The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ “สารานุกรมพืช ในประเทศไทย ( ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา”

โดย สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช
สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by BS_Library, 2021-02-15 00:10:13

สารานุกรมพืช ในประเทศไทย ( ฉบับย่อ)

หนังสือ “สารานุกรมพืช ในประเทศไทย ( ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา”

โดย สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช
สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

Keywords: พืช,สารานุกรม

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย มะก่องขา้ ว

ใบปลายยาว 3-3.5 ซม. ชอ่ ดอกออกท่ีปลายก่ิง กา้ นดอกสน้ั หนา กลบี เล้ียงรปู รี มะกอกดอน: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ดอกสเี ขยี ว แผ่นกลบี ดอกดา้ นบนมีขนสีนำ�้ ตาลหนาแนน่ ผลแหง้ แตก
ยาวไดถ้ งึ 1 ซม. กลบี ดอกรปู รี ยาว 8-9 มม. เกสรเพศผตู้ ดิ บนจานฐานดอก รงั ไข่ ผิวมีตมุ่ กระจาย (ภาพ: เชยี งใหม่ - SSi)
และกา้ นเกสรเพศเมียมีขนยาว ผลรปู รีหรอื รปู ขอบขนาน ยาว 4-6.5 ซม.
มะกอกน�ำ้
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู ชวา และเวยี ดนาม ในไทยพบทางภาคใต้ ขนึ้ ในปา่ ดบิ ชนื้
ความสงู ถงึ ประมาณ 300 เมตร เปน็ ชนดิ ทพี่ บหนาแนน่ ทสี่ ดุ ของสกลุ Canarium Elaeocarpus hygrophilus Kurz
ในคาบสมทุ รมลายู วงศ์ Elaeocarpaceae

เอกสารอา้ งอิง ไม้ต้น สงู ไดถ้ งึ 12 ม. ใบรูปไขก่ ลบั หรือแกมรปู ขอบขนาน ยาว 5-12 ซม.
Pooma, R. (1999). A preliminary account of Burseraceae in Thailand. Thai Forest ปลายมนหรอื กลม ขอบจกั ฟนั เลอ่ื ย แผน่ ใบเกลยี้ งทง้ั สองดา้ น กา้ นใบสแี ดง ยาว
Bulletin (Botany) 27: 53-82. 0.5-2 ซม. ชอ่ ดอกออกตามซอกใบ ยาว 2-10 ซม. ดอกจ�ำนวนมาก กา้ นดอกยาว
2-7 มม. กลบี เลี้ยงรปู ใบหอก ยาว 5-7 มม. ดา้ นนอกมีขนสั้นน่มุ ดา้ นในมขี นท่ีโคน
มะกอกเกลอื้ น: เปลอื กแตกเป็นสะเกด็ ใบประกอบปลายค่ี ขอบจักฟนั เลอ่ื ย หูใบรปู ล่ิมแคบ (ภาพหูใบ: เชียงใหม่ - RP; กลีบดอกรูปไข่กลับ ยาว 5-8 มม. เกลี้ยง ขอบจกั ชายครุยลกึ ประมาณกึง่ หน่ึง
ภาพเปลอื ก: หว้ ยขาแข้ง อทุ ัยธานี - SR; ภาพผล: มุกดาหาร - PK) ไมม่ ตี อ่ ม ปลายอบั เรณไู มม่ ขี นแขง็ จานฐานดอกจกั 5 พู รงั ไขม่ ี 3 ชอ่ ง มขี นประปราย
กา้ นเกสรเพศเมียมีขนชว่ งโคน ผลรปู รี ยาว 3-4 ซม. ปลายแหลมหรอื มน กา้ นผล
ยาว 0.7-1 ซม. (ดขู อ้ มูลเพ่มิ เตมิ ท่ี ไครย้ ้อย, สกุล)

พบที่พมา่ ลาว และกมั พชู า ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้ ขนึ้ ตามริม
ลำ� ธารในปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู ระดบั ตำ่� ๆ หรอื ปลกู เปน็ ไมผ้ ล ทำ� เปน็
ผลไม้ดอง

เอกสารอ้างองิ
Phengklai, C. (1981). Elaeocarpaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 435.

มะกอกขน: สว่ นตา่ ง ๆ มขี นสน้ั นุ่มสีนำ�้ ตาลแดง หใู บรปู กลม กลบี เล้ยี งขยายในผล (ภาพ: ยะลา - RP) มะกอกน�้ำ: ใบเรียงเวียน ขอบจักฟันเลื่อย กา้ นใบแดง ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ กลีบดอกจักชายครยุ ผลปลายแหลม
(ภาพ: cultivated - RP)
มะกอกดอน
มะก่องข้าว, สกลุ
Schrebera swietenioides Roxb.
วงศ์ Oleaceae Abutilon Mill.
วงศ์ Malvaceae
ไม้ต้น สูงไดถ้ ึง 15 ม. ใบประกอบปลายค่ี เรียงตรงขา้ ม ใบประกอบยอ่ ยมี 2-3 คู่
รูปรี รูปขอบขนาน หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 7-15 ซม. แผ่นใบด้านล่างมขี นส้ันนุ่ม กา้ นใบ ไมล้ ม้ ลุก ไมพ้ ุ่ม หรอื ไมต้ ้น สว่ นมากมขี นหรอื ขนรปู ดาวทั่วไป หูใบรว่ งเรว็
ยาว 0.5-1.5 ซม. ใบปลายยาวได้ถึง 4 ซม. ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกแยกแขนง ออกที่ ใบเรียงเวยี น ขอบจักมนหรอื จักฟันเลอ่ื ย เสน้ แขนงใบรูปฝา่ มอื ดอกออกเดยี่ ว ๆ
ปลายก่ิง ยาว 6-15 ซม. ดอกจ�ำนวนมาก ก้านดอกยาว 1-5 มม. กลีบเลยี้ งรูปถว้ ย ออกเปน็ คู่ หรอื เปน็ ชอ่ กระจกุ ตามซอกใบ หรอื ชอ่ แยกแขนงตามปลายกง่ิ ไมม่ รี ว้ิ
ยาว 2-3 มม. จกั ไมช่ ัดเจน ดอกสเี ขยี วรปู ดอกเขม็ หลอดกลบี ดอกยาว 0.8-1.1 ซม. ประดบั กลีบเล้ยี งรูประฆงั ปลายแยกเปน็ 5 แฉก กลบี ดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกัน
มี 6-7 กลีบ รปู ไข่กลบั ยาว 4-6 มม. ดา้ นบนมขี นสนี ำ�้ ตาลหนาแนน่ เกสรเพศผู้ ทโ่ี คนและแนบตดิ หลอดเกสรเพศผู้ กา้ นเกสรเพศผแู้ ยกกระจายออกตามเสา้ เกสร
2 อนั ติดที่คอหลอดกลีบดอก ก้านชูอบั เรณสู ัน้ มาก รังไขม่ ี 2 ชอ่ ง แต่ละช่องมอี อวลุ มี 5-20 คารเ์ พล แตล่ ะคารเ์ พลมอี อวลุ 2-9 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมยี จ�ำนวนเทา่ คารเ์ พล
4 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 0.5-1 ซม. ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ ผลแหง้ แตก รปู ขอบขนาน ผลแหง้ แยกเปน็ ซีกเทา่ จำ� นวนคารเ์ พล เมล็ดรูปคล้ายไต เกล้ยี งหรอื มขี น
แกมรปู ไข่กลบั ยาว 5-6 ซม. เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 3-3.5 ซม. ผวิ มีตมุ่ เมลด็ มีปกี
รูปไข่ แบน ยาว 3-4 ซม. รวมปีก สกลุ Abutilon อยภู่ ายใต้วงศ์ยอ่ ย Malvoideae มีประมาณ 100 ชนดิ พบในเขตร้อน
และก่งึ เขตร้อน ในไทยมีประมาณ 6 ชนิด ช่อื สกุลเป็นภาษาอาหรบั “aubutilan”
พบทีอ่ นิ เดีย พม่า กัมพูชา และลาว ในไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวนั ออก ท่ีเรียกพชื ในสกุลนี้
และภาคตะวันตกเฉยี งใต้ ขึน้ ตามป่าเตง็ รงั ความสงู ถึงประมาณ 900 เมตร ราก
เปลอื ก และใบมรี สขม มีสรรพคุณชว่ ยเจริญอาหาร แก้ทอ้ งเสีย และใช้พอกแผล มะกอ่ งขา้ ว
ท้งั ในคนและสตั วเ์ ลีย้ ง
Abutilon indicum (L.) Sweet
สกลุ Schrebera Roxb. มปี ระมาณ 8 ชนิด พบท้ังในอเมริกาเขตรอ้ น แอฟรกิ า
และเอเชีย ในไทยมชี นิดเดียว ชื่อสกลุ ตงั้ ตามนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมนั ชือ่ พอ้ ง Sida indica L.
Johann Christian Daniel von Schreber (1739-1810)
ไมพ้ ุ่ม สูง 0.5-3 ม. มีขนละเอียดและขนรูปดาวหนาแนน่ ตามล�ำตน้ ก่งิ แผน่ ใบ
เอกสารอา้ งองิ ดา้ นลา่ ง กา้ นดอก กลบี เลี้ยงดา้ นนอก และผล หใู บรปู ลมิ่ แคบ ยาว 1-2 มม. ใบรูปไข่
Green, P.S. (2000). Oleaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(2): 298-299. กวา้ ง ยาว 3-9 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนรปู หวั ใจ ขอบจกั ซฟ่ี นั ไมเ่ ปน็ ระเบยี บ

331

มะกัก สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

ก้านใบยาว 2-4 ซม. ดอกออกเด่ยี ว ๆ ตามซอกใบ กา้ นดอกยาวได้ถึง 4 ซม. มะเกลอื , สกุล
มขี อ้ ตอ่ ใกล้ปลายกา้ น กลีบเล้ยี งรปู รี ยาวประมาณ 7 มม. ปลายแหลม ขยายในผล
เล็กนอ้ ย กลบี ดอกรูปไข่กลบั ยาว 7-8 มม. ปลายกลมหรือเวา้ ต้นื หลอดเกสรเพศผู้สน้ั Diospyros L.
มีขนรปู ดาวที่โคน มี 15-20 คารเ์ พล ผลรปู คร่ึงวงกลม เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม. วงศ์ Ebenaceae
มี 15-20 ซีก ปลายมีจะงอยสั้น ๆ กลีบเลีย้ งท่ขี ยายสัน้ กวา่ ผล เมลด็ ขนาดเลก็
รูปคลา้ ยไต มขี นรปู ดาวกระจาย ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ แยกเพศตา่ งตน้ หรอื รว่ มตน้ หรอื มดี อกสมบรู ณเ์ พศอยดู่ ว้ ย
ไมม่ หี ใู บ เปลือกส่วนมากสีเทาด�ำ ใบเรยี งสลบั ระนาบเดยี ว ดอกเพศผสู้ ่วนมาก
พบทอ่ี นิ เดยี ศรลี งั กา ภฏู าน เนปาล จนี ไตห้ วนั ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ออกเปน็ ชอ่ กระจกุ สนั้ ๆ ตามซอกใบ กงิ่ และล�ำตน้ กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกจำ� นวน
ข้ึนเป็นวัชพืชท่ัวไป แยกเป็นหลายชนิดย่อย ในไทยมี subsp. guineense อยา่ งละ 3-7 กลบี ดอกเพศเมยี สว่ นมากออกเดยี่ ว ๆ คลา้ ยดอกเพศผแู้ ตข่ นาดใหญ่
(Schumach.) Borss. Waalk. กลบี เล้ยี งทขี่ ยายในผลยาวเทา่ ๆ ผล เรยี วแคบ กว่า กลบี เลย้ี งขยายในผล กลีบดอกเชอ่ื มตดิ กนั เกสรเพศผ้มู ี 4 อัน หรอื หลายอัน
ยาว 0.5-1 ซม. ใชเ้ ปน็ สมุนไพรอยา่ งแพรห่ ลายโดยเฉพาะในอนิ เดียและจีน กา้ นชอู บั เรณสู ว่ นมากเกลยี้ ง มหี รอื ไมม่ เี กสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั หรอื รงั ไขท่ ไ่ี มเ่ จรญิ
รงั ไขม่ ี 2-16 ช่อง แตล่ ะช่องมอี อวุล 1-2 เม็ด เกสรเพศเมยี มี 2-8 อนั ยอดเกสรเพศเมยี
เอกสารอ้างอิง แยก 2 แฉก ผลสดหรือแหง้ มีหลายเมล็ด บางคร้งั แข็ง เมล็ดแบน เอนโดสเปริ ม์
Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Malvaceae. In Flora of China Vol. เรียบหรือเป็นช้ัน
12: 278.
van Borssum Waalkes, J. (1996). Malesian Malvaceae revised. Blumea 14: 170. สกุล Diospyros มีประมาณ 500 ชนดิ ส่วนใหญอ่ ยใู่ นเขตร้อน ในไทยมีประมาณ
70 ชนิด ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “dios” เก่ียวกับเทพเจ้า และ “pyros” ข้าวสาลี
มะกอ่ งข้าว: ดอกออกเด่ียว ๆ ตามซอกใบ ก้านดอกยาว กลีบดอกรปู ไขก่ ลบั หลอดเกสรเพศผสู้ ้นั ผลมีหลายซกี มีขน เป็นค�ำ กรีกโบราณ “diospyron” ทใี่ ชเ้ รยี กพชื หลายชนดิ ทผี่ ลรบั ประทานได้
รปู ดาวหนาแนน่ ปลายมีจะงอยส้ัน ๆ (ภาพ: กยุ บรุ ี ประจวบคีรีขันธ์ - RP)
มะเกลอื
มะกัก
Diospyros mollis Griff.
Spondias bipinnata Airy Shaw & Forman ไมต้ น้ สงู 10-30 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามกงิ่ และใบออ่ น กา้ นใบ และกลบี เลยี้ งดา้ นนอก
วงศ์ Anacardiaceae
ใบรูปไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 4-8 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว เส้นแขนงใบ
ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู ไดถ้ งึ 25 ม. กงิ่ ออ่ นมขี นสน้ั นมุ่ ใบประกอบ 2 ชนั้ เรยี งเวยี น ขา้ งละ 10-15 เสน้ ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ดอกเพศผกู้ ลีบเลีย้ งรูประฆัง ยาว 1-2 มม.
ใบประกอบย่อยมี 3-5 คู่ คลู่ า่ งมักลดรปู เปน็ ใบเดีย่ ว ใบย่อยมี 3-5 คู่ ใบปลาย มี 4 กลบี แฉกลกึ ประมาณกึง่ หนง่ึ กลีบดอกรปู คนโท ยาว 6-8 มม. มี 4 กลีบ
ขนาดใหญ่กวา่ ใบดา้ นขา้ ง รปู รีหรือรปู ไข่ ยาว 2-8.5 ซม. ปลายแหลมยาวหรอื แฉกลึกประมาณก่งึ หน่ีง กา้ นดอกยาวประมาณ 1 มม. เกสรเพศผู้ มี 14-24 อัน
ยาวคล้ายหาง โคนกลม เบยี้ ว แผ่นใบมีขนสั้นนุม่ ทงั้ สองดา้ น กา้ นใบยอ่ ยใบขา้ ง รงั ไขท่ ไี่ มเ่ จรญิ เกลยี้ งหรอื มขี นยาว รงั ไขม่ ขี นสนั้ นมุ่ มี 8 ชอ่ ง เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั
สน้ั มาก ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ออกทปี่ ลายกงิ่ ยาวเทา่ ๆ หรอื ยาวกวา่ ใบประกอบ มี 8-10 อัน ผลกลม เสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. กลีบเลย้ี งปลายแฉก
ดอกจำ� นวนมากสขี าว ใบประดบั รปู แถบขนาดเลก็ กา้ นดอกยาว 4-6 มม. กลบี เลย้ี ง ประมาณกึ่งหนึ่ง กลบี พบั งอกลบั ก้านผลยาว 2-5 มม. เอนโดสเปิร์มเรียบ
4 กลบี รูปไข่ ยาวประมาณ 1 มม. มขี นประปราย กลีบดอก 4 กลีบ เรยี งจรดกัน
รูปรี ยาวประมาณ 4 มม. เกสรเพศผู้ 10 อนั โคนก้านชูอบั เรณกู วา้ ง จานฐานดอก พบที่พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทุกภาค ข้ึนตามป่าเบญจพรรณ
จักเปน็ พูตืน้ ๆ 10 พู รงั ไข่มี 5 ช่อง ก้านเกสรเพศเมีย 5 อนั ผลผนงั ช้นั ในแขง็ รูปรี ปา่ ดบิ แลง้ หรือเขาหินปูน ความสงู ถงึ ประมาณ 500 เมตร รากและผลดิบใช้เปน็
หรือรปู ไข่ ยาว 4-4.5 ซม. สกุ สีเหลอื ง กา้ นหนา ยาถา่ ยพยาธิ ควรใช้ดว้ ยความระมัดระวังเน่อื งจากมีพษิ ผลใหส้ ีด�ำใช้ยอ้ มผา้

พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบตามเขาหนิ ปนู ทแี่ หง้ แลง้ เตยี้ ความสงู ไมเ่ กนิ 300 เมตร มะเกลือนอ้ ย
ทางภาคเหนือตอนลา่ ง ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก และภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้
Diospyros dumetorum W. W. Sm.
สกลุ Spondias L. มีประมาณ 25 ชนดิ พบในอเมรกิ าและเอเชียเขตร้อน ใน ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 1-6 ซม. ปลาย
ไทยมี 5 ชนิด ชอื่ สกุลมาจากภาษากรีก “spodias” ที่ใชเ้ รียกพืชพวกมะกอกป่า
เอกสารอา้ งอิง แหลมยาว แผน่ ใบมีขนอยุ หนาแนน่ ร่วงเรว็ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 3-5 เสน้ กา้ นใบ
Chayamarit, K. (2010). Anacardiaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 323. ยาว 2-3 มม. ดอกเพศผู้ กลบี เลยี้ ง 4 กลบี ยาว 1-3 มม. แฉกลึกเกือบจรดโคน
ดา้ นนอกมขี นสาก กลบี ดอกรปู คนโท มี 4 กลบี ยาว 3-5 มม. มขี นตามเสน้ กลางกลบี
กา้ นดอกยาวประมาณ 3 มม. เกสรเพศผมู้ ี 14-18 อนั มขี นคลา้ ยไหม รงั ไขท่ ไี่ มเ่ จรญิ
มีหรือไม่มี เกล้ียง รังไขม่ ขี นเอน เกสรเพศผทู้ ่เี ป็นหมันมี 7-9 อัน หรือไมม่ ี ผลรปู กลม
ปลายมตี ่ิงแหลม เสน้ ผ่านศนู ย์กลางประมาณ 1 ซม. สกุ สดี ำ� กลบี เลี้ยงพบั งอกลบั
กา้ นผลยาว 1-2 มม. เอนโดสเปริ ม์ เรยี บ

พบทจ่ี นี ตอนใต้ และภาคเหนอื ของไทยทดี่ อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ และ
ดอยตงุ จงั หวดั เชยี งราย ขน้ึ ตามปา่ ดบิ เขาทเี่ ปน็ หนิ ปนู ความสงู 1300-1800 เมตร

เอกสารอ้างอิง
Li, S., M.G. Gilbert and F. White. (1996). Ebenaceae. In Flora of China Vol.
15: 222.
Phengklai, C. (1981). Ebenaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 310, 337-338.

มะกกั : ใบประกอบ 2 ชัน้ ปลายใบแหลมยาว โคนกลม เบ้ียว ก้านใบยอ่ ยใบข้างสน้ั มาก ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง มะเกลอื : ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อกระจุกส้ัน ๆ กลีบดอกแฉกลกึ ประมาณกึง่ หนีง่ กลบี เล้ยี งติดทน แฉกประมาณก่งึ
ออกทีป่ ลายกิง่ ก้านผลหนา (ภาพ: สระบุรี - RP) หนึ่ง พบั งอกลบั (ภาพดอก: cultivated - PK; ภาพผล: นครราชสีมา - RP)

332

สารานุกรมพืชในประเทศไทย มะขามป้อมดง

มะเกลอื น้อย: ดอกเพศเมียออกเดีย่ ว ๆ ผลกลม ปลายมตี งิ่ แหลม สกุ สดี ำ� (ภาพ: ดอยตงุ เชยี งราย - RP) พบท่อี นิ เดยี ภฏู าน ศรีลงั กา จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ิภาคอินโดจีนและมาเลเซยี
ฟลิ ิปปินส์ ขนึ้ ในปา่ หลายประเภท ความสูงถงึ ประมาณ 1500 เมตร มีสรรพคณุ
มะขามแขก ดา้ นสมนุ ไพรหลายอยา่ ง โดยเฉพาะผลทเี่ ปน็ สว่ นประกอบในสมนุ ไพรหลายขนาน

Cathormion umbellatum (Vahl) Kosterm. เอกสารอ้างองิ
วงศ์ Fabaceae Chantaranothai, P. (2007). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of Thailand
Vol. 8(2): 488-490.
ช่อื พอ้ ง Mimosa umbellata Vahl Li, B. and M.G. Gilbert. (2008). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of China
Vol. 11: 182.
ไมพ้ มุ่ แตกกงิ่ ตำ�่ สูง 4-5 ม. มหี นามท่ัวไป ก่ิงมีขนประปราย ใบประกอบ 2 ชนั้
แกนกลางยาว 4-7 ซม. แกนกลางและระหว่างรอยต่อใบประกอบย่อยมีต่อม มะขามป้อม: ใบรปู แถบเรยี งสลับระนาบเดยี ว ชอ่ ดอกออกเป็นกระจกุ ตามซอกใบช่วงโคนกง่ิ ผลรูปกลม (ภาพดอก:
บุ๋มกลาง ใบประกอบยอ่ ย 2-4 คู่ ยาว 3-6 ซม. ใบย่อย 5-13 คู่ รปู ขอบขนาน แมแ่ ตง เชยี งใหม่ - PT; ภาพผล: หว้ ยขาแขง้ อทุ ัยธานี - PK)
ยาว 1-1.5 ซม. เบีย้ วเล็กนอ้ ย ปลายกลมและมีตงิ่ โคนตัด ไรก้ ้าน ช่อดอกแบบ
ชอ่ เชงิ หลน่ั เปน็ กระจกุ แนน่ ทปี่ ลายชอ่ ดอกวงนอกยาวกวา่ วงในเลก็ นอ้ ย กลบี เลย้ี ง มะขามป้อมดง
ยาวประมาณ 3 มม. แยกเป็น 5 แฉกรูปสามเหลย่ี มขนาดเล็ก ดอกรปู กรวยยาวไดถ้ งึ
7 มม. มี 5 กลบี รปู ใบหอก ยาวประมาณ 2 มม. ขอบมีขนครยุ เกสรเพศผ้จู ำ� นวนมาก Cephalotaxus mannii Hook. f.
กา้ นชอู บั เรณเู ชอ่ื มตดิ กนั เป็นหลอด ยาว 4-5 ซม. รงั ไขเ่ กลย้ี ง ก้านเกสรเพศเมีย วงศ์ Taxaceae
รูปเสน้ ด้าย ยอดเกสรเป็นตุม่ ฝักโคง้ งอ แบน คอดเวา้ ตามเมลด็ ยาวได้ถึง 20 ซม.
เมลด็ แบน รูปไขก่ ลบั ยาว 1-1.2 ซม. ชอ่ื พอ้ ง Cephalotaxus griffithii Hook. f.

พบทศี่ รีลังกา อนิ เดีย และภมู ภิ าคอินโดจีน ในไทยพบแทบทุกภาค ขึ้นตามทล่ี มุ่ ไมต้ ้น สูงไดถ้ งึ 30 ม. แยกเพศร่วมต้น ล�ำต้นเปลาตรง เปลือกเรยี บ ลอก
นำ้� ท่วมถึงหรือมีน�้ำทว่ มในหน้าฝน ความสงู ไม่เกิน 100 เมตร แยกเปน็ subsp. เปน็ แผน่ บาง ใบเรยี ง 2 แถวคลา้ ยซหี่ วี เรยี งตรงขา้ มสลบั ตงั้ ฉากหรอื เรยี งตรงขา้ ม
moniliforme (DC.) Brummitt ใบขนาดใหญ่กวา่ เบยี้ ว พบท่ชี วา นวิ กนิ ี และ รูปใบหอก หรือรูปแถบโค้งเล็กนอ้ ย ยาว 1.5-5 ซม. ปลายมตี ่ิงแหลม โคนมน
ออสเตรเลีย เสน้ กลางใบนนู ทง้ั สองดา้ น แผน่ ใบดา้ นลา่ งมนี วล ปากใบเรยี งเปน็ แถบ 12-14 แถว
โคนเพศผอู้ อกตามกง่ิ เปน็ ชอ่ กระจกุ แนน่ มี 6-8 โคน เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ
สกลุ Cathormion Hassk. อย่ภู ายใตว้ งศ์ยอ่ ย Mimosoideae ซง่ึ แยกออกมา 4 มม. มปี ยุ ขาวปกคลมุ กา้ นชอ่ สนั้ โคนเพศเมยี ออกตามซอกเกลด็ ตาทยี่ อด 1-8 โคน
จากสกุล Albizia ตามลกั ษณะของผล ซึง่ ได้รบั การยอมรับอยา่ งกวา้ งขวาง มี กา้ นยาว 0.6-1 ซม. เกลด็ ประดบั เรยี งตรงขา้ มสลบั ฉากเปน็ คู่ แตล่ ะเกลด็ มอี อวลุ
ชนดิ เดยี ว ชอื่ สกุลมาจากภาษากรีก “cathormion” สรอ้ ยคอ ตามลกั ษณะผล 2 เม็ด ส่วนมากเจริญเพียงเม็ดเดียว เมล็ดคล้ายผลผนังช้ันในแข็ง เกิดจาก
เน้อื เยอ่ื หุ้มจนมิด รปู รหี รือกลม ยาวประมาณ 2.5 ซม. มตี ง่ิ ท่ปี ลาย สุกสีแดงฉ�่ำนำ้�
เอกสารอ้างอิง
Nielsen, I.C. (1985). Leguminosae-Mimosoideae. In Flora of Thailand Vol. 4(2): พบทอี่ นิ เดยี จนี ตอนใต้ พมา่ และลาว ในไทยพบทางภาคเหนอื ทเี่ ชยี งใหม่ เชยี งราย
200-202. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ทีเ่ ลย ข้ึนตามปา่ ดิบเขา ความสงู 1000-1800 เมตร

สกุล Cephalotaxus Siebold & Zucc. ex Endl. เปน็ พชื เมล็ดเปลือย มปี ระมาณ
12 ชนดิ สว่ นมากพบในเอเชียตะวนั ออก ในไทยมชี นิดเดยี ว การจัดจ�ำ แนกยงั มี
ความสบั สนระหวา่ งภายใตว้ งศ์ Cephalotaxaceae หรอื Taxaceae แตข่ อ้ มูล
สว่ นใหญ่ยอมรับอยู่ภายใตว้ งศ์ Taxaceae แม้วา่ เมล็ดพืชในวงศ์ Taxaceae
ส่วนมากมขี นาดเล็กและมีเน้อื เยือ่ หมุ้ บางส่วน ชอ่ื สกุลมาจากภาษากรกี
“kephale” หัว และสกลุ Taxus หมายถงึ ตน้ ไมท้ ่คี ลา้ ยพวกต้นสนในสกลุ Taxus
เอกสารอ้างอิง
Fu, L., N. Li and R.R. Mill. (1999). Cephalotaxaceae. In Flora of China Vol. 4: 85-88.
Phengklai, C. (1975). Cephalotaxaceae (Cephalotaxus griffithii). In Flora of

Thailand. Vol. 2(2): 195.

มะขามแขก: ใบประกอบ 2 ช้นั ช่อดอกแบบช่อเชิงหลั่นเป็นกระจกุ แนน่ ที่ปลายชอ่ เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก ฝกั โคง้ งอ มะขามปอ้ มดง: แผน่ ใบดา้ นล่างมีนวล โคนเพศผ้อู อกตามก่งิ เป็นชอ่ กระจกุ แนน่ ใบเรยี งตรงขา้ ม เมลด็ มีเย่อื หุ้มจนมิด
แบน ฝักคอดเว้าตามเมล็ด (ภาพ: สระบรุ ี - RP) สุกสแี ดงฉำ�่ น้�ำ (ภาพโคนเพศผ:ู้ เลย - MP; ภาพเมล็ด: เลย - PK)

มะขามป้อม

Phyllanthus emblica L.
วงศ์ Phyllanthaceae

ไมต้ ้น สูงได้ถึง 20 ม. หูใบรูปสามเหล่ยี มขนาดเล็ก ใบเรยี งสลับระนาบเดียว
รปู แถบ ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ปลายมน โคนเว้าตื้น เบี้ยว กา้ นใบยาว 0.2-0.8 มม.
ชอ่ ดอกออกเปน็ กระจกุ ตามซอกใบชว่ งโคนกง่ิ ไมม่ กี ลบี ดอก ดอกเพศผกู้ า้ นดอกยาว
1.5-3 มม. กลีบเลีย้ ง 6 กลีบ รูปไข่แกมรปู ขอบขนาน ยาว 1.2-2 มม. จานฐานดอก
เป็นตอ่ มรูปกระบอง 6 ต่อม เกสรเพศผู้ 3 อัน เช่อื มติดกนั ท่โี คน ดอกเพศเมียกา้ น
สน้ั กวา่ ในดอกเพศผู้ กลบี เลยี้ งยาวกวา่ เลก็ นอ้ ย จานฐานดอกเปน็ วงมสี นั รงั ไขเ่ กลย้ี ง
กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 1-1.5 ม. ยอดเกสรแยก 2 แฉก ผลรปู กลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
2-3 ซม. เมล็ดขนาดไม่เท่ากนั ยาว 4-6 มม. (ดขู ้อมลู เพ่ิมเติมท่ี ผกั หวานดง, สกุล)

333

มะขามป้อมดิน สารานุกรมพืชในประเทศไทย

มะขามปอ้ มดิน ขนาดเลก็ ปลายแหลมหรือแหลมยาว ก้านใบยอ่ ยส้ัน ช่อดอกยาว 1.5-2.5 ซม.
ใบประดบั รูปขอบขนาน ยาว 0.3-1 ซม. ใบประดับยอ่ ยยาว 3-4 มม. กา้ นดอกยาว
Phyllanthus sootepensis Craib 0.7-1.5 ซม. กลีบเลี้ยง 4 กลบี ยาวไมเ่ ทา่ กนั ยาว 3-4 มม. กลีบดอกรูปใบหอก ยาว
วงศ์ Phyllanthaceae 5-8 มม. เกสรเพศผู้มปี ระมาณ 10 อนั รังไขม่ ีขนส้นั นมุ่ มกี ้านสั้น ก้านเกสรเพศเมีย
ยาวประมาณ 5 มม. ผลรปู รหี รือรปู ไข่ ยาว 2-5 ซม. มจี ะงอยใกลป้ ลายผล ผิวยน่
ไมพ้ มุ่ สูงไดถ้ ึง 3 ม. ล�ำต้นเกลีย้ ง หใู บรปู ล่มิ แคบ ยาว 2-5 มม. ใบเรียงสลบั
ระนาบเดยี ว รูปรหี รอื รปู ไข่ เบี้ยวเล็กนอ้ ย ยาว 1.2-1.8 ซม. ปลายมน กลม หรอื พบที่อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะแปซิฟิก ในไทยพบทาง
มตี ิ่งแหลม โคนเบี้ยว เสน้ แขนงใบข้างละ 4-6 เสน้ กา้ นใบยาว 0.5-1 มม. ดอกเพศผู้ ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขนึ้ ตามชายปา่ โกงกางหรอื ปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู ถงึ
ออกเปน็ กระจกุ ตามซอกใบชว่ งลา่ งของกง่ิ กา้ นดอกยาว 0.4-1 ซม. กลบี เลยี้ ง 4 กลบี ประมาณ 400 เมตร มกั พบปลูกตามวดั อาจเข้าใจว่าเป็นต้นโสก Saraca indica L.
รปู ไขก่ ลบั หรอื กลม ยาว 1.2-2 มม. ขอบจกั ชายครยุ จานฐานดอกเปน็ ตอ่ ม 4 ตอ่ ม เปลอื กและรากมสี รรพคณุ เปน็ ยาระบาย ใบตา้ นเชอ้ื แบคทเี รยี และไวรสั ตามผวิ หนงั
รปู รี เกสรเพศผู้ 4 อนั เช่อื มตดิ กนั ที่โคน ดอกเพศเมยี ออกเดย่ี ว ๆ ตามซอกใบ
ชว่ งปลายกง่ิ กา้ นดอกยาวกวา่ ในดอกเพศผู้ ขยายในผลไดถ้ งึ 2.5 ซม. กลบี เลยี้ ง เอกสารอ้างองิ
6 กลบี รูปรกี วา้ ง ยาว 1.6-3.8 มม. ขอบจักชายครยุ ไม่ชดั เจน จานฐานดอกเปน็ Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
ต่อม 6 ต่อม รังไขเ่ กลยี้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี สนั้ มาก ยอดเกสรแยก 2 แฉก ผลกลม In Flora of Thailand Vol. 4(1): 48-49.
เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 2.5-3 มม. เมล็ดรปู สามเหลย่ี ม ยาวประมาณ 1.5 มม. (ดู
ข้อมูลเพมิ่ เตมิ ท่ี ผักหวานดง, สกลุ ) มะคะ: ใบประกอบสว่ นมากมีคู่เดยี ว ถ้ามีใบยอ่ ย 2 คู่ คู่ล่างขนาดเลก็ กา้ นใบประกอบส้นั แผน่ ใบเบ้ียว ผลผิวย่น
ปลายมจี ะงอย (ภาพ: cultivated - SSi)
พบท่ีจีนตอนใต้ ในไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
ภาคตะวันตกเฉยี งใต้ ขน้ึ ตามปา่ เตง็ รัง และปา่ เบญจพรรณ ความสงู ถึงประมาณ
1300 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Chantaranothai, P. (2007). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of Thailand
Vol. 8(2): 503.
Li, B. and M.G. Gilbert. (2008). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of China
Vol. 11: 183.

มะขามปอ้ มดิน: ดอกเพศผ้อู อกเป็นกระจุกตามซอกใบช่วงล่างของกิง่ กลีบเลย้ี ง 4 กลบี ขอบจกั ชายครยุ จานฐานดอก อัมพวา: ชอ่ ดอกออกตามลำ� ตน้ เกสรเพศผสู้ ว่ นมากมี 10 อนั (ภาพ: cultivated - PK)
เปน็ ต่อม 4 ต่อม ดอกเพศเมยี ออกเดี่ยว ๆ กลีบเลี้ยง 6 กลีบ ตดิ ทน กา้ นดอกขยายในผล (ภาพ: ทุ่งใหญ่นเรศวร ตาก - PK)
มะคังดง
มะคะ, สกลุ
Ostodes paniculata Blume
Cynometra L. วงศ์ Euphorbiaceae
วงศ์ Fabaceae
ไม้ต้น สงู ได้ถงึ 15 ม. แยกเพศตา่ งตน้ หรือร่วมต้น เปลอื กมนี �้ำยางสแี ดง กิง่ มี
ไม้พุ่มหรอื ไม้ต้น ใบประกอบมใี บยอ่ ย 1-3 คู่ ใบยอ่ ยเบีย้ ว ชอ่ ดอกออกเปน็ ช่องอากาศ หใู บขนาดเล็ก ร่วงเร็ว ใบเรยี งเวยี น รูปรหี รือรปู ไข่ ยาว 10-24 ซม.
ชอ่ กระจะสนั้ ๆ เปน็ กระจกุ ตามซอกใบหรอื ลำ� ตน้ ฐานดอกสน้ั กลบี เลยี้ งมี 4-5 กลบี ปลายแหลมหรอื แหลมยาว กา้ นใบยาว 3.5-20 ซม. ปลายกา้ นมตี อ่ ม 2 ตอ่ ม ชอ่ ดอก
พบั งอกลบั กลบี ดอก 5 กลบี กลีบล่าง 1 กลบี มักมีขนาดเล็ก เกสรเพศผู้ส่วนมาก แบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง หอ้ ยลง ยาว 8-13 ซม. ชอ่ ดอกเพศเมยี สน้ั กลบี เลย้ี งและ
มี 10 อัน หรือมไี ดถ้ ึง 15 อนั แยกกัน รงั ไขม่ ีชอ่ งเดียว ออวลุ 1-2 เมด็ ผลเปน็ ฝัก กลีบดอกจ�ำนวนอย่างละ 5 กลีบ กลีบเล้ียงรูปขอบขนาน ดอกสีขาวหรืออมชมพู
รูปไข่ งอส้นั ๆ หรือรูปคล้ายไต แหง้ ไม่แตก ผนงั กน้ั หนา ผิวเรยี บหรือยน่ กลีบรปู ไข่ ดอกเพศผกู้ ลีบเล้ียงยาว 4-5 มม. กลีบดอกยาว 6-7 มม. เกสรเพศผู้
จำ� นวนมาก ยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก วงในเชอ่ื มตดิ กนั ทโี่ คนมากกวา่ วงนอก จานฐานดอก
สกลุ Cynometra อยู่ภายใต้วงศ์ยอ่ ย Caesalpinioideae เผ่า Detarieae คล้ายกับ เปน็ ตอ่ ม 5-6 ตอ่ ม ดอกเพศเมยี กลบี เลีย้ งยาว 5-8 มม. ไม่ขยายในผล กลีบดอก
สกลุ ล�ำ ภรู า Maniltoa แตม่ ีจำ�นวนเกสรเพศผูน้ อ้ ยกว่า มี 80-90 ชนิด พบใน ยาวประมาณ 1 ซม. จานฐานดอกเป็นวง รงั ไข่มี 3 ช่อง แต่ละชอ่ งมอี อวลุ 1 เม็ด
อเมริกาเขตรอ้ น แอฟริกา มาดากสั การ์ เอเชียเขตร้อน ออสเตรเลยี และหมู่เกาะ กา้ นเกสรเพศเมีย 3 อนั ยาว 2-3 มม. ปลายแยก 2 แฉก ตดิ ทน ผลแห้งแตก เปลือกแขง็
แปซฟิ ิก ในไทยเปน็ พืชพ้นื เมอื ง 4 ชนิด เปน็ ไมป้ ระดบั 1 ชนดิ คือ อัมพวา จกั 3 พู ตืน้ ๆ เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 2.5-3.5 ซม. มขี นส้นั น่มุ เมล็ดรปู ไข่ ยาว 1-1.5 ซม.
C. cauliflora L. ท่ีชอ่ ดอกออกตามล�ำ ต้น ผลสกุ กินได้ มีถ่ินก�ำ เนิดในอินโดนีเซยี
ช่อื สกลุ มาจากภาษากรีก “cyno” สุนขั และ “metro” มดลกู ตามลกั ษณะของผล พบทอี่ นิ เดยี ภฏู าน เนปาล พมา่ จนี ตอนใต้ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี คาบสมทุ รมลายู
สมุ าตรา และชวา ในไทยพบทุกภาค ขนึ้ ตามป่าดบิ แล้ง ป่าดิบเขา และปา่ ดบิ ช้ืน
มะคะ ความสงู 400-1500 เมตร

Cynometra ramiflora L. สกุล Ostodes Blume มชี นิดเดยี ว แยกเปน็ var. katharinae (Pax) Chakrab. &
ไมต้ ้น สูงไดถ้ ึง 30 ม. ใบประกอบมใี บย่อย 1-2 คู่ กา้ นใบประกอบยาว 3-5 มม. N. P. Balakr. ชอ่ ดอกและรงั ไขม่ ขี นส้ันนมุ่ เกสรเพศผู้มีมากกวา่ การกระจายพนั ธุ์
เช่นเดยี วกับ var. paniculata ช่ือสกลุ เปน็ ภาษากรีก หมายถงึ เหมือนกระดกู
ใบย่อยรูปรี รปู ขอบขนาน หรือเกอื บกลม ยาว 5-20 ซม. ถา้ มีใบยอ่ ย 2 คู่ คู่ล่าง อาจหมายถึงช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง หอ้ ยลง

เอกสารอ้างองิ
Phattarahirankanok, K. and K. Chayamarit. (2007). Euphorbiaceae (Ostodes).
In Flora of Thailand Vol. 8(2): 460-463.

334

สารานุกรมพืชในประเทศไทย มะเค็ด

มะคังดง: ช่อดอกเพศผหู้ อ้ ยลง เกสรเพศผจู้ �ำนวนมาก ยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก ผลจกั 3 พู กลีบเลี้ยงไมข่ ยายในผล มะคา่ โมง
เกสรเพศเมยี ติดทน (ภาพช่อดอกเพศผู้: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - TP; ภาพผล: เชียงใหม่ - RP)
Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib
มะค่าแต้ วงศ์ Fabaceae

Sindora siamensis Teijsm. ex Miq. ชอ่ื พ้อง Pahudia xylocarpa Kurz
วงศ์ Fabaceae
ไมต้ น้ สูงได้ถงึ 30 ม. ลำ� ต้นคดงอ มีขนส้ันนุ่มสีเทาตามช่อดอก ฐานดอก
ชื่อพ้อง Sindora cochinchinensis Baill. กลีบเลี้ยง โคนกลีบดอก กา้ นชูอบั เรณู และรงั ไข่ ใบประกอบปลายคู่ มีใบย่อย
3-5 คู่ รปู ไข่ ยาว 5-9 ซม. ปลายมน เวา้ ตืน้ กา้ นใบยอ่ ยยาว 3-5 มม. ช่อดอก
ไม้ตน้ สูงไดถ้ งึ 15 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามกิ่งออ่ น แผน่ ใบด้านลา่ ง และช่อดอก แบบชอ่ แยกแขนง ยาว 5-15 ซม. ใบประดบั รปู ไข่ ยาว 6-9 มม. ใบประดบั ยอ่ ยคลา้ ย
ใบประกอบปลายคู่ กา้ นใบประกอบยาว 2-4 ซม. ใบยอ่ ยมี 3-4 คู่ รูปรี ยาว 6-15 ซม. ใบประดบั ตดิ เหนอื จดุ กง่ึ กลางกา้ นดอก ตดิ ทน กา้ นดอกยาว 0.7-1 ซม. กลบี เลย้ี ง
ปลายกลม เวา้ ตน้ื ๆ แผน่ ใบดา้ นบนมขี นสาก มกั มตี อ่ มใกลข้ อบใบดา้ นลา่ งดา้ นหนง่ึ 4 กลบี รปู รี คนู่ อกขนาดเลก็ กวา่ คใู่ นเลก็ นอ้ ย ยาว 1-1.2 ซม. กลบี ดอกมกี ลบี เดยี ว
กา้ นใบยอ่ ยยาวประมาณ 5 มม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ยาว 10-25 ซม. ใบประดบั สชี มพูอมแดง รปู ขอบขนาน ยาว 1.2-2 ซม. โคนเรยี วแคบเป็นก้านกลบี ปลาย
รปู ไข่ ยาว 3-6 มม. ตดิ ทน ใบประดบั ยอ่ ยขนาดเล็กติดใต้ก่ึงกลางก้านดอก ก้านดอก เว้าต้นื เกสรเพศผทู้ ีส่ มบรู ณ์ 7 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าว 2-3 ซม. เกสรเพศผู้ทีเ่ ป็นหมัน
ยาว 2-4 มม. กลบี เลย้ี งมี 4 กลบี รปู เรอื 1 กลบี รปู ใบหอก 3 กลบี ยาวประมาณ 3 อนั รปู เส้นดา้ ย รงั ไข่มีกา้ นสนั้ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 2-2.5 ซม. ยอดเกสรขนาดเล็ก
7 มม. มตี มุ่ กระจาย ปลายกลบี มหี นามเลก็ ๆ กลบี ดอกมกี ลบี เดยี ว สเี หลอื งอมแดง ฝักแบนรปู ขอบขนาน เบีย้ ว ยาว 15-20 ซม. ปลายเป็นจะงอยส้ัน ๆ เปลือกหนา
ยาวเท่า ๆ กลีบเลีย้ ง เกสรเพศผู้ 10 อัน 9 อนั เช่ือมติดกันทีโ่ คนเป็นแผ่น 2 อัน เมลด็ รปู รี ยาว 2.5-3 ซม. มีผนังกั้น ขว้ั เมลด็ มเี ยือ่ หุ้มหนาสเี หลอื งอมสม้
ด้านบนยาว 1.5-2 ซม. 7 อนั ขนาดเลก็ รงั ไข่มกี ้านสนั้ มีขนหยาบและหนามเลก็ ๆ
กา้ นเกสรเพศเมยี โคง้ ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ ฝกั แหง้ แตก แบนคลา้ ยรปู ไข่ ยาว 4.5-10 ซม. พบทพ่ี มา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาคยกเวน้ ภาคใต้ ขน้ึ ตาม
ปลายมีจะงอย ยาว 5-7 มม. ผวิ มีหนามกระจาย มี 1-3 เมลด็ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ป่าเต็งรงั ป่าเบญจพรรณ และป่าดบิ แล้ง ความสงู ถงึ ประมาณ 600 เมตร เมลด็
1.5-2 ซม. ขั้วเมลด็ มีเยอื่ หุ้มหนา บดใชแ้ ก้ปวดฟัน ปวดท้อง ตาอกั เสบ

พบทภี่ มู ภิ าคอนิ โดจนี และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามปา่ เตง็ รงั สกุล Afzelia Sm. อยู่ภายใตว้ งศ์ยอ่ ย Caesalpinioideae เผ่า Detarieae มี 13 ชนิด
ป่าเบญจพรรณ ป่าดบิ แลง้ และปา่ ชายหาด ความสูงไม่เกนิ 300 เมตร แยกเป็น พบในแอฟริกาและเอเชยี ในไทยมชี นดิ เดียว ชอ่ื สกลุ ตงั้ ตามนายแพทยแ์ ละนัก
var. maritima (Pierre) K. Larsen & S. S. Larsen หรือมะคา่ ลงิ ฝักมีหนาม พฤกษศาสตรช์ าวสวเี ดน Adam Afzelius (1750-1873)
ขนาดเลก็ เปน็ ตุม่ ประปรายหรอื ไมม่ ี การกระจายพันธ์เุ ช่นเดยี วกบั มะคา่ แต้ เอกสารอ้างองิ
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
สกลุ Sindora Miq. อยู่ภายใต้วงศย์ ่อย Caesalpinioideae เผา่ Detarieae มี
ประมาณ 20 ชนิด พบในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะภูมภิ าคมาเลเซีย In Flora of Thailand Vol. 4(1): 126-128.
และพบในแอฟริกา 1 ชนดิ ในไทยมี 3 ชนิด อกี 2 ชนดิ พบเฉพาะทางภาคใต้
คอื กลงิ้ S. coriacea (Baker) Prain และมะคะ S. echinocalyx Prain ช่ือสกุล มะคา่ โมง: ช่อดอกและดอกมขี นสัน้ นุ่ม กลีบเลย้ี ง 4 กลบี ขนาดไมเ่ ท่ากนั กลบี ดอกมกี ลบี เดียว โคนเรยี วเป็นกา้ นกลบี
เป็นภาษามาเลย์ “sindor” ที่ใช้เรียกพืชในสกุลน้ีหลายชนิด เกสรเพศผทู้ สี่ มบูรณ์ 7 อนั ฝักรปู ขอบขนาน เบยี้ ว ปลายมจี ะงอยสน้ั ๆ (ภาพดอก: เลย - PK; ภาพผล: นครพนม - PK)
เอกสารอ้างองิ
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae. มะเค็ด

In Flora of Thailand Vol. 4(1): 98-102. Gardneria ovata Wall.
วงศ์ Loganiaceae
มะคา่ แต้: ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนง ใบประดบั ติดทน ปลายกลบี เลยี้ งมีหนามเล็ก ๆ กลบี ดอกมกี ลีบเดียว ฝักแห้งแตก
มีหนามหรอื เรียบ (var. maritima) (ภาพดอก: ชุมพร, ภาพผลมหี นาม: มกุ ดาหาร, ภาพผลเรยี บ: บงึ กาฬ; - RP) ไม้พุ่ม หรือรอเลอื้ ย ยาวได้ถงึ 5 ม. หใู บร่วมขนาดเลก็ ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู รี
รปู ขอบขนาน หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 3-16 ซม. ปลายแหลม โคนรปู ลม่ิ หรอื เปน็ ครบี
กา้ นใบยาว 1-1.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกหรือแยกแขนงสั้น ๆ ตามซอกใบ
ยาว 3-12 ซม. ก้านชอ่ ยาว 2-4 ซม. ใบประดบั ย่อยขนาดเล็ก 2 ใบ กลีบเลี้ยง 4 กลีบ
เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1.5-2 มม. ขอบมขี นครยุ ดอกรปู กงลอ้ สเี หลอื ง
อมสม้ หลอดกลบี ดอกสนั้ มี 4 กลบี หนา เรยี งจรดกนั ในตาดอก กลบี รปู ไขแ่ กม
รูปขอบขนาน ยาว 4-5 มม. ปลายมีตงิ่ แหลม ด้านในมปี ุ่มขนหนาแน่น เกสรเพศผู้
4 อนั ติดที่โคนหลอดกลีบ กา้ นชูอับเรณสู ้นั อับเรณเู ช่อื มติดกัน ยาว 3-4 มม.
ยน่ื พ้นหลอดกลีบ รงั ไข่ 2 ช่อง แต่ละชอ่ งมอี อวุล 1 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมยี สน้ั
ยอดเกสรแยก 2 แฉก ผลสด เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.8-1 ซม. สกุ สแี ดง มี 1-2 เมลด็

พบที่อนิ เดีย ศรีลงั กา จนี ตอนใต้ คาบสมทุ รมลายู สุมาตรา และชวา ในไทย
พบทางภาคเหนือท่ีเชียงใหม่ เชียงราย ตาก ภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่กาญจนบุรี
และภาคใต้ท่กี ระบ่ี พังงา ข้นึ ตามปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ดิบชนื้ หรือบน
เขาหินปูน ความสงู 200-2000 เมตร

335

มะเค็ด สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

สกลุ Gardneria Wall. มี 7 ชนดิ พบในเอเชียตะวันออกและตะวนั ออกเฉยี งใต้ มะจอเต๊ะ
ในไทยมชี นิดเดียว ชอ่ื สกลุ ตัง้ ตาม Edward Gardner ชาวองั กฤษทเี่ คยส่ง
ตวั อย่างพรรณไม้ให้กบั William Hooker และ Nathaniel Wallich หรืออาจเป็น Ficus deltoidea Jack
นกั พฤกษศาสตร์ชาวองั กฤษ George Gardner (1812-1849) วงศ์ Moraceae
เอกสารอา้ งองิ
Griffin, O. and J. Parnell. (1997). Loganiaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(3): ไมพ้ มุ่ หรอื องิ อาศยั สงู 3-5 ม. มรี ากอากาศ ลำ� ตน้ และกงิ่ เกลยี้ ง เรยี งซกิ แซก็
ใบรปู ไขก่ ลบั หรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 1-8 ซม. ปลายกลม โคนมน แหลม หรอื
206-208. เรยี วสอบ แผน่ ใบหนา ดา้ นลา่ งมกั มสี นี ำ้� ตาลแดงหรอื อมเขยี ว เสน้ กลางใบแยก
2 แฉก มตี อ่ มสดี ำ� ทโ่ี คนใบ โคนเสน้ แขนงใบ และระหวา่ งเสน้ กลางใบทแ่ี ยก 2 แฉก
มะเค็ด: ใบเรยี งตรงขา้ ม ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกหรอื แยกแขนงสน้ั ๆ ตามซอกใบ ดอกรูปกงลอ้ กลีบดอก 4 กลบี กา้ นใบยาว 0.5-3 ซม. มขี นสน้ั ๆ ดอกอยภู่ ายในฐานดอกทขี่ ยายออกเดย่ี วๆ หรอื
หนา บานออก ปลายมตี ิ่งแหลม อับเรณูเช่อื มตดิ กนั (ภาพ: ทงุ่ ใหญน่ เรศวรตะวันออก ตาก - PK) เป็นคู่ตามซอกใบ เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 1-1.5 ซม. สเี ขียว เหลอื ง ชมพู หรอื แดงอมมว่ ง
กา้ นยาวไดถ้ ึง 1 ซม. มีขนสนั้ รเู ปดิ เส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 1.5 มม. มขี น
มะเคด็ ดา้ นในประปราย ใบประดับ 3 อัน รูปสามเหลยี่ ม ยาว 1-2 มม. มขี นครุย (ดู
ขอ้ มูลเพิ่มเติมท่ี ไทร, สกลุ )
Gelsemium elegans (Gardner & Champ.) Benth.
วงศ์ Gelsemiaceae พบทคี่ าบสมทุ รมลายู สุมาตรา ชวา บอร์เนยี ว และภาคใต้ของไทย ขึ้นตาม
ปา่ ดิบชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 1000 เมตร เป็นไม้ประดับ มีสรรพคณุ ใช้รักษาอาการ
ชื่อพ้อง Medicia elegans Gardner & Champ. ตกเลือดหลังคลอด ช่วยเลือดลมไหลเวียน ลดคลอเรสเตอรอลและความดันโลหิต
บำ� รงุ กำ� ลงั และเชอื่ วา่ สามารถเพม่ิ ความกำ� หนดั ทางเพศ รจู้ กั กนั ในชอื่ ‘Mas Cotek’
ไม้เถา ใบเรยี งตรงขา้ ม รูปไข่แกมรูปใบหอก ยาว 5-14 ซม. ปลายแหลมยาว ในมาเลเซีย อยภู่ ายใตส้ กลุ ยอ่ ย Ficus แยกเปน็ subsp. motleyana (Miq.) C. C.
กา้ นใบยาว 1-1.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกหนาแนน่ ทปี่ ลายกงิ่ ยาว Berg พบที่บอรเ์ นยี ว สว่ น subsp. deltoidea แบ่งออกเปน็ var. angustifolia
ไดถ้ งึ 12 ซม. กลบี เลี้ยง 5 กลีบขนาดเลก็ เรยี งซอ้ นเหลือ่ ม ขอบมีขนครยุ ตดิ ทน (Miq.) Corner ใบรปู ขอบขนานแกมรปู ไข่ เสน้ กลางใบแยกเหนอื กงึ่ กลางใบ และ
ดอกรปู ลำ� โพงสเี หลอื ง มจี ดุ สแี ดงดา้ นใน ยาว 1.2-2 ซม. กลบี แฉกลกึ ประมาณกง่ึ หนงึ่ var. kunstleri (King) Corner ใบรูปไขก่ ลับกว้าง เสน้ กลางใบแยกใตก้ ึ่งกลางใบ
ปลายกลีบพับงอกลับ เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดประมาณกึ่งกลางหลอดกลีบดอก
ก้านชูอับเรณยู าวประมาณ 4 มม. ย่ืนพ้นปากหลอด รงั ไข่มี 2 ชอ่ ง ก้านเกสรเพศเมีย เอกสารอ้างอิง
ยาว 0.8-1.2 ซม. ยอดเกสรแยก 2 แฉก แตล่ ะแฉกจกั 2 พู ผลแห้งแตกเปน็ 2 ซีก Berg, C.C., N. Pattharahirantricin and B. Chantarasuwan. (2011). Moraceae. In
รูปรหี รอื รูปไข่ ยาวประมาณ 1.5 ซม. มี 8-10 เมลด็ ในแตล่ ะซกี รปู รี แบน ยาว 4-5 มม. Flora of Thailand Vol. 10(4): 513-515.
กลางเมล็ดมีขน มีปีกรอบ จักชายครุย Corner, E.J.H. (1960). Taxonomic notes on Ficus Linn., Asia and Australia.
Gardens’ Bulletin Singapore 17: 420-425.
พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา จนี ตอนใต้ ไตห้ วนั พมา่ ลาว เวยี ดนาม คาบสมทุ รมลายู
บอรเ์ นยี ว ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทกุ ภาค ขนึ้ ตามปา่ ดบิ เขา และปา่ ดบิ ชน้ื ทเ่ี ปน็ มะจอเตะ๊ : var. kunstleri ใบรปู ไขก่ ลบั กวา้ ง เสน้ กลางใบแยกใต้ก่ึงกลางใบ (ภาพบน: cultivated - RP); มะจอเต๊ะ:
หนิ ปนู ความสูง 600-1500 เมตร น�้ำยางมสี ารแอลคาลอยด์หลายชนดิ ท่ีเป็นพิษ var. angustifolia ใบรปู ขอบขนานแกมรูปไข่ เส้นกลางใบแยกเหนอื กึ่งกลางใบ (ภาพล่าง: cultivated - RP)
มฤี ทธิก์ ระตนุ้ ใหห้ ลงั่ น�้ำลาย สบั สน สั่นหรือชกั ท�ำใหห้ ยดุ หายใจได้ ใช้ในปรมิ าณที่
เหมาะสมมสี รรพคณุ ใชร้ กั ษาโรคเนอื้ งอกในโพรงจมกู และเนอื้ งอกทผ่ี วิ หนงั บางชนดิ มะดกู

สกลุ Gelsemium Juss. เคยอยภู่ ายใตว้ งศ์ Loganiaceae มี 3 ชนดิ พบใน Siphonodon celastrineus Griff.
อเมรกิ าเหนอื และเอเชีย ในไทยมชี นิดเดยี ว ชื่อสกุลมาจากภาษาอิตาลี “gelsomino” วงศ์ Celastraceae
ทีใ่ ชเ้ รยี กพืชพวกมะลิ
เอกสารอา้ งอิง ไม้ต้น สงู ไดถ้ ึง 30 ม. หูใบขนาดเลก็ ใบเรียงเวยี น รูปรี รูปขอบขนาน หรือแกม
Griffin, O. and J. Parnell. (1997). Loganiaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(3): รปู ไข่ ยาว 6.5-20 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว ขอบจักซีฟ่ นั หรือจกั มนตื้น ๆ
กา้ นใบยาว 0.5-1.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุก ออกสั้น ๆ ตามซอกใบ บางครงั้
205-206. ลดรปู มดี อกเดยี ว กา้ นดอกยาว 0.3-1 ซม. กลบี เลยี้ ง 5 กลบี รปู กลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
1-2 มม. กลีบดอก 5 กลบี เรยี งซ้อนเหลอื่ มทโี่ คน รูปไขป่ ลายมน ยาว 2.5-3.5 มม.
มะเค็ด: ใบเรียงตรงขา้ ม ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง ดอกสเี หลืองมีจุดสแี ดงดา้ นใน เกสรเพศผยู้ นื่ พน้ ปาก เกสรเพศผู้ 5 อัน กา้ นชอู ับเรณูยาวประมาณ 1 มม. แบนๆ เชอ่ื มตดิ กนั ท่โี คน แกน
หลอดกลีบดอก ผลแห้งแตก (ภาพซ้ายบน: ยูนนาน จีน - RP; ภาพซ้ายลา่ งและภาพขวา: แกง่ กระจาน เพชรบรุ ี - PK) อบั เรณแู ผก่ วา้ งแยกอบั เรณู วงเกสรเพศเมยี แนบตดิ จานฐานดอก ปลายเวา้ ลกึ
เกสรเพศเมยี เปน็ แทง่ สน้ั ๆ ตดิ ทโ่ี คน รงั ไขม่ หี ลายชอ่ งกระจดั กระจาย แตล่ ะชอ่ ง
มอี อวลุ เมด็ เดยี ว ผลคลา้ ยผลผนงั ชน้ั ในแขง็ รปู รหี รอื รปู ไขก่ ลบั ยาว 3-5 ซม. ผวิ ขรขุ ระ
มหี ลายไพรีน แขง็ เมลด็ รปู รี แบน ยาวประมาณ 8 มม.

พบทอี่ ินเดยี พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจีนและมาเลเซีย ฟลิ ิปปินส์ และนวิ กินี ข้นึ ใน
ปา่ ผลดั ใบและไมผ่ ลดั ใบ ชายปา่ หรอื เขาหนิ ปนู ความสงู ถงึ ประมาณ 1000 เมตร

336

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย มะแตก

สกลุ Siphonodon Griff. มปี ระมาณ 7 ชนิด พบในเอเชียเขตรอ้ นและออสเตรเลยี หรอื เว้าตื้น ขอบเรยี บ แผ่นใบดา้ นลา่ งมีนวล เสน้ โคนใบสัน้ เส้นแขนงใบข้างละ
ในไทยมชี นดิ เดียว ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก “siphon” หลอด และ “odous” ซี่ฟัน 7-15 เส้น เสน้ แขนงใบย่อยแบบร่างแหหรอื เรียงขนาน กา้ นใบยาว 1-9 ซม. ดอกอยู่
อาจหมายถงึ ลกั ษณะและรปู ร่างของกลีบดอก ภายในฐานดอกทข่ี ยายออกเดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ คตู่ ามซอกใบ ใตใ้ บ หรอื ตามเดอื ยสน้ั
เอกสารอ้างอิง ในกง่ิ แก่ เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 1-2 ซม. กา้ นยาว 1-7 มม. ใบประดบั ที่โคนมี 3 ใบ
Hou, D., I.A. Savinov and P.C. van Welzen. (2010). Celastraceae. In Flora of ยาว 1-2 มม. ชอ่ งเปิดกว้าง 2-3 มม. ไม่มขี นด้านใน ใบประดับขนาดเลก็ กลีบรวม
สแี ดงเข้ม (ดขู อ้ มูลเพิ่มเตมิ ท่ี ไทร, สกุล)
Thailand Vol. 10(2): 196-198.
พบทพี่ มา่ จนี ตอนใต้ และเวยี ดนาม ในไทยพบทางภาคเหนอื ทเ่ี ชยี งใหม่ ตาก
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือท่ีขอนแก่น ขึ้นตามหนิ ปูนท่ีโลง่ ในป่าเบญจพรรณ
หรอื ป่าดบิ เขา ความสงู ถึงประมาณ 1700 เมตร อยภู่ ายใต้สกุลยอ่ ย Urostigma

เอกสารอ้างองิ
Berg, C.C. and S. Gardner. (2007). A new species Ficus subg. Ficus (Moraceae)
from Thailand and two new records of Ficus species. Thai Forest Bulletin
(Botany) 35: 31.
Berg, C.C., N. Pattharahirantricin and B. Chantarasuwan. (2011). Moraceae. In
Flora of Thailand Vol. 10(4): 519, 530, 633.

มะดกู : ช่อดอกออกส้นั ๆ ตามซอกใบ กลีบดอกเรียงซ้อนเหล่ือมทโี่ คน แกนอับเรณแู ผ่กวา้ ง วงเกสรเพศเมยี แนบติด มะเดอื่ ไทย: ปลายใบแหลมยาว figs ออกเดยี่ ว ๆ หรอื ออกเป็นค่ตู ามกิ่งท่ีใบหลุดร่วง ดา้ นนอกมีขน (ภาพ: คลองยนั
จานฐานดอก เกสรเพศเมียเปน็ แท่งส้นั ๆ ติดทโ่ี คน (ภาพ: แกง่ กระจาน เพชรบรุ ี - PK) สรุ าษฎรธ์ านี - SG)

มะเดอ่ื ไทย มะเดือ่ หอม: มีขนหยาบและขนหยาบแขง็ ท่ัวไป figs ออกเดยี่ ว ๆ เป็นคตู่ ามซอกใบหรือใตซ้ อกใบ รูปกลม รูปรี
หรือรูปทรงกระบอก (ภาพซา้ ย: นครพนม - PK; ภาพขวา: เบตง ยะลา - RP)
Ficus thailandica C. C. Berg & S. Gardner
วงศ์ Moraceae มะเดื่อหิน: หใู บทปี่ ลายยอดสชี มพู โคนใบเว้าตน้ื แผ่นใบด้านล่างมนี วล figs ออกเดย่ี ว ๆ หรือเปน็ ค่ตู ามซอกใบ
ใต้ใบ หรอื ตามเดอื ยสั้น ๆ ในก่ิงแก่ (ภาพ: นำ้� ตกธารารักษ์ ตาก - RP)
ไมพ้ มุ่ สงู ไดถ้ งึ 4 ม. มขี นสเี หลอื งตามกงิ่ ออ่ น หูใบ เสน้ แขนงใบ ก้านใบ และ
ใบประดับ หูใบยาว 5-7 มม. รว่ งเร็ว ใบรูปไขก่ ลบั หรือรปู ขอบขนาน ยาว 6-20 ซม. มะแตก
ปลายแหลมยาว โคนมน ขอบเรียบ เสน้ แขนงใบข้างละ 4-6 เส้น เส้นแขนงใบย่อย
แบบข้นั บนั ไดถี่ ก้านใบยาว 2.5-7 ซม. ดอกอยภู่ ายในฐานดอกท่ีขยายออกเด่ียว ๆ Celastrus paniculatus Willd.
หรือออกเป็นคู่ตามก่งิ ทใ่ี บหลุดร่วง รปู กลม เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. ดา้ นนอกมขี น วงศ์ Celastraceae
กา้ นชอ่ ยาว 1-2 ซม กา้ นฐานดอกยาว 1-3 มม. ใบประดบั ทโ่ี คนมี 3 ใบ ยาวประมาณ
1 มม. ชอ่ งเปดิ กวา้ งประมาณ 1.5 มม. ไมม่ ขี นดา้ นใน (ดขู อ้ มลู เพม่ิ เตมิ ท่ี ไทร, สกลุ ) ไมเ้ ถามเี นอ้ื ไม้ แยกเพศต่างตน้ ลำ� ตน้ และกงิ่ เปน็ รวิ้ มชี อ่ งอากาศ มขี นสน้ั นมุ่
หูใบขนาดเลก็ ร่วงเรว็ ใบเรียงเวยี น รูปรี รปู ไข่ หรือรปู ไข่กลบั ยาว 6-15 ซม.
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย ขน้ึ เปน็ กลมุ่ เลก็ ๆ ตามชายปา่ ดบิ ชน้ื ทางภาคใตท้ ค่ี ลองยนั ปลายแหลมหรือแหลมยาว บางคร้ังมนหรอื เว้าตน้ื โคนรปู ล่ิม มน หรอื กลม ขอบจัก
จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี ความสงู ประมาณ 150 เมตร อยู่ภายใตส้ กุลยอ่ ย Ficus

มะเดอ่ื หอม

Ficus hirta Vahl
ไมพ้ ุ่ม สูงได้ถึง 5 ม. มีขนหยาบและขนหยาบแขง็ ตามกง่ิ หูใบ แผน่ ใบทัง้

สองดา้ น กา้ นใบ และฐานดอก หใู บยาว 0.5-2 ซม. รว่ งเรว็ หรอื ช้า ใบเรียงเวยี น
รูปรถี งึ รูปใบหอก แกมรปู ไข่หรือรูปไข่กลับ บางคร้งั จกั เปน็ 3-7 พู ยาว 5-25 ซม.
ปลายแหลมยาว โคนกลมหรือเวา้ ต้นื ขอบจักซฟี่ นั เสน้ แขนงใบขา้ งละ 5-8 เส้น
เส้นแขนงใบยอ่ ยแบบข้นั บนั ได ก้านใบยาว 1.5-12 ซม. ดอกอย่ภู ายในฐานดอก
ที่ขยายออกเดีย่ ว ๆ เป็นคตู่ ามซอกใบหรือใต้ซอกใบ ฐานดอกรปู กลม รปู รี หรือ
รปู ทรงกระบอก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1-2 ซม. กา้ นสน้ั หรือไรก้ า้ น ใบประดบั ทโี่ คน
มี 3 ใบ ยาว 2-3 มม. ชอ่ งเปดิ กวา้ ง 2-3.5 มม. ด้านในมีขนหนาแนน่ รอบ ๆ มี
ขนกระจกุ หรอื ใบประดบั หลายอนั ยาวประมาณ 2 มม. (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ที่ ไทร, สกลุ )

พบทอี่ นิ เดยี เนปาล จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี มาเลเซยี และอนิ โดนเี ซยี
ขน้ึ ในปา่ ผลดั ใบและไมผ่ ลดั ใบ ความสงู ถงึ ประมาณ 1300 เมตร อยภู่ ายใตส้ กลุ ยอ่ ย
Ficus มีความผันแปรสูงทั้งรูปร่างและขนาดของใบ ฐานดอก และส่ิงปกคลุม
ใบมสี รรพคุณแกโ้ รคผวิ หนัง

มะเดื่อหนิ

Ficus orthoneura H. Lév. & Vaniot
ไม้ต้น หรือกึง่ อาศัย สงู ได้ถึง 10 ม. กิ่งเกลี้ยง หูใบทปี่ ลายยอดรูปใบหอก ยาว

ได้ถงึ 10 ซม. สีชมพหู รอื เขียวออ่ น เกลยี้ งหรอื มีขนประปราย ร่วงเรว็ ใบรปู รี
รูปขอบขนาน หรือแกมรปู ไข่ ยาว 7-24 ซม. ปลายมนหรือกลม โคนมน กลม

337

มะเนยี งน้�ำ สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

ฟนั เลอ่ื ยหรอื จักมน กา้ นใบยาว 0.5-2 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนงออกตาม เฉพาะในยุโรป คอื A. hippocastanum L. หรอื Horse-chestnut ชอื่ สกุลเปน็
ปลายกิง่ ยาวได้ถึง 20 ซม. ดอกจำ� นวนมาก ก้านดอกยาว 1.5-3.5 มม. กลีบเลีย้ ง ภาษาละตินทใี่ ช้เรียกพืชคล้ายพวก oak ชนดิ หน่งึ
5 กลีบ รปู กลม ยาวประมาณ 1 มม. ดอกสเี ขยี วออ่ น มี 5 กลบี เรียงซ้อนเหล่อื ม เอกสารอา้ งอิง
รปู ขอบขนานหรือแกมรูปไขก่ ลับ ยาว 2.5-3 มม. จานฐานดอกรูปถ้วย เกสรเพศผู้ Phengklai, C. (1981). Hippocastanaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 395-397.
5 อนั ยาวประมาณ 3 มม. ติดบนขอบจานฐานดอก เปน็ หมันในดอกเพศเมีย Xia, N., N.J. Turland and P.A. Gadek. (2007). Hippocastanaceae. In Flora of
รงั ไขม่ ี 3 ช่อง แต่ละชอ่ งมีออวุล 2 เม็ด ลดรปู ในดอกเพศผู้ ก้านเกสรเพศเมยี เปน็ แทง่
ยอดเกสรแยก 3 พู ตดิ ทน ผลแห้งแตก รูปรีเกอื บกลม ยาว 0.5-1 ซม. แตกเป็น 3 ส่วน China Vol. 12: 2-4.
มี 3-6 เมล็ด รูปรี ยาว 3.5-5 มม. เย่อื หมุ้ สีสม้ แดง
มะเนียงนำ้� : ใบประกอบรูปฝ่ามือ ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง กลบี ดอกมปี นื้ เหลือง โคนสสี ้มหรือแดง ผลแห้งแตก
พบทอี่ นิ เดยี พมา่ จนี ตอนใต้ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ออสเตรเลยี และ (ภาพซา้ ย: กาญจนบรุ ี - RP; ภาพขวาบน: อมุ้ ผาง ตาก - PK: ภาพขวาลา่ ง: ดอยตงุ เชยี งราย - RP)
หมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามชายปา่ เบญจพรรณ ปา่ โปรง่ ปา่ ดบิ แลง้
ปา่ ดบิ ชน้ื และปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1300 เมตร ในจนี น้�ำมนั ทไ่ี ดจ้ ากเมลด็ มะฝ่อ
ใช้ท�ำน้�ำมันตะเกียงและสบู่ และก�ำลังได้รับการศึกษาสรรพคุณทางสมุนไพรใน
การรักษาโรคทางประสาท Mallotus nudiflorus (L.) Kulju & Welzen
วงศ์ Euphorbiaceae
สกลุ Celastrus L. มปี ระมาณ 30 ชนดิ พบในอเมรกิ า มาดากสั การ์ เอเชีย และ
ออสเตรเลยี แตส่ ว่ นใหญพ่ บในประเทศจนี ในไทยมี 5 ชนดิ ช่อื สกุลมาจากภาษา ชอื่ พ้อง Trewia nudiflora L.
กรีก “kelastros” หมายถงึ พืชท่มี ีผลสีแดงใชป้ ระดบั ในเทศกาลศาสนาคริสต์
เอกสารอ้างองิ ไม้ตน้ สูงไดถ้ ึง 30 ม. ใบรปู ไขห่ รือแกมรูปขอบขนาน ยาว 6-20 ซม. โคนเวา้
Hou, D., I.A. Savinov and P.C. van Welzen. (2010). Celastraceae. In Flora of หรือมน มีตอ่ ม 2-5 ตอ่ ม ขอบใบมีตอ่ มจำ� นวนมาก แผน่ ใบเกล้ียงหรอื มขี นสัน้ นุ่ม
เส้นโคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้ เส้นแขนงใบขา้ งละ 3-7 เส้น มักมีต่อมใบเป็นกระจกุ ขน
Thailand Vol. 10(2): 151. ช่อดอกเพศผู้ออกเป็นกระจกุ 1-3 ชอ่ ยาวไดถ้ ึง 30 ซม. ชอ่ ดอกเพศเมียยาวได้ถงึ
Zhang, Z. and M. Funston. (2008). Celastraceae (Celastrus). In Flora of China 10 ซม. ไมม่ ีกลีบดอก ดอกเพศผอู้ อกเปน็ กระจกุ ประมาณ 3 ดอก ดอกเพศเมีย
ออกเดยี่ ว ๆ กา้ นดอกยาว 0.4-1 ซม. กลบี เล้ยี งรูปไข่ ในดอกเพศผู้มี 3 กลีบ ยาว
Vol. 11: 467. 3-6 มม. ในดอกเพศเมียมี 3-5 กลีบ ยาวกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้จำ� นวนมาก ยาว
ประมาณ 5 มม. รังไข่ 3-5 ชอ่ ง มขี นสัน้ นุ่ม แตล่ ะชอ่ งมีออวุล 1 เม็ด ยอดเกสรเพศเมยี
มะแตก: ใบเรียงเวยี น ขอบจักฟันเลอื่ ย ผลแหง้ แตกเป็น 3 สว่ น เมลด็ มีเยอื่ หมุ้ สสี ม้ แดง (ภาพ: นำ้� หนาว เพชรบรู ณ์ - PK) แยก 3-5 แฉก ยาว 1.2-2.4 ซม. มีป่มุ กระจาย ผลรปู รีกวา้ ง กวา้ ง 3.5-4.5 ซม.
ผนังหนา เมลด็ รปู ไข่ ยาว 0.8-1.2 ซม. (ดขู อ้ มูลเพิม่ เตมิ ที่ ตองเตา้ , สกุล)
มะเนียงนำ�้
พบท่อี ินเดยี เนปาล ศรีลังกา พม่า จีนตอนใต้ ภมู ิภาคอินโดจนี และมาเลเซีย
Aesculus assamica Griff. ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทกุ ภาค สว่ นมากพบรมิ ลำ� ธาร ความสงู ถงึ ประมาณ 1200 เมตร
วงศ์ Sapindaceae ใบใช้เลีย้ งสัตว์ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดจากโรคเกาต์และโรคข้อ

ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู 15-30 ม. เปลอื กเรยี บ มชี อ่ งอากาศ ยอดมเี กลด็ ตาหมุ้ ใบประกอบ เอกสารอ้างอิง
รูปฝา่ มอื เรียงตรงข้าม มี 5-9 ใบ ก้านใบยาว 10-25 ซม. ใบยอ่ ยรูปใบหอกกลบั Kulju, K.K.M., P.C. van Welzen and W. Nanakon. (2007). Euphorbiaceae
ใบกลางใหญก่ วา่ ใบขา้ ง ยาว 12-35 ซม. ปลายเป็นต่ิงแหลม โคนรูปลมิ่ ขอบจกั (Trewia). In Flora of Thailand Vol. 8(2): 568-571.
ฟนั เลือ่ ย เส้นแขนงใบจ�ำนวนมาก ก้านใบยอ่ ยสน้ั หรือยาวได้ถงึ 2 ซม. ชอ่ ดอก Kulju, K.K.M., S.E.C. Sierra and P.C. van Welzen. (2007). Re-shaping Mallotus
แบบชอ่ กระจุกแยกแขนง ยาวถึง 70 ซม. รวมก้าน ช่อกระจกุ ยาว 1.5-8 ซม. กา้ นดอก [part 2]: Inclusion of Neotrewia, Octospermum and Trewia in Mallotus s.s.
ยาว 3-7 มม. กลบี เลย้ี งเช่ือมติดกนั เปน็ หลอด ยาว 4-8 มม. ปลายแยกเปน็ 4 กลบี (Euphorbiaceae s.s.). Blumea 52: 115-136.
ดา้ นนอกมขี นสนั้ นมุ่ ดอกสมมาตรดา้ นขา้ ง กลบี ดอก 4 กลบี สขี าว มปี น้ื เหลอื ง
โคนสสี ม้ หรอื แดง กลบี ขนาดไมเ่ ทา่ กนั รปู ใบหอกกลบั ยาว 2-2.5 ซม. ดา้ นนอก มะฝ่อ: ช่อดอกเพศผอู้ อกเป็นกระจุก เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก ผลผนังชัน้ ในแข็ง ผนังหนา รปู รีกว้าง (ภาพดอก:
มขี นละเอยี ด เกสรเพศผู้ 5-7 อัน ยาว 2-4 ซม. รังไข่ 3 ชอ่ ง แต่ละช่องมอี อวลุ 2 เม็ด เชยี งใหม่ - RP; ภาพผล: ตาก - NP)
กา้ นเกสรเพศเมยี เกลย้ี งหรอื มขี น ผลแหง้ แตกสนี ำ้� ตาล รปู รกี วา้ ง เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
2.5-3 ซม. เปลอื กหนา กา้ นผลยาว 2-4 ซม. สว่ นมากมีเมลด็ เดยี วท่ีเจริญ กลม
เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 5-7 มม. ข้วั เมล็ดสขี าว

พบทีอ่ นิ เดยี ภูฏาน บงั กลาเทศ พม่า จนี ตอนใต้ ลาว และเวียดนาม ในไทยพบ
ทางภาคเหนือท่เี ชยี งราย เชียงใหม่ ตาก กำ� แพงเพชร และภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ที่
กาญจนบุรี ขึ้นตามริมล�ำธารในป่าดิบแล้ง หรือท่ีลาดชันในป่าดิบเขา ความสูง
100-1300 เมตร มสี รรพคุณเป็นยาขบั ปัสสาวะ ใบคน้ั หยอดตาแก้อักเสบ

สกุล Aesculus L. เคยอยูภ่ ายใตว้ งศ์ Hippocastanaceae ปจั จบุ นั อย่ภู ายใต้
วงศย์ อ่ ย Hippocastanoideae ร่วมกับสกลุ Acer มปี ระมาณ 12 ชนิด สว่ นมาก
พบในอเมรกิ าเหนอื และเอเชียตะวันออก ชนดิ ทนี่ ิยมปลูกเป็นไม้ขา้ งถนนโดย

338

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย มะเฟือง

มะพลบั ไข่นก มะพอก

Diospyros apiculata Hiern Parinari anamensis Hance
วงศ์ Ebenaceae วงศ์ Chrysobalanaceae

ไม้พุ่มหรอื ไมต้ ้น สูงได้ถงึ 7 ม. มขี นหยาบยาวตามกิ่งอ่อน แผ่นใบดา้ นลา่ ง ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 30 ม. เปลอื กแตกเปน็ รอ่ งลกึ หใู บรปู ใบหอก ยาวไดถ้ งึ 1 ซม.
กา้ นใบ กลบี เลยี้ งดา้ นนอก และผล ใบรปู ไขแ่ กมรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว รว่ งเรว็ ใบเรียงเวียน รปู รหี รอื รูปไข่ ยาว 6-15 ซม. ปลายมนหรอื แหลม โคนรูปลม่ิ กว้าง
10-15 ซม. ปลายแหลมหรอื เป็นต่ิงแหลม โคนกลมหรอื เวา้ ต้นื แผ่นใบดา้ นบนมี หรือกลม แผ่นใบด้านล่างมขี นคลา้ ยขนแกะหนาแน่น กา้ นใบยาว 0.8-1 ซม. ใต้จุด
ขนสน้ั นุม่ เส้นแขนงใบข้างละ 6-8 เส้น ก้านใบยาว 4-5 มม. ดอกไรก้ า้ น กลีบเลี้ยง กงึ่ กลางมตี อ่ ม 2 ตอ่ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนงออกทป่ี ลายกง่ิ กา้ นดอกสน้ั มาก
และกลบี ดอกอยา่ งละ 4-5 กลบี ดอกเพศผ้อู อกเปน็ ช่อกระจกุ สัน้ ๆ กลบี เลยี้ ง หลอดกลบี เลย้ี งยาว 2-2.5 มม. มี 5 กลบี รปู สามเหลย่ี มขนาดไมเ่ ทา่ กนั ยาวประมาณ
แฉกลกึ เกอื บจรดโคน ยาวประมาณ 5 มม. ดอกคล้ายรปู ดอกเขม็ ยาว 0.8-1 ซม. 1.5 มม. ดอกสขี าว กลีบดอกยาวเทา่ ๆ กลบี เลี้ยง เกสรเพศผ้ทู ส่ี มบูรณ์มี 8-10 อนั
กลีบดอกแฉกตน้ื ๆ เกสรเพศผู้ 6-12 อนั ไม่มีท่ีเป็นหมนั ในดอกเพศเมีย ดอกเพศเมยี ยาวไม่เทา่ กนั รงั ไข่แนบติดหลอดกลีบเล้ียงดา้ นเดยี ว มี 2 ช่อง แต่ละชอ่ งมอี อวุล
ออกเดีย่ ว ๆ รังไขม่ ี 4 ช่อง มีขนคล้ายไหม เป็นหมันในดอกเพศผู้ กา้ นเกสรเพศเมีย เมด็ เดียว มขี นยาวหนาแนน่ ก้านเกสรเพศเมียยาวเทา่ ๆ เกสรเพศผู้ ผลคลา้ ยผล
2 อนั มขี นคลา้ ยไหม ผลรูปรกี วา้ งเกือบกลมหรอื รูปไข่แคบ ๆ ยาว 1.5-2 ซม. ผนังชน้ั ในแข็ง รปู รีหรอื กลม ยาว 3-4 ซม. มีสะเกด็ สีเทาหรือสนี ำ้� ตาลหนาแนน่
สกุ สแี ดง ไรก้ า้ น กลบี เลยี้ งแยกจรดใกลโ้ คน รปู ไขแ่ กมรปู ขอบขนาน ปลายเรยี วแหลม
ยาวได้ถึง 1 ซม. มีขนสน้ั นมุ่ ทั้งสองด้าน เอนโดสเปริ ์มเรียบ (ดขู ้อมลู เพม่ิ เตมิ ที่ พบในภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง
มะเกลอื , สกลุ ) และปา่ ดบิ แลง้ ความสงู ถงึ ประมาณ 1400 เมตร ผลและเมลด็ กนิ ได้ เมลด็ ใหน้ ำ้� มนั

พบทล่ี าว และคาบสมทุ รมลายู ในไทยกระจายหา่ ง ๆ ยกเวน้ ภาคเหนอื ขนึ้ ตาม สกลุ Parinari Aubl. เคยอยภู่ ายใต้วงศ์ Rosaceae รวมถึงสกลุ Chrysobalanus,
ป่าดิบแล้ง และปา่ ดิบชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 700 เมตร Parastemon และ Maranthes (ทีเ่ ดมิ อยู่ภายใต้วงศ์ Rosaceae) มีประมาณ 45 ชนดิ
พบในอเมริกากลางและใต้ แอฟรกิ า มาดากัสการ์ เอเชีย ออสเตรเลยี และหมู่เกาะ
มะพลับระนอง แปซฟิ ิก ในไทยมีชนดิ เดียว ช่ือสกลุ เป็นชอ่ื ท่ีใช้เรยี กพืชในสกลุ น้ีในแถบอเมรกิ าใต้
เอกสารอ้างอิง
Diospyros ranongensis Phengklai Vidal, J.E. (1970). Rosaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(1): 73-74.
ไมต้ ้น สูงไดถ้ ึง 15 ม. กง่ิ อ่อนมีขนกระจาย ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว
มะพอก: เปลอื กแแตกเป็นร่องลกึ โคนใบรปู ลมิ่ กว้างหรือกลม หใู บรปู ใบหอก ร่วงเร็ว ผลมสี ะเก็ดสนี ำ้� ตาลหนาแนน่
10-15 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนแหลมหรือมน แผน่ ใบเกลยี้ งหรอื มขี น (ภาพ: รอ้ ยเอด็ - PK)
ตามเส้นกลางใบดา้ นล่าง เส้นแขนงใบขา้ งละ 7-11 เสน้ กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม.
มขี นกระจาย ผลสว่ นมากออกเดย่ี ว ๆ ตามกง่ิ รปู กลมขนาดใหญ่ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง มะเฟอื ง
5.5-7 ซม. ผิวขรขุ ระสนี ้ำ� ตาล จกั เป็นพูต้ืน ๆ กลบี เลย้ี งเปน็ วงคล้ายปลอกคอ
ผนงั ผลแขง็ หนาประมาณ 1 ซม. ไรก้ ้านหรอื มีก้านหนาส้ันมาก มี 10-14 เมล็ด รปู รี Averrhoa carambola L.
แบน ๆ ยาว 3-4 ซม. เอนโดสเปิรม์ เรียบ (ดูข้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี มะเกลือ, สกลุ ) วงศ์ Oxalidaceae

พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคใตต้ อนบนทคี่ ลองนาคา จงั หวดั ระนอง ขน้ึ ตาม ไมต้ น้ สงู ได้ถงึ 15 ม. เน้อื ไม้สีขาว เปลยี่ นเปน็ สีแดงเมื่อถูกอากาศ ไมม่ หี ูใบ
สนั เขาในปา่ ดบิ ชื้น ความสงู ประมาณ 600 เมตร ใบประกอบปลายคี่ สว่ นมากมีใบยอ่ ย 5-6 คู่ รปู ไขห่ รือแกมรปู ขอบขนาน ยาว
4-10 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนงออกตามซอกใบ ก่งิ หรอื ลำ� ต้น ยาวได้ถึง 7 ซม.
เอกสารอ้างอิง กา้ นดอกยาว 3-6 มม. มขี อ้ ท่ใี ต้ดอก ยาวประมาณ 8 มม. กลีบเลีย้ ง 5 กลีบ ขนาดเลก็
Phengklai, C. (1981). Ebenaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 334, 376. สีคลา้ ยกลีบดอก ดอกสีแดงอมชมพู มี 5 กลบี รูปใบหอก ยาว 5-6 มม. เชอ่ื มติดกัน
________. (2005). Two new species of Diospyros (Ebenaceae) from Thailand. เหนอื กา้ นกลบี ดา้ นในมขี นตอ่ มประปราย เกสรเพศผู้ 10 อนั อนั ยาว 5 อนั เปน็ หมนั
Thai Forest Bulletin (Botany) 33: 158. 5 อนั รงั ไข่สว่ นมากมี 5 ช่อง แตล่ ะชอ่ งมีออวลุ 3-5 เม็ด เกสรเพศเมีย 5 อัน ผลสด
มหี ลายเมลด็ รูปรหี รือรูปขอบขนาน ยาวไดถ้ ึง 12 ซม. มคี รบี คล้ายปกี 5 อนั ตัดตาม
มะพลบั ไขน่ ก: มขี นหยาบยาวท่วั ไป กลบี เลีย้ งแยกจรดใกล้โคน ปลายเรยี วแหลม ปลายผลมีตง่ิ แหลม (ภาพซ้าย: ขวางรปู ดาวหา้ แฉก เมล็ดมีเยือ่ หุม้
ยะลา - RP; ภาพขวา: บึงกาฬ - MT)
เขา้ ใจวา่ มถี น่ิ กำ� เนดิ ในมาเลเซยี อนิ โดนเี ซยี และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ไมพ่ บในธรรมชาติ
มะพลบั ระนอง: ผลรูปกลมขนาดใหญ่ ออกเด่ยี ว ๆ ตามกง่ิ ผวิ ขรุขระ จักเป็นพูตื้น ๆ (ภาพ: คลองนาคา ระนอง - NN) ปลกู เปน็ ไมผ้ ลมานาน ตน้ ใบ ราก และผลมสี รรพคณุ ทางสมนุ ไพรหลายอยา่ ง ชอื่ ชนดิ
มาจากภาษาสเปนหรือภาษาโปรตุเกส ที่ใช้เรียกตน้ ไมช้ นิดน้หี รือตะลิงปลิง

สกุล Averrhoa L. มีเพยี ง 2 ชนดิ อกี ชนิดคือ ตะลงิ ปลงิ A. bilimbi L. ซ่ึงน่าจะ
มีถิ่นกำ�เนิดเช่นเดยี วกบั มะเฟอื ง ซึง่ คำ�ระบชุ นดิ เป็นชอื่ พนื้ เมอื งเรยี กในอนิ เดยี
และศรลี งั กา เนือ่ งจากตัวอยา่ งพรรณไม้ตน้ แบบมาจากศรลี ังกา ผลไม่มคี รบี
ใบประกอบมใี บยอ่ ยมากกว่า และเมลด็ ไม่มีเยื่อหุม้ ชอ่ื สกลุ ตัง้ ตามนายแพทย์
ชาวมัวร์ (Moorish) ทางตอนเหนอื ของแอฟริกา Averrhoes (1149-1217) อาศยั
อยใู่ นสเปน และเป็นผู้แปลงานของอริสโตเติลเป็นภาษาอาหรับ
เอกสารอ้างองิ
Samson, J.A. (1992). Edible fruits and nuts. In Plant Resources of South-East

Asia 2. Pudoc, Wageningen, The Netherlands.
Veldkamp, J.F. (1970). Oxalidaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(1): 21-23.

339

มะแฟน สารานุกรมพืชในประเทศไทย

มะเฟอื ง: ใบประกอบมใี บย่อย 5-6 คู่ ช่อดอกออกตามกงิ่ มขี อ้ ท่ใี ตด้ อก กลบี ดอกเช่อื มติดกันเหนือก้านกลบี มะไฟ, สกลุ
(ภาพ: cultivated - RP)
Baccaurea Lour.
ตะลิงปลงิ : ใบประกอบมีใบยอ่ ยจ�ำนวนมาก ช่อดอกออกตามล�ำตน้ เกสรเพศเมยี 5 อนั ผลไมเ่ ปน็ ครบี วงศ์ Phyllanthaceae
(ภาพ: cultivated; ภาพซ้าย - RP, ภาพขวา - MP)
ไมพ้ มุ่ หรอื ไม้ต้น แยกเพศต่างตน้ หใู บรปู สามเหล่ยี มขนาดเล็ก รว่ งเรว็ ใบ
มะแฟน เรียงเวยี นหนาแน่นช่วงปลายกง่ิ ปลายกา้ นใบพองหนา เสน้ แขนงใบย่อยแบบ
ขั้นบนั ได ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงคลา้ ยชอ่ กระจะ ออกตามซอกใบ กิง่
Protium serratum (Wall. ex Colebr.) Engl. หรือล�ำต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นกระจุกประมาณ 3 ดอก ดอกเพศเมียกระจุกละ
วงศ์ Burseraceae 1-3 ดอก กลบี เล้ยี งส่วนมากมี 3-6 กลีบ ไมม่ ีกลบี ดอกและจานฐานดอก เกสรเพศผู้
สนั้ กวา่ กลบี เลย้ี ง เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี หรอื เปน็ ตอ่ มคลา้ ยจานฐานดอก รงั ไข่
ช่ือพอ้ ง Bursera serrata Wall. ex Colebr. 2-4 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 2 เมด็ ลดรปู ในดอกเพศผู้ ก้านเกสรเพศเมยี 2-4 อนั
ยอดเกสรเรียบหรอื จกั 2 พู หรือแยกจรดโคน ผลสด เมลด็ มีเยอื่ หุม้
ไม้ต้น สูงได้ถงึ 30 ม. แยกเพศตา่ งตน้ มนี ำ้� ยางใส เปลือกชน้ั ในหนาเป็นช้ัน
มขี นสน้ั นมุ่ ตามกง่ิ ออ่ น แผน่ ใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ ชอ่ ดอก กา้ นดอก ใบประดบั กลบี เลยี้ ง สกลุ Baccaurea เดมิ อยภู่ ายใต้วงศ์ Euphorbiaceae ปัจจุบันอยวู่ งศ์ยอ่ ย Anti-
และกลีบดอกดา้ นนอก หรอื เกลย้ี ง ไมม่ หี ูใบ ใบประกอบปลายคี่ ใบยอ่ ยมี 2-4 คู่ desmatoideae มีประมาณ 50 ชนดิ พบในเอเชียเขตร้อนและหม่เู กาะแปซฟิ กิ
ก้านใบประกอบยาว 5-7 ซม. ใบยอ่ ยรปู ไขห่ รือแกมรปู ขอบขนาน ยาว 3-15 ซม. ในไทยมี 13 ชนิด สว่ นใหญ่พบทางภาคใต้ ชื่อสกุลมาจากภาษาละติน “baca”
ปลายแหลมยาว โคนเบยี้ ว ขอบจกั ฟนั เลอื่ ยหรอื เรยี บ กา้ นใบสน้ั ใบยอ่ ยใบปลาย หรือ “bacca” ผลสด และ “aureus” สีเหลอื งทอง ตามลักษณะของผลบางชนดิ
ยาวไดถ้ งึ 4 ซม. ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ใบประดบั ขนาดเลก็
รว่ งเรว็ ดอกสคี รมี กา้ นดอกยาว 1-2 มม. ขยายในผล กลบี เลย้ี ง 5 กลบี รปู สามเหลยี่ ม มะไฟ
ขนาดเลก็ กลบี ดอก 5 กลีบ รูปรีหรือรปู ขอบขนาน ยาว 2-3 มม. เกสรเพศผู้ 10 อัน
ตดิ ดา้ นนอกจานฐานดอก กา้ นชอู บั เรณสู น้ั เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี จานฐานดอก Baccaurea ramiflora Lour.
เปน็ วง จักมน รังไขม่ ีขนส้ันนุ่ม มี 3-5 ช่อง ลดรูปในดอกเพศผู้ ก้านเกสรเพศเมยี ส้ัน ไม้ต้น สูงไดถ้ งึ 15 ม. ใบรปู รีถงึ รูปใบหอก หรือแกมรปู ไขก่ ลับ ยาว 7-25 ซม.
ยอดเกสรจกั 5 พู ผลผนงั ช้นั ในแขง็ จกั เปน็ พู เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 1-2.5 ซม. ผนงั หนา
ส่วนมากมี 1-3 ไพรนี ขนาด 0.5-1 ซม. ใบเลี้ยงรูปฝ่ามือ ปลายแหลมยาว โคนรปู ลิม่ เส้นแขนงใบขา้ งละ 4-9 เสน้ ก้านใบยาว 1-6 ซม. ชอ่ ดอก
ออกเปน็ กระจกุ หลายชอ่ ยาว 8-15 ซม. ชอ่ ดอกเพศเมยี ยาวไมเ่ กนิ 10 ซม. ดอกสเี หลอื ง
พบท่ีอินเดีย ภฏู าน พมา่ จีนตอนใต้ ภูมิภาคอนิ โดจีน ในไทยพบทุกภาค ขึ้นตาม ใบประดบั ยาว 3-4.5 มม. ไมม่ ใี บประดบั ยอ่ ย ดอกเพศผกู้ า้ นดอกยาว 1-2.5 มม.
ปา่ เตง็ รงั ปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 1500 เมตร ผลรสเปรยี้ ว กลีบเล้ียง ยาว 1-2.5 มม. ดอกเพศเมียกา้ นดอกและกลีบเลย้ี งยาวกวา่ เลก็ น้อย
บำ� รงุ ธาตุ ชว่ ยให้เจริญอาหาร เกสรเพศผู้ 5-8 อนั ไรก้ ้านเกสรเพศเมยี ยอดเกสรยาวประมาณ 0.5 มม. เรียบ
ผลกลมหรอื รปู ไข่ ปลายมีตงิ่ แหลม เส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 2-2.8 ซม. สกุ สีเหลือง
สกลุ Protium Burm. f. มีประมาณ 85 ชนดิ สว่ นใหญพ่ บในอเมริกาเขตร้อน ใน เมลด็ ยาว 1-1.5 ซม. เยอื่ หุ้มสขี าวหรืออมเหลอื ง
ไทยมชี นดิ เดียว ช่ือสกลุ อาจมาจากภาษาชวาทใี่ ชเ้ รยี กพืชสกลุ นี้
เอกสารอ้างองิ พบทอ่ี นิ เดยี รวมหมูเ่ กาะนิโคบาร์ ภูฏาน จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอินโดจนี
Peng, H. and M. Thulin. (2008). Burseraceae. In Flora of China Vol. 11: 106. คาบสมุทรมลายู ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามป่าดบิ ชืน้ ปา่ ดบิ แล้ง และปา่ ดิบเขา
Pooma, R. (1999). A preliminary account of Burseraceae in Thailand. Thai Forest ความสูงถงึ ประมาณ 1700 เมตร ปลกู เป็นไม้ผล มีหลายพันธุ์ เปลือกและเนอื้ ไม้
มีสรรพคุณต้านอนมุ ลู อิสระ
Bulletin (Botany) 27: 56.
มะไฟกา
มะแฟน: ใบประกอบ ปลายแหลมยาว โคนเบยี้ ว ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ผลจักเป็นพู (ภาพดอก: จนั ทบุรี - SR;
ภาพผล: เชียงใหม่ - SSi) Baccaurea parviflora (Müll. Arg.) Müll. Arg.

ช่อื พ้อง Pierardia parviflora Müll. Arg.

ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรปู ไขก่ ลบั ยาว
5-23 ซม. ปลายแหลมยาว โคนรปู ลม่ิ หรอื เรยี วสอบ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 5-10 เสน้
กา้ นใบยาว 0.5-5.5 ซม. ชอ่ ดอกออกเป็นกระจุกหลายช่อทโี่ คนตน้ ยาวได้ถึง
30 ซม. ใบประดับและใบประดับย่อยขนาดเลก็ ดอกสีขาว อมเหลอื ง หรอื แดง
กา้ นดอกสว่ นมากยาวไดถ้ งึ 6 มม. ดอกเพศผกู้ ลบี เลยี้ งยาว 0.5-3 มม. ดอกเพศเมยี
แคบและยาวกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้ 5-7 อนั เกสรเพศเมยี ไร้กา้ นหรอื ยาวไดถ้ งึ
2 มม. ยอดเกสรยาวไดถ้ งึ 1.5 มม. จกั 2 พู ผลรูปกระสวย เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง
1-1.5 ซม. ยาว 1.5-3 ซม. มสี ันตามยาว 4-6 สนั สีน�้ำตาลแดง เปล่ยี นเป็นสีม่วง
เมล็ดยาว 1-1.5 ซม. เยอื่ หุม้ สแี ดงหรือม่วง

พบทอ่ี ินเดยี คาบสมุทรมลายู สมุ าตรา และบอรเ์ นยี ว ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ
ทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ถงึ ประมาณ 1250 เมตร

มะไฟลิง

Baccaurea racemosa (Reinw. ex Blume) Müll. Arg.

ชอ่ื พอ้ ง Coccomelia racemosa Reinw. ex Blume

ไมต้ ้น สูงได้ถงึ 20 ม. ใบรูปรี รปู ขอบขนาน แกมรปู ไข่หรือรปู ไข่กลับ ยาว 5-22 ซม.
ปลายแหลมยาว โคนรปู ล่ิม เส้นแขนงใบข้างละ 4-10 เสน้ ก้านใบยาว 1.2-7.5 ซม.
ชอ่ ดอกออกเปน็ กระจกุ 1-5 ช่อ ตามล�ำต้นหรอื ใตใ้ บ ช่อเพศผยู้ าวได้ถงึ 10 ซม.
ชอ่ เพศเมียยาวได้ถึง 30 ซม. ใบประดับและใบประดับย่อยขนาดเล็ก ดอกสีเหลือง
อมเขียว ก้านดอกยาวไดถ้ ึง 7 มม. กลีบเลยี้ งยาว 1-6 มม. ในดอกเพศเมียก้านดอก
และกลบี เลยี้ งยาวกวา่ ในดอกเพศผู้ เกสรเพศผู้ 5-7 อนั เกสรเพศเมยี ยาวประมาณ

340

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย มะยม

1 มม. ยอดเกสรยาวประมาณ 0.3 มม. เรยี บ ผลกลม เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 1.5-2.5 ซม. เปน็ 3 กลบี ปลายมนกลม ไมม่ กี ลบี ดอก ชอ่ ดอกเพศผยู้ าวไดถ้ งึ 25 ซม. แยกแขนง
สกุ สเี หลอื งอมสม้ หรือชมพอู มแดง เมลด็ ยาวประมาณ 1 ซม. เยอ่ื ห้มุ สมี ว่ งหรอื อมฟ้า ดอกไร้กา้ น กลีบเล้ยี งยาว 3-4 มม. จานฐานดอกเป็นวงหรือจกั เป็นพู เกสรเพศผู้
3-4 อนั ยนื่ พน้ หลอดกลบี เลยี้ งเลก็ นอ้ ย ชอ่ ดอกเพศเมยี สน้ั กวา่ เพศผู้ กา้ นดอกยาว
พบที่คาบสมุทรมลายู สมุ าตรา ชวา บอร์เนียว ซลู าเวซี ในไทยพบทางภาคใต้ 0.5-2 มม. ขยายในผล จานฐานดอกเปน็ วง รงั ไขเ่ กลย้ี งหรอื มขี นประปราย มชี อ่ งเดยี ว
ข้นึ ตามป่าดบิ ช้ืน ความสูงระดับตำ�่ ๆ และปา่ พรุนำ�้ จดื ออวลุ 2 เม็ด ยอดเกสรเพศเมีย 3-4 อัน สั้น ตดิ ทน ผลรูปรี ยาว 0.5-1.2 ซม.
ผลแก่สแี ดงเปลย่ี นเปน็ สดี ำ� ส่วนมากมีเมลด็ เดยี ว
เอกสารอ้างอิง
Haegens, R.M.A.P. and P.C. van Welzen (2007). Euphorbiaceae (Baccaurea). พบที่อินเดียรวมหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า
In Flora of Thailand Vol. 8(2): 107-119. ภูมิภาคอนิ โดจนี บอรเ์ นยี ว ชวา ฟลิ ปิ ปินส์ นวิ กินี หมเู่ กาะแปซิฟกิ และฮาวาย
Li, B. and M.G. Gilbert. (2008). Euphorbiaceae (Baccaurea). In Flora of China ในไทยพบแทบทกุ ภาคยกเวน้ ภาคใต้ และเปน็ ไมผ้ ล เคยแยกเปน็ var. pubescens
Vol. 11: 216. Petra Hoffm. ซง่ึ สว่ นตา่ ง ๆ มขี นสน้ั นมุ่ หนาแนน่ รากและใบมพี ษิ แตม่ สี รรพคณุ
แก้แผลฟกชำ้�

สกุล Antidesma Burm. ex L. เคยอยูภ่ ายใตว้ งศ์ Euphorbiaceae ปัจจุบันอยู่
วงศย์ ่อย Antidesmatoideae มีประมาณ 150 ชนิด พบในเอเชียเขตรอ้ นและ
กงึ่ เขตรอ้ น แอฟรกิ า ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซฟิ กิ ในไทยมี 18 ชนิด
ชือ่ สกุลมาจากภาษากรกี “anti” ต่อต้าน และ “desma” แถบหรอื เชือ่ มติดกัน
อาจหมายถงึ ลักษณะของช่อผลท่ผี ลเปน็ สายไมเ่ ชื่อมตดิ กัน

เอกสารอ้างองิ
Hoffman, P. (2007). Euphorbiaceae (Antidesma). In Flora of Thailand Vol. 8(2): 51-81.

มะไฟ: ช่อผลออกเปน็ กระจุกตามกง่ิ ผลกลมหรอื รูปไข่ ปลายมตี ิ่งแหลม (ภาพ: cultivated - PPh)

มะไฟกา: ช่อดอกออกท่โี คนตน้ ผลรปู กระสวย (ภาพช่อดอกและชอ่ ผลแก่: นราธวิ าส - MP; ภาพชอ่ ผล: เพชรบุรี - TT) มะเมา่ ดง: ใบเรียงเวียน ชอ่ ผลออกตามซอกใบท่ีปลายกิ่ง ผลแก่สแี ดง สกุ จะเปลย่ี นเปน็ สดี ำ� (ภาพ: cultivated - PK)

มะไฟลิง: ช่อดอกคล้ายชอ่ กระจะ ออกใตใ้ บ ผลกลม สกุ สีเหลอื งอมสม้ (ภาพ: ขนอม นครศรีธรรมราช - RP) มะยม

มะเม่าดง Phyllanthus acidus (L.) Skeels
วงศ์ Phyllanthaceae
Antidesma bunius (L.) Spreng.
วงศ์ Phyllanthaceae ชื่อพ้อง Averrhoa acida L.

ชอื่ พ้อง Stilago bunius L. ไมต้ น้ สงู ได้ถงึ 10 ม. ใบรูปไข่หรือแกมรปู ขอบขนาน ยาว 2.5-10 ซม. ปลายมี
ตงิ่ แหลม โคนมน ช่อดอกมีดอกเพศผู้ออกเปน็ กระจกุ 2-6 ดอกมกั ออกที่โคนช่อ
ไมต้ ้น สงู ได้ถงึ 30 ม. แยกเพศต่างตน้ ลำ� ต้นมกั มีรอ่ งและพูพอน มีขนสน้ั น่มุ ตามซอกใบหรอื ตามกงิ่ ชอ่ ดอกเพศเมยี สว่ นมากออกตามกง่ิ กา้ นดอกยาว 0.5-3 มม.
สีน้�ำตาลแดงประปรายหรือหนาแน่นตามกิ่งอ่อน หูใบ ก้านใบ แผ่นใบด้านล่าง ขยายในผลยาว 2-5 มม. กลีบเลย้ี งสีแดง รปู ไข่ ยาว 1-2 มม. ดอกเพศผูม้ ี 4 กลบี
ใบประดับ และกลบี เลย้ี ง หใู บรูปแถบ ยาว 4-6 มม. รว่ งเร็ว ใบเรยี งเวยี น รูปรีถงึ แคบกวา่ ในดอกเพศเมียเลก็ น้อย จานฐานดอกเปน็ ตอ่ ม 4 ตอ่ ม ดอกเพศเมยี มี
รปู ใบหอกหรอื แกมรปู ไขก่ ลบั สว่ นมากยาว 10-18 ซม. ปลายแหลมยาว โคนแหลม 4-6 กลบี จานฐานดอกเปน็ ตอ่ ม 4-6 ตอ่ ม เกสรเพศผู้ 4 อนั แยกกนั ยาวประมาณ
หรอื กลม กา้ นใบสนั้ หรอื ยาวกวา่ 1 ซม. ชอ่ ดอกคล้ายชอ่ กระจะออกตามซอกใบ 5 มม. บางครงั้ มี 1-2 อันในดอกเพศเมยี ลดรูป รงั ไข่จัก 6-8 พู กา้ นเกสรเพศเมยี
ใบประดบั ขนาดเลก็ มดี อกเดยี ว ไรก้ า้ น กลบี เลย้ี งเชอ่ื มตดิ กนั เกนิ กงึ่ หนงึ่ ปลายแยก 3-4 อนั ยาว 1-6 มม. ผลจัก 6-8 พู เส้นผ่านศนู ย์กลาง 1.5-2.7 ซม. เมลด็ กลม
แกมรูปสามเหลี่ยมมน ยาว 5-8 มม. (ดูข้อมูลเพม่ิ เติมท่ี ผักหวานดง, สกลุ )

อาจมีถิ่นก�ำเนิดในอเมริกาใต้ ปลูกเป็นไม้ผลหรือไม้มงคลทั่วไปในเขตร้อน
ส่วนต่าง ๆ มีสรรพคณุ ดา้ นสมุนไพรหลายอย่าง

เอกสารอ้างอิง
Chantaranothai, P. (2007). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of Thailand
Vol. 8(2): 477-479.

มะยม: ชอ่ ดอกออกเป็นกระจกุ ตามก่งิ กา้ นเกสรเพศเมยี 3-4 อัน รงั ไขแ่ ละผลจักเปน็ พู (ภาพ: cultivated - RP)

341

มะยมแกว้ สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

มะยมแกว้ มะยมใบแขง็

Cyclocodon celebicus (Blume) D. Y. Hong Phyllanthus ridleyanus Airy Shaw
วงศ์ Campanulaceae ไมพ้ มุ่ รอเลอ้ื ย ใบรปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 6-17 ซม. ปลายแหลมหรอื เปน็ ตง่ิ แหลม

ช่ือพ้อง Campanumoea celebica Blume, Codonopsis celebica (Blume) Miq., โคนเบยี้ ว ขอบม้วนนนู ก้านใบยาว 3-4 มม. ดอกออกเปน็ กระจกุ ตามซอกใบ
ดอกเพศผูม้ ปี ระมาณ 10 ดอก ดอกเพศเมยี มี 2-3 ดอก ดอกเพศผ้กู า้ นดอก
ไมล้ ้มลกุ สูงไดถ้ ึง 1.5 ม. ใบเรียงตรงขา้ ม รูปไข่หรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว ยาว 5-6 มม. ดอกเพศเมยี กา้ นยาวประมาณ 1 มม. กลีบเลยี้ ง 6 กลีบ ในดอกเพศผู้
3.5-9 ซม. ปลายแหลมยาว โคนรปู ลม่ิ กวา้ งหรอื กลม ขอบจกั ซฟ่ี นั มขี นประปรายตาม ยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกเพศเมยี ยาวประมาณ 5 มม. ขอบจกั ชายครยุ สนั กลบี
เสน้ แขนงใบ กา้ นใบยาว 4-5 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกที่ปลายกิ่ง ดา้ นนอกมีติ่งขนแหลม 3 กลีบปลายเรียวแหลม 3 กลีบปลายเรยี วรปู เสน้ ด้าย
บางครงั้ มดี อกเดยี ว ใบประดบั คลา้ ยใบขนาดเลก็ ใบประดบั ยอ่ ยรปู แถบ กา้ นดอกยาว ยาว 5-6 มม. จานฐานดอกมี 6 ตอ่ ม รูปไขก่ ลับ เกสรเพศผู้ 3 อัน ก้านชูอับเรณู
1-6 ซม. กลบี เลยี้ ง 5 กลบี ตดิ บนรังไขท่ ่ีโคน กลีบรูปแถบ ยาว 3-4 มม. เรยี บหรอื เช่ือมติดกันทโี่ คน รงั ไขม่ ีขน ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 0.2 มม. ยอดเกสร
จักซฟ่ี นั หา่ ง ๆ ติดทน ดอกสีขาวหรืออมฟา้ รปู ถ้วย ยาว 1-1.2 ซม. ปลายแยก ยาวประมาณ 0.1 มม. ผลแห้งแตก จัก 3 พู ตืน้ ๆ เสน้ ผ่านศูนย์กลางประมาณ
5 แฉก รูปสามเหล่ยี ม ยาวประมาณ 5 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั กา้ นชูอับเรณยู าว 1 ซม. ด้านนอกมขี นสน้ั นุ่ม (ดูข้อมูลเพม่ิ เตมิ ที่ ผกั หวานดง, สกลุ )
ประมาณ 2.5 มม. รังไข่เกลย้ี ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 2.5 มม. แยก 5 แฉก
แฉกยาวประมาณ 2 มม. บานออก ผลสดมีหลายเมล็ด สขี าว กลม แบนด้านบน พบท่ีคาบสมุทรมลายู ในไทยพบทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ท่ีกาญจนบุรี
เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 1-1.5 ซม. เมลด็ ขนาดเล็ก จำ� นวนมาก ประจวบครี ขี นั ธ์ ภาคใตท้ ร่ี ะนอง สรุ าษฎรธ์ านี ขนึ้ ตามรมิ ลำ� ธารในปา่ ดบิ แลง้ และ
ป่าดบิ ช้ืน ความสงู ถงึ ประมาณ 1000 เมตร คลา้ ยกับชนดิ P. lingulatus Beille
พบทอี่ นิ เดยี บงั กลาเทศ จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และนวิ กนิ ี ซ่ึงเกสรเพศผู้มี 6 อัน และรังไข่เกล้ียง พบเฉพาะท่ีลาว และภาคเหนือของไทยที่
ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคเหนือ ภาคกลาง (เขาใหญ)่ ภาคตะวนั ตกเฉียงใต้ เชียงใหม่
และภาคใต้ ขึน้ ตามป่าดิบเขา หรือบนเขาหินปนู ความสูง 550-1700 เมตร
เอกสารอ้างอิง
สกลุ Cyclocodon Griff. ex Hook. f. & Thomson มีประมาณ 4 ชนดิ พบใน Chantaranothai, P. (2007). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of Thailand
ประเทศแถบหิมาลัย ภมู ภิ าคอินโดจนี และมาเลเซีย นิวกนิ ี ในไทยมี 2 ชนดิ อกี Vol. 8(2): 429, 498-499.
ชนดิ คือ C. parviflorus (Wall. ex. A. DC.) Hook. f. & Thomson ส่วนต่าง ๆ ของดอก
มีจ�ำ นวน 4 และกลีบเลี้ยงตดิ บนกา้ นดอกใต้รังไข่ พบทีแ่ มฮ่ ่องสอน และน่าน

เอกสารอา้ งองิ
de Wilde, W.J.J.O. and B.E.E. Duyfjes. (2014). Campanulaceae. In Flora of
Thailand Vol. 11(4): 512-514.
Hong, D. and T.G. Lammers. (2011). Campanulaceae (Cyclocodon). In Flora
of China Vol. 19: 527.

มะยมฉัตร: มีขยุ สีนำ�้ ตาลแดงตามก่งิ ขอบกลีบเลย้ี งจกั ชายครยุ กา้ นผลยาว ผลมีขนยาวหนาแน่น (ภาพ: เขาใหญ่
ปราจีนบุรี; ภาพซ้าย - MP, ภาพขวา - SSi)

มะยมแกว้ : ใบเรยี งตรงขา้ ม ขอบจกั ซฟ่ี นั ช่อกระจุกสว่ นมากมีดอกเดยี ว กลบี เลย้ี งติดบนรังไขท่ ี่โคน ขอบจัก ตดิ ทน มะยมใบแขง็ : ดอกออกเปน็ กระจุกตามซอกใบ ดอกเพศผู้จำ� นวนมาก กลีบเล้ยี งปลายเรียวแหลมรปู เส้นดา้ ย ผลจกั
ผลกลม แบนดา้ นบน (ภาพ: เขาใหญ่ ปราจนี บรุ ี - SSi) 3 พู ตื้น ๆ ดา้ นนอกมขี นสัน้ น่มุ (ภาพ: น้�ำตกวิภาวดี สรุ าษฎรธ์ านี - RP)

มะยมฉัตร มะยมป่า

Phyllanthus pulchroides Beille Ailanthus triphysa (Dennst.) Alston
วงศ์ Phyllanthaceae วงศ์ Simaroubaceae

ไม้พุ่ม สูงไดถ้ งึ 1 ม. มขี ุยสนี ำ้� ตาลแดงตามกง่ิ และกา้ นใบ ใบรูปขอบขนาน ช่ือพ้อง Adenanthera triphysa Dennst.
หรอื รปู ใบหอก ยาว 12-26 ซม. ปลายแหลม โคนเบย้ี ว ขอบมสี นั นนู แผน่ ใบเกลยี้ ง
ก้านใบส้นั มาก ช่อดอกออกป็นกระจกุ ตามซอกใบ ดอกเพศผู้มี 2-6 ดอก ออก ไม้ตน้ สงู ไดถ้ ึง 45 ม. แยกเพศตา่ งต้น ใบประกอบปลายค่ี มีใบย่อย 6-30 คู่
ชว่ งโคน ดอกเพศเมยี มดี อกเดยี ว ดอกเพศผกู้ า้ นดอกยาว 5-7 มม. กลบี เลย้ี ง 4 กลบี รปู ไข่ แกมรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 5-26 ซม. ปลายแหลมยาว ปลายมตี อ่ ม
รปู ไข่ ยาว 1-2.5 มม. ขอบจกั ชายครยุ จานฐานดอกเปน็ ต่อม 4 ตอ่ ม เกสรเพศผู้ เปน็ ขนคลา้ ยปลายมนหรอื เวา้ ตนื้ โคนเบยี้ ว กา้ นใบยอ่ ยยาว 5-7 มม. ใบแหง้ สแี ดง
4 อนั เชอ่ื มตดิ กนั ทโี่ คน ดอกเพศเมยี ก้านดอกยาว 1-2.5 ซม. กลบี เลี้ยง 5 กลบี ช่อดอกแยกแขนงยาว 20-60 ซม. มีขนประปราย ใบประดับขนาดเล็ก รว่ งเร็ว
รปู ใบหอกแกมรปู ไข่ ยาวประมาณ 3 มม. ขอบจกั ชายครยุ ขยายในผล จานฐานดอก กา้ นดอกยาว 2-4 มม. กลบี เลย้ี งเชอื่ มตดิ กนั เปน็ หลอดสนั้ ๆ มี 5 กลบี รปู สามเหลยี่ ม
เปน็ ตอ่ ม 5 ตอ่ ม กา้ นเกสรเพศเมยี สน้ั ยอดเกสรยาวประมาณ 0.5 มม. ผลแหง้ แตก ขนาดเลก็ ด้านนอกมขี นยาว กลีบดอก 5 กลบี เรียงจรดกนั ในตาดอก กลบี รูปไข่
เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 2-3 ซม. มีขนยาวหนาแนน่ เมลด็ รปู สามเหล่ยี มมน ยาว 2-3.5 มม. ยาว 3-5 มม. เกสรเพศผู้ 10 อัน ติดใต้จานฐานดอก พับงอในตาดอก กา้ นชอู ับเรณู
(ดูขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ ท่ี ผักหวานดง, สกลุ ) ยาว 3-6 มม. โคนมขี นยาว ลดรปู ในดอกเพศเมยี ส่วนมากมี 3 คารเ์ พล โคนมัก
เชอื่ มติดกนั เกลยี้ ง ก้านเกสรเพศเมียแยกหรอื เชอ่ื มติดกันท่ีโคน ยอดเกสรจกั 3 พู
พบที่เวียดนาม ในไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือท่ีภูกระดึง ภูหลวง รูปโล่ เส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 2 มม. มปี ระมาณ 3 ผลย่อย มปี ีกเดียว ปลายมน
จังหวดั เลย และภาคกลางทีเ่ ขาใหญ่ จังหวดั ปราจีนบรุ ี ขน้ึ ตามป่าดบิ เขา ความสูง ยาว 4.5-8 ซม. แต่ละผลย่อยมเี มลด็ เดยี ว แบน
1100-1500 เมตร
พบท่ีอนิ เดยี ศรีลังกา จนี ตอนใต้ พม่า เวยี ดนาม คาบสมทุ รมลายู สมุ าตรา
นวิ กนิ ี และออสเตรเลยี ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ยกเวน้ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
ขึน้ ตามปา่ เบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ความสูงถงึ ประมาณ 1000 เมตร นำ�้ ยาง
หรอื ชนั มีกลิ่นหอมใช้ทำ� ธูป ไลแ่ มลง

342

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย มะรมุ

สกุล Ailanthus Desf. มีประมาณ 10 ชนดิ พบในเอเชีย ออสเตรเลยี และหมูเ่ กาะ มะระขนี้ ก
แปซฟิ ิก ในไทยมีชนดิ เดยี ว ช่ือสกลุ มาจากภาษาพื้นเมืองหมู่เกาะโมลุกกะ ของ
อินโดนีเซีย หมายถงึ สูงเสยี ดฟ้า ตามลักษณะวสิ ัย Momordica charantia L. forma abbreviata (Ser.) W.J. de Wilde &
เอกสารอ้างอิง Duyfjes
Nooteboom, H.P. (1981). Simaroubaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 439-441.
วงศ์ Cucurbitaceae
มะยมป่า: ใบประกอบปลายค่ี ใบแหง้ สแี ดง ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ผลมี 3 ผลย่อย มีปกี ปลายมน (ภาพดอก: ไมเ้ ถาล้มลุก ยาวไดถ้ ึง 4 ม. มีขนส้ันนุ่ม แยกเพศรว่ มต้น ใบรปู ฝา่ มอื 5-9 พู
หว้ ยขาแขง้ อทุ ยั ธานี, ภาพผล: สุโขทัย; - SSi)
เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 2.5-10 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนรูปหัวใจ ขอบจกั
มะเยาเหลย่ี ม ฟันเลื่อยหา่ ง ๆ ปลายเปน็ ติ่ง แผน่ ใบดา้ นล่างมีขนสัน้ นุ่ม กา้ นใบยาว 1.5-5 ซม.
ไมม่ ตี อ่ ม ชอ่ ดอกมดี อกเดยี ว ใบประดบั เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.5-1.5 ซม. ตดิ ใตก้ ง่ึ กลาง
Vernicia montana Lour. ก้านชอ่ ชอ่ ดอกเพศผ้ยู าว 0.5-5 ซม. ก้านดอกยาว 2-6 ซม. ฐานดอกยาว 2-4 มม.
วงศ์ Euphorbiaceae กลบี เลี้ยงรูปไข่แคบ ๆ ยาว 4-6 มม. กลบี ดอกรูปไขก่ ลับ ยาว 1-2 ซม. ก้านชอู บั เรณูส้ัน
อบั เรณตู ิดกนั ดอกเพศเมียกา้ นดอกยาวได้ถงึ 10 ซม. ดอกขนาดเล็กกว่าดอกเพศผู้
ไม้พุ่มหรอื ไม้ต้น สูงไดถ้ ึง 15 ม. แยกเพศรว่ มตน้ หูใบรูปรี ยาว 3-5 มม. รว่ งเร็ว รังไขม่ ปี มุ่ กา้ นเกสรเพศเมียส้ัน ผลรปู รี ยาว 2-11 ซม. ปลายแหลมยาว ผิวเป็นตุ่ม
ใบเรียงเวยี น รูปรีหรือรูปไข่ เรียบหรอื จกั 3-5 พู ยาว 6-27 ซม. ปลายแหลมยาว แหลม มีสนั ตามแนวยาว 8-10 สนั แตกเปน็ 3 สว่ น กา้ นผลยาว 3.5-15 ซม.
โคนกลม ตดั หรือเว้าต้นื เส้นโคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้ กา้ นใบยาว 4.5-23 ซม. เมลด็ แบน ยาว 0.8-1.5 ซม. (ดขู ้อมูลเพม่ิ เติมที่ ฟักข้าว, สกลุ )
ปลายกา้ นใบตดิ โคนใบมตี อ่ มรปู กระบอง 2 ตอ่ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง
คลา้ ยชอ่ เชงิ หลนั่ ชอ่ ดอกเพศผยู้ าว 10-25 ซม. กา้ นดอกยาว 0.7-1.2 ซม. ชอ่ ดอก พบในแอฟรกิ า เอเชยี และออสเตรเลยี ขน้ึ ตามชายปา่ หรอื เขาหนิ ปนู ผลออ่ น
เพศเมยี ยาว 3-12 ซม. กา้ นดอกยาว 3-6 มม. กลีบเล้ยี งแยกเป็น 2-3 กลีบ และยอดออ่ นรบั ประทานเปน็ ผกั สด มสี รรพคณุ ลดนำ�้ ตาลในเลอื ด แกโ้ รคตบั อกั เสบ
ขนาดไมเ่ ทา่ กนั ยาว 1-1.5 ซม. ดอกสขี าว กลบี รปู ไขก่ ลบั แกมรปู ขอบขนาน ยาว มา้ มอกั เสบ และปวดเขา่ หรอื เปน็ ยาระบายออ่ น ๆ สว่ น forma charantia หรอื
1.5-3.5 ซม. ก้านกลบี ยาว 6-8 มม. เกสรเพศผู้ 8-14 อนั วงในยาวกว่าวงนอก มะระ ผลเรยี วยาว ผิวเปน็ ปุม่ ทู่
จานฐานดอกเปน็ ต่อม 5-6 ต่อม แยกกนั รังไข่ 3-5 ช่อง กา้ นเกสรเพศเมยี 3 อัน
ยาว 0.5-1 ซม. ปลายแยกเปน็ 2 แฉกตืน้ ๆ ผลรูปไข่กวา้ ง ยาว 4-6 ซม. มี 3-5 สนั เอกสารอ้างองิ
ปลายแหลม ผวิ ยน่ มีขนประปราย เมล็ดรูปไขก่ ลบั ยาว 2-3 ซม. มตี ุม่ และสันนนู de Wilde, W.J.J.O. and B.E.E. Duyfjes. (2008). Cucurbitaceae. In Flora of
Thailand Vol. 9(4): 464-467.
พบที่จีนตอนใต้ พม่า และภมู ภิ าคอินโดจนี ในไทยพบกระจายทางภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ขน้ึ ตามชายป่าดิบแล้ง และ มะระขนี้ ก: ใบแฉกรูปฝ่ามือ ขอบจักฟันเล่อื ยห่าง ๆ ช่อดอกมีดอกเดียว ดอกเพศผูก้ า้ นดอกสนั้ ผลมตี มุ่ แหลม เปน็ สนั
ปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1200 เมตร เมลด็ มพี ษิ ใหน้ ำ�้ มนั ใชใ้ นอตุ สาหกรรม ตามแนวยาว (ภาพ: กรุงเทพฯ - RP)
ผลิตสี และนำ้� มนั ชกั เงา เชน่ เดยี วกับมะเยา
มะรมุ
สกลุ Vernicia Lour. อย่ภู ายใต้วงศย์ ่อย Crotonoideae มี 3 ชนิด ในไทยมพี ืช
พื้นเมืองชนดิ เดียว สว่ นมะเยา V. fordii (Hemsl.) Airy Shaw เป็นไม้ประดับหรือ Moringa oleifera Lam.
ปลูกเพอ่ื สกดั นำ้�มันจากเมลด็ มีถน่ิ กำ�เนิดท่ีจีนตอนใต้ พม่า และเวยี ดนามตอนบน วงศ์ Moringaceae
ชือ่ สกุลมาจากภาษาละตนิ “vernix” ชกั เงา หมายถงึ พืชมีเมล็ดให้น้ำ�มัน
เอกสารอ้างองิ ไมต้ น้ สูงได้ถงึ 30 ม. ใบประกอบ 3 ช้นั เรียงเวยี น ยาวไดถ้ งึ 60 ซม. มีต่อม
Stuppy, W., P.C. van Welzen, P. Klinratana and M.C.T. Posa. (2007). ทโี่ คนกา้ นใบและแผน่ ใบ ตอ่ มมกี า้ น ใบยอ่ ยมี 4-6 คู่ รปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 1-2 ซม.
ใบออ่ นมขี นประปราย ปลายกลมหรอื เวา้ ตน้ื โคนกลมหรอื รปู ลม่ิ กา้ นใบสน้ั ชอ่ ดอก
Euphorbiaceae (Vernicia). In Flora of Thailand Vol. 8(2): 588-590. แยกแขนง ออกตามซอกใบ ยาวไดถ้ งึ 30 ซม. ใบประดบั ขนาดเลก็ กา้ นดอกเทยี ม
ยาว 0.7-1.5 ซม. ก้านดอกสน้ั กลบี เล้ียง 5 กลบี รปู ใบหอกขนาดเลก็ พบั งอกลับ
มะเยาเหลย่ี ม: ปลายกา้ นใบตดิ โคนใบมีตอ่ มรูปกระบอง 2 ต่อม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงคลา้ ยชอ่ เชงิ หลั่น ดอกสีครมี คลา้ ยรปู ดอกถ่วั มี 5 กลีบ รูปใบพาย ยาว 1-2 ซม. กลีบหลังตง้ั ข้นึ
ผลรปู ไข่กวา้ ง มีสันนนู 3-5 สัน ผิวยน่ (ภาพ: ดอยสุเทพ เชียงใหม่ - PT) 4 กลีบลา่ งพับงอกลบั เกสรเพศผู้ 5 อนั เปน็ หมนั 5 อัน เรียงคนละวง โคนมีขน
รงั ไขม่ ชี อ่ งเดยี ว มกี า้ น พลาเซนตาตามแนวตะเขบ็ 3 แนว มขี น ออวลุ จำ� นวนมาก
กา้ นเกสรเพศเมยี 1 อนั ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ ขนาดเลก็ ผลแหง้ แตก มี 3 ซกี รปู ทรงกระบอก
เปน็ สัน ยาวไดถ้ ึง 50 ซม. เมลด็ กลมแกมรูปสามเหลีย่ ม เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.5 ซม.
มีปีกบาง กวา้ ง 0.5-1 ซม.

มถี น่ิ กำ� เนดิ ในอนิ เดยี และปากสี ถาน ปลกู ทวั่ ไปในเอเชยี เขตรอ้ น ผลและใบออ่ น
ใช้ปรุงอาหาร เมล็ดให้น้�ำมัน ใช้จุดไฟตะเกียง ใช้ในอุตสาหกรรมความงามและ
น�้ำหอม ในอดีตเคยใช้เปน็ น้�ำมนั หล่อลน่ื ในนาฬิกา เปลือกและเมลด็ มีสรรพคณุ
เป็นยาปฏิชีวนะ

สกลุ Moringa Adans. เป็นสกลุ เดยี วของวงศ์ มี 13 ชนดิ พบในแอฟรกิ า
มาดากสั การ์ และเอเชีย ในไทยเปน็ ไมต้ า่ งถิ่นชนิดเดียว ช่ือสกุลมาจากภาษา
ทมฬิ หรือมาลายาลัม “murunga” หรอื ภาษาสันสกฤต “marungi” ทใ่ี ช้เรียก
มะรุม ในอินเดยี ในแอฟรกิ าใช้เมล็ดจากพืชสกลุ นีห้ ลายชนดิ ฆา่ เช้อื แบคทีเรยี
ในน้�ำ กอ่ นบริโภค

343

มะลิ สารานุกรมพืชในประเทศไทย

เอกสารอา้ งองิ มะลชิ ้าง
Lu, L. and M. Olson. (2001). Moringaceae. In Flora of China Vol. 8: 196.
Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum Jasminum cordatum Ridl.
Press, Honolulu, Hawai`i. ไม้เถาหรือไม้พุม่ ทอดเลื้อย ก่ิงอ่อนมขี นละเอียด ใบรปู ไขถ่ งึ รปู ใบหอก ยาว

มะรมุ : ใบประกอบ 3 ช้นั ดอกคล้ายรูปดอกถัว่ กลีบดอกกลบี หลงั ตั้งข้ึน 4 กลบี พบั งอกลบั (ภาพ: cultivated - RP) 1.3-5.5 ซม. ปลายเรียวแคบ มน หรอื แหลมส้นั ๆ ปลายมีต่งิ โคนกลมหรอื เวา้ ตืน้
เส้นโคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้ โคง้ เปน็ เสน้ ขอบใน เสน้ แขนงใบไมช่ ดั เจน กา้ นใบยาว
มะล,ิ สกุล ประมาณ 5 มม. มีขนละเอยี ด ชอ่ ดอกมดี อกเดยี ว ใบประดบั 1 คู่ เป็นต่ิงแหลมออ่ น ๆ
ยาวประมาณ 1 มม. ก้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบเล้ียงรูปลมิ่ แคบ ยาว 2-5 มม.
Jasminum L. มขี นละเอียดประปราย หลอดกลบี ดอกยาว 1.7-3 ซม. กลีบดอก 6-8 กลีบ รูปรหี รือ
วงศ์ Oleaceae รูปขอบขนาน ยาว 0.9-1.7 ซม. ผลรปู รีเกือบกลม

ไมเ้ ถา ไมพ้ มุ่ หรอื รอเลอ้ื ย ใบเดย่ี วหรอื ใบประกอบ เรยี งตรงข้าม กา้ นใบยอ่ ย พบทีค่ าบสมุทรมลายู และภาคใตข้ องไทยที่สรุ าษฎร์ธานี ภูเกต็ พังงา สงขลา
มกั มีขอ้ ช่อดอกส่วนมากแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง กลีบเล้ยี งส่วนมากรปู ถ้วย มี ขนึ้ ตามเขาหนิ ปนู ในป่าดิบชนื้ ความสูง 100-250 เมตร
5-9 กลบี ตดิ ทน ดอกสว่ นมากรปู ดอกเขม็ สขี าว มี 5 หรอื หลายกลบี เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม
ในตาดอก เกสรเพศผู้ 2 อนั ตดิ ภายในหลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู นั้ แกนอบั เรณู มะลดิ อย
มีรยางคส์ ั้น ๆ รังไขเ่ หนือวงกลีบ มี 2 ชอ่ ง แตล่ ะชอ่ งมอี อวลุ 2 หรือหลายเม็ด
กา้ นเกสรเพศเมยี รูปเส้นด้าย ยอดเกสรเป็นตมุ่ หรอื จกั 2 พู ผลสดตดิ เปน็ คูห่ รือ Jasminum dispermum Wall. subsp. forrestianum (Kobuski) P. S. Green
ฝอ่ เหลือผลเดียว สุกสดี ำ� หรอื มว่ งอมดำ� มหี นึง่ หรอื หลายเมลด็ ไมเ้ ถา เกลยี้ ง ใบเดยี่ วหรอื ใบประกอบมี 3 ใบยอ่ ย ใบยอ่ ยใบปลายรปู ขอบขนาน

สกุล Jasminum มีประมาณ 200 ชนิด ส่วนมากพบในเอเชยี และแอฟรกิ าเขตรอ้ น แกมรปู ไข่ ยาว 7-13 ซม. ใบขา้ งขนาดเล็ก ยาว 3-6.5 ซม. ปลายเรยี วแหลมยาว
พบนอ้ ยในเขตอบอุ่น ในไทยเปน็ พืชพน้ื เมอื งประมาณ 32 ชนดิ และเปน็ ไม้ตา่ งถน่ิ โคนกลม ตดั หรอื เว้าตืน้ ก้านใบยาว 1-2 ซม. เส้นโคนใบขา้ งละ 2 เส้น เส้นแขนงใบ
กวา่ 10 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษาอาหรับ “yasmin” ทีใ่ ชเ้ รยี กมะลิ ขา้ งละ 3-4 เสน้ มตี ่มุ ใบเป็นขน ช่อดอกออกท่ปี ลายกิ่งหรือซอกใบ กา้ นช่อส้ันกวา่ ใบ
ใบประดับขนาดเลก็ ก้านดอกยาว 3-7 มม. หลอดกลบี เล้ียงยาวประมาณ 2 มม.
มะลิ กลบี รปู สามเหล่ยี ม ยาว 0.6-0.8 มม. หลอดกลีบดอกสชี มพู ยาว 0.7-1 ซม.
กลบี ดอก 5 กลีบ รูปไข่ กว้างประมาณ 5 มม. ยาว 5-6 มม. อบั เรณูยาวประมาณ
Jasminum sambac (L.) Aiton 4 มม. ผลรูปรกี ว้าง จกั เป็นพู ยาวประมาณ 8 มม.

ชอื่ พ้อง Nyctanthes sambac L. พบทอ่ี ินเดีย เนปาล จนี ตอนใต้ พม่า และภาคเหนอื ของไทยทดี่ อยอินทนนท์
ขึ้นตามป่าดิบเขา ความสูง 1900-2500 เมตร ดอกมีกล่ินหอม ส่วน subsp.
ไมพ้ มุ่ รอเลอื้ ย สงู ไดถ้ งึ 3 ม. กงิ่ มขี นประปราย ใบเดย่ี ว รปู รหี รอื รปู ไขก่ ลบั กวา้ ง dispermum มีใบยอ่ ย 3-7 ใบ ใบยอ่ ยขนาดเลก็ พบท่ีอินเดีย ภฏู าน และเนปาล
เกอื บกลม ยาว 4-12.5 ซม. แผ่นใบดา้ นลา่ งมีขนตามเส้นแขนงใบ ก้านใบยาว
2-6 มม. มขี นสน้ั นุ่ม โคนและปลายแหลม เสน้ แขนงใบขา้ งละ 4-6 เสน้ เสน้ โคนใบ เอกสารอ้างองิ
ไม่ชัดเจน ชอ่ ดอกออกสน้ั ๆ ที่ปลายก่ิง มี 1-5 ดอก ใบประดบั รูปลิ่มแคบ ยาว Chang, M.C., L.C. Chiu, Z. Wei and P.S. Green. (1996). Oleaceae. In Flora of
4-8 มม. ก้านดอกยาว 0.3-2 ซม. กลบี เลย้ี ง 8-9 กลบี รูปแถบ ยาว 5-7 มม.
หลอดกลบี ดอกสั้น กลีบดอกมีได้ถึง 16 กลบี รปู รีหรอื เกือบกลม ยาว 5-9 มม. China Vol. 15: 318.
ผลรปู กลม เส้นผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 1 ซม. สกุ สีมว่ งดำ� Green, P.S. (2000). Oleaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(2): 306-340.

เขา้ ใจวา่ มถี น่ิ กำ� เนดิ ในอนิ เดยี เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไปในเขตรอ้ น ดอกมกี ลนิ่ หอมแรง มะลิ: ใบรปู รีหรอื รปู ไขก่ ลับกวา้ ง กลบี เลยี้ ง 8-9 กลีบ รปู แถบ กลบี ดอกเป็นสองเทา่ ของกลีบเลย้ี ง หรือกลีบดอกซ้อน
ซ่ึงอาจเปน็ ที่มาของชือ่ สามญั Arabian jasmine มหี ลากสายพนั ธุ์ ทงั้ ดอกซอ้ น (ภาพ: cultivated - RP)
ดอกเรยี งเปน็ ชนั้ หลายแบบ หรอื รปู คลา้ ยมงกฏุ สว่ นใหญไ่ มต่ ดิ ผล เปน็ สญั ลกั ษณ์
ของวนั แมแ่ ห่งชาติของไทย และเปน็ ดอกไมป้ ระจำ� ชาติของฟลิ ิปปนิ ส์ มะลเิ ขี้ยวง:ู ชอ่ แบบช่อกระจุกแยกแขนง หลอดกลีบเล้ียงสน้ั กลีบรปู แถบยาวเทา่ ๆ หลอดกลีบ พบั งอกลบั กลีบดอก
7-8 กลีบ (ภาพ: กาญจนบรุ ี - SSi ); มะลชิ า้ ง: เส้นโคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้ เส้นแขนงใบไม่ชัดเจน ชอ่ ดอกมดี อกเดียว
มะลเิ ข้ียวงู กลบี ดอก 6-8 กลบี (ภาพ: เขาลงั ตัง พังงา - NP)

Jasminum decussatum Wall. & G. Don มะลิดอย: ใบเดี่ยวหรอื มี 3 ใบยอ่ ย ช่อดอกสั้นกว่าใบ กลบี เลยี้ งสน้ั มาก หลอดกลบี ดอกสีชมพู กลบี ดอก 5 กลีบ
ไมเ้ ถา มขี นสน้ั นมุ่ หรอื ขนยาวตามกงิ่ ออ่ น แผน่ ใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ ชอ่ ดอก และ ผลจกั เป็นพู (ภาพ: ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ - SSi)

กลบี เลย้ี ง ใบรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 5-11 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว
โคนรูปล่ิมกวา้ งหรือกลม กา้ นใบยาว 0.6-1.6 ซม. เสน้ แขนงใบขา้ งละ 3-4 เสน้
ช่อดอกออกส้นั ๆ ท่ปี ลายกง่ิ หรือกิง่ ขา้ ง ดอกจ�ำนวนมาก ใบประดบั รปู แถบ ยาว
ไดถ้ งึ 1 ซม. กา้ นดอกไรก้ า้ นหรอื ยาวไดถ้ งึ 3 มม. หลอดกลีบเล้ียงยาว 1-1.5 มม.
กลีบรูปแถบ ยาว 1-2 มม. พับงอ หลอดกลีบดอกยาว 0.4-1 ซม. กลบี ดอก 7-8 กลบี
รปู ใบหอก ยาว 7-9 ผลรปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ 1 ซม.

พบทพ่ี มา่ คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ในไทยพบทางภาคเหนอื ทแี่ ม่ฮ่องสอน
ภาคกลางทสี่ ระบรุ ี และกระจายทว่ั ไปทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขนึ้ ตาม
ชายปา่ หรือป่าโปรง่ ความสงู ถงึ ประมาณ 700 เมตร

344

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย มะหวด

มะลดิ ิน เอกสารอ้างองิ
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae (Sindechites). In Flora of Thailand Vol. 7(1):
Geophila repens (L.) I. M. Johnst. 133-135.
วงศ์ Rubiaceae Middleton D.J. and T. Livshultz. (2012). Streptoechites gen.nov., a new genus
of Asian Apocynaceae. Adansonia, sér. 3, 34(2): 365-375.
ชอ่ื พอ้ ง Rondeletia repens L.
มะลวิ ลั ย์เขา: ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ ดอกรูปดอกเข็ม คอหลอดกลบี ดอกมีขนสั้นน่มุ ผลเปน็ ฝกั คู่ ก้านผลบดิ เลก็ นอ้ ย
ไมล้ ม้ ลุกทอดเลือ้ ยไปตามพ้ืนดิน มรี ากตามข้อ อาจสูงไดถ้ งึ 15 ซม. ลำ� ต้นมขี น (ภาพ: แกง่ กระจาน เพชรบรุ ี - PK)
หใู บรปู สามเหลยี่ มขนาดเลก็ ตดิ ทน ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู ไขเ่ กอื บกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
1-3 ซม. ปลายมน กลม โคนรูปหวั ใจ เส้นโคนใบข้างละ 2-3 เส้น ก้านใบยาว 1-5 ซม. มะหวด, สกุล
มขี น ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แน่น ออกตามยอด มี 1-3 ดอก ก้านชอ่ ยาว 1-4 ซม.
ใบประดับรูปเสน้ ด้าย ยาว 1.5-3 มม. กลีบเลยี้ ง 4 กลีบ ตดิ ทน หลอดกลบี ยาว Lepisanthes Blume
1.5-3 มม. กลีบรปู ใบหอก ยาว 2-3 มม. ขอบมขี นครยุ ดอกรปู แตร สขี าว มี 4 กลีบ วงศ์ Sapindaceae
หลอดกลีบดอกยาวประมาณ 8 มม. ดา้ นในมีขน กลีบรปู ใบหอก ยาว 3-4 มม.
เกสรเพศผู้ 4 อนั ติดภายในหลอดกลบี ดอก อบั เรณตู ดิ ดา้ นหลัง รังไขใ่ ต้วงกลีบ ไม้พุ่มหรือไม้ต้น แยกเพศร่วมต้น ใบประกอบชั้นเดียวปลายค่ีหรือปลายคู่
มี 2 ช่อง แต่ละชอ่ งมีออวลุ 1 เม็ด ยอดเกสรเพศเมยี จกั 2 พู ผลสด สกุ สแี ดงส้ม หรอื มใี บย่อยใบเดียว บางครัง้ มีหูใบเทยี ม โคนเบี้ยว ขอบใบเรียบ ช่อดอกแบบ
เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 4-6 มม. มี 2 ไพรนี ผวิ ยน่ ด้านลา่ ง ชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกตามซอกใบ ปลายกง่ิ หรอื ลำ� ตน้ ใบประดบั ขนาดเลก็
กลบี เล้ียง 4-5 กลบี เรยี งซ้อนเหลอ่ื ม กลีบวงนอก 2 กลีบขนาดเลก็ กวา่ กลบี วงใน
พบทอ่ี เมรกิ าเขตร้อน แอฟรกิ า มาดากสั การ์ เอเชยี ขนึ้ ตามปา่ ดบิ ชน้ื ปา่ ดบิ แลง้ กลบี ดอก 4-5 กลบี มีก้านกลบี สน้ั ๆ ปลายมีสนั เกลด็ 1-2 อนั จานฐานดอกจกั
และปา่ ดบิ เขา ความสูง 100-1200 เมตร นำ�้ ค้ันจากใบใช้หยอดตาแก้อักเสบ เปน็ พู เกสรเพศผู้ 4-18 อนั แตส่ ่วนมากมี 8 อนั รังไข่มี 2-3 ช่อง แต่ละช่องมี
ออวลุ เมด็ เดยี ว ผลผนงั ชนั้ ในแขง็ แหง้ ไมแ่ ตก บางครงั้ จกั เปน็ พู เมลด็ ไมม่ เี ยอื่ หมุ้
สกลุ Geophila D. Don มปี ระมาณ 30 ชนดิ พบในอเมรกิ าเขตรอ้ น แอฟริกา
มาดากัสการ์ และเอเชยี ในไทยมีชนิดเดียว ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรกี “gea” สกุล Lepisanthes มปี ระมาณ 24 ชนิด พบในแอฟรกิ า มาดากสั การ์ เอเชยี
พ้ืนดิน และ “philos” รกั หรือชอบ หมายถงึ พืชท่ีขน้ึ ตดิ ดิน และออสเตรเลยี ในไทยมี 4 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก “lepis” เกล็ด และ
เอกสารอ้างองิ “anthos” ดอก ตามลักษณะสันเกล็ดที่ปลายกลบี ดอก
Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Geophila). In Flora of China Vol.
มะหวด
19: 144.
Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh.
มะลดิ นิ : โคนใบรปู หวั ใจ เส้นโคนใบข้างละ 2-3 เส้น ปากหลอดกลีบดอกมขี น ผลสกุ สีแดงสม้ กลีบเลย้ี งตดิ ทน
(ภาพดอก: แก่งกระจาน เพชรบรุ ี - PK; ภาพผล: ขุนพะวอ ตาก - RP) ชื่อพ้อง Sapindus rubiginosus Roxb.

มะลิวลั ย์เขา ไมพ้ ุ่มหรอื ไมต้ ้น สงู ได้ถงึ 15 ม. มขี นยาวหนาแน่นตามกง่ิ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง
ช่อดอก ใบประดับ และกลบี เลี้ยง ใบประกอบปลายคู่ เรียงเวียน ใบยอ่ ยสว่ นมาก
Streptoechites chinensis (Merr.) D. J. Middleton & Livsh. มี 2-6 คู่ รปู ไข่ รปู ไขก่ ลับ หรือแกมรูปขอบขนาน ยาวได้ถงึ 30 ซม. กา้ นใบสั้น ชอ่ ดอก
วงศ์ Apocynaceae ยาวไดถ้ ึง 50 ซม. กา้ นดอกสัน้ กลีบเลี้ยงรูปไขก่ ว้างเกือบกลม ยาว 1-2.5 มม.
ดอกสขี าวอมเหลอื ง กลบี ดอกรปู ไขก่ ลบั ยาว 2-5 มม. เกลด็ ทปี่ ลายกลบี มขี นเครา
ช่อื พ้อง Epigynum chinense Merr., Sindechites chinensis (Merr.) Markgr. & Tsiang กา้ นชูอับเรณยู าว 1.5-5 มม. มีขนยาว รังไขม่ ี 3 ชอ่ ง ผลจัก 3 พู รปู รแี คบ ยาว
0.8-1.3 ซม. ไรก้ า้ น สเี ขยี ว เปลย่ี นเปน็ สสี ม้ หรอื แดง สกุ สมี ว่ งหรอื ดำ� เมลด็ ยาวประมาณ
ไมเ้ ถา น้�ำยางขาว ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 2.4-7.7 ซม. 1 ซม. ขว้ั เมลด็ ขนาดเลก็
ปลายแหลมยาว โคนกลม แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นประปรายตามเสน้ กลางใบ เสน้ แขนงใบ
ขา้ งละ 3-4 เสน้ เสน้ ใบไม่ชดั เจน ก้านใบยาว 2-3.5 มม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุก พบทอ่ี นิ เดยี พมา่ จนี ตอนใต้ ไหห่ นาน ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์
ยาว 2.5-5 ซม. ก้านชอ่ ยาว 0.8-2.5 ซม. กา้ นดอกยาว 5-8 มม. กลีบเล้ียง 5 กลีบ นวิ กินี และออสเตรเลยี ในไทยพบทุกภาค กระจายหนาแน่น ราก ใบ และผล มี
แยกเกอื บจรดโคน รปู ไข่ ยาว 1.5-2 มม. ขอบมขี นครยุ มแี ผน่ เกลด็ ทโี่ คนใกลข้ อบ สรรพคุณแก้ไข้ ผลสกุ รสหวาน เปน็ ยาสมาน ใบอ่อนเป็นผกั สด
ดา้ นใน ดอกรปู ดอกเขม็ สขี าว กลบี เรยี งซอ้ นทบั ดา้ นขวาในตาดอก หลอดกลบี ดอก
ยาว 0.9-1.5 ซม. ดา้ นนอกช่วงบนมขี นละเอยี ด คอดอกมีขนสั้นนุม่ มี 5 กลบี เอกสารอ้างอิง
ยาว 2-3.5 มม. ด้านนอกมขี นสนั้ น่มุ เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดประมาณกงึ่ กลาง van Welzen, P.C. (1999). Sapindaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 213-214.
หลอดกลบี ดอก ไมย่ น่ื พน้ ปากหลอดกลบี ปลายอบั เรณมู กี ระจกุ ขน จานฐานดอก Xia, N. and P.A. Gadek. (2007). Sapindaceae. In Flora of China Vol. 12: 12-13.
จกั 2 พู มี 2 คารเ์ พล ปลายเชอ่ื มติดกนั จรดก้านเกสรเพศเมยี ยาว 5-7 มม. ผลเปน็
ฝกั คู่ รปู แถบ ยาว 9-17 ซม. กา้ นผลบิดเล็กน้อย เมลด็ จำ� นวนมากรปู แถบ ยาว มะหวด: มขี นยาวหนาแน่นกระจาย ใบประกอบปลายคู่ ดอกสขี าวอมเหลือง ผลจกั 3 พู ไร้ก้าน (ภาพ: พิจติ ร - MP)
ประมาณ 1.5 ซม. ปลายมขี นกระจกุ ยาว 2.5-3.5 ซม.

พบที่ไห่หนาน เวียดนาม และภาคตะวันตกเฉียงใต้ของไทยที่แก่งกระจาน
จังหวดั เพชรบุรี ข้นึ ตามป่าดิบแลง้ ความสูงประมาณ 500 เมตร

สกุล Streptoechites D. J. Middleton & Livsh. แยกจากสกลุ Sindechites
ตามลกั ษณะการตดิ ของเกสรเพศผู้ ปลายอับเรณูมีขนกระจุก และก้านผลบดิ
เปน็ เกลียวเล็กน้อย เปน็ สกลุ ทม่ี ชี นดิ เดียว ชอื่ สกุลมาจากลักษณะที่คลา้ ยกบั
สกลุ Echites และกา้ นผลบิดเป็นเกลยี ว (strepto)

345

มะเหลยี่ มหนิ สารานุกรมพืชในประเทศไทย

มะเหลยี่ มหิน มงั เครช่ ้าง: ใบเรยี งตรงข้าม เสน้ โคนใบข้างละ 2-3 เส้น ดอกออกเปน็ ช่อกระจกุ ฐานดอกรปู ถ้วยมีขนแขง็ เอนกระจาย
เกสรเพศผ้มู สี องขนาด (ภาพ: ภูวัว บงึ กาฬ - RP)
Rhus chinensis Mill.
วงศ์ Anacardiaceae มังตาน

ช่อื พอ้ ง Rhus javanica L. var. chinensis (Mill.) T. Yamaz. Schima wallichii (DC.) Korth.
วงศ์ Theaceae
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. แยกเพศตา่ งตน้ หรอื มดี อกสมบรู ณเ์ พศรว่ มตน้
กง่ิ มีช่องอากาศ มขี นสน้ั นุม่ ตามกิง่ ออ่ น แผน่ ใบด้านลา่ ง ช่อดอก กา้ นดอก และ ชอ่ื พ้อง Gordonia wallichii DC.
กลบี เลยี้ งดา้ นนอก ใบประกอบปลายคี่ เรยี งเวยี น กา้ นใบประกอบยาว 5-15 ซม.
แกนกลางชว่ งปลายมปี กี แคบ ๆ โคนก้านป่อง ใบย่อย 3-6 คู่ รูปรี รูปขอบขนาน หรือ ไมต้ ้น สงู ได้ถงึ 35 ม. กงิ่ มชี ่องอากาศ มีขนส้ันนมุ่ ตามกิ่งออ่ น ใบเรยี งเวยี น รูปรี
แกมรูปไข่ ยาว 3.5-12 ซม. โคนเบ้ียว ขอบจักฟันเล่ือย เส้นแขนงใบขา้ งละ ถงึ รูปใบหอก ยาว 4.5-18 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนเรยี วสอบถึงกลม
10-18 เสน้ เรยี งขนานกนั เสน้ ใบยอ่ ยแบบขน้ั บนั ได กา้ นใบสนั้ หรอื ไรก้ า้ น ชอ่ ดอก ขอบเรยี บเปน็ คลนื่ หรอื จกั ฟนั เลอ่ื ย กา้ นใบยาว 0.5-3.5 ซม. ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรอื
แบบชอ่ แยกแขนง ออกทป่ี ลายกิง่ ช่อดอกเพศผยู้ าว 30-40 ซม. ช่อดอกเพศเมยี แบบชอ่ กระจะสน้ั ๆ ออกตามซอกใบ กา้ นดอกยาว 2-4 ซม. ใบประดับยอ่ ย 2 ใบ
สัน้ กว่า กา้ นดอกยาวประมาณ 1 มม. กลีบเลี้ยง 5 กลบี ขนาดเล็ก ดอกสีเหลืองอ่อน ตดิ บนกงึ่ กลางกา้ นดอก รว่ งเรว็ กลบี เลย้ี ง 5 กลบี รปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ 3 มม.
มี 5 กลีบ เรยี งซ้อนเหลื่อม รูปไขก่ ลบั ยาวประมาณ 2 มม. ขอบมขี นครุย เกสรเพศผู้ มขี นครยุ ดอกสีขาว มี 5 กลบี รูปไข่กลับ ปลายกลม ยาว 1.5-2 ซม. เกสรเพศผู้
5 อนั จานฐานดอกเป็นวง รงั ไข่มีชอ่ งเดยี ว ออวุลมีเม็ดเดยี ว กา้ นเกสรเพศเมยี สัน้ จ�ำนวนมาก ติดท่ีโคนกลบี ดอก ยาว 0.8-1 ซม. อับเรณตู ดิ ไหวได้ รังไขม่ ี 5 ชอ่ ง
มี 3 อนั ยอดเกสรเป็นตมุ่ ผลผนังช้นั ในแขง็ เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 4-5 มม. ปลาย แตล่ ะช่องมอี อวุล 2-6 เมด็ มขี นคลา้ ยไหม ก้านเกสรเพศเมียยาว 5-7 มม. ยอดเกสรจัก
มีโคนก้านเกสรเพศเมยี ตดิ ทน ผลแกส่ ีแดง 5 พู เป็นต่มุ ผลแห้งแตกตามรอยประสาน เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 1.5-4 ซม. เกลี้ยง
หรอื มีขนคล้ายไหม มกั มีช่องอากาศ เมล็ดแบนรูปคล้ายไต ยาว 0.8-1 ซม. รวมปกี
พบทีอ่ ินเดยี จนี ไตห้ วัน ญปี่ นุ่ พมา่ ภูมิภาคอินโดจนี และสมุ าตรา ในไทย
ส่วนมากพบทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มักข้ึนตาม พบทอ่ี นิ เดยี เนปาล ภฏู าน จนี ตอนใต้ พมา่ ลาว เวยี ดนาม และคาบสมทุ รมลายู
ปา่ เตง็ รงั ผสมสน และปา่ ดบิ เขา ความสงู 900-1300 เมตร สว่ นตา่ ง ๆ มสี รรพคณุ ในไทยพบทกุ ภาค ขึน้ ตามป่าโปรง่ ชายทะเล ปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดิบเขา ความสูงถงึ
เปน็ ยาปฏิชวี นะ ลดสารอนมุ ูลอิสระ แก้แพ้ เมลด็ และผลกินแก้ปวดท้อง ทอ้ งร่วง ประมาณ 2500 เมตร มีความผันแปรสูง โดยเฉพาะขอบใบทีม่ ที ั้งเรียบ จักมน หรอื
จกั ซีฟ่ นั เคยแยกออกเปน็ 2 ชนิดยอ่ ย รากและผลใชบ้ รรเทาพษิ แมลงปอ่ ง เปลือก
สกลุ Rhus L. มปี ระมาณ 250 ชนดิ ส่วนมากพบในเขตอบอุน่ ในไทยมี 5 ชนิด มีสารทำ� ให้ระคายเคือง ใช้เบื่อปลา
ช่อื สกุลมาจากภาษากรีก “rhous” ซงึ่ มาจากค�ำ วา่ “rhodo” หรือ “rhodos” สีแดง
หมายถึงผลทมี่ สี ีแดง เป็นช่อื กรีกโบราณทใี่ ช้เรยี กพืชสกุลนี้ สกุล Schima Reinw. ex Blume อยู่ภายใต้เผ่า Gordonieae จ�ำ นวนชนิดยงั
เอกสารอ้างอิง ไมแ่ น่นอน อาจมีไดถ้ งึ 20 ชนิด ในไทยอาจมีชนิดเดยี ว ชื่อสกุลมาจากภาษากรกี
Chayamarit, K. (2010). Anacardiaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 312-317. “skiasma” รม่ เงา ตามลักษณะวิสัยท่ีมที รงพุม่ หนาแน่น
Min, T. and A. Barfod. (2008). Anacardiaceae. In Flora of China Vol. 11: 346. เอกสารอ้างอิง
Keng, H. (1972). Theaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 144-145.
มะเหลยี่ มหนิ : ใบประกอบปลายคี่ เรียงเวียน ขอบจกั ฟันเลือ่ ย ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ออกท่ีปลายกงิ่ ผลแกส่ แี ดง Min, T. and B. Bartholomew. (2007). Theaceae. In Flora of China Vol. 12: 422.
(ภาพ: ภูหินร่องกลา้ เพชรบรู ณ์ - SSi)
มงั ตาน: ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรือแบบช่อกระจะสั้น ๆ ออกตามซอกใบ กา้ นดอกยาว เกสรเพศผู้จำ� นวนมาก ผลแห้งแตก
มังเครช่ ้าง เกลีย้ งหรือมขี นคล้ายไหม (ภาพ: เขาใหญ่ ปราจนี บรุ ี - SSi)

Melastoma sanguineum Sims มังเร่ทราย, สกลุ
วงศ์ Melastomataceae
Oxyspora DC.
ไมพ้ มุ่ สงู 1-5 ม. กงิ่ เปน็ เหลย่ี ม มขี นแขง็ เอนตามกงิ่ แผน่ ใบทง้ั สองดา้ น กา้ นดอก วงศ์ Melastomataceae
และฐานดอก ใบรปู ใบหอก ยาว 8-20 ซม. ปลายแหลมยาว โคนแหลมหรอื กลม
เสน้ โคนใบขา้ งละ 2-3 เสน้ กา้ นใบยาว 0.8-2 ซม. ดอกออกเปน็ ชอ่ กระจกุ 1-3 ดอก ไม้พมุ่ ก่งิ อ่อนมขี นตอ่ มและขนรูปดาวขนาดเลก็ ใบเรียงตรงขา้ ม เสน้ โคนใบ
ใบประดบั รูปไข่ ยาวประมาณ 1 ซม. ดา้ นนอกเปน็ เกล็ด ฐานดอกยาว 1-1.5 ซม. ข้างละ 1-3 เส้น มีเสน้ ใบตามขวางชัดเจน ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงที่
ขนยาว 0.6-1 ซม. กลบี เลย้ี งรูปสามเหล่ยี มแคบ ยาว 0.6-1 ซม. ขอบมีขนครยุ ปลายกง่ิ กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ 4 กลบี (ชนดิ ในไทย) ใบประดบั และ
ดอกสีมว่ งอมชมพู กลบี รปู ไขก่ ลบั ยาว 2-4.5 ซม. เกสรเพศผู้วงนอกอับเรณยู าว
1.2-1.5 ซม. สีม่วง รยางค์โคง้ งอ ยาว 1.6-1.8 ซม. วงในอับเรณูยาวประมาณ 1 ซม.
สีม่วงหรือสเี หลือง รยางคส์ ้นั รังไข่ปลายมีขนแขง็ ผลรูประฆงั ยาว 1.5-2.5 ซม.
แตกไม่เป็นระเบียบ เนือ้ ในสีเหลือง (ดขู อ้ มูลเพ่ิมเตมิ ท่ี โคลงเคลง, สกลุ )

พบทีจ่ นี ตอนใต้ พม่า คาบสมทุ รมลายู สุมาตรา บอรเ์ นยี ว ชวา ฟิลปิ ปินส์ ใน
ไทยพบทุกภาค ข้ึนตามพื้นที่เป็นหินหรือดินทรายริมล�ำธาร ในป่าดิบแล้ง และ
ปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ถงึ ประมาณ 1500 เมตร คลา้ ยกบั โคลงเคลง M. malabathricum
L. ที่ฐานดอกมเี กลด็ แบนราบ

เอกสารอ้างอิง
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae.
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 447.

346

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย มนั กะทาด

ใบประดับย่อยขนาดเลก็ รว่ งเรว็ กลบี เล้ียงขอบตัด จักตน้ื ๆ ติดทน เกสรเพศผู้ 8 อนั มนั กะทาด
เรยี ง 2 วง อบั เรณมู รี เู ปดิ ทป่ี ลาย แกนอบั เรณมู รี ยางคใ์ ตอ้ บั เรณู มเี ดอื ยขนาดเลก็
ฐานดอกรปู ถว้ ยหรอื รปู ทรงกระบอก รงั ไขเ่ ชอ่ื มตดิ ฐานดอก พลาเซนตารอบแกนรว่ ม Dioscorea bulbifera L.
ผลแห้งแตกชว่ งปลายแล้วแตกตามยาว เมล็ดรปู ลิม่ จำ� นวนมากขนาดเลก็ วงศ Dioscoreaceae

สกลุ Oxyspora มีประมาณ 50 ชนิด พบในเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก ในไทย ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ยาวไดถ้ งึ 25 ม. ดอกแยกเพศ หวั ใตด้ นิ กลมหรอื รปู ทรงกระบอก
มี 7 ชนิด ชือ่ สกลุ มาจากภาษากรีก “oxys” แหลม และ “sporos” เมล็ด ตาม ยาว 10-20 ซม. ล�ำตน้ เกลี้ยง ไม่มีหนาม ใบเรียงเวยี น รูปไขก่ วา้ งหรอื เกือบกลม
ลกั ษณะของเมลด็ เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 5-7 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเว้าลึก เสน้ โคนใบ 5-11 เส้น กา้ นใบ
ยาว 5-12 ซม. มรี อ่ งตรงกลาง ขอบบางคลา้ ยครีบ มีหัวย่อย (bulbils) ตามซอกใบ
มงั เรท่ ราย กลม รูปไข่ หรอื รปู ทรงกระบอก ชอ่ ดอกแบบช่อหางกระรอก ออกตามซอกใบ 2-6 ช่อ
ห้อยลง ยาว 4-10 ซม. ก้านช่อส้ัน ชอ่ ดอกเพศผ้อู อก 1-2 ดอก ต่อกระจกุ ดอกเพศเมีย
Oxyspora balansae (Cogn.) J. F. Maxwell ออกเดยี่ ว ๆ ดอกสขี าวอมเขยี วหรอื ชมพู กลบี รวม 6 กลบี เรยี ง 2 วง รปู ขอบขนาน
ยาว 1.5-2.8 มม. เกสรเพศผู้ 6 อนั ตดิ ทโ่ี คนกลบี เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี ฐานดอก
ช่อื พ้อง Allomorphia balansae Cogn. ยาวประมาณ 2.5 มม. มคี รบี ตามยาว 3 ครบี รังไข่ใตว้ งกลีบ มี 3 ชอ่ ง แตล่ ะชอ่ ง
มอี อวลุ 2 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมยี ปลายจกั 3 พู ผลแหง้ แตกเปน็ 3 ซกี รปู ขอบขนาน
ไมพ้ มุ่ สงู 1-3 ม. กงิ่ ออ่ นเปน็ เหลย่ี มมขี ยุ สนี ำ�้ ตาลแดง ใบรปู ขอบขนานหรอื มปี กี รอบ 3 ปีก ยาว 2.5-5 ซม. รวมปีก เมลด็ รปู รี แบน ยาว 3-5 มม. ปลายมปี กี
รูปใบหอก ยาว 8-16 ซม. ปลายแหลมยาว โคนแหลมหรือรูปล่มิ ขอบใบเรียบ บางรปู ขอบขนาน ยาว 1-1.5 ซม.
หรอื จกั ฟนั เลอ่ื ยละเอยี ด แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นประปราย เสน้ โคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้
ก้านใบยาว 1.5-3.5 ซม. ช่อดอกแยกแขนงสั้น ๆ คล้ายช่อเชิงลด ยาว 8-12 ซม. พบในอเมริกา แอฟรกิ า และเอเชยี เขตร้อน ในไทยพบทุกภาค ข้นึ ตามทีโ่ ล่ง
มขี นประปราย กา้ นดอกยาว 1-2 มม. ฐานดอกรปู ทรงกระบอกหรอื คลา้ ยรปู คนโท ยาว ชายปา่ ความสงู จนถงึ 1400 เมตร หวั ใตด้ นิ และหวั ยอ่ ยใชป้ รงุ อาหารคลา้ ยกลอย
4-6 มม. ดอกสชี มพู กลบี รปู ไขก่ ลับ ยาว 3-4 มม. อับเรณยู าวประมาณ 3 มม. ผลรูปรี D. hispida Dennst. มสี ารแอลคาลอยด์ และซาโปนนิ มีพษิ ทางภาคกลางเรียกว่า
ยาว 5-7 มม. มรี วิ้ 8 ร้วิ วา่ นพระฉมิ

พบทลี่ าว เวียดนามตอนบน และภาคเหนอื ของไทยทเ่ี ชียงใหม่ นา่ น ขึน้ ตาม สกุล Dioscorea L. มี 450-600 ชนดิ ในไทยมปี ระมาณ 42 ชนดิ หลายชนิด
ชายปา่ ดิบเขา ความสูง 700-1500 เมตร เป็นพชื อาหาร เช่น กลอย D. hispida Dennst. มนั มอื เสือ D. esculenta (Lour.)
Burkill ทลี่ �ำ ตน้ และก่งิ มีหนาม หัวรปู ทรงกระบอก หรือรปู นว้ิ มือในต้นทปี่ ลูก และ
มังเรห่ นิ มนั เสา D. alata L. ลำ�ต้นมเี หลี่ยมเป็นปกี หัวใต้ดนิ และช้ันผิวมีหลายรปู แบบ
ชื่อสกลุ ตง้ั ตามนายแพทยช์ าวกรกี ในช่วงศตวรรษที่ 1 Pedianos Dioscorides
Oxyspora curtisii King
ไม้พุ่ม สงู 1-2 ม. กง่ิ อ่อนเปน็ เหล่ียมหรือมคี รีบคลา้ ยปีก ใบรปู รหี รือรปู ไข่ เอกสารอ้างอิง
Wilkin, P. and C. Thapyai. (2009). Dioscoreaceae. In Flora of Thailand Vol.
ยาว 10-25 ซม. ปลายแหลม โคนแหลมหรอื กลม ขอบจกั ฟันเลื่อยละเอียด เส้นโคนใบ 10(1): 1-140.
ข้างละ 2 เสน้ ก้านใบมปี กี ส่วนมากยาว 1-4 ซม. หรือยาวไดถ้ ึง 7 ซม. ช่อดอกยาว
10-20 ซม. กา้ นดอกเป็นสเ่ี หลย่ี มคลา้ ยปกี ช่อดอกย่อยคล้ายช่อซ่รี ม่ ก้านดอก
ยาวไดถ้ ึง 1.5 มม. ฐานดอกรปู ทรงกระบอกหรือรูปไข่ ยาว 5-8 มม. ดอกสชี มพู
หรือขาว กลีบรูปไขก่ ลบั ยาวประมาณ 3.5 มม. เกสรเพศผ้ยู าว 5-7 มม. ผลคล้าย
รูปคนโทหรอื รปู ทรงกระบอก ยาว 6-8 มม. มีริว้ 8 ริว้

พบทล่ี าว เวยี ดนามเหนอื และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทาง
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือทีเ่ ลย และภาคใต้ที่ยะลา นราธวิ าส ขนึ้ ตามปา่ ดิบแล้ง
และปา่ ดบิ ช้ืน ความสงู ระดับตำ�่ ๆ

เอกสารอา้ งอิง
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae.
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 456-458.

มันกะทาด: ชอ่ ดอกแบบชอ่ หางกระรอก ห้อยลง มหี ัวยอ่ ยตามซอกใบ ผลรปู ขอบขนาน มปี ีกรอบ 3 ปกี (ภาพซา้ ยบน:
ท่งุ แสลงหลวง พษิ ณโุ ลก - CT; ภาพซ้ายล่าง: ดอยสามพี่น้อง เชียงใหม่ - CT; ภาพขวา: ซับลังกา ลพบรุ ี - MP)

มังเรท่ ราย: ใบเรยี งตรงขา้ ม เส้นโคนใบขา้ งละ 1-2 เส้น ช่อดอกแยกแขนงสนั้ ๆ คล้ายชอ่ เชงิ ลด (ภาพ: ดอยภูคา นา่ น - TB)

มงั เร่หนิ : กิง่ และกา้ นใบมีปีก เสน้ โคนใบขา้ งละ 2 เสน้ มีเสน้ ใบตามขวางชดั เจน ชอ่ ดอกยอ่ ยคลา้ ยช่อซ่ีรม่ เกสรเพศผู้ มันมอื เสอื : ล�ำตน้ แตกก่งิ และมหี นาม ขอ้ มีหนามยาว หวั รปู ทรงกระบอกซ่งึ ต่างจากลกั ษณะของหัวทเี่ ปน็ พชื ปลกู
8 อัน ยาวเทา่ ๆ กนั (ภาพ: ยะลา - RP) รปู คล้ายน้วิ มือ (ภาพซา้ ยบนและลา่ ง ภาพขวาบน: แมว่ งก์ นครสวรรค์ - YD; ภาพขวาล่าง: cultivated - CT)

347

มันปู สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

พบทจ่ี ีนตอนใตร้ วมไห่หนาน พม่า เวียดนาม คาบสมุทรมลายู และสุมาตรา
ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกทเี่ ขาใหญ่ จงั หวดั นครราชสมี า ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามปา่ ดิบแลง้ และปา่ ดิบช้นื ความสงู ถึง
ประมาณ 900 เมตร เนอ้ื ไม้ใชด้ องเหล้าบ�ำรุงกำ� ลัง

สกุล Neuropeltis Wall. มี 12 ชนิด ส่วนใหญพ่ บในแอฟริกา ในไทยมี 2 หรอื
3 ชนดิ ช่ือสกลุ มาจากภาษากรกี “neuron” เส้นใบหรือสายธนู และ “peltis” โล่
หมายถงึ ใบประดบั ทีเ่ ปน็ แผน่ คลา้ ยรปู โล่ มีเส้นใบ
เอกสารอ้างองิ
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 447-450.
Fang, Ruizheng and G. Staples. (1995). Convolvulaceae. In Flora of China Vol.

16: 277.

มนั เสา: ลำ� ต้นรูปสีเ่ หลี่ยม แต่ละเหลย่ี มเป็นปกี ตามยาว มหี ัวย่อย ผลมปี กี 3 ปีก หวั ใตด้ ินมหี ลายรปู แบบ เนอ้ื เยื่อ มา้ ทลายโรง: กิ่งมีช่องอากาศ ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะแยกแขนงส้นั ๆ กลีบดอกแฉกลึก เกสรเพศผยู้ ื่นพ้นปากหลอด
ช้นั ผวิ และ parenchyma สแี ดงอมม่วง (ภาพซา้ ย: cultivated, ภาพขวา: อุตรดิตถ์; - CT) กลีบดอก ใบประดับขยายในผล (ภาพดอก: สมุ าตรา อินโดนีเซยี , ภาพผล: เวยี ดนาม; - TU)

มันปู มาลัยทอง

Torenia flava Buch.-Ham. ex Benth. Petraeovitex wolfei J. Sinclair
วงศ์ Linderniaceae วงศ์ Lamiaceae

ไมล้ ้มลกุ สงู 10-40 ซม. แตกกิ่งต่�ำ มขี นยาวประปรายตามลำ� ตน้ แผน่ ใบท้ัง ไม้เถา ใบประดับและสว่ นตา่ ง ๆ ของดอกมขี นละเอยี ด ใบประกอบมี 3 ใบย่อย
สองดา้ น ก้านดอก ใบประดบั และกลีบเล้ียง ใบรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว เรยี งตรงข้ามสลบั ต้งั ฉาก ใบอ่อนมักมสี ีเหลือง กา้ นยาวได้ถงึ 5 ซม. ใบย่อยรูปไข่
1.5-4.5 ซม. ปลายแหลม โคนมนหรอื กลม ขอบจักฟนั เลือ่ ย ไรก้ า้ นหรือมกี ้าน หรือรูปไข่กลบั ยาว 6-17 ซม. โคนมนหรือกลม เสน้ แขนงใบออกใกล้โคน 1-2 คู่
ยาวได้ถึง 1.5 ซม. ดอกออกเดยี่ ว ๆ ตามซอกใบ หรอื ออกเปน็ คูห่ า่ ง ๆ คล้าย เรยี วโคง้ จรดกนั กา้ นใบยาว 1-3 ซม. ดา้ นบนเปน็ รอ่ ง ใบประดบั คลา้ ยใบ สเี หลอื ง
ชอ่ กระจะทปี่ ลายกงิ่ กา้ นชอ่ เปน็ สเี่ หลย่ี ม ใบประดบั รปู แถบ ยาว 3-7 มม. กา้ นดอก อมเขยี ว รปู ไข่ ยาว 1.5-3.5 ซม. มกี า้ นยาวประมาณ 5 มม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ
ยาว 5-7 มม. กลบี เล้ยี งยาว 5-9 มม. หลอดกลีบมสี นั เปน็ ครีบ 5 อนั ตดิ ทนหมุ้ ผล แยกแขนง ออกตามซอกใบหรอื ปลายกง่ิ ห้อยลง ยาวไดก้ ว่า 1 ม. ช่อย่อยเรยี ง
ดอกสเี หลอื ง ยาว 0.8-1 ซม. กลีบบนรูปกลมกวา้ ง ขนาดประมาณ 5 มม. กลีบลา่ ง ตรงข้ามสลบั ต้ังฉากหา่ ง ๆ ยาว 6-12 ซม. ก้านยาว 1-3 ซม. แขนงย่อยเรยี งตรงข้าม
3 กลีบ กลม เล็กกว่ากลีบบนเล็กนอ้ ย เกสรเพศผมู้ เี ดอื ยที่โคนรปู กระบองสนั้ ๆ ยาว 4-10 ซม. กา้ นสน้ั ใบประดบั ยอ่ ยคลา้ ยใบประดบั แตข่ นาดเลก็ กวา่ กา้ นดอกยอ่ ย
ผลยาว 0.8-1 ซม. (ดูข้อมลู เพ่ิมเติมท่ี แววมยุรา, สกุล) ยาวประมาณ 3 มม. กลบี เลี้ยงสเี หลือง มี 5 กลบี แฉกลกึ รูปขอบขนาน ยาว 1.5-2 ซม.
ดอกสขี าวหรอื อมเหลอื ง กลบี รปู ปากเปดิ ยาวประมาณ 2.5 ซม. กลบี บน 2 กลบี
พบทอี่ นิ เดยี พมา่ จนี ตอนใต้ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี คาบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และ กลีบล่าง 3 กลีบ กลบี รปู รีกว้าง ยาวประมาณ 5 มม. เกสรเพศผูอ้ ันสนั้ 2 อนั อนั ยาว
ชวา ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ แทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ขน้ึ ตาม 2 อนั ยาว 2.5-2.8 ซม. อบั เรณูยาวประมาณ 1.5 ซม. รังไขม่ ี 2 ช่องไมส่ มบรู ณ์
ทีโ่ ล่งหรอื ทุ่งหญ้าท่ชี นื้ แฉะ ความสูงถึงประมาณ 600 เมตร ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 2.3 ซม. ยอดเกสรแยก 2 แฉกตนื้ ๆ ผลแห้งแตก
เรยี วแคบ ปลายตดั ยาวประมาณ 8 มม. มีริว้ มี 1-2 เมลด็
เอกสารอ้างองิ
Hong, D., H. Yang, C.L. Jin, M.A. Fischer, N.H. Holmgren and R.R. Mill. มถี น่ิ กำ� เนดิ ในคาบสมทุ รมลายู เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไปในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
(1998). Scrophulariaceae. In Flora of China Vol. 18: 38. ส่วนมากไม่ตดิ ผล ในไทยสวนนงนุชนำ� ไปขยายพันธ์แุ ละเผยแพร่ จงึ รจู้ กั กันในชือ่
Yamazaki, T. (1990). Scrophulariaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(2): 207-208. Nongnooch’s Vine ชอ่ื สามญั อกี ช่อื คือ Wolf’s Vine ตามค�ำระบชุ นดิ ลักษณะ
ทว่ั ไปคลา้ ยกบั P. bambusetorum King & Gamble ทพ่ี บในมาเลเซยี เชน่ เดยี วกนั
มนั ปู: ใบเรยี งตรงข้าม ขอบใบจกั ดอกออกเดยี่ ว ๆ ตามซอกใบ ออกเปน็ คหู่ า่ ง ๆ คลา้ ยชอ่ กระจะทีป่ ลายกงิ่ กา้ นชอ่ ใบประดับสเี ขียวหรอื เทา ช่อดอกออกตามก่ิงพเิ ศษหรอื ซอกใบทใี่ บร่วง
เป็นสเ่ี หลีย่ ม ดอกรปู ปากเปิด กลบี เลยี้ งมสี ันเปน็ ครีบหุ้มผล (ภาพ: ปากแม่นำ้� สงคราม นครพนม - PK)
สกลุ Petraeovitex Oliv. มปี ระมาณ 8 ชนิด พบเฉพาะในภมู ิภาคมาเลเซยี ในไทย
ม้าทลายโรง พบเป็นไม้ประดับชนิดเดียว ช่ือสกุลหมายถงึ พืชท่ีคลา้ ยกับสกลุ Petrea ทีก่ ลบี เล้ียง
ที่ขยาย และสกลุ Vitex ตามลกั ษณะดอก
Neuropeltis racemosa Wall.
วงศ์ Convolvulaceae เอกสารอ้างองิ
Munir, A.A. (1965-1966). A revision of Petraeovitex (Verbenaceae). Gardens’
ไมเ้ ถาเนอื้ แขง็ กง่ิ มชี อ่ งอากาศ มขี นสน้ั นมุ่ ตามกง่ิ ออ่ น ชอ่ ดอก และกลบี เลยี้ ง Bulletin Singapore 21: 215-257.
ดา้ นนอก ใบเรียงเวยี น รปู รีหรอื รปู ขอบขนาน ยาว 6-12 ซม. ปลายแหลม โคนสอบเรียว Sinclair, J. (1956). Two new Malayan species, Justicia johorensis and Petraeovitex
ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะแยกแขนงสัน้ ๆ ออกตามซอกใบ wolfei. Gardens’ Bulletin Singapore 15: 18.
ใบประดับขนาดเล็ก ขยายในผล รปู รกี ว้าง ยาว 3-4.5 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลบี
ขนาดไมเ่ ท่ากัน รูปรกี วา้ ง ยาว 2-2.5 มม. ดอกสีขาวรปู ถว้ ย ยาวประมาณ 5 มม.
มี 5 กลบี แฉกลกึ ดา้ นนอกมีขนยาว เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ทีโ่ คนหลอดกลบี ดอก
ก้านชูอบั เรณยู าวประมาณ 3 มม. โคนมขี นกระจุก รงั ไข่มี 2 ช่อง ก้านเกสรเพศเมีย
2 อนั ส้นั ยอดเกสรรูปโล่ จักสองพู ผลแห้งแตกรปู กลม ๆ เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง
5-6 มม. แยกเปน็ 4 สว่ น มีเมล็ดเดียว กลม สีดำ� เรียบ

348

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย มอื พระฤๅษี

มาลัยทอง: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ แยกแขนง ออกตามซอกใบหรอื ปลายกง่ิ ช่อย่อยเรียงตรงข้ามสลบั ตั้งฉากห่างกนั มือพระนารายณ์ขาว
ใบประดบั คลา้ ยใบสเี หลืองอมเขียว กลบี ดอกรูปปากเปิด (ภาพ: cultivated - RP)
Schefflera hypoleucoides Harms
มอื พระนารายณ์, สกลุ ไมพ้ ่มุ หรอื ไม้ตน้ สูงไดถ้ ึง 15 ม. กิ่งออ่ นมขี นสน้ั นุม่ หูใบรปู รี ยาวประมาณ 1 ซม.

Schefflera J. R. Forst. & G. Forst. ก้านใบยาวไดถ้ งึ 65 ซม. ใบย่อยมี 5-9 ใบ รูปรี รูปขอบขนาน หรอื แกมรปู ไข่ บางครง้ั
วงศ์ Araliaceae จกั 3-7 พู ยาว 14-30 ซม. ปลายแหลมยาว โคนมนหรอื กลม ขอบจกั ซฟี่ นั ชว่ งปลาย
แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นและขนรปู ดาวประปราย มนี วล กา้ นใบยอ่ ยยาวไดถ้ งึ 12 ซม.
ไมต้ ้น ไม้พมุ่ ไม้เถา บางครั้งองิ อาศยั สมบรู ณ์เพศหรอื มดี อกเพศผูร้ ว่ มตน้ ช่อดอกยาว 22-35 ซม. โคนมใี บประดบั เป็นกระจกุ ยาว 1-2 ซม. ชอ่ แยกแขนง
ไมม่ หี นาม หใู บอยใู่ นซอก เชอ่ื มตดิ กา้ นใบ ใบประกอบรปู ฝา่ มอื เรยี งเวยี น กา้ นใบยอ่ ย ช่วงโคนยาว 7-17 ซม. ชว่ งปลายสั้นลงไดถ้ งึ 2 ซม. มชี อ่ ซร่ี ่มประมาณ 25 ชอ่
ส่วนมากเปน็ ข้อ ช่อดอกแบบชอ่ กระจะหรอื ช่อแยกแขนง ชอ่ ยอ่ ยแบบช่อซีร่ ่ม แต่ละชอ่ มี 15-40 ดอก ใบประดับย่อยขนาดเล็ก ก้านดอกยาว 5-8 มม. ขยายในผล
ออกตามปลายกงิ่ หรอื ขา้ งกิง่ กลีบเล้ียงขอบเรยี บหรือจักตื้น ๆ 5 แฉก กลีบดอกมี ได้ถึง 1.5 ซม. กลบี ดอก 5 กลบี แยกกนั รปู สามเหลย่ี ม ยาวประมาณ 2.5 มม.
5-11 กลบี เรยี งจรดกนั แยกหรอื เชอื่ มตดิ กนั เกสรเพศผสู้ ว่ นมากเทา่ จ�ำนวนกลบี ดอก ด้านนอกมขี นรูปดาวประปราย กา้ นเกสรเพศเมีย 5 อนั ยาวประมาณ 2 มม.
หรอื มากกวา่ จานฐานดอกหนา รงั ไขส่ ว่ นมากมี 5-10 ชอ่ ง กา้ นเกสรเพศเมยี แยก ตดิ ทน ผลเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 4-5 มม. มีร่องต้ืน ๆ
หรอื เชอ่ื มตดิ กนั หรอื เปน็ ฐานกา้ นเกสรเพศเมยี ผลผนงั ชนั้ ในแขง็ สว่ นมากมี 5-10 เมลด็
พบทจี่ นี ตอนใต้ และเวยี ดนาม ในไทยพบทางภาคเหนอื ทเี่ ชยี งใหม่ พษิ ณโุ ลก
สกลุ Schefflera มมี ากกว่า 1000 ชนดิ พบทั่วไปในเขตรอ้ นและก่งึ เขตรอ้ น และภาคตะวันออกเฉียงเหนือท่ีภูหลวง จังหวัดเลย ข้ึนตามป่าดิบเขา ความสูง
ในไทยมีประมาณ 20 ชนดิ ข้อมูลดา้ นชีวโมเลกลุ ในปจั จบุ นั อาจจำ�แนกยอ่ ย 1400-2500 เมตร
ออกเปน็ หลายสกลุ ซง่ึ สกลุ Schefflera ทแ่ี ท้จริงอาจจะพบเฉพาะแถบหมู่เกาะ
แปซฟิ ิก ช่ือสกลุ ตง้ั ตามนักพฤกษศาสตร์ชาวโปแลนด์ Jakop Christoph Scheffler มอื พระนารายณ์ใบวน
(1698-1745)
Schefflera poomae Esser & Jebb
มือพระนารายณ์ ไมพ้ ุ่ม สูงได้ถงึ 5 ม. หใู บรูปรี ยาว 1-1.3 ซม. ใบเรียงเวียนหนาแน่นท่ีปลายก่ิง

Schefflera elliptica (Blume) Harms ก้านใบยาว 4-20 ซม. ใบย่อยมี 6-10 ใบ รปู รีหรือรูปขอบขนาน ยาว 16-20 ซม.
ปลายมตี งิ่ แหลม โคนกลมหรอื เวา้ ตน้ื แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นสนี ำ�้ ตาลออ่ นหนาแนน่
ชอ่ื พ้อง Sciodaphyllum ellipticum Blume ก้านใบยอ่ ยยาว 2.5-5 ซม. แกนช่อหนา สน้ั ชอ่ แขนงย่อยแบบชอ่ กระจะ มี 8-9 ช่อ
ยาว 30-50 ซม. แต่ละช่อมีช่อซี่ร่ม 15-25 ชอ่ ไร้กา้ นหรอื กา้ นยาว 1-3 มม. ชอ่ ท่โี คน
ไม้เถาหรอื อิงอาศัย สงู ได้ถึง 3 ม. หใู บยาว 5-6 มม. ใบย่อยมี 5-7 ใบ กา้ นยาว ยาวไดถ้ ึง 1 ซม. ช่อซ่ีรม่ มี 9-15 ดอก กา้ นดอกยาว 2-6 มม. หลอดกลีบเล้ียงยาว
4-18 ซม. ใบยอ่ ยรูปรีหรอื รปู ขอบขนาน ยาว 8-17 ซม. กา้ นใบย่อยยาว 1.5-7 ซม. เทา่ ๆ กลีบดอก ดอกสขี าว มี 6 กลบี ยาวประมาณ 3 มม. กา้ นชูอบั เรณยู าวกวา่
แกนกลางช่อดอกยาวได้ถึง 9 ซม. มขี นรูปดาวสน้ั นุ่ม ใบประดับรูปสามเหล่ียมมน กลบี ดอก กา้ นเกสรเพศเมยี เช่อื มติดกนั ประมาณ 1 มม. ยอดเกสร 6 อัน ผลรปู รี
ยาว 0.8-1.5 ซม. ชอ่ แยกแขนงยาว 5-18 ซม. ช่อซีร่ ่มมี 5-13 ช่อ ก้านชอ่ ยาว ยาว 4-6 มม. มรี ่องชดั เจน
0.5-2.5 ซม. ใบประดับเรยี วแคบ ยาวประมาณ 1 ซม. มี 7-16 ดอก กา้ นดอกยาว
2-5 มม. ขยายในผล กลบี ดอก 5 กลีบ รปู ไข่ ยาว 1.5-2.5 มม. กา้ นชอู บั เรณูยาว พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทด่ี อยหวั หมด จงั หวดั ตาก ขน้ึ ตามทโี่ ลง่
ประมาณ 3 มม. จานฐานดอกรูปกรวย รงั ไขม่ ี 5 ชอ่ ง ยอดเกสรเพศเมีย 5 อนั บนเขาหินปนู ความสงู 850-1000 เมตร ค�ำระบุชนิดตั้งตามดร.ราชนั ย์ ภูม่ า
ไรก้ า้ น ติดทน ผลรปู ไขก่ ว้าง ยาว 3.5-5 มม. สกุ สีสม้
มือพระฤาษี
พบท่อี นิ เดีย จนี ตอนใต้ และเวยี ดนาม ในไทยพบทุกภาค ข้นึ ตามปา่ ดบิ แล้ง
ปา่ ดบิ เขา และปา่ ดบิ ชนื้ ใกลช้ ายฝง่ั ทะเล ความสงู ถงึ ประมาณ 1100 เมตร ตน้ และ Schefflera bengalensis Gamble
เปลือกรากเคยี้ วแกอ้ าการทอ้ งไสป้ นั่ ป่วน เปลอื ก ราก ก่งิ ใบ และผล บดประคบ ไมต้ ้น รอเลือ้ ย หรือองิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 8 ม. ปลายกงิ่ มชี อ่ งอากาศขนาดใหญ่
แก้บวม ปวดขอ้ และกระดูกร้าว
หใู บรูปกลม ยาวประมาณ 1 ซม. ก้านใบยาว 13-26 ซม. ใบยอ่ ยมี 5-9 ใบ รปู รหี รอื
มอื พระนารายณ์ขน รูปไข่กลบั ยาว 9-20 ซม. ปลายมตี ง่ิ แหลม โคนมน แผ่นใบเกลีย้ ง ก้านใบยอ่ ยยาว
1.5-6.5 ซม. ชอ่ ดอกออกทป่ี ลายกง่ิ ยาว 10-20 ซม. ใบประดบั ทโ่ี คนรปู เกอื บกลม
Schefflera petelotii Merr. ยาวประมาณ 1 ซม. ชอ่ แขนงยอ่ ย มี 4-16 ช่อ ยาว 8-25 ซม. แตล่ ะชอ่ มชี อ่ ซ่ีรม่
ไม้พุม่ อิงอาศยั สูงไดถ้ งึ 5 ม. มีขนสัน้ นุ่มหนาแนน่ ตามกง่ิ ออ่ น หใู บ กา้ นใบ 15-32 ช่อ กา้ นช่อยาว 2-8 มม. ชอ่ ซีร่ ม่ มี 5-10 ดอก ก้านดอกยาว 1-2 มม.
หลอดกลบี เลี้ยงยาวประมาณ 1 มม. ดอกสเี ขยี วอมเหลอื ง มี 5 กลบี รูปไข่ ยาว
แผ่นใบอ่อนด้านล่าง ช่อดอก ใบประดับ และดอก หูใบรูปสามเหล่ียม ยาว 1.5-2 มม. ก้านชูอับเรณยู าวกวา่ กลบี ดอก ยอดเกสร 5 อัน ไรก้ า้ น ผลรูปรี ยาว
1.5-2 ซม. ใบยอ่ ยมี 5-6 ใบ กา้ นใบยาว 10-23 ซม. ใบรปู ไขก่ ลบั หรอื แกมรปู ขอบขนาน 3.5-5 มม. มรี ่องชัดเจน
ยาว 12-26 ซม. ปลายแหลมยาว โคนกลม ขอบจกั ซฟี่ ันชว่ งปลาย กา้ นใบย่อยยาว
1.5-7 ซม. กา้ นชอ่ ดอกยาว 3-6 ซม. ใบประดบั ขนาดเลก็ จำ� นวนมาก ชอ่ แยกแขนง พบท่ีอินเดีย ภูฏาน บงั กลาเทศ จีนตอนใต้ พม่า ภูมภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบ
ยาว 6-19 ซม. มชี อ่ ซี่ร่ม 7-18 ชอ่ กา้ นชอ่ ยาว 0.5-2 ซม. มี 10-25 ดอก ติดเป็นผล ทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขนึ้ ตามปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ดบิ เขา และปา่ สน
4-6 ผล กา้ นดอกยาว 1-3 มม. กลบี ดอก 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยมมน ยาวประมาณ ความสูง 850-1500 เมตร สว่ นต่าง ๆ มีกล่ินหอม
1.5 มม. ยอดเกสรเพศผู้ 5 อนั ไรก้ า้ น ตดิ ทน ผลรปู รี ยาว 7-8 มม. สกุ สสี ม้ เปลย่ี น
เปน็ สีมว่ งอมเทา เอกสารอ้างองิ
Esser, H.-J. and M.H.P. Jebb. (2010). A new Schefflera and taxonomic notes
พบท่ีจีนตอนใต้ เวียดนาม ในไทยพบทางภาคเหนือท่ีเชียงราย ความสูงถึง on Araliaceae from Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 38: 162-163.
ประมาณ 1300 เมตร Xiang, Q. and P.P. Lowry. (2007). Araliaceae. In Flora of China Vol. 13: 454,
458-459.

มือพระนารายณ:์ ใบยอ่ ยมี 5-7 ใบ เกล้ยี ง ยอดเกสรเพศเมีย 5 อัน ไร้ก้าน ตดิ ทน (ภาพ: อมุ้ ผาง ตาก - PK)

349

มุจลนิ ท์ สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

มอื พระนารายณ์ขน: ช่อดอกมขี นสน้ั น่มุ หนาแน่น ขอบจักซฟี่ ันชว่ งปลายใบ ผลแก่สีม่วงอมเทา (ภาพ: เชยี งราย - RP) มจุ ลินท์
มอื พระนารายณ์ขาว: ใบย่อยจกั 3-7 พู ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนง (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชียงใหม่ - SSi)
Ravenia spectabilis (Lindl.) Planch. ex Griseb.
วงศ์ Rutaceae

ชื่อพ้อง Lemonia spectabilis Lindl.

ไมพ้ ุ่ม สงู ไดถ้ ึง 2 ม. ใบประกอบมใี บย่อย 3 ใบ หรอื ลดรูปมีใบเดยี ว เรยี งตรงข้าม
ก้านใบยาว 0.5-2.5 ซม. ใบย่อยรูปรี รปู ขอบขนาน หรือรูปใบพาย ยาว 2-6.5 ซม.
แผน่ ใบมตี อ่ มโปรง่ ใส เสน้ แขนงใบไมช่ ดั เจน กา้ นใบเกอื บไรก้ า้ น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ
ออกตามซอกใบ มี 1-3 ดอก ยาว 6-8 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 1 ซม. กลบี เลย้ี ง
5 กลบี ค่นู อกรปู รีกว้าง ยาว 1.2-1.5 ซม. 3 กลบี ในเวา้ แนบตดิ หลอดกลบี ดอก
ขนาดเลก็ กวา่ ดอกสแี ดงอมมว่ งหรอื ชมพู หลอดกลบี ดอกยาว 0.8-1.5 ซม. มี 5 กลบี
รปู ไข่ ยาว 1-2 ซม. มเี ส้นกลางกลบี มตี ่อมหนาแน่น เกสรเพศผู้ 5 อนั แนบตดิ
หลอดกลบี ดอก 2 อนั ดา้ นในสมบรู ณ์ 3 อนั เปน็ หมนั จานฐานดอกรปู ถว้ ย หมุ้ รงั ไข่
มี 5 คารเ์ พล แตล่ ะคาร์เพลมอี อวลุ 2 เม็ด ก้านเกสรเพศเมียรูปเสน้ ด้าย ยอดเกสรจัก
5 พู ผลแหง้ แยกเปน็ 5 พู แตล่ ะพสู ่วนมากมีเมล็ดเดียว เมลด็ เปน็ เหลย่ี ม ขนาด
ประมาณ 3 มม.

มีถิ่นกำ� เนดิ ในประเทศแถบทะเลแคริบเบยี น ควิ บา และเฮติ เป็นไม้ประดบั
ท่ัวไปในเขตรอ้ น

สกุล Ravenia Vell. มปี ระมาณ 8 ชนดิ พบเฉพาะในอเมรกิ าเขตรอ้ น ชอื่ สกลุ ตั้งตาม
นกั พฤกษศาสตร์ชาวฝรัง่ เศส J.F. Ravin

เอกสารอ้างองิ
Wilson, P. (1911). Rutaceae. In North American Flora Vol. 25(3): 177-178.

มือพระนารายณใ์ บวน: ใบย่อยมี 6-10 ใบ ชอ่ แขนงยอ่ ยแบบชอ่ กระจะ กลีบดอกมี 6 กลบี (ภาพ: อุ้มผาง ตาก - PK ) มุจลินท์: ใบประกอบมีใบยอ่ ย 3 ใบ ใบเรยี งตรงขา้ ม กลีบเล้ียง 3 กลบี ในเว้าแนบติดหลอดกลีบดอก กลีบดอกมเี ส้น
มอื พระฤๅษี: ไม้อิงอาศยั ใบย่อยมี 5-9 ใบ ช่อดอกออกที่ปลายกิง่ (ภาพ: ดอยสุเทพ เชียงใหม่ - PK ) กลางกลีบ เกสรเพศผ้แู นบตดิ หลอดกลีบดอก จานฐานดอกรปู ถ้วย หุ้มรังไข่ (ภาพ: cultivated - RP)

มูกเขา

Hunteria zeylanica (Retz.) Gardner ex Thwaites
วงศ์ Apocynaceae

ชือ่ พ้อง Cameraria zeylanica Retz.

ไมต้ ้น สูงไดถ้ ึง 20 ม. น�้ำยางสีขาว ใบเรยี งตรงขา้ ม ระหวา่ งซอกใบมเี ย่ือบาง ๆ
ใบรปู รถี งึ รปู ใบหอก ยาว 4-18 ซม. ปลายแหลมยาวหรอื ยาวคลา้ ยหาง แผน่ ใบหนา
เส้นแขนงใบข้างละ 14-30 เส้น เรยี งจรดกนั เป็นเส้นขอบใน ก้านใบยาว 0.6-1.5 ซม.
ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ ยาว 1.5-5.7 ซม. กา้ นดอกหนา ส้นั กลีบเล้ยี ง 5 กลบี รปู ไข่
ยาว 1-2 มม. ปลายแหลมยาว โคนกลบี ดา้ นในไมม่ แี ผน่ เกลด็ ดอกสขี าว มี 5 กลบี
เรยี งซ้อนทบั ด้านซา้ ยในตาดอก ดอกบานรปู ดอกเขม็ หลอดกลีบยาว 6-9 มม.
ดา้ นในมขี นสนั้ นมุ่ กลบี รปู ขอบขนาน ยาว 2-5 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ใกลป้ ากหลอด
ก้านชูอับเรณูสนั้ กวา่ อบั เรณู ไมม่ ีจานฐานดอก มี 2 คารเ์ พล ปลายเชอ่ื มติดกนั
เรยี วยาวเป็นก้านเกสรเพศเมยี ยาว 5-6 มม. รวมยอดเกสร ผลคล้ายผลสดตดิ เป็นคู่
รูปรี ยาว 1.5-3.5 ซม. สุกสสี ม้ มี 2 เมลด็ รปู ไข่ ยาว 1-1.5 ซม. ไมม่ ีกระจกุ ขน

พบท่ีแอฟริกาตะวันออก อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไห่หนาน ลาว เวียดนาม
คาบสมทุ รมลายู และสุมาตรา ในไทยพบทางภาคเหนือทเ่ี ชียงราย เชยี งใหม่ ตาก
ภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จันทบุรี และกระจายทั่วไปทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และ
ภาคใต้ ขึน้ ตามปา่ ดิบแล้ง และปา่ ดบิ ชน้ื ความสูงถงึ ประมาณ 700 เมตร ใบใช้
รักษาแผลสด ผลกนิ ได้ เนอ้ื ไมใ้ ช้ทำ� ตะเกียบ

350

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย เมยี่ งผี

สกลุ Hunteria Roxb. มี 12 ชนดิ พบในแอฟรกิ าและเอเชีย ในไทยมีเพียงชนดิ เดยี ว มกู เบ้ีย
ชือ่ สกุลตั้งตามนักพฤกษศาสตรช์ าวสกอตแลนด์ William Hunter (1755-1812)
เอกสารอ้างอิง Euphorbia bifida Hook. & Arn.
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 24-25. วงศ์ Euphorbiaceae

มกู เขา: ใบเรยี งตรงขา้ ม ช่อดอกแบบชอ่ กระจุก ดอกบานรปู ดอกเขม็ ผลคลา้ ยผลสดติดเปน็ คู่ รูปรี สกุ สีสม้ ไมล้ ้มลกุ สูงไดถ้ งึ 70 ซม. ล�ำต้นมกั มีสีแดง เกล้ยี งหรือมขี นส้ันนุ่ม หูใบรูป
(ภาพ: เกาะสรุ นิ ทร์ พงั งา - SSi) สามเหลยี่ มขนาดเลก็ เชอื่ มตดิ กนั ปลายเรยี บหรอื แฉกลกึ ใบรปู ขอบขนานถงึ รปู แถบ
ยาว 1.2-2.3 ซม. ปลายมตี ่งิ แหลม โคนเบี้ยว ขา้ งหนึง่ รปู หวั ใจ ขอบเรียบหรือ
มกู เตี้ย จกั ฟนั เล่ือย แผ่นใบมปี ่มุ ใสกระจาย คลา้ ยมีนวล เส้นโคนใบข้างละ 1 เสน้ เส้นแขนงใบ
ขา้ งละ 8-10 เส้น ก้านใบยาว 1-2 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจกุ ช่อย่อยเรียงแนน่
Munronia humilis (Blanco) Harms แบบชอ่ กระจกุ ซอ้ น 5-10 ชอ่ กา้ นชอ่ ยาว 2-4 มม. ใบประดบั รปู ถว้ ย สงู ประมาณ
วงศ์ Meliaceae 1 มม. มตี อ่ ม 4 ตอ่ ม สแี ดงอมน้�ำตาล รยางค์เปน็ แผ่นคลา้ ยรูปใบพาย สีขาว
หรอื ชมพู ผลเกลยี้ ง จกั 2-3 พู ยาวประมาณ 2 มม. มกี า้ นสน้ั ๆ เมลด็ ยาวประมาณ
ชื่อพ้อง Plagianthus humilis Blanco 1.4 มม. ผิวบ๋มุ กระจาย (ดูข้อมูลเพมิ่ เติมท่ี น�้ำนมราชสหี ,์ สกลุ )

ไม้ล้มลุก สูงไดถ้ งึ 40 ซม. มีรากสะสมอาหาร ยาวได้ถึง 20 ซม. มีขนสนั้ น่มุ พบท่จี นี ภูมิภาคอนิ โดจีนและมาเลเซยี ออสเตรเลีย ขน้ึ ตามท่โี ลง่ ป่าเต็งรงั
และขนรปู ดาวตามตายอด กง่ิ ออ่ น ใบออ่ น เสน้ แขนงใบ กลบี เลยี้ งและกลบี ดอก เขาหินปนู ความสูงถึงประมาณ 850 เมตร ใบมคี วามผนั แปรสูง
ดา้ นนอก และผล ใบเรียงเวียน รปู รี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรูปไข่กลับ ยาว 3-8 ซม.
ปลายแหลมยาว โคนเรยี วสอบ ขอบจกั ซฟี่ นั ตืน้ ๆ กา้ นใบยาว 0.5-1.5 ซม. ชอ่ ดอก เอกสารอ้างองิ
แบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสนั้ ๆ ออกตามซอกใบใกลย้ อด ยาว 1-1.5 ซม. ใบประดบั Esser, H.-J. (2005). Euphorbiaceae (Euphorbia). In Flora of Thailand Vol. 8(1): 269.
และใบประดบั ยอ่ ยรปู ลมิ่ แคบ รว่ งเรว็ กลบี เลย้ี ง 5 กลบี รปู ใบหอก ยาวประมาณ
5 มม. ตดิ ทน ดอกสขี าว รูปดอกเขม็ ยาว 3-4 ซม. มี 5 กลีบ แฉกลกึ ประมาณ 1 ซม. มูกเบย้ี : ลำ� ตน้ สว่ นมากมสี แี ดง ปลายหใู บแฉกลกึ ใบรูปขอบขนานถึงรปู แถบ โคนเบีย้ ว เสน้ โคนใบข้างละ 1 เส้น
รปู ใบหอกกลบั หลอดแผน่ เกสรเพศผปู้ ลายจกั เปน็ พู มรี ยางคร์ ปู เสน้ ดา้ ย พบั งอกลบั ชอ่ ดอกย่อยเรียงแน่นแบบชอ่ กระจกุ ซอ้ น ใบประดับรปู ถ้วย รยางคเ์ ป็นแผน่ สขี าว ผลจัก 2-3 พู (ภาพ: กรุงเทพฯ - RP)
โคง้ เข้า อบั เรณู 10 อนั ตดิ ระหว่างจัก สสี ม้ จานฐานดอกเป็นหลอดบาง ๆ หุม้ รังไข่
รังไขม่ ีขนสน้ั น่มุ มี 5 ช่อง แต่ละชอ่ งมอี อวุล 2 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมียเป็นหลอด เม่ยี งผี
ยาว 5-7 ซม. ปลายจกั 5 พู ผลแห้งแตก รูปกรวยกลับ มี 5 สนั ยาวประมาณ 1 ซม.
เมล็ดไม่มเี ยือ่ หมุ้ Pyrenaria diospyricarpa Kurz
วงศ์ Theaceae
พบทพ่ี มา่ และฟิลปิ ปนิ ส์ ในไทยพบกระจายห่าง ๆ ยกเว้นภาคตะวันออกเฉยี งใต้
และภาคใต้ ขึน้ ตามปา่ ดิบแล้งหรือป่าเบญจพรรณทีม่ หี นิ ปนู ความสงู ถึงประมาณ ช่ือพอ้ ง Pyrenaria garrettiana Craib
500 เมตร
ไมต้ น้ สงู 5-20 ม. มีขนสนั้ นุ่มตามกิ่ง เส้นกลางใบดา้ นลา่ ง และก้านดอก
สกลุ Munronia Wight มี 5 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชยี เขตร้อน ในไทยมี 2 ชนดิ ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนานหรอื แกมรปู ไข่ ยาว 8-20 ซม. ขอบเรยี บหรอื จกั ฟนั เลอื่ ย
อีกชนิดคอื กระดึงเพียก M. pinnata (Wall.) W. Theob. ใบประกอบมใี บยอ่ ย 1-4 คู่ แผน่ ใบหนา กา้ นใบยาว 0.5-1.2 ซม. ดอกออกเดี่ยว ๆ หรอื เป็นกระจุก 2-4 ดอก
การกระจายพนั ธุ์กว้างกว่ามูกเตย้ี ในไทยสว่ นมากพบทางภาคตะวันตกเฉยี งใต้ ตามซอกใบ ใบประดบั คล้ายใบ 2 อัน รปู หอกกลับ ยาว 1-2 ซม. ก้านดอกยาว
ช่ือสกุลต้ังตามนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ Sir William Munro (1818-1880) 2.5-4.5 มม. กลบี เลย้ี ง 5 กลีบ รูปไข่ปลายมน ตดิ ทน ดา้ นนอกมขี นคล้ายไหม
เอกสารอา้ งอิง กลบี ดอกโคนเชอื่ มติดกนั มี 5-6 กลบี รปู ไขก่ ลบั ด้านนอกมขี นคลา้ ยไหม เกสรเพศผู้
Peng, H. and B. Bartholomew. (2008). Meliaceae (Munronia). In Flora of China จำ� นวนมาก กา้ นชูอบั เรณูวงนอกโคนเชือ่ มตดิ กับกลบี ดอก รงั ไข่มขี นก�ำมะหยี่ มี
5 ชอ่ ง แตล่ ะช่องมีออวุล 2 เม็ด ก้านเกสรเพศเมีย 5 อัน ทโ่ี คนมขี นก�ำมะหย่ี
Vol. 11: 118. ผลผนงั ชนั้ ในแขง็ รปู ไขก่ ลบั ยาวประมาณ 4.5 ซม. ปลายมีรอยบมุ๋ มี 5 สนั
ผนังชน้ั นอกหนาฉ�่ำน้�ำ เมล็ดรูปไข่ ยาวประมาณ 2 มม. สนี ำ้� ตาล
มกู เตยี้ : ใบเดยี่ ว ดอกรูปดอกเขม็ หลอดแผน่ เกสรเพศผปู้ ลายจกั เปน็ พู มีรยางค์รปู เสน้ ดา้ ย อบั เรณูสีสม้ (ภาพซ้าย:
ภกู ระดงึ เลย - SSi); กระดงึ เพยี ก: ใบประกอบมใี บยอ่ ย 1-4 คู่ (ภาพขวา: หว้ ยยาง ประจวบครี ีขนั ธ์ - RP) พบทจ่ี นี ตอนใต้ และพมา่ ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และ
ภาคใต้ ข้ึนตามปา่ ดิบแล้ง ปา่ ดิบเขา และปา่ ดบิ ช้ืน ความสูง 100-2350 เมตร
แยกเปน็ var. camelliiflora (Kurz) S. X. Yang กิ่งและแผ่นใบเกลี้ยง ก้านเกสร
เพศเมยี เชื่อมตดิ กนั

สกลุ Pyrenaria Blume มปี ระมาณ 26 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชียเขตรอ้ น ในไทย
มี 2 ชนดิ อีกชนดิ คอื มะเฟืองป่า P. jonquieriana Pierre ex Laness. รังไข่มี
3 ชอ่ ง ปลายผลไม่มรี อยบุม๋ พบท่ีลาวและเวียดนาม ในไทยพบทภี่ ูวัว จงั หวดั
บึงกาฬ ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก “pyren” หมายถงึ เมลด็ เปลอื กแข็งมีเนอื้ หมุ้
เอกสารอ้างอิง
Keng, H. (1972). Theaceae (Pyrenaria). In Flora of Thailand Vol. 2(2): 150.
Min, T. and B. Bartholomew. (2007). Theaceae. In Flora of China Vol. 12: 366-478.

351

เม่ยี งหลวง สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

เม่ยี งผ:ี ใบเรยี งเวยี น ขอบจกั ฟันเลือ่ ย แผน่ ใบหนา ผลรปู ไข่กลบั ปลายผลมีรอยบ๋มุ มีสนั นนู 5 สัน (ภาพซ้าย: เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก ยาว 0.6-1.5 ซม. วงนอกเชอื่ มตดิ กันทโี่ คน รงั ไข่มีขนสัน้ น่มุ
ทองผาภมู ิ กาญจนบรุ ี - SSi); มะเฟืองป่า: ปลายผลไมม่ รี อยบ๋มุ (ภาพขวา: ภวู ัว บงึ กาฬ - MP) กา้ นเกสรเพศเมยี หนา ปลายแยกเปน็ 3 แฉก ผลแหง้ แตก รปู รกี วา้ งเกอื บกลม ยาว
1.5-2.5 ซม. มี 1 หรอื 3 ช่อง แตล่ ะช่องมเี มลด็ เดียว เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม.
เมีย่ งหลวง
พบท่อี นิ เดยี ภูฏาน เนปาล จีนตอนใต้ พม่า และภูมภิ าคอนิ โดจีน ในไทยพบ
Polyspora axillaris (Roxb. ex Ker Gawl.) Sweet ex G. Don ทุกภาค ขึน้ ตามปา่ ดิบแล้ง ป่าดิบชืน้ และปา่ ดบิ เขา ความสงู 800-2000 เมตร
วงศ์ Theaceae แยกเปน็ var. confusa (Craib) T. L. Ming หรือเดมิ ช่อื C. oleifera C. Abel
var. confusa (Craib) Sealy ใบและกลีบดอกใหญ่กวา่ ผลมี 3 ชอ่ ง สว่ น var.
ช่ือพอ้ ง Camellia axillaris Roxb. ex Ker Gawl., Gordonia axillaris (Roxb. ex kissii เกสรเพศผยู้ าวกวา่ และผลมชี ่องเดียว
Ker Gawl.) D. Dietr.
สกลุ Camellia L. มีมากกวา่ 120 ชนิด พบเฉพาะในเอเชยี โดยเฉพาะจีน ในไทย
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 20 ม. ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนานแกมรปู ไขก่ ลบั หรอื รปู ใบหอกกลบั มี 6 ชนิด รวมทั้งเมยี่ ง C. sinensis (L.) Kuntze var. assamica (J. W. Mast.)
ยาว 12-18 ซม. แผน่ ใบหนา เกล้ยี งทง้ั สองดา้ น ขอบใบเรยี บ เส้นแขนงใบไม่ Kitam. นยิ มปลูกทางภาคเหนอื ของไทย ดอกออกเปน็ กระจกุ 1-3 ดอก ก้านดอกยาว
ชดั เจน กา้ นใบยาว 1-1.5 ซม. ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ คตู่ ามซอกใบ กา้ นดอกยาว ช่อื สกลุ ตง้ั ตามนักบวชและเภสชั กรชาวเช็ก Georg Joseph Kamel (1661-1706)
2-3 มม. ใบประดับ 6-7 อนั รว่ งเรว็ กลบี เลี้ยง 5 กลีบ เรียงซ้อนเหลอื่ ม รปู ไขก่ วา้ ง เอกสารอ้างอิง
ยาว 1-1.5 ซม. ดา้ นนอกมขี น ดอกสีขาว มี 5 กลบี เรียงซ้อนเหลือ่ ม เช่อื มตดิ กันท่โี คน Keng, H. (1972). Theaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 147-148.
กลีบรปู ไข่กลับกวา้ ง ยาว 3.5-5.5 ซม. ปลายกลบี เว้า เกสรเพศผจู้ �ำนวนมาก Min, T. and B. Bartholomew. (2007). Theaceae. In Flora of China Vol. 12: 441-442.
กา้ นชอู บั เรณวู งนอกเชอ่ื มตดิ โคนกลบี ดอก ยาว 1.5-3 ซม. อบั เรณยู าวประมาณ 2 มม.
รงั ไขม่ ขี นสนั้ หนานมุ่ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 1.5-2 ซม. มขี นหนาแนน่ ผลแหง้ แตก เมยี่ งอีอาม: ดอกออกเด่ียว ๆ ก้านดอกสนั้ มากหรือไร้กา้ น ใบประดบั และกลบี เล้ียงคลา้ ยกนั ปลายกลบี ดอกเว้าตนื้
รูปทรงกระบอกปลายแหลม มี 5 ชอ่ ง ยาว 3-8 ซม. แกนกลางตดิ ทน มีหลายเมลด็ เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก ผลแหง้ แตก รปู รีกว้างเกอื บกลม (ภาพซ้ายบนและภาพขวา: เขาใหญ่ ปราจีนบรุ ,ี ภาพซ้ายลา่ ง:
แบน เบี้ยว เมล็ดยาว 1.5-2 ซม. รวมปีกทปี่ ลายเมลด็ ภหู ลวง เลย; - SSi)

พบทีจ่ นี ตอนใต้ ลาว และเวียดนาม ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ เมยี่ ง: ดอกออกเป็นกระจกุ 1-3 ดอก กา้ นดอกยาว (ภาพ: cultivated - PT)
ทภี่ กู ระดงึ และภหู ลวง จงั หวดั เลย ขน้ึ รมิ ลำ� ธารในปา่ ดบิ เขา ความสงู 1200-1300 เมตร
เม่ือย, สกุล
สกลุ Polyspora Sweet ex G. Don มีประมาณ 40 ชนิด พบเฉพาะในเอเชีย ช่อื
สกลุ มาจากภาษากรกี “polys” มาก และ “sporos” เมลด็ หมายถึงมหี ลายเมลด็ Gnetum L.
เอกสารอา้ งองิ วงศ์ Gnetaceae
Bartholomew, B. and T. Min. (2005). New combination in Chinese Polyspora
ไม้เถาเนือ้ แขง็ หรือไมต้ น้ สว่ นใหญ่แยกเพศตา่ งตน้ กิง่ โปง่ ตามขอ้ ไม่มหี ูใบ
(Theaceae). Novon 15(2): 264-266. ใบเรียงตรงข้าม ขอบเรียบ ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ ลด (strobilus) ออกเด่ยี ว ๆ
Keng, H. (1972). Theaceae (Gordonia). In Flora of Thailand Vol. 2(2): 143-144. หรอื แยกแขนงคลา้ ยชอ่ กระจกุ ซอ้ น ออกตามซอกใบ กง่ิ หรอื ลำ� ตน้ โคนมใี บประดบั
Min, T. and B. Bartholomew. (2007). Theaceae. In Flora of China Vol. 12: 418. 1 คู่ เชอื่ มตดิ กนั ดอกออกรอบขอ้ บนสว่ นแผเ่ ปน็ วง (collar) แตล่ ะวงใบประดบั
เช่ือมติดกัน ดอกไร้ก้าน ดอกเพศผู้จ�ำนวนมาก ติดบนกลีบรวมหนาคล้ายถ้วย
เมี่ยงหลวง: แผน่ ใบหนา เกล้ยี งทั้งสองด้าน ขอบใบเรียบ เส้นแขนงใบไม่ชดั เจน กลบี ดอก 5 กลบี เรียงซ้อนเหลื่อม เกสรเพศผู้ 2 อนั ย่นื พน้ กลีบรวม ดอกเพศเมยี มีน้อยกวา่ และสว่ นแผเ่ ป็นวงเรียง
ผลรูปทรงกระบอก ปลายแหลม (ภาพ: ภกู ระดึง เลย - PK) หา่ งกวา่ ออวลุ มกี ลบี รวมหนาหมุ้ ผนงั ออวลุ ดา้ นในยน่ื เปน็ หลอด ดา้ นนอกหนา
เชอื่ มตดิ กลีบรวมพัฒนาห้มุ เมล็ด สุกสีแดง เหลือง หรือสม้ ช้ันในแขง็
เมยี่ งอีอาม
สกุล Gnetum พืชเมลด็ เปลอื ย เป็นสกุลเดียวของวงศ์ มปี ระมาณ 40 ชนดิ พบใน
Camellia kissii Wall. แอฟริกา อเมรกิ าใต้ และเอเชยี เขตร้อนและก่งึ เขตร้อน ในไทยมปี ระมาณ 8 ชนิด
วงศ์ Theaceae หลายชนดิ มีสรรพคณุ ดา้ นสมุนไพร เปลอื กเหนียวใช้ท�ำ เชอื ก ใบและเมล็ดกนิ ได้
โดยเฉพาะ G. gnemon L. หรอื เมียง และ var. tenerum Markgr. หรือผักเมีย่ ง
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. มขี นสน้ั นมุ่ ตามกง่ิ ออ่ น และกา้ นใบ ใบเรยี งเวยี น ทเี่ ป็นไม้พมุ่ แผ่นใบบาง ออกเด่ยี ว ๆ หรือแตกแขนงเดยี ว ผลรปู ขอบขนาน
รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 5-13 ซม. ปลายแหลมยาว ขอบจกั ฟนั เลอ่ื ย แผน่ ใบหนา ปลายมีตง่ิ แหลม ชือ่ สกลุ มาจากค�ำ ว่า “gnemon” ทเี่ ปน็ ค�ำ ระบชุ นดิ ของเมียง
ดา้ นลา่ งมีขนประปราย กา้ นใบยาว 4-8 มม. ดอกออกเดยี่ ว ๆ หรอื เป็นคตู่ าม
ซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ กา้ นดอกสน้ั มากหรอื ไรก้ า้ น ใบประดบั และกลบี เลยี้ งคลา้ ยกนั
มี 7-9 อนั รปู รกี วา้ งเกอื บกลม ยาว 2-8 มม. รว่ งเรว็ ดา้ นนอกมขี นละเอยี ดประปราย
ดอกสขี าว มี 5-8 กลีบ รปู ไข่หรอื รปู ไข่กลบั ยาว 0.8-3 ซม. ปลายมนหรอื เวา้ ตื้น

352

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย โมก

เม่อื ย เมอื่ ยดกู : ชอ่ ดอกเพศเมยี ออกเดี่ยว ๆ เป็นกระจุกตามลำ� ต้น ตง้ั ขน้ึ ส่วนที่แผเ่ ปน็ วงมขี นอยุ สีน�้ำตาลหนาแน่น
เมลด็ ไร้กา้ น รูปรี (ภาพ: บางสะพาน ประจวบคีรขี นั ธ์ - RP)
Gnetum montanum Markgr.
ไม้เถาเนื้อแข็ง ยาวกวา่ 10 ม. ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรือแกมรูปไข่ ยาว 10-25 ซม. ผกั เม่ียง: ไมพ้ ุ่ม แผน่ ใบบาง ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงลด ออกเดยี่ ว ๆ หรอื แตกแขนงเดียว ผลรปู ขอบขนาน ปลายมีต่งิ แหลม
(ภาพซ้าย: คลองนาคา ระนอง - SSi; ภาพขวา: ยะลา - RP)
กา้ นใบยาว 1-1.5 ซม. ใบแห้งสดี ำ� ชอ่ ดอกเพศผสู้ ่วนมากแยกแขนง ยาว 2.5-6 ซม.
กา้ นชอ่ สนั้ ชอ่ แขนงยาว 2-3 ซม. สว่ นแผเ่ ปน็ วงมี 13-18 วง มดี อกเพศเมยี ทเี่ ปน็ หมนั โมก, สกุล
ชอ่ ดอกเพศเมยี ออกเดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ กระจกุ กา้ นชอ่ ยาว 2-3 ซม. ชอ่ ยาว 2-3 ซม.
ดอกเพศเมยี มี 5-8 ดอก ในแต่ละวง เมล็ดรปู รี ยาว 1.2-1.5 ซม. สุกเปลือกหุ้มสแี ดง Wrightia R. Br.
ก้านหนา ยาว 2-3 มม. วงศ์ Apocynaceae

พบที่อินเดีย เนปาล ภูฏาน พมา่ จีนตอนใต้ และภูมภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ นำ�้ ยางสขี าว มกั มขี นสนั้ นมุ่ ตามกงิ่ ออ่ น แผน่ ใบดา้ นลา่ ง และ
ทกุ ภาค ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ดบิ ชนื้ และปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1800 เมตร ช่อดอก ก่ิงแกส่ ่วนมากมชี ่องอากาศ ใบเรยี งตรงข้าม ปลายสว่ นมากแหลมยาว
ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ออกตามปลายกงิ่ กลบี ดอกและกลบี เลย้ี งอยา่ งละ 5 กลบี
เมื่อยดำ� โคนกลบี เลยี้ งดา้ นในมเี กลด็ ตอ่ มสว่ นมากแผก่ วา้ ง ดอกรปู ดอกเขม็ หรอื รปู กรวย
กลบี เรยี งซอ้ นทบั ดา้ นซา้ ยในตาดอก แผน่ กลบี สว่ นมากมปี มุ่ ขนกระจาย สว่ นมาก
Gnetum cuspidatum Blume มกี ะบงั แยกเปน็ กะบงั หนา้ กลบี ดอก (antepetalous) ทมี่ กั เชอื่ มตดิ กลบี ดอก
ไมเ้ ถาเนอื้ แขง็ ขนาดใหญ่ ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 10-21 ซม. กา้ นใบยาว กะบงั ระหวา่ งกลบี ดอก (alternipetalous) หรอื มกี ะบงั ยอ่ ยอยรู่ ะหวา่ งกะบงั ทงั้
2 ชนั้ (alternate corona lobes) ท่สี ว่ นมากออกเดีย่ ว ๆ ขนาดเล็ก เกสรเพศผู้
0.7-1.5 ซม. ใบแหง้ สนี ำ�้ ตาล ช่อดอกไม่แยกแขนง ออกเปน็ กระจุกตามเถา หอ้ ยลง 5 อนั ตดิ บนปากหลอดหรอื ภายในหลอดกลบี ดอก กา้ นชูอบั เรณสู ัน้ อบั เรณูรูป
ดอกเพศผู้จ�ำนวนมากในแต่ละวง มีดอกเพศเมียท่ีเป็นหมันประมาณ 10 ดอก หัวลูกศร ส่วนมากมีขนสั้นนุ่ม แนบติดยอดเกสรเพศเมีย ไม่มีจานฐานดอก
ชอ่ ดอกเพศเมยี ขยายในผล มขี นละเอยี ด แกนชอ่ ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. เมลด็ ไรก้ า้ น รงั ไขม่ ี 2 คารเ์ พล แยกกนั หรอื ตดิ กนั เรยี วยาวเปน็ กา้ นเกสรเพศเมยี ออวลุ จำ� นวนมาก
มี 5-7 เมล็ดในแต่ละวง รูปรี ยาว 2-3 ซม. เปน็ มนั วาว ผลเปน็ ฝกั คู่ รูปกระสวย ตดิ กันหรือแยกกนั เมล็ดรปู แถบ ท่ีโคนมีกระจุกขน
ชเ้ี ข้าหาโคนฝกั
พบท่ีกัมพชู า เวียดนาม ภูมิภาคมาเลเซยี นวิ กนิ ี ในไทยสว่ นมากพบทางภาคใต้
ขึน้ ตามปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 700 เมตร สกุล Wrightia มีประมาณ 24 ชนดิ พบในแอฟริกา เอเชยี และออสเตรเลีย
ในไทยมีประมาณ 15 ชนิด และเปน็ ไมต้ ่างถนิ่ ประดบั หนึง่ ชนิด คือ พดุ พิชญา
เม่ือยดกู W. antidysenterica (L.) R. Br. ชอ่ื สกลุ ตั้งตามนกั พฤกษศาสตรช์ าวอังกฤษ
William Wright (1735-1819)
Gnetum macrostachyum Hook. f.
ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 13-16 ซม. ปลายมตี งิ่ แหลม โมก

เสน้ แขนงใบโค้งจรดกัน กา้ นใบยาวประมาณ 1 ซม. ช่อดอกเพศผูอ้ อกเดี่ยว ๆ Wrightia pubescens R. Br.
ตามซอกใบ ยาวไดถ้ งึ 5 ซม. สว่ นแผ่เป็นวงมขี นอุยหนาแน่นสีนำ้� ตาล ยาวเปน็ ไมต้ น้ สูงได้ถึง 30 ม. ใบรูปรี รูปไขก่ ลบั หรือรูปขอบขนาน ยาว 3-12 ซม.
สองเทา่ ของแผน่ วง ดอกเพศเมยี ทเี่ ปน็ หมนั มปี ระมาณ 10 ดอก ชอ่ ดอกเพศเมยี
ออกเดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ กระจกุ ตามลำ� ตน้ ตงั้ ขนึ้ ยาวไดถ้ งึ 9 ซม. ดอกเพศเมยี มปี ระมาณ ก้านใบยาว 3-8 มม. ชอ่ ดอกยาว 4-7.5 ซม. ก้านดอกยาว 0.4-1 ซม. กลบี เล้ียงรูปไข่
10 ดอกในแต่ละวง มีขนอุยสีน้�ำตาลหนาแน่น ตดิ ทน เมล็ดไรก้ า้ น รูปรี ยาวได้ถึง ยาว 1-5 มม. ดอกสคี รมี หรอื อมชมพูอ่อน มกี ลนิ่ หอม หลอดกลีบยาว 3-7 มม.
2 ซม. สุกเปลือกหุม้ สีแดงคลำ้� กลีบรูปขอบขนาน ยาว 0.8-2.7 ซม. กะบงั 2 ช้ัน มขี นสั้นนุ่ม กะบังหน้ากลบี ดอก
แนบตดิ กลบี ดอกประมาณกงึ่ หนงึ่ จกั ลกึ กะบงั ระหวา่ งกลบี ดอกรปู แถบ สน้ั กวา่
พบทพี่ มา่ ลาว กมั พชู า เวยี ดนาม และภมู ภิ าคมาเลเซยี ในไทยพบแทบทกุ ภาค เลก็ น้อย ปลายแยก 2 แฉก อับเรณูยาว 7-9 มม. รงั ไขเ่ กล้ียง ก้านเกสรเพศเมีย
ยกเวน้ ภาคเหนอื ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ ใกลล้ �ำธาร ความสงู 100-900 เมตร ยาว 0.8-1 ซม. รวมยอดเกสร ผลเรยี งตดิ กนั แยกกนั เมอ่ื แตก ผวิ ไมม่ ชี อ่ งอากาศ
มีขนละเอยี ด ยาว 10-38 ซม. เมล็ดยาว 1-1.6 ซม. กระจกุ ขนยาว 1-4 ซม.
เอกสารอา้ งอิง
Fu, L., Y.F. Yu and M.G. Gilbert. (1999). In Flora of China Vol. 4: 102, 104. พบทจ่ี นี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี ภมู ภิ าคมาเลเซยี และออสเตรเลยี ในไทย
Phengklai, C. (1975). Gnetaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(3): 204-210. พบทกุ ภาค ขน้ึ ตามชายปา่ ดบิ แลง้ และปา่ เบญจพรรณ ความสงู ถงึ ประมาณ 400 เมตร
คลา้ ยกบั โมกมนั W. arborea (Dennst.) Mabb. ทฝี่ กั มชี อ่ งอากาศชดั เจน และดอก
เมอื่ ย: ใบเรียงตรงข้าม ชอ่ ดอกแยกแขนง ออกตามลำ� ต้น (ภาพ: ดอยสเุ ทพ เชยี งใหม่ - VC) ไมม่ กี ลน่ิ หอม สารสกดั จากรากและเปลอื กใชร้ กั ษาวณั โรคตอ่ มนำ�้ เหลอื งบรเิ วณคอ

เม่ือยดำ� : ช่อดอกออกเดยี่ ว ๆ เป็นกระจุกตามลำ� ตน้ ห้อยลง เมล็ดไรก้ า้ น มี 5-7 เมล็ดในแต่ละวง เป็นมันวาว
(ภาพ: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - SSi)

353

โมกการะเกตุ สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

โมกการะเกตุ โมกเขา: ปลายใบแหลมยาว ดอกสแี ดงอมสม้ กลีบรูปขอบขนาน กะบังชน้ั เดียว แนบตดิ กลบี ดอก ปลายจกั มนหรอื
แหลม ผลแยกกนั มขี นละเอียด ไม่มีช่องอากาศ (ภาพ: สามรอ้ ยยอด ประจวบคีรีขนั ธ์ - RP)
Wrightia karaketii D. J. Middleton
ไมพ้ ุ่ม อาจสูงไดถ้ ึง 10 ม. ใบรปู รี ยาว 9-21 ซม. ปลายบางครั้งมนหรือเว้าตื้น โมกเครือ

กา้ นใบยาวประมาณ 1 ซม. ก้านช่อดอกยาว 0.8-2.3 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ Kamettia chandeei D. J. Middleton
5 มม. กลีบเลีย้ งรปู ไข่ ยาว 3.7-5.5 มม. ดอกสีแดง โคนกลบี ดา้ นนอกสเี ขียว วงศ์ Apocynaceae
หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ 2 มม. กลีบรูปไข่กลบั ยาว 1.7-2 ซม. กะบังช้นั เดียว
เช่อื มติดกันเป็นวงแนบตดิ โคนกลีบดอก ประมาณ 4.5 มม. ปลายจกั ชายครยุ ยาว ไม้เถา ยาวไดถ้ งึ 12 ม. ส่วนต่างๆ มนี �้ำยางขาว ลำ� ต้นแก่เป็นคอร์ก ก่งิ ออ่ นมี
1.2-1.5 มม. รงั ไข่เกลย้ี ง ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 6 มม. รวมยอดเกสร ช่องอากาศ ใบเรียงรอบข้อ 3 ใบ หรอื เรียงตรงขา้ ม รปู รีหรือรปู ขอบขนาน ยาว
ผลกางออก ยาว 30-40 ซม. เกลย้ี ง มชี อ่ งอากาศหนาแน่น เมล็ดยาวประมาณ 5.5-10.5 ซม. แผน่ ใบเกลยี้ ง กา้ นใบยาว 0.6-1 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ซอ้ น
1.7 ซม. กระจุกขนยาวประมาณ 3 ซม. ออกทปี่ ลายก่งิ ยาว 3.5-14 ซม. ใบประดบั รปู ใบหอก ยาว 2-4 มม. กา้ นดอกยาว
3-4 มม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รปู ขอบขนานแกมรปู ไข่ ยาวประมาณ 2.5 มม. ดอกสีขาว
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทอ่ี ำ� เภอเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ ใกล้ กลีบเรียงซ้อนทับด้านซ้ายในตาดอก หลอดกลีบดอกด้านนอกสีน้�ำตาลแดง
ชายแดนไทย-พม่า ขึ้นตามเขาหนิ ปนู เตย้ี ๆ ในป่าเบญจพรรณ ความสูงประมาณ ยาว 1.2-1.6 ซม. มี 5 กลบี รปู ใบหอกแกมรปู ไข่ ยาว 1.2-1.8 ซม. เกสรเพศผู้
750 เมตร คล้ายโมกเขา W. lanceolata Kerr และโมกสยาม W. siamensis ตดิ เหนอื โคนหลอดกลบี ดอกประมาณ 5 มม. กา้ นชอู บั เรณสู น้ั อบั เรณยู าวประมาณ
D. J. Middleton แตใ่ บขนาดใหญก่ วา่ หลอดกลบี ดอกสนั้ กวา่ และกะบงั แฉกมากกวา่ 2.5 มม. ไมแ่ นบตดิ กา้ นเกสรเพศเมยี รงั ไขเ่ กลย้ี ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 1-3.5 มม.
คำ� ระบชุ นดิ ตง้ั ตามชอ่ื นายปรชี า การะเกตุ ขา้ ราชการหอพรรณไม้ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ รวมยอดเกสร ผลเป็นฝกั คู่ รูปกระสวย เกลี้ยง มชี ่องอากาศ ยาวไดถ้ ึง 20 ซม.
สัตว์ปา่ และพนั ธพ์ุ ชื ผ้รู ว่ มเก็บตัวอย่างพรรณไม้ตน้ แบบ เมล็ดรปู แถบ แบน ยาวประมาณ 1.5 ซม. รวมปกี ทัง้ สองข้าง

โมกเขา พืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่แก่งกระจาน จังหวัด
เพชรบุรี ความสงู 400-750 เมตร ชอ่ื ชนิดต้งั ตามชือ่ นายจันดี เหม็ รตั น์ เจ้าหนา้ ท่ี
Wrightia lanceolata Kerr หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธุพ์ ืช ผรู้ ่วมเก็บตวั อย่างกบั D. J.
ไม้พุม่ สงู ไดป้ ระมาณ 5 ม. ใบรูปไข่ รูปใบหอก หรอื แกมรูปไขก่ ลับ ยาว 3-10 ซม. Middleton ผู้ศึกษาพืชวงศ์โมกในไทย

กา้ นใบยาว 3-5 มม. ชอ่ ดอกยาว 2-4 ซม. กา้ นดอก ยาว 3-7 มม. กลบี เลย้ี งรูปไข่ เอกสารอ้างองิ
ยาว 1-3 มม. มขี นครยุ ดอกสแี ดงอมสม้ หลอดกลบี ยาว 3-6 มม. กลบี รปู ขอบขนาน Middleton, D.J., S. Suddee and S. Lindsay. (2005). A new species of Kamettia
ยาว 1-1.7 ซม. กะบังช้นั เดยี ว แนบตดิ กลบี ดอก ยาว 3-4 มม. ปลายจกั มนหรือ (Apocynaceae: Rauvolfioideae), a new genus to Thailand. Thai Forest Bulletin
แหลมไมเ่ ปน็ ระเบยี บ อับเรณูยาว 7-9 มม. รังไข่มีขนละเอียด กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว (Botany) 33: 75-80.
5-6 มม. รวมยอดเกสร ผลแยกกัน มีขนละเอียดกระจาย ไม่มชี ่องอากาศ ยาว
10-15 ซม. เมลด็ ยาวประมาณ 1 ซม. กระจุกขนยาวประมาณ 2 ซม.

พืชถ่นิ เดยี วของไทย พบทสี่ ามร้อยยอด จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ ขนึ้ ตามเขา
หินปนู เต้ยี ๆ ความสงู ถงึ ประมาณ 300 เมตร

เอกสารอ้างองิ
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 42-43, 79-90.
________. (2010). Three new species of Wrightia (Apocynaceae: Apocynoideae) from
Thailand. Gardens’ Bulletin Singapore 61(2): 369-378.

โมก: กะบงั 2 ช้ัน มขี นส้ันนุม่ กะบงั หนา้ กลบี ดอกแนบติดกลีบดอกกงึ่ หนึง่ จกั ลกึ กะบงั ระหวา่ งกลบี ดอกปลาย โมกเครอื : ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกซ้อน หลอดกลีบด้านนอกสนี ำ�้ ตาลแดง ผลเป็นฝักคู่ เกล้ยี ง มชี อ่ งอากาศ
แยก 2 แฉก ผลตดิ กนั ผวิ ไม่มีชอ่ งอากาศ เมลด็ มกี ระจกุ ขน (ภาพซา้ ย: ขอนแกน่ - PK; ภาพขวา: สุราษฎรธ์ านี - RP) (ภาพ: แกง่ กระจาน เพชรบรุ ;ี ภาพดอก - DM, ภาพผล - RP)

โมกการะเกต:ุ ดอกสีแดง กะบงั ชนั้ เดยี ว เชือ่ มตดิ กนั เปน็ วงแนบตดิ กลีบดอกท่โี คน ปลายจกั ชายครุย ผลกางออก โมกแดง
เกล้ียง มชี ่องอากาศหนาแน่น (ภาพ: เชียงดาว เชยี งใหม:่ ภาพดอก - RP, ภาพผล - PK)
Wrightia dubia (Sims) Spreng.
354 วงศ์ Apocynaceae

ช่อื พอ้ ง Cameraria dubia Sims

ไมพ้ มุ่ สงู ได้ถงึ 2 ม. ใบรปู รี รปู ขอบขนานหรือรปู ไข่กลบั ยาว 3.5-25 ซม.
แผ่นใบมจี ดุ โปร่งแสงทวั่ ไป กา้ นใบยาว 0.2-1 ซม. ชอ่ ดอกยาว 2.5-4 ซม. กา้ นดอก
ยาว 4-6 มม. กลีบเลี้ยงรูปไข่ ยาว 1-3 มม. ดอกสีชมพู แดง หรอื ขาว ดอกบาน
รปู กรวย หลอดกลบี ดอกยาว 0.5-1.5 ซม. กลบี รปู ไข่ ยาว 1-2.5 ซม. ปลายแหลมยาว
หรอื มน กะบงั 2 ชน้ั กะบงั หนา้ กลบี ดอกแนบตดิ กลบี ดอก ยาว 1.5-4 ซม. กะบงั
ระหว่างกลีบดอกสน้ั กวา่ เกสรเพศผ้ตู ิดประมาณกงึ่ กลางหลอดกลีบดอก อับเรณู
ยาว 5-6 มม. รงั ไขเ่ กลยี้ ง ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 3-5 มม. รวมยอดเกสร ผลปลาย
เชอ่ื มตดิ กนั แลว้ กางออก เกลยี้ ง ไม่มชี ่องอากาศ ยาว 13-30 ซม. เมล็ดยาว
1.5-2.5 ซม. ขนกระจกุ ยาว 2.5-5.5 ซม.

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย โมกสยาม

พบท่กี ัมพูชา เวียดนาม และคาบสมุทรมลายู ในไทยพบทางภาคตะวนั ออก แนบตดิ กลบี ดอกประมาณ 5 มม. ดา้ นนอกมปี มุ่ กระจาย ขอบจกั ซฟ่ี นั รงั ไขเ่ กลยี้ ง
เฉยี งเหนอื ตอนบนทนี่ ครพนม ภาตตะวนั ออกเฉยี งใตท้ จี่ นั ทบรุ ี พบทว่ั ไปทางภาคใต้ ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 5.5 มม. รวมยอดเกสร ผลรปู กระสวย เรียงชดิ
และเป็นไม้ประดับ ขึ้นตามป่าดิบชนื้ ความสงู ถึงประมาณ 400 เมตร ปลายเช่ือมติดกัน มีช่องอากาศหนาแน่น แต่ละฝักกว้าง 1.3-1.5 ซม. ยาว
ประมาณ 13.5 ซม.
โมกนเรศวร
พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคเหนือท่พี ะวอ จงั หวัดตาก ขึ้นบนเขาหนิ ปูน
Wrightia poomae D. J. Middleton ในปา่ เบญจพรรณ ความสงู ประมาณ 700 เมตร คำ� ระบชุ นดิ ตงั้ ตามชอื่ น.ส.นนั ทน์ ภสั
ไม้ต้น สงู ได้ถึง 10 ม. ใบรปู ไข่หรือรูปรี ยาว 2.3-12 ซม. ปลายยาวคล้ายหาง ภทั รหริ ญั ไตรสนิ (ตอ๊ ก) นกั พฤกษศาสตรห์ อพรรณไม้ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่
และพนั ธ์พุ ชื ผู้ร่วมเกบ็ ตวั อย่างพรรณไมต้ น้ แบบ
กา้ นใบยาว 2-5 มม. กา้ นช่อดอกยาว 0.4-1 ซม. กา้ นดอกยาว 2.5-7 มม. กลบี เลย้ี ง
รปู ไข่กว้าง กว้าง 5.8-6.5 มม. ยาว 4.2-4.5 มม. ปลายมน ไม่มีต่อมท่ีโคนกลบี โมกมนั
ดอกสีสม้ อมเหลอื งหรอื อมแดง หลอดกลีบดอกยาวประมาณ 2.7 มม. ดา้ นในมี
ปุม่ กระจาย กลีบรปู รี ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ปลายตัด กะบงั 3 ชัน้ กะบังหนา้ กลบี ดอก Wrightia arborea (Dennst.) Mabb.
ยาวประมาณ 6.5 มม. โคนเช่อื มติดกลีบดอก ปลายจกั ชายครุย กะบงั ระหว่าง
กลบี ดอกยาวประมาณ 5 มม. ปลายแยก 2 แฉก กะบงั ยอ่ ยยาวประมาณ 1.7 มม. ชอ่ื พอ้ ง Periploca arborea Dennst.
รังไข่เกลย้ี ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 7 มม. รวมยอดเกสร ผลเรียงติดกัน
แหง้ แยกกัน มชี ่องอากาศหนาแน่น แตล่ ะฝกั กว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาว 13-15 ซม. ไม้ต้น สูงได้ถึง 20 ม. ใบรปู รี ยาว 3-18 ซม. กา้ นใบยาว 2-7 มม. ช่อดอกยาว
เมล็ดยาวประมาณ 1.5 ซม. กระจุกขนยาว 3-3.5 ซม. 2-7 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1 ซม. กลบี เลย้ี งรูปไข่ ยาว 1-3 มม. ดอกสขี าวอมเขยี ว
เหลอื งออ่ น หรอื สชี มพู หลอดกลีบดอกยาว 3-7 มม. กลบี รูปขอบขนาน ยาว
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทที่ งุ่ ใหญน่ เรศวรตะวนั ออก จงั หวดั ตาก 0.8-1.5 ซม. โคนเรียว กะบงั 2 ชนั้ แผก่ วา้ ง ด้านนอกมีขนกระจาย กะบังหนา้
ขนึ้ ตามสนั เขาในปา่ เบญจพรรณ ความสงู 700-900 เมตร คลา้ ยโมก W. pubescens กลบี ดอกแนบตดิ กลบี ดอกประมาณกง่ึ หนงึ่ จกั เปน็ คลน่ื กะบงั ระหวา่ งกลบี ดอก
R. Br. ที่มกี ะบงั 2 ชน้ั และผลเช่ือมติดกนั และ W. kwangtungensis Tsiang รปู ตวั วี สนั้ กวา่ กะบงั หนา้ กลบี ดอกเลก็ นอ้ ย เกสรเพศผตู้ ดิ บนคอหลอดกลบี ดอก
พบในจนี และเวยี ดนาม มกี ะบงั 3 ชน้ั แตก่ ลบี เลยี้ งขนาดเลก็ กวา่ มตี อ่ มทโ่ี คน กลบี ดอก อบั เรณูยาว 5-6 มม. รังไข่เกล้ียง ก้านเกสรเพศเมียยาว 6-8 มม. รวมยอดเกสร
ยาวกว่า ค�ำระบุชนิดต้ังตามช่ือดร.ราชันย์ ภู่มา นักพฤกษศาสตร์หอพรรณไม้ ผลรูปกระสวยติดกัน แห้งแยกกัน ยาว 10-34 ซม. มีช่องอากาศ เมล็ดยาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์ุพืช ผรู้ ่วมเก็บตัวอยา่ งพรรณไม้ต้นแบบ 1.5-1.7 ซม. กระจุกขนยาว 5-6 ซม.

โมกบา้ น พบทอ่ี นิ เดยี ศรลี งั กา พมา่ จนี ลาว และเวยี ดนาม ในไทยพบมากทางภาคเหนอื
กระจายหา่ ง ๆ ทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใตต้ อนบน ขนึ้ ตามชายปา่ หรอื
Wrightia religiosa Benth. ex Kurz ในปา่ ดิบแล้ง และปา่ เบญจพรรณ ความสูง 200-1500 เมตร น�้ำยางขาวและกระจุก
ไม้พุ่ม อาจสงู ได้ถึง 5 ม. ใบบาง รูปรี ยาว 2-8 ซม. ก้านใบยาว 1-4 มม. ช่อดอก ขนในเมลด็ ใชห้ ้ามเลือด ราก เปลือก และกงิ่ บด ทาแก้พิษงแู ละแมงป่อง

ห้อยลง ยาว 1.5-5 ซม. ก้านดอกยาว 0.8-3 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ไข่ ยาว 1-3 มม. โมกราชนิ ี
ตอ่ มโคนกลบี ขนาดเลก็ ดอกสขี าว หลอดกลบี ดอกยาว 2-4 มม. กลบี รปู ไขก่ ลบั ยาว
0.5-1 ซม. ไมม่ ีกะบงั เกสรเพศผ้ตู ดิ บนปากหลอดกลีบดอก อบั เรณูยาวประมาณ Wrightia sirikitiae D. J. Middleton & Santisuk
4 มม. รงั ไขเ่ กลีย้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 6-8 มม. รวมยอดเกสร ผลแยกกนั ยาว ไมพ้ ุ่มหรอื ไม้ต้น แตกกอ สูงได้ถงึ 10 ม. ใบรูปรีหรอื รูปขอบขนาน ยาว 3-10 ซม.
ได้ถงึ 30 ซม. เมล็ดยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ขนกระจกุ ยาว 3.5-4 ซม.
ก้านใบยาว 0.4-1 ซม. ชอ่ ดอกยาว 3-5 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1.5 ซม. กลีบเล้ียง
พบทพ่ี มา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี มาเลเซยี และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ขน้ึ ตามชายปา่ ใกลล้ ำ� ธาร รปู สามเหลยี่ มปลายมน ยาว 1.5-2 มม. ดอกสขี าว รปู ดอกเขม็ หลอดกลบี ดอกยาว
ความสงู ไมเ่ กนิ 100 เมตร สว่ นมากพบเปน็ ไม้ประดบั มีทง้ั ดอกลาและดอกซอ้ น 1.4-2 ซม. กลีบรปู ไขห่ รือรูปขอบขนาน ยาว 1.4-2.5 ซม. กะบัง 3 ช้นั กะบงั หน้า
หรอื ใบด่าง กลบี ดอกแนบตดิ กลบี ดอกเกอื บกึง่ หนึ่ง ปลายแยกเป็นแฉก ยาว 1-1.2 ซม.
ปลายแฉกเปน็ ตมุ่ กะบงั ระหวา่ งกลบี ดอกคลา้ ยกะบงั หนา้ กลบี ดอก แตต่ ดิ ทโ่ี คน
โมกใบบาง กลีบดอก กะบงั ยอ่ ยออกเดย่ี ว ๆ ยาว 2-6 มม. เกสรเพศผูต้ ดิ ภายในหลอดกลีบ
อับเรณูยาวประมาณ 1 ซม. รังไข่มขี นประปราย ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ
Wrightia lecomtei Pit. 2 ซม. รวมยอดเกสร ผลรูปกระสวย กางออก ปลายกว้าง โคง้ เล็กนอ้ ย กว้าง
ไม้พมุ่ สูงไดถ้ ึง 5 ม. ใบรูปรี รปู ขอบขนาน หรือแกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 2.5-15 ซม. 1-1.5 ซม. ยาว 8-15 ซม. มีช่องอากาศหนาแนน่ เมลด็ ยาวประมาณ 1.5 ซม.
กระจกุ ขนยาวประมาณ 3 ซม.
แผน่ ใบบาง กา้ นใบยาว 2-5 มม. ชอ่ ดอกยาว 3-7 ซม. มีได้ถงึ 10 ดอก ก้านดอก
ยาว 1-1.6 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ไข่ ยาว 1.5-2 มม. โคนมตี ่อมขนาดเลก็ เรยี วแคบ พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคเหนือตอนล่างที่นครสวรรค์ ภาคกลางที่
ดอกสขี าวนวลหรอื อมเหลอื ง หลอดกลบี ดอกยาว 5-6 มม. กลบี รปู ขอบขนานแกม สระบุรี ลพบุรี และภาคตะวันออกเฉียงใตท้ ่สี ระแก้ว ขึน้ ตามเขาหนิ ปูนเต้ีย ๆ ความสูง
รปู ไข่กลับ ยาว 1-1.5 ซม. กะบังชัน้ เดยี ว ตดิ ระหว่างกลบี ดอก ปลายเปน็ ติ่งยาว ไมเ่ กนิ 100 เมตร ชอ่ื ชนดิ ตงั้ เพอื่ เทดิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรม
ประมาณ 1 มม. เกสรเพศผู้ติดท่ปี ากหลอดกลบี ดอก อบั เรณูยาวประมาณ 6 มม. ราชินีนาถ
มีขนสนั้ น่มุ รงั ไขเ่ กลย้ี ง ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 8.5 มม. รวมยอดเกสร
โมกสยาม
พบทก่ี ัมพชู า ในไทยพบทางภาคกลางตอนลา่ งทน่ี ครสวรรค์ ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้
ทจ่ี นั ทบรุ ี และภาคใตท้ พี่ ทั ลงุ ขนึ้ ตามปา่ ดบิ ชนื้ หรอื ปา่ ดบิ แลง้ ความสงู ระดบั ต่�ำ ๆ Wrightia siamensis D. J. Middleton
เป็นไมป้ ระดบั คล้ายกบั โมกชมพแู ละโมกน�้ำผง้ึ Wrightia spp. ที่เป็นไมป้ ระดบั ไมพ้ มุ่ สูง 1-3 ม. ใบรูปรีถึงรูปใบหอก หรือแกมรปู ไข่ ยาว 2.5-12 ซม. กา้ นใบ
ซ่งึ อาจเปน็ ลูกผสม มีกะบงั ช้ันเดยี ว อับเรณมู ีขน แต่ใบคอ่ นข้างเกลยี้ งและขนาด
เลก็ กวา่ โมกใบบาง ยาว 2.5-6 มม. ช่อดอกยาว 2-3 ซม. มี 3-5 ดอก กา้ นดอกยาว 3-7 มม. กลีบเล้ียง
รูปไข่ ยาวประมาณ 3 มม. ตอ่ มโคนกลีบขนาดเล็ก ปลายจักฟนั เลือ่ ย ดอกสีแดง
โมกพะวอ อมชมพู หลอดกลบี ดอกยาว 4-5 มม. กลบี รปู ขอบขนาน ยาว 1.4-1.5 ซม. กะบงั
3 ชน้ั กะบงั หนา้ กลบี ดอกแนบตดิ กลบี ดอกเกอื บตลอดความยาว ยาวประมาณ
Wrightia tokiae D. J. Middleton 4 มม. ปลายจักตื้น ๆ กะบังระหว่างกลบี ดอกยาว 2.7-3 มม. ปลายแยก 2 แฉก
ไม้ตน้ สงู ไดถ้ ึง 15 ม. ใบรปู ไข่ รูปรี หรอื รปู ขอบขนาน ยาว 5.3-21 ซม. กา้ นใบ โคนเชอ่ื มตดิ กะบงั หนา้ กลบี ดอก จดุ เชอ่ื มมกี ะบงั ยอ่ ยขา้ งละ 1 อนั เปน็ ตงิ่ ยาว
ประมาณ 0.5 มม. เกสรเพศผตู้ ดิ บนคอหลอด อบั เรณยู าวประมาณ 1 ซม. รงั ไขเ่ กลย้ี ง
ยาว 4-6 มม. กา้ นช่อดอกยาว 0.6-1.1 ซม. กา้ นดอกยาว 3-5 มม. กลบี เลี้ยงรูปไข่กวา้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 8.5 ซม. รวมยอดเกสร ผลแยกกัน มีช่องอากาศ
ยาว 3.5-4.2 มม. ไม่มตี ่อมโคนกลบี ดอกสเี ขยี วอมเหลอื ง เปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนร่วง และขนละเอียด ยาว 13-15 ซม.
หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ 2.5 มม. มปี มุ่ กระจายดา้ นใน กลบี รปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ
1.3 ซม. ปลายมน ขอบยกขน้ึ กะบงั ชนั้ เดยี ว สเี หลอื งตดิ กนั เปน็ วงคลา้ ยรปู ถว้ ย พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคใตท้ สี่ รุ าษฎรธ์ านี กระบี่ พงั งา ขน้ึ ตามเขาหนิ ปนู
ความสงู ไมเ่ กนิ 100 เมตร

355

โมกเหลอื ง สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

โมกเหลือง โมกใบบาง: แผ่นใบมีขนสนั้ น่มุ กะบังช้นั เดียว ติดระหวา่ งกลบี ดอก ปลายเปน็ ตง่ิ ยาวประมาณ 1 มม. อับเรณมู ขี น
สนั้ นุม่ (ภาพ: cultivated - RP)
Wrightia viridiflora Kerr
ไมพ้ ุ่ม อาจสูงไดถ้ ึง 5 ม. ใบรูปรี ยาว 3-15 ซม. แผน่ ใบเกล้ียง กา้ นใบยาว โมกชมพู: Wrigthia sp. (ภาพซา้ ย: cultivated - RP); โมกนำ้� ผงึ้ : Wrightia sp. (ภาพขวา: cultivated - RP)

2-6 มม. ชอ่ ดอกยาว 1-4 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1.5 ซม. กลีบเลย้ี งรปู ไข่ขนาดเลก็
ดอกสเี หลอื งหรอื อมเขยี ว หลอดกลบี ดอกยาว 1-2 มม. กลบี รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน
ยาว 4-8 มม. กะบงั 3 ชั้น กะบังหนา้ กลีบดอกเชอ่ื มตดิ โคนกลีบดอก ปลายจัก
ชายครุย ยาว 2.3-4.4 มม. กะบังระหวา่ งกลบี ดอกปลายแยก 2 แฉก ยาว 1.5-3 มม.
กะบังยอ่ ย ยาว 0.8-1.5 มม. เกสรเพศผู้ตดิ บนปากหลอดกลีบดอก อบั เรณูยาว
0.6-1 ซม. รงั ไขเ่ กลย้ี ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 3-3.3 มม. รวมยอดเกสร ผลกางออก
เกลี้ยง มชี อ่ งอากาศประปราย ยาว 16-20 ซม. เมล็ดยาวประมาณ 2.5 ซม.
กระจกุ ขนยาวประมาณ 2 ซม.

พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทต่ี าก นครสวรรค์ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
ที่เลย ภาคกลางท่รี าชบุรี สระบรุ ี และภาคตะวนั ตกเฉียงใตท้ ี่กาญจนบุรี ข้ึนตาม
หุบเขาหนิ ปูนท่ีคอ่ นขา้ งช่มุ ชนื้ ความสงู 100-800 เมตร คล้ายกับโมกเหลืองหอม
W. laevis Hook. f. ท่ีกะบังหน้ากลบี ดอกและกะบงั ระหวา่ งกลบี ดอกยาวเทา่ ๆ กัน
และดอกมกี ลน่ิ หอม เขตการกระจายพนั ธก์ุ วา้ ง พบท่จี นี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี
และมาเลเซยี ถงึ ออสเตรเลียตอนบน ในไทยพบทางภาคใตต้ ามเขาหนิ ปูนเต้ยี ๆ
ที่สรุ าษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพังงา

เอกสารอา้ งองิ
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 42-43, 79-90.
________. (2007). A new species of Wrightia (Apocynaceae: Apocynoideae) from
Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 35: 80-85.
________. (2010). Three new species of Wrightia (Apocynaceae: Apocynoideae)
from Thailand. Gardens’ Bulletin Singapore 61(2): 369-378.
Middleton, D.J. and T. Santisuk. (2001). A new species of Wrightia (Apocynaceae:
Apocynoideae) from Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 29: 1-10.

โมกพะวอ: ดอกสเี ขยี วอมเหลือง กะบังติดกันเป็นวงคลา้ ยรปู ถว้ ย ขอบจกั ซ่ฟี ัน รงั ไข่เกล้ยี ง ผลเรยี งชดิ ปลายเช่อื ม
ตดิ กนั มีช่องอากาศหนาแน่น (ภาพ: พะวอ ตาก - PK)

โมกแดง: ดอกสแี ดงหรือขาว ดอกบานรูปกรวย ปลายกลบี แหลมยาว กะบงั เรยี ง 2 ช้นั กะบังบนกลบี ดอกแนบติด
กลีบดอก ผลกางออก เกลีย้ ง (ภาพดอกสแี ดงและผล: เขาปู่เขายา่ พัทลงุ - PK; ภาพดอกสขี าว: cultivated - RP)

โมกมัน: ดอกสขี าวอมเขียว กลบี รูปขอบขนาน กะบงั เรยี ง 2 ชั้น จักเปน็ คล่นื ผลติดกนั มชี อ่ งอากาศ (ภาพดอก:
cultivated - PK; ภาพผล: หว้ ยยาง ประจวบคีรีขันธ์ - RP)

โมกนเรศวร: ช่อดอกแบบชอ่ กระจุก ออกส้นั ๆ ท่ีปลายกิ่ง กลีบเล้ียงรปู ไขก่ วา้ ง ปลายมน กลบี ดอกปลายตดั
กะบัง 3 ชัน้ (ภาพ: ทุง่ ใหญน่ เรศวร ตาก - PK)

โมกบา้ น: ชอ่ ดอกหอ้ ยลง ดอกขนาดเล็ก ไม่มีกะบัง มีท้งั ดอกลาและดอกซอ้ น (ภาพ: cultivated - RP) โมกราชนิ :ี ไมต้ ้นขนาดเลก็ แตกกอ ดอกรูปดอกเข็ม กะบงั 3 ชัน้ ปลายแยกเปน็ แฉก ปลายแฉกป็นต่มุ ผลแยกกนั
กางออก ปลายกวา้ ง มีชอ่ งอากาศหนาแนน่ (ภาพ: พระพทุ ธบาท สระบุรี - RP)
356

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย ไมยราบ

โมกสยาม: กลบี ดอกรปู ขอบขนาน กะบัง 3 ช้นั ระหวา่ งกะบังมกี ะบงั ยอ่ ยขนาดเลก็ ข้างละ 1 อัน ผลมีช่องอากาศ โมลีสยาม
(ภาพ: เขาสก สรุ าษฎร์ธานี - PK)
Reevesia pubescens Mast. var. siamensis (Craib) J. Anthony
โมกเหลอื ง: ดอกสเี หลอื ง กะบัง 3 ชั้น ยาวไม่เทา่ กัน ปลายจักชายครยุ (ภาพซา้ ยและภาพขวาบน: เลย - PK); วงศ์ Malvaceae
โมกเหลอื งหอม: กะบังหน้ากลีบดอกและกะบังระหวา่ งกลีบดอกยาวเท่า ๆ กนั (ภาพขวาล่าง: นครศรธี รรมราช - SG)
ไม้ต้น สงู ไดถ้ ึง 15 ม. กิง่ มชี อ่ งอากาศ กิ่งออ่ นมขี นรูปดาวสัน้ นุ่มประปราย
โมกใหญ่ ใบเรยี งเวยี น รปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 6-20 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว
โคนกลมหรอื เวา้ ตน้ื เบยี้ วเลก็ นอ้ ย กา้ นใบยาว 5-6.5 ซม. โคนและปลายกา้ นบวม
Holarrhena pubescens Wall. ex G. Don ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ หลน่ั แยกแขนงสน้ั ๆ ทป่ี ลายกงิ่ กวา้ ง 10-15 ซม. ใบประดบั
วงศ์ Apocynaceae ขนาดเลก็ รว่ งเรว็ กา้ นดอกยาว 8-10 ซม. กลบี เลี้ยงรปู ถว้ ย ยาว 5-8 มม. ปลายแยก
เปน็ 5 กลีบตื้น ๆ รูปไข่ ปลายแหลม ดอกสขี าวอมชมพู มี 5 กลบี รูปใบพาย ยาว
ชอ่ื พ้อง Holarrhena antidysenterica (L.) Wall. ex A. DC. 1-2.5 ซม. มกี า้ นสน้ั ๆ เกสรเพศผู้ 15 อัน แยกเปน็ 5 กลมุ่ ก้านชอู บั เรณูเชื่อมตดิ
กา้ นรงั ไข่เป็นเส้าเกสร บานออกโอบรงั ไข่ ยาว 1.2-3.5 ซม. อับเรณูไร้กา้ น รงั ไขม่ ี
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามกง่ิ แผน่ ใบ ชอ่ ดอก และกลบี เลย้ี งดา้ นนอก 5 ชอ่ ง มีขนหนาแน่น แตล่ ะชอ่ งมอี อวลุ 2 เม็ด ก้านเกสรเพศเมยี ส้ันมาก ยอดเกสร
ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 4.5-30 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว แผน่ ใบบาง จกั 5 พู เหนยี ว ผลแหง้ แตก รปู ไขก่ ลบั เปลอื กแข็ง ยาว 2.5-5 ซม. มหี ้าเหล่ียม
มขี นสน้ั นมุ่ หรอื เกลย้ี ง กา้ นใบยาว 2-4 มม. ชอ่ ดอกสว่ นมากออกตามซอกใบใกล้ มีขนรปู ดาวส้ันนุ่ม เมล็ดยาวประมาณ 2.5 ซม. รวมปกี
ปลายก่งิ ยาว 4-10 ซม. ใบประดับยาว 1-4 มม. ร่วงเรว็ ก้านดอกสน้ั มาก กลบี เลย้ี ง
รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 2-4 มม. ดอกสขี าว มกี ลนิ่ หอม หลอดกลบี ดอก พบท่ีจีนตอนใต้ และพม่า ในไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือท่ีเลย
ยาว 0.8-1.4 ซม. กลีบรปู ไขก่ ลับหรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 1-2 ซม. ก้านชูอับเรณู ภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ ปี่ ราจนี บรุ ี และภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ กี่ าญจนบรุ ี เพชรบรุ ี
โคนมีขน อบั เรณูยาวประมาณ 1.5 มม. กา้ นเกสรเพศเมียยาว 1.8-2.5 มม. รวม ข้ึนตามป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ความสูงถึงประมาณ 1300 เมตร ส่วน var.
ยอดเกสร ผลออกเปน็ คู่ หอ้ ยลง มชี อ่ งอากาศกระจาย ยาว 18-34 ซม. เมลด็ เกลยี้ ง pubescens พบที่ภเู ม่ียง จังหวัดพิษณโุ ลก แผ่นใบดา้ นลา่ งมีขนหนาแน่น มนี วล
กระจุกขนจำ� นวนมาก ยาว 2.3-4.5 มม. (ดูข้อมูลเพม่ิ เตมิ ท่ี พุดทุง่ , สกลุ ) ชอ่ ดอกแคบกว่า กลีบดอกดา้ นนอกมีขน

พบทแี่ อฟริกา อินเดยี เนปาล บงั กลาเทศ พม่า จนี และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ใน สกลุ Reevesia Lindl. เดิมอยูภ่ ายใตว้ งศ์ Sterculiaceae ปัจจุบนั อยวู่ งศ์ย่อย
ไทยพบทุกภาคยกเวน้ ภาคใตต้ อนลา่ ง ความสูงถึงประมาณ 1100 เมตร เปลือก Helicteroideae มปี ระมาณ 25 ชนดิ พบในอเมริกากลางและเอเชยี สว่ นมากพบในจนี
มีสรรพคุณรกั ษาอาการบดิ และทอ้ งเสีย แก้พษิ ไข้ ชอ่ื สกลุ ตง้ั ตามนกั ธรรมชาติวทิ ยาชาวองั กฤษ John Reeves (1774-1856)
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอา้ งอิง Phengklai, C. (2001). Sterculiaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 617-621.
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 75. Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Sterculiaceae. In Flora of China

โมกใหญ่: ชอ่ ดอกสว่ นมากออกตามซอกใบใกลป้ ลายกง่ิ กลบี ดอกเวยี นทบั ดา้ นขวาในตาดอก (ภาพ: ตาก - RP) Vol. 12: 313, 317.

โมลีสยาม: ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ หลน่ั แยกแขนง ออกทปี่ ลายกิง่ เส้าเกสรเรยี วยาว ผลแหง้ แตกรูปไข่กลบั เปลอื กแข็ง
มีห้าเหลีย่ ม (ภาพดอก: แกง่ กระจาน เพชรบุรี - PK; ภาพผล: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - SSi)

ไมยราบ, สกุล

Mimosa L.
วงศ์ Fabaceae

ไมล้ ม้ ลกุ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมพ้ มุ่ รอเลอ้ื ย มหี นามตามลำ� ตน้ และขอ้ หใู บรปู เสน้ ดา้ ย
หรือรูปใบหอก รว่ งเรว็ ใบประกอบ 2 ชนั้ ใบยอ่ ยเรยี งตรงข้าม ไวต่อการสัมผัส
ไม่มีตอ่ มตามกา้ นใบ ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แน่น รปู กลมหรือรี ออกเดีย่ ว ๆ เปน็ คู่
หรอื เปน็ กระจกุ ตามซอกใบ ดอกไรก้ า้ น กลบี เลย้ี งเชอื่ มตดิ กนั ปลายแยกเปน็ แฉก
ขนาดเลก็ 4 กลบี กลบี ดอกเชือ่ มติดกันเป็นหลอด มี 4 กลบี เกสรเพศผู้ 4-8 อนั
แยกกัน รังไขไ่ ร้กา้ นหรือเกือบไร้กา้ น ผลเปน็ ฝกั ตรง เมลด็ มพี ลโู รแกรมเป็นวง

สกลุ Mimosa มีประมาณ 480 ชนดิ ส่วนใหญพ่ บในอเมริกาใต้ ในไทยพบเป็น
วัชพืช 3 ชนดิ ชอื่ สกุลมาจากภาษากรีก “mimos” การแสดง หมายถึงการไวต่อ
การสัมผัสของใบ

ไมยราบ

Mimosa pudica L.
ไมล้ ม้ ลุก ทอดเลือ้ ยตามพ้ืนดิน บางคร้งั สงู ไดถ้ ึง 1 ม. มขี นหยาบตามล�ำตน้

แกนใบประกอบ กา้ นใบ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง และชอ่ ดอก แกนกลางใบรวมกา้ นยาว
2.5-5 ซม. ใบประกอบย่อยมี 2 คู่ เรียงชดิ กันคลา้ ยรปู ฝา่ มอื ยาว 1.5-7 ซม. ใบยอ่ ย

357

ไมยราบขาว สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

มี 12-25 คู่ รปู ขอบขนานหรือรปู เคยี ว ยาว 0.5-1 ซม. กา้ นชอ่ ดอกยาว 2.5-4 ซม. ยมดอย
ดอกไรก้ ้าน รูประฆงั แคบ ยาวประมาณ 2 มม. กลบี ดอกมนกลม ยาว 0.5-0.8 มม.
เกสรเพศผู้ 4 อัน รังไข่เกลยี้ ง ฝกั รปู ขอบขนาน ยาว 1.5-1.8 ซม. ขอบมขี นแข็ง Sarcotheca laxa (Ridl.) R. Knuth
วงศ์ Oxalidaceae
มถี น่ิ กำ� เนดิ ในอเมรกิ าใต้ น�ำเขา้ โดยกรมทางหลวงเพอื่ ชว่ ยคลมุ หนา้ ดนิ แยกเปน็
var. hispida Brenan กลบี ดอกมีขน และ var. unijuga (Duchass. & Walp.) ข่ือพอ้ ง Connaropsis laxa Ridl., Sarcotheca glabra (Ridl.) R. Knuth
Griseb. กลบี ดอกเกล้ียง
ไม้พ่มุ หรอื ไมต้ ้น สงู ได้ถึง 15 ม. ใบเรียงเวียน รปู ขอบขนานหรือรูปใบหอก
ไมยราบขาว ยาว 5-23 ซม. ปลายแหลมยาวหรอื ยาวคลา้ ยหาง กา้ นใบยาว 0.5-2.5 ซม. ชอ่ ดอก
แบบช่อแยกแขนง ยาวได้ถงึ 30 ซม. ชอ่ ย่อยแบบช่อกระจุกสนั้ ๆ กา้ นดอกยาว
Mimosa diplotricha C. Wright ex Sauvalle 0.5-1 มม. ใบประดบั ขนาดเลก็ รว่ งเรว็ กลบี เลย้ี งเชอื่ มตดิ กนั ทโ่ี คน รปู ขอบขนาน
ยาว 1-2 มม. ตดิ ทน กลีบดอก 5 กลบี รปู ใบหอกแกมรปู ไข่กลับ ยาว 4-7 มม. มี
ช่ือพ้อง Mimosa invisa Mart. ex Colla ก้านกลีบส้นั ๆ เกสรเพศผ้อู นั ส้ัน 5 อนั อันยาว 5 อนั เชื่อมตดิ กันทโี่ คน ในดอก
ท่กี ้านเกสรเพศเมยี สั้น ยาว 1-2.5 มม. และ 2-3.5 มม. ในดอกท่กี า้ นเกสรเพศเมยี
ไม้พุ่มทอดเล้ือยหนาแน่น สูงได้ถึง 1 ม. ล�ำต้นเป็นส่ีเหลี่ยม สันเหล่ียมมี ยาว ยาว 0.5-1 มม. และ 1-1.7 มม. รงั ไขม่ ี 5 ชอ่ ง เชอื่ มตดิ กนั ก้านเกสรเพศเมีย
หนามโคง้ เปน็ แถว มขี นหยาบและหนามโคง้ ประปรายตามแกนกา้ นใบ แผน่ ใบ 5 อัน แบบสน้ั ยาวประมาณ 0.5 มม. แบบยาว ยาว 2-3 มม. ผลสด รูปรี ยาว
และชอ่ ดอก แกนกลางใบประกอบยาว 6-11 ซม. ก้านยาว 3-5 ซม. ใบประกอบยอ่ ย 0.6-1.3 ซม. สุกสแี ดง มี 1-3 เมลด็ รปู ขอบขนาน ยาว 5-9 มม.
มี 4-7 คู่ ยาว 1-4.5 ซม. ใบยอ่ ยมี 12-21 คู่ รูปขอบขนาน ยาว 2-7 มม. ก้านชอ่ ดอก
ยาว 0.5-6 ซม. ดอกรูปกรวยแคบ ยาวประมาณ 2 มม. กลบี ดอกยาวประมาณ 1 มม. พบทีค่ าบสมุทรมลายู สุมาตรา และภาคใต้ตอนลา่ งของไทย ท่นี ราธิวาส ขึน้
ปลายมน เกสรเพศผู้ 8 อนั รงั ไขม่ ขี นละเอยี ด ฝกั รปู ขอบขนาน ยาว 1.5-3.5 ซม. ตามป่าดบิ ชืน้ ความสงู ระดบั ต่�ำ ๆ มคี วามผันแปรสงู แยกออกเปน็ หลาย varities
ขอบมีขนแขง็ ตามลักษณะของสงิ่ ปกคลมุ

มถี นิ่ กำ� เนดิ ในอเมรกิ าใต้ เปน็ วชั พชื ทว่ั ไปในเขตรอ้ น นำ� เขา้ โดยกรมวชิ าการเกษตร สกุล Sarcotheca Blume มี 11 ชนดิ พบเฉพาะในภูมิภาคมาเลเซีย ในไทยมี
เพือ่ ใชค้ วบคุมวชั พืช ชนิดเดียว ช่ือสกลุ มาจากภาษากรีก “sarkos” สด และ “theke” กล่อง หมายถึง
ผลสดกินได้
ไมยราบตน้ เอกสารอ้างอิง
Veldkamp, J.F. (1967). A revision of Sarcotheca Bl. and Dapania Korth.
Mimosa pigra L.
ไมพ้ มุ่ สงู ไดถ้ งึ 4 ม. แตกกง่ิ หนาแนน่ มหี นามโคง้ บนแกนใบประกอบระหวา่ ง (Oxalidaceae). Blumea 15: 533.

รอยตอ่ ใบประกอบย่อย มีขนหยาบตามกิ่ง แกนกา้ นใบ ขอบใบ และชอ่ ดอก ยมดอย: ใบเรียงเวยี น ปลายแหลมยาว ชอ่ ดอกออกเป็นกระจกุ ส้นั ๆ บนชอ่ แบบแยกแขนง ผลสด สุกสแี ดง
แกนกลางใบประกอบยาว 11-17 ซม. เปน็ เหลยี่ ม กา้ นใบประกอบยาว 0.8-2.8 ซม. (ภาพ: แวง้ นราธวิ าส - MT)
ใบประกอบยอ่ ยมี 10-14 คู่ ยาว 3.5-4.5 ซม. ใบย่อยมีประมาณ 45 คู่ รปู แถบ
แกมขอบขนาน ยาว 5-9 มม. กา้ นชอ่ ยาวประมาณ 2 ซม. กลีบเล้ยี งบางและแห้ง ยมหอม
ดอกรปู แตร ยาวประมาณ 3 มม. กลีบดอกรปู ไข่ปลายแหลม ยาวประมาณ 1.2 มม.
เกสรเพศผู้ 8 อัน รังไข่มีขนกำ� มะหย่ีหนาแนน่ ฝักรปู ขอบขนานถงึ รูปแถบ ยาวไดถ้ ึง Toona ciliata M. Roem.
6 ซม. ปลายมจี ะงอย มีขนสากหนาแนน่ วงศ์ Meliaceae

มถี ิน่ กำ� เนิดในอเมริกาใต้ ข้ึนเปน็ วชั พืชท่ัวไปในเขตร้อน ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 40 ม. แยกเพศรว่ มตน้ กงิ่ มชี อ่ งอากาศ ใบประกอบเรยี งเวยี น
มใี บยอ่ ย 8-15 คู่ ก้านใบยาว 5-20 ซม. ใบยอ่ ยรปู ขอบขนานแกมรปู ไข่ ยาว 7-16 ซม.
เอกสารอ้างอิง ปลายแหลมยาว โคนเบยี้ ว ก้านใบย่อยยาว 0.5-1.5 ซม. ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ
Nielsen, I.C. (1985). Leguminosae-Mimosoideae. In Flora of Thailand Vol. 4(2): แยกแขนง ยาวได้ถงึ 50 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1 มม. กลบี เลย้ี ง 5 กลบี รปู รีขนาดเล็ก
151-155. ขอบมขี นครุย ดอกสขี าว มี 5 กลีบ รปู ขอบขนานแกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 4-5 มม.
ขอบมีขนครุย กา้ นชูเกสรร่วมยาว 3-5 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าว
ไมยราบ: ใบประกอบย่อยเรียงชิดกนั คลา้ ยรปู ฝา่ มอื ฝักรปู ขอบขนาน ขอบมขี นแข็ง (ภาพ: ประจวบครี ขี ันธ์ - RP) 1.5-3 มม. จานฐานดอกคลา้ ยนวมสสี ม้ แดง มขี นยาวหนาแน่น รังไขม่ ขี นยาว
มี 5 ช่อง แต่ละช่องมอี อวลุ 8 เม็ด ก้านเกสรเพศเมยี เกลีย้ ง ยาว 1.5-3 มม.
ไมยราบขาว: ล�ำต้นเป็นสี่เหลยี่ ม มีหนามโคง้ ตามสันเหลี่ยมเปน็ แถว มขี นหยาบตามแกนกา้ นใบ (ภาพ: ตาก - RP) ยอดเกสรแบน ผลแหง้ แตกเปน็ 5 ซกี รูปรี ยาว 2-4 ซม. แกนกลางมหี า้ เหลยี่ ม
ผิวมีช่องอากาศ เมลด็ มปี กี ทั้งสองดา้ น ยาว 1.5-2 ซม. รวมปีก
ไมยราบตน้ : มีหนามโค้งบนแกนระหวา่ งรอยต่อใบประกอบย่อย ใบย่อยจำ� นวนมาก (ภาพ: เชียงใหม่ - RP)
พบท่อี นิ เดีย ปากสี ถาน บงั กลาเทศ เนปาล ศรลี งั กา ภฏู าน จนี ตอนใต้ พมา่
ภมู ิภาคอินโดจนี และมาเลเซยี ฟลิ ิปปินส์ ปาปวั นวิ กนิ ี ออสเตรเลยี และหม่เู กาะ
แปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดิบแลง้ และป่าดิบชน้ื ความสงู
ถงึ ประมาณ 1300 เมตร นิยมปลกู เป็นไม้สวนป่าในหลายประเทศ ส่วนต่าง ๆ มี
สรรพคณุ ด้านสมนุ ไพรหลายอย่าง ดอกมกี ล่ินหอม ให้สีย้อมสแี ดงหรอื เหลอื ง

สกลุ Toona (Endl.) M. Roem. มี 5 ชนดิ พบในเอเชยี และออสเตรเลีย ในไทยมี
3 ชนิด ชอ่ื สกุลมาจากภาษาสนั สกฤต “toon” หรือ “tunna” ทใ่ี ชเ้ รียก ยมหอม
เอกสารอ้างองิ
Peng, H. and J.M. Edmonds. (2008). Meliaceae. In Flora of China Vol. 11: 114.

358

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย ยอพญาไม้

ยมหอม: โคนใบเบยี้ ว ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง ผลแหง้ แตก ผิวมชี ่องอากาศหนาแนน่ แกนกลางมหี า้ เหล่ยี ม ยอ
(ภาพซา้ ย: เชยี งใหม่ - SSi; ภาพขวา: ตาก - OK)
Morinda citrifolia L.
ยมหิน ไม้พ่มุ หรือไมต้ ้น อาจสงู ไดถ้ งึ 10 ม. หใู บรูปไข่ ยาว 0.5-1.5 ซม. ใบรปู รีหรอื

Chukrasia tabularis A. Juss. รูปไข่ ยาว 10-25 ซม. ปลายแหลมหรอื มน โคนแหลมหรือเรียวสอบ เส้นแขนงใบ
วงศ์ Meliaceae ข้างละ 5-7 เสน้ มักมตี ุ่มใบเป็นขน กา้ นใบยาว 0.5-3.5 ซม. กา้ นชอ่ ยาว 1-1.5 ซม.
ช่อขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 0.5-1 ซม. บางครงั้ มีแผน่ คล้ายใบประดับสขี าว 1-3 ใบ
ไมต้ ้น สงู ได้ถึง 30 ม. ก่ิงมีชอ่ งอากาศ มขี นละเอยี ดตามชอ่ ดอก กลบี เลี้ยงและ รปู รี ยาว 0.5-1.5 ซม. ดอกรูปแตรแคบ ๆ หลอดกลบี ดอกยาว 0.8-1.5 ซม. ด้านใน
กลบี ดอกดา้ นนอก ใบประกอบเรยี งเวยี น มใี บยอ่ ยขา้ งละ 10-15 ใบ เรยี งสลบั หรอื มขี นหนาแน่น มี 5-6 กลบี รปู ใบหอกแกมรูปไข่ ยาว 2-6 มม. กา้ นเกสรเพศเมีย
เกอื บตรงขา้ ม กา้ นใบประกอบยาว 4-10 ซม. ใบยอ่ ยรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 0.8-1 ซม. ชอ่ ผลแกส่ ีขาว รปู ไขห่ รอื กลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 2.5-5 ซม. ผลย่อย
ยาว 4-15 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเบ้ียว แผน่ ใบด้านล่างมักมีขนละเอียด ก้านใบย่อย จำ� นวนมากเชื่อมตดิ กนั
ยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แยกแขนง ยาวไดถ้ งึ 20 ซม. ใบประดบั
คลา้ ยใบ รว่ งเรว็ ก้านดอกยาว 4-5 มม. กลบี เลี้ยง 5 กลีบ ยาวประมาณ 2 มม. พบทอ่ี นิ เดยี ศรลี งั กา ไหห่ นาน ไตห้ วนั ญปี่ นุ่ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี
ดอกสีครีมอมเขยี วหรือนำ้� ตาล มี 5 กลีบ รปู ใบพาย ยาว 1-1.5 ซม. เกสรเพศผู้ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ นวิ กนิ ี ทางตอนบนของออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค
เช่อื มติดกนั เป็นหลอด ปลายตดั ยาว 5-6 มม. อับเรณู 10 อนั ตดิ ทีป่ ลายหลอด ปลกู เปน็ ไมผ้ ลและพชื สมนุ ไพร ใบและผลมสี รรพคณุ หลายอยา่ ง โดยเฉพาะนำ้� ลกู ยอ
กา้ นชอู บั เรณสู นั้ รงั ไข่ มี 3-5 ชอ่ ง กา้ นเกสรเพศเมยี รปู ทรงกระบอก สน้ั ยอดเกสร ทเี่ รียกว่า noni juice เชื่อว่ามสี รรพคณุ รกั ษาโรคมะเรง็ ได้
จัก 3-5 พู ผลแห้งแตก รปู รี ยาว 4-4.5 ซม. เปลอื กแข็ง มีช่องอากาศหรอื ตุ่มหนาแน่น
เมลด็ จำ� นวนมาก รปู รี แบน ยาวประมาณ 3 มม. ปลายมปี กี ยาวประมาณ 1 ซม. ยอนำ�้

พบทอ่ี ินเดีย ภูฏาน เนปาล ศรีลงั กา บังกลาเทศ จนี ตอนใต้ พม่า ภมู ิภาคอนิ โดจนี Morinda pandurifolia Kuntze
และมาเลเซีย ในไทยพบทกุ ภาค ขึน้ หลากหลายสภาพปา่ หรอื บนเขาหินปนู ความสูง ไมพ้ มุ่ หรอื รอเลอ้ื ย มขี นสน้ั นมุ่ ตามกง่ิ ออ่ น แผน่ ใบ กา้ นใบ ใบมกั เรยี งหนาแนน่
ถึงประมาณ 1600 เมตร เปลอื กรสฝาดมสี รรพคุณเปน็ ยาสมาน รากและเปลือก
มีสารยับยง้ั การกนิ อาหารของแมลงศัตรพู ืชบางชนดิ ท่ีปลายก่ิง รูปรีถึงรูปใบหอก หรือคล้ายรูปไวโอลิน มักมีสีน�้ำตาลแดงตามกิ่ง
ก้านใบ และเสน้ กลางใบ ยาว 3-15 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนเรียวสอบ
สกลุ Chukrasia A. Juss. เป็นสกลุ ทมี่ ีชนดิ เดยี ว ชื่อสกุลมาจากภาษาฮนิ ดู กา้ นใบยาว 0.5-3 ซม. ช่อดอกออกเดย่ี ว ๆ กา้ นชอ่ ส้ัน บางคร้งั ออกชิดกันใกล้
“chikrassee” ที่ใชเ้ รยี ก ยมหิน ปลายกง่ิ ดคู ลา้ ยชอ่ แยกแขนง ชอ่ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 1 ซม. ดอกรปู ดอกเขม็
เอกสารอา้ งอิง หลอดกลบี ดอกยาว 1-1.8 ซม. มขี นละเอยี ดประปราย มี 4-6 กลบี รปู ขอบขนาน
Peng, H. and D.J. Mabberley. (2008). Meliaceae. In Flora of China Vol. 11: 117. ยาว 0.5-1.5 ซม. กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 3-5 มม. และ 0.8-1 ซม. ผลรูปรีหรอื กลม
เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม.
ยมหนิ : ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง เกสรเพศผู้เชอ่ื มตดิ กนั เปน็ หลอด อบั เรณตู ิดที่ปลายหลอด ผลแห้งแตก
มีชอ่ งอากาศหรอื ตมุ่ หนาแน่น ปลายเมล็ดมีปกี (ภาพชอ่ ดอก: แมฮ่ อ่ งสอน - OK; ภาพผลแตก: อุทยั ธานี - SSi) พบทภี่ มู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคเหนอื ตอนลา่ งทตี่ าก และนครสวรรค์
ภาคกลางพบท่วั ไป ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ท่เี ลย มหาสารคาม ภาคตะวนั ออก
ยอ, สกุล ทอ่ี บุ ลราชธานี และภาคใตท้ สี่ รุ าษฎรธ์ านี ขน้ึ ในทลี่ มุ่ นำ�้ ขงั หรอื รมิ แมน่ ำ้� ความสงู
ระดบั ตำ�่ ๆ ลกั ษณะและรปู รา่ งของใบมคี วามผนั แปรสงู เคยแยกเปน็ var. oblonga
Morinda L. (Pit.) Craib และ var. tenuifolia Craib
วงศ์ Rubiaceae
ยอป่า
ไมพ้ มุ่ ไมต้ น้ หรอื ไม้เถา หใู บรว่ ม สว่ นมากรูปสามเหลย่ี ม แยกหรอื เชอื่ มติดกนั
ทโ่ี คน ติดทนหรือรว่ งเรว็ ใบเรียงตรงข้าม ชอ่ ดอกเป็นกระจุกแนน่ รูปกลมหรือรูปรี Morinda coreia Buch.-Ham.
ออกเดย่ี ว ๆ เปน็ กระจกุ หรอื ชอ่ กระจกุ สว่ นมากออกตรงขา้ มใบ ดอกรปู ดอกเขม็ ไมต้ น้ สูงไดถ้ งึ 15 ม. หใู บยาว 0.8-1 ซม. ร่วงเร็ว ใบรูปรี ยาว 15-25 ซม.
รูปแตร หรือรูประฆัง สว่ นมากสีขาว ไรก้ ้าน เชือ่ มตดิ กนั โดยรังไข่ กลบี เล้ียงปลายตัด
หรอื จกั มน ตดิ ทน กลบี ดอกมี 3-7 กลีบ เรียงจรดกนั ในตาดอก เกสรเพศผู้ 3-7 อนั ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนเรยี วสอบ แผน่ ใบเกลย้ี งหรอื มขี นสน้ั นมุ่ ดา้ นลา่ ง
ตดิ ภายในหลอดกลบี ดอกหรอื คอหลอด กา้ นชอู บั เรณสู น้ั อบั เรณตู ดิ ดา้ นหลงั รงั ไข่ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 7-12 เสน้ มกั มตี มุ่ ใบ กา้ นใบยาว 1-3.5 ซม. กา้ นชอ่ ดอกยาว
ใต้วงกลบี มี 2 ชอ่ ง แตล่ ะชอ่ งมอี อวลุ 2 เมด็ หรอื มี 4 ช่อง แต่ละชอ่ งมอี อวลุ 2-6 ซม. ดอกรปู ดอกเขม็ หลอดกลบี ดอกยาว 1.2-1.8 ซม. เกลยี้ งหรอื มขี นประปราย
เมด็ เดยี ว ยอดเกสรเพศเมีย 2 อนั รปู แถบ มี 2 แบบ แบบสั้นและแบบยาว ผลรวม มี 5-6 กลบี รปู ขอบขนาน ยาว 1-1.5 ซม. กา้ นเกสรเพศเมียยาว 1.2-1.5 ซม. และ
เชอื่ มหรอื แยกกนั ผนังสด มี 2-4 ไพรีน แต่ละไพรีนมีเมล็ดเดยี ว 1.5-1.8 ซม. ช่อผลรูปรีหรอื กลม ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางยาวได้ถงึ 3 ซม. ผลยอ่ ย
จ�ำนวนมากเช่อื มติดกัน
สกุล Morinda มมี ากกวา่ 40 ชนดิ พบในเขตร้อนและก่งึ เขตร้อน ในไทยมปี ระมาณ
10 ชนดิ ชือ่ สกุลมาจากภาษาละติน “morus” หมอ่ น และ “indicus” อนิ เดยี พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา บงั กลาเทศ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาค
ตามชื่อสามัญ Indian mulberry ยกเวน้ ภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ และปา่ เตง็ รงั ความสงู ถงึ ประมาณ
1300 เมตร อนง่ึ คล้ายกบั ยอปา่ ชนดิ M. tomentosa B. Heyne ex Roth. และ
M. pubescens Sm. บางข้อมลู ระบุวา่ ทั้ง 3 ชนดิ เป็นชนดิ เดียวกนั ซึง่ ชอื่ ทถี่ ูก
ตอ้ งอาจเป็น M. pubescens Sm.

ยอพญาไม้

Morinda nana Craib
ไมพ้ ุ่มหรือรอเลื้อย ใบขนาดเลก็ รูปรี หรอื คลา้ ยรปู ไวโอลิน ยาว 1-3 ซม.

ปลายแหลม โคนเรยี วสอบ กา้ นใบยาว 1-3 มม. ช่อดอกออกเด่ยี ว ๆ ก้านช่อสัน้
ชอ่ เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 0.3-1 ซม. ดอกรปู ดอกเขม็ หลอดกลีบดอกยาว 5-8 มม.
มขี นละเอียดประปราย มี 5-6 กลบี รปู ขอบขนาน ยาว 4-5 มม. กา้ นเกสรเพศเมีย
ยาวไดถ้ งึ 1 ซม. ผลรูปรหี รอื กลม เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 1-1.5 ซม.

พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนท่ีนครพนม
และภาคตะวนั ออกทอี่ ำ� นาจเจรญิ ขน้ึ ตามทโี่ ลง่ รมิ ลำ� ธาร ความสงู 100-200 เมตร

359

ยอย่าน สารานุกรมพืชในประเทศไทย

ยอยา่ น ยอยา่ น: ช่อผลย่อยตดิ แบบชอ่ ซี่รม่ มขี นสนั้ น่มุ ผลสกุ สีสม้ อมแดง (ภาพ: เบตง ยะลา - RP)

Morinda umbellata L. ยาแก้
ไม้เถา มีขนสั้นนุ่มทัว่ ไป หใู บเชอ่ื มติดกนั เป็นหลอด ยาว 2-6 มม. มีขนแข็ง
Leucomeris decora Kurz
2 เสน้ ยาวประมาณ 1 มม. ใบรปู รีถึงรปู ใบหอก หรอื แกมรูปไข่ ยาว 6-9 ซม. วงศ์ Asteraceae
ปลายแหลมยาวหรอื เปน็ ตง่ิ แหลม โคนแหลมหรอื เรยี วสอบ มกั มตี มุ่ ใบเปน็ ขนยาว
ก้านใบยาว 4-6 มม. กา้ นช่อยาว 1-1.5 ซม. ช่อดอกยอ่ ยมี 3-11 ช่อ ติดแบบชอ่ ซีร่ ม่ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. ใบเรยี งเวยี น รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว
กา้ นชอ่ ยอ่ ยยาว 0.4-1.2 ซม. ใบประดบั รปู เสน้ ดา้ ยขนาดเลก็ ชอ่ กระจกุ กลมหรอื แปน้ 6-26 ซม. โคนเบย้ี ว ขอบจกั คล้ายหนามหา่ ง ๆ แผ่นใบด้านลา่ งมีขนส้ันนมุ่ ด้านบน
เส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 1 ซม. มดี อกยอ่ ย 6-12 ดอก ดอกรูประฆงั หลอดกลบี ดอก มขี นประปราย กา้ นใบยาว 1.5-4 ซม. ใบชว่ งปลายกง่ิ ขนาดเลก็ กา้ นใบสนั้ ชอ่ ดอกแบบ
ยาวประมาณ 2 มม. ด้านในมขี นยาว มี 4-5 กลบี รูปใบหอก ยาวประมาณ 3 มม. ชอ่ กระจุกแนน่ ออกเป็นกระจุกตามปลายก่งิ 6-15 ชอ่ ช่อไรก้ ้าน วงใบประดับ
ปลายกลบี หนาเปน็ ตะขอสน้ั ๆ ผลรวมเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.7-1.2 ซม. ผลยอ่ ยยาว ตดิ กนั เปน็ หลอดแคบ ๆ ยาว 1.4-1.7 ซม. วงใบประดับเรียงซ้อนเหลือ่ ม 6-8 วง
4-5 มม. เช่อื มตดิ กัน สุกสีสม้ อมแดง วงนอกรูปไข่ ยาว 1.5-4 มม. วงในรูปขอบขนานและรูปแถบ ยาวประมาณ 6 มม.
และ 1.3-1.5 ซม. ตามล�ำดบั มีขนคลา้ ยขนแกะประปราย ดอกย่อยมี 5-7 ดอก
พบทีอ่ ินเดยี ศรลี ังกา จีนตอนใต้ ไต้หวัน ญ่ปี นุ่ ภมู ภิ าคมาเลเซยี ฟลิ ิปปินส์ สีขาวครีม ยาว 1.7-1.8 ซม. ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปแถบ ยาว 0.7-1 ซม.
และออสเตรเลยี ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคเหนอื ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ดบิ ชน้ื ม้วนงอกลบั เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ภายในหลอดกลบี ดอก โคนอบั เรณมู หี างยาว
หรอื เขาหนิ ปนู ความสงู ถึงประมาณ 1400 เมตร ในอนิ เดยี ผลดิบใช้ปรงุ อาหาร ลำ� ตน้ ประมาณ 3 มม. ปลายมรี ยางคส์ นั้ ๆ ก้านเกสรเพศเมยี รูปเสน้ ด้าย แยก 2 แฉก
ใชท้ �ำเชอื ก ใบและรากใช้ฆ่าพยาธิ มีฤทธเ์ิ ป็นยาสมาน แก้โรคทอ้ งร่วง ปลายแฉกสนั้ ๆ ผลแหง้ เมลด็ ลอ่ น เรยี ว ยาว 0.8-1.2 ซม. มขี นคลา้ ยไหมสนี ำ�้ ตาล
หนาแนน่ แพปพัสเป็นขนแข็ง ตดิ ทน ยาวประมาณ 1 ซม.
เอกสารอ้างองิ
Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Morinda). In Flora of China Vol. พบทพี่ มา่ จนี ตอนใต้ และเวยี ดนาม ในไทยพบทางภาคเหนอื ทเี่ ชยี งใหม่ ตาก
19: 220, 223, 229. และทางภาคตะวนั ตกเฉียงใต้ทีก่ าญจนบรุ ี ขน้ึ ตามสนั เขาในปา่ ดิบเขาและป่าสน
Das, S.C. and M.A. Rahman. (2011). Taxonomic revision of the genus Morinda ความสูง 600-1800 เมตร
L. (Rubiaceae) in Bangladesh. Bangladesh Jornal of Botany 40(2): 113-120.
Kesonbua, W. and P. Chantaranothai. (2013). The genus Morinda (Rubiaceae) สกุล Leucomeris D. Don อยูภ่ ายใตว้ งศ์ยอ่ ย Gochnatioideae มีเพยี ง 2 ชนดิ
in Thailand. ScienceAsia 39: 331-339. พบทีอ่ นิ เดยี ปากีสถาน เนปาล พม่า จีนตอนใต้ และเวียดนาม ในไทยมีชนิดเดยี ว
ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก “leukos” สขี าว ตามสขี องดอก
ยอ: ดอกไรก้ ้าน รงั ไขเ่ ชอื่ิ มติดกัน เกสรเพศเมียแบบยาว ยอดเกสรมี 2 อนั รปู แถบ ผลรวมเชื่อมติดกนั
(ภาพ: cultivated - RP) เอกสารอา้ งองิ
Gao, T. and D.J. Nicholas Hind. (2011). Asteraceae (Leucomeris). In Flora of
China Vol. 20-21: 10.

ยอนำ้� : มกั มสี นี ้�ำตาลแดงตามกิ่ง กา้ นชอ่ ดอกสัน้ ดอกรปู ดอกเขม็ (ภาพ: เสนา พระนครศรีอยุธยา - RP)

ยอป่า: แผน่ ใบมีขนสั้นน่มุ หรอื เกลีย้ ง กา้ นชอ่ ดอกยาว ดอกรปู ดอกเข็ม (ภาพดอก: ตาก, ภาพผล: อุบลราชธานี; - RP) ยาแก:้ โคนใบเบ้ยี ว ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แนน่ ออกเป็นกระจุกตามปลายกง่ิ ไร้ก้าน วงใบประดับเรยี งหลายวง
ยอพญาไม:้ ไม้พุ่มหรอื รอเลือ้ ย ใบขนาดเล็ก ก้านใบสนั้ (ภาพ: แม่นำ�้ สงคราม นครพนม - PK) มีขนคลา้ ยขนแกะ กลบี ดอกรปู แถบ มว้ นงอกลบั (ภาพ: ดอยเชยี งดาว เชียงใหม่ - MT)

ยาง, สกลุ

Dipterocarpus C. F. Gaertn.
วงศ์ Dipterocarpaceae

ไม้ต้น ส่วนมากสูง 30-40 ม. โคนมีพูพอนในชนิดที่ไมผ่ ลัดใบ เปลอื กแตก
เปน็ สะเกด็ หรอื แตกเป็นร่องลกึ ในชนดิ ทผ่ี ลดั ใบ สว่ นมากมขี นรูปดาวสัน้ นมุ่
ตามกงิ่ หใู บ แผน่ ใบด้านล่าง ก้านใบ และชอ่ ดอก หูใบหมุ้ ตายอด รว่ งเรว็ ทงิ้ รอย
ชดั เจน ใบเรียงเวยี น พับจบี เส้นแขนงใบเรียงขนานกัน สว่ นมากตรงจรดขอบใบ
เสน้ ใบยอ่ ยแบบขนั้ บนั ได ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะออกตามกง่ิ หรอื ซอกใบ ดอกเรยี ง
สลบั ไปมา ใบประดบั ขนาดเลก็ กลบี เลยี้ งเชอ่ื มตดิ กนั เปน็ หลอด กลบี ยาว 2 กลบี
กลบี สนั้ 3 กลบี รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก เรยี งจรดกนั ดอกสขี าวมปี น้ื สชี มพู
มี 5 กลีบ รูปขอบขนานหรอื รปู ใบหอก บิดเวียน รว่ งตดิ กนั เกสรเพศผสู้ ว่ นมากมี
15-30 อนั ก้านชูอับเรณสู ัน้ แผ่กว้างช่วงโคน อับเรณูมี 4 ช่อง รปู แถบ แกนอบั เรณู
ยนื่ เลยอบั เรณเู ลก็ นอ้ ยหรอื ยาวเทา่ ๆ อบั เรณู รงั ไขส่ ว่ นมากมขี นสน้ั นมุ่ จรดโคน
กา้ นเกสรเพศเมยี ยอดเกสรเพศเมยี จกั เปน็ พไู มช่ ดั เจน ผลเปลอื กแขง็ เมลด็ เดยี ว กลม

360

สารานุกรมพืชในประเทศไทย ยางเสยี น

มกั มขี นสนั้ นมุ่ ปลายมตี งิ่ แหลม หลอดกลบี เลยี้ งทห่ี มุ้ เรยี บ เปน็ สนั หรอื ปกี โคนคอด ช่อแยกแขนงยาว 3-7 ซม. มี 3-5 ดอก กา้ นดอกยาวประมาณ 1 มม. หลอดกลบี เล้ียง
กลีบเล้ยี ง 2 อันขยายเปน็ ปกี ยาว มีเสน้ ปกี 3 เสน้ ปกี สั้น 3 อัน รปู รกี ว้างหรือกลม ยาวประมาณ 1 ซม. กลบี ยาวยาว 1-1.5 ซม. กลีบสน้ั ยาวประมาณ 5 มม. กลบี ดอก
ยาวประมาณ 3 ซม. ดา้ นนอกมขี นสน้ั นมุ่ เกสรเพศผู้ 30 อนั อบั เรณยู าวประมาณ
สกลุ Dipterocarpus อยภู่ ายใตเ้ ผา่ Dipterocarpeae โคนกลีบเล้ียงในผลเรียงจรดกัน 8 มม. หลอดกลบี เลย้ี งหมุ้ ผลยาว 3-4 ซม. มี 5 สัน เป็นปีกกวา้ ง 0.5-1 ซม.
ร่วมกับสกลุ Anisoptera, Cotylelobium และ Vatica มีประมาณ 70 ชนิด พบท่ี ปกี ยาวยาว 8-13 ซม. ปีกส้นั ยาวประมาณ 1 ซม. ขอบพับกลับ
ศรีลังกา อินเดยี บังกลาเทศ พมา่ จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจนี และมาเลเซีย
ในไทยมี 17 ชนิด ช่อื สกุลมาจากภาษากรกี “dipteros” 2 ปีก และ “karpos” พบทอี่ นิ เดยี รวมหมเู่ กาะอนั ดามนั ศรลี งั กา บงั กลาเทศ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี
ผล หมายถงึ ผลมี 2 ปกี สว่ นมากเป็นไม้ขนาดใหญ่ เนือ้ ไม้ใชก้ ่อสรา้ ง น้�ำ มันยาง ยกเว้นเวียดนามตอนบน ในไทยพบทุกภาค ขึ้นตามที่ราบลุ่มริมล�ำธารหรือแม่น้�ำ
ใชใ้ นอุตสาหกรรมหลายประเภท ในป่าดบิ แลง้ ความสงู ถึงประมาณ 500 เมตร

ยางกราด ยางบเู ก๊ะ

Dipterocarpus intricatus Dyer Dipterocarpus acutangulus Vesque
ไมต้ น้ ผลดั ใบ หใู บรปู รี ยาวประมาณ 1.5 ซม. ใบรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว ไม้ต้น ก่งิ และใบแกเ่ กอื บเกลยี้ ง หูใบยาวไดถ้ ึง 1.3 ซม. ดา้ นนอกมขี น ใบรูปรี

10-25 ซม. ปลายมนกลม โคนเวา้ ตืน้ เสน้ แขนงใบข้างละ 10-15 เส้น เรยี งจรดกัน หรอื รูปไข่ ยาว 7-14 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนรูปลิม่ หรือมน เส้นแขนงใบ
ใกล้ขอบใบ กา้ นใบยาว 2-5 ซม. ชอ่ ดอกออกหนาแน่นชว่ งปลายกงิ่ ยาวไดถ้ ึง 10 ซม. ขา้ งละ 10-13 เส้น กา้ นใบยาว 1.5-3 ซม. ช่อดอกยาว 3.5-6 ซม. กา้ นดอกยาว
ช่อแยกสองงา่ ม ยาว 7-10 ซม. มี 5-8 ดอก กา้ นดอกยาว 1-2 มม. หลอดกลบี เลี้ยง 3-5 มม. หลอดกลบี เล้ียงยาว 7-8 มม. ด้านในมีขนสัน้ นุ่ม กลีบยาวยาว 1-1.5 ซม.
มีครีบเปน็ สัน 5 แนว พับไปมา กลบี ยาวยาว 1.5-2 ซม. กลีบสน้ั ยาวประมาณ กลีบสัน้ ยาว 3-4 มม. กลีบดอกยาวประมาณ 3.5 ซม. เกสรเพศผู้ 15 อนั กา้ นชอู ับเรณู
3 มม. พับงอกลบั กลีบดอกยาว 3.5-4 ซม. ด้านนอกมขี นละเอียด เกสรเพศผู้ 30 อัน ยาวเท่า ๆ อบั เรณู ยาวประมาณ 5 มม. หลอดกลบี เล้ยี งหมุ้ ผลมสี นั ตน้ื ๆ 5 สนั
อับเรณยู าวประมาณ 4 มม. หลอดกลีบเล้ียงหุ้มผลมีครีบเป็นปกี กว้าง 3-4 มม. ยาว 2.5-3 ซม. ปกี ยาวยาว 10-14 ซม. ปีกส้นั ยาวประมาณ 5 มม. ขอบพบั งอกลบั
พบั ไปมา หลอดกลบี ยาวประมาณ 2 ซม. ปกี ยาวยาว 6-7 ซม. ปกี สน้ั ยาวประมาณ
1 ซม. ขอบงอกลับ พบที่คาบสมทุ รมลายู บอร์เนยี ว และภาคใต้ตอนลา่ งของไทยพบที่ยะลา ขน้ึ
ตามสนั เขาในป่าดบิ ช้ืน ความสงู 600-1000 เมตร
พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาคตะวนั ออก
ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ข้ึนหนาแน่นตามป่าเต็งรังและ ยางยูง
ทร่ี าบทเ่ี ปน็ หินทราย ความสงู ถงึ ประมาณ 800 เมตร
Dipterocarpus grandiflorus (Blanco) Blanco
ยางขน
ชอ่ื พอ้ ง Mocanera grandiflora Blanco
Dipterocarpus baudii Korth.
ไมต้ ้น สว่ นต่าง ๆ มีขนกระจกุ ยาวสนี �ำ้ ตาลแดงหนาแน่น ขนยาว 3-4 มม. ไมต้ น้ ก่ิงเกลี้ยง มีไข ตายอดมีขนกระจกุ สัน้ นุ่มหนาแนน่ หใู บรปู ขอบขนาน
ยาว 2-9 ซม. ใบรูปรหี รือรปู ไข่ ยาว 10-25 ซม. ปลายแหลมสั้น โคนมนหรอื เว้าตื้น
หใู บรปู แถบ ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ใบรปู รกี วา้ ง ยาว 15-35 ซม. ปลายแหลมยาว โคนแหลม แผน่ ใบเกล้ียง เส้นแขนงใบขา้ งละ 10-18 เส้น กา้ นใบยาว 4-8 ซม. ชอ่ ดอกยาว
กลม หรอื เวา้ ตน้ื เสน้ แขนงใบขา้ งละ 12-18 เส้น ก้านใบยาว 3-6 ซม. ชอ่ ดอกยาว ไดถ้ ึง 18 ซม. มี 2-5 ดอก เรยี งห่าง ๆ กา้ นดอกยาว 2-4 มม. หลอดกลีบเลีย้ งยาว
3-5 ซม. มี 3-6 ดอก ก้านดอกสั้นมาก หลอดกลบี เล้ยี งยาวประมาณ 1 ซม. กลีบยาว 1.2-1.5 ซม. กลีบยาวยาว 2.5-3.5 ซม. กลบี สนั้ ยาวประมาณ 5 มม. กลีบดอก
ยาวประมาณ 1.5 ซม. กลบี สนั้ ยาว 3-5 มม. กลบี ดอกยาว 4-6 ซม. ดา้ นนอกมีขน รปู ใบหอก ยาว 3-5 ซม. ด้านนอกมขี นละเอียด เกสรเพศผู้ 30 อนั อับเรณยู าว
รปู ดาวสัน้ ประปราย เกสรเพศผู้ 30 อัน อบั เรณูยาว 7-9 มม. หลอดกลีบเลีย้ ง 0.8-1 ซม. หลอดกลีบเลยี้ งหมุ้ ผลยาว 4-7 ซม. มีสันครีบ 5 สนั เป็นปกี กวา้ ง
หมุ้ ผลเรยี บ ยาว 2-2.5 ซม. ปีกยาวยาว 10-20 ซม. ปกี สั้นยาว 1.5-3 ซม. ปีกสนั้ 1-1.5 ซม. ปีกยาวยาว 14-20 ซม. ปกี สนั้ ยาวประมาณ 2 ซม. พบั งอกลับเลก็ นอ้ ย
ขอบพับกลบั เลก็ นอ้ ย
พบทอี่ นิ เดยี รวมหมเู่ กาะอนั ดามนั พมา่ เวยี ดนามตอนใต้ คาบสมทุ รมลายู สมุ าตรา
พบทพ่ี มา่ กัมพูชา เวียดนามตอนใต้ คาบสมทุ รมลายู และสุมาตรา ในไทยพบทาง และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบนทบี่ งึ กาฬ นครพนม
ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามป่าดิบแล้งที่ และภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ ดิบแล้ง และปา่ ดิบช้นื ความสูงถึงประมาณ 600 เมตร
คอ่ นขา้ งชนื้ และป่าดิบชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 550 เมตร
ยางวาด
ยางแข็ง
Dipterocarpus chartaceus Symington
Dipterocarpus retusus Blume ไม้ต้น ตายอดมีขนสนี �้ำตาลหนาแนน่ หใู บรปู ใบหอก ยาวได้ถึง 8 ซม. ใบรูปรี
ไมต้ น้ กงิ่ มขี นสน้ั นมุ่ หรอื เกลยี้ ง มไี ข หใู บรปู ใบหอกหรอื รปู แถบ ยาว 9-13 ซม.
หรอื รปู ไข่ ยาว 8-13 ซม. ปลายแหลม โคนรปู ลม่ิ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 10-15 เสน้
ใบรปู รี ยาว 11-28 ซม. ปลายแหลมสัน้ ๆ โคนรูปลมิ่ เสน้ แขนงใบข้างละ 16-21 เส้น กา้ นใบยาว 2-3 ซม. ใบแหง้ สีนำ�้ ตาลแดง ช่อดอกยาว 2-6 ซม. มี 3-6 ดอก ก้านดอก
เรยี งจรดกันใกล้ขอบใบ แผ่นใบเกลีย้ ง กา้ นใบยาว 3-7 ซม. ชอ่ ดอกยาวได้ถึง 10 ซม. สน้ั หลอดกลบี เลย้ี งยาว 1.5-2 ซม. กลบี ยาวยาว 1-1.5 ซม. กลบี สนั้ ยาวประมาณ
มี 3-7 ดอก กา้ นดอกยาว 2-4 มม. หลอดกลบี เลี้ยงรปู ถว้ ย ยาว 1.3-1.5 ซม. กลีบยาว 2 มม. กลีบดอกรปู ใบหอก ยาวประมาณ 2.5 ซม. ด้านนอกมขี นกระจุกละเอียด
ยาว 1-2.5 ซม. กลบี ส้นั ยาว 2-5 มม. กลีบดอกยาว 4-6.5 ซม. เกสรเพศผู้ 30 อัน เกสรเพศผู้ 30 อัน อบั เรณยู าวประมาณ 5 มม. หลอดกลบี เลย้ี งหุ้มผลเรียบ ยาว
อบั เรณูยาว 7-8 มม. หลอดกลบี เลย้ี งห้มุ ผลเรียบ ยาว 2.5-3 ซม. ปกี ยาวยาว 2-2.5 ซม. ปีกยาวยาว 8-13 ซม. ปีกสน้ั ยาว 4-5 มม. ขอบพับกลับ
12-25 ซม. ปีกสนั้ ยาว 1.5-2 ซม. ขอบพับกลับเลก็ น้อย
พบที่คาบสมุทรมลายูและภาคใต้ของไทย ข้ึนตามป่าดิบชื้นโดยเฉพาะใกล้
พบทอ่ี นิ เดยี พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี คาบสมทุ รมลายู ชวา และหมเู่ กาะซนุ ดานอ้ ย ชายฝั่งทะเล และปา่ ชายหาด ความสงู ไมเ่ กิน 100 เมตร
ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ แทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขน้ึ ตามสนั เขา
ในปา่ ดิบแล้งท่ีค่อนขา้ งชุม่ ชื้น และปา่ ดบิ ช้ืน ความสูง 700-1100 เมตร ยางเสยี น

ยางนา Dipterocarpus gracilis Blume
ไมต้ น้ ตาดอกมขี นสนี �้ำตาลอ่อนหนาแนน่ หูใบรูปแถบ ยาว 5-8 ซม. ใบรปู รี
Dipterocarpus alatus Roxb. ex G. Don
หรอื รูปไข่กลบั ยาว 8-22 ซม. ปลายแหลมส้ันหรอื แหลมยาว โคนรปู ล่มิ เส้นแขนงใบ
ชือ่ พอ้ ง Dipterocarpus philippinensis Foxw. ขา้ งละ 12-18 เส้น ก้านใบยาว 2-4 ซม. ชอ่ ดอกยาว 3-9 ซม. มี 2-6 ดอก ก้านดอก
ยาว 1-4 มม. หลอดกลบี เลย้ี งยาวประมาณ 1 ซม. กลีบยาวยาว 1-1.5 ซม. กลบี สนั้ ยาว
ไมต้ น้ ตายอดมขี นยาวหนาแนน่ หใู บรปู ใบหอก ยาวไดถ้ งึ 10 ซม. ใบรปู รหี รอื 2-3 มม. กลีบดอกยาว 4-5 ซม. ดา้ นนอกมีขนสัน้ นุ่ม เกสรเพศผู้ 30 อนั อบั เรณู
รูปไข่ ยาว 9-24 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนรปู ลิ่มกวา้ ง กลม หรือเว้าต้ืน ยาว 4-6 มม. หลอดกลบี เลี้ยงหุ้มผลเรียบ ยาว 1.5-1.8 ซม. ปกี ยาวยาว 10-17 ซม.
เส้นแขนงใบขา้ งละ 12-20 เสน้ กา้ นใบยาว 2-6 ซม. ช่อดอกยาวไดถ้ งึ 10 ซม. ปกี สน้ั ยาว 1.5-2 ซม. ขอบพบั กลับเกอื บจรดกนั

361

ยา่ นขน สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

พบทอ่ี นิ เดยี รวมหมเู่ กาะอนั ดามนั บงั กลาเทศ พมา่ กมั พชู า คาบสมทุ รมลายู ชวา
บอรเ์ นยี ว และฟิลปิ ปินส์ ในไทยพบทางภาคกลางและภาคตะวนั ออกท่ีเขาใหญ่
จงั หวดั นครนายกและปราจนี บรุ ี ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขนึ้ ตามปา่ ดบิ แลง้
ที่ค่อนข้างช้นื และป่าดิบชน้ื ความสงู ถึงประมาณ 900 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Ashton, P. (1982). Dipterocarpaceae. In Flora Malesiana Vol. 9: 291-326.
Li, X.W., J. Li and P.S. Ashton. (2007). Dipterocarpaceae in Flora of China Vol.
13: 48-49.
Pooma, R. and M. Newman. (2001). Checklist of Dipterocarpaceae in Thailand.
Thai Forest Bulletin (Botany) 29: 119-140.
Smitinand, T., J.E. Vidal and P.H. Hô. (1990). Dipterocarpaceae. Flore du
Cambodge, du Laos et du Vietnam 25: 16-45.

ยางบเู ก๊ะ: ก่ิงและใบแก่เกอื บเกลย้ี ง หลอดกลบี เลีย้ งหุ้มผลมสี ันต้ืน ๆ 5 สัน (ภาพ: บันนงั สตา ยะลา - MP)

ยางกราด: โคนใบเว้าตน้ื ชอ่ ดอกแยกสองง่าม หลอดกลีบเลยี้ งมคี รีบเปน็ ปกี พบั ไปมา (ภาพดอก: ศรีสะเกษ - PK;
ภาพผล: ภูววั บึงกาฬ - RP)

ยางยงู : ก่ิงเกลีย้ ง มไี ข แผน่ ใบเกลย้ี ง ช่อดอกยาว ดอกเรยี งห่าง ๆ หลอดกลบี เลย้ี งหุ้มผลมสี นั ครบี 5 สัน เป็นปกี กว้าง
(ภาพ: ยะลา - MP)

ยางขน: สว่ นต่าง ๆ มีขนกระจกุ ยาวสนี ้�ำตาลแดงหนาแนน่ หลอดกลีบเลี้ยงหุม้ ผลเรียบ (ภาพซา้ ย: กาญจนบรุ ี - MP;
ภาพขวา: ชุมพร - RP)

ยางแขง็ : กง่ิ และแผ่นใบเกลีย้ ง เส้นแขนงใบเรียงจรดกันใกลข้ อบใบ กลีบดอกบดิ เวียน หลอดกลีบเล้ียงห้มุ ผลเรียบ ยางวาด: หลอดกลีบเลี้ยงห้มุ ผลเรียบ (ภาพซา้ ย: เทพา สงขลา - MP); ยางเสยี น: หลอดกลบี เลย้ี งหมุ้ ผลเรียบ
(ภาพ: ยะลา - MP) ปกี สั้นขอบพับกลบั (ภาพขวา: นราธวิ าส - MP)

ยางนา: ตายอดมีขนหนาแน่น โคนใบเว้าตื้น หลอดกลบี เล้ียงหุม้ ผลมีสนั ครบี คล้ายปกี 5 สัน (ภาพดอก: ปราจนี บรุ ี - PT; ย่านขน
ภาพผล: อบุ ลราชธานี - PK)
Lepistemon binectariferum (Wall.) Kuntze
วงศ์ Convolvulaceae

ชอื่ พอ้ ง Convolvulus binectariferus Wall.

ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ยาว 1-3 ม. น้ำ� ยางสขี าว มขี นยาวสนี ้�ำตาลตามลำ� ตน้ แผ่นใบ
กา้ นใบ ชอ่ ดอก และกลบี เลย้ี ง ใบเรยี งเวยี น รปู หวั ใจกวา้ ง ยาว 5-18 ซม. ขอบเรยี บ
หรอื จกั เป็นพตู ื้น ๆ ปลายแหลมหรือแหลมยาว ก้านใบยาว 3-16 ซม. ช่อดอก
แบบช่อกระจุกคลา้ ยช่อซ่ีร่ม ก้านช่อส้ัน ใบประดับขนาดเลก็ ร่วงเร็ว ก้านดอก
ยาวได้ถึง 7 มม. กลีบเล้ยี ง 5 กลบี ยาว 5-7.5 มม. ปลายแหลมยาว ขยายเล็กน้อย
ในผล ดอกสีครมี รูปคนโทคอดเว้า ปลายบานออกเป็นแฉกต้ืน ๆ 5 แฉก ปลายกลีบ
ดา้ นนอกมขี นสนั้ นมุ่ มแี ถบขน เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ใกลโ้ คนหลอดกลบี กา้ นชอู บั เรณู
โคนแผ่กวา้ งคลา้ ยเกลด็ โค้งเหนอื รงั ไข่ มีปมุ่ กระจาย อบั เรณูมีหนามละเอียด
จานฐานดอกรปู ถ้วย จัก 5 พู รังไขม่ ี 2 ช่อง ออวลุ มี 4 เม็ด กา้ นเกสรเพศเมียสั้นมาก
ยอดเกสรจกั 2 พู ผลแห้งแตก รูปไข่ ยาว 6-8 มม. ปลายเป็นต่งิ แหลม เมลด็ สดี ำ�
มขี นละเอยี ด

พบทอี่ ินเดีย บงั กลาเทศ พม่า จนี ภูมภิ าคอนิ โดจีนและมาเลเซยี ฟิลิปปินส์
และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบมากทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ความสงู
ถงึ ประมาณ 900 เมตร

362

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย ย่านชงโค

สกุล Lepistemon Blume มี 6 ชนิด พบในแอฟรกิ า เอเชยี และออสเตรเลีย ใน ย่านจะงอย
ไทยมีชนดิ เดียว ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “lepis” เกลด็ และ “stemon” เกสรเพศผู้
ตามลกั ษณะโคนกา้ นชอู ับเรณูแผค่ ล้ายเกล็ด Chilocarpus rostratus Markgr.
เอกสารอ้างองิ วงศ์ Apocynaceae
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 429-431.
ไมเ้ ถา ยาวไดถ้ งึ 20 ม. นำ�้ ยางสขี าว ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู ไขก่ ลบั แกมรปู ขอบขนาน
ย่านขน: มขี นยาวสนี ำ�้ ตาลตามล�ำต้น แผน่ ใบ กา้ นใบ ชอ่ ดอก และกลบี เลี้ยง ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ คลา้ ยช่อซ่ีรม่ หรอื รปู ใบพาย ยาว 2-16.5 ซม. ปลายกลมหรอื แหลมส้ัน ๆ มตี ิ่งแหลม เสน้ แขนงใบ
ดอกรูปคนโท (ภาพ: กาญจนบรุ ี - SSi) จ�ำนวนมาก เรียงจรดกันเปน็ เส้นขอบใน ก้านใบยาว 0.5-2 ซม. ชอ่ ดอกออกสั้น ๆ
ตามซอกใบ ดอกไรก้ า้ นหรอื มกี า้ นสน้ั มาก กลบี เลย้ี ง 5 กลบี รปู ไขข่ นาดเลก็ ปลายกลม
ยา่ นขลง ดอกสีเหลอื ง กลีบเรยี งซอ้ นทับด้านซา้ ยในตาดอก หลอดกลีบดอกยาว 4-7 มม.
ดา้ นในมีขนส้นั นุ่มใต้เกสรเพศผู้ มี 5 กลบี รูปเคยี ว ยาว 3-6 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั
Coptosapelta flavescens Korth. ตดิ ใกลโ้ คนหลอดกลบี ไมแ่ นบตดิ เกสรเพศเมยี กา้ นชอู บั เรณสู น้ั อบั เรณยู าวประมาณ
วงศ์ Rubiaceae 1 มม. คาร์เพลเชือ่ มกัน ออวลุ จำ� นวนมาก ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 1.5-2.5 มม.
รวมยอด ผลสด แห้งแตกเปน็ 2 สว่ น รูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว 4-9 ซม. เรยี บหรือ
ไม้เถาเนื้อแขง็ ยาวได้กวา่ 20 ม. มีขนสัน้ น่มุ ตามกงิ่ อ่อน กา้ นใบ ช่อดอก กา้ นดอก มีตุ่มหนาแนน่ เมล็ดมีเยอ่ื หุ้มคลา้ ยคอร์ก
และกลีบเล้ียง หรอื เกลย้ี ง หูใบรูปสามเหล่ยี มแคบ ยาว 3-6 มม. ใบเรียงตรงขา้ ม
รปู รี ยาว 7.5-12.5 ซม. เส้นแขนงใบขา้ งละ 3-4 เสน้ โคง้ จรดขอบใบ ก้านใบยาว พบท่ีคาบสมุทรมลายู สุมาตรา บอร์เนียว และภาคใต้ตอนล่างของไทยที่
0.5-2 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง กลีบเล้ยี ง 5 กลีบ รูปสามเหลีย่ มมน นราธวิ าส ข้ึนตามปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ระดบั ตำ�่ ๆ ยางขาวแกพ้ ษิ งแู ละแผลทีถ่ กู กดั
ขนาดเล็ก ติดทน ดอกรปู แตรสีขาว มีกลน่ิ หอม เปลย่ี นเปน็ สเี หลอื งออ่ นอมส้ม
หลอดกลีบดอกส้นั กลบี ดอก 5 กลบี รูปใบหอกหรือรปู แถบ บานออก ยาว 0.7-1 ซม. สกลุ Chilocarpus Blume มีประมาณ 15 ชนิด พบในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้
เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ บนปากหลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู นั้ อบั เรณรู ปู เสน้ ดา้ ย โดยเฉพาะในสมุ าตราและบอร์เนียว ในไทยมี 3 ชนิด ชื่อสกลุ มาจากภาษากรกี
ยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก มีขนยาวคลา้ ยไหม โคนแยกเปน็ 2 แฉก รงั ไขม่ ี 2 ชอ่ ง “cheilos” ปาก และ “karpos” ผล ตามลักษณะผลท่แี ตกออกเปน็ 2 สว่ น หรอื
ออวลุ จำ� นวนมากตดิ บนพลาเซนตารปู โล่ กา้ นเกสรเพศเมยี สนั้ ยอดเกสรรปู กระบอง มาจากคำ�ว่า “chylos” น�ำ้ คั้นจากผล คือมีน�ำ้ ยางขาว
ยน่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอก ยาว 7-9 มม. ผลแหง้ แตก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 6-8 มม. เอกสารอ้างอิง
แยกเป็น 2 พู เมล็ดแบน มปี ีกรอบจกั เปน็ พู่ Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 26-27.
________. (2007). Chilocarpus rostratus (Apocynaceae), a new record for
พบที่พมา่ ตอนลา่ ง ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟลิ ิปปินส์ ในไทยพบแทบ
ทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคเหนือ ขึ้นตามชายป่าดิบแล้งและป่าดบิ ช้นื หรอื ปา่ พรุ ความสงู Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 35: 85-88.
ถงึ ประมาณ 900 เมตร น้�ำสกัดจากรากเป็นยาถ่ายพยาธใิ นเด็ก แกต้ บั อักเสบ แก้ไข้
และใช้ทากนั แมลง ยา่ นจะงอย: สว่ นต่าง ๆ มนี ้�ำยางขาว ใบเรยี งตรงขา้ ม ปลายกลม เส้นแขนงใบจำ� นวนมาก เรยี งจรดกันเปน็ เสน้ ขอบใน
ผลสดมตี ุม่ หนาแน่น (ภาพ: แวง้ นราธวิ าส - MP)
สกุล Coptosapelta Korth. มีประมาณ 16 ชนิด พบในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
จนี ตอนใต้ ไต้หวัน และญี่ปนุ่ ในไทยมชี นดิ เดียว ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรกี ยา่ นชงโค
“kopto” ตัดเป็นชนิ้ และ “pelte” โลห่ รือฝาครอบ ตามลักษณะของเมลด็ ท่ีมีปีก
รอบจักเปน็ พู่ Lasiobema concreta (Craib) A. Schmitz
เอกสารอ้างอิง วงศ์ Fabaceae
Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Coptosapelta). In Flora of China
ช่ือพ้อง Bauhinia concreta Craib
Vol. 19: 92.
Puff, C., K. Chayamarit and V. Chamchumroon. (2005). Rubiaceae of Thailand. ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ มขี นสเี ทาหนาแนน่ ตามกงิ่ ออ่ น แผน่ ใบดา้ นลา่ ง และชอ่ ดอก
ใบรูปไข่ ยาว 5-7 ซม. ปลายแหลม โคนเว้าลึก ใบทโ่ี คนปลายแยกเปน็ แฉกตนื้ ๆ
Forest Herbarium, Bangkok. ปลายแหลม เส้นโคนใบขา้ งละ 1-3 เสน้ ก้านใบยาว 1-3 ซม. ช่อดอกยาวไดถ้ งึ
20 ซม. ใบประดบั ยาวประมาณ 2 มม. กา้ นดอกยาว 1-1.5 ซม. ใบประดบั ยอ่ ย
ย่านขลง: ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง เสน้ แขนงใบข้างละ 3-4 เส้น กลีบดอกยาวกวา่ หลอดกลบี ดอก อับเรณู ติดใกลโ้ คนก้านดอก ตาดอกเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 2-3 มม. ฐานดอกส้นั กลบี เล้ียง
รปู เส้นด้าย มีขนยาวคล้ายไหม โคนแยกเปน็ 2 แฉก (ภาพ: บึงโขงหลง บงึ กาฬ - PK) แฉกลกึ ถงึ โคน ยาวประมาณ 3 มม. ปลายมน ดอกสขี าวหรอื อมเขยี ว กลบี รปู ไขก่ ลบั
ยาวประมาณ 5 มม. รวมก้าน เกสรเพศผู้ 3 อัน กา้ นชอู ับเรณูยาว 4-5 มม.
เกสรเพศผู้ทเี่ ปน็ หมัน 2 อัน จานฐานดอกรูปเบาะ สขี าวใส รังไข่เกล้ยี ง ฝกั ยาว
4-5 ซม. (ดูข้อมลู เพิม่ เตมิ ท่ื เครอื เขาแกบ, สกุล)

พชื ถิ่นเดยี วของไทย พบทางภาคใตท้ ี่สรุ าษฎรธ์ านี กระบ่ี ขึ้นตามเขาหินปูนเต้ีย ๆ
ความสงู 50-250 เมตร

เอกสารอ้างอิง
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 27-29.

363

ย่านดาโอะ๊ สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

ยา่ นชงโค: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ แยกแขนง ใบท่ีโคนปลายแฉกประมาณหนงึ่ หรือสองในห้าสว่ น ปลายแหลม เส้นโคนใบขา้ งละ 4-5 เสน้ กา้ นใบยาว 2-4 ซม. ช่อดอกแบบช่อเชิงหล่นั หรือ
ฝกั แบน เกลยี้ ง (ภาพ: กระบ่ี - RP) คลา้ ยชอ่ กระจะ รปู พรี ะมดิ ตาดอกรปู รคี ลา้ ยเคยี ว ยาวประมาณ 1.5 ซม. กา้ นดอก
ยาว 1-2 ซม. ใบประดบั รูปใบหอก ยาว 0.5-1 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยติดประมาณ
ยา่ นดาโอะ๊ กงึ่ กลางกา้ นดอก กลบี เลย้ี งพบั งอกลบั ดอกสคี รมี เปลย่ี นเปน็ สเี หลอื งหรอื ชมพู
กลีบรูปใบหอก โค้งงอ ยาว 3-4.5 ซม. ดา้ นนอกมีขนปยุ สั้นนุ่ม เกสรเพศผู้ 3 อัน
Phanera aureifolia (K. Larsen & S. S. Larsen) Bandyop., Ghoshal & กา้ นชอู ับเรณยู าว 5-6 ซม. อบั เรณูสีแดง เกสรเพศผู้เปน็ หมนั 2-3 อัน ยาว 1-2 ซม.
M. K. Pathak รังไขม่ ขี น ก้านเกสรเพศเมียยาว 1-2.5 ซม. ฝักรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 15 ซม.
(ดูข้อมูลเพมิ่ เติมท่ี แสลงพัน, สกลุ )
วงศ์ Fabaceae
พบทคี่ าบสมทุ รมลายู และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทน่ี ราธวิ าส ขนึ้ ตามปา่ ดบิ ชนื้
ชอ่ื พ้อง Bauhinia aureifolia K. Larsen & S. S. Larsen ความสงู ถึงประมาณ 800 เมตร

ไม้เถาเนือ้ แข็ง มีขนกำ� มะหย่ีสนี ้�ำตาลหนาแน่นตามหใู บ แผน่ ใบ ช่อดอก และฝกั เอกสารอ้างองิ
หใู บรูปเคียว ยาว 1-1.5 ซม. ใบรปู ไข่กวา้ งเกือบกลม ยาวได้ถึง 20 ซม. แฉกลกึ Larsen, K. and S.S. Larsen. (1995). Additions to the Leguminosae of Thailand.
ไมเ่ กนิ กงึ่ หนงึ่ ปลายแฉกรปู สามเหลยี่ มกลม โคนรปู หวั ใจ เสน้ โคนใบขา้ งละ 5-6 เสน้ Thai Forest Bulletin (Botany) 23: 445-446.
ก้านใบยาวไดถ้ ึง 5 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะแยกแขนงสนั้ ๆ ตาดอกรูปรยี าว
ประมาณ 1 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 1 ซม. ใบประดับรปู ใบหอก ยาว 6-8 มม. ยา่ นตีนควาย: ช่อดอกแบบช่อเชงิ หลน่ั หรอื คลา้ ยช่อกระจะ รปู พรี ะมิด ดอกหนาแนน่ ดอกสคี รมี เปลยี่ นเป็นสีเหลือง
ใบประดบั ยอ่ ยตดิ ใกลใ้ ตฐ้ านดอก กลบี เลยี้ ง 3-5 กลบี ดอกสขี าวเปลย่ี นเปน็ สคี รมี กลบี บานโค้งงอ เกสรเพศผู้ 3 อนั (ภาพ: แวง้ นราธวิ าส - MP)
กลบี รปู ใบพาย ยาว 1.5-1.8 ซม. ขอบจักมน เกสรเพศผู้ 3 อัน ยาวกวา่ กลบี ดอก
เลก็ นอ้ ย อบั เรณสู ชี มพู เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั 1-2 อนั รงั ไขม่ ขี นยาวสนี ำ�้ ตาลหนาแนน่ ย่านนมควาย
ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 ซม. ฝกั รปู ขอบขนาน ยาว 20-23 ซม. ก้านยาว
ประมาณ 1.5 ซม. มี 4-6 เมลด็ (ดูข้อมูลเพิม่ เตมิ ท่ี แสลงพนั , สกลุ ) Uvaria grandiflora Roxb. ex Hornem.
วงศ์ Annonaceae
พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคใต้ตอนล่างท่ีนราธิวาส ข้ึนตามป่าดิบชื้น
ความสงู ถึงประมาณ 300 เมตร เป็นไมป้ ระดับ ใบสที องใช้ประดับตกแต่ง ไม้เถาเนือ้ แข็ง มีช่องอากาศ มีขนรปู ดาวหรอื ขนส้นั นุม่ ตามกงิ่ ออ่ น แผ่นใบ
ดา้ นลา่ ง กา้ นใบ ฐานดอกนนู กลบี เลยี้ งดา้ นนอก และผล ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน
เอกสารอ้างอิง ยาว 11-23 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนกลมหรอื เวา้ ตื้น ๆ เส้นแขนงใบข้างละ
Larsen, K. and S.S. Larsen. (1995). Additions to the Leguminosae of Thailand. 14-17 เส้น กา้ นใบยาว 3-7 มม. ช่อดอกออกตรงขา้ มใบ ก้านช่อส้นั ใบประดับ
Thai Forest Bulletin (Botany) 23: 46-49. คลา้ ยใบตดิ ทโี่ คน 1 ใบ ติดกลางกา้ นช่อ 1 ใบ มีดอกเดียว กา้ นดอกยาว 2-3.8 ซม.
ฐานดอกนนู รปู ครงึ่ วงกลม กลบี เลยี้ งรปู สามเหลย่ี มกวา้ ง ยาว 2-2.5 ซม. ดอกสนี ำ้� ตาล
ย่านดาโอะ๊ : มขี นก�ำมะหยีส่ ีน้�ำตาลหนาแนน่ ตามหูใบ แผน่ ใบ ชอ่ ดอก และฝัก ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะแยกแขนงสนั้ ๆ แดง โคนมสี อี อ่ น กลบี รปู ขอบขนานหรอื แกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 3.5-4 ซม. เสน้ กลบี
ดอกสขี าวเปลีย่ นเปน็ สเี หลืองครีม ฝักแบน (ภาพใบและชอ่ ดอก: cultivated - RP; ภาพผล: แวง้ นราธิวาส - MP) จำ� นวนมาก ไมช่ ดั เจน เกสรเพศผสู้ เี หลอื งออ่ นเปลย่ี นเปน็ สเี ขม้ ยาวประมาณ 7 มม.
คารเ์ พลมขี นสนั้ ผลยอ่ ยมปี ระมาณ 15 ผล รปู ทรงกระบอก ผวิ ขรขุ ระเปน็ สนั ยาว
ยา่ นตนี ควาย คอดเลก็ น้อย กา้ นผลยาว 1-2.5 ซม. (ดขู อ้ มลู เพิ่มเติมที่ กลว้ ยอา้ ยพอน, สกุล)

Phanera ferruginea (Roxb.) Benth. พบท่ีพม่า ภูมิภาคอินโดจีนและภูมิภาคมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ในไทยพบทาง
วงศ์ Fabaceae ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ข้ึนตามปา่ ดบิ แล้ง และ
ปา่ ดบิ ช้ืน ความสงู ถึงประมาณ 700 เมตร สำ� หรับ var. flava (Teijsm. & Binn. ex
ชื่อพอ้ ง Bauhinia ferruginea Roxb. Miq.) Scheff. หรอื กลว้ ยหมสู งั สนี วล ดอกสขี าวนวล กลบี กวา้ งและสนั้ กวา่ อาจเปน็
เพยี ง forma
ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ มขี นสนี ำ้� ตาลแดงตามชอ่ ดอก และตาดอก หใู บรปู คลา้ ยไต ยาว
1-2.8 ซม. ใบรปู ไข่กวา้ ง ยาว 7-10 ซม. แฉกตน้ื ๆ ปลายแฉกมน โคนเวา้ ลกึ เอกสารอ้างองิ
Sinclair, J. (1953). Notes on Siamense Annonaceae. Gardens’ Bulletin Singapore
14(1): 44.
________. (1955). A revision of the Malayan Annonaceae. Gardens’ Bulletin.
Singapore 14(2): 202-203.

364

สารานุกรมพืชในประเทศไทย ยี่โถ

ย่านนมควาย: ดอกสีนำ�้ ตาลแดง โคนมีสีอ่อน ผลยอ่ ยรปู ทรงกระบอก ผวิ ขรุขระเปน็ สนั ยาว (ภาพดอกสีแดงและภาพผล: มถี น่ิ กำ� เนดิ ในจนี ไตห้ วนั เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไปในเขตรอ้ นและเขตอบอนุ่ มหี ลาก
ตะรเุ ตา สตลู - PK); กล้วยหมสู งั สนี วล: ดอกสขี าวนวล กลีบใหญแ่ ละสน้ั กวา่ (ภาพดอกสีขาวนวล: ฉะเชงิ เทรา - NK) สายพนั ธุท์ ่ีเกิดจากการผสมระหว่าง L. indica L. กบั L. speciosa (L.) Pers. หรอื
L. fauriei Koehne
ยายแพก
เอกสารอ้างอิง
Phymatosorus scolopendria (Burm. f.) Pic. Serm. de Wilde, W.J.J.O., B.E.E. Duyfjes and P. Phonsena. (2014). Lythraceae. In
วงศ์ Polypodiaceae Flora of Thailand Vol. 11(4): 565-566.
Qin, H., S.A. Graham and M.G. Gilbert. (2007). Lythraceae. In Flora of China
ช่อื พ้อง Polypodium scolopendria Burm. f., Microsorum scolopendria Vol. 13: 279.
(Burm. f.) Copel.
ยเี่ ขง่ : ชอ่ ดอกแบบแยกแขนงคล้ายพรี ะมิด ดอกหลายสี กลบี บางและจีบยน่ กา้ นกลบี รูปเส้นดา้ ย มหี ลากสายพันธ์ุ
เฟนิ องิ อาศยั เหงา้ ทอดเลอ้ื ย เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3-5 มม. บางครงั้ มนี วล มเี กลด็ (ภาพ: cultivated - RP)
หนาแนน่ สีน้ำ� ตาลดำ� รูปใบหอก ปลายเรียวแหลม ยาวไดถ้ ึง 3 มม. ขอบมขี น
ใบรปู ไข่หรอื คล้ายรูปสามเหลี่ยม ยาวไดถ้ ึง 40 ซม. กว้าง 35-40 ซม. โคนรปู ลมิ่ ย่ีโถ
ขอบเรียบหรอื จักเป็นพู 1-6 คู่ แฉกลกึ เกือบถงึ เสน้ กลางใบ รปู ขอบขนาน ยาว
ไดถ้ งึ 20 ซม. กว้าง 3-5 ซม. ปลายเรียวแหลม ขอบเรยี บ เส้นแขนงใบไม่ชัดเจน Nerium oleander L.
ก้านใบยาว 40-50 ซม. กลมุ่ อับสปอรก์ ลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 3 มม. วงศ์ Apocynaceae
เรียงสองแถวแตล่ ะข้างของเสน้ ใบ กลุม่ อับสปอร์ ดา้ นบนนนู
ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงไดถ้ งึ 6 ม. น�้ำยางสขี าว ใบส่วนใหญเ่ รยี งรอบขอ้
พบทแ่ี อฟริกา อนิ เดยี ศรลี ังกา จนี ตอนใต้ ไต้หวนั ญีป่ ุน่ กมั พชู า เวียดนาม 3 ใบ ซอกใบมีตอ่ ม ใบรูปขอบขนานถงึ รูปแถบ ยาว 5-20 ซม. ปลายแหลมหรอื
ภมู ภิ าคมาเลเซยี นวิ กนิ ี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยสว่ นมาก แหลมยาว เสน้ แขนงใบจำ� นวนมาก ไมช่ ดั เจน แผน่ ใบหนา เกลย้ี งหรอื มขี นละเอยี ด
พบทางภาคใต้ และภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ขน้ึ บนตน้ ไมห้ รอื โขดหนิ ในปา่ ดบิ ชนื้ และ ก้านใบส้ัน ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสั้น ๆ กลีบเล้ยี ง 5 กลบี รปู ไขแ่ กม
ป่าพรุ ความสงู ระดับตำ่� ๆ ใบมีสารคมู ารนิ (cumarin) มกี ล่ินหอมออ่ น ๆ รปู สามเหลยี่ ม ยาวไดถ้ งึ 1 ซม. กลบี ดอกเรยี งซอ้ นทบั ดา้ นขวาในตาดอก ดอกบาน
รปู แตร สขี าว สชี มพู หรอื สีเหลือง หลอดกลีบดอกยาว 1-2 ซม. มี 5 กลีบ รปู รี ยาว
สกลุ Phymatosorus Pic. Serm. มีประมาณ 13 ชนดิ ในไทยมี 4 ชนดิ ชื่อสกลุ 1.3-3 ซม. กะบังแฉกลึกไม่เปน็ ระเบียบ เกสรเพศผู้ 5 อนั ติดภายในหลอดกลีบดอก
มาจากภาษากรีก “phyma” ตุม่ และ “soros” เยือ่ หุ้มสปอร์ ตามลักษณะของ ชว่ งปอ่ ง กา้ นชอู บั เรณสู นั้ อบั เรณรู ปู สามเหลย่ี มแคบ ยาว 4-6 มม. มรี ยางคบ์ ดิ เวยี น
กลมุ่ อับสปอร์ทนี่ นู ดา้ นบน เป็นขน ยาว 7-9 มม. มี 2 คารเ์ พลเช่ือมตดิ กนั ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 0.7-1.3 ซม.
เอกสารอ้างอิง รวมยอดเกสรเพศเมีย ผลแตกแนวเดียว ยาว 7.5-17.5 ซม. เมล็ดจ�ำนวนมาก
Lindsay, S. and D.J. Middleton. (2012 onwards). Ferns of Thailand, Laos and เรียวแคบ ยาว 4-7 มม. ปลายมกี ระจกุ ขนยาว 0.9-1.2 ซม.

Cambodia. http://rbg-web2.rbge.org.uk/thaiferns/ มถี น่ิ กำ� เนดิ ทางยโุ รปตอนใตแ้ ถบประเทศโปรตเุ กส ถงึ โมรอ็ กโก แอฟรกิ าตอนบน
Lu, S. and H.P. Nooteboom. (2013). Polypodiaceae (Phymatosorus). In Flora และจีน เป็นไมป้ ระดับทัว่ ไปในเขตรอ้ น มมี ากกว่า 400 สายพันธุ์

of China Vol. 2-3: 827-828. สกลุ Nerium L. มีเพยี งชนิดเดียว ชื่อสกลุ เป็นภาษากรีกโบราณ “Nerion” ทใ่ี ช้
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. (1989). Polypodiaceae (Microsorum scolopendria). เรยี กยี่โถ สว่ นต่าง ๆ มพี ิษ แม้แต่ควนั จากการเผา ใชภ้ ายนอกมีสรรพคุณรักษา
แผลสด
In Flora of Thailand 3(4): 533. เอกสารอ้างอิง
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 78-79.
ยายแพก: เฟนิ องิ อาศยั เหง้าทอดเล้อื ย บางคร้งั มีนวล ขอบใบจักเป็นพู แฉกลกึ กล่มุ อบั สปอรก์ ลม เรียงสองแถว Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
แตล่ ะข้างของเสน้ ใบ (ภาพ: พรุโต๊ะแดง นราธิวาส - PC)
Press, Honolulu, Hawai`i.
ยเี่ ข่ง
ยโ่ี ถ: ใบสว่ นใหญเ่ รียงรอบข้อ 3 ใบ รูปแถบ กะบังรอบปากหลอดกลีบดอกแฉกลกึ ไม่เป็นระเบยี บ ผลแตกแนวเดยี ว
Lagerstroemia indica L. (ภาพ: cultivated - RP)
วงศ์ Lythraceae

ไมพ้ ่มุ อาจสงู ไดถ้ ึง 7 ม. กิง่ มักเปน็ เหลยี่ ม มขี นประปรายตามก่ิง ช่อดอก
และเสน้ แขนงใบดา้ นล่าง ใบรปู รี รูปไขก่ วา้ ง หรอื รปู ขอบขนาน ยาว 2.5-7 ซม.
ปลายแหลมหรอื มน ปลายมตี ง่ิ แหลม โคนรปู ลมิ่ กวา้ งหรอื กลม เสน้ แขนงใบขา้ งละ
3-7 เสน้ ไรก้ า้ นหรือมกี ้านสัน้ ๆ ชอ่ ดอกแบบแยกแขนงคลา้ ยพรี ะมิด ยาวไดถ้ งึ
20 ซม. ฐานดอกยาวประมาณ 1 ซม. เรยี บหรอื มรี ว้ิ ไมม่ ีร้วิ ประดับ กลีบเลย้ี งยาว
4-5 มม. ดอกสีขาว สชี มพู หรืออมมว่ ง กลบี เกือบกลม ยาวประมาณ 1-1.5 ซม.
บางและจบี ยน่ ก้านกลีบรูปเส้นดา้ ย ยาว 6-9 มม. รังไข่เกล้ยี ง ผลรปู รี ยาว 1-1.2 ซม.
(ดูขอ้ มูลเพิม่ เติมที่ ตะแบก, สกุล)

365

ยห่ี ุบ สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

ยี่หบุ โยทะกา

Magnolia coco (Lour.) DC. Bauhinia monandra Kurz
วงศ์ Magnoliaceae วงศ์ Fabaceae

ชือ่ พอ้ ง Liriodendron coco Lour., Lirianthe coco (Lour.) N. H. Xia & C. Y. Wu ไม้พุ่มหรือไม้ต้น สูงได้ถงึ 15 ม. มีขนสนั้ น่มุ ตามก่งิ ออ่ น เสน้ แขนงใบดา้ นล่าง
ชอ่ ดอก และก้านดอก หูใบรปู สามเหลย่ี ม ยาว 3-6 มม. ใบรปู ไขห่ รือเกือบกลม
ไม้พุ่ม สูง 2-4 ม. ใบรูปรี รปู ขอบขนาน หรือแกมรปู ไข่กลับ ยาว 7-28 ซม. ปลายแฉกนอ้ ยกวา่ กง่ึ หนงึ่ ปลายแฉกมน โคนเวา้ รปู หวั ใจ เสน้ โคนใบขา้ งละ 5-6 เสน้
ปลายแหลมหรอื แหลมยาว เสน้ แขนงใบขา้ งละ 8-10 เสน้ กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม. ก้านใบยาว 3-6 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะสน้ั ๆ ออกตามปลายกิง่ หรือซอกใบ
ชอ่ ดอกออกตามปลายกง่ิ มดี อกเดยี ว ดอกบานเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3-4 ซม. ใบประดบั มี 3-7 ดอก ก้านดอกยาว 1-1.5 ซม. ใบประดับรปู ใบหอก ยาวประมาณ 1 ซม.
3-4 ใบ กลบี ดอกปกตมิ ี 9 กลีบ เรียง 3 วง รูปไข่กลบั โค้งเขา้ ขอบเวา้ วงนอก ใบประดับยอ่ ยยาว 3-6 มม. ติดที่โคนฐานดอก ตาดอกรูปกระสวย ปลายแยก
สเี ขยี วออ่ น ยาวประมาณ 2 ซม. วงในสีครีม ยาว 3-4 ซม. เกสรเพศผู้ยาว 4-6 มม. เป็น 5 แฉกเล็ก ๆ ฐานดอกยาว 2.5-3 ซม. กลีบเล้ยี งยาว 1.5-2 ซม. ดอกสชี มพู
อบั เรณยู าวประมาณ 3 มม. รยางคเ์ ปน็ ตงิ่ แหลม วงเกสรเพศเมยี รปู ไข่ ยาว 1.5-2 ซม. มีจุดสีเข้มกระจาย กลีบรูปไข่กลับ ยาว 4-5 ซม. กลีบกลางมีปื้นเป็นจุดสีแดง
มีประมาณ 10 คารเ์ พล ก้านเกสรเพศเมยี สน้ั ผลกลมุ่ รูปรี ยาวประมาณ 3 ซม. กระจาย เกสรเพศผทู้ สี่ มบูรณม์ อี นั เดยี ว กา้ นชูอบั เรณยู าวประมาณ 4 ซม. มีขน
เปลอื กแข็ง แตกตามรอยเชือ่ ม เมลด็ รปู ไข่ สีแดง ยาวประมาณ 1 ซม. ตดิ ท่ีแกนผล ทโี่ คน อับเรณยู าวประมาณ 6 มม. เกสรเพศผู้ท่ีเป็นหมนั 9 อัน ขนาดเลก็ ฝกั ยาว
(ดขู อ้ มลู เพ่มิ เตมิ ที่ จำ� ป,ี สกลุ ) ได้ถงึ 20 ซม. ปลายมีจะงอย มี 10-20 เมล็ด (ดขู ้อมูลเพม่ิ เตมิ ท่ี ชงโค, สกุล)

มีถิ่นก�ำเนิดในจีน ไต้หวัน และเวียดนาม เป็นไม้ประดับทั่วไปในเขตร้อน มีถ่นิ กำ� เนดิ ในอเมรกิ าเขตรอ้ น แต่ตวั อยา่ งพรรณไมต้ น้ แบบเก็บจากพมา่
ดอกมกี ลน่ิ หอมแรงโดยเฉพาะชว่ งเชา้ รว่ งเรว็ บานชว่ งเยน็ และกลางคนื ตดิ ผลยาก
คำ� ระบชุ นิดมาจาก coconut ตามลักษณะดอกตูมคลา้ ยผลมะพร้าวขนาดเล็ก เอกสารอา้ งองิ
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
เอกสารอ้างอิง In Flora of Thailand Vol. 4(1): 6-7.
Liu, Y., N. Xia, L. Yuhu and H.P. Nooteboom. (2008). Magnoliaceae (Lirianthe).
In Flora of China Vol. 7: 64.

ยีห่ บุ : ช่อดอกออกตามปลายกิ่ง มีดอกเดียว ดอกตมู ดูคล้ายผลมะพร้าวขนาดเล็ก กลบี ดอกบางครัง้ มี 12 กลบี โยทะกา: ใบแฉกลึกไม่ถึงกึง่ หนงึ่ ชอ่ ดอกออกตามปลายก่งิ ดอกสีชมพูมีจุดสเี ขม้ กระจาย กลีบกลางมีปน้ื เปน็ จุดสีแดง
เรยี ง 4 วง (ภาพ: cultivated - RP) กระจาย เกสรเพศผู้ที่สมบรู ณม์ ีอันเดียว ปลายฝกั มจี ะงอย (ภาพ: cultivated; ภาพดอก - RP, ภาพผล - PT)

เย่ือกรู มั รกฟ้า

Begonia smithiae E. T. Geddes Terminalia alata B. Heyne ex Roth
วงศ์ Begoniaceae วงศ์ Combretaceae

ไม้ลม้ ลุก สงู ไดถ้ งึ 70 ซม. มขี นยาวสนี ้�ำตาลแดงหนาแน่นตามเหงา้ ล�ำตน้ หใู บ ไมต้ ้น สูงได้ถงึ 35 ม. เปลอื กแตกเป็นร่องลกึ ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรือ
แผน่ ใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ ใบประดบั กลบี ดอกดา้ นนอก มขี นประปรายตามกา้ น แกมรูปไข่ ยาว 10-20 ซม. ปลายแหลม โคนมน เบี้ยว แผ่นใบเกลีย้ งหรอื มขี นสน้ั น่มุ
ช่อดอกและกา้ นดอก หูใบรูปไข่ ยาวประมาณ 1 ซม. ติดทน ใบออกจากโคนตน้ ด้านลา่ ง ต่อม 1 คู่ บนแผน่ ใบด้านล่าง ต่อมมีกา้ น เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 1-3 มม.
รปู หวั ใจ ปลายแหลมยาว โคนเบยี้ ว ยาว 6-20 ซม. กา้ นใบยาว 2-5 ซม. ชอ่ ดอก เส้นแขนงใบขา้ งละ 10-16 เส้น เรยี งขนานกนั กา้ นใบยาว 1-2 ซม. ช่อดอกแบบ
ออกตามซอกใบ ยาวได้ถึง 30 ซม. รวมก้าน ใบประดบั รูปไข่ ยาวประมาณ 5 มม. ชอ่ เชิงลดแยกแขนง ยาวไดถ้ ึง 15 ซม. ดอกเส้นผา่ นศูนย์กลาง 3-4 มม. ไม่มกี ลีบดอก
รว่ งเร็ว ดอกสสี ม้ กา้ นดอกยาว 1-2 ซม. ดอกเพศผู้กลีบรวม 4 กลีบ ค่นู อกรูปไข่ กลีบเล้ยี งรูปสามเหล่ียม ยาว 1-2 มม. ด้านนอกมขี นส้ันนุ่ม ดา้ นในมีขนยาว
ยาว 1.2-1.5 ซม. คูใ่ นเรยี วแคบ กา้ นชูอบั เรณเู ชอ่ื มติดกันท่โี คน ดอกเพศเมยี มี เกสรเพศผยู้ าว 3-4 มม. ก้านเกสรเพศเมยี ยาวเท่า ๆ เกสรเพศผู้ ผลมี 5 ปกี หนา
5 กลีบ กลีบคู่นอกรูปไข่ ยาว 1-1.2 ซม. 3 กลีบในรปู ขอบขนาน กา้ นเกสรเพศเมยี กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 4-6 ซม. รวมปีก (ดูข้อมลู เพิม่ เตมิ่ ท่ี สมอ, สกุล)
3 อัน โคนเชอื่ มตดิ กนั ผลรูปขอบขนาน ยาว 1-1.5 ซม. ปกี ลา่ งรูปสามเหล่ยี ม
ยาวประมาณ 2 ซม. ปกี คู่ขา้ งแคบกว่า (ดูข้อมูลเพม่ิ เตมิ ที่ ส้มกงุ้ , สกลุ ) พบทอ่ี นิ เดยี เนปาล พมา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้
ภาคใต้ ขน้ึ ตามป่าเต็งรงั และป่าเบญจพรรณ ความสูง 100-1000 เมตร ส่วนต่าง ๆ
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคใตท้ เี่ ขาหลวง จงั หวดั นครศรธี รรมราช ขน้ึ ตาม โดยเฉพาะเปลือกมีสรรพคณุ ฆ่าเชอ้ื รา ต้านอนมุ ูลอิสระ ลดน้�ำตาลในเลือด
ปา่ ดบิ เขาทช่ี มุ่ ชน้ื ความสงู 1000-1800 เมตร เปน็ ชนดิ เดยี วในสกลุ สม้ กงุ้ ของไทย
ท่มี ีดอกสีสม้ เอกสารอา้ งอิง
Nanakorn, W. (1985). The genus Terminalia (Combretaceae) in Thailand. Thai
เอกสารอ้างองิ Forest Bulletin (Botany) 15: 97.
Geddes, E.T. (1928). Contributions to the Flora of Siam. Additamentum XXV.
Bulletin Miscellaneous Information, Kew 1928: 239-240.

เยื่อกรู มั : มขี นยาวสนี ้�ำตาลแดงหนาแน่นตามลำ� ต้น และแผ่นใบด้านลา่ ง ชอ่ ดอกออกตามซอกใบ ดอกสสี ้ม ดอกเพศผู้ รกฟา้ : โคนใบมน เบ้ียว ต่อมมกี า้ น 1 คู่ บนแผน่ ใบดา้ นล่าง ผลมี 5 ปีก (ภาพ: ห้วยขาแข้ง อุทยั ธานี - PK)
มี 4 กลีบ คู่ในเรียวแคบ (ภาพ: เขาหลวง นครศรีธรรมราช - SSi)

366

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย รองเท้านารีคางกบ

รสสคุ นธ์, สกุล รสสุคนธ์: T. sarmentosa ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนงออกท่ีปลายกิง่ กลีบเลยี้ ง 5 กลบี เยื่อหุม้ เมล็ดสีแดงอมสม้
จกั ชายครุย (ภาพ: บางเบิด ชุมพร - RP)
Tetracera L.
วงศ์ Dilleniaceae ล้ินแรด: T. scandens มีคาร์เพลเดียว มขี นส้ันนุม่ (ภาพ: ตรงั - RP) เถาอรคนธ์: T. indica กลีบเล้ยี ง 4 กลบี มี
3-4 คารเ์ พล เกล้ียง (ภาพ: ตรัง - RP)
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมเ้ ถา ใบเรยี งเวยี น ขอบเรยี บหรอื จกั ฟนั เลอื่ ย มกี าบ ชอ่ ดอกแบบ
ชอ่ แยกแขนงออกท่ีปลายกงิ่ ดอกจำ� นวนมาก ฐานดอกแบน กลีบเลยี้ ง 4-5 กลีบ รองเท้านาร,ี สกุล
แยกจรดโคน ไมข่ ยายในผล กลบี ดอก 3-5 กลบี แยกจรดโคน เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก
ถงุ อบั เรณูรปู ใบหอก สน้ั แกนอบั เรณูรปู คล้ายส่เี หลี่ยมขนมเปียกปนู มี 1-5 คาร์เพล Paphiopedilum Pfitzer
แยกกนั แตล่ ะคารเ์ พลมอี อวลุ 4-20 เมด็ ยอดเกสรเพศเมยี เปน็ ตมุ่ ผลเปน็ ฝกั แตก วงศ์ Orchidaceae
1-2 แนว รปู ไข่ ผนงั หนา เมลด็ มเี ย่ือหมุ้ จักชายครยุ
กล้วยไม้ข้นึ ตามพ้นื ดิน บนหิน หรอื คบไม้ ลำ� ต้นขนาดเล็ก ไมม่ ีลำ� ต้นเทยี ม
สกุล Tetracera อยภู่ ายใต้วงศ์ย่อย Delimoideae มีประมาณ 45 ชนดิ ในไทยมี (ลำ� ลูกกลว้ ย) ใบเรยี งพับซอ้ นกัน แผ่นใบสว่ นมากมลี าย ปลายสว่ นมากจกั ตื้น ๆ
4 ชนิด อกี 2 ชนิดคอื ล้ินแรด T. scandens (L.) Merr. มีคารเ์ พลเดียว มขี นสั้นนุ่ม 2-3 แฉก โคนมกั มขี นครยุ ชอ่ ดอกมดี อกเดยี วหรอื หลายดอก กา้ นชอ่ ดอกสว่ นมาก
ส่วนมากพบทางภาคใต้ และ เถาอรคนธ์ T. indica (Christm. & Panz.) Merr. มขี นส้นั นุ่ม ใบประดบั ติดทน กลีบเลีย้ ง 3 กลีบ กลบี บนมักจะมขี นาดใหญ่ กลบี คู่ข้าง
มี 3-4 คาร์เพล เกลี้ยง แตก่ ลีบเล้ยี งมี 4 กลีบ ส่วนใหญ่พบทางภาคใตเ้ ชน่ เดียวกนั เชื่อมติดกนั กลีบดอก 3 กลีบ แยกกนั กลบี คู่ในกางออก ห้อยลง หรือบิดเวยี น
ชื่อสกลุ มาจากภาษากรกี “tetra” สี่ และ “keras” เขา ตามลักษณะผลบางชนิด กลบี ปากเปน็ ถงุ เสา้ เกสรไมม่ ฝี าครอบ เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั เปน็ แผน่ ปดิ เสา้ เกสร
อบั เรณทู ส่ี มบรู ณ์ 2 อนั อยดู่ า้ นขา้ ง รงั ไขอ่ ยใู่ ตว้ งกลบี มชี อ่ งเดยี ว เชอื่ มตดิ กา้ นดอก
รสสคุ นธ์ ส่วนมากมขี น ยอดเกสรเพศเมียจัก 3 พู ผลแหง้ แตก เมลด็ ขนาดเล็กจำ� นวนมาก

Tetracera loureiri (Finet & Gagnep.) Pierre ex Craib สกุล Paphiopedilum อยภู่ ายใตว้ งศ์ยอ่ ย Cypripedioideae มี 80-85 ชนดิ ใน
ไทยมีประมาณ 14 ชนดิ กลว้ ยไมร้ องเทา้ นารีมีการผสมขา้ มพันธ์จุ �ำ นวนมาก
ชือ่ พอ้ ง Tetracera sarmentosa (L.) Vahl var. loureiri Finet & Gagnep. รวมถึงในธรรมชาติ ท�ำ ให้มลี ักษณะของ form จำ�นวนมาก โดยเฉพาะสขี องดอก
และลายตา่ ง ๆ ทกุ ชนิดเปน็ พืชอนรุ กั ษใ์ นบัญชีที่ 1 ของ CITES ชือ่ สกุลมาจาก
ไมเ้ ถา ลำ� ตน้ และใบสากเลก็ นอ้ ย ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน สว่ นมากยาว 6-10 ซม. ภาษากรีก Paphos ช่ืออีกช่ือหนง่ึ ของเทพเจ้ากรีกโบราณ (Aphrodite) ซ่งึ เปน็
ปลายมนหรอื กลม โคนแหลมหรอื มน กา้ นใบยาว 0.7-1 ซม. ชอ่ ดอกยาวไดถ้ งึ 20 ซม. เทพแห่งความรักใคร่ และ “pedilon” รองเทา้ ตามลักษณะของดอก
กา้ นดอกยาว 3-7 มม. กลบี เลีย้ ง 5 กลบี รูปไข่ คูน่ อกยาวประมาณ 5 มม. 3 กลีบใน
ยาวประมาณ 7 มม. ตดิ ทน ดอกสขี าวหรอื อมชมพู มี 3 กลบี รปู ไขแ่ คบ ๆ ยาวประมาณ รองเท้านารีขาวสตลู
5 มม. เกสรเพศผู้ยาวกวา่ กลบี เล้ียง มี 2-3 คาร์เพล เกลีย้ ง ก้านเกสรเพศเมีย
ยาวกวา่ เกสรเพศผเู้ ลก็ นอ้ ย ผลยาว 7-8 มม. ปลายเปน็ จะงอย ยาว 2-3 มม. มี 1-2 เมลด็ Paphiopedilum niveum (Rchb. f.) Stein
เมลด็ รปู กลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 3 มม. เยอ่ื หมุ้ เมลด็ ทโี่ คน ยาวไดถ้ งึ 6 มม.
ชอ่ื พ้อง Cypripedium niveum Rchb. f.
พบทก่ี มั พชู า เวยี ดนาม ในไทยพบกระจายแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคเหนอื และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ข้นึ ตามชายปา่ ความสูงถึงประมาณ 400 เมตร กลว้ ยไมข้ นึ้ ตามพน้ื ดนิ ใบรปู ขอบขนานถงึ รปู แถบ ยาว 8-19 ซม. แผน่ ใบดา้ นลา่ ง
มีจดุ สีม่วงหนาแนน่ ชอ่ ดอกมี 1-2 ดอก ก้านชอ่ ยาวไดถ้ งึ 20 ซม. ใบประดบั รูปไข่
รสสุคนธ์ ยาว 1-1.4 ซม. ดอกสขี าว มจี ดุ สมี ว่ งเปน็ ทาง ดา้ นนอกมขี นสนั้ นุ่ม กลบี เลี้ยงบน
รูปไข่กวา้ ง ยาว 2.7-4.2 ซม. กลบี ค่ขู ้างรูปไข่ ยาว 2-3 ซม. กลีบดอกรปู รี ยาว
Tetracera sarmentosa (L.) Vahl 3.3-4.3 ซม. ปลายกลบี มนกลม เวา้ ต้ืน ถงุ กลีบปากยาว 2.2-3.6 ซม. แผ่นเกสร
เพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั มสี เี หลอื งแซม ดา้ นกวา้ งยาวกวา่ ดา้ นยาว ยาว 6-9 มม. ปลาย
ชื่อพ้อง Delima sarmentosa L. จกั ตื้น ๆ 1-3 แฉก รังไขร่ วมกา้ นยาวประมาณ 4.5 ซม.

ไม้เถา ล�ำตน้ และใบสาก ใบรปู รหี รือรูปขอบขนาน สว่ นมากยาว 5-11 ซม. พบทคี่ าบสมทุ รมลายู และภาคใตข้ องไทยทต่ี รงั และสตลู ขนึ้ บนเขาหนิ ปนู ใน
ปลายแหลมหรอื มน โคนรปู ลิ่มกว้าง เบ้ยี ว ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกยาวไดถ้ งึ ปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ถงึ ประมาณ 200 เมตร อนง่ึ รองเทา้ นารขี าวพงั งา P. thaianum
25 ซม. ก้านดอกยาว 1-5 มม. กลีบเล้ียง 5 กลบี รูปไข่ปลายมน ขอบมขี นครยุ Iamwir. ตา่ งกนั ทส่ี ว่ นตา่ ง ๆ ของดอกขนาดเลก็ กวา่ ซงึ่ อาจเปน็ เพยี งลกั ษณะทผ่ี นั แปร
คู่นอกยาวประมาณ 2 มม. 3 กลบี ในยาว 4-5 มม. ติดทน ดอกสขี าว มี 3 กลบี รูปไข่
ยาวประมาณ 3.5 มม. เกสรเพศผยู้ าว 3-4 มม. สว่ นมากมีคารเ์ พลเดียว เกล้ยี ง รองเทา้ นารีคางกบ
กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวกวา่ เกสรเพศผเู้ ลก็ นอ้ ย ผลยาว 0.6-1 ซม. ปลายเปน็ จะงอย
ยาว 2-5 มม. สว่ นมากมเี มลด็ เดยี ว เมลด็ รปู ไข่ ยาวประมาณ 4 มม. เยอื่ หมุ้ เมลด็ Paphiopedilum callosum (Rchb. f.) Stein
ท่โี คน ยาวไดถ้ ึง 5 มม. สแี ดงอมส้ม
ชื่อพอ้ ง Cypripedium callosum Rchb. f.
พบท่อี ินเดีย หมู่เกาะอนั ดามนั ศรลี งั กา พม่า จีนตอนใต้ ไห่หนาน ภูมิภาคอนิ โดจนี
คาบสมทุ รมลายู และสมุ าตรา ในไทยพบกระจายตามปา่ ชายหาดและชายปา่ ดบิ ชนื้ กล้วยไมข้ น้ึ ตามพนื้ ดิน ใบรูปขอบขนานหรือแกมรูปไขก่ ลับ ยาว 10-20 ซม.
ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ความสงู ถงึ ประมาณ ช่อดอกมี 1-2 ดอก ก้านช่อยาว 12-25 ซม. ใบประดับรปู ไข่ ปลายแหลม ยาว
500 เมตร มคี วามผันแปรสงู บางครงั้ แยกเปน็ หลายชนดิ ยอ่ ย 1.5-2.8 ซม. ดอกสขี าว อมเขยี วหรอื นำ้� ตาล เสน้ กลบี สมี ว่ ง กลบี เลย้ี งบนรปู ไขก่ วา้ ง

เอกสารอา้ งองิ
Hoogland, R.D. (1972). Dilleniaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(2): 105-108.
Zhang, Z. and K. Kubitzki. (2007). Dilleniaceae. In Flora of China Vol. 12: 331.

รสสคุ นธ:์ T. loureiri กลีบเล้ียง 5 กลบี ตดิ ทน มี 2-3 คาร์เพล เกล้ยี ง ปลายผลเป็นจะงอย (ภาพ: cultivated - RP)

367

รองเท้านารคี างกบคอแดง สารานุกรมพชื ในประเทศไทย

เกอื บกลม กว้าง 4.2-6 ซม. ปลายกลีบเปน็ ต่งิ แหลม กลีบคขู่ ้างรปู รี เว้า ยาว พบทพี่ มา่ และจนี ตอนใต้ ในไทยพบกระจายหา่ งๆ ทางภาคเหนอื ขนึ้ ตามเขาหนิ ปนู
2.7-3.2 ซม. กลีบดอกรูปลิ้น ยาว 4.6-6.8 ซม. บดิ เล็กน้อย ปลายกลีบมนหรอื กลม ความสงู 900-1800 เมตร form ที่พบบอ่ ยกลบี ดอกมีสขี าวล้วน (albino form)
ขอบกลีบบนและล่างมักมีจุดสีน�้ำตาลแดง ถุงกลีบปากสีเขียวอมน�้ำตาล ยาว และทีเ่ ปน็ ลกู ผสม Paphiopedilum x concolor-bellatulum
2.5-4.5 ซม. ขอบดา้ นในมตี อ่ ม แผน่ เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั รปู รี ยาวประมาณ 1 ซม.
ปลายจกั โค้งคล้ายรปู เคียว มีขนส้ันนุ่ม รังไข่รวมกา้ นยาว 3-6.5 ซม. รองเท้านารเี หลอื งกระบ่ี

พบที่ลาว และกัมพูชา ในไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ Paphiopedilum exul (Ridl.) Rolfe
และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ข้ึนใต้ร่มเงาในป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ความสูง
300-1300 เมตร แยกเปน็ var. potentianum (O. Gruss & Roeth) P. J. Cribb ชื่อพอ้ ง Cypripedium insigne Lindl. var. exul Ridl.
ไม่มีต่อมบนกลีบดอก เป็นพืชถ่ินเดียวของไทย แต่ไม่ทราบถิ่นที่อยู่ในธรรมชาติ
และ var. sublaeve (Rchb. f.) P. J. Cribb หรอื เอื้องคางกบใต้ กลีบเล้ยี งบน กลว้ ยไมข้ ึน้ บนหนิ ปูน ใบรปู แถบ ยาวไดถ้ งึ 35 ซม. ชอ่ ดอกมดี อกเดียว กา้ นชอ่
ขนาดเลก็ กวา่ กลบี ดอกไมบ่ ดิ งอและมจี ดุ สนี ำ้� ตาลแดงทขี่ อบบน พบทค่ี าบสมทุ ร ยาว 13-18 ซม. ใบประดบั รปู รีแคบ ยาว 4-4.5 ซม. ดอกสเี หลอื งออ่ น เสน้ กลบี
มลายูตอนบน และภาคใต้ของไทย ข้นึ ตามปา่ ละเมาะ ความสงู 700-950 เมตร สเี ขม้ กลบี เลยี้ งบนสขี าว โคนสเี หลอื ง มจี ดุ นำ�้ ตาลอมแดง กลบี รปู ไข่ ยาว 3-4.8 ซม.
ปลายกลีบมน มีขนส้ันนุ่มด้านนอก กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว
รองเทา้ นารีคางกบคอแดง 3.4-4.7 ซม. โคนกลบี ดอกมีจดุ สนี �้ำตาลแดงกระจาย มีขนส้ันนุ่มสมี ว่ ง กลบี ดอก
รูปใบหอกกลบั ยาว 4.3-5 ซม. ปลายกลบี มน ขอบเปน็ คลนื่ มีขนครุย ถงุ กลีบปาก
Paphiopedilum appletonianum (Gower) Rolfe ยาว 3-3.5 ซม. แผ่นเกสรเพศผู้ทเี่ ปน็ หมนั รปู ไข่กลบั ยาว 6-8 มม. กลางแผ่น
มตี อ่ มใส รงั ไขร่ วมก้านดอกยาว 2.2-4 ซม.
ชือ่ พอ้ ง Cypripedium appletonianum Gower
พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคใต้ท่ชี ุมพร พังงา กระบ่ี ข้นึ บนเขาหนิ ปนู ใน
กลว้ ยไมข้ นึ้ ตามพนื้ ดนิ ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 7-25 ซม. ลายดา่ ง ป่าดบิ ชน้ื ความสูงไม่เกิน 50 เมตร
ไมช่ ดั เจน ชอ่ ดอกสว่ นมากมดี อกเดยี ว กา้ นชอ่ ยาว 17-48 ซม. ใบประดบั รปู ใบหอก
ยาว 1.5-2 ซม. ดอกสีเขยี วอมขาว กลีบเลย้ี งบนเส้นกลีบสีมว่ ง กลบี รปู ไข่ ยาว รองเทา้ นารีเหลืองตรัง
2.7-4.5 ซม. ปลายกลีบเป็นตงิ่ แหลม โคนเว้าต้นื กลีบคูข่ า้ งรูปรี ยาว 2-3 ซม.
ปลายเรยี วแหลม กลบี ดอกมลี ายสเี ขยี วอมนำ�้ ตาลและจดุ สนี ำ้� ตาลแดง ปลายกลบี Paphiopedilum godefroyae (God.-Leb.) Stein
สีม่วงอมชมพู กลบี รูปใบพาย ยาว 4.4-5.8 ซม. บดิ เลก็ นอ้ ย ปลายกลบี แหลมหรือ
จัก 3 แฉกตืน้ ๆ ถุงกลีบปากยาว 3.6-4.6 ซม. ปลายจกั ซ่ฟี นั เบี้ยว แผ่นเกสรเพศผู้ ช่ือพอ้ ง Cypripedium godefroyae God.-Leb.
ท่ีเปน็ หมันสีเหลอื งหรอื อมมว่ ง มแี ต้มสีเขยี ว รปู รกี วา้ ง ยาว 7-9 มม. ปลายจกั ต้ืน ๆ
3 แฉก รังไข่รวมกา้ นดอก ยาว 3-6 ซม. กล้วยไม้ข้นึ บนดินหรือบนหนิ ปูน ใบรปู ขอบขนานหรือรปู ใบหอก ยาวไดถ้ ึง
14 ซม. แผน่ ใบดา้ นลา่ งมจี ดุ สมี ว่ งกระจาย ขอบชว่ งลา่ งมขี นครยุ ชอ่ ดอกมี 1-2 ดอก
พบทไ่ี หห่ นาน และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ ร่ี ะยอง ก้านช่อยาว 4-8 ซม. ใบประดบั สมี ่วง รูปไข่ ยาวประมาณ 1.5 ซม. มขี นสนั้ น่มุ
จันทบุรี ตราด ข้นึ ตามปา่ ดบิ ช้นื ริมลำ� ธาร ความสูง 600-700 เมตร ดอกสีขาวหรืออมเหลือง มีจดุ สมี ่วงกระจาย ด้านนอกมีขนสั้นน่มุ กลบี เล้ียงบน
รปู ไขก่ วา้ ง ยาว 2.5-4.6 ซม. ปลายกลบี มนหรือกลม กลบี คู่ข้างรูปไข่ ยาว 2-4.5 ซม.
รองเท้านารดี อยตงุ กาญจน์ ปลายกลบี มน กลบี ดอกรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 3.5-6 ซม. ขอบกลบี เปน็ คลนื่
ถงุ กลบี ปากยาว 2.5-4.2 ซม. แผน่ เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั รปู รี ยาวประมาณ 7 มม.
Paphiopedilum vejvarutianum O. Gruss & Roellke ปลายจักต้ืน ๆ 1-3 จัก มขี นส้นั นมุ่ รงั ไขร่ วมกา้ นดอกยาวประมาณ 4 ซม.
กลว้ ยไมข้ นึ้ บนหนิ ปนู ใบรปู แถบ ยาว 5-35 ซม. ปลายแหลม ชอ่ ดอกมดี อกเดยี ว
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ไมเ่ กนิ 100 เมตร
กา้ นชอ่ ยาว 6-20 ซม. ใบประดบั โคนมขี น มจี ดุ สนี ำ�้ ตาลอมมว่ งหนาแนน่ รปู รหี รอื มีความผันแปรสูง บางครั้งแยกเป็น var. ang-thong (Fowlie) Braem หรือ
รูปขอบขนาน ยาว 2-4 ซม. ดอกสีเหลอื งอ่อนอมนำ้� ตาลปนเขียว กลบี เล้ยี งดา้ นนอก รองเท้านารีอา่ งทอง ดอกเล็กกว่าแตก่ า้ นดอกยาวกว่า และ var. leucochilum
มีขนสนี �้ำตาลแดงสั้นน่มุ กลบี บนรปู รกี วา้ ง โคนเรียวแคบ ยาว 3-4 ซม. สีขาว โคนมี (Rolfe) Hallier หรอื รองเทา้ นารเี หลอื งพงั งา ดอกใหญ่ กลบี ปากสขี าวไมม่ จี ดุ สมี ว่ ง
ปน้ื สเี ขยี วอมนำ้� ตาลปนมว่ ง กลบี คขู่ า้ งรปู รี ยาว 2.5-3 ซม. กลบี ดอกรปู ใบหอกกลบั
หรอื รปู ใบพาย โคง้ เลก็ นอ้ ย ยาว 3.5-4 ซม. ปลายกลบี มนกลม ขอบกลบี เปน็ คลน่ื รองเทา้ นารีเหลืองปราจนี
โคนมขี นสนี ำ�้ ตาลแดง ถงุ กลบี ปากยาว 3-3.5 ซม. เกลย้ี ง แผน่ เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั
สีเหลืองออ่ น รปู ไขก่ ลบั แกมรปู ส่ีเหล่ยี ม ยาว 1-1.2 ซม. กลางกลีบชว่ งปลาย Paphiopedilum concolor (Lindl. ex Bateman) Pfitzer
มีต่อมนูนใสสีส้มออ่ น รงั ไขร่ วมกา้ นดอกยาว 3-4 ซม.
ช่อื พ้อง Cypripedium concolor Lindl. ex Bateman
พบทพี่ มา่ จนี ตอนใต้ ในไทยพบทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคเหนอื ตอนลา่ ง
ขึ้นบนเขาหนิ ปูน ความสูง 500-1000 เมตร คล้ายกบั P. barbigerum Tang & กลว้ ยไมข้ นึ้ บนหนิ ปนู หรอื ตามพน้ื ดนิ ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาวไดถ้ งึ 14 ซม.
F. T. Wang ของจีน ซ่งึ มีความผนั แปรสูง แยกเปน็ var. lockianum Aver. และ แผ่นใบดา้ นลา่ งมีจุดสีม่วงหนาแนน่ ชอ่ ดอกมี 1-2 ดอก ก้านชอ่ ยาวไดถ้ งึ 8 ซม.
var. coccineum (Perner & R. Herrm.) Cavestro พบทเี่ วยี ดนาม และ var. ใบประดบั รปู ไข่ ยาว 1-1.5 ซม. ดอกสเี หลอื งออ่ น มจี ดุ หรอื รว้ิ สมี ว่ งอมนำ้� ตาลแดง
sulivongii Schuit. & P. Bonnet พบทลี่ าว คำ� ระบชุ นดิ ต้ังตามช่อื คณุ ไกรฤทธิ์ กระจาย มขี นส้นั น่มุ กลบี เลีย้ งบนรูปไข่ กวา้ งยาวเทา่ ๆ กัน ปลายกลีบมนหรือ
เวศย์วรตุ ม์ อดีตนายกสมาคมพฤกษชาตแิ ห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์ เวา้ ต้นื ยาว 2.5-3.7 ซม. กลบี คขู่ า้ งรูปรหี รือรปู ไข่ โคง้ เว้า ปลายมนหรอื บุ๋ม ยาว
ทีแ่ นะนำ� กล้วยไม้ชนดิ นีใ้ ห้แก่นักพฤกษศาสตรช์ าวเยอรมันผตู้ ัง้ ชอ่ื 2-3.5 ซม. กลบี ดอกรูปรี ปลายกลีบกลม ยาว 3.5-4.5 ซม. ถงุ กลบี ปากยาว 3-3.8 ซม.
แผน่ เกสรเพศผ้ทู ่เี ปน็ หมนั รปู ไข่ เป็นเหลีย่ ม ยาว 1-1.3 ซม. ปลายจกั 3 แฉกตื้น ๆ
รองเทา้ นารฝี าหอย หรือแหลม มีขนครุย รงั ไขร่ วมกา้ นดอก ยาว 3-5 ซม.

Paphiopedilum bellatulum (Rchb. f.) Stein พบในพม่า จนี ตอนใต้ และภมู ภิ าคอินโดจนี ในไทยพบกระจายห่าง ๆ จนถึง
ภาคใต้ทช่ี มุ พร ข้ึนตามซอกเขาหนิ ปูนหรอื ตามพ้ืนดิน ความสงู 100-1000 เมตร
ชอื่ พอ้ ง Cypripedium bellatulum Rchb. f. บางคร้งั แยกเป็นหลายพันธ์ุ ซง่ึ น่าจะเปน็ ลักษณะของ form มากกว่า พนั ธุ์ผสม
ทร่ี ู้จักกันดคี อื Paphiopedilum x concolor-bellatulum
กล้วยไมข้ ้ึนบนหนิ ปูน ใบรปู รหี รือรปู ขอบขนาน ยาว 11-18 ซม. แผ่นใบด้านลา่ ง
มจี ดุ สมี ว่ งหนาแนน่ ชอ่ ดอกมี 1-2 ดอก กา้ นยาว 2-4.5 ซม. ใบประดบั รปู ไข่ ปลายแหลม รองเท้านารเี หลืองเลย
หรอื มน ยาว 2.3-2.7 ซม. ดอกสขี าวอมเหลอื ง มจี ดุ สมี ว่ งอมแดงขนาดใหญก่ ระจาย
ทว่ั ไป มขี นสน้ั นมุ่ ดา้ นนอก ขอบมขี นครยุ กลบี เลยี้ งบนรปู ไข่ ดา้ นกวา้ งยาวกวา่ Paphiopedilum hirsutissimum (Lindl. ex Hook.) Stein var. esquirolei
ดา้ นยาว กวา้ ง 3.3-5.6 ซม. เวา้ เขา้ ปลายกลบี มนหรอื เวา้ บมุ๋ กลบี เลย้ี งคขู่ า้ งคลา้ ย (Schltr.) K. Karas. & K. Saito
รูปหวั ใจ ขอบเวา้ ยาว 2-3 ซม. ปลายกลมหรอื มน กลีบดอกรูปรกี ว้าง ยาว 4.5-6.3 ซม.
ปลายกลีบกลม ถงุ กลบี ปาก ยาว 2.5-4.2 ซม. แผ่นเกสรเพศผูท้ เี่ ปน็ หมันคลา้ ย ชอ่ื พอ้ ง Paphiopedilum esquirolei Schltr.
รูปสีเ่ หลยี่ ม ยาว 0.8-1.1 ซม. ปลายจกั ซ่ฟี ัน รังไข่รวมกา้ นดอกยาวประมาณ 3 ซม.
กลว้ ยไมข้ น้ึ บนหนิ ปนู ใบรปู แถบ ยาวไดถ้ งึ 45 ซม. แผน่ ใบดา้ นลา่ งมกั มจี ดุ สมี ว่ ง
ชอ่ ดอกมดี อกเดียว กา้ นชอ่ ยาว 17-25 ซม. ใบประดับรปู รี ยาว 1.5-2.8 ซม.
ปลายแหลมหรอื มน มขี นสน้ั นมุ่ ดอกสเี หลอื งออ่ น มสี หี รอื จดุ สนี ำ�้ ตาลแซมทว่ั ไป

368

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย รองเท้านารีอนิ ทนนท์

มขี นครุยและขนส้ันน่มุ กลีบเลี้ยงบนรปู ไข่ ยาว 4.2-5.2 ซม. ขอบเปน็ คลนื่ กลบี คขู่ า้ ง รองเท้านารีคางกบคอแดง: กลีบดอกมีลายสีเขยี วอมนำ้� ตาลและจุดสีน�้ำตาลแดง ปลายกลีบสีมว่ งอมชมพู กลีบรูป
คลา้ ยกลบี หลงั ยาว 4.2-4.5 ซม. ชว่ งปลายกลีบดอกสมี ่วงอมชมพู กลบี ดอก ใบพาย แผ่นเกสรเพศผทู้ ี่เป็นหมนั สเี หลอื ง มแี ต้มสีเขียว ปลายจักต้นื ๆ (ภาพ: cultivated - PK)
รปู ใบพาย ปลายมน ขอบเปน็ คลืน่ บดิ ประมาณกง่ึ หนงึ่ ยาว 7-8 ซม. ถงุ กลบี ปาก
ยาว 3.8-5.2 ซม. แผน่ เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั สเี หลอื งออ่ น โคนมจี ดุ สมี ว่ งกระจาย รองเท้านารดี อยตงุ กาญจน:์ ถน่ิ ทอ่ี ยูต่ ามเขาหนิ ปูน ใบรปู แถบ กลีบเลีย้ งบนโคนเรียวแคบ กลีบดอกขอบกลบี เปน็ คล่นื
แผน่ กลบี คลา้ ยรปู สเี่ หลยี่ ม ยาวประมาณ 1 ซม. รงั ไขร่ วมกา้ นดอกยาว 5-7.5 ซม. แผน่ เกสรเพศผู้ท่เี ปน็ หมนั สเี หลืองอ่อน มีตอ่ มนนู ใสสสี ม้ ออ่ น (ภาพ: อุ้มผาง ตาก - PK)

พบทจ่ี นี ตอนใต้ ลาวตอนบน และเวียดนาม ในไทยพบทางภาคเหนือ และ รองเท้านารีฝาหอย: ดอกสขี าวอมเหลือง มจี ดุ สมี ว่ งอมแดงขนาดใหญ่กระจายทวั่ ไป กลีบเลย้ี งบนดา้ นกวา้ งยาวกว่า
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบน ขนึ้ ใตร้ ม่ เงาตามเขาหนิ ปนู ความสงู 450-1800 เมตร ดา้ นยาว เวา้ เข้า กลบี ดอกรูปรกี วา้ ง (ภาพ: ดอยเชียงดาว เชยี งใหม่ - RP)
สว่ น var. hirsutissimum พบเฉพาะทางตอนบนของอนิ เดยี และพมา่ ดอกขนาด
เลก็ แต่มขี นยาวกวา่

รองเท้านารีอินทนนท์

Paphiopedilum villosum (Lindl.) Stein

ชอ่ื พอ้ ง Cypripedium villosum Lindl.

กลว้ ยไมอ้ งิ อาศยั หรอื ขนึ้ บนหนิ ใบรปู แถบคลา้ ยลน้ิ ยาวไดถ้ งึ 42 ซม. ชอ่ ดอก
มีดอกเดยี ว ก้านช่อยาว 7-24 ซม. ใบประดับรปู รี ปลายมน ยาว 3.5-6.5 ซม.
ดอกสีเหลืองอมน�้ำตาล กลีบเล้ียงสีเขียวอ่อนอมเหลือง กลีบบนด้านในมีปื้นสี
น�้ำตาลแดง รปู ไขก่ ลับ ปลายกลบี มน ยาว 4.5-6.5 ซม. ขอบช่วงโคนกลบี พบั งอ
กลีบคูข่ ้างรูปไข่ ปลายแหลม สีเขียวอ่อน ยาว 3.8-5 ซม. กลีบดอกโค้งเขา้ รปู ไข่กลบั
แกมรปู ใบพาย ปลายจกั มน ยาว 4.7-7 ซม. โคนมขี นสมี ว่ ง ขอบมขี นครยุ ถงุ กลบี ปาก
ยาว 4-6 ซม. แผ่นเกสรเพศผทู้ ี่เป็นหมันคลา้ ยรปู หวั ใจ ยาวประมาณ 1.5 ซม.
มีตุ่มและขนกระจาย กลางแผ่นเปน็ สัน รังไข่รวมก้านดอกยาว 3-6 ซม.

พบที่อินเดีย จีนตอนใต้ พม่าตอนบน และภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทาง
ภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขน้ึ ตามปา่ ดบิ เขา ความสงู 1000-2000 เมตร
แยกเปน็ var. annamense Rolfe พบทีจ่ ีน ลาว และเวียดนาม ขอบกลีบเลยี้ ง
กลบี บนมสี ขี าวและมแี ตม้ มว่ งกลางกลบี var. boxallii (Rchb. f.) Pfitzer กลบี เลยี้ ง
กลบี บนมีจุดสีน้ำ� ตาลด�ำ พบเฉพาะในพม่า และ var. densissimum (Z. J. Liu
& S. C. Chen) Z. J. Liu & S. C. Chen ใบประดับยาวกวา่ รงั ไขร่ วมก้านดอกท่ี
มขี นยาวหนาแนน่ กลีบเล้ียงค่ขู า้ งขนาดเลก็ พบเฉพาะทจี่ ีนตอนใต้

เอกสารอ้างองิ
Cribb, P.J. (1998). The genus Paphiopedilum. Second Edition. Natural History
Publicaion (Borneo) in association with the Royal Botanic Gardens, Kew.
________. (2011). Orchidaceae (Paphiopedilum). In Flora of Thailand Vol. 12(1):
196-216.
Gruss, O. and L. Roellke. (2003). Paphiopedilum vejvarutianum, eine neue Art aus
Thailand - schon seit langem unbeachtet in Kultur. Die Orchidee 54. Die
Orchidee: 56-59.
Liu, Z., X. Chen and P.J. Cribb. (2009). Orchidaceae (Paphiopedilum). In Flora
of China Vol. 25: 33.

รองเทา้ นารีเหลอื งกระบี่: ใบประดบั รปู รแี คบ กลีบเลยี้ งบนมจี ดุ น�้ำตาลอมแดงกระจาย กลีบดอกรูปใบหอกกลบั
ขอบเปน็ คล่นื มีขนครุย แผน่ เกสรเพศผทู้ ีเ่ ปน็ หมนั รูปไข่กลับ กลางแผน่ มตี อ่ มใส (ภาพ: cultivated - SSi)
รองเทา้ นารขี าวสตูล: ดอกสขี าว มจี ุดสมี ่วงเป็นทาง กลบี เล้ียงบนรปู ไข่กว้าง กลบี ดอกรปู รี ปลายกลีบมนกลม เวา้ ตน้ื
แผ่นเกสรเพศผู้ทเ่ี ป็นหมนั มสี ีเหลืองแซม ด้านกว้างยาวกวา่ ดา้ นยาว (ภาพ: cultivated; ภาพซา้ ย - PI, ภาพขวา - RP)

รองเทา้ นารคี างกบ: กลีบดอกรปู ลิน้ ยาว 4.6-6.8 ซม. ขอบกลบี มีจดุ สีน้ำ� ตาลแดง ขอบด้านในถงุ กลีบปากมีต่อม รองเท้านารเี หลอื งตรัง: ถ่ินทอ่ี ยู่บนหินปูน ดอกสีขาวอมเหลอื ง มจี ุดสมี ่วงกระจาย กลบี เลย้ี งบนรูปไข่กวา้ ง
แผน่ เกสรเพศผูท้ เ่ี ป็นหมันปลายจกั โคง้ คลา้ ยรูปเคยี ว (ภาพซ้าย: เชียงใหม่ - SSi); var. sublaeve กลบี เลีย้ งบนขนาด กลบี ดอกรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ขอบกลีบเปน็ คลน่ื (ภาพ: เขาสก สรุ าษฎรธ์ านี - SN)
เล็กกวา่ กลีบดอกไม่บิดงอและมจี ดุ สนี ำ้� ตาลแดงเฉพาะขอบบน (ภาพขวา: นครศรธี รรมราช - RP)
369

ระคนทอง สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

รองเทา้ นารีเหลืองปราจนี : ดอกสเี หลอื งออ่ น มีจดุ หรือรว้ิ สมี ว่ งอมน�้ำตาลแดงกระจาย กลีบเล้ยี งบนกว้างยาว ระคนทอง: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ กลบี ดอกมีก้านกลีบสน้ั ๆ โคนคลา้ ยเง่ยี งลกู ศร กา้ นชูอับเรณูเปล่ียนเป็นสีแดง
เทา่ ๆ กนั กลีบดอกรปู รี แผน่ เกสรเพศผทู้ ่ีเป็นหมันรปู ไข่ เปน็ เหล่ียม (ภาพ: อุ้มผาง ตาก - PK) ผลมีแฉกรปู ดาว 8-9 ปกี ขนาดไม่เท่ากัน (ภาพ: ทุง่ ทะเล กระบ่ี - RP)

รองเทา้ นารเี หลอื งเลย: ดอกมสี หี รอื จุดสนี ำ้� ตาลแซม มขี นครยุ ขอบกลีบเปน็ คล่ืน กลีบดอกรปู ใบพาย บดิ ประมาณ ระฆังแก้ว
ก่ึงหนงึ่ แผน่ เกสรเพศผทู้ ี่เป็นหมันคล้ายรูปสเ่ี หล่ยี ม (ภาพ: cultivated - TP)
Campanumoea javanica Blume
รองเท้านารอี นิ ทนนท์: ดอกสีเหลอื งอมน้�ำตาล กลีบเลี้ยงบนด้านในมปี ้นื สีนำ�้ ตาลแดง กลีบดอกโคง้ เขา้ รปู ไขก่ ลบั วงศ์ Campanulaceae
แกมรูปใบพาย โคนมขี นสีมว่ ง แผ่นเกสรเพศผู้ที่เป็นหมันคล้ายรูปหวั ใจ กลางแผน่ เป็นสนั (ภาพ: cultivated - PK)
ช่อื พอ้ ง Codonopsis javanica (Blume) Hook. f. & Thomson
ระคนทอง
ไมเ้ ถา มีหวั ใตด้ นิ ล�ำตน้ เกล้ียง ใบเรียงตรงข้ามหรอื เกือบตรงขา้ ม รูปไขห่ รอื
Tristellateia australasiae A. Rich. รปู หวั ใจ ยาว 2.5-8 ซม. โคนเวา้ ตนื้ ขอบเรยี บหรอื จกั ฟนั เลอ่ื ยหา่ ง ๆ แผน่ ใบเกลยี้ ง
วงศ์ Malpighiaceae หรือมขี นประปรายดา้ นลา่ ง ก้านใบยาว 1.5-6 ซม. ดอกออกเด่ยี ว ๆ ตามซอกใบ
ก้านดอกยาว 1-5 ซม. กลีบเล้ียงอยใู่ ตร้ ังไข่ ไมเ่ ช่อื มติดรงั ไข่ ติดทน มี 5 กลีบ
ไมเ้ ถา ยาวได้ถึง 10 ม. กง่ิ ออ่ นมีขน หใู บเช่อื มตดิ กา้ นใบ ยาว 1-2 มม. ใบเรยี ง แฉกลกึ เกอื บจรดโคน กลบี รปู ไขแ่ กมรปู ขอบขนาน ยาว 1-2 ซม. ดอกสขี าวอมเขยี ว
ตรงข้ามหรอื รอบขอ้ รปู ไข่หรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 6-12 ซม. โคนกลมหรือเวา้ ตื้น ดา้ นในมลี ายสมี ว่ งออ่ น รปู ระฆงั ควำ�่ ยาว 1.5-3.5 ซม. ปลายแยก 5 แฉก ลกึ ประมาณ
ก้านใบยาว 1-2 ซม. ปลายกา้ นมีตอ่ ม 2 ต่อม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ยาว 10-20 ซม. กงึ่ หนง่ึ เกสรเพศผู้ 5 อนั กา้ นชอู บั เรณรู ปู เสน้ ดา้ ย ตดิ ใตร้ งั ไข่ ไมย่ นื่ พน้ หลอดกลบี ดอก
ดอกเรยี งตรงขา้ มสลบั ตง้ั ฉาก กา้ นดอกยาว 1.5-3 ซม. มขี อ้ ใตจ้ ดุ กงึ่ กลางกา้ นดอก รังไขใ่ ต้กลีบดอก มี 5 ช่อง ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1 ซม. ยอดเกสรจกั 3 พู
ใบประดับ 1 ใบ ยาว 2-3 มม. ใบประดบั ย่อย 2 ใบ ขนาดเลก็ กลบี เลยี้ ง 5 กลบี ผลสด เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. ผลแกส่ ีม่วง เมล็ดขนาดเลก็ จ�ำนวนมาก
รูปสามเหลี่ยมปลายมน ยาว 3-4 มม. บางครัง้ มตี อ่ ม ดอกสเี หลอื ง มี 5 กลบี
รปู ขอบขนานหรือแกมรปู ไข่ ยาว 0.8-1.5 ซม. โคนคล้ายเงี่ยงลูกศร มกี า้ นกลบี พบที่อนิ เดยี ภูฏาน เนปาล จีนตอนใต้ พมา่ ลาว เวียดนาม ชวา ในไทยพบ
เกสรเพศผู้ 10 อนั โคนเชอ่ื มตดิ กนั สเี หลอื งเปลยี่ นเปน็ สแี ดง ยาวไมเ่ ทา่ กนั ยาว กระจายทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกทชี่ ยั ภมู ิ ขนึ้ ตามชายปา่ ดบิ เขาหรอื ปา่ สน
3-5 มม. มี 3 คารเ์ พล โคนมรี ยางค์ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 6-8 มม. ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ความสูง 1000-2000 เมตร
1-2 ซม. แฉกรปู ดาว 8-9 ปีก ขนาดไมเ่ ท่ากัน มี 3 เมล็ด ยาว 5-6 มม.
สกุล Campanumoea Blume มีเพยี งชนิดเดยี ว แยกเป็น subsp. japonica
พบที่ไต้หวัน เวียดนามตอนใต้ ภูมิภาคมาเลเซีย หมู่เกาะแปซิฟิก และ (Makino) D. Y. Hong พบที่จีน ไตห้ วนั และญ่ปี นุ่ ช่ือสกุลมาจากภาษาละติน
ออสเตรเลยี ในไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ ข้ึนตามปา่ โกงกาง “campana” หมายถึงคล้ายระฆงั ตามลักษณะดอก
หรอื รอยตอ่ กบั ปา่ ดบิ ชนื้ และเปน็ ไมป้ ระดบั ใบมสี รรพคณุ ลดการอกั เสบ แกบ้ วม เอกสารอ้างอิง
de Wilde, W.J.J.O. and B.E.E. Duyfjes. (2014). Campanulaceae. In Flora of
สกลุ Tristellateia Thouars มี 20-30 ชนิด ส่วนใหญ่พบที่มาดากัสการ์ ใน
แอฟรกิ ามี 1 ชนดิ เอเชยี และออสเตรเลีย 1 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษาละติน Thailand Vol. 11(4): 507-510.
“tres” ตน้ ไม้ และ “stella” ดาว ตามลักษณะของผลแยกเปน็ แฉกคล้ายดาว
เอกสารอ้างองิ ระฆังแก้ว: ใบเรียงตรงข้าม ดอกออกเดี่ยว ๆ รปู ระฆงั ควำ่� ยอดเกสรเพศเมยี จัก 3 พู กลบี เลย้ี งตดิ ทน ผลแก่สมี ว่ ง
Siriragsa, P. (1991). Malpighiaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(3): 285-287. (ภาพ: ดอยเชียงดาว เชยี งใหม่ - SSi)

ระฆงั ทอง

Pauldopia ghorta (Buch.-Ham. ex G. Don) Steenis
วงศ์ Bignoniaceae

ช่ือพอ้ ง Bignonia ghorta Buch.-Ham. ex G. Don

ไมต้ ้น สงู 4-7 เมตร ใบประกอบ 2 ช้นั ยาว 20-45 ซม. แกนกลางมีปีก
แคบๆ ใบย่อยมี 3-4 คู่ รปู รี รปู ขอบขนาน แกมรปู ไขห่ รอื รปู ไข่กลบั ยาว 3-9 ซม.
มขี นหยาบแขง็ และตอ่ มประปรายบนเสน้ ใบดา้ นลา่ งและขอบใบ ปลายแหลมยาว
ไรก้ า้ น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกตามซอกใบ ยาวไดถ้ งึ 20 ซม. กลบี เลย้ี ง
รูประฆัง ยาว 1-2 ซม. ปลายแยกเปน็ 5 แฉกขนาดเลก็ มีต่อมเปน็ แถบยาว

370

สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย ระยอ่ มใบบาง

ดอกรูปแตร หลอดกลบี ดอกสเี หลือง ยาว 3-6 ซม. โค้งเล็กน้อย ปลายแยกเปน็ ระย่อม, สกุล
5 แฉก เกือบกลม แผน่ กลบี สนี �้ำตาลแดง เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 1.5 ซม.
เกสรเพศผู้ 2 คยู่ าวไม่เทา่ กัน ยาว 2-2.5 ซม. เกสรเพศผูท้ ่ีเปน็ หมันมี 1 อัน ขนาดเลก็ Rauvolfia L.
จานฐานดอกรปู วงแหวน กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 3 ซม. ผลแหง้ แตก รปู แถบ วงศ์ Apocynaceae
ยาว 22-34 ซม. เมล็ดกลม เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 6-8 มม. ไม่มปี กี
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ ขนาดเลก็ ใบเรยี งรอบขอ้ 3-5 ใบ มกั มตี อ่ มตามซอกใบ ชอ่ ดอก
พบท่ีอินเดีย เนปาล ศรีลงั กา จนี ตอนใต้ พมา่ ลาว เวียดนามตอนบน ในไทย แบบชอ่ กระจกุ ออกเดย่ี ว ๆ หรอื มหี ลายชอ่ เวยี นรอบขอ้ กลบี ดอกและกลบี เลยี้ ง
พบทางภาคเหนือที่น่าน ตาก พษิ ณุโลก นครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จำ� นวนอยา่ งละ 5 กลบี กลบี เลยี้ งไมม่ ตี อ่ มดา้ นใน กลบี ดอกเรยี งซอ้ นทบั ดา้ นซา้ ย
เลย และภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ กี่ าญจนบรุ ี ขน้ึ ตามพน้ื ทเ่ี ปดิ โลง่ ในปา่ ดบิ แลง้ ความ ในตาดอก ดอกบานรปู ดอกเขม็ โคนกลบี ชว่ งใตจ้ ดุ ตดิ อบั เรณสู ว่ นมากมขี นสน้ั นมุ่
สงู ถงึ ประมาณ 1300 เมตร เกสรเพศผู้ 5 อนั อยูภ่ ายในหลอดกลบี ดอก อบั เรณไู ม่แนบตดิ ยอดเกสรเพศเมีย
กา้ นชอู บั เรณสู น้ั จานฐานดอกเปน็ วง มี 2 คารเ์ พล เชอ่ื มตดิ กนั ทโ่ี คนหรอื แยกกนั
สกุล Pauldopia Steenis มีเพยี งชนิดเดียว ช่อื สกลุ ต้งั ตามนกั พฤกษศาสตร์ชาว แตล่ ะคารเ์ พลมีออวลุ 2 เม็ด ก้านเกสรเพศเมยี รปู เส้นด้าย ยอดเกสรบานออก
ฝรัง่ เศส Paul Louis Amans Dop (1876-1954) ผลผนงั ชนั้ ในแขง็ ตดิ กนั เปน็ คหู่ รอื แยกกนั บางครงั้ เจรญิ ผลเดยี ว ผนงั ผลชนั้ กลางสด
เอกสารอ้างอิง มเี มล็ดเดียว รูปไข่ แบน ไมม่ กี ระจุกขน
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 45-46.
Zhang, Z.Y. and T. Santisuk. (1998). Bignoniaceae. In Flora of China Vol. 18: 216. สกุล Rauvolfia อยูภ่ ายใต้วงศย์ อ่ ย Rauvolfioideae พบในอเมริกาเขตร้อน แอฟริกา
และเอเชยี มีประมาณ 60 ชนิด ในไทยมี 5 ชนิด ทุกชนดิ มสี าร rauwolfia alkaloid
ระฆงั ทอง: ใบประกอบ 2 ชัน้ ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แยกแขนง ดอกรูปแตร โคง้ เลก็ น้อย สเี หลือง แผน่ กลีบสี โดยเฉพาะสาร reserpine มีสรรพคณุ แก้โรคความดนั โลหิตสงู และระงับประสาท
น้ำ� ตาลแดง ผลรปู แถบ (ภาพ: ทงุ่ ใหญ่นเรศวร ตาก - PK) ชอ่ื สกลุ ต้งั ตามนายแพทยแ์ ละนกั สำ�รวจชาวเยอรมัน Leonhard Rauwolf
(1535-1596)
ระไมป่า
ระยอ่ ม
Baccaurea bracteata Müll. Arg.
วงศ์ Phyllanthaceae Rauvolfia serpentina (L.) Benth. ex Kurz

ไม้ต้น สูงไดถ้ งึ 25 ม. กิง่ มขี นส้ันนุ่ม ใบรปู ไข่ รปู ไข่กลบั แกมรูปขอบขนาน ช่อื พอ้ ง Ophioxylon serpentinum L.
หรอื รูปใบหอก ยาวได้ถึง 20 ซม. แผ่นใบด้านลา่ งมีตอ่ มสีดำ� กระจาย เสน้ แขนงใบ
ขา้ งละ 3-8 เส้น กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 8.5 ซม. ใบประดับยาว 2-6 มม. ใบประดับย่อย ไม้พุ่มเต้ยี ใบรปู รี รูปขอบขนาน หรอื แกมรูปไข่กลับ ยาว 4-25 ซม. เส้นแขนงใบ
ขนาดเลก็ ไม่มีกลบี ดอก ช่อดอกเพศผูม้ ี 1-3 ชอ่ ยาวไดถ้ ึง 15 ซม. กา้ นดอกยาว ขา้ งละ 7-16 เส้น กา้ นใบยาว 0.5-2 ซม. ชอ่ ดอกออกเดีย่ ว ๆ ตามปลายกง่ิ ยาว
ประมาณ 2 มม. กลีบเลี้ยงรูปไข่ ยาว 1-2 มม. ช่อดอกเพศเมียออกเดยี่ ว ๆ ยาวได้ถงึ 4-11 ซม. กา้ นชอ่ ยาว 3-8 ซม. ดอกหนาแน่น กา้ นดอกยาว 2-6.5 มม. กลีบเลย้ี ง
7 ซม. ก้านดอกยาวกวา่ ในดอกเพศผู้เล็กนอ้ ย กลีบเล้ียงเรยี วแคบ ยาวไดถ้ งึ 1 ซม. รูปไข่หรอื รปู ใบหอก ยาว 2-4 มม. ดอกสีขาว แดง ชมพู หรือสีม่วง หลอดกลบี ดอก
ตดิ ค่อนขา้ งทน ก้านเกสรเพศเมยี สน้ั มาก ยอดเกสรเพศเมียยาว 1-2.5 มม. ผลกลม ยาว 1-2 ซม. มีขนรอบปากหลอด กลบี ดอกรูปรี ยาว 2-5.5 มม. เกสรเพศผู้ติด
เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 2-2.5 ซม. ดา้ นนอกมีขนสัน้ ละเอียด เมลด็ มเี ยอื่ หุม้ สเี หลือง เหนือโคนหลอดกลบี ประมาณ 1 ซม. คาร์เพลเชอ่ื มติดกันที่โคน เกสรเพศเมีย
หรืออมส้ม (ดูข้อมลู เพม่ิ เตมิ ท่ี มะไฟ, สกุล) ยาว 7-9.5 มม. รวมยอดเกสร ผลออกเปน็ คู่ รปู ไข่ ยาว 0.5-1 ซม.

พบทีค่ าบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และบอร์เนียว ในไทยพบทางภาคใต้ ขน้ึ ตาม พบทศ่ี รีลังกา อินเดีย เนปาล ภูฏาน พม่า จนี ภูมภิ าคอินโดจนี และมาเลเซีย
ปา่ ดิบชื้น ปา่ พรุ และปา่ ชายเลน ความสงู ถงึ ประมาณ 900 เมตร ผลรสเปรย้ี ว ข้นึ ตามปา่ เบญจพรรณ ป่าดบิ แล้ง และป่าดิบชน้ื ความสูงถึงประมาณ 800 เมตร

เอกสารอา้ งอิง ระยอ่ มตีนเปด็
Haegen, R.M.A.P. and P.C. van Welzen. (2005). Euphorbiaceae (Baccaurea).
In Flora of Thailand Vol. 8(1): 109. Rauvolfia sumatrana Jack
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. กง่ิ มชี อ่ งอากาศหนาแนน่ ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก
ระไมปา่ : กง่ิ มีขนส้นั นุ่ม ช่อผลออกเด่ยี ว ๆ ผลกลม ด้านนอกมีขนส้ันละเอียด (ภาพ: นราธิวาส - PPu)
ยาว 4.5-20 ซม. แผ่นใบหนา เสน้ แขนงใบข้างละ 24-30 เสน้ เรียงจรดกนั เป็น
เส้นขอบใน กา้ นใบยาว 0.7-2.8 ซม. ชอ่ ดอกหลายช่อเรียงเวียนรอบขอ้ ตามปลายกิง่
ยาว 8-20 ซม. ก้านช่อยาว 11-15 ซม. กา้ นดอกยาว 6-8 มม. กลบี เลีย้ งรูปไข่
ยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกสขี าว หลอดกลีบดอกยาวประมาณ 4.5 มม. มขี นสัน้ นุ่ม
รอบปากหลอด กลีบรปู ไข่ ยาว 1.5-1.8 มม. เกสรเพศผตู้ ิดใกลป้ ากหลอดกลบี
คารเ์ พลเชอื่ มตดิ กัน เกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 2 มม. รวมยอดเกสร ผลออกเดีย่ ว ๆ
ภายในแยกเปน็ 2 ชอ่ ง เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 1-2.5 ซม. สุกสีด�ำ

พบทคี่ าบสมทุ รมลายู บอรเ์ นยี ว สมุ าตรา ชวา ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทางภาคใต้
ขน้ึ ริมลำ� ธารในป่าดบิ ช้นื ความสงู ถึงประมาณ 400 เมตร

ระย่อมใบบาง

Rauvolfia micrantha Hook. f.
ไมพ้ ุม่ สูงไดถ้ งึ 30 ซม. ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 3.5-13 ซม. เส้นแขนงใบ

ขา้ งละ 6-12 เสน้ กา้ นใบยาว 3-6 มม. ช่อดอกหลายช่อเวียนรอบข้อตามปลายกงิ่
หรอื ซอกใบ ยาว 2.2-2.5 ซม. กา้ นชอ่ ยาวประมาณ 1.2 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ
1.2 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ไข่ ยาวประมาณ 1 มม. ดอกสขี าว หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ
2.5 มม. กลีบรปู รเี กือบกลม ยาวประมาณ 1 มม. เกสรเพศผู้ตดิ ใกลป้ ากหลอด
คาร์เพลเชื่อมติดกันท่ีโคน เกสรเพศเมียยาวประมาณ 1.5 มม. รวมยอดเกสร
ผลออกเปน็ คู่ รปู รี ยาว 4-5 มม.

พบทอ่ี นิ เดยี พมา่ ในไทยพบทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ ขนึ้ ใตร้ ม่ เงาในปา่ ดบิ แลง้
ความสูงประมาณ 100 เมตร

371

ระยอ่ มหลวง สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

ระยอ่ มหลวง ระยอ่ มใบบาง: ช่อดอกหลายชอ่ เวียนรอบขอ้ ตามปลายกิง่ หรอื ซอกใบ ดอกขนาดเล็ก ผลออกเป็นค่เู ชอ่ื มติดกนั ท่โี คน
(ภาพ: หว้ ยยาง ประจวบคีรีขันธ์ - RP)
Rauvolfia cambodiana Pierre ex Pit.
ไม้พุ่ม สงู ไดถ้ งึ 2 ม. ใบรปู ขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 12-30 ซม. เส้นแขนงใบ ระย่อมหลวง: ชอ่ ดอกออกเดย่ี ว ๆ ก้านชอ่ หนา หลอดกลีบดอกมีปื้นแดงหรือม่วง ผลออกเป็นคแู่ ยกกัน
(ภาพ: ซบั จ�ำปา ลพบรุ ี - RP)
ข้างละ 12-25 เสน้ กา้ นใบยาว 1-3.5 ซม. ช่อดอกออกเดยี่ ว ๆ ยาว 4-10 ซม.
กา้ นชอ่ หนา ยาว 1.5-4.5 ซม. กา้ นดอกยาว 3-6.5 มม. กลบี เลยี้ งรปู ไขแ่ กมรปู ขอบขนาน ระยอ่ มใหญ:่ ชอ่ ดอกหลายชอ่ เรยี งเวียนรอบข้อตามปลายก่งิ ดอกสขี าวหรอื สแี ดง (ภาพ: หว้ ยยาง ประจวบคีรขี นั ธ์ - RP)
ยาว 1.5-2.5 มม. ดอกสขี าว หลอดกลีบดอกมปี น้ื แดงหรอื มว่ ง ยาว 1-1.5 ซม.
ดา้ นในมขี นสนั้ นมุ่ รอบปากหลอด กลบี รปู รี ยาว 2-4 มม. เกสรเพศผตู้ ดิ ใกลป้ ากหลอด รักทะเล
คาร์เพลแยกกัน เกสรเพศเมยี ยาว 6-7 มม. รวมยอดเกสร ผลออกเป็นคู่ รปู รี
ยาว 0.7-1.1 ซม. Scaevola taccada (Gaertn.) Roxb.
วงศ์ Goodeniaceae
พบทีเ่ วยี ดนาม และกมั พชู า ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้ ขึ้นตาม
ปา่ เบญจพรรณ และปา่ ดบิ แลง้ ความสงู ถึงประมาณ 800 เมตร ชอื่ พ้อง Scaevola sericea Vahl

ระยอ่ มใหญ่ ไมพ้ ุ่ม อาจสงู ได้ถงึ 7 ม. แตกกงิ่ หนาแนน่ มีขนสขี าวคล้ายไหมเป็นกระจกุ
ตามซอกใบ ใบเรียงเวียนชิดกันตอนปลายกิ่ง รูปใบพายแกมรูปไข่กลับ ยาว
Rauvolfia verticillata (Lour.) Baill. 12-23 ซม. ปลายกลม โคนสอบเรียวจรดล�ำต้น ขอบเรียบ จักฟันเลื่อยห่างๆ
หรอื จกั มนชว่ งปลายกลบี แผน่ ใบเกลยี้ งหรอื มขี นก�ำมะหยี่ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ยาว
ช่อื พ้อง Dissolaena verticillata Lour. 2-4 ซม. กา้ นชอ่ ยาว 0.5-1 ซม. ใบประดบั รปู สามเหลยี่ มขนาดเลก็ หลอดกลบี เลยี้ ง
เรยี วแคบ ยาว 2-5 มม. ตดิ ทน ดอกสขี าวมสี ีม่วงอ่อนแซม โคนหลอดกลบี มีขน
ไมพ้ ุม่ สูงได้ถงึ 5 ม. ใบรปู ขอบขนาน รปู ใบหอก หรอื แกมรูปไข่กลับ ยาว หนาแนน่ ดอกสมมาตรดา้ นขา้ ง แยกจรดโคนดา้ นเดยี ว กลบี รปู ใบพาย ยาว 1-2 ซม.
3-30 ซม. เส้นแขนงใบขา้ งละ 9-18 เส้น ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ชอ่ ดอกหลายชอ่ ขอบบางเป็นคล่นื เกสรเพศผู้ 5 อนั ก้านชูอบั เรณสู ้ัน รูปเส้นด้าย บดิ งอรอบ
เรยี งเวยี นรอบขอ้ ตามปลายกงิ่ ยาวไดถ้ งึ 12 ซม. กา้ นชอ่ สน้ั หรอื ยาวไดถ้ งึ 10 ซม. กา้ นเกสรเพศเมยี กา้ นเกสรเพศเมยี โค้งงอ โคนและปลายมีขนสั้นนุม่ รังไขใ่ ต้
กา้ นดอกยาว 3.5-7.5 มม. กลบี เลี้ยงรปู ไขห่ รือรูปขอบขนาน ยาว 1.5-2.5 มม. วงกลีบ ผลสด เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 1-1.5 ซม. สกุ สีขาวครมี มี 1-2 เมล็ด
ดอกสีขาวหรอื สีแดง หลอดกลีบดอกยาว 1-1.8 ซม. มขี นรอบปากหลอด กลีบรปู รี
ยาว 2-4 มม. เกสรเพศผ้ตู ิดใกล้ปากหลอด คารเ์ พลแยกกัน เกสรเพศเมยี ยาว พบที่แอฟริกา มาดากัสการ์ อนิ เดยี ปากีสถาน ศรีลังกา จนี ไตห้ วนั ญ่ีปุ่น
0.4-1 ซม. รวมยอดเกสร ผลออกเป็นคู่ รูปรี ยาว 0.8-1.4 ซม. ภมู ิภาคมาเลเซีย ฟิลปิ ปนิ ส์ นิวกินี ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซฟิ กิ ในไทยพบ
ทางภาคใต้ตามชายทะเล และภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีสรรพคุณด้านสมุนไพร
พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ หลายอยา่ ง มีฤทธิต์ า้ นเชอื้ ไวรสั เช้ือรา และแบคทีเรีย
ขน้ึ ตามปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1600 เมตร
สกุล Scaevola L. มี 80-100 ชนดิ สว่ นใหญ่พบในออสเตรเลยี ในไทยมพี ืชพืน้
เอกสารอ้างองิ เมืองชนดิ เดยี ว และเปน็ ไม้ประดับ 1 ชนดิ คอื สแคโวลา S. aemula R. Br. หรือ
Li, B., A.J.M. Leeuwenberg and D.J. Middleton. (1995). Apocynaceae. In Flora Fairy Fan-flower มถี ่นิ กำ�เนิดในออสเตรเลีย มีหลากสายพนั ธ์ุ เปน็ ไมล้ ้มลุกทอดนอน
of China Vol. 16: 157-159. ช่ือสกลุ ตง้ั ตาม Mucius Scaevola วรี บรุ ษุ ชาวโรมันช่วงก่อนครสิ ต์ศักราช ท่ถี นัดซา้ ย
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 50-55. และภาษาละตนิ “scaevus” ซา้ ย หมายถงึ กลีบดอกบดิ เวยี นด้านซา้ ยแยกจรด
โคนดา้ นเดยี ว
ระย่อม: ไม้พ่มุ เต้ยี ใบเรียงรอบข้อ 3-5 ใบ ช่อดอกออกเดย่ี ว ๆ ตามปลายกิ่ง ดอกรูปดอกเขม็ หลอดกลบี ดอกยาว เอกสารอา้ งอิง
(ภาพ: ท่าสองยาง ตาก - PK) Hong, D. and D.G. Howarth. (2011). Goodeniaceae In Flora of China Vol. 19: 568.
Larsen, K. (1975). Goodeniaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(3): 278-279.
ระยอ่ มตีนเป็ด: เสน้ แขนงใบเรยี งจรดกันเปน็ เสน้ ขอบใน ชอ่ ดอกหลายช่อเรยี งเวียนรอบข้อตามปลายกิ่ง ผลออก Shannon, K., W.L. Wagner and D.H. Nicolson. (1997). Proposal to conserve
เดย่ี ว ๆ สุกสดี �ำ (ภาพดอก: ศรีพังงา พังงา, ภาพผล: cultivated; - RP)
the name Scaevola taccada (Goodeniaceae) with a conserved type. Taxon
46: 801-802.

372

สารานุกรมพืชในประเทศไทย รัง

รักทะเล: ไม้พุ่ม แตกกงิ่ หนาแนน่ โคนใบสอบเรยี วจรดลำ� ตน้ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุก ดอกสมมาตรด้านข้าง แยก รกั ใหญ่: ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ดอกจ�ำนวนมาก เกสรเพศผ้จู ำ� นวนมากตดิ บนฐานดอก กลีบดอกขยายเป็นปีก
จรดโคนด้านเดียว กลบี ดอกรูปใบพาย ผลสกุ สขี าวครีม กลบี เลยี้ งตดิ ทน (ภาพ: บางเบิด ชมุ พร - RP) ในผล (ภาพดอก: วัดจันทร์ เชียงใหม่ - PK; ภาพผล: เชียงใหม่ - SSi)

สแคโวลา: S. aemula ไมล้ ้มลกุ ทอดนอน (ภาพ: cultivated - RP) น้�ำเกลีย้ ง: G. laccifera ช่อดอกสั้น ผลขนาดใหญก่ วา่ แตป่ กี สน้ั กว่า (ภาพ: อุบลราชธานี - RP)

รกั ใหญ่ รัง

Gluta usitata (Wall.) Ding Hou Shorea siamensis Miq.
วงศ์ Anacardiaceae วงศ์ Dipterocarpaceae

ชอ่ื พอ้ ง Melanorrhoea usitata Wall. ไม้ตน้ ผลัดใบ สงู 10-20 ม. เปลือกหนาแตกเป็นสะเก็ดตามยาว สีเทา หูใบรปู ไข่
ยาว 1-2 ซม. ตดิ ทน ใบรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 6.5-20 ซม. ปลายแหลม
ไม้ตน้ สงู 5-25 ม. มีขนสัน้ หนานุ่มตามกิง่ ออ่ น ชอ่ ดอก กลบี เลย้ี งดา้ นใน หรอื มน โคนเวา้ ลกึ แผน่ ใบเกลย้ี งหรอื มขี นสน้ั นมุ่ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 12-20 เสน้
และกลบี ดอกทง้ั สองดา้ น ใบเรยี งเวยี น รปู รี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรปู ไขก่ ลบั ยาว กา้ นใบยาว 1.5-4 ซม. ชอ่ ดอกยาว 5-15 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 3 มม. กลบี เลยี้ ง
12-36 ซม. ปลายมน กลม หรอื แหลม แผ่นใบหนา มขี นประปราย เส้นแขนงใบ ยาวประมาณ 0.5 มม. มีขนละเอยี ด ดอกสีขาวครีมหรอื เหลืองออ่ น กลบี ดอก
ขา้ งละ 15-28 เสน้ เสน้ แขนงใบยอ่ ยแบบขน้ั บนั ได กา้ นใบยาว 1.5-3 ซม. ชอ่ ดอก รูปรี เรยี งเวยี นพบั ลง กวา้ ง 1-1.3 ซม. ยาว 1.5-2 ซม. ดา้ นนอกมขี นละเอียด
แบบชอ่ แยกแขนง ยาวได้ถึง 35 ซม. ดอกจ�ำนวนมาก กา้ นดอกยาวได้ถึง 1 ซม. เกสรเพศผู้ 15 อัน ขนาดไมเ่ ทา่ กัน เกลยี้ ง รงั ไข่เกล้ยี ง ยอดเกสรเพศเมียจัก 3 พู
กลบี เลยี้ งคลา้ ยหมวกแฉกลกึ ดา้ นเดยี ว ยาวไดถ้ งึ 7 มม. รว่ งเรว็ ดอกสขี าวอมชมพู ปลายมขี นครยุ ผลเกลยี้ ง รูปรีเกือบกลม ยาว 1.5-2 ซม. ปลายมีต่ิงแหลม ยาว
มี 5-7 กลีบ รูปขอบขนาน ยาวประมาณ 1 ซม. ขยายในผล ปลายแหลมหรือมน 2-3 มม. ปกี ยาว 3 ปกี ยาว 5-9 ซม. ปีกสั้น 2 ปีก ยาว 3-6 ซม. ผลออ่ นปกี สีแดง
เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก ตดิ บนฐานดอก (torus) ยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก รงั ไขม่ ชี อ่ งเดยี ว (ดขู อ้ มูลเพ่ิมเตมิ ท่ี พะยอม, สกุล)
มกี า้ นสน้ั ๆ กา้ นเกสรเพศเมยี สน้ั ยอดเกสรมขี นยาว ผลผนงั ชน้ั ในแขง็ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
1-3 ซม. ปกี ที่ขยายมาจากกลบี ดอกรปู ขอบขนาน ยาว 5-10 ซม. ปลายปกี มน พบท่ีพม่า ภูมิภาคอินโดจีนจนถึงทางตอนบนของคาบสมุทรมลายู ในไทยพบ
มีเสน้ กลีบ ก้านผลยาว 1.5-2 ซม. มีเมลด็ เดยี ว ทกุ ภาค ขนึ้ ตามปา่ เตง็ รงั หรอื ปา่ เตง็ รงั ผสมสนเขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1300 เมตร
ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ พบบนเขาหินปนู หรอื โขดหินรมิ ทะเล
พบทอ่ี นิ เดยี พมา่ และลาว ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ข้ึนตามป่าเต็งรัง ป่าสน หรือป่าดิบแล้ง ความสูงถึง เอกสารอ้างองิ
ประมาณ 1300 เมตร นำ�้ ยาง เรยี กวา่ นาํ้ รกั หรอื ยางรกั ใชล้ งพน้ื หรอื ทาเครอื่ งเรอื น Ashton, P. (1982). Dipterocarpaceae. In Flora Malesiana Vol. 9: 466.
แตร่ ะคายเคอื งตอ่ ผวิ หนงั ทำ� ใหพ้ องเปน็ ตมุ่ นำ้� ใส เชน่ เดยี วกบั นำ้� เกลย้ี ง G. laccifera Smitinand, T., J.E. Vidal and P.H. Hô. (1990). Dipterocarpaceae. Flore du
(Pierre) Ding Hou ช่อดอกส้นั ผลขนาดใหญก่ ว่าแต่ปีกส้ันกว่า พบในภูมิภาคอนิ โดจนี Cambodge, du Laos et du Vietnam. 25: 94.
ในไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ยางรักผสมน�้ำผึ้งมี
สรรพคุณแกโ้ รคผวิ หนังท่ีเกดิ จากพยาธิ รัง: ถิน่ ทอี่ ยบู่ นโขดหินริมทะเล ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ดอกสขี าวครมี หรอื เหลอื งอ่อน เรียงเวยี นพบั ลง ผลเกลยี้ ง
ผลออ่ นปกี สแี ดง (ภาพถนิ่ ท่ีอยู่: เกาะชา้ ง ตราด - MP; ภาพดอก: เขาพระวิหาร ศรีสะเกษ - RP; ภาพผล: ตาก - RP)
สกลุ Gluta L. อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Anacardioideae เผ่า Anacardieae มีประมาณ
22 ชนิด สว่ นมากพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในไทยมี 11 ชนิด ช่ือสกลุ
มาจากภาษาละติน “gluten” หรอื “glutus” หมายถงึ ติดแน่นหรอื กาว ตามลกั ษณะ
ของนำ้�ยาง

เอกสารอา้ งอิง
Chayamarit, K. (2010). Anacardiaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 284-292.

373

รางจืด สารานุกรมพืชในประเทศไทย

รางจืด, สกลุ รางจดื : ใบเรยี งตรงข้าม รปู ขอบขนาน ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ ออกตามปลายกง่ิ ใบประดบั คลา้ ยใบ ดอกรูปแตร
กลีบดอกขนาดเทา่ ๆ กัน เกสรเพศผไู้ มย่ น่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอก (ภาพ: cultivated - RP)
Thunbergia Retz.
วงศ์ Acanthaceae รางจืดภคู า: ชอ่ ดอกเปน็ กระจกุ ส้ัน ๆ ตามซอกใบ ใบประดับย่อยคลา้ ยกาบหุม้ กลีบเลีย้ ง ดอกรูปแตร ผลฐานกลม
ปลายเป็นจะงอย แหง้ แตก (ภาพ: ดอยภูคา นา่ น; ภาพดอก - RP, ภาพผล - SSi)
ไม้เถาล้มลกุ หรอื ไม้พุ่ม ใบเรียงตรงข้าม ดอกออกเด่ียว ๆ หรอื เป็นชอ่ แบบ
ช่อกระจะ ชอ่ ยอ่ ยแบบช่อกระจกุ ใบประดับคล้ายใบ 2 ใบ ใบประดับยอ่ ย 2 ใบ ราชพฤกษ์, สกุล
หมุ้ กลบี เลยี้ ง กลบี เลยี้ งรปู ถว้ ย ขอบจกั ตนื้ ๆ รปู ลม่ิ แคบ หรอื เรยี บ ดอกรปู แตร
ปลายแยกเปน็ 5 กลีบ บดิ เวียนในตาดอก เกสรเพศผู้อนั ยาว 2 อัน อนั สั้น 2 อนั Cassia L.
ตดิ ใกลโ้ คนหลอดกลีบดอก ไมย่ ่ืนพน้ ปากหลอด อับเรณมู ี 2 พู จานฐานดอก วงศ์ Fabaceae
คลา้ ยเบาะ มีต่อมนำ�้ ต้อย รังไขม่ ี 2 ช่อง แตล่ ะชอ่ งมีออวุล 2 เม็ด กา้ นเกสรเพศเมีย
เรียวยาว ยอดเกสรจัก 2 พู เรียบหรือจักชายครุย ผลแห้งแตก 2 ซีกตามยาว ไมต้ น้ ใบประกอบเรยี งเวยี นหรอื เรยี งสลบั ระนาบเดยี ว แกนและกา้ นใบไมม่ ตี อ่ ม
ปลายเปน็ จะงอย มี 2-4 เมล็ด เรียบ ใบยอ่ ยเรยี งตรงขา้ ม ไมม่ หี ใู บยอ่ ย ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนงหรอื ชอ่ กระจะ กา้ นดอก
มใี บประดบั 2 ใบ ทโี่ คนหรือเหนือโคนเล็กนอ้ ย กลีบเลีย้ ง 5 กลบี พับงอกลบั
สกลุ Thunbergia อยภู่ ายใต้วงศย์ ่อย Thunbergioideae มปี ระมาณ 90 ชนิด ดอกสมมาตรดา้ นขา้ ง มี 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 10 อนั ยาว 3 อนั หน้ากลบี ดอก
พบในแอฟรกิ า มาดากัสการ์ และเอเชยี เขตร้อน ในไทยมีพืชพื้นเมอื งประมาณ กา้ นชอู ับเรณูโคง้ งอ เกสรเพศผู้ 7 อนั ส้นั กว่า กา้ นชอู ับเรณูตรง หรือ 3 อนั ลดรูป
8 ชนดิ และนำ�เขา้ มาเป็นไมป้ ระดบั 3 ชนดิ ชือ่ สกลุ ต้งั ตามนกั พฤกษศาสตร์ ขนาดเลก็ อบั เรณแู ตกหรอื มรี เู ปดิ ทโี่ คนหรอื ปลาย ผลรปู ทรงกระบอก หรอื แบน
ชาวสวีเดน Carl Peter Thunberg (1743-1828) แหง้ ไม่แตก เมลด็ จำ� นวนมาก เรยี ง 1-2 แถว เมล็ดมีกา้ น

รางจดื สกลุ Cassia อยภู่ ายใต้วงศย์ อ่ ย Caesalpinioideae เผ่า Cassieae มปี ระมาณ
30 ชนิด ในไทยเปน็ พืชพ้นื เมือง 2-3 ชนดิ อนงึ่ สกุลทเี่ คยอยภู่ ายใต้สกุล Cassia
Thunbergia laurifolia Lindl. ปจั จุบนั ได้แยกเป็นสกุลตา่ งหาก ได้แก่สกุล Senna กลบี ดอกขนาดเทา่ ๆ กัน
ไมเ้ ถา ยาวมากกวา่ 10 ม. ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรือแกมรูปไข่ ช่วงโคนใบ เกสรเพศผูไ้ มโ่ ค้ง และสกุล Chamaecrista กลีบดอกขนาดไม่เท่ากัน แต่ไมม่ ี
ใบประดบั ยอ่ ย และผลแหง้ แตกขดเปน็ วง ช่อื สกลุ มาจากภาษากรีกโบราณ
บางคร้ังจักตื้น ๆ ยาว 4-18 ซม. ปลายแหลมหรอื แหลมยาว โคนกลม ตัด เวา้ ตน้ื “kasia” หรอื “kassia” ท่ใี ช้เรยี กพชื ท่มี กี ลน่ิ หอม
หรือคลา้ ยลกู ศร ขอบจักซ่ีฟนั ตน้ื ๆ ห่างๆ แผน่ ใบเกล้ียง เส้นโคนใบสว่ นมากมี
ขา้ งละ 2 เสน้ กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 6 ซม. ชอ่ ดอกยาวไดถ้ งึ 30 ซม. แตล่ ะกระจกุ มปี ระมาณ ราชพฤกษ์
4 ดอก กา้ นดอกยาว 1-3 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยห้มุ กลบี เลย้ี ง รูปขอบขนาน ยาวได้ถึง
3 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ถว้ ยขนาดเลก็ ขอบเกอื บเรยี บ มตี อ่ มนำ้� ตอ้ ย ดอกสมี ว่ งอมนำ�้ เงนิ Cassia fistula L.
หรือสขี าว ด้านในสคี รีมอมเหลือง หลอดกลีบดอกยาว 3-5 ซม. กลีบกลมหรอื ไม้ต้น สูงไดถ้ ึง 15 ม. หูใบขนาดเล็ก ร่วงเรว็ ใบประกอบยาว 30-40 ซม. มใี บย่อย
รปู ไข่กว้าง ยาว 2-4 ซม. กา้ นชอู ับเรณู ยาว 0.8-1 ซม. อับเรณูยาวเท่า ๆ กา้ นชูอับเรณู
รังไข่เกลี้ยง ผลเส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 1.5 ซม. จะงอยยาว 1.5-3 ซม. 3-8 คู่ รูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 7-13 ซม. ปลายแหลม โคนรูปล่มิ กา้ นใบยอ่ ย
ยาว 0.5-1 ซม. ชอ่ ดอกห้อยลง ยาว 20-60 ซม. ใบประดบั ยาวประมาณ 1 ซม.
พบทอี่ นิ เดยี พมา่ และมาเลเซยี ในไทยพบกระจายหา่ งๆ ทกุ ภาค พบมากทาง ร่วงเรว็ ก้านดอกยาว 3-5 มม. กลีบเลีย้ งรปู ไขแ่ คบ ยาว 1-1.5 ซม. ดอกสเี หลอื ง
ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ ขน้ึ ตามชายปา่ เบญจพรรณ และปา่ ดบิ แลง้ ความสงู ถงึ ประมาณ กลบี รูปไขก่ วา้ ง ยาว 2.5-3.5 ซม. มกี า้ นสน้ั ๆ เกสรเพศผ้อู ันยาว 3 อนั ก้านชูอบั เรณู
800 เมตร เป็นไม้ประดบั หรอื ขนึ้ เปน็ วชั พืช คลา้ ยกบั สร้อยอินทนิล T. grandiflora ยาว 3-4 ซม. โคง้ งอ อับเรณูยาวประมาณ 5 มม. มีรเู ปิดที่โคน อันส้ัน 4 อนั
(Roxb. ex Rottler) Roxb. ทีใ่ บจักเป็นพู และชอ่ ดอกยาวกว่า มสี รรพคณุ ใช้ กา้ นชอู ับเรณยู าว 0.6-1 ซม. ตรง ลดรปู 3 อัน รงั ไขแ่ ละก้านเกสรเพศเมยี มขี น
ถอนพษิ แกผ้ ื่นคนั จากอาการแพต้ ่าง ๆ ก�ำมะหยี่ ฝักรปู ทรงกระบอก หอ้ ยลง ยาว 20-60 ซม. เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม.
เมลด็ รปู รี แบน สนี ้�ำตาลเป็นเงา ยาวประมาณ 1 ซม. มีผนังก้ันบาง ๆ
รางจดื ภคู า
มถี นิ่ กำ� เนดิ ทอ่ี นิ เดยี ศรลี งั กา และชวา เปน็ ไมป้ ระดบั หรอื ขนึ้ ตามปา่ เบญจพรรณ
Thunbergia colpifera B. Hansen และป่าเต็งรัง เป็นดอกไม้ประจ�ำชาติของไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ 2
ไม้พมุ่ สูงได้ถึง 1 ม. ล�ำตน้ เกลย้ี ง ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน ยาว 19-28 ซม. ตุลาคม 2544 และภาพดอกยังเป็นภาพสัญลักษณ์ประจ�ำชาติไทย (Nation
Identity) ตามมตคิ ณะกรรมการเอกลักษณข์ องชาติ เมอ่ื วันที่ 27 ธันวาคม 2547
ปลายแหลมยาวหรอื ยาวคล้ายหาง โคนเรยี วสอบ เสน้ แขนงใบข้างละ 6-7 เสน้
ชอ่ ดอกเปน็ กระจุกส้ัน ๆ ตามซอกใบ มี 2-4 ดอก ใบประดับรูปใบหอก ยาว
5-6 มม. กา้ นดอกยาวประมาณ 1.5 ซม. ใบประดบั ย่อยคลา้ ยกาบห้มุ กลีบเลยี้ ง
รปู ไข่ ยาว 1.5-2.5 ซม. กลีบเล้ยี งจกั ซฟ่ี ันตนื้ ๆ ไม่เท่ากนั ยาวประมาณ 2 มม.
ดอกสีขาว ดา้ นในมีปืน้ สแี ดงอมมว่ ง หลอดกลีบดอกยาว 2.5-2.8 ซม. ดา้ นในมขี น
และตอ่ มชว่ งโคน กลบี ปากรปู กลม ขอบมขี นครยุ กลบี บน 2 กลบี กว้างประมาณ
5 มม. ยาวประมาณ 7 มม. กลบี ลา่ ง 3 กลบี รปู รกี วา้ ง กลีบกลางขนาดใหญก่ ว่า
กลบี ขา้ งเลก็ นอ้ ย ยาวประมาณ 9 มม. กา้ นชอู บั เรณยู าว 4-6 มม. มตี อ่ มหนาแนน่
อับเรณูยาวประมาณ 6 มม. มีรยางค์เป็นขน รังไข่และก้านเกสรเพศเมียเกล้ียง
ผลฐานกลม เสน้ ผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม จะงอยรปู ดาบ ยาว 1.5-2 ซม.
ก้านผลยาวได้ถงึ 2.3 ซม.

พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทด่ี อยภคู า จงั หวดั นา่ น ขน้ึ ตามปา่ ดบิ เขา
ความสงู 1500-1600 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Hansen, B. (1995). Notes on SE Asian Acanthaceae 2. Nordic Journal of Botany
15(6): 583-585.
Hu, J.Q. and T.F. Daniel. (2011). Acanthaceae (Thunbergia). In Flora of China
Vol. 19: 377.
Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
Press, Honolulu, Hawai`i.

374

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย ราชาวดีหลวง

เปลอื กใชย้ อ้ มสีใหส้ ีแดง เนื้อในฝกั และเมลด็ เปน็ ยาระบาย สว่ น คนู ขาว Cassia ราชาวดหี ลวง
x nealiae H. S. Irwin & Barneby เป็นลกู ผสมระหวา่ ง C. javanica L. ที่มี
ก้านชอู ับเรณโู ป่งกลาง และ C. fistula L. ที่ดอกหอ้ ยลง ซงึ่ ตัง้ ตามนกั พฤกษศาสตร์ Buddleja macrostachya Wall. ex Benth.
ชาวฮาวาย Marie C. Neal ดอกมีทั้งสขี าว สคี รีม สีเหลือง หรือสสี ้มอมแดง ไมพ้ มุ่ สงู ไดถ้ งึ 5 ม. มขี นกระจกุ ตามกง่ิ ออ่ น แผน่ ใบ กลบี เลยี้ งและหลอดกลบี ดอก

เอกสารอา้ งองิ ดา้ นนอก หลอดกลบี ดอก และผล ใบรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 4-4.5ซม.
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae. ปลายแหลมยาว โคนรปู ล่ิมหรือเรยี วสอบจรดล�ำตน้ ขอบจกั มน เส้นแขนงใบข้างละ
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 103-105. 15-25 เส้น ไรก้ า้ นหรอื เกือบไร้กา้ น ชอ่ ดอกแบบช่อเชงิ ลด ออกทีป่ ลายกงิ่ ยาว
Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum 5-20 ซม. เรยี งหนาแนน่ หลอดกลบี เลยี้ งยาว 3-6 มม. กลบี รปู สามเหลยี่ ม ยาวประมาณ
Press, Honolulu, Hawai`i. 2 มม. ดอกสีชมพอู มมว่ ง ปากหลอดสีสม้ หลอดกลีบดอกยาว 0.8-1 ซม. กลีบกลม
ยาว 2-4 มม. อับเรณูยาวประมาณ 2 มม. รังไข่มขี นกระจกุ สนั้ นมุ่ กา้ นเกสรเพศเมยี
ยาว 0.5-3 มม. ยอดเกสรรูปคลา้ ยกระบอง ผลแห้งแตก รูปรี ยาว 0.7-1 ซม.

พบทีอ่ ินเดีย ภฏู าน บงั กลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ และเวียดนาม ในไทยพบทาง
ภาคเหนอื ทดี่ อยเชยี งดาวและดอยผา้ หม่ ปก จงั หวดั เชยี งใหม่ ขนึ้ ตามทโ่ี ลง่ บนเขาหนิ ปนู
ความสงู 1600-2200 เมตร

เอกสารอา้ งองิ
Li, B. and A.J.M. Leeuwenberg. (1996). Loganiaceae. In Flora of China Vol. 15:
329-337.
Opie, P. and J. Parnell. (2002). Buddlejaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(4): 655-661.

ราชพฤกษ์: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ห้อยลง ดอกสีเหลอื ง ฝักรูปทรงกระบอก (ภาพซา้ ย: cultivated - RP); คนู ขาว: ราชาวดี: ช่อดอกแบบชอ่ เชงิ ลด ออกเดีย่ ว ๆ หรือแยกแขนง ปากหลอดกลีบดอกมีขนสั้นนมุ่ (ภาพซา้ ย:
Cassia x nealiae ดอกมีท้ังสขี าว สีครีม สีเหลอื ง กา้ นชอู บั เรณูโปง่ กลาง (ภาพขวา: cultivated - RP) กาญจนบรุ ี - SSi; ภาพขวาบน: ดอยเชียงดาว เชยี งใหม่ - PK; ภาพขวาล่าง: form ของต้นท่ีเปน็ ไมป้ ระดบั - RP)

ราชาวดี, สกลุ ราชาวดีหลวง: ถ่นิ ท่ีอยูบ่ นท่โี ลง่ เขาหินปนู ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ออกทป่ี ลายก่งิ มีแต้มสีสม้ ทป่ี ากหลอดกลีบดอก
(ภาพ: ดอยเชียงดาว เชยี งใหม่ - SSi)
Buddleja L.
วงศ์ Scrophulariaceae ราชาวดีม่วง: B. davidii ชอ่ ดอกคล้ายชอ่ กระจุกแยกแขนง ดอกสีม่วง หลอดกลีบดอกเกลีย้ ง ปากหลอดกลบี ดอกสสี ม้
และมหี ลายสายพันธุ์ (ภาพ: cultivated - RP)
ไม้พมุ่ หรอื รอเลื้อย หูใบคลา้ ยใบหรือลดรูป ลำ� ตน้ มักเป็นส่ีเหล่ยี ม ใบสว่ นมาก
เรยี งตรงขา้ ม ขอบเรยี บหรอื จกั ซฟ่ี นั ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ กระจกุ แยกแขนง ชอ่ เชงิ ลด
หรอื ชอ่ แยกแขนง ช่อกระจุกย่อยมี 1-3 ดอก ใบประดับคล้ายใบ ดอกสมบูรณเ์ พศ
หรือมีเพศเดยี ว กลบี เล้ียงรปู ถว้ ย ปลายแยกเปน็ 4 กลีบ ติดทน ดอกรปู ระฆัง
รูปดอกเขม็ หรอื รปู แตร มี 4 กลีบ เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม ปากหลอดกลบี มักมขี นสนั้ นมุ่
เกสรเพศผู้ 4 อนั ตดิ ภายในหลอดกลบี ระหวา่ งกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู นั้ หรอื ไรก้ า้ น
อบั เรณตู ดิ หนั เขา้ โคนแฉกลึกรูปหวั ใจ รงั ไขม่ ี 2-4 ชอ่ ง ออวลุ จำ� นวนมาก ยอด
เกสรเพศเมยี เปน็ ต่มุ หรอื จกั 2 พู ผลแหง้ แตกตามรอยประสานหรือผลสด เมล็ด
ขนาดเล็กจ�ำนวนมาก มีปีกท่ปี ลายท้งั สองดา้ น

สกลุ Buddleja เคยอยูภ่ ายใต้วงศ์ Buddlejaceae และ Loganiaceae พบในเขตรอ้ น
ทั้งในอเมรกิ า แอฟรกิ า และเอเชยี มปี ระมาณ 125 ชนิด ในไทยมีพชื พน้ื เมือง
2 ชนิด และหลายชนิดพบเปน็ ไม้ประดับ เช่น ราชาวดมี ว่ ง B. davidii Franch.
ที่ช่อดอกคล้ายชอ่ กระจุกแยกแขนง มีหลากสายพันธ์ุ ชื่อสกลุ ตัง้ ตามนักพฤกษศาสตร์
ชาวองั กฤษ Adam Buddle (1660-1715)

ราชาวดี

Buddleja asiatica Lour.
ไม้พุ่ม สงู ไดถ้ ึง 5 ม. มขี นกระจกุ สั้นนุ่มหนาแน่นตามก่งิ อ่อน แผน่ ใบดา้ นลา่ ง

ชอ่ ดอก กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกดา้ นนอก ใบรปู ไข่ รปู ขอบขนาน หรอื รปู ใบหอก ยาว
ได้ถงึ 16 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเรยี วสอบ ขอบจกั ฟันเลือ่ ย กา้ นใบยาว 0.2-1.5 ซม.
ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ ลด ยาวไดถ้ งึ 30 ซม. บางครงั้ แยกแขนง กา้ นดอกยาวประมาณ
2 มม. หลอดกลบี เล้ยี ง ยาว 1.5-4.5 มม. กลีบรูปสามเหลี่ยมแคบ ยาวประมาณ
1.5 มม. ดอกสขี าวหรอื อมเขียว หลอดกลบี ยาว 2.5-6 มม. กลบี กลม ยาว 1-1.7 มม.
ขอบเรยี บหรอื จกั เปน็ คลนื่ อบั เรณยู าวประมาณ 1 มม. รงั ไขเ่ กลย้ี งหรอื มเี กลด็ รงั แค
ปลายเรยี วยาวเปน็ ก้านเกสรเพศเมีย ยาวไดถ้ ึง 3.5 มม. ผลแห้งแตก รปู รี ยาว 3-5 มม.

พบทอี่ นิ เดยี บงั กลาเทศ เนปาล จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี
นวิ กนิ ี และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามทโี่ ลง่ ชายปา่ ความสงู 200-2500 เมตร
และเป็นไม้ประดบั ดอกขยี้ใช้ทาแกโ้ รคผิวหนงั ใบและก่ิงอาจมพี ษิ ใชเ้ บื่อปลา ตน้ ที่
เปน็ ไม้ประดบั ใบสว่ นมากรปู ไข่ ดอกหนาแน่น มักเข้าใจวา่ เปน็ B. paniculata
Wall. ทข่ี อบใบเรยี บ ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ กระจกุ แยกแขนงสนั้ ๆ ดอกมที งั้ สมี ว่ ง ชมพู และ
ขาว หลอดกลีบดอกยาว 0.6-1 ซม. รังไขม่ ขี น และยอดเกสรเพศเมียรปู กระบอง

375

รามใหญ่ สารานกุ รมพืชในประเทศไทย

รามใหญ่ สกุล Cascabela Raf. พบในอเมริกาเขตรอ้ น มี 5 ชนิด ช่ือสกลุ มาจากภาษาสเปน
“cascavel” หรือ “cascabela” หมายถงึ ระฆังขนาดเลก็ ตามลักษณะดอก ส่วน
Ardisia elliptica Thunb. คำ�ระบุชนิดต้ังตามชอ่ื พระชาวฝรง่ั เศสทเ่ี คยเดนิ ทางเผยแผ่ศาสนาและส�ำ รวจ
วงศ์ Primulaceae พรรณไมใ้ นบราซิล Andre Thevet (1520-1592)
เอกสารอา้ งองิ
ไม้พุ่ม ส่วนมากสูงไม่เกนิ 4 ม. ใบเรยี งเวียน รูปรี รูปขอบขนาน หรือแกมรูปไข่ ประชดิ วามานนท.์ (2536). พรรณพชื ทางประวตั ิศาสตร์ในพระบรมราชวงศแ์ หง่ กรงุ สยาม.
ยาว 6-12 ซม. ปลายแหลมหรอื มน ขอบเรยี บ แผ่นใบมตี อ่ มกระจาย เส้นแขนงใบ
ไมช่ ัดเจน กา้ นใบยาว 1-1.5 ซม. ชอ่ ดอกคล้ายชอ่ เชงิ หล่นั ออกเปน็ กระจุกตามซอกใบ วันต้นไมป้ ระจำ�ปีแหง่ ชาติ 2536. กองสวนสาธารณะ ส�ำ นกั สวัสดิการสงั คม กรงุ เทพฯ.
เรยี งหนาแน่นช่วงปลายชอ่ กา้ นชอ่ ยาว 1.5-2.5 ซม. กา้ นดอกยาว 0.8-1.5 ซม. Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae (Thevetia periviana). In Flora of Thailand
กลบี เลยี้ งยาวประมาณ 3 มม. มี 5 กลบี เรยี งซอ้ นเหลอื่ ม แฉกลกึ เกนิ กง่ึ หนง่ึ รปู ไขก่ วา้ ง
ปลายมน มตี ่อมกระจาย ขอบมขี นครุย ดอกสีชมพู หลอดกลีบดอกส้นั มี 5 กลีบ Vol. 7(1): 69-70.
รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 8-9 มม. ปลายแหลมยาว มตี อ่ มเปน็ แนวประปราย
เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ใกลโ้ คนหลอดกลบี กา้ นชอู บั เรณสู น้ั อบั เรณรู ปู ใบหอก ยาว รำ� เพย: ใบเรียงเวยี น รูปแถบ ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุก ดอกรปู ลำ� โพง กลบี ดอกบิดเวียน เรียงซอ้ นเหลอ่ื ม ผลมี 2 ซีก
ประมาณ 5 มม. ปลายเปน็ ตง่ิ แหลม ดา้ นนอกมจี ดุ โปรง่ ใสหรอื สนี ำ้� ตาลออ่ นกระจาย เช่อื มตดิ กนั คลา้ ยรปู สามเหลี่ยมกลับ (ภาพ: cultivated - RP)
รงั ไขเ่ กลยี้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 6 มม. ผลผนงั ชนั้ ในแขง็ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
ประมาณ 6 มม. สกุ สดี �ำ เรด้า

พบทีอ่ ินเดยี ศรีลงั กา จนี ตอนใต้ ญี่ปุน่ กัมพูชา เวียดนาม ภูมิภาคมาเลเซยี Holmskioldia sanguinea Retz.
ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และนวิ กนิ ี ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกและภาคใต้ ขน้ึ ตามชายปา่ ดบิ ชนื้ วงศ์ Lamiaceae
ใกลช้ ายฝง่ั ทะเล ปา่ โกงกาง ปา่ ชายหาด และเปน็ ไมป้ ระดบั หรอื พชื สมนุ ไพร บางพน้ื ที่
กลายเป็นวชั พชื สว่ นต่าง ๆ มสี รรพคณุ ต้านเชอ้ื แบคทีเรีย ไมพ้ มุ่ หรอื รอเลอ้ื ย ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 3-12 ซม.
ปลายแหลมยาวหรอื ยาวคลา้ ยหาง ขอบเรยี บหรอื จกั ฟนั เลอ่ื ยหา่ ง ๆ กา้ นใบยาว
สกลุ Ardisia Sw. เดมิ อยู่ภายใต้วงศ์ Myrsinaceae ปจั จบุ นั อย่วู งศ์ย่อย Myrs- 0.8-3 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ หรอื คลา้ ยชอ่ กระจะ ออกตามซอกใบหรอื ปลายกง่ิ
inoideae มีประมาณ 450 ชนิด พบในอเมรกิ า เอเชีย ออสเตรเลีย และหมู่เกาะ ช่อกระจกุ เรยี งตรงข้าม 2-6 ชอ่ แต่ละชอ่ มี 1-3 ดอก ก้านดอกยาวไดถ้ งึ 1 ซม.
แปซิฟิก ในไทยมี 72 ชนิด ชอื่ สกุลมาจากภาษากรีก “ardis” ปลายแหลม ตาม ใบประดับคล้ายใบส่วนมากมีตามช่อดอกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงหลอดกลีบสั้น
ลักษณะอบั เรณู ปลายแผ่เป็นแผ่นกลมสสี ้มหรอื เหลอื ง เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 2-2.5 ซม. ตดิ ทน
เอกสารอา้ งอิง ดอกสสี ้มอมแดง กลบี รปู ปากเปิด หลอดกลีบดอกยาว 1.5-1.7 ซม. โคง้ งอ ด้านนอก
Chen, J. and J.J. Pipoly. (1996). Myrsinaceae. In Flora of China Vol. 15: 14. มขี นละเอยี ด กลีบปากกลบี บน 4 กลบี ขนาดเลก็ กลบี ลา่ งยาวกวา่ 2 เท่าของ
Larsen, K. and C.M. Hu. (1996). Myrsinaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(2): 128. กลบี บน เกสรเพศผอู้ นั สนั้ 2 อนั ยาว 2 อนั ยน่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอก รงั ไขเ่ กลยี้ ง
มี 4 ชอ่ ง แตล่ ะชอ่ งมอี อวลุ เมด็ เดยี ว กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวเทา่ ๆ เกสรเพศผู้ ยอดเกสร
รามใหญ่: เส้นแขนงใบไม่ชดั เจน ดอกเรียงหนาแน่นชว่ งปลายช่อ อบั เรณูปลายเป็นตงิ่ แหลม ด้านนอกมจี ุดโปรง่ ใส แยก 2 แฉก ผลคล้ายผลผนงั ช้นั ในแขง็ แยกเปน็ 1-4 ผลยอ่ ย
หรอื สนี ำ้� ตาลอ่อน ผลสกุ สีดำ� (ภาพ: สงิ หนคร สงขลา - RP)
มถี น่ิ กำ� เนดิ ทอ่ี นิ เดยี และปากสี ถาน เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไปในเขตรอ้ น ใบและเปลอื ก
ร�ำ เพย มสี รรพคุณแก้โรคไขขอ้ อักเสบ โรคบดิ ปวดหวั และความดันสงู

Cascabela thevetia (L.) Lippold สกลุ Holmskioldia Retz. เดิมอยภู่ ายใตว้ งศ์ Verbenaceae มเี พียงชนดิ เดียว
วงศ์ Apocynaceae หลายชนดิ ถกู ย้ายไปสกุล Karomia รวมถงึ เรดา้ ม่วง K. tettensis (Klotzsch) R.
Fern. มีถนิ่ กำ�เนดิ ในแอฟริกา แผ่นกลีบเลี้ยงและกลบี ดอกสมี ่วง ช่ือสกุลต้งั ตาม
ชื่อพอ้ ง Cerbera thevetia L., Thevetia peruviana (Pers.) K. Schum. นักพฤกษศาสตรช์ าวดตั ช์ Theodor Holmskjold (1732-1794)
เอกสารอ้างองิ
ไมพ้ ่มุ สงู ได้ถึง 4 ม. น้�ำยางสีขาว ใบเรยี งเวยี น รูปแถบ ยาว 6-12 ซม. มตี อ่ ม Moldenke, H.N. and A.L. Mildenke. (1983). Verbenaceae. A revised handbook
ตามซอกใบ เสน้ ใบไมช่ ดั เจน กา้ นใบสน้ั ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ มี 5-8 ดอก บาน
คร้งั ละ 1-2 ดอก กลีบเลีย้ ง 5 กลบี รปู สามเหลีย่ มแคบ ยาว 0.7-1 ซม. ติดทน ดอก to the Flora of Ceylon Vol. 4: 476-480.
สเี หลอื ง รูปลำ� โพง กลีบดอกเรียงซ้อนทบั ดา้ นซ้ายในตาดอก หลอดกลีบดอกยาว Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
2.5-3 ซม. มี 5 กลีบ รปู ขอบขนาน บดิ เวียน เรยี งซ้อนเหล่อื ม ยาวประมาณ 3 ซม.
ดา้ นในมขี นสน้ั นมุ่ กะบงั ขนาดเลก็ อยดู่ า้ นบนและลา่ งของเกสรเพศผู้ มขี นสน้ั นมุ่ Press, Honolulu, Hawai`i.
เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ประมาณก่งึ กลางหลอดกลีบดอก จานฐานดอกสงู ประมาณ
1 มม. คารเ์ พล 2 อนั เชอื่ มตดิ กนั ครงึ่ ลา่ ง กา้ นเกสรเพศเมยี รปู เสน้ ดา้ ย ยาวประมาณ เรด้า: ชอ่ กระจกุ เรยี งตรงขา้ ม หลอดกลบี เลย้ี งแผ่เปน็ แผ่นกลม ด้านนอกมขี นละเอียด (ภาพ: cultivated - RP)
1 ซม. ผลผนงั ชน้ั ในแขง็ ยาว 3-5 ซม. 2 ซกี เชอื่ มตดิ กนั คลา้ ยรปู สามเหลยี่ มกลบั
แต่ละซกี มีเมล็ดเดียว แบน มปี ีกเลก็ ๆ เรดา้ มว่ ง: แผ่นกลบี เลีย้ งและกลบี ดอกสีม่วง (ภาพ: cultivated - RP)

มถี นิ่ กำ� เนดิ ในอเมรกิ าเขตรอ้ น เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไป มหี ลากสายพนั ธ์ุ อนงึ่ ชอื่
รำ� เพย ไดร้ บั พระราชทานนามจากรชั กาลท่ี 3 เพอ่ื เปน็ เกยี รตแิ ดพ่ ระองคเ์ จา้ รำ� เพย
ภมรภริ มย์ ภายหลงั ไดเ้ ปน็ กรมสมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทรท์ รามาตย์ ในรชั กาลท่ี 4 และ
เปน็ พระราชชนนขี องรชั กาลที่ 5 ซงึ่ ตอ่ มาทรงโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานดอกรำ� เพย
เปน็ ตราเคร่ืองหมายประจ�ำโรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์

376

สารานุกรมพชื ในประเทศไทย ละหงุ่ เครอื

แรดหนุนหิน สกลุ Porana Burm. f. มีหลายชนดิ ถกู แยกเปน็ สกุลอนื่ ๆ เชน่ Dinetus, Poranopsis,
และ Tridynamia ปจั จบุ นั มี 2 ชนดิ พบในเอเชยี และเม็กซิโกอยา่ งละ 1 ชนดิ ชอื่ สกุล
Loeseneriella pauciflora (DC.) A. C. Sm. มาจากภาษากรีก “poreno” ทอ่ งเที่ยว หมายถงึ เป็นไมเ้ ถาท่เี ลอ้ื ยไปตามทต่ี า่ ง ๆ
วงศ์ Celastraceae เอกสารอ้างองิ
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 453-454.
ชือ่ พ้อง Hippocratea pauciflora DC.
ลดาวัลย:์ ไม้เถา ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ดอกรปู ระฆัง สีขาว (ภาพ: cultivated - RP)
ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ หรอื ไมพ้ มุ่ ทอดเลอ้ื ย หใู บรว่ มรปู สามเหลย่ี มขนาดเลก็ ใบเรยี ง
ตรงขา้ มสลบั ตง้ั ฉาก รปู รถี งึ รปู ใบหอก หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 3.5-16 ซม. ปลายแหลม ละหุง่
หรือแหลมยาว ขอบจักมนหรือเรยี บ กา้ นใบยาว 3-7 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจุก
ยาว 1-4 ซม. มีขนสีน้ำ� ตาลแดงหนาแน่น ก้านชอ่ ยาว 1-2 ซม. ใบประดับขนาดเล็ก Ricinus communis L.
กา้ นดอกยาว 2-5 มม. กลบี เล้ียงมี 5 กลีบ รูปสามเหล่ียมขนาดเลก็ ดอกสเี หลอื ง วงศ์ Euphorbiaceae
อมเขยี ว ดา้ นนอกมขี น มี 5 กลีบ รปู ไข่แกมรปู ขอบขนาน ยาว 3-5 มม. เกสรเพศผู้
3 อนั ตดิ ท่ีโคนเกสรเพศเมีย ยาวประมาณ 2 มม. จานฐานดอกกลม รังไขม่ ี 3 ชอ่ ง ไม้พุ่ม สงู ไดถ้ งึ 5 ม. แยกเพศรว่ มตน้ มีตอ่ มน้�ำต้อยกระจายตามขอบหใู บ
ตดิ บนจานฐานดอก ผลแหง้ แตก มี 3 ฝกั กางออก รปู ไขก่ ลบั หรอื แกมรปู ขอบขนาน โคนกา้ นใบ โคนแผ่นใบ และโคนใบประดบั หใู บเช่ือมติดกนั รูปสามเหล่ยี ม ยาวได้ถึง
ยาว 2.5-8 ซม. แตล่ ะฝักมี 5-8 เมล็ด รูปไขแ่ กมรปู ขอบขนาน ยาว 1-2 ซม. โคนมีปกี 1.5 ซม. โอบรอบกง่ิ รว่ งเรว็ ใบเรยี งเวยี น รปู ฝา่ มอื 6-11 แฉก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
ยาว 2-4 ซม. 10-20 ซม. โคนแบบกน้ ปดิ ขอบจกั ฟนั เลอ่ื ยไมเ่ ทา่ กนั ปลายจกั เปน็ ตอ่ ม ชอ่ ดอกแบบ
ช่อกระจะ หรือแยกแขนงส้ัน ๆ ดอกเพศผอู้ ยู่ชว่ งลา่ ง ดอกเพศเมยี อย่ชู ่วงบน
พบในภูมิภาคอินโดจนี และมาเลเซีย นิวกินี และหมู่เกาะแปซิฟิก ในไทยพบ ไมม่ ีกลบี ดอกและจานฐานดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ แยกจรดโคน รปู สามเหลี่ยม
กระจายหา่ ง ๆ ทุกภาค ข้ึนตามปา่ ดบิ แล้ง และป่าดิบชนื้ หรือบนเขาหินปนู ความสงู ยาวไดถ้ งึ 1 ซม. ในดอกเพศเมยี คลา้ ยเกลด็ เกสรเพศผเู้ ชอื่ มติดกนั เป็นมดั แยก
ถงึ ประมาณ 1000 เมตร สองแฉกหลายหน รังไข่ 3 ชอ่ ง แต่ละชอ่ งมอี อวุลเม็ดเดียว มีเกล็ดคลา้ ยหนาม
ก้านเกสร 3 อัน ยาวเทา่ ๆ กลีบเล้ยี ง ปลายแฉกลกึ ติดทน ผลแหง้ แตก รปู รี ยาว
สกุล Loeseneriella A. C. Sm. มี 26 ชนดิ พบในแอฟรกิ าและเอเชียเขตรอ้ น ประมาณ 1.5 ซม. จัก 3 พู มีขนคลา้ ยหนาม เมลด็ ผวิ มีปื้นสีน�้ำตาล จุกขั้วจกั 2 พู
ในไทยมี 3 ชนดิ ชื่อสกุลตัง้ ตามนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมนั Ludwig Eduard
Theodor Loesener (1865-1941) มถี นิ่ กำ� เนดิ ในแอฟรกิ า ปลกู เปน็ พชื เศรษฐกจิ เมลด็ ใหน้ ำ�้ มนั castor oil และ
เอกสารอ้างอิง wonder oil ใชใ้ นอุตสาหกรรมเคลือบเงา ท�ำสี เคลือบหนงั หมกึ พิมพ์ สบู่ น้�ำมนั
Hou, D., I.A. Savinov and P.C. van Welzen. (2010). Celastraceae. In Flora of หล่อลื่น และมีสรรพคุณแกพ้ ษิ ตา่ ง ๆ เมลด็ มพี ษิ รา้ ยแรงถึงชีวติ

Thailand Vol. 10(2): 397-400. สกลุ Ricinus L. อยู่ภายใต้วงศ์ยอ่ ย Acalyphoideae เผา่ Acalypheae มีชนิดเดียว
มีความผนั แปรสูงเนื่องจากมีการเพาะปลูกมายาวนานตงั้ แตส่ มยั อยี ปิ ต์โบราณ
แรดหนนุ หิน: ใบเรยี งตรงข้ามสลบั ฉากต้ังฉาก ดอกสเี หลอื งอมเขียว เกสรเพศผู้ 3 อนั ผลมี 3 ฝกั กางออก แหง้ แตก ทำ�ใหม้ ีการจ�ำ แนกเป็นหลายพันธ์ุ ชอ่ื สกุลเป็นภาษาละติน “ricinus” หมดั
(ภาพซา้ ย: เกาะสรุ ินทร์ พงั งา - SSi; ภาพขวา: ภูววั บึงกาฬ - MT) ตามลักษณะของเมล็ดทีม่ ีรอยปน้ื สีน�้ำ ตาลคล้ายตัวหมัด
เอกสารอา้ งองิ
ลดาวลั ย์ van Welzen, P.C. (2007). Euphorbiaceae (Ricinus). In Flora of Thailand Vol. 8(2):

Porana volubilis Burm. f. 517-520.
วงศ์ Convolvulaceae
ละหงุ่ : ใบรูปฝ่ามือ หใู บเช่ือมตดิ กนั รปู สามเหลีย่ ม โอบรอบก่ิง ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ดอกเพศผูอ้ ยู่ช่วงล่าง ดอกเพศเมีย
ไม้เถา กง่ิ มชี อ่ งอากาศ ใบเรยี งเวียน รปู ไขห่ รอื เกอื บกลม ยาว 5-10.5 ซม. อยู่ชว่ งบน ผลมี 3 พู ผวิ มีขนคล้ายหนาม (ภาพ: cultivated - RP)
ปลายแหลมยาวหรอื ยาวคล้ายหาง ปลายมีติง่ แหลม โคนกลม ตัด หรอื เวา้ ตืน้
มกั มขี นประปรายตามเสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบยาว 1-3 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ละหุ่งเครอื
แยกแขนง ออกตามซอกใบ ยาว 10-25 ซม. ชอ่ ทีป่ ลายกิง่ สั้น ใบประดบั คลา้ ยใบ
ยาว 2-4.5 ซม. ติดทน ก้านดอกยาว 3-5 มม. ใบประดับย่อย 2 ใบ คล้ายเกลด็ Byttneria andamanensis Kurz
กลบี เลีย้ งกลีบนอก 2 กลบี กลีบใน 3 กลีบ รปู ขอบขนานแกมรูปไข่ ยาว 4-5 มม. วงศ์ Malvaceae
ดอกรปู ระฆัง สีขาว ยาว 7-8 มม. มี 5 กลีบ รูปรีหรือรปู ขอบขนาน ดา้ นนอกมี
ขนประปราย เกสรเพศผู้ 5 อัน ยาว 5-6 มม. อบั เรณไู มเ่ ป็นหนาม รังไข่สว่ นมาก ไมเ้ ถา ก่งิ เกลยี้ ง มรี ิว้ ใบรูปหัวใจ มี 3-5 พู พขู ้างปลายแหลม พูกลางปลาย
มีช่องเดยี ว ออวุล 4 เม็ด กา้ นเกสรเพศเมยี 2 แฉกไม่เท่ากัน เหนือจดุ ก่ึงกลาง แหลมยาวหรอื ยาวคลา้ ยหาง โคนรปู หวั ใจ ขอบจกั ซฟี่ นั หรอื จกั ฟนั เลอ่ื ยสองชน้ั
ยอดเกสรจัก 2 พู ผลเปน็ กระเปาะ รปู ไขห่ รือจกั 2-3 พู เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 2-4 มม. เสน้ โคนใบขา้ งละ 2-3 เสน้ กา้ นใบยาว 4-13 ซม. ชอ่ ดอกยาวไดถ้ งึ 15 ซม. มขี นกระจกุ
กลีบเล้ียงเป็นแผ่นบาง พับงอ ยาวประมาณ 1 ซม. ส่วนมากมีเมล็ดเดียว กระจาย ก้านดอกยาว 0.3-1 ซม. กลีบเลย้ี งรูปใบหอก ยาวประมาณ 3 มม. มีขน
เส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 1.5-3 มม.

มีถ่ินก�ำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในไทยไม่พบกระจายพันธุ์ตาม
ธรรมชาติ เปน็ ไมป้ ระดบั ดอกมกี ลน่ิ หอม ไมต่ ิดผล

377

ลังแข สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

ส้ันนุ่มทงั้ สองดา้ น กลบี ดอกรูปค่มุ ยาว 4-5 มม. เส้นกลางกลีบมีขน ปลายกลบี ลงั เค้า
เรยี วแคบ เส้าเกสรรปู ถ้วย รงั ไขม่ ตี ่อมกระจาย ก้านเกสรเพศเมียสั้น รูปล่มิ แคบ
ผลเสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 2.5-3 ซม. รวมหนาม โคนหนามเปน็ ปมุ่ กา้ นผลยาว 1-3 ซม. Commersonia bartramia (L.) Merr.
เมล็ดผิวนูน 3 สัน คลา้ ยรูปสามเหล่ยี ม (ดูขอ้ มลู เพม่ิ เติมท่ี กำ� ยานเครอื , สกลุ ) วงศ์ Malvaceae

พบทีพ่ มา่ อนิ เดยี และภมู ภิ าคอินโดจนี ในไทยพบทุกภาค ขึน้ กระจายตามชายปา่ ชอ่ื พ้อง Muntingia bartramia L.
ที่โล่ง ความสูงถงึ ประมาณ 700 เมตร
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. มขี นสนั้ นมุ่ และขนกระจกุ หนาแนน่ ตามกงิ่ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง
เอกสารอา้ งอิง กา้ นใบ ช่อดอก กลบี เลยี้ ง และตามขนแขง็ ทผี่ ล ใบเรยี งเวยี น รูปไข่ ยาว 8-10 ซม.
Phengklai, C. (2001). Sterculiaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 545. ปลายแหลมหรือยาวคลา้ ยหาง โคนรูปหัวใจ เบ้ียว ขอบจกั ซฟ่ี ันต้นื ๆ ก้านใบยาว
0.5-1 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง 2 ง่าม หลายคร้งั ยาวไดถ้ ึง 10 ซม.
ละหุ่งเครอื : ใบมี 3-5 พู พูกลางปลายยาวคลา้ ยหาง ขอบจกั ซี่ฟนั หรือจักฟนั เลือ่ ยสองช้ัน กลีบดอกรปู ค่มุ ผลมีหนาม ดอกสขี าว กลีบเล้ียง 5 กลบี รปู สามเหล่ียม ยาวประมาณ 3 มม. กลีบดอก 5 กลีบ
โคนหนามเป็นปุ่ม (ภาพชอ่ ดอก: อุบลราชธาน,ี ภาพผล: แกง่ กระจาน เพชรบุรี; - PK) โคนแผ่กวา้ ง สองข้างเว้าเป็นตง่ิ ปลายเรียวแคบ ยาวเทา่ ๆ กลีบเลีย้ ง เกสรเพศผทู้ ่ี
สมบรู ณแ์ ละทเี่ ปน็ หมนั เชอ่ื มตดิ กนั อนั ทสี่ มบรู ณ์ 5 อนั ตดิ ตรงขา้ มกลบี ดอก ยาว
ลังแข ประมาณ 0.5 มม. มีโคนกลบี ดอกหุ้ม อับเรณูกลม หนั ออก อันทีเ่ ปน็ หมัน 5 อัน
ติดตรงขา้ มกลบี เล้ียง รปู แถบ ยาวประมาณ 1.5 มม. มขี นประปราย รงั ไขม่ ี 5 ชอ่ ง
Baccaurea macrocarpa (Miq.) Müll. Arg. มขี นยาว แตล่ ะชอ่ งมอี อวลุ 2 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมยี 5 อนั สน้ั ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
วงศ์ Phyllanthaceae ประมาณ 2 ซม. มีขนแข็งยาวหนาแน่น ก้านผลยาวประมาณ 1 ซม.

ชื่อพ้อง Pierardia macrocarpa Miq. พบทจ่ี ีนตอนใต้ พม่า เวียดนาม ภมู ภิ าคมาเลเซีย ฟิลปิ ปินส์ และออสเตรเลยี
ในไทยพบทางภาคใตต้ งั้ แตส่ รุ าษฎรธ์ านลี งไป ขนึ้ ตามชายปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้
ไมต้ น้ สงู ได้ถึง 25 ม. หใู บรปู สามเหลยี่ ม ยาว 2-9 มม. ใบรปู รีถึงรปู ใบหอก ความสงู ไม่เกนิ 100 เมตร
หรือแกมรูปไขก่ ลบั ยาว 7-37 ซม. แผน่ ใบดา้ นล่างมีขนประปรายตามเส้นใบ
ก้านใบยาวได้ถึง 14 ซม. ช่อดอกเพศผูอ้ อกเปน็ กระจุก 1-3 ช่อ ยาวไดถ้ งึ 13 ซม. สกุล Commersonia J. R. Forst. & G. Forst. อยภู่ ายใต้วงศย์ ่อย Byttnerioideae
ใบประดบั ขนาดเลก็ กา้ นดอกยาว 1-2 มม. ดอกกระจายตลอดความยาวชอ่ ดอกบาน มี 9 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชยี และออสเตรเลีย ในไทยมีชนิดเดยี ว ชอื่ สกลุ ต้งั ตาม
เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 1-2 มม. กลีบเลย้ี ง 5 กลีบ ช่อดอกเพศเมียออกเป็นกระจกุ นกั พฤกษศาสตรช์ าวฝร่งั เศส Philibert Commerson (1727-1773)
1-3 ชอ่ ยาวได้ถึง 18 ซม. ก้านดอกยาว 3-7.5 มม. ดอกเส้นผา่ นศูนย์กลาง 2-4.5 มม. เอกสารอา้ งอิง
กลบี เล้ยี ง 4-6 กลีบ ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 0.5-1.5 มม. ยอดเกสรแยก 2 แฉก Phengklai, C. (2001). Sterculiaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 550-552.
ยาว 0.5-1 มม. ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางยาวไดถ้ งึ 8 ซม. สนี ำ้� ตาลเหลอื งหรอื แดง Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Sterculiaceae. In Flora of China
อมเขยี ว ด้านนอกมขี นละเอยี ดประปราย ด้านในมขี นหนาแน่นหรือเกือบเกลยี้ ง
เมลด็ มเี ยือ่ หุม้ สขี าวหรอื เหลืองอมส้ม (ดูข้อมูลเพม่ิ เตมิ ท่ี มะไฟ, สกุล) Vol. 12: 323.

พบที่คาบสมทุ รมลายู สุมาตรา และบอร์เนยี ว ในไทยพบทางภาคใต้ตอนล่าง ลังเคา้ : มขี นส้ันนุม่ หนาแนน่ ทั่วไป ขอบใบจักซ่ฟี นั ต้นื ๆ โคนใบเบย้ี ว ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง 2 ง่าม
ทแ่ี วง้ จงั หวดั นราธวิ าส ขน้ึ ตามปา่ พรหุ รอื ปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 1600 เมตร หลายครั้ง มีขนแขง็ ยาวหนาแน่น (ภาพ: เขาสำ� นัก นราธิวาส - RP)
บางคร้ังพบปลูกเป็นไม้ผล เยอ่ื หุ้มเมลด็ รสเปร้ียวอมหวาน
ลานพรุ
เอกสารอ้างอิง
Haegens, R.M.A.P. and P.C. van Welzen. (2007). Euphorbiaceae (Baccaurea). Corypha utan Lam.
In Flora of Thailand Vol. 8(2): 111. วงศ์ Arecaceae

ลงั แข: ช่อผลออกตามกิง่ และล�ำต้น มขี นละเอยี ดประปราย (ภาพ: บา้ นจฬุ าภรณ์ 7 ยะลา - RP) ปาล์มตน้ เดยี่ ว ออกดอกแล้วตาย ลำ� ต้นสงู ได้ถงึ 15 ม. เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง
0.8-1 ม. กาบใบแยกจรดโคน ใบรูปพดั เรียงเวยี น เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 2.4-3 ม.
ใบแยก 80-100 แฉก แฉกลกึ เกนิ กง่ึ หนง่ึ หรอื เกอื บจรดเสน้ กลางใบ เสน้ กลางใบโคง้
ก้านใบยาว 2.5-4 ม. แกนกา้ นเปน็ ร่องลึก ขอบมีหนามสดี ำ� ยาวประมาณ 2 ซม.
ปลายกา้ นจดุ เชอื่ มตดิ ใบ (hastula) มขี อบหนาชดั เจนทงั้ สองดา้ น ชอ่ ดอกออกทยี่ อด
สูงได้ถึง 5 ม. แยกแขนงจ�ำนวนมาก ใบประดับคลา้ ยใบ ใบประดับช่อแยกแขนงแรก
มี 2 สนั ใบประดบั ชอ่ แขนงเปน็ หลอด ชอ่ ยอ่ ยแบบชอ่ วงแถวเดย่ี ว ดอกสมบรู ณเ์ พศ
มกี า้ นดอกเทียมสั้น กลีบเล้ยี งและกลบี ดอกอยา่ งละ 3 กลีบ เกสรเพศผู้ 6 อัน
รงั ไข่มี 3 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียเรยี วยาว ผลเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 2-3 ซม. ผนังผล
ชั้นกลางสด มเี มลด็ เดยี ว

พบท่ีอินเดียรวมหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและ
มาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ นวิ กนิ ี และออสเตรเลยี ตอนบน ในไทยพบทางภาคใต้ ขนึ้ ตาม
ที่โลง่ ใกลช้ ายฝงั่ ทะเล ความสงู ถงึ ประมาณ 300 เมตร สว่ นต่าง ๆ ใช้ประโยชน์
เชน่ เดยี วกบั ตาลหรอื มะพรา้ ว เนอื้ ในเมลด็ กนิ ได้ รากแกท้ อ้ งเสยี แกไ้ อและไขห้ วดั

สกลุ Corypha L. อยูภ่ ายใตว้ งศย์ ่อย Coryphoideae มี 5 ชนิด ในไทยมี 2 ชนดิ
อกี ชนิดคือ ลานปา่ C. lecomtei Becc. ex Lecomte พบเฉพาะในภมู ิภาคอนิ โดจีน

378

สารานกุ รมพืชในประเทศไทย ล�ำเท็ง

ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ภาคตะวนั ออก และภาคตะวันออกเฉียงใตข้ องไทย ขยายกว้างประมาณ 2.5 ซม. สูงประมาณ 1.5 ซม. แฉกต้ืน ๆ ปลายแหลม
ก้านใบขอบมปี น้ื สดี ำ� ช่อดอกสูงมากกว่า 5 เมตร ช่อแยกแขนงไมห่ นาแนน่ สว่ น ดา้ นในมีขนสั้นนมุ่ เอนโดสเปิร์มเรยี บ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ มะเกลอื , สกุล)
ลาน C. umbraculifera L. มีถิน่ ก�ำ เนิดในศรีลงั กาและอนิ เดียทางตอนใต้ ในไทย
นำ�เข้ามาปลูกนานมาแลว้ โดยเฉพาะตามวัด กา้ นใบไมม่ ปี นื้ สดี ำ� แต่โคนกา้ นใบ พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ออก ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้
เปน็ ติ่งคลา้ ยหู ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “koryphe” ยอด ตามลกั ษณะชอ่ ดอกที่ ความสูง 200-500 เมตร
ออกตามยอด และใบเรียงเวียนหนาแนน่ ทยี่ อด
เอกสารอา้ งอิง เอกสารอ้างองิ
Barford, A.S. and J. Dransfield. (2013). Arecaceae. In Flora of Thailand Vol. Phengklai, C. (1981). Ebenaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 85.

11(3): 392-395.

ลานพร:ุ ถิ่นท่ีอยูต่ ามท่โี ล่ง ใบรปู พดั ใบแยกเปน็ แฉกลกึ มากกว่ากงึ่ หนง่ึ หรอื เกือบจรดเส้นกลางใบ ช่อดอกออกท่ียอด ล่ำ� ตาควาย: ก่งิ มีชอ่ งอากาศ กลบี เลยี้ งแฉกลึกประมาณก่ึงหนึง่ มขี นส้ันนุม่ ขยายแผ่กว้างในผล ผลกลมแปน้ จักเปน็ พู
สงู ไดถ้ งึ 5 ม. (ภาพ: นครศรีธรรมราช - RP) เล็กน้อย (ภาพ: สะแกราช นครราชสมี า - AS)

ล�ำ ดวนดอย ลำ�เท็ง

Mitrephora wangii Hu Stenochlaena palustris (Burm. f.) Bedd.
วงศ์ Annonaceae วงศ์ Blechnaceae

ไม้ตน้ สูงได้ถงึ 20 ม. มีขนสัน้ นมุ่ ตามกง่ิ ออ่ น กลบี เลี้ยงด้านนอก ก้านดอก ชือ่ พ้อง Polypodium palustre Burm. f.
กลีบดอก และผล กงิ่ แกม่ ชี ่องอากาศ ใบรูปใบหอกหรือรปู ขอบขนาน ยาว 10-27 ซม.
ปลายแหลมยาว เสน้ แขนงใบขา้ งละ 10-14 เสน้ แผน่ ใบหนา ดา้ นลา่ งมขี นประปราย เฟินขนึ้ บนดิน แล้วเล้ือยอิงอาศยั ตามล�ำตน้ ของต้นไม้หรือโขดหนิ เหงา้ แข็ง
กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม. ชอ่ ดอกสน้ั ออกตามซอกใบหรอื ตามรอยแผลใบของกง่ิ แก่ สเี ขยี ว เรยี วยาว ปลายเหงา้ มเี กลด็ รปู โล่ ยาวประมาณ 1 มม. ใบประกอบชนั้ เดยี ว
มี 1-3 ดอก ใบประดบั ขนาดเลก็ รว่ งเร็ว กา้ นดอกยาว 1.5-2.5 ซม. กลบี เลีย้ งรูป กวา้ ง 20-30 ซม. ยาว 40-70 ซม. ก้านใบยาว 10-15 ซม. ใบยอ่ ยมี 10-15 คู่
เกือบกลม ยาว 3-3.5 มม. กลีบดอกรปู ไข่กว้าง กลีบวงนอกยาวประมาณ 3 ซม. ใบไม่สรา้ งสปอร์ กวา้ ง 2-4.5 ซม. ยาว 10-20 ซม. ปลายแหลมยาว โคนรูปลิม่
ขอบเปน็ คลนื่ สีเหลอื งอ่อน ดา้ นในมขี นยาว กลีบวงในสีม่วง ยาว 1-2 ซม. ขอบจกั ฟนั เลอ่ื ยไมเ่ ปน็ ระเบยี บ แผน่ ใบคอ่ นขา้ งหนา ดา้ นบนสเี ขยี วเขม้ เปน็ มนั เงา
ก้านกลบี สั้น โคนคลา้ ยเงี่ยงลกู ศร ปลายกลีบโคง้ จรดกันคล้ายหมวก เกสรเพศผู้ เสน้ แขนงใบยอ่ ยจำ� นวนมากเรยี งขนานกนั กา้ นใบสัน้ ใบสร้างสปอรเ์ รียวแคบ
ยาวประมาณ 1 มม. มี 8-10 คาร์เพล แตล่ ะคาร์เพลมีออวุล 6-8 เมด็ ผลย่อย กว้าง 1-5 มม. ยาวได้ถงึ 20 ซม. ขอบม้วนข้ึนดา้ นบน กลมุ่ อับสปอร์สีน้�ำตาล
รปู ขอบขนาน ยาว 3-6 ซม. กา้ นยาว 1-1.5 ซม. (ดขู อ้ มลู เพม่ิ เตมิ ท่ี มหาพรหม, สกลุ ) เหลอื งเรยี งกระจายทว่ั แผน่ ใบ ยกเวน้ บรเิ วณเส้นกลางใบและขอบใบ

พบทจ่ี นี ตอนใต้ และภาคเหนอื ตอนบนของไทยทด่ี อยตงุ จงั หวดั เชยี งราย ขนึ้ ตาม พบทีอ่ นิ เดีย จนี ตอนใต้ ภูมภิ าคอินโดจนี และมาเลเซีย ออสเตรเลีย ในไทย
ป่าดิบเขา ความสูงประมาณ 1300 เมตร พบทุกภาค พบมากทางภาคใต้ มกั ขนึ้ ตามที่โลง่ ชน้ื แฉะ และปา่ พรุ ความสูงถึง
ประมาณ 400 เมตร ใบนำ� ไปฟอกขาว ยอ้ มสใี ชป้ ระดบั ลำ� ตน้ ใชท้ ำ� เชอื ก เครอ่ื งสาน
เอกสารอา้ งอิง ใบและยอดอ่อนสนี ำ้� ตาลแดง ลวกจิม้ นำ้� พริกหรือใสแ่ กงเลียง
Li, B., A.D. Weerasooriya and R.M.K. Saunders. (2001). Annonaceae (Mitrephora).
In Flora of China Vol. 19: 688. สกุล Stenochlaena J. Sm. เคยอยภู่ ายใต้วงศ์ Pteridaceae มี 6 ชนิด พบใน
แอฟริกา เอเชยี และออสเตรเลยี ในไทยมชี นิดเดยี ว ชอื่ สกุลมาจากภาษากรีก
ล�ำดวนดอย: ชอ่ ดอกส้ัน ออกตามรอยแผลใบของกิง่ แก่ กลบี ดอก 6 กลบี เรยี ง 2 วง วงในปลายกลีบโคง้ จรดกัน “stenos” แคบ และ “chlaenion” ผา้ ห่ม ตามลกั ษณะใบสรา้ งสปอร์และกลุ่ม
คล้ายหมวก ผลยอ่ ยรปู ขอบขนาน (ภาพ: ดอยตุง เชยี งราย - RP) อบั สปอรเ์ รยี งเปน็ ผืน
เอกสารอ้างอิง
ล�ำ่ ตาควาย Lindsay, S. and D.J. Middleton. (2012 onwards). Ferns of Thailand, Laos and

Diospyros coaetanea H. R. Fletcher Cambodia. http://rbg-web2.rbge.org.uk/thaiferns/
วงศ์ Ebenaceae Tagawa, M. and K. Iwatsuki. (1985). Pteridaceae. In Flora of Thailand 3(2): 259-260.

ไม้ตน้ สูงไดถ้ งึ 20 ม. ก่ิงมชี อ่ งอากาศ ใบรูปรีหรอื รปู ขอบขนาน ยาว 6-20 ซม. ลำ� เทง็ : เหงา้ แขง็ ใบประกอบชนั้ เดียว ใบสร้างสปอรเ์ รียวแคบ กล่มุ อบั สปอร์เรียงเปน็ ผืน (ภาพ: พรุโต๊ะแดง
แผ่นใบด้านล่างมีขนประปราย ก้านใบยาว 0.7-1 ซม. ดอกเพศผู้ก้านดอกยาว นราธวิ าส - PC)
2-3 มม. กลีบเลย้ี งรปู ระฆัง ยาวประมาณ 2 มม. มี 4 กลบี แฉกลกึ ประมาณกง่ึ หน่ึง
มีขนสัน้ นมุ่ หลอดกลบี ดอกยาว 3-4 มม. ปลายแฉกตนื้ ๆ เกสรเพศผู้ 10-14 อนั
รงั ไขท่ ไี่ มเ่ จรญิ ปลายมขี นยาว ดอกเพศเมยี กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ
5 กลีบ กลีบเล้ียงขยายในผล แผ่กว้าง ผลกลมแป้น แห้งจักเป็นพูเล็กน้อย
เส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 4 ซม. กา้ นหนา ยาวประมาณ 1 ซม. กลบี เลย้ี งไมพ่ บั งอ

379

ลำ� บิดดง สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย

ลำ�บดิ ดง พบทอ่ี นิ เดยี เวยี ดนาม คาบสมทุ รมลายู และสมุ าตรา ในไทยพบทางภาคกลาง
ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขนึ้ ตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชน้ื ใกลช้ ายฝง่ั ทะเล
Diospyros filipendula Pierre ex Lecomte ความสงู ถึงประมาณ 800 เมตร
วงศ์ Ebenaceae
เอกสารอา้ งองิ
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 12 ม. มขี นสน้ั นมุ่ ตามกงิ่ แผน่ ใบทง้ั สองดา้ น กา้ นใบ กา้ นดอก Phengklai, C. (2001). Sterculiaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 599-615.
กลบี เลีย้ งและกลีบดอกด้านนอก ใบรปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว 4-6 ซม. ปลายแหลม Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Sterculiaceae. In Flora of China
หรือมน โคนมน กลม หรอื เว้าตื้น กา้ นใบยาว 1-3 มม. กลีบเลยี้ งและกลีบดอก Vol. 12: 327.
จำ� นวนอย่างละ 4 กลีบ ดอกเพศผู้ก้านดอกยาว 1-2 ซม. กลบี เล้ยี งรูประฆงั ยาว
2-4 มม. แฉกลึกประมาณก่ึงหนงึ่ ดอกรูปดอกเขม็ ยาว 1.2-1.6 ซม. กลีบดอกแฉกลึก ลำ� ป้าง: แผ่นใบด้านลา่ งมีเกล็ดขุยหนาแน่น ผลรูปขอบขนาน มี 5 สนั (ภาพ: ประจวบคีรขี นั ธ์ - RP)
ประมาณกง่ึ หนง่ึ ดา้ นนอกมขี นสนั้ นมุ่ เกสรเพศผมู้ ี 12-16 อนั รงั ไขท่ ไ่ี มเ่ จรญิ เกลย้ี ง
ดอกเพศเมียก้านดอกยาว 2-4 ซม. รงั ไขม่ ขี นยาวทีโ่ คน มี 4 ชอ่ ง แตล่ ะช่องมอี อวุล ลำ�พู, สกลุ
1 เมด็ ไมม่ เี กสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั ผลรปู รกี วา้ งเกอื บกลม ยาว 2-2.5 ซม. กลบี เลยี้ ง
แฉกลกึ เกอื บจรดโคน ไมพ่ ับงอกลับ กา้ นผลยาว 2-4 ซม. เอนโดสเปิรม์ เรยี บ Sonneratia L. f.
(ดูข้อมูลเพิม่ เติมท่ี มะเกลือ, สกุล) วงศ์ Lythraceae

พบที่กมั พูชา เวียดนาม และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทาง ไม้ต้น ไม่มีพพู อน รากหายใจรปู กรวยแหลม รอบโคนต้น ใบเรียงตรงข้าม
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ และภาคใต้ตอนบน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา ดอกออกเดี่ยว ๆ หรอื เป็นกระจุก 2-5 ดอก บานตอน
ข้นึ ตามสนั เขาในป่าดิบแลง้ และป่าดิบชืน้ ความสูง 50-400 เมตร กลางคนื กลบี เลยี้ งหนา มี 4-8 กลีบ ตดิ ทน หลอดกลีบเลี้ยงรูปถ้วยต้นื ๆ กลีบดอก
มจี ำ� นวนเทา่ กบั กลบี เลย้ี ง รว่ งเรว็ หรอื ไมม่ กี ลบี ดอก เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก อบั เรณู
เอกสารอ้างองิ รปู คลา้ ยไต รงั ไข่มี 10-20 ชอ่ ง ก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว ยาวกว่าเกสรเพศผู้
Phengklai, C. (1981). Ebenaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 367-369. ยอดเกสรรูปโล่ ตดิ ทน ผลคลา้ ยผลสดมหี ลายเมลด็ กลมแป้น ผนังหนา เหนยี ว
ฐานรูปถ้วยส่วนมากหุ้มผลทโี่ คน เมลด็ เป็นเหลีย่ ม
ล�ำบิดดง: ใบเรียงสลบั ระนาบเดยี ว มีขนส้นั นุ่มทัว่ ไป ดอกรปู ดอกเข็ม ก้านดอกยาว ผลรูปรกี ว้างเกือบกลม กลบี เลี้ยง
แฉกลึกเกือบจรดโคน ดอกหนาแนน่ (ภาพ: นครพนม; ภาพดอก - AS, ภาพผล - PK) สกุล Sonneratia เดมิ อยภู่ ายใต้วงศ์ Sonneratiaceae มปี ระมาณ 7 ชนดิ พบใน
แอฟริกา เอเชยี ออสเตรเลยี ตอนบน และหมูเ่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยมี 4 ชนิด
ล�ำ ป้าง, สกลุ ชอ่ื สกลุ ตงั้ ตามนกั พฤกษศาสตร์ชาวฝรงั่ เศส Pierre Sonnerat (1748-1814)

Pterospermum Schreb. ลำ�พู
วงศ์ Malvaceae
Sonneratia caseolaris (L.) Engl.
ไมต้ น้ มขี นกระจกุ รปู ดาวหรอื เกลด็ ขยุ กระจาย ใบเรยี งเวยี น หใู บเรยี บหรอื จกั
ชายครยุ รว่ งเร็ว ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกสน้ั ๆ ตามซอกใบ มี 1-5 ดอก ร้ิวประดับเรยี บ ชอ่ื พอ้ ง Rhizophora caseolaris L.
หรอื จกั ชายครยุ สว่ นมากมี 3 อัน ร่วงเรว็ กลบี เล้ียงหนา มี 5 กลบี แฉกลกึ
หรือแยกจรดโคน พับงอกลับ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือครีม เกสรเพศผู้มี ไม้ต้น สงู ได้ถึง 20 ม. รากหายใจยาว 0.5-1 ม. โคนหนา ใบรูปไข่ รูปรี รปู ขอบขนาน
ประมาณ 15 อัน กลมุ่ ละ 3 อนั ตดิ ระหวา่ งเกสรเพศผทู้ ี่เป็นหมันรปู เส้นดา้ ย แกมรปู ไข่หรอื รปู ไขก่ ลบั ยาว 6-10 ซม. ปลายมนหรือเป็นติ่งแหลมสั้น ๆ โคนรูปล่ิม
หนาและยาวกวา่ เกสรเพศผู้ กา้ นชอู ับเรณูเช่อื มตดิ กันเป็นหลอด ปลายแยกกัน เสน้ กลางใบมักมีสีแดง กา้ นใบยาว 2-6 มม. ดอกออกเด่ยี ว ๆ หรือเป็นคทู่ ีป่ ลายกง่ิ
รงั ไข่มี 5 ช่อง ออวลุ จ�ำนวนมาก ก้านเกสรเพศเมียเรยี วยาว ยอดเกสรจักเปน็ 5 สนั กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกจ�ำนวนอยา่ งละ 5-7 กลบี กลีบเลยี้ งรปู สามเหลี่ยม ยาว
ผลแหง้ แยกเป็น 5 ซกี เรียบหรอื มี 5 สนั ผนงั หนา ปลายเมลด็ มปี กี บาง 1.5-2 ซม. ดอกสแี ดงเขม้ กลบี รูปแถบ บาง กว้าง 1-2 มม. ยาว 1.5-2.5 ซม.
ก้านชอู ับเรณสู แี ดงหรือสีขาวโคนสีแดง ผลกว้าง 4-6 ซม. สูง 2.5-3.5 ซม. ผิว
สกุล Pterospermum เดมิ อย่ภู ายใตว้ งศ์ Sterculiaceae ปจั จุบนั อยู่ภายใตว้ งศย์ ่อย เปน็ มนั วาว ฐานรูปถ้วยแผก่ วา้ ง เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 4.5-6.3 ซม. รวมกลีบเลีย้ ง
Bombacoideae มปี ระมาณ 40 ชนิด สว่ นใหญพ่ บในเอเชียเขตร้อน ในไทยมี
9-10 ชนดิ ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรีก “pteron” ปกี และ “sperma” เมล็ด หมาย พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา พมา่ ไหห่ นาน กมั พชู า เวยี ดนาม ภมู ภิ าคมาเลเซยี นวิ กนิ ี
ถงึ เมลด็ มีปีก ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ภาคกลาง
และภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ ชายเลน รมิ แมน่ ำ�้ ทนี่ ำ้� ทะเลขน้ึ ลง เปลอื กและผลมสี รรพคณุ
ลำ�ปา้ ง ตา้ นอนมุ ูลอิสระ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย ฆ่าพยาธิ

Pterospermum diversifolium Blume ลำ�พูทะเล
ไมต้ น้ สูงไดถ้ ึง 30 ม. มขี นสน้ั นุ่ม ขนกระจุกรูปดาว หรอื เกล็ดขุยหนาแนน่
Sonneratia ovata Backer
ตามกง่ิ แผ่นใบดา้ นล่าง กลีบเลยี้ งทั้งสองด้าน กลีบดอกดา้ นนอก รังไข่ และโคน ไม้ตน้ สูง 5-15 ม. รากหายใจยาว 15-25 ซม. ใบรปู ไขก่ ว้างถึงเกอื บกลม ยาว
กา้ นเกสรเพศเมยี ใบรปู รี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรปู ไข่ ปลายแหลม โคนรปู ลมิ่ กวา้ ง
มน หรือเวา้ ตน้ื ๆ ร้วิ ประดบั 3 ใบ รูปใบหอก กลีบเล้ยี งรปู ใบหอก ยาว 8-17 ซม. 4-7 ซม. ปลายกลม โคนตดั หรอื กลม ก้านใบยาว 0.4-1 ซม. ดอกออกเดยี่ ว ๆ
แฉกลกึ พบั งอกลบั ดอกสขี าว กลบี รูปใบหอกกลบั ยาวเทา่ ๆ กลบี เลยี้ ง เกสรเพศผู้ หรอื เปน็ กระจกุ 2-3 ดอก ออกทป่ี ลายกงิ่ กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ
ยาว 4-6 ซม. เกสรเพศผทู้ ี่เป็นหมัน 5 อนั ยาว 4-8 ซม. มตี อ่ มโปรง่ ใสกระจาย 6 กลบี กลีบเลี้ยงรปู สามเหลยี่ ม ปลายมนหรือแหลม ยาว 1.2-1.7 ซม. มีตมุ่ เล็ก ๆ
ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 3-4 ซม. ยอดเกสรบิดเกลยี ว ผลรปู ขอบขนาน มี 5 สนั
ยาว 7-20 ซม. เมลด็ ยาว 2-5 ซม. รวมปกี บาง ๆ

380


Click to View FlipBook Version