142
ท่านบอกว่า “ถ้าจิตมันไม่สงบ ท่านก็จะไม่ข้ึนจาก
ทางเดินจงกรม” คือเดินทุกครั้ง ท่านต้องให้จิตมันสงบ
ใหจ้ ติ มนั อยนู่ งิ่ ใหไ้ ดเ้ สยี กอ่ น จากนนั้ ทา่ นจงึ คอ่ ยออกจาก
ทางเดินจงกรม แต่ถ้าจิตมันยังคึกคะนองอยู่ ยังไม่สงบ
ทา่ นกจ็ ะเดนิ อยอู่ ยา่ งนน้ั ละ่ เอาจนจติ มนั ออ่ นลา้ เอาจนจติ
มนั ยอม
ตามทจ่ี รงิ การทจ่ี ะทำ� ใหจ้ ติ สงบในขณะทเ่ี ดนิ มนั ยาก
กวา่ การนง่ั เพราะการเดนิ เปน็ การเคลอื่ นไหวของรา่ งกาย
แล้วจิตจะสงบในขณะท่ีเดินได้ไหม? ได้ เวลาเดินไป
ถ้าจิตสงบรวมเป็นอัปปนาสมาธิในขณะที่เดินจงกรมน่ี
เท้ามันจะหยุดก้าวทันทีและมาชิดกันเองโดยอัตโนมัติ
มันจะหยุดนิ่งเองเลย ไม่ขยับ หลวงพ่อก็เคยเป็นแบบน้ี
มากอ่ น
ในเชา้ วนั หนงึ่ ชว่ งทห่ี ลวงพอ่ ธดุ งคค์ รงั้ แรก หลวงพอ่
ไดต้ งั้ จติ อธฐิ านวา่ จะมสี ตไิ มใ่ หเ้ ผลอ จะพยายามกำ� หนด
บริกรรมพุทโธ เวลาเดินก็ขาขวา-พุท ขาซ้าย-โธ ทีนี้
เวลาบิณฑบาตแล้วเจอผู้คน เวลาที่เผลอขาดสติ จิตมัน
ก็สง่ ออกทันทเี ลย แตเ่ มือ่ รู้ตัวว่าเผลอแล้ว หลวงพอ่ ก็รีบ
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 143
ดึงสตกิ ลบั มา เวลาเปิดบาตรก็สักแตว่ ่าเปดิ เมอื่ กลับจาก
บิณฑบาตเข้าเขตป่าที่พัก ขณะที่หลวงพ่อเดินก�ำหนด
บรกิ รรมอยู่ กเ็ หน็ วา่ ใจมนั วงิ่ ไปมาเหมอื นกบั กระรอกทวี่ ง่ิ
อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ท่ีมีรูออกหลายรู มันก็วิ่งโผล่ออก
ทางรูนั้นทีรูน้ีที เหมือนกับร่างกายของเราที่มีทวารรับรู้
ใจมันก็ว่ิงออกมาทางทวารรับรู้ต่างๆทางนั้นทีทางนี้ที
ทางตาบา้ ง หูบา้ ง
พอรู้สึกว่าท�ำไมมันจึงยุ่งนัก หลวงพ่อจึงตาม
กำ� หนดดู พอบงั คบั ใหจ้ ติ มนั ไมส่ ง่ ออกได้ จติ มนั กส็ งบลง
เปน็ สมาธถิ งึ ขนั้ ทวี่ า่ สตกิ บั จติ รวมเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั
ตอนนั้นไม่รบั รู้อะไรทางกายเลย ไมร่ ู้สกึ ถึงร่างกายตวั เอง
ไมร่ สู้ กึ กระทง่ั ลมหายใจของตวั เอง คอื ทง้ั ลมหายใจ ทงั้ รา่ งกาย
หายไปหมดเลย รูส้ กึ ถึงจิตแต่เพยี งอย่างเดียว ทนั ทีทจี ิต
สงบรวมลงเป็นหน่ึงในขนั้ อปั ปนาสมาธนิ ้ี เท้ามนั จะหยดุ
ก้าวทันที มันจะมาชดิ กันเองโดยอตั โนมัติและหยุดนิ่งอยู่
อย่างน้นั
หลวงพอ่ นง่ิ อยใู่ นความสงบนน้ั ไมร่ วู้ า่ นานสกั เทา่ ไหร่
จากน้นั จติ จงึ คอ่ ยๆ ถอนออกจากอปั ปนาสมาธิ ตอนน้ัน
144
หลวงพอ่ เลยเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนในพทุ ธสภุ าษติ ทว่ี า่ “นตั ถิ
สันติ ปะรัง สุขัง ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”
หลวงพ่อจงึ คอ่ ยเดนิ ตอ่ ไป โดยความสขุ สงบจากอปั ปนา
สมาธนิ ี้ ยงั คงอยอู่ ย่างนนั้ อกี หลายวนั เลยทเี ดยี ว
แต่การท่ีจิตจะรวมลงเป็นระดับอัปปนาสมาธิได้นั้น
ไม่ใช่ของง่าย แต่ถ้าท�ำได้สักครั้งนี่ไม่มีวันลืมเลยนะ
หลวงตามหาบัวท่านว่า จิตท่ีจะสงบเป็นสมาธิในระดับนี้
ไดน้ นั้ จะเกดิ ในทๆ่ี ปลอดภยั และไมว่ นุ่ วายเทา่ นน้ั ไมม่ ที าง
ทจี่ ะเกิดในทๆ่ี วุน่ วายได้
เมอ่ื เราเดนิ พอประมาณจนใจของเรานง่ิ ไมค่ กึ คะนอง
ออกนอกลนู่ อกทางแลว้ เรากค็ อ่ ยออกจากการเดนิ จงกรม
จากนน้ั เรากข็ นึ้ มาทก่ี ฏุ ิ มาถงึ กก็ ราบพระเสยี กอ่ น เสรจ็ แลว้
เราก็นั่งภาวนาต่อเลย เพื่อให้มันต่อเน่ือง เพราะในขณะ
ท่ีเดินนั้น เราเคล่ือนไหวตลอดเวลา ท�ำให้จิตมันสงบ
ได้ยาก แต่เม่ือเราพยายามบังคับให้จิตมันสงบในขณะ
ท่ีเดิน มันก็สงบได้อยู่ในระดับหน่ึง จากนั้นพอเรามา
นั่งสมาธติ อ่ จิตมนั กส็ งบไดง้ ่ายขึ้น เพราะมันตอ่ เนื่องมา
จากการเดนิ
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 145
๒๔
ความเปน็ มา ตอน ๖:
ความเปน็ มาของผา้ อาบน้ำ� ฝน
เมอื่ พระพทุ ธองคไ์ ดป้ ระกาศพทุ ธศาสนา สงฆส์ าวก
กม็ ากขน้ึ ตามลำ� ดบั เพราะเกดิ ความเคารพนบั ถอื เลอ่ื มใส
ในธรรมคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ เมอ่ื มผี ทู้ อี่ อกมาบวชมาก
อีกทั้งผ้ายังเป็นของหายากในสมัยนั้น พระสงฆ์ท้ังหลาย
ทีเ่ ขา้ มาบวชก็เลยตอ้ งอาศยั หาผา้ ตามมตี ามเกดิ เอา เช่น
จากผ้าบังสุกุล หรือเศษผ้าผู้คนท้ิงแล้ว น�ำมาเย็บปะติด
ปะตอ่ กันใหเ้ ป็นผ้าจีวร, ผ้าสบง และผา้ สังฆาฏิ
ยุคสมัยนั้น พระสงฆ์ท่านก็มีแต่ผ้าไตรจีวร ผ้าที่
ไม่จ�ำเป็นอย่างผ้าอาบน�้ำน้ันยังไม่มี ดังนั้น เวลาพระจะ
อาบน้�ำ จึงไม่มีผ้าส�ำหรับผลัดอาบน�้ำ ก็เลยจ�ำเป็นต้อง
เปลือยกายอาบน้ำ�
146
พระพุทธเจ้าก็ห้ามไม่ให้พระอาบน้�ำติดต่อกันอีก
ตา่ งหาก คือ ๑๕ วนั ถงึ จะอาบน�ำ้ ไดห้ นหน่ึง ถ้าภกิ ษุใด
อาบน�้ำติดต่อกันถูกปรับอาบัติ เว้นแต่พายุมา, ฝนตก
หรือเจ็บป่วย จ�ำเป็นจะต้องอาบน�้ำ จึงให้อาบน�้ำได้
แต่ส�ำหรับในประเทศไทย อาบน�้ำเป็นนิจได้ไม่เป็นอาบัติ
แตป่ ระเทศอินเดีย ๑๕ วนั จึงอาบน�้ำไดค้ ร้ังหน่งึ ถา้ หาก
ไมถ่ ึง ๑๕ วันอาบนำ้� ให้ปรับอาบตั ิ
สมัยหน่ึงท่ีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดป่าเชตวัน
นางวิสาขาได้มาฟังธรรมแล้วนิมนต์พระพุทธองค์พร้อม
หม่สู งฆ์ไปฉนั ทีบ่ ้านของนางในวันร่งุ ขึน้ เช้าวันรุง่ ข้นึ เกิด
ฝนตกหนกั พระสงฆท์ งั้ หลายจงึ พากนั ออกมาเปลอื ยกาย
อาบน�้ำฝน พอดกี บั ท่ภี ัตตาหารจัดพร้อมแลว้ นางวสิ าขา
จึงได้ให้นางทาสีหรือคนรับใช้ ไปนิมนต์พระสงฆ์มาฉันท่ี
บา้ นของนาง
เมอ่ื สาวใชไ้ ปถงึ ทวี่ ดั ปา่ เชตวนั พอไปเหน็ เขา้ กต็ กใจ
เข้าใจผิดว่า อารามนี้ไม่มีภิกษุอยู่ เพราะเห็นมีแต่พวกชี
เปลือย (อาชีวกนอกพระพุทธศาสนา) จึงรีบกลับไปแจ้ง
แกน่ างวสิ าขาวา่ “พระแมเ่ จา้ วนั นที้ วี่ ดั ปา่ เชตวนั ไมม่ พี ระ
พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 147
อยู่เลย เห็นมีแต่พวกชีเปลือยแก้ผ้าอาบน้�ำกันอยู่เต็ม
ไปหมด” “อ้อ เมอื่ ก้ีฝนกำ� ลังตกหนกั พระท่านคงกำ� ลัง
อาบน�ำ้ ฝนกนั อย”ู่
เพราะนางวสิ าขานั้นเปน็ สตรที ฉ่ี ลาด เมอ่ื นางได้ฟัง
คำ� บอกเลา่ ของสาวใชแ้ ลว้ ดว้ ยความทนี่ างเปน็ อรยิ บคุ คล
ชั้นโสดาบัน ทั้งยังมีความคุ้นเคยกับพระสงฆ์ จึงทราบ
เหตกุ ารณโ์ ดยตลอดวา่
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์มีผ้าส�ำหรับ
ใชส้ อยเพยี ง ๓ ผนื เทา่ นน้ั คอื ผา้ จวี รสำ� หรบั หม่ , ผา้ สงั ฆาฏิ
ส�ำหรับห่มซ้อนกันหนาว และผ้าสบงส�ำหรับนุ่ง ดังน้ัน
เวลาฝนตก ถา้ พระสงฆ์ทม่ี ผี ้าสบงเพียงผนื เดยี วตอ้ งการ
จะอาบน�ำ้ ฝน ท่านก็จ�ำเป็นต้องเปลอื ยกาย เพราะไมม่ ผี ้า
ผืนอ่ืนๆ ท่ีจะใช้ผลัดเปลี่ยนเวลาอาบน�้ำฝน ท�ำให้แลดู
ไมง่ ามและดเู หมอื นพวกนักบวชนอกศาสนา
เม่ือถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุขในวันน้ันแล้ว นางวิสาขาจึงยกเหตุนี้ขึ้นมา
และกราบทูลขอพรในการถวายผ้าอาบน้�ำฝนแก่พระสงฆ์
ทั้งนี้ก็เพื่อปกปิดความเปลือยกายในเวลาสรงน�้ำฝนของ
148
พระสงฆ์ท่ีแลดูไม่งาม ผู้ที่ไม่เล่ือมใสก็จะย่ิงไม่เล่ือมใส
ส่วนผู้เลื่อมใสอยู่แล้ว เมื่อมาเห็นพระสงฆ์เปลือยกาย
อย่างนี้เข้า ก็อาจจะคลายจากความเล่ือมใสนั้นได้ ด้วย
เหตุผลนี้ พระพทุ ธองค์จงึ ประทานอนุญาตตามท่ขี อนน้ั
ดังนั้น ผ้าอาบน้�ำฝนเป็นผ้าท่ีพระพุทธเจ้าทรง
อนุญาตให้พระสงฆ์ใช้ได้เป็นผืนท่ี ๔ นอกเหนือจากผ้า
ไตรจีวร และทรงอนุญาตให้พระสงฆ์รับถวายได้ก่อนเข้า
พรรษา ๑ เดือน โดยนางวิสาขาน้ันเป็นบุคคลแรกท่ีได้
ถวายผ้าอาบน้�ำฝนแก่พระสงฆ์
ตั้งแต่น้ันมา พระพุทธองค์ก็เลยบัญญัติวินัยว่า
ก่อนเข้าพรรษา ๑ เดือน ให้พระภิกษุแสวงหาผ้าอาบ
น�้ำฝนได้ ถ้าแสวงหาก่อนหน้านั้นย่อมเป็นอาบัติ
หมายความว่า ก่อนเข้าพรรษา ๑ เดือน ญาติโยมจึง
จะถวายผ้าอาบน้�ำฝนได้ แต่ส่วนพระสงฆ์นั้น แม้จะได้
ผ้าอาบน้�ำฝนมาแล้ว ก็ยังไม่สามารถน�ำไปตัดเย็บหรือ
อธษิ ฐานใชผ้ า้ นน้ั ได้ ตอ้ งรอใหถ้ งึ ๑๕ วนั กอ่ นเขา้ พรรษา
เสียก่อน จึงจะสามารถตัดเย็บแล้วอธิษฐานใช้เป็นผ้า
อาบนำ้� ฝนได้ตามความต้องการ
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 149
เขตกาลท่ีจะอธิษฐานใช้สอยก็คือช่วงเข้าพรรษา
(ต้งั แตว่ นั แรม ๑ ค�่ำ เดอื น ๘ จนถงึ วันเพ็ญเดอื น ๑๒
รวมเปน็ เวลา ๔ เดือน) คือพระภิกษสุ ามารถตัดเยบ็ แล้ว
อธษิ ฐานใชผ้ า้ ไดต้ ามตอ้ งการ ดงั นนั้ ตลอดภายในพรรษา
หรอื ตลอดฤดฝู นนนั้ ญาตโิ ยมสามารถถวายผา้ อาบนำ้� ฝน
ได้ตลอด
นี่แหละ อนั น้ีคือความเป็นมาของผ้าอาบน้ำ� ฝน
150
๒๕
ใหเ้ ปน็ ผ้งึ งาน
ทรี่ จู้ กั เลอื กสรรแตส่ ง่ิ ทด่ี ี
พวกเราทุกคนนั้นเปรียบเสมือนกับผ้ึงงาน ที่เข้ามา
เอาเกสรดอกไม้ คือเข้ามาปฏิบัติ เข้ามาศึกษาธรรมะใน
ส�ำนักของหลวงพ่อ แต่ว่าต้นไม้นั้นมันมีแต่น�้ำหวาน
อย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ก็คงจะไม่ใช่ ต้นไม้มันก็ต้อง
มีเปลือก มีกระพ้ี มีแก่น มีใบไม้ทั้งใบอ่อนใบแก่อยู่ใน
ตน้ ไม้นัน้ อีกดว้ ย ถ้าหากเป็นผ้งึ ตัวทีฉ่ ลาดกจ็ ะรจู้ กั เลือก
เอาแต่เกสรดอกไม้ท่ีหอมหวานไปเล้ียงรวงรังของตน
อันนั้นแปลวา่ ผึ้งตัวน้นั เปน็ ผ้งึ ท่ฉี ลาด คือรู้จกั เลือกสรร
คัดสรรเอาแต่เฉพาะสิ่งดีๆ ไปใชก้ ับรงั ของตน
น้ีก็เหมือนกัน พวกเราที่เข้ามาศึกษาในวัดของ
หลวงพ่อน้ี ก็อยากจะให้พวกเราน�ำแต่ส่ิงท่ีดีในวัด ที่เรา
ได้เห็นได้ศึกษา สิ่งไหนที่ดี เราก็น�ำสิ่งน้ันไปปฏิบัติเพื่อ
ปรับปรุงแกไ้ ขกาย-วาจา-ใจของเราเอง สว่ นสงิ่ ไหนทีไ่ ม่ดี
เราก็แค่เอาท้งิ ไวท้ นี่ ี่ ไม่ตอ้ งเอาไปกแ็ ค่นั้นเอง
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 151
อย่างต้นไม้มันก็ต้องมีทั้งใบไม้ที่อ่อนและแก่ มีท้ัง
กง่ิ ไมส้ ดและแหง้ ถา้ ผง้ึ ตวั ทไี่ มฉ่ ลาดกไ็ ปกดั เอาแตเ่ ปลอื ก
แหง้ ๆ หรอื ใบไมแ้ ก่ๆ ไปเล้ยี งรังของตนเอง ผึง้ ตวั อนื่ ๆ
ในรังน้ันก็คงจะดูถูกว่า “ผึ้งงานตัวน้ีมันโง่เหลือเกิน
แทนท่ีจะไปเอาในสิ่งท่ีดีๆ มา แต่กลับไปเอาแต่อะไร
มาก็ไม่รู้ มาใส่ในรังตนเองจนรกรุงรัง นอกจากไม่เกิด
ประโยชนแ์ ลว้ ยงั เปน็ โทษตอ้ งใหห้ มไู่ ปขนทงิ้ ใหอ้ กี ตา่ งหาก”
เพราะฉะนนั้ พวกเรากไ็ มค่ วรทจ่ี ะเปน็ เหมอื นผง้ึ งาน
ตัวน้ีนะ ให้รู้จักคัดสรร คัดเลือกเอาแต่ส่ิงที่ดีมีคุณค่า
มปี ระโยชนเ์ อาไปใช้ ความรตู้ า่ งๆ ทห่ี ลวงพอ่ ใหไ้ ปกค็ งจะ
เป็นส่วนท่ีเป็นประโยชน์เสียเป็นส่วนมาก แต่ถ้าถามว่า
จะเป็นส่ิงที่ดีทั้งหมดเลยใช่ไหม? อันน้ีหลวงพ่อเองก็
ไม่มั่นใจอีกเหมือนกัน ก็คงจะมีทั้งสิ่งท่ีเหมาะและ
ไม่เหมาะสม ทคี่ วรและไมค่ วร คงจะมอี ยู่บา้ งทป่ี ะปนไป
แต่ถึงอย่างไร ก็ขอให้พวกเราเลือกสรรเอาแต่ส่ิงที่ดีไปใช้
กับตนเอง ส่วนสงิ่ ทไ่ี ม่ดกี ็ท้งิ เอาไว้ทีว่ ัดน่ี อยา่ เอาไป
ในแต่ละโรงเรียน แต่ละมหาวิทยาลัยนั้นก็คงจะมี
สว่ นดเี ปน็ สว่ นมาก เพราะถา้ มแี ตส่ ว่ นทไ่ี มด่ ี กค็ งไมม่ ใี คร
152
ไปเรียนกัน วัดของหลวงพ่อก็ลักษณะเดียวกัน พระเณร
ในวัดตลอดจนถึงญาติโยมท่ีมาเก่ยี วขอ้ ง จะให้ทกุ คนอยู่
ในกรอบ ถกู ตอ้ งทกุ อยา่ งกค็ งจะเปน็ ไปไมไ่ ด้ แตห่ ลกั ธรรม
ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าน้ันเป็นสวากขาตธรรม อันนั้น
เราต�ำหนิไมไ่ ด้
แตส่ ำ� หรบั ผทู้ ก่ี ำ� ลงั ศกึ ษาเรยี นรู้ จะใหป้ ฏบิ ตั ติ รงตาม
ธรรมค�ำสอนทุกอย่าง อนั น้ันกค็ งจะเป็นไปไดย้ าก เพราะ
ต่างคนต่างก็ยังมีกิเลส จึงได้เข้ามาศึกษาที่ส�ำนักเพ่ือ
ฝกึ หัดดดั นิสัย ขัดเกลาจติ ใจตนเอง ทนี ้กี ค็ งต้องมีบา้ งท่ี
บางคร้ังบางคนอาจแสดงออกมาไม่เหมาะสม แต่ถ้าลอง
บวกลบคณู หารดู ทเี่ ราเขา้ มาศกึ ษานก่ี ค็ งตอ้ งมดี มี ากกวา่
ไม่ดแี นน่ อน จงึ ไดม้ ีพระเณรเข้ามาอยหู่ ลายรุ่นหลายองค์
เม่อื เราจะออกไป อะไรที่มนั ขวางหขู วางตา ขดั อก
ขดั ใจ ไมถ่ กู ใจเรา แลว้ เราจะไปยดึ ถอื มนั จนวนั ตาย กค็ งจะ
ไมถ่ กู ต้อง เราก็ตอ้ งถือวา่ ในโลกนม้ี นั มี ๒ ดา้ นเสมอ คือ
มันมีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในทุกๆ ที่นั่นล่ะ ไม่ว่าจะอยู่ท่ีไหน
ในโลกนี้ แต่ที่ส�ำคัญคือเราอย่าไปเอาของเลวก็แล้วกัน
ใหร้ ูจ้ ักเลือกเอาแต่เฉพาะของดๆี ไป
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตสุ สโก 153
๒๖
ตวั หาปลาแต่ใจอยูว่ ดั หรอื
ตวั อยวู่ ดั แต่ใจหาปลา
เมื่อมาอยู่วัด ไม่ใช่ว่าเห็นหมู่เพ่ือนมาวัดก็เลย
มาดว้ ย มาแล้วกไ็ มไ่ ดท้ �ำอะไร แถมยังมาคยุ กนั ให้คนอ่ืน
รำ� คาญอกี อยา่ งนน้ั ไมไ่ ดน้ ะ เอาเรอ่ื งขา้ งนอกมาสนทนากนั
ในวัดมันไม่ถูกนะ ไม่ใช่เรื่องของพระ ไม่ใช่เร่ืองของ
ญาตโิ ยมผมู้ าสมาทานศลี เมอื่ มาอยูว่ ัดแล้ว ต้องปิดปาก
เงียบไม่พูดเรือ่ งลกู หลาน เรื่องสามีภรรยา เรอื่ งครอบครวั
คนน้ันไม่ดีคนนี้ดี คนน้ันเป็นอย่างน้ัน คนนั้นร่�ำรวย
คนน้ีมีทุกข์ อันน้ันมันเรื่องของคนอื่นเขามันไม่ใช่เรื่อง
ของเรา ขณะน้ีเรามาปฏิบัติธรรมรักษาศีลภาวนา เราจะ
ไมเ่ อาเร่ืองภายนอกเข้ามายุ่งในวัด
ทเี่ ราเขา้ มาวดั เราเขา้ มาเพอื่ ฝกึ หดั ดดั นสิ ยั นะ การท่ี
พวกเราจะดีได้น้ัน มันก็ต้องดีด้วยการฝึกหัดดัดนิสัย
ด้วยการเจรญิ ทาน ศลี และภาวนานะ ไม่ใช่ว่าเมอ่ื เขา้ วัด
154
มาแล้วมนั จะดีไดเ้ องเลย ไมใ่ ชน่ ะ นี้กเ็ หมือนกับการทีเ่ รา
ไปอยตู่ า่ งประเทศในประเทศทรี่ ำ่� รวย เชน่ อเมรกิ า แลว้ มนั
จะรวยข้ึนมาเองเลย มันไม่ใช่นะ เราก็ต้องไปท�ำงาน
เพื่อหาเงินเสียก่อน เราจึงจะรวยขึ้นมาได้ น้ีก็เหมือนกัน
เม่ือเข้ามาวัดแล้ว เราจะได้บุญข้ึนมาเลย มันไม่ใช่นะ
เราก็ต้องมาไหว้พระสวดมนต์ ต้องมาภาวนาดูใจตนเอง
มนั จงึ จะเปน็ บญุ เปน็ กุศล เหมอื นอยา่ งนทิ านเร่อื งนี้
กาลครง้ั หนง่ึ มชี ายหนมุ่ ๒ สหายเปน็ เพอ่ื นสนทิ กนั
ชายคนแรกก็ไปพบกับเพอื่ น เพ่อื นกลุ่มน้กี เ็ ลยชวนไปหา
ปลาด้วยกันในวันพรุง่ นี้ ชายคนแรกกเ็ ลยรบั ปากว่าจะไป
หาปลากบั พวกนี้
สว่ นชายคนที่ ๒ ไปพบกบั เพอ่ื นอกี กลมุ่ เพอื่ นกลมุ่
หลังนี้ก็มาชวนว่า “พวกเราจะไปวัดกันวันพรุ่งน้ี เพราะ
พรุ่งนี้เป็นวันพระจะมีพระมาเทศน์ จะไปด้วยกันไหม?”
ชายคนที่ ๒ ก็รับปากเขา
สรปุ วา่ ชายคนแรกตกลงกบั หมเู่ พอื่ นวา่ จะไปหาปลา
ในวันพรุง่ นี้ ส่วนชายคนที่ ๒ ตกลงกับหมู่เพอ่ื นว่าจะไป
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตุสสโก 155
ฟงั เทศนใ์ นวนั พรงุ่ น้ี ทนี พ้ี อตอนเยน็ วนั นนั้ เมอ่ื ชายหนมุ่
๒ สหายน้มี าเจอกัน ชายคนท่ี ๒ ก็เลยชวนชายคนแรก
ให้ไปฟังเทศน์ด้วยกันในวันพรุ่งนี้ แต่ชายคนแรกก็
ปฏเิ สธวา่ “ไปไมไ่ ดแ้ ลว้ เพราะไดน้ ดั กบั เพอ่ื นๆ ไปแลว้ วา่
จะไปหาปลา ยงั ไงถา้ เพอื่ นจะไปฟงั เทศนท์ วี่ ดั ในวนั พรงุ่ นี้
ก็อนโุ มทนาด้วยนะ”
จากนั้นพอเช้าวันรุ่งข้ึน ชายคนที่จะไปหาปลา
ก็เตรียมอุปกรณ์ในการจับปลา ส่วนชายคนที่จะไปวัด
ก็เตรียมดอกไมธ้ ูปเทยี น จตปุ จั จยั เพอ่ื ท�ำบุญ ฟังเทศน์
ทีนี้ชายคนท่ี ๒ ท่ีไปวัด ขณะที่ก�ำลังนั่งฟังพระ
เทศน์อยู่นั้น ในใจก็คิดถึงแต่เพ่ือนคนแรกท่ีไปหาปลาว่า
“ป่านนี้ เพื่อนคงจะได้ปลามาก ส่วนเราที่มานั่งฟัง
พระเทศน์อยู่นี้ ก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรา
ไปหาปลากับเพ่ือนยังจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ยังได้
ปลามาเล้ียงลูกเมียบ้างไม่มากก็น้อย” คือถึงตัวจะนั่งฟัง
พระเทศนอ์ ยทู่ วี่ ดั แตใ่ จกลบั สง่ ออกไปหาปลากบั เพอื่ นวา่
อยา่ งนั้นเถอะ
156
สว่ นชายคนแรกทไ่ี ปหาปลา ขณะกำ� ลงั หาปลาอยนู่ น้ั
ในใจก็คิดแต่ว่า “ชีวิตเราก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานอีกแค่ไหน
ท�ำไมเราจึงยังมาหาท�ำบาปอยู่อย่างนี้ เพื่อนชวนไปวัด
ฟังเทศน์ ก็ไม่ไป ทั้งท่ีจริงเราน่าจะไปเพ่ือสั่งสมบุญกุศล
เขา้ สจู่ ติ ใจ นา่ จะดกี วา่ ” คอื ถงึ ตวั จะอยนู่ อกวดั แตใ่ จกลบั
คิดถึงอยแู่ ตท่ ีว่ ดั คดิ แต่ว่าอยากจะฟงั พระเทศน์ อยากจะ
ท�ำบุญ จนไม่มีกะจิตกะใจจะหาปลา วันนั้นท้ังวันก็เลย
หาปลาไม่ได้เลยสักตวั เพราะใจมวั คิดถงึ แต่วัด
ทีนี้เม่ือชายหนุ่ม ๒ สหายนี้กลับบ้านมาพร้อมกัน
ในตอนเย็น ค�ำถามคือชาย ๒ คนน้ี ใครที่จะได้บุญ
มากกวา่ กัน? ระหวา่ งชายคนที่ ๒ ท่ตี ัวอยู่ท่วี ัดแต่ใจกลบั
สง่ ออกไปหาปลา กบั ชายคนแรกทแ่ี มต้ วั จะไปหาปลาแตใ่ จ
กลับคิดถึงอยแู่ ต่ทว่ี ัด
คำ� เฉลยกค็ อื ชายคนแรกทจ่ี ติ ใจคดิ ถงึ แตว่ ดั แบบนน้ั
ยอ่ มเปน็ บญุ กศุ ลมากกวา่ เพราะเหตใุ ด? เพราะใจของเขา
คิดเป็นบุญเป็นกุศล อยากจะมาวัดเพ่ือรักษาศีล มาฟัง
เทศน์ท่ีครูบาอาจารย์แนะน�ำส่ังสอนให้รู้จักในบาปบุญ
คุณโทษ แม้ในขณะท่ีเขาหาปลา เขาก็ไม่ได้ฆ่าปลาอีก
พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สันตุสสโก 157
ตา่ งหาก สว่ นชายคนแรกนนั้ ถงึ ตวั จะอยใู่ นวดั แตใ่ จกลบั
คิดแต่ในทางบาปอกุศล คือการฆ่าสัตว์ แบบนี้ถึงจะอยู่
ในวัดก็ย่อมได้บาปอกุศล ขอให้เราน�ำเร่ืองชายหนุ่ม
๒ สหายน้ีมาเปรียบเทียบกับตัวเรา ในเม่ือตัวเราเข้ามา
อยู่ท่วี ัดแล้ว กอ็ ย่ามวั แต่ส่งจิตใจออกไปทางโลกขา้ งนอก
158
๒๗
เดินจงกรมตอ้ งคกู่ บั น่งั สมาธิ
การนั่งภาวนา ให้ก�ำหนดลมหายใจ เม่ือหายใจเข้า
ก็รู้ว่าเข้า เมื่อหายใจออกก็รู้ว่าออก ให้มีสติในลมหายใจ
เขา้ -ออกนัน้ ให้เรานง่ั ให้นานทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะนานได้ จนเม่ือ
เหนื่อย จากนั้นก็ค่อยเปลี่ยนอิริยาบถมาเดินจงกรม
การเดินจงกรมน้ันให้ถือว่าเป็นหน้าท่ีที่ต้องท�ำเลยนะ
อย่าไปคิดว่าเม่ือเรามานั่งภาวนาแล้ว ไม่ต้องเดินจงกรม
ก็ได้ ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเดินจงกรมควบคู่กันไปด้วย
เพราะการเดินจงกรมคือการเคล่ือนไหวร่างกาย
ถ้าหากว่านั่งภาวนาแล้วจิตสงบ แต่พอเดินจงกรม
แล้วมันเริ่มไม่สงบ เราก็ต้องพยายามให้มีสติในการเดิน
เคล่ือนไหวของเรา พยายามเอาสติของเราจับในการ
เคลื่อนไหวของร่างกาย เวลาเดินจงกรม ให้เราเดินตาม
ปกติ ไมต่ อ้ งเดนิ ชา้ แตใ่ หม้ สี ตอิ ยทู่ ก่ี ารกา้ วเดนิ ขาขวา-พทุ
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 159
ขาซ้าย-โธ ให้เดินนานเท่าที่จะนานได้ จะเดินสัก ๒-๓
ช่ัวโมงก็ได้
จากนนั้ พอเดนิ จงกรมเสรจ็ แลว้ เรากค็ อ่ ยมานงั่ สมาธิ
เราจะรู้ได้ด้วยตนเองเลยว่า การบังคับสติให้อยู่กับการ
เคลอื่ นไหวของรา่ งกายอยา่ งการกา้ วเดนิ นนั้ ยากกวา่ เวลา
ท่ีเรานั่งสมาธิเฉยๆ ท่ีเราไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทีนี้
เมื่อเรามานั่งสมาธิแล้ว จิตจะเข้าสู่ความสงบได้ง่ายกว่า
ได้เร็วกว่า
ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้เดินจงกรมและน่ังภาวนา
ควบคกู่ นั ไป จะทำ� แตเ่ ฉพาะอนั ใดอนั หนงึ่ ไมไ่ ด้ ถงึ บางองค์
จะถนัดน่ัง ส่วนอีกองค์ถนัดเดิน แต่ถึงอย่างไร เดินกับ
น่ังก็ตอ้ งใหท้ ำ� คู่กัน ทำ� ไปดว้ ยกนั ขอใหพ้ วกเราฟังไว้ใน
จุดน้ีไว้ ถ้าหากพวกเรายังหวังความเจริญในธรรมของ
ตนเอง เพราะที่ผ่านๆ มา ไมเ่ คยมคี รบู าอาจารยอ์ งคไ์ หน
ที่จะน่ังภาวนาแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่เดินจงกรมเลย
หลวงพอ่ กล้าพูดอย่างนัน้ ได้
เพราะฉะนั้น ในแต่ละวันให้เดินเอาไว้ อย่าได้ขาด
อย่างองค์หลวงตา ขนาดท่านอายุ ๙๕ ปีแล้ว ทุกวันน้ี
160
ท่านก็ยังเดินจงกรมอยู่เลยนะ แต่ท่านบอกว่า ทุกวันนี้
ด้วยธาตขุ ันธ์ของท่าน ทา่ นเดินได้เพยี ง ๓๐ นาที ทา่ นก็
เหนอื่ ยเตม็ ทนแล้ว ทง้ั ทแี่ ตก่ อ่ นท่านเดนิ ได้วนั ละหลายๆ
ชวั่ โมง
พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สันตุสสโก 161
๒๘
ความเปน็ มา ตอน ๗:
ความเปน็ มาของคาถานกยูงทอง
(โมรปริตร)
ในสมัยพุทธกาล ได้มีชายหนุ่มรูปหน่ึงออกบวช
เม่ือบวชแล้ว พระหนุ่มรูปน้ีปฏิบัติศาสนากิจกิจต่างๆ
ของสงฆเ์ ปน็ อย่างดี เมื่อว่างจากกจิ ตา่ งๆ กป็ ฏบิ ัติธรรม
อย่างสม�่ำเสมอมิได้ว่างเว้น ท่านปฏิบัติเช่นนี้มานาน
หลายปีจนเป็นที่เคารพนับถือของพระสงฆ์และชาวบ้าน
ทัง้ หลาย
วันหน่ึงได้มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ติดตามบิดาและ
มารดามาฟังพระหนุ่มเทศนาธรรมที่วัด ธรรมะท่ีเป็น
เรื่องยากพระท่านก็อธิบายให้เป็นเร่ืองง่าย เม่ือผู้คน
ทั้งหลายรวมทั้งหญิงสาวคนน้ีได้ฟังต่างก็ช่ืนชอบและ
อม่ิ เอมใจมาก
162
นบั แต่นนั้ มา ครอบครวั ของหญิงสาวก็มกั จะนมิ นต์
พระหนุ่มรูปน้ีให้มาเทศน์ท่ีบ้านเป็นประจ�ำทุกเดือน
เม่ือพระหนุ่มได้มาเทศน์ที่บ้านหญิงสาวบ่อยครั้งเข้า
กิเลสก็เริ่มครอบง�ำจิตใจแล้วทีน้ี ทุกๆ วันพระหนุ่ม
ก็เอาแต่น่ังนับวันรอที่จะได้ไปเทศน์ท่ีบ้านหญิงสาวอีก
พอนานวันเข้า กิเลสก็เกาะกินจิตใจของพระหนุ่มจน
ผ้าเหลืองร้อน กระสันอยากท่ีจะสึก เมื่อพระพุทธองค์
ทรงทราบเรื่อง ก็ทรงห้ามมิให้พระหนุ่มองค์น้ีลาสิกขา
โดยไดท้ รงตักเตือนว่า
“ดกู ่อน ภิกษุ ท�ำไมความก�ำหนัดนี้จะไม่ให้เธอต้อง
วุ่นวายได้เล่า? เพราะขนาดเราตถาคตเองท่ีเป็นผู้มีศีล
คอยรกั ษาศลี หกั หา้ มใจมาตลอด ๗๐๐ ปี กย็ งั โดนความ
กำ� หนดั นท้ี ำ� ใหจ้ ติ ใจลมุ่ หลงไดเ้ ลย” จากนนั้ พระพทุ ธองค์
ก็ทรงตรสั เล่า มหาโมรชาดก ใหแ้ ก่ภกิ ษุหนุ่ม ดงั นี้
ในคร้ังอดีตกาล สมัยท่ีพระเจ้าพรหมทัตครองราช
สมบัตกิ รงุ พาราณสี ทชี่ ายป่าไกลออกไป มนี กยงู ตวั หนงึ่
ทอ้ งแกใ่ กลค้ ลอด แตด่ ว้ ยตอ้ งตดิ ตามฝงู หากนิ นางนกยงู
จึงไดว้ างไข่ของตนท้ิงไว้ท่ีรมิ ชายปา่ แลว้ ออกหากนิ ตาม
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 163
ฝูงของตน เมื่อครบก�ำหนด ไข่นกยูงก็ฟักออกเป็น
ลูกนกยูงทอง ลูกนกยูงทองน้ันมีสีเป็นทองสวยงามกว่า
นกยูงท่ัวไป คร้ันเจริญวัยขึ้นมา นกยูงทองก็ย่ิงมีรูปร่าง
สวยงามโดดเดน่ กวา่ นกยงู ตัวอ่ืนๆ ในฝงู นกยงู หน่มุ จึง
ถกู เลือกให้เปน็ หวั หน้าฝูง
วันหน่ึงนกยูงทองไปดื่มน้�ำในแม่น้�ำ พอมองเห็น
ความงดงามของตนจากเงาสะทอ้ นในนำ้� กร็ ไู้ ดถ้ งึ อนั ตราย
ที่จะตามมา จึงร�ำพึงว่า “เรามีรูปโฉมงดงามกว่านกยูง
ทง้ั หลาย ถา้ เรายงั อยกู่ บั หมตู่ อ่ ไป อนั ตรายคงจะเกดิ แกเ่ รา
เราคงจะถกู นายพรานมารบกวน ดงั นน้ั เราควรจะหลกี หนี
จากหมไู่ ปอาศยั อยตู่ ามลำ� พงั ในปา่ หมิ พานต์ นา่ จะดกี วา่ ”
กลางดึกคืนนัน้ พอฝูงหลับกนั หมดแลว้ นกยงู ทอง
ก็แอบหนีจากฝูงเพื่อไปอยู่ตามล�ำพังในท่ีๆ ปลอดภัย
นกยูงทองบินเข้าสู่ยอดเขาในป่าหิมพานต์ พอข้ามภูเขา
ไปถึงช้ันที่ ๔ ก็ไปเห็นต้นไทรใหญ่ต้นหน่ึงอยู่ในหุบเขา
ตรงกลางภเู ขาสงู ชนั มถี ำ�้ ไวอ้ าศยั หลบภยั ได้ กเ็ ลยไปอาศยั
อยทู่ ี่นั่น
164
ในทุกๆ เช้าก่อนออกหากิน นกยูงทองตัวนี้จะบิน
ออกจากถำ�้ ไปเกาะทบี่ นยอดเขา หนั หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั
ออก ขณะพระอาทิตย์ก�ำลังโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า นกยูง
ทองก็สวดคาถาโมรปริตร (อ่านว่า โมระปะริตตัง) เพ่ือ
ขอความคมุ้ ครองตนตลอดทงั้ วนั นด้ี ว้ ยเถดิ จากนนั้ กค็ อ่ ย
ออกหากินตลอดท้งั วนั
คร้ันพอตอนเย็น นกยูงทองก็บินขึ้นไปเกาะท่ีบน
ยอดเขา หนั หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ตก พอพระอาทติ ยก์ ำ� ลงั
จะลับขอบฟ้า นกยูงทองก็สวดคาถาโมรปริตรอีกครั้ง
เพอื่ ขอความคมุ้ ครองตนตลอดทงั้ ราตรนี ด้ี ว้ ยเถดิ จากนนั้
ก็บินเข้าไปนอนในถ้�ำ นกยูงทองครองตัวอยู่ด้วยความ
ปลอดภัยตลอดมา เพราะสวดพระปริตรในตอนเช้าและ
ตอนเย็นอย่างนที้ ุกๆ วัน
วันหนึ่ง มีพรานปา่ ผ้หู นึ่งเทยี่ วไปในปา่ แลว้ ไปเหน็
นกยูงทองอยูบ่ นยอดเขา จึงตั้งใจจะจบั ไปถวายพระราชา
เพอื่ แลกกบั ทรพั ยก์ อ้ นโต แตเ่ มอ่ื นายพรานซมุ่ วางกบั ดกั
ด้วยวิธีการต่างๆ หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีคร้ังไหน
ท่ีจับได้เลย จนเม่ือใกล้จะส้ินใจ นายพรานจึงได้สั่งเสีย
เร่ืองนกยงู ทองให้ลกู ชายทราบ จากน้นั นายพรานก็สิ้นใจ
พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 165
ต่อมาวนั หนง่ึ พระนางเขมา พระมเหสีของพระเจา้
พาราณสี ทรงพระสบุ นิ (ฝนั ) วา่ มนี กยงู ทองมาแสดงธรรม
ให้ฟัง เมื่อแสดงธรรมจบแลว้ นกยูงกบ็ ินขนึ้ ไป ตนื่ เช้ามา
พระมเหสกี ค็ รนุ่ คดิ ถงึ แตท่ างทจี่ ะไดค้ รอบครองนกยงู ทอง
ตวั นนั้ กเ็ ลยขอพระราชาใหท้ รงชว่ ยจบั ตวั นกยงู ทองมาให้
เน่ืองจากพระนางประสงคจ์ ะฟงั ธรรมจากนกยงู ทอง
วันรุ่งข้ึนพระราชาจึงรับสั่งให้เรียกเหล่านายพราน
มาเข้าพบเพื่อสอบถามถึงเร่ืองนกยูงทอง เม่ือทราบ
เร่ืองราวจากลูกของนายพรานแล้ว พระราชาก็ส่ังให้ไป
จับมา ลูกนายพรานจึงเดินทางเข้าสู่ป่าหิมพานต์เพ่ือจับ
นกยูงทอง แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็จับนกยูงทอง
ตวั นไ้ี มไ่ ดส้ กั ทจี นกระทงั่ แกต่ ายไป สว่ นทางพระนางเขมา
ก็ทรงส้ินพระชนม์เช่นเดียวกัน เพราะตรอมใจที่ไม่ได้ฟัง
ธรรมจากนกยูงทอง
ซงึ่ เรอื่ งนที้ ำ� ใหพ้ ระราชาทรงโกรธแคน้ นกยงู ทองมาก
เลยใหจ้ ารกึ เรอ่ื งของนกยงู ทองนล้ี งในแผน่ ทองวา่ ทที่ วิ เขา
ที่ ๔ ในป่าหิมพานต์มีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่
ผู้ใดได้กินเนื้อนกยูงทองตัวนั้นแล้ว จะไม่แก่-ไม่เจ็บ-
166
ไมต่ าย แลว้ ใหบ้ รรจไุ วใ้ นหบี ไมแ้ กน่ จนกระทง่ั พระองคไ์ ด้
สวรรคตไป
เมอ่ื พระราชาองคใ์ หมไ่ ดม้ าอา่ นคำ� จารกึ น้ี กพ็ ยายาม
สง่ พรานไปจบั อกี แตจ่ นแลว้ จนเลา่ กย็ งั จบั นกยงู ทองตวั นี้
ไมไ่ ดส้ กั ที จนกระทงั่ ผเู้ กยี่ วขอ้ งทกุ คนตา่ งพากนั เสยี ชวี ติ
ไปจนหมดตามกาลเวลา
จนล่วงมาถึงพระราชาในรัชกาลที่ ๗ ลูกชายของ
นายพรานในรุ่นท่ี ๗ น้ีก็ได้มาดักจับนกยูงทองตัวนี้มา
จนถึง ๗ ปี แต่นกยูงทองก็ไม่เคยติดกับดักเลยสักครั้ง
นายพรานจึงดักซุ่มดูว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเห็นว่า
พญานกยงู เจรญิ พระปรติ รทกุ วนั และหากนิ ตามลำ� พงั เพยี ง
ตัวเดยี ว จงึ ได้ทราบวา่ ด้วยอานภุ าพของมนต์พระปริตร
และการถอื ศลี ประพฤติพรหมจรรย์ บว่ งจึงไมต่ ิดเทา้ ของ
นกยูงทอง นายพรานจึงได้ไปหานกยูงตัวเมียมาเพ่ือฝึก
ใหเ้ ป็นนางนกตอ่
พอรุ่งเช้าที่นกยูงทองบินมาเกาะบนยอดเขา
นายพรานกด็ ดี นว้ิ ใหน้ กยงู ทองตวั เมยี ขนั ลอ่ เมอ่ื นกยงู ทอง
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 167
ได้ยินเสียงของนางนกต่อ ก็ลุ่มหลงจนลืมสาธยายมนต์
พระปริตร ผลท่ีสุดก็บินตามเสียงจนขาเข้าไปติดในบ่วง
นายพราน
เมื่อนายพรานเห็นนกยูงทองแล้วก็เกิดความเมตตา
จึงเกิดเปล่ียนใจคิดท่ีจะปล่อยนกยูงทองแทน นายพราน
เลยยกธนูเล็งไปท่ีบ่วงบาศก์เพ่ือยิงให้มันขาดแทนการ
เข้าไปปลดเอง เพราะกลัวนกยูงทองจะด้ินจนบอบช�้ำได้
ฝ่ายนกยูงพอเห็นธนูเล็งมา จึงร้องขอชีวิตว่า “โปรด
อย่าฆ่าข้าพเจ้าเลย ในเมื่อเราไม่รู้จักกัน แล้วเหตุใดท่าน
จึงจะมายิงข้าพเจ้า?” “ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าท่าน
แตต่ อ้ งการจะปลดปลอ่ ยท่านให้เป็นอสิ ระต่างหาก”
นกยูงทองจึงได้แสดงธรรมให้นายพรานจนได้ส�ำเร็จ
เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นายพรานได้กล่าวว่า “บัดนี้
ขา้ พเจา้ ไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ เเลว้ ขา้ พเจา้ จะเปน็
ผไู้ มเ่ บยี ดเบยี นสรรพสตั ว”์ จากนน้ั จงึ ไดร้ อ้ งขอนกยงู ทอง
ให้ช่วยปลดปล่อยสัตว์ต่างๆ ที่ถูกตนขังไว้ให้เป็นอิสระ
เมอื่ นกยงู ทองกลา่ วคาถาจบ สตั วท์ งั้ หมดกห็ ลดุ เปน็ อสิ ระ
168
พระปัจเจกพุทธเจ้าก็อธิษฐานแล้วเอามือลูบศีรษะ
ผมบนศีรษะก็ล่วงออกหมด จากน้ันผ้ากาสาวะก็ลอยมา
สวมลงทตี่ ัวท่าน พระปัจเจกทา่ นกก็ ล่าวกบั นกยงู ทองว่า
“ท่านนกยูงทองผมู้ พี ระคณุ ของข้าพเจา้ ข้าพเจา้ ขอลาไป
แลว้ นะ“ แลว้ ทา่ นกเ็ หาะไปอยทู่ เี่ ขามลู กะซง่ึ เปน็ เขาอกี ลกู
ที่เป็นที่อยู่ของเหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนนกยูงทอง
กด็ �ำเนินชีวติ ด้วยการสวดเจรญิ ปรติ รดังเดิม
พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ในครัง้ น้ัน บัดนี้ไดเ้ ข้าสู่นพิ พาน
ส่วนพญายูงทองในครั้งนั้น บัดน้ีได้มาเป็นเราตถาคต
ในชาติน้ี เมื่อพระพุทธเจ้ากล่าวพระธรรมเทศนาน้ีจบ
พระสงฆ์รูปนี้ก็ได้ส�ำเร็จอรหันต์ นี่แหละ อันนี้คือความ
เปน็ มาของคาถานกยูงทอง
(หมายเหตุ: พระกรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น
ส่วนมากจะให้ความส�ำคัญในพระคาถาโมรปริตร (หรือ
คาถาพญานกยงู ทอง) บทนม้ี าก โดยหวั ใจของคาถาบทน้ี
คอื นะโมวมิ ตุ ตานงั นะโมวมิ ตุ ตยิ าแปลวา่ ความนอบนอ้ ม
ของขา้ ฯ จงมีแด่ท่านผู้พ้นแล้วทงั้ หลาย ความนอบนอ้ ม
ของขา้ ฯ จงมแี ดว่ ิมุตตธิ รรม
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 169
เพราะหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยแนะน�ำให้
สวดคาถาบทน้ี แม้สวดเพียงบทย่อ คือบทหัวใจของ
พระคาถา หากใครสวดทุกเช้าและค่�ำ ก็จะช่วยให้
แคลว้ คลาดปลอดภัย ป้องกันภยั อนั ตรายทงั้ ปวง)
170
๒๙
ฤกษง์ ามยามดวี นั สกึ
การลาสิกขาน้ัน บางส�ำนักจะหาฤกษ์งามยามดี
ส�ำหรับหลวงพ่อน้ัน ถือเอาฤกษ์ท่ีสะดวกเป็นฤกษ์ท่ี
เหมาะสม อันนี้คือพระพุทธศาสนา ถ้าพวกเราพร้อมใจ
กันเม่อื ไหร่แลว้ กม็ ากล่าวลาสกิ ขา หลวงพอ่ จะให้ฤกษด์ ี
ให้ทุกคนเจริญรุ่งเรืองในหน้าท่ีการงาน แต่ให้พวกเราท�ำ
ดีดว้ ยนะ
เพราะถ้าพวกเราท�ำชั่วเมื่อไหร่ พวกเราก็จะได้รับ
ความช่ัว ฤกษ์ก็พลอยช่ัวไปด้วย อย่างนี้หลวงพ่อก็ช่วย
ไมไ่ ดเ้ หมอื นกนั นะ เพราะเหตใุ ด? เพราะหลวงพอ่ ใหฤ้ กษ์
ดีแล้ว แต่พวกเรากลับเอาฤกษ์ดีนี้ของหลวงพ่อไปท�ำชั่ว
เสยี เอง ฤกษข์ องหลวงพอ่ กเ็ ลยพลอยชว่ั ไปดว้ ย เพราะถา้
เราทำ� ดขี ณะใดเวลาใดเดอื นใดปใี ด นน้ั แลคอื ฤกษด์ ี แตถ่ า้
เราทำ� ชวั่ ขณะใดเวลาใดเดือนใดปใี ด นั้นแลคอื ฤกษ์ช่วั
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 171
พระพุทธศาสนาสอนให้เช่ือในเรื่องกฎแห่งกรรม
เชื่อในเร่ืองผลของกรรม กรรมคือการกระท�ำ ถ้าเรา
ท�ำกรรมดีแล้ว ผลมันจะช่ัวไปได้อย่างไร? หรือถ้าเรา
ท�ำกรรมชั่วแล้ว ผลมันจะดีไปได้อย่างไร? แต่บางคนก็
อาจจะเถียงว่า ปัจจุบันก็ท�ำกรรมดีอยู่แล้ว แต่ท�ำไมจึง
ยังได้รับผลไม่ดีอยู่อีก? ถ้าเราได้ศึกษาธรรมค�ำสอนของ
พระพุทธเจ้าแล้ว คนเราไม่ใช่เกิดมาชาติน้ีชาติเดียว
มันมีอดตี ชาติทผ่ี า่ นๆ มา
อยา่ งเชน่ พระโมคคลั ลานะ ทง้ั ทที่ า่ นเปน็ ถงึ อคั รสาวก
เบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า แต่ท�ำไมท่านจึงถูกโจรฆ่า?
พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า อันนี้เป็นเพราะพระโมคคัลลานะ
ทา่ นไดท้ ำ� เคยทำ� กรรมหนกั คอื ปติ ฆุ าต (การฆา่ บดิ า) และ
มาตุฆาต (การฆ่ามารดา) คือท่านได้เคยฆ่าบิดามารดา
ของทา่ นในอดตี ชาติ ในหลกั ของพระพทุ ธศาสนา การทำ�
กรรมดหี รอื กรรมช่ัว ไมใ่ ช่มีแต่ในปจั จุบนั เป็นอดีตกรรม
กม็ ี ปัจจุบันกรรมก็มี อดตี กรรมบางอยา่ งกอ็ าจจะเพิง่ มา
ให้ผลในปัจจบุ ัน
172
เพราะฉะน้ัน ให้มั่นใจว่าการลาสิกขาของเราเป็น
ฤกษง์ ามยามดี อยา่ หวน่ั ไหววา่ เปน็ ฤกษย์ ามทไี่ มด่ ี อนั นน้ั
เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา
ในเมอื่ เราเข้ามาศกึ ษาในพระพุทธศาสนา เรากต็ อ้ งเชอ่ื ใน
หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้าท่ีว่า ท�ำดีได้ดี ทำ� ช่ัว
ได้ชั่ว ในเมื่อท�ำชั่วแล้วจะดีได้อย่างไร ในเมื่อท�ำดีแล้ว
จะช่ัวได้อย่างไร ใหเ้ ชอื่ มน่ั ในการกระทำ� ว่า ทำ� ดยี ่อมได้ดี
ท�ำช่ัวย่อมได้ช่ัว เม่ือท�ำความช่ัวแล้วจะให้ผลเดือดร้อน
เม่ือภายหลัง
ไม่ต้องถือฤกษ์งามยามดี เพราะฤกษ์งามยามดีน้ัน
ข้ึนอยู่กับตัวเราเองทั้งหมด ถ้าตัวเองท�ำความดีเมื่อใด
เมื่อนั้นก็เป็นฤกษ์งามยามดีได้ตลอดเวลาท้ังน้ัน ไม่ว่า
จะหลับ-ตื่น-ยืน-เดิน-นั่ง-นอน ทุกอิริยาบถคือดีท้ังนั้น
แต่ถ้าหากท�ำความช่ัวแล้ว ความชั่วน้ันจะเป็นอัปมงคล
ถงึ แม้จะหาฤกษ์งามยามดขี นาดไหนกเ็ ถอะ
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สันตสุ สโก 173
๓๐
บุญกศุ ลของเรา เราตอ้ งท�ำเอง
เวลาท�ำบุญอุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
ไม่ใช่วา่ ทกุ คนจะรับได้นะ ไม่ใชน่ ะ จะต้องเปน็ เครอื ญาติ
หรอื วา่ เปน็ ผเู้ กยี่ วข้องกันมาในชาตนิ ้ีหรอื ในอดตี ชาติ
นอกจากน้ี ถา้ เขาไปเกิดเป็นสตั ว์เดรจั ฉานอยู่ สัตว์
เหล่านน้ั ก็รบั บุญกุศลท่เี ราอทุ ศิ ใหไ้ ม่ได้
ถ้าเปน็ เปรตบางประเภท กร็ ับไมไ่ ด้
ถา้ ไปตกนรกอยู่ กร็ บั ไมไ่ ด้ เพราะเขายงั เสวยบาปอยู่
เหมือนเข้าไปอยใู่ นคุกในตาราง
ถา้ ไปสสู่ วรรคห์ รอื พรหม เขากำ� ลงั เสวยบญุ กศุ ลของ
เขาอยู่ เขาก็มารบั ไม่ได้
หรือถ้าเขา้ ส่พู ระนพิ พานแล้ว เราไมจ่ �ำเป็นตอ้ งอทุ ิศ
ให้ทา่ น เพราะทา่ นเป็นบรมสขุ แลว้
174
แลว้ ถ้าเราอุทศิ สว่ นกุศลให้ ใครเล่าจะเปน็ ผไู้ ด้รับ?
ก็คือพวกเปรตอสุรกาย เปรตวิสัยท่ีบุญก็ไม่มาก
บาปกไ็ มม่ าก พวกนค้ี อื พวกทไี่ ปเสวยบาปมาแลว้ มาจาก
นรกบ้าง มาจากสัตว์เดรัจฉานบ้าง มาจากเปรตที่โทษ
หนักๆ บ้าง พวกน้ีจะสามารถรับได้ นี่แหละ พวกน้ีจะ
ได้รับถ้าเราอทุ ศิ ให้ เขาจงึ จะรับได้
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตุสสโก 175
๓๑
อานาปานสติเกอื บถูกกบั ทกุ จริต
ในการเเนะนำ� สง่ั สอนของครบู าอาจารยแ์ ตล่ ะทา่ นนนั้
ถงึ วธิ กี ารสอนของแตล่ ะทา่ นนน้ั อาจจะแปลกแตกตา่ งกนั
ไปบา้ งตามแตจ่ รติ ของทา่ นเหลา่ นน้ั แตล่ ะองค์ แตจ่ ดุ หมาย
ปลายทางน้ันก็คืออันเดียวกัน คือการท�ำจิตใจให้สงบ
เป็นหนึ่ง แต่บางทีครูบาอาจารย์เเต่ละท่านน้ันอาจจะพูด
ไปในคนละเเนวทางต่างกันบา้ ง
น้ีก็เหมือนกับการเสาะแสวงหาทรัพย์ของพวกเรา
ซ่ึงแตกต่างกนั ตามความถนดั ของแตล่ ะคน คนหนง่ึ อาจ
จะถนัดท�ำนา คนหน่ึงถนัดท�ำสวน คนหนึ่งถนัดท�ำไร่
แตท่ ัง้ หมดล้วนมีจดุ หมายเดยี วกนั ก็คอื เพือ่ เงนิ
นี้ก็เหมือนกัน ไม่ว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านน้ัน
ท่านจะให้ภาวนาอย่างไร จะให้ยึดเอากรรมฐานไหนจาก
กรรมฐานท้ัง ๔๐ กอง เพ่ือให้จติ ใจของทา่ นได้รับความ
176
สงบหรือได้รับมรรคผลจากกรรมฐานน้ันๆ ของท่าน
ทา่ นกจ็ ะเอากรรมฐานอนั ทที่ า่ นเคยไดป้ ฏบิ ตั ไิ ดผ้ ลมาเเลว้
อนั นนั้ ละ่ มาเเนะนำ� สง่ั สอนลกู ศษิ ยข์ องท่าน
เเต่ไม่ว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านนั้นท่านจะภาวนา
อย่างไร จะใช้กรรมฐานไหน ท้ังหมดก็รวมลงมาอยู่ใน
สติปฏั ฐาน ๔ คือ ๑) กาย, ๒) เวทนา, ๓) จิต และ ๔)
ธรรมนั่นเอง ก็เพ่ือท�ำจิตใจให้สงบ ส่วนหลวงปู่ม่ันน้ัน
ทา่ นแนะนำ� อานาปานสติ เพราะเหตใุ ด? อนั นห้ี ลวงปมู่ นั่
ทา่ นไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ เพราะอานาปานสตนิ เี้ ปน็ กรรมฐาน
ทถ่ี กู กบั เกอื บจะทกุ จรติ ในจรติ ทงั้ ๖ คอื หลวงปมู่ น่ั ทา่ น
ไม่ได้พูดว่าอานาปานสตินี้จะถูกกับทุกๆ จริตในจริต
ทง้ั ๖ นะ แล้วจริตทง้ั ๖ น้ี คืออะไร?
๑. ราคะจริต คือรักสวยรักงาม จริตนี้ให้เรามีสติ
ในการกำ� หนดลมหายใจเข้า-ออก จากน้นั ใหล้ องพิจารณา
ดูว่า คนสวยในยุคก่อน ยุคนี้เเละยุคต่อไปภายภาคหน้า
แล้วเคยเหน็ คนตายไหม? คนเหลา่ นี้ถึงจะสวยขนาดไหน
สกั วนั หนง่ึ กต็ อ้ งตาย ตอ้ งเอาไปเผาไฟทงิ้ ทง้ั หมด ใชไ่ หม?
ก�ำหนดลมหายใจเข้า-ออกดู ให้มีสติอยู่กับลมหายใจ
พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สันตุสสโก 177
เข้า-ออกน้ัน ถ้าลองพิจารณาร่างกายสังขารด้วยวิธีนี้
กิเลสราคะก็จะระงบั ลงไปได้ไมใ่ ชน่ อ้ ยนะ
๒. โทสะจริต บางคนมักมีอารมณ์โมโหโกรธา
พูดอะไรไม่ได้เป็นฉุนเฉียว จริตน้ีให้มีสติสัมปชัญญะ
ในลมหายใจเข้า-ออกนั้น ให้เราเห็นใจของตัวเอง
ใหเ้ หน็ ความโกรธ ใหร้ ตู้ วั วา่ เราโกรธเขาไปเพอ่ื อะไร? โกรธ
ไปแล้วเราได้อะไร? ถ้าเวลาโกรธแลว้ เราก�ำหนดลมหายใจ
เขา้ -ออก แลว้ สตมิ นั จะกลบั มา เราจะไดใ้ ครค่ รวญทบทวน
ดวู า่ เราโกรธเขาไปเพอื่ อะไร? แลว้ มนั มอี ะไร? มนั ไดอ้ ะไร?
มนั เสยี อะไร?
๓. โมหะจริต คอื ความหลง เม่อื เราหลงเถลไถลไป
อย่างไร ก็ใหเ้ ราก�ำหนดลมหายใจ ตัง้ สติใหม่วา่ ใจเรามนั
จะหลงธาตุขันธ์ว่าเป็นของจีรังถาวรอย่างนั้นเชียวหรือ?
ทีจ่ รงิ มันไม่น่าจะเปน็ อยา่ งนัน้ นะ ถ้าเรามสี ตอิ ยู่กบั ตัวเอง
เรากพ็ อที่จะรู้ได้
๔. วิตกจริต คนประเภทนี้พอได้ยินอะไรมาแล้วก็
วิตกคิดปรุงฟุ้งอยู่ตลอดเวลา จนท�ำให้เป็นบ้าได้ง่ายๆ
178
เพราะใครมาพดู อะไรกค็ ดิ อยไู่ ดท้ งั้ วที่ งั้ วนั เมอ่ื มวี ติ กจรติ
ข้นึ มา กใ็ ห้เราก�ำหนดลมหายใจเข้า-ออก ดูใจของตนเอง
อนั นจี้ ะท�ำใหใ้ จของเราเข้าสคู่ วามสงบได้
๕. ศรทั ธาจริต คอื พวกนีม้ จี ติ นอ้ มไปในความเชือ่
เป็นอารมณ์ประจ�ำใจ คนประเภทนี้มักเชื่อโดยมีศรัทธา
เป็นทต่ี ้ัง ซ่งึ บางครั้งกไ็ มไ่ ดอ้ ยู่บนหลกั เหตุผล คอื มักจะ
เช่อื โดยไร้เหตุผล สง่ิ ไหนท่ไี มเ่ ป็นไปตามที่ตนเช่ือกจ็ ะวา่
ไมถ่ ูกตอ้ ง
๖. พุทธะจริต คือพวกชอบคิด ชอบใช้ปัญญาหา
เหตุผล จรติ น้ีไมม่ อี ะไรนา่ เป็นหว่ ง
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 179
๓๒
ความเปน็ มา ตอน ๘:
ความเปน็ มาของวนั ธรรมสวนะ
วันนี้เป็นวันพระ เป็นวันปฏิบัติธรรมที่มีมาแต่ใน
ครั้งพุทธกาล วันพระ (หรือวันธรรมสวนะ) หมายถึง
วันประชุมกันเพ่ือปฏิบัติกิจกรรมทางพุทธศาสนาของ
พทุ ธศาสนกิ ชนประจ�ำสปั ดาห์ ไดแ้ ก่ การถือศีลฟังธรรม
วันพระเป็นวันที่มีก�ำหนดตามปฏิทินจันทรคติ
โดยมเี ดอื นละ ๔ วนั ไดแ้ ก่ วนั ขน้ึ ๘ คำ่� , ๑๕ คำ่� (วนั เพญ็ )
และวันแรม ๘ ค�่ำ, ๑๕ คำ่� (หากเดอื นใดเป็นเดือนขาด
คอื ขาดวันแรม ๑๕ ค�ำ่ กใ็ หถ้ อื เอาวนั แรม ๑๔ ค�่ำแทน)
โดยในพระไตรปฎิ กเรยี กวนั พระวา่ วนั อโุ บสถ (วนั ๘ คำ�่ )
หรอื วนั ลงอุโบสถ (วัน ๑๔ หรอื ๑๕ ค่ำ� แล้วแตก่ รณ)ี
วันพระมีความเป็นมาอย่างไร? ในสมัยพุทธกาล
มพี ราหมณเ์ จา้ ลทั ธติ า่ งๆ อยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก แตใ่ นสมยั นนั้
ลัทธิท่ีใหญ่ท่ีสุดหรือท่ีมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของผู้คน
180
ท้ังหลายน้ันมีอยู่ ๖ ท่าน คือ ๑. ปูรณกัสสปะ, ๒.
มักขลโิ คสาล, ๓. อชิตเกสกัมพล, ๔. ปกธุ กจั จายนะ,
๕. สัญชัยเวลัฏฐบตุ ร และ ๖. นคิ รนถนาฏบตุ ร
โดยเจ้าลัทธิเหล่านี้มีบริวารมากมาย แม้แต่พระเจ้า
แผ่นดิน เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู หรอื พระเจา้ ปเสนทิโกศล
ก็ยังเคยให้ความเคารพนับถือและหมั่นไปสนทนาเพื่อ
สอบถามปัญหาทางปรัชญาด้วย แต่เดิมนั้นวันพระเป็น
ธรรมเนียมของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ (นักบวชนอก
พระพทุ ธศาสนา) เหลา่ นอี้ ยแู่ ลว้ ทจี่ ะประชมุ กนั เพอ่ื แสดง
หลกั คำ� สอนของตนในทกุ ๆ วนั ๘ คำ�่ ๑๕ คำ�่ ซงึ่ ในสมยั ตน้
พุทธกาลน้ัน พระพุทธเจ้าทรงยังไม่ได้ก�ำหนดในเร่ือง
วันพระน้ี
หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาเทศน์โปรด
พระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์จนเกิดความเล่ือมใส
และไดส้ ำ� เรจ็ โสดาบนั แลว้ ตอ่ มาพระเจา้ พมิ พสิ ารกไ็ ดเ้ กดิ
ความคิดว่า ในสมัยพุทธกาล เหล่านักบวชนอกศาสนา
ได้ประชุมแสดงค�ำสอนตามหลักความเช่ือในศาสนา
ของตน ในทุกวนั ๘ คำ่� และ ๑๕ คำ�่ กนั เปน็ ปกติอยู่แลว้
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 181
คณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาน่าจะได้ท�ำเช่นนั้นบ้าง เพ่ือ
ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาต่อเหล่า
พุทธศาสนิกชน เหมือนอย่างที่นักบวชนอกศาสนา
เหล่าน้นั ไดร้ บั
พระเจ้าพิมพิสารจึงกราบทูลขอพุทธานุญาตจาก
พระพุทธเจ้าว่า “นักบวชในศาสนาอื่น เขาก็ยังมีวัน
ปฏิบัติธรรม หรือวันนัดพบประชุมสนทนากันเก่ียวกับ
หลกั ธรรมคำ� สอนในศาสนาของเขา เพอ่ื ใหแ้ นวความคดิ แก่
เหล่าสาวกของแต่ละลัทธิฟัง แต่ว่าพระพุทธศาสนานี้
ยงั ไมม่ วี นั ไหนทก่ี ำ� หนดใหเ้ ปน็ วนั ธรรมสวนะ (ธรรมสวนะ
หมายถึงการฟังธรรม) เป็นวันปฏิบัติธรรมส�ำหรับเหล่า
พุทธศาสนิกชนเลย พระองค์เห็นสมควรประการใด
พระเจา้ ขา้ ”
พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติว่า ในวัน ๘ ค่�ำ และ
๑๕ ค�่ำ ให้ถือเป็นวันธรรมสวนะ เป็นวันปฏิบัติธรรม
ของพทุ ธศาสนกิ ชน และทรงอนุญาตให้พระสงฆส์ ามารถ
ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนใน
วันดงั กลา่ วได้ คอื ในทกุ ๆ ๗ วนั จะมี ๑ ครง้ั ท่ีเหล่า
182
พุทธบริษัท ๔ จะได้มาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันเพื่อ
ฟังธรรม, ปฏิบัติธรรม หรือว่ามาเสวนากันในเรื่องธรรม
ค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ใครที่ไม่เข้าใจในจุดไหนก็จะได้
มาสอบถามและอธิบายให้แก่กัน น่ีแหละ อันน้ีคือความ
เป็นมาของวันธรรมสวนะ
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 183
๓๓
ลกู ศษิ ย์ขข้ี อ ท�ำอาจารยห์ นกั ใจ
พระออกจากวดั เราไปไมเ่ ทา่ ไหร่ กไ็ ปหากอ่ สรา้ งแลว้
ซำ้� ยงั ไมท่ นั จะเรมิ่ สรา้ ง ยงั จะกลบั มาขอปจั จยั จากหลวงพอ่
ไปอีก เพราะอะไร? เพราะไม่มปี ัจจยั หลวงพ่อล่ะอ้วกจะ
แตกกับพระแบบนี้ ตั้งแต่หลวงพ่อมาอยทู่ น่ี ี่ หลวงพ่อเอง
ไมเ่ คยไปขอปจั จยั จากองค์หลวงตาเลยนะ ตอนมาอย่ทู นี่ ่ี
ก็มาอย่ตู ามลำ� พงั ดูตวั เองไปเร่อื ยๆ ดูรอบๆ ข้าง ทงั้ พระ
ท้ังผู้คนท่ีเกี่ยวข้อง จากน้ันถ้าจ�ำเป็นจะต้องสร้างส่ิงไหน
ข้ึนมาก็ค่อยคิดท�ำ ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็อยากจะสร้าง
ใหญๆ่ โตๆ สวยๆ เอาไว้ก่อน ไมใ่ ชว่ า่ เงนิ ตัวเองก็ไมม่ ี
แล้วก็ยังกระเสอื กกระสนดิ้นรนอยากจะหาสรา้ งอกี
คนไม่คิดไม่อ่านแบบน้ี หลวงพ่อไม่ส่งเสริมนะ
เพราะตวั เองกอ็ ยแู่ คอ่ งคเ์ ดยี ว ไมร่ จู้ ะหาสรา้ งกฏุ ไิ มร่ กู้ หี่ ลงั
ต่อก่ีหลัง สร้างไปเพ่ืออะไร? สร้างไว้เผื่อคนอื่นอย่างนั้น
เหรอ? หลวงพ่อของพวกท่านเคยท�ำอย่างนั้นเหรอ?
184
หลวงพอ่ ไมเ่ คยทำ� ใหใ้ ครเดอื ดรอ้ น คอื ถา้ ไมม่ ใี ครถวายมา
เรากไ็ มท่ ำ� แตถ่ า้ มคี นเขาถวายมา เออ อนั นนั้ เรากต็ อ้ งไดท้ ำ�
เพราะเปน็ ปจั จยั ทเ่ี ขาปวารณาไวแ้ ลว้ ในสว่ นนนั้ เราจะโยก
เอาไปใชใ้ นสว่ นอน่ื กไ็ มไ่ ด้ เพราะจะผดิ วตั ถปุ ระสงคข์ องเขา
ทีถ่ วายมา แถมเวลาทที่ �ำ เราก็ท�ำเล็กอีกต่างหาก
เคยเห็นไหมกุฏิที่เราเคยอยู่ท่ีวัดป่าบ้านตาด แม้แต่
ฝาก็ยังไม่มีอีกต่างหาก ต้องใช้ผ้าจีวรมาขึงเป็นฝากัน
ลมแทน พอหลวงพ่อมาอยู่ท่นี ี่ เพราะอากาศท่นี ีเ่ ยน็ กวา่
ลมแรงกว่า ก็เลยต้องสร้างกุฏิท่ีมีฝาปิดมิดชิด แล้วก็มี
มุ้งลวด มีเพดาน มีประตูเข้าทางเดียว เอาไว้กันยุงและ
กนั หนู แตท่ ว่ี ดั ปา่ บา้ นตาด องคห์ ลวงตาทา่ นจะใหอ้ าหาร
กระแตที่ร้านในตอนกลางวัน พอตกกลางคืนก็เลยมีหนู
ยวั้ เยย้ี เตม็ ไปหมด ทนี ถี้ า้ วนั ไหนไมม่ อี าหารในรา้ นกระแต
นั่นล่ะคืนน้ันหนูมันจะข้ึนมากวนพระแล้วทีนี้ บางทีมัน
เขา้ มากัดหมอนพระถึงในกฏุ ิเลย อยา่ งนน้ั กม็ นี ะ นแ่ี หละ
การเป็นอยขู่ องเรา เราเคยอยู่อย่างลำ� บากมาก่อน
ทนี ้ีถา้ เม่อื ลูกน้องเราอยากท�ำ ถา้ มันไดม้ าโดยธรรม
แบบนี้เราก็ไม่ว่า แต่ถ้าหากตัวเองก็ไม่มี แล้วยังต้อง
กระเสอื กกระสนด้นิ รน แบบนเ้ี ราไม่เห็นด้วย มนั ตอ้ งอยู่
พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 185
แบบปอนๆ ต้องดูหมู่บริวารท่ีแวดล้อม ดูสิ่งแวดล้อม
ดูศรัทธาญาติโยมรอบๆ เสียก่อนว่าม่ันคงเป็นปึกแผ่น
ขนาดไหน ผทู้ เี่ ปน็ ลกู ศษิ ยข์ องหลวงพอ่ ทอี่ อกไป อยากจะ
ให้หลวงพ่อส่งเสริม พอให้ไป สักพักก็ไปทะเลาะกับ
ลกู ศษิ ยก์ บั ญาตโิ ยม แลว้ กเ็ ผน่ แนบ่ ไปสรา้ งทอ่ี นื่ อกี แลว้ ก็
กลับมาขอหลวงพ่อใหม่อกี แบบนี้แปลว่ายงั ไมม่ ั่นคง
ต้องให้มันมั่นคงข้ึนมาพอสมควรเสียก่อน แล้วถ้า
ยังขาดเหลืออะไร ก็ค่อยวา่ กนั ในส่วนที่มนั ขาด แตอ่ ันนี้
ออกไปยังไม่เท่าไหร่ ปุบปับก็จะขนปุ๋ยขนน้�ำเทใส่แล้ว
ประเดี๋ยวสักพักต้นไม้ต้นนั้นมันก็ต้องตาย เพราะอะไร?
เพราะตน้ มนั ยงั เลก็ อยู่ พอประเคนใสเ่ ขา้ ไป ปยุ๋ มนั กก็ ดั ราก
น้ำ� มันกท็ ่วมรากจนเน่าตาย
ถา้ เรามองดแู ลว้ วา่ ยงั ไมม่ นั่ คง แลว้ เรายงั ไปสง่ เสรมิ อกี
อันน้ีก็เสียเราอีกเหมือนกันนะ คนอื่นเขามีแต่จะด่าว่า
“พระองค์นี้ไม่น่าส่งเสริม ท�ำไมจึงให้ถึงขนาดนี้? ท�ำไม
หลวงพ่ออินทร์จึงเซ่อถึงขนาดนี้?” การท่ีจะส่งเสริมใคร
หรอื มอบความไวว้ างใจใหก้ บั ใคร มนั ตอ้ งดใู หด้ ๆี เสยี กอ่ น
ไมใ่ ชว่ า่ คิดได้คิดทำ�
186
๓๔
บญุ เอาใหเ้ ขา
แลว้ บุญเราหมดไหม?
พวกเราบางทา่ นอาจเคยสงสัยวา่ การที่เราได้ทำ� บุญ
ในวนั นี้ คร้ังนี้ ขณะนีเ้ พ่อื อทุ ิศส่วนกศุ ลให้แกผ่ ู้ทีเ่ สียชีวิต
ไปแล้วน้ัน ถ้าเราได้อุทิศบุญกุศลท่ีเราได้ท�ำบุญให้เขาไป
แลว้ นนั้ แลว้ อยา่ งนบี้ ญุ กศุ ลของเราเองจะไมห่ มดไปหรอื ?
ในคร้ังพุทธกาลเองก็เคยมีคนมากราบทูลถาม
พระพทุ ธเจา้ ในลกั ษณะนเี้ หมอื นกนั พระพทุ ธองคท์ า่ นจงึ
ตรสั อธิบายเปน็ อปุ มาเชิงเปรยี บเทียบว่า
“อุปมาเหมือนกับเรามีเทียนอยู่ในมือ ๑ เล่ม
การท�ำบุญนี้ก็คือการท่ีเราจุดเทียน ๑ เล่มในมือน้ีขึ้นมา
จากน้ันถ้าหากเราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลของเราไปให้
คนอื่น ก็เหมือนกับการท่ีคนอ่ืนเขาจุดเทียนของเขาโดย
การมาขอต่อไฟจากเทียนของเราไป ทีนี้แล้วเทียนในมือ
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 187
ของเราเลม่ นน้ั ทมี่ นั ตดิ ไฟอยู่ ไฟมนั ดบั ไปหรอื ไฟมนั นอ้ ย
ลงไปหรือไม่?” ผูค้ นทง้ั หลายตา่ งพากนั กราบทลู วา่
“เทียนของเราท่ีเราจุดไฟไว้ ไฟมันก็ยังอยู่เท่าเดิม
อยา่ งเกา่ สว่ นเทยี นของคนอน่ื ทเี่ ขามาขอตอ่ ไฟจากเทยี น
ของเราไป ไฟมันก็ยังอยู่เท่าเดิมอย่างเก่า เช่นเดียวกัน
พระเจ้าขา้ ” พระพทุ ธองคจ์ ึงตรสั ถามตอ่ ไปอีกว่า
“แล้วเทียนของคนอ่ืนนั้นสว่างเหมือนกับเทียน
เล่มแรกของเราเลม่ น้ไี หม?”
“แสงสว่างก็ยังมีอยู่เหมือนกันเท่าเดิม เพราะเทียน
ขนาดเดียวกัน ต่อให้จุดกี่ร้อย ก่ีพัน กี่หมื่น กี่แสนเล่ม
ไฟอันน้ีก็ยังอยู่อย่างเก่า ไฟมันไม่พร่องน้อยลงไปกว่า
เดิมเลย พระเจา้ ขา้ ”
“การอทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ลนก้ี เ็ ปน็ ลกั ษณะเดยี วกนั
พวกเธอทงั้ หลายอยา่ ไปคดิ วา่ มนั จะหมดไป แทท้ จ่ี รงิ เเลว้
มนั มแี ตจ่ ะยง่ิ งอกเงยเพมิ่ พนู ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไปอกี ตา่ งหาก เพราะ
จิตใจของผู้ท่ีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลน้ันมีแต่จะยิ่งชุ่มช่ืน
เบกิ บาน มคี วามสุขทางดา้ นจิตใจอกี ต่างหาก”
188
น่ีแหละ อันน้ีคือค�ำตอบของพระพุทธเจ้า เพราะ
ฉะนนั้ เมอ่ื เราเขา้ ใจอยา่ งนแี้ ลว้ เวลาทเ่ี ราอทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ น
กุศลให้ผู้ท่ีล่วงลับไปแล้วนั้น ให้เราอุทิศให้เต็มที่ไปเลย
ไม่ว่าจะต่อดวงวิญญาณพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ดี หรือจะ
เปน็ ใครกต็ ามทตี่ กทุกขไ์ ด้ยากอย่ใู นขณะนกี้ ็ดี กใ็ หม้ ารับ
สว่ นบุญสว่ นกุศลทีข่ า้ พเจา้ ได้ท�ำบุญไว้ในวันน้ี
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 189
๓๕
ผู้ปฏบิ ตั คิ วรรู้จรติ ของตนเอง
การปฏบิ ตั ภิ าวนานน้ั ไมม่ ใี ครทจ่ี ะรดู้ ยี ง่ิ กวา่ ตวั เราเอง
ว่าเราถูกกับจริตไหน เหมือนกับเวลาท่ีเรารับประทาน
อาหาร คนหนง่ึ อาจชอบเผด็ แตอ่ กี คนหนง่ึ กลบั ชอบหวาน
ถ้าจะว่าไปแลว้ แตล่ ะคนกช็ อบทานอาหารเหมือนกันอยู่
แต่ความชอบในรสของอาหารน้ันแตกต่างกันไป
การปฏิบัติธรรมนี้ก็ลักษณะเดียวกัน ท่ีอาจจะมีบางคน
บางทา่ นถูกจริตกับบางกรรมฐานใดกรรมฐานหนง่ึ
เหมือนอย่างเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล การประพฤติ
ปฏิบัติของพระสาวกก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปในแนวแถว
เดยี วกนั ทง้ั หมด บางองคก์ ช็ อบกรรมฐานแบบหนงึ่ เพราะ
ปฏบิ ตั แิ ลว้ ไดผ้ ล แตบ่ างองคพ์ อลองเอากรรมฐานทคี่ รบู า
อาจารย์แนะน�ำสัง่ สอนมาลองปฏบิ ตั ิแล้วกลบั ไม่ได้ผล