The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ “สารานุกรมพืช ในประเทศไทย ( ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา”

โดย สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช
สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by BS_Library, 2021-02-15 00:10:13

สารานุกรมพืช ในประเทศไทย ( ฉบับย่อ)

หนังสือ “สารานุกรมพืช ในประเทศไทย ( ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา”

โดย สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช
สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

Keywords: พืช,สารานุกรม

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย ล�ำแพนหนิ

กระจาย ไมม่ ีกลบี ดอก กา้ นชูอบั เรณูสขี าว ยาว 2.5-3.5 ซม. ผลกว้าง 3.5-6 ซม. ลำ� พปู ่า: ใบเรยี งตรงขา้ ม โคนเวา้ ตืน้ ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงหลัน่ ออกส้ัน ๆ ทปี่ ลายก่งิ กลบี ดอกยน่ เกสรเพศผจู้ �ำนวนมาก
สูง 2.5-3.5 ซม. ผวิ เปน็ มนั วาว จานรูปถว้ ยเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 2.8-4 ซม. รวม ผลแหง้ แตก กลบี เลีย้ งติดทน (ภาพดอก: ดอยภคู า นา่ น, ภาพผล: กาญจนบุร;ี - RP)
กลีบเลยี้ ง กลบี เลย้ี งแนบชิดผล
ลำ�แพน
พบท่ไี หห่ นาน กมั พูชา ภมู ภิ าคมาเลเซีย และนิวกินี ในไทยพบทางภาคกลาง
ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ตามปา่ ชายเลนดา้ นใน รมิ แมน่ ำ้� ทมี่ นี ำ้� ทะเลขน้ึ ลง Sonneratia alba Sm.
วงศ์ Lythraceae
เอกสารอ้างองิ
Qin, H., S.A. Graham and M.G. Gilbert. (2007). Lythraceae. In Flora of China ไม้ตน้ สูงได้ถึง 15 ม. รากหายใจยาว 20-40 ซม. โคนหนา ใบรปู ไขห่ รือรูปไข่กลับ
Vol. 13: 286-288. กวา้ ง ยาว 4-11 ซม. ปลายกลม โคนรูปล่ิม มน หรอื ตัด ก้านใบยาว 3-9 มม.
Santisuk, T. (1992). Sonneratiaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(4): 436-441. ดอกออกเดยี่ ว ๆ หรอื เปน็ กระจกุ 2-5 ดอก ออกทปี่ ลายกงิ่ กลบี เลยี้ งและกลบี ดอก
จ�ำนวนอย่างละ 5-8 กลีบ กลบี เลย้ี งรูปสามเหล่ียม ยาว 2-3.4 ซม. ปลายแหลม
ลำ� พู: ใบเรยี งตรงข้าม กลีบดอกสีแดงเขม้ รปู แถบ เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก ผลกลมแปน้ ผิวเป็นมนั วาว ฐานรูปถ้วย ดา้ นในมกั มสี ีชมพูหรอื แดง ดอกสีขาว กลีบรูปเส้นด้าย ดคู ลา้ ยกา้ นชูอับเรณู
แผ่กวา้ ง ก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว ติดทน (ภาพ: จนั ทบรุ ี - PK) กา้ นชูอบั เรณสู ขี าว ยาว 3-4 ซม. ผลกว้าง 3-5 ซม. สูง 2.5-4 ซม. ผิวเปน็ มันวาว
ฐานรปู ถว้ ยหมุ้ ผลประมาณหนง่ึ ในสามสว่ น เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3-4 ซม. รวมกลบี เลยี้ ง
ลำ� พูทะเล: ใบเรียงตรงข้าม ปลายกลม โคนตัดหรือกลม ไม่มกี ลีบดอก ก้านชอู บั เรณูสขี าว ผลกลมแปน้ ผิวเป็นมันวาว ปลายกลีบเล้ียงพบั งอกลบั (ดูข้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี ล�ำพู, สกุล)
กลบี เลีย้ งแนบชดิ ผล (ภาพ: จันทบรุ ี - PK)
พบท่แี อฟรกิ า มาดากสั การ์ อินเดยี หม่เู กาะอันดามัน บังกลาเทศ ศรีลังกา
ล�ำ พูปา่ ไหห่ นาน ญป่ี นุ่ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทย
พบทางภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ข้ึนหนาแน่นเป็นผืนใหญ่
Duabanga grandiflora (Roxb. ex DC.) Walp. ตามปา่ ชายเลนจรดทะเลด้านนอก และริมแมน่ ำ�้ ทม่ี นี ้�ำทะเลข้ึนลง
วงศ์ Lythraceae
ลำ�แพนหนิ
ชอื่ พ้อง Lagerstroemia grandiflora Roxb. ex DC.
Sonneratia griffithii Kurz
ไมต้ ้น สงู ไดถ้ งึ 35 ม. โคนตน้ มพี พู อน กงิ่ อ่อนเปน็ เหลี่ยม ใบเรียงตรงข้าม ไม้ตน้ ผลัดใบ สูงไดถ้ ึง 30 ม. ตน้ ขนาดใหญโ่ คนต้นมักเปน็ โพรง รากหายใจ
รปู ขอบขนานหรือแกมรูปไข่กลบั ยาว 10-24 ซม. ปลายแหลมยาว โคนกลมหรือเว้าต้ืน
แผ่นใบด้านลา่ งมีนวล กา้ นใบยาวได้ถงึ 1 ซม. ช่อดอกแบบชอ่ เชงิ หลน่ั ออกส้ัน ๆ ยาว 30-40 ซม. ปลายรากบวมหรอื คลา้ ยรปู หอย ใบรปู ไขก่ วา้ งถงึ เกอื บกลม ยาว
ทปี่ ลายกงิ่ กา้ นดอกยาว 3-4 ซม. กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ 6-7 กลบี 5-8 ซม. ปลายกลมหรอื มนกว้าง โคนกลม กา้ นใบยาว 3-8 มม. ดอกออกเด่ียว ๆ
หลอดกลบี เลยี้ งรปู ถว้ ย กลบี รปู สามเหลย่ี มแกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 1-3 ซม. บานออก หรอื เปน็ กระจกุ 2-5 ดอก ออกทปี่ ลายกง่ิ กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ
ดอกสขี าว มีกล่ินแรง กลีบรูปรี ยาว 4 ซม. ย่น กา้ นกลีบยาว 2-4 มม. เกสรเพศผู้ 6-7 กลีบ หลอดกลีบเลี้ยงรูปถว้ ย กลีบหนา รูปสามเหลี่ยม ยาว 1.4-2 ซม. ไมม่ ี
จ�ำนวนมาก เรยี ง 2 วง อับเรณตู ิดไหว โค้ง รังไข่ก่ึงใตว้ งกลบี ออวลุ จำ� นวนมาก กลีบดอก ก้านชูอบั เรณูสขี าว ยาว 3-4 ซม. ผลกลมแป้น ผิวด้าน กวา้ ง 3.5-5.2 ซม.
ผลแห้งแตกเป็น 6-9 ซีก รูปไข่กวา้ งเกอื บกลม กว้าง 4-4.5 ซม. ยาว 3-4 ซม. สูง 2-3 ซม. จานรปู ถว้ ยแผก่ ว้าง เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 5-7 ซม. รวมกลบี เลีย้ ง
กลบี เลีย้ งติดทน เมลด็ จำ� นวนมาก รูปแถบ ยาว 4-6 มม. มี 2 หาง รปู เส้นด้าย ปลายกลีบพบั งอกลบั เล็กนอ้ ย (ดูขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ ที่ ล�ำพู, สกลุ )

พบทอี่ นิ เดยี พมา่ จนี ตอนใต้ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ในไทยพบทกุ ภาค พบทบี่ ังกลาเทศ หม่เู กาะอนั ดามนั ของอินเดีย พม่า คาบสมุทรมลายู ในไทย
ขึ้นตามชายป่า ท่ีโล่ง ตามหุบเขา ริมลำ� ธาร หรือท่ีชุ่มช้ืน ความสูงถึงประมาณ พบทางภาคใตท้ ฝ่ี ง่ั ทะเลอนั ดามนั ขนึ้ ตามปา่ ชายเลนดา้ นใน รมิ แมน่ ำ�้ ทม่ี นี ำ�้ ทะเลขนึ้ ลง
1200 เมตร เนอ้ื ไมใ้ ชท้ ำ� กลอ่ ง ไมพ้ าย เรอื แคนู และกา้ นรม่ เปลอื กมพี ษิ ใชเ้ บอ่ื ปลา
เอกสารอ้างอิง
สกลุ Duabanga Buch.-Ham. เดมิ อยูภ่ ายใตว้ งศ์ Sonneratiaceae มี 3 ชนดิ พบ Qin, H., S.A. Graham and M.G. Gilbert. (2007). Lythraceae. In Flora of China
ในเอเชียเขตรอ้ น ในไทยมชี นิดเดยี ว ชอ่ื สกลุ เป็นภาษาเบงกาลี “duyabanga” ที่ Vol. 13: 288.
ใชเ้ รียกล�ำ พปู า่ Santisuk, T. (1992). Sonneratiaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(4): 440.
เอกสารอ้างองิ
Qin, H., S.A. Graham and M.G. Gilbert. (2007). Lythraceae. In Flora of China ลำ� แพน: ขึ้นหนาแนน่ เป็นผืนใหญต่ ามรมิ แมน่ ำ�้ ทีม่ นี �้ำทะเลข้นึ ลง ปลายใบกลม ฐานรปู ถ้วยหุ้มผลประมาณหนึ่งใน
สามสว่ น ปลายกลบี เล้ยี งพบั งอกลับ (ภาพถิ่นทีอ่ ยูแ่ ละผล: กันตงั ตรัง, ภาพดอก: ขนอม นครศรธี รรมราช; - SR)
Vol. 13: 276.
Santisuk, T. (1992). Sonneratiaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(4): 434-435.

381

ลำ� ภรู า สารานุกรมพืชในประเทศไทย

ล�ำแพนหิน: ปลายและโคนใบกลม ผลกลมแปน้ ผวิ ด้าน จานรปู ถ้วยแผก่ ว้าง (ภาพ: ระนอง - PK) ถงึ กลม แผน่ ใบหนา ดา้ นลา่ งมขี นกระจกุ รปู ดาวสนี ำ�้ ตาลออ่ นหนาแนน่ ดา้ นบน
มขี นประปราย มรี หู ยดนำ�้ กระจาย ขอบมว้ นงอ กา้ นใบยาว 1-30 ซม. โคนมเี กลด็
ลำ�ภูรา และขนหนาแนน่ เสน้ แขนงใบชดั เจน เสน้ ใบไมช่ ดั เจน เรยี งจรดกนั กลมุ่ อบั สปอรก์ ลม
กระจายบนแผน่ ใบดา้ นลา่ งหรอื เฉพาะสว่ นปลาย (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ท่ี กบี มา้ ลม, สกลุ )
Maniltoa polyandra (Roxb.) Harms
วงศ์ Fabaceae พบที่อินเดยี ภฏู าน จนี ตอนใต้ พม่า และภูมภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทุกภาค
ข้นึ ในป่าผลัดใบและไมผ่ ลัดใบ ความสูงถึงประมาณ 2000 เมตร สว่ น var. lingua
ชอ่ื พอ้ ง Cynometra polyandra Roxb. แผ่นเกล็ดขอบมีขนครุย โคนไม่เป็นสีด�ำ ในไทยพบทางภาคเหนือที่เชียงใหม่
เชียงราย
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. ตาทยี่ อดเรยี งซอ้ นเหลอ่ื ม กงิ่ มชี อ่ งอากาศ หใู บรปู แถบ ยาว
2.5-3 ซม. ใบประกอบปลายคู่ มใี บย่อย 2-3 คู่ รูปไขแ่ กมรูปขอบขนาน ยาว 3.5-8 ซม. เอกสารอา้ งองิ
เบยี้ ว ปลายแหลมยาว ไร้กา้ น แผ่นใบดา้ นลา่ งมขี นตามเสน้ กลางใบและเส้นแขนงใบ Lindsay, S. and D.J. Middleton. (2012 onwards). Ferns of Thailand, Laos and
เสน้ แขนงใบขา้ งละ 9-11 เส้น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ออกส้ัน ๆ ตามซอกใบ Cambodia. http://rbg-web2.rbge.org.uk/thaiferns/
ใบประดับเปน็ เกล็ด ติดทน ใบประดบั ยอ่ ย 2 อนั ขนาดไม่เท่ากนั ยาว 5-7 มม. Tagawa, M. and K. Iwatsuki. (1989). Polypodiaceae. In Flora of Thailand 3(4):
ก้านดอกยาว 1.5-3 ซม. มีขนส้ันนมุ่ กลีบเล้ยี ง 5 กลีบ รปู สามเหลย่ี ม ขนาดไม่ 505-507.
เทา่ กนั ยาว 7-9 มม. เรยี งซอ้ นเหลอ่ื ม พบั งอกลบั กลีบดอก 5 กลบี รปู ใบหอก
ยาวเทา่ ๆ กลบี เลย้ี ง พบั งอกลบั เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก โคนกา้ นชอู บั เรณเู ชอ่ื มตดิ กนั ล้ินกุรัม: เฟนิ เกาะองิ อาศัยหรือข้ึนบนหิน เหงา้ ทอดเลอ้ื ย แผน่ ใบหนา ดา้ นลา่ งมขี นกระจกุ รปู ดาวสีนำ�้ ตาลอ่อน
รงั ไขม่ ขี นแบบขนแกะหนาแนน่ มกี า้ นสนั้ ๆ ตดิ เบยี้ วบนฐานดอก กา้ นเกสรเพศเมยี หนาแนน่ กล่มุ อบั สปอร์กลม กระจายบนแผ่นใบด้านล่าง (ภาพ: ภูหินร่องกลา้ พิษณุโลก - PK)
ยาวประมาณ 5 มม. ยอดเกสรรปู โล่ ผลเปลอื กแขง็ รปู รี โคง้ งอเลก็ นอ้ ย ผนงั หนา
ผิวขรขุ ระ มี 2 เมลด็ ล้นิ มังกร

พบทีอ่ นิ เดยี บงั กลาเทศ พม่า ลาว กมั พูชา คาบสมุทรมลายู และภาคใต้ของ Habenaria rhodocheila Hance
ไทยทีค่ ลองล�ำภรู า อ�ำเภอหว้ ยยอด จังหวดั ตรงั อนั เป็นทีม่ าของชอ่ื ไทย ข้นึ ตาม วงศ์ Orchidaceae
ริมลำ� ธารในปา่ ดบิ ชน้ื ทเี่ ปน็ หินปูน ความสูง 100-200 เมตร
กล้วยไม้ดิน มหี ัวใต้ดนิ มี 2-7 ใบ เรยี งเวยี น รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว
สกุล Maniltoa Scheff. อยู่ภายใตว้ งศ์ย่อย Caesalpinioideae เผา่ Detarieae 4-24 ซม. ปลายแหลมหรอื มีต่งิ แหลม โคนใบแผ่เป็นกาบ แผน่ ใบบาง บางคร้งั มี
คล้ายกบั สกลุ มะคะ Cynometra แตม่ ีจ�ำ นวนเกสรเพศผู้มากกว่า มี 20-25 ชนิด จดุ สเี ขยี วอมเทากระจาย ใบประดบั 2-10 ใบ ตง้ั ข้นึ รปู ใบหอก ยาวได้ถงึ 8 ซม.
พบในเอเชยี เขตรอ้ น ออสเตรเลีย และหมเู่ กาะแปซิฟิก พบมากในนิวกนิ ี ใน ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกที่ปลายยอด ยาว 7-18 ซม. มีได้ถึง 20 ดอก แกนชอ่ ยาว
ไทยมชี นดิ เดยี ว ชอื่ สกุลมาจากภาษามาเลเซยี หรือปาปวั ทีใ่ ชเ้ รียกพชื ในสกุลนี้ 1-6 ซม. ใบประดับย่อยรปู ใบหอก ยาว 1.5-2.2 ซม. ดอกสีแดง เหลอื ง ส้ม และชมพู
เอกสารอ้างอิง กลบี เลยี้ งสเี ขยี วอ่อน รูปรี กลีบบนยาว 0.6-1.5 ซม. กลีบคขู่ ้างยาว 0.8-1.3 ซม.
Larsen, K. (1993). Maniltoa Scheffer (Leguminosae-Caesalpinioideae). A genus โคนเชอื่ มตดิ กบั กลบี ปาก กลบี ดอกคลา้ ยถงุ ตดิ กบั กลบี เลยี้ งบน รปู รี ยาว 0.6-1.3 ซม.
มเี สน้ กลบี 1 เสน้ กลีบปากจัก 3 พู กวา้ ง 1.2-2.3 ซม. ยาว 1.6-2.7 ซม. มีก้านกลบี
new to Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 20: 91-95. พขู า้ งแผอ่ อกคลา้ ยพัด พกู ลางรูปชอ้ น ยาวกว่าพูด้านข้าง ปลายแฉกลึก 2 พู
เดือยรปู ทรงกระบอก ยาว 3-5 ซม. เส้าเกสรยาว 3-5 มม. อับเรณูเปน็ รอ่ ง ยาว 4-8 มม.
ลำ� ภรู า: ใบประกอบแบบขนนกแบบปลายคู่ มี 2-3 คู่ ไร้ก้าน ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกสั้น ๆ ตามซอกใบ กลบี เลี้ยง มจี ะงอย กา้ นดอกรวมรังไข่ ยาว 2-3 ซม. ฝกั แหง้ แตก รูปกระสวย ยาว 2.8-3.8 ซม.
และกลบี ดอกพับงอกลบั เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก ผลผนังหนา ผวิ ขรุขระ (ภาพ ห้วยยอด ตรัง - RP)
พบท่ีพม่า จีนตอนใต้ ไห่หนาน ภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู และ
ล้ินกุรัม ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ในสภาพปา่ หลายประเภท และปา่ สน โดยเฉพาะ
บนกอ้ นหนิ รมิ ลำ� ธาร และลานหนิ ทราย ความสงู ถงึ ประมาณ 1300 เมตร มคี วาม
Pyrrosia lingua (Thunb.) Farw. var. heteractis (Mett. ex Kuhn) ผนั แปรสงู ทง้ั รูปรา่ งและสีของดอก แยกเปน็ subsp. philippinensis (Ames)
Hovenkamp Christenson เป็นพชื ถ่ินเดียวของฟิลปิ ปินส์ ส่วน subsp. rhodocheila อาจ
แยกเปน็ หลายชนิด
วงศ์ Polypodiaceae
สกุล Habenaria Willd. เปน็ กล้วยไม้ดนิ อยภู่ ายใตว้ งศย์ อ่ ย Orchidoideae เผา่
ชื่อพอ้ ง Polypodium heteractis Mett. ex Kuhn, Pyrrosia eberhardtii (Christ) Ching Orchideae มีประมาณ 600 ชนดิ ในไทยมี 45 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษาละติน
“habena” หมายถงึ สายหนงั หรอื สายรัด ตามลกั ษณะของเดือยท่ยี าว
เฟนิ เกาะองิ อาศยั หรอื ขน้ึ บนหนิ เหงา้ ทอดเลอื้ ยยาว เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 2-3.5 มม. เอกสารอ้างองิ
เกล็ดยาวไดถ้ ึง 7 มม. โคนและสว่ นกลางเกล็ดสดี ำ� ขอบสีนำ้� ตาล ช่วงปลายมี Chen, X. and P.J. Cribb. (2009). Orchidaceae (Habenaria). In Flora of China
ขนยาวมว้ นงอ ใบสรา้ งสปอรแ์ ละไมส่ รา้ งสปอรค์ ลา้ ยกนั เรยี บ รปู รถี งึ รปู ใบหอก
หรอื แกมรปู ไข่ กว้าง 2-7 ซม. ยาว 5-22 ซม. ปลายมนหรือแหลมยาว โคนรปู ล่ิม Vol. 25: 144, 157.
Kurzweil, H. (2011). Orchidaceae (Habenaria). In Flora of Thailand Vol. 12(1):

134-136.

382

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย ลุงขน

ล้ินมงั กร: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ กลีบปากจัก 3 พู พูกลางรปู ช้อน ปลายแฉกลึก 2 พู เดือยรปู ทรงกระบอก ลเิ ภาใหญ่
(ภาพดอกสแี ดง: เขานัน นครศรธี รรมราช - NT; ภาพดอกสีเหลืองอมสม้ : ภเู ขียว ชัยภมู ิ - SSi)
Lygodium salicifolium C. Presl
ลเิ ภา, สกลุ เฟินข้นึ บนพนื้ ดนิ เลอ้ื ยยาวได้ถงึ 10 ม. หรือยาวกว่าน้ี เหง้าทอดนอน มีขน

Lygodium Sw. สนี ้ำ� ตาล ใบประกอบ 2-3 ชนั้ กา้ นใบมคี รีบแคบ ๆ มขี นประปราย ปลายแยก
วงศ์ Lygodiaceae สองครงั้ แกนกลางใบประกอบแรกยาว 2-4 มม. ปลายงนั มขี นสนี ำ้� ตาล แกนกลาง
ใบประกอบชัน้ ทีส่ องแยกเป็นใบประกอบยอ่ ย กวา้ ง 4-26 ซม. ยาว 10-28 ซม.
เฟินขึ้นบนพน้ื ดิน ลำ� ต้นแตกแขนง ยาวได้หลายเมตร ใบประกอบ 2-3 ช้ัน โคนแกนใบประกอบมขี ้อ มีใบย่อย 3-6 คู่ ยาวเท่า ๆ กนั รูปขอบขนานแกม
หรอื หลายชน้ั เรยี งเวยี น แกนเลอื้ ยพนั หรอื คลมุ ตน้ ไมอ้ นื่ ใบประกอบยอ่ ยคลา้ ย รูปใบหอก ยาว 4.5-10 ซม. ปลายแหลมยาว โคนคล้ายเงยี่ งรูปใบหอก ขอบจักซีฟ่ นั
แยก 2 งา่ ม ใบยอ่ ยเรียบ รูปฝา่ มือ หรอื จกั เปน็ พูคลา้ ยใบประกอบ ใบสรา้ งสปอร์ แผน่ ใบบาง กา้ นใบยอ่ ยยาว 1-7 มม. โคนกา้ นมขี อ้ เสน้ แขนงใบแยกเปน็ คู่ อบั สปอร์
คลา้ ยใบไม่สร้างสปอร์ สว่ นมากอยู่ช่วงปลายกงิ่ บางคร้งั ยอ่ ส่วนลง เสน้ ใบแยก เรียงเป็นกลมุ่ กว้างประมาณ 1 มม. ยาว 2-7 มม.
หรอื เรยี งจรดกนั กล่มุ อบั สปอรต์ ิดตามขอบจักด้านล่างของแผน่ ใบ มีเย่อื คลุม
พบที่อินเดีย ภฏู าน เนปาล จนี ตอนใต้ ไหห่ นาน ไต้หวัน พมา่ ภูมิภาคอนิ โดจนี
สกุล Lygodium เคยอย่ภู ายใตว้ งศ์ Schizaeaceae มีประมาณ 40 ชนดิ พบใน และมาเลเซยี ฟลิ ิปปนิ ส์ นิวกินี และไมโครนีเซีย ในไทยพบทุกภาค ขนึ้ ตามชายปา่
เขตร้อน ทั้งอเมริกา แอฟรกิ า เอเชีย ออสเตรเลยี และหมู่เกาะแปซฟิ กิ ในไทยมี ท่โี ลง่ ที่ลาดชัน ความสูงถงึ ประมาณ 800 เมตร
7 ชนดิ ชื่อสกลุ มาจากภาษากรกี “lygodes” คลา้ ยต้นหลวิ เล้อื ยพนั ตามลักษณะ
ล�ำ ตน้ หลายชนดิ ลำ�ต้นและแกนกลางใบเหนยี ว ใช้ทำ�เครื่องจักสาน เอกสารอา้ งอิง
Lindsay, S. and D.J. Middleton. (2012 onwards). Ferns of Thailand, Laos and
ลเิ ภายุ่ง Cambodia. http://rbg-web2.rbge.org.uk/thaiferns/
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. (1979). Polypodiaceae. In Flora of Thailand 3(1): 59-67.
Lygodium microphyllum (Cav.) R. Br. Xianchun, Z. and J.G. Hanks. (2013). Lygodiaceae. In Flora of China Vol. 2-3:
118-121.
ชื่อพอ้ ง Ugena microphylla Cav.
ลเิ ภายงุ่ : เฟินเล้ือยพนั หรอื คลุมพชื อ่ืน ใบประกอบ 3 ช้ัน ใบยอ่ ยโคนตัดหรือเว้าต้นื เป็นต่งิ มน กลมุ่ อบั สปอร์เกิดที่
เฟินขึ้นบนพืน้ ดนิ เลอื้ ยยาว 10-15 ม. เหงา้ ทอดนอน เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 2-3 มม. ขอบใบ (ภาพ: พรุโตะ๊ แดง นราธิวาส - PC)
มขี นสนี ำ้� ตาลดำ� หรอื แดงตามเหงา้ และโคนกา้ นใบ ใบประกอบ 3 ชนั้ แกนกลาง
ใบประกอบยาว 5-10 ซม. มคี รบี เปน็ ปกี แคบ ๆ กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 10 ซม. ใบประกอบ ลเิ ภาหางไก:่ เฟนิ เลื้อยพนั ตน้ ไม้ ใบยอ่ ยแฉกลึกรปู ฝ่ามือ กล่มุ อบั สปอร์เกิดทขี่ อบใบ (ภาพ: ทะเลบนั สตลู - TP)
ย่อยยาว 5-8 ซม. เรียงห่าง ๆ กนั กา้ นยาว 3-6 มม. มใี บย่อยขา้ งละ 3-7 ใบ เรยี งสลับ
กา้ นใบยอ่ ยยาว 2-4 มม. ใบยอ่ ยทไ่ี มส่ รา้ งสปอรร์ ปู สามเหลย่ี ม หรอื จกั เวา้ 2-3 แฉก ลเิ ภาใหญ่: ใบประกอบ 2-3 ช้ัน มีใบยอ่ ย 3-6 คู่ ยาวเท่า ๆ กนั รปู ขอบขนานแกมรปู ใบหอก อบั สปอรเ์ รียงเปน็ กลุม่
ยาว 1.5-3 ซม. กว้าง 1-2 ซม. ปลายมนกลม โคนตัดหรอื เวา้ ต้ืนเปน็ ตงิ่ มน เส้นใบ (ภาพวิสยั : กยุ บรุ ี ประจวบครี ีขนั ธ์ - SSa; ภาพใบประกอบยอ่ ยและกลุ่มอบั สปอร:์ แกง่ กระจาน เพชรบุรี - PK)
แตกเป็นง่าม ใบย่อยสร้างสปอร์ขนาดเล็กและแคบกว่าเล็กน้อย กลุ่มอับสปอร์
เกิดที่ขอบใบ ลงุ ขน

พบในเอเชยี แอฟรกิ า ออสเตรเลยี อเมรกิ าเหนอื และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทย Ficus drupacea Thunb.
พบทุกภาค ขึ้นตามลุ่มนำ�้ ขงั ชายปา่ ขอบปา่ พรุ ความสงู ระดบั ตำ่� ๆ นำ�้ ค้นั จาก วงศ์ Moraceae
ตน้ มีสรรพคุณแก้อาการอักเสบภายใน และทอ้ งเสยี
ไมต้ น้ ข้นึ บนพื้นดนิ หรือกึ่งอาศยั สงู ไดถ้ ึง 25 ม. หรือสูงกว่าน้ี มีขนส้นั นมุ่ สี
ลเิ ภาหางไก่ น้ำ� ตาลแดงหรอื เกลี้ยงตามกง่ิ หใู บ แผน่ ใบทงั้ สองด้าน กา้ นใบ และผล ก่ิงมี
ชอ่ งอากาศกระจาย หใู บยาว 1-2 ซม. รว่ งเรว็ ใบรปู รี รปู ไขก่ ลบั หรอื รปู ขอบขนาน
Lygodium circinnatum (Burm. f.) Sw. ยาว 7-35 ซม. ปลายแหลมเป็นติ่งสัน้ ๆ โคนมน กลม หรอื เวา้ ตนื้ แผน่ ใบหนา
เส้นแขนงใบขา้ งละ 6-14 เสน้ มีต่อมไขที่โคนเสน้ กลางใบ ก้านใบยาว 1-4.5 ซม.
ช่อื พ้อง Ophioglossum circinatum Burm. f. กลีบรวมสขี าวหรอื อมชมพูอยู่ภายในฐานดอกทข่ี ยายใหญ่และอวบน้�ำ ออกเป็นคู่

เฟินข้นึ บนพื้นดิน เลื้อยยาวไดถ้ งึ 10 ม. ปลายเป็นปกี แคบ ๆ เหงา้ ส้ัน มีขนสีด�ำ
หนาแน่น ใบประกอบ 3 ชน้ั แกนกลางใบประกอบสัน้ ก้านใบยาว 40-50 ซม.
โคนก้านใบมขี นสดี ำ� แกนกลางใบประกอบยอ่ ยยาว 2-6 ซม. ใบยอ่ ยแฉกลึกรปู
ฝ่ามือ 2-7 พู กว้าง 2-3 ซม. ยาว 20-25 ซม. ปลายแหลม โคนรูปลมิ่ หรอื รูปล่มิ กวา้ ง
ขอบจกั เปน็ คลนื่ เลก็ นอ้ ย หนา เสน้ ใบแตกเปน็ งา่ ม มขี นประปราย ใบสรา้ งสปอรแ์ คบ
กลมุ่ อบั สปอรเ์ กิดทีข่ อบใบ ยาว 2-5 มม.

พบท่ีอินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์
ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซฟิ ิก ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ และภาคใต้
ขึน้ ตามปา่ ดิบชน้ื ชายป่าดิบช้ืน และชายป่าพรุ ความสงู ถึงประมาณ 1500 เมตร

383

ลกู หวั นก สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

หรอื เดย่ี ว ๆ ตามซอกใบ รูปรกี วา้ ง หรือรปู ขอบขนาน เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 1-2.5 ซม. เล็บนาง
สกุ สเี หลอื งหรอื แดงอมสม้ เกลยี้ งหรอื มขี น ไรก้ า้ นหรอื มกี า้ นสน้ั มาก โคนมใี บประดบั
2-3 ใบ รปู คร่ึงวงกลม ยาว 0.5-3 มม. ติดทน รูเปดิ กว้าง 2-3 มม. ขอบมีรอยจัก Aegiceras corniculatum (L.) Blanco
มใี บประดบั 3 ใบ หนา (ดูข้อมูลเพ่ิมเตมิ ท่ี ไทร, สกุล) วงศ์ Primulaceae

พบทศ่ี รลี งั กา อินเดยี เนปาล ภูฏาน จีนตอนใต้ พมา่ ภูมิภาคอินโดจีนและ ชือ่ พ้อง Rhizophora corniculata L.
มาเลเซีย ฟิลปิ ปินส์ นวิ กนิ ี หมเู่ กาะโซโลมอน และออสเตรเลีย ในไทยพบทุกภาค
ขน้ึ ตามปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดิบแลง้ และปา่ ดิบชนื้ ความสงู ถงึ ประมาณ 800 เมตร ไม้พุ่ม สงู ได้ถงึ 4 ม. แตกก่งิ หนาแนน่ ใบเรยี งเวยี น รูปรหี รือรปู ไข่กลับ ยาว
อยู่ภายใต้ สกลุ ยอ่ ย Urostigma 3-10 ซม. ปลายกลมหรอื เว้าตนื้ โคนรูปลิม่ แผน่ ใบมรี ูขนาดเลก็ กระจาย ก้านใบยาว
0.5-1 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ ซร่ี ม่ ออกตรงขา้ มหรอื ตามซอกใบ ไรก้ า้ นหรอื กา้ นชอ่
เอกสารอา้ งอิง สน้ั มาก ใบประดบั ขนาดเลก็ รว่ งเรว็ กา้ นดอกยาวประมาณ 1 ซม. กลบี เลยี้ ง 5 กลบี
Berg, C.C., N. Pattharahirantricin and B. Chantarasuwan. (2011). Moraceae in แยกจรดโคน หนา รปู รี ปลายกลม ยาว 5-6 มม. บิดเวียนด้านซ้าย ติดทน โคนมตี อ่ ม
Flora of Thailand Vol. 10(4): 618-619. สีด�ำ ดอกรูประฆงั สีขาว หลอดกลีบดอกยาว 3-4 มม. ด้านในมขี นยาว มี 5 กลีบ
Wu, Z., Z.K. Zhou and M.G. Gilbert. (2003). Moraceae. In Flora of China Vol. 5: 42. เรยี งเวยี นทบั ดา้ นขวาในตาดอก รปู ขอบขนานแกมรปู ไข่ ยาว 5-6.5 มม. พบั งอกลบั
เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ใกลโ้ คนหลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณยู าว 6-9 มม. โคนดา้ นนอก
ลุงขน: ฐานดอกทีข่ ยายใหญ่และอวบน้�ำ ออกเป็นคหู่ รือเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ รูปขอบขนาน ไร้ก้าน สกุ สเี หลืองหรือ มขี นยาว ยน่ื พน้ ปากหลอดกลบี อบั เรณตู ดิ ดา้ นหลงั ผนงั กนั้ ตามขวาง รงั ไขร่ ปู กระสวย
แดงอมส้ม (ภาพ: ปากแม่นำ้� สงคราม นครพนม - RP) เรียวเป็นก้านเกสรเพศเมีย ยาว 6-8 มม. โคนมตี อ่ มสีดำ� รงั ไขม่ ชี อ่ งเดียว ออวุล
จำ� นวนมาก พลาเซนตารอบแกนรปู กลม ผลแหง้ แตก โคง้ งอคลา้ ยเขา ยาว 5-8 ซม.
ลูกหัวนก
พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา จนี ตอนใตร้ วมไหห่ นาน เวยี ดนาม ภมู ภิ าคมาเลเซยี และ
Diospyros confertiflora (Hiern) Bakh. ออสเตรเลยี ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ เปน็ ไมใ้ นปา่ โกงกาง
วงศ์ Ebenaceae
สกลุ Aegiceras Gaertn. เคยอย่ภู ายใต้วงศ์ Myrsinaceae มเี พียง 2 ชนิด อกี ชนดิ
ชือ่ พ้อง Maba confertiflora Hiern คือ A. floridum Roem. & Schult. พบทีเ่ วยี ดนามตอนใต้ ภมู ิภาคมาเลเซีย และ
ฟิลปิ ปินส์ ชือ่ สกุลมาจากภาษากรกี “aigos” แพะ และ “keras” เขา ตามลกั ษณะผล
ไมต้ น้ สงู ได้ถึง 20 ม. ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู รี ยาว 4-11 ซม. ปลายแหลมยาว เอกสารอา้ งองิ
โคนเบี้ยว แผน่ ใบเกลีย้ ง เสน้ แขนงใบขา้ งละ 8-10 เสน้ เรยี งจรดกนั ใกล้ขอบใบ Chen, J. and J.J. Pipoly. (1996). Myrsinaceae. In Flora of China Vol. 15: 9.
ก้านใบยาว 3-5 มม. ดอกเพศผ้เู กือบไร้กา้ น ออกเปน็ ช่อกระจุกสั้น ๆ มี 3-12 ดอก Larsen, K. (1996). Myrsinaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(2): 176-178.
กลบี เลย้ี งและกลีบดอกจำ� นวนอย่างละ 3 กลีบ กลีบเล้ยี งรปู ระฆัง ปลายแฉกลกึ
เกือบจรดโคน ยาว 2-3 มม. ดา้ นนอกมขี น ดอกรูปคนโท ยาว 4-7 มม. กลบี แฉกลกึ เลบ็ นาง: ปลายใบกลมหรอื เวา้ ต้นื ชอ่ ดอกแบบช่อซ่รี ่ม กลีบเลย้ี งบดิ เวียนด้านซา้ ย ตดิ ทน กลีบดอกเรียงเวยี นทับ
ประมาณกงึ่ หนงึ่ ดา้ นนอกมขี นคลา้ ยขนแกะ เกสรเพศผู้ 9-12 อนั รงั ไขท่ ไี่ มเ่ จรญิ ด้านขวาในตาดอก ดอกบานพบั งอกลับ (ภาพดอก: ตะรเุ ตา สตูล - PK; ภาพผล: ขนอม นครศรธี รรมราช - SR)
เกลยี้ ง ดอกเพศเมยี ก้านดอกยาว 1-2 มม. มขี นสั้นน่มุ รงั ไข่มี 6 ช่อง เกสรเพศผู้
ทีเ่ ปน็ หมนั มี 3-6 อัน เกล้ยี ง ผลรปู รี เบยี้ ว ปลายเปน็ ตง่ิ แหลม ยาว 2-2.5 ซม. แลนบาน
กลบี เลยี้ งแยกจรดโคน พบั งอกลบั กา้ นผลยาวประมาณ 3 มม. เอนโดสเปริ ม์ เรยี บ
(ดูข้อมลู เพ่มิ เติมท่ี มะเกลอื , สกุล) Canarium denticulatum Blume
วงศ์ Burseraceae
พบทีค่ าบสมทุ รมลายู สุมาตรา และบอร์เนยี ว ในไทยพบกระจายห่าง ๆ ทาง
ภาคใตต้ อนล่างทส่ี งขลา นราธิวาส ขน้ึ ตามป่าดิบชืน้ ความสูงถึงประมาณ 400 เมตร ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 40 ม. เปลือกแตกเป็นแผน่ บางขนาดใหญ่ มยี างใส หใู บจักซ่ีหวี
หา่ ง ๆ ตดิ ทน ใบประกอบ มใี บยอ่ ย 2-6 คู่ ยาวไดถ้ ึง 45 ซม. ใบรปู ไขห่ รือแกม
เอกสารอ้างองิ รปู ขอบขนาน ยาว 8-20 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเบย้ี ว ขอบเรยี บหรอื จกั ไมช่ ดั เจน
Ng, Francis S.P. (2002). Ebenaceae. In Tree Flora of Sabah and Sarawak. Vol. แผ่นใบเกล้ียงหรือมีขนประปรายตามเส้นแขนงใบด้านล่าง เส้นแขนงใบข้างละ
4: 49-50. 10-16 เส้น ช่อดอกเพศผูย้ าว 15-25 ซม. ชอ่ ดอกเพศเมยี ยาว 6-13 ซม. กา้ นดอก
Phengklai, C. (1981). Ebenaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 292. ยาวประมาณ 3 มม. กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกจ�ำนวนอยา่ งละ 3 กลบี กลบี เลย้ี งยาว
3-4 มม. ในดอกเพศเมยี ยาวกวา่ เลก็ นอ้ ย ขยายในผล ดอกสคี รมี กลบี ยาวประมาณ
ลกู หวั นก: ใบเดยี่ วเรียงสลับระนาบเดียว โคนเบ้ยี ว แผน่ ใบเกลีย้ ง ผลรูปรี เบ้ียว ปลายเปน็ ติ่งแหลม กลบี เล้ียงแยก 5 มม. ในดอกเพศเมยี ยาวประมาณ 7 มม. เกสรเพศผตู้ ดิ บนจานฐานดอก จานฐานดอก
จรดโคน พบั งอกลับ (ภาพ: สุคริ นิ นราธิวาส - RP) พฒั นาชดั เจนในดอกเพศเมยี ผลรปู รี เกลยี้ ง ยาว 2.5-3 ซม. สกุ สดี �ำ ไพรนี รปู รแี กม
สามเหลยี่ ม เปลอื กแขง็ มี 1-2 ชอ่ งทพี่ ฒั นา (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ที่ มะกอกเกลอื้ น, สกลุ )

พบทพ่ี มา่ คาบสมทุ รมลายู บอรเ์ นยี ว สุมาตรา ชวา ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และภาคใตข้ องไทย
ขึ้นตามปา่ ดบิ ชืน้ ส่วนมากพบท่คี วามสงู 100-200 เมตร

เอกสารอา้ งอิง
Pooma, R. (1999). A preliminary account of Burseraceae in Thailand. Thai Forest
Bulletin (Botany) 27: 64.

384

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย โลดทะนงเหลอื ง

แลนบาน: หใู บจกั ซ่หี วี ใบประกอบ ขอบใบเรยี บหรือจกั ไม่ชดั เจน ชอ่ ดอกเพศผู้ กลบี ดอก 3 กลีบ ผลเกล้ยี ง สุกสดี ำ� พบทพี่ มา่ เวยี ดนาม คาบสมทุ รมลายู บอรเ์ นยี ว สมุ าตรา และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทย
(ภาพ: ชมุ พร - RP) พบทางภาคใตท้ ร่ี ะนอง สรุ าษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช นราธวิ าส สตลู ขน้ึ ใตร้ ม่ เงา
ในป่าดิบชื้น และปา่ ดิบเขา ความสูงถงึ ประมาณ 1300 เมตร
โลดทะนง, สกุล
โลดทะนงใบขน
Trigonostemon Blume
วงศ์ Euphorbiaceae Trigonostemon flavidus Gagnep.

ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ ขนาดเลก็ แยกเพศรว่ มตน้ หใู บขนาดเลก็ รว่ งเรว็ ใบเรยี งเวยี น ชื่อพ้อง Trigonostemon heterophyllus Merr.
สว่ นมากเรยี งหนาแนน่ ชว่ งปลายกงิ่ สว่ นใหญม่ เี สน้ โคนใบขา้ งละ 1 เสน้ ชอ่ ดอก
คลา้ ยชอ่ กระจะ แบบชอ่ เชงิ ลด หรอื ชอ่ แยกแขนง กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกจำ� นวน ไม้พุ่ม สงู 1-2 ม. มีขนยาวสนี �ำ้ ตาลหนาแน่นตามก่ิง แผน่ ใบทั้งสองดา้ น ก้านใบ
อยา่ งละ 5 กลบี กลบี เลี้ยงเรียงซ้อนเหล่อื ม ยาวไม่เทา่ กนั ติดทน บางครั้งขยายในผล ชอ่ ดอก ใบประดบั กา้ นดอก กลบี เลยี้ งดา้ นนอก รงั ไข่ และผล ใบรปู ใบหอกกลบั
เกสรเพศผู้ 3 หรอื 5 อนั เชื่อมตดิ กนั เปน็ เส้าเกสรสน้ั ๆ รังไขม่ ี 3 ชอ่ ง แต่ละช่อง ยาว 10-35 ซม. โคนเรยี วสอบ ปลายเวา้ ตน้ื ขอบเรยี บหรอื จกั ฟนั เลอ่ื ย กา้ นใบยาว
มอี อวลุ เมด็ เดยี ว ไมม่ ีท่เี ป็นหมันในดอกเพศผู้ ก้านเกสรเพศเมยี 3 อนั สั้นมาก 3-6 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ยาว 1-2.5 ซม. ใบประดับรูปใบหอก ยาว 1-2 ซม.
ผลแหง้ แตก จกั 3 พู เมล็ดกลมหรอื แกมรปู สามเหล่ยี ม ติดทน ดอกสแี ดงเลือดนก จานฐานดอกเป็นตอ่ ม 5 ต่อม ดอกเพศผูก้ ้านดอกส้ัน
กลีบเลยี้ งรปู ขอบขนาน ยาว 1.5-2.5 มม. กลบี ดอกรูปไข่กลบั ยาว 4-4.5 มม.
สกลุ Trigonostemon อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Crotonoideae เผา่ Trigonostemoneae เกสรเพศผู้ 3 อนั ดอกเพศเมยี ออกเด่ยี ว ๆ มีก้านสน้ั ๆ หรือตดิ บนปลายช่อดอก
มปี ระมาณ 95 ชนดิ พบในเอเชียเขตร้อน ออสเตรเลีย และหมเู่ กาะแปซฟิ ิก ที่ยาวได้ถึง 6 ซม. กลบี เลีย้ งรูปใบหอก ยาวประมาณ 5 มม. ขยายในผล กลีบดอก
ส่วนมากพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในไทยมี 14 ชนดิ ช่อื สกลุ มาจากภาษา รูปไขก่ ลบั ยาว 4.5-5 มม. ผลเส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 6 มม.
กรกี “trigonos” สามมุม และ “stemon” เกสรเพศผู้ ตามจ�ำ นวนเกสรเพศผู้ที่
สว่ นมากมี 3 อัน พบทไ่ี หห่ นาน พมา่ และลาว ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบน
ทบ่ี งึ กาฬ และภาคใตท้ ชี่ มุ พร ขนึ้ ตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู 100-400 เมตร
โลดทะนง
โลดทะนงเหลอื ง
Trigonostemon reidioides (Kurz) Craib
Trigonostemon thyrsoideus Stapf
ชื่อพอ้ ง Baliospermum reidioides Kurz ไมพ้ ุ่ม อาจสงู ไดถ้ งึ 6 ม. กิ่งอ่อนมีขนประปราย กิ่งแกม่ ีช่องอากาศประปราย

ไมพ้ มุ่ สูงได้ถึง 2 ม. รากอวบหนา มขี นส้ันนุม่ ตามก่ิง แผน่ ใบทงั้ สองด้าน ใบรูปรถี ึงรูปใบหอก ยาว 10-32 ซม. ปลายแหลม โคนมนหรอื กลม ขอบจักมน
กา้ นใบ ชอ่ ดอก กา้ นดอก กลบี เลยี้ งดา้ นนอก รงั ไข่ และผล ใบรปู ขอบขนานหรอื ก้านใบยาว 2.5-14 ซม. ปลายกา้ นมีตอ่ ม 2 ต่อม ดอกสีเหลือง จานฐานดอก
รปู ใบหอก ยาว 5.5-12 ซม. โคนมน ขอบเปน็ ต่อมคล้ายจกั ฟันเลอ่ื ย กา้ นใบยาว เปน็ ตอ่ ม 5 ตอ่ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกทป่ี ลายกง่ิ ยาวไดถ้ งึ 20 ซม.
0.8-2 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ยาว 9-14 ซม. ดอกสแี ดงเลอื ดนก จานฐานดอก แกนชอ่ เปน็ เหล่ยี ม มีขนละเอยี ด ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 2-5 มม. กลบี เล้ียงรูปไข่
รปู วงแหวน ดอกเพศผูก้ ้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบเล้ยี งรูปไข่กลับ ยาว 2-3 มม. ยาวประมาณ 1.5 มม. ดา้ นนอกมีขน กลบี ดอกรูปรี ยาว 3-3.5 มม. เกสรเพศผู้
กลีบดอกรูปขอบขนานแกมรูปไขก่ ลับ ยาว 4-5 มม. เกสรเพศผู้ 3 อนั ดอกเพศเมยี 5 อนั ดอกเพศเมยี คลา้ ยดอกเพศผู้ ขนาดใหญก่ วา่ เลก็ นอ้ ย กา้ นดอกยาว 3.5-4 มม.
ก้านดอกยาว 0.8-1.5 ซม. ขยายในผลยาว 1.5-3.5 ซม. กลบี เลยี้ งรูปขอบขนาน ขยายในผลยาว 2.5-4.2 ซม. ใบประดบั ขนาดเลก็ รงั ไขเ่ กลยี้ ง ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
ยาว 2-5 มม. กลีบดอกรูปไข่กลบั ยาว 4-5 มม. ผลเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. ประมาณ 1.5 ซม. ผิวมตี ่มุ คลา้ ยหนาม

พบท่ีภมู ิภาคอินโดจีน ในไทยพบแทบทกุ ภาคยกเวน้ ภาคใต้ ขึ้นตามปา่ เตง็ รงั พบทีจ่ นี ตอนใต้ พมา่ ลาว และเวียดนาม ในไทยพบทางภาคเหนือ ขึน้ ตาม
ปา่ เบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือท่โี ล่งแห้งแลง้ ความสงู ถึงประมาณ 1100 เมตร ป่าดบิ แลง้ ริมลำ� ธารหรือปา่ สนเขา ความสูง 350-1500 เมตร
รากมีฤทธทิ์ ำ� ใหอ้ าเจยี นสำ� หรับบรรเทาอาการโรคหืด
เอกสารอ้างอิง
โลดทะนงเขา Chantaranothai, P. (2007). Euphorbiaceae (Trigonostemon). In Flora of Thailand
Vol. 8(2): 573-585.
Trigonostemon laevigatus Müll. Arg. Li, B. and M.G. Gilbert. (2008). Euphorbiaceae (Trigonostemon). In Flora of
ไมพ้ มุ่ อาจสงู ไดถ้ งึ 5 ม. กงิ่ ออ่ นมขี นประปราย กง่ิ แกม่ ชี อ่ งอากาศ ใบรปู ขอบขนาน China Vol. 11: 272-274.

รปู ใบหอก หรอื แกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 8.5-24 ซม. ปลายแหลมยาว โคนมนหรอื เรยี วสอบ โลดทะนง: ดอกสีแดงเลือดนก จานฐานดอกรูปวงแหวน ก้านเกสรเพศเมยี 3 อัน รังไข่และผลมขี นสนั้ นุ่ม ผลจกั 3 พู
เปน็ กา้ นใบ ขอบเรียบ ก้านใบยาว 0.3-1.5 ซม. ดอกสเี หลอื ง โคนมปี ืน้ สีแดง กลีบเลย้ี งตดิ ทน (ภาพดอก: นครพนม - PK; ภาพผล: หนองคาย - RP)
จานฐานดอกรปู วงแหวน ดอกเพศผอู้ อกเปน็ กระจกุ ตามกง่ิ กา้ นดอกยาว 2-3 มม.
กลีบเล้ียงรปู ไข่ ยาว 1.3-1.5 มม. กลบี ดอกรูปไข่ ยาวประมาณ 3 มม. เกสรเพศผู้ โลดทะนงเขา: ดอกเพศผอู้ อกเปน็ กระจกุ ตามกิ่ง ดอกสีเหลือง โคนมปี ้นื สีแดง ดอกเพศเมียออกเป็นช่อกระจะ ใบประดับ
3 อนั ดอกเพศเมียออกเดย่ี ว ๆ หรือเปน็ ชอ่ กระจะ ยาว 4-4.5 ซม. ใบประดบั คล้ายใบ คล้ายใบ (ภาพ: เขาสก สรุ าษฎร์ธานี - PK)
กา้ นดอกยาว 1.5-2 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 1.5 มม. กลีบดอกรูปรี
ยาว 1.5-2 มม. ผลเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-7 มม. 385

วา่ นกะบกุ หนิ สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

โลดทะนงใบขน: มีขนยาวหนาแนน่ ตามก่งิ ใบ ชอ่ ดอก ใบประดับ และผล ดอกสีแดงเลือดนก ดอกเพศผู้กา้ นดอกส้ัน วา่ นกบี แรด
ผลบางคร้ังติดทีป่ ลายช่อ (ภาพดอก: นำ�้ ตกกะเปาะ ชุมพร, ภาพผล: หนองคาย; - RP)
Angiopteris evecta (G. Forst.) Hoffm.
โลดทะนงเหลือง: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกท่ีปลายก่งิ แกนชอ่ เปน็ เหลย่ี ม ดอกสเี หลอื ง ผลผิวมีตมุ่ วงศ์ Marattiaceae
คล้ายหนาม (ภาพ: นำ�้ ตกพาเจริญ ตาก - RP)
ช่อื พอ้ ง Polypodium evectum G. Forst.
ว่านกะบุกหิน
เฟนิ ขน้ึ บนพ้นื ดนิ เหง้าสัน้ ตงั้ ตรงขนาดใหญ่ ใบประกอบ 2 ช้ัน ยาว 2-5 ม.
Arisaema fimbriatum Mast. ก้านใบยาว 1-1.5 ม. โคนกา้ นบวม มีหใู บสีน้ำ� ตาลขนาดใหญ่ 1 คู่ กา้ นใบและ
วงศ์ Araceae แกนใบประกอบมรี อยขดี สขี าวสน้ั ๆ มขี นและเกลด็ สนี ำ�้ ตาลประปราย แผน่ ใบกวา้ ง
ไดถ้ ึง 2 ม. ยาว 2-3 ม. ใบประกอบย่อยกว้าง 18-30 ซม. ยาว 15-80 ซม. ใบย่อย
ไม้ลม้ ลกุ ทิ้งใบ มีหัวใตด้ ิน เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 3-5 ซม. ล�ำต้นสงู 25-30 ซม. มี 15-30 คู่ โคนแกนใบประกอบบวม ใบยอ่ ยรูปขอบขนานหรือรปู ใบหอก กวา้ ง
ลำ� ต้น ก้านใบ กา้ นช่อดอก และกาบ สเี ขียวออ่ นอมชมพูหรอื มว่ งอมแดง มีปืน้ 1.5-4.5 ซม. ยาว 11-25 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือเว้าตืน้ เบย้ี ว
สีขาวแซม ใบประกอบมี 3 ใบยอ่ ย มี 1-2 ใบ กา้ นยาว 20-25 ซม. ใบย่อยรูปไข่ ขอบใบจกั มนหรอื จกั ฟนั เลอ่ื ย กา้ นใบยอ่ ยบวม ยาว 3-8 มม. แผน่ ใบหนา มเี กลด็
ยาว 20-25 ซม. ปลายแหลมยาว ก้านใบสั้นหรือยาวประมาณ 5 มม. ชอ่ ดอกแบบ สนี ้�ำตาล เสน้ แขนงใบแยกสาขาเปน็ คู่ กลมุ่ อับสปอรอ์ ยู่ห่างจากขอบใบประมาณ
ช่อเชิงลดมีกาบ ก้านชอ่ ยาว 20-30 ซม. ชว่ งโคนเป็นหลอดกาบรูปทรงกระบอก 1 มม. สนี ำ้� ตาล รปู รี มี 7-12 อบั สปอรผ์ นงั เชอ่ื มตดิ กนั (eusporangium) ไมม่ ี
ยาว 6-7 ซม. กาบรปู ใบหอกแกมรูปไข่ ยาว 7-10 ซม. ปลายแหลมยาว พบั งอกลับ เยอื่ คลุมกลุ่มอบั สปอร์
ชอ่ ดอกรปู ทรงกระบอก ยาว 8-15 ซม. ยนื่ เลยกาบ ไรก้ า้ นชอ่ ปลายมรี ยางคเ์ รยี วยาว
คลา้ ยหางสมี ว่ งอมแดง หอ้ ยลง มขี นแขง็ ยาว ชว่ งดอกเพศผหู้ รอื ดอกสมบรู ณเ์ พศ พบทไี่ ตห้ วนั ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ นวิ กนิ ี ออสเตรเลยี และ
ยาว 2-3 ซม. ดอกเพศผู้เรยี งห่าง ๆ กลุ่มละ 2-4 ดอก ก้านชูอับเรณูสั้นมาก เชื่อมติดกัน หมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามทช่ี มุ่ ชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 1200 เมตร
ดอกเพศเมยี รงั ไข่รูปขวด กา้ นเกสรเพศเมียสน้ั ยอดเกสรคลา้ ยแปรง ตดิ ทน ผลสด เหง้ามีสรรพคุณตา้ นเชอ้ื แบคทเี รีย เชอ้ื รา ระงับปวด และมีฤทธติ์ า้ นอนมุ ูลอสิ ระ
รปู คล้ายปริซมึ ยาวประมาณ 1 ซม. สุกสีแดง มี 4 เมล็ด
สกุล Angiopteris Hoffm. เคยอยูภ่ ายใต้วงศ์ Dryopteridaceae หรือ Woodsiaceae
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู และภาคใตข้ องไทย ทก่ี ระบี่ พงั งา ตรงั สงขลา ขนึ้ ตาม มี 30-40 ชนดิ พบทีม่ าดากัสการ์ เอเชียเขตรอ้ น และหมู่เกาะแปซิฟกิ ในไทยมี
ป่าดิบช้นื ทเ่ี ป็นหินปนู ความสงู 100-300 เมตร แยกเปน็ subsp. bakerianum 2 ชนิด อีกชนดิ คอื A. angustifolia C. Presl พบทนี่ ราธวิ าส เปน็ กล่มุ เฟนิ ที่มกี าร
(Engl.) Gusman ใบประกอบส่วนมากมีใบเดียว หลอดกาบสีเขียวอ่อน กาบสี เกบ็ ตวั อย่างนอ้ ยเนือ่ งจากมขี นาดใหญ่ หรอื ไดต้ ัวอย่างทไ่ี ม่สมบรู ณ์
แดงอมม่วง ไม่มปี ื้นขาวแซม เปน็ พชื ถิ่นเดียวของไทย พบทก่ี ระบ่ี พงั งา ขึน้ บน เอกสารอา้ งองิ
เขาหนิ ปูนตามเกาะ Lindsay, S. and D.J. Middleton. (2012 onwards). Ferns of Thailand, Laos and

สกุล Arisaema Mart. มปี ระมาณ 200 ชนิด พบในเขตรอ้ นและก่งึ เขตร้อน ในไทย Cambodia. http://rbg-web2.rbge.org.uk/thaiferns/
มี 18 ชนดิ อน่ึง สกลุ Arisaema มที ั้งแยกเพศรว่ มตน้ หรือตา่ งตน้ ท่มี ีการเปลี่ยนเพศ Tagawa, M. and K. Iwatsuki. (1979). Marattiaceae. In Flora of Thailand 3(1): 41.
ไปมาในแต่ละปี (paradioecious) ชือ่ สกลุ มาจากภาษากรีก “aris” หรือ “aron” Zhaorong, H. and M.J.M. Christenhusz. (2013). Marattiaceae. In Flora of China
พชื สกลุ Arum และ “haima” เลอื ด เนอ่ื งจากมคี วามสมั พันธใ์ กลช้ ิดกบั สกลุ Arum
เอกสารอ้างอิง Vol. 2-3: 82, 86.
Gusman, G. (2012). Araceae (Arisaema). In Flora of Thailand Vol. 11(2): 199-212.
วา่ นกบี แรด: เฟนิ ขนาดใหญ่ ชอบขนึ้ รมิ นำ้� โคนก้านใบประกอบและกา้ นใบยอ่ ยบวม กลมุ่ อบั สปอรเ์ รยี งใกล้ขอบใบ
ว่านกะบกุ หิน: ใบประกอบมี 3 ใบยอ่ ย โคนเป็นหลอดกาบรูปทรงกระบอก กาบพับงอกลับ ปลายช่อมรี ยางค์เรียวยาว (ภาพ: แกง่ กระจาน เพชรบุรี - PK)
คล้ายหางสีม่วงอมแดง หอ้ ยลง มขี นแขง็ ยาวปกคลมุ ผลสดรูปคล้ายปริซมึ (ภาพ: ถ�้ำอิโส ตรัง - RP)
วา่ นไกแ่ ดง, สกุล
386
Aeschynanthus Jack
วงศ์ Gesneriaceae

ไม้พุ่มหรือไม้เถา อิงอาศัย ใบเรียงตรงข้ามหรือเรียงรอบข้อ แผ่นใบหนา
เส้นแขนงใบไม่ชัดเจน ช่อดอกแบบช่อกระจุกคล้ายช่อซี่ร่ม ออกตามซอกใบ
หรือปลายกงิ่ ใบประดับ 1 คู่ กลบี เลยี้ ง 5 กลีบ กลบี ดอกสมมาตรดา้ นขา้ ง กลีบบน
2 กลบี กลบี ลา่ ง 3 กลีบ กลีบกลางมักยาวกวา่ กลบี คขู่ ้างเล็กนอ้ ย เกสรเพศผู้ 4 อัน
ตดิ เหนอื ก่งึ กลางหลอดกลบี ดอก คูห่ ลงั สนั้ กว่าคู่หน้าเลก็ นอ้ ย ยื่นพน้ ปากหลอด
กลบี ดอก อบั เรณตู ดิ ท่โี คน แตกตามยาว มีเกสรเพศผทู้ ีเ่ ปน็ หมัน 1 อนั หรือไม่มี
จานฐานดอกรูปวงแหวน รังไข่มี 1 ชอ่ ง พลาเซนตาเรียง 2 แถวตามแนวตะเข็บ
ยอดเกสรเพศเมยี เปน็ ตมุ่ หรอื รปู โล่ ผลแหง้ แตก รปู แถบ เมลด็ ขนาดเลก็ จำ� นวนมาก
ปลายมรี ยางค์เป็นขน

สกลุ Aeschynanthus มปี ระมาณ 140 ชนดิ พบในอเมรกิ าและเอเชยี หมเู่ กาะ
แปซิฟกิ ในไทยมี 20 ชนิด ช่ือสกุลมาจากภาษากรีก “aischyno” นา่ อาย และ
“anthos” ดอก ตามลกั ษณะดอก

สารานุกรมพืชในประเทศไทย ว่านเข้าพรรษา

วา่ นไกแ่ ดง วา่ นไกแ่ ดง: A. persimilis กลบี เล้ียงเชอ่ื มตดิ กันทโี่ คน (ภาพซา้ ย: ดอยสุเทพ เชยี งใหม่ - PK); ว่านไก่แดงน้อย:
กลีบเล้ียงเช่ือมติดกันทีโ่ คน (ภาพขวา: ภูหนิ รอ่ งกลา้ เพชรบูรณ์ - PK)
Aeschynanthus andersonii C. B. Clarke
วา่ นไกโ่ ตง้ : ใบเรียงรอบขอ้ 3-6 ใบ แผ่นใบหนา เกล้ียง หลอดกลบี ดอกเรยี วยาว (ภาพ: เขาบรรทัด ตรัง - RP)
ช่ือพอ้ ง Aeschynanthus hildebrandii Hemsl. ex Hook. f.
ว่านไกแ่ สด: ล�ำตน้ มักมสี ีม่วง ชอ่ ดอกมีดอกเดียว กลีบเลีย้ งแยกจรดโคน กลบี ปากลา่ งพับงอกลับ (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์
ไมพ้ มุ่ องิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 60 ซม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามลำ� ตน้ แผน่ ใบ กา้ นดอก และ เชียงใหม่ - PK)
กลีบดอก ใบรปู รี รูปไขก่ ลับ หรอื แกมรูปขอบขนาน ยาว 0.5-4 ซม. กา้ นใบยาว
ประมาณ 4 มม ชอ่ ดอกไร้กา้ น มี 1-7 ดอก กา้ นดอกยาว 0.6-1 ซม. กลีบเลี้ยงแยก ว่านเขา้ พรรษา
จรดโคน รูปแถบหรอื รปู สามเหลยี่ ม ปลายแหลมยาว ยาว 3-5 มม. ดอกสแี ดงอมส้ม
หลอดกลีบดอกยาว 1.8-2.5 ซม. กลีบบนแฉกต้นื ๆ ประมาณ 2 มม. กลบี ล่างคขู่ ้าง Curcuma supraneeana (W. J. Kress & K. Larsen) Škorničk.
รูปสามเหลยี่ ม ปลายกลม พับงอกลับ กลีบล่างยาว 7-8 มม. โคนด้านในมีขนส้ัน วงศ์ Zingiberaceae
เกสรเพศผูค้ หู่ น้ายาว 1.2-2.4 ซม. กา้ นเกสรเพศเมียยาว 1.8-2.6 ซม. มีขนต่อม
ผลยาว 3.8-10 ซม. เมล็ดผิวเรยี บ ขนยาว 1-2.6 ซม. ชอ่ื พอ้ ง Smithatris supraneeanae W. J. Kress & K. Larsen

พบทพ่ี มา่ จนี ตอนใต้ และภาคเหนอื ของไทยท่เี ชยี งใหม่ แมฮ่ ่องสอน ขน้ึ ตามคบไม้ ไมล้ ม้ ลุก สงู 50-150 ซม. ใบเรยี งเวยี น มี 5-7 ใบ โคนเป็นกาบ ล้นิ ใบขนาดเล็ก
ในป่าดิบเขา ความสูง 1400-1900 เมตร คลา้ ยกบั วา่ นไกแ่ ดงชนดิ A. persimilis ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 30-35 ซม. ใบทโี่ คนและบนชอ่ ดอกขนาดเลก็
Craib และวา่ นไก่แดงน้อย A. humilis Hemsl. ทก่ี ลีบเล้ยี งเชอ่ื มตดิ กนั ท่โี คน ชอ่ ดอกออกทยี่ อด กา้ นชอ่ สว่ นมากยาว 30-50 ซม. ดอกเรยี งเปน็ วงรอบชอ่ ใบประดบั
กลีบดอกด้านล่างไม่พับงอกลับชัดเจน แต่ทั้งสองชนิดต่างกันท่ีหลอดกลีบดอก เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม ปลายโคง้ ออก แตล่ ะใบประดบั มดี อกเดยี ว ใบประดบั ยอ่ ยยาว
ดา้ นในชว่ งโคนมีขนเหนียวหนาแน่นหรือไม่มีตามลำ� ดับ 5-6 มม. กลบี เลย้ี งเชอ่ื มตดิ กนั ยาว 7-10 ซม. ปลายแยก 3 แฉก ดอกสคี รมี อมเหลอื ง
หลอดกลีบดอกยาวประมาณ 2.5 ซม. ปลายจักไม่เทา่ กัน ยาว 0.8-1 ซม. กลีบหลัง
ว่านไกโ่ ตง้ คลา้ ยหมวก กลบี ขา้ งปลายมน แผน่ เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั ขนาดเลก็ กวา่ กลบี ดอก
ปลายแหลม กลีบปากสเี หลอื ง ปลายจักลกึ 2 พู แต่ละพูปลายเว้าตน้ื พับลง
Aeschynanthus speciosus Hook. เกสรเพศผูย้ าวประมาณ 5 มม. สีเหลอื ง ยอดเกสรเพศเมยี สขี าวรูปกรวย มตี ่อม
ไมพ้ ่มุ อิงอาศัย ใบเรียงรอบขอ้ 3-6 ใบ รปู รถี งึ รปู ใบหอก ยาว 3.8-15 ซม. น�้ำต้อยท่โี คน ผลแห้งไมแ่ ตก ยาว 1-1.5 ซม. เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 1 ซม.
เมลด็ ยาว 3-4 มม. มเี ยอ่ื หุม้ สนี ้�ำตาล (ดขู อ้ มูลเพิ่มเตมิ ที่ กระเจยี ว, สกุล)
แผ่นใบเกลีย้ ง ก้านใบยาว 0.2-1.2 ซม. ช่อดอกไร้ก้าน มี 4-12 ดอก กา้ นดอกยาว
0.7-1.4 ซม. สว่ นตา่ ง ๆ ของดอกมตี อ่ มขนสนั้ กลบี เลย้ี งแยกจรดโคน รปู ขอบขนาน พืชถ่ินเดยี วของไทย พบทางภาคกลางทส่ี ระบุรี ขึ้นตามเขาหนิ ปูน ความสงู
ยาว 0.7-2 ซม. ดอกสเี หลอื งสม้ ดา้ นในมเี สน้ สแี ดงเขม้ หลอดกลบี ดอกยาว 5.5-12 ซม. 100-200 เมตร นยิ มนำ� ไปถวายพระเชน่ เดยี วกบั ดอกเขา้ พรรษาในสกลุ Globba
กลบี บนยาว 0.5-1 ซม. แฉกลกึ ประมาณกงึ่ หนงึ่ กลบี ลา่ งคขู่ า้ งรปู สามเหลยี่ ม ยาว ค�ำระบุชนิดตง้ั ตามชือ่ คุณสุปราณี คงพิชญานนท์ ผูส้ ง่ ตัวอยา่ งให้ผูว้ ิจยั
0.6-1.4 ซม. กลีบกลางยาว 0.7-1.5 ซม. บานออก เกสรเพศผ้คู ่หู นา้ ยาวได้ถึง 4 ซม.
ก้านเกสรเพศเมียยาว 2.7-4.4 ซม. ผลยาว 20-45 ซม. เมล็ดมปี มุ่ กระจาย ขนยาว เอกสารอา้ งองิ
1.5-2.2 ซม. Kress, W.J. and K. Larsen. (2001). Smithatris, a new genus of Zingiberaceae
from southeast Asia. Systematic Botany 26(2): 226-230.
พบท่ีคาบสมุทรมลายู สุมาตรา ชวา บอร์เนียว และภาคใต้ของไทยท่ีตรัง Škorničková, J., O. Šída, E. Záveská and K. Marhold. (2015). History of infra-
ปตั ตานี และนราธวิ าส ขนึ้ ตามคบไมท้ โี่ ลง่ บนยอดเขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1200 เมตร generic classification, typification of supraspecific names and outstanding
transfers in Curcuma (Zingiberaceae). Taxon 64(2): 369. http://dx.doi.
วา่ นไก่แสด org/10.12705/642.11

Aeschynanthus garrettii Craib
ไมพ้ มุ่ องิ อาศยั ล�ำตน้ มกั มสี มี ว่ ง ใบรูปรี รปู ไข่ รปู ขอบขนาน หรือรูปใบหอก ยาว

ไดถ้ งึ 7 ซม. ก้านใบยาว 0.2-1 ซม. ชอ่ ดอกมีดอกเดียว ไรก้ า้ น ใบประดับรปู เสน้ ด้าย
ยาว 0.6-1.3 ซม. กา้ นดอกยาว 1-2 ซม. กลบี เลยี้ งแยกจรดโคน กลบี รปู ขอบขนาน
ถึงรูปแถบ ยาว 0.5-1.5 ซม. ดอกสีสม้ อมแดง หลอดกลบี ดอกยาว 3-4 ซม. กลีบบน
รปู ไข่ ยาว 4.5-8 มม. แฉกลึกประมาณ 3 มม. กลีบล่างคู่ขา้ งรปู สามเหลีย่ ม ยาว
3.5-6 มม. กลบี กลางรูปรี ยาว 5.5-7.5 มม. พบั งอกลบั ดา้ นในมีขนต่อม เกสรเพศผู้
ค่หู นา้ ยาว 2.7-3 ซม. กา้ นเกสรเพศเมียยาว 0.8-1.4 ซม. ผลยาว 6.5-11.5 ซม.
เมล็ดมปี ่มุ กระจาย ขนยาวประมาณ 1 ซม.

พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคเหนือท่ีเชียงใหม่ ขึ้นบนคบไม้ในป่าดิบเขา
ความสูง 1500-2500 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Middleton, D.J. (2007). A revision of Aeschynanthus (Gesneriaceae) in Thailand.
Edinburgh Journal of Botany 64(3): 363-429.
Wang, W., K.Y. Pan, Z.Y. Li, A.L. Weitzman and L.E. Skog. (1998). Gesneriaceae.
In Flora of China Vol. 18: 375, 382.

ว่านไกแ่ ดง: A. andersonii มีขนส้ันน่มุ ตามลำ� ต้น แผน่ ใบ กา้ นดอก และกลีบดอก ใบเรียงตรงข้ามหรอื รอบขอ้
กลีบเลีย้ งแยกจรดโคน กลบี ปากล่างพับงอกลบั ผลแหง้ แตก รปู แถบ (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชียงใหม่ - PK)

387

ว่านคา้ งคาว สารานุกรมพืชในประเทศไทย

วา่ นเข้าพรรษา: ใบเรียงเวยี นรอบลำ� ต้น ชอ่ ดอกยาว ดอกเรียงเป็นวงแนน่ รอบช่อ ใบประดับเรียงซอ้ นเหล่ือม วา่ นงูเห่า
ปลายโคง้ ออก กลีบปากสเี หลือง ปลายจักลึก 2 พู (ภาพ: cultivated - RP)
Curcuma rubrobracteata Škorničk., M. Sabu & Prasanthk.
วา่ นค้างคาว, สกลุ วงศ์ Zingiberaceae

Tacca J. R. Forst. & G. Forst. ไม้ล้มลุก เหง้าทอดเลื้อย ใบรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 25-60 ซม.
วงศ์ Dioscoreaceae ปลายแหลมยาว โคนรปู ลม่ิ กวา้ ง แผน่ ใบดา้ นบนมขี นตามเสน้ ใบ กา้ นใบยาว 6-14 ซม.
ชอ่ ดอกออกทยี่ อด กา้ นชอ่ ยาว 3-12 ซม. มขี นสน้ั นมุ่ ชอ่ ดอกยาว 7-10 ซม. ใบประดบั
ไมล้ ม้ ลกุ เหงา้ ทอดเลอื้ ยหรอื เปน็ หวั กลม ๆ โคนกา้ นใบเปน็ กาบ ชอ่ ดอกแบบ สีแดงอมส้ม โคนสเี หลอื ง รปู รี ยาว 4.5-5 ซม. มขี นสัน้ นมุ่ ทง้ั สองดา้ น ใบประดบั ยอ่ ย
ชอ่ ซรี่ ม่ กา้ นชอ่ ยาว วงใบประดบั มี 2-4 อนั หรอื หลายอนั เรยี งเปน็ วง ใบประดบั รปู ไขก่ วา้ ง ยาวประมาณ 3 ซม. มขี นสน้ั นมุ่ แตล่ ะใบประดบั มดี อกเดยี ว ดอกสเี หลอื ง
ยอ่ ยรปู เสน้ ดา้ ยจำ� นวนมาก กลบี รวมตดิ เปน็ หลอดสน้ั ๆ รปู แตรหรอื กลม มี 6 กลบี หลอดกลบี ดอกยาว 3-3.5 ซม. ดา้ นนอกมขี นประปราย กลบี บนและกลบี ขา้ งยาว
ตดิ ทน เกสรเพศผู้ 6 อัน เรียง 2 วง ก้านชูอับเรณแู บน ตดิ เหนือกลบี ดอก ปลาย ประมาณ 1.5 ซม. กลบี บนคลา้ ยหมวกรปู คมุ่ ปลายแหลม กลบี ขา้ งเวา้ ปลายกลม
แผ่กว้าง อบั เรณูตดิ ทฐ่ี าน รงั ไข่ใต้วงกลีบ มี 3 คาร์เพลเชอ่ื มติดกนั พลาเซนตา กลบี ปากรปู รกี ว้าง ยาวประมาณ 2 ซม. จกั 3 พู พูกลางปลายเวา้ ตืน้ แผน่ เกสรเพศผู้
ตามแนวตะเขบ็ ก้านเกสรเพศเมยี ส้ัน ยอดเกสรแยก 3 แฉก โคง้ พบั ลง ผลสดมี ทเี่ ปน็ หมนั รปู ไขก่ ลบั ยาว 1-1.5 ซม. โคนอบั เรณมู เี ดอื ยสนั้ ยาวประมาณ 3 มม.
หลายเมลด็ หรือผลแห้งแตก สนั กลมขนาดเลก็ (ดูข้อมลู เพ่มิ เตมิ ท่ี กระเจยี ว, สกลุ )

สกลุ Tacca เคยอยู่ภายใต้วงศ์ Taccaceae ปจั จบุ ันได้รวมเอาสกลุ Schizocapsa พบทอี่ ินเดยี และพมา่ ในไทยพบทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ตกเฉียงใต้ท่ี
ไวด้ ้วย มปี ระมาณ 16 ชนดิ ส่วนใหญ่พบในเอเชีย โดยเฉพาะภมู ภิ าคมาเลเซีย กาญจนบุรี ข้ึนตามป่าเบญจพรรณ ความสงู 200-700 เมตร
และหม่เู กาะแปซิฟิก ในไทยมี 5 ชนดิ ช่ือสกุลมาจากภาษาพ้นื เมืองในอินโดนีเซยี
“taka laoet” ทใ่ี ชเ้ รยี กท้าวยายม่อม T. leontopetaloides (L.) Kuntze เอกสารอ้างอิง
Maknoi, C., P. Sirirugsa and K. Larsen. (2005). New records of Curcuma L.
วา่ นค้างคาว (Zingiberaceae) in Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 33: 72-73.
Škorničkova, M. Sabu and M.G. Prasanthkumar. (2003). A new species of
Tacca chantrieri André Curcuma L. (Zingiberaceae). from Mizoram, India. Gardens’ Bulletin
ไม้ลม้ ลกุ ใบรปู ขอบขนานหรือรปู ใบหอก ยาว 20-60 ซม. ปลายแหลมหรอื Singapore 55(1): 89-95.

เปน็ ต่งิ แหลม โคนแหลม เบี้ยวเล็กน้อย ก้านใบยาว 15-30 ซม. รวมกาบใบ ชอ่ ดอกมี ว่านงเู ห่า: ใบรปู ไขห่ รอื แกมรูปขอบขนาน ปลายแหลมยาว โคนรปู ลิม่ กวา้ ง ใบประดบั สีแดงอมส้ม โคนสีเหลือง
1-3 ช่อ ยาวไดถ้ ึง 70 ซม. แตล่ ะชอ่ มี 4-25 ดอก ใบประดบั มี 2 คู่ ไร้กา้ น สีเขยี วอ่อน กลบี ดอกกลีบบนคล้ายหมวกรูปคมุ่ โคนอบั เรณูมเี ดือยสน้ั (ภาพ: ปางมะผ้า แม่ฮอ่ งสอน - JM)
อมมว่ งหรือสีอมมว่ งนำ�้ ตาล คู่นอกรูปไข่ รปู ขอบขนาน ยาวไดถ้ ึง 6 ซม. ค่ใู นรูปไข่
หรือรปู ไข่กลบั ยาว 7-14 ซม. ใบประดับยอ่ ยมี 5-25 อัน สีอ่อนกวา่ ใบประดบั วา่ นจนั ทรกานต์
ยาว 10-25 ซม. หลอดกลีบสัน้ กลบี สมี ่วงอมน้�ำตาล รปู ใบหอก ยาว 0.5-1.2 ซม.
ก้านดอกยาว 2-3.5 ซม. ผลสดมหี ลายเมลด็ รูปขอบขนานแกมสามเหลี่ยม มี Monotropa uniflora L.
สันกลาง สนี ำ้� ตาลม่วง เมล็ดรูปคล้ายไต วงศ์ Ericaceae

พบทอ่ี นิ เดยี ศรลี งั กา บงั กลาเทศ จนี พมา่ ลาว เวยี ดนาม และคาบสมทุ รมลายู ไมล้ ้มลกุ กินซาก ไมม่ ีคลอโรฟิลล์ สูง 15-25 ซม. ข้ึนเป็นกระจกุ ช่อดอกสูง
ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ถงึ ประมาณ 1000 เมตร 10-30 ซม. ใบประดับเรยี งเวยี นเป็นแผ่นบาง ๆ รูปไขห่ รือรปู ขอบขนาน ยาวได้
บางครง้ั พบเป็นไมป้ ระดบั ถงึ 1 ซม. ชว่ งโคนหนา ดอกสีขาว มดี อกเดยี ว คล้ายรปู ระฆังงอลง กลีบเล้ยี ง
3-5 กลบี แนบตดิ กลีบดอก รูปขอบขนาน ยาว 1-1.5 ซม. ปลายแหลม ขอบจัก
เอกสารอ้างองิ กลบี ดอก 3-8 กลีบ รปู ไข่กลับแกมรูปขอบขนาน ยาว 1.2-2.2 ซม. ด้านในมขี น
Phengklai, C. (1993). Taccaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(1): 1-9. สน้ั น่มุ โคนกลีบเปน็ ถุง ปลายกลม ขอบเรียบหรือจกั ใกล้ปลายกลบี เกสรเพศผู้
Ting, C.C. and K. Larsen. (2000). Taccaceae. In Flora of China Vol. 24: 274. 10-12 อัน เรยี ง 2 วง ขนาดไมเ่ ท่ากนั กา้ นชอู บั เรณยู าว 1-1.5 ซม. มขี นสั้นนุม่
อบั เรณเู ชอื่ มตดิ กนั เปดิ ดา้ นปลาย แกนอบั เรณมู แี ผน่ รยางค์ ยาวประมาณ 2 มม.
วา่ นค้างคาว: ชอ่ ดอกแบบชอ่ ซีร่ ม่ ใบประดับขนาดใหญ่ 2 คู่ ไร้กา้ น ใบประดับย่อยรูปเสน้ ดา้ ยจำ� นวนมาก ผลรปู จานฐานดอกมี 8-10 พู รงั ไขม่ ี 5 ชอ่ ง โคนมตี อ่ มนำ�้ ตอ้ ย พลาเซนตารอบแกนรว่ ม
ขอบขนานแกมสามเหลี่ยม มีสันกลาง (ภาพช่อดอก: กาญจนบุรี - RP; ภาพผล: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - SSi) เกสรเพศเมยี ยาว 2-3 มม. ยอดเกสรรปู กรวย เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 4 มม.
ผลแห้งแตก รูปรี ตั้งข้ึน ยาว 1-1.5 ซม. เมลด็ จ�ำนวนมาก ขนาดเล็ก รูปกระสวย

พบทง้ั ในอเมรกิ าเหนอื และอเมรกิ าใต้ อนิ เดยี ภฏู าน เนปาล บงั กลาเทศ จนี ญปี่ นุ่
เกาหลี พม่า และภาคเหนือของไทยที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นตาม
ปา่ ดบิ เขา ความสงู ประมาณ 2200 เมตร รากบดแกอ้ าการชกั กระตกุ ของกลา้ มเนอื้

สกุล Monotropa L. เคยอยูภ่ ายใต้วงศ์ Monotropaceae เปน็ พืชอาศยั อาหาร
จากพวกเห็ดรา (mycoparasitic plant) ในวงศ์ Russulaceae เชน่ พวกเหด็ หล่มขาว
เหด็ ตะไคล เห็ดพงุ หมู เหด็ แดง เป็นต้น มี 3 ชนดิ ในไทยมี 2 ชนิด อกี ชนิดคอื
M. hypopithys L. พบที่ดอยสเุ ทพ จังหวัดเชยี งใหม่ ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรีก
“monotropos” แบบเดียว ตามลักษณะดอกทีอ่ อกดา้ นข้างแบบเดียว
เอกสารอา้ งองิ
Haining, Q. and G.D. Wallace. (2005). Ericaceae. In Flora of China Vol. 14:

255-256.
Larsen, K. (2000). Monotropaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(2): 265-267.

388

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย วา่ นดอกสามสี

ว่านจันทรกานต์: พชื ลม้ ลุกไม่มีคลอโรฟิลล์ ดอกคล้ายรูประฆัง งอลง ใบประดบั เรียงเวียน เกสรเพศผ้เู รียง 2 วง ว่านจกุ เหลือง: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ กลีบปากสีแดงอมสม้ ปลายม้วนงอคลา้ ยตะขอ (ภาพ: ตะรุเตา สตลู - PK)
ขนาดไมเ่ ทา่ กนั ยอดเกสรเพศเมียรูปกรวย (ภาพ: ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ - RP)
ว่านดอกสามสี
วา่ นจกุ ขาว
Christisonia siamensis Craib
Calanthe angustifolia (Blume) Lindl. วงศ์ Orobanchaceae
วงศ์ Orchidaceae
พชื เบียนล้มลุก ล�ำตน้ สนั้ หรือไมม่ ี ยอดมเี มือกใส ดอกออกเด่ยี ว ๆ ขน้ึ เป็นกลมุ่
ช่อื พ้อง Amblyglottis angustifolia Blume ใบขนาดเล็ก ก้านดอกสั้น กลีบเล้ียงสีขาวอมเหลืองหรือม่วง หลอดกลีบยาว
ประมาณ 3 ซม. มกั แยกเปน็ 3 แฉก ยาว 3-6 มม. ดอกรูประฆัง สีขาวอมมว่ ง
กลว้ ยไมด้ นิ เหงา้ ยาว มี 3-10 ใบ รปู ใบหอกถงึ รปู แถบ ยาว 15-30 ซม. ปลาย หรือสีม่วงเขม้ ด้านในกลีบปากลา่ งมีปน้ื สเี หลือง หลอดกลบี ดอกยาว 5-7 ซม.
แหลมยาว โคนเรียวแคบเปน็ กา้ นใบ ยาว 4-15 ซม. ชอ่ ดอกมี 1-2 ชอ่ ก้านชอ่ ยาว ปลายแยกเปน็ 5 กลบี กลบี รปู ปากเปดิ ไมช่ ดั เจน เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 1 ซม.
8-25 ซม. แกนชอ่ ยาว 3-7.5 ซม. ใบประดบั รปู ใบหอก ยาวประมาณ 4 ซม. ขนาด ขอบจักชายครุย เกสรเพศผู้ 4 อันอยชู่ ิดกนั ติดภายในหลอดกลบี ดอก อับเรณมู ี
ลดหลน่ั สปู่ ลายชอ่ รว่ งเรว็ มี 10-15 ดอก ดอกสขี าว กลบี ปากสเี หลอื ง กลบี เลยี้ ง ชอ่ งเดียว มีรูเปดิ ดา้ นบน โคนมีเดือย ก้านชูอบั เรณสู เี หลือง โคนมกี ระจุกขน มี
รปู ใบหอก ยาว 1-1.3 ซม. ปลายแหลม กลบี ดอกกวา้ งและสน้ั กวา่ กลบี เลย้ี งเลก็ นอ้ ย 2 คารเ์ พล ออวลุ จ�ำนวนมาก พลาเซนตารอบแนวตะเขบ็ กา้ นเกสรเพศเมยี เรยี วยาว
กลบี ปากปลายจกั 3 พู พขู า้ งรปู ไข่ ยาวประมาณ 2 มม. พกู ลางบานออกรปู รกี วา้ ง ยอดเกสรเพศเมียรูปโล่ ผลแห้งแตกเปน็ 2 ซีก เมล็ดขนาดเล็กจ�ำนวนมาก
ยาวประมาณ 6 มม. ปลายเวา้ ต้ืน เดือยยาว 0.6-1 ซม. เสา้ เกสรยาว 4-6.5 มม.
ก้านดอกรวมรงั ไข่ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. (ดขู ้อมลู เพิม่ เตมิ ท่ี เอ้ืองนำ�้ ต้น, สกุล) พบทอ่ี ินเดยี และพมา่ ในไทยพบแทบทุกภาค ภาคใต้ถงึ ชุมพร พบมากตาม
เขาหินปูน ความสูง 300-800 เมตร
พบท่ีจีนตอนใต้ ไต้หวัน ภูมิภาคมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และภาคใต้ของไทยท่ี
นครศรธี รรมราช ยะลา ข้ึนตามป่าดบิ เขา ความสูงถึงประมาณ 1400 เมตร สกลุ Christisonia Gardner มีประมาณ 20 ชนิด พบทอ่ี นิ เดีย จีน ภูมิภาคอินโดจนี
และมาเลเซีย ในไทยมี 2 ชนดิ อกี ชนิดคือ ว่านดอกขาว C. scortechinii Prain
ว่านจกุ เหลอื ง พบท่ีคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบทางภาคเหนือท่ีนา่ น ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
ท่เี ลย ภาคตะวันออกเฉยี งใตท้ ีจ่ ันทบรุ ี และภาคใต้ทน่ี ราธวิ าส กลบี เลยี้ งรูปกาบ
Calanthe pulchra (Blume) Lindl. จัก 4-5 แฉก ดอกสีขาว ด้านในมสี ีเหลืองแต้ม ชื่อสกุลต้ังตามนักพิษวิทยา
ชาวสกอตแลนด์ Robert Christison (1797-1882)
ช่ือพ้อง Amblyglottis pulchra Blume, Calanthe curculigoides Lindl.
เอกสารอา้ งอิง
กลว้ ยไม้ดิน มี 2-6 ใบ รูปใบหอก ยาว 50-75 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเรียวแคบ Parnell, J. (2008). Orobanchaceae. In Flora of Thailand Vol. 9(2): 143-147.
เป็นก้านใบ ยาวได้ถงึ 24 ซม. ก้านชอ่ ดอกยาว 33-42 ซม. แกนช่อสัน้ กว่ากา้ นช่อ Parnell, J., J.S. Strijk, C. Maknoi, H. Truong Luu, R. Pooma, S. Sirimongkol,
ใบประดบั รปู ใบหอก ยาว 3-4 ซม. ขนาดลดหลน่ั สชู่ ว่ งปลายชอ่ รว่ งกอ่ นดอกบาน S. Rueangruea, W. Tichai and N. Ritphet. (2014). New records expand
ดอกสเี หลอื ง กลบี ปากสแี ดงอมสม้ กลบี เลยี้ งรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 1.3-1.8 ซม. the ranges of Christisonia siamensis and Christisonia scortechinii, the latter
ปลายมตี ง่ิ แหลม กลบี ดอกสน้ั กวา่ กลบี เลย้ี งเลก็ นอ้ ย กลบี ปากปลายจกั 3 พู พขู า้ ง species being new to Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 42: 16-23.
รูปพดั ยาว 2-3 มม. พูกลางยาวประมาณ 6 มม. ปลายเวา้ ตน้ื เดือยยาว 8-9 มม.
ปลายมว้ นงอคลา้ ยตะขอ เสา้ เกสรยาว 5-7 มม. กา้ นดอกรวมรงั ไขย่ าว 1-1.5 ซม.
(ดขู ้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี เอือ้ งนำ�้ ต้น, สกลุ )

พบในภูมิภาคมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และภาคใต้ของไทยท่ีนครศรีธรรมราช
สงขลา สตลู ข้นึ ตามปา่ ดบิ ช้ืน และปา่ ดบิ เขา ความสงู 300-1400 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Chen, X., P.J. Cribb and S.W. Gale. (2009). Orchidaceae (Calanthe). In Flora
of China Vol. 25: 295.
Kurzweil, H. (2014). Orchidaceae (Calanthe). In Flora of Thailand Vol. 12(2):
344-346, 365-366.

ว่านดอกสามส:ี ดอกออกเดี่ยว ๆ ขึน้ เป็นกล่มุ หลอดกลบี ดอกสขี าวหรอื อมม่วง กลบี สีม่วงเขม้ กลีบปากล่างดา้ น
ในมีป้นื สีเหลอื ง (ภาพ: กาญจนบุรี - TP)

วา่ นจุกขาว: ดอกสขี าว กลบี ปากสเี หลือง (ภาพซา้ ย: เบตง ยะลา - MP; ภาพขวา: เขานนั นครศรธี รรมราช - NT) ว่านดอกขาว: คล้ายวา่ นดอกสามสีแตด่ อกสีขาว กลีบเลี้ยงจัก 4-5 แฉก (ภาพ: ดอยภคู า น่าน - SSi)

389

วา่ นตรุ สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

ว่านตรุ พบที่ ลาว และกมั พชู า ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
และภาคตะวนั ออก ขนึ้ ตามปา่ เตง็ รงั และปา่ เบญจพรรณ ความสงู 100-600 เมตร
Epigynum cochinchinensis (Pierre) D. J. Middleton
วงศ์ Apocynaceae เอกสารอา้ งองิ
Larsen K. (1972). Studies in the genus Globba in Thailand. Notes from the
ชอ่ื พอ้ ง Nouettea cochinchinensis Pierre Royal Botanic Garden, Edinburgh 31: 229-241.
Wu, D. and K. Larsen. (2000). Zingiberaceae. In Flora of China Vol. 24: 358.
ไมเ้ ถา มีขนส้ันหนานมุ่ ตามกิ่ง ชอ่ ดอก และผล นำ�้ ยางขาว ใบเรยี งตรงขา้ ม
รปู รี รปู ขอบขนาน หรอื รปู ไขก่ ลบั ยาว 7-23 ซม. ปลายแหลมยาวหรอื ยาวคลา้ ยหาง วา่ นทับทมิ สยาม: ใบไรก้ ้าน ใบประดบั สชี มพูอมม่วง พบั ขึน้ และบดิ เล็กน้อย (ภาพ: ภวู ัว บงึ กาฬ - NT)
โคนกลมหรอื เวา้ ตน้ื แผน่ ใบมขี นประปราย ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสนั้ ๆ
คลา้ ยชอ่ ซีร่ ่ม ยาวไดถ้ ึง 13 ซม. ตาดอกเรียวแคบ กลบี เล้ียงยาว 2-4 มม. ดอกรูป ว่านนางตดั
ดอกเข็ม สีขาวหรืออมชมพู กลบี เรยี งซอ้ นทบั ดา้ นขวาในตาดอก หลอดกลบี ดอก
ยาว 3-5 ซม. กลบี รปู ไขก่ ลบั ยาว 1.5-2 ซม. ดา้ นนอกมีขนละเอยี ด ด้านในมขี น Labisia pumila (Blume) Fern.-Vill.
สนั้ นุ่ม เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ใกลโ้ คนหลอดกลีบดอก อบั เรณูยาว 0.7-1 ซม. โคน วงศ์ Myrsinaceae
เปน็ เงีย่ ง ช่วงทเ่ี ปน็ หมันแนบติดยอดเกสรเพศเมีย จานฐานดอกมี 5 พู แยกกนั
มี 2 คารเ์ พล เกล้ียง ปลายตดิ กนั เรียวยาวเปน็ ก้านเกสรเพศเมีย ยาวไดถ้ ึง 2 ซม. ชอ่ื พอ้ ง Ardisia pumila Blume, Marantodes pumilum (Blume) Kuntze
รวมยอดเกสร ผลติดเป็นฝักคู่ ยาว 30-35 ซม. เมลด็ แบน กระจกุ ขนยาวประมาณ 3 ซม.
ไมล้ ม้ ลกุ มเี หงา้ ลำ� ตน้ สนั้ มเี กลด็ สนี ำ�้ ตาลแดงหนาแนน่ ตามตน้ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง
พบทีพ่ ม่าและเวยี ดนาม ในไทยพบแทบทุกภาค ขนึ้ ตามปา่ เต็งรัง ป่าดบิ แลง้ กา้ นใบ และชอ่ ดอก ใบเรยี งเวยี นหนาแนน่ ทยี่ อด รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว
และป่าดิบช้ืน ความสงู ถงึ ประมาณ 800 เมตร ช่ือ ว่านตรุ มาจากภาษาเขมร ‘วันตรือ’ 10-20 ซม. โคนเรยี วสอบจรดกา้ นใบเปน็ ครบี เสน้ แขนงใบจำ� นวนมาก ปลายเรยี ง
ท่ีใชเ้ รยี กในจันทบุรี จรดกนั กา้ นใบยาว 2.5-8 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนงส้ัน ๆ คล้ายช่อเชิงลด
ออกตามซอกใบ ยาว 2-8 ซม. ชอ่ ยอ่ ยมี 1-7 ดอก ใบประดบั รูปลิ่มแคบ ยาวไดถ้ งึ
สกุล Epigynum Wight มี 6 ชนิด ในไทยพบ 3 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษาละตนิ 3 มม. ก้านดอกยาว 1-2.5 มม. กลบี เล้ยี งสว่ นมากมี 5 กลบี รปู สามเหล่ยี มขนาดเล็ก
“epi” ด้านนอก และภาษากรกี “gynon” เพศเมีย ตามลกั ษณะช่วงอบั เรณูท่เี ปน็ หมนั ตดิ ทน มีจุดโปร่งใส ดอกสีขาวหรืออมชมพู ส่วนมากมี 5 กลบี เรียงจรดกนั ในตาดอก
แนบติดยอดเกสรเพศเมยี โคนเช่ือมติดกัน กลีบรูปสามเหล่ียม ยาว 2.5-3 มม. ด้านนอกมีต่อมกระจาย
เอกสารอ้างอิง เกสรเพศผเู้ ทา่ จำ� นวนกลบี ดอก ตดิ ทโี่ คนและพบั อยภู่ ายในกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู นั้
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 119. อบั เรณหู นั เขา้ ปลายมตี อ่ ม รงั ไขม่ เี กลด็ ประปราย กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ
1.5 มม. ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ ผลสด ผนังชนั้ ในแข็ง เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 4 มม.
วา่ นตร:ุ ใบเรียงตรงขา้ ม ช่อดอกออกเปน็ ชอ่ กระจุกแยกแขนงส้นั ๆ คล้ายช่อซรี่ ่ม ดอกสีชมพหู รือขาว กลบี ดอก สุกสแี ดง มตี อ่ มกระจาย มีเมลด็ เดยี ว
เรียงซอ้ นทับดา้ นขวาในตาดอก ดอกบานรปู ดอกเข็ม (ภาพซา้ ย: เขาใหญ่ ปราจีนบรุ ี - SSi; ภาพขวา: น่าน - PK)
พบท่กี ัมพูชา คาบสมุทรมลายู บอรเ์ นยี ว ชวา และสมุ าตรา ในไทยสว่ นมากพบ
ว่านทับทิมสยาม, สกลุ ทางภาคใต้ ขนึ้ ตามรมิ ลำ� ธารในปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู 100-800 เมตร สว่ นตา่ ง ๆ มสี รรพคณุ
บำ� รงุ ครรภ์ ลดภาวะตกเลอื ด ช่วยให้รา่ งกายฟ้ืนหลงั การคลอด และบ�ำรงุ กำ� ลัง
Globba L.
วงศ์ Zingiberaceae สกลุ Labisia Lindl. มปี ระมาณ 6 ชนดิ พบในภมู ิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย
ฟลิ ปิ ปินส์ และนวิ กินี ในไทยมีชนิดเดยี ว ช่ือสกลุ มาจากภาษากรกี “labis” หุม้
ไมล้ ม้ ลกุ เหงา้ ทอดเลอื้ ย ลนิ้ กาบเรยี บ ใบเรยี งเวยี น กา้ นใบสน้ั มากหรอื ไรก้ า้ น ตามลักษณะกลีบดอกทห่ี ุ้มเกสรเพศผู้
ช่อดอกแบบชอ่ กระจะหรือชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกทย่ี อด ช่อดอกยอ่ ยแบบ เอกสารอ้างอิง
ชอ่ วงแถวเดยี่ ว บางครง้ั มหี วั ยอ่ ย ใบประดบั ยอ่ ยแยกจรดโคน กลบี เลย้ี งรปู ระฆงั Larsen, K. and C.M. Hu. (1996). Myrsinaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(2):
หรอื รูปลูกขา่ ง ปลายจักมน 3 แฉก หลอดดอกเรยี วแคบ กลีบดอก 3 กลีบ ยาว
เทา่ ๆ กนั แผน่ เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั คลา้ ยกลบี ดอก กลบี ปากเชอื่ มตดิ กา้ นชอู บั เรณู 151-152.
เป็นหลอด ก้านชูอับเรณูโค้ง โคนอับเรณูส่วนมากมีรยางค์ รังไข่มีช่องเดียว Sunarno, B. (2005). Revision of the genus Labisia (Myrsinaceae). Blumea 50:
พลาเซนตาตามแนวตะเข็บ ผลแห้งแตกชว่ งปลาย เมล็ดมเี ยือ่ หุ้มแหว่ง
579-597.
สกลุ Globba อยูว่ งศ์ย่อย Zingiberoideae เผ่า Globbeae มีมากกวา่ 100 ชนิด
สว่ นมากพบในเอเชยี เขตร้อน ในไทยมีประมาณ 50 ชนิด ชอื่ สกุลมาจากภาษา วา่ นนางตัด: โคนเรยี วสอบจรดกา้ นใบเป็นครบี เสน้ แขนงใบจำ� นวนมาก ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ เชิงลด ผลมีตอ่ มกระจาย
Amboinese ในอินโดนเี ซียท่ีใชเ้ รียกพวกขิงขา่ สุกสแี ดง (ภาพซา้ ยและภาพขวาล่าง: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - SSi; ภาพขวาบน: ชุมพร - RP)

วา่ นทับทมิ สยาม

Globba siamensis (Hemsl.) Hemsl.

ชอ่ื พ้อง Achilus siamensis Hemsl.

ไมล้ ม้ ลุก สงู ไดถ้ ึง 45 ซม. มี 3-6 ใบ รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 4-10 ซม.
โคนมน แผ่นใบมขี นสัน้ นุม่ ทัง้ สองด้าน ไรก้ า้ น ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง
ห้อยลง ยาว 5-12 ซม. ใบประดบั สีชมพอู มมว่ งหรือขาว รูปรี ยาว 1-4 ซม.
ปลายแหลม พับข้ึนและบิดเล็กน้อย ดอกสีเหลืองอมส้ม หลอดกลีบเล้ียงยาว
ประมาณ 6 มม. หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ 1 ซม. ปลายแยกสามแฉก ยาว
ประมาณ 6 มม. กลีบคู่ขา้ งรปู ไขก่ ลบั พบั งอกลบั กลีบปากรูปสามเหลยี่ มแคบ
ยาวประมาณ 5 มม. ปลายแยกสองแฉก ก้านชอู บั เรณูยาวประมาณ 1.3 ซม. อับเรณู
มีรยางค์ 2 คู่ ผลเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 0.7-1 ซม. ยน่ สมี ว่ งอมแดง

390

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย ว่านน�ำ้ ทอง

ว่านนางแลว Streptolirion ท่เี ป็นไม้เถา และวงใบประดับมกี ระจายตามข้อทกุ ขอ้ ที่มีชอ่ ดอก
ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก “spathe” กาบ และ “leirion” ดอกลลิ ลี่ หมายถึงพืช
Polygonatum kingianum Collett & Hemsl. คลา้ ยพวกลลิ ลี่ มีใบประดบั เปน็ กาบ
วงศ์ Asparagaceae เอกสารอา้ งอิง
Hong, D. and R.A. DeFilipps. (2000). Commelinaceae. In Flora of China Vol. 24: 20.
ไม้ล้มลกุ ทอดเล้อื ย ยาวไดถ้ ึง 3 ม. มเี หง้า ลำ� ตน้ มนี วล ใบเรียงรอบขอ้ 3-10 ใบ Larsen, K. and S.S. Larsen. (2003). A new species of Spatholirion (Commelinaceae)
รูปใบหอกหรอื รูปแถบ ยาว 6-25 ซม. ปลายมมี ือพัน ไร้กา้ น ช่อดอกคล้ายช่อซีร่ ม่
ออกส้นั ๆ ตามซอกใบ มี 1-6 ดอก หอ้ ยลง ใบประดบั ขนาดเลก็ ดอกสขี าวหรอื ชมพู from Thailand and further notes on S. ornatum. Thai Forest Bulletin (Botany)
อมแดง กลบี รวมรปู ทรงกระบอก ยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายแยกเปน็ 6 แฉก รปู สามเหลยี่ ม 31: 39-43.
ยาว 3-5 มม. เกสรเพศผู้ 6 อัน ตดิ ดา้ นในวงกลบี เหนือจุดกงึ่ กลาง ก้านชอู บั เรณู
ยาว 2-5 มม. อับเรณยู าว 4-6 มม. โคนจกั 2 พู รงั ไข่มี 3 ชอ่ ง ยาวเท่า ๆ อับเรณู วา่ นน�้ำค้างดอย: ชอ่ แยกแขนงแบบชอ่ วงแถวเดีย่ วส้ัน ๆ ชอ่ ท่ีโคนมใี บประดับเปน็ ดอกสมบูรณเ์ พศ ปลายชอ่ เปน็
ก้านเกสรเพศเมียยาว 0.8-1.5 ซม. ยอดเกสรแยก 3 แฉก ผลสด จกั เปน็ พูต้ืน ๆ ดอกเพศผู้ กา้ นชอู ับเรณูมขี นแบบขนแกะหนาแนน่ (ภาพ: ชยั ภูมิ - PK)
เส้นผา่ นศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. มี 7-12 เมลด็
วา่ นนำ้�ทอง
พบทจี่ นี ตอนใต้ พมา่ เวยี ดนาม และภาคเหนอื ของไทยทแ่ี มฮ่ อ่ งสอน เชยี งใหม่
เชยี งราย ขน้ึ ตามเขาหนิ ปนู ความสงู 700-2000 เมตร บางครงั้ ดอกมสี เี หลอื ง สารสกดั Anoectochilus geniculatus Ridl.
จากรากมีสรรพคุณลดไขมนั ในตับ แกไ้ อ วงศ์ Orchidaceae

สกุล Polygonatum Mill. เคยอยภู่ ายใตว้ งศ์ Liliaceae, Ruscaceae หรอื กลว้ ยไมด้ ิน เหงา้ เจรญิ ด้านขา้ ง ลำ� ตน้ ทอดเล้ือย มีรากตามข้อ ใบเรยี งเวยี น
Convallariaceae ปัจจบุ ันอยู่วงศ์ยอ่ ย Nolinoideae มีประมาณ 60 ชนิด สว่ นใหญ่ สนี ำ้� ตาลแกมเขยี ว เสน้ ใบสนี ำ้� ตาลแดง ใบรปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 1.8-7 ซม. แผน่ ใบหนา
พบบริเวณเขตอบอุ่นทางซีกโลกเหนอื แถบเอเชียตะวนั ออก โดยเฉพาะจนี มีกวา่ ปลายแหลม มน หรือเปน็ ตงิ่ โคนเบีย้ ว ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกท่ียอด ตั้งตรง
40 ชนิด ในไทยมี 3 ชนดิ ชอื่ สกุลมาจากภาษากรีก “polys” มาก และ “gony” สูงไดถ้ ึง 17 ซม. มขี นส้นั นุม่ หรือขนตอ่ มกระจาย แกนช่อยาวประมาณ 1.8 ซม.
ข้อต่อ ตามลกั ษณะของเหงา้ มี 1-5 ดอก ใบประดับรูปไข่ ยาว 1-1.5 ซม. มขี นสน้ั นุม่ ดอกสขี าว ก้านดอกสน้ั
เอกสารอา้ งอิง กลบี เลยี้ งมขี นสน้ั นมุ่ กลบี บนรปู ใบหอกแกมรปู ไข่ ยาว 1-1.2 ซม. กลบี ขา้ งรปู ใบหอก
Jeffrey, C. (1980). The genus Polygonatum (Liliaceae) in eastern Asia. Kew เบ้ยี ว ยาวประมาณ 1.1 ซม. กลบี ดอกรูปใบหอก เบี้ยว ยาวประมาณ 1.2 ซม.
กลบี ปาก ยาว 7-9 มม. มีจดุ สีชมพู 2 จดุ กลางกลีบจกั ซี่หวี ปลายกลบี ปากจกั
Bulletin 34(3): 463. 2 พู ยาว 5-7 มม. เดอื ยช้ไี ปด้านหลงั ยาวไดถ้ งึ 1.4 ซม. เส้าเกสรตรง ยาว 6-8 มม.
Maxwell, J.F. (1998). Botanical notes on the flora of northern Thailand: 6. มปี กี จรดโคนเดือย กา้ นดอกรวมรังไข่ ยาวประมาณ 1.5 ซม.

Natural History Bulletin of the Siam Society 46(2): 149-154. พบทคี่ าบสมุทรมลายู สมุ าตรา และบอรเ์ นียว ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทาง
Xinqi, C. and M.N. Tamura. (2000). Liliaceae (Polygonatum). In Flora of China ภาคตะวันออกเฉียงใต้ท่ีปราจีนบุรี และภาคใต้ที่ตรัง นครศรีธรรมราช ข้ึนตาม
ปา่ ดิบชน้ื ความสงู 600-900 เมตร
Vol. 24: 223, 228.
สกุล Anoectochilus Blume อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Orchidoideae เผ่า Cranichideae
ว่านนางแลว: ใบเรียงรอบข้อ ปลายใบมมี อื พนั ชอ่ ดอกออกส้นั ๆ ตามซอกใบ กลีบรวมรปู ทรงกระบอก ปลายแยก พบในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ ออสเตรเลียตอนบน และหมูเ่ กาะแปซิฟกิ ในไทย
เป็นแฉกเลก็ ๆ ผลจกั เป็นพูต้ืน ๆ (ภาพ: ดอยตุง เชยี งราย - RP) มี 6 ชนดิ ช่อื สกุลมาจากภาษากรกี “anoiktos” เปดิ และ “cheilos” กลีบปาก
ตามลกั ษณะกลบี ปาก
ว่านน้ำ�คา้ งดอย เอกสารอา้ งอิง
Pedersen, H.Æ. (2011). Orchidaceae (Anoectochilus). In Flora of Thailand Vol.
Spatholirion calcicola K. Larsen & S. S. Larsen
วงศ์ Commelinaceae 12(1): 10-20.

ไมล้ ม้ ลุก ไมม่ ีล�ำต้น รากรูปกระสวย ใบเรียงเวยี น รูปรีหรือรปู ขอบขนาน ยาว วา่ นนำ้� ทอง: ใบสนี ำ้� ตาลแกมเขียว เส้นใบสนี ำ�้ ตาลแดง ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ กลบี เลย้ี งมีขนสนั้ นุ่ม กลบี ปากจกั ซห่ี วี
9-20 ซม. โคนแหลม ตัด หรอื เวา้ ตืน้ ก้านใบยาวไดถ้ ึง 25 ซม. โคนเปน็ ร่องลกึ ปลายจัก 2 พู (ภาพซ้ายและภาพขวาบน: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - NT; ภาพขวาล่าง เขาพนมเบญจา กระบี่ - RP)
ช่อแยกแขนงแบบช่อวงแถวเดี่ยวสัน้ ๆ ออกตามซอกกาบ ก้านชอ่ ยาว 5-6 ซม.
มขี นคลา้ ยขนแกะหนาแนน่ ชอ่ ทโ่ี คนมใี บประดบั ดอกสมบรู ณเ์ พศ ปลายชอ่ เปน็
ดอกเพศผู้ ใบประดบั รปู รกี ว้าง ยาว 1.5-2 ซม. ปลายเป็นตง่ิ แหลม ด้านบนมีขน
สน้ั นมุ่ หนาแนน่ ดา้ นลา่ งมขี นประปราย แกนชอ่ ดอกมขี นสนั้ นมุ่ ดอกสขี าวหรอื อมมว่ ง
ดอกสมบูรณ์เพศมี 1-2 ดอก กลีบรวม 6 กลบี เรยี ง 2 วง รปู ขอบขนาน ยาว 0.7-1 ซม.
วงในแคบกวา่ เลก็ นอ้ ย เกสรเพศผู้ 6 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 5 มม. มขี นแบบ
ขนแกะหนาแน่น เกสรเพศเมียรวมรงั ไขย่ าวประมาณ 1 ซม. รงั ไขม่ ี 3 ช่อง ดอกเพศผู้
ขนาดเล็กกว่า กลีบรวมยาว 3-4 มม. รงั ไขเ่ ปน็ หมัน กา้ นชูอับเรณยู าวประมาณ 4 มม.
ผลแห้งแตกเปน็ 3 ซกี เป็นเหล่ยี ม รปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 2 ซม. มี 4-8 เมลด็
มีเยื่อหุ้มสีสม้

พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทเี่ ชยี งใหม่ นา่ น ลำ� ปาง และภาคตะวนั ออก
ท่ชี ยั ภูมิ ขึน้ บนเขาหินปนู ความสูง 350-500 เมตร

สกลุ Spatholirion Ridl. มี 6 ชนิด พบท่จี ีน เวยี ดนาม และคาบสมุทรมลายู ในไทย
มี 2 ชนิด อกี ชนดิ S. ornatum Ridl. พบที่นราธิวาส คล้ายกบั สกุลผักปลาบเครอื

391

วา่ นน�้ำทอง สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

ว่านนำ้�ทอง วา่ นเปรย้ี ว

Ludisia discolor (Ker Gawl.) Blume Boesenbergia purpureorubra Mood & L. M. Prince
วงศ์ Orchidaceae ไมล้ ม้ ลกุ เหงา้ สมี ว่ ง เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 8 มม. ลำ� ตน้ สงู ไดถ้ งึ 10 ซม.

ชอื่ พ้อง Goodyera discolor Ker Gawl. ยน่ คลา้ ยลกู ฟกู มจี ดุ สแี ดงอมมว่ ง มี 2-3 ใบ รปู ขอบขนาน ยาว 18-25 ซม. โคนแหลม
ถึงกลม แผ่นใบดา้ นลา่ งสีมว่ งอมแดง กา้ นใบยาว 3-8 ซม. ช่อดอกรปู กระสวย
กลว้ ยไมข้ ึน้ บนหนิ เหง้าทอดเลอื้ ย ลำ� ต้นอวบนำ�้ มีรากตามขอ้ มี 3-7 ใบ ออกตามซอกกาบ ยาว 9-13 ซม. ใบประดบั บาง รปู ไขแ่ กมรปู ใบหอก ยาวประมาณ
ออกเปน็ กระจกุ ท่โี คนตน้ กา้ นใบยาวไดถ้ ึง 3.4 ซม. ใบรูปไขถ่ ึงรปู ขอบขนาน ยาว 3.5 ซม. ดอกสขี าวหรือชมพู หลอดกลบี ดอกยาว 3-3.5 ซม. เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง
0.8-8.5 ซม. แผน่ ใบหนา ดา้ นบนสเี ขยี วเขม้ มสี ขี าวและสนี ้�ำตาลแดงแซม ดา้ นลา่ ง 1.5 มม. กลบี ดอกรปู ขอบขนาน ยาว 1.2-1.5 ซม. กลบี ปากเปน็ ถงุ ลกึ ปลายบานออก
มสี ีมว่ งแซม ปลายแหลม มน หรือเปน็ ตง่ิ แหลม ช่อดอกคลา้ ยชอ่ เชงิ ลด ออกที่ รูปไข่ กว้างประมาณ 1.6 ซม. ยาวประมาณ 2.8 ซม. ปากหลอดกลบี ด้านใน
ปลายยอด ตั้งตรง สูง 9-28 ซม. แกนชอ่ ยาว 1-9 ซม. ดอกเรียงหา่ ง ๆ มขี นสัน้ นมุ่ สแี ดงเปน็ มนั วาว มจี ดุ และรว้ิ สแี ดงตามขวาง ปลายกลบี ปากสชี มพอู มมว่ งออ่ น
ใบประดบั คลา้ ยทอ้ งเรอื ยาว 0.7-1.5 ซม. มเี ส้นตามยาว 1 เส้น มี 2-18 ดอก สีขาว พบั งอกลบั ดา้ นลา่ งมขี นตอ่ มประปราย แผน่ เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั รปู ไขก่ ลบั ยาว
กา้ นดอกสน้ั กลบี เลยี้ งบนรปู ไข่ ปลายมน ยาว 0.7-1 ซม. กลบี ขา้ งรปู รี เบยี้ ว ยาว ประมาณ 1 ซม. ปลายตัดหรือกลม เกสรเพศผ้ยู าวประมาณ 1 ซม. ไมม่ สี ันอับเรณู
0.9-1.2 ซม. กลบี ดอกรูปเคยี ว ปลายมน ยาว 0.8-1.1 ซม. กลบี ปากกลางกลบี (ดขู อ้ มูลเพมิ่ เตมิ ที่ กระชาย, สกุล)
เป็นรอ่ ง ปลายรูปส่เี หลย่ี มผนื ผา้ กว้าง ขนาดประมาณ 3 มม. เสา้ เกสรบิดเวยี น
ยาว 4-7 มม. อับเรณสู เี หลอื ง ยาว 4-4.5 มม. กา้ นดอกรวมรังไข่ ยาว 0.8-1.6 ซม. พืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคใตท้ ี่ระนอง สรุ าษฎร์ธานี กระบ่ี พังงา ตรงั
ฝักรปู กระสวย มีขนสั้นนมุ่ ยาว 1.2-1.6 ซม. นราธวิ าส คล้ายกับ B. longipes (King & Prain ex Rild.) Schltr. ทีก่ า้ นใบยาวกวา่
แต่ช่อดอกส้นั และกลีบปากมแี ตม้ สเี หลืองด้านใน
พบท่พี ม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทาง
ภาคตะวันออกเฉยี งใต้ท่จี ันทบุรี และกระจายทัว่ ไปทางภาคใต้ พบขน้ึ ตามโขดหิน เอกสารอา้ งอิง
ริมลำ� ธารในปา่ ดิบชืน้ ความสงู ถึงประมาณ 1100 เมตร อนง่ึ ข้อมูลส่วนใหญ่ใช้ชอื่ Mood, J.D., L.M. Prince, J.F. Veldkamp and S. Dey. (2013). The history and
L. discolor (Ker Gawl.) A. Rich. รวมท้งั ใน The Plant List และ Catalogue of identity of Boesenbergia longiflora (Zingiberaceae) and descriptions of five
Life เน่ืองจาก A. Richard เป็นผตู้ ้ังสกลุ แตผ่ ูท้ ่ยี า้ ยชนิดทถี่ กู ต้องคอื C.L. von Blume related taxa. Gardens’ Bulletin Singapore 65(1): 76-80.
Mood, J.D., J.F. Veldkamp, S. Dey and L.M. Prince. (2014). A new species
สกลุ Ludisia A. Rich. อย่ภู ายใต้วงศย์ อ่ ย Orchidoideae เผ่า Cranichideae มี and new record of Boesenbergia (Zingiberaceae) for Thailand. Gardens’
ชนดิ เดียว ชอ่ื สกลุ อาจต้ังตามชอ่ื บคุ คล Bulletin Singapore 66(2): 207-214.

เอกสารอ้างองิ
Chen, X., S.W. Gale and P.J. Cribb, (2009). Orchidaceae (Ludisia). In Flora of
China Vol. 25: 55
Pedersen, H.Æ. (2011). Orchidaceae (Ludisia). In Flora of Thailand Vol. 12(1):
178-180.

วา่ นเปรยี้ ว: B. kingii ชอ่ ดอกออกจากเหงา้ ดอกสีขาวหรือชมพู หลอดกลบี ดอกเรียวยาว กลีบปากเปน็ ถุง ด้านใน
เปน็ ปื้นสีแดงเข้มแผก่ ว้างจรดปลายกลีบ ปลายกลบี ยน่ (ภาพซ้ายและภาพกลาง: กาญจนบรุ ,ี ภาพขวา: อินเดีย; - JM)

วา่ นน�้ำทอง: แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้ม มีสขี าวและสนี ำ�้ ตาลแดงแซม ใบประดบั คล้ายทอ้ งเรือ ช่อดอกมขี นสน้ั นุ่ม ว่านเปรีย้ ว: B. purpureorubra แผน่ ใบด้านลา่ งสมี ว่ งอมแดง ช่อดอกออกตามซอกกาบรูปกระสวย ดอกสขี าว
ปลายกลีบปากรูปสเ่ี หลีย่ มผนื ผ้ากวา้ ง อับเรณสู เี หลอื ง (ภาพ: เขาหลวง นครศรีธรรมราช - NT) กลบี ปากเป็นถงุ ลึก ด้านในมจี ดุ สีแดงกระจาย ปลายกลบี พบั งอกลับ (ภาพ: ระนอง - JM)

วา่ นเปร้ยี ว ว่านผักบุง้

Boesenbergia kingii Mood & L. M. Prince Ipomoea nil (L.) Roth
วงศ์ Zingiberaceae วงศ์ Convolvulaceae

ไมล้ ม้ ลุก สูงไดถ้ งึ 1.2 ม. เหง้าสสี ้มอมแดง เส้นผ่านศนู ย์กลาง 0.5-1.5 ซม. ชอื่ พ้อง Convolvulus nil L.
ลำ� ตน้ สัน้ กาบท่ไี มม่ ใี บมี 3-7 กาบ ใบรูปขอบขนาน ยาว 40-45 ซม. สเี ขียวหรือมีป้ืน
สแี ดง โคนกลมหรือเว้าตื้น ก้านใบยาวไดถ้ งึ 20 ซม. กาบใบยาวได้ถึง 40 ซม. ชอ่ ดอก ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ยาว 2-5 ม. มีขนตามลำ� ตน้ แผน่ ใบ และกลบี เล้ียงดา้ นนอก ใบรูปไข่
ออกจากเหงา้ มี 4-5 ดอก ชอ่ รปู ทรงกระบอก ยาว 10-14 ซม. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง หรอื จกั ตืน้ ๆ 3 พู ยาว 4-14 ซม. ปลายแหลม โคนเว้าตน้ื กา้ นใบยาว 2-15 ซม.
1-1.5 ซม. ใบประดับรูปแถบ ยาว 6-11 ซม. ดอกสีขาวหรือชมพู หลอดกลบี ดอกยาว กา้ นชอ่ ดอกยาว 1-7 ซม. ใบประดบั รปู แถบหรอื รปู เสน้ ดา้ ย ยาว 5-8 มม. กา้ นดอก
10-15 ซม. เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 4 มม. สีขาว กลบี ดอกรปู ขอบขนาน ยาว 3.5-4 ซม. ยาว 2-7 มม. กลีบเลยี้ งรูปใบหอก ยาว 1-2.5 ซม. ปลายเรียวแหลม ติดทน
กลีบปากเป็นถงุ รปู ไข่กว้าง ยาว 5-6 ซม. ด้านในมีปนื้ สแี ดงจรดปลายกลีบ ดอกรปู แตร ยาว 5-7.5 ซม. สมี ว่ งออ่ นหรอื เขม้ เปลยี่ นเปน็ สชี มพู หลอดกลบี ดอก
ปลายกลีบยน่ ด้านล่างมขี นตอ่ มประปราย แผ่นเกสรเพศผู้ท่เี ปน็ หมันรูปไขก่ ลับ สขี าว เกสรเพศผยู้ าวไมเ่ ทา่ กนั ไมย่ นื่ พน้ ปากหลอดกลบี อบั เรณไู มบ่ ดิ เวยี น รงั ไขเ่ กลย้ี ง
ยาวประมาณ 2.5 ซม. มขี นตอ่ มประปราย ปลายม้วนลง เกสรเพศผยู้ าว 12 มม. ผลเกลยี้ ง เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.8-1 ซม. เมลด็ รปู ไขแ่ กมสามเหลยี่ ม ยาวประมาณ
ไมม่ ถี ว้ ยรองอบั เรณู (ดูข้อมูลเพิม่ เติมที่ กระชาย, สกลุ ) 5 มม. สีดำ� มขี นละเอียดสีเทา (ดูข้อมูลเพมิ่ เติมที่ ผักบุ้ง, สกุล)

พบทอี่ นิ เดยี บงั กลาเทศ จนี ตอนใต้ พมา่ และลาว ในไทยพบทางภาคเหนอื และ
ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ เบญจพรรณ ความสงู 200-300 เมตร

392

ว่านหยกอีสาน สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

ว่านสีลากลบี ผอม: ดอกสีขาวอมเขยี วอ่อน กลบี เลีย้ งและกลบี ดอกรูปแถบ ปลายเรียวแหลมคลา้ ยหาง กลบี ปาก พบท่ีอนิ เดยี ภฏู าน เนปาล จนี ตอนใต้ พม่า และเวยี ดนาม ในไทยพบทาง
รูปใบหอก กลางแผ่นกลีบมสี ันนูน (ภาพ: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - NT) ภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขึ้นตามปา่ ดบิ แลง้ และป่าดบิ เขา ความสงู
ถึงประมาณ 1500 เมตร หวั ใช้กนิ แกก้ ามโรคและโรคทางเดินปสั สาวะ
ว่านหยกอสี าน
สกุล Disporum Salisb. เดมิ อยภู่ ายใตว้ งศ์ Liliaceae, Colchicaceae หรือ
Zingiber junceum Gagnep. Convallariaceae มปี ระมาณ 20 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชยี รวมถงึ รสั เซยี ญ่ปี นุ่
วงศ์ Zingiberaceae และเกาหลี ชอ่ื สกุลมาจากภาษากรีก “dis” 2 เทา่ และ “spor” เมล็ด ตาม
ลกั ษณะผลที่ส่วนมากมี 2 เมลด็
ไม้ล้มลกุ สงู ไดถ้ ึง 50 ซม. ส่วนต่าง ๆ เกลยี้ ง ล้ินกาบยาว 2-4 มม. ปลายจกั 2 พู เอกสารอ้างองิ
ใบรปู แถบ ยาว 12-18 ซม. ปลายแหลมยาว โคนกลมจรดกาบใบ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง Liang, S.Y. and M.N. Tamura. (2000). Liliaceae (Disporum). In Flora of China
มนี วล ไรก้ า้ น ชอ่ ดอกออกดา้ นขา้ งของตน้ ทมี่ ใี บ กา้ นชอ่ ยาว 10-15 ซม. ชอ่ ดอก
รปู กระสวย ยาว 10-20 ซม. ใบประดบั รปู รหี รอื รปู ไขก่ ลบั ยาว 2-2.5 ซม. สเี ขยี ว Vol. 24: 157.
เปลี่ยนเป็นสแี ดง ขอบบาง ใบประดับย่อยรปู รี ยาวประมาณ 2.5 ซม. กลีบเลยี้ ง
สน้ั กวา่ ใบประดบั ยอ่ ย ดอกสเี หลอื ง ยาวประมาณ 3.5 ซม. กลบี ดอกรปู ขอบขนาน วา่ นหวั สืบ: ชอ่ ดอกแบบช่อซ่รี ม่ ออกตามกิ่งดา้ นขา้ งตรงขา้ มใบ โคนกลบี ดอกมเี ดือยตรง ยอดเกสรเพศเมียแยก 3 แฉก
กลบี หลงั ยาวประมาณ 1.5 ซม. กลบี ขา้ งสนั้ กวา่ เลก็ นอ้ ย กลบี ปากสเี หลอื ง รปู รกี วา้ ง (ภาพ: ทงุ่ ใหญน่ เรศวร ตาก - PK)
กวา้ งประมาณ 1.2 ซม. ยาวประมาณ 1.5 ซม. ปลายแฉกตน้ื ๆ แผ่นเกสรเพศผู้
ท่ีเป็นหมันรปู กลม ๆ ส้นั (ดขู ้อมลู เพ่มิ เตมิ ที่ ขิง, สกุล) ว่านหาวนอน

พบที่ลาว กัมพูชา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยทีบ่ งึ กาฬ สกลนคร Kaempferia rotunda L.
มกุ ดาหาร ขนึ้ ตามปา่ เต็งรงั ทเ่ี ป็นดนิ ทราย ความสงู 100-200 เมตร วงศ์ Zingiberaceae

เอกสารอา้ งอิง ไมล้ ม้ ลุก สงู 10-30 ซม. เหง้ายาว 2.5-3.5 ซม. กลน่ิ หอมแรง มขี นตามแผน่ ใบ
Theilade, I. (1999). A synopsis of the genus Zingiber (Zingiberaceae) in Thailand. ดา้ นล่าง ใบประดับ และกลบี เล้ียง ใบมี 2-4 ใบ รูปขอบขนานหรอื รูปใบหอก
Nordic Journal of Botany 9(4): 393. ยาว 7-35 ซม. ก้านใบยาว 1-2 ซม. กาบใบยาว 6-10 ซม. ชอ่ ดอกออกจากเหงา้
กอ่ นผลใิ บหรอื พรอ้ มใบออ่ น กา้ นชอ่ สนั้ กาบประดบั ยาวไดถ้ งึ 5 ซม. มี 4-12 ดอก
วา่ นหยกอสี าน: ส่วนต่าง ๆ เกล้ยี ง ใบรปู แถบ ชอ่ ดอกออกด้านข้างของตน้ ทม่ี ใี บ รปู กระสวย กลีบดอกและกลีบปาก บานครงั้ ละ 1-2 ดอก ใบประดบั รปู ขอบขนาน ยาว 2-4 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยสนั้ และ
สเี หลอื ง แผ่นเกสรเพศผทู้ ่ีเปน็ หมันด้านข้างรปู กลม สนั้ (ภาพซา้ ย: บงึ กาฬ - RP; ภาพขวา: มุกดาหาร - PK) เรยี วแคบกวา่ กลีบเลีย้ งยาว 3-6 ซม. ดอกสขี าว หลอดกลีบดอกยาว 5-5.5 ซม.
กลบี ดอกรปู แถบ ปลายมีรยางค์ กลีบหลงั ยาว 4-5 ซม. กลบี ขา้ งส้นั กวา่ เล็กน้อย
วา่ นหวั สบื แผน่ เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั รปู ขอบขนาน ยาว 2-4 ซม. กลบี ปากสมี ว่ ง มปี น้ื สเี หลอื ง
ทโ่ี คน ยาวประมาณ 4 ซม. ปลายแฉกลึก อับเรณูยาว 5-8 มม. สันอบั เรณจู ัก 2 พู
Disporum calcaratum D. Don มีต่อม 2 ต่อม ยอดเกสรรปู ถว้ ย ขอบมีขน (ดขู ้อมูลเพมิ่ เตมิ ที่ เปราะหอม, สกุล)
วงศ์ Asparagaceae
พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา จนี ตอนใต้ ไตห้ วนั พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี คาบสมทุ รมลายู
ไมล้ ม้ ลกุ สงู ไดถ้ งึ 1 ม. เหงา้ สน้ั ลำ� ตน้ แตกกง่ิ ใบเรยี งเวยี น รปู รี รปู ขอบขนาน และชวา ในไทยพบทกุ ภาค ข้นึ ตามท่โี ลง่ ในปา่ เบญจพรรณ ปา่ เต็งรงั ปา่ ดบิ แลง้
หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 5-8 ซม. ปลายแหลมยาว โคนมนหรือกลม เส้นใบเรียงขนานกนั และเขาหนิ ปูน ความสูง 50-1300 เมตร ใบอ่อนและรากกินเปน็ ผกั สด เหง้าและ
3-7 เส้น ก้านใบยาว 3-5 มม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ ซ่รี ม่ ออกตามก่งิ ด้านข้างตรงข้ามใบ รากทำ� เป็นครีมใช้ทาแผลสดและใช้รว่ มเป็นยาสมนุ ไพรหลายขนาน
มี 3-10 ดอก กา้ นชอ่ สนั้ กา้ นดอกยาว 1-2 ซม. มรี วิ้ และปมุ่ กระจาย ดอกรปู คลา้ ย
ระฆงั สชี มพอู มแดงหรือมว่ ง กลีบรวม 6 กลีบ แยกกัน รูปใบหอกกลับ ยาว เอกสารอ้างอิง
1.2-2 ซม. โคนมเี ดือยรปู ทรงกระบอก ตรงหรือโค้งเลก็ นอ้ ย ยาว 4-8 มม. เกสรเพศผู้ Sabu, M. (2006). Zingiberaceae and Costaceae of south India. Indian Association for
6 อัน ติดทีโ่ คนกลีบรวม ยาว 1-1.8 ซม. ก้านชอู บั เรณแู บน ๆ ยาว 0.7-1.3 ซม. Angiosperm Taxonomy, Department of Botany, Calicut University, Kerala, India.
อับเรณยู าว 4-5 มม. รังไข่มี 3 ชอ่ ง ยาวประมาณ 3 มม. ก้านเกสรเพศเมียรูปเสน้ ดา้ ย Sirirugsa, P. (1991). The genus Kaempferia in Thailand. Thai Forest Bulletin
ยาว 5-9 มม. ปลายแยก 3 แฉก บานออก ผลสด เสน้ ผ่านศนู ย์กลางประมาณ 1 ซม. (Botany) 19: 7-8.
สกุ สดี ำ� ส่วนมากมี 2 เมล็ด
วา่ นหาวนอน: ช่อดอกออกจากเหง้ากอ่ นผลใิ บหรอื พร้อมใบออ่ น บานครงั้ ละ 1-2 ดอก กลบี ดอกรปู แถบ กลบี ปาก
ปลายแฉกลึก รากอวบหนาเปน็ หัวขนาดเลก็ (ภาพดอก: พบพระ ตาก - PK; ภาพราก: เชยี งใหม่ - SSi)

394

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย ศรจี นั ทรา

แววตา แววมยเุ รศ

Thunbergia alata Bojer ex Sims Torenia fournieri Linden ex E. Fourn.
วงศ์ Acanthaceae ไมล้ ม้ ลกุ สงู 20-40 ซม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามเหลยี่ มของลำ� ตน้ แผน่ ใบทง้ั สองดา้ น

ไม้เถาลม้ ลกุ มขี นหนาแนน่ ตามกง่ิ แผน่ ใบท้ังสองด้าน กลบี เล้ยี งด้านนอก กา้ นใบ และกา้ นดอก ใบรูปไข่ ยาว 1.5-5 ซม. ปลายแหลม โคนรปู ลม่ิ ถงึ กลม
และผล ใบรูปหัวใจหรือหวั ลูกศร ยาว 2.5-7 ซม. ขอบเรียบหรอื จกั ซีฟ่ นั เส้นโคนใบ ก้านใบยาว 0.3-2 ซม. ดอกออกเปน็ ช่อกระจะ มกั ออกเปน็ คู่ ๆ ท่ปี ลายกง่ิ กา้ นดอก
ขา้ งละ 2 เส้น ก้านใบยาว 1-4 ซม. มปี ีก ดอกออกเดยี่ ว ๆ ตามซอกใบ ใบประดบั ยาว 1-3 ซม. ใบประดบั รปู เส้นดา้ ย ยาว 2-7 มม. กลบี เลี้ยงยาว 1.4-2 ซม. หลอดกลีบ
แฉกดา้ นเดยี ว เปน็ สนั หมุ้ กลบี เลยี้ ง ตดิ ทน กลบี เลยี้ งขนาดเลก็ มไี ดถ้ งึ 12 แฉก มี 5 สนั เป็นครีบคลา้ ยปีกไมถ่ ึงบนก้านดอก กวา้ ง 2-3 มม. ดอกสีมว่ งออ่ น ยาว
ดอกรปู แตร สีสม้ อมเหลืองหรือสีอ่ืนๆ โคนกลีบด้านในสว่ นมากมีสเี ขม้ หลอด 2.5-3.5 ซม. หลอดกลบี ดอกดา้ นในสเี หลอื ง ปลายกลบี ลา่ งสเี ขม้ มกั มปี น้ื สเี หลอื ง
กลบี ดอกโคง้ งอ เรยี วยาว ยาว 1.5-2.5 ซม. กลีบรูปไข่กลบั ปลายตัด ยาว 3-4 ซม. กลีบบนกว้าง 1.3-1.5 ซม. ยาว 0.8-1 ซม. กลบี ลา่ งกลม ขนาดเล็กกวา่ กลบี บน
เกสรเพศผตู้ ดิ ใกลโ้ คนหลอดกลบี จานฐานดอกรปู วงแหวน มตี อ่ มนำ้� ตอ้ ย ผลยาว เกสรเพศผู้คู่ล่างไมม่ ีเดือยทโี่ คน ผลยาวประมาณ 1 ซม.
ประมาณ 2-2.5 ซม. ปลายมีจะงอย (ดูข้อมลู เพิ่มเติมที่ รางจืด, สกุล)
พบทจ่ี นี ตอนใตแ้ ละภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามทโี่ ลง่ ทชี่ นื้ แฉะ
มถี นิ่ ก�ำเนดิ ในแอฟรกิ าตะวนั ออก เปน็ ไมป้ ระดบั มหี ลากสายพนั ธแ์ุ ละหลากสี ชายปา่ บนกอ้ นหนิ รมิ ลำ� ธาร ความสงู ถงึ ประมาณ 1200 เมตร ตน้ ทเ่ี ปน็ ไมป้ ระดบั
มหี ลากสายพนั ธุ์และหลากสี
เอกสารอา้ งองิ
Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum เอกสารอา้ งอิง
Press, Honolulu, Hawai`i. Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
Press, Honolulu, Hawai`i.
Yamazaki, T. (1990). Scrophulariaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(2): 213-214.

แววตา: มีขนหนาแน่น ดอกออกเดีย่ ว ๆ ตามซอกใบ ใบประดับเป็นสนั ห้มุ กลบี เลย้ี ง ติดทน ดอกรูปแตร สีส้มอมเหลอื ง แววมยุรา: ใบเรียงตรงข้าม ช่อดอกคล้ายช่อซร่ี ่ม หลอดกลีบเล้ยี งมี 5 สันเปน็ ครบี ถงึ บนก้านดอก (ภาพซ้าย:
โคนกลบี ด้านในสเี ข้ม (ภาพ: cultivated - RP) ห้วยขาแข้ง อุทยั ธานี - PK); แววมยุเรศ: ดอกออกเป็นชอ่ กระจะ มักออกเปน็ คู่ ๆ ทีป่ ลายกงิ่ สนั กลบี เลี้ยงไม่ถึงบนกา้ นดอก
ตน้ ทเี่ ปน็ ไมป้ ระดับมหี ลากสี (ภาพขวาบน: แจ้ซอ้ น ล�ำปาง - RP; ภาพขวาลา่ ง: cultivated - PT)
แววมยุรา, สกุล
ศรจี ันทรา
Torenia L.
วงศ์ Linderniaceae Rosa helenae Rehder & E. H. Wilson
วงศ์ Rosaceae
ไม้ล้มลกุ ลำ� ตน้ มักเป็นเหลีย่ ม ใบเรยี งตรงข้าม ขอบจกั ดอกออกเดีย่ ว ๆ
หรอื เปน็ ชอ่ กระจะตามซอกใบหรอื ปลายกงิ่ กลบี เลย้ี งคลา้ ยรปู ปากเปดิ กลบี บน ไมพ้ มุ่ มีไหลยาวไดถ้ ึง 10 ม. ลำ� ต้นมหี นามเป็นตะขอ ยาวประมาณ 4 มม. มีขน
3 กลบี กลีบล่างจกั 2 พู หลอดกลีบเป็นครบี หรือปกี กลบี ดอกรปู ปากเปดิ กลบี และขนต่อมตามขอบหใู บ เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง ช่อดอก ก้านดอก และกลีบเล้ียง
บนเรยี บหรือเวา้ ต้ืน กลบี ลา่ ง 3 กลีบ บานออก เกสรเพศผู้คหู่ น้ายาวกวา่ ค่หู ลงั ด้านนอก หใู บยาว 1.5-2.5 ซม. แนบติดกา้ นใบ ปลายเปน็ ต่ิงแหลม ใบประกอบมี
สว่ นมากมีเดือยทีโ่ คน อบั เรณูเชอื่ มตดิ เปน็ คู่ กางออก โคนมีรยางค์ รงั ไข่เรยี ว 5-9 ใบยอ่ ย เรยี งเวยี น ยาว 8-17 ซม. รวมกา้ น มหี นามเปน็ ตะขอขนาดเลก็ กระจาย
ยาว มี 2 ชอ่ ง ก้านเกสรเพศเมยี รปู เส้นด้าย ยอดเกสรมี 2 ครีบ ผลแห้งแตกตาม ใบย่อยรูปไขแ่ กมรปู ขอบขนาน ยาว 2.5-4.5 ซม. โคนกลมหรอื รปู ลม่ิ กวา้ ง ขอบ
แนวตะเข็บ รูปขอบขนาน มกี ลีบเลี้ยงติดทนหุม้ เมล็ดขนาดเล็กจำ� นวนมาก จกั ฟนั เลอ่ื ย กา้ นใบสนั้ ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ หลนั่ ออกสน้ั ๆ ทปี่ ลายกงิ่ กา้ นดอกยาว
1.5-3 ซม. ดอกบานเส้นผา่ นศูนย์กลาง 2.5-3.5 ซม. กลบี เล้ียง 5 กลบี รูปใบหอก
สกุล Torenia เคยอยู่ภายใตว้ งศ์ Scrophulariaceae มีประมาณ 50 ชนดิ พบใน ปลายแหลมยาว ขอบจกั ตดิ ทน ดา้ นในมขี นหนาแนน่ กลบี ดอก 5 กลบี เรยี งซอ้ นเหลอ่ื ม
เอเชียเขตร้อน ในไทยมี 9 ชนดิ ชอื่ สกลุ ตง้ั ตาม Reverrend Olof Torén (1718-1753) รปู ไขก่ ลบั ปลายกลบี เวา้ ตน้ื เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมากตดิ บนจานฐานดอก คารเ์ พล
หมอสอนศาสนาและนักสำ�รวจชาวสวเี ดน ผคู้ น้ พบ T. asiatica L. จำ� นวนมากแยกกนั กา้ นเกสรเพศเมยี เปน็ หลอด ยาวเทา่ ๆ เกสรเพศผู้ ผลคลา้ ย
ผลสดมฐี านดอกเจรญิ หมุ้ รปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 1-1.5 ซม. เมลด็ ขนาดเลก็ จ�ำนวนมาก
แววมยรุ า
พบทจี่ นี ตอนใต้ เวยี ดนามตอนบน และภาคเหนอื ของไทย พบทด่ี อยเชยี งดาว
Torenia violacea (Azaola ex Blanco) Pennell จังหวดั เชียงใหม่ ขึน้ ตามท่ีโลง่ บนเขาหินปูน ความสงู 1800-2200 เมตร

ชอ่ื พ้อง Mimulus violaceus Azaola ex Blanco สกลุ Rosa L. อยวู่ งศ์ยอ่ ย Rosoideae มีประมาณ 200 ชนิด สว่ นมากพบในเขต
อบอุน่ และก่ึงเขตรอ้ น หลายชนดิ เป็นไม้ประดบั เชน่ กุหลาบสายพันธุต์ า่ ง ๆ
ไม้ล้มลกุ สงู 10-40 ซม. มีขนส้นั นมุ่ ตามเหลี่ยมของล�ำต้น แผน่ ใบด้านบน ในไทยมีพืชพน้ื เมือง 2 ชนิด อีกชนดิ คือ R. clinophylla Redouté & Thory หใู บ
เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ กา้ นดอก และสนั กลบี เลยี้ ง ใบรปู ไข่ ยาว 1.5-4 ซม. ไม่แนบติดก้านใบ ดอกสขี าว ชอ่ื สกลุ เป็นภาษาละตินหมายถงึ สีแดง
ปลายแหลม โคนรูปลมิ่ ถงึ กลม ก้านใบยาว 0.5-2 ซม. ดอกออกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ
หรอื คล้ายชอ่ ซ่ีร่ม 2-4 ดอก ท่ปี ลายกง่ิ กา้ นดอกยาว 1-2 ซม. ใบประดบั รปู เส้นดา้ ย เอกสารอ้างองิ
ยาว 1-3 มม. กลีบเลีย้ งยาว 1-1.2 ซม. ขยายเลก็ นอ้ ยในผล มี 5 สนั เปน็ ครีบถงึ บน Gu, C., and K.R. Robertson. (2003). Rosaceae (Rosa). In Flora of China Vol. 9: 375.
กา้ นดอก ครบี กวา้ ง 1-2 มม. ดอกสขี าวอมมว่ ง ดา้ นในสอี อ่ นเกอื บขาว มปี น้ื สเี หลอื ง Vidal, J.E. (1970). Rosaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(1): 63-66.
ขอบกลบี ลา่ งมีสีเขม้ ยาว 2-2.5 ซม. กลบี บนรปู กลม กว้างประมาณ 6 มม. ยาว
ประมาณ 4 มม. กลบี ลา่ งขนาดเลก็ กวา่ กลบี บน เกสรเพศผคู้ ลู่ า่ งไมม่ เี ดอื ยทโี่ คน
ผลแหง้ แตก ยาว 0.8-1 ซม.

พบทอ่ี ินเดยี จนี ตอนใต้ ภมู ิภาคอนิ โดจนี และมาเลเซีย ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และนวิ กนิ ี
ในไทยพบทุกภาค ขึน้ ตามที่โล่งท่ชี ืน้ แฉะ ชายป่า บนก้อนหนิ รมิ ลำ� ธาร ความสงู
ถึงประมาณ 1300 เมตร

395

ศศธิ ร สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

ศรจี นั ทรา: ใบประกอบ ขอบจักฟนั เลอ่ื ย ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงหล่ัน ออกส้นั ๆ ทปี่ ลายกง่ิ กลบี ดอก 5 กลบี ปลายกลีบ เศวตฉัตร, สกลุ
เว้าต้ืน เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก (ภาพ: ดอยเชยี งดาว เชียงใหม่ - MT)
Damrongia Kerr ex Craib
ศศิธร วงศ์ Gesneriaceae

Merremia mammosa (Lour.) Hallier f. ไม้ล้มลุก ไม่มีล�ำต้น ใบเรียงเวียนเป็นวง ช่อดอกก้านโดดออกตามซอกใบ
วงศ์ Convolvulaceae ใบประดบั เปน็ คหู่ รอื แยกสาม กลบี เลย้ี งรปู ปากเปดิ แยกจรดโคนหรอื เชอื่ มตดิ กนั
เป็นหลอดส้นั ๆ กลบี รปู สามเหล่ียม บางครงั้ กลบี บน 3 กลีบเชอ่ื มตดิ กันคลา้ ยมี
ชื่อพอ้ ง Convolvulus mammosus Lour. 3 กลบี ดอกรูปแตร กลบี รปู ปากเปดิ กลบี บน 2 กลบี กลีบลา่ ง 3 กลบี เกสรเพศผู้
2 อัน อบั เรณูเชอ่ื มตดิ กนั จานฐานดอกเปน็ วง รงั ไข่เรียวจรดก้านเกสรเพศเมยี
ไมล้ ม้ ลกุ เถา ยาวได้ถงึ 15 ม. มีหัวใตด้ นิ ลำ� ต้นเกลีย้ ง นำ้� ยางขาว ใบกลม ยอดเกสรเพศเมยี คลา้ ยจกั 2 พู พบู นลดรปู (chiritoid stigma) พลู า่ งบางครง้ั
หรือรูปรีกวา้ ง กวา้ ง 5-15 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายแหลมมตี ง่ิ โคนรูปหัวใจ ก้านใบ แยก 2 แฉก ผลแหง้ แตกเปน็ 2 ซีก เมล็ดขนาดเลก็ จ�ำนวนมาก
ยาว 6-10 ซม. ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ใบประดับยาว
0.7-1 ซม. รว่ งเรว็ ดอกจ�ำนวนมาก หลอดกลีบสีเขม้ กา้ นดอกยาว 1.2-1.5 ซม. สกุล Damrongia เคยถูกยบุ ใหอ้ ยภู่ ายใตส้ กุล Chirita ท่ีปจั จบุ ันทุกชนิดในไทย
ปลายก้านหนา กลีบเลีย้ งกลบี นอก 3 กลบี รูปไข่ ยาว 2.4-3.5 ซม. กลีบค่ใู นแคบกว่า ถูกยา้ ยไปอยู่สกุล Damrongia, Henckelia หรอื Microchirita ปัจจบุ ันมี 7-8 ชนดิ
ขยายในผลเลก็ น้อย ดอกรปู แตร สขี าวนวล ยาว 7-8 ซม. ปลายจกั ตืน้ ๆ เกสรเพศผู้ พบเฉพาะท่คี าบสมทุ รมลายแู ละไทย ช่อื สกลุ ตัง้ เป็นเกียรตแิ ก่สมเดจ็ พระเจา้
ไมย่ น่ื พน้ ปากหลอดกลบี มขี นดา้ นลา่ ง อบั เรณบู ดิ เปน็ เกลยี ว รงั ไขเ่ กลย้ี ง ผลกลม บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ (พ.ศ. 2405-2486) อนง่ึ Streptocarpus
เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 1.5-2 ซม. ผิวแยกเปน็ เสีย่ ง ๆ มี 4 เมลด็ รปู สามเหลี่ยมมน orientalis Craib ทเ่ี ปน็ พืชถิ่นเดียวของไทย พบทเ่ี ชียงใหม่ ตาก จะถกู ยบุ ให้อยู่
ยาวประมาณ 8 มม. ขอบมขี นหนาแน่น ขนยาว 0.8-1 ซม. (ดขู ้อมลู เพม่ิ เติมท่ี ภายใต้สกุล Damrongia (David Middleton, pers. com) ส่วนสกุล Streptocarpus
จงิ จ้อเหลอื ง, สกลุ ) พบเฉพาะในแอฟริกา และมาดากัสการ์ ผลบิดเป็นเกลยี ว ในไทยพบเปน็ ไม้ประดบั
มีหลากสายพนั ธ์ุ เช่น แพรวโพยม S. saxorum Engl. หรอื False African Violet
พบทอี่ นิ เดยี พมา่ เวยี ดนาม และชวา ในไทยพบทางภาคเหนอื ทเ่ี ชยี งใหม่ พษิ ณโุ ลก
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทมี่ กุ ดาหาร ภาคตะวนั ออกทอี่ บุ ลราชธานี ชยั ภมู ิ ภาคกลาง เศวตฉัตร
ทลี่ พบรุ ี สระบรุ ี และภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ กี่ าญจนบรุ ี ขน้ึ ตามชายปา่ เบญจพรรณ
หรือป่าดิบแล้งที่เป็นหินปูน ความสูง 100-400 เมตร ในชวาใช้หัวใต้ดินเป็น Damrongia purpureolineata Kerr ex Craib
สมุนไพร และกินเป็นอาหาร ไมล้ ม้ ลกุ ขน้ึ บนกอ้ นหนิ มขี นยาวหนาแนน่ ตามแผน่ ใบ กา้ นใบ ชอ่ ดอก ใบประดบั

เอกสารอา้ งอิง และกลีบเล้ียง ใบรปู รหี รือรูปไข่ ยาว 2-11 ซม. ปลายมน โคนเรียวสอบจรดก้านใบ
Hoogland, R.D. (1953). Convolvulaceae. In Flora Malesiana Vol. 4: 450-451. ขอบจักซฟ่ี นั ห่าง ๆ ก้านใบยาวเท่า ๆ ใบ กา้ นช่อดอกยาว 5-10 ซม. มีดอกเดยี ว
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 439. หรือเป็นกระจุกคล้ายช่อซี่ร่มหลายดอก ใบประดับคล้ายใบ รูปขอบขนาน ยาว
0.5-1 ซม. กา้ นดอกยาวเทา่ ๆ ใบประดับหรอื สั้นกวา่ เล็กนอ้ ย กลีบเล้ยี งยาว 1-1.5 ซม.
แฉกลึกประมาณกึง่ หน่ึง รปู ใบหอก ขอบจกั ซ่ีฟนั หา่ ง ๆ ติดทน ดอกสีขาว โคน
ดา้ นในหลอดกลบี มปี น้ื สมี ว่ ง หลอดกลบี ยาวประมาณ 1 ซม. กลบี รปู รกี วา้ ง กลบี คบู่ น
ยาวประมาณ 4.5 มม. 3 กลีบ

พืชถ่นิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทต่ี าก ล�ำพูน ขึน้ ตามป่าเบญจพรรณ
รมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ ปิง ความสงู ประมาณ 300 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Craib, W.G. (1911). Contribtions to the Flora of Siam LIII. Bulletin of Miscellaneous
Information Kew 1911: 432.
________. (1918). Contributions to the Flora of Siam, Additamentum X. Bulletin of
Miscellaneous Information Kew 1918: 364-365.
Weber, A., D.J. Middleton, A. Forrest, R. Kiew, C.L. Lim, A.R. Rafidah, S. Sontag,
P. Triboun, Y.G. Wei, T.L. Yao and M. Möller. (2011). Molecular systematics
and remodelling of Chirita and associated genera (Gesneriaceae). Taxon
60(3): 777-778.

เศวตฉัตร: ไม้ลม้ ลกุ ขนึ้ บนก้อนหิน ดอกเป็นกระจกุ คลา้ ยช่อซ่รี ่ม กลีบเลยี้ งติดทน ดอกสขี าว โคนหลอดกลบี ด้านใน
มปี ้นื สมี ว่ ง (ภาพ: ตาก - DM)

ศศิธร: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุก กา้ นชอ่ ยาว ปลายก้านดอกหนา กลีบเลย้ี งขยายในผลเล็กน้อย ดอกรปู แตร สีขาวนวล แพรวโพยม: ผลบดิ เปน็ เกลียว (ภาพ: cultivated - RP)
ผลเกลี้ยง ผวิ แยกเปน็ เสี่ยง เมลด็ ขอบมขี นหนาแนน่ (ภาพ: พระพุทธบาท สระบุรี - RP)

396

สารานุกรมพืชในประเทศไทย สตีตน้

เศวตสอดสี พบทอี่ นิ เดยี พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทกุ ภาค
ขนึ้ ตามปา่ เบญจพรรณ ทงุ่ หญา้ และทอ้ งไรท่ อ้ งนา ความสงู ถงึ ประมาณ 400 เมตร
Thunia alba (Lindl.) Rchb. f.
วงศ์ Orchidaceae เอกสารอา้ งองิ
Nanakorn, W. (1985). The genus Terminalia (Combretaceae) in Thailand. Thai
ชือ่ พ้อง Phaius albus Lindl. Forest Bulletin (Botany) 15: 83-85.

กลว้ ยไมข้ นึ้ บนพน้ื ดนิ หรอื องิ อาศยั เหงา้ สนั้ ลำ� ตน้ กลม หนา ใบเรยี งสลบั ระนาบ สกุณ:ี ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงลด ออกทซ่ี อกใบใกล้ปลายกง่ิ ผลมีปีก 2 ปีก (ภาพ: นครนายก - SR)
เดยี ว ยาว 15-40 ซม. ใบชว่ งลา่ งส้ัน รูปรี รปู ไข่ หรอื รูปขอบขนาน ใบช่วงบน
รปู ใบหอกหรอื รปู แถบ แผน่ ใบดา้ นลา่ งมนี วล โคนเรยี วยาวเปน็ กาบ ชอ่ ดอกแบบ สตตี น้ , สกุล
ช่อกระจะออกท่ปี ลายกงิ่ ห้อยลงเลก็ นอ้ ย ยาว 12-15 ซม. แกนชอ่ ยาว 3-6 ซม.
มี 5-7 ดอก ใบประดบั ก้านช่อรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ยาว 2.5-3.5 ซม. บนแกนชอ่ Sloanea L.
ยาว 4.5-5.5 ซม. ดอกสขี าว กลบี เลย้ี งคลา้ ยกลบี ดอก รปู ใบหอก ยาว 6-8.5 ซม. วงศ์ Elaeocarpaceae
กลีบดอกเรยี วแคบกว่าเล็กน้อย กลบี ปากมปี ืน้ สเี หลือง กลีบรูปรหี รือแกมรูปไข่
ยาว 4.5-5.5 ซม. มีแผงขนครุย 5 หรือหลายแผง สีเหลอื งอมส้ม ขอบกลบี ยน่ ไม้ต้น หใู บขนาดเล็ก รว่ งเร็ว ใบเรยี งเวียน ดอกส่วนมากออกเด่ยี ว ๆ ตามซอกใบ
โคนมเี ดือย ยาว 1.5-1.8 ซม. ปลายจัก 2 พู เสา้ เกสรยาวประมาณ 2 ซม. ปลายมปี ีก กลีบดอกและกลีบเล้ียงจ�ำนวนอย่างละ 4-5 กลีบ ปลายกลีบดอกมักจักซ่ีฟัน
กล่มุ เกสรเพศผู้ 4 กลุม่ แตล่ ะกลุ่มจัก 2 พู รังไขร่ วมก้านดอกยาว 1.5-4.5 ซม. เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก ติดบนจานรองดอก อับเรณูติดท่ีฐาน รูปแถบ แกนมี
ผลแหง้ แตก รูปขอบขนาน ยาว 3.5-4.5 ซม. รยางค์แข็ง รงั ไขม่ ขี น มี 3-7 ชอ่ ง แต่ละช่องมีออวุลหลายเมด็ ก้านเกสรเพศเมีย
รปู ลมิ่ แคบ แยกหรอื เชอ่ื มตดิ กนั ทโี่ คน ยอดเกสรแหลม ผลแหง้ แตก ผนงั ชน้ั นอกแขง็
พบทอี่ นิ เดยี ภฏู าน เนปาล จนี ตอนใต้ พมา่ เวยี ดนาม และคาบสมทุ รมลายู ในไทย มหี นามยาวหรือส้ัน ๆ แตกเป็น 3-5 สว่ น เมลด็ สดี �ำ มีเย่ือหุ้มประมาณกึ่งหนึ่ง
สว่ นมากพบทางภาคเหนอื กระจายหา่ ง ๆ ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ จี่ นั ทบรุ ี และ
ภาคใตท้ ส่ี ตูล ขน้ึ ตามป่าดิบเขา ความสงู 1000-1800 เมตร แยกเป็น var. bracteata สกลุ Sloanea มีประมาณ 150 ชนิด พบในอเมริกาเขตร้อน เอเชยี และออสเตรเลีย
(Roxb.) N. Pearce & P. J. Cribb พบท่ีอนิ เดยี เนปาล ภูฏาน พม่า ในไทยพบทาง ในไทยมี 2 ชนิด ชือ่ สกลุ ต้ังตามนกั ธรรมชาตวิ ิทยาชาวไอร์แลนด์เหนอื Sir
ภาคเหนอื ทเ่ี ชยี งใหม่ และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเ่ี ลย กลบี ปากมปี น้ื สมี ว่ งอมชมพู Hans Sloane (1660-1753)

สกลุ Thunia Rchb. f. อยู่ภายใตว้ งศ์ยอ่ ย Epidendroideae เผา่ Arethuseae มี สตขี น
4 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชีย ในไทยมี 3 ชนิด ชือ่ สกลุ ตัง้ เปน็ เกยี รตแิ ก่เจา้ ชาย
แหง่ เชโกสโลวะเกยี Franz Anton von Thun und Hohenstein (1786-1873) Sloanea tomentosa (Benth.) Rehd. & E. H. Wilson
เอกสารอ้างองิ
Seidenfaden, G. (1986). Orchid genera in Thailand VI: Thunia Rchb. f. Opera ชอื่ พอ้ ง Echinocarpus tomentosa Benth.

Botanica 89: 10-15. ไมต้ น้ สูงได้ประมาณ 30 ม. มีขนสน้ั สนี ำ�้ ตาลแดงตามก่งิ แผ่นใบด้านล่าง
Suddee, S. (2014). Orchidaceae (Thunia). In Flora of Thailand Vol. 12(2): 654-658. กา้ นใบ กา้ นดอก กลบี เลยี้ ง กลบี ดอก และรงั ไข่ ใบรปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 11-20 ซม.
ปลายกลมหรอื เป็นตง่ิ แหลมสนั้ ๆ โคนกลมหรอื มน มักเบีย้ วเล็กน้อย ก้านใบยาว
เศวตสอดส:ี ช่อดอกออกทป่ี ลายกง่ิ กลีบปากมีแผงขนครยุ มปี ื้นสีเหลือง (ภาพซ้าย: ภหู นิ รอ่ งกลา้ พิษณุโลก - CK; 2.5-3.5 ซม. กา้ นดอกยาว 1-3 ซม. กลีบเล้ยี ง 5 กลบี รูปไข่ ยาวเท่า ๆ เกสรเพศผู้
ภาพขวาบน: ดอยภคู า น่าน - RP); เศวตสอดส:ี var. bracteata กลีบปากมปี นื้ สมี ว่ งอมชมพู (ภาพขวาลา่ ง: ภูหลวง เลย - CK) ดอกสเี หลอื งอ่อน มี 5 กลีบ รปู ไข่หรอื รูปไขก่ ลบั ส้ันกว่ากลีบเลย้ี ง ปลายจักซี่ฟนั ลกึ
เกสรเพศผู้ยาวประมาณ 6 มม. รวมรยางค์ กา้ นเกสรเพศเมียเกลยี้ งชว่ งปลาย ผล
สกุณี เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 4-5 ซม. มหี นามสน้ั ๆ คล้ายขนหนาแน่น ยาว 1-2 มม. กา้ น
ผลยาว 2-3 ซม.
Terminalia calamansanai (Blanco) Rolfe
วงศ์ Combretaceae พบทอ่ี ินเดยี ภูฏาน เนปาล จีนตอนใต้ พม่า เวยี ดนามตอนบน และภาคเหนือ
ของไทยทด่ี อยอนิ ทนนท์ และดอยสเุ ทพ จงั หวดั เชยี งใหม่ ขน้ึ รมิ ลำ� ธารในปา่ ดบิ แลง้
ชอ่ื พอ้ ง Gimbernatia calamansanai Blanco และป่าดิบเขา ความสงู 800-1400 เมตร

ไม้ตน้ สูงได้ถึง 25 ม. เปลือกแตกลอ่ นเป็นสะเก็ดหรือเป็นร่องตน้ื มขี นส้ัน สตตี น้
นุ่มประปรายตามก่งิ อ่อน กา้ นใบ แกนช่อดอก ใบประดบั กลบี เล้ยี งดา้ นนอก
จานฐานดอก และผล ใบรปู ไข่กลบั หรือแกมรูปใบหอก ยาว 6-13 ซม. แผน่ ใบ Sloanea sigun (Blume) K. Schum.
คอ่ นขา้ งเหนยี ว ดา้ นลา่ งมนี วลสนี ้�ำตาลเทา เสน้ กลางใบนนู ดา้ นบน เสน้ ใบยอ่ ย
แบบขนั้ บนั ได กา้ นใบยาว 1-4 ซม. มตี อ่ มนนู หนงึ่ คเู่ หนอื กง่ึ กลางกา้ นใบ ชอ่ ดอก ชอ่ื พ้อง Echinocarpus sigun Blume
แบบชอ่ เชงิ ลด ยาว 8-16 ซม. มกี ลนิ่ เหม็น ใบประดับรปู เสน้ ดา้ ยขนาดเลก็ รว่ งเร็ว
หลอดกลบี เลยี้ งยาว 0.5-0.8 มม. ไม่มสี ันตามยาว กลบี ยาว 1-1.5 มม. ด้านในมี ไมต้ ้น สงู ไดถ้ งึ 30 ม. ก่ิงเกล้ียง ใบรูปรี รูปไข่ รูปไข่กลบั หรอื รูปขอบขนาน
ขนยาวประปราย ปลายกลีบโค้งเขา้ เกสรเพศผูย้ าว 3-4 มม. จานฐานดอกจกั เป็นพู ยาว 5-22 ซม. ปลายแหลมหรอื เปน็ ตงิ่ แหลม โคนกลมหรอื รปู ลม่ิ แผนใบมขี นประปราย
กา้ นยอดเกสรเพศเมยี ยาว 3.5-4 มม. มขี น ผลผนงั ชนั้ ในแขง็ รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ตามเสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบยาว 1-5 ซม. กา้ นดอกยาวไดถ้ งึ 6 ซม. กลบี เลยี้ ง
แกมสามเหลี่ยม มี 2 ปีก กวา้ ง 2.5-5 ซม. ยาว 3.5-5 ซม. รวมปีก ด้านล่างมสี ัน 4 กลีบ รปู ไข่ ยาวประมาณกึง่ หนึง่ ของกลบี ดอก มขี นสั้นนมุ่ ทั้งสองด้าน ดอกสี
(ดขู อ้ มลู เพ่มิ เตมิ ท่ี สมอ, สกุล) เหลืองอ่อน มี 4 กลบี รูปไข่หรือรูปไขก่ ลับ ยาวเท่า ๆ เกสรเพศผู้ ปลายจัก แผน่ กลีบ
มีขนกระจายทั้งสองดา้ น เกสรเพศผ้ยู าว 5-7 มม. รวมรยางค์ รงั ไขร่ ปู ไข่ มขี น
กา้ นเกสรเพศเมยี เกลย้ี ง ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 4-6 ซม. รวมหนามทย่ี าว 1-1.5 ซม.
ก้านผลยาว 1-7 ซม.

พบทอ่ี นิ เดยี จีนตอนใต้ พมา่ กมั พูชา คาบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และชวา ในไทย
พบทุกภาค ขน้ึ ตามป่าดิบแล้ง ปา่ ดบิ เขา และป่าดบิ ชืน้ ความสงู 450-1500 เมตร

397

สนเขา สารานุกรมพืชในประเทศไทย

เอกสารอา้ งอิง สนทราย
Phengklai, C. (1981). Elaeocarpaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 405-409.
Tang, Y. and C. Phengklai. (2007). Elaeocarpaceae. In Flora of China Vol. 12: Baeckea frutescens L.
235-236, 239. วงศ์ Myrtaceae

สตขี น: ผลมหี นามส้ันคล้ายขนหนาแนน่ ผลแหง้ แตก มเี ย่ือหมุ้ ประมาณกง่ึ หนง่ึ (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชยี งใหม่ - RP) ไมพ้ มุ่ สงู ไดถ้ งึ 5 เมตร เนอื้ ไมส้ นี ำ�้ ตาลแดง มขี นสนั้ นมุ่ กง่ิ มกั ลลู่ ง ใบเรยี งเวยี น
เปน็ กระจกุ รูปเขม็ หนา แบน ยาว 3-8 มม. โคนเปน็ ครีบ เสน้ ใบไมช่ ดั เจน ก้านใบ
สตีตน้ : ดอกออกเดยี่ ว ๆ ตามซอกใบ กา้ นดอกยาว กลบี ดอกมี 4 กลีบ ยาวประมาณกึ่งหน่ึงของกลีบดอก แกนอับ สนั้ มากหรอื ไรก้ า้ น ดอกออกเดย่ี ว ๆ ตามซอกใบ ขนาดเลก็ กลบี เลยี้ งรปู ลำ� โพงแคบ
เรณมู รี ยางต์ ผลแหง้ แตก ผนงั ชัน้ นอกแขง็ มีขนยาวคลา้ ยหนาม (ภาพ: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - SSi) หลอดกลบี ยาวประมาณ 3 มม. ปลายแยก 5 กลีบ ยาวประมาณ 1 มม. ปลายมน
ดอกสขี าวหรืออมชมพู มี 5 กลีบ รูปรีกวา้ งเกอื บกลม ยาวประมาณ 2 มม.
สนเขา, สกลุ เกสรเพศผู้ 8-10 อนั แกนอบั เรณปู ลายมรี ยางคเ์ ปน็ ตอ่ ม รงั ไขใ่ ตว้ งกลบี มี 2-5 ชอ่ ง
กา้ นเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1-1.5 มม. ยอดเกสรกลม จานฐานดอกรปู ถว้ ย
Pinus L. ยาวประมาณ 1 มม. ผลแหง้ แตก คล้ายครง่ึ วงกลม เส้นผ่านศนู ย์กลาง 1.5-2 มม.
วงศ์ Pinaceae กลบี เลยี้ งและเกสรเพศเมยี ตดิ ทน เมลด็ รปู คลา้ ยไตเปน็ เหลยี่ ม ยาวประมาณ 0.5 มม.

ไม้ตน้ ชนั มกี ลนิ่ หอม แยกเพศร่วมต้น ตามีเกล็ดจำ� นวนมาก ใบบนก่ิงยาวลด พบทอ่ี ินเดยี พม่า เวยี ดนาม ภมู ภิ าคมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนี ในไทยพบ
รูปคล้ายเกล็ด เรยี งเวยี น ใบบนกง่ิ สน้ั รูปเขม็ (needle) ติดเป็นกระจกุ มี 2-7 ใบ ตามป่าชายหาด ป่าเสม็ด และยอดเขาท่ีเป็นหินทรายทางภาคตะวันออกเฉียง
โคนมกี าบ (fascicle sheath) ตดิ ทน ใบมเี สน้ ปากใบ (stomatal lines) จ�ำนวน เหนอื หรอื ตามทโี่ ลง่ บนยอดเขาทางภาคใต้ ความสงู ถึงประมาณ 1800 เมตร ใบ
มากเป็นริ้ว โคนเพศผู้ (male cone) คล้ายช่อเชิงลด ใบสร้างอับไมโครสปอร์ ใชช้ งเปน็ ชาดมื่ แกไ้ ขป้ วดเมอื่ ยรา่ งกาย น�้ำมนั ทไี่ ดจ้ ากการกลน่ั สเี หลอื งออ่ น มกี ลน่ิ
(microsporophylls) เรยี งซอ้ นกนั แตล่ ะใบมอี บั ไมโครสปอร์ (microsporangia) คลา้ ยลาเวนเดอร์ ใชท้ ำ� ธปู และสบู่
2 อัน โคนเมล็ด (seed cone) สว่ นมากออกเดยี่ ว ๆ ตดิ ทน 2-3 ปี กาบแข็งเรียงเวยี น
ตดิ ทน สว่ นทแ่ี ตกออก (apophyses) คลา้ ยรปู พรี ะมดิ ปลายมตี ง่ิ รปู กรวย (umbo) สกุล Baeckea L. มีประมาณ 70 ชนิด สว่ นใหญพ่ บในออสเตรเลีย และภูมภิ าค
ใบประดับคลา้ ยเกล็ด แตล่ ะเกล็ดมี 2 เมลด็ มีปกี มาเลเซีย ในไทยมีชนิดเดยี ว ชอ่ื สกุลตัง้ ตามนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน Abraham
Bäck (1713-1795) เพือ่ นของ Carl Linnaeus
สกลุ Pinus พืชเมล็ดเปลอื ย อยภู่ ายใตว้ งศย์ ่อย Pinoideae มีประมาณ 110 ชนดิ เอกสารอา้ งอิง
พบในอเมรกิ ากลาง แถบเทือกเขาหมิ าลัย แอฟรกิ าตอนบน เอเชยี ตะวนั ออก Chen, J. and L.A. Craven. (2007). Myrtaceae. In Flora of China Vol.13: 329-330.
ภูมภิ าคอินโดจนี และมาเลเซยี เปน็ ไม้เนอ้ื ออ่ น ชัน (resin) และนำ�้ มนั สน (turpentine) Parnell, J. and P. Chantaranothai. (2002). Myrtaceae. In Flora of Thailand Vol.
ใชใ้ นอุตสาหกรรมหลายประเภทโดยเฉพาะการผลติ สี และนำ�้ มันชกั เงา ในไทยมี
2 ชนิด คือ สนสองใบ และสนสามใบ และมีหลายชนดิ ทนี่ �ำ เขา้ มาปลูกทดลอง 7(4): 782.
เปน็ ไม้สวนปา่ ทางภาคเหนือ อนึ่ง โคนเมลด็ มกั จะแตกอา้ ออกจากการทถี่ กู ไฟไหม้
ทำ�ให้ชันทีป่ ิดอยลู่ ะลาย (serotinous) การกระจายพันธข์ุ องสนพวกจึงต้องอาศยั สนทราย: กิ่งห้อยลง ใบรปู คลา้ ยเข็มเรยี งเวียนเป็นกระจุก ดอกออกเด่ียว ๆ ตามซอกใบ ฐานดอกรปู ถ้วย ดอกสขี าว
ไฟปา่ ช่ือสกุลเปน็ ภาษาโรมนั ท่เี รยี กพวกสนเขา กลีบกลม กลีบเลี้ยงและเกสรเพศเมียติดทน (ภาพวสิ ัย: สงขลา - MP; ภาพดอก: ภวู ัว บงึ กาฬ - PK) )
เอกสารอ้างองิ
Fu, L., N. Li, T.S. Elias and R.R. Mill. (1999). Pinaceae. In Flora of China Vol. สนสองใบ

4: 11-12. Pinus merkusii Jungh. & de Vriese
Phengklai, C. (1972). Pinaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 193-194. วงศ์ Pinaceae

สนเขา: โคนเพศผูค้ ลา้ ยช่อเชงิ ลด ใบสร้างอับไมโครสปอรเ์ รียงซอ้ นกนั โคนเมลด็ สว่ นมากออกเด่ียว ๆ กาบแข็ง ไมต้ น้ สงู 30-50 ม. เปลอื กหนาแตกเป็นร่องลึก สนี ำ�้ ตาลเข้มหรอื ด�ำ ใบมี 2 ใบ
เรียงเวียน ติดทน (ภาพซา้ ย: เชยี งใหม่ - SSi; ภาพขวา: แมส่ ะเรียง แม่ฮ่องสอน - PPr ) ในแตล่ ะกระจกุ ตัดขวางรูปสามเหลี่ยม ยาว 15-25 ซม. ตดิ ทนประมาณ 2 ปี
โคนเมล็ดออกเดีย่ ว ๆ หรอื เป็นคู่ รูปไขแ่ คบ ยาว 4.5-11 ซม. กา้ นโคนยาวได้ถงึ
1 ซม. เกล็ดหนารปู คลา้ ยรูปส่เี หลยี่ มขนมเปยี กปนู แคบ ๆ เมล็ดสนี �้ำตาลดำ� รปู ไข่
แบนเลก็ นอ้ ย ยาว 6-7.5 มม. ปกี ยาว 1.5-2.5 ซม. (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ท่ี สนเขา, สกลุ )

พบทีพ่ มา่ ภูมิภาคอนิ โดจีนและมาเลเซยี ฟิลิปปินส์ ในไทยพบทางภาคเหนือ
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคตะวนั ออก ขนึ้ กระจายหา่ ง ๆ ในปา่ เตง็ รงั และ
ป่าดิบเขา บางครั้งพบหนาแน่นเป็นผืนป่าขนาดใหญ่และข้ึนปนกับสนสามใบ
ความสูง 150-1400 เมตร

สนสามใบ

Pinus kesiya Royle ex Gordon
ไม้ตน้ สงู 30-35 ม. เปลือกแตกเปน็ ร่องลกึ สีนำ้� ตาลปนเทา ลอกเปน็ แผ่นบาง ๆ

ใบมี 3 ใบในแตล่ ะกระจกุ หนา้ ตดั ขวางรูปสามเหลีย่ ม ยาว 10-22 ซม. มีเส้นเปน็ ไข
3-6 เสน้ โคนเมล็ดออกเด่ียว ๆ หรือเป็นคู่ รปู ไข่ ยาว 5-8 ซม. โคง้ เล็กน้อย กา้ นโคน
ยาวประมาณ 5 มม. เกลด็ หนาแนน่ รปู ขอบขนาน ยาว 2.5-3 ซม. มเี สน้ พาดผา่ นเกลด็
เมลด็ สนี ำ้� ตาลดำ� รูปรี แบนเลก็ นอ้ ย ยาว 5-6 มม. ปกี ยาวประมาณ 4 เทา่ ของ
ความยาวเมล็ด (ดูข้อมูลเพม่ิ เติมที่ สนเขา, สกลุ )

398

สารานุกรมพืชในประเทศไทย วา่ นสีลากลีบผอม

มถี น่ิ กำ� เนดิ ในอเมรกิ าใต้ ขนึ้ เปน็ วชั พชื และเปน็ ไมป้ ระดบั ดอกบานในชว่ งเวลา ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ปลายจกั 2 พู ผลแหง้ แตก รปู ไข่ ยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายมจี ะงอย
กลางวนั สน้ั ๆ ในช่วงทอ่ี ากาศเย็นจะบานได้นานมากข้นึ สั้น ๆ เมล็ดจ�ำนวนมาก สีดำ� นำ้� ตาล มเี ย่อื หุ้ม

เอกสารอ้างองิ พบที่อนิ เดยี พม่า จนี ตอนใต้ เวียดนาม และภาคเหนอื ของไทยท่แี มฮ่ ่องสอน
Fang, R. and G. Staples. (1995). Convolvulaceae. In Flora of China. Vol. 16: 305. เชยี งใหม่ เชยี งราย ขน้ึ ตามป่าสนเขา ความสงู 500-1800 เมตร แยกเป็น var. acaulis
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 418-419. Noltie ช่อดอกออกจากโคน ไมม่ ลี ำ� ต้น พบเฉพาะทจ่ี ีนตอนใต้

ว่านผกั บุ้ง: กลีบเลี้ยงรปู ใบหอก ปลายเรยี วแหลม ติดทน ดา้ นนอกมขี นยาว ดอกรปู แตร ผลเกลีย้ ง (ภาพ: แม่สอด สกุล Iris L. มปี ระมาณ 280 ชนดิ สว่ นมากพบในเขตอบอ่นุ ในไทยมชี นดิ เดียว
ตาก - RP) ส่วนวา่ นหางช้าง I. domestica (L.) Goldblatt & Mabb. หรอื ชอ่ื เดมิ คือ Belamcanda
chinensis (L.) DC. เป็นไมป้ ระดบั และยงั มีไอริส สกลุ Trimezia ดอกสีเหลือง และ
ว่านพงั พอน สกลุ Neomarica ดอกสีม่วง 2-3 ชนิด ช่ือสกุลเป็นภาษากรีกทีใ่ ช้เรียกพืชในสกลุ น้ี
เอกสารอา้ งองิ
Tacca integrifolia Ker Gawl. Larsen, K. (2008). Iridaceae. In Flora of Thailand Vol. 9(2): 117-119.
วงศ์ Dioscoreaceae Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum

ไมล้ ม้ ลกุ เหงา้ รปู ทรงกระบอก ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 20-60 ซม. Press, Honolulu, Hawai`i.
ปลายแหลมหรอื เปน็ ตง่ิ แหลม โคนแหลมหรือเว้าต้ืน เบ้ียวเล็กนอ้ ย กา้ นใบยาว Zhao, Y.T., H.J. Noltie and B.F. Mathew. (2000). Iridaceae. In Flora of China
20-50 ซม. รวมกาบใบ ชอ่ ดอกมี 1-4 ช่อ ยาวไดถ้ งึ 60 ซม. แต่ละชอ่ มี 6-30 ดอก
ใบประดับมี 2 คู่ สเี ขยี วอ่อนหรอื อมมว่ ง คู่นอกไรก้ ้าน รูปรีถงึ รปู ใบหอก ยาวได้ถงึ Vol. 24: 297, 306.
14 ซม. ค่ใู นโคนเรยี วแคบยาวเปน็ ก้านกลบี รปู ใบหอกกลบั หรือรปู ใบพาย ยาวไดถ้ ึง
22 ซม. กลบี ประดบั รปู เส้นด้าย 5-25 อนั สีอ่อนกวา่ ใบประดับ ยาว 10-20 ซม. วา่ นแมย่ ับ: ชอ่ ดอกออกจากต้นท่มี ีลำ� ต้น ดอกสมี ว่ ง แผน่ กลบี โคนมีสนั เปน็ คล่ืนสสี ม้ กา้ นเกสรเพศเมียท่ีแยกแขนง
ดอกสเี ขยี วอมมว่ งน้�ำตาล กา้ นดอกยาว 2-4 ซม. กลีบรวม 6 กลบี เรยี ง 2 วง รูปรี คลา้ ยแผ่นกลีบ ปลายผลมีจะงอยสน้ั ๆ (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชียงใหม่; ภาพดอก - RP, ภาพผล - NP)
หรือรูปไข่ ยาว 0.5-1.5 ซม. ผลรปู ขอบขนาน มี 6 เหลยี่ ม ยาว 4-5 ซม. (ดขู ้อมูล
เพิม่ เตมิ ที่ วา่ นคา้ งคาว, สกลุ ) วา่ นหางช้าง: ดอกสสี ม้ มจี ดุ สเี ขม้ กระจาย กลบี รวม 6 กลบี เรียง 2 วง คลา้ ยกัน ปลายผลไมม่ ีจะงอย (ภาพซ้าย:
cultivated - RP); ไอรสิ : Trimezia sp. ดอกสเี หลอื ง มจี ดุ สนี ำ้� ตาลกระจาย (ภาพขวา: cultivated - RP)
พบทป่ี ากีสถาน อนิ เดีย ศรีลังกา บงั กลาเทศ จีน พม่า ภมู ิภาคอินโดจีน และ
ภมู ิภาคมาเลเซยี ในไทยพบทุกภาค ข้ึนตามป่าดบิ แล้ง และปา่ ดบิ ช้นื ความสงู ถึง ว่านสีลากลบี ผอม
ประมาณ 500 เมตร หรอื พบเปน็ ไม้ประดับ
Tainia speciosa Blume
เอกสารอ้างองิ วงศ์ Orchidaceae
Phengklai, C. (1993). Taccaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(1): 1-9.
Ting, C.C. and K. Larsen. (2000). Taccaceae. In Flora of China Vol. 24: 274-275. กลว้ ยไมด้ นิ ลำ� ลกู กลว้ ยรปู กระสวย ยาว 2.5-5 ซม. ใบรปู ใบหอก ยาว 6-20 ซม.
กา้ นใบยาว 7-21 ซม. ใบพับจีบ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ออกจากเหงา้ ตัง้ ตรง
ว่านพังพอน: ใบประดับคู่ในโคนเรยี วแคบยาวเป็นกา้ นกลบี รูปใบหอกกลบั หรอื รูปใบพาย กลีบประดบั รูปเส้นด้าย ยาว 16-50 ซม. แกนชอ่ ยาวไดถ้ ึง 27 ซม. มี 1-11 ดอก ใบประดบั รปู ใบหอก ยาว
ผลรูปขอบขนาน มี 6 เหล่ยี ม (ภาพดอก: ศรพี ังงา พงั งา, ภาพผล: รกั ษะวาริน ระนอง; - RP) 2-3 ซม. ดอกสขี าวอมเขยี วออ่ น มกั มเี สน้ กลบี สมี ว่ งแดง กลบี เลย้ี งและกลบี ดอก
รปู แถบ ปลายเรยี วแหลมคลา้ ยหาง กลบี เลยี้ งบนยาว 4-5 ซม. กลบี ขา้ งยาวกวา่
วา่ นแมย่ บั เลก็ นอ้ ย กลบี ดอกยาว 3-3.7 ซม. กลบี ปากรปู ใบหอก ยาวประมาณ 1.5 ซม.
กลางแผ่นกลบี มสี ันนนู 1-3 สนั โคนมีเดอื ยส้ัน ๆ ยาวประมาณ 2 มม. เสา้ เกสรยาว
Iris collettii Hook. f. ประมาณ 5.5 มม. กา้ นดอกรวมรงั ไข่ ยาว 1-1.8 ซม.
วงศ์ Iridaceae
พบทคี่ าบสมทุ รมลายู สมุ าตรา บอรเ์ นยี ว และภาคใตข้ องไทยทนี่ ครศรธี รรมราช
ไม้ล้มลกุ มีหัวใตด้ ิน โคนต้นมีเสน้ ใยใบเก่า ใบเรยี ง 2 แถว ในระนาบเดยี ว ปัตตานี ขนึ้ ตามปา่ ดบิ ชน้ื ความสูง 250-1300 เมตร
รูปดาบ ชว่ งออกดอกยาว 10-25 ซม. ขยายไดก้ วา่ 35 ซม. ในชว่ งติดผล แผ่นใบมีนวล
เส้นแขนงใบหลักมี 2-3 เส้น โคนขยายเป็นกาบ ล�ำต้นที่มีช่อดอกยาว 2-8 ซม. สกลุ Tainia Blume มปี ระมาณ 32 ชนดิ พบในอนิ เดยี ศรีลงั กา จีน ญ่ีปนุ่
ดอกออกเปน็ ชอ่ คลา้ ยพดั แยกแขนง หรอื ออกเดยี่ ว ๆ มกี าบหมุ้ 3 กาบ รปู ใบหอก เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ นวิ กินี ทางตอนบนของออสเตรเลยี และหมู่เกาะ
ยาว 2-5 ซม. มี 2-4 ดอกในแตล่ ะชอ่ ดอกสมี ่วง ดอกบานเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 2-5 ซม. แปซฟิ กิ ในไทยมี 10 ชนิด ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก “tainia” สายรดั ผมหรอื
หลอดกลบี ดอกเรยี วยาว ยาว 3-5 ซม. มี 6 กลบี เรียง 2 วง วงกลีบนอกบานออก รบิ บ้นิ ตามลกั ษณะของใบและกลบี ดอก
รปู ไขก่ ลบั ยาว 2.5-3 ซม. โคนมสี นั เปน็ คลน่ื สสี ม้ วงกลบี ในตรง รปู ใบหอกกลบั ยาว เอกสารอ้างอิง
2-3 ซม. เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั ยาว 1.3-1.5 ซม. อับเรณูสเี หลอื งหันออก รังไขใ่ ต้วงกลบี Pedersen, H.Æ. (2014). Orchidaceae (Tainia). In Flora of Thailand Vol. 12(2):
มี 3 ชอ่ ง พลาเซนตารอบแกนรว่ ม กา้ นเกสรเพศเมยี ทแี่ ยกแขนงคลา้ ยแผน่ กลบี
633-647.

393

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย สม้ กุ้ง

พบที่อนิ เดีย พมา่ จนี ตอนใต้ ภูมิภาคอนิ โดจีน และฟิลิปปินส์ (เกาะลูซอน) สนุน่ : ขึน้ ตามทีโ่ ลง่ รมิ ลำ� ธาร ช่อดอกออกหลังผลิใบอ่อน ชอ่ ดอกแบบชอ่ หางกระรอก มขี นสน้ั นุ่ม บนก้านชอ่ มใี บ
ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก และ 2-3 ใบ มขี นยาว (ภาพ: ถนนแม่สอด-อุม้ ผาง ตาก - PK)
ภาคตะวนั ตกเฉียงใต้ ขน้ึ กระจายห่าง ๆ ในปา่ เต็งรงั ปา่ ดบิ เขา หรอื ข้นึ หนาแนน่
เป็นผืนปา่ ขนาดใหญ่ปนกับสนสองใบ ความสงู ถึงประมาณ 1800 เมตร ปลูกเป็น สบ
ไมส้ วนป่าในหลายประเทศทงั้ ในเอเชยี แอฟรกิ า และอเมริกาใต้
Altingia excelsa Noronha
เอกสารอา้ งองิ วงศ์ Hamamelidaceae
Fu, L., N. Li, T.S. Elias and R.R. Mill. (1999). Pinaceae. In Flora of China Vol. 4: 15.
Phengklai, C. (1972). Pinaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 193-194. ไมต้ น้ สงู 20-40 ม. ตามีเกล็ดหุ้ม หูใบยาว 2-6 มม. ใบเรียงเวียน รูปรี รปู ไข่
หรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 6-12 ซม. ปลายแหลมหรอื ยาวคลา้ ยหาง โคนมนหรอื กลม
สนสองใบ: ขน้ึ เปน็ กลุ่ม เปลือกหนาแตกเปน็ รอ่ งลึก สนี ำ�้ ตาลเข้มหรอื ดำ� ใบมี 2 ใบในแตล่ ะกระจกุ โคนรปู ไข่แคบ ขอบจักมนหรอื จกั ฟันเลื่อย มตี ่อมสีด�ำตามขอบจกั แผน่ ใบมตี ุ่มทว่ั ไป เส้นแขนงใบ
(ภาพ: ภูกระดงึ เลย; ภาพซา้ ย - PT, ภาพขวา - TP) ขา้ งละ 6-8 เส้น กา้ นใบยาว 1-3 ซม. ไมม่ ีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง ชอ่ ดอกเพศผู้
แบบชอ่ กระจกุ แนน่ รูปรกี วา้ งเกอื บกลม 6-14 ชอ่ มีก้าน โคนมีใบประดบั 1-4 ใบ
สนสามใบ: เปลือกแตกเปน็ รอ่ งลึกสนี �้ำตาลปนเทา ลอกเป็นแผ่นบาง ๆ ใบมี 3 ใบในแตล่ ะกระจกุ โคนรูปไข่ (ภาพซา้ ย: เรยี งบนแกนคลา้ ยชอ่ กระจะ ยาว 5-10 ซม. ดอกยอ่ ยจำ� นวนมาก ชอ่ ดอกเพศเมยี
ภูกระดึง เลย - SSi; ภาพขวา: แม่สะเรยี ง แม่ฮ่องสอน - PPr) แบบชอ่ กระจุกแนน่ มี 10-28 ดอก กา้ นชอ่ ยาว 2-3 ซม. ขยายเล็กนอ้ ยในผล
เกสรเพศผู้ 4-5 อนั ก้านชอู บั เรณยู าวประมาณ 1 มม. เป็นหมันในดอกเพศเมยี
สนนุ่ หรือไมม่ ี รงั ไขอ่ ยู่ใตว้ งเกสรเพศผู้ มี 2 ชอ่ ง ออวลุ จ�ำนวนมาก กา้ นเกสรเพศเมีย
2 อนั รปู ล่มิ แคบ ยาว 3-4 มม. กางออก ตดิ ทน ผลรวมเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 1.5-2.5 ซม.
Salix tetrasperma Roxb. ผลยอ่ ยแบบแห้งแตก มี 4-18 ผล แตล่ ะผลย่อยมเี มลด็ เดยี วที่เจริญ ขอบมปี กี
วงศ์ Salicaceae แคบ ๆ เมล็ดที่ไมเ่ จรญิ จ�ำนวนมาก ไม่มีปีก

ไม้ตน้ สงู 10-20 ม. แยกเพศต่างตน้ ตาขา้ งเรยี วคลา้ ยรปู ไข่ ปลายแหลม หใู บ พบทอี่ ินเดยี ภฏู าน จนี ตอนใต้ พมา่ ภูมภิ าคอินโดจนี และภูมิภาคมาเลเซยี
ขนาดเลก็ รปู ไข่ เบยี้ ว ขอบจกั ใบเรยี งเวยี น รปู รถี งึ รปู ใบหอก หรอื แกมรปู ไข่ ยาว ในไทยพบกระจายห่าง ๆ ทุกภาค ขึน้ ใกลล้ ำ� ธารในปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดิบชนื้ ความสงู
6-16 ซม. ปลายแหลมยาว โคนรูปล่ิมหรือมน ขอบจักฟันเลอ่ื ย แผ่นใบมีนวลดา้ นลา่ ง 600-800 เมตร ชนั ทเ่ี กดิ จากเนอื้ ไมท้ ถี่ กู เจาะทำ� ลายมกี ลนิ่ หอม เปน็ สมนุ ไพรและ
เสน้ แขนงใบจำ� นวนมาก กา้ นใบยาว 1-2 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ หางกระรอก ออกหลงั ใช้ท�ำนำ้� หอม
ผลใิ บออ่ น มขี นสนั้ น่มุ ไมม่ กี ลบี เลยี้ งและกลบี ดอก กา้ นช่อสนั้ บนกา้ นมใี บขนาดเลก็
2-3 ใบ มขี นยาว ดอกจำ� นวนมาก ใบประดบั ขนาดเลก็ รปู รี ติดทน โคนมีตอ่ ม สกลุ Altingia Noronha มีประมาณ 11 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชยี เขตร้อน ในไทย
เชอ่ื มตดิ กนั รปู จาน ตอ่ มแนบตดิ กา้ นดอกในดอกเพศเมยี ชอ่ ดอกเพศผยู้ าว 5-10 ซม. มี 2 ชนิด อกี ชนิดคอื A. siamensis Craib พบทางภาคเหนอื ใบเรยี วยาวกว่า
ช่อดอกเพศเมียยาว 8-12 ซม. เกสรเพศผ้สู ว่ นมากมี 8 อัน ยาวประมาณ 5 มม. โคนเรยี วสอบ ชือ่ สกุลตงั้ ตามชาวเยอรมัน ผู้ศึกษาวฒั นธรรมและประเพณี
มขี นทโ่ี คน รังไขม่ ีขนส้นั น่มุ กา้ นเกสรเพศเมียสน้ั ยอดเกสรจกั 2 พู ผลแห้งแตก เอเชียตะวนั ออก Jacobus Alting (1618-1679)
เปน็ 2 ซกี เกลยี้ ง ยาวประมาณ 3 มม. เมลด็ ขนาดเลก็ มขี นยาวละเอยี ดหนาแนน่ เอกสารอ้างองิ
Phengklai, C. (2001). Hamamelidaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 400-401.
พบทอ่ี นิ เดยี ปากสี ถาน จนี ตอนใต้ พมา่ เวยี ดนาม ภมู ภิ าคมาเลเซยี และฟลิ ปิ ปนิ ส์ Vink, W. (1957). Hamamelidaceae. In Flora Malesiana Vol. 5: 376-379.
ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามทโ่ี ลง่ รมิ ลำ� ธาร ความสงู ถงึ ประมาณ 1900 เมตร เปลอื ก Zhang, Z.Y., H. Zhang and P.K. Endress. (2003). Hamamelidaceae. In Flora of
มีสรรพคณุ แก้ไข้ สารสกัดจากใบใชบ้ �ำรงุ ผิว
China Vol. 9: 19-20.
สกุล Salix L. มีประมาณ 520 ชนิด ส่วนมากพบในเขตหนาวและเขตอบอุ่นทาง
ซีกโลกเหนือ โดยเฉพาะท่จี นี มกี ว่า 275 ชนิด ในไทยมพี ชื พ้นื เมอื งชนิดเดียว สบ: ตามเี กล็ดหุ้ม ขอบใบจกั ฟนั เลอื่ ย ชอ่ ดอกเพศผแู้ บบช่อกระจกุ แน่น มีกา้ นชอ่ เรียงบนแกนคล้ายช่อกระจะ ผลรวม
และพบเปน็ ไม้ประดับ 2-3 ชนดิ ซงึ่ อาจเปน็ พนั ธุผ์ สม ชือ่ สกลุ มาจากภาษาละตนิ ผลย่อยแบบแหง้ แตก เกสรเพศเมยี ตดิ ทน (ภาพ: เขาใหญ่ นครนายก; ภาพซา้ ย - MP, ภาพขวา - SSi)
“salicis” หมายถงึ ตน้ หลิว (willow tree)
เอกสารอา้ งอิง สม้ กงุ้ , สกลุ
Fang, C.F., S.D. Zhao and A.K. Skvortsov. (1999). Salicaceae. In Flora of China
Begonia L.
Vol. 4: 171. วงศ์ Begoniaceae
Harwood, B. (2015). Salicaceae. In Flora of Thailand Vol. 13(1): 51-53.
ไม้ลม้ ลกุ อวบนำ�้ พบนอ้ ยท่เี ป็นไม้พมุ่ สว่ นมากแยกเพศรว่ มตน้ มเี หง้าหรอื
หัวใตด้ ิน มีหใู บ ใบสว่ นมากเปน็ ใบเดี่ยวเรยี งเวียน เบยี้ ว ขอบจักหรอื เรยี บ ชอ่ ดอก
สว่ นมากแบบชอ่ กระจกุ แยกสอง มใี บประดบั ดอกเพศผกู้ ลบี รวมมี 2 หรอื 4 กลบี
เรยี งตรงขา้ มสลบั ตงั้ ฉาก คนู่ อกใหญก่ วา่ เลก็ นอ้ ย เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก แยกหรอื

399

ส้มกุ้ง สารานุกรมพืชในประเทศไทย

เชอื่ มตดิ กนั ทโ่ี คน แกนอบั เรณมู กั ยน่ื เลยอบั เรณู ดอกเพศเมยี สว่ นมากมี 2-5 กลบี ส้มก้งุ ใบเฟนิ : ใบเรยี งสลบั ระนาบเดยี ว ปลายยาวคล้ายหาง ขอบจักซีฟ่ ัน ดอกเพศผ้มู ี 4 กลีบ ดอกเพศเมียมี 5 กลีบ
รังไข่ใตว้ งกลีบ มี 1-3 ชอ่ ง กา้ นเกสรเพศเมยี สว่ นมากมี 2-3 อนั ปลายแยกแขนง ยอดเกสรเพศเมียรูปไต ผลรปู ขอบขนาน ปีกล่างรูปสามเหลย่ี ม ปีกคู่ขา้ งแคบ (ภาพ: กระบี่ - PK)
ยอดเกสรเตง่ บดิ เวยี นหรอื รปู ตวั ยู มขี นตอ่ ม ผลแหง้ แตกหรอื คลา้ ยผลสดมหี ลายเมลด็
ส่วนมากมี 3 ปีก เมล็ดจำ� นวนมาก ขนาดเล็ก ส้มจี๊ดใต้

สกลุ Begonia มปี ระมาณ 1600 ชนิด พบในเขตรอ้ นและกงึ่ เขตรอ้ น ทงั้ อเมรกิ า Citrus halimii B. C. Stone
แอฟริกา และเอเชีย ในไทยมีมากกว่า 60 ชนิด และพบเป็นไมป้ ระดับหลายชนดิ วงศ์ Rutaceae
ชอ่ื สกุลต้ังตามนักพฤกษศาสตรช์ าวฝร่ังเศส Michel Bégon (1638-1710)
ไมต้ น้ สูงได้ถึง 25 ม. ตน้ อ่อนมีหนาม ใบประกอบมีใบย่อยเดยี ว รูปรีหรอื
ส้มกงุ้ แกมรปู ไข่ ยาว 8-15 ซม. ปลายเรยี วแหลมสัน้ ๆ ปลายเว้าตืน้ ขอบเรยี บหรอื จกั มน
แผน่ ใบมตี อ่ มนำ้� มนั กระจาย กา้ นใบยาว 1-2 ซม. บางครงั้ เปน็ ปกี แคบๆ ดอกออก
Begonia palmata D. Don เดย่ี ว ๆ ตามซอกใบ ก้านดอกยาว 1-3.5 มม. กลบี เลี้ยงรปู ถว้ ย ปลายแยกเป็น
ไมล้ ม้ ลกุ สงู ไดถ้ งึ 1 ม. เหงา้ ทอดเลอื้ ย มขี นยาวประปรายสนี ำ้� ตาลแดงตามลำ� ตน้ 5 แฉก ขนาดเลก็ ดอกสีขาว มี 5 กลีบ เรยี งซ้อนเหลือ่ ม รปู รีหรอื รปู ขอบขนาน
ยาวประมาณ 1.5 ซม. เกสรเพศผู้ 18-20 อัน กา้ นชูอบั เรณูเช่ือมติดกัน มี 6-10
แผน่ ใบ และก้านใบ หูใบรปู ไข่แคบ ยาวได้ถงึ 2.5 ซม. รว่ งเร็ว ใบรปู ไข่กวา้ ง ยาวไดถ้ ึง คารเ์ พล แตล่ ะคารเ์ พลมอี อวลุ 1-5 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมยี เปน็ แทง่ ยอดเกสรแบน
30 ซม. จกั เปน็ พู ปลายแหลมยาว โคนรปู หวั ใจ ขอบจกั ซฟ่ี นั เสน้ แขนงใบรปู ฝา่ มอื ผลเกอื บกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 5-7 ซม. สกุ สเี หลอื ง ผวิ เรยี บถงึ ขรขุ ระ เปลอื กหนา
กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 4 ซม. ชอ่ ดอกแยกแขนงสน้ั ๆ กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ใบประดบั ประมาณ 6 มม. มีถงุ เกบ็ นำ้� สเี ขียวซีดอมเหลือง เมลด็ จำ� นวนมาก ยาวประมาณ 2 ซม.
รูปไข่ ยาวประมาณ 1.5 ซม. ร่วงเร็ว ขอบมีขนครุย ดอกสชี มพู ดอกเพศผู้ กลีบรวมมี
4 กลบี คู่นอกรปู ไข่กลบั ยาว 1-2.5 ซม. ค่ใู นรูปรีถึงรปู ใบหอก ยาว 0.7-2 ซม. พบทค่ี าบสมทุ รมลายู และบอรเ์ นยี ว ในไทยพบทางภาคใตท้ นี่ ครศรธี รรมราช
ก้านชูอับเรณแู ยกกัน ยาว 1-2.5 มม. ดอกเพศเมยี กลบี รวมมี 5-6 กลีบ รปู กลม ยะลา ขึน้ ตามทลี่ าดชันและสันเขาในป่าดิบช้ืน ความสูง 900-1800 เมตร
หรอื รูปใบหอกแกมรูปไข่ ยาว 0.8-2.5 ซม. รังไข่มีขนยาว ก้านเกสรเพศเมยี 2 อัน
ยาวประมาณ 5 มม. ปลายแฉกเปน็ งา่ ม ยอดเกสรเพศเมยี บดิ เวยี น ผลรปู สามเหลย่ี ม สกลุ Citrus L. มี 20-25 ชนิด พบในเอเชยี ออสเตรเลีย และหมเู่ กาะแปซฟิ ิก
ปกี ล่างรูปรหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 1.5-3 ซม. ปีกคขู่ า้ งยาวประมาณ 5 มม. ในไทยมพี ืชพนื้ เมอื ง 2-3 ชนิด เปน็ ไม้ประดับและไม้ผลหลากสายพันธุ์ เช่น
มะกรดู มะนาว ส้มจ๊ีด ส้มเกลยี้ ง สม้ เขยี วหวาน และสม้ โอ เปน็ ตน้ ชื่อสกลุ มาจาก
พบท่อี นิ เดยี เนปาล ภฏู าน บงั กลาเทศ จนี ตอนใต้ พมา่ และภมู ภิ าคอินโดจนี ภาษาละติน “citrus” หรือภาษากรีก “kitrion” ใชเ้ รยี กพืชพวกมะนาว
ในไทยพบมากทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ึนตามป่าดิบเขา
ความสงู ถงึ ประมาณ 2000 เมตร มีความผันแปรสงู โดยเฉพาะสงิ่ ปกคลุม เอกสารอา้ งอิง
Jones, D.T. (1995). Rutaceae. In Tree Flora of Sabah and Sarawak Vol. 1:
สม้ กุง้ ใบเฟนิ 351-419.
Stone, B.C., J.B. Lowry, R.W. Scora and K. Jong. (1973). Citrus halimii: A new
Begonia pteridiformis Phutthai species from Malaya and Peninsular Thailand. Biotropica 5(2): 102-110.
ไมล้ ม้ ลกุ สงู ไดถ้ งึ 25 ซม. หวั ใตด้ นิ คลา้ ยรปู หวั ใจ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ

1 ซม. ส่วนตา่ ง ๆ มีขนต่อมกระจาย ล�ำต้นอวบนำ้� หใู บรปู สามเหลีย่ มขนาดเล็ก
ตดิ ทน ใบเรียงสลบั ระนาบเดียว รปู ใบหอกแกมรูปแถบ ยาว 2-8 ซม. ปลายใบ
แหลมยาวหรอื ยาวคลา้ ยหาง โคนตดั หรอื เวา้ ตน้ื ขอบจกั ซฟ่ี นั กา้ นใบสน้ั ชอ่ ดอก
ออกทีย่ อด แยกแขนงส้ัน ๆ ใบประดับบาง รูปไข่ ยาว 1-2 มม. ตดิ ทน ดอกสีขาว
กา้ นดอกยาว 5-6 มม. ดอกเพศผู้ กลบี รวมมี 4 กลบี คนู่ อกรปู ไขก่ ลบั ยาวประมาณ
2 มม. คใู่ นเรยี วแคบกว่า กา้ นชอู ับเรณูสน้ั เช่อื มติดกันที่โคน ดอกเพศเมีย กลีบรวม
มี 5 กลีบ รูปไขก่ ลับหรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 2-3 มม. กา้ นเกสรเพศเมยี 2 อัน
โคนเชอ่ื มตดิ กนั ยอดเกสรรปู คล้ายไต ผลรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 4 มม. ปกี ล่าง
รปู สามเหลยี่ ม ยาวประมาณ 3 มม. ปีกคขู่ ้างแคบ

พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคใตท้ สี่ รุ าษฏรธ์ านี พงั งา กระบ่ี ขนึ้ ตามหนิ ปนู
ในปา่ ดิบช้นื ความสูง 30-100 เมตร

เอกสารอ้างองิ
Gu, C., C.I. Peng and N.J. Turland. (2007). Begoniaceae. In Flora of China
Vol. 13: 153, 189.
Phutthai, T. and K. Sridith. (2010). Begonia pteridiformis (Begoniaceae), a new
species from Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 38: 37-41.

ส้มกงุ้ : ใบจักเป็นพู โคนรูปหัวใจ ดอกเพศผู้มี 4 กลีบ ดอกเพศเมยี มี 5-6 กลีบ ผลรูปสามเหลย่ี ม ปีกยาว 1 ปกี ส้มจดี๊ ใต้: ดอกออกเด่ยี ว ๆ ตามซอกใบ เกสรเพศผู้ 18-20 อัน ก้านชอู บั เรณเู ชือ่ มติดกนั ก้านเกสรเพศเมยี เป็นแทง่
ปีกคูข่ ้างแคบ (ภาพตน้ : แม่สอด ตาก - RP; ภาพดอก: อมุ้ ผาง ตาก - PK; ภาพผล: ภูหลวง เลย - PK) ผลคลา้ ยผลมะนาว สุกสีเหลือง (ภาพ: บนั นงั สตา ยะลา - RP)

400 ส้มป่อย, สกลุ

Senegalia Raf.
วงศ์ Fabaceae

ไมพ้ มุ่ รอเลอื้ ยหรอื ไมเ้ ถาเนอื้ แขง็ ลำ� ตน้ มหี นาม ใบประกอบ 2 ชน้ั ชอ่ ดอกแบบ
ชอ่ กระจกุ แนน่ กลบี เลยี้ งและกลบี ดอก แผน่ กลบี เชอ่ื มตดิ กนั ปลายสว่ นมากแยก
5 แฉก ขนาดเล็ก เกสรเพศผ้จู ำ� นวนมาก แยกกัน รงั ไข่มีช่องเดียว ก้านเกสรเพศเมีย
เรยี วยาว ยอดเกสรขนาดเลก็ ออวลุ จ�ำนวนมาก ผลเปน็ ฝกั แบน สว่ นมากตรง พบนอ้ ย
ท่ีม้วนงอ ผิวเมล็ดมรี อยรูปตวั ยู

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย สม้ ลม

สกลุ Senegalia อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Mimosoideae เผา่ Acacieae แยกออกมาจาก พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเี่ ลย ขน้ึ ตามปา่ ดบิ เขา
สกุล Acacia ตามลกั ษณะใบประกอบ 2 ชนั้ ลำ�ตน้ มีหนาม ฝกั แบน ส่วนมากตรง ผสมสน ความสงู 1000-1300 เมตร
มปี ระมาณ 200 ชนดิ พบท่วั ไปในเขตร้อน ในไทยมี 13 ชนิด ชอ่ื สกลุ ตั้งตามชอ่ื
ประเทศเซเนกลั สกลุ Lyonia Nutt. มปี ระมาณ 35 ชนดิ พบในอเมริกาเหนือ และเอเชีย ในไทย
มี 2 ชนดิ อกี ชนดิ คอื เม้าแดง L. ovalifolia (Wall.) Drude ใบใหญ่กว่า กลบี เลี้ยง
ส้มปอ่ ย สั้นกว่าผล พบทางภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ความสงู ถึงประมาณ
2500 เมตร ช่ือสกลุ ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ John Lyon (1765-1814)
Senegalia rugata (Lam.) Britton & Rose เอกสารอ้างองิ
Fang, R. and P.F. Stevens. (2005). Ericaceae (Lyonia). In Flora of China Vol.
ชอื่ พ้อง Mimosa rugata Lam., Acacia concinna (Willd.) DC., A. rugata
Buch.-Ham. ex Benth. 14: 461.
Watthana, S. (2015). Ericaceae. In Flora of Thailand Vol. 13(1): 123-125.
ไม้เถาเน้ือแข็ง กิ่งมขี นกำ� มะหยี่หรอื ขนส้นั นมุ่ หูใบรูปหวั ใจ ยาว 3-8 มม.
ร่วงเร็ว ใบประกอบแกนกลางยาว 6-16 ซม. กา้ นยาว 1-5 ซม. มตี ่อมด้านบน ส้มแปะ: ขอบใบเรยี บ ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ กลีบเลี้ยงแฉกลึก ยาวเท่า ๆ ผล ดอกรปู หลอด สขี าว ปลายจักรูป
ประมาณจุดก่งึ กลาง ใบประกอบย่อยมี 4-10 คู่ ยาว 2-9 ซม. มีตอ่ มระหว่าง สามเหลีย่ มขนาดเล็ก ผลแหง้ แตก (ภาพ: ภหู ลวง เลย - SSi)
ใบประกอบยอ่ ยคู่ท่ี 1-3 ก้านใบสน้ั ใบย่อยมี 10-35 คู่ รูปใบหอก เบี้ยว ยาว
0.4-1.3 ซม. ปลายแหลมหรือกลม มตี งิ่ แหลม โคนตดั แผน่ ใบด้านล่างมกั มขี น สม้ ลม
คลา้ ยไหม ขอบมขี นอยุ ไรก้ า้ น ชอ่ ดอกสขี าวออกตามซอกใบ บางครงั้ แยกแขนง
ใบประดับย่อยยาว 0.5-1 มม. กลีบเลยี้ งยาว 2-3 มม. เกล้ียงหรือมขี นละเอียด Aganonerion polymorphum Pierre ex Spire
กลบี ดอกยาว 3-4 มม. รงั ไขเ่ กลี้ยงหรอื มขี นคล้ายไหม มกี ้านส้ัน ๆ ฝักรูปแถบ วงศ์ Apocynaceae
ยาว 10-15 ซม. เปลอื กหนา แห้งยน่ เมล็ดรปู รกี ว้าง ยาว 0.6-1 ซม.
ไมเ้ ถา นำ้� ยางสขี าว กงิ่ แกม่ ชี อ่ งอากาศ ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู รี รปู ขอบขนาน หรอื
พบทอี่ นิ เดีย ภูมิภาคอนิ โดจีนและมาเลเซีย นวิ กนิ ี และฟิลปิ ปินส์ ในไทยพบ แกมรปู ไข่ ยาวไดถ้ ึง 11 ซม. โคนรูปลม่ิ หรอื เว้าต้ืน แผน่ ใบมักมีป้นื หรอื จุดสแี ดง
ทกุ ภาค ขน้ึ ตามป่าเบญจพรรณ หรอื ปา่ โปร่ง ความสงู ถงึ ประมาณ 1400 เมตร กระจาย มขี นสน้ั นมุ่ ตามซอกเสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบยาว 0.5-3.2 ซม. ชอ่ ดอก
ฝกั แห้งแชน่ �้ำใหก้ ลิ่นหอมใช้ในพิธมี งคล เปลือกบดใชเ้ บื่อปลา แบบชอ่ กระจุกแยกแขนงส้ัน ๆ คล้ายชอ่ เชงิ ลด ยาวได้ถงึ 10 ซม. ใบประดับขนาดเลก็
ร่วงเร็ว กลบี เลยี้ ง 5 กลีบ รปู ไข่ ยาวไดถ้ งึ 3.5 มม. ขอบมขี นครยุ โคนกลบี ด้านใน
เอกสารอา้ งอิง มีตอ่ ม ดอกสชี มพูอมแดงหรอื ขาว มี 5 กลีบ เรียงซอ้ นทับกนั ด้านขวาในตาดอก
Maslin, B.R. (2015). Synoptic overview of Acacia sensu lato (Leguminosae: ดอกบานรปู ดอกเขม็ หลอดกลบี ยาว 3.5-5 มม. กลบี ยาวประมาณ 2.5 มม. ปากหลอด
มีขนสน้ั นมุ่ เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดใกล้โคนหลอดกลีบดอก ยาว 3-4 มม. ช่วงที่เปน็
Mimosoideae) in East and Southeast Asia. Gardens’ Bulletin Singapore หมันแนบติดกา้ นเกสรเพศเมีย จานฐานดอกเปน็ วง มี 2 คารเ์ พล แยกกนั มขี นส้ันนุ่ม
67(1): 231-250. แนบตดิ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 2 มม. รวมยอดเกสร ผลแตกแนวเดยี ว
Maslin, B.R., D.S. Seigler and J. Ebinger. (2013). New combinations in Senegalia ออกเปน็ คู่ ยาวได้ถงึ 20 ซม. เมล็ดยาวประมาณ 1 ซม. ขนกระจุกยาว 1.5-3 มม.
and Vachellia (Leguminosae: Mimosoideae) for Southeast Asia and China.
Blumea 58(1): 39-44. พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคเหนอื ตอนลา่ ง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
Nielsen, I.C. (1985). Leguminosae-Mimosoideae (Acacia concinna). In Flora of และภาคตะวนั ออก ขน้ึ กระจายในปา่ เต็งรัง และปา่ ดบิ แลง้ ความสงู ถึงประมาณ
Thailand Vol. 4(2): 169-170. 700 เมตร ใบและผลออ่ นกนิ เปน็ ผกั สด

สม้ ป่อย: ใบประกอบ 2 ช้นั ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แนน่ ออกตามซอกใบ บางคร้ังแยกแขนง เกสรเพศผู้จำ� นวนมาก สกุล Aganonerion Pierre ex Spire มเี พียงชนดิ เดยี ว ช่ือสกุลมาจากภาษากรีก
แยกกัน ฝกั รปู แถบ แบน เปลอื กหนา (ภาพ: ลานสกั อุทัยธานี - PK) “aganos” ชอบ และ “neros” เปยี ก หมายถึงพืชท่ชี อบข้นึ ใกล้น�้ำ
เอกสารอ้างอิง
สม้ แปะ Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 141.

Lyonia foliosa (H. R. Fletcher) Sleumer ส้มลม: ใบเรียงตรงข้าม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสนั้ ๆ คลา้ ยชอ่ เชิงลด ดอกบานรูปดอกเขม็ (ภาพ: ผาแต้ม
วงศ์ Ericaceae อุบลราชธานี; ภาพซ้าย - RP, ภาพขวา - PK)

ช่ือพ้อง Xolisma foliosa H. R. Fletcher, Lyonia ovalifolia (Wall.) Drude var.
foliosa Judd

ไมพ้ ุ่ม สูงได้ถึง 2 ม. ใบเรยี งเวียน รปู รีหรอื รูปไข่กลบั ยาว 2.5-5 ซม. ปลายแหลม
แผ่นใบมีขนส้นั ประปราย ขอบเรยี บ เสน้ แขนงใบข้างละ 4-7 เสน้ กา้ นใบยาว
2-5 มม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ยาว 3-11 ซม. มขี นสั้นน่มุ ใบประดบั คลา้ ยใบ ยาว
1-3 ซม. กา้ นดอกยาว 3.5-7 มม. กลีบเลีย้ งแฉกลึก มี 5 กลีบ รปู สามเหล่ยี มแคบ
ยาว 2.5-4 มม. ขยายในผลเลก็ นอ้ ย ยาวเทา่ ๆ ผล มขี นประปราย ดอกรปู หลอด
สีขาว ยาว 0.7-1 ซม. ปลายจกั รปู สามเหลี่ยมขนาดเล็ก เกสรเพศผู้ 10 อัน ไม่ยื่นพน้
ปากหลอดกลีบ ก้านชอู ับเรณยู าว 5-6 มม. แบน ปลายก้านมเี ดอื ยขนาดเล็ก 2 อนั
อับเรณูมีรูเปดิ ทปี่ ลาย รังไข่เกลีย้ ง มี 4-6 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียยาว 6-7 มม.
ผลแหง้ แตก รปู ไข่กว้าง ยาว 3-4 มม. เมลด็ จำ� นวนมากขนาดเล็ก รปู เคยี ว

401

สม้ สา สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

สม้ สา สม้ เสีย้ วเถา: ชอ่ ดอกแบบช่อเชงิ หล่นั ฐานดอกเรยี วแคบ กลบี เล้ียงพบั งอกลบั เกสรเพศผู้ 3 อนั ก้านชอู บั เรณสู ีแดง
เกสรเพศผ้ทู ่ีเปน็ หมนั 7 อนั 2 อนั ติดระหวา่ งเกสรเพศผทู้ ี่สมบูรณ์ 5 อันเชอื่ มตดิ กันที่โคน (ภาพ: นครพนม - PK)
Myrica esculenta Buch.-Ham. ex D. Don
วงศ์ Myricaceae สมอ, สกุล

ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 20 ม. แยกเพศตา่ งตน้ มขี นสน้ั นมุ่ และตอ่ มสเี หลอื งตาม Terminalia L.
กงิ่ ออ่ น กา้ นใบ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอก และใบประดบั ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนาน วงศ์ Combretaceae
รูปใบหอก หรอื แกมรูปไข่ ยาว 6-17 ซม. โคนสอบหรอื รปู หวั ใจแคบ ก้านใบส้ัน
หรอื ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ช่อดอกแบบหางกระรอกออกตามซอกใบ ดอกขนาดเลก็ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ ้น ส่วนมากผลดั ใบ ใบเรียงเวียน เกอื บตรงขา้ ม หรือตรงขา้ ม
ไมม่ กี ลบี เลย้ี งและกลบี ดอก ชอ่ ดอกเพศผยู้ าว 3-9 ซม. แยกแขนงสน้ั ๆ ยาวประมาณ มกั เรยี งหนาแนน่ ชว่ งปลายกงิ่ สว่ นมากมตี อ่ ม 2 หรอื หลายตอ่ มบนแผน่ ใบชว่ งโคน
1 ซม. กา้ นช่อส้นั เกสรเพศผู้ 3-7 อัน ชอ่ ดอกเพศเมียยาว 4-8 ซม. ดอกออกหนาแนน่ หรอื กา้ นใบ สว่ นมากมตี มุ่ ใบ ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ ลด ชอ่ กระจะ หรอื ชอ่ แยกแขนง
ตดิ บนกลีบประดับขนาดเล็ก 2 อนั มี 2 คาร์เพล เชือ่ มติดกันคลา้ ยมีช่องเดยี ว โคนชอ่ เปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ ปลายชอ่ เปน็ ดอกเพศผู้ ใบประดบั ขนาดเลก็ รว่ งเรว็
มขี นละเอยี ด ยอดเกสร 2 อัน สีแดง ผลสดผนงั ชั้นในแข็ง รูปรีกวา้ งเกือบกลม ดอกสเี หลอื งอมเขยี ว กลบี เลย้ี งเชอื่ มตดิ กนั ปลายแยกเปน็ 4 หรอื 5 กลบี รปู สามเหลยี่ ม
เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1-1.5 ซม. ผวิ มปี ุ่มกระจาย สุกสีแดง มเี มล็ดเดยี ว ไม่ติดทน ไมม่ ีกลบี ดอก เกสรเพศผจู้ ำ� นวนสองเทา่ ของกลบี เลีย้ ง อับเรณูตดิ ไหวได้
จานฐานดอกมขี น รังไข่ใต้วงกลีบ มชี ่องเดียว กา้ นเกสรเพศเมยี รูปเสน้ ด้าย ออวุล
พบในจนี ตอนใต้ และเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามชายปา่ ส่วนมากมี 2 เมด็ ผลผนังชัน้ ในแข็ง หรือแบบเปลอื กแขง็ มี 2-5 ปกี
ที่โลง่ ในปา่ ดบิ เขา และปา่ ดิบชน้ื ความสูงถึงประมาณ 2400 เมตร ผลชว่ ยยอ่ ย
และเป็นยาระบาย สารสกัดจากเปลือกแกไ้ ข้ แกเ้ จบ็ คอ หดื หอบ สกลุ Terminalia มีประมาณ 150 ชนิด พบในอเมริกาเขตรอ้ น แอฟรกิ า เอเชีย
ออสเตรเลีย และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยมี 17 ชนิด ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก
สกลุ Myrica L. มีประมาณ 35 ชนิด พบในเอเชีย อเมริกา ยโุ รป แอฟรกิ า ในไทย “terminus” ปลาย หมายถึงใบส่วนมากเรียงเวยี นหนาแน่นชว่ งปลายก่งิ
มีชนดิ เดยี ว ช่อื สกุลมาจากภาษากรีก “myrike” หอม หมายถึงพชื ทมี่ กี ลิ่นหอม
เอกสารอา้ งองิ สมอดีงู
Larsen, K. (2000). Myricaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(2): 268-270.
Lu, A. and A.J. Bornstein. (1999). Myricaceae. In Flora of China Vol. 4: 275. Terminalia citrina (Gaertn.) Roxb. ex Fleming

สม้ สา: ใบเรยี งเวยี น ชอ่ ดอกแบบหางกระรอกออกตามซอกใบ ผลสด รูปรีกวา้ ง ผิวมปี มุ่ กระจาย สกุ สีแดง ชอ่ื พอ้ ง Myrobalanus citrina Gaertn.
(ภาพซ้ายบนและภาพขวา: โตนงาชา้ ง สงขลา - PK; ภาพซา้ ยลา่ ง: ดอยอนิ ทนนท์ เชียงใหม่ - RP)
ไมต้ ้น สงู ได้ถึง 40 ม. โคนต้นพพู อนขนาดเล็ก เปลือกเรยี บหรอื เปน็ สะเก็ดบาง ๆ
ส้มเสีย้ วเถา มีขนสนั้ นมุ่ สีแดงตามกงิ่ ออ่ น ใบประดบั และช่อดอก ใบรูปรหี รือรปู ขอบขนาน
ยาว 3-14 ซม. ปลายแหลมยาว โคนกลมหรอื รูปล่ิมกวา้ ง กา้ นใบยาว 0.5-2.5 ซม.
Phanera lakhonensis (Gagnep.) A. Schmitz มีต่อม 1 คู่ ท่ปี ลายกา้ นใบ ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ชอ่ ดอกย่อยแบบชอ่ เชิงลด
วงศ์ Fabaceae ยาวไดถ้ งึ 10 ซม. ดอกไรก้ า้ น หลอดกลบี เลย้ี งสนั้ ปลายแยก 5 แฉก รปู สามเหลย่ี ม
กวา้ ง ยาวประมาณ 1.5 มม. ดา้ นในมขี นหนาแน่น ก้านชอู บั เรณูยาว 2-3 มม.
ชือ่ พ้อง Bauhinia lakhonensis Gagnep. โคนมีขน กา้ นยอดเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 4 มม. ผลผนังชน้ั ในแข็ง รปู รี ยาว
2-3 ซม. เกลยี้ ง เรยี บหรอื มสี นั ตนื้ ๆ 5 สนั สกุ สมี ว่ งแกมเขยี ว เมลด็ รปู รเี ปน็ เหลย่ี ม
ไมเ้ ถา มขี นสนี ำ�้ ตาลแดงตามกงิ่ ออ่ น เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ ตาดอก ยาวประมาณ 1.5 ซม.
และฐานดอก หใู บรปู เคยี วขนาดเลก็ ใบรปู รกี วา้ ง ยาว 4-5 ซม. ปลายแฉกลกึ ประมาณ
กึง่ หนง่ึ ปลายแฉกกลม โคนเว้าลกึ เสน้ ใบ 9 เส้น กา้ นใบยาว 1.5-2 ซม. ช่อดอกแบบ พบทอ่ี นิ เดยี พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และภมู ภิ าคมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และนวิ กนิ ี
ช่อเชงิ หลัน่ ยาวได้ถงึ 5 ซม. ใบประดับยาวประมาณ 6 มม. ก้านดอกยาว 1-1.5 ซม. ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขน้ึ ตามรมิ
ใบประดับยอ่ ยตดิ ประมาณก่งึ กลางก้านดอก ตาดอกรปู ไข่ ยาวประมาณ 4 มม. ล�ำธารในป่าดิบชนื้ และป่าดิบแล้ง หรือทร่ี าบชายฝ่งั ทะเล ความสงู ถงึ ประมาณ
ฐานดอกเรียวแคบ ยาว 2-3 ซม. กลีบเลยี้ งแยก 5 ส่วน พับงอกลบั ดอกสีขาว 400 เมตร ผลและเปลอื กใหส้ ยี อ้ มสนี ำ้� เงนิ เขม้ มรี สฝาด สมานลำ� ไส้ เปน็ ยาระบาย
กลีบรูปไข่แกมรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 1 ซม. เกสรเพศผู้ 3 อัน กา้ นชอู ับเรณู
สแี ดง ยาวประมาณ 1 ซม. เกสรเพศผูท้ ่ีเปน็ หมัน 7 อัน 2 อันติดระหวา่ งเกสรเพศผู้ เอกสารอา้ งอิง
ทสี่ มบรู ณ์ 5 อนั เชอ่ื มตดิ กนั ทโี่ คน รงั ไขเ่ กลย้ี ง ยอดเกสรเพศเมยี รปู จาน ฝกั รปู ใบหอก Exell, A.W. (1954). Combretaceae. In Flora Malasiana Vol. 4: 555-556.
ยาว 10-12 ซม. มี 8-16 เมลด็ รปู รี แบน ยาวประมาณ 9 มม. (ดูขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ ท่ี Nanakorn, W. (1985). The genus Terminalia (Combretaceae) in Thailand. Thai
แสลงพนั , สกุล) Forest Bulletin (Botany) 15: 59-107.

พบที่ลาว เวยี ดนามตอนบน และภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบนของไทย สมอดงี :ู ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนง ช่อดอกย่อยแบบช่อเชงิ ลด ผลผนงั ช้นั ในแข็ง รปู รี เรยี บหรือมีสนั ต้นื ๆ 5 สนั
ที่นครพนม สกลนคร บงึ กาฬ ขึ้นตามที่โล่ง ชายปา่ ดบิ แลง้ ความสูงถงึ ประมาณ (ภาพ: แวง้ นราธวิ าส; ภาพดอก - PPu, ภาพผล - CN)
200 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
(Bauhinia lakhonensis). In Flora of Thailand Vol. 4(1): 40.

402

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย สมอร่อง

สมอทะเล สมอพิเภก

Shirakiopsis indica (Willd.) Esser Terminalia bellirica (Gaertn.) Roxb.
วงศ์ Euphorbiaceae
ชอ่ื พอ้ ง Myrobalanus bellirica Gaertn.
ช่ือพ้อง Sapium indicum Willd.
ไม้ตน้ สูงไดถ้ งึ 40 ม. โคนต้นมีพพู อน เปลอื กเรยี บหรอื แตกเปน็ สะเก็ด เปลือกใน
ไม้ต้น สงู ไดถ้ งึ 30 ม. แยกเพศรว่ มตน้ โคนต้นมีหนาม น้�ำยางขาวหรือใส สเี หลอื ง ใบรูปไขก่ ลบั ยาว 4-16 ซม. ปลายเป็นต่ิงแหลมหรือมน โคนรูปลิ่ม แผน่ ใบ
ใบเรยี งเวยี น รปู รถี งึ รปู ใบหอก ยาว 7-14 ซม. ปลายแหลมยาว โคนมน ขอบจกั ฟนั เลอื่ ย เหนียว ด้านล่างสีเขยี วเทา ใบออ่ นสีมว่ งอมแดง ก้านใบยาว 3-9 ซม. มีตอ่ มหนึ่งคู่
ขอบใบดา้ นล่างมตี ่อม 4-10 ตอ่ ม ตอ่ มทโี่ คนใบติดบนเส้นกลางใบ ก้านใบยาว ดา้ นขา้ งประมาณกึง่ กลางก้านใบหรอื ใกลโ้ คนก้าน ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ยาวได้ถงึ
1-1.5 ซม. มกั มสี แี ดง ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ คลา้ ยชอ่ เชงิ ลด ยาว 3-8 ซม. ใบประดบั 15 ซม. แกนชอ่ ดอกมขี นสน้ั นมุ่ หลอดกลบี เลยี้ งยาวประมาณ 2 มม. ปลายแยกเปน็
ขนาดเล็ก โคนมีตอ่ ม 1 คู่ กลีบเลี้ยง 3 กลีบ ไม่มีกลบี ดอกและจานฐานดอก 5 กลบี รปู สามเหลี่ยม ยาวประมาณ 1.5 มม. ดา้ นนอกมขี นประปราย ดา้ นในมี
ดอกเพศผอู้ อกเป็นกระจุก 3-7 ดอก ก้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบเลีย้ งยาว 0.6-0.8 มม. ขนยาวสนี ำ้� ตาลหนาแนน่ เกสรเพศผยู้ าว 3-5 มม. ยนื่ พน้ หลอดกลบี ผลผนงั ชน้ั ในแขง็
ขอบมขี นครุย เกสรเพศผู้ 3 อนั ก้านชูอบั เรณูยาวประมาณ 0.5 มม. ไม่มีเกสรเพศเมีย แก่ไม่แตก รูปรี ยาว 2-3 ซม. เรียบหรือมีสนั นูน 5 สนั มีขนส้นั นุ่มสีน�้ำตาลหนาแน่น
ท่ีเป็นหมัน ดอกเพศเมียส่วนมากมีดอกเดียวท่ีโคนช่อ ก้านดอกยาวประมาณ เมลด็ รปู รี ยาว 2-2.5 ซม. ผิวย่น (ดูขอ้ มูลเพ่มิ เติมท่ี สมอ, สกุล)
5 มม. กลบี เลย้ี งยาวประมาณ 1.5 มม. รังไขม่ ี 3 ชอ่ ง แต่ละชอ่ งมีออวลุ เมด็ เดยี ว
ก้านเกสรเพศเมยี แยก 3 แฉก ยาวประมาณ 1.5 มม. ยอดเกสรยาว 4-6 มม. ติดทน พบทอ่ี นิ เดยี ศรลี งั กา พมา่ จนี ตอนใต้ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ออสเตรเลยี
ผลแห้งแขง็ แตกยาก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 2-3.2 ซม. สกุ สดี �ำ เมล็ดรปู รี ยาว 1-1.3 ซม. ตอนบน ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามปา่ เบญจพรรณ ปา่ เตง็ รงั ปา่ ดบิ ชนื้ และปา่ ดบิ แลง้
ความสงู ถงึ ประมาณ 500 เมตร นำ�้ คนั้ จากเปลอื กแกไ้ ข้ แกห้ วดั ผลแหง้ ใชฟ้ อกหนงั
พบที่ศรลี ังกา อินเดีย พม่า เวยี ดนาม ภูมิภาคมาเลเซยี และหมู่เกาะแปซิฟกิ แก้ท้องร่วง แก้ไอ เจบ็ คอ และเบาหวาน
ในไทยพบทางภาคใต้ ตามชายฝง่ั ทะเล หรอื ปา่ โกงกาง ผลและใบใหส้ ยี อ้ มสดี ำ� ผลสด
มพี ษิ ใช้เบ่อื ปลา น�ำ้ ยางมีพษิ อาจท�ำใหต้ าบอดได้ เอกสารอ้างองิ
Nanakorn, W. (1985). The genus Terminalia (Combretaceae) in Thailand. Thai
สกลุ Shirakiopsis Esser อยูภ่ ายใต้วงศย์ ่อย Euphorbioideae มี 6 ชนดิ พบใน Forest Bulletin (Botany) 15: 63-65, 71-74.
แอฟริกา เอเชีย และหมเู่ กาะแปซิฟกิ ในไทยมีชนิดเดียว ชอ่ื สกลุ หมายถงึ สกุล Sosef, M.S.M., E. Boer, W.G. Keating, S. Sudo and L. Phuphathanaphong.
ทีค่ ลา้ ยกบั สกุล Shirakia ซ่ึงเป็นชือ่ สถานทใ่ี นญ่ปี ่นุ (1995). Timber trees: Minor commercial timbers. In Plant Resources of
South-East Asia, 5(2). PROSEA, Bogor, Indonesia.
เอกสารอ้างองิ
Esser, H.-J. and P.C. van Welzen. (2007). Euphorbiaceae (Shirakiopsis). In
Flora of Thailand Vol. 8(2): 554-556.
Li, B. and H.-J. Esser. (2001). Euphorbiaceae (Shirakiopsis). In Flora of China
Vol. 11: 385-286.

สมอทะเล: ขอบใบจักฟันเลื่อย ก้านใบสแี ดง ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกคลา้ ยช่อเชิงลด ผลแหง้ แข็ง แตกยาก สมอไทย: ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ช่อดอกยอ่ ยแบบช่อเชิงลด ผลเรยี บหรือมีสนั ตน้ื ๆ (ภาพดอก: แม่สะนาม
(ภาพ: สงขลา; ภาพดอก - MP, ภาพผล - RP) เชยี งใหม่ - RP; ภาพช่อผล: ห้วยขาแขง้ อุทยั ธาน-ี PK); สมอน่งั : var. nana (ภาพขวา: หนองคาย - RP)

สมอไทย สมอพิเภก: ใบเรยี งเวียนเป็นกระจกุ ทีป่ ลายก่ิง ช่อดอกแบบช่อเชงิ ลด มขี นสัน้ น่มุ กลบี เล้ยี งดา้ นในมีขนยาวหนาแนน่
ผลมขี นสั้นนุ่มสนี �้ำตาลหนาแน่น (ภาพดอก: พจิ ิตร - MP; ภาพผล: จนั ทบุรี - SR)
Terminalia chebula Retz.
วงศ์ Combretaceae สมอร่อง

ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 20 ม. เปลอื กแตกเปน็ รอ่ งลกึ เปลอื กในสนี �้ำตาลแดง ใบเรยี ง Lagerstroemia subangulata (Craib) Furtado & Montien
เกือบตรงข้าม รปู รี รูปขอบขนาน หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 8-30 ซม. ปลายแหลมหรอื วงศ์ Lythraceae
เรยี วแหลมสน้ั ๆ โคนรปู ลม่ิ มน หรอื เวา้ ตนื้ แผน่ ใบมขี นตามเสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง
ใบออ่ นสนี ำ้� ตาลแดง กา้ นใบยาว 1-4 ซม. มตี ่อมหนึง่ คู่ใกลโ้ คนใบ ชอ่ ดอกแบบ ชื่อพอ้ ง Lagerstroemia undulata Koehne var. subangulata Craib
ช่อแยกแขนง ช่อดอกย่อยแบบช่อเชิงลด ยาว 4-10 ซม. แกนช่อมีขนส้ันนุ่ม
ดอกเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 2-4 มม. หลอดกลบี เล้ยี งยาวประมาณ 1 มม. ปลายแยก ไมต้ ้น สงู 10-15 ม. เปลอื กบาง ใบรปู รี รปู ไข่ หรือรปู ขอบขนาน ยาว 4-12 ซม.
5 แฉก รปู สามเหลย่ี ม ดา้ นในมขี นหนาแนน่ รงั ไขเ่ กลย้ี ง กา้ นยอดเกสรเพศเมยี ยาว ปลายแหลมยาว แผ่นใบดา้ นล่างมีขนตามเสน้ แขนงใบ กา้ นใบยาว 1-3 มม.
1.5-2 มม. ผลผนังชัน้ ในแขง็ รปู ไข่กว้าง ยาว 2.5-4.5 ซม. เรียบหรือมี 5 สนั ต้ืน ๆ
เกลยี้ ง ผลแก่สดี ำ� เมลด็ รปู รี ยาว 1.5-2 ซม. ผวิ ยน่ (ดูข้อมูลเพม่ิ เตมิ ท่ี สมอ, สกลุ ) 403

พบทอ่ี นิ เดยี พม่า จีนตอนใต้ และภมู ิภาคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาค
ยกเวน้ ภาคใต้ ขนึ้ ตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ปา่ ดบิ แล้ง ความสงู ถงึ ประมาณ
1500 เมตร แกน่ ใชย้ อ้ มผา้ ใหส้ เี หลอื ง ผลมรี สฝาด ชว่ ยใหเ้ จรญิ อาหาร แกเ้ จบ็ คอ
เปน็ ยาระบายออ่ นๆ แกพ้ ษิ รอ้ นภายใน เปน็ หนง่ึ ในตำ� รบั ยาตรผี ลา รว่ มกบั สมอพเิ ภก
และมะขามปอ้ ม แยกเปน็ var. nana Gagnep. หรอื สมอนง่ั เปน็ ไมพ้ มุ่ เตย้ี พบทาง
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และ var. tomentella (Kurz) C. B. Clarke พบทีพ่ มา่
และจนี ตอนใต้ แผน่ ใบดา้ นล่างมีขนสีนำ้� ตาลหนาแนน่

สยาขน สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

ชอ่ ดอกยาวไดถ้ งึ 30 ซม. มขี นสนั้ นมุ่ ตาดอกรปู ไขก่ ลบั ยาว 3-5 มม. มขี นหนาแนน่ สยาขน: ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ตาดอกรูปกระสวย ดอกสีเหลอื งออ่ น โคนสแี ดง กลีบรูปแถบ โคนปกี โอบหุม้ ผล
กา้ นดอกเทียมยาว 1-2 มม. หลอดกลีบเลย้ี งยาว 3-4 มม. มสี นั ต้นื ๆ 6 สัน ดา้ นใน เกินก่ึงหนึ่ง (ภาพ: ยะลา - MP)
มขี นละเอียดช่วงปลายกลบี รูปสามเหลย่ี ม ยาว 2-3 มม. ดอกสีชมพอู มมว่ ง กลบี รูปรี
หรือคลา้ ยรูปสเี่ หล่ยี มข้าวหลามตัด ยาว 5-7 มม. รวมก้านกลีบ เกสรเพศผู้ 6-7 อัน
ด้านนอกยาวกวา่ อนั ด้านใน รังไขเ่ กลี้ยง ผลแห้งแตก มี 3-4 ซกี รปู รเี กือบกลม
ยาว 1.5-1.8 ซม. เกล้ียง (ดขู อ้ มลู เพม่ิ เติมที่ ตะแบก, สกุล)

พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ตอนลา่ ง ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก และ
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ข้ึนตามปา่ เบญจพรรณ ความสงู ถึงประมาณ 200 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
de Wilde, W.J.J.O., B.E.E. Duyfjes and P. Phonsena. (2014). Lythraceae. In
Flora of Thailand Vol. 11(4): 576.

สมอรอ่ ง: ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายก่ิง หลอดกลบี เลย้ี งเปน็ สันตืน้ ๆ ผลเกลยี้ ง (ภาพซ้าย: กาญจนบรุ ี สยาขาว: ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนง ดอกเรียงหา่ ง ๆ ตาดอกรูปรี ดอกสขี าว กลบี รปู ขอบขนาน โคนปีกโอบห้มุ ผล
- SSi; ภาพขวา: ลพบรุ ี - RP) เกือบตลอดความยาว (ภาพ: ยะลา - MP)

สยาขน สยามมนสั

Shorea ochrophloia Strugnell ex Symington Siamanthus siliquosus K. Larsen & Mood
วงศ์ Dipterocarpaceae วงศ์ Zingiberaceae

ไมต้ ้น สงู ไดถ้ งึ 40 ม. พพู อนขนาดใหญ่ ชันสนี ้�ำตาล มีขนส้ันนมุ่ หนาแนน่ ตาม ไมล้ ม้ ลุก สูงได้ถงึ 1.5 ม. แตกกอแนน่ เหง้ามเี ส้นใยหนาแน่น กาบท่ไี มม่ ีใบมี
ก่ิงออ่ น หูใบ เส้นแขนงใบด้านล่าง กา้ นใบ ชอ่ ดอก กลบี เลยี้ งและกลีบดอกดา้ นนอก 3 กาบ ลิน้ กาบยาว 1.2-1.5 ซม. บางใส ใบรูปใบหอก ปลายแหลมยาว โคนเรยี วสอบ
และผล หใู บรปู ไข่ ยาว 3-5 มม. ใบรปู ขอบขนานแกมรปู ไข่ ยาว 8-15 ซม. ปลายแหลม ขอบมขี นยาว แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นคลา้ ยไหม กา้ นใบยาวประมาณ 5 มม. ชอ่ ดอก
หรือแหลมยาว โคนมน กลม หรือเว้าตืน้ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 15-20 เสน้ กา้ นใบยาว ออกทย่ี อด มีไดถ้ งึ 20 ดอก แกนชอ่ เกลี้ยง ยาว 20-25 ซม. ดอกออกเดี่ยว ๆ บน
1-1.5 ซม. ชอ่ ดอกยาว 3-5 ซม. ตาดอกรูปกระสวย ก้านดอกยาวประมาณ 1 มม. แกนชอ่ ไมม่ ใี บประดบั ใบประดบั ยอ่ ยขนาดเลก็ ตดิ ประมาณกงึ่ กลางกา้ นดอก
กลีบเลย้ี งรปู ไข่ ยาว 1.5-2 มม. ดอกสีเหลืองออ่ น โคนสีแดง กลบี รูปแถบ ปลายมน ก้านดอกยาวไดถ้ งึ 3 ซม. หลอดกลบี เลย้ี งยาว 3-4 ซม. ปลายแยก 2 แฉก ยาว 5-7 มม.
ยาว 1-1.5 ซม. เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก เรียง 3 วง อับเรณรู ปู ขอบขนาน รยางค์มีขน แฉกลกึ ดา้ นเดยี วเกอื บกง่ึ หนง่ึ ดอกสสี ม้ อมแดง หลอดกลบี ดอกยาว 5-6 ซม. กลบี หลงั
2-4 เสน้ ฐานกา้ นเกสรเพศเมยี รปู ไข่ มขี นยาวหนาแนน่ ผลรปู ไข่ ยาว 0.8-1.1 ซม. คลา้ ยกลบี ปากบน ยาวประมาณ 9 มม. พบั งอกลบั กลบี คขู่ า้ งเชอ่ื มตดิ กลบี ปาก
ปกี ยาว 3 ปกี ยาว 3.5-7 ซม. ปีกสนั้ 2 ปกี ยาว 1-4 ซม. โคนปกี โอบหุม้ ผล คลา้ ยเปน็ กลบี ปากลา่ ง พบั งอกลบั ชว่ งโคนยาว 2-3 ซม. ปลายแยกเปน็ 3 กลบี
เกินกง่ึ หนึ่ง กา้ นผลยาว 1.5-2 มม. (ดขู ้อมลู เพ่มิ เตมิ ท่ี พะยอม, สกุล) รูปเสน้ ด้าย กลีบกลางยาวได้ถงึ 4 ซม. กลบี ขา้ งยาวประมาณ 7 มม. ไมม่ ีแผ่น
เกสรเพศผทู้ ี่เป็นหมนั ดา้ นขา้ ง กา้ นชูอับเรณยู าวไดถ้ งึ 2 ซม. อับเรณูยาว 2.5-3 ซม.
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทยี่ ะลา นราธวิ าส ผลแห้งแตก รูปแถบ หอ้ ยลง ยาว 5-11 ซม. เมลด็ เป็นเหลีย่ ม ขนาดประมาณ 2 มม.
ขึ้นตามป่าดบิ ชืน้ ความสูงถึงประมาณ 350 เมตร
พืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคใต้ตอนล่างท่ีนราธิวาส ข้ึนตามป่าดิบชื้น
สยาขาว ความสงู ถงึ ประมาณ 800 เมตร

Shorea assamica Dyer subsp. globifera (Ridl.) Y. K. Yang & J. K. Wu สกลุ Siamanthus K. Larsen & Mood อยูภ่ ายใตเ้ ผ่า Riedelieae มเี พยี งชนดิ เดยี ว
ชอื่ พ้อง Shorea globifera Ridl. ชื่อสกุลมาจากช่อื ประเทศ Siam และ “anthos” ดอก
ไมต้ น้ สูงไดถ้ งึ 40 ม. พพู อนขนาดใหญ่ ชันสีขาว มขี นส้นั นุม่ หนาแน่นตามกิง่ อ่อน เอกสารอา้ งองิ
Larsen, K. and J. Mood. (1998). Siamanthus, a new genus of Zingiberaceae
หใู บ เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ ชอ่ ดอก กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกดา้ นนอก และผล
หูใบรปู ไข่ ยาวได้ถงึ 1.5 ซม. ใบรปู รี ยาว 4-9 ซม. ปลายเป็นติง่ แหลมสนั้ ๆ โคนมน from Thailand. Nordic Jounal of Botany 18(4): 393-397.
หรือกลม เสน้ แขนงใบขา้ งละ 12-15 เส้น กา้ นใบยาว 5-7 มม. ชอ่ ดอกยาว 5-8 ซม. Larsen, K. and S.S. Larsen. (2006). Gingers of Thailand. Queen Sirikit Botanic
ตาดอกรปู รี กา้ นดอกสนั้ มาก กลบี เลยี้ งรปู ขอบขนานหรอื รปู ไข่ ยาว 3-4 มม. ดอกสขี าว
โคนสชี มพู กลบี รปู ขอบขนาน ปลายมน ยาวประมาณ 1 ซม. เกสรเพศผู้ 15 อนั Garden. Chiang Mai.
เรยี ง 2 วง อบั เรณรู ปู ขอบขนาน ฐานกา้ นเกสรเพศเมยี ไมช่ ดั เจน ผลรปู ไขก่ วา้ ง ยาว
1-1.2 ซม. ปกี ยาว 3 ปีก ยาว 6-9 ซม. ปกี สน้ั 2 ปีก ยาว 3-5.5 ซม. โคนปีกโอบห้มุ ผล สยามมนสั : ช่อดอกออกทยี่ อด แกนช่อเกลยี้ ง ดอกออกเดยี่ ว ๆ บนแกนช่อ กลีบดอกพบั งอกลบั กลีบปากปลายแยก
เกอื บตลอดความยาว กา้ นผลยาวประมาณ 1 มม. (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ที่ พะยอม, สกลุ ) เป็น 3 กลบี รปู เสน้ ดา้ ย ไม่มีแผ่นเกสรเพศผทู้ ีเ่ ปน็ หมนั ด้านขา้ ง ผลแหง้ แตก รปู แถบ ห้อยลง (ภาพ: นราธวิ าส - JM)

พบทค่ี าบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และภาคใตข้ องไทยทส่ี รุ าษฎรธ์ านี สงขลา สตลู
ยะลา นราธิวาส ขึน้ ตามสนั เขาในปา่ ดบิ ชนื้ ความสูงถงึ ประมาณ 800 เมตร แยก
เปน็ หลายชนิดยอ่ ย สว่ น subsp. assamica พบทีอ่ นิ เดยี จนี ตอนใต้ และพม่า

เอกสารอา้ งอิง
Ashton, P.S. (1982). Dipterocarpaceae. In Flora Malesiana Vol. 9: 447, 491.
Pooma, R. and M. Newman. (2001). Checklist of Dipterocarpaceae in Thailand.
Thai Forest Bulletin (Botany) 29: 158.

404

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย สร้อยสยาม

สยาเหลอื ง สร้อยนก: ใบเรยี งเวยี น รูปแถบ ช่อดอกเพศผู้คล้ายช่อเชิงลด ผลรปู ขอบขนาน มีสีแดงสม้ อมนำ้� ตาลตามสนั หนาม
(ภาพซา้ ย: รอ้ ยเอ็ด - PK; ภาพขวา: ผาแตม้ อุบลราชธานี - RP)
Shorea curtisii Dyer ex King
วงศ์ Dipterocarpaceae สรอ้ ยสยาม

ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 40 ม. พพู อนขนาดใหญ่ ชนั สนี ำ�้ ตาลเขม้ มขี นสนั้ นมุ่ และสะเกด็ Phanera siamensis (K. Larsen & S. S. Larsen) Mackinder & R. Clark
รูปรม่ หนาแนน่ ตามกิง่ ออ่ น หูใบ แผน่ ใบด้านลา่ ง และกา้ นใบ มขี นสั้นนมุ่ ตาม วงศ์ Fabaceae
ชอ่ ดอก กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกดา้ นนอกและผล หใู บรปู ใบหอกกลบั ยาว 2-3.5 ซม.
ใบรูปรหี รอื รูปขอบขนาน ยาว 6-9 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนรูปล่มิ ชือ่ พอ้ ง Bauhinia siamensis K. Larsen & S. S. Larsen
หรือมน เส้นแขนงใบขา้ งละ 12-16 เสน้ กา้ นใบยาว 1.5-2 ซม. ชอ่ ดอกยาว 3-9 ซม.
ตาดอกรปู ไข่ กา้ นดอกสน้ั มากหรอื ไรก้ า้ น กลบี เลย้ี งรปู ไข่ ยาวประมาณ 1.5 มม. ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ มมี อื จบั มว้ นงอ มขี นสน้ั นมุ่ สนี ำ�้ ตาลแดงตามกงิ่ ออ่ น ชอ่ ดอก
ดอกสีเหลอื งออ่ น โคนสีขาว กลีบรูปแถบ ยาวประมาณ 1.2 ซม. เกสรเพศผู้ 15 อนั กา้ นดอก กลบี เลย้ี งดา้ นนอก รงั ไข่ และผล หใู บกลมหรอื รปู ไขก่ ลบั ยาว 0.6-1 ซม.
เรยี ง 2 วง อบั เรณูรปู กลม ๆ ฐานกา้ นเกสรเพศเมียสน้ั ผลรปู ไข่ ยาว 0.8-1 ซม. ใบรูปไข่ ยาว 4-7.5 ซม. ปลายแฉกลกึ ไมเ่ กินกงึ่ หน่ึง กา้ นใบยาว 1-3 ซม. ชอ่ ดอกแบบ
ปีกยาว 3 ปกี ยาว 4.5-7 ซม. ปีกส้นั 2 ปีก ยาว 1.5-4 ซม. โคนโอบหุม้ ผลประมาณ ช่อกระจะ ห้อยลง ยาวได้ถึง 80 ซม. ใบประดับรปู ขอบขนานแกมรูปไข่ ยาว 1-1.2 ซม.
กงึ่ หนึง่ กา้ นผลยาวประมาณ 1.5 มม. (ดขู อ้ มลู เพ่ิมเตมิ ท่ี พะยอม, สกุล) ก้านดอกยาว 1.5-2.5 ซม. กลีบเลี้ยงรูปปากเปิดขนาดเล็ก ดอกสีชมพูอมขาว
หรือสชี มพเู ข้ม กลบี รปู รหี รอื รปู ไขก่ ลับ ขนาดไม่เทา่ กนั ยาว 1.5-2 ซม. ปลายกลม
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู สมุ าตรา บอรเ์ นยี ว และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทสี่ งขลา โคนเรยี วสอบ เกสรเพศผู้ 3 อัน ก้านชอู บั เรณยู าว 1.2-1.5 ซม. อับเรณูยาว 3-4 มม.
ยะลา สตลู นราธิวาส ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ช้นื ความสงู 250-1000 เมตร เกสรเพศผูท้ ่เี ป็นหมัน 6 อนั อันใหญ่ 2 อัน รงั ไขเ่ รียวจรดกา้ นเกสรเพศเมยี
ฝกั รปู ขอบขนาน ยาว 16-20 ซม. ปลายมจี ะงอย ยาวประมาณ 5 มม. มี 6-10 เมลด็
เอกสารอา้ งอิง เมล็ดรูปไข่ แบน สนี �้ำตาลเข้ม ยาว 1.5-2 ซม. (ดขู ้อมูลเพม่ิ เตมิ ท่ี แสลงพัน, สกลุ )
Ashton, P.S. (1982). Dipterocarpaceae. In Flora Malesiana Vol. 9: 541-543.
Pooma, R. and M. Newman. (2001). Checklist of Dipterocarpaceae in Thailand. พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคเหนือทพี่ ิษณโุ ลก ข้นึ ตามป่าเบญจพรรณทม่ี ี
Thai Forest Bulletin (Botany) 29: 158-159. ไผห่ นาแนน่ ความสูง 250-300 เมตร

สยาเหลอื ง: พพู อนขนาดใหญ่ กา้ นดอกสั้นมากหรอื ไรก้ ้าน โคนปกี โอบห้มุ ผลประมาณกง่ึ หนงึ่ (ภาพ: ยะลา - MP) เอกสารอ้างอิง
Larsen, K. and S.S. Larsen. (2002). Bauhinia siamensis (Leguminosae-Caesal-
สรอ้ ยนก pinioideae), an extraordinary new species from Thailand. Natural History
Bulletin Siam Society 50(1): 99-104.
Microstachys chamaelea (L.) Müll. Arg.
วงศ์ Euphorbiaceae สรอ้ ยสยาม: ไม้เถา มีมอื จับ มว้ นงอ หใู บกลมหรือรูปไข่กลับ ช่อดอกแบบช่อกระจะ หอ้ ยลง กลบี ดอกขนาดไม่เท่ากนั
โคนเรียวสอบ เกสรเพศผู้ 3 อนั เกสรเพศผู้ท่เี ป็นหมันอนั ใหญ่ 2 อนั (ภาพ: cultivated - RP)
ชอื่ พ้อง Tragia chamaelea L.

ไมล้ ม้ ลกุ หรอื ไมพ้ มุ่ สงู ไดถ้ งึ 1 ม. แยกเพศรว่ มตน้ หใู บรปู สามเหลย่ี มขนาดเลก็
มขี นครุย ใบเรียงเวียน รปู รีถงึ รปู แถบ ยาว 1.5-6 ซม. ปลายกลมหรอื มีติง่ แหลม
โคนแหลมหรือมน ขอบจักเป็นตอ่ ม แผ่นใบด้านลา่ งช่วงโคนมตี ่อมกระจาย กา้ นใบ
ยาว 1-2.5 มม. ชอ่ ดอกเพศผแู้ บบชอ่ กระจกุ แยกแขนงแคบ ๆ คลา้ ยชอ่ เชงิ ลด ยาว
0.5-1.5 ซม. ใบประดบั ขนาดเลก็ มตี อ่ มหมุ้ ดอกออกเดยี่ ว ๆ กา้ นสน้ั กวา่ กลบี เลย้ี ง
กลีบเล้ยี ง 3 กลบี ยาวประมาณ 0.5 มม. ขอบมขี นครยุ ไมม่ กี ลีบดอก เกสรเพศผู้
3 อัน ดอกเพศเมยี ออกเดี่ยว ๆ หรือเปน็ คู่ท่ีโคนชอ่ ดอกเพศผู้ ไร้กา้ น กลบี เลยี้ งยาว
0.6-1.2 มม. ขอบมขี นครยุ รงั ไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1 เม็ด แต่ละช่องมีสัน
เปน็ หนาม 2 แนว ผลแหง้ แตก มี 3 พู รปู ขอบขนาน ยาว 3.5-4.5 มม. สันพูมีหนาม
5-6 อนั สีเแดงส้มอมนำ�้ ตาล เมลด็ ขนาดเลก็ สีนำ�้ ตาลหรือปนขาว เมลด็ มีจกุ ขว้ั

พบในแอฟรกิ า เอเชยี และออสเตรเลยี ตอนบน ในไทยพบมากทางภาคตะวนั ออก
ภาคกลาง ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขนึ้ เปน็ วชั พชื ตามทโี่ ลง่ หรอื ชายหาด
ความสูงถึงประมาณ 300 เมตร

สกลุ Microstachys A. Juss. มี 17 ชนิด ส่วนใหญ่พบในอเมรกิ าใต้ ในไทยมี
ชนิดเดียว ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรกี “micros” ขนาดเล็ก และ “stachys” ชอ่ เชงิ ลด
ตามลักษณะของช่อดอกเพศผ้แู บบช่อเชงิ ลดขนาดเล็ก
เอกสารอา้ งองิ
Esser, H.-J. and P.C. van Welzen. (2007). Euphorbiaceae (Microstachys). In

Flora of Thailand Vol. 8(2): 452-453.

405

สรอ้ ยสวุ รรณา สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

สร้อยสุวรรณา, สกลุ พบทอ่ี นิ เดยี จนี ตอนใต้ ไหห่ นาน พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาค
ยกเว้นภาคใต้ ข้ึนตามชายป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ความสูงถึงประมาณ
Utricularia L. 800 เมตร คลา้ ยรางจดื T. laurifolia Lindl. ท่ใี บเรียบ และช่อดอกส้นั กว่า มี
วงศ์ Lentibulariaceae สรรพคณุ ด้านสมุนไพรหลายอยา่ ง

ไมล้ ม้ ลุกหรอื ไม้น้�ำกนิ แมลงขนาดเลก็ มไี หลรูปเสน้ ด้าย ใบมีหลายรปู แบบ เอกสารอ้างองิ
ใบในไม้น้�ำส่วนมากแยกเปน็ เสน้ บาง ๆ ไมม่ ีแผ่นใบชดั เจน ช่วงออกดอกไม่มีใบ Hu, J.Q. and T.F. Daniel. (2011). Acanthaceae (Thunbergia). In Flora of China
กบั ดกั แมลงขนาดเลก็ เปน็ กระเปาะตดิ บนไหลหรอื ใบ ใบประดบั และใบประดบั ยอ่ ย Vol. 19: 377.
ขนาดเลก็ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะหรอื ชอ่ เชงิ ลด หรอื ดอกออกเดย่ี ว ๆ ตงั้ ตรงหรอื Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
พนั เลอ้ื ย ดอกสมบรู ณเ์ พศ สมมาตรดา้ นขา้ ง กลบี เลย้ี งเชอื่ มตดิ กนั ปลายแยก 2 แฉก Press, Honolulu, Hawai`i.
กลีบดอกรูปปากเปดิ หลอดกลบี ส้นั กลบี ลา่ งหรอื กลบี ดุ้ง (palate) มีเดอื ยสน้ั ๆ
เกสรเพศผู้ 2 อนั ตดิ ท่โี คนกลีบดอกบน กา้ นชอู บั เรณูสน้ั บิดงอ มี 2 คารเ์ พล สร้อยอินทนลิ : ใบรูปไข่หรือรปู หัวใจกวา้ ง จัก 4-8 พู ชอ่ ดอกหอ้ ยลง ดอกรปู แตร สมี ่วงอมนำ้� เงนิ ดา้ นในสีครมี หรอื
เชอื่ มตดิ กนั ออวุลจ�ำนวนมาก ก้านเกสรเพศเมีย 1 อนั ยอดเกสรจกั 2 พู ไมเ่ ทา่ กัน อมเหลอื ง (ภาพ: cultivated - RP)
ผลแหง้ แตกตามขวาง เมลด็ ขนาดเล็กคล้ายฝนุ่ จำ� นวนมาก
สรสั จันทร
สกลุ Utricularia มีประมาณ 220 ชนดิ พบทั่วไป ในไทยมี 27 ชนิด ชือ่ สกุลมาจาก
ภาษาละตนิ “utriculus” ขวดหรือกระเปา๋ ขนาดเล็ก ตามลกั ษณะของกับดกั แมลง Burmannia coelestis D. Don
วงศ์ Burmanniaceae
สร้อยสวุ รรณา
ไมล้ ม้ ลกุ มใี บแตอ่ าศยั เชอื้ ราเพอื่ การเจรญิ เตบิ โตบางสว่ น ตน้ ทมี่ ดี อกสงู ไดถ้ งึ
Utricularia bifida L. 40 ซม. ลำ� ตน้ สเี ขยี ว ใบออกทโ่ี คนตน้ หรอื บนตน้ รปู แถบ ยาว 0.5-3 ซม. ชอ่ ดอก
ไมล้ ม้ ลกุ ใบออกจากไหล รปู แถบ ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. กบั ดกั แมลงเปน็ กระเปาะกลม แบบช่อกระจกุ ออกตามยอด มี 1-8 ดอก ใบประดบั รูปใบหอก ยาว 3-6 มม.
ดอกยาว 1-1.5 ซม. หลอดกลีบสีนำ�้ เงิน ยาว 0.5-1.3 ซม. มี 3 ปกี กว้าง 1.5-3 มม.
ตดิ บนไหลและใบ ยาวประมาณ 1 มม. ชอ่ ดอกออกเดยี่ ว ๆ แบบชอ่ กระจะตงั้ ตรง กลบี รวมสเี หลอื งอ่อน รูปสามเหล่ยี ม วงนอกยาว 1-2 มม. ขอบซอ้ น ติดทน
เกลยี้ ง สงู ไดถ้ งึ 60 ซม. มี 1-10 ดอก ใบประดบั และใบประดับย่อยตดิ ที่โคน ก้านดอก วงกลบี ในยาว 0.5-1 มม. อบั เรณปู ลายมรี ยางคเ์ ปน็ สนั 2 สนั โคนมเี ดอื ย รงั ไขย่ าว
ยาว 2-5 มม. มปี กี แคบ ๆ กลบี เลี้ยงแฉกลกึ รูปไข่ ยาว 2-7 มม. ดอกสีเหลอื ง ยาว 3-7 มม. ยอดเกสรเพศเมียยาว 3-7 มม. ผลแหง้ แตก รูปไข่กลบั (ดูขอ้ มูลเพ่มิ เติมที่
0.6-1 ซม. เดอื ยรูปลิม่ ยาว 3-7 มม. กา้ นชูอบั เรณยู าวประมาณ 1 มม. ผลรูปรี ยาว หญ้าขา้ วก�่ำ, สกุล)
ประมาณ 3 มม. กา้ นผลพับงอ เมลด็ มีลายร่างแห
พบทอ่ี นิ เดยี บงั กลาเทศ เนปาล พมา่ จนี ตอนใต้ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี
พบในเอเชยี เขตรอ้ น ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ออสเตรเลยี ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามทโ่ี ลง่ ทชี่ น้ื แฉะ ความสงู ถงึ ประมาณ 800 เมตร
ตามทช่ี น้ื แฉะ ตามลานหิน ทุ่งนา และทงุ่ หญ้าท่ีมีนำ้� ขงั เปน็ หนง่ึ ในพรรณไมท้ ส่ี มเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถพระราชทานชอ่ื ไทย

เอกสารอา้ งอิง เอกสารอา้ งอิง
Parnell, J. (2011). Lentibulariaceae. In Flora of Thailand Vol. 11(1): 16-45. Wu, D., D. Zhang and R.M.K. Saunders. (2010). Burmanniaceae. In Flora of
China Vol. 23: 122.

สรอ้ ยสุวรรณา: ช่อดอกออกเดี่ยว ๆ แบบช่อกระจะตงั้ ตรง เกล้ยี ง ดอกสีเหลอื ง (ภาพ: อุบลราชธานี - PK) สรัสจันทร: ช่อดอกแบบช่อกระจุก ออกตามยอด หลอดกลีบสนี ำ้� เงนิ มี 3 ปกี กลบี รวมสีเหลืองออ่ น วงนอกขอบซ้อน
(ภาพ: อบุ ลราชธานี - PK)
สรอ้ ยอนิ ทนลิ
สลอดเล็ก
Thunbergia grandiflora (Roxb. ex Rottler) Roxb.
วงศ์ Acanthaceae Microcos sinuata (Wall. ex Mast.) Burret
วงศ์ Malvaceae
ชอ่ื พอ้ ง Flemingia grandiflora Roxb. ex Rottler
ช่อื พอ้ ง Grewia sinuata Wall. ex Mast.
ไมเ้ ถา ยาวได้มากกว่า 10 ม. มขี นตามกงิ่ อ่อน แผ่นใบ กา้ นใบ ชอ่ ดอก และ
ใบประดบั มตี อ่ มน�ำ้ ตอ้ ยสีดำ� ตามขอ้ ปลายกา้ นใบ และใบประดับ ใบรูปไข่หรือ ไมพ้ มุ่ อาจสงู ไดถ้ งึ 8 ม. ใบเรยี งเวยี น รปู รหี รอื รปู ไขก่ ลบั ยาว 3-5 ซม. ปลายแหลม
รปู หัวใจกวา้ ง จกั 4-8 พู ยาว 4-15 ซม. ปลายแหลม โคนรูปหัวใจ ขอบจักต้นื ๆ
เส้นใบรูปฝา่ มอื 5-7 เส้น กา้ นใบยาว 1-8 ซม. ชอ่ ดอกห้อยลง ยาวไดถ้ ึง 1.5 ม.
แตล่ ะช่อกระจกุ มี 2-4 ดอก ก้านดอกยาว 2-4 ซม. ใบประดับย่อยห้มุ กลบี เลย้ี ง
รูปขอบขนาน ยาว 1.5-3 ซม. กลีบเล้ยี งรูปถ้วยขนาดเลก็ ขอบเรยี บ ดอกรปู แตร
สมี ว่ งอมนำ�้ เงนิ หรอื สขี าว ดา้ นในสคี รมี หรอื อมเหลอื ง หลอดกลบี ดอกยาว 3-5 ซม.
กลบี กลมหรือรปู ไข่กว้าง ยาว 2-3 ซม. เกสรเพศผู้ยาว 0.8-1 ซม. อับเรณยู าวเทา่ ๆ
กา้ นชอู บั เรณู โคนมเี ดอื ยสน้ั ปลายมรี ยางคเ์ ปน็ ตงิ่ ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1.5-1.8 ซม.
ปลายมีจะงอย ยาว 2-2.5 ซม. มีขนสน้ั น่มุ (ดูข้อมลู เพิ่มเติมท่ี รางจืด, สกลุ )

406

สารานุกรมพืชในประเทศไทย สะค้านเชียงดาว

โคนแหลม มน หรือเวา้ ตื้น ขอบเว้าเป็นคลนื่ แผน่ ใบมีขนตามเส้นกลางใบและ สะแกนา: ลำ� ต้นมกั มีกิง่ ทีล่ ดรปู เป็นหนาม ช่อดอกแบบชอ่ เชิงลด จานฐานดอกเป็นวง มีขนหนาแน่น ผลมี 4 ปีก
เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง เสน้ แขนงใบขา้ งละ 3-6 เสน้ มเี สน้ โคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้ (ภาพ: อุบลราชธานี - PK)
ก้านใบยาว 2-5 มม. ช่อดอกยาว 1.5-5 ซม. กลบี เลีย้ งรปู ขอบขนาน โคนแคบ
ยาวไดถ้ งึ 8 มม. ดา้ นนอกมขี นละเอยี ด กลบี ดอกขนาดเลก็ บาง รปู รี ยาวประมาณ
2 มม. เกสรเพศผูส้ นั้ กว่ากลบี เล้ียงเลก็ น้อย รงั ไขเ่ กลีย้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวเท่า ๆ
เกสรเพศผหู้ รอื ยาวกวา่ เลก็ นอ้ ย ผลคลา้ ยลกู แพร์ เกลยี้ ง ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. (ดขู อ้ มลู
เพมิ่ เตมิ ท่ี พลบั พลา, สกุล)

พบทอี่ นิ เดยี พมา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกเฉยี งใต้ ข้นึ ตามที่โลง่ หรือรมิ ลำ� ธาร
ในป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแลง้ ความสงู 100-500 เมตร

เอกสารอ้างองิ
Phengklai, C. (1993). Tiliaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(1): 34.

สลอดเล็ก: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุกแยกแขนงสน้ั ๆ กลบี เลี้ยงแยกจรดโคน รปู ขอบขนาน ขอบใบเวา้ เป็นคลืน่ ผลคลา้ ย พู่อมร: ดอกสแี ดง (ภาพซา้ ย: cultivated - RP); พู่อมรชอ่ สม้ : ดอกสีแดงอมส้ม (ภาพขวา: cultivated - SSi)
ลกู แพร์ เกล้ียง (ภาพ: บงึ กาฬ - RP)
สะค้านเชียงดาว
สะแกนา, สกลุ
Piper chiangdaoense Suwanph. & Chantar.
Combretum Loefl. วงศ์ Piperaceae
วงศ์ Combretaceae
ไม้เถา แยกเพศต่างต้น รากออกตามขอ้ มขี นก�ำมะหยีต่ ามยอดอ่อน แผ่นใบ
ไม้เถาเนอ้ื แข็ง ไมพ้ ุ่ม หรอื ไม้ตน้ ส่วนมากมีขนส้ันน่มุ ขนต่อม หรอื เกล็ด ดา้ นลา่ ง กา้ นใบ และกา้ นชอ่ ดอก หใู บรปู ใบหอก รว่ งงา่ ย ใบเรยี งเวยี น รปู ไขก่ วา้ ง
ตามกงิ่ ออ่ น แผน่ ใบ ดอก และผล ใบเรยี งตรงขา้ ม กา้ นใบบางครง้ั ตดิ ทนดคู ลา้ ยหนาม เบีย้ วเล็กน้อย ยาว 3.5-4.5 ซม. ปลายแหลม โคนแหลม กลม หรือเวา้ ตนื้ กา้ นใบยาว
ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงลด ชอ่ กระจะ หรือชอ่ แยกแขนง ดอกจำ� นวนมาก ใบประดบั 1-1.5 ซม. เส้นใบข้างละ 3 เสน้ ออกใกล้โคนใบ ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงลด ออกเด่ียว ๆ
ขนาดเลก็ กลีบเลีย้ งและกลีบดอกจำ� นวนอย่างละ 4-5 กลีบ กลีบเล้ยี งรูปถ้วย ทป่ี ลายก่ิงหรอื ซอกใบ ห้อยลง แกนกลางมขี น ดอกจำ� นวนมาก ใบประดบั รปู โล่
แนบติดรงั ไข่ ไมต่ ิดทน กลีบดอกสว่ นมากขนาดเล็ก เกสรเพศผู้มีจ�ำนวน 2 เท่า ขนาดประมาณ 0.1 มม. มกี ้านสน้ั ๆ ตดิ ทน ชอ่ ดอกเพศผยู้ าว 3-5 ซม. ก้านชอ่ ยาว
ของกลีบเลี้ยง ยน่ื พน้ ปากหลอดกลีบเลยี้ ง รังไขใ่ ตว้ งกลีบ มชี ่องเดียว ออวุล 2-4 เมด็ 1-1.5 ซม. ดอกเพศผู้ขนาดเล็ก เกสรเพศผู้ 4-6 อนั ก้านชูอับเรณูสน้ั อบั เรณมู ี
กา้ นเกสรเพศเมยี แยกกนั ผลคลา้ ยเปน็ ผลเทยี ม (pseudocarp) ผนงั ชนั้ ในแขง็ 2 ชอ่ ง ช่อดอกเพศเมียสนั้ กว่าช่อดอกเพศผเู้ ลก็ นอ้ ย ก้านชอ่ ยาว 1-2 ซม. รงั ไข่รูปรี
มี 4-5 เหล่ียม หรอื 4-5 ปีก ยอดเกสรเพศเมียแยก 3-5 แฉก คลา้ ยรปู ดาว ตดิ ทน มีขน ผลผนังช้นั ในแข็ง
รปู รี แยกกัน ยาว 2-3 มม. มเี มลด็ เดยี ว
สกุล Combretum มีประมาณ 250 ชนดิ พบในอเมริกาเขตร้อน แอฟรกิ า มาดากสั การ์
และเอเชียเขตรอ้ น ในไทยมปี ระมาณ 20 ชนิด และเปน็ ไมป้ ระดับ 2-3 ชนิด เชน่ พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทด่ี อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ เกาะเลอ้ื ยตามหนิ ปนู
พ่อู มร C. constrictum (Benth.) M. A. Lawson มถี ่นิ ก�ำ เนิดในแอฟริกา และ ความสงู 1500-2200 เมตร
พู่อมรชอ่ สม้ C. fruticosum (Loefl.) Stuntz มถี ่ินกำ�เนิดในอเมรกิ าใต้ ชื่อสกุล
เป็นภาษาละตนิ ท่ีใชเ้ รยี กพืชทเี่ ปน็ สมุนไพรหลายชนิด สกลุ Piper L. มปี ระมาณ 2000 ชนดิ สว่ นใหญพ่ บในเขตร้อนและกง่ึ เขตร้อน
ในไทยมีประมาณ 50 ชนดิ รวมพชื ตา่ งถิ่น มีหลายชนิดทเ่ี ป็นพืชเศรษฐกิจที่สำ�คัญ
สะแกนา เชน่ พริกไทย P. nigrum L. พลู P. betle L. และ ชา้ พลู P. sarmentosum Roxb.
ช่ือสกลุ มาจากภาษากรีก “peperi” หมายถึงพรกิ ไทย
Combretum quadrangulare Kurz เอกสารอา้ งอิง
ไม้ต้น สูงไดถ้ งึ 12 ม. ลำ� ตน้ มักมีก่งิ ทล่ี ดรูปเปน็ หนาม เปลอื กเรียบ กง่ิ อ่อน Suwanphakdee, C. and P. Chantaranothai. (2011). A new species and three

เป็นเหลีย่ ม 4 เหลีย่ ม สว่ นตา่ ง ๆ มเี กลด็ ปกคลมุ หนาแนน่ ใบรูปไข่กลับหรือ taxonomic changes in Piper (Piperaceae) from Thailand. Blumea 56(3): 235.
แกมรูปขอบขนาน ยาว 8-18 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเรียวสอบ กา้ นใบยาว 4-6 มม. Tseng, Y.C., N. Xia and M.G. Gilbert. (1999). Piperaceae. In Flora of China
ชอ่ ดอกแบบช่อเชงิ ลด ออกตามซอกใบ ยาว 3-6 ซม. มกั แยกแขนง ใบประดบั
รปู เสน้ ดา้ ย ยาวประมาณ 1 มม. กา้ นดอกยาวประมาณ 1 มม. กลบี เลย้ี งรปู ถว้ ยกวา้ ง Vol. 4: 110.
กวา้ ง 2-2.5 มม. ยาวประมาณ 1.2 มม. เปน็ เหลยี่ ม มี 4 กลีบ รปู สามเหล่ยี ม
ขนาดเล็ก กลบี ดอกสีครมี รปู ไขก่ ลับ ยาว 0.8-1.2 มม. ปลายแหลม เกสรเพศผู้ 4 อนั สะค้านเชยี งดาว: มขี นก�ำมะหย่ีตามยอดออ่ น ก้านใบ และกา้ นชอ่ ดอก ใบรูปไขก่ ว้าง เสน้ ใบขา้ งละ 3 เส้น ออกใกล้
ยาว 3-4 มม. จานฐานดอกเปน็ วง มขี นหนาแนน่ ผลมี 4 ปกี รปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ โคนใบ ช่อดอกแบบชอ่ เชิงลด (ภาพ: ดอยเชยี งดาว เชยี งใหม่ - RP)
2 ซม. ปกี กว้าง 3-4 มม.

พบทพี่ มา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามทโ่ี ลง่ ขา้ งถนน หรอื
เขาหินปนู เต้ีย ๆ ความสูงถึงประมาณ 250 เมตร

เอกสารอา้ งอิง
Nanakorn, W. (1986). The genus Combretum (Combretaceae) in Thailand. Thai
Forest Bulletin (Botany) 16: 154-204.

407

สะเดาช้าง สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

สะเดาช้าง สะเดาดิน: ไม้ล้มลุกขึน้ เป็นกอบนโขดหนิ รมิ ลำ� ธาร ช่อดอกออกตามซอกใบ ดอกรปู กงลอ้ หลอดกลีบดอกสัน้
กลบี ดอกรปู แถบ (ภาพ: ภูวัว หนองคาย - PK)
Acrocarpus fraxinifolius Wight ex Arn.
วงศ์ Fabaceae สะตอื

ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู ไดถ้ งึ 30 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามยอดออ่ น ชอ่ ดอก และกลบี เลย้ี ง Crudia chrysantha (Pierre) K. Schum.
ใบประกอบ 2 ชั้น แกนใบประกอบยาว 10-60 ซม. มีขนละเอยี ด กา้ นใบยาว วงศ์ Fabaceae
5-20 ซม. ใบประกอบยอ่ ยมี 3-5 คู่ ใบยอ่ ยมี 4-9 คู่ รปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน
ยาว 2-15 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนรปู ลมิ่ กว้างถงึ กลม เบี้ยว กา้ นใบสัน้ ช่อื พ้อง Apalatoa chrysantha Pierre
ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบ 1-3 ชอ่ ยาว 20-25 ซม. กา้ นดอกยาว
6-8 มม. ฐานดอกรูประฆงั กลบี เล้ยี ง 5 กลบี รูปสามเหลี่ยม ปลายมน ยาว 3-4 มม. ไมต้ ้น สงู ได้ถงึ 25 ม. มีขนสนั้ นมุ่ สเี ทาตามกง่ิ อ่อน ชอ่ ดอก กลีบเลี้ยงดา้ นใน
ดอกสแี ดง มี 5 กลบี รปู ใบหอกหรอื รปู แถบ ยาว 0.6-1 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ระหวา่ ง และรงั ไข่ หใู บขนาดเล็ก รว่ งเรว็ ใบประกอบปลายคี่ เรยี งเวียน แกนใบประกอบยาว
กลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู เี หลอื งอมแดง ยาวประมาณ 2 เทา่ ของกลบี ดอก อบั เรณู 4-8 ซม. ใบยอ่ ยมี 4-6 ใบ เรียงสลับระนาบเดยี ว รูปไข่ ยาว 3-8 ซม. ปลายแหลมยาว
ตดิ ไหว รงั ไขม่ กี า้ นยาว ออวลุ จ�ำนวนมาก กา้ นเกสรเพศเมยี สนั้ ยอดเกสรขนาดเลก็ ส่วนปลายมน โคนกลมหรอื มน ก้านใบยาว 2-3 มม. ชอ่ ดอกคลา้ ยช่อเชิงลด ออกตาม
ฝักแบน เรยี วแคบ ยาว 8-15 ซม. ปกี กว้าง 3-5 มม. เมลด็ รปู ไข่ แบน ยาว 5-7 มม. ซอกใบ ยาว 5-15 ซม. กา้ นดอกยาว 3-4 มม. ใบประดบั และใบประดับย่อยขนาดเลก็
รว่ งเร็ว ฐานดอกสนั้ กลบี เลี้ยง 4 กลบี เรียงซ้อนเหล่ือม รูปไข่ ยาว 3-4 มม.
พบที่อนิ เดยี ศรีลังกา บังกลาเทศ ภูฏาน พม่า จีนตอนใต้ ภมู ภิ าคอินโดจนี ดา้ นนอกเกลยี้ ง พับงอกลับ ไมม่ ีกลีบดอก เกสรเพศผู้ 8-10 อัน แยกกนั ยาวกว่า
สุมาตรา และชวา ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ แทบทกุ ภาค ยกเว้นภาคใต้ ข้นึ ตาม กลีบเลยี้ งเล็กน้อย รังไข่มขี น ออวลุ 3-5 เม็ด กา้ นเกสรเพศเมียยาวเทา่ ๆ รงั ไข่
ป่าดิบแล้งตามสนั เขาหรือรมิ ลำ� ธาร ความสูงถงึ ประมาณ 1200 เมตร นิยมปลูก ยอดเกสรเป็นต่มุ ผลรปู รี แบน ยาว 5-6 ซม. แหง้ แตก มขี นกำ� มะหยห่ี นาแน่น
เป็นไม้สวนป่าในเอเชีย แอฟรกิ า และอเมริกาเขตร้อน มี 1-2 เมล็ด คล้ายเมล็ดถวั่ ยาวประมาณ 3 ซม.

สกุล Acrocarpus Wight ex Arn. อยวู่ งศย์ ่อย Caesalpinioideae เผา่ Caesal- พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคกลาง ภาคตะวนั ออก
pinieae มชี นิดเดียว พบในเอเชยี เขตร้อน ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก “akros” ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉยี งใต้ทป่ี ราจนี บุรี ขึน้ ตามทรี่ าบ
ยอดหรือตอนปลายสดุ และ “karpos” ผล ตามลกั ษณะผลทอี่ อกท่ปี ลายกง่ิ ทอ้ งนา และริมลำ� ธารในป่าดิบแล้ง ความสูงระดับต่ำ� ๆ
หรอื รงั ไขแ่ ละผลมีก้านยาว
เอกสารอ้างอิง สกุล Crudia Schreb. อยภู่ ายใต้วงศย์ อ่ ย Caesalpinioideae เผ่า Detarieae
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae. มี 50-55 ชนิด พบในอเมรกิ าเขตรอ้ น แอฟริกา และเอเชีย โดยเฉพาะภูมิภาค
มาเลเซยี เป็นสกลุ ทีย่ งั มีการศึกษาน้อยมาก ในไทยมี 6 ชนิด อกี 5 ชนดิ พบ
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 50. เฉพาะทางภาคใตต้ อนล่าง มักพบตามป่าพรุน�้ำ จดื มพี ชื ถ่ินเดยี วของไทย 1 ชนดิ
คอื C. speciosa Prain พบทีพ่ ังงาและสุราษฎร์ธานี ชื่อสกลุ มาจากภาษาพนื้ เมือง
สะเดาชา้ ง: ใบประกอบ 2 ชนั้ ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบ 1-3 ชอ่ (ภาพ: เขาใหญ่ นครราชสมี า - MP) ของประเทศกายอานา หรอื ตง้ั ตามนกั พฤกษศาสตร์ชาวอเมรกิ า Johann Wilhelm
Crudy (1753-1810?)
สะเดาดนิ เอกสารอ้างองิ
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
Pentasacme caudatum Wall. ex Wight
วงศ์ Apocynaceae In Flora of Thailand Vol. 4(1): 88-93.

ไม้ล้มลุก ขึ้นเป็นกอ สงู 20-80 ซม. ใบเรียงตรงขา้ ม รปู แถบ ยาว 5-15 ซม. สะตือ: ใบประกอบมีใบย่อย 4-6 ใบ เรียงสลบั ระนาบเดียว ชอ่ ดอกคล้ายช่อเชงิ ลด กลีบเลีย้ ง 4 กลีบ ดา้ นในมีขนสนั้ นุม่
เสน้ แขนงใบไมช่ ดั เจน มเี สน้ ขอบใน เสน้ กลางใบนนู ทง้ั สองดา้ น กา้ นใบยาว 1-2 มม. ไม่มกี ลีบดอก รังไขม่ ีขนหนาแน่น ผลมีขนก�ำมะหย่หี นาแนน่ (ภาพดอก: อ่างทอง, ภาพผล: พระนครศรอี ยธุ ยา; - RP)
ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ ออกสนั้ ๆ ตามซอกใบหรอื ระหว่างใบ มี 4-8 ดอกในแตล่ ะชอ่
ใบประดบั ติดทโ่ี คน ยาว 2-3 มม. กา้ นดอกยาว 0.5-1.5 ซม. กลีบเลยี้ ง 5 กลีบ
รูปสามเหลีย่ ม ยาวประมาณ 3 มม. มตี ่อมทโี่ คน ดอกรูปกงลอ้ สขี าว มี 5 กลบี
รปู แถบ บดิ เวยี นด้านขวา ยาวประมาณ 1 ซม. หลอดกลีบสัน้ กะบังหนา มี 5 พู
ปลายมรี ยางคค์ ลา้ ยเกลด็ ขอบจกั กา้ นชอู บั เรณเู ชอ่ื มตดิ กนั เปน็ หลอดสน้ั ๆ ปลาย
อบั เรณูบางเป็นจะงอยเล็ก ๆ ติดที่โคนปลายยอดเกสรเพศเมีย ยอดเกสรเพศเมยี
จักลึก 2 พู ฝกั แตกแนวเดยี ว รปู ทรงกระบอก ยาว 4-7 ซม. เมลด็ ขนาดเลก็ จ�ำนวนมาก
ปลายมกี ระจุกขน ยาวประมาณ 1.5 ซม.

พบท่อี ินเดีย เนปาล ภฏู าน บังกลาเทศ จีนตอนใต้ พม่า ภมู ิภาคอนิ โดจนี และ
คาบสมุทรมลายู ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทุกภาค ขนึ้ ตามโขดหินใกลล้ ำ� ธาร ใน
ปา่ ดิบแลง้ และปา่ ดิบชืน้ ความสูงถงึ ประมาณ 600 เมตร ในจนี ใช้เป็นสมุนไพร
รกั ษาโรคตบั อกั เสบ โรคตาแดง แก้เจบ็ คอ และโรคหลอดลมอักเสบ

สกุล Pentasacme Wall. ex Wight เดมิ ชือ่ Pentasachme อย่ภู ายใต้วงศย์ ่อย
Asclepiadoideae มี 4 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชยี ในไทยมชี นิดเดยี ว ช่ือสกลุ มาจาก
ภาษากรีก “pente” 5 และ “akme” ยอด หมายถึงกลบี ดอกมี 5 กลีบ ปลายกลบี
บิดเวยี น
เอกสารอา้ งองิ
Li, B., M.G. Gilbert and W.D. Stevens. (1995). Asclepiadaceae. In Flora of

China Vol. 16: 262.

408

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย สะเมก็ ขาว

สะบา้ ลงิ โคนมตี อ่ มขา้ งละ 1 ตอ่ ม ก้านใบยาว 3-5 มม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตาม
ซอกใบ ยาว 3-10 ซม. กา้ นดอกปลายหนา ยาว 0.5-1.5 ซม. ใบประดับขนาดเล็ก
Mucuna macrocarpa Wall. หลอดกลีบเลยี้ งกลม ขนาดประมาณ 2 มม. กลีบรปู ใบหอก ยาว 2-4 มม. ติดทน
วงศ์ Fabaceae ดอกรปู ระฆงั แคบ สแี ดงหรืออมชมพู ยาว 2-2.5 ซม. มีสนั ตามยาว กลีบรปู แถบ
ยาว 1.2-1.5 ซม. ปลายมว้ นงอกลับ เกสรเพศผยู้ ่ืนพน้ หลอดกลบี ก้านชูอบั เรณูยาว
ไม้เถาเนื้อแข็ง ยาวได้ถึง 70 ม. มขี นสัน้ นุ่มสีน�ำ้ ตาลแดงหนาแนน่ ตามกงิ่ อ่อน 3-5 มม. อบั เรณูยาว 5-7 มม. หลอดยาว 1.3-1.7 ซม. เดือยขนาดเลก็ หรือไม่มี
กา้ นใบ ใบออ่ น ชอ่ ดอก กลบี เลย้ี ง และฝกั ใบประกอบมี 3 ใบยอ่ ย กา้ นใบประกอบ ผลกลม เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 5-6 มม. (ดขู อ้ มูลเพิ่มเติมท่ี ประทัดดอย, สกุล)
ยาว 8-15 ซม. ใบปลายรูปรีหรอื รูปไข่ ยาว 7-19 ซม. เสน้ แขนงใบขา้ งละ 3-7 เสน้
ใบค่ขู า้ งเบีย้ ว ยาวเท่า ๆ ใบปลาย ชอ่ ดอกออกตามก่งิ แก่ ยาว 5-23 ซม. ช่อกระจุกยอ่ ย พบทอี่ นิ เดยี จนี ตอนใต้ และพมา่ ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคเหนอื และ
ออกสั้น ๆ หนาแน่น ก้านดอกยาว 0.8-1 ซม. ใบประดับย่อยรูปไข่ ยาว 2-5 มม. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ข้นึ ตามคบไม้ในป่าดบิ เขา ความสูง 1200-2000 เมตร
รว่ งเรว็ หลอดกลบี เลยี้ งยาว 0.8-1.2 ซม. กลบี ลา่ งยาว 5-8 มม. กลบี คขู่ า้ งยาวประมาณ
กงึ่ หนงึ่ ดอกมี 2 สี กลบี กลางสเี ขยี วหรอื อมชมพู กลบี ปกี สมี ว่ งเขม้ กลบี คลู่ า่ งสมี ว่ งออ่ น สะเม็กขาว
หรอื อมเหลือง กลบี กลางยาว 3-4.5 ซม. ขอบมขี น กลีบปกี ยาว 4.5-5.5 ซม.
กลบี คลู่ า่ งยาวกวา่ กลบี ปกี เลก็ นอ้ ย ฝกั หนา รปู แถบ ยาว 25-48 ซม. กวา้ ง 3-5 ซม. Agapetes bracteata Hook. f. ex C. B. Clarke
หนาประมาณ 1 ซม. คอดตามเมลด็ ผิวแหง้ ย่นตามยาว มี 6-15 เมล็ด เมล็ดรปู รีกวา้ ง ไมพ้ มุ่ องิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 2 ม. มขี นตามปลายกงิ่ กา้ นใบ ชอ่ ดอก กา้ นดอก และ
แบน ยาว 2-3 ซม. ข้วั เมล็ดหมุ้ เกินกึ่งหนง่ึ (ดขู ้อมลู เพม่ิ เตมิ ที่ หมามุ่ย, สกลุ )
ใบประดับ ใบเรียงเวียน รปู รีหรอื รปู ขอบขนาน ยาว 3.5-6 ซม. ปลายแหลมยาว
พบทอ่ี นิ เดยี เนปาล จนี ตอนใต้ พมา่ ญป่ี นุ่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบ หรอื ยาวคลา้ ยหาง โคนมนหรอื กลม กา้ นใบยาว 3-4 มม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ หลนั่
ทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ เขา ความสงู 600-1300 เมตร ออกตามซอกใบ ยาว 5-7 ซม. ดอกเรยี งหา่ ง ๆ กา้ นดอกยาว 0.5-1.5 ซม. ใบประดบั
เมล็ดบดใช้ประคบบรรเทาอาการเคล็ดขดั ยอก คล้ายใบ ติดทน รูปขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 0.6-1.2 ซม. หลอดกลบี เล้ียงสั้น
กลบี รูปสามเหล่ียม ยาว 2-3 มม. ดอกสขี าว หลอดกลีบยาว 0.8-1.5 ซม. กลบี แฉกลึก
เอกสารอ้างองิ ประมาณกงึ่ หนงึ่ รปู ใบหอก ปลายมว้ นงอกลบั เกสรเพศผยู้ น่ื พน้ หลอดกลบี อบั เรณู
Sa, R. and C.M. Wilmot-Dear. (2010). Fabaceae (Mucuna). In Flora of China ยาวเท่า ๆ ก้านชูอบั เรณู ยาวประมาณ 3 มม. หลอดยาวประมาณ 6 มม. มเี ดอื ย 2 อนั
Vol. 10: 212. ผลกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.5-1 ซม. สกุ สดี ำ� (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ที่ ประทดั ดอย, สกลุ )
Wilmot-Dear, C.M. (2008). Mucuna Adans. (Leguminosae) in Thailand. Thai Forest
Bulletin (Botany) 36: 119-120. พบทพี่ มา่ และเวยี ดนามตอนใต้ ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเ่ี ลย
และภาคตะวนั ออกทป่ี ราจนี บรุ ี ขนึ้ ตามคบไมใ้ นปา่ ดบิ เขา ความสงู 1000-1200 เมตร

เอกสารอ้างองิ
Clarke, C.B. (1881). Vaccinaceae. In Flora of British India Vol. 3: 448.
Fang, R. and P.F. Stevens. (2005). Ericaceae (Agapetes). In Flora of China Vol.
14: 506.
Watthana, S. (2015). Ericaceae. In Flora of Thailand Vol. 13(1): 103-105.

สะบ้าลิง: ไมเ้ ถาเนือ้ แขง็ ดอกมี 2 สี กลีบกลางสเี ขยี วหรืออมชมพู กลบี ปีกสีม่วงเขม้ กลบี คลู่ า่ งสีมว่ งอ่อนหรืออมเหลือง สะเภาลม: กิง่ มีขน ใบขนาดเลก็ ขอบม้วนเขา้ ดอกออกเด่ียว ๆ หรือเปน็ กระจกุ 2-5 ดอก หลอดกลีบดอกมสี ันตามยาว
ฝกั หนา คอดตามเมล็ด ผิวแห้งยน่ (ภาพดอก: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - PK; ภาพผล: ท่งุ แสลงหลวง พิษณโุ ลก - MT) เกสรเพศผ้ไู มย่ ืน่ พน้ หลอดกลบี ดอก (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชียงใหม่ - RP)

สะเภาลม สะเม็ก: ลำ� ตน้ เกล้ยี ง ปลายใบแหลมยาวหรอื ยาวคล้ายหาง ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ดอกเรียงหนาแนน่ ก้านดอก
ปลายหนา เกสรเพศผูย้ ่นื พน้ หลอดกลีบ (ภาพ: ภูหลวง เลย - SSi)
Agapetes hosseana Diels
วงศ์ Ericaceae สะเม็กขาว: ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ หลัน่ ดอกเรยี งห่าง ๆ ปลายกลีบดอกม้วนงอกลบั ใบประดบั คลา้ ยใบ ติดทน เกสรเพศผู้
ย่นื พ้นหลอดกลีบ ผลสุกสดี �ำ (ภาพดอก: ภหู ลวง เลย - TP; ภาพผล: เขาใหญ่ ปราจีนบรุ ี - SSi)
ไมพ้ มุ่ สว่ นมากองิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 1 ม. โคนตน้ หนา ลำ� ตน้ และกง่ิ มขี นประปราย
ใบเรยี งเวยี น รูปรี รูปไขก่ ลบั หรอื แกมรูปขอบขนาน ยาว 1.7-3.5 ซม. ปลายมน
มตี งิ่ แหลมหรือเวา้ ตื้น โคนแหลม ขอบม้วนเขา้ กา้ นใบยาว 1-3 มม. ดอกออก
เดยี่ ว ๆ หรอื เปน็ กระจกุ 2-5 ดอก ตามซอกใบ กา้ นดอกยาว 1-1.8 ซม. ใบประดบั
ขนาดเลก็ มขี นครยุ หลอดกลบี เลยี้ งยาวประมาณ 3 มม. กลบี แฉกลกึ ประมาณกง่ึ หนงึ่
ดา้ นนอกมขี นสนั้ นมุ่ ดอกสแี ดงอมสม้ หรอื เขยี ว หลอดกลบี ดอกยาว 1.5-2.3 ซม.
มสี นั ตามยาว กลบี รปู สามเหลย่ี มขนาดเลก็ แผน่ กลบี มกั มสี เี ขยี ว เกสรเพศผไู้ มย่ นื่ พน้
หลอดกลบี ดอก ก้านชูอบั เรณยู าว 0.7-1 ซม. อับเรณู ยาว 5-8 มม. รวมหลอด เดอื ย
ขนาดเลก็ ผลกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.8-1 ซม. (ดขู อ้ มลู เพม่ิ เตมิ ท่ี ประทดั ดอย, สกลุ )

พบทีพ่ มา่ และลาว ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และ
ภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ ขึ้นตามต้นไม้ โขดหิน หรือบนดนิ โดยเฉพาะตามที่โล่งใน
ป่าดบิ เขา ความสงู 1200-2500 เมตร

สะเมก็

Agapetes lobbii C. B. Clarke
ไมพ้ มุ่ องิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 2 ม. ลำ� ตน้ เกลยี้ ง ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนาน รปู ใบหอก

หรือแกมรปู ไข่ ยาว 4-11 ซม. ปลายแหลมยาวหรือยาวคลา้ ยหาง โคนแหลมหรอื มน

409

สะโมง สารานุกรมพืชในประเทศไทย

สะโมง สะเลยี มหอม: มีช่องอากาศหนาแนน่ กงิ่ ออ่ นเป็นเหลี่ยม ปลายใบแหลมยาว โคนมน หรอื เวา้ ตน้ื ชอ่ ดอกออกตาม
ล�ำตน้ ดอกหนาแน่น กลีบเลยี้ งสีแดงหรืออมเขียว แยกจรดโคน กลบี หนา ติดทน ผลกลม มีสนั ตามยาว ผิวขรขุ ระ
Pyrrosia longifolia (Burm. f.) C. V. Morton (ภาพ: cultivated - RP)
วงศ์ Polypodiaceae
สกั ปกี
ชื่อพ้อง Acrostichum longifolium Burm. f.
Vatica bella Slooten
เฟนิ เกาะองิ อาศยั เหงา้ ทอดนอนยาว เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1.5-2.5 มม. มเี กลด็ วงศ์ Dipterocarpaceae
หนาแน่น รูปขอบขนานแกมรูปไข่ ยาวประมาณ 1.5 มม. ขอบเกล็ดสีน�้ำตาล
กลางเกลด็ สีน้�ำตาลดำ� ใบเรยี งห่าง ๆ รปู แถบ ยาวไดถ้ ึง 1 ม. กวา้ ง 1-4.5 ซม. ไมต้ น้ สูงไดถ้ งึ 40 ม. มขี นสัน้ สเี ทาอมแดงตามก่ิงออ่ น กา้ นใบ เสน้ กลางใบ
ปลายเรยี วแหลม โคนเรยี วแคบเปน็ ปกี ขอบเรยี บมว้ นงอ แผน่ ใบหนา มขี นกระจกุ ชอ่ ดอก และกลบี เลยี้ ง หใู บรปู ขอบขนานยาว 4-5 มม. ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรอื
เส้นแขนงใบย่อยแบบรา่ งแห เห็นไม่ชัดเจน กา้ นใบยาว 5-20 ซม. มชี ว่ งตอ่ โคนก้านใบ รปู ใบหอกกลับ ยาว 6-14 ซม. ปลายแหลมยาว โคนรูปลมิ่ เส้นแขนงใบย่อยแบบ
(phylopodia) ยาว 3-7 มม. กลุม่ อับสปอร์กลม เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 0.5 มม. กง่ึ ขน้ั บนั ได กา้ นใบยาว 0.5-1.5 ซม. ชอ่ ดอกยาวไดถ้ งึ 4 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ
เรยี งกระจายทว่ั ทอ้ งใบสว่ นครง่ึ ขอบบนและลา่ ง (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ที่ กบี มา้ ลม, สกลุ ) 3 มม. กลบี เลยี้ งยาวประมาณ 3 มม. ดอกสีขาวนวล กลีบรปู ขอบขนาน ยาว 1-1.2 ซม.
ปลายกลบี ดา้ นนอกมขี นสน้ั นมุ่ เกสรเพศผยู้ าวประมาณ 1 มม. ปลายแกนอบั เรณู
พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา จนี ตอนใต้ ลาว กมั พชู า ภมู ภิ าคมาเลเซยี และออสเตรเลยี เป็นรยางค์ยาวประมาณ 1 มม. รงั ไข่รูปกรวยคว่�ำ มขี นส้นั นุม่ ก้านเกสรเพศเมีย
ในไทยพบแทบทกุ ภาค แตย่ ังไมม่ ีรายงานทางภาคเหนอื พบมากทางภาคใต้ ข้นึ ยาวประมาณ 2 มม. ผลเปลือกหนา กลม โคนตัด เส้นผ่านศนู ย์กลาง 2.5-4 ซม.
บนต้นไม้ในปา่ ดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และชายปา่ พรุ ความสูงถงึ ประมาณ 700 เมตร ปลายเปน็ ตงิ่ แหลมยาวไดถ้ งึ 1 ซม. มปี มุ่ หนาแนน่ กลบี เลย้ี งทข่ี ยายในผลยาว
เทา่ ๆ กนั รูปรีหรือรปู ขอบขนาน ยาวไดถ้ งึ 3 ซม. พับงอกลับ มเี ส้นปีก 5-7 เสน้
เอกสารอา้ งองิ ก้านผลยาว 3-5 มม. (ดูขอ้ มลู เพ่มิ เตมิ ที่ พนั จ�ำ, สกุล)
Lin, Y., Z. Xianchun and P.H. Hovenkamp. (2013). Polypodiaceae (Pyrrosia). In
Flora of China Vol. 2-3: 788. พบทค่ี าบสมทุ รมลายู และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทนี่ ราธวิ าส ขน้ึ ตามทลี่ าดชนั
Lindsay, S. and D.J. Middleton. (2012 onwards). Ferns of Thailand, Laos and ในป่าดบิ ช้ืนใกลล้ ำ� ธาร ความสงู ถงึ ประมาณ 850 เมตร
Cambodia. http://rbg-web2.rbge.org.uk/thaiferns/
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. (1989). Polypodiaceae. In Flora of Thailand 3(4): สักผา
497-498.
Vatica mangachapoi Blanco subsp. obtusifolia (Elmer) P. S. Ashton
สะโมง: เฟินเกาะองิ อาศัย แผ่นใบหนา โคนเรยี วแคบเป็นปกี กล่มุ อบั สปอรก์ ลม เรยี งกระจายท่วั ทอ้ งใบส่วนคร่ึง
ขอบบนและลา่ ง (ภาพ: พรุโต๊ะแดง นราธวิ าส - PC) ชอ่ื พอ้ ง Vatica obtusifolia Elmer

สะเลยี มหอม ไมต้ น้ สงู 10-15 ม. ลำ� ตน้ มกั แคระแกรน็ หรอื แตกกอ มขี นกระจกุ ตามกงิ่ ออ่ น
ใบรปู รหี รอื รูปขอบขนาน ยาว 3-6 ซม. ปลายมน โคนรูปล่มิ แผ่นใบหนา เกล้ียง
Breynia thorelii (Beille) Welzen & Pruesapan เส้นแขนงใบไม่ชดั เจน กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกยาวได้ถึง 10 ซม. ออกหนาแนน่
วงศ์ Phyllanthaceae ชว่ งปลายกงิ่ ชอ่ แขนงยาว 2-3 ซม. กลบี เล้ียงยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกสีขาว
กลบี รปู ไขก่ ลบั แกมรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 7 มม. เกสรเพศผยู้ าวประมาณ 0.5 มม.
ชอ่ื พ้อง Sauropus thorelii Beille รงั ไขม่ ขี นสน้ั นมุ่ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1 มม. ผลรปู รกี วา้ งเกอื บกลม เกลยี้ ง
ยาว 8-9 มม. กลบี เลยี้ งทข่ี ยายเปน็ ปกี แยกจรดโคน ปกี ยาว 2 ปกี โคนเรยี วแคบ
ไมพ้ มุ่ สงู ไดถ้ งึ 2 ม. มชี อ่ งอากาศหนาแนน่ กงิ่ ออ่ นเปน็ เหลย่ี ม หใู บยาวประมาณ ปลายแผ่กวา้ ง รปู ใบพาย ยาว 2-3 ซม. ปีกสน้ั 3 ปีก รูปใบหอก ยาวประมาณ
2 มม. ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอกแกมรปู ไข่ ยาว 2.5-10 ซม. ปลายแหลมยาว 1 ซม. ปลายแหลม ก้านผลยาว 1-2 มม. (ดูข้อมูลเพ่มิ เติมท่ี พนั จ�ำ, สกุล)
โคนมน หรอื เวา้ ตนื้ ๆ กา้ นใบยาว 1-3 มม. ชอ่ ดอกออกตามลำ� ตน้ สนั้ ๆ ดอกหนาแนน่
มที ง้ั ดอกเพศผแู้ ละดอกเพศเมยี ไมม่ กี ลบี ดอกและจานฐานดอก กลบี เลยี้ งสแี ดง พบทฟ่ี ลิ ิปปนิ ส์ (ปาลาวัน) บอร์เนียว (ซาบาร)์ เวียดนาม และภาคใต้ของไทย
หรืออมเขียว มี 6 กลบี แยกจรดโคน ดอกเพศผู้กา้ นดอกยาว 6-7 มม. กลีบเลี้ยง ท่ถี �้ำเสอื จงั หวดั กระบี่ ขนึ้ ตามเขาหนิ ปูนเตยี้ ๆ ความสูงไม่เกิน 100 เมตร ส่วน subsp.
รูปรีแคบ ยาว 2-2.5 มม. ปลายเว้าตนื้ ดอกเพศเมียก้านดอกยาว 2-2.5 มม. mangachapoi ใบบางและขนาดใหญก่ วา่ พบทคี่ าบสมทุ รมลายู บอรเ์ นยี ว และ
ขยายในผลยาวไดถ้ งึ 7 มม. กลีบหนา กลบี นอกรปู ไข่กลับ ยาว 2-3.5 มม. กลีบในส้ัน ฟลิ ปิ ปนิ ส์ เคยมรี ายงานวา่ พบทางภาคใตต้ อนลา่ งของไทย แตย่ งั ไมพ่ บตวั อยา่ งอา้ งองิ
และแคบกว่าเลก็ น้อย ติดทน ยอดเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1.2 มม. ปลายโคง้ กลับ
ผลกลม เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 7-8 มม. มสี นั ตามยาว ผวิ ขรุขระ (ดูข้อมลู เพิ่มเติมท่ี เอกสารอา้ งอิง
ครามน�ำ้ , สกุล) Ashton, P.S. (1978). Flora Malesiana Precursores. Gardens’ Bulletin Singapore
31(1): 23.
พบเฉพาะท่ีลาว แถบแขวงไชยบุรี ขน้ึ ตามรมิ ล�ำธารที่เปน็ หินปูนในป่าดบิ แล้ง ________. (1982). Dipterocarpaceae. In Flora Malesiana Vol. 9(2): 352-353, 365.
ใกล้แมน่ ้�ำโขง ในไทยนำ� เขา้ มาปลูกเปน็ ผักใช้ใบกนิ กบั ลาบ ใบมรี สขม มสี รรพคณุ Pooma, R. (2002). Further notes on Thai Dipterocarpaceae. Thai Forest Bulletin
ด้านสมนุ ไพรหลายอย่าง (Botany) 30: 13.

เอกสารอา้ งองิ
IUCN. (2013). Ecological survey of the Mekong river between Louangphabang
and Vientiane cities, Lao PDR, 2011-2012. IUCN. Vientiane, Lao PDR.
van Welzen, P.C. (2007). Euphorbiaceae (Sauropus). In Flora of Thailand Vol.
8(2): 551-552.

410

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย สังหยดู อกแดง

สกั ปีก: กลีบดอกรูปขอบขนาน สขี าวนวล ผลเปลือกแข็ง หนา ผิวมีปุ่มหนาแน่น กลบี เลย้ี งทขี่ ยายในผลยาวเท่า ๆ กัน สงั่ ทำ�
พบั งอกลบั (ภาพ: แวง้ นราธิวาส - MP)
Diospyros buxifolia (Blume) Hiern
วงศ์ Ebenaceae

ชอื่ พอ้ ง Leucoxylum buxifolium Blume

ไม้ตน้ สว่ นมากสูงไมเ่ กนิ 20 ม. มขี นสน้ั นมุ่ ตามกิง่ อ่อน แผน่ ใบดา้ นลา่ ง ก้านใบ
ก้านดอก และกลีบเล้ียงด้านนอก ใบรูปรี รูปขอบขนาน หรือแกมรูปไข่ ยาว
1.2-6 ซม. ปลายและโคนแหลม เสน้ แขนงใบไมช่ ดั เจน กา้ นใบยาวประมาณ 1 มม.
กลบี เล้ยี งและกลบี ดอกจำ� นวนอย่างละ 4 กลีบ ช่อดอกเพศผูส้ นั้ มาก ดอกไร้กา้ น
กลบี เล้ียงรูประฆงั ยาว 2-3 มม. แฉกลกึ ประมาณก่ึงหนงึ่ ดอกรปู ระฆัง ยาว 2-4 มม.
กลบี แฉกลกึ เกนิ กง่ึ หนง่ึ เกสรเพศผู้ 8-20 อนั รงั ไขท่ ไี่ มเ่ จรญิ มขี นยาว ดอกเพศเมยี
กา้ นดอกยาว 1-2 มม. รังไข่มี 4 ช่อง เกลย้ี ง ไม่มีเกสรเพศผูท้ ่ีเปน็ หมนั ผลรปู รีหรือ
รปู กรวย ยาว 1-1.5 ซม. สกุ สแี ดงอมนำ�้ ตาล เปลยี่ นเปน็ สดี ำ� กา้ นผลยาวประมาณ
5 มม. กลบี เลย้ี งแฉกลกึ ถงึ โคน เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม ไมพ่ บั งอกลบั เอนโดสเปริ ม์ เรยี บ
(ดูขอ้ มลู เพ่ิมเติมที่ มะเกลือ, สกุล)

พบท่อี นิ เดยี ศรลี ังกา พมา่ กัมพูชา เวียดนาม ภูมภิ าคมาเลเซยี และนวิ กนิ ี
ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกทเี่ ขาใหญ่ จังหวดั ปราจนี บุรี และพบทั่วไปทางภาคใต้
ขึ้นตามป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 500 เมตร เปลือกมี
สรรพคุณแกโ้ รคไต

เอกสารอา้ งอิง
Ng, F.S.P. (2002). Ebenaceae. In Tree Flora of Sabah and Sarawak Vol. 4: 47-48.
Phengklai, C. (1981). Ebenaceae. In Flora of Thailand. Vol. 2(4): 305.

สกั ผา: แผ่นใบหนา เกลีย้ ง เส้นแขนงใบไมช่ ดั เจน ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนง ชอ่ แขนงสนั้ กลีบเล้ียงแยกจรดโคน สัง่ ทำ� : มขี นสัน้ นุ่มตามก่ิงออ่ น ใบเรียงสลบั ระนาบเดยี ว ปลายและโคนแหลม เส้นแขนงใบไมช่ ัดเจน ผลสุกสดี ำ�
ปกี ยาว 2 ปกี โคนเรียวแคบ ปลายแผ่กว้าง รูปใบพาย ผลเกลี้ยง (ภาพ: ถำ้� เสอื กระบ;ี่ ภาพซ้าย - MP, ภาพขวา - RP) กลีบเลยี้ งแฉกลกึ ถงึ โคน เรียงซอ้ นเหลือ่ ม (ภาพ: เขาป่เู ขายา่ พัทลุง - SSi)

สังกรณี สงั หยูดอกแดง

Barleria strigosa Willd. Pseuduvaria macrophylla (Oliv.) Merr. var. sessilicarpa J. Sinclair
วงศ์ Acanthaceae วงศ์ Annonaceae

ไมพ้ มุ่ สงู 1-1.5 ม. มขี นแขง็ เอนตามลำ� ตน้ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง และใบประดบั ช่อื พอ้ ง Pseuduvaria sessilicarpa (J. Sinclair) Y. C. F. Su & R. M. K. Saunders
ใบรปู รถี งึ รปู ใบหอก ยาว 5.5-15 ซม. ปลายแหลมถงึ ยาวคลา้ ยหาง โคนเรยี วสอบ
กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 3 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ คลา้ ยชอ่ เชงิ ลดสนั้ ๆ ใบประดบั และ ไมต้ ้น สงู 5-10 ม. แยกเพศรว่ มต้นหรอื ต่างต้น มขี นสนี ้ำ� ตาลหนาแนน่ ตาม
ใบประดบั ยอ่ ยเรยี งหนาแนน่ รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 1-2 ซม. ปลายแหลม กง่ิ ออ่ น เสน้ กลางใบ กา้ นใบ กลบี เลย้ี งดา้ นนอก และผล ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนาน
กลบี เลย้ี งเรยี งซ้อนเหล่อื ม คูน่ อกรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 1-3 ซม. ขอบจักถี่ หรอื รูปใบหอก ยาว 15-45 ซม. ปลายแหลมยาว โคนมน เสน้ แขนงใบขา้ งละ
เป็นต่ิงหนาม ปลายแหลมยาว กลีบคู่ในแคบและสั้นกว่า ดอกสีม่วงอมน้�ำเงิน 18-24 เสน้ กา้ นใบยาวประมาณ 8 มม. ดอกออกเด่ยี ว ๆ หรอื เป็นค่ตู ามซอกใบ
หลอดกลีบยาว 2-4 ซม. กลบี บน 4 กลีบ รูปไข่กลับ ยาว 2-3 ซม. กลบี ค่ใู นแคบกวา่ ก้านดอกยาว 1.5-2 ซม. กลบี เลยี้ ง 3 กลบี รปู สามเหลีย่ ม ยาวประมาณ 2 มม.
กลบี ลา่ งรปู รกี วา้ ง เกสรเพศผอู้ นั สนั้ 2 อนั อนั ยาว 2 อนั อนั ยาวยนื่ เลยปากหลอดกลบี กลบี ดอก 6 กลบี เรยี ง 2 วง กลบี นอก 3 กลบี รปู ไข่ ยาวประมาณ 3 มม. ด้านนอก
อบั เรณยู าว 3-4 มม. รังไข่เกลี้ยง ผลรปู รีแคบ ยาว 1.5-2 ซม. มี 4 เมลด็ แบน มขี นกระจาย พบั งอออก กลบี วงใน 3 กลบี มกี า้ นกลบี แคบ ๆ ปลายกลบี แผก่ วา้ ง
เสน้ ผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มม. มีขน (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ องั กาบ, สกลุ ) โคนคล้ายเง่ียง ประกบติดกนั เปน็ รปู หมวก ยาวประมาณ 7 มม. เกสรเพศผู้
จำ� นวนมาก ปลายมรี ยางคส์ นั้ ๆ ปลายตดั เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี มหี ลายคารเ์ พล
พบท่ีอนิ เดีย พม่า และภูมภิ าคอินโดจีน ในไทยพบทัว่ ทกุ ภาค ภาคใตจ้ นถึง แยกกัน มขี น ก้านช่อผลยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ผลยอ่ ยมี 8-12 ผล เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง
ชุมพร ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดบิ แล้ง และปา่ ดิบเขา หรือตามเขาหนิ ปนู ความสูง ประมาณ 1.5 ซม. ก้านผลยอ่ ยยาวประมาณ 1.2 ซม.
ถงึ ประมาณ 1500 เมตร มสี รรพคณุ ยบ้ั ยงั้ การเตบิ โตของแบคทเี รยี แกอ้ กั เสบ ลดการ
เกร็งของกลา้ มเนอ้ื คลา้ ยกบั องั กาบ B. cristata L. พบทค่ี าบสมทุ รมลายู และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทนี่ ราธวิ าส ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ชน้ื
ความสูงระดบั ต่ำ� ๆ หรือปา่ พรุ
เอกสารอ้างอิง
Bremekamp, C.E.B. (1961). Scrophulariaceae, Nelsonieae, Thunbergiaceae, สกลุ Pseuduvaria Miq. มี 56 ชนดิ พบในเอเชียเขตรอ้ นและกง่ึ เขตร้อน ในไทย
Acanthaceae. Dansk Botanisk Arkiv 20(1): 65. มีประมาณ 10 ชนิด ชือ่ สกุลหมายถงึ สกุลทค่ี ลา้ ยกับสกลุ Uvaria
Hu, J.Q. and T.F. Daniel. (2011). Acanthaceae (Barleria). In Flora of China Vol.
19: 469. เอกสารอ้างองิ
Li, B., Y.C.F. Su and R.M.K. Saunders. (2011). Annonaceae (Pseuduvaria). In
สงั กรณ:ี ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ เชิงลด ใบประดบั และใบประดับยอ่ ยเรยี งหนาแนน่ กลบี เลี้ยงเรียงซอ้ นเหลอื่ ม กลบี ดอกบน Flora of China Vol. 19: 689.
4 กลบี กลีบคูใ่ นแคบกว่า เกสรเพศผู้อนั ยาวยน่ื เลยปากหลอดกลบี (ภาพซ้าย: cultivated - RP; ภาพขวา: บุรรี ัมย์ - PK) Sinclair, J. (1955). A revision of the Malayan Annonaceae. Gardens’ Bulletin
Singapore 14(2): 408-412.

411

สัตฤๅษี สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

สังหยูดอกแดง: กลบี ดอก 6 กลบี เรยี ง 2 วง กลีบนอก 3 กลีบสนั้ กว่า 3 กลีบใน กลบี วงใน 3 กลบี มกี ้านกลบี ช่อเชิงลด ออกท่ียอด ยาว 10-20 ซม. ใบประดบั สีเขียวหรอื มสี แี ดงทโ่ี คน สนั้ กวา่
เรยี งประกบกัน ผลมีขนสนี �้ำตาลหนาแน่น (ภาพ: แว้ง นราธิวาส - MT) กลบี เลย้ี ง ตดิ ทน กลบี เลยี้ งเปน็ หลอด แฉกลกึ ดา้ นเดยี ว สแี ดงหรอื อมมว่ ง ยาว
1.5-2 ซม. ปลายจกั ฟันเลอื่ ย ดอกสีเหลอื งครมี หรือเหลอื งสด หลอดกลบี ดอก
สัตฤาษี ยาวกวา่ กลีบเล้ยี ง กลบี ดอก 3 กลบี รปู ใบหอก ยาว 1.5-2 ซม. กลีบข้างเชื่อม
ตดิ กา้ นกลบี ปากประมาณกงึ่ หนงึ่ แผน่ เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั ดา้ นขา้ งคลา้ ยกลบี ดอก
Iphigenia indica (L.) A. Gray ex Kunth ตง้ั ตรง สั้นกวา่ กลบี ดอกเล็กนอ้ ย กลบี ปากรปู ไขก่ ลับ ยาวเทา่ ๆ กลีบดอก ปลายกลบี
วงศ์ Colchicaceae แฉกลกึ ประมาณกงึ่ กลางกลบี กา้ นชอู บั เรณเู รยี วโคง้ ยาวประมาณ 2 ซม. อบั เรณู
รปู แถบ แกนอบั เรณโู คนมรี ยางคเ์ ปน็ งา่ ม รงั ไขเ่ กลยี้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี เรยี วยาว
ชอื่ พ้อง Melanthium indicum L. ยอดเกสรรูปลูกข่าง ขอบมีขน ผลกลม สีแดง เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.2.ซม.
แตกออกเปน็ 3 ซีก พบั งอกลบั เมล็ดสีดำ� เปน็ มนั วาว เป็นเหลีย่ ม ไม่มเี ยอ่ื หุ้ม
ไม้ล้มลุก มีหัวใตด้ นิ เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 0.5-1.5 ซม. ลำ� ต้นบางคร้ังแตกกงิ่
สงู 10-50 ซม. ใบรูปใบหอกหรือรูปแถบ ยาว 5-25 ซม. เสน้ ใบ 3-10 เสน้ ไรก้ า้ น พบท่อี ินเดยี ภฏู าน เนปาล พมา่ จนี ตอนใต้ และเวยี ดนาม ในไทยพบทาง
โคนเปน็ กาบ ช่อดอกคล้ายชอ่ เชงิ หล่นั ออกตามปลายกิ่งมี 1-10 ดอก ใบประดับ ภาคเหนือ และภาคตะวนั ตกทกี่ าญจนบุรี ขน้ึ ตามคบไม้หรอื โขดหนิ ในป่าดิบเขา
รูปแถบ ยาว 1.5-2.5 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-4 ซม. ส่วนต่าง ๆ ของดอกสนี ำ�้ ตาลแดง ความสงู 1300-2500 เมตร เหงา้ มสี รรพคณุ ขับลม แกป้ วดท้อง
สนี ้�ำตาลอมม่วง หรอื สขี าว กลบี รวม 6 กลบี แยกจรดโคน รูปแถบ ยาว 0.5-1 ซม.
เกสรเพศผู้ 6 อนั ตดิ บนฐานรองดอก กา้ นชอู บั เรณแู บน ยาวประมาณกง่ึ หนง่ึ ของ สกลุ Cautleya (Royle ex Benth. & Hook. f.) Hook. f. เคยอยู่ภายใต้สกุล Roscoea
กลีบรวม อับเรณูติดด้านหลัง รงั ไขม่ ี 3 ช่อง จกั เป็นพู ขนาดประมาณ 2 มม. ออวลุ sect. Cautlea มี 4 ชนดิ พบในประเทศแถบเทือกเขาหิมาลัยจนถงึ เวยี ดนาม ในไทย
จ�ำนวนมาก กา้ นเกสรเพศเมยี 3 อนั โคนเชื่อมตดิ กนั โคง้ ยาวประมาณ 1 มม. มชี นิดเดยี ว ชื่อสกลุ ตัง้ ตามนักบรรพชวี ินวิทยาชาวองั กฤษ Sir Proby Thomas
ติดทน ผลแหง้ แตก รูปรี ยาว 1-2 ซม. Cautley (1802-1871)
เอกสารอ้างอิง
พบทศี่ รลี งั กา อนิ เดยี จนี ตอนใต้ ไหห่ นาน ภมู ภิ าคมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ หมเู่ กาะ Cowley, E.J. (1982). A revision of Roscoea (Zingiberaceae). Kew Bulletin 36(4):
ซนุ ดานอ้ ย นวิ กนิ ี และออสเตรเลยี ตอนบน ในไทยพบทางภาคเหนอื ทแี่ มฮ่ อ่ งสอน
เชียงใหม่ พิษณุโลก ตาก ภาคตะวันออกท่ีชัยภูมิ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ 747-777.
กาญจนบุรี ขึน้ ตามท่โี ล่งเขาหินปนู หรือทุ่งหญา้ ความสูงถึงประมาณ 1000 เมตร Larsen, K. and S.S. Larsen. (2006). Gingers of Thailand. Queen Sirikit Botanic

สกุล Iphigenia Kunth เดิมอยูภ่ ายใต้วงศ์ Liliaceae มีประมาณ 13 ชนิด พบใน Garden. Chiang Mai.
แอฟรกิ า มาดากัสการ์ เอเชยี ใตแ้ ละเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ ภูมภิ าคมาเลเซยี Wu, D. and K. Larsen. (2000). Zingiberaceae. In Flora of China Vol. 24: 366.
ออสเตรเลีย และนวิ ซีแลนด์ ในไทยมีชนิดเดียว ชือ่ สกุลมาจากชื่อ Iphigeneia
บุตรสาวกษตั รยิ ก์ รีกที่นำ�ทัพในสงคราม Trojan สางเขยี ว: ชอ่ ดอกแบบช่อเชิงลด ออกท่ียอด ผลแตกออกเปน็ 3 ซกี พบั งอกลบั เมลด็ สดี ำ� เปน็ มันวาว เป็นเหลย่ี ม
เอกสารอ้างอิง ไมม่ ีเย่อื หมุ้ (ภาพดอก: กาญจนบรุ ี - SSi; ภาพผล: ดอยอนิ ทนนท์ เชยี งใหม่ - RP)
Chen, X., and M.N. Tamura. (2000). Liliaceae (Iphigenia). In Flora of China Vol.
สา้ น, สกลุ
24: 158.
Jessop, J.P. (1983). Liliaceae (Iphigenia). In Flora Malesiana Vol. 9: 197-198. Dillenia L.
วงศ์ Dilleniaceae
สตั ฤๅษี: กลีบรวม 6 กลีบ รปู แถบ สีนำ้� ตาลแดงหรอื มว่ ง ผลแห้งแตก รูปรี (ภาพ: ดอยหัวหมด ตาก - RP)
ไมพ้ มุ่ หรอื ไม้ตน้ ใบเรยี งเวียน เส้นใบเรยี งขนานกัน ก้านใบบางคร้ังเป็นปกี
สางเขียว หมุ้ แกนกา้ น ดอกออกเดยี่ ว ๆ หรอื แบบชอ่ กระจะสนั้ ๆ ฐานดอกรปู กรวย กลบี เลยี้ ง
และกลีบดอกส่วนมากมีจ�ำนวนอย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยงสด มักขยายในผล
Cautleya gracilis (Sm.) Dandy เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก วงในอับเรณูยาวกว่าวงนอก อับเรณูมีรูเปิด 2 รูที่ปลาย
วงศ์ Zingiberaceae หรอื แตกตามยาว แกนอบั เรณรู ปู แถบ คารเ์ พลจำ� นวนมากแนบตดิ ฐานดอก ออวลุ มี
หนง่ึ ถงึ จำ� นวนมาก ยอดเกสรเพศเมยี เทา่ จำ� นวนคารเ์ พล ผลมกี ลบี เลย้ี งทข่ี ยายหมุ้
ชอ่ื พอ้ ง Roscoea gracilis Sm., Cautleya lutea (Royle) Hook. f. แตกดา้ นบนตามรอยเช่อื มหรอื ไมแ่ ตก เมลด็ มีเยอ่ื หมุ้ หรือไมม่ ี

ไมล้ ้มลุกองิ อาศัย สงู ไดถ้ งึ 50 ซม. เหง้าสน้ั ลน้ิ ใบบาง ยาวประมาณ 2 มม. สกุล Dillenia มีประมาณ 65 ชนิด พบท่มี าดากสั การ์ เอเชยี เขตรอ้ น และฟิจิ ในไทย
ปลายกลม ใบเรยี งสลบั ระนาบเดียว 4-6 ใบ รูปใบหอก ยาว 6-18 ซม. ปลายแหลมยาว มีประมาณ 10 ชนดิ และพบเปน็ ไม้ประดบั 3 ชนิด คอื ส้านชวา D. suffruticosa
โคนกลมหรือเรียวสอบ มักมีสมี ่วงดา้ นลา่ ง ก้านใบสนั้ หรอื ไรก้ า้ น ช่อดอกแบบ (Griff.) Martelli ส้านดอกขาว D. philippinensis Rolfe และอกี ชนดิ ยังไมท่ ราบ
ขอ้ มูลชื่อวิทยาศาสตร์ คอื สา้ นยอดแดง Dillenia sp. ยอดอ่อนมีสีน�ำ้ ตาลแดง
มี 6-8 คาร์เพล พบปลูกเปน็ ไม้ประดับในไทย มาเลเซีย และสงิ คโปร์ ชอ่ื สกุลตงั้ ตาม
นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมนั Johann Jacob Dillen (1684-1747)

ส้าน

Dillenia aurea Sm.
ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. กงิ่ และใบออ่ นมขี นสน้ั นมุ่ ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน

ยาว 20-35 ซม. ปลายกลม โคนตัดหรอื แหลม ขอบจกั ตามเสน้ แขนงใบ เสน้ แขนงใบ
ขา้ งละ 25-35 เส้น กา้ นใบยาว 3-6 ซม. ดอกออกกอ่ นผลใิ บหรอื พรอ้ มใบ ดอกออก
เดยี่ ว ๆ หรอื เป็นกระจุก 2 ดอก ตามปลายกิ่งส้นั ๆ ด้านขา้ ง โคนมีใบประดับ

412

สารานุกรมพืชในประเทศไทย สา้ นดำ�

หลายใบ ตดิ ทน กา้ นดอกยาว 5-12 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ไข่ ยาว 2.5-3 ซม. ดอกสเี หลอื ง สา้ นเกลด็ : ช่อดอกมขี นสีนำ้� ตาล ออกเป็นกระจุกสน้ั ๆ ตามลำ� ต้นหรือกงิ่ ใหญ่ (ภาพ: ยะลา - RP)
กลบี บาง รปู ไข่ ยาวประมาณ 6.5 ซม. เกสรเพศผวู้ งนอกโคง้ ยาว 1-1.2 ซม. วงใน
พบั งอ ยาว 1.6-2.1 ซม. มี 10-12 คาร์เพล ยาว 1.2-1.3 ซม. ก้านเกสรเพศเมยี สา้ นชวา
ยาวประมาณ 2 ซม. ผลสดไม่แตก สุกสสี ้ม เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 3-3.5 ซม. เมลด็
ไมม่ เี ยอื่ หมุ้ (ดูขอ้ มูลเพ่มิ เติมที่ ส้าน, สกุล) Dillenia suffruticosa (Griff. ex Hook. f. & Thomson) Martelli
วงศ์ Dilleniaceae
พบทอี่ นิ เดยี พมา่ ในไทยพบทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขนึ้ ตาม
ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ความสูง 250-1300 เมตร คล้ายกับส้านใหญ่ ชื่อพ้อง Wormia suffruticosa Griff. ex Hook. f. & Thomson
D. obovata (Blume) Hoogland ใบรูปไข่กลบั กา้ นใบสนั้ กวา่ มี 9-14 คาร์เพล
พบทางภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ผลใชป้ รุงอาหาร ไมพ้ ุม่ อาจสงู ไดถ้ งึ 10 ม. ใบรปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 15-30 ซม. ปลายมนหรือกลม
คลา้ ยมะตาด D. indica L. ที่ดอกสีขาว มี 14-20 คารเ์ พล ผลขนาดใหญ่ พบทกุ ภาค โคนมน ขอบจกั ตามเสน้ แขนงใบ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 12-20 เสน้ ก้านใบยาว
สว่ นมากขึ้นตามริมลำ� ธารในป่าดิบแลง้ และปา่ ดบิ ชื้น 2-6 ซม. มปี กี กวา้ ง หมุ้ ใบออ่ น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะออกทปี่ ลายกง่ิ มี 4-18 ดอก
กา้ นดอกยาว 1-3 ซม. กลบี เลีย้ งรปู ไขก่ ลับ ยาว 1.5-2.2 ซม. ดอกสีเหลอื ง กลบี บาง
เอกสารอ้างองิ รูปรหี รือรูปไข่ ยาว 4-5 ซม. เกสรเพศผสู้ ีขาว วงนอกโค้ง ยาว 6-8 มม. วงในสุด
Hoogland, R.D. (1951). Dilleniaceae. In Flora Malesiana Vol. 4: 154-174. พบั งอ ยาวประมาณ 1.3 ซม. มี 5-8 คาร์เพล ยาวประมาณ 5 มม. ก้านเกสรเพศเมยี
________. (1972). Dilleniaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 95-103. ยาวประมาณ 1 ซม. ผลแห้งแตกอา้ ออก สแี ดง ยาว 2-2.5 ซม. กลีบเลีย้ งพบั งอ
แตล่ ะคาร์เพลมี 1-4 เมล็ด เมล็ดมีเยื่อหุม้ สีแดง (ดขู อ้ มูลเพิม่ เติมท่ี สา้ น, สกลุ )
สา้ น: ดอกออกก่อนผลใิ บหรือพร้อมใบ โคนมีใบประดับหลายใบ ตดิ ทน เกสรเพศผวู้ งในยาวกวา่ วงนอก พบั งอกลับ
มี 10-12 คารเ์ พล ผลสดไม่แตก (ภาพ: ขุนวิน เชียงใหม่ - SSi) มถี น่ิ กำ� เนดิ ในคาบสมทุ รมลายู บอรเ์ นยี ว ชวา และสมุ าตรา เปน็ ไมป้ ระดบั
ทั่วไปในเขตรอ้ น
มะตาด: ดอกสขี าว มี 14-20 คารเ์ พล ผลขนาดใหญ่ (ภาพดอก: cultivated - SG; ภาพผล: นราธิวาส - MP)
ส้านดอกขาว
ส้านยอดแดง: ยอดออ่ นมสี ีนำ�้ ตาลแดง มี 6-8 คาร์เพล (ภาพ: cultivated - RP)
Dillenia philippinensis Rolfe
สา้ นเกลด็ ไมพ้ ุ่ม อาจสงู ไดถ้ ึง 15 ม. ใบรปู รี รปู ไข่ หรอื แกมรูปขอบขนาน ยาว 8-25 ซม.

Saurauia leprosa Korth. ปลายแหลม มน หรอื กลม โคนมน ขอบจักตามเส้นแขนงใบ เส้นแขนงใบข้างละ
วงศ์ Actinidiaceae 10-15 เส้น กา้ นใบยาว 3-5 ซม. มปี กี กว้างไดถ้ ึง 1.2 ซม. รว่ งเรว็ ช่อดอกแบบ
ชอ่ กระจะ สว่ นมากมี 1-2 ดอก แกนช่อยาว 5-15 ซม. กลีบเลย้ี งรูปกลม คนู่ อก
ช่อื พอ้ ง Saurauia cauliflora DC. var. calycina King เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 1.8 ซม. 3 กลีบในยาว 2-2.5 ซม. ดอกสขี าว กลีบบาง
รูปไข่ ยาว 4-7 ซม. เกสรเพศผ้สู มี ว่ งอมนำ�้ ตาล วงนอกยาวประมาณ 1 ซม. วงใน
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 8 ม. มขี นสนี ำ�้ ตาลตามกงิ่ ออ่ น แผน่ ใบ กา้ นใบ ชอ่ ดอก และ สุดพับงอ ยาว 1.5-2.3 ซม. มี 10-12 คารเ์ พล ยาว 7-9 มม. ก้านเกสรเพศเมยี
กลบี เลย้ี ง ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนานแกมรปู ใบหอก ยาว 15-30 ซม. ปลายแหลม ยาวประมาณ 1.7 ซม. ผลสดไม่แตก กลมแปน้ กวา้ ง 5-6 ซม. ยาว 4-5 ซม. แตล่ ะ
โคนรูปลม่ิ หรือมน ขอบจกั ฟนั เล่ือยมีขนแขง็ ก้านใบยาว 2-5 ซม. ชอ่ ดอกออก คารเ์ พลมี 1-4 เมล็ด เมลด็ มเี ย่ือหุ้มบาง ๆ (ดูข้อมูลเพมิ่ เติมที่ สา้ น, สกลุ )
เปน็ กระจกุ สนั้ ๆ ตามล�ำตน้ หรือกงิ่ ใหญ่ กลบี เล้ยี งรปู ไข่ ยาว 5-6 มม. ดอกสีขาว
หรอื อมชมพู กลบี รปู ไขแ่ กมรปู ขอบขนาน ยาว 0.8-1.2 ซม. เกสรเพศผจู้ �ำนวนมาก มถี น่ิ กำ� เนดิ ในฟลิ ปิ ปนิ ส์ เปน็ ไมป้ ระดบั เนอื้ ในผลใชท้ ำ� แยม มสี รรพคณุ แกไ้ อ
ก้านเกสรเพศเมีย 3 อัน โคนเชอ่ื มติดกนั (ดขู อ้ มูลเพิ่มเตมิ ท่ี ช้าสา้ น, สกุล) เปลือกให้สียอ้ มสีแดง

พบทค่ี าบสมทุ รมลายู ชวา และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทยี่ ะลา ขนึ้ ตามปา่ ดบิ ชน้ื สา้ นดำ�
ความสงู ถึงประมาณ 800 เมตร
Dillenia excelsa (Jack) Martelli ex Gilg.
เอกสารอ้างอิง
Hoogland, R.D. (1989). Actinidiaceae. In Tree Flora of Malaya Vol. 4: 12-13. ช่ือพอ้ ง Wormia excelsa Jack
Keng, H. (1972). Saurauiaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 110.
ไม้ตน้ สูงไดถ้ งึ 40 ม. ใบรูปรีหรอื รูปขอบขนาน ยาว 15-30 ซม. ปลายแหลมหรอื
กลม โคนแหลม เบยี้ ว ขอบเรยี บหรอื จกั ซฟ่ี นั ตนื้ ๆ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 10-15 เสน้
กา้ นใบยาว 2-5 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกทป่ี ลายกงิ่ มีไดถ้ ึง 12 ดอก
กา้ นดอกยาว 2-7 ซม. กลีบเล้ยี งรูปไข่ ยาว 2-3.5 ซม. เกลย้ี งหรอื มขี นดา้ นนอก
ดอกสีเหลือง กลีบบาง รูปขอบขนานหรอื แกมรูปไข่ ยาว 4-5 ซม. เกสรเพศผู้
วงนอกโคง้ ออก ยาวประมาณ 1 ซม. วงในพบั งอกลบั ยาว 1.5-2 ซม. มี 5-10 คาร์เพล
ยาว 1.2-1.4 ซม. กา้ นเกสรเพศเมียยาวกวา่ เกสรเพศผู้วงใน ผลสดรปู รกี วา้ ง ยาว
1.8-2 ซม. แตกอ้าออก สีขาว แตล่ ะคารเ์ พลมี 1-3 เมลด็ เมลด็ มเี ยื่อหุ้มบาง สีแดง
(ดขู อ้ มูลเพิ่มเติมท่ี สา้ น, สกลุ )

พบทีค่ าบสมทุ รมลายู บอรเ์ นยี ว ชวา และสมุ าตรา ในไทยพบทางภาคใต้ที่
นครศรธี รรมราช ตรัง ปตั ตานี ขึน้ ตามป่าดบิ ช้นื ความสูงระดับตำ�่ ๆ

413

ส้านดนิ สารานุกรมพืชในประเทศไทย

ส้านดนิ สา้ นเตา่

Dillenia hookeri Pierre Acrotrema costatum Jack
ไม้พมุ่ หรอื ไมต้ น้ บางคร้งั สูงไดถ้ งึ 15 ม. มขี นยาวหนาแนน่ ตามกง่ิ อ่อน แผ่นใบ วงศ์ Dilleniaceae

ด้านล่าง ขอบใบ และก้านดอก ใบรูปขอบขนานหรือรูปใบหอกกลบั ยาว 17-25 ซม. ไม้ล้มลุก มเี หง้า ลำ� ต้นส้นั มขี นยาวหนาแนน่ ตามกงิ่ และใบอ่อน ช่อดอก
ปลายแหลมหรือกลม โคนแหลม ขอบจกั ซฟี่ นั เส้นแขนงใบข้างละ 30-40 เสน้ กา้ นดอก และกลบี เลย้ี งดา้ นนอก ใบเรยี งเปน็ กระจกุ รปู ไขก่ ลบั โคนเรยี วแคบ ยาว
ก้านใบยาว 1.5-4 ซม. ดอกออกเด่ียว ๆ หรือเป็นคู่ท่ีปลายก่ิง ก้านดอกยาว 7-25 ซม. โคนเวา้ เปน็ ติ่ง ขอบจกั ซฟ่ี นั แผ่นใบมักเปน็ รอยดา่ งขาวช่วงเส้นกลางใบ
1.5-4 ซม. กลบี เลยี้ งรปู ไข่ ยาวประมาณ 1.5 ซม. ดอกสเี หลอื ง กลบี บาง รปู ขอบขนาน กา้ นใบเป็นปกี โอบบาง ๆ ร่วงเรว็ สว่ นมากยาว 1-2 ซม. หรอื ยาวไดถ้ งึ 6 ซม.
หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 2.5-3 ซม. เกสรเพศผยู้ าว 0.8-1 ซม. มี 5-7 คารเ์ พล ยาวประมาณ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะออก ตามปลายกงิ่ ยาว 9-12 ซม. ดอกบานครง้ั ละหนงึ่ ดอก
5 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 ซม. ผลเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 2-2.5 ซม. เส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 3 ซม. กา้ นดอกยาวเท่า ๆ กลีบเล้ยี ง กลีบเลย้ี ง 5 กลีบ
ไมแ่ ตกอา้ ออก เมล็ดไมม่ ีเย่ือหมุ้ (ดขู ้อมูลเพ่ิมเติมที่ ส้าน, สกุล) รปู รี ยาวประมาณ 1 ซม. ดอกสเี หลอื ง มี 5 กลีบ รูปไขแ่ กมรูปขอบขนาน โคนเรยี วแคบ
ยาว 1.5-2 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1.5 ซม. เกสรเพศผ้จู �ำนวนมาก ก้านชูอบั เรณูสนั้
พบในภูมิภาคอินโดจนี ในไทยพบทุกภาค ข้นึ ตามที่โล่ง ชายป่า ความสูงถงึ อับเรณเู รียวยาว ปลายมีรเู ปิด มี 3 คาร์เพล ผลแตกแนวเดียว กลบี เลย้ี งหุ้มผล
ประมาณ 300 เมตร มี 2-6 เมล็ด เย่ือหมุ้ เมลด็ สขี าว

เอกสารอ้างอิง พบทพ่ี มา่ ตอนลา่ ง คาบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และภาคใตข้ องไทย ขน้ึ ใกลล้ ำ� ธาร
Hoogland, R.D. (1951). Dilleniaceae. In Flora Malesiana Vol. 4: 101-103, 168. ตามป่าดิบชนื้ ความสูงถึงประมาณ 1000 เมตร
________. (1972). Dilleniaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 95-103.
สกลุ Acrotrema Jack มีประมาณ 10 ชนดิ พบที่อินเดยี ตอนใต้ 1 ชนิด ที่เหลอื
พบในศรีลงั กา ในไทยมชี นดิ เดียว ชื่อสกุลมาจากภาษากรกี “akron” ยอด และ
“trema” รู ตามลกั ษณะรเู ปิดทป่ี ลายอบั เรณู

เอกสารอา้ งอิง
Hoogland, R.D. (1951). Dilleniaceae. In Flora Malesiana Vol. 4: 151-152.
________. (1972). Dilleniaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(1): 104-105.

ส้านชวา: กา้ นใบมีปกี กวา้ ง หุ้มใบออ่ น ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกทปี่ ลายกง่ิ (ภาพ: cultivated - RP)

ส้านดอกขาว: ก้านใบมีปีกกวา้ ง ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ มี 1-2 ดอก ดอกสขี าว เกสรเพศผ้สู ีม่วงอมน้�ำตาล มี 10-12 ส้านเตา่ : ใบเรียงเปน็ กระจุก มักเปน็ รอยด่างขาวช่วงเส้นกลางใบ โคนเว้าเป็นติ่ง ขอบจกั ซ่ีฟัน ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ
คารเ์ พล ผลมีกลบี เลี้ยงสดหมุ้ (ภาพ: cultivated - RP) มขี นหนาแนน่ ดอกบานคร้ังละหนึ่งดอก (ภาพ: นำ�้ ตกโตนเพชร ระนอง - RP)

สา้ นดำ� : ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกทป่ี ลายกง่ิ มี 5-10 คารเ์ พล ผลแตกอา้ ออกสีขาว แตล่ ะคาร์เพลมี 1-3 เมล็ด ส้านเต่า
เมลด็ มีเย่ือหุ้มสแี ดงบาง ๆ (ภาพ: เขาช่อง ตรงั - RP)
Codonoboea platypus (C. B. Clarke) C. L. Lim
ส้านดนิ : ขน้ึ เป็นกอหนาแนน่ ตามที่โล่ง ใบรปู ขอบขนานหรือรูปใบหอกกลบั ดอกออกเดยี่ ว ๆ ทปี่ ลายกิ่ง มี 5-7 วงศ์ Gesneriaceae
คารเ์ พล (ภาพ: ภูววั บึงกาฬ - RP)
ช่อื พอ้ ง Didymocarpus platypus C. B. Clarke, Henckelia platypus (C. B. Clarke)
A. Weber

ไมล้ ้มลกุ มีเน้ือไม้ สูงไดถ้ งึ 60 ซม. มีขนยาวหนาแน่นตามกิง่ ออ่ น เส้นแขนงใบ
ดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอก และกลบี เลย้ี ง ใบเรียงเวยี นรอบโคนต้น รปู ใบหอกกลับ ยาว
8-13 ซม. ปลายแหลม โคนเรียวสอบจรดก้านใบ ขอบจกั ฟันเลอ่ื ยถี่ แผน่ ใบด้านบน
นนู เปน็ ต่มุ มขี นสาก ดา้ นลา่ งมกั มสี ีมว่ งอมแดง เสน้ แขนงใบจ�ำนวนมาก ก้านใบสั้น
หรือเกือบไรก้ า้ น ชอ่ ดอกมี 1-5 ช่อ ออกตามซอกใบ ก้านช่อยาว 2.5-5 ซม. แตล่ ะช่อ
มดี อกเดียว ก้านดอกยาวประมาณ 1.2 ซม. กลบี เลีย้ งรูปใบหอก ยาว 2-4 มม.
ดอกรปู แตร สีขาวหรอื อมมว่ ง ยาว 3.5-4.5 ซม. มีขนประปราย กลีบบนขนาดเล็ก
กว่ากลีบล่าง ด้านล่างมปี น้ื สีเหลอื ง 2 แนว รังไขม่ ขี น ผลรูปทรงกระบอก ยาว
4-10 ซม. โค้งเลก็ น้อย มขี นสัน้ นุ่ม (ดขู ้อมลู เพิม่ เตมิ ท่ี แก้วน�้ำคา้ ง, สกลุ )

พบทค่ี าบสมทุ รมลายู สุมาตรา และภาคใต้ของไทยทนี่ ครศรีธรรมราช ยะลา
นราธิวาส ขน้ึ ตามป่าดิบชืน้ ความสงู 100-900 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Burtt, B.L. (2001). Flora of Thailand: annotated checklist of Gesneriaceae
(Henckelia platypus). Thai Forest Bulletin (Botany) 29: 98.

414

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย ส้านเห็บ

ส้านใบเล็ก: ใบขนาดเล็ก ดอกเดีย่ ว ๆ ที่ปลายกง่ิ ผลสดไมแ่ ตก (ภาพ: อุบลราชธานี; ภาพดอก - PK, ภาพผล - RP)

ส้านเตา่ : ใบเรยี งเวยี น ขอบจกั ฟันเลอื่ ยถี่ ดอกรปู แตร ดา้ นลา่ งมปี ื้นสเี หลือง 2 แนว (ภาพ: ธารโต ยะลา - MP) สา้ นมลายู: ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ ดอกสเี หลอื งนวล มี 9-10 คาร์เพล (ภาพ: แว้ง นราธิวาส - MP)

สา้ นใบเล็ก สา้ นหิ่ง: ช่อดอกมี 2-4 ดอก ออกตามก่งิ ก่อนผลิใบหรือพร้อมใบ กลบี ดอกรูปใบพาย มี 5-8 คารเ์ พล (ภาพ: แมว่ าง
เชยี งใหม่ - RP)
Dillenia ovata Wall. ex Hook. f. & Thomson
วงศ์ Dilleniaceae สา้ นเหบ็

ไม้ตน้ ไม่ผลัดใบ สงู ได้ถึง 30 ม. ใบรูปรีหรือรปู ไข่ ยาว 10-20 ซม. ปลายกลม Saurauia roxburghii Wall.
หรือมน โคนแหลมหรอิื มน ขอบจกั ซ่ฟี ันหา่ ง ๆ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 18-25 เส้น กา้ นใบ วงศ์ Actinidiaceae
ยาว 3-4.5 ซม. ดอกออกเด่ียว ๆ ทป่ี ลายก่ิง ก้านดอกยาวประมาณ 1 ซม. ขยายในผล
กลบี เล้ียงรปู ไข่ ยาว 2.5-3 ซม. ดอกสเี หลอื ง กลีบบาง รปู รี ยาวประมาณ 6-7 ซม. ไมพ้ มุ่ อาจสงู ไดถ้ งึ 8 ม. มขี นสนี ำ�้ ตาลและเกลด็ เลก็ ๆ รปู สามเหลย่ี มประปราย
เกสรเพศผู้วงนอกยาว 1.5-2 ซม. วงในยาวประมาณ 2.5 ซม. มี 8-12 คาร์เพล ตามกงิ่ ออ่ น กา้ นใบ แผ่นใบดา้ นล่าง และกลบี เลย้ี งด้านนอก ใบเรยี งเวยี น รปู รี
ยาว 6-7 มม. กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 2 ซม. ผลสดไมแ่ ตก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ถงึ รปู ขอบขนาน ยาว 15-35 ซม. ปลายแหลม โคนรูปลิ่ม ขอบจักฟนั เลอื่ ยหรอื จักมน
5-6 ซม. รวมกลบี เล้ียง เมล็ดไมม่ เี ยอื่ หมุ้ (ดขู ้อมูลเพม่ิ เติมที่ สา้ น, สกุล) กา้ นใบยาว 2-7 ซม. ชอ่ ดอกออกเป็นกระจุกสัน้ ๆ ตามกิง่ หรอื ซอกใบท่ีหลดุ รว่ ง
กลบี เลย้ี งรปู ไขห่ รือกลม ยาว 3-4 มม. ดอกสีขาวอมชมพู กลบี รูปไข่ ยาว 4-6 มม.
พบทภ่ี มู ภิ าคอนิ โดจนี คาบสมทุ รมลายู และสมุ าตรา ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตาม เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก กา้ นเกสรเพศเมยี 5 อนั เชอื่ มตดิ กนั ทโี่ คน ผลกลม เกลย้ี ง
ปา่ เตง็ รัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดบิ แลง้ และป่าดบิ ชื้น ความสงู ถึงประมาณ 1200 เมตร เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 0.7-1 ซม. (ดูขอ้ มลู เพิ่มเตมิ ที่ ชา้ สา้ น, สกลุ )

ส้านมลายู พบท่อี นิ เดยี ตะวนั ออก พมา่ กมั พูชา และเวยี ดนาม ในไทยพบทางภาคเหนอื
ภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ จ่ี นั ทบรุ ี และภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ ก่ี าญจนบรุ ี ขน้ึ รมิ ลำ� ธาร
Dillenia reticulata King ชายปา่ ดบิ แลง้ และป่าดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1700 เมตร
ไมต้ ้น ผลัดใบ สงู ไดถ้ งึ 40 ม. มรี ากคำ�้ ยัน ใบรูปรี รูปขอบขนานหรือรปู ไข่กลบั
เอกสารอ้างอิง
ยาว 15-30 ซม. ปลายกลม เว้าตน้ื ๆ โคนมน กลม หรือเว้าต้นื ขอบเรยี บหรือจักซีฟ่ นั Hoogland, R.D. (1989). Actinidiaceae. In Tree Flora of Malaya Vol. 4: 7.
เลก็ นอ้ ย เสน้ แขนงใบขา้ งละ 25-35 เสน้ กา้ นใบยาว 4-10 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ Keng, H. (1972). Saurauiaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 111.
ออกท่ปี ลายกิ่ง กลบี เลีย้ งรปู รีกว้าง ยาว 2-2.5 ซม. ดอกสเี หลืองนวล กลบี บาง
รปู ใบพาย ยาวประมาณ 3.5 ซม. เกสรเพศผ้วู งนอกยาวประมาณ 1 ซม. วงในยาว ส้านเห็บ: ใบเรียงเวียน ขอบจักฟันเลอ่ื ย ชอ่ ดอกออกเป็นกระจุกส้ัน ๆ ตามกิ่ง เกสรเพศเมีย 5 อัน เชื่อมตดิ กันท่ีโคน
5-9 มม. มี 9-10 คารเ์ พล ยาวประมาณ 6 มม. ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 5-6 มม. ผลเกลี้ยง (ภาพ: ตาก; ภาพใบและผล - SSi, ภาพดอก - RP)
ผลสดไมแ่ ตก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3.5-4.5 ซม. รวมกลบี เลยี้ ง แตล่ ะคารเ์ พลมี 1-3 เมลด็
เมล็ดมเี ย่อื หมุ้ (ดูขอ้ มลู เพิม่ เตมิ ท่ี ส้าน, สกุล)

พบท่ีคาบสมุทรมลายู บอร์เนียว สุมาตรา และภาคใต้ตอนล่างของไทยท่ี
นราธิวาส ขึน้ ตามปา่ ดิบชืน้ ความสงู ระดบั ตำ�่ ๆ

ส้านหิง่

Dillenia parviflora Griff.
ไมต้ น้ ผลัดใบ สงู ไดถ้ ึง 40 ม. ใบรูปไข่กลบั หรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 15-25 ซม.

ปลายกลมหรือมน โคนแหลมหรือมน ขอบจักซี่ฟัน แผ่นใบด้านล่างมีขนสาก
เสน้ แขนงใบขา้ งละ 25-35 เส้น กา้ นใบยาว 1.5-3.5 ซม. ชอ่ ดอกมี 2-4 ดอก
ออกตามกงิ่ กอ่ นผลใิ บหรอื พรอ้ มใบ โคนมใี บประดบั ขนาดเลก็ จ�ำนวนมาก กา้ นดอก
หนา ยาว 0.5-3 ซม. กลบี เลยี้ งรปู ไข่ ยาว 1.2-1.8 ซม. ดา้ นนอกมขี นสาก ดอกสเี หลอื ง
กลีบบาง รปู ใบพาย ยาว 2.5-3.5 ซม. เกสรเพศผวู้ งนอกยาว 5-7 มม. โค้งออก
วงในยาว 1.2-1.5 ซม. พบั งอกลบั มี 5-8 คาร์เพล ยาว 5-6 มม. ก้านเกสรเพศเมยี
ยาวประมาณ 7 มม. ผลสดไม่แตก เส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 2 ซม. รวมกลีบเลีย้ ง
สกุ สสี ้ม เมลด็ ไมม่ เี ย่ือหมุ้ (ดขู อ้ มลู เพม่ิ เตมิ ท่ี สา้ น, สกุล)

พบทพี่ มา่ ในไทยพบทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ อ่ี ทุ ยั ธานี กาญจนบรุ ี
ขน้ึ ตามป่าเบญจพรรณ และป่าเตง็ รัง ความสงู 250-1100 เมตร

เอกสารอา้ งอิง
Hoogland, R.D. (1949). Dilleniaceae. In Flora Malesiana Vol. 4: 168.
________. (1972). Dilleniaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 98-100.

415

สาบแฮ้ง สารานุกรมพืชในประเทศไทย

สาบแฮ้ง สามพนั ปี: ใบอ่อนขนาดเล็กคล้ายเข็ม ใบชว่ งปลายลดรปู คล้ายเกล็ด โคนเพศผอู้ อกเดย่ี ว ๆ โคนเมล็ดมกี าบประดบั
เจรญิ อวบนำ้� หมุ้ เมล็ดไม่เกินกึง่ หน่ึง (ภาพใบและโคนเพศผ:ู้ เขาใหญ่ ปราจีนบรุ ี - RP; ภาพโคนเมล็ด: ภูหลวง เลย - TP)
Dichrocephala integrifolia (L. f.) Kuntze
วงศ์ Asteraceae สามยอด, สกุล

ชอ่ื พ้อง Hippia integrifolia L. f. Canscora Lam.
วงศ์ Gentianaceae
ไมล้ ม้ ลุก สงู ไดถ้ ึง 50 ซม. มขี นสนั้ นุม่ หรือขนสากตามลำ� ต้น กง่ิ และแผ่นใบ
ใบเรยี งเปน็ กระจกุ ทโ่ี คน เรยี งเวยี นบนตน้ รปู รี รปู ไข่ รปู ไขก่ ลบั หรอื แกมรปู ขอบขนาน ไมล้ ม้ ลกุ ลำ� ตน้ มกั เปน็ เหลยี่ ม ใบเรยี งตรงขา้ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ออกตาม
ใบช่วงโคนมักจกั เปน็ พูต้ืน ๆ หรือลึก 1-2 คู่ ยาว 1-12 ซม. โคนเรียวสอบ ขอบจกั ซอกใบใกล้ปลายก่ิง กลบี เลย้ี งเชื่อมตดิ กันเป็นหลอด มี 4 กลีบ ดอกรปู แตร มี 4 กลบี
ฟนั เลื่อย ก้านใบยาว 1-3.5 ซม. เปน็ ปกี แคบ ๆ ใบชว่ งปลายกง่ิ ขนาดเล็ก กา้ นสัน้ กลบี เล็ก 2 กลบี กลีบใหญ่ 2 กลบี เกสรเพศผู้ 4 อัน 2 อัน ตดิ บนหลอดกลบี
ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่นแยกแขนง ช่อกระจุกเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 มม. ดา้ นกลบี ดอกขนาดเลก็ อกี 2 อนั ตดิ บนดา้ นกลบี ดอกทใี่ หญก่ วา่ ตำ่� กวา่ เลก็ นอ้ ย
กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 3 ซม. ใบประดบั เรยี ง 2 วง รปู ขอบขนาน ยาว 1-1.5 มม. ปลายแหลม มี 2 คาร์เพล พลาเซนตาตามแนวตะเข็บ เกสรเพศเมยี รปู เส้นดา้ ย ยอดเกสรจัก
ขอบจกั ชายครยุ ฐานชอ่ ดอกรปู กลมแปน้ ดอกวงนอกเพศเมยี สขี าวเรยี งหลายชน้ั 2 พู ผลแห้งแตกตามแนวประสาน เมล็ดจ�ำนวนมาก
หลอดกลีบดอกยาวประมาณ 0.5 มม. ปลายจกั 2 พู มตี อ่ มกระจาย ดอกวงใน
สมบรู ณเ์ พศ สีเขียวอมเหลอื ง หลอดกลบี ส้นั ปลายแยกเปน็ 4 แฉก เรยี วแคบ สกุล Canscora มี 9 ชนดิ พบในแอฟรกิ า เอเชยี เขตร้อน และออสเตรเลีย
มตี อ่ มกระจาย ผลแหง้ เมลด็ ลอ่ น รปู ขอบขนาน โคนเรยี วแคบ ขอบเปน็ สนั ยาวประมาณ ในไทยมี 2 ชนิด อกี ชนิดคอื ผกั ปงั แป C. diffusa (Vahl) R. Br. ex Roem. &
1 มม. มีตอ่ มกระจาย ไม่มีแพปพสั หรือมขี นแข็งสัน้ ๆ 1-3 อนั Schult. หลายชนดิ ถูกย้ายไปอยู่สกลุ Phyllocyclus, Cracosna และ Schinziella
ชื่อสกุลมาจากภาษามาลายาลัม ในอนิ เดีย “Cansjan-cora” ท่ีใช้เรยี กชนิด C.
พบในแอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย และหมเู่ กาะแปซฟิ ิก ในไทยพบกระจาย perfoliata Lam.
แทบทุกภาค ยกเว้นภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ ดบิ เขา ชายป่า
หรอื ทุ่งหญา้ ความสงู 500-2500 เมตร มีสรรพคุณแกไ้ ข้ แกอ้ ักเสบ แกอ้ าเจยี น สามยอด

สกุล Dichrocephala L’Hér. ex DC. อยภู่ ายใต้วงศย์ ่อย Asteroideae เผ่า Astereae Canscora andrographioides Griff. ex C. B. Clarke
มีประมาณ 4 ชนิด พบในแอฟรกิ า มาดากัสการ์ เอเชีย ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะ ไมล้ ม้ ลุก สงู ไดถ้ ึง 80 ซม. ใบรปู รถี งึ รปู ใบหอก ยาว 2-6 ซม. ปลายแหลม
แปซฟิ กิ ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรีก “dichroos” สองสี และ “kephale” ช่อกระจกุ แน่น
ตามลกั ษณะของชอ่ กระจกุ แนน่ ทด่ี อกมสี องสี โคนรูปลิ่ม เส้นโคนใบข้างละ 1 เสน้ กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 1 ซม. ชอ่ กระจกุ มี 1-7 ดอก
เอกสารอา้ งองิ ใบประดบั รปู ใบหอกหรือรูปแถบ ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ดอกไรก้ ้านหรือมกี า้ นยาวไดถ้ ึง
Chen, Y. and L. Brouillet. (2011). Asteraceae (Dichrocephala). In Flora of China 2 ซม. หลอดกลบี เลีย้ งยาวประมาณ 1 ซม. มี 8 สัน กลีบเปน็ ต่ิงแหลม ยาว 1-2 มม.
ดอกสีขาว หลอดกลีบดอกยาว 1-1.5 ซม. กลบี ใหญ่ 2 กลบี รูปรีกว้าง ยาว 4-7.5 มม.
Vol. 20-21: 550-551. กลบี เล็ก 2 กลบี รปู รีแคบ ตดิ กนั ยาว 3-4.5 มม. กา้ นชอู บั เรณูยาวประมาณ 1 มม.
รงั ไขร่ ปู รี ยาว 0.5-1 ซม. กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1 ซม. ผลรปู ทรงกระบอก
สาบแฮง้ : ใบชว่ งปลายก่ิงขนาดเลก็ ชอ่ กระจกุ แน่นแยกแขนง ดอกวงนอกสขี าว ดอกวงในสเี ขียวอมเหลือง มรี ้วิ เป็นสนั ยาวประมาณ 1 ซม.
(ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชยี งใหม่ - RP)
พบในเอเชยี ใต้ และเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทกุ ภาค
สามพันปี ขึ้นตามป่าดิบช้ืน และปา่ ดบิ เขา ความสงู ถึงประมาณ 2300 เมตร

Dacrydium elatum (Roxb.) Wall. ex Hook. เอกสารอ้างอิง
วงศ์ Podocarpaceae Thiv, M. (2003). A taxonomic revison of Canscora, Cracosna, Duplipetala,
Hoppea, Microrphium, Phyllocyclus and Schinziella (Gentianaceae-Canscorinae).
ชอื่ พ้อง Juniperus elata Roxb. Blumea 48: 5-19.
Ubolcholaket, A. (1987). Gentianaceae. In Flora of Thailand. Vol. 5(1): 72-92.
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 40 ม. แยกเพศตา่ งตน้ กงิ่ มกั ลลู่ ง เปลอื กสนี ำ้� ตาลลอกเปน็ แผน่
ใบออ่ นขนาดเลก็ คลา้ ยเขม็ เรยี งขนานกบั กงิ่ โคง้ เลก็ นอ้ ย มสี นั ใบยาว 1-1.5 ซม. สามยอด: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ตามซอกใบใกล้ปลายก่ิง ดอกรปู แตร กลีบใหญ่ 2 กลบี กลีบเล็ก 2 กลบี ตดิ กัน
ช่วงปลายสัน้ และลดรปู คลา้ ยเกลด็ รูปสามเหล่ียมเรยี งซ้อนกัน ยาว 1-1.5 มม. ผลรูปทรงกระบอก มีรวิ้ เปน็ สัน (ภาพ: เขาใหญ่ ปราจนี บุรี - RP)
โคนเพศผู้ (pollen cone) ออกเด่ยี ว ๆ รูปทรงกระบอก ยาว 4-8 มม. ไร้ก้าน
โคนเพศเมยี หรอื โคนเมลด็ (seed cone) ออกทป่ี ลายกง่ิ มกี าบประดบั (mega-
sporophylls) จำ� นวนมาก ยาวประมาณ 1 มม. มอี ันเดยี วหรอื หลายอันที่เจรญิ
อวบนำ้� สนี ำ้� ตาลแดง รปู ถว้ ย หมุ้ เมลด็ ไมเ่ กนิ กง่ึ หนงึ่ ยาว 1.5-2 มม. มเี มลด็ เดยี ว
ในแต่ละกาบ รูปไข่ ยาวประมาณ 5 มม. เมล็ดแก่สนี ำ�้ ตาลดำ�

พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี คาบสมทุ รมลายู สมุ าตรา บอรเ์ นยี ว ในไทยพบกระจาย
ห่าง ๆ ทกุ ภาค ขึ้นตามสนั เขาในปา่ ดบิ เขา ความสงู 1000-1500 เมตร

สกุล Dacrydium Lamb. มีประมาณ 25 ชนดิ พบในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้
หมู่เกาะแปซฟิ กิ นวิ ซแี ลนด์ และทางใต้ของชิลี ในไทยมีชนดิ เดยี ว ช่อื สกลุ มาจาก
ภาษากรีก “dakra” น้ำ�ตา หมายถงึ ลักษณะชันหรอื ยางสนทไ่ี หลออกจากล�ำ ตน้
เอกสารอา้ งอิง
de Laubenfels, D.J. (1988). Coniferales. In Flora Malesiana Vol. 10: 374-384.
Phengklai, C. (1975). Podocarpaceae. Flora of Thailand Vol. 2(3): 197-198.

416

สารานุกรมพืชในประเทศไทย สายนำ้� ค้าง

สามรอ้ ยต่อใหญ่ พบที่กัมพูชา ในไทยพบทางภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ ขน้ึ ตามปา่ เบญจพรรณใกลล้ ำ� ธาร
Vanilla pilifera Holttum หรือปา่ ดิบแลง้ และเขาหินปนู ความสงู ถงึ ประมาณ 1000 เมตร
วงศ์ Orchidaceae
เอกสารอ้างองิ
กลว้ ยไมท้ อดเลอ้ื ย ลำ� ตน้ มรี ว้ิ อวบนำ้� มรี ากออกตามขอ้ ตรงขา้ มใบ ใบหนา Duyfjes, B.E.E. and P. Inthachub. (2011). Stemonaceae. In Flora of Thailand
อวบนำ้� รูปขอบขนาน ยาว 8-18 ซม. ปลายแหลมยาว โคนมน กา้ นใบยาว 0.4-1.5 ซม. Vol. 11(1): 88.
ชอ่ ดอกออกตามข้อ แกนช่อยาว 3-7 ซม. มี 5-15 ดอก ใบประดับรูปไข่ ยาว 2-5 มม.
ตดิ ทน กา้ นดอกยาว 1.5-3.5 ซม. กลบี เลย้ี งสเี ขยี วออ่ น รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก สามสบิ กบี : ช่อดอกออกตามซอกใบ เช่อื มติดกา้ นใบ มี 1-3 ดอก กลบี รวมรูปใบหอก ปลายแหลม (ภาพซา้ ย:
ยาว 4-4.5 ซม. กลบี ดอกคู่ขา้ งคล้ายกลบี เลย้ี ง ยาวเทา่ ๆ กลบี เลยี้ ง กลบี ปากสีขาว กาญจนบุรี, ภาพขวา: ระยอง; - PI)
มสี ชี มพแู ซม เสน้ กลบี สมี ว่ งหนาแนน่ ดา้ นใน กลบี รปู ไขก่ ลบั ยาว 3-4 ซม. รยางค์
เป็นแผงขนแปรงแบนใกลป้ ลายกลบี ด้านในตรงขา้ มอับเรณู ขนยาว 3-5 มม. สายน้ำ�ค้าง, สกุล
หนา้ เสา้ เกสรมขี นสแี ดงเขม้ เสา้ เกสรเรยี ว ยาว 3-3.4 ซม. ตดิ กลบี ปากเกอื บตลอด
แนวความยาว ฝาครอบอับเรณูสีเขยี ว ผลสด รูปขอบขนาน ยาว 7.5-8 ซม. Rhynchoglossum Blume
วงศ์ Gesneriaceae
พบทีค่ าบสมุทรมลายู และบอรเ์ นียว ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ ี่
ปราจนี บรุ ี และภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ เ่ี พชรบรุ ี ประจวบครี ขี นั ธ์ ขนึ้ ตามปา่ ดบิ แลง้ ไมล้ ม้ ลกุ ไมม่ ีหูใบ ใบเรยี งเวียน โคนเบยี้ ว ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะเรยี งออก
ความสงู ถึงประมาณ 400 เมตร ดา้ นเดยี ว ใบประดบั ขนาดเลก็ ตดิ ตรงขา้ มดอก กลบี เลย้ี งรปู ระฆงั มี 5 สนั ปลายแยก
เปน็ 5 กลีบ รปู สามเหลยี่ มขนาดเลก็ ติดทนหมุ้ ผล ดอกสมมาตรดา้ นขา้ ง เชือ่ มตดิ กัน
สกุล Vanilla Plum. ex Mill. อยภู่ ายใต้วงศ์ย่อย Vanilloideae เผา่ Vanilleae มี เปน็ หลอด ปลายแผก่ วา้ งหรอื แยกเปน็ แฉก กลบี บนแยกเปน็ 2 แฉกตน้ื ๆ กลบี ลา่ ง
ประมาณ 107 ชนิด พบในอเมริกาเขตรอ้ น แอฟรกิ า มาดากสั การ์ เอเชียเขตรอ้ น 3 กลีบ โคนดา้ นในมักมีจุดสีเหลอื งอมนำ�้ ตาล เกสรเพศผู้ 2 อัน หรอื 2 คู่ยาว
และหมู่เกาะแปซฟิ กิ ในไทยมี 5 ชนดิ ชือ่ สกลุ มาจากภาษาสเปน “vaina” และ ไมเ่ ทา่ กนั ตดิ ใกลก้ ง่ึ กลางหลอดกลบี ดอก รงั ไขม่ ชี อ่ งเดยี ว พลาเซนตาตามแนวตะเขบ็
“vainilla” หรือ “ไบย์นียา” หมายถงึ ลกั ษณะของฝกั รูปทรงกระบอกคล้ายกาบ จานฐานดอกรปู วงแหวนหรอื รปู ถ้วย เกสรเพศเมยี 1 อนั ยอดเกสรแผ่ออกหรือ
ขนาดเล็ก อน่งึ กลน่ิ วานลิ าไดจ้ ากการสกัดจากฝักของกลว้ ยไม้ในสกลุ Vanilla แยก 2 แฉกไม่เท่ากนั ผลแห้งแตกกลางพู สน้ั กว่าหรอื ยาวกว่ากลีบเลี้ยง เมล็ด
หลายชนดิ โดยเฉพาะ V. planifolia Jacks. ex Andrews ซึง่ มถี ิน่ ก�ำ เนิดใน จ�ำนวนมาก ขนาดเลก็
ประเทศแถบอเมริกากลาง และหมเู่ กาะเวสตอ์ ินดีส ปลูกมากในมาดากสั การ์
และอินโดนีเซีย สกุล Rhynchoglossum มี 13 ชนิด ส่วนมากพบในเอเชียเขตรอ้ น ในอเมริกากลาง
เอกสารอ้างอิง มี 1 ชนิด ในไทยมี 3 ชนิด อกี ชนิดคือ เฉวยี นฟา้ R. obliquum Blume ช่อดอกยาว
Holttum, R.E. (1951). A new Malayan Vanilla. Gardens’ Bulletin Singapore ดอกสีมว่ งอมฟา้ ชอื่ สกุลมาจากภาษากรกี “rhynchos” จะงอย และ “glossa”
ลนิ้ ตามลกั ษณะของกลบี ปากลา่ งยน่ื ยาวเป็นจะงอยคล้ายลิน้
13(2): 251-253.
Seidenfaden, G. (1978). Orchid genera in Thailand VI: Neottioideae Lindl. Dansk สายนำ้�คา้ ง

Botanisk Arkiv 32(2): 138-146. Rhynchoglossum mirabilis Patthar.
Suddee, S. (2011). Orchidaceae (Vanilla). In Flora of Thailand Vol. 12(1): 267-277. ไม้ล้มลุก ขึ้นบนดนิ หรอื กอ้ นหิน สูงไดถ้ งึ 20 ซม. ใบรูปไข่ ยาว 5.5-9.5 ซม.

สามร้อยตอ่ ใหญ:่ กลีบปากมสี ชี มพแู ซม เสน้ กลีบสมี ่วงด้านใน รยางค์เปน็ แผงขนแปรงแบนด้านในตรงขา้ มอับเรณู ปลายแหลมหรือแหลมยาว แผ่นใบเกล้ียงหรือมีขนสั้นนุ่ม ด้านล่างมักมีต่อม
(ภาพ: แกง่ กระจาน เพชรบรุ ี - MT) กระจาย โคนใบมนหรอื เว้าตื้น เสน้ แขนงใบข้างละ 8-11 เสน้ กา้ นใบยาว 5-7 ซม.
ชอ่ ดอกส่วนมากออกตามกา้ นใบ ยาว 2-13 ซม. ก้านชอ่ ยาวได้ถงึ 4 ซม. มี 3-15 ดอก
สามสบิ กีบ กา้ นดอกยาว 0.2-1 ซม. โคง้ ลงหรอื แผอ่ อก หลอดกลบี เลย้ี งยาวไดถ้ งึ 4 มม. ดอกสขี าว
มกั มแี ถบสมี ว่ งอมเขยี วหรอื อมนำ้� ตาลดา้ นในหลอดกลบี บนและลา่ ง หลอดกลบี ยาว
Stemona phyllantha Gagnep. 5-7 มม. มขี นละเอยี ดหรอื ขนยาวหา่ งเปน็ กระจกุ บนจดุ สเี หลอื งอมนำ�้ ตาลดา้ นใน
วงศ์ Stemonaceae กลบี ล่าง กลีบบนจักตื้น ๆ กลบี ล่างยาว 3-5 มม. เกสรเพศผู้คยู่ าว ยาว 3-4 มม.
คูส่ ัน้ ยาว 1.5-1.8 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาว 2-4 มม. ยอดเกสรเพศเมียขนาดเล็ก
ไมเ้ ถาลม้ ลุก ยาวได้ถึง 6 ม. รากรปู กระสวยจ�ำนวนมาก ยาว 40-50 ซม. เรยี วยาว เบ้ียว ผลรูปไข่ ยาว 3-4 มม. เปลือกหุ้มเมลด็ เป็นรว้ิ ยน่ ๆ
ใบเรยี งเวยี น เรยี งตรงข้าม หรือเวยี นรอบข้อ รปู ไข่กว้าง ยาว 12-17 ซม. โคนเว้าตนื้
เสน้ ใบ 9-13 เส้น กา้ นใบยาว 5-9 ซม. ชอ่ ดอกออกตามซอกใบหรอื ใตใ้ บที่ลดรปู พืชถ่นิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทตี่ าก พิษณุโลก ภาคตะวันตกเฉยี งใตท้ ่ี
เปน็ เกลด็ มี 1-3 ดอก กา้ นชอ่ ยาว 3-8 ซม. เชอ่ื มตดิ กา้ นใบ 0.5-1.5 ซม. ใบประดบั อทุ ยั ธานี กาญจนบรุ ี และภาคใตท้ ส่ี รุ าษฎธ์ านี ขน้ึ ตามหนา้ ถำ้� เขาหนิ ปนู ทค่ี วามชนื้ สงู
ยาว 0.5-1 ซม. ดอกสีเขียวอ่อนมเี สน้ กลบี สมี ่วงอมแดง กา้ นดอกยาว 0.5-1.5 ซม. ความสงู 100-850 เมตร
กลบี รวมรปู ใบหอก ปลายแหลม กว้าง 1.2-2 ซม. ยาว 5.5-6.5 ซม. เกสรเพศผู้
ยาว 5-6 ซม. รวมปลายแกนอบั เรณูรปู ล่ิม บางคร้ังมรี ยางคค์ ล้ายเดอื ยขนาดเล็ก สายนำ้�ค้าง
ยาว 5-7 มม. ผลรปู ไข่ ยาว 3-4 ซม. มี 10-12 เมลด็ สนี ำ้� ตาลเขม้ เรยี วแคบ ยาวประมาณ
1.5 ซม. (ดูข้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี เครอื ปงุ , สกุล) Rhynchoglossum saccatum Patthar.
ไม้ลม้ ลกุ ขึน้ บนกอ้ นหิน สูงได้ถงึ 20 ซม. โคนกา้ นใบและกา้ นชอ่ ดอกบวม

ใบรูปไข่ ยาว 3.6-6.5 ซม. ปลายแหลม เส้นแขนงใบข้างละ 6-7 เส้น ก้านใบยาว
0.8-5.5 ซม. ช่อดอกออกตามก้านใบ ยาว 1.5-7 ซม. ก้านชอ่ ยาวไดถ้ ึง 2 ซม. มี

417

สายน้�ำผ้งึ สารานุกรมพืชในประเทศไทย

2-12 ดอก ก้านดอกยาว 0.3-1.5 ซม. โคง้ ลง หลอดกลบี เลีย้ งยาว 3-4 มม. ดอกสขี าว ของสกลุ คอื Honeysuckle เรยี กโดยเข้าใจคลาดเคลอ่ื นว่าผึ้งไดน้ �้ำ หวานจากดอก
มรี ว้ิ สมี ว่ งแดงออ่ น ๆ หลอดกลบี ดอกยาว 0.8-1 ซม. กลบี บนเปน็ กระเปาะสเี ขยี วออ่ น ของพืชสกุลน้ี หลายชนิดท่ีใชใ้ นพธิ กี รรมทางศาสนากรีกโบราณ และหลายชนิด
จกั ตนื้ ๆ กลบี ลา่ งยาว 1-3 มม. ดา้ นในมขี นกระจกุ ตามแนวจดุ สเี หลอื งอมนำ�้ ตาล มสี รรพคุณลดนำ้�ตาลในเลอื ด
เกสรเพศผคู้ ยู่ าว ยาว 4-5 มม. ค่สู น้ั ยาว 2-3 มม. อบั เรณูสีม่วง ก้านเกสรเพศเมีย
ยาวไดถ้ งึ 6 มม. ยอดเกสรแผ่ออกแยกเป็น 2 แฉกตื้น ๆ ผลรูปไข่ เกล้ยี ง ยาว 3-4 มม. สายน้ำ�ผง้ึ
เปลือกหุม้ เมลด็ คลา้ ยร่างแห
Lonicera japonica Thunb.
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทพี่ ษิ ณโุ ลก ขนึ้ เกาะบนหนิ ปนู ตามหนา้ ถำ�้ ไม้เถา มีขนสีน�้ำตาลอมเหลอื งตามกิง่ แผน่ ใบ ก้านใบ ก้านช่อดอก กลบี เลย้ี ง
ท่มี ีความชุ่มชนื้ สูง ความสงู 200-250 เมตร
ใบรูปไข่ รูปขอบขนาน หรอื รูปใบหอก ยาว 3-8 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว
เอกสารอ้างอิง โคนกลมหรอื เวา้ ตนื้ ขอบใบมขี นครยุ กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 4 ซม. ชอ่ ดอกชว่ งปลายกงิ่ สนั้
Pattharahirantricin, N. (2014). The genus Rhynchoglossum Blume (Gesneriaceae) ใบประดบั คลา้ ยใบ รปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 1-3 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยขนาดเลก็ กลบี เลย้ี ง
in Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 42: 24-34. รปู สามเหลีย่ มขนาดเล็ก ดอกสขี าวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ยาว 3-5 ซม. ดา้ นนอกมี
ขนต่อม หลอดกลีบดอกยาว 1.5-3 ซม. แฉกลึก กลีบบนขนาดไม่เทา่ กนั ยาว 2-8 มม.
สายนำ้� คา้ ง: R. mirabilis ใบเรียงเวยี น โคนเบย้ี ว ช่อดอกแบบช่อกระจะเรยี งออกดา้ นเดยี ว ดอกสขี าว มักมแี ถบสมี ว่ ง กลบี ลา่ งพบั งอกลบั เกสรเพศผแู้ ละเพศเมยี ยน่ื ออกยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก ผลกลม
อมเขียวหรือสขี าวอมน้�ำตาลดา้ นในหลอดกลีบบนและลา่ ง (ภาพ: แมส่ อด ตาก - RP) เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 6-7 มม. สุกสมี ว่ งอมด�ำเปน็ มันวาว เมลด็ รปู รี ยาวประมาณ 3 มม.
ผวิ มีหลุมต้นื ๆ
สายนำ�้ คา้ ง: R. saccatum ไมล้ ม้ ลุกขึน้ บนกอ้ นหนิ ดอกสขี าวมีรวิ้ สมี ่วงแดงออ่ น ๆ กลบี บนเปน็ กระเปาะ สีเขยี วออ่ น
(ภาพ: ถำ�้ ผาทา่ พล พษิ ณโุ ลก - PK) มถี น่ิ กำ� เนดิ ในญป่ี นุ่ เกาหลี และจนี เปน็ ไมป้ ระดบั หรอื ขน้ึ เปน็ วชั พชื แยกเปน็
var. chinensis (P. Watson) Baker กลบี ดอกดา้ นนอกมีสีมว่ ง ด้านในสีขาว พบ
เฉวียนฟ้า: ช่อดอกยาว ดอกสีมว่ งอมฟ้า (ภาพ: แมส่ อด ตาก - RP) เฉพาะในจีน ผลมพี ษิ ถา้ กินในปริมาณมาก

สายน้�ำ ผึง้ , สกุล สายนำ้�ผง้ึ น้อย

Lonicera L. Lonicera bournei Hemsl. ex Forb. & Hemsl.
วงศ์ Caprifoliaceae ไมเ้ ถา มขี นสนี ำ้� ตาลอมเหลอื งประปรายตามกง่ิ เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ

ไมพ้ ุ่มหรือไม้เถา ตามีเกล็ดประดับ 1 หรือหลายคู่ ใบเรียงตรงข้ามหรอื รอบขอ้ กลบี เลย้ี ง กา้ นชอ่ ดอก และใบประดบั ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรปู ไข่ ยาว
ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ หรอื ชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกตามซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ บางครง้ั 2-7.5 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนกลมหรอื เวา้ ตนื้ กา้ นชอ่ สน้ั มใี บคลา้ ย
ใบเชื่อมติดกันคลา้ ยวงใบประดับ ชอ่ กระจกุ มักลดรูปมี 2 ดอก ใบประดบั ยอ่ ย วงใบประดบั ใบประดบั รปู ใบหอก ยาว 0.5-3 มม. ใบประดบั ยอ่ ยรปู ไขข่ นาดเลก็
ไมม่ หี รอื มี 2 คู่ บางครงั้ เชอื่ มตดิ กนั หมุ้ รงั ไข่ กลบี เลย้ี งสว่ นมากมี 5 กลบี หรอื ขอบเรยี บ กลีบเล้ียงรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ดอกสีขาวเปล่ียนเป็นสีเหลือง มีกล่ินหอม
ดอกรปู ระฆังหรือรูปกรวย รูปปากเปดิ กลีบบน 4 กลีบ กลีบลา่ ง 1 กลีบ ดา้ นใน ยาว 3-4.5 ซม. ด้านนอกเกลี้ยงหรือมีขนสัน้ น่มุ หลอดกลบี ดอกยาว 2.5-4 ซม.
หลอดกลบี ดอกมนี �้ำตอ้ ย เกสรเพศผู้ 5 อนั กา้ นชอู บั เรณเู ชอ่ื มตดิ ตลอดหลอดกลบี ดอก แฉกตนื้ ๆ กลีบบนคู่ข้างยาวประมาณ 3 มม. กลบี คูก่ ลางตน้ื กวา่ เล็กนอ้ ย กลีบลา่ ง
อับเรณูตดิ ด้านหลัง รังไข่ใตว้ งกลีบ ชว่ งครึ่งล่างมี 3 ช่อง ช่วงครึ่งบนมชี ่องเดียว ยาวประมาณ 8 มม. พบั งอกลบั เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี ยน่ื พน้ หลอดกลบี ดอก
กา้ นเกสรเพศเมยี เรียวยาว ยอดเกสรเป็นตุ่ม ผลสดมหี ลายเมล็ด ออกเป็นคู่ มักมี เล็กนอ้ ย ผลเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 5 มม. สกุ สีแดง
ใบประดับขยายหมุ้ ผล
พบทจี่ นี และพมา่ ในไทยพบทางภาคเหนอื ทเ่ี ชยี งใหม่ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
สกลุ Lonicera มีประมาณ 180 ชนดิ พบในอเมรกิ าเหนอื ยุโรป แอฟรกิ า และ ท่ีเลย ชัยภูมิ ภาคตะวันออกและภาคกลางท่ีเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาและ
เอเชีย ในไทยมพี ชื พื้นเมอื ง 6 ชนิด และเปน็ ไม้ประดับ 2 ชนิด คอื สายนำ�้ ผง้ึ นครนายก ขึน้ ตามชายปา่ ดบิ แล้งและปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1500 เมตร
L. japonica Thunb. และ L. periclymenum L. มีหลายสายพันธ์ุ ชอื่ สกลุ ต้งั ตาม คล้ายกับหญ้าชา้ งนอ้ ย L. siamensis Gamble ทีแ่ ผน่ ใบด้านล่างและใบประดับ
นักพฤกษศาสตรช์ าวเยอรมัน Adam Lonitzer (Lonicer) (1528-1586) ช่อื สามัญ มขี นหนาแน่น

418 สายน้ำ�ผงึ้ หลวง

Lonicera hildebrandtiana Collett & Hemsl.
ไม้พุม่ รอเลอื้ ย ก่งิ สนี ำ้� ตาลแดง เกลี้ยงหรอื มขี นหยาบส้ัน ๆ ใบรูปรหี รือรูปไข่

ยาว 7-15 ซม. ปลายแหลม แหลมยาว หรอื เปน็ ตง่ิ แหลม โคนกลม ตดั หรอื แหลม
แผน่ ใบมกั มจี ดุ สขี าวกระจายทง้ั สองดา้ นโดยเฉพาะเสน้ กลางใบ เสน้ แขนงใบขา้ งละ
4-6 เสน้ กา้ นใบสมี ว่ งอมเขยี ว ยาว 1-2.5 ซม. กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 1.5 ซม. ใบประดบั
ยาวประมาณ 1.5 มม. กลบี เลยี้ งเชอ่ื มตดิ กนั เปน็ หลอดยาว 5-8 มม. กลบี รปู สามเหลย่ี ม
ยาว 0.5-2 มม. ดอกสขี าวครมี เปลย่ี นเปน็ สเี หลอื งอมสม้ มกี ลนิ่ หอม ยาว 9-12 ซม.
หลอดกลีบยาว 5-7 ซม. แฉกลกึ กลีบบน 4 กลีบ มว้ นงอ กลีบคู่ขา้ งแฉกลกึ กว่า
กลบี กลาง กลบี กลางแฉกลกึ 5-6 มม. กลบี ลา่ งมว้ นงอ เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี
ย่นื ยาวเท่า ๆ หรือส้ันกวา่ กลบี ดอกเลก็ นอ้ ย มขี นส้นั นมุ่ ผลกลมหรอื รปู ไข่กวา้ ง
ยาวประมาณ 2.5 ซม. เส้นผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 1.8 ซม.

พบทพี่ มา่ จนี ตอนใต้ และภาคเหนอื ของไทยทด่ี อยสเุ ทพ ดอยเชยี งดาว จงั หวดั
เชียงใหม่ และแม่วงก์ จังหวัดก�ำแพงเพชร ขึ้นตามท่ีโล่งในป่าดิบเขา ความสูง
1300-1900 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Fukuoka, N. (2015). Caprifoliaceae. In Flora of Thailand Vol. 13(1): 72-76.
Wee, Y.C. and H. Keng. (1990). An illustrated dictionary of Chinese medicinal
herbs. Times Edition Pte Ltd., Time Centre, Singapore.
Yang, Q.E., S. Landrein, J. Osborne and R. Borosova. (2011). Caprifoliaceae.
In Flora of China Vol. 19: 620, 637, 639-640.

สารานุกรมพืชในประเทศไทย สารภีป่า

สายน�้ำผึ้ง: L. japonica ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุก ใบประดับคลา้ ยใบ ดอกสีขาวเปลย่ี นเปน็ สีเหลอื ง รปู ปากเปิด กลีบดอกแฉกลึกประมาณกึ่งหน่ึง ยาว 2-3.5 ซม. กลีบปากบนขนาดเล็กกว่า
แฉกลกึ กลบี บน 4 กลีบ กลีบลา่ ง 1 กลีบ พบั งอกลับ (ภาพ: cultivated - RP) ปลายกลีบเว้าต้ืน กลบี ปากล่างจัก 3 พู ดา้ นในมีจดุ สเี ขม้ เกสรเพศผู้ 2 อัน ติดท่ี
โคนหลอดกลีบดอก อับเรณูกางออก รังไข่และก้านเกสรเพศเมียมีขนส้ันนุ่ม
ผลแหง้ แตก ยาวประมาณ 1 ซม. มี 4 เมล็ด

มถี ่นิ กำ� เนดิ ในเม็กซิโก เปน็ ไม้ประดบั ทวั่ ไปในเขตรอ้ น มหี ลายสายพนั ธุ์ บางคร้ัง
ใบประดบั สเี หลืองสดหรอื สเี หลืองอมเขยี ว

สกุล Justicia L. มปี ระมาณ 700 ชนดิ พบในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ในไทย
มีกว่า 20 ชนิด และพบเปน็ ไมป้ ระดับหลายชนิด เช่น ตรีชวา J. betonica L.
ดอกฟลามิงโก J. carnea Lindl. สนั พร้ามอญ J. gendarussa Burm. f. และ
ราตรีแดง J. plumbaginifolia J. Jacq. เปน็ ต้น หลายชนดิ มสี รรพคุณด้าน
สมนุ ไพร ชอื่ สกลุ ตงั้ ตามนกั พืชสวนชาวสกอตแลนด์ James Justice (1698-1763)

เอกสารอ้างองิ
Halik, K.A. and A. Ghafoor. (1988). Acanthaceae. Flora of Pakistan Vol. 188:
41. http://www.efloras.org
Hu, J.Q. and T.F. Daniel. (2011). Acanthaceae (Justicia). In Flora of China Vol.
19: 449.
Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
Press, Honolulu, Hawai`i.

สายน้�ำผึง้ : L. periclymenum (ภาพ: cultivated - RP)

สายน้�ำผง้ึ นอ้ ย: ใบเรียงตรงขา้ มหรอื รอบขอ้ มีใบคลา้ ยวงใบประดับ กลบี ดอกแฉกตน้ื ๆ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย สายรงุ้ : มีขนส้ันนุ่มกระจาย ช่อดอกแบบช่อเชิงลด โค้งเลก็ น้อย ใบประดับเรยี งซ้อนเหลอ่ื ม ดอกรูปปากเปิด
ยืน่ พ้นหลอดกลีบดอกเล็กนอ้ ย (ภาพ: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - SSi) กลีบปากบนขนาดเล็กกว่ากลีบปากลา่ ง เวา้ ต้ืน กลีบปากลา่ งจัก 3 พู ดา้ นในมีจดุ สเี ข้ม (ภาพ: cultivated - RP)

สายน้�ำผึง้ หลวง: ดอกสขี าวครมี เปลยี่ นเป็นสเี หลืองอมสม้ ยาว 9-12 ซม. กลีบบน 4 กลีบ มว้ นงอ กลีบค่ขู ้างแฉกลกึ สารภปี ่า
กวา่ กลีบกลาง เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียยื่นยาวเทา่ ๆ หรอื ส้นั กว่ากลีบดอกเล็กนอ้ ย (ภาพ: แมว่ งก์ ก�ำแพงเพชร - RP)
Anneslea fragrans Wall.
สายรุง้ วงศ์ Pentaphylacaceae

Justicia brandegeeana Wassh. & L. B. Sm. ไม้ตน้ สงู ไดถ้ ึง 15 ม. ใบเรียงเวียนหนาแน่นที่ปลายกง่ิ รูปรี รปู ขอบขนาน
วงศ์ Acanthaceae หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 4-16 ซม. ปลายมนหรอื กลม โคนรปู ลมิ่ แผน่ ใบดา้ นลา่ งมกั มนี วล
และตอ่ มสนี ำ�้ ตาลกระจาย ขอบเรยี บหรอื จกั ซฟ่ี นั ชว่ งปลายใบ กา้ นใบยาว 2-3.5 ซม.
ชื่อพอ้ ง Beloperone guttata Brandegee ช่อดอกแบบช่อเชงิ หลน่ั ออกตามซอกใบ กา้ นดอกยาว 2-7 ซม. ใบประดบั ย่อย
2 ใบ รปู สามเหลย่ี ม ยาวประมาณ 4 มม. ตดิ ทน ขอบมีตอ่ ม กลีบเลี้ยงสนี ำ้� ตาล
ไม้พ่มุ สูงได้ถงึ 1.5 ม. กงิ่ ออ่ นมกั เป็นเหลีย่ ม มขี นสน้ั นุ่มตามกง่ิ ก้านใบ แผน่ ใบ อมแดงเรียงซ้อนเหลือ่ ม มี 5 กลีบ รูปไข่กวา้ ง ยาว 1-1.5 ซม. ขยายในผล ดอกสคี รีม
ทง้ั สองด้าน ใบประดับ กลบี เลี้ยง และกลีบดอกดา้ นนอก ใบเรียงตรงข้าม รปู ไข่ หรอื เหลืองอ่อน ๆ ยาวประมาณ 1.5 ซม. เชือ่ มตดิ กันประมาณ 5 มม. ปลายแยก
หรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาวไดถ้ งึ 8 ซม. โคนเรยี วสอบ กา้ นใบยาว 1-2 ซม. ชอ่ ดอก เปน็ 5 กลบี รปู ไข่ ปลายแหลม เกสรเพศผูจ้ �ำนวนมาก เรยี ง 1-2 วง ยาว 1.2-1.5 ซม.
แบบชอ่ เชงิ ลด ออกตามซอกใบหรอื ปลายกง่ิ มกั โคง้ ลง ยาวไดถ้ งึ 10 ซม. ใบประดบั ก้านชูอับเรณเู ชื่อมติดกนั ประมาณ 5 มม. อับเรณูเรยี วยาว แกนอบั เรณปู ลาย
สนี �้ำตาลแดง เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม รูปไขก่ วา้ ง ยาว 1-2.5 ซม. โคนเว้าต้นื มกี ้านส้นั ๆ มรี ยางค์ รังไข่กงึ่ ใต้วงกลีบ เกลยี้ ง มี 2-5 ชอ่ ง พลาเซนตาแบบรอบแกนร่วม
กลีบเลยี้ ง 5 กลีบ รปู ใบหอก ยาว 5-7 มม. ดอกสีขาวอมชมพแู ดง รปู ปากเปดิ ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 1.5-2 ซม. ปลายจัก 2-5 พู ผลรูปรีเกอื บกลม ยาว 2-3.5 ซม.
ผนังแขง็ แตกตามรอยกลบี เลี้ยง แตล่ ะชอ่ งมี 2-3 เมล็ด รปู ไข่กลับ ยาว 0.7-1.2 ซม.
มีเย่อื ห้มุ สดสีแดง

พบทจ่ี นี ตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบมาก
ทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พบประปรายทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้
และภาคใต้ ข้นึ ตามป่าเตง็ รงั ปา่ สนเขา และป่าดบิ เขา ความสูง 100-2000 เมตร
ดอกมีสรรพคุณบำ� รงุ หัวใจ ใบและกง่ิ ใช้แกไ้ ขม้ าลาเรีย

สกลุ Anneslea Wall. เดมิ อย่ภู ายใต้วงศ์ Theaceae ปจั จบุ นั อย่วู งศ์ย่อย
Ternstroemieae มปี ระมาณ 4 ชนิด พบเฉพาะในเอเชยี ในไทยมีชนดิ เดยี ว
ชื่อสกุลต้ังตามขุนนางชาวไอรชิ George Annesley (1769-1844) ท่เี กบ็ ตวั อยา่ ง
พรรณไม้ในอนิ เดีย

เอกสารอา้ งอิง
Keng, H. (1972). Theaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 157-158.
Min, M. and B. Bartholomew. (2007). Theaceae. In Flora of China Vol. 12: 434.

419

สาละ สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

สารภีป่า: ช่อดอกแบบช่อเชิงหลน่ั กลบี เลีย้ งเรยี งซอ้ นเหล่ือม ติดทนในผล กลบี ดอกสคี รมี เชอ่ื มตดิ กนั ท่ีโคน สาละลงั กา
แกนอบั เรณปู ลายมรี ยางค์ (ภาพดอก: ภูกระดงึ เลย - PK; ภาพผล: ตาก - RP)
Couroupita guianensis Aubl.
สาละ วงศ์ Lecythidaceae

Shorea robusta C. F. Gaertn. ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู ไดถ้ งึ 35 ม. ใบเรยี งเวยี นหนาแนน่ ทปี่ ลายกงิ่ รปู ไขก่ ลบั หรอื
วงศ์ Dipterocarpaceae แกมรูปขอบขนาน ยาวไดถ้ งึ 30 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนรูปลมิ่ แผ่นใบ
ดา้ นลา่ งมขี นตามเสน้ แขนงใบ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 15-25 เสน้ กา้ นใบยาว 0.5-3 ซม.
ไม้ต้น ผลดั ใบ สูงไดถ้ ึง 40 ม. เปลือกหนาแตกเป็นรอ่ งตามยาว มขี นสัน้ นมุ่ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ บางครงั้ แยกแขนง ออกตามลำ� ตน้ ยาวไดถ้ งึ 3 ม. ดอกสมมาตร
ตามช่อดอก ก้านดอก และกลบี เล้ยี งด้านนอก หใู บรปู เคยี วยาวประมาณ 8 มม. ด้านข้าง ขนาดใหญ่ เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 5-6 ซม. ก้านดอกยาว 1.5-6 ซม. กลีบเลี้ยง
ใบรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 10-40 ซม. ปลายแหลม โคนเวา้ ตนื้ แผน่ ใบเกลยี้ ง 6 กลบี เรยี งซอ้ นเหลอื่ มทโี่ คน รปู ไขก่ ลบั ยาว 4-5 ซม. ขอบมขี นครยุ ดอกสเี หลอื ง
เส้นแขนงใบขา้ งละ 10-12 เสน้ ก้านใบยาว 2-2.5 ซม. ใบแกส่ เี หลอื ง ช่อดอกยาว ถึงสีชมพอู มแดงหรือนำ้� ตาล มี 6 กลบี เกสรเพศผู้จำ� นวนมาก เรยี งเป็นวงรูปค่มุ
ไดถ้ งึ 25 ซม. กา้ นดอกยาว 1-2 มม. กลีบเลีย้ งรปู ไข่ ยาวประมาณ 2 มม. ดอกสีครีม ดา้ นเดยี ว วงเกสรท่เี ป็นหมนั ตดิ ทโ่ี คน รงั ไขใ่ ตว้ งกลีบ มี 6 ช่อง ผลแหง้ ไม่แตก
มีปื้นชมพู กลบี รูปแถบ บดิ เวยี น ยาว 1-1.5 ซม. โคนกลีบซอ้ นกันรปู ถว้ ย เกสรเพศผู้ เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 12-25 ซม. เมล็ดจ�ำนวนมาก เรยี งอดั แนน่ ในเนอื้ ทน่ี ุ่ม
จ�ำนวนมากเรียง 3 วง อับเรณูรูปไวโอลนิ มีขนกระจาย แกนอับเรณปู ลายมตี ิ่งสน้ั ๆ
รงั ไข่มขี นสน้ั นมุ่ ก้านเกสรเพศเมียมขี นสั้นนมุ่ ทโ่ี คน ยอดเกสรเพศเมยี จกั 3 พู มถี นิ่ ก�ำเนดิ ในอเมรกิ ากลางและอเมรกิ าใต้ นยิ มปลูกตามวดั เนือ่ งจากเข้าใจว่า
ผลรปู รกี ว้าง ยาว 1-2 ซม. มขี นละเอยี ด ปีกยาว ยาว 5-8 ซม. มีเส้นปีก 7-9 เส้น เกลีย้ ง เป็นต้นสาละในพุทธประวัติ จึงมีชื่อไทยเป็นสาละลังกา เป็นพืชมีพิษ ท�ำให้ขนร่วง
ปกี สัน้ ยาวได้ถงึ 3.5 ซม. (ดขู อ้ มลู เพ่มิ เตมิ ที่ พะยอม, สกุล) ผลใช้เลี้ยงสัตวโ์ ดยเฉพาะสัตวป์ กี

มถี ิ่นกำ� เนดิ ในอนิ เดยี เนปาล ภฏู าน บงั กลาเทศ และภาคตะวนั ตกเฉยี งใตข้ องจนี สกลุ Couroupita Aubl. มี 3 ชนิด พบเฉพาะในอเมริกากลางและอเมรกิ าใต้ ชื่อ
กระจายเป็นผืนกว้างคล้ายป่าเต็งรังของไทย เปลือกมีรสฝาด ใช้รักษาแผลและ สกลุ มาจากภาษาพน้ื เมอื ง “couroupito-utou-mou”
อาการคนั จากการแพ้ ชนั และนำ�้ มนั ใชใ้ นอตุ สาหกรรมนำ้� มนั ชกั เงา สาละเปน็ ไมใ้ น เอกสารอา้ งองิ
พุทธประวัติเกี่ยวข้องกับการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ส�ำหรับต้นไม้ที่ Wee, C.Y. (2003). Tropical trees and shrubs: A selection for urban planting.
พระพทุ ธเจ้าประสูติบางครั้งมีความสบั สนระหวา่ งตน้ สาละ และตน้ โสก Saraca
asoca (Roxb.) W. J. de Wilde หรือ Asoka tree ทช่ี าวอนิ เดียนิยมใช้บชู าพระ Sun Tree Publishing Limited, USA.
และถอื วา่ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องความรกั ชอื่ สาละหรอื Sal เปน็ ภาษาฮนิ ดทู เี่ รยี กตน้
สาละ ลกั ษณะทั่วไปคล้ายกบั ต้นรงั Shorea siamensis Miq. แต่รังใบแก่สีแดง สาละลงั กา: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ออกตามลำ� ตน้ กลีบดอกมี 6 กลบี เกสรเพศผู้จำ� นวนมาก เรยี งเป็นวงรปู คุม่
เกสรเพศผมู้ ี 15 อนั เส้นแขนงใบมมี ากกวา่ และมีขนส้นั รูปดาวประปราย ดา้ นเดยี ว วงเกสรทเี่ ป็นหมันตดิ ทีโ่ คน ผลขนาดใหญ่ แหง้ ไม่แตก (ภาพ: cultivated - RP)

เอกสารอา้ งอิง สาวนำ้�ตก
FAO. (1985). Dipterocarps of South Asia. RAPA Monograph 1985/4. FAO
Regional Office for Asia and the Pacific: 198-216. Sonerila calophylla Ridl.
Hou, D. (1996). Caesalpiniaceae (Leguminosae-Caesalpinioideae) (Saraca). In ไมล้ ม้ ลุก สงู ไดถ้ ึง 30 ซม. ลำ� ต้นเกล้ียง ขอ้ ห่างกนั 2-6 ซม. ใบเรียงตรงขา้ ม
Flora Malesiana Vol. 12: 662-664.
Li, X.W., J. Li and P.S. Ashton. (2007). Dipterocarpaceae. In Flora of China ชิดกัน รปู ไข่กลับกว้าง ยาว 1.2-5 ซม. ปลายแหลม โคนกลมหรือเรียวสอบ ขอบจกั
Vol. 13: 52. ฟนั เลื่อย มขี นครยุ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 2-4 เสน้ แผน่ ใบดา้ นบนมขี นยาว มักมี
ปน้ื ขาวตามเสน้ กลางใบและเสน้ แขนงใบ ดา้ นลา่ งสแี ดงอมมว่ ง กา้ นใบสนั้ มาก
สาละ: ปา่ สาละบรเิ วณอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ชตุวันฯ คล้ายกับปา่ เตง็ รงั ของไทย แผน่ ใบเกลย้ี ง กลีบดอกบดิ เวยี น โคนกลบี หรอื ยาวได้ถงึ 2 ซม. กา้ นช่อดอกยาว 3-5.5 ซม. มี 3-9 ดอก ก้านดอกยาว 2-3 มม.
เรียงซอ้ นกนั เปน็ รปู ถว้ ย ผลมปี กี ยาว 3 ปกี ปกี สนั้ 2 ปกี (ภาพป่าสาละ: เนปาล - RP; ภาพดอกและผล: cultivated - NN) ฐานดอกยาว 4-5 มม. กลบี ดอกสชี มพอู มมว่ ง รปู รี ยาว 1-1.3 ซม. ปลายแหลมสนั้ ๆ
เกสรเพศผู้ 3 อนั อบั เรณูยาว 4-5 มม. ผลรูปทรงกระบอก ยาว 5-6 มม. มี 6 ริ้ว

พบทคี่ าบสมทุ รมลายตู อนบน และภาคใตข้ องไทยทรี่ ะนอง ยะลา ขนึ้ บนกอ้ นหนิ
ทช่ี มุ่ ชนื้ หรอื พนื้ ดนิ ทปี่ กคลมุ ดว้ ยมอส ตามทโ่ี ลง่ บนยอดเขาหรอื รมิ ลำ� ธาร ความสงู
100-600 เมตร

สาวสนม, สกลุ

Sonerila Roxb.
วงศ์ Melastomataceae

ไมล้ ม้ ลกุ หรอื ไมพ้ มุ่ เตยี้ ลำ� ตน้ สว่ นมากเปน็ สเี่ หลย่ี ม บางครง้ั เปน็ ปกี ใบเรยี ง
ตรงข้าม บางครงั้ เรียงชิดกนั ดคู ล้ายเรียงเปน็ วงทป่ี ลายกงิ่ ใบตรงขา้ มมีขนาด
เทา่ ๆ กัน หรือตา่ งกันอยา่ งชดั เจน เสน้ โคนใบขา้ งละ 1-4 เส้น หรือเส้นแขนงใบ
แบบขนนก ชอ่ ดอกแบบวงแถวคู่ (scorpioid cyme) หรอื คลา้ ยชอ่ ซรี่ ่ม ออกท่ี

420

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย สาวสวรรค์

ปลายกง่ิ หรอื ซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ ใบประดบั ขนาดเลก็ รว่ งเรว็ กลบี เลย้ี งและกลบี ดอก หรอื เหนือโคนใบเลก็ น้อยข้างละ 2-3 เสน้ ก้านใบยาว 1-7 ซม. กา้ นช่อดอกยาว
จำ� นวนอยา่ งละ 3 กลบี ฐานดอกรปู ถว้ ย เปน็ รว้ิ กลบี เลยี้ งขนาดเลก็ รปู สามเหลย่ี ม 2-9 ซม. มี 1-9 ดอก ก้านดอกยาว 2-3 มม. ฐานดอกยาว 5-6 มม. ดอกสชี มพู
ตดิ ทน กลบี ดอกสว่ นมากสชี มพหู รอื มว่ ง เกสรเพศผู้ 3 หรอื 6 อนั อบั เรณสู เี หลอื ง กลบี รูปรี รปู ไข่ หรือรปู ขอบขนาน ยาว 0.8-1 ซม. เกสรเพศผู้ 3 อนั อบั เรณยู าว
มีรูเปดิ ทป่ี ลาย 1-2 รู โคนแฉกลกึ รงั ไข่ใต้วงกลบี มี 3 ช่อง กา้ นเกสรเพศเมีย 3.5-6 มม. ผลรปู กรวย ยาว 6-7 มม. เรียบ
เรียวยาว ยอดเกสรเพศเมยี แหลม ผลแห้งแตก เมล็ดขนาดเลก็ จำ� นวนมาก
พบทพ่ี มา่ ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคเหนอื ทเี่ ชยี งใหม่ เพชรบรู ณ์ และ
สกุล Sonerila มปี ระมาณ 150 ชนิด พบในเอเชียเขตร้อน ในไทยมี 14 ชนิด ชือ่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือท่ีเลย ขึ้นตามโขดหินหรือตามต้นไม้ที่มีความชุ่มชื้นสูง
สกุลมาจากภาษามาลายาลมั ในอนิ เดยี “soneri-la” หรอื มมี อสเกาะ ในป่าดบิ เขา ความสูงถงึ ประมาณ 1700 เมตร

สาวสนม สาวสวรรค์

Sonerila griffithii C. B. Clarke Sonerila helferi C. B. Clarke
ไม้ล้มลกุ ลำ� ต้นอวบน้�ำสนั้ ๆ หรอื อยูใ่ ต้ดิน สูงไดถ้ ึง 10 ซม. บางครง้ั มปี ีกบาง ๆ ไม้พุม่ เต้ีย สูงไมเ่ กนิ 30 ซม. มีขนหนาแน่นตามก่ิง แผ่นใบท้ังสองดา้ น ช่อดอก

มขี นประปรายตามล�ำตน้ แผน่ ใบดา้ นบน กา้ นใบ และฐานดอก ใบเรยี งตรงขา้ ม ฐานดอก และผล ใบเรยี งหนาแนน่ ชว่ งปลายกงิ่ รปู ไข่ ยาว 1-3.5 ซม. ปลายแหลม
ทโี่ คนตน้ คลา้ ยออกเป็นกระจกุ ใบรูปไขห่ รือรปู รี ยาว 2.5-8 ซม. ปลายแหลม โคนแหลมหรอื มน ขอบใบจกั ฟนั เลอ่ื ยถ่ี แผน่ ใบหนา เสน้ โคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้
หรอื มน โคนกลม ขอบจกั ซฟ่ี นั มขี นครยุ แผน่ ใบดา้ นลา่ งเกลย้ี ง มกั มสี มี ว่ งอมแดง กา้ นใบเกอื บไรก้ า้ นหรอื ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. กา้ นชอ่ ดอกยาว 1-2.5 ซม. มไี ดถ้ งึ 8 ดอก
เส้นแขนงใบข้างละ 2-4 เส้น คูล่ ่างออกใกล้โคน ก้านใบยาว 0.8-2.5 ซม. ช่อดอก กา้ นดอกยาว 1-4 มม. ฐานดอกรปู ถว้ ยหรอื ทรงกระบอก ยาว 4-6 มม. ดอกสชี มพู
คลา้ ยชอ่ ซี่ร่ม มี 3-6 ดอก กา้ นชอ่ ยาว 4-7 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 3 มม. ฐานดอก กลีบรปู รี ยาว 0.9-1.2 ซม. เกสรเพศผู้ 3 อนั อบั เรณยู าว 7-8 มม. ผลรปู กรวย
รปู ขอบขนาน ยาว 4-7 มม. ดอกสชี มพู กลบี รูปรี ยาว 0.7-1.7 ซม. เกสรเพศผู้ 3 อัน ยาวประมาณ 1 ซม.
อับเรณยู าว 6-9 มม. ผลรปู กรวย ยาว 4-6 มม. เรียบหรือมสี ันตนื้ ๆ
พบทพี่ มา่ ทางตอนใต้ และภาคใตข้ องไทยทรี่ ะนอง พงั งา และนครศรธี รรมราช
พบทพี่ มา่ และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขน้ึ ตามกอ้ นหนิ ทเ่ี ปยี กชน้ื หรอื บนพนื้ ดนิ ทปี่ กคลมุ ดว้ ยมอส ตามทโ่ี ลง่ บนยอดเขา
ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขน้ึ ตามกอ้ นหนิ ทเี่ ปยี กชนื้ หรอื บนพนื้ ดนิ โดยเฉพาะ ความสงู 1200-1300 เมตร
ริมล�ำธาร ความสูง 300-1700 เมตร
เอกสารอ้างองิ
สาวสนมดงนาทาม Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae.
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 482-497.
Sonerila dongnathamensis Suddee, Phutthai & Rueangr. Suddee, S., T. Phutthai and S. Rueangruea. (2014). Sonerila dongnathamensis
ไม้ล้มลุก มหี ัวใตด้ ิน ไมม่ ีลำ� ต้น สงู 5-10 ซม. มีขนยาวหนาแน่นตามก้านใบ (Melastomataceae) a new species from Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany)
42: 81-84.
ใบออ่ น และชอ่ ดอก ใบเรยี งตรงขา้ มทโี่ คนตน้ คลา้ ยออกเปน็ กระจกุ รปู ไขก่ วา้ ง
ยาว 2-7 ซม. ปลายกลม โคนเว้าลึก ขอบจักมนมีขนครยุ เส้นใบออกจากโคน สาวนำ�้ ตก: ใบเรียงตรงข้ามชดิ กัน ขอบจกั ฟนั เลื่อย มีขนครุย แผน่ ใบด้านบนมขี นยาว มปี น้ื ขาวตามเส้นกลางใบ
ขา้ งละ 1-2 เสน้ กา้ นใบยาว 5-15 ซม. ก้านชอ่ ยาว 4-16 ซม. มี 5-12 ดอก ก้านดอก และเสน้ แขนงใบ (ภาพ: เขาหินโยก ยะลา - RP)
ยาว 1-4 มม. ฐานดอกยาว 1.5-4 มม. ดอกสชี มพูอมม่วง กลบี รูปรีหรือรปู ไข่ ยาว
3-5 มม. ปลายกลีบมีขนแข็งยาว เกสรเพศผู้ 3 อนั อบั เรณยู าวประมาณ 5 มม. สาวสนม: ใบเรียงตรงขา้ มท่ีโคนต้นคล้ายออกเป็นกระจกุ ช่อดอกคล้ายชอ่ ซี่ร่ม (ภาพ: ดอยเชียงดาว เชยี งใหม่ - PR)
ผลรปู กรวย ยาว 5-7 มม. ผวิ เรยี บ
สาวสนมดงนาทาม: มีขนยาวหนาแน่นตามก้านใบ ใบอ่อน และช่อดอก ใบเรียงตรงข้ามทโี่ คนตน้ คล้ายออกเปน็ กระจกุ
พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคตะวันออกท่ีผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ปลายกลม โคนเวา้ ลึก ก้านใบและก้านชอ่ ยาว ปลายกลีบดอกมีขนแขง็ ยาว (ภาพ: ผาแตม้ อบุ ลราชธานี - TP)
ขึ้นหนาแนน่ ตามหนิ ทรายในป่าเตง็ รงั ความสูง 200-250 เมตร

สาวสนมใบเด่ยี ว

Sonerila integrifolia Stapf
ไมล้ ้มลุกหรอื ไม้พุ่มเตี้ย สูงไดถ้ ึง 40 ซม. มีขนยาวสนี ำ�้ ตาลตามลำ� ต้น ก้านใบ

และชอ่ ดอก ใบตรงขา้ มขนาดไมเ่ ทา่ กนั ดคู ลา้ ยเรยี งเวยี น ใบใหญร่ ปู ใบหอก ยาว
12-20 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเรยี วจรดกา้ นใบ เปน็ ตงิ่ ขนาดเลก็ เบยี้ วเลก็ นอ้ ย
ขอบเรยี บหรอื จกั เปน็ ขนแขง็ หา่ ง ๆ มกั มจี ดุ สขี าวเปน็ วงกระจาย ใบเลก็ รปู ไขก่ วา้ ง
ยาว 0.5-1 ซม. เส้นใบออกจากโคนข้างละ 2 เส้น เส้นนอกบางคลา้ ยเสน้ ขอบใน
กา้ นใบยาว 1.5-3.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ สัน้ ๆ คล้ายชอ่ ซี่ร่ม ก้านช่อยาว
1-2 ซม. มี 15-20 ดอก ดอกไรก้ ้านหรือมีกา้ นสนั้ ๆ มีขนตอ่ มประปราย ฐานดอกยาว
4-6 มม. มีขนประปราย ดอกสีชมพู กลบี รปู รีหรือรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 6 มม.
เกสรเพศผู้ 3 อนั อบั เรณยู าว 2-3 มม. ผลรปู กรวย ยาว 3.5-5 มม. มตี มุ่ เลก็ ๆ กระจาย

พบทคี่ าบสมทุ รมลายตู อนบน และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทนี่ ราธวิ าส ขน้ึ ตาม
ปา่ ดิบช้ืน ความสูงถงึ ประมาณ 200 เมตร

สาวสยาม

Sonerila violifolia Hook. f. ex Triana
ไมล้ ม้ ลกุ อวบนำ�้ มหี วั ใตด้ นิ ลำ� ตน้ สงู 10-20 ซม. มขี นแขง็ ยาวสนี ำ้� ตาลแดง

ประปราย โดยเฉพาะตามขอ้ ขนยาว 4-6 มม. ใบเรยี งตรงขา้ ม เรยี งหนาแน่น
ช่วงปลายกิง่ รูปไข่ ยาว 3-11 ซม. ปลายแหลมหรือมน โคนรปู ล่ิมหรือมน ขอบจัก
ฟนั เลอ่ื ย แผน่ ใบดา้ นบนมขี นแขง็ เอนประปราย ดา้ นลา่ งมกั มสี ชี มพอู มมว่ ง เกลย้ี ง
ใบขนาดเลก็ เสน้ แขนงใบแบบขนนก ใบขนาดใหญเ่ สน้ แขนงใบออกจากโคนใบ

421

สำ� เภา สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

สาวสนมใบเดยี่ ว: มขี นยาวสีนำ้� ตาลตามลำ� ตน้ และกา้ นใบ ใบตรงขา้ มขนาดไมเ่ ท่ากนั ดูคล้ายเรียงเวียน ใบรูปใบหอก
มักมจี ดุ สขี าวเป็นวงกระจาย เสน้ ใบออกจากโคนข้างละ 2 เส้น เส้นนอกบางคล้ายเส้นขอบใน (ภาพ: นราธิวาส - MP)

สาวสยาม: ลำ� ตน้ อวบนำ้� มขี นแขง็ ยาวสนี ำ�้ ตาลแดงประปรายตามล�ำตน้ แผน่ ใบด้านบนมีขนแข็งเอนประปราย ส�ำเภา: ใบเรยี งสลับระนาบเดยี ว ดอกขนาดเล็ก ไมม่ ีกลีบดอก ผลแห้งแตก มีขนแข็งหนาแนน่ ปลายขนมีเงย่ี ง
(ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชียงใหม่ - RP) เมลด็ มีเย่ือหมุ้ สีแดง (ภาพดอกเพศผ้:ู มะขาม จนั ทบรุ ี - PK; ภาพดอกเพศเมยี : ทงุ่ ค่าย ตรงั - SSi; ภาพผล: ชมุ พร - RP)

สาวสวรรค์: มีขนหนาแนน่ ตามกิง่ แผ่นใบ ชอ่ ดอก และฐานดอก ใบขนาดเลก็ เรียงหนาแน่นช่วงปลายกง่ิ ช่อดอก สำ�เภาทอง
ออกเป็นกระจกุ ตามซอกใบใกลป้ ลายก่ิง อับเรณโู คนแฉกลกึ (ภาพ: เขาเหมน นครศรีธรรมราช - RP)
Radermachera boniana Dop
สำ�เภา วงศ์ Bignoniaceae

Chaetocarpus castanocarpus (Roxb.) Thwaites ไมต้ ้น สงู 10-15 ม. ใบประกอบ 2 ชัน้ ยาว 20-25 ซม. ใบประกอบยอ่ ยมี
วงศ์ Peraceae 2-3 คู่ ใบย่อยมี 1-2 คู่ รูปรี ยาว 2-8 ซม. สองดา้ นมกั ไมเ่ ทา่ กนั ปลายเรียวแหลม
ยาว 0.5-1 ซม. โคนแหลม แผน่ ใบดา้ นลา่ งมตี อ่ มประปราย กา้ นใบยอ่ ยยาว 0.3-1 ซม.
ชือ่ พ้อง Adelia castanocarpa Roxb. ใบปลายยาวไดถ้ งึ 3 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสนั้ ๆ ออกตามล�ำตน้
หรอื กิง่ ยาว 5-12 ซม. กลีบเลย้ี งติดกันเปน็ รูปถว้ ย ยาว 5-6 มม. ปลายเป็นแฉกตืน้ ๆ
ไมต้ น้ อาจสงู ไดถ้ งึ 45 ม. แยกเพศตา่ งตน้ หใู บรปู ขอบขนาน เบยี้ ว ยาวประมาณ ไมเ่ ทา่ กนั ดา้ นนอกมตี อ่ ม ดอกสเี หลอื งสด กลบี รปู ปากเปดิ หลอดกลบี รปู กรวย ยาว
5 มม. รว่ งเร็ว ใบเรียงสลับระนาบเดียว รูปไข่ ยาว 3.5-18.5 ซม. ดอกออกเป็นกระจกุ ประมาณ 4 ซม. โคนแคบ ปลายบานออก ปลายเป็นแฉกกลม ๆ สัน้ ๆ ฝักรปู แถบ
หนาแนน่ มีขนหยาบแข็ง ดอกขนาดเล็กสเี ขยี วอมเหลือง ดอกเพศเมยี ใหญก่ วา่ บดิ งอ ยาว 35-45 ซม. ผนงั กน้ั บาง (ดูข้อมูลเพ่ิมเติมที่ กาซะลองค�ำ, สกุล)
ดอกเพศผู้ กลบี เลยี้ ง 4 กลีบ รปู ไขก่ ว้าง ยาวประมาณ 3 มม. ไมม่ กี ลบี ดอก
จานฐานดอกรปู วงแหวน จกั มนในดอกเพศผู้ จกั ซฟี่ นั ถใี่ นดอกเพศเมยี สชี มพหู รอื แดง พบท่ีเวยี ดนามตอนบน และภาคเหนอื ของไทยทด่ี อยตุง จงั หวัดเชยี งราย ข้นึ
เกสรเพศผูม้ ี 8 อนั เชอื่ มติดกนั 3-5 มม. มีขนปกคลมุ ก้านชูอบั เรณยู าว 0.4-1 มม. บนเขาหินปนู ในปา่ ดบิ เขา ความสูงถึงประมาณ 1300 เมตร
รังไข่มี 3 ช่อง แตล่ ะช่องมีออวลุ 1 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมีย 3 อนั ยาว 0.3-1.2 มม.
ยอดเกสรแยก 2 แฉก ยาว 1-2 มม. ผลแหง้ แตก เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 0.8-1.8 ซม. เอกสารอ้างอิง
สเี หลืองอมเขียว เปลย่ี นเป็นสีน�้ำตาล มขี นแข็งหนาแนน่ ปลายขนมเี งีย่ ง เมลด็ รูปไข่ van Steenis, C.C.C.J. (1976). Conspectus of the genera Radermachera and
สีดำ� ยาวประมาณ 5 มม. มีเยอ่ื หุ้มสีแดงชว่ งปลาย Fernandoa in Indo-Malesia (Bignoniaceae). Blumea 23: 121-138.

พบทศี่ รลี งั กา อนิ เดยี หมเู่ กาะอนั ดามนั พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี คาบสมทุ รมลายู ส�ำเภาทอง: ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนงสน้ั ๆ ออกตามกิง่ กลบี ดอกรปู ปากเปดิ หลอดกลีบรปู กรวย โคนแคบ
สมุ าตรา และบอรเ์ นยี ว ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามรมิ ลำ� ธาร ชายปา่ พรุ ปา่ ชายหาด ปลายบานออก เป็นแฉกกลม ๆ ส้นั ๆ ฝักรูปแถบ บิดงอ (ภาพ: ดอยตุง เชียงราย - RP)
ป่าดบิ แล้ง และปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ถงึ ประมาณ 500 เมตร
สำ�มะงา
สกลุ Chaetocarpus Thwaites เดมิ อยูภ่ ายใตว้ งศ์ Euphorbiaceae มี 10-11 ชนิด
พบทวั่ ไปในเขตร้อน ในไทยมีชนดิ เดียว ช่ือสกุลมาจากภาษากรกี “chaite” ขน Volkameria inermis L.
แขง็ และ “kapos” ผล ตามลักษณะผลทมี่ ีขนแขง็ หนาแน่น วงศ์ Lamiaceae
เอกสารอ้างองิ
van Welzen, P.C. (2005). Euphorbiaceae (Chaetocarpus). In Flora of Thailand ชือ่ พ้อง Clerodendrum inerme (L.) Gaertn.

Vol. 8(1): 152-155. ไมพ้ มุ่ แตกกง่ิ ตำ�่ มขี นสน้ั นมุ่ ตามกงิ่ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง กา้ นชอ่ ดอก และกลบี เลย้ี ง
ด้านนอก ใบเรียงตรงขา้ ม รปู รถี งึ รูปใบหอก หรอื แกมรูปไข่ ยาว 2-8 ซม. ปลาย
แหลมมน โคนเรียวสอบหรอื มน เสน้ แขนงใบขา้ งละ 6-8 เส้น เรียงจรดกันเป็น
เสน้ ขอบใน ก้านใบยาวไดถ้ งึ 1 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงตามซอกใบ
ใกลป้ ลายกง่ิ กา้ นช่อยาว 1.5-4.5 ซม. ช่อแขนงสว่ นมากมี 3 ดอก ใบประดบั
รูปแถบ ร่วงเร็ว กลีบเล้ียงรูปถ้วย ปลายจักตื้น ๆ ไม่ชัดเจน มีต่อมกระจาย
ขยายในผลเพยี งเลก็ นอ้ ย ดอกรปู คลา้ ยดอกเขม็ สขี าว หลอดกลบี ดอกเรยี วแคบ
ยาว 1.5-3 ซม. ปลายแยกเปน็ 5 กลีบ เท่า ๆ กัน กลีบรปู รี ยาวประมาณ 7 มม.
เกสรเพศผยู้ น่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอก อบั เรณยู าว 2-3 มม. รงั ไขเ่ กลย้ี ง ผลรปู ไขก่ ลบั
หรือกลม ยาวประมาณ 1 ซม.

422

สารานุกรมพืชในประเทศไทย สิงโตหนวดยาว

พบในเอเชยี ใต้ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ขนึ้ ชอ่ ซรี่ ม่ แผใ่ นแนวรศั มคี รง่ึ วงกลม กา้ นชอ่ ยาวประมาณ 10 ซม. มปี ระมาณ 10 ดอก
ตามชายฝง่ั ทะเล และปา่ ชายหาด ความสูงไม่เกิน 200 เมตร ใบ ผล และเมล็ดมี ใบประดบั รปู แถบ ดอกสสี ม้ อมเหลอื ง กา้ นดอกยาวประมาณ 1 ซม. กลบี เลยี้ งบน
สรรพคุณแกอ้ าการอาหารเป็นพิษ โดยเฉพาะจากอาหารทะเล รปู ไข่ ยาวประมาณ 5 มม. มเี สน้ ตามขวางสมี ว่ งแดง กลบี คขู่ า้ งยาว 1.2-1.5 ซม.
กลีบดอกรูปขอบขนาน ขอบกลีบเช่อื มติดกันตามยาว กลีบปากขนาดเลก็ รูปไข่
สกลุ Volkameria L. เคยถกู ยุบรวมภายใตส้ กลุ Clerodendrum ท่ีช่อดอกสว่ นมาก แกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลม โคง้ ลง เสา้ เกสรสนั้ ปลายมรี ยางคย์ นื่ ยาว กา้ นดอก
ออกตามปลายกงิ่ และกลีบเลี้ยงขยายในผล มี 25-30 ชนดิ สว่ นมากพบใน และรังไข่คล้ายรปู กรวย โคนก้านสีมว่ งแดง
อเมรกิ าเขตรอ้ น แอฟริกา และมาดากัสการ์ พบในเอเชยี เพียงชนดิ เดยี ว ชอื่ สกุล
ต้ังตามนกั พฤกษศาสตรช์ าวเยอรมัน Johann George Volckamer (1662-1744) พบทภี่ มู ภิ าคมาเลเซยี และภาคใตข้ องไทยทเี่ ขาหลวง จงั หวดั นครศรธี รรมราช
เอกสารอา้ งอิง ขน้ึ ตามปา่ ดิบเขา ความสงู ถึงประมาณ 1800 เมตร
Chen, S.L. and M.G. Gilbert. (1994). Verbenaceae (Clerodendrum inerme). In
สงิ โตพ่ทู อง
Flora of China Vol. 17: 42.
Leeratiwong, C., P. Chantaranothai and A. Paton. (2011). A synopsis of the Bulbophyllum ovatum Seidenf.
กล้วยไมอ้ ิงอาศัย ลำ� ลูกกลว้ ยรปู ไข่แกมรูปขอบขนาน เรียงห่าง ๆ กนั ใบรปู ไข่
genus Clerodendrum L. (Lamiaceae) in Thailand. Tropical Natural History
11(2): 177-211. แกมรปู ขอบขนาน ยาว 5-6 ซม. ปลายมน โคนเรยี วสอบ ช่อดอกออกเปน็ กระจุก
ทปี่ ลายชอ่ เรยี งในแนวรศั มี โคง้ ลงเลก็ นอ้ ย ชอ่ ยาว 3-4.5 ซม. มี 3-6 ดอก ใบประดบั
สำ� มะงา: ใบเรยี งตรงขา้ ม ดอกรูปคล้ายดอกเข็ม หลอดกลีบเรยี วแคบ เกสรเพศผู้ ยื่นพน้ ปากหลอดกลบี ดอก รปู แถบ ดอกสขี าวแกมเหลอื งหรอื สเี หลืองแกมสม้ กลบี เลย้ี งรปู ใบหอกแกมรูปไข่
ผลรูปไขก่ ลับ กลีบเลยี้ งขยายในผล (ภาพ: บางสะพาน ประจวบครี ขี นั ธ์ - RP) ปลายแหลม ยาวเทา่ ๆ กนั ยาว 0.7-1 ซม. กลบี ดอกรปู ไข่กวา้ ง ยาว 2.5-3.5 มม.
ปลายแหลม กลบี ปากรูปไข่ ยาวประมาณ 1.5 มม. อวบหนา ปลายมนโค้งลง
สิงโต, สกลุ เสา้ เกสรสัน้ ปลายมีรยางคค์ ล้ายเขา กา้ นดอกและรังไขเ่ รยี วแคบ ส้ัน ๆ

Bulbophyllum Thouars พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคใตท้ เ่ี ขาหลวง จงั หวดั นครศรธี รรมราช ขนึ้ ตาม
วงศ์ Orchidaceae ป่าดิบเขา ความสูง 1300-1500 เมตร

กลว้ ยไมอ้ งิ อาศยั มเี หงา้ ยาว ลำ� ลกู กลว้ ยมกั เรยี งแถวเดยี ว สว่ นมากมใี บเดยี ว สิงโตสยาม
และออกทป่ี ลายล�ำลกู กลว้ ย ใบพบั จบี ชอ่ ดอกออกท่ีโคนลำ� ลูกกลว้ ยหรือเหง้า
ช่อดอกแบบช่อกระจะหรือช่อซ่ีร่ม มีหน่ึงหรือหลายดอก ใบประดับขนาดเล็ก Bulbophyllum lobbii Lindl.
กลีบเลยี้ ง 3 กลบี ขนาดเท่า ๆ กัน หรือกลบี คู่ขา้ งขนาดใหญ่กวา่ กลบี บน กลบี คู่ข้าง
แยกหรอื เชอ่ื มตดิ กนั โคนเชอื่ มตดิ โคนเสา้ เกสรเปน็ รปู คางสน้ั ๆ กลบี ดอกแยกกนั ช่อื พอ้ ง Bulbophyllum siamense Rchb. f.
สว่ นมากมขี นาดเลก็ กวา่ กลบี เลยี้ ง กลบี ปากตดิ ทป่ี ลายโคนเสา้ เกสร พบั งอกลบั
เสา้ เกสรมปี กี คลา้ ยเขา อบั เรณสู ว่ นมากมี 2 ชอ่ ง กลมุ่ อบั เรณมู ี 4 กลมุ่ ไมม่ รี ยางค์ กลว้ ยไมอ้ งิ อาศยั ลำ� ลกู กลว้ ยรปู ไข่ ยาว 3-5 ซม. เรยี งหา่ งๆ กนั ใบรปู ขอบขนาน
ฝกั แห้งแตก หรอื รูปใบหอก ยาว 15-20 ซม. ปลายแหลม โคนเรยี วสอบ แผน่ ใบหนา ช่อดอกออก
ตามข้อของเหง้า มดี อกเดียว กา้ นดอกยาวได้ถงึ 10 ซม. ดอกสีเหลอื งครมี มี
สกุล Bulbophyllum วงศ์ย่อย Epidendroideae เผ่า Podochileae มปี ระมาณ เส้นสมี ่วงแดงตามยาว กลีบเลย้ี งบนรปู ใบหอก ยาวได้ถงึ 5 ซม. กลบี คูข่ ้างขนาด
1900 ชนิด ส่วนใหญพ่ บในเขตรอ้ น ในไทยมมี ากกวา่ 165 ชนิด ชอื่ สกุลมาจาก เทา่ ๆ กลบี บน โคนหยักเวา้ ปลายกลบี ช้ลี ง กลบี ดอกกลีบข้างแคบและสั้นกวา่
ภาษากรีก “bolbos” หัว และ “phyllon” ใบ ตามลกั ษณะล�ำ ลกู กลว้ ยที่ชอ่ ดอก กลบี เลยี้ งเลก็ นอ้ ย กางออก กลบี ปากสเี หลอื งรปู สามเหลย่ี ม ยาวประมาณ 1 ซม.
และใบออกจากโคนหรอื ปลายล�ำ ลูกกล้วย มจี ดุ ประสมี ว่ งแดงกระจาย กลบี มว้ น ปลายแหลมชล้ี ง โคนกลบี มแี ตม้ สเี หลอื งเขม้
เส้าเกสรแผก่ วา้ ง สีเหลอื ง มเี สน้ สมี ่วงแดงตามยาว
สิงโตขยุกขยยุ
พบท่อี ินเดีย พมา่ ภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู สมุ าตรา ชวา บอรเ์ นยี ว
Bulbophyllum dayanum Rchb. f. และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามคบไม้ในป่าดิบเขาและป่าดบิ ชืน้ ความสงู
กลว้ ยไมอ้ งิ อาศัย ล�ำลกู กล้วยรปู ไข่ ยาวประมาณ 3 ซม. เรยี งห่าง ๆ ใบรูปไข่ ถึงประมาณ 1400 เมตร

ยาวไดถ้ งึ 10 ซม.ปลายแหลมมน เวา้ ตน้ื โคนรปู ลม่ิ แผน่ ใบหนา สเี ขยี วอมนำ�้ ตาลมว่ ง สงิ โตหนวดยาว
ช่อดอกสนั้ ออกจากเหง้า มี 2-5 ดอก ก้านดอกหนา ยาว 1.5-2 ซม. กลีบเลย้ี ง
สเี ขยี วอมนำ้� ตาลแดงหรอื มว่ ง ขอบมขี นครยุ สเี หลอื ง ยาวประมาณ 5 มม. กลบี เลยี้ ง Bulbophyllum vaginatum (Lindl.) Rchb. f.
ขนาดเท่า ๆ กัน รูปรี ยาวประมาณ 2 ซม. กลบี ดอกรปู ขอบขนาน แคบและสน้ั กวา่
กลบี เลีย้ ง สีเข้มกวา่ ยาว 0.7-1 ซม. กลีบปากรปู รี ยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก สอี อ่ นกว่า ช่ือพ้อง Cirrhopetalum vaginatum Lindl.
ขอบจักซฟ่ี นั ตื้น ๆ มีต่ิงทโี่ คน โค้งงอ แผ่นกลบี มปี ุ่มกระจาย มสี ันยาว 2 สัน เสา้ เกสร
สเี หลอื ง กล้วยไม้องิ อาศยั ล�ำลูกกลว้ ยรูปไข่ ใบรูปรี ยาว 4-5 ซม. แผน่ ใบหนา ปลาย
เวา้ ตน้ื โคนมน ชอ่ ดอกยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ดอกออกแนน่ ทปี่ ลายชอ่ ใบประดบั รปู ใบหอก
พบที่พมา่ และกัมพชู า ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคเหนอื ท่พี ษิ ณโุ ลก ดอกสีเหลืองอ่อนถึงอมสม้ กลีบเล้ยี งยาว 5-6 ซม. กลบี บนรปู ขอบขนานแกมรูปไข่
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเ่ี ลย ภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ ตี่ ราด และภาคใตท้ ร่ี ะนอง ปลายแหลม กลบี คขู่ า้ งคลา้ ยหนวดยน่ื ยาวกวา่ 5 ซม. ขอบมขี น กลบี ดอกรปู รกี วา้ ง
กระบ่ี ขนึ้ ตามคบไม้ในปา่ ดบิ ชนื้ และป่าดิบเขา ความสูง 500-1300 เมตร ยาวประมาณ 2 มม. ขอบมขี น กลีบปากรูปไข่ ยาวเท่า ๆ กลีบดอก อวบหนา
ขอบมขี น ปลายมน โคง้ ลง เสา้ เกสรสนั้ ปลายมรี ยางคย์ าว กา้ นดอกและรงั ไขร่ ูป
สิงโตพัดสที อง ทรงกระบอกโคง้

Bulbophyllum skeatianum Ridl. พบท่คี าบสมุทรมลายู สมุ าตรา ชวา บอร์เนยี ว และภาคใตข้ องไทยทช่ี มุ พร
กลว้ ยไมอ้ งิ อาศยั ลำ� ลกู กลว้ ยรปู หยดนำ้� ยาว 1-1.5 ซม. เรยี งหา่ งกนั ประมาณ สุราษฎร์ธานี นครศรธี รรมราช สตลู และนราธิวาส ข้นึ ตามทโี่ ล่งหรอื ท่มี แี สงร�ำไร
ในปา่ ดิบช้ืน ความสงู ถึงประมาณ 600 เมตร
1 ซม. ใบรปู แถบ ยาว 5-6 ซม. ปลายมน โคนเรยี วสอบ แผน่ ใบบาง ชอ่ ดอกคลา้ ย
เอกสารอา้ งอิง
Chen, X. and J.J. Vermeulen. (2009). Orchidaceae (Bulbophyllum). In Flora of
China Vol. 25: 404.
Seidenfaden, G. (1979). Orchid genera in Thailand VIII. Bulbophyllum Thou.
Dansk Botanisk Arkiv 33(3): 1-228.
Seidenfaden, G., J.J. Wood and R.E. Holttum. (1992). The orchids of peninsular
Malaysia and Singapore. Fredensborg, Published in association with the Royal
Botanic Gardens, Kew & Botanic Gardens, Singapore (by) Olsen & Olsen.

423

สิรินธรวัลลี สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

สงิ โตขยกุ ขยยุ : ใบรูปไข่ แผน่ ใบหนา สเี ขียวอมนำ้� ตาลม่วง ขอบกลบี เลยี้ งมขี นครยุ สีเหลอื ง แผน่ กลีบปากมปี มุ่ ยาว สริ นิ ธรวัลลี
ท่ัวไป (ภาพ: ภูหลวง เลย - PK)
Phanera sirindhorniae (K. Larsen & S. S. Larsen) Mackinder & R. Clark
สิงโตพดั สที อง: ชอ่ ดอกคลา้ ยช่อซร่ี ม่ แผใ่ นแนวรศั มคี รึง่ วงกลม ก้านดอกยาว (ภาพ: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - NT) วงศ์ Fabaceae

ชอ่ื พ้อง Bauhinia sirindhorniae K. Larsen & S. S. Larsen

ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ มอื จบั มว้ นงอ มขี นสนี ำ้� ตาลแดงหนาแนน่ ตามกง่ิ ออ่ น ชอ่ ดอก
ใบประดบั ฐานดอก กลบี เลีย้ งและกลีบดอกด้านนอก รงั ไข่ กา้ นเกสรเพศเมยี
และผล ใบรูปไขก่ วา้ ง ยาว 5-18 ซม. ปลายแฉกตื้น ๆ แผ่นใบหนา เสน้ ใบ 9-11 เส้น
ก้านใบยาว 2-6.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ แกนช่อยาวไดถ้ งึ 10 ซม. กา้ นดอกยาว
1.5-2 ซม. ตาดอกรปู รี ปลายแหลม ใบประดับรปู ใบหอก ยาวประมาณ 5 มม.
ฐานดอกเรยี วแคบ ยาว 1-1.5 ซม. มรี ้ิว กลบี เล้ียงยาวประมาณ 1 ซม. ปลายแยก
เป็น 5 แฉกตื้น ๆ แยกจรดโคนด้านเดียว กลบี ดอกรูปใบหอก ยาว 1-1.3 ซม.
รวมกา้ นกลบี สน้ั ๆ กา้ นชอู บั เรณแู ละอบั เรณเู กลย้ี ง เกสรเพศผทู้ สี่ มบรู ณส์ ว่ นมาก
มี 3 อัน ทีเ่ ปน็ หมัน 2 อันเปน็ ต่งิ ขนาดเลก็ รังไข่ยาว 0.7-1 ซม. มกี า้ นสั้น ๆ
กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 0.7-1 ซม. ฝกั รปู ใบหอก แบน ยาว 15-18 ซม. ปลายมตี ง่ิ แหลม
มี 5-7 เมลด็ แบน เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1.5-2 ซม. (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ท่ี แสลงพนั , สกลุ )

พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนท่ีหนองคาย
บงึ กาฬ นครพนม สกลนคร ขึ้นตามชายป่าดิบแลง้ ความสงู 150-200 เมตร คำ� ระบุ
ชนิดตั้งเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
มชี ื่อพนื้ เมอื งวา่ สามสิบสองประดง เนื้อไมม้ สี รรพคณุ เป็นยาบำ� รงุ กำ� ลัง แก้โรค
ประดงต่าง ๆ

เอกสารอ้างองิ
Larsen, K. and S.S. Larsen. (1997). Bauhinia sirindhorniae sp. nov. (Leguminosae-
Caesalpinioideae) a remarkable new species from Thailand. Nordic Journal of
Botany 17: 113.

สงิ โตพ่ทู อง: ชอ่ ดอกออกเป็นกระจกุ ที่ปลายชอ่ เรยี งในแนวรัศมี (ภาพ: เขาหลวง นครศรีธรรมราช - NT)

สิงโตสยาม: ช่อดอกมีดอกเดยี ว ออกตามข้อของเหง้า กลบี เล้ยี งและกลบี ดอกมเี ส้นสีมว่ งแดงจ�ำนวนมาก เส้าเกสร สริ นิ ธรวัลลี: มีมือจับ มว้ นงอ มขี นสีน�้ำตาลแดงหนาแนน่ กระจาย ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ กลบี เลี้ยงแยกจรดโคน
แผก่ ว้างสีเหลอื ง (ภาพซา้ ย: เขาใหญ่ ปราจีนบรุ ี - MP; ภาพขวา: ภหู ลวง เลย - PK) ด้านเดยี ว เกสรเพศผทู้ ่สี มบูรณ์ส่วนมากมี 3 อัน (ภาพ: cultivated - RP)

สงิ โตหนวดยาว: ดอกออกแนน่ ท่ีปลายช่อ กลบี เลยี้ งคขู่ ้างคลา้ ยหนวดยื่นยาว (ภาพ: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - NT) สสี ม

Actephila collinsiae Hunter ex Craib
วงศ์ Phyllanthaceae

ไมพ้ มุ่ สงู 1-2 ม. แยกเพศรว่ มตน้ กง่ิ เปน็ เหลยี่ มมขี นประปราย หใู บขนาดเลก็
รว่ งเรว็ ใบเรยี งคลา้ ยเปน็ วงรอบขอ้ รปู รี รปู ไข่ หรอื รปู ใบหอกกลบั ยาว 8-15.5 ซม.
ปลายมนหรอื แหลมมน แผน่ ใบหนา บางครง้ั มนี วลดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ
สน้ั ๆ ออกตามซอกใบใกลป้ ลายกง่ิ ดอกเพศเมียอยดู่ ้านล่าง หรอื ออกเดยี่ ว ๆ
กลีบเลีย้ ง 5 กลบี เรียงซ้อนเหล่อื ม ดอกสีเหลืองอ่อน ขนาดเลก็ มาก มี 5 กลีบ
ดอกเพศผู้กา้ นดอกส้นั ยาวประมาณ 5 มม. กลบี เลี้ยงรปู ไข่ ยาวประมาณ 5 มม.
ดา้ นนอกมีขนประปราย เกสรเพศผู้ 3-6 อนั ตดิ บนจานฐานดอก ดอกเพศเมีย
กา้ นดอกยาว 1.5-4 ซม. กลบี เลย้ี งรปู รหี รอื รปู ไข่ ยาวประมาณ 6 มม. ปลายกลบี กลม
หรอื มน ขยายในผลยาวไดถ้ ึง 1.2 ซม. รังไข่ 3 ชอ่ ง มขี นก�ำมะหย่ี ก้านเกสรเพศเมยี
3 อัน ยาวประมาณ 3 มม. ตดิ ทน ยอดเกสรจกั 2 พตู ้นื ๆ ผลแหง้ แตกตามยาว
รูปรีกวา้ ง ยาวประมาณ 2 ซม. กลบี เล้ยี งขยายยาวได้ถงึ 1.2 ซม. มเี มลด็ เดยี ว
คลา้ ยรปู สามเหลยี่ ม

พชื ถิ่นเดียวของไทย พบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคตะวันตกเฉยี งใต้ทอ่ี ทุ ัยธานี
เพชรบุรี ประจวบครี ขี ันธ์ ขึ้นตามเขาหินปูนทีแ่ ห้งแล้ง ความสงู 100-300 เมตร

424

สารานุกรมพืชในประเทศไทย เสมด็

สกลุ Actephila Blume เดิมอยู่ภายใตว้ งศ์ Euphorbiaceae มีประมาณ 20 ชนดิ
พบในเอเชยี เขตรอ้ นและออสเตรเลีย ในไทยมี 3 ชนิด อกี 2 ชนดิ คอื พุทธมลุ ี
A. ovalis (Ridl.) Gage ทก่ี ลบี เลยี้ งขยายในผลเช่นเดียวกัน แตใ่ บไมม่ ีนวลดา้ นล่าง
ปลายใบแหลมยาว และอโี ส A. excelsa (Dalzell) Müll. Arg. กลีบเลย้ี งไม่ขยาย
ในผล ซึ่งแยกเปน็ var. javanica (Miq.) Pax & K. Hoffm. กา้ นใบยาว ชือ่ สกลุ มา
จากภาษากรีก “akte” ชายฝ่งั ทะเล และ “philos” ชอบ ตามถนิ่ ทีอ่ ย่ขู องบางชนิด
เอกสารอา้ งองิ
Chayamarit, K. (2005). Euphorbiaceae (Actephila). In Flora of Thailand Vol.

8(1): 35-40.

สีสม: ปลายใบแหลมมน เกสรเพศผูต้ ดิ บนจานฐานดอก กลบี เลีย้ งขยายในผล (ภาพ: เขานางพันธุรัต เพชรบุรี - SSi) สเี สียดนำ้� : ใบเรียงเวยี น โคนมนหรือเวา้ ตน้ื เส้นโคนใบขา้ งละ 1 เส้น ขอบจกั ผลมปี ีกคล้ายรปู พีระมดิ กลบั ดา้ น
(ภาพ: พระนครศรอี ยธุ ยา - PT)
พุทธมุลี: ปลายใบแหลมยาว แผน่ ใบด้านล่างไม่มนี วล กลบี เลี้ยงขยายในผล (ภาพซา้ ยบนและภาพขวา: ชมุ พร - RP);
อีโส: กลบี เล้ียงไมข่ ยายในผล ก้านใบยาว (ภาพซ้ายลา่ ง: เขาคิชฌกูฏ จันทบุรี - PK) สวุ รรณหงส์

สีเสียดน้�ำ Pommereschea lackneri Wittm.
วงศ์ Zingiberaceae
Mallotus plicatus (Müll. Arg.) Airy Shaw
วงศ์ Euphorbiaceae ไม้ลม้ ลุก สูง 50-70 ซม. ใบรูปขอบขนาน รปู ใบหอก หรือแกมรูปไข่ ยาว
8-25 ซม. ใบช่วงล่างขนาดเล็ก ปลายแหลมยาวหรือยาวคล้ายหาง โคนใบรูป
ชอ่ื พอ้ ง Coccoceras plicatum Müll. Arg. หวั ใจ พูแยกชัดเจน มกั เบี้ยว แผ่นใบดา้ นลา่ งมีขนสน้ั นุ่ม กา้ นใบส่วนมากยาว
4-8 ซม. ลิ้นใบแยก 2 แฉก ยาว 4-6 มม. ช่อดอกแบบช่อเชงิ ลด ออกทีป่ ลายกิง่
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. มขี นหรอื ขนรปู ดาว และเกลด็ ตอ่ มสเี หลอื ง ต้งั ข้นึ ยาว 8-12 ซม. ใบประดับรูปใบหอก ยาว 1.5-2.5 ซม. ดอกสีเหลอื งอมส้ม
หรือนำ้� ตาลแดงกระจาย ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรูปไขก่ ลบั ยาว 5.5-16 ซม. หลอดกลบี เลย้ี งยาวประมาณ 1.5 ซม. แยกจรดโคนดา้ นเดยี ว ปลายจกั ตน้ื ๆ 2 แฉก
ปลายมนหรอื แหลมยาว โคนมนหรอื เวา้ ตนื้ ขอบจกั มนมตี อ่ ม เสน้ โคนใบขา้ งละ หลอดกลบี ดอกยาว 2-2.5 ซม. กลบี รปู ใบหอก กลบี กลางมขี นาดใหญก่ วา่ กลบี คขู่ า้ ง
1 เส้น กา้ นใบยาว 1.2-4 ซม. ชอ่ ดอกคล้ายช่อกระจกุ แยกแขนง มี 1-3 ช่อ ไมม่ ี ยาว 1-1.3 ซม. กลบี ปากหุม้ กา้ นชอู บั เรณู เรียวแหลม ยาวประมาณ 1.5 ซม.
กลบี ดอก ดอกเส้นผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 4 มม. ช่อดอกเพศผู้ยาวได้ถึง 20 ซม. ปลายเวา้ ลกึ 2 พู ไมม่ แี ผน่ เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั ดา้ นขา้ ง กา้ นชอู บั เรณรู ปู แถบ โคง้
ดอกเพศผอู้ อกเปน็ กระจกุ 3-7 ดอก กา้ นดอกยาวประมาณ 2.5 มม. กลบี เลย้ี งสเี หลอื ง ยาว 3.5-4 ซม. อบั เรณูยาว 7-8 มม. แกนอับเรณูไม่มีรยางค์ ก้านเกสรเพศเมีย
หรอื นำ้� ตาลอมแดง มี 3-4 กลีบ รูปไข่ เกสรเพศผู้ 20-25 อัน ดอกเพศเมียออกเดีย่ ว ๆ รปู เสน้ ดา้ ย ยอดเกสรเพศเมยี รปู ถว้ ย มขี นครยุ รงั ไข่ 3 ชอ่ ง ออวลุ จำ� นวนมาก เรยี ง
กลบี เลย้ี ง 5-6 กลบี ผลแหง้ ไมแ่ ตก มี 3 ปกี คลา้ ยรปู พรี ะมดิ กลบั ดา้ น ยาวประมาณ 2 แถว ผลแหง้ แตก 3 ซีก กลม ๆ
3 ซม. กวา้ งประมาณ 2.8 ซม. เมลด็ กลม สนี ำ�้ ตาล เปน็ มนั วาว เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
4-5 มม. (ดขู ้อมลู เพมิ่ เตมิ ที่ ตองเตา้ , สกุล) พบทจี่ นี ตอนใต้ พมา่ และภาคเหนอื ของไทยทด่ี อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่
และแจ้ซ้อน จงั หวดั ลำ� ปาง ขึ้นบนหนิ ปูน ความสูง 800-2200 เมตร
พบทพี่ มา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคกลางทพ่ี ระนครศรอี ยธุ ยา
สระบรุ ี ภาคเหนอื ตอนลา่ งทนี่ ครสวรรค์ และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทมี่ หาสารคาม สกุล Pommereschea Wittm. มี 2 ชนดิ พบทจี่ นี ตอนใต้ พม่า ในไทยมชี นดิ เดยี ว
ขึ้นตามรมิ น้�ำหรอื ในปา่ ดบิ แล้งระดบั ตำ่� ๆ ความสงู ไม่เกนิ 150 เมตร อีกชนิดคอื P. spectabilis (King & Prain) K. Schum. แผน่ ใบเกล้ียง ก้านใบสัน้
พูทโี่ คนเรยี งชิดกนั ช่อื สกุลตั้งตาม Bishop of Pommer-Eschen ในเยอรมนี
เอกสารอ้างอิง เอกสารอ้างอิง
van Welzen, P.C., S.E.C. Sierra, J.W.F. Silk and S. Bollendorff. (2007). Larsen, K. and S.S. Larsen. (2006). Gingers of Thailand. Queen Sirikit Botanic
Euphorbiaceae (Mallotus). In Flora of Thailand Vol. 8(2): 424-425.
Garden. Chiang Mai.
Wu, D. and K. Larsen. (2000). Zingiberaceae. In Flora of China Vol. 24: 346.

สวุ รรณหงส:์ โคนใบรูปหัวใจ พูแยกชดั เจน เบี้ยว ช่อดอกแบบชอ่ เชงิ ลด ออกท่ปี ลายก่ิง ต้ังขนึ้ ใบประดับติดทน
ผลกลม ๆ (ภาพ: ดอยเชยี งดาว เชียงใหม่ - SSi)

เสมด็

Melaleuca cajuputi Powell subsp. cumingiana (Turcz.) Barlow
วงศ์ Myrtaceae

ชอื่ พ้อง Melaleuca cumingiana Turcz.

ไม้พุ่มหรอื ไม้ต้น สงู ไดถ้ งึ 30 ม. เปลือกคล้ายฟองนำ้� ลอกเปน็ ชนั้ ๆ มขี น
คลา้ ยไหมสขี าวตามกงิ่ ออ่ น ใบออ่ น กา้ นใบ ใบประดบั ฐานดอก และกลบี เลย้ี ง
ไมม่ หี ใู บ ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 5.5-15 ซม. เบยี้ วเลก็ นอ้ ย

425

เสลดพังพอน สารานุกรมพืชในประเทศไทย

คลา้ ยรปู เคยี ว เสน้ โคนใบข้างละ 1-3 เส้น เปน็ สันนูน กา้ นใบยาว 2-4 มม. แบน เสลดพังพอน: ใบเรยี งตรงข้ามสลบั ตั้งฉาก ช่อดอกแบบชอ่ เชิงลด กลบี ดอกบนเรยี งซอ้ นแผช่ ดิ กัน (ภาพ: cultivated - RP)
ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ยาว 6-17 ซม. ปลายชอ่ มักแทงเป็นยอดใหม่ ดอกออกเปน็
กระจุก 1-3 ดอก ใบประดบั ขนาดเลก็ รว่ งเรว็ ดอกไรก้ ้าน ฐานดอกรปู ไข่ กลีบเลี้ยง เสลาขาว
5 กลีบ ยาว 1-2 มม. ติดทน กลบี ดอกสีขาวรปู กลม ยาว 2-3 มม. เกสรเพศผู้
จ�ำนวนมาก ติดเป็น 5 กลมุ่ ตรงขา้ มกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณูยาวประมาณ 1 ซม. Lagerstroemia tomentosa C. Presl
แกนอบั เรณปู ลายเปน็ ตอ่ ม รงั ไขใ่ ตว้ งกลบี ปลายมขี นคลา้ ยไหม กา้ นเกสรเพศเมยี วงศ์ Lythraceae
ยาวเทา่ ๆ เกสรเพศผู้ ยอดเกสรรปู เสน้ ดา้ ย ผลแหง้ แตกเปน็ 3 ซกี รปู รกี วา้ งเกอื บกลม
ยาว 2-3 มม. มีหลายเมล็ด เรียวแคบ ยาวประมาณ 1 มม. ไมต้ น้ ผลดั ใบ สูง 20-35 ม. เปลอื กนอกสีนำ้� ตาลถงึ เทาเข้ม แตกตามยาว มขี น
รูปดาวและขนส้ันนมุ่ ตามกงิ่ ออ่ น แผน่ ใบด้านลา่ ง ชอ่ ดอก กลีบเลี้ยงดา้ นนอก
พบทอี่ นิ เดยี พมา่ กมั พชู า เวยี ดนาม ภมู ภิ าคมาเลเซยี และออสเตรเลยี ในไทยพบ รงั ไข่ และผลออ่ น ใบรูปรหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 7-18 ซม. ปลายแหลมหรือ
ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขนึ้ หนาแนน่ ตามปา่ ชายหาดหรอื ปา่ เสมด็ สว่ น แหลมยาว โคนมนหรือกลม ก้านใบยาว 4-8 มม. ชอ่ ดอกสว่ นมากออกท่ปี ลายก่ิง
subsp. cajuputi และ subsp. platyphylla Barlow พบทอ่ี นิ โดนเี ซยี นวิ กนิ ี ยาวได้ถงึ 40 ซม. หลอดกลบี เลีย้ งยาว 3-4 มม. มีประมาณ 12 สนั ปลายแยก
และออสเตรเลยี ใบใหน้ ำ�้ มนั หอมระเหย cajuput oil มสี รรพคณุ ใชท้ าผวิ หนงั กนั แมลง เปน็ รูปสามเหล่ยี ม 5-6 แฉก ยาวประมาณ 3 มม. ดา้ นนอกมขี นหนาแนน่ ดา้ นใน
ผดผน่ื คัน และแก้ปวดฟัน เปลือกใชม้ งุ หลังคา เกล้ียง ติดทน ดอกสขี าวหรอื อมม่วงออ่ น มี 5-6 กลีบ รูปไข่กลบั ยาว 1-1.5 ซม.
รวมกา้ นกลีบที่ยาว 3-5 มม. ขอบเป็นคล่นื แผน่ กลบี ย่น เกสรเพศผทู้ ส่ี มบูรณ์มี
สกลุ Melaleuca L. อยู่ภายใตว้ งศย์ ่อย Myrtoideae มีประมาณ 220 ชนิด 6-7 อัน ยาวและหนา ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1.5 ซม. ผลแห้งแตกเปน็
ส่วนมากพบในออสเตรเลีย ในไทยมชี นิดเดยี ว ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก “melas” 6 ซีก รปู ขอบขนาน ยาว 1-1.7 ซม. (ดขู ้อมูลเพิ่มเติมที่ ตะแบก, สกลุ )
สดี �ำ และ “leukos” สีขาว ตามลักษณะเปลือกทม่ี สี ีขาวและสีดำ�
เอกสารอ้างองิ พบทจ่ี นี ตอนใต้ พมา่ เวยี ดนาม ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้ ขน้ึ ตาม
Chen, J. and L.A. Craven. (2007). Myrtaceae. In Flora of China Vol. 13: 328-329. ป่าเบญจพรรณ และป่าเตง็ รงั ความสงู ถึงประมาณ 1150 เมตร
Parnell, J. and P. Chantaranothai. (2002). Myrtaceae. In Flora of Thailand Vol.
เสลาดำ�
7(4): 801-803.
Lagerstroemia venusta Wall. ex C. B. Clarke
เสม็ด: เปลือกลอกเป็นชัน้ ๆ ใบคล้ายรูปเคยี ว เสน้ โคนใบข้างละ 1-3 เส้น ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงลด ปลายชอ่ มักแทง ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 25 ม. เปลอื กหนาสนี ำ้� ตาลหรอื เทาปนดำ� แตกเปน็ รอ่ งลกึ
ยอดใหม่ ดอกออกเป็นกระจุก 1-3 ดอก ไร้ก้าน ผลรปู กลม ๆ (ภาพซา้ ย: หาดเจ้าไหม ตรัง - MP; ภาพขวา: ชมุ พร - RP)
ตามยาว มขี นละเอยี ดตามกงิ่ เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอก กลบี เลยี้ งดา้ นนอก
เสลดพังพอน ใบรปู รหี รือรูปขอบขนาน ยาว 8-15 ซม. ปลายแหลม มน หรอื กลม โคนเบ้ียว กา้ นใบ
ยาว 0.3-1 ซม. ชอ่ ดอกออกท่ปี ลายก่งิ ยาวได้ถึง 30 ซม. กา้ นดอกเทียมยาว 1-4 มม.
Barleria lupulina Lindl. หลอดกลบี เลย้ี งยาวประมาณ 5 มม. มี 6 สนั ปลายแยกเปน็ 6 กลบี รปู สามเหลยี่ ม
วงศ์ Acanthaceae ยาว 3-4 มม. ระหว่างกลบี มีตงิ่ ยาวเทา่ ๆ กลบี เลีย้ ง ตดิ ทน ดอกสชี มพูอมม่วง
มี 6 กลีบ รูปไข่ ยาว 7-9 มม. รวมกา้ นกลบี ท่ียาว 2-3 มม. ขอบกลีบเปน็ คล่ืน
ไมพ้ ่มุ สูง 1-2 ม. ใบเรยี งตรงขา้ มสลบั ต้งั ฉากชดิ กันใกลช้ ่อดอก รปู ใบหอก เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก มี 6-7 อันด้านนอกยาวกว่าอันด้านใน รังไข่เกล้ียง
ยาว 4-10 ซม. ปลายแหลมเปน็ ตงิ่ โคนสอบเรียว แผ่นใบเกลี้ยงสเี ขียวเข้มหรอื เกสรเพศเมียเรยี วยาว ยอดเกสรเปน็ ตุม่ ผลแหง้ แตกเปน็ 4-5 ซกี รปู รี ยาว 1.5-2.5 ซม.
อมม่วง เส้นกลางใบมกั มีสแี ดงหรอื อมชมพู ก้านใบส้นั มหี นามทโี่ คนหนึ่งคู่ โคง้ งอ (ดขู ้อมลู เพิ่มเตมิ ที่ ตะแบก, สกลุ )
ยาว 1-2 ซม. มีหนามสัน้ ๆ ตรง 1 อนั ช่อดอกแบบชอ่ เชิงลด ออกตามปลายก่ิง
ยาว 8-10 ซม. ใบประดับสีนำ้� ตาลอมมว่ ง โคนสีเขียว หรอื ทงั้ ใบสแี ดงอมเขยี ว พบทจ่ี ีนตอนใต้ พม่า ภูมภิ าคอินโดจีน ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้
หรอื มว่ งอมนำ�้ ตาล รูปไขก่ ว้าง ยาวได้ถงึ 1.5 ซม. ปลายเป็นต่ิงแหลม กลีบเลย้ี ง ขึน้ ตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ความสงู 150-800 เมตร
ยาว 0.8-1 ซม. คู่นอกขนาดใหญ่กวา่ คใู่ น ปลายมีติง่ หนาม ดอกสีส้มหรอื เหลอื ง
หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ 3 ซม. กลบี บน 4 กลบี เรยี งซอ้ นแผช่ ิดกัน ยาว เอกสารอ้างอิง
1-2 ซม. กลบี ล่างขนาดเลก็ พับงอเล็กนอ้ ย เกสรเพศผู้ 2 อนั ยาวประมาณ 2 ซม. de Wilde, W.J.J.O., B.E.E. Duyfjes and P. Phonsena. (2014). Lythraceae. In
ยน่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอก เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั 2 อนั กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ Flora of Thailand Vol. 11(4): 576-580.
3 ซม. ผลรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน แบน ยาวประมาณ 1.5 ซม. มี 2 ซกี แตล่ ะซกี
มี 1-2 เมด็ (ดขู อ้ มลู เพม่ิ เติมที่ องั กาบ, สกุล) เสลาขาว: ชอ่ ดอกสว่ นมากออกท่ีปลายกิง่ ผลแห้งแตกเปน็ 6 ซกี (ภาพ: ขุนวิน เชียงใหม่ - SSi)

มถี น่ิ กำ� เนดิ ในสาธารณรฐั มอรเิ ชยี ส นอกชายฝง่ั แอฟรกิ าในมหาสมทุ รอนิ เดยี เสลาดำ� : ชอ่ ดอกออกที่ปลายก่ิง หลอดกลบี เลีย้ งมี 6 สนั ระหว่างกลบี มีตง่ิ ยาวเทา่ ๆ กลีบเลี้ยง ติดทน เกสรเพศผู้
เป็นไม้ประดบั และพืชสมนุ ไพร หรือขน้ึ เป็นวชั พชื ท่ัวไปในเขตรอ้ น รากและใบมี จำ� นวนมาก มี 6-7 อนั ด้านนอกยาวกว่าอันด้านใน (ภาพ: กาญจนบุรี - SSi)
สรรพคุณใช้ถอนพษิ แมลงสัตวก์ ัดต่อย โรคงูสวดั

เอกสารอา้ งองิ
Farnsworth, N.R. and N. Bunyapraphatsara. (1992). Thai Medicinal Plants,
Recommended for primary health care system. Medicinal Plant Information
Center, Faculty of Pharmacy, Mahidol University.

426

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย เสี้ยวแดง

เสี้ยวแกว้ ยาวประมาณ 5 มม. ตาดอกรูปกระสวย ยาว 3-4 ซม. ฐานดอกยาวประมาณ 1.5 ซม.
กลีบเลย้ี งรูปกาบ ดอกสขี าว กลบี กลางมีป้ืนสชี มพหู รือม่วงอมเหลือง รปู ไขก่ ลบั
Phanera nervosa Benth. ยาว 4-5.5 ซม. มีกา้ นสั้น ๆ เกสรเพศผู้ 5 อนั ยาวไม่เท่ากนั ก้านชอู ับเรณูยาว
วงศ์ Fabaceae 2-4 ซม. อบั เรณยู าวประมาณ 7 มม. รงั ไขย่ าวประมาณ 2 ซม. มขี นตามรอยเชอื่ ม
ก้านรงั ไขย่ าวประมาณ 1.5 ซม. ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1 ซม. ยอดเกสร
ชอ่ื พอ้ ง Bauhinia nervosa (Benth.) Baker ขนาดเลก็ ฝกั รปู แถบ เบย้ี ว ยาว 20-30 ซม. มี 10-25 เมลด็ แบน เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
1-1.5 ซม. (ดขู อ้ มลู เพิ่มเตมิ ท่ี ชงโค, สกุล)
ไม้เถาเนอื้ แข็ง หูใบเป็นติง่ รปู ไข่ มีขนละเอยี ดสีน้�ำตาลหนาแนน่ ตามกง่ิ ออ่ น
แผ่นใบด้านลา่ ง ก้านใบ ชอ่ ดอก ฐานดอก ก้านดอก ใบประดบั กลีบเล้ยี งดา้ นนอก พบท่ีอินเดยี จนี ตอนใต้ พมา่ ในไทยพบทางภาคเหนือ และภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้
และรงั ไข่ ใบรปู ไขก่ ว้าง ยาวไดถ้ ึง 7 ซม. ปลายใบแฉกตน้ื ๆ ปลายแฉกกลม โคนเวา้ ตน้ื ขน้ึ ตามปา่ เบญจพรรณ ความสงู 200-1500 เมตร มสี รรพคณุ ดา้ นสมนุ ไพรหลายอยา่ ง
ก้านใบยาว 1.5-2.8 ซม. ช่อดอกแบบชอ่ กระจะแยกแขนง ใบประดบั รปู ใบหอก
ยาวประมาณ 1.5 ซม. กา้ นดอกยาว 4-4.5 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยขนาดเลก็ ตดิ ประมาณ เอกสารอา้ งองิ
กง่ึ กลางกา้ นดอก ตาดอกรปู ไข่ เบย้ี ว ยาวประมาณ 2 ซม. ฐานดอกยาวประมาณ Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
2 ซม. มีรวิ้ กลบี เลี้ยงแยกเปน็ 4 กลีบ ยาว 2-3.5 ซม. พับงอกลบั ดอกสขี าวหรือ In Flora of Thailand Vol. 4(1): 11, 17-19.
สเี หลอื ง มีขนกระจาย กลบี รปู ไขก่ วา้ ง ยาวประมาณ 2 ซม. กา้ นกลบี ยาวเท่า ๆ
แผน่ กลบี เกสรเพศผู้ 3 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 5 ซม. อบั เรณยู าวประมาณ
1 ซม. เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั 6 อนั รปู เสน้ ดา้ ย ยาวประมาณ 7 มม. รงั ไขย่ าวประมาณ
1 ซม. กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1.2 ซม. ยอดเกสรเพศเมียรูปโล่ (ดขู ้อมลู
เพ่ิมเติมท่ี แสลงพัน, สกลุ )

พบทอ่ี นิ เดยี จนี ตอนใต้ และพมา่ ตอนบน ในไทยพบทางภาคเหนอื ทเ่ี ชยี งใหม่
แมฮ่ อ่ งสอน น่าน พษิ ณุโลก ตาก ก�ำแพงเพชร ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือทีเ่ ลย
และภาคตะวันตกเฉยี งใตท้ ีก่ าญจนบุรี เพชรบุรี ขน้ึ ตามชายป่าดิบแลง้ หรอื บน
เขาหินปนู ความสูง 400-1600 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae
(Bauhinia nervosa). In Flora of Thailand Vol. 4(1): 35.

เสยี้ วเชียงดาว: ดอกออกเป็นช่อกระจะส้ัน ๆ กลบี ดอกรปู ไขแ่ กมรูปขอบขนาน เกสรเพศผู้ 10 อนั เรียง 2 วง
วงนอกยาวเทา่ ๆ กับกลีบดอก วงในส้ันกว่าเลก็ นอ้ ย รังไข่มขี นหนาแน่น (ภาพ: ดอยเชียงดาว เชยี งใหม่ - PR)

เส้ยี วแกว้ : ช่อดอกแบบช่อกระจะแยกแขนง ตาดอกรปู ไข่ เบี้ยว ดอกสีขาวหรือสเี หลอื ง ก้านกลีบดอกยาวเทา่ ๆ เสี้ยวดอกขาว: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะสั้น ๆ ออกตามกงิ่ ตาดอกรปู กระสวย กลีบกลางมีปื้นสชี มพหู รือม่วงอมเหลือง
แผน่ กลบี เกสรเพศผู้ 3 อนั (ภาพ: แกง่ กระจาน เพชรบรุ ี - PK) เกสรเพศผู้ 5 อัน ยาวไม่เท่ากนั (ภาพ: วดั จันทร์ เชียงใหม่ - PK)

เสี้ยวเชยี งดาว เส้ยี วแดง

Bauhinia brachycarpa Wall. ex Benth. Lasiobema penicilliloba (Pierre ex Gagnep.) A. Schmitz
วงศ์ Fabaceae วงศ์ Fabaceae

ไมพ้ ุม่ สูงไดถ้ งึ 6 ม. มีขนสน้ั นุ่มสนี ำ้� ตาลตามกงิ่ ออ่ น หใู บ แผน่ ใบด้านล่าง ชอื่ พอ้ ง Bauhinia penicilliloba Pierre ex Gagnep.
ก้านใบ ชอ่ ดอก ใบประดับ ฐานดอก กลบี เลยี้ ง และกา้ นดอก หใู บรูปเคยี ว
ใบรูปไขก่ ว้าง ยาว 4-8 ซม. ปลายใบแฉกตื้น ๆ ปลายแฉกแหลมมน โคนเว้าตน้ื ไมพ้ ุ่ม สงู ไดถ้ งึ 2 ม. มมี อื จับ มขี นยาวสีนำ้� ตาลแดงตามกิ่งออ่ น เส้นแขนงใบ
แผ่นใบมตี ่อมสีนำ้� ตาลกระจาย เส้นใบ 9-11 เสน้ กา้ นใบยาว 1-2 ซม. ช่อดอกแบบ ดา้ นลา่ ง ก้านใบ แกนชอ่ ดอก ใบประดับ ก้านดอก ฐานดอกและกลบี เล้ียง หใู บ
ช่อกระจะสัน้ ๆ ยาว 2-5 ซม. ใบประดับรปู แถบ ยาว 2-3 มม. กา้ นดอกยาว 7-8 มม. รูปใบหอกขนาดเลก็ ใบรูปไข่ ยาว 5-6 ซม. ปลายแฉกลึกเกินกงึ่ หนง่ึ โคนเว้าต้นื
ใบประดับย่อยขนาดเล็กติดท่ีโคนก้านดอก ตาดอกรูปไข่ ยาวประมาณ 5 มม. เส้นใบ 7-9 เสน้ ก้านใบยาว 2-4 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ยาวไดถ้ งึ 20 ซม.
ฐานดอกส้นั กลบี เลี้ยงแยกเป็น 2 สว่ น ยาวประมาณ 3 มม. ดอกสีขาว กลีบรปู ไข่ ใบประดบั รูปเสน้ ด้าย ยาวประมาณ 5 มม. ก้านดอกยาว 1-2 ซม. ใบประดบั ย่อย
แกมรปู ขอบขนาน ยาว 5-7 มม. มกี า้ นสน้ั ๆ เกสรเพศผู้ 10 อนั เรยี ง 2 วง วงนอก ตดิ ใตจ้ ุดก่ึงกลางก้านดอก ตาดอกรูปกระสวย ยาว 4-5 มม. ปลายมี 5 แฉกเล็ก ๆ
ยาวเทา่ ๆ กบั กลีบดอก วงในสน้ั กวา่ เลก็ น้อย อบั เรณมู ีขนาดเล็ก รงั ไข่มีขน ฐานดอกสนั้ กลบี เลย้ี งแยก 5 แฉก รปู ขอบขนาน พบั งอกลบั ตดิ ทน ยาวประมาณ
หนาแน่น กา้ นเกสรเพศเมียส้นั ยอดเกสรขนาดเลก็ ฝักรปู ใบหอก ยาว 3-5 ซม. 2 มม. ดอกสีเขียวอมเหลอื ง กลีบรปู ใบหอก มกี า้ นสน้ั ๆ กลีบส้ัน 3 กลบี ยาว
มี 2-4 เมลด็ (ดูข้อมูลเพมิ่ เตมิ ท่ี ชงโค, สกลุ ) ประมาณ 3 มม. กลีบยาว 2 กลบี ยาว 4-5 มม. เกสรเพศผู้ 3 อนั กา้ นชูอบั เรณูยาว
3-4 มม. อับเรณูรูปรี ยาวประมาณ 1 มม. รงั ไข่เกลีย้ ง ตดิ บนจานฐานดอกสีเหลือง มี
พบทพี่ มา่ และภาคเหนอื ของไทยทดี่ อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ ขนึ้ บนเขาหนิ ปนู ก้านสัน้ ๆ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 1-2 มม. ยอดเกสรไมช่ ดั เจน ฝกั รปู ขอบขนาน
ทเ่ี ปดิ โล่ง ความสงู ถึงประมาณ 2000 เมตร ยาว 3-6 ซม. ปลายมจี ะงอย มี 2-3 เมลด็ แบน เส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 6-7 มม. (ดขู อ้ มลู
เพ่ิมเตมิ ที่ เครอื เขาแกบ, สกลุ )
เสยี้ วดอกขาว
พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคตะวนั ออก และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
Bauhinia variegata L. ข้นึ ตามปา่ เต็งรัง ป่าดบิ แลง้ ความสูง 200-800 เมตร
ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามกงิ่ ออ่ น หใู บขนาดเลก็ ใบรปู ไขก่ วา้ ง
เอกสารอ้างองิ
เส้นผา่ นศูนย์กลาง 6-16 ซม. ปลายใบแฉกต้ืน ๆ ปลายแฉกมนกลม โคนรปู หวั ใจ Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นละเอยี ดประปราย เสน้ ใบ 11-13 เสน้ กา้ นใบยาว 3-4 ซม. ชอ่ ดอก (Bauhinia penicilliloba). In Flora of Thailand Vol. 4(1): 33.
แบบชอ่ กระจะสน้ั ๆ ออกตามกง่ิ ใบประดบั รปู สามเหลยี่ มขนาดเลก็ กา้ นดอกหนา

427

เสย้ี วปา่ สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

เสีย้ วแดง: ใบแฉกลึก ช่อดอกแบบช่อกระจะ มีขนยาวสีน้�ำตาลแดง กลีบดอกรูปใบหอก สน้ั 3 กลบี ยาว 2 กลบี กลบี ในรปู สามเหลย่ี ม ยาว 5-7 มม. มว้ นงอ ปลายแหลมยาว กลบี ขา้ งรปู ใบหอก
เกสรเพศผู้ 3 อัน รงั ไข่เกล้ียง จานฐานดอกสีเหลือง (ภาพ: มุกดาหาร - PK) ยาว 0.6-1 ซม. มขี นดา้ นใน เกสรเพศผู้ 3 อัน กา้ นชูอับเรณยู าว 2-3 ซม. เกสรเพศผู้
เป็นหมนั 2 อนั รงั ไข่มีขนคล้ายไหม ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 1-1.2 ซม. ฝักแบน
เสี้ยวป่า รปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 10 ซม. ปลายมจี ะงอย (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ท่ี แสลงพนั , สกลุ )

Bauhinia saccocalyx Pierre พบทลี่ าว และกมั พชู า ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกทส่ี รุ นิ ทร์ ศรสี ะเกษ ขน้ึ ตาม
วงศ์ Fabaceae ปา่ ดิบแลง้ ความสงู 200-300 เมตร var. saigonensis กา้ นดอกยาว สว่ น var.
poilanei (K. Larsen & S. S. Larsen) Mackinder & R. Clark ชอ่ ดอกมขี นสนั้
ไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้ต้นขนาดเล็ก แยกเพศต่างต้น มีขนและต่อมสีน้�ำตาล หนานุ่มปกคลมุ และกา้ นรังไขม่ ีขนยาว พบเฉพาะในเวยี ดนาม
ตามกง่ิ อ่อน แผ่นใบด้านล่าง ช่อดอก และตาดอก ใบรปู ไข่กว้าง ยาว 5-9 ซม. ปลายแฉก
ถึงประมาณกึ่งหน่ึง โคนเว้าตื้น เสน้ ใบ 9-11 เส้น ก้านใบยาว 2-3 ซม. ชอ่ ดอกแบบ เอกสารอ้างอิง
ชอ่ กระจะแยกแขนงสน้ั ๆ ออกตามซอกใบ ยาวไดถ้ งึ 7 ซม. ดอกหนาแนน่ ใบประดบั Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1980). Leguminosae-Caesalpinioideae
ขนาดเลก็ ก้านดอกยาว 2-3 มม. ใบประดับย่อยตดิ ใต้จุดกึง่ กลางกา้ นดอก ตาดอก (Bauhinia). Flore du Cambodge du Laos et du Vietnam 18: 195-197.
รปู รี ยาวประมาณ 5 มม. กลบี เลย้ี งคลา้ ยกาบ ดอกสขี าวหรอื อมสชี มพู กลบี รปู ไขก่ ลบั ________. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae (Bauhinia saigonensis). In
ยาว 0.7-1 ซม. กา้ นกลบี สน้ั เกสรเพศผู้ 10 อนั วงนอกยาวประมาณ 6 มม. วงใน Flora of Thailand Vol. 4(1): 35-37.
ยาวประมาณกงึ่ หนงึ่ ของวงนอก อบั เรณยู าวประมาณ 1 มม. เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี
รูปเสน้ ดา้ ย รังไขม่ ขี น ยาวประมาณ 1 ซม. มี กา้ นสัน้ ๆ ยอดเกสรเพศเมียรูปจาน เสีย้ วพระวหิ าร: ช่อดอกรปู พีระมดิ มี 1-3 ช่อ ออกตามปลายก่ิง กลบี ดอกกลีบในรปู สามเหลีย่ ม ม้วนงอ ปลายแหลมยาว
ฝกั เกลย้ี ง รปู ใบหอกหรอื รปู แถบ แบน ยาว 7-14 ซม. ปลายกวา้ ง มจี ะงอย มี 3-5 เมลด็ เกสรเพศผู้ 3 อัน รงั ไขม่ ขี นคล้ายไหม ฝักแบน รูปขอบขนาน (ภาพ: เขาพระวิหาร ศรีสะเกษ - RP)
เส้นผ่านศนู ย์กลาง 1.2-1.5 ซม. (ดขู อ้ มูลเพิ่มเติมท่ี ชงโค, สกลุ )
เส้ยี วฟ่อม
พบทล่ี าว ในไทยพบทกุ ภาคยกเวน้ ภาคใต้ ขนึ้ ตามชายปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้
ท่ีโล่ง หรือบนเขาหินปูน ความสงู ถึงประมาณ 800 เมตร Bauhinia viridescens Desv.
วงศ์ Fabaceae
เอกสารอ้างอิง
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae. ไมพ้ มุ่ สูงไดถ้ ึง 4 ม. แยกเพศต่างตน้ หใู บปลายมีขนแขง็ ใบรูปไข่กว้าง ยาว
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 20-21. 6-15 ซม. ปลายใบแฉกลกึ ปลายแฉกมนหรอื แหลม โคนเวา้ ตนื้ กา้ นใบยาว 2-5 ซม.
ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะเรยี วยาว ยาว 5-15 ซม. ใบประดบั รปู ลมิ่ แคบ ยาว 2-5 มม.
เสย้ี วป่า: ช่อดอกเพศผมู้ เี กสรเพศผู้ 10 อัน เรียง 2 วง ขนาดไม่เทา่ กัน เปน็ หมันในดอกเพศเมีย รงั ไขม่ ีขน ฝักรปู ใบหอก กา้ นดอกยาว 2-3 มม. ใบประดบั ย่อยขนาดเล็ก ตาดอกรปู รหี รือรปู กระสวย ยาว
ปลายกวา้ ง มจี ะงอยสนั้ (ภาพดอกเพศผู้และฝกั : เขาหน่อ นครสวรรค,์ ภาพดอกเพศเมีย ภาพขวา: ลพบรุ ี; - RP) 0.6-1 ซม. กลบี เลยี้ งรปู ใบพาย ดอกสเี ขยี วออ่ น กลบี รปู ใบหอกแกมรปู ไขก่ ลบั ยาว
0.7-1.2 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อนั สนั้ กวา่ กลบี ดอก วงนอกยาวกวา่ วงในเลก็ นอ้ ย
เสยี้ วพระวิหาร เปน็ หมันในดอกเพศเมีย รังไขม่ กี ้านส้ัน ๆ ก้านเกสรเพศเมยี สัน้ มาก มีขนสั้นนุม่
ยอดเกสรรูปโล่ ฝักรปู แถบ ยาว 5-7 ซม. มี 6-10 เมลด็ รปู รี แบน ยาวประมาณ
Phanera saigonensis (Pierre ex Gagnep.) Mackinder & R. Clark var. 3 มม. (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ที่ ชงโค, สกุล)
gagnepainiana (K. Larsen & S. S. Larsen) Mackinder & R. Clark
พบทจ่ี นี ตอนใต้ พมา่ อนิ โดจนี และอนิ โดนเี ซยี ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้
วงศ์ Fabaceae ภาคใต้ ขนึ้ ตามชายปา่ เบญจพรรณ ปา่ เตง็ รงั และปา่ ดบิ แลง้ ความสงู ถงึ ประมาณ
800 เมตร แยกเป็น var. hirsuta K. Larsen & S. S. Larsen พชื ถ่ินเดยี วของไทย
ชอ่ื พ้อง Bauhinia saigonensis Pierre ex Gagnep. var. gagnepainiana K. Larsen พบทก่ี าญจนบุรี มีขนหนาแน่นตามกิง่ อ่อน แผ่นใบด้านลา่ ง และชอ่ ดอก
& S. S. Larsen
เอกสารอา้ งองิ
ไม้เถา ยาวไดถ้ งึ 15 ม. มีมือเกาะ ใบรูปไข่กวา้ ง ยาว 3-8 ซม. ปลายแฉกลึกถงึ Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae
ประมาณกึ่งหนึง่ ก้านใบยาว 1.5-2 ซม. ช่อดอกรปู พีระมิด ออกตามปลายก่งิ มี 1-3 ช่อ (Bauhinia viridescens). In Flora of Thailand Vol. 4(1): 16-17.
ยาวได้ถึง 15 ซม. มีขนสีน้�ำตาลประปราย ตาดอกยาวประมาณ 1 ซม. รปู เคยี ว
ปลายแยกเปน็ 5 แฉก สน้ั ๆ ใบประดับรปู ใบหอก ยาว 0.8-1.2 ซม. ใบประดับย่อย เส้ียวฟอ่ ม: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะเรียวยาว เกสรเพศผเู้ ปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี ยอดเกสรรปู โล่ ฝักรปู แถบ
รปู แถบ ยาวประมาณ 7 มม. ตดิ ประมาณกง่ึ กลางกา้ นดอก กา้ นดอกยาวไดถ้ งึ 1.5 ซม. (ภาพ: บ้านตาก ตาก - RP)
ฐานดอกเปน็ หลอด ยาว 3-6 มม. กลบี เลีย้ งรูปแถบ ยาว 1-1.5 ซม. ดอกสีขาวอมเขียว

428

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย แสงระวี

เสย้ี วภลู งั กา เส้ยี วใหญ:่ ช่อดอกแบบช่อกระจะแยกแขนงสั้น ๆ กลีบเล้ยี งสัน้ กว่ากลีบดอกเล็กนอ้ ย (ภาพ: ภวู วั บึงกาฬ - PK)

Phanera nakhonphanomensis (Chatan) Mackinder & R. Clark แสงแดง, สกุล
วงศ์ Fabaceae
Colquhounia Wall.
ช่ือพ้อง Bauhinia nakhonphanomensis Chatan วงศ์ Lamiaceae

ไมเ้ ถาเนอื้ แขง็ แบนพบั ไปมา ยาวไดถ้ งึ 30 ม. มขี นสนั้ นมุ่ สนี ำ�้ ตาลแดงหนาแนน่ ไมพ้ ่มุ สว่ นต่าง ๆ มีขนสน้ั นุ่มหรอื ขนรปู ดาว ใบเรยี งตรงข้ามสลับต้งั ฉาก
ตามชอ่ ดอก ใบประดบั และกลีบเล้ียงด้านนอก ใบรูปไข่ ยาว 5-14.5 ซม. ปลายใบ ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ ลดหรอื ชอ่ กระจกุ สนั้ ๆ ออกเปน็ วงรอบกง่ิ กา้ นดอกสนั้ หรอื
แหลมยาว ไมแ่ ยกเป็นแฉก โคนใบตดั หรือเวา้ ตืน้ เส้นใบ 5 เสน้ แผน่ ใบดา้ นบน ไรก้ า้ น กลบี เลยี้ งรูประฆงั มเี ส้นกลีบ 10 เสน้ ปลายแยกเป็น 5 แฉก ขนาดเท่า ๆ กนั
เปน็ มันวาว โคนดา้ นลา่ งมีขน กา้ นใบยาว 1-3 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะตัง้ ขึ้น กลบี ดอกรูปปากเปดิ กลีบปากบนยาวกวา่ กลบี ปากลา่ ง ปลายมนหรือจักตนื้ ๆ
ยาว 10-20 ซม. ก้านดอกยาวได้ถึง 4 ซม. ใบประดบั 1 คู่ ติดที่โคนดอก รปู รี ยาว ปากล่างแยกเป็น 3 กลบี ขนาดเทา่ ๆ กัน บานออก เกสรเพศผู้ 2 คู่ คหู่ น้า
ได้ถงึ 1 ซม. กลีบเล้ียงปลายแยก 5 แฉก รูปใบหอก ยาว 1.5-2.5 ซม. พบั งอกลับ ยาวกว่าคู่หลงั อับเรณูกางออก รงั ไขเ่ กล้ียงหรือมีตอ่ ม กา้ นเกสรเพศเมียปลาย
ดอกสชี มพู กลบี รปู ใบพาย ยาว 2.5-4 ซม. รวมกา้ นกลบี มขี นแบบขนแกะสขี าว แยก 2 แฉก มกั ไมเ่ ท่ากนั ผลยอ่ ยแบบเปลือกแข็งเมลด็ ล่อน รปู ไข่กลับแคบ ๆ
ท้งั สองด้าน เกสรเพศผู้ 3 อนั ก้านชอู ับเรณยู าวเทา่ ๆ กลีบดอก โคง้ เข้า เกสรเพศผู้ โปง่ ด้านเดยี ว ปลายมีปีก ส่วนมากมี 4 เมล็ด
ทเี่ ปน็ หมันมี 6-7 อนั รังไขม่ ีขนคล้ายขนแกะ รังไขร่ วมเกสรเพศเมียยาวเท่า ๆ
เกสรเพศผู้ ผลเป็นฝักแบน ยาวได้ถึง 10 ซม. ปลายมีจะงอย (ดขู ้อมลู เพม่ิ เตมิ ท่ี สกลุ Colquhounia อยูภ่ ายใตว้ งศ์ย่อย Lamioideae มปี ระมาณ 6 ชนดิ พบใน
แสลงพัน, สกลุ ) ประเทศแทบเทอื กเขาหมิ าลัย จนี พม่า และเวยี ดนาม ในไทยมี 2 ชนิด ช่ือสกลุ ตงั้
ตามชาวบรติ ิช Sir Robert Colquhoun (1786-1838) ผ้เู ก็บตัวอย่างพรรณไมแ้ ละผู้ท่ี
พชื ถ่นิ เดียวของไทย พบที่ภลู ังกา จงั หวดั นครพนม ขน้ึ ตามชายปา่ หรอื ท่โี ล่ง สนบั สนุนทางการเงินสวนพฤกษศาสตรก์ ัลกตั ตา ในอนิ เดยี
ใกลล้ ำ� ธารในป่าดบิ แล้ง ความสูง 150-250 เมตร
แสงแดง
เอกสารอา้ งอิง
Chatan, W. (2013). A new species of Bauhinia L. (Caesalpinioideae, Leguminosae) Colquhounia coccinea Wall. var. mollis (Schltdl.) Prain
from Nakhon Phanom province, Thailand. PhytoKeys 26: 1-5.
ช่อื พอ้ ง Colquhounia mollis Schltdl.
เส้ยี วภลู งั กา: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะตั้งขึ้น มขี นสัน้ นมุ่ สนี �้ำตาลแดงหนาแนน่ ใบประดับติดที่โคนดอก กลบี ดอกรปู
ใบพาย มีขนแบบขนแกะสขี าว ฝักแบน ปลายมจี ะงอย (ภาพ: ภูลงั กา นครพนม; ภาพดอก - SSi, ภาพผล - SSa) ไมพ้ มุ่ สงู 1-4 ม. มขี นรปู ดาวสน้ั นมุ่ หนาแนน่ ตามกง่ิ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอก
และกลีบดอก ใบรูปไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 7-11 ซม. ปลายแหลมยาว โคนมน
เสีย้ วใหญ่ หรอื กลม ขอบจกั มน ใบประดบั ขนาดเลก็ รปู แถบ กลบี เลยี้ งรปู ระฆงั ยาวประมาณ
6 มม. เส้นกลบี ไมช่ ดั เจน กลีบยาวประมาณ 1 มม. ดอกสแี ดงอมสม้ ยาว 2-2.5 ซม.
Bauhinia malabarica Roxb. หลอดกลบี ดอกยาว 1.7-2.3 ซม. ปากบนรปู ไข่ จักตน้ื ๆ รังไข่มีตุ่มกระจาย
วงศ์ Fabaceae
พบท่ภี ูฏาน อนิ เดยี เนปาล พมา่ จนี และภาคเหนือของไทยที่ดอยเชยี งดาว
ไมพ้ มุ่ รอเลอื้ ย หรอื ไมต้ น้ ขนาดเลก็ แยกเพศตา่ งตน้ มขี นสน้ั นมุ่ ตามชอ่ ดอก จงั หวัดเชยี งใหม่ ขึ้นตามที่โลง่ บนเขาหินปนู ความสูง 1600-2200 เมตร สว่ น var.
กา้ นดอก และตาดอก ใบรปู ไขก่ วา้ ง ยาว 5-9 ซม. ปลายแฉกตืน้ ๆ โคนใบตัดหรือ coccinea กงิ่ และแผ่นใบดา้ นล่างมีขนประปราย พบทีอ่ ินเดีย ภฏู าน เนปาล และจนี
เวา้ ต้นื แผ่นใบด้านลา่ งมีนวล เกลี้ยงหรือมีขนสน้ั นุม่ เส้นใบ 9-11 เส้น กา้ นใบ
ยาว 2-4 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะแยกแขนงสน้ั ๆ ยาวไดถ้ งึ 5 ซม. ดอกหนาแนน่ แสงระวี
ใบประดับขนาดเล็กรปู สามเหลี่ยม ก้านดอกยาว 1-2 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยตดิ บน
กา้ นดอก ตาดอกรปู รี ยาว 6-10 มม. ฐานดอกสนั้ กลบี เลย้ี งสนั้ กวา่ กลบี ดอกเลก็ นอ้ ย Colquhounia elegans Wall. ex Benth.
ปลายแยกเปน็ 3-5 แฉก ตื้น ๆ ดอกสีขาว กลีบรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 1 ซม. ไมพ้ มุ่ สงู 1-3 ม. มขี นสน้ั นมุ่ สนี ำ้� ตาลแดงตามกงิ่ แผน่ ใบ ชอ่ ดอก กลบี เลย้ี ง
กา้ นกลีบส้ันมาก เกสรเพศผู้ 10 อนั เรยี ง 2 วง สัน้ กว่ากลีบดอก วงนอกยาวกว่า
วงในเลก็ นอ้ ย อบั เรณยู าวประมาณ 2 มม. เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี รงั ไขม่ ขี นสนั้ นมุ่ และกลบี ดอกดา้ นนอก ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 4.5-8.5 ซม. ปลายแหลมยาว
มีก้านสนั้ ๆ ยอดเกสรเพศเมยี รูปจาน ฝกั รูปแถบ แบน ยาว 20-25 ซม. ปลายมี โคนแหลม มน หรอื กลม ขอบจักมนเป็นติ่ง ใบประดับคลา้ ยใบ รปู ไข่ ยาว 2-3 ซม.
จะงอย มี 10-30 เมลด็ เมล็ดรปู ขอบขนาน (ดูข้อมลู เพมิ่ เตมิ ท่ี ชงโค, สกลุ ) ใบประดบั ย่อยยาว 2-3 มม. กา้ นดอกยาว 1-2 มม. กลบี เล้ยี งรูประฆัง ยาว 0.6-1 ซม.
กลีบรูปสามเหล่ียม ยาว 2-3 มม. ดอกสีแดงหรืออมสีเหลือง ยาว 2.5-2.8 ซม.
พบท่อี ินเดีย พม่า ภูมิภาคอนิ โดจนี ชวา และฟิลปิ ปินส์ ในไทยพบทกุ ภาค หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ 2.3 ซม. ปากบนรปู ขอบขนาน ปลายมนหรือเวา้ ตนื้ ๆ
ภาคใต้ถงึ ชมุ พร ข้นึ ตามชายป่าเบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชน้ื ความสูงถึง รงั ไขม่ ตี ุ่มกระจาย
ประมาณ 400 เมตร ดอกแก้ปวดท้อง แก้บิด ใบมสี รรพคณุ กระตุ้นก�ำหนัด แก้ไข้
เปลอื กใชพ้ อกแผลสด พบท่พี มา่ จนี และภมู ภิ าคอินโดจนี ในไทยสว่ นมากพบทางภาคเหนือ และ
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเี่ ลย ขน้ึ ตามชายปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ดบิ เขา หรอื บนเขาหนิ ปนู
เอกสารอา้ งองิ ความสูงถึงประมาณ 2000 เมตร แยกเป็น var. tenuiflora (Hook. f.) Prain
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae. สว่ นต่าง ๆ มขี นประปราย กลบี เลีย้ งสัน้ กวา่
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 19-20.
เอกสารอ้างอิง
Li, X.W. and I.C. Hedge. (1994). Lamiaceae. In Flora of China Vol. 17: 185-186.

429

แสดสยาม สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

แสงแดง: ถนิ่ ท่ีอยบู่ นเขาหินปนู ทเี่ ปิดโลง่ มีขนรปู ดาวสั้นน่มุ หนาแนน่ ใบเรยี งตรงข้ามสลับต้ังฉาก ช่อดอกแบบ มขี นสนั้ นมุ่ มกั มนี วล กา้ นใบสน้ั หรอื ยาวไดถ้ งึ 1.8 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แนน่
ช่อเชงิ ลดหรือชอ่ กระจกุ สัน้ ๆ ออกเปน็ วงรอบกิ่ง (ภาพ: ดอยเชยี งดาว เชียงใหม่ - MS) แยกแขนง กา้ นชอ่ ยาว 1-2.5 ซม. ใบประดบั และใบประดบั ยอ่ ยขนาดเลก็ ตดิ ทน
ดอกออกตรงขา้ มกนั ไรก้ า้ น ดอกบานเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 5 มม. ดา้ นนอก
มขี นสน้ั นมุ่ กลบี เลยี้ งรปู ถว้ ย แฉกลกึ 5 กลบี ขอบมขี นครยุ เรยี งซอ้ นเหลอ่ื มทโี่ คน
ติดทน ดอกรปู ระฆงั สว่ นมากมี 4 กลบี เกสรเพศผู้ 4 อนั ตดิ ใกล้ปากหลอด
ระหวา่ งกลบี ดอก ยน่ื พน้ ปากหลอดกลบี เลก็ นอ้ ย รงั ไขม่ ี 4 ชอ่ งไมส่ มบรู ณ์ มขี นสน้ั นมุ่
พลาเซนตารอบแกนมปี กี ยอดเกสรเพศเมยี จกั ตน้ื ๆ 2 พู ผลแหง้ แตกเปน็ 2 สว่ น
รปู ไข่ เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางยาวไดถ้ งึ 1.2 ซม. มีขนส้นั นุ่ม

พบที่แอฟริกา จนี ไห่หนาน ไตห้ วัน เอเชียใต้ เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ และ
ออสเตรเลีย ขึ้นหนาแน่นในป่าโกงกาง มีความผันแปรสูง แยกเป็นหลายชนิดย่อย
เปลอื กใช้สมานแผล ห้ามเลือด

สกุล Avicennia L. เคยอยภู่ ายใต้วงศ์ Avicenniaceae และ Verbenaceae
ปัจจุบันอยูภ่ ายใตว้ งศ์ย่อย Avicennioideae มปี ระมาณ 10 ชนดิ พบในเขตร้อน
และก่ึงเขตร้อน ในไทยมี 2 ชนิด อีกชนิดคอื แสมดำ� A. officinalis L. ปลายใบ
มนกลม ชื่อสกุลตงั้ ตามนักปราชญแ์ ละแพทย์ชาวเปอร์เซยี Avicenna (980-1037)

เอกสารอ้างอิง
Chen, S.L. and M.G. Gilbert. (1994). Verbenaceae. In Flora of China Vol. 17: 49.

แสงระวี: var. elegans มีขนสัน้ นุ่มสีนำ�้ ตาลแดงกระจาย ใบประดบั คล้ายใบ (ภาพซา้ ย: ดอยเชียงดาว เชียงใหม่ - PR); แสมขาว: ใบเรียงตรงข้าม ปลายแหลมหรือแหลมมน ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แน่น แยกแขนง ดอกออกตรงขา้ มกัน
แสงระวี: var. tenuiflora สว่ นต่าง ๆ มีขนประปราย กลบี เลย้ี งส้นั กวา่ (ภาพขวา: ดอยตงุ เชียงราย - MB) ไรก้ า้ น ดอกรปู ระฆงั เกสรเพศผูต้ ิดใกลป้ ากหลอดกลบี ระหวา่ งกลบี ดอก (ภาพ: สมทุ รสาคร - PK)

แสดสยาม แสมดำ� : ปลายใบมนกลม (ภาพ: อา่ วพังงา พังงา - SR)

Goniothalamus repevensis Pierre ex Finet & Gagnep. แสม้ า้ ฮอ่
วงศ์ Annonaceae
Dapsilanthus disjunctus (Mast.) B. G. Briggs & L. A. S. Johnson
ไมพ้ มุ่ สงู 1-2 ม. ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 12-16 ซม. ปลายแหลม วงศ์ Restionaceae
หรอื แหลมยาว โคนรปู ลม่ิ แผน่ ใบหนา เสน้ แขนงใบขา้ งละ 10-12 เสน้ กา้ นใบยาว
6-8 มม. ดอกออกเดยี่ ว ๆ ตามซอกใบทห่ี ลดุ รว่ งตามกง่ิ กา้ นดอกยาวประมาณ 1 ซม. ชือ่ พ้อง Leptocarpus disjunctus Mast.
กลีบเลี้ยงยาว 3-5 มม. เชอ่ื มตดิ กันทโี่ คน ปลายแยกเป็นแฉกรปู สามเหล่ียม
ขนาดเลก็ ดอกสชี มพหู รอื ขาว กลบี วงนอก 3 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลมยาว ยาว ไมล้ ม้ ลกุ แตกกอหนาแนน่ สงู ไดถ้ งึ 1 ม. แยกเพศตา่ งตน้ หรอื มดี อกสมบรู ณเ์ พศ
ประมาณ 2.5 ซม. วงใน 3 กลบี รปู ไข่ ปลายแหลม ยาว 5-8 มม. เรียงประกบกัน รว่ มตน้ เหงา้ ทอดเลอื้ ย มเี กลด็ เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม ตน้ ออ่ นมขี นคลา้ ยขนแกะหนาแนน่
ดา้ นนอกมขี นละเอยี ด มกี า้ นสน้ั ๆ ผลยอ่ ยมี 5-10 ผล รปู ทรงกระบอก ปลายแหลม ลำ� ต้นกลวง เหนียว มกี าบยาว 1-3 ซม. ปลายเรียวแหลม ขอบมีขนคล้ายไหม
ยาว 2-2.5 ซม. กา้ นผลยอ่ ยยาวประมาณ 5 มม. (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ท่ี ปาหนนั , สกลุ ) ใบขนาดเล็กแนบติดล�ำต้น ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ช่อย่อยแบบช่อเชิงลด
เปน็ กระจุกแนน่ ใบประดับรปู ไข่แคบ สนี ้�ำตาลแดง ยาว 2-2.5 มม. ชอ่ ดอกเพศผู้
พบที่ภมู ิภาคอินโดจีน และภาคตะวันออกเฉยี งใต้ของไทยทีจ่ นั ทบรุ ี ขน้ึ ตาม มดี อกเดยี ว กลบี รวมมี 4-6 กลีบ คนู่ อกเรยี งตรงขา้ ม รูปเรือ ยาวประมาณ 2 มม.
ปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู 600-900 เมตร และเปน็ ไม้ประดับ กลบี ในแคบและสั้นกวา่ เลก็ นอ้ ย เกสรเพศผู้ 3 อนั กา้ นชอู บั เรณูยาวประมาณ 1.5 มม.
ปลายอับเรณูเป็นติ่งแหลม ช่อดอกเพศเมียมี 3-5 ดอก กลีบรวมมี 6-8 กลีบ สนั้ กวา่
เอกสารอ้างอิง ในดอกเพศผเู้ ลก็ นอ้ ย รงั ไขม่ ชี อ่ งเดยี ว กา้ นเกสรเพศเมยี สน้ั ยอดเกสรแยก 3 แฉก
Saunders, R. and P. Chalermglin. (2008). A synopsis of Goniothalamus species ผลแหง้ แตกด้านเดยี ว รปู รี ยาว 0.5-1 มม.
(Annonaceae) in Thailand, with descriptions of three new species. Botanical
Journal of the Linnean Society 156: 371. พบทจ่ี นี ตอนใต้ ไห่หนาน ภูมิภาคอินโดจีน และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบ
ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาคตะวนั ออก ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้
แสดสยาม: ดอกออกเดย่ี ว ๆ ตามซอกใบที่หลดุ ร่วงตามกิ่ง ดอกสีชมพหู รือขาว กลีบเลย้ี งขนาดเลก็ เชอ่ื มตดิ กนั ที่โคน ข้นึ ตามทุ่งหญ้าทีช่ ืน้ แฉะ โดยเฉพาะใกล้ชายทะเลและภูเขาหนิ ทราย ความสงู ถงึ
กลีบดอกวงนอก 3 กลบี ยาวมากกวา่ กลีบวงใน (ภาพ: เขาสอยดาว จนั ทบรุ ี - SSi) ประมาณ 400 เมตร ล�ำตน้ ใช้ทำ� ไมก้ วาด

แสมขาว

Avicennia marina (Forssk.) Vierh.
วงศ์ Acanthaceae

ช่ือพอ้ ง Sceura marina Forssk., Avicennia alba Blume

ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 20 ม. กงิ่ ออ่ นมกั เปน็ สเี่ หลย่ี ม ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู รหี รอื
รูปไข่ ยาว 2-7 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมมน โคนเรียวสอบ แผน่ ใบหนา ด้านล่าง

430


Click to View FlipBook Version