190
หรือแม้แต่บางองค์ก็เป็นพุทธวิสัย คือต้องให้
พระพทุ ธเจา้ เปน็ ผสู้ อนเองเทา่ นน้ั ใหส้ าวกอน่ื สอนใหไ้ มไ่ ด้
เพราะต้องใช้อิทธิฤทธิ์เข้าช่วย ต้องอาศัยพุทธนิมิต
พระรูปน้ันท่านจึงจะได้ส�ำเร็จมรรคผล ถ้าหากว่าพวกเรา
ไดศ้ กึ ษาในพระไตรปฎิ ก กม็ ลี กั ษณะอยา่ งนอี้ ยเู่ หมอื นกนั
แต่ถึงอย่างไร พวกเรามาถึงยุคสุดท้ายปลายแดน
เราก็ต้องพง่ึ ตัวเองดว้ ยสว่ นหนึง่ พึ่งครบู าอาจารย์แนะน�ำ
สั่งสอนด้วยอีกส่วนหนึ่ง ท่านก็ให้หลายเงื่อนหลาย
แนวทางมาทดลองดู ทีนี้เราก็มาทดลองทดสอบดูว่า
กรรมฐานแบบไหนจะเหมาะกับจริตของเราทีส่ ุด
พอลองกรรมฐานอันแรกไปได้สักพักแล้วมันยัง
ไม่ได้ผล เราก็ค่อยลองเปลี่ยนกรรมฐานเป็นอีกอันหนึ่ง
แทนดู แต่ถ้าจะให้เราเป็นคนจับจด เปลี่ยนกรรมฐานไป
เปลี่ยนกรรมฐานมาวันหน่ึงไม่รู้ก่ีคร้ังต่อก่ีคร้ัง แบบนี้ก็
ไม่ถูกอีกเหมือนกัน แบบน้ีมันเป็นลักษณะจับฉ่ายเสีย
มากกวา่ คือหากฎเกณฑ์แนน่ อนอะไรไม่ได้
ถ้าเราจะยดึ กรรมฐานไหน กใ็ หย้ ึดกรรมฐานน้นั เป็น
หลักไปกอ่ น จากนัน้ กใ็ ห้เราลองสงั เกตไปเร่ือยๆ ถ้าหาก
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 191
เราไดก้ รรมฐานทเี่ หมาะกบั จรติ ของเราเเลว้ หลวงพอ่ มนั่ ใจ
ว่าในสักวันหน่ึงใจของเราก็จะเข้าสู่ความสงบ เมื่อจิตใจ
สงบเป็นหน่ึงแล้ว จากนั้นก็มาพิจารณาทางด้านปัญญา
ทีนี้เราก็จะเกิดปัญญาเห็นเร่ืองต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
เปน็ ปญั ญาทแ่ี ทจ้ รงิ ไมใ่ ชป่ ญั ญาทมี่ าจากสญั ญา (ความจำ� )
และสังขาร (การปรุงแต่ง) หรือเม่ือเราศึกษาค้นคว้าแล้ว
แต่ถ้าเราไม่ลงมือปฏิบัติ ก็ถือว่ายังไม่ส�ำเร็จสมความ
ปรารถนาอกี เหมอื นกนั เราตอ้ งลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ย ในเมอ่ื เรา
ลงมือปฏิบัติแล้ว น่ันแหละ ผลแห่งการปฏิบัติจึงจะเป็น
สิง่ ท่เี ราร้ไู ด้ด้วยตนเองโดยท่ไี มต่ อ้ งไปถามใคร
192
๓๖
ความเปน็ มา ตอน ๙:
ความเปน็ มาของงานทำ� บญุ เปดิ โลกธาตุ
ในวนั ที่ ๓๐ พฤษภาคม วดั ปา่ บา้ นตาดจะจดั งานบญุ
เปดิ โลกธาตเุ ปน็ ประจำ� ทกุ ปี งานบญุ เปดิ โลกธาตคุ อื อะไร?
คือโยมมารดาของหลวงตามหาบัวท่านมรณภาพในวันท่ี
๓๐ พฤษภาคม องคห์ ลวงตาทา่ นก็รำ� ลกึ ในพระคณุ ของ
โยมมารดาทา่ น ทา่ นกถ็ อื โอกาสเอาวนั ทโ่ี ยมมารดาเสยี ไป
นแี้ หละเปน็ วนั ทจี่ ะตง้ั จติ เมตตาบรจิ าคอทุ ศิ บญุ กศุ ลใหแ้ ก่
ทกุ ดวงจติ ดวงวญิ ญาณทงั้ หลายใน ๓ แดนโลกธาตุ เพราะ
องค์หลวงตาทา่ นเป็นผูม้ เี มตตาต่อสรรพสตั วท์ ้งั หลาย
คือหลวงตามหาบัวท่านได้จัดท�ำบุญเปิดโลกธาตุ
โดยยกโยมมารดาท่านเป็นต้นเหตุเท่านั้นเอง แต่จุด
มุ่งหมายจริงๆ น้ันก็เพื่อจะแผ่บุญกุศลน้ีให้แก่สรรพสัตว์
ทงั้ หลายทว่ั แดนโลกธาตุ ไมว่ า่ ใครผใู้ ดทจี่ ะมารบั บญุ กศุ ล
ท่านก็พร้อมท่ีจะอุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่ทุกดวงวิญญาณ
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตุสสโก 193
ให้มารับได้ท้ังนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดใครก็ตาม ไม่ว่าจะมี
ญาตหิ รอื ไมม่ ญี าตกิ ต็ าม
เพราะหลวงตาท่านเมตตาสงสารสัตวโลก และท่ี
ท่านเป็นห่วงมากก็คือ วิญญาณพวกท่ียังเสวยชาติเป็น
เปรตอยนู่ ี้ ตอ้ งอาศยั บญุ จากญาตพิ น่ี อ้ งอทุ ศิ ไปให้ ถา้ เปน็
ผู้มีญาติก็ได้อาศัยญาติเป็นคราวๆ ไป แต่ถ้าเป็นผู้ไม่มี
ญาตกิ ไ็ มม่ ใี ครชว่ ย กต็ อ้ งเสวยกรรมของตนเองไปเรอื่ ยๆ
องค์หลวงตาท่านถึงได้พาท�ำ พวกเปรตท้ังหลายจึง
มารบั ได้ทั่วหน้ากัน ไม่วา่ จะเป็นญาติของใครกต็ าม ก็มา
รับได้ทั้งน้ัน เพราะอันน้ีแผ่กุศลกระจายท่ัวไปหมด
เปน็ สาธารณกศุ ล ได้โดยทัว่ กนั
น่ีแหละ อันน้ีคือความเป็นมาของงานท�ำบุญเปิด
โลกธาตุคือ กามโลก-รูปโลก-อรูปโลก ใครก็ตามที่จะมา
รับสว่ นบุญส่วนกุศลนี้ มารบั ไดท้ ้งั น้นั
194
๓๗
การมีครบู าอาจารย์
เปน็ สงิ่ สำ� คญั
ครบู าอาจารยน์ ี่จำ� เปน็ สำ� คญั นะ ถา้ คบครบู าอาจารย์
ทเี่ ปน็ มจิ ฉาทฐิ ิ ทพ่ี าไปในทางทผ่ี ดิ เรากไ็ ปในทางทผ่ี ดิ ได้
ไปตกนรกอเวจีได้ แต่ถ้าคบครูบาอาจารย์ที่เป็นบัณฑิต
นักปราชญ์ ท่ีเป็นสัมมาทิฐิ ก็เจริญรุ่งเรืองจนส�ำเร็จ
มรรคผลได้ พวกเราก็อาจจะสงสัยว่า “ท�ำไมการมีครูบา
อาจารย์ท่ีเป็นมิจฉาทิฐิ จึงท�ำให้ตกนรกอเวจีได้?” อันน้ี
หลวงพ่อขอเปรียบเทียบว่า อย่างในครั้งพุทธกาล ผู้ที่
เคารพนับถือพระเทวทัตก็มีไม่น้อยและพระเทวทัตก็
ชกั นำ� บคุ คนเหลา่ นไ้ี ปในทางทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง จนตกนรกอเวจี
ไปไม่ใชน่ ้อยเหมอื นกนั
เพราะฉะนน้ั การเขา้ ไปศึกษา คบค้าสมาคมกับผู้ใด
ใครกต็ าม เราตอ้ งใช้ปญั ญาความรอบคอบ ไม่ใชแ่ ค่วา่ เรา
ชอบใจในค�ำพูดของครูบาอาจารย์ท่านนี้ เพราะตรงกับ
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สันตุสสโก 195
จรติ ของเรา แล้วเราจะไปนับถอื เลอื่ มใสเลยทเี ดียว แบบน้ี
กไ็ มน่ ่าจะถูก เราตอ้ งนำ� ธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้ามา
เป็นกระจกเงาเปรียบเทียบว่า การพูดอย่างน้ี การแสดง
กิริยาอย่างนี้ มันถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยไหม?
แล้วก็เปรียบเทียบกับปฏิปทาครูบาอาจารย์ท่ีท่านพา
ปฏบิ ัตมิ า
ขนาดพระในยุคเดียวกับพระพุทธเจ้า กลุ่มหนึ่งไป
นพิ พาน แต่อกี กลมุ่ หน่ึงกลบั ตกนรกอเวจี เพราะเหตุใด?
เพราะสมั มาทฐิ กิ บั มจิ ฉาทฐิ นิ แ่ี หละ ทมี่ ไี มเ่ ลอื กยคุ เลอื กสมยั
ในสมัยพุทธกาลก็มีท้ังสัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิ มาในยุค
สมัยนกี้ ไ็ มต่ ่างกนั
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นตรสั วา่ ไมม่ อี ะไรทจี่ ะนา่ กลวั ยงิ่ กวา่
มจิ ฉาทฐิ ิ คอื ความเหน็ ผดิ นแี่ หละ ทที่ ำ� ใหจ้ ติ ใจคนมดื บอด
หลงผดิ เปน็ ชอบ ผทู้ เี่ ปน็ มจิ ฉาทฐิ หิ ลงผดิ อยา่ งสดุ โตง่ คอื
มคี วามเหน็ ผดิ วา่ ทำ� ดไี มไ่ ดด้ ี ทำ� ชวั่ ไมไ่ ดช้ ว่ั บญุ บาปไมม่ ี
นรกสวรรค์ไม่มี ตายแล้วสูญ คนเหล่านี้เม่ือตายไปแล้ว
จะตกไปสู่นรกขมุ ทล่ี ึกที่สดุ ก็คอื โลกันตนรก
196
นแี่ หละ การมคี รบู าอาจารยเ์ ปน็ สง่ิ ทจี่ ำ� เปน็ สำ� คญั มาก
ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะน�ำส่ังสอน กล่าวตักเตือน
ชี้ผิดช้ีถูก ถ้าไม่เกิดมากับพ่อ ใหญ่ก่อกับครูแล้วล่ะก็
พวกเราอาจจะเดินไปในทางท่ีผิดก็ได้ เหมอื นอยา่ งสาวก
ของพระเทวทัตที่หลงไปในทางผิด ท้ังๆ ที่เกิดมาใน
ยุคเดียวกับพระพุทธเจ้าแท้ๆ แต่เพียงเพราะไปคบครูบา
อาจารยท์ ี่เปน็ มจิ ฉาทิฐิ จึงพาไปในทางทีผ่ ดิ
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตุสสโก 197
๓๘
ท�ำบุญ ทำ� กศุ ล ท�ำแทนใหก้ นั ไม่ได้
เพราะการท�ำอะไรแทนกัน มันท�ำแทนกันได้แค่ใน
บางเร่ืองเท่านั้น แต่อย่างเรื่องการกินข้าว การหายใจนั้น
มนั ท�ำแทนใหก้ ันไม่ได้ ขึ้นอยูว่ า่ ใครท�ำคนน้นั ก็ได้ เพราะ
ฉะนั้น การสร้างบุญกุศล อย่างการให้ทาน รักษาศีล
และการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น ในจุดนี้เราต้องท�ำเอง
เพราะไม่ว่าใครก็มาท�ำแทนให้เราไม่ได้ เมื่อเราท�ำเอง
จนทำ� ได้แล้ว เรากไ็ ด้เป็นสมบัตขิ องเราเองแล้วทีน้ี
ทีแรกเม่อื เราได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ เรากอ็ าจ
จะเฉยๆ เพราะมนั เปน็ สมบตั ขิ องทา่ นไมเ่ กย่ี วอะไรกบั เรา
จะใหท้ ่านแบง่ มาใหเ้ รากไ็ ม่ได้ แตเ่ มอ่ื เรานำ� มาปฏิบตั แิ ลว้
มันก็เป็นสมบัติของเราท่ีเราได้มาเองโดยชอบธรรมแล้ว
ทนี ้ี ซง่ึ เรากแ็ บง่ สมบตั อิ นั นไี้ ปใหท้ า่ นหรอื ไปใหใ้ ครกไ็ มไ่ ด้
อีกเชน่ เดยี วกัน มีแตว่ า่ ใครทำ� คนนนั้ กไ็ ด้
198
นก้ี เ็ หมอื นกนั พระพทุ ธเจา้ ทรงเปน็ เพยี งผบู้ อกกลา่ ว
เปน็ ผชู้ ห้ี นทางเทา่ นนั้ เอง ทา่ นมแี ตบ่ อกวา่ อนั นถ้ี กู อนั นผี้ ดิ
อันน้ันควร อันน้ันไม่ควร เเต่ถึงเราจะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ
ไมน่ ำ� คำ� สอนของทา่ นไปลงมอื ปฏบิ ตั ิ ทา่ นกม็ าบงั คบั อะไร
เราไมไ่ ด้ เพราะมนั เปน็ หนา้ ทข่ี องเราทจี่ ะตอ้ งลงมอื ทำ� ดว้ ย
ตวั เอง
โดยเริ่มแรก เราอาจจะลองน�ำมาพิจารณาไตร่ตรอง
ดว้ ยเหตแุ ละผล จากนนั้ จงึ ลองนำ� ไปลงมอื ปฏบิ ตั ดิ กู อ่ นวา่
ได้ผลอย่างไร ทีนี้เม่ือเราปฏิบัติและได้รับผลเป็นท่ีพอใจ
แล้ว มันกเ็ ป็นสมบัติของเราเองกเ็ ท่าน้นั จะแบง่ ใหใ้ ครไป
ก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นสมบัติของใครของมัน แบ่งให้กัน
ไม่ได้ ใครอยากไดค้ นนน้ั ก็ต้องลงมอื ปฏบิ ัติเอง
การสงั่ สมคณุ งามความดี นก้ี เ็ หมอื นกนั อยา่ ไปคดิ วา่
พอ่ แมเ่ ราทำ� แลว้ หรอื ลูกเราทำ� แลว้ ตวั เราเองกจ็ ะได้ดว้ ย
เหมือนกับเวลาพ่อแม่เราหรือลูกเรากินข้าวอิ่ม เราก็
ไม่ได้อ่ิมด้วย คือใครกินคนน้ันก็อ่ิม ใครท�ำคนน้ันก็ได้
ใครท�ำกรรมชั่ว คนน้ันก็จะได้รับผลของกรรมช่ัวนั้น
อย่างถ้าพ่อ, แม่ หรือลูกของเราต้องไปตกนรกเพราะไป
พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สันตุสสโก 199
ทำ� กรรมช่ัวแล้วละ่ ก็ อันน้แี มแ้ ตเ่ ราเองก็ชว่ ยไม่ได้ ไมว่ ่า
เราจะรกั มากขนาดไหนก็เถอะ
เหมอื นอย่างทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทา่ นได้ตรสั เอาไว้วา่
“อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สยิ า
(อตั ตา หิ อตั ตะโน นาโถ โก หิ นาโถ ปะโร สิยา)
ตนแลนัน้ เป็นท่พี ง่ึ แห่งตน คนอน่ื ใครเลยจะเป็น
ท่ีพ่งึ เราได”้
คือถ้าเราพ่ึงตัวเองยังไม่ได้แล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าจะ
ไปพ่งึ คนอน่ื ได้ ดงั น้นั ให้เราคดิ พึ่งแตต่ นเอง อยา่ ไปคิด
พ่ึงแตค่ นอื่น
200
๓๙
การปฏบิ ตั ธิ รรมเหมือนกบั
การปลกู ตน้ ไม้
มีคนมาถามหลวงพ่อว่า ท�ำอย่างไรจึงจะได้รับผล
แห่งความก้าวหน้าในการปฏิบัติ? หลวงพ่อก็ได้อธิบาย
ไปว่า ในการปฏิบัติภาวนานั้น ไม่มีทางอื่นท่ีจะได้ผล
นอกจากจะทำ� ใหส้ บื เนอื่ งสมำ�่ เสมอ ดว้ ยความตงั้ ใจ, สนใจ
และใสใ่ จ โดยมีศรทั ธาคอื ความเชือ่ ทีถ่ กู ตอ้ งเป็นเบ้อื งตน้
จากนน้ั เรากล็ งมอื ปฏบิ ตั ไิ มว่ า่ จะเดนิ จงกรม หรอื นง่ั สมาธิ
ภาวนา ตอ้ งทำ� อยา่ งตอ่ เนอื่ งสบื เนอื่ ง ดว้ ยความสมำ่� เสมอ
จงึ จะได้ผล
ไมใ่ ชท่ ำ� แบบเลน่ ๆ เหลาะๆ แหละๆ ลมุ่ ๆ ดอนๆ ไมใ่ ช่
วา่ วนั หนงึ่ พอเรากลมุ้ ใจขนึ้ มาเมอื่ ไหร่ กค็ อ่ ยมาเรง่ ภาวนา
เสยี แบบไมล่ มื หลู มื ตา แตพ่ อเวลาขเี้ กยี จขนึ้ มากพ็ ลอยลมื
หยุดไปเสียด้ือๆ เลย คือเลิกใส่ใจสนใจ ไม่คิดถึงเรื่อง
สมาธภิ าวนา ถา้ ทำ� แบบนจ้ี ะไมไ่ ดผ้ ล คอื ผลทไี่ ดร้ บั กจ็ ะไม่
สมำ่� เสมอเชน่ เดยี วกนั เพราะขาดการปฏบิ ตั อิ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สันตสุ สโก 201
ถ้าจะให้ได้ผลในภาคปฏบิ ตั นิ ้นั ตอ้ งทำ� ใหส้ ม�่ำเสมอ
จึงจะเหน็ ผล นีก้ เ็ หมือนกบั การท่เี ราปลกู ตน้ ไม้ เราก็ต้อง
ดแู ลรกั ษาใหส้ มำ่� เสมอ ไมใ่ ชว่ า่ เวลาเราปลกู ใหมๆ่ เรากท็ ำ�
เสยี ดิบดี ท�ำถกู ตอ้ งตามหลกั วิชาการ แต่พอเราปลูกเสรจ็
แล้วทีนี้ ไม่ใช่ว่าจะท้ิงไปเลย โดยไม่ได้สนใจดูแลเรื่องปุ๋ย
เรือ่ งน้ำ� เรอื่ งดินฟ้าอากาศ ว่าอากาศปลอดโปรง่ เพียงพอ
หรอื ไม่ หรอื ว่าแดดเผาจนเกินไปหรือไม่
เพราะถ้าแดดเผาจนเกินไปต้นไม้ก็ตายได้ ถ้าอยู่
ในที่ๆ ไม่ค่อยมีอากาศ ในท่ีมืดหรือท่ีอับ ต้นไม้ก็ขึ้น
ไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ได้มาพรวนดิน รดน�้ำ ใส่ปุ๋ย ผลท่ีสุด
ถึงไม่ตาย ไม้ต้นนั้นมันก็แคระแกร็นเพราะขาดการดูแล
รักษา หรือถ้าวันดคี นื ดี เกิดนึกขึน้ ได้กค็ ่อยมาดูมาแลใส่
นำ้� ใสป่ ยุ๋ เยอะๆ จนมนั จะตายอกี ผลทสี่ ดุ กเ็ ลยทำ� ใหไ้ มไ่ ด้
รับผลเท่าที่ควร แต่ถ้าหากว่าพอปลูกแล้วดูแลทุกวัน
ผลสุดท้ายแล้วส่ิงใดที่เราปลูก เราย่อมได้รับผลอันนั้น
เพราะวา่ เราเอาใจใส่
น้ีก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรม เมื่อเราปลูกต้นไม้
คือลงมือปฏิบัติแล้ว เราก็ต้องดูแลประคับประคอง
202
ให้พยายามหาเวลาปฏิบัติในแต่ละวันแต่ละเวลา
ให้สม่�ำเสมอ อย่าให้ขาด ให้พยายามทำ� ให้มาก เจริญให้
มาก สว่ นจะมากหรอื นอ้ ยกส็ ดุ แท้แต่โอกาส แลว้ ผลแหง่
การเจริญสตกิ ็จะเจรญิ ยิง่ ข้ึนเร่อื ยๆ เปน็ ลำ� ดบั ๆ บางคนก็
อาจจะเถยี งหลวงพ่อวา่ ผมยุ่งมากมภี ารธุระทางโลกมาก
จนไม่มเี วลาภาวนาเลยครบั
แต่ท่ีจริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้น ตราบใดที่เรายัง
มีลมหายใจเข้า-ออกอยู่ ก็มีเวลาทั้งนั้นแหละ เพราะเรา
ปฏิบัติได้ท้ังนั้นในทุกอิริยาบถ ยืน-เดิน-นั่ง-นอน ท�ำได้
ท้งั นั้น
ดังน้ัน เราอย่าไปคิดว่า เราไม่มีเวลา เพราะทีเวลา
คิดปรุงฟุง้ ซา่ นทงั้ วนั เรายังมีเวลา แลว้ ทำ� ไมเวลาภาวนา
ก�ำหนดลมหายใจเข้า-ออก เราถึงไม่มี? แสดงว่าเราใช้
เวลากับสิ่งอื่นมากเกินไป จนลืมเวลาปฏิบัติซ่ึงเป็นการ
ให้อาหารทางใจ ใช่หรือไม่? แสดงว่าเรามัวแต่ให้อาหาร
ทางกาย จนลมื ให้อาหารทางใจ ใช่หรือไม่?
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สันตสุ สโก 203
๔๐
ความเปน็ มา ตอน ๑๐:
ความเปน็ มาของการถวายผา้ กฐนิ ตอน ๑
สมัยหน่ึงพระสงฆ์ชาวเมืองปาฐา จ�ำนวน ๓๐ รูป
ได้เดินทางเพ่ือมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดป่าเชตวัน
เมอื งสาวตั ถี แตย่ งั ไมท่ นั ถงึ เมอื งสาวตั ถี กถ็ งึ วนั เขา้ พรรษา
เสียก่อน พระสงฆ์เหล่านั้น จึงต้องอยู่จ�ำพรรษาที่เมือง
สาเกตุในระหว่างทาง ครั้นออกพรรษา จึงออกเดินทาง
ตอ่ ดว้ ยความยากลำ� บากเพราะในเวลานน้ั ฝนยงั ตกชกุ อยู่
ทางเดนิ กเ็ ป็นโคลนตมเปรอะเปอ้ื น
เม่ือพระพุทธเจ้าได้ทรงทราบถึงความล�ำบากของ
พระสงฆ์เหลา่ นนั้ จงึ ทรงอนุญาตใหภ้ ิกษุผจู้ ำ� พรรษาครบ
ไตรมาส สามารถรับผ้ากฐินได้ ภายในเวลา ๑ เดือน
หลงั จากวันออกพรรษา การถวายผ้ากฐิน (หรอื การทอด
กฐนิ ) นน้ั เปน็ การถวายทานทมี่ ชี ว่ งเวลาจำ� กดั เฉพาะกาล
204
ทำ� ไดเ้ พยี งปลี ะ ๑ เดอื น คอื ระหวา่ งวนั แรม ๑ คำ่� เดอื น ๑๑
จนถึงวนั ข้ึน ๑๕ ค่�ำ เดือน ๑๒ เท่านั้น
การถวายผ้ากฐิน (หรือการทอดกฐิน) นั้นเป็นการ
ถวายทานแก่พระสงฆ์ผู้จ�ำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหน่ึง
จนครบ ๓ เดือน เพือ่ จะไดม้ สี บง (ผา้ น่งุ ), จีวร (ผ้าหม่ )
และ สงั ฆาฏิ (ผา้ ซอ้ นผา้ หม่ ) ผนื ใหมใ่ ชแ้ ทนของเกา่ ทข่ี าด
หรอื ชำ� รดุ
โดยผ้าท่ีจะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่, ผ้าเทียมใหม่
(เช่น ผ้าฟอกสะอาด), ผ้าเก่า หรือผ้าบังสุกุล (คือผ้าที่
เขาทงิ้ แลว้ ) กไ็ ด้ โดยผถู้ วายจะเปน็ ฆราวาส หรอื เปน็ ภกิ ษุ
สามเณรก็ได้ เม่อื ถวายแก่พระสงฆ์แล้ว กเ็ ป็นอนั ใช้ได้
ภิกษุผู้ได้กรานกฐิน จะได้รับอานิสงส์ คือยกเว้น
ในการผิดวินยั ๕ ประการ เปน็ เวลา ๔ เดอื น นบั จากวนั
ที่รบั กฐินจนถงึ วนั ขึ้น ๑๕ คำ่� เดอื น ๔ อานิสงสก์ ฐินท้งั
๕ ประการน้นั คือ ๑) เข้าบา้ นได้โดยไมต่ ้องบอกลาภิกษุ
ด้วยกัน, ๒) เดินทางโดยไม่ต้องเอาผ้าไตรจีวรไปด้วย,
๓) ฉนั อาหารโดยลอ้ มวงกนั ได,้ ๔) เก็บอดิเรกจวี รไว้ได้
พระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 205
โดยท่ียังมิได้วิกัปป์และอธิษฐานโดยไม่ต้องอาบัติ และ
๕) จีวรลาภท่ีเกิดข้ึน ให้เป็นของภิกษุผู้จ�ำพรรษาใน
วัดน้นั ซึง่ ไดก้ รานกฐินแลว้
นี่แหละ อนั น้คี ือความเป็นมาของการถวายผา้ กฐนิ
206
๔๑
กาด�ำเกาะภเู ขาทอง
จากนีไ้ ปอีก ๗ วนั จะเปน็ วนั ออกพรรษา เร่อื งการ
เตรียมความพร้อม ทางฝ่ายพระสงฆ์ก็อย่าให้ขาดตก
บกพรอ่ ง ใหถ้ ือวา่ เป็นหน้าทขี่ องทุกองค์ ฝ่ายพระสงฆ์ก็
ชว่ ยๆ กันเตรียมเหมือนอยา่ งที่เคยทำ� มา เพราะพวกเรา
ผ่านงานมาหลายปีแล้ว อันไหนควรจะจัดอย่างไร
ก็เหมือนเดิมอย่างที่เคยท�ำกันมานั่นล่ะ ไม่ใช่ว่าต้อง
ให้หลวงพ่อได้บอกได้กล่าวเสียก่อนแล้วจึงค่อยเริ่มท�ำ
พวกเราไมใ่ ช่เบบ้กี ันแลว้
อย่าให้ต้องมาจ�้ำจ้ีจ�้ำไชสอนกันทุกว่ีทุกวัน เพราะ
หลวงพอ่ เองนบั วันมีแต่จะแกเ่ ฒ่าชราไปเรอื่ ยๆ นะ จะให้
มาจ�้ำจี้จ�้ำไชเหมือนแต่ก่อนก็คงจะยาก มีแต่บอกกล่าว
ตักเตือนว่า อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เพราะงานของเรา
คนทีม่ าไมใ่ ช่มาดอู ย่างอน่ื นะ เขามาดวู ัด มาดพู ระ มาดู
หลวงพอ่ นะ
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 207
ใครทเี่ ขา้ มาสวู่ ดั ของหลวงพอ่ เมอ่ื เขามา เขากอ็ ยาก
จะมาฟงั เทศน์หลวงพ่อ หลวงพอ่ ก็จ�ำเป็นจะต้องพดู แนว
ความคิดให้ฟัง ถ้าหลวงพ่อยังพูดได้อยู่ อันน้ีคือหน้าที่
ของหลวงพ่อ เว้นเสยี แต่หลวงพอ่ พดู ไมไ่ ด้ อนั นน้ั ก็คอ่ ย
ว่ากนั ไปตามกาลเทศะ
แตส่ ว่ นหนา้ ทข่ี องพวกทา่ นละ่ พรอ้ มหรอื ยงั ? เราตอ้ ง
ชว่ ยๆ กันดูแลตอ้ นรับขับสู้ แตไ่ ม่ใชว่ า่ จะต้องไปประจบ
หรอื เลยี แขง้ เลยี ขานะ อนั นนั้ มนั ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งของพระ เปน็ พระ
ต้องอยู่น่ิง ต้องต้อนรับขับสู้ต่อเพ่ือนภิกษุสามเณร
ต่อคณะญาติโยมอย่างเป็นธรรม เหมือนใบบัวท่ีถึงจะอยู่
กับน�้ำแต่ก็ไม่ติดน้�ำ นี้ก็เหมือนกัน ถึงจะอยู่กับโลกแต่
ไมต่ ดิ ในอดเิ รกลาภ ไมต่ ดิ ในการยกยอ่ งสรรเสรญิ เชดิ ชบู ชู า
เราต้องหมัน่ เตอื นตัวเองในใจอยเู่ สมอว่า เรามาเพ่ือ
การศกึ ษา เพอื่ การปฏบิ ตั กิ ายวาจาใจของเราสกู่ ารดบั ทกุ ข์
เราไม่ได้มาเพ่ือเสาะแสวงหาลาภยศสรรเสริญใดๆ
ให้เราท�ำหน้าทข่ี องพระใหด้ ีที่สุด อยา่ ให้ขาดตกบกพรอ่ ง
ต้องตรวจดูศีลและวินัยตนเอง ให้มีความมุ่งม่ันตั้งใจ
อย่างนี้ น่แี หละ อันนค้ี ือหนา้ ท่ขี องพระ
208
ท่ีหลวงพ่อพูดแนวความคิดให้ฟังน้ี หลวงพ่อไม่ได้
สอนพระเณรให้ตามหลงั หลวงพอ่ นะ แต่สอนใหเ้ ป็นผู้น�ำ
เมอื่ เปน็ ผใู้ หญต่ อ่ ไปในภายภาคหนา้ เพราะเมอื่ เปน็ ผใู้ หญ่
เราต้องรู้จักท�ำใจให้เป็นกลาง ถึงจะรักเมตตาขนาดไหน
เราก็ต้องเป็นกลางอยู่ในใจ ธรรมดามันก็ต้องมี เปรียบ
เหมอื นกบั บดิ ามารดาทเี่ ลยี้ งลกู หลายๆ คน กต็ อ้ งมลี กู คน
โปรดทร่ี กั มากกวา่ อยใู่ นใจ แตจ่ ะใหบ้ ดิ ามารดาแสดงออก
ในความรักมากจนเกินไป ลูกๆ คนอื่นก็จะพลอยอิจฉา
เอาได้ บดิ ามารดากต็ อ้ งรจู้ กั วางตวั ไมใ่ หม้ คี วามสนทิ สนม
ชิดเชื้อกับลกู คนใดคนหนึ่งมากจนเกนิ ไป
การสงเคราะห์อนเุ คราะหก์ เ็ ช่นเดียวกนั ต้องอย่าให้
มันเหลื่อมล�้ำกันจนเกินไป เพราะถ้าเหลื่อมล้�ำกันเกินไป
คนอ่นื เขากจ็ ะหาว่ารักคนนั้น ชงั คนนี้ ถงึ แมพ้ ระพทุ ธเจา้
ทา่ นจะมอี ปุ ฏั ฐาก ฝา่ ยพระกค็ อื พระอานนท์ ฝา่ ยอบุ าสกิ า
ก็คือนางวิสาขา ฝ่ายอุบาสกก็คืออนาถบิณฑิกเศรษฐี
บคุ คลเหลา่ นแี้ มจ้ ะเปน็ ผทู้ อี่ ยใู่ กลช้ ดิ ทา่ น แตถ่ งึ ขนาดนนั้
พระองค์ก็ยังไม่ได้ให้ความใกล้ชิด สนิทชิดเช้ือกับ
ใครผู้ใดผู้หนึ่งมากจนเกินไป เช่น ไปฉันแต่ท่ีบ้านของ
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 209
นางวสิ าขาหรอื บ้านของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี พระองคไ์ ม่
ทรงทำ� เชน่ นัน้
ส่วนการมาศึกษาอยู่กับครูบาอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน
เราต้องไม่ไปตีสนิท ประจบประแจง หรือเลียแข้งเลียขา
ครูบาอาจารย์ ย่ิงท่านมีช่ือเสียงมากเท่าไหร่ เราย่ิงต้อง
ระวังในตัวเอง อย่าให้ใครเขามาต�ำหนิ ติฉินนินทาเราได้
ถ้าเราท�ำตัวไม่ดีก็เหมือนกับเป็นอีกาเกาะภูเขาทอง
ตวั เองตวั ดำ� ๆ ไปเกาะครบู าอาจารยท์ เ่ี ปน็ เหมอื นกบั ภเู ขา
สีทอง พอไปเกาะแล้วเหลืองอร่าม ก็เลยลืมตัวคิดไปว่า
ข้านี้เป็นอีกาสีทอง
ทห่ี ลวงพอ่ พดู นไี่ มใ่ ชเ่ ตอื นแตค่ นอน่ื นะ เตอื นทง้ั ตวั
หลวงพอ่ อนิ ทรเ์ องดว้ ยวา่ เมอ่ื มาอยใู่ กลค้ รบู าอาจารยแ์ ลว้
อย่าหลง อย่าลืมตวั ใหร้ เู้ ท่ารู้ทัน
210
๔๒
ทำ� บญุ เองนนั้ ชวั ร์กวา่
หลวงตามหาบัวท่านเคยกล่าวว่า เราอย่าไปคิด
เอาเอง หรอื อย่าไปคาดหวังวา่ เอาไวใ้ ห้เราตายไปเสียก่อน
แลว้ จงึ คอ่ ยใหญ้ าตพิ น่ี อ้ ง หรอื เพอ่ื นสนทิ มติ รสหายของเรา
ทำ� บุญอุทิศส่วนกุศลใหเ้ รา การคิดแบบนัน้ มนั โง่นะ
เพราะเหตใุ ด? เพราะเมอื่ เรายงั มชี วี ติ อยู่ เราสามารถ
ท่ีจะเลือกปฏิบัติอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะรักษาศีล สวดมนต์
ไหว้พระ หรือน่ังสมาธิภาวนา ทีนี้เม่ือเราอยากจะปฏิบัติ
อยา่ งไร กใ็ หเ้ ราเลอื กทาํ เสยี ใหพ้ อ ในขณะทเี่ รายงั มชี วี ติ อยู่
แตเ่ ราอยา่ ไปคาดหวงั เลยวา่ ตอ่ ไปภายภาคหนา้ เมอื่
เราตายไปแล้ว คนอ่ืนเขายังจะมานึกถงึ เรา ทำ� บุญอุทศิ ให้
เราอยู่ เพราะขนาดตอนทเี่ รายงั มชี วี ติ อยู่ เวลาเราใหเ้ ขาไป
ซือ้ ของให้ บางทีเขายงั ซอ้ื ผิดๆ ถกู ๆ เลย เผลอๆ เขายงั
อมเงินทอนของเราไปอีกต่างหาก เเล้วอย่างนี้ในเมื่อเรา
ตายไปแลว้ มนั จะไมย่ ิ่งไปกว่าน้หี รือ?
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก 211
เพราะฉะนน้ั ในขณะทเี่ รายงั มชี วี ติ อยนู่ ้ี เราจะทำ� อะไร
กใ็ หเ้ รารบี ทำ� ใหเ้ ตม็ ทต่ี ามอธั ยาศยั เลย เมอื่ เราทำ� จนพอใจ
เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว ทีน้ีเราก็สามารถที่จะบอกลูกหลาน
ได้เเล้วว่า “ลูกหลานเอ้ย เม่ือเราตายไปแล้ว พวกเจ้า
ไมต่ อ้ งทำ� บญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหเ้ ราเเลว้ นะ เพราะทเี่ ราทำ� เอง
มาน้นั มันเพยี งพอแล้ว”
หลวงตามหาบัวทา่ นเคยพูดบอ่ ยๆ วา่ “เม่ือเราตาย
ไปแลว้ อยา่ มาสวดกสุ ลาฯ ใหเ้ รา พวกทา่ นทง้ั หลายทจ่ี ะมา
กุสลาฯ ให้เรานะ่ มันถึงไหนละ่ ? มันโง่ถงึ ขนาดไหนหรือ?
ถ้าฉลาดแล้วจะมากุสลาฯ ให้เราได้อย่างไร? ไม่ต้องมา
กสุ ลาฯ ใหเ้ ราหรอก เราไมเ่ อา เพราะเราปฏบิ ัติของเราเอง
มาเพียงพอแล้ว”
เพราะฉะนนั้ พวกเราในฐานะทเี่ ปน็ ศษิ ยานศุ ษิ ยข์ อง
องค์หลวงตา พวกเราก็น่าจะยึดเอาปฏิปทานี้มาปฏิบัติ
คือขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราจะท�ำสิ่งไหนก็ให้เราท�ำเอา
ใหเ้ ตม็ ที่ จนเราคดิ วา่ เราเพียงพอเเลว้ เมอื่ เราท�ำจนเปน็ ท่ี
ม่นั ใจเเล้ว เรากไ็ มต่ ้องไปคาดหวงั ว่าจะพ่งึ ใครในอนาคต
212
๔๓
วนั น้ี เราก�ำไรหรอื ขาดทุน?
ให้เราหม่ันทบทวนดูการปฏิบัติท่ีผ่านๆ มาของเรา
โดยในแต่ละวนั ๆ ให้เราพยายามถามตนเองอยเู่ สมอวา่
- การกิน, การอยู่ และการพักผ่อนของเราเป็น
อยา่ งไร? มากหรอื นอ้ ยเกนิ ไปหรอื ไมอ่ ยา่ งไร? แตโ่ ดยมาก
มันจะมากเกินไปเสียมากกวา่
- การปฏิบัติของเรานั้นเป็นอย่างไร? มันย่อหย่อน
ตรงไหนหรอื ไม่อย่างไร?
- จติ ใจของเราไดร้ ับความสงบสุขไหม?
- ความพากเพยี รของเรายงั ออ่ นเกินไป ใชห่ รอื ไม?่
- เราหาโอกาสให้ตัวเองนอ้ ยเกินไป ใช่หรือไม่?
ให้เราทบทวนสิง่ เหลา่ นีไ้ วอ้ ยูเ่ สมอ ถา้ ยิ่งธรรมะภาค
ปฏิบัติแล้ว การท�ำสิ่งใดก็ตาม ถ้าสักแต่ว่าท�ำไปเรื่อยๆ
โดยไม่ไดม้ กี ารหมั่นทบทวน ตรวจสอบ ตรวจตราความ
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 213
ก้าวหน้าไว้อยู่เสมอแล้ว น้ีก็เหมือนกับว่าเราไม่มีการท�ำ
บญั ชกี ำ� ไรขาดทนุ ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องเรา ซง่ึ ถา้ เรา
ไม่ทบทวน กค็ งจะไมถ่ กู ตอ้ ง
เพราะอย่างการท�ำมาค้าขาย หาเล้ียงชีพทุกส่ิง
ทุกอย่าง เขาก็ยังต้องมีการทบทวนว่าการท�ำมาค้าขายท่ี
ผา่ นมาแลว้ นนั้ เปน็ อยา่ งไร และควรทจี่ ะพจิ ารณาปรบั ปรงุ
แก้ไขในจุดไหนอย่างไร นักปฏิบัติภาวนาก็ควรจะเป็น
ลกั ษณะนเ้ี ชน่ เดยี วกนั คอื ตอ้ งหมนั่ ทบทวนปรบั ปรงุ แกไ้ ข
ตัวเองอย่เู สมอ โดยใหห้ ม่นั พิจารณามองดูตัวเราเองไว้ใน
แต่ละวนั ว่า
- ในวนั นี้ เราไดท้ �ำอะไรลงไปบ้าง?
- ในวนั น้ี เราหา่ งจากธรรมะภาคปฏบิ ตั ไิ ปบา้ งหรอื ไม?่
- ในวนั น้ี เราไดป้ ลอ่ ยปละละเลยทางดา้ นจติ ใจไปบา้ ง
หรอื ไมอ่ ยา่ งไร?
- ในวันนี้ เราได้ประพฤติย่อหย่อนเกินไป หรือไม่
อยา่ งไร?
คือให้มองย้อนดูตนเองในแต่ละวันๆ เหมือนเวลา
เราเปิดร้านค้าท�ำมาค้าขายในแต่ละวัน เราก็จะต้องปิด
214
งบบัญชีเพ่ือดูว่า วันน้ีเราได้ค้าขายอะไรไปบ้าง? แล้วเรา
ขาดทนุ หรอื กำ� ไรหรอื ไม?่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมของเรา
ก็น่าจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้ ถ้าหากว่าเรามี
ความพยายาม มีความมุ่งม่ันต้ังใจอยู่ ธรรมะในจิตใจ
ของเรากจ็ ะมแี ตเ่ จริญงอกงามขน้ึ เร่อื ยๆ
การปฏบิ ตั ธิ รรม ถา้ จะใหถ้ กู ตอ้ ง เราตอ้ งหมน่ั ทบทวน
ดูผลการประพฤติปฏิบัติอยู่เสมอ คือถ้าเราปฏิบัติดูแล้ว
ไม่งอกเงย หรือไม่เป็นท่ีพอใจ แบบนี้เราก็ควรท่ีจะลอง
เปลยี่ นเป็นกรรมฐานอื่นดู เพราะพระพุทธเจ้าท่านไดท้ รง
วางกรรมฐานไวถ้ ึง ๔๐ กอง โดยทกุ กรรมฐานมีจุดหมาย
อันเดยี วกันกค็ อื เพื่อทจี่ ะท�ำจติ ใจใหเ้ ข้าสคู่ วามสงบ
ดังน้ันแล้ว เราจะยึดเอากรรมฐานไหนมาบริกรรม
กไ็ ดท้ ั้งนน้ั ไมว่ ่าจะเปน็ พทุ -โธ, ยุบหนอ-พองหนอ หรอื
สัมมาอะระหัง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องบริกรรม
เป็นเครื่องก�ำหนดรู้ ให้จิตเข้าสู่ความสงบ ให้จิตอยู่กับ
ตวั เอง
ทั้งหมดน้ีล้วนแล้วแต่เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ก�ำหนดรู้ในกายไม่ให้ส่งจิตไปท่ีอื่น เรายึดกรรมฐานใด
พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 215
เปน็ หลกั หรอื เราเปลยี่ นกรรมฐานกลบั ไปกลบั มาอยบู่ อ่ ยๆ
วันหน่ึงเปลี่ยนกรรมฐานไม่รู้ว่าก่ีอย่างตามที่คนน้ันคนน้ี
บอกว่ากรรมฐานน้ีดี ก็กระโดดไปตามเขา จนหากฎ
หาเกณฑ์ หาจุดยืนของตัวเองไม่ได้ แบบน้ีเป็นลักษณะ
จับจดใช้ไมไ่ ด้
ในทางตรงกนั ขา้ ม บางคนเขาวา่ ภาวนากรรมฐานนดี้ ี
ก็เลยอยู่แต่จุดนั้นจุดเดียว คือเขาว่ากรรมฐานน้ีดี ก็เชื่อ
ตามเขา กท็ ำ� ตามเขาอยา่ งเดยี วโดยทไี่ มไ่ ดค้ ดิ ไดอ้ า่ นอะไร
โดยที่ไม่มีการเปล่ียนแปลง ไม่มีการทบทวนตรวจตรา
ตนเองเลยวา่ ทเี่ ราภาวนาผา่ นๆ มานนั้ เราไดร้ บั ผลเปน็ ที่
พอใจมากนอ้ ยแคไ่ หนอยา่ งไร? มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทาง
ดา้ นจติ ใจหรอื ไมอ่ ยา่ งไร? จติ ใจไดร้ บั ความสงบรม่ เยน็ หรอื
ไมอ่ ยา่ งไร? แบบนีก้ ใ็ ชไ้ ม่ได้อกี เหมอื นกัน
216
๔๔
ความเปน็ มา ตอน ๑๑:
ความเปน็ มาของการถวายผ้ากฐนิ ตอน ๒
ในปีหน่ึงๆ วัดแต่ละวัด ก็จะมีการถวายผ้ากฐิน
เพราะในครง้ั พทุ ธกาล ผา้ นน้ั เปน็ ของหายาก พระพทุ ธเจา้
ท่านจึงได้อนุญาตให้มีการถวายผ้ากฐินท่ีจะใช้ส�ำหรับ
ท�ำสบง (ผ้านุ่ง), จีวร (ผ้าห่ม) และ สังฆาฏิ (ผ้าคลุม
กันหนาว) แล้วผ้ากฐินท่ีใช้ท�ำสบง, จีวร หรือสังฆาฏิ
จะต้องมีขนาดไหน?
- สบง ถ้าเป็นสบงผืนเล็กที่สุด ก็ขนาดประมาณ
๕ ม. ถา้ พระฝร่งั หรือพระท่รี ูปร่างใหญ่ กใ็ ชข้ นาด ๖ ม.
- จีวร ถ้าขนาดธรรมดาก็ประมาณ ๙.๕-๑๐ ม.
ถา้ พระฝรง่ั หรอื พระทร่ี ปู รา่ งใหญ่ กใ็ ชข้ นาด ๑๑ ม. แตถ่ า้
ตวั ใหญ่จรงิ ๆ กใ็ ชข้ นาด ๑๒ ม.
- สังฆาฏิ คือผา้ ห่มเหมอื นกบั ผา้ จวี ร แตม่ ี ๒ ชั้น
สำ� หรบั ใชห้ ม่ กนั หนาว เพราะในประเทศอนิ เดยี หนา้ หนาว
พระอาจารย์อินทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 217
ก็จะหนาวจัด ส่วนหน้าร้อนก็จะร้อนจัด ก็เลยต้องใช้ท้ัง
ผา้ หม่ ทเี่ ปน็ ผา้ ชน้ั เดยี ว(ผา้ จวี ร) และผา้ หม่ คลมุ กนั หนาว
ที่เปน็ ผ้า ๒ ชั้น (ผ้าสังฆาฏ)ิ ผ้าสังฆาฏิ ถ้าขนาดธรรมดา
ก็ใชผ้ า้ ประมาณ ๑๙ ม. ถ้าพระฝร่ังหรือพระท่ีรปู รา่ งใหญ่
ก็ใช้ขนาด ๒๐ ม.
ผ้ากฐินท่ีใช้ถวายนั้น จะถวายเป็นผ้าขาวหรือผ้าสี
กไ็ ด้ แตย่ งั ไมไ่ ดต้ ดั เปน็ ผา้ ไตร เมอ่ื ไดผ้ า้ กฐนิ มาแลว้ เราก็
เอามาตัด มาเย็บ มาย้อมให้เสร็จ แล้วก็กรานกฐินให้
เสร็จภายในวันนนั้ คอื ทำ� ผ้าจีวร, ผา้ สบง หรอื ผ้าสังฆาฏิ
ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ แต่ต้องให้เสร็จภายในวันเดียว อันน้ี
คือการท�ำผ้ากฐินสมัยคร้ังพุทธกาลท่ีได้สืบทอดมาจนถึง
ยคุ สมัยน้ี
การหาผ้ามาท�ำผ้าจีวร, ผ้าสบง หรือผ้าสังฆาฏินั้น
เป็นเร่ืองใหญ่มากส�ำหรับพระสงฆ์ในคร้ังพุทธกาล มาใน
ยคุ สมยั ของเราทกุ วนั นี้ เรอื่ งผา้ นเี้ ปน็ ของหาไดง้ า่ ย เพราะ
มีโรงงานผ้า ยกเวน้ ในชว่ งสงครามโลก ครัง้ ท่ี ๒ คอื ใน
ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๒-พ.ศ.๒๔๘๘ สมัยสงครามน้ัน
หาผา้ ยาก มันหาผา้ ตลาด ผา้ โรงงานไมไ่ ด้ ผ้าสำ� หรับใช้
218
ท�ำผ้าไตรจีวร ก็เลยต้องใชผ้ า้ กีก่ ระตกุ ซ่งึ เปน็ ผา้ พน้ื บา้ น
ที่ชาวบ้านเขาถวาย ครูบาอาจารย์ท่านก็ใช้ผ้าตามที่
ชาวบ้านถวาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย ก็จะเป็น
แบบหนา เวลาจะครองผ้าจีวรนี่ ดูๆ แล้วลูกบวบจีวรท่ี
พาดขนึ้ บา่ มันใหญ่จนท่วมหทู า่ นเลย เพราะผ้ามันหนา
ไม่เหมือนทุกวันนี้ท่ีผ้ามันบาง เวลาพาดข้ึนบ่า
ลูกบวบมันก็ขนาดนิดเดียว ตรงน้ีเราจะสังเกตเห็นได้
ถ้าเราได้เห็นรูปถ่ายครูบาอาจารย์ในยุคสมัยน้ัน เช่น
หลวงปฝู่ น้ั อาจาโร, หลวงปอู่ อ่ น ญาณสริ ิ หรอื หลวงปขู่ าว
อนาลโย เปน็ ต้น
แตม่ าถงึ ยคุ นี้ การตดั เยบ็ ผา้ เปน็ เรอื่ งทง่ี า่ ย ไมเ่ หมอื น
แต่ก่อน กว่าจะได้เป็นผ้าจีวรขึ้นมาแต่ละผืน หมู่พระก็
ต้องลงขันช่วยกันท�ำ เช่นถ้าพระองค์ไหนในวัดของเรา
ที่ผ้าจีวรหรือสังฆาฏิขาด หลวงพ่อผู้เป็นหัวหน้าก็ต้อง
ขอแรงหมู่พระวา่
“เอ้อ พระทั้งวัดนะ วันน้ีนะ ผ้าของพระองค์น้ัน
ขาดนะ ผ้าผืนนี้นะ ให้ลงแขกช่วยกันเอาไปตัดเย็บนะ”
ทีนี้พระทุกๆ องค์มาก็มาช่วยๆ กันตัดผ้า พอตัดเสร็จ
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 219
ต่างองค์ก็ต่างเย็บด้วยมือของใครของเรา จากนั้นก็ค่อย
เอามารวมกัน แล้วก็ไล่เย็บ กว่าจะได้จีวรแต่ละผืนนี่
ไม่ใช่ง่ายๆ
อย่างหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ท่านมีวิริยะอุตสาหะ
ตัง้ หนา้ ตง้ั ตาเยบ็ ผ้าจีวรของท่าน ๑๑ วัน รวดเดียวเสรจ็
ส่วนผ้าสงั ฆาฏิน่ที า่ นเย็บ ๗ วันนะ เพราะการเยบ็ สงั ฆาฏิ
นนั้ ง่ายกวา่ การเยบ็ จีวร
เพราะในสมัยพทุ ธกาล การลงแขกเย็บจีวรน่ีถอื เปน็
เรอ่ื งใหญ่ ในพระวินัย พระพทุ ธเจ้าทา่ นจงึ ไดท้ รงอนุญาต
ให้ฉนั ได้ ๒ หน คอื ฉนั เช้าและฉันเพลไดใ้ นจีวรกาล (ฤดู
ถวายผา้ แกพ่ ระสงฆ)์ , ภกิ ษบุ ณิ ฑบาตไดอ้ าหารไมพ่ อฉนั ,
ภิกษุเดินทางไกลไปทางเรือ คือพระพุทธองค์นี่ท่านก็
ยืดหยุ่นเหมือนกันนะ จีวรกาลคือการลงแขกเย็บจีวรนี่
ท่านกใ็ ห้ฉนั ก่อนเทีย่ งได้
สรุปแล้วก็คือ ผ้าน้ันหมายถึงท�ำเสร็จในวันเดียว
ยอ้ มวนั เดยี ว เยบ็ มอื วนั เดยี ว ในความคดิ ของหลวงพอ่ นะ
ก็เพ่ือให้หมู่สงฆ์ที่ได้อยู่จ�ำพรรษาด้วยกัน จะได้มีความ
พร้อมเพรยี งสามคั คกี ันในการอยดู่ ว้ ยกัน
220
๔๕
ศลี และวนิ ยั ยงั มอี ยู่ตราบใด
ศาสนาของตถาคต
กย็ งั อยู่ตราบนนั้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ศีลและวินัยยังมีอยู่
ตราบใด ศาสนาของตถาคตกย็ ังอยตู่ ราบน้นั
เพราะถ้าหากพุทธบริษัท ๔ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
พระสงฆย์ งั ทรงรกั ษาพระธรรมวนิ ยั ไวอ้ ยู่ พระพทุ ธศาสนา
ก็อยู่ได้ แต่ถ้าพวกเราไม่เห็นความส�ำคัญเมื่อไหร่ เช่น
พระทุกองค์พากันไว้ผมยาว แล้วก็นุ่งกางเกงกันหมด
พระพุทธศาสนาก็หมดในวันนี้ เพราะเหตุใด? เพราะ
ไมม่ ใี ครรกั ษา ไม่มใี ครสนใจให้ความส�ำคัญในกฎระเบียบ
ในเรอ่ื งศลี และวนิ ยั เมอื่ ไมม่ ศี ลี และวนิ ยั ในยคุ ใด พระสงฆ์
กห็ มดในยคุ นนั้ ดงั นน้ั พวกเราควรจะรกั ษาศลี และวนิ ยั ที่
พระพุทธเจ้าบญั ญตั เิ อาไว้
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สันตุสสโก 221
เพราะน้ัน ให้พวกเราสังเกตตนเองว่า เราเข้ามา
ท�ำลายหรือเข้ามารักษาธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า
เราไมต่ ้องไปเชดิ ชูทอี่ ื่นหรอก เราทำ� ตนเองใหเ้ ปน็ พระที่ดี
มีศีลธรรม ให้อยู่ในหลักพระธรรมวินัยเท่าน้ันล่ะพอแล้ว
ถ้าเราอยู่ในศีล อยู่ในกฎระเบียบ ก็ได้ชื่อว่าเรารักษา
พระธรรมวนิ ยั แลว้ แตถ่ า้ เราไมม่ ศี ลี เสยี แลว้ อยา่ งนแ้ี ปลวา่
เราทำ� รา้ ยทำ� ลายธรรมคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ คนอนื่
จะมาเดินตามไดอ้ ยา่ งไร? เพราะเราท�ำลายหมดแล้ว
222
๔๖
อย่าอจิ ฉาเขาถา้ บญุ เราไม่ถงึ
พระพุทธเจ้า มิใช่ว่าอยู่ดีๆ ท่านเกิดมาชาติน้ีเพียง
ชาตเิ ดียว แลว้ กไ็ ดม้ าเป็นพระพุทธเจา้ เลย แต่เปน็ เพราะ
ท่านได้ส่ังสมบุญบารมีมาอย่างยาวนาน ในหลักพุทธ-
ศาสนานน้ั ทกุ อย่างล้วนแล้วแตม่ ที ่ีมาท่ไี ป น้ีกเ็ หมือนกนั
ทพ่ี วกเราเกดิ มาในโลกน้ี ทำ� ไมคนเราแตล่ ะคนจงึ แตกตา่ ง
กัน? ท�ำไมคนนี้จน? ท�ำไมคนน้ันรวย? เเล้วท�ำไมเราจึง
ไมห่ ลอ่ ไมร่ วยอยา่ งคนนน้ั บา้ ง? ทำ� ไมโลกนถี้ งึ ไมย่ ตุ ธิ รรม
อยา่ งน้ี?
หากวา่ เราไดศ้ กึ ษาธรรมคำ� สอนของพทุ ธศาสนาแลว้
ก็จะรู้ได้ว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะความบังเอิญนั้น
ไม่มีในโลก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัย มีท่ีมาที่ไป
ทั้งหมด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกรรมเป็นตัวจ�ำแนก
สรรพสตั วท์ ง้ั หลายใหเ้ กดิ มาไมเ่ หมอื นกนั คนเราจงึ เกดิ มา
พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สันตุสสโก 223
ไมเ่ หมอื นกนั การทคี่ นอน่ื ดกี วา่ เรา มนั เปน็ เพราะบญุ บารมี
ทเ่ี ขาเคยสร้างมา ไม่ใชบ่ ญุ กุศลของเรา
ดังน้ัน อย่าไปคิดอิจฉาคนอื่นเขา มีแต่ให้มองว่า
ทั้งหมดล้วนแต่เกิดจากอดีตกรรมที่ส่ังสมมาจาก
ชาติกอ่ นๆ ท้ังสิน้ หรอื อย่างท่พี ระพุทธเจ้าทา่ นสัง่ สมบญุ
บารมมี า เราอยา่ เขา้ ใจผิดคิดว่าทา่ นสร้างมาแตก่ รรมดีนะ
ทา่ นสรา้ งมาทง้ั กรรมดกี รรมชวั่ นนั่ แหละ อยา่ งในบางชาติ
ท่ีกรรมดีให้ผล ชาตินั้นก็สูงส่ง หรือบางชาติที่กรรมชั่ว
ใหผ้ ล ชาตนิ ั้นก็ตกตํ่า ไมใ่ ชว่ ่าท่านจะขึ้นสงู ขน้ึ ไปเรือ่ ยๆ
เเตเ่ พียงอยา่ งเดียว ไมใ่ ชน่ ะ
ก่อนท่ีเราจะไปคิดอิจฉาใคร เราต้องเข้าใจด้วยว่า
เพราะกรรมเรากบั กรรมเขาในอดตี มนั สรา้ งมาไมเ่ หมอื นกนั
อย่างการท่ีผู้คนเขาให้ความเคารพนับถือเลื่อมใสในองค์
พระพทุ ธเจา้ ก็ไม่ใชเ่ พราะพระพุทธเจ้าทรงมาจากวรรณะ
กษัตริย์ หรอื มาจากช่ือเสยี งท่ีท่านเป็นพระพุทธเจ้า
แต่เป็นเพราะบุญบารมีท่ีท่านได้บ�ำเพ็ญคุณงาม
ความดีมาเป็นเวลายาวนานท้ังสิ้น ๔ อสงไขยกับ ๑ แสน
224
มหากัป ท�ำไมพระสารีบุตรท่านจึงได้เป็นพระมหาสาวก
เบอ้ื งขวา? ทำ� ไมพระโมคคลั ลานะทา่ นจงึ ไดเ้ ปน็ พระมหา-
สาวกเบื้องซา้ ย? ท�ำไมท่านเหลา่ นจ้ี งึ เป็นแบบนี?้
ถ้าเราได้ลองศึกษาพระธรรมค�ำสอนแล้ว เราจะมา
ต�ำหนิหรืออิจฉากันไม่ได้ ทั้งน้ีเพราะบุพกรรมเก่ามันมา
ไมเ่ หมอื นกนั เพราะเราตงั้ ความปรารถนามาไมเ่ หมอื นกนั
ดงั นน้ั เราตอ้ งคดิ ใหด้ กี อ่ นทจี่ ะคดิ อจิ ฉากนั เพราะทกุ อยา่ ง
มที มี่ าทไ่ี ป ไมใ่ ชว่ า่ เกดิ มาชาตนิ แ้ี ลว้ อยๆู่ คนจะมานบั ถอื
เลอื่ มใสมากมาย อยา่ งหลวงตามหาบวั ทา่ นเองกค็ งมบี ารมี
เกา่ ของทา่ น ทา่ นจงึ ไดม้ าเปน็ ครูบาอาจารย์
เราไมต่ อ้ งไปตง้ั ความปรารถนาหรอกวา่ ขอใหม้ เี งนิ
มีทอง ให้ร่ําให้รวย ให้สวยให้หล่อ ให้มีกินมีใช้ ให้มีเเต่
ความสขุ ความเจริญ ใหล้ ูกดีเมียดวี า่ งา่ ยเชื่อฟัง เพราะส่ิง
เหล่านี้เป็นความปรารถนาในวัฏสงสารท่ีมันไม่มีที่ส้ินสุด
มนั อาจจะไดส้ มปรารถนา แต่สดุ ทา้ ยก็หนไี มพ่ ้น ต้องมา
เวยี นว่ายตายเกิดลมุ่ ๆ ดอนๆ สงู ๆ ตํา่ ๆ อยูใ่ นวัฏสงสาร
เพราะฉะนน้ั ใหเ้ ราตง้ั ความปรารถนาไวใ้ นใจดกี วา่ วา่
เกิดมาชาติใดก็ดี ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นคนดี ได้พบเจอ
พระอาจารย์อนิ ทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 225
เเต่คนดี ได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนา ให้ได้เป็น
พระอริยบุคคลส�ำเร็จมรรคผลโดยเร็วที่สุด ให้ถึงแดน
พระนิพพานโดยเร็ววันเถดิ
พระพทุ ธองคท์ า่ นทรงสอนวา่ การตง้ั ความปรารถนา
ก็คือความตั้งใจจริง ดังน้ันเราควรที่จะตั้งปรารถนาให้
พ้นทุกข์ในวัฏสงสารให้ได้โดยเร็วที่สุด อันน้ีถือว่าเป็น
ความปรารถนาท่ีถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ เพราะตราบใด
ทยี่ งั ตอ้ งเวยี นวา่ ยตายเกดิ อกี กไ็ มพ่ น้ ตอ้ งมาสรา้ งกรรมอกี
ทั้งกรรมดีและกรรมช่ัว เพราะท้ังกรรมดีกับกรรมช่ัวน้ัน
เปน็ ของคกู่ ัน
226
๔๗
สรา้ งเหตใุ หด้ ีกอ่ น
แลว้ ผลทด่ี จี ะตามมาเอง
หลักธรรมะคือหลักเหตุผล อย่างท�ำดีได้ดี ท�ำชั่ว
ได้ชั่ว มันก็มีเหตุมีผลของมัน เพราะแท้ที่จริงแล้วทุกๆ
อยา่ งนน้ั มนั มเี หตมุ ีผลของมันในแตล่ ะเรอ่ื ง ดังนน้ั ให้เรา
ท�ำเหตุให้ดี แล้วผลมันจะออกมาดีเอง ถ้าเกิดว่าเราท�ำ
เหตุช่ัวแล้ว ผลมันจะออกมาดีได้อย่างไร? ผลมันก็ต้อง
ออกมาชว่ั ยงิ่ ทำ� เหตชุ วั่ ใหญๆ่ แลว้ ผลมนั กต็ อ้ งมาชวั่ อกี
เหมอื นกนั เพราะผลเหลา่ นมี้ นั ลว้ นออกมาจากเหตทุ งั้ สนิ้
เหมอื นกบั เวลาเราปลกู ตน้ มะมว่ ง มนั กต็ อ้ งออกผล
มาเปน็ ผลมะมว่ ง เราจะไปบงั คบั ใหต้ น้ มะมว่ งมนั ออกเปน็
ผลลน้ิ จ่ี ลำ� ไยไดอ้ ยา่ งไร? เพราะผลมะมว่ งทเ่ี ราได้ มนั กม็ า
จากเหตคุ อื เมด็ มะมว่ งทเี่ ราปลกู นน่ั เอง ใหพ้ วกเราทำ� เหตุ
ให้ดี พิจารณาดูท่ีเหตุว่ามันเป็นเหตุแห่งสุขหรือเหตุ
พระอาจารย์อนิ ทร์ถวาย สนั ตุสสโก 227
แห่งทุกข์ เพราะถ้าเราสร้างเหตุที่ดีแล้ว ผลมันก็จะออก
มาดเี อง
ในการปฏิบัติภาวนานี้ก็เป็นลักษณะเดียวกัน ให้เรา
ยดึ กรรมฐานกำ� หนดลมหายใจเขา้ -ออก พรอ้ มกบั บรกิ รรม
พุทโธอันน้ีล่ะเป็นหลัก พยายามก�ำหนดจุดใดจุดหน่ึง
ไม่ให้จิตส่งออกไปข้างนอกจนจิตเร่ิมเข้าสู่ความสงบ
ส่วนจิตท่ีสงบแล้วน้ัน มันจะเป็น ๑) ขณิกสมาธิ, ๒)
อุปจารสมาธิ หรือ ๓) อัปปนาสมาธิ เราก็ไม่ต้องไปคิด
ทง้ั นนั้ ล่ะวา่ มันจะเปน็ อะไร
แต่ข้อส�ำคัญคือ ให้เรารักษาเหตุให้เพียงพอก็พอ
โดยที่เราไม่ต้องไปคาดหวังถึงผลลัพธ์ ส่วนผลน้ันไม่ว่า
มนั จะเกดิ มาอยา่ งไร เรากพ็ อใจอยา่ งนนั้ ละ่ เราตอ้ งทำ� เหตุ
ใหเ้ พยี งพอกอ่ น ทนี แี้ ลว้ ผลมนั จงึ จะเกดิ ขน้ึ มาเอง เหมอื น
กบั คนทขี่ เี้ กยี จอา่ นหนงั สอื ขเ้ี กยี จไปเรยี นหนงั สอื แตค่ าด
หวงั ผลวา่ ต้องการปริญญาเอก แลว้ แบบนม้ี ันจะไดห้ รอื ?
มนั กเ็ ปน็ ไปไมไ่ ด้ เราตอ้ งทำ� เหตใุ หเ้ พยี งพอ ถา้ เมอื่ ทำ� เหตุ
ดีแล้ว ผลดมี ันก็จะตอบสนองเอง
228
๔๘
ความเปน็ มา ตอน ๑๒:
ความเปน็ มาของการสวดพระปาฏโิ มกข์
วนั มาฆบชู าเปน็ วนั สำ� คญั ยง่ิ ในทางพระพทุ ธศาสนา
เพราะเปน็ วนั ทพี่ ระพทุ ธเจา้ พรอ้ มพระสงฆส์ าวก ๑,๒๕๐
รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายท่ีวัดป่าเวฬุวัน
กรงุ ราชคฤห์ ในวันเพ็ญเดอื น ๓ ในเวลาบ่าย
ซึ่งพระสงฆ์เหล่าน้ีล้วนแล้วแต่เป็นเอหิภิกขุ คือ
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้บวชให้ โดยเป็นการบวชด้วย
เอหิภิกขุอุปสัมปทานี้ พระพุทธเจ้าท่านจะทรงกล่าวตรัส
เฉพาะพระพกั ตร์วา่ “ท่านจงเปน็ ภกิ ษุมาเถดิ ธรรมอันเรา
กล่าวดีแล้ว ท่านจงประประพฤติพรหมจรรย์เพื่อท�ำที่สุด
แห่งทุกข์โดยชอบเถดิ ”
เพียงเท่านั้น ก็ถือว่าคนๆ น้ันได้บวชเป็นพระแล้ว
พอบวชเข้ามาแล้ว ท่านบ�ำเพ็ญไม่นานก็ได้ส�ำเร็จเป็น
พระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สันตสุ สโก 229
พระอรหนั ต์ แตบ่ างทา่ นกไ็ ดส้ ำ� เรจ็ เปน็ พระอรหนั ตก์ อ่ นท่ี
จะไดบ้ วชด้วยซ�ำ้ ไป
ทีนี้เมื่อพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป ได้มาพร้อมกันใน
ตอนบ่ายท่ีวัดป่าเวฬุวัน พระพุทธองค์ก็ได้ทรงบัญญัติ
พระวินัยคือศีลของพระข้ึน จากนั้นพระพุทธองค์ก็เป็น
ผูต้ รัสกล่าวโอวาทปาฏิโมกข์ หรือการสวดพระปาฏิโมกข์
ในทา่ มกลางสงฆ์ เมอื่ จบการบญั ญตั ศิ ลี และสวดปาฏโิ มกข์
แล้ว พระพทุ ธองค์ก็ทรงให้โอวาทแก่เหล่าสงฆ์วา่
สพั พะปาปสั สะอะกะระณงั การไมท่ ำ� บาปทง้ั หลาย
ท้งั ปวงหนง่ึ ,
กุสะลัสสูปสัมปะทา การยังกุศลใหถ้ ึงพรอ้ มหนึง่ ,
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การท�ำจิตให้ผ่องแผ้ว
หน่ึง,
เอตงั พทุ ธานะ สาสะนงั นคี้ อื ธรรมคำ� สงั่ สอนของ
พระพทุ ธเจา้ ท้งั หลาย
230
หลวงพ่อว่า พระพุทธองค์คงจะทรงโทรจิตหา
พระสงฆ์ท้ัง ๑,๒๕๐ รูป ซ่ึงเป็นเอหิภิกขุผู้แตกฉานใน
ปฏิสัมภิทาญาณ ให้มารวมกันที่วัดป่าเวฬุวัน เพราะเมื่อ
มีพระสงฆ์มากข้ึนเร่ือยๆ ก็เริ่มมีพระบางองค์ที่ท�ำตัว
ออกนอกลู่นอกทางมากข้ึนๆ สมัยนั้นกับสมัยนี้ก็คงจะ
ไม่แพ้กัน พระพุทธองค์ก็เลยทรงเล็งเห็นว่า บัดน้ีควรท่ี
จะประมวลเขา้ มาเป็นกฎหมาย จึงไดใ้ หพ้ ระสงฆท์ ้ังหลาย
มาประชุมโดยพร้อมกัน จากนั้นในตอนบ่าย พระองค์ก็
ทรงบัญญัติวินัย
จากนั้นมา พระพุทธองค์ก็ทรงเป็นผู้กล่าวสวด
พระปาฏิโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ เหมือนอย่างที่พวกเรา
ไดส้ วดปาฏิโมกขใ์ นวันลงอุโบสถกันอย่างน้ีล่ะ พอตอ่ มา
ท่ีพระสงฆย์ ง่ิ มีมากขึน้ เร่อื ยๆ ทนี ีพ้ ระทท่ี �ำตนไม่ดีก็เร่ิมมี
มากขนึ้ ๆ เช่นเดียวกัน
จนมาสมัยหน่ึง ในวันลงอุโบสถตอนหัวค่�ำ พอได้
เวลาลงอุโบสถท่ีศาลา พระพุทธเจ้าก็ข้ึนประทับเตรียมท่ี
จะแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ สว่ นพระสงฆก์ ข็ น้ึ เตรยี มพรอ้ ม
ท่ีจะรับฟัง แต่อยู่ๆ พระพุทธองค์กลับทรงนั่งน่ิงไม่ตรัส
อะไร พระสงฆท์ ้ังหลายก็น่ังนง่ิ เช่นเดียวกัน
พระอาจารยอ์ นิ ทร์ถวาย สนั ตสุ สโก 231
คร้ันพอปฐมยามผ่านไป (ปฐมยาม คือเวลาตั้งแต่
๖ โมงเย็นถึง ๔ ทุ่ม) พระอานนท์ก็เข้าไปกราบทูล
พระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระพุทธองค์ บัดนี้เหล่าสงฆ์
พร้อมแล้ว ขอพระองค์ทรงโปรดแสดงพระปาฏิโมกข์
ด้วยเถิด พระเจา้ ข้า”
พระพุทธองค์ก็ยังคงนั่งนิ่ง จนมัชฌิมยามผ่านไป
(มัชฌิมยาม คือเวลาตง้ั แต่ ๔ ทุ่มถงึ ตี ๒) พระอานนท์
ก็เข้าไปกราบทูลอีกคร้ังว่า “ข้าแต่พระพุทธองค์ บัดน้ี
มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ขอพระองค์ทรงโปรดแสดง
พระปาฏิโมกขด์ ว้ ยเถดิ พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ก็ยังทรงนั่งน่ิงไม่ตรัสอะไร จนถึง
ปัจฉิมยาม (ปจั ฉิมยาม คือเวลาตงั้ แต่ตี ๒ ถึง ๖ โมงเช้า)
คือจวนใกล้จะสว่าง พระอานนท์ก็เข้าไปกราบทูล
พระพุทธเจ้าอีกเป็นครั้งท่ี ๓ ว่า “ข้าแต่พระพุทธองค์
บัดน้เี ปน็ เวลาปจั ฉิมยามคือจวนจะสวา่ งแล้ว ขอพระองค์
ทรงโปรดแสดงพระปาฏิโมกข์ให้พวกข้าพเจ้าท้ังหลาย
ดว้ ยเถิด พระเจ้าข้า”
232
คราวนี้พระพทุ ธองคก์ ลบั ตรัสว่า “ในเหลา่ สงฆ์ทนี่ งั่
อยใู่ นศาลาแหง่ นน้ี นั้ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธใ์ิ นศลี นนั้ มอี ยู่ เพราะฉะนนั้
เราตถาคตจะไม่แสดงพระปาฏิโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ที่
ไมบ่ รสิ ทุ ธใ์ิ นศลี ” พระองคต์ รสั เพยี งแคน่ นั้ จากนนั้ กท็ รงนงิ่
ไมต่ รัสอะไรต่ออีก
พระโมคคลั ลานะและพระสารบี ตุ รซงึ่ เปน็ พระผใู้ หญ่
ในทนี่ ้นั จงึ ได้ยืนขนึ้ ในท่ามกลางสงฆ์ พรอ้ มกับประกาศ
วา่ “ในท่ามกลางสงฆ์น้ี ผใู้ ดที่ไม่บรสิ ุทธ์ใิ นศีล ขอใหท้ ่าน
ผนู้ นั้ ลกุ ขนึ้ ” พระสงฆก์ พ็ ากนั เงยี บ เมอ่ื ประกาศไปแลว้ ถงึ
๓ คร้งั ก็ยงั ไม่มพี ระองคใ์ ดที่กล้าแม้แตจ่ ะขยับตัว
พระโมคคัลลานะจึงน่ังเข้าฌานสมาบัติเพ่ือตรวจดู
วา่ พระองคไ์ หนทีไ่ มบ่ รสิ ุทธ์ิในศลี ? จากน้นั ท่านจึงรู้ได้ว่า
มีพระอยู่องค์หนึ่งที่ไม่บริสุทธิ์ในศีล คือต้องอาบัติมา
รว่ มลงอโุ บสถอยดู่ ว้ ยจรงิ ๆ พระโมคคลั ลานะจงึ ตรงเขา้ ไป
ดงึ แขนพระองค์นัน้ แลว้ พาใหพ้ ้นออกไปจากศาลา แลว้ ก็
ปิดประตูศาลา จากนั้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดง
พระปาฏิโมกข์ให้แกเ่ หล่าสงฆ์
พระอาจารยอ์ ินทรถ์ วาย สนั ตุสสโก 233
หลังจากเหตุการณ์นั้น พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า
“ดูกอ่ น สงฆท์ ้งั หลาย นบั แตบ่ ดั น้ีไปเราตถาคตจะไม่สวด
พระปาฏิโมกข์ หรือลงอุโบสถกับสงฆ์ที่ไม่บริสุทธ์ิในศีล
ให้พวกท่านท้ังหลายท�ำกันไปเถิด” คือพระพุทธองค์ได้
ทรงประกาศว่าจะไมร่ ่วมลงอโุ บสถนบั ต้ังแต่นน้ั
เพราะต่อไปเม่ือพระที่ไม่บริสุทธิ์ในศีลมีมากขึ้นๆ
และเมื่อพระพุทธองค์ทรงสามารถรู้ได้ด้วยญาณทัศนะ
ว่ามีพระองค์ใดที่ไม่บริสุทธ์ิในศีล พระพุทธองค์ทรงรับ
ไม่ได้ที่จะต้องทรงแสดงพระปาฏิโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์
ท่ีไม่บริสุทธิ์ในศีลท้ังๆ ที่รู้อยู่ พระพุทธองค์จึงทรง
มอบหมายให้เหล่าสงฆ์เป็นผู้ท�ำหน้าที่น้ีกันเอง น่ีแหละ
อนั นี้กค็ ือความเป็นมาของการสวดพระปาฏโิ มกข์
สรุปแล้วก็คือ แม้แต่ในครั้งพุทธกาลท่ีพระพุทธเจ้า
ยังอยู่ ในยุคน้ันก็ยังมีพระที่ท�ำตัวออกนอกลู่นอกทาง
ไม่มีหิริโอตัปปะ คือไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป
ยิ่งในยุคนี้ย่ิงไม่ต้องพูดถึง เพราะความบริสุทธ์ิหรือ
ไม่บริสุทธ์ิในศีลนี้มันมีทั้งในยุคน้ันและในยุคนี้ ดังพุทธ-
สภุ าษติ ทวี่ า่
234
สทุ ธิ อสุทธิ ปัจจตั ตัง นาญโญ อัญญัง วโิ สธเย
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในศีลน้ันเป็นของ
เฉพาะตน คนอื่นจะมาท�ำให้เราบรสิ ทุ ธิไ์ ม่ได้
เพราะฉะน้ัน ขอให้พวกเราส�ำรวมในศีล อย่าท�ำ
นอกลู่นอกทาง เพราะถ้าพระไม่บริสทุ ธใิ์ นศีลแลว้ แมแ้ ต่
พระพุทธเจ้าท่านยังทรงต�ำหนิอย่างสุดๆ ไม่แม้กระทั่ง
อยากจะลงอโุ บสถรว่ มด้วยเลย
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนั ตุสสโก 235
๔๙
ธรรมะหวั โน ธัมโมหวั แตก
เมอ่ื ไม่นานมานี้ มีชายหนมุ่ ๒ คน มาถามหลวงพ่อ
วา่ คนหนึ่งปฏบิ ตั สิ ายหนึง่ ส่วนอกี คนปฏิบตั ิอีกสายหน่ึง
โดยคนทอี่ ยกู่ รงุ เทพปฏบิ ตั มิ าหลายสายกวา่ สายยบุ หนอ-
พองหนอบ้าง สายเพ่งดวงแก้วบ้าง สายขยับมือบ้าง
เม่ือศึกษามาหลายสาย ทีน้ีก็เลยงง ไม่รู้ว่าจะยึดเอาสาย
ไหนดี เขาก็เลยพาเพื่อนจาก จ.อุดรฯ มากราบเรียนถาม
หลวงพ่อ ก็ถกเถียงกันในรถตั้งแต่ในตัวเมือง จ.อุดรฯ
จนมาถงึ ทว่ี ัด เรยี กว่า ธรรมะหวั โน ธัมโมหัวแตก คือ
เวลาถกเถียงธรรมะกัน ก�ำปั้นก็ชกต่อยตีกันจนหัวโน
หวั แตกเลือดไหล เพราะถกเถยี งธรรมะกนั
พอมาถงึ ทวี่ ดั ปา่ นาคำ� นอ้ ย ขณะนน้ั หลวงพอ่ กก็ ำ� ลงั
จะออกไปธุระพอดี ชายหนุ่ม ๒ คนนี้ เขาก็ถามว่า
“หลวงพ่อครบั พวกผมอยากจะถามธรรมะครบั ?” “เอ้า
236
จะถามเรื่องอะไร?” พอเขาเลา่ ให้หลวงพอ่ ฟัง หลวงพ่อก็
เลยอธบิ ายวา่
แสดงวา่ คณุ ยงั จบั ประเดน็ ไมไ่ ด้ เพราะทพี่ ระพทุ ธองค์
ทรงแนะนำ� พวกเราเหลา่ พทุ ธบรษิ ทั ๔ ในเรอื่ งจติ ตภาวนานี้
พระพทุ ธองคท์ รงใหเ้ นน้ ในแนวทางของสตปิ ฏั ฐาน ๔ อนั
ได้แก่ ๑. กาย, ๒. เวทนา, ๓. จติ และ ๔. ธรรม นแี่ หละ
เป็นเบ้อื งตน้
๑. กาย การกำ� หนดลมหายใจเขา้ -ออก, การกำ� หนด
หนอ เชน่ ยบุ หนอ ยา่ งหนอ กา้ วหนอ หรือการกำ� หนด
ดวงแกว้ ทเ่ี พง่ อยใู่ นกาย เหลา่ นล้ี ว้ นอยใู่ นหมวดกายทงั้ สนิ้
หรอื ถา้ จะวา่ ไปแลว้ กรรมฐานเหลา่ นก้ี ค็ อื ใหม้ สี ตอิ ยใู่ นกาย
ทง้ั ส้ิน และเมอื่ มีสตอิ ยูใ่ นกายแล้ว ก็ถือว่าอยู่ในขอบเขต
ของ กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน
๒. เวทนา เวลาหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจ เวลารู้สึก
ปวดแข้งปวดขา หิวกระหายร้อนหนาว อันนีค้ ือเวทนา
ทางกายทั้งหมด ส่วนสิ่งที่มากระทบทางใจท�ำให้รู้สึก
ทุกขใ์ จหรอื สขุ ใจ อันน้ีคอื เวทนาทางใจ เวทนานนั้ มีทงั้ ท่ี
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตสุ สโก 237
เปน็ สขุ เวทนาและทกุ ขเวทนา เวลานงั่ ไปนานๆ แลว้ รสู้ กึ
เมื่อยปวดแข้งปวดขา เรียกว่า ทุกขเวทนา เวลาน่ังไป
นานๆ แลว้ เมอ่ื เราเปลยี่ นอริ ยิ าบถ จะรสู้ กึ สบาย อนั นนั้ วา่
สขุ เวทนา อนั นี้ก็คอื เวทนานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน
๓. จิต คอื การตามดวู ่าใจของเราขณะนน้ี กึ คดิ เรือ่ ง
อะไร มสี ตใิ นการดใู จของตนเอง อนั นค้ี อื จติ ตานปุ สั สนา
สตปิ ฏั ฐาน
๔. ธรรม คอื การดอู ารมณท์ ม่ี ากระทบใจ มที ง้ั พอใจ-
ไมพ่ อใจ มที ัง้ อารมณ์ด-ี ไมด่ ี มีทัง้ สุขใจ-ทกุ ขใ์ จ อันน้ีคือ
ธรรมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน
ถ้าเราไดศ้ ึกษาสติปฏั ฐาน ๔ จนร้จู กั ต้นเหงา้ ทัง้ ๔
น้ีแล้ว เราก็จะรู้ได้ว่า กรรมฐานท่ีเราก�ำลังปฏิบัติอยู่นั้น
อยใู่ นหมวดไหนในสตปิ ฏั ฐาน ๔ เราจะรจู้ กั แยกแยะเองได้
แตถ่ า้ เราไม่รู้ ไมไ่ ดศ้ ึกษาในสตปิ ัฏฐาน ๔ แล้วละ่ ก็ เราก็
จะงงสบั สนเอาได้ ก็จะใหไ้ ม่งงได้อยา่ งไร เพราะการทำ� จิต
ให้สงบน้นั มมี ากหลากหลายวธิ ตี ามแต่จริตของผู้ปฏบิ ตั ิ
ทนี ้พี อเราไม่รู้ มันกเ็ ลยงง ไม่ร้วู ่าจะเดนิ อย่างไรเลยทีน้ี