็ หโ้ รงเรยี น
นี่เเหละ อันนี้คือความเป็นมาของงานบุญประทาย
ข้าวเปลอื กทวี่ ัดปา่ บ้านตาด

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 65



ทายาทบุญ ทายาทบาป

เพราะศรัทธาญาติโยมในท้องถิ่นนี้ล้วนแต่เป็นญาติ
พี่นอ้ งของหลวงพอ่ เกอื บทง้ั หมด หลวงพอ่ เองภาคภมู ิใจ
ในญาติพ่ีน้องของหลวงพ่อว่า พวกเราเป็นผู้โชคดีอย่าง
มากนะ เพราะหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นได้เคยมาอยู่
มาสร้างวดั ในถิน่ นี้ของเรา
โดยหลวงปู่เสาร์ท่านมาอยู่ที่ วัดถ�้ำภูผากูด (หรือ
วัดถ�้ำจ�ำปากันตสีลาวาส) บ้านคันแท (อ.หนองสูง
จ.มกุ ดาหาร) สว่ นหลวงปมู่ นั่ ทา่ นกม็ าอยทู่ ่ี วดั หนองนอ่ ง
(หรอื วดั ปา่ หว้ ยทราย) บา้ นหว้ ยทราย (อ.คำ� ชะอี จ.มกุ ดาหาร)
ทั้งหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่ม่ันได้มาแนะน�ำสั่งสอน
ใหป้ ยู่ า่ ตายายนบั ถอื ในพระธดุ งคกรรมฐาน เพราะแตก่ อ่ น
คนภูไทนี่นับถือผีอย่างสุดๆ อย่างเป็นชีวิตจิตใจมาแต่
โบราณเลยนะ พอถงึ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ คนภไู ทกต็ อ้ งทำ� พธิ ี

66

เลี้ยงผีภูไท มีการร้องร�ำเพ่ือเลีย้ งผี แลว้ ผกี เ็ ขา้ สิงรา่ งทรง
ลักษณะน้ัน หลวงพ่อเห็นแบบนม้ี าตงั้ แตเ่ ด็กๆ แลว้
ทนี หี้ ลวงปเู่ สารแ์ ละหลวงปมู่ น่ั กม็ าแนะนำ� วา่ “พวก
สเู จา้ อย่าไปนบั ถอื ผเี ลยนะ ให้ยดึ พระรัตนตรัยเปน็ สรณะ
ทพี่ งึ่ ใหย้ ึดม่นั ในศลี ๕ อยา่ ไปถอื ผี ผนี ีถ่ า้ เรานบั ถือมนั
ถ้าเราท�ำให้มนั ถกู ใจ ผีมนั กใ็ หค้ ุณสนบั สนุนเรา
แต่ถ้าเราท�ำให้มันไม่ถูกใจเข้า ผีมันก็เบียดเบียนให้
โทษเราได้ เหมอื นเวลาเราเลย้ี งพวกนกั เลงหวั ไมอ้ ยา่ งนน้ั ละ่
เพราะผีก็ยังมีกิเลสอยู่ไม่ต่างอะไรกับคน คนท่ียังมีกิเลส
อยนู่ ่ี มนั มีข้ึนมีลง ไม่คงท่ี คอื มนั พรอ้ มจะทำ� ดีทำ� ช่วั ได้
ทงั้ น้นั เพราะฉะนนั้ เราอย่าไปนบั ถือผี
ถ้าหากว่าเรานับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็น
ท่ีพ่ึงแล้ว ค�ำว่าให้โทษนั้นไม่มี มีแต่ให้คุณอย่างเดียว
เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้หมดจากกิเลส พระธรรม
ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพระธรรมที่สอนให้คนเป็น
คนดี และพระสงฆส์ าวกของพระพทุ ธเจา้ กเ็ ปน็ ผู้ปฏิบตั ิดี
ปฏิบตั ิชอบ เป็นผู้หมดจดจากกิเลสโลภ-โกรธ-หลง

พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 67

ถ้าเราเชื่อมั่นยึดม่ันในพระรัตนตรัยอย่างม่ันคงแล้ว
ไมว่ า่ จะผสี างนางไมห้ รอื คณุ ไสยมนตด์ ำ� ไมว่ า่ อะไรกเ็ ขา้ มา
ไม่ถึงทงั้ น้นั แต่ถ้าเรายังไม่ยดึ มั่นอย่างมน่ั คง ส่งิ เหล่าน้ัน
มันยังเขา้ มาไดอ้ ย่นู ะ”
อันน้ีคือที่หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่ม่ันมาสอนชาว
ภูไทในสมัยปู่ย่าตายายของหลวงพ่อ โยมย่าและโยมพ่อ
ทา่ นเคยเล่าเรอ่ื งนี้ให้หลวงพ่อฟัง
ในสมัยน้ัน ศรัทธาญาติโยมเขาเรียกหลวงปู่ม่ันว่า
ญาทา่ นมน่ั สว่ นหลวงตามหาบวั เขาเรยี กทา่ นวา่ ญาทา่ น
โดยมีคุณแม่ชีแก้วท่านเป็นผู้พาเรียก เพราะท่านมีท้ัง
ตานอกทั้งตาใน คอื เมื่อคณุ แมช่ ีแกว้ ทา่ นได้ศกึ ษาธรรมะ
จากองค์หลวงตาแล้ว ท่านก็ม่ันใจว่าหลวงตามหาบัว
นี่แหละเป็นพระแท้ คือพระอรหันต์แน่นอน ไม่เป็น
อยา่ งอน่ื
จากนน้ั เปน็ ตน้ มา ต้นตระกลู ของหลวงพ่อต้ังแต่ใน
รนุ่ ปแู่ ละยา่ กเ็ ลยเปน็ สมั มาทฐิ ิ ยดึ พระรตั นตรยั เปน็ สรณะ
เปน็ ทพี่ งึ่ แลว้ กส็ บื ทอดกนั ตอ่ มาเรอื่ ยๆ ในตระกลู ทง้ั ทาง

68

ฝง่ั โยมปคู่ อื โยมปแู่ ละหลวงอาของหลวงพอ่ (หลวงปจู่ าม
มหาปุญโญ) ท่านทั้งคู่ก็ได้บวชพระ และทางฝั่งโยมย่า
คือ คณุ แม่ชีแกว้ , อาหญิง และคณุ แมเ่ จียง ทัง้ สามท่านก็
ลว้ นไดบ้ วชชี สว่ นโยมพอ่ ของหลวงพอ่ กเ็ ปน็ ผใู้ ฝใ่ นธรรม
รักษาศีล ๕ มาตัง้ แตอ่ ายุ ๓๕ ปี ส่วนทางบรรดาน้าอา
กน็ ำ� ธรรมค�ำสอนของหลวงป่มู นั่ มายึดถอื ปฏบิ ัติ
สรุปคือตระกูลหลวงพ่อนี่ดูๆ แล้วเป็นตระกูลท่ีใฝ่
ในธรรมะ ใฝใ่ นทางสมั มาทฐิ ิ จนตอ่ มาหลวงปหู่ ลา้ ทา่ นได้
มาแนะนำ� สง่ั สอน จากนน้ั หลวงตามหาบวั ทา่ นกเ็ คยไดม้ า
จ�ำพรรษาที่บ้านห้วยทรายเป็นเวลาถึง ๖ ปี จากน้ัน
หลวงป่จู ามทา่ นก็มาท่นี ี่อย่ตู ัง้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จวบจน
กระทั่งท่านละสังขารในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ท่านกไ็ ดแ้ นะนำ�
สัง่ สอนลกู หลานในถ่ินน้ีใหร้ ้จู กั ประกอบคณุ งามความดี
นับว่าพวกเราเป็นผู้ที่โชคดีอย่างมาก อย่างที่
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นตรสั ไวว้ า่ มงคลสตู รวา่ ปฏริ ปู ะเทสะวาโส
จะ อนั หมายถึงการอย่ใู นประเทศที่สมควร คอื ในประเทศ
ท่ีมีพระพุทธศาสนา มีครูบาอาจารย์คอยแนะน�ำส่ังสอน
ส่งิ นี้ยอ่ มเปน็ มงคล

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก 69

แต่ก็มีบางตระกูลในบ้านห้วยทรายเหมือนกันนะ
ท่ีถึงเขาจะมีโอกาสได้มาพบเจอครูบาอาจารย์อย่าง
หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น ท่ีมาคอยแนะน�ำส่ังสอน
แต่เขาก็ไม่ได้ยอมรับศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้
นับถือเลื่อมใสในพระธุดงคกรรมฐาน อย่างตอนที่
หลวงปู่ม่ันท่านอยู่ที่วัดหนองน่อง ท่านจ�ำเป็นต้องพา
พระสงฆ์ ๑๐ กว่าองค์ เดินข้ามท้องนาไปอีกฟากหน่ึง
เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวนาเจ้าของท่ีนาเขา
ก็โมโหไม่พอใจหลวงปู่ม่ันที่ไปเดินเหยียบคันนาของเขา
ซึ่งตามท่ีจริงท่านก็เหยียบเพียงนิดๆ หน่อยๆ แต่เม่ือ
ความไมพ่ อใจมันมีอยู่แลว้ ทำ� อย่างไรมนั ก็ไมพ่ อใจ
ผลทส่ี ดุ เจา้ ของนาเขากเ็ ลยขใ้ี สบ่ นใบบอน แลว้ เอามา
เทราดลงบนคนั นาทพี่ ระทา่ นใชเ้ ดนิ บณิ ฑบาต เสรจ็ แลว้ ก็
เอาไมไ้ ผม่ าขยใี้ หม้ นั เละๆ ทนี พ้ี ระทเี่ ดนิ เทา้ เปลา่ ผา่ นยงั ไง
ก็ต้องได้เดินเหยียบขี้จนเลอะ บางองค์ขี้มันกระเด็นจน
เลอะจีวรเลยก็มี เวลาฝนตกพร�ำๆ ขี้มันก็ส่งกล่ินเหม็น
คลงุ้ ไปหมด จนชาวบา้ นพากนั พดู วา่ ไปทำ� กบั พระอยา่ งนี้
เป็นบาปกรรมแท้ๆ นี่แหละ พระกรรมฐานในรุ่นแรก

70

ยุคบุกเบิกอย่างหลวงปู่มั่น ท่านเคยโดนกลั่นแกล้งถึง
ขนาดนั้นเลยนะ
แต่บาปกรรมอันน้ี มันก็เล่นงานมาจนทุกวันนี้
ลูกหลานที่เกิดมาในตระกูลนี้เป็นบ้าก็มี บางคนก็เป็นใบ้
เปน็ บา้ แถมตาบอดอกี ตา่ งหาก คลา้ ยๆ กบั วา่ เปน็ ตระกลู
ท่ีเป็นบาป บาปท่ีท�ำกับหลวงปู่ม่ัน บางคนก็คงสงสัยว่า
“ในเม่ือพ่อเขาท�ำคนเดียว แล้วท�ำไมลูกหลานของเขาถึง
ไดร้ ับผลกรรมอันนน้ั ดว้ ย?”
ลูกท่ีมาเกิดในตระกูล ก็คงจะเคยท�ำกรรมแบบ
เดียวกันน้ีมาก่อนในอดีตชาติ ก็เลยต้องมาเกิดด้วยกัน
เพราะกรรมมนั เปน็ แบบเดยี วกนั คอื ลกู ทม่ี าเกดิ ดว้ ยกเ็ ลย
ตอ้ งมาเกดิ กบั บดิ ามารดาที่เป็นแบบเดียวกันนน่ั นแ่ี หละ
กรรมชวั่ อยา่ ทำ� เสยี เลยดกี วา่ เพราะกรรมชว่ั เมอื่ ทำ� ไปแลว้
ตนน้ันแลจะเดือดรอ้ นเมือ่ ภายหลัง

(จากรปู : หลวงพ่อซึ่งเป็นหลาน ถ่ายกับหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ซงึ่ เปน็ หลวงอาของทา่ น
ในคราวท่จี ัดงานฉลองอายคุ รบ ๑๐๐ ปขี องท่าน)

(รูปบน: หลวงพ่อถ่ายกับหลวงตามหาบัว ผู้ที่ท่านเคารพเปรียบดังพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ของท่าน) (รูปล่าง: หลวงพ่อถ่ายกับหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ผู้ที่ท่านเคารพเปรียบดัง
พี่ชายใหญ่ของท่าน)

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตุสสโก 71

๑๐

พระสารบี ตุ รลานพิ พาน

พระสารีบุตรนนั้ เดมิ ท่านมชี ่ือว่า อุปติสสะ ท่านเป็น
บุตรชายคนโตของนางพราหมณีช่ือสารีและนายวังคันตะ
พราหมณ์ บา้ นเกดิ ของทา่ นอยทู่ ห่ี มบู่ า้ นอปุ ตสิ คาม ตำ� บล
นาลันทา ใกลก้ รงุ ราชคฤห์ ท่านมีน้องชายอยู่ ๓ คนคือ
พระจนุ ทะ, พระอุปเสน และพระเรวัตตะ และมีน้องสาว
อกี ๓คนคอื นางจาลา,อปุ จาลาและสสี ปุ จาลา(พระสารบี ตุ ร
แปลวา่ บุตรของนางสาร)ี
เมอ่ื พระสารบี ตุ รทา่ นไดไ้ ปบวชจนสำ� เรจ็ อรหนั ต์ ทนี ้ี
พวกนอ้ งๆ ทั้งหมดกเ็ ลยอยากจะขอโยมมารดาบวชด้วย
มารดาท่านก็ไม่อนุญาตให้บวช แต่เพราะพระสารีบุตร
ทา่ นเปน็ ผมู้ ปี ญั ญา ทา่ นกเ็ ลยบอกวา่ กใ็ นเมอื่ บดิ ามารดา
ของพวกเราน้ีเป็นมจิ ฉาทิฐิ ถา้ จะไปขอบวชละ่ กไ็ มม่ ีทาง
ถ้าเม่ือน้องๆ อยากจะบวช ถ้าอย่างนั้นก็ให้มาลาบวช

72

กับผมซ่ึงเป็นด่ังบิดามารดาในทางธรรมของน้องๆ
แทนเถิด ผมอนุญาต น้องๆ ของพระสารีบุตรท้ังหมด
จึงได้บวชในพุทธศาสนาและได้ปฏิบัติจนบรรลุอรหันต์
ทุกองค์ในที่สุด ซึ่งเรื่องน้ีท�ำให้นางพราหมณีมีความ
ขุ่นเคืองในพระพุทธเจ้า เพราะลูกของนางท้ัง ๗ คน
ได้เข้ามาบวชทุกคนจนทำ� ให้ตระกูลไรผ้ สู้ ืบสกุล
เพราะถือเป็นพุทธประเพณีมาแต่พุทธกาลที่
พระอัครสาวกจะนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ดังนั้น
ในบ้ันปลายของชีวิตพระสารีบุตรท่านก็ถวายการดูแลแก่
พระพทุ ธองค์ ในขณะทพี่ ระองคป์ ระทบั อยทู่ วี่ ดั ปา่ เชตวนั
เมอื งสาวตั ถี จากนนั้ ไมน่ าน พระสารบี ตุ รทา่ นกไ็ ดท้ ราบวา่
อายสุ งั ขารทา่ นจวนจะสนิ้ ในอกี ๗ วนั ขา้ งหนา้ ทา่ นจงึ หวน
ระลึกถึงโยมมารดาและเมื่อตรวจดูอุปนิสัยแล้ว ก็เห็นว่า
ท่านสามารถจะบรรลุโสดาบันได้เป็นอย่างน้อย ดังน้ัน
ท่านจึงปรารถนาจะไปโปรดนางสารี โยมมารดาของ
ท่านเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณในครั้งสุดท้าย เพราะ
ขณะนั้นนางยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่และยังไม่มีจิตเล่ือมใส
ในพระพทุ ธเจา้

พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 73

เม่ือถึงกาลอันควร พระสารีบุตรจึงมากราบทูลลา
นิพพานกับพระพุทธเจ้าว่า “ข้าพระองค์ขอถวายบังคม
ลาสละอายุสังขาร เพราะบัดน้ีอายุสังขารของข้าพระองค์
เหลอื อกี เพยี ง ๗ วนั พระเจา้ ข้า”
“สารีบุตร เธอจะไปนิพพานที่ไหน?” “ข้าพระองค์
จะไปนิพพาน ณ ห้องท่ีข้าพระองค์เกิดในบ้านของโยม
มารดา พระเจา้ ขา้ ”
“ขอให้เธอไปตามกาลอันควรเถดิ สารบี ตุ ร แตก่ ่อน
จะไป ขอใหเ้ ธอจงแสดงบพุ กรรมคอื กรรมดใี นอดตี ของเธอ
ใหพ้ ระนอ้ งๆ ทน่ี บั ถอื เธอดจุ พช่ี ายฟงั กอ่ นเถดิ สารบี ตุ ร”
พระสารีบุตรจึงแสดงปาฏิหาริย์ โดยการเหาะขึ้นไป
บนอากาศสงู ๑ ตน้ ลำ� ตาล จนถงึ ๗ ชว่ั ตน้ ลำ� ตาล จากนน้ั
จงึ แสดงธรรมในเรอ่ื งบพุ กรรมเกา่ ของทา่ นแกพ่ ระทงั้ หลาย
ณ กลางอากาศ แลว้ จึงถวายบงั คมลาพระพุทธเจา้
จากนนั้ พระสารบี ตุ รไดก้ ราบทลู ขอขมาพระพทุ ธเจา้
ถ้าหากท่านได้เคยประมาทล่วงเกินพระองค์ท้ังทางกาย
และวาจาก็ดี แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ทรงเห็นการ

74

กระท�ำใดๆ ทั้งทางกายและวาจาของพระสารีบุตรที่จะ
ทรงติเตียนได้เช่นกัน พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตให้
พระสารบี ตุ รกลบั ไปดบั ขนั ธท์ บ่ี า้ นเกดิ พรอ้ มทง้ั ไดต้ รสั กบั
เหลา่ สงฆว์ า่ “ดกู อ่ น สงฆท์ งั้ หลาย พวกเธอจงไปสง่ พช่ี าย
ของพวกเธอเปน็ ทส่ี ดุ ในครงั้ นเ้ี ถดิ ” บรรดาพระสงฆต์ า่ งก็
พากนั ไปส่งพระสารีบุตร
ดังน้ัน พระสารีบุตรพร้อมด้วยพระติดตามจ�ำนวน
๕๐๐ รูป จึงเดินทางกลับไปยังบ้านเดิมของท่านที่เมือง
นาลันทา เมื่อนางพราหมณี มารดาของพระสารีบุตรได้
ทราบข่าวว่าพระลูกชายของตนจะกลับมาท่ีบ้าน ก็ดีใจ
สั่งคนให้จัดเตรียมห้องให้พระลูกชายและจัดสถานที่
ส�ำหรับพระท่ีติดตามมาด้วยอีก ๕๐๐ รูป เม่ือจัด
เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนิมนต์พระท้ังหมดเข้ามาในบ้าน
โดยห้องที่มารดาท่านจัดให้พระสารีบุตรพัก ก็คือห้องท่ี
เคยทำ� คลอดท่านหรือห้องที่ท่านเกิดนนั่ เอง
บดั นนี้ างสารกี อ็ ายมุ ากแลว้ นางกเ็ ลยทกุ ขใ์ จเพราะมี
ทรพั ย์สินมากถึง ๘๐ โกฏิ แตไ่ มร่ วู้ า่ จะมอบให้ใคร เพราะ
ลกู ๆ ทง้ั ๗ คนไดห้ นไี ปบวชจนหมด ทนี เ้ี มอื่ นางสารเี หน็

พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สันตุสสโก 75

พระสารีบุตรกลับมา ก็เข้าใจว่าพระสารีบุตรท่านบวชมา
นานหลายพรรษา (๔๔ พรรษา) ตอนน้ีคงเกดิ เปล่ียนใจ
อยากจะสึกเม่ือตอนแก่กระมัง ถึงได้กลับมาบ้านเพ่ือ
มาสึกและขอพ่งึ พาในทรัพยส์ มบัตขิ องนาง นางจึงไดพ้ ูด
เป็นเชิงตัดพ้อว่า “ลูกเอ้ย ทรัพย์สมบัติท่ีแม่หาไว้ให้ตั้ง
๘๐ โกฏิ เจ้าแก่จนป่านนี้แล้วจึงค่อยกลับมาหาแม่นะ”
เมอื่ พระสารีบตุ รได้ยนิ ดงั นัน้ ทา่ นกน็ ่งิ เฉย
เมื่อท่านไปถึงบ้านเดิมแล้ว ในคืนนั้นพระสารีบุตร
ทา่ นกเ็ กดิ ปกั ขนั ทกิ าพาธ (โรคทอ้ งรว่ ง) จนถา่ ยเปน็ เลอื ด
พระผตู้ ดิ ตามตอ้ งมาคอยเปลย่ี นภาชนะถา่ ยมตู รทง้ิ ตลอด
เวลา จนมารดาทา่ นไมส่ บายใจเมอื่ เหน็ อาการปว่ ยของพระ
ลูกชาย 
ในคืนนั้น ก็ปรากฏร่างบุคคลผู้สง่างามเข้ามากราบ
เย่ียมอาการป่วยของพระสารีบุตร นางพราหมณีเฝ้ามอง
ดดู ว้ ยความแปลกใจว่า ทำ� ไมคนเหลา่ นถ้ี ึงสวยงามนัก?
สนทนากันสักพักหน่ึง คนเหล่าน้ีก็ขอตัวกลับ
พระสารีบุตรได้ทราบความสงสัยในใจของโยมมารดา
จงึ ตอบวา่ ทา้ วจตโุ ลกบาล, ทา้ วสกั กะเทวราช (พระอนิ ทร)์

76

และท้าวมหาพรหม (พระพรหม) เสด็จลงจากสวรรค์มา
เพื่อเข้าเย่ียมท่านเป็นครั้งสุดท้าย โยมมารดาซึ่งนับถือ
พระอนิ ทรแ์ ละพระพรหมอยูแ่ ล้ว กแ็ ปลกใจว่า
“ขนาดพระอินทร์และพระพรหมท่ีเป็นเทพสูงสุด
ในศาสนาพราหมณ์ ก็ยังต้องลงมาแสดงความเคารพใน
สารีบุตรลูกของเราหรือน่ี น่ีพระลูกชายของเราเหนือกว่า
พระอนิ ทรแ์ ละพระพรหมอกี หรอื นี่ แลว้ พระพทุ ธเจา้ ทเ่ี ปน็
พระศาสดาของสารีบุตรลูกของเราน่ี ท่านจะมีอานุภาพ
ขนาดไหนกนั น”ี่
เม่ือโยมมารดาของพระสารีบุตรได้ยินดังนั้นก็คลาย
ทฐิ ลิ ง ทำ� ใหเ้ กดิ จติ เลอ่ื มใสในพระพทุ ธเจา้ พระสารบี ตุ รจงึ
ได้แสดงธรรมโปรดโยมมารดาของท่านจนส�ำเร็จโสดาบัน
ซง่ึ โสดาบนั นี้มี ๓ ประเภท ได้แก่ ๑) เอกพีชี (อา่ นว่า
เอกะพีซี) คือเกิดมาอีกเพียงชาติเดียว, ๒) โกลังโกละ
คือเกดิ อีกเพยี ง ๓ ชาติ และ ๓) สตั ตักขัตตงุ ปรมะ คอื
เกดิ อกี ไมเ่ กนิ ๗ ชาติ กจ็ ะบรรลอุ รหนั ต์ โดยทโี่ ยมมารดา
ของพระสารีบุตรนน้ั ท่านได้สำ� เรจ็ เป็นโสดาบนั ในประเภท
ท่ี ๓) สัตตักขตั ตุงปรมะ

พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 77

เม่ือพระสารีบุตรท่านได้แสดงความกตัญญูโดยการ
โปรดโยมมารดาของทา่ นเปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ยสำ� เรจ็ แลว้ จนใกลร้ งุ่
พระสารบี ตุ รจงึ เรยี กพระสงฆท์ งั้ หมดมาพรอ้ มกนั เพอื่ ทจ่ี ะ
ขอโอกาสขอขมาในทา่ มกลางสงฆเ์ ป็นคร้งั สุดท้ายวา่
“ดูก่อน สงฆ์ท้ังหลาย ผู้ติดตามข้าพเจ้ามาเป็น
เวลา ๔๔ พรรษาแลว้ หากพวกท่านเคยมชิ อบใจในความ
ประพฤติทางกาย,วาจา และใจอันใดของขา้ พเจ้า ขอท่าน
ทงั้ หลายจงโปรดอโหสกิ รรมแก่ขา้ พเจา้ ด้วยเถิด”
พระสงฆท์ ง้ั หมดกพ็ รอ้ มใจกนั กลา่ ววา่ “ทา่ นสารบี ตุ ร
ท่านมิเคยปฏิบัติกรรมอันใดที่สร้างความมิชอบใจแก่
พวกเราเลย” จากนั้นก็พร้อมใจกันขอขมาพระสารีบุตร
เป็นคร้ังสุดท้าย เม่ือเหล่าสงฆ์กล่าวขอขมาจบแล้ว
พระสารีบุตรก็มีอาการเลือดออกจากทวารทั้งหมดและ
ท่านกด็ ับขันธ์ในหอ้ งท่ที ่านเกิดในรุ่งอรณุ นน้ั เอง อนั เป็น
วันขึน้ ๑๕ ค่ำ� เดอื น ๑๒
ครงั้ สวา่ งดีแลว้ พระจนุ ทะ (พระนอ้ งชายของทา่ น)
พร้อมด้วยเหล่าสงฆ์และหมู่ญาติในตระกูลของท่าน

78

ได้ช่วยกันประกอบพิธีฌาปนกิจสรีระของท่าน เมื่อเสร็จ
พิธีแล้ว จึงน�ำอัฐิธาตุกลับมาถวายแด่พระพุทธองค์
ณ วดั ปา่ เชตวนั กรงุ สาวตั ถี จากนนั้ พระพทุ ธองคไ์ ดโ้ ปรด
ให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุพระสารีบุตรไว้ท่ีวัดป่าเชตวัน
นัน้ เอง

พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สันตสุ สโก 79

๑๑

ศลี คุ้มครองทงั้ ในทลี่ บั และในทีแ่ จง้

เรอื่ งศลี ธรรมและกฎหมายนน้ั ถงึ จะเกยี่ วเนอื่ งกนั แต่
เรอ่ื งศลี ธรรมนน้ั ละเอยี ดออ่ นกวา่ เรอื่ งกฎหมายบา้ นเมอื ง
เพราะกฎหมายบ้านเมืองนั้นคุ้มครองได้แต่เฉพาะในท่ี
แจ้งเท่านัน้ แตห่ ลักธรรมคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนานน้ั
สามารถคุม้ ครองได้ทั้งในที่ลบั และที่แจง้
ในทล่ี บั คอื อะไร? คอื ถา้ มคี นกระทำ� ผดิ แตไ่ มม่ พี ยาน
มารมู้ าเหน็ ในการกระทำ� ความผดิ ของเขาอนั น้ี เรากเ็ อาผดิ
ลงโทษเขาไมไ่ ด้ เพราะเหตใุ ด? เพราะกอ่ นทเ่ี ขาจะปลน้ ฆา่
ลักขโมยน้ัน เขาวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี จนสามารถ
ที่จะหลบล้ีหนีกฎหมายได้ เพราะต�ำรวจหาหลักฐานมา
จบั เขาไม่ได้ อันนี้คือกฎหมายบา้ นเมืองซงึ่ ค้มุ ครองได้แต่
เฉพาะในทแ่ี จง้ เทา่ นนั้ คอื ตอ่ ใหเ้ ขาทำ� ผดิ แตถ่ า้ ไมม่ ใี ครมา
รู้เห็นเปน็ พยานแล้ว กฎหมายบา้ นเมอื งกค็ มุ้ ครองไม่ได้

80

แต่หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้าน้ันออกมา
จากใจ ถ้าหากว่าเราคิดผิดตั้งแต่ในใจแล้ว การพูดและ
การกระท�ำท่ีออกไปก็ต้องผิดไปด้วย เช่น ถ้าเราคิด
ฆ่าเขา แค่คิดอย่างนี้มันก็ผิดในทางมโนกรรมแล้ว ถ้า
ไปพดู จาขม่ ขเู่ ขาดว้ ยแลว้ อันนีเ้ รยี กวา่ วจีกรรม หรือยง่ิ
ถ้าหากว่าเราไปท�ำร้ายเขาเข้า อันน้ีเรียกว่ากายกรรม
เพราะเหตุนั้น การแสดงออกท้ัง ๓ ทางน้ีถึงจะมีใครรู้
หรอื ไมร่ กู้ ต็ าม แตต่ วั เองกร็ วู้ า่ ตวั เองนนั้ คดิ อะไร พดู อะไร
ท�ำอะไรลงไป
ในหลักของพุทธศาสนาน้ัน พระพุทธองค์ทรง
เปรียบว่า การที่เราไปท�ำความช่ัวน้ันเหมือนกับเวลาท่ี
เราไปจับไฟ ไม่ว่าเราจะจับไฟในที่ไหนๆ ไม่ว่าจะในที่
มดิ ชดิ ในทส่ี าธารณะ หรอื ในทไี่ หนๆ ไฟนม้ี นั กย็ งั รอ้ นอยู่
อยา่ งเกา่ เพราะเหตใุ ด? กเ็ พราะไฟมนั กค็ อื ไฟอยวู่ นั ยงั คำ�่
ไมว่ า่ จะอยู่ไหน
น้ีก็เหมือนกัน ถ้าเราท�ำความช่ัว ไม่ว่าจะในท่ีลับ
ในทีแ่ จ้ง หรอื จะในที่ไหนๆ ก็ดี ไมว่ า่ จะมใี ครมารูม้ าเห็น
ในความชั่วท่ีเราท�ำน้ันหรือไม่ก็ตาม ความช่ัวอันน้ันมัน

พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 81

ก็คือความช่ัวอยู่วันยังค�่ำ ถ้าไปท�ำความช่ัวแล้ว จะใน
ท่ีลับท่ีแจ้ง หรือที่ไหนๆ ก็ตาม ความช่ัวนั้นก็เป็นบาป
เป็นกรรมส�ำหรับผู้กระท�ำเสมอ ไม่มีการเลือกยกเว้นใคร
ผใู้ ดผูห้ น่ึง

82

๑๒

ความเปน็ มา ตอน ๓:

ความเปน็ มาของผา้ จวี ร

ผ้าจีวรมีความเป็นมาอย่างไร? ในครั้งพุทธกาล
เม่ือครั้งเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ก็มีหลักฐานว่า
ทรงใช้ผ้านุ่งห่มท่ีเรียกว่าจีวร ในช่วงต้นพุทธกาล
พระสงฆ์ยังคงใช้เศษผ้าที่หาได้ มาเย็บต่อๆ กันอย่าง
ไม่เป็นระเบียบ จากน้ันก็เอามาครองเป็นผ้าจีวรเลย
ซง่ึ การไดม้ าของผา้ ในสมยั นน้ั หากไมม่ ผี ถู้ วาย พระกต็ อ้ ง
แสวงหาเอาเศษผ้าท่ีเขาท้ิงแล้วตามที่ต่างๆ ซึ่งโดยมาก
ก็ตอ้ งเอามาจากผา้ บังสุกุลท่ใี ชห้ อ่ ศพ เพราะไมม่ ีเจา้ ของ
และหาไดง้ ่ายจากในปา่ ช้า
บางครั้งก็มีพระบางรูปท่ีได้รับถวายผ้าอย่างดีจาก
คหบดี ตอ่ มาเมอื่ ขโมยมาเหน็ ผา้ จวี รของทา่ นทเ่ี ปลอื้ งวาง
ไวร้ มิ ตลงิ่ ขณะลงไปสรงนำ�้ ในแมน่ ำ้� เนอื่ งดว้ ยผา้ เปน็ สงิ่ ท่ี
หายากในสมยั พทุ ธกาล โจรกเ็ ลยขโมยผา้ จวี รของพระองค์

พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 83

น้ีไป พอพระท่านขึ้นมา ก็หาผ้าไม่เจอแล้ว คือมีการถูก
ลักขโมยผ้าจีวรอยู่บ่อยคร้ัง เพราะผ้าจีวรเป็นผ้าผืนใหญ่
กเ็ ลยมคี า่ เพราะสามารถเอาผา้ ผนื ใหญน่ ไ้ี ปตดั เยบ็ ทำ� เปน็
เสอ้ื ผา้ ได้
จนต่อมา เมื่อคร้ังพระพุทธเจ้าเสด็จสู่ทักขิณาคีรี
ชนบทน้ัน ได้ทอดพระเนตรเห็นนาของชาวมคธ
พระพุทธองค์จงึ รับสงั่ กับพระอานนท์ว่า
“อานนท์ ดทู ่ีนาของชาวมคธนี่สิ เป็นรปู ๔ เหล่ยี ม
และมีคันนาเล็กๆ คั่นด้วย เธอสามารถท�ำจีวรแบบที่นา
เหล่านี้ ไดห้ รือไม?่ ” “สามารถ พระเจ้าข้า”
หลงั จากนนั้ พระอานนทจ์ งึ ไดถ้ วายจวี รทต่ี ดั แตง่ แลว้
มาใหท้ อดพระเนตร พระพทุ ธองคท์ รงพอพระทยั แลว้ ทรง
อนุญาตให้พระสงฆ์ใช้ผ้า ๓ ผืนคือ ผ้าสังฆาฏิชั้นเดียว,
จวี ร และสบง ต่อมาทรงอนุญาตผา้ ๓ ผนื เปน็ ไตรจีวรคือ
ผา้ สังฆาฏิ ๒ ชน้ั , จวี ร และสบง ทัง้ นี้เพื่อให้พระสงฆ์ได้
เอาไว้ใชป้ ้องกันความหนาวเยน็ และทรงบัญญัตวิ า่ ภิกษุ
ไมพ่ ึงมีจีวรมากกวา่ น้ี รูปใดมีมากกวา่ น้ี ปรับอาบตั ิ

84

นี่แหละ อันน้ีก็คือความเป็นมาของผ้าจีวร คือมี
พระอานนทเ์ ป็นผู้ออกแบบผ้าจีวรของพระ เพอื่ ไมใ่ หม้ นั
มีคุณค่า คือให้ลดคุณค่าของผ้าลง เพราะถูกตัดเป็น
ช้ินเล็กชิ้นน้อย โดยท�ำจากผ้าหลายๆ ช้ิน น�ำมาซักให้
สะอาด แลว้ เยบ็ ปะตดิ ปะตอ่ กนั เปน็ ผนื จากนน้ั กน็ ำ� ไปตม้
ยอ้ มสฝี าดดว้ ยสขี องเปลือกไมเ้ ป็นข้นั ตอนสดุ ท้าย
(วัดป่าโดยมากจะย้อมผ้าจีวรจากเปลือกของต้น
แกน่ ขนนุ โดยนำ� ไปตม้ ใหเ้ ดอื ดจนนำ�้ มสี ฝี าด จากนนั้ จงึ นำ�
ผา้ จวี รใสล่ งไปตม้ ยอ้ มสี กจ็ ะไดผ้ า้ จวี รพระทมี่ สี แี กน่ ขนนุ )

พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตุสสโก 85

๑๓

กรรมฐานกลายพั นธ์ุ

คราวหนงึ่ ขณะทหี่ ลวงพอ่ ขนึ้ มาพกั อยทู่ สี่ วนแสงธรรม
พุทธมณฑล สาย ๓ วันนั้นก็มีการประกาศว่า “วันน้ี
จะมีการหล่อรูปเหมือนครูบาอาจารย์ในเวลา ๙ โมงเช้า
ดงั น้นั เชา้ น้พี ระสงฆไ์ มต่ ้องออกบิณฑบาต”
เม่ือได้ยนิ แบบน้ัน หลวงพ่อกเ็ ลยแยง้ ไปว่า แบบนั้น
ไมน่ า่ จะถกู เพราะหลวงตามหาบวั ทา่ นถอื บณิ ฑบาตเป็น
กจิ วตั รอยา่ งเครง่ ครดั พอมาถงึ ตอนนท้ี อ่ี งคห์ ลวงตาทา่ น
พ่ึงจะจากเราไปไม่เท่าไหร่ แต่พวกเรากลับละท้ิงข้อวัตร
ละทิง้ ปฏิปทาแนวแถวของทา่ นไปกนั หมดเลยหรอื ?
ดูๆ แล้ว แบบน้ีไม่น่าจะถูกต้องตามปฏิปทาครูบา
อาจารย์ในสายหลวงปู่ม่ันของเรานะ นับวันปฏิปทา
พระกรรมฐาน มนั จะคอ่ ยๆ หมดไปทลี ะนอ้ ยๆ นะ จนผล
สุดท้าย ก็จะตายหายสาบสูญไปจนหมด พระที่ว่าเป็น

86

พระกรรมฐาน สดุ ทา้ ยกก็ ลายเปน็ พระกรรมฐานกลายพนั ธ์ุ
ไปหมดเลยทนี ี้ แล้วกลายเปน็ อะไร?
ก็กลายเป็นพระที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่มีกิจวัตร
ข้อวัตรไปเลยทีนี้ เรียกว่ากลายเป็นพระท่ีไม่เอาถ่าน
ว่าอย่างนั้นเถอะ คือจะเรียกว่าเป็นพระสายปริยัติก็ไม่ใช่
เพราะตัวเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือจะเรียกว่าเป็นพระ
สายกรรมฐานกไ็ มใ่ ชอ่ ีกเหมือนกัน เพราะไมไ่ ดบ้ ิณฑบาต
ไมไ่ ดฉ้ นั ในบาตร ครนั้ พอจะภาวนากไ็ มร่ วู้ า่ จะภาวนาหรอื
จะภาวนอนกันแน่ เพราะกิจวัตรข้อวัตรไม่บ่งบอกถึงสิ่ง
เหล่าน้ี ผลสุดทา้ ยกเ็ ถลไถล กลายเป็นอะไรก็ไมร่ ูแ้ ล้วทนี ้ี
ในเมอ่ื พวกเราเปน็ ลกู ศษิ ยใ์ นองคห์ ลวงตา กใ็ หย้ ดึ ใน
แนวแถว ในปฏิปทาครูบาอาจารย์ที่ท่านพาดำ� เนินมาน่ะ
ดีท่ีสุด ท่านพาด�ำเนินมาอย่างไร พวกเราก็ควรเดินตาม
แนวแถวนั้น อยา่ ใหข้ าดตกบกพรอ่ ง
ดูอย่างหลวงตามหาบัว ขนาดน้ิวหัวแม่เท้าซ้าย
ท่านขาด จนท่านนง่ั ขดั สมาธไิ ม่ได้ องค์หลวงตาท่านยัง
นงั่ ฉนั ในบาตรอยเู่ ลยนะ เวลานงั่ ฉนั ขนาดขาขา้ งซา้ ยของ

พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 87

ท่านพับลงไม่ได้ เพราะเจ็บน้ิวหัวแม่เท้าซ้ายที่มันขาดไป
ขา้ งหนง่ึ ทา่ นกเ็ ลยตอ้ งยกเขา่ ขน้ึ ขา้ งหนง่ึ สว่ นบาตรทา่ น
ยังเอามาวางไว้ข้างหน้า อายุ ๙๐ กว่าปี ท่านยังนั่งฉัน
ในบาตรอย่เู ลยนะ
แตพ่ อมาถงึ ยคุ ของเรา กลบั โยนบาตรทง้ิ หาวา่ บาตร
มันเกะกะ มันจะกลายเป็นพระกรรมฐานกลายพันธุ์เสีย
มากกว่า คือจะเรียกว่าเป็นพระกรรมฐานก็ไม่ใช่ เพราะ
ท้ิงบาตร ทิ้งการฉันในบาตร ทิ้งการบิณฑบาต แต่กลับ
ชอบเรียกตัวเองวา่ เปน็ พระกรรมฐาน
ที่หลวงพูดให้ฟังน้ี หลวงพ่อไม่ได้ต�ำหนิใครผู้ใด
ผู้หนึ่ง หรือพระองค์ใดองค์หนึ่ง แต่หลวงพ่อต�ำหนิ
ในการกระท�ำที่ไม่ถูกต้อง ผู้ใดท่ีท�ำไม่ถูกต้องหลวงพ่อ
ก็ต�ำหนิในจุดนั้น ในการกระท�ำอันนั้นล่ะ เหมือนเวลาท่ี
หลวงตามหาบัวท่านดุดา่ คน ทา่ นก็บอกว่า
“น่ีเราไม่ได้ด่าคนนะ แต่เราด่ากิเลสที่มันหน้าด้าน
ที่มันไม่รู้จักยางอาย เราด่าในจุดน้ัน ถ้ามันดีอยู่แล้ว
เราจะไปด่าท�ำไม เหมือนกับต้นไม้ ถ้าเน้ือไม้มันเกลี้ยง

88

เกลาดีอยู่แล้ว เราจะไปถากมนั อีกท�ำไมให้เสียหาย แตถ่ ้า
มันคด มันโค้ง อันนั้นเราจะไม่ถากก็ไม่ได้ เพราะมันยัง
ไมเ่ ข้ารูป”
น่แี หละ ทอ่ี งคห์ ลวงตาท่านตำ� หนิ ท่านไมไ่ ด้ต�ำหนิ
ผใู้ ดใครผหู้ นง่ึ แตท่ า่ นตำ� หนผิ ทู้ ก่ี ระทำ� ออกนอกลนู่ อกทาง
ไม่ไปในแนวแถวที่ครูบาอาจารย์ท่านวางเอาไว้ ครูบา
อาจารย์ท่านเพิ่งล้มหายตายจากไป กองไฟยังไม่ทันจะ
มอดเลย แต่พวกเรากลับละท้ิงข้อวัตรปฏิปทาไปจน
หมดแล้วแบบน้ี อนั นี้หลวงพ่อวา่ มันนา่ คดิ นะ

พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 89

๑๔

มะมว่ งไมม่ ีผล คนไมม่ ียศ

ในครง้ั พทุ ธกาลมพี ระในกรงุ สาวตั ถอี อกบวช๕๐๐รปู
พอบวชแล้วก็ออกไปบ�ำเพ็ญ พอกลับมาท่ีวัดป่าเชตวัน
ก็มาพกั อยู่ท่ีกุฏิรบั รองซงึ่ อยูห่ ลังวดั ป่าเชตวนั พอตกดกึ
พระนวกะเหล่าน้ีนึกคิดหมกมุ่นไปในทางกามกิเลส
พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบเรื่องนี้ด้วยพระญาณ จึงทรงให้
พระอานนท์ไปเรียกพระเหล่านั้นมาประชุมในกลางดึก
น้ันทันที พอพระเหล่าน้ันมาประชุม พระพทุ ธองค์กท็ รง
ตกั เตือนว่า
“ดูก่อน พวกท่านท้ังหลาย ที่เข้ามาบวชในศาสนา
ของเราตถาคต เรามีแต่สอนให้พวกท่านเห็นโทษภัย
ในกามกิเลส เพราะตัวกามตัวนี้ ท�ำให้สัตว์โลกท้ังหลาย
ยังต้องวนเวยี นอยใู่ นสงั สารวฏั

90

แต่ท�ำไมพวกท่านท้ังหลายจึงยังไม่เห็นโทษภัย?
ท�ำไมพวกท่านจึงยังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่มันอยู่ตลอด?
ตราบใดทพี่ วกทา่ นยงั ไมเ่ หน็ โทษภยั ของกามตวั น้ี ตราบใด
ที่พวกท่านยังเห็นคุณของกามนี้อยู่ พวกท่านก็จะหนี
ไมพ่ น้ ภยั ในสงั สารวฏั อยา่ งบณั ฑติ ในครงั้ กอ่ น เพราะทา่ น
ไดเ้ หน็ โทษภยั ทา่ นจงึ สามารถตดั ขาดจากกเิ ลสเหลา่ นไี้ ด”้
พระที่เปน็ ผู้ใหญ่ก็เลยกราบทูลถามว่า “ขอพระองค์
โปรดทรงเมตตาตรัสเล่าเร่ืองราวด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าทรงเล่าว่า
สมยั หนงึ่ ทพี่ ระเจา้ พรหมทตั ทรงครองราชย์ คราวหนงึ่
นายอุทยานได้น�ำผลไม้ต่างๆ ท่ีมีรสโอชาและดอกไม้
นานาชนิดมาถวาย เม่ือพระองค์ทอดพระเนตรแล้ว
ก็ทรงช่ืนชมและทรงปรารภกับนายอุทยานว่า พระองค์มี
พระประสงค์จะเสด็จประพาสอุทยานเพ่ือเยี่ยมชมผลไม้
และดอกไม้ท่ีนายอุทยานได้เพาะปลูกเอาไว้บ้าง จากน้ัน
เมอื่ ถงึ เวลา พระองคก์ ไ็ ดเ้ สดจ็ ประพาสอทุ ยานพรอ้ มดว้ ย
เหลา่ ข้าราชบริพาร

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 91

ที่หน้าอุทยานน้ัน มีต้นมะม่วงอยู่ ๒ ต้นท่ีมีใบ
เขยี วชอมุ่ ตน้ หนง่ึ ไมม่ ผี ล สว่ นอกี ตน้ หนง่ึ มผี ลดก แตไ่ มม่ ี
ใครกลา้ สอยลงมากนิ เพราะตอ้ งใหพ้ ระราชาเสวยเสยี กอ่ น
จึงจะมีโอกาสได้ล้ิมรส ขณะที่พระราชาประทับบนช้าง
กท็ อดพระเนตรเห็นผลมะมว่ งทอ่ี ยบู่ นต้นมะมว่ ง จงึ ทรง
เกบ็ มะมว่ งผลหนง่ึ ซง่ึ มรี สโอชามาเสวย และดำ� รทิ จ่ี ะกลบั
มาเกบ็ เสวยอกี ตอนขากลับออกมา
เมอื่ พระองคเ์ ขา้ ไปในอทุ ยานแลว้ ฝา่ ยขา้ ราชบรพิ าร
คนอน่ื ๆ ทต่ี ามมาภายหลงั เมอื่ รวู้ า่ พระราชาเสวยผลมะมว่ ง
จากต้นมะม่วงแล้ว ก็พากันเก็บผลมะม่วงมากินกัน
อย่างเอร็ดอร่อย ตามความพอใจ บ้างก็ปีนข้ึนไปบนต้น
แล้วหักรานก่ิงก้านเพื่อเก็บเอาผลมะม่วง จนสุดท้าย
มะม่วงต้นน้ี ก่ิงก้านย่อยยับเสียหายจนหมด ตลอดจน
ผลมะมว่ งกไ็ มม่ เี หลอื แตม่ ะมว่ งอกี ต้นหนึ่งทไี่ มม่ ผี ลนนั้
กลบั ยืนตน้ ตระหง่านงดงามอยูเ่ หมือนเดมิ
เม่ือพระองค์เสด็จกลับออกมา ก็ปรากฏว่าบัดนี้
ต้นมะมว่ งตน้ นถ้ี กู หักกง่ิ รานใบจนยอ่ ยยบั ไม่เหลือผลให้
ทรงเก็บไดอ้ ีกแลว้ ท�ำให้ทรงฉงนสงสัย และเม่อื ตรัสถาม

92

เหลา่ อำ� มาตยจ์ นไดร้ บั ทราบเรอื่ งราวทงั้ หมดแลว้ พระองค์
ก็เกิดความสลดสังเวชขนึ้ ในพระทัยวา่
“มะม่วงต้นแรกนี้ นอกจากจะสวยงามกว่าต้นท่ี
๒ แล้ว แถมยังมผี ลมะมว่ งอกี ต่างหาก แต่มาบดั นก้ี ลบั
ถูกหักกิ่งก้านรานใบจนย่อยยับ เพราะอะไร? ก็เพราะ
ผลมะมว่ งเปน็ เหตุ แมร้ าชสมบัตขิ องเราน้ี กเ็ ฉกเชน่ เดยี ว
กับต้นมะม่วงท่ีมีผลต้นน้ี สกั วันหนึง่ ก็ตอ้ งยอ่ ยยบั เพราะ
เรามรี าชสมบตั ิ มลี าภ มยี ศ มสี รรเสรญิ มสี ขุ ผคู้ นทง้ั หลาย
เขากอ็ ยากจะไดจ้ ากเราเหมอื นกบั ทอี่ ยากจะไดจ้ ากมะมว่ ง
ตน้ นี้
ตราบใดทเ่ี รายงั เปน็ พระราชาครองราชยม์ สี มบตั แิ ละ
บรวิ ารอยู่ ตราบนน้ั กษตั รยิ เ์ มอื งอนื่ กอ็ ยากจะมารบแยง่ ชงิ
จากเรา แตส่ ่ิงเหลา่ น้มี ันไมเ่ ที่ยงแท้ สงิ่ ไหนไม่เท่ียง สิ่งน้นั
มันก็เป็นทุกข์ ตายไปเราก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
แตท่ ำ� ไมเรายงั มาสนใจอย่อู ยา่ งน”้ี
“ส่วนมะม่วงตน้ ที่ ๒ ท่ไี ร้ผลน้ี แมจ้ ะดูไมส่ วยงาม
เหมือนต้นแรก แถมผลก็ไมม่ อี ีกตา่ งหาก แตย่ ังคงสภาพ

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 93

เดมิ อยไู่ ด้ โดยไมม่ ใี ครมารุกราน เพราะเหตุใด? กเ็ พราะ
มันไม่มีผล มันจึงไม่เป็นท่ีต้องการของใคร การบวชน้ัน
กเ็ ป็นเช่นเดียวกบั ตน้ มะม่วงที่ไรผ้ ลนั่นล่ะ”
ครนั้ ทรงพจิ ารณาธรรมเหน็ ความแตกตา่ งกนั ระหวา่ ง
ตน้ มะมว่ งตน้ ทผ่ี ลดกและตน้ ทไี่ รผ้ ลแลว้ จากนนั้ พระองค์
กพ็ จิ ารณาถงึ ไตรลกั ษณ์ คอื อนจิ จงั -ทกุ ขงั -อนตั ตา จนได้
ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ในขณะที่ก�ำลังทรงยืน
ปลงสงั เวชอยตู่ รงน้ันเอง
คร้ันได้เวลา อ�ำมาตย์ผู้ใหญ่ก็ได้ทูลเชิญเสด็จกลับ
“พระองคท์ รงยนื อยนู่ านแลว้ ขอเชญิ เสรจ็ กลบั พระนครเถดิ
พระเจา้ ขา้ ” แตพ่ ระองคก์ ลบั ทรงปฏเิ สธวา่ “เราไมใ่ ชก่ ษตั รยิ ์
ของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว บัดนี้เราเป็นพระปัจเจก-
พุทธเจ้าแลว้ ”
อำ� มาตยค์ นนนั้ กก็ ราบทลู ขน้ึ วา่ “พระปจั เจกพทุ ธเจา้
นนั้ ตอ้ งปลงผม หม่ ผา้ กาสายะหรอื ผา้ ยอ้ มฝาด แลว้ กต็ อ้ ง
ไปอยู่กับเหล่าพระปัจเจกในป่าหิมพานต์ แต่ตอนน้ี
พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าแผน่ ดินอยู่ พระเจ้าข้า”


Click to View FlipBook Version