สารานกุ รมพืชในประเทศไทย ขี้หนอน
ขกี้ าแดง: T. inthanonensis ใบจักตน้ื ๆ 3-5 พู ขอบจักฟันเลือ่ ยห่าง ๆ กา้ นผลยาว ผลรปู ไข่ (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ ขีก้ าลาย: ใบรปู ฝา่ มือแฉกลึก ดอกเพศผูก้ ้านดอกยาว เกสรเพศเมยี แยก 3 แฉก ผลสุกสแี ดง (ภาพซา้ ยบน ดอกเพศผ:ู้
เชยี งใหม่ - BD) ตาก - RP; ภาพขวาบน ดอกเพศเมยี : สพุ รรณบุรี - TP; ภาพซา้ ยล่าง: ตาก - RP, ภาพขวาลา่ ง: แมฮ่ ่องสอน - BD)
ข้ีกาแดง: T. pubera subsp. rubriflos ดอกเพศเมีย ออกเดยี่ วๆ ชอ่ ดอกเพศผู้ ใบประดับสแี ดงอมน้�ำตาล ผลรูปรกี วา้ ง ข้คี รอก
(ภาพ: บึงโขงหลง บงึ กาฬ - PK)
Urena lobata L.
ข้ีกาลาย วงศ์ Malvaceae
Diplocyclos palmatus (L.) C. Jeffrey ไม้พุ่มเต้ีย สงู ได้ถงึ 1 ม. มขี นรูปดาวสั้นนมุ่ ตามกง่ิ แผน่ ใบดา้ นล่าง กา้ นใบ
วงศ์ Cucurbitaceae รวิ้ ประดบั กลบี เลย้ี ง และผล หใู บรปู เสน้ ดา้ ย รว่ งเรว็ ใบเรยี งเวยี น รปู รา่ งหลายแบบ
ยาว 4-7 ซม. บางครง้ั จกั 3 พู ขอบจกั ฟันเลอื่ ย ก้านใบสัน้ ดอกออกเดี่ยว ๆ หรือ
ช่ือพ้อง Bryonia palmata L. เป็นกระจกุ ตามซอกใบ ก้านดอกส้นั ร้วิ ประดบั 5 อนั ยาวประมาณ 6 มม.
เชอ่ื มตดิ กนั ประมาณหนงึ่ ในสาม ตดิ ทน กลบี เลย้ี งรปู ถว้ ย มี 5 กลบี สนั้ กวา่ รว้ิ ประดบั
ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ยาว 2-7 ม. มีหัวใต้ดิน แยกเพศร่วมต้น มอื จับแยก 2 แขนง ยาว เล็กนอ้ ย ดอกสีชมพูอมแดง มี 5 กลีบ รูปไขก่ ลับ ยาวไดถ้ ึง 1.5 ซม. มีก้านส้ัน ๆ
10-20 ซม. ใบประดบั นอกบาง รปู ไขก่ ลบั ยาว 2-5 มม. ใบรปู ฝา่ มอื แฉกลกึ 3-7 แฉก เสา้ เกสรยาวประมาณ 1.5 ซม. อบั เรณูจำ� นวนมาก กา้ นเกสรเพศเมียแยกเปน็
เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 4-16 ซม. ขอบจกั ฟนั เลอื่ ยหรอื เรยี บ แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นตาม 10 แฉก มขี น ยอดเกสรรปู จาน ผลแหง้ แยกเปน็ 5 ซกี เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ
เส้นแขนงใบ กา้ นใบยาว 2-7 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะส้ัน ๆ ชอ่ ดอกเพศผ้มู ีไดถ้ งึ 1 ซม. มีหนามปลายเปน็ ตะขอ มเี มลด็ เดียว
10 ดอก ชอ่ ดอกเพศเมยี เรยี งชดิ ชอ่ ดอกเพศผู้ มี 1-5 ดอก ดอกเพศผกู้ า้ นดอกยาว
ได้ถงึ 2 ซม. ดอกเพศเมียยาว 1-5 มม. ฐานดอกรูปถว้ ย ยาว 2-4 มม. กลีบเลยี้ ง พบทบ่ี งั กลาเทศ ภฏู าน อนิ เดยี จนี ไตห้ วนั พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และ มาเลเซยี
5 กลบี รูปแถบ ยาวประมาณ 2 มม. กลบี ดอก 5 กลีบ หลอดกลบี ยาวประมาณ 2 มม. มคี วามผนั แปรสงู โดยเฉพาะรปู รา่ งใบ สง่ิ ปกคลมุ ขนาดรวิ้ ประดบั และกลบี ดอก
กลบี รปู ไข่ ยาว 3-5 มม. เกสรเพศผู้ 3 อนั 2 อัน มถี ุงอบั เรณู 2 อัน และ 1 อัน บางครง้ั ถกู จำ� แนกเปน็ หลายชนดิ ยอ่ ยและมชี อ่ื พอ้ งจำ� นวนมาก หรอื บางชนดิ ถกู จดั
มถี งุ อบั เรณอู นั เดยี ว ถงุ อบั เรณพู บั จบี กา้ นชอู บั เรณสู น้ั เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี ใหอ้ ยู่ภายใตส้ กลุ Pavonia หรอื Triumfetta ทกุ สว่ นมสี รรพคณุ ดา้ นสมนุ ไพร
จานฐานดอกรูปวงแหวน ก้านเกสรเพศเมยี แยก 3 แฉก ยาว 1-3 มม. ผลสด กลม หลายอย่าง
เส้นผ่านศนู ย์กลาง 1.5-2.5 ซม. มีแถบริว้ สีขาว สุกสีแดง มปี ระมาณ 12 เมลด็
รปู ไขก่ ลบั ขอบหนา ยาว 5-8 มม. สกุล Urena L. อยภู่ ายใต้วงศย์ ่อย Malvoideae เผา่ Hibisceae มีประมาณ 10 ชนดิ
ในไทยมี 4 ชนดิ ชอื่ สกุลเปน็ ภาษา Malabar ในอินเดียที่ใชเ้ รียกข้คี รอก
พบทแ่ี อฟรกิ า อนิ เดยี ศรลี งั กา จนี ตอนใต้ ญปี่ นุ่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี เอกสารอ้างอิง
ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ทง้ั ในปา่ ผลดั ใบและไมผ่ ลดั ใบ Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Malvaceae. In Flora of China Vol.
ทโ่ี ลง่ ชายปา่ ทงุ่ หญา้ บนเขาหนิ ปนู ความสงู ถงึ ประมาณ 1600 เมตร ท้งั ตน้ คั้น
นำ้� ใชพ้ อกแผลไฟไหม้ ขับลม ปวดข้อ ผลและเมลด็ แกไ้ ข้ แก้ไอ กงิ่ และใบยังใชใ้ น 12: 281.
พธิ ีกรรมความเชื่อต่าง ๆ
ขี้ครอก: รวิ้ ประดบั เชือ่ มตดิ กันประมาณหน่งึ ในสาม ติดทน เกสรเพศผู้เชื่อมติดกนั เป็นเสา้ เกสร กา้ นเกสรเพศเมียแยก
สกลุ Diplocyclos (Endl.) T. Post & Kuntze มี 5 ชนดิ พบในแอฟรกิ า เอเชยี 10 แฉก ผลมีหนามปลายเปน็ ตะขอ ร้วิ ประดับตดิ ทน (ภาพดอก: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - SSi; ภาพผล: พิษณโุ ลก - RP)
และออสเตรเลีย ในไทยมชี นดิ เดยี ว ช่ือสกลุ มาจากภาษากรกี “diplos” ซ้อน
และ “kyklos” เปน็ วง อาจหมายถึงมอื จบั แยกแขนงม้วนเป็นวง ข้หี นอน
เอกสารอ้างองิ
de Wilde, W.J.J.O. and B.E.E. Duyfjes. (2008). Cucurbitaceae. In Flora of Schoepfia fragrans Wall.
วงศ์ Schoepfiaceae
Thailand Vol. 9(4): 432-435.
ไม้พมุ่ หรือไม้ต้น สูงได้ถึง 10 ม. ใบเรียงเวยี น รปู รี หรือรปู ไข่ ยาว 3-14 ซม.
ปลายแหลมยาว โคนสอบเรยี ว เบย้ี วเลก็ น้อย แผ่นใบคอ่ นข้างหนา กา้ นใบยาว
4-7 มม. ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ กระจะส้ัน ๆ ยาว 2-3.5 ซม. มี 5-10 ดอก โคนก้านชอ่
มเี กลด็ ตาดอกตดิ ทน ก้านดอกยาว 5-6 มม. ใบประดบั คลา้ ยร้ิวประดับ รูปถว้ ย
มี 3 แฉก กลบี เลย้ี งรปู ถว้ ยขนาดเลก็ เชอื่ มตดิ รงั ไข่ ขอบเรยี บ ขยายในผลเลก็ นอ้ ย
81
ขีเ้ หลก็ สารานกุ รมพืชในประเทศไทย
ดอกสีครมี หลอดกลีบดอกยาว 0.5-1 ซม. มี 4-5 กลบี รูปสามเหลยี่ ม ยาว 3-4 มม. ข้เี หล็กยะวา
เกสรเพศผู้ 4-5 อนั ตดิ เหนอื กลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู นั้ จดุ ตดิ มขี น จานฐานดอก
รูปเบาะ ติดทน รังไข่กงึ่ ใต้วงกลีบ ช่วงล่างมี 3 ช่อง ช่วงบน 1 ชอ่ ง ออวลุ 3 เมด็ Senna fruticosa (Mill.) H. S. Irwin & Barneby
พลาเซนตารอบแกนรว่ ม กา้ นเกสรเพศเมยี มี 2 แบบ สนั้ กวา่ หรอื ยาวเทา่ ๆ หลอด
กลีบดอก ยอดเกสรจกั 3 พู ผลผนังชัน้ ในแข็ง รูปรี ยาว 0.7-1 ซม. สกุ สีเหลือง ชือ่ พ้อง Cassia fruticosa Mill.
พบทอี่ นิ เดยี บงั กลาเทศ ภฏู าน จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยสว่ น ไมพ้ ุม่ สงู ไดถ้ ึง 4 ม. หูใบขนาดเลก็ ใบประกอบมใี บยอ่ ย 2 คู่ แกนกลางยาว
มากพบทางภาคเหนือ กระจายหา่ ง ๆ ทางภาคตะวนั ออก และภาคตะวันตกเฉียงใต้ 1-2.5 ซม. มีต่อมระหวา่ งใบคลู่ ่าง กา้ นใบยาว 2-5 ซม. ใบยอ่ ยรูปไข่ เบีย้ ว ยาว
ข้นึ ตามป่าดิบแลง้ และปา่ ดิบเขา ความสูง 300-2000 เมตร 4-15 ซม. คบู่ นขนาดใหญก่ วา่ คลู่ ่าง ปลายแหลม โคนสอบ แผ่นใบมีขนด้านลา่ ง
กา้ นใบสน้ั ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะสน้ั ๆ จรดปลายกง่ิ ดา้ นขา้ ง กา้ นดอกยาว 3-5 มม.
สกลุ Schoepfia Schreb. เดมิ อยู่ภายใตว้ งศ์ Olacaceae มปี ระมาณ 30 ชนิด กลีบเลย้ี งยาวประมาณ 1 ซม. ดอกสีเหลอื งซดี กลบี รูปไข่กว้าง ยาว 2-3 ซม.
พบในอเมรกิ าเขตรอ้ น และเอเชยี ในไทยมี 2 ชนดิ อกี ชนดิ คอื S. jasminodora เกสรเพศผู้ 3 อัน กา้ นชอู ับเรณยู าว 3-4 มม. 4 อัน ก้านชอู บั เรณูหนา อับเรณโู ค้ง
Siebold & Zucc. ดอกไรก้ ้าน ชื่อสกุลตั้งตามนักพฤกษศาสตรช์ าวเยอรมนั ยาว 0.7-1 ซม. ลดรูป 2-3 อัน รังไขม่ ขี นสนั้ นุ่ม ฝักรูปทรงกระบอก ขอบเป็นสนั
Johann David Schoepf (1752-1800) ยาว 15-25 ซม. เส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 1 ซม. เมลด็ มีเยอื่ หุม้ เหนยี ว
เอกสารอ้างอิง
Qiu, H. and M.G. Gilbert. (2003). Olacaceae. In Flora of China Vol. 5: 202-203. มถี น่ิ กำ� เนิดในอเมรกิ ากลางและหมูเ่ กาะอนิ ดสี ตะวนั ตก เป็นไม้ประดับ
ขี้หนอน: ช่อดอกคลา้ ยช่อกระจะสนั้ ๆ กลีบเล้ียงขนาดเลก็ ขอบเรยี บ กลีบดอกเช่ือมตดิ กนั เปน็ หลอด กลีบรปู ขเ้ี หลก็ เลือด
สามเหลย่ี ม มี 4-5 กลีบ เกสรเพศผ้ตู ิดเหนอื กลีบดอก ปลายผลมีจานฐานดอกตดิ ทน (ภาพ: อุ้มผาง ตาก - MP)
Senna timoriensis (DC.) H. S. Irwin & Barneby
ขเ้ี หล็ก, สกลุ
ชื่อพอ้ ง Cassia timoriensis DC.
Senna Mill.
วงศ์ Fabaceae ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. มขี นสนั้ นมุ่ กระจาย หใู บรปู ตง่ิ หู ยาว 1.5-2 ซม.
ใบประกอบมีใบย่อย 10-20 คู่ แกนกลางยาว 20-30 ซม. ก้านใบยาว 1-2 ซม.
ไมล้ ม้ ลกุ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ หใู บสว่ นมากรว่ งเรว็ ใบประกอบ แกนใบประกอบ ใบยอ่ ยรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 2-6 ซม. ปลายมตี ง่ิ แหลม โคนกลม ชอ่ ดอก
สว่ นมากมตี อ่ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ชอ่ กระจะ หรอื แบบชอ่ เชงิ หลน่ั ใบประดบั แบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ยาว 10-30 ซม. ใบประดับรปู ไข่
ร่วงเร็ว กลีบเล้ียงและกลีบดอกจ�ำนวนอยา่ งละ 5 กลบี ดอกส่วนมากสเี หลือง มี ยาวประมาณ 2.5 ซม. กา้ นดอกยาว 1-3 ซม. กลีบเลี้ยงรูปขอบขนานแกมรปู ไข่
กา้ นกลบี เกสรเพศผู้ท่สี มบรู ณณยาวเทา่ ๆ กัน อับเรณเู ปดิ เปน็ 2 ชอ่ ง หรอื เปดิ ปลายกลม ยาว 0.7-1.5 ซม. มขี นดา้ นนอก กลีบดอกรูปไขก่ ลับ ยาว 1.5-2 ซม.
เปน็ แนวขนาดเลก็ รงั ไขม่ ี 1 ชอ่ ง ออวลุ จำ� นวนมาก ผลเปน็ ฝกั กลม แบน เปน็ เหลยี่ ม เกสรเพศผู้อันยาว 2 อนั กา้ นชอู บั เรณูยาว 2-4 มม. อบั เรณยู าว 0.8-1 ซม. อนั สน้ั
หรอื มีปกี แห้งแล้วไมแ่ ตก หรือปรติ ามรอยประสาน 5 อนั อับเรณูส้ันกวา่ เลก็ น้อย ลดรูป 3 อัน รงั ไขเ่ กล้ยี ง ฝักรปู แถบ แบน ยาว
8-16 ซม. ปลายมจี ะงอย มี 10-30 เมลด็
สกลุ Senna อยภู่ ายใตว้ งศ์ย่อย Caesalpinioideae แยกจากสกลุ Cassia ที่
เกสรเพศผทู้ ่สี มบูรณ์ขนาดไมเ่ ท่ากนั มักบดิ ออกจากกา้ นเกสรเพศเมียคนละทาง พบที่อนิ เดีย ศรีลงั กา เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ และออสเตรเลยี ในไทยพบ
(enantiostylous) กลีบดอกไม่สมมาตร และไม่มีใบประดับยอ่ ย มีประมาณ 260 ทุกภาค ขึน้ ตามปา่ เบญจพรรณที่มีหินปนู ปา่ เตง็ รงั ปา่ ชายหาด หรือชายปา่ ความสงู
ชนดิ ในไทยเป็นพชื พืน้ เมอื ง 3 ชนิด และไมต้ ่างถ่ิน 15 ชนดิ ชือ่ สกุลมาจากภาษา ถงึ ประมาณ 1000 เมตร
อารบิค “sana” ทใ่ี ชเ้ รียกพืชท่ีใบและฝกั มีคณุ สมบัตเิ ปน็ ยาระบาย ซ่ึงหลายชนิด
มีสรรพคุณดา้ นนี้ ข้ีเหล็กอเมริกนั
ขเี้ หล็ก Senna spectabilis (DC.) H. S. Irwin & Barneby
Senna siamea (Lam.) H. S. Irwin & Barneby ชือ่ พ้อง Cassia spectabilis DC.
ชอ่ื พอ้ ง Cassia siamea Lam. ไม้ตน้ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. กง่ิ แผ่ออก หใู บขนาดเล็ก รปู เคยี ว ใบประกอบมใี บยอ่ ย
10-15 คู่ แกนกลางยาว 10-35 ซม. กา้ นใบสั้น ใบยอ่ ยรูปรถี ึงรปู ขอบขนาน ยาว
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 20 ม. หใู บรปู ลมิ่ แคบ ใบประกอบมใี บยอ่ ย 7-15 คู่ แกนกลาง 3-7 ซม. ปลายแหลมมตี ง่ิ โคนกลม แผน่ ใบมขี นดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง
ยาว 10-35 ซม. กา้ นใบสนั้ ใบยอ่ ยรูปรี รปู ขอบขนาน หรอื แกมรูปไข่ ยาว 3-7 ซม. สว่ นมากยาว 20-30 ซม. หรอื ยาวไดถ้ งึ 90 ซม. ใบประดบั รูปไข่ ยาว 4-5 มม.
ปลายกลมหรอื เวา้ ตนื้ มตี งิ่ แหลม โคนกลม แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นสน้ั นมุ่ ชอ่ ดอก กา้ นดอกยาว 2-3 ซม. กลีบเลย้ี งรูปไขก่ ว้าง ยาว 5-7 มม. คู่นอกมขี น 3 กลีบใน
ออกทปี่ ลายกง่ิ ยาวไดถ้ งึ 1 ม. กา้ นดอกยาว 2-3 ซม. กลบี เลย้ี งคนู่ อกยาวประมาณ ยาวกว่าเลก็ น้อย เกลีย้ ง กลบี ดอกรูปไข่กว้าง ยาว 2-2.5 ซม. กลบี ลา่ งรปู เคียว
5 มม. 3 กลีบใน ยาวประมาณ 9 มม. กลีบดอกรปู เกอื บกลม ยาว 1.5-2 ซม. ขนาดใหญ่กว่า เกสรเพศผู้ 7 อนั ก้านชอู ับเรณยู าว 2-3 มม. ลดรูป 3 อัน รงั ไข่
เกสรเพศผู้อันยาว 2 อัน กา้ นชูอับเรณูยาวประมาณ 1 ซม. อับเรณยู าว 6-7 มม. เกล้ียง ฝักคล้ายทรงกระบอก ยาว 18-25 ซม. มผี นงั ก้นั บาง ๆ มี 50-70 เมลด็
อันสน้ั 5 อัน กา้ นชูอบั เรณูยาว 2-4 มม. อับเรณยู าว 5-6 มม. ลดรูป 3 อัน รังไข่
มขี นส้ันนมุ่ ฝักรปู แถบ แบน ยาว 20-30 ซม. รอยเชอ่ื มเป็นสนั นูน มี 20-30 เมล็ด มีถนิ่ ก�ำเนดิ ในอเมรกิ าเขตร้อน เปน็ ไม้ประดับ
พบในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ สว่ นมากขน้ึ ตามปา่ เบญจพรรณ ชายปา่ ความสงู เอกสารอ้างองิ
ระดบั ต�่ำ ๆ และปลกู เปน็ ไม้สองขา้ งถนน ใบและฝกั มีพษิ ต่อสัตว์เลี้ยง ส่วนตา่ ง ๆ Chen, D., D. Zhang and K. Larsen. (2010). Fabaceae (Cassieae). In Flora of
มสี รรพคุณแกป้ วดทอ้ ง แกไ้ อ ไข้มาลาเรยี และโรคเบาหวาน China Vol. 10: 28-31.
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 102-123.
ข้เี หลก็ : ใบประกอบ ช่อดอกออกท่ปี ลายก่งิ ปลายและโคนใบกลม ฝกั รปู แถบ แบน รอยเช่ือมเป็นสันนนู
(ภาพ: cultivated - RP)
82
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย ขอ้ี น้
ขเี้ หลก็ ยะวา: ดอกสเี หลืองซดี มกี ้านกลีบ ก้านชูอับเรณูหนา อับเรณูโค้ง (ภาพซ้ายบน: cultivated - RP); ข้ีเหลก็ เลือด: ข้อี น้ , สกุล
หใู บรูปต่ิงหู ปลายใบเป็นติ่งแหลม ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ฝักรปู แถบ ปลายมีจะงอย (ภาพซา้ ยล่างและภาพขวา: cultivated - RP)
Helicteres L.
ข้ีเหล็กอเมรกิ ัน: ปลายใบแหลมมีต่ิง โคนกลม ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง กลบี ดอกกลบี ล่างรปู เคยี วขนาดใหญ่กว่า วงศ์ Malvaceae
กลบี อ่นื เกสรเพศผู้ 7 อนั (ภาพ: cultivated; ภาพซ้าย - RP, ภาพขวา: - PK)
ไมพ้ ุ่มหรือไมต้ ้น มีขนรูปดาวกระจาย หูใบรว่ งเร็ว ใบเรียงเวยี น ดอกออกเด่ียว ๆ
ขี้เหล็กฤาษี หรือแบบช่อกระจุก ส่วนมากออกตามซอกใบ ริ้วประดับขนาดเล็ก กลีบเล้ียง
เชอื่ มตดิ กนั เปน็ หลอด ปลายแยกเปน็ 5 กลบี ขนาดเลก็ ไมเ่ ทา่ กนั กลบี ดอกรปู ปากเปดิ
Phyllanthus mirabilis Müll. Arg. กลีบบน 2 กลบี กลบี ล่าง 3 กลีบ มีก้านกลบี สั้น ๆ มักมีรยางค์เป็นตงิ่ เกสรเพศผู้
วงศ์ Phyllanthaceae 10 อนั ตดิ บนกา้ นชเู กสรรว่ ม กา้ นชอู บั เรณเู ชอื่ มตดิ กนั ทโ่ี คน เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั
5 อัน รังไข่มี 5 ช่อง ออวุลจ�ำนวนมาก กา้ นเกสรเพศเมียจกั ตน้ื ๆ หรอื แยกเป็น
ไมพ้ มุ่ หรอื ไม้ต้น สงู ไดถ้ ึง 12 ม. โคนอวบหนา ใบเรียงเปน็ กระจกุ ท่ีปลายกิ่ง 5 แฉก ผลแหง้ แตก บางคร้ังบิดเปน็ เกลยี ว เมลด็ มีตุ่มกระจาย ไม่มีปกี
ใบรูปขอบขนาน ยาว 6.5-13 ซม. โคนเบ้ียว แผ่นใบมีขนสั้นนุ่ม ยอดที่มีดอก
(orthotropic shoot) คลา้ ยชอ่ ดอกขนาดใหญ่ ใบประดบั รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน สกลุ Helicteres เดิมอยภู่ ายใตว้ งศ์ Sterculiaceae ปจั จบุ นั อย่วู งศ์ยอ่ ย
ยาวได้ถงึ 2 ซม. ดอกออกเปน็ กระจุกตามซอกใบ ไมม่ ีกลีบดอก กลีบเลย้ี งมีปุ่มเล็ก ๆ Helicteroideae รว่ มกบั อีก 8-10 สกลุ เช่น Durio และ Reevesia เป็นตน้ มีประมาณ
จานฐานดอกเป็นตอ่ มรปู กระบอง ดอกเพศผกู้ า้ นดอกยาว 1-2 มม. กลีบเล้ยี ง 40 ชนดิ ส่วนมากพบในเอเชยี เขตร้อน ในไทยมี 7 ชนดิ ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี
5 กลีบ รูปรี ยาวประมาณ 3 มม. ปลายแหลมยาว จานฐานดอกมี 5 ต่อม เกสรเพศผู้ “heliktos” บิดเวยี น ตามลกั ษณะผลบางชนดิ เปลือกเปน็ เส้นใยเหนียว
6 อัน เช่อื มตดิ กนั ทโ่ี คน แกนอับเรณปู ลายมรี ยางค์ ดอกเพศเมยี คล้ายดอกเพศผู้
กา้ นดอกยาว 2-3 มม. กลบี เล้ยี ง 6 กลบี ยาว 4-5.5 มม. ตดิ ทน จานฐานดอกมี 6 ต่อม ข้อี ้น
ยอดเกสรเพศเมยี 6 อนั ยาวประมาณ 1 มม. ผลรูปรกี วา้ ง จัก 3 พู ยาวได้ถึง 1 ซม.
(ดขู ้อมูลเพ่ิมเติมที่ ผกั หวานดง, สกลุ ) Helicteres angustifolia L.
ไม้พุ่ม สูง 1-3 ม. มีขนรปู ดาวหนาแนน่ ตามกง่ิ แผน่ ใบด้านลา่ ง ก้านใบ ช่อดอก
พบทล่ี าว ในไทยพบกระจายยกเวน้ ภาคใต้ ขนึ้ ตามเขาหนิ ปนู ทแี่ หง้ แลง้ ความสงู
ไม่เกนิ 1000 เมตร เป็นไม้ประดบั กระถางคลา้ ยบอนไซ กา้ นดอก กลีบเลย้ี งดา้ นนอก และผล ใบรปู รถี งึ รปู ใบหอก ยาว 3-15 ซม. ปลาย
แหลมยาว โคนมนหรอื กลม ขอบเรยี บ เส้นโคนใบขา้ งละ 1 เสน้ เสน้ แขนงใบย่อย
เอกสารอ้างอิง แบบขน้ั บนั ไดและแบบรา่ งแห กา้ นใบยาว 0.3-1.5 ซม. ชอ่ ดอกกระจกุ สน้ั ๆ กลบี เลยี้ ง
Chantaranothai, P. (2007). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of Thailand ยาวประมาณ 6 มม. ดอกสมี ว่ งอมชมพอู ่อน ๆ กลบี รปู ใบพาย ยาว 0.5-1 ซม.
Vol. 8(2): 493. เกสรเพศผู้เกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียจกั ตืน้ ๆ ผลรปู ทรงกระบอก ยาว 1-3 ซม. มี 5 สนั
ข้เี หล็กฤๅษี: โคนตน้ อวบหนา ยอดทม่ี ีดอกคล้ายเป็นชอ่ ดอกขนาดใหญ่ ผลจกั 3 พู (ภาพ: พระบาท สระบุรี - RP) พบที่อนิ เดยี จีนตอนใต้ พมา่ ภูมภิ าคอนิ โดจีนและมาเลเซยี ฟิลปิ ปินส์ และ
ออสเตรเลีย ในไทยพบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง หรือชายป่า
ความสูงถึงประมาณ 1300 เมตร
ขีอ้ น้
Helicteres elongata Wall. ex Bojer
ไมพ้ มุ่ สงู 1-2 ม. ใบรูปไข่หรือรปู ขอบขนาน ยาว 5-15 ซม. ปลายแหลมยาว
โคนมน เบ้ียวเลก็ นอ้ ย ขอบจักฟันเลอื่ ย แผน่ ใบด้านลา่ งมขี นประปราย เสน้ โคนใบ
ขา้ งละ 1-2 เสน้ เส้นแขนงใบยอ่ ยแบบขนั้ บนั ได ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ชอ่ ดอก
ออกสัน้ ๆ ตามซอกใบ หรือท่ปี ลายกง่ิ กลบี เลยี้ งยาวประมาณ 5 มม. ดา้ นนอกมี
ขนหนาแน่น ดอกสมี ่วงอมนำ้� เงินอ่อน กลบี รูปใบพายหรือรูปลมิ่ ปลายตัด ยาว
0.8-1 ซม. เกสรเพศผู้เกล้ียง ยอดเกสรเพศเมยี จักตืน้ ผลรูปทรงกระบอก ยาว
2-3 ซม. มี 5 สัน มขี นยาวหนาแน่น
พบทอี่ นิ เดยี บงั กลาเทศ จนี ตอนใต้ พมา่ และเวยี ดนาม ในไทยพบแทบทกุ ภาค
ยกเวน้ ภาคใต้ ขน้ึ ตามปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ
1300 เมตร
ขีอ้ ้น
Helicteres lanata (Teijsm. & Binn.) Kurz
ชื่อพ้อง Oudemansia lanata Teijsm. & Binn.
ไม้พ่มุ สูง 1-2 ม. ใบรูปไข่ ยาว 2.5-10 ซม. โคนมน ขอบเรยี บหรอื จกั ฟันเลื่อย
เลก็ นอ้ ย แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นหนาแนน่ เสน้ โคนใบขา้ งละ 1 เสน้ เสน้ แขนงใบยอ่ ย
แบบขั้นบันได ก้านใบยาวไดถ้ ึง 1 ซม. ช่อดอกออกสัน้ ๆ หนาแน่นชว่ งปลายกง่ิ
กลบี เลย้ี งยาวประมาณกงึ่ หนงึ่ ของกลบี ดอก ดา้ นนอกมขี นหนาแนน่ ดอกสมี ว่ งออ่ น
ดา้ นในสเี ข้ม กลบี รปู ใบหอกและรปู ใบพาย ปลายแหลมหรือมน ยาว 0.8-1 ซม.
รยางคต์ ดิ เกอื บตรงขา้ มทก่ี า้ นกลบี กา้ นชเู กสรรว่ มเรยี วยาว ปลายเปน็ เหลย่ี ม เกลย้ี ง
ยอดเกสรเพศเมยี จกั 5 พตู นื้ ๆ ผลรปู ทรงกระบอก ยาว 1-2 ซม. มขี นยาวหนาแนน่
พบทอี่ นิ เดยี จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และสมุ าตรา ในไทยแทบทกุ ภาค
ยกเวน้ ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใตต้ ง้ั แตช่ มุ พรลงไป ขนึ้ ตามปา่ เบญจพรรณ
ปา่ เตง็ รัง และปา่ ดิบแลง้ ความสงู 100-300 เมตร
เอกสารอ้างองิ
Phengklai, C. (2001). Sterculiaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 563-571.
Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Sterculiaceae. In Flora of China
Vol. 12: 318-319.
83
ข้ีอ้นเครอื สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย
ข้ีอน้ : H. angustifolia ขอบใบเรยี บ เส้นโคนใบข้างละ 1 เสน้ ช่อดอกแบบช่อกระจกุ กลบี ดอกรปู ปากเปดิ ผลรปู ขี้อ้นเครือ: ชอ่ ดอกแบบซีร่ ม่ ดอกรูปแตร ผลรปู กรวยกลับ เป็นสนั ตนื้ ๆ ตามยาว มขี นต่อมเหนียวกระจาย
ทรงกระบอกมี 5 สนั (ภาพ: กาญจนบุรี - PK) (ภาพดอก: ออบหลวง เชยี งใหม่, ภาพผล: ประจวบครี ีขันธ์; - RP)
ขอ้ี ้น: H. elongata ปลายแหลมยาว โคนมน เบย้ี วเล็กนอ้ ย ขอบจกั ฟนั เล่ือย ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกส้ัน ๆ ออกตาม ขอ้ี ้าย
ซอกใบ (ภาพ: ทุ่งใหญน่ เรศวร ตาก - PK)
Terminalia nigrovenulosa Pierre
ข้ีอน้ : H. lanata ชอ่ ดอกออกหนาแน่นตอนปลายก่ิง แผน่ ใบด้านล่างมีขนสั้นนมุ่ หนาแน่น ดอกสมี ว่ งออ่ น ผลรูป วงศ์ Combretaceae
ทรงกระบอกสน้ั ๆ มีขนหนาแน่น (ภาพ: ดงฟ้าห่วน อุบลราชานี - RP)
ชอื่ พอ้ ง Terminalia triptera Stapf
ข้ีอน้ เครือ
ไมต้ น้ ผลดั ใบ สงู 5-25 ม. เปลอื กแตกเปน็ รอ่ งตนื้ เปลอื กในสนี ำ้� ตาลแดง ตน้ ออ่ น
Commicarpus chinensis (L.) Heimerl ก่งิ ลดรูปคลา้ ยหนาม ใบรปู ไข่ ยาว 6-10 ซม. ขอบใบมตี อ่ มหนึง่ คใู่ กลโ้ คน ก้านใบ
วงศ์ Nyctaginaceae ยาว 1-3 ซม. ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนง 3-6 ช่อ ชอ่ ย่อยแบบช่อเชิงลด ยาว 3-6 ซม.
มีขนส้ันน่มุ ช่อดอกยอ่ ยทส่ี องยาว 2.5-5 ซม. แต่ละช่อมี 4-5 ดอก ใบประดบั รูป
ช่ือพอ้ ง Valeriana chinensis L., Boerhavia chinensis (L.) Rottb. เส้นดา้ ย ยาว 1-1.5 มม. หลอดกลบี เลีย้ งยาวประมาณ 1 มม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ
ยาว 1-2 มม. ด้านในมีขน ไมม่ ีกลีบดอก เกสรเพศผู้ 10 อนั ยาวเทา่ ๆ กลบี เล้ียง
ไมล้ ม้ ลกุ ลำ� ตน้ เกลย้ี งหรอื มขี นประปราย ลำ� ตน้ ยาวไดถ้ งึ 1 ม. ใบเรยี งตรงขา้ ม จานฐานดอกจักมนมขี นหนาแนน่ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 2.5-3 มม. ผลมี 3 ปีก
รปู ไขแ่ กมสามเหล่ยี มหรือรูปหัวใจ กวา้ ง 2-5 ซม. ยาว 3-6 ซม. ปลายแหลม โคนตดั รปู ขอบขนาน ยาว 1.5-3.3 ซม. มเี มลด็ เดียว รปู รี (ดูขอ้ มลู เพิ่มเตม่ิ ที่ สมอ, สกุล)
หรอื รปู หวั ใจ ขอบเวา้ เปน็ คลน่ื กา้ นใบยาว 1-3 ซม. ชอ่ ดอกแบบซร่ี ม่ กา้ นชอ่ ยาว
2-5 ซม. มี 3-8 ดอก ก้านดอกยาว 0.3-1.2 ซม. ดอกรปู แตร สีชมพู ปลายแยก พบทอี่ ินเดยี พม่า จนี ตอนใต้ ภมู ิภาคอนิ โดจีน และคาบสมุทรมลายู ในไทย
เปน็ 5 กลบี หลอดกลีบส้ัน กลบี รูปรีกวา้ ง ยาว 6-8 มม. หลอดกลีบสั้น เกสรเพศผู้ พบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้งบนเขาหินทรายหรือหินปูน
2-4 อนั เชอ่ื มตดิ กนั ทโ่ี คน ยน่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอกกวา่ 1 ซม. รงั ไขม่ ชี อ่ งเดยี ว ความสงู ถงึ ประมาณ 1000 เมตร เปลือกใชเ้ ค้ียวกับหมาก
มกี า้ นส้ัน ๆ ยอดเกสรเพศเมยี รูปโล่ ผลแห้งเมลด็ ล่อน รปู กรวยกลับ ยาว 6-8 มม.
เป็นสันต้นื ๆ ตามยาว มีขนตอ่ มเหนยี วกระจาย มีเมล็ดเดียว เอกสารอ้างอิง
Chen, J. and N.J. Turland. (2007). Combretaceae. In Flora of China Vol. 13: 311.
พบท่ี อนิ เดยี ปากสี ถาน ไหห่ นาน พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ในไทย Nanakorn, W. (1985). The genus Terminalia (Combretaceae) in Thailand
พบทกุ ภาค ขนึ้ ตามชายปา่ หรอื ชายทะเล ความสูงจนถงึ ประมาณ 500 เมตร ใบขยี้ (Terminalia triptera). Thai Forest Bulletin (Botany) 15: 87-90.
แก้คนั จากโรคหิด รากใชท้ ำ� ให้อาเจยี นเพ่ือลดพิษจากงกู ดั
ขอี้ ้าย: ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ชอ่ ย่อยแบบชอ่ เชิงลด ผลมี 3 ปีก รปู ขอบขนาน (ภาพดอก: บ้านตาก ตาก,
สกลุ Commicarpus Standl. เดมิ เป็นช่อื พอ้ งของสกลุ Boerhavia ทด่ี อกรูประฆัง ภาพผล: ลพบุรี; - RP)
ก้านเกสรเพศผู้และเพศเมียย่ืนพ้นหลอดกลบี ดอกเพยี งเล็กนอ้ ย มปี ระมาณ
25 ชนิด ส่วนใหญ่พบในเขตร้อนและกงึ่ เขตรอ้ น โดยเฉพาะในแอฟรกิ า ในไทย ขนุ ไม้
มชี นิดเดียว ช่อื สกลุ มาจากภาษาละตนิ “commis” หรือภาษากรีก “kommi”
เหนยี ว และ “karpos” ผล ตามลกั ษณะผลที่มีต่อมเหนียว Nageia wallichiana (C. Presl) Kuntze
เอกสารอา้ งองิ วงศ์ Podocarpaceae
Larsen, K. (1991). Nyctaginaceae (Boerhavia chinensis). In Flora of Thailand
ชื่อพอ้ ง Podocarpus wallichianus C. Presl
Vol. 5(3): 371-374.
Lu, D., L. and M.G. Gilbert. (2003). Nyctaginaceae. In Flora of China Vol. 5: ไมต้ ้น สงู 30-50 ม. แยกเพศต่างต้น เปลือกเรยี บลอกเป็นแผ่นขนาดใหญ่
ใบเรยี งสลบั ตง้ั ฉาก รูปรถี งึ รูปใบหอก ยาว 10-18 ซม. แผ่นใบหนา ปลายแหลม
430-434. โคนรปู ลมิ่ เสน้ ใบจำ� นวนมากเรยี งขนานกนั ไมม่ เี สน้ กลางใบ กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม.
โคนเพศผู้คลา้ ยช่อเชงิ ลด ออกเปน็ กลุ่ม 1-7 โคน ตามซอกใบ ยาวประมาณ 1 ซม.
ใบสร้างไมโครสปอรร์ ปู หอก ยาว 2-3 มม. โคนเพศเมียส่วนมากออกเด่ียว ๆ ท่ี
ปลายก่ิง ก้านยาวได้ถงึ 2 ซม. เกลด็ ประดบั สว่ นมากฝ่อ มี 1-2 เกลด็ ท่ีพฒั นาเปน็
เนอื้ หมุ้ เมลด็ จนมดิ (epimatium) ฐานรองเมลด็ อวบนำ�้ มสี ดี ำ� เมอ่ื สกุ เยอื่ หมุ้ เมลด็
สมี ว่ งหรืออมสีแดง เมล็ดกลม เส้นผ่านศนู ย์กลาง 1.5-1.8 ซม.
พบทบ่ี งั กลาเทศ อนิ เดยี จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์
และนวิ กนิ ี ในไทยพบกระจายหา่ งๆ แทบทกุ ภาค ขน้ึ ตามทลี่ าดชนั หรอื สนั เขา ใน
ปา่ ดบิ ชน้ื และปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 2000 เมตร นำ้� คนั้ จากใบใชบ้ รรเทา
โรคปวดตามข้อ
84
สารานุกรมพืชในประเทศไทย เขม็ ขาวป่า
สกลุ Nageia Gaertn. เป็นกลุ่มพชื เมล็ดเปลอื ย คลา้ ยกบั สกุล Podocarpus แต่ เข็ม, สกุล
มเี ส้นใบจ�ำ นวนมากเรียงขนานกนั ไม่มีเสน้ กลางใบ และเย่อื หุ้มเมล็ดจนมดิ มี
5-7 ชนิด พบทบี่ ังกลาเทศ อินเดยี จนี ไห่หนาน ไต้หวัน ญ่ีปุ่น พมา่ ภมู ภิ าค Ixora L.
อนิ โดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และนวิ กินี ในไทยมี 2 ชนดิ อกี ชนิดคือ ซางจีน วงศ์ Rubiaceae
N. motleyi (Parl.) de Laub. พบทางภาคใต้ทีน่ ราธวิ าส ชอ่ื สกลุ มาจากภาษาพน้ื เมอื ง
ของญี่ปนุ่ “Nagi” ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ ขนาดเลก็ หใู บรว่ มปลายเรยี วเปน็ ตงิ่ แหลม ใบเรยี งตรงขา้ ม
เอกสารอา้ งองิ สลบั ตง้ั ฉาก กา้ นใบเป็นข้อ ช่อดอกแบบช่อกระจกุ ชอ่ เชงิ หล่ัน หรอื ช่อแยกแขนง
de Laubenfels, D.J. (1988). Coniferales. In Flora Malesiana Vol. 10: 389-395. ออกตามปลายกง่ิ กลบี เลยี้ ง 4 กลบี หรอื ขอบเรยี บ ตดิ ทน ดอกรปู ดอกเขม็ ปลาย
Fu, L., Yong Li and R.R. Mill. (1999). Podocarpaceae. In Flora of China Vol. สว่ นมากแยกเป็น 4 กลบี เกสรเพศผู้ 4 อนั ติดทคี่ อหลอดกลีบดอก มักย่ืนพน้
ปากหลอด ก้านชูอบั เรณสู ้นั มาก อับเรณตู ดิ ด้านหลังใกลโ้ คน รังไขใ่ ตว้ งกลีบ มี
4: 79-80. 2 ช่อง แตล่ ะช่องมีออวลุ 1 เมด็ พลาเซนตารอบแกนร่วม ยอดเกสรเพศเมยี แยก
Phengklai, C. (1975). Podocarpaceae (Podocarpus). In Flora of Thailand. Vol. 2 แฉก รูปเส้นดา้ ยบานออก ยืน่ พ้นปากหลอด ผลผนงั ชั้นในแข็ง มี 2 ไพรีน
2(3): 202. สกลุ Ixora อยภู่ ายใต้วงศย์ ่อย Ixoroideae พบในอเมรกิ า แอฟรกิ า มาดากสั การ์
เอเชีย และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ มปี ระมาณ 300 ชนิด ในไทยมมี ากกวา่ 30 ชนิด
ขนุ ไม้: ใบเรยี งสลับต้ังฉาก ไมม่ เี ส้นกลางใบ เส้นใบจำ� นวนมากเรียงขนานกนั ฐานรองเมลด็ อวบน้�ำ บางคร้ังมเี กล็ด และมหี ลายชนิดท่ีเป็นไม้ประดบั โดยเฉพาะเข็มแดง I. coccinea L. และเขม็ ขาว
ประดบั 2 เกลด็ ทพ่ี ฒั นาเป็นเนอ้ื หุ้มเมล็ด (ภาพ: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - PK) I. findlaysoniana Wall. & G. Don ทม่ี หี ลากสายพนั ธ์ุ หลากสี รวมทัง้ พันธุแ์ คระ
ช่ือสกุลมาจากภาษาสันสกฤต “Iswari” ช่อื ของพระแมอ่ ุมาเทวี (ปารวตี) เทวี
เข็ดตะขาบ แห่งอำ�นาจวาสนาและบารมี พระชายาองคท์ ีส่ องของ พระศวิ ะ ทช่ี าวอินเดยี ใช้
ดอกเข็มแดงเพื่อบชู า
Styphelia malayana (Jack) Spreng. เอกสารอา้ งองิ
วงศ์ Ericaceae Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Ixora). In Flora of China Vol. 19: 177.
Puff, C., K. Chayamarit and V. Chamchumroon. (2005). Rubiaceae of Thailand.
ช่ือพอ้ ง Leucopogon malayanus Jack
Forest Herbarium. Bangkok.
ไมพ้ มุ่ อาจสงู ได้ถึง 5 ม. ไม่มหี ใู บ ใบเรยี งเวยี น รูปใบหอก ยาว 2.5-6 ซม.
ปลายแหลมคมคล้ายหนาม โคนสอบเรียวปลายตัดชิดล�ำต้น เส้นแขนงใบ เขม็ : I. coccinea cultivar group ดอกรูปดอกเขม็ มีหลากสี ปลายสว่ นมากแยกเปน็ 4 กลีบ เกสรเพศผู้ 4 อัน ตดิ ที่
จำ� นวนมาก แผน่ ใบมนี วลดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ ลด มขี น แตล่ ะชอ่ มี 3-7 ดอก คอหลอดกลบี ดอก มกั ย่ืนพน้ ปากหลอด (ภาพ: cultivated - RP)
ก้านดอกสัน้ มาก กลีบเลย้ี ง 5 กลบี รูปไขก่ ลบั แกมรูปขอบขนาน ยาว 3-4 มม.
ติดทน ดอกรปู กรวยสีขาวหรอื อมชมพู มี 5 กลบี รูปสามเหล่ยี ม ยาวประมาณ 2 มม. เข็มขาวปา่
บานออก มขี นอุยด้านใน เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ทโี่ คนหลอดกลบี ยาว 1-2 มม.
ย่ืนพ้นปากหลอดกลีบเล็กนอ้ ย จานฐานดอกจัก 5 พู รังไขม่ ี 5 ชอ่ ง เกลี้ยง แตล่ ะชอ่ ง Daphne sureil W. W. Sm. & Cave
มอี อวลุ 1 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมียยาวประมาณ 2 มม. ยอดเกสรเพศเมยี เป็นตุ่ม วงศ์ Thymelaeaceae
ผลผนังช้นั ในแข็ง เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 5 มม. สุกสีแดง มี 5 เมลด็
ไม้พุม่ สงู ได้ถงึ 4 ม. ใบเรยี งเวยี น รปู รถี ึงรปู ใบหอก หรอื แกมรปู ไข่ ยาว 5-14 ซม.
พบท่ีพมา่ ตอนลา่ ง กมั พูชา เวยี ดนามตอนใต้ คาบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และ ปลายและโคนแหลม ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แน่น ออกท่ี
บอร์เนียว ในไทยพบทางภาคใต้ทน่ี ครศรธี รรมราช ยะลา สตลู ปัตตานี ขึน้ ตาม ปลายก่ิง ไร้ก้านชอ่ หรือมกี ้านช่อสั้น ๆ ใบประดับรูปไข่ ยาว 0.8-1 ซม. รว่ งเรว็
ชายฝง่ั ทะเลทเ่ี ปน็ ทรายและโขดหนิ หรอื ตามทโ่ี ลง่ บนยอดเขา ความสงู ถงึ ประมาณ แตล่ ะชอ่ มี 5-14 ดอก ก้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบเล้ยี งสีขาว หลอดกลบี ยาว
1500 เมตร แยกเปน็ var. novoguineensis Sleumer พบเฉพาะที่นิวกนิ ี 1-1.5 ซม. ปลายแยกเปน็ 4 กลีบ รูปไข่ ขนาดไมเ่ ท่ากนั ยาว 5-8 มม. ดา้ นนอก
มีขนประปราย ไมม่ กี ลีบดอก เกสรเพศผู้ 8 อัน เรียง 2 วง วงล่างตดิ ประมาณ
สกุล Styphelia Sm. เคยอย่ภู ายใตว้ งศ์ Epacridaceae ปจั จุบนั อยู่วงศ์ย่อย ก่งึ กลางหลอดกลีบดอก วงบนตดิ บนปากหลอดกลีบดอก ไร้ก้านชอู ับเรณหู รอื มี
Styphelioideae มีประมาณ 130 ชนิด สว่ นใหญ่พบในออสเตรเลยี ในไทยมี ก้านสน้ั มาก อับเรณยู าว 1-2 มม. จานฐานดอกรูปถ้วย ขอบจัก รังไข่มี 1 ช่อง
ชนดิ เดยี ว ชอ่ื สกุลมาจากภาษากรีก “styphelos” แข็ง ตามลักษณะใบทีป่ ลาย ยอดเกสรรปู โล่ ผลสดมีหลายเมล็ด รปู รี ยาว 0.8-1.5 ซม. สกุ สแี ดง
แหลมคมคลา้ ยหนาม
เอกสารอ้างองิ พบทอ่ี นิ เดยี เนปาล จนี ตอนใต้ บงั กลาเทศ และพมา่ ในไทยพบทางภาคเหนอื
Larsen, K. (1987). Epacridaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 70-71. ท่ีเชียงใหม่ ขน้ึ ตามปา่ ดิบเขา ความสูง 1200-2200 เมตร
Sleumer, H. (1964). Epacridaceae. In Flora Malesiana Vol. 6: 426-428.
สกุล Daphne L. มีประมาณ 95 ชนิด พบในเอเชียโดยเฉพาะจีน มีหลายชนิดนยิ ม
เข็ดตะขาบ: ปลายใบแหลมคมคล้ายหนาม โคนสอบเรียวปลายตัดชิดลำ� ตน้ ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ก้านดอกสั้น ปลกู เป็นไม้ประดับ ดอกมีกล่นิ หอม ตา่ งจากสกลุ Eriosolena และ Wikstroemia
ดอกรูปกรวย กลบี ดอกมีขนอยุ ดา้ นใน กลบี เล้ยี งติดทน (ภาพ: ยะลา - RP) ท่กี ้านช่อไร้กา้ นหรือมกี ้านสน้ั มากและออกตามซอกใบ ในไทยมชี นดิ เดยี ว สว่ น
D. composita (L. f.) Gilg ปัจจบุ นั ใหเ้ ปน็ ชอ่ื พอ้ งของ Eriosolena composita
(L. f.) Tiegh. ชือ่ สกุลมาจากภาษากรีก “daphne” ทใี่ ชเ้ รียก Laurus nobilis L.
85
เข็มขาวป่า สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
เอกสารอ้างองิ แบบชอ่ กระจกุ คลา้ ยช่อเชิงหล่ัน ออกสนั้ ๆ ท่ปี ลายกิ่ง ก้านช่อยาว 1-4.5 ซม.
Peterson, B. (1997). Thymelaeaceae (Daphne). In Flora of Thailand Vol. 6(3): ก้านดอกส้นั หลอดกลบี เล้ยี งยาวประมาณ 1 มม. กลีบรูปสามเหล่ียมต้นื ๆ ดอกสสี ม้
243-245. อมแดงหรอื อมเหลอื ง หลอดกลบี ดอกยาว 2-3.5 ซม. กลีบรปู ไข่ ยาว 6-9 มม.
Wang, Y., M.G. Gilbert, B.F. Mathew and C. Brickell. (2007). Thymelaeaceae อบั เรณยู าว 2-2.5 มม. กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 3-4 มม. ยอดเกสรเพศเมยี แยก 2 แฉก
(Daphne). In Flora of China Vol. 13: 230, 241. ยาว 1-1.5 มม. ผลสด รูปรเี กอื บกลม ยาว 5-8 มม. จกั 2 พู
เขม็ ขาวปา่ : ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ แน่น ออกท่ีปลายกิง่ กา้ นชอ่ ดอกส้นั กลบี เล้ียงสีขาว มี 4 กลบี ไมม่ กี ลบี ดอก พบทพี่ ม่า คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ชวา บอรเ์ นียว ในไทยส่วนมากพบทาง
ผลรปู รี (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชยี งใหม่ - RP) ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาคตะวันออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ พบประปรายทาง
ภาคเหนือ ข้ึนใต้ร่มเงาในป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 1000
เขม็ ขาวป่า เมตร เปน็ ไมป้ ระดับ ใบอ่อนและดอกกนิ ได้
Eriosolena composita (L. f.) Tiegh. เอกสารอ้างองิ
วงศ์ Thymelaeaceae Chamchumroon, V. (2006). A checklist of the genus Ixora L. (Rubiaceae) in
Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 24: 4-24.
ชือ่ พ้อง Scopolia composita L. f., Daphne composita (L. f.) Gilg de Padua, L.S., N. Bunyapraphatsara and R.H.M.J. Lemmens (Editors).
(1999). In Plant Resources of South-East Asia 12(1) Medicinal and poi-
ไมพ้ ุม่ หรือไม้ต้น สงู ได้ถงึ 10 ม. ใบเรียงเวยี น รูปรถี ึงรปู ขอบขนาน ยาวไดถ้ งึ sonous plants 1. Backhuys Publisher, Leiden, the Netherlands.
14 ซม. ปลายและโคนแหลม แผน่ ใบดา้ นลา่ งมนี วล ก้านใบยาว 2-5 มม. ชอ่ ดอก
แบบช่อกระจุกแน่นออกตามซอกใบ กา้ นช่อยาว 2-5 ซม. ใบประดบั สเี ขยี วมี เข็มทอง: ไมพ้ มุ่ เต้ีย ใบเรียงตรงขา้ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ คล้ายชอ่ เชงิ ลนั่ ออกส้ัน ๆ ที่ปลายก่ิง กลีบดอก 4 กลบี
สแี ดงแตม้ มี 2-4 ใบ รูปไข่ ยาว 0.8-1 ซม. รว่ งเรว็ แต่ละชอ่ มี 6-14 ดอก ดอกไร้ก้าน เกสรเพศผู้ติดท่ีคอหลอดกลีบดอก ยอดเกสรเพศเมียแยก 2 แฉก รูปเสน้ ดา้ ยบานออก ยนื่ พ้นปากหลอดกลบี ดอก ผลสด
ไมม่ กี ลบี ดอก กลบี เล้ยี งสีขาวหรอื ครมี หลอดกลีบยาว 0.6-1.2 ซม. มี 4 กลีบ จกั เป็นพู (ภาพ: ปากนำ�้ สงคราม นครพนม - PK)
เรียงซ้อนเหลอ่ื ม รูปไข่ ยาว 2-4 มม. ดา้ นนอกมีขนคล้ายไหม เกสรเพศผู้ 8 อนั
เรยี ง 2 วง วงบนยนื่ พน้ ปากหลอดกลีบเลก็ นอ้ ย กา้ นชอู ับเรณูสนั้ จานฐานดอก เข็มปานามา
รูปถ้วย จกั มน รังไข่มี 1 ชอ่ ง ปลายรังไข่และก้านเกสรเพศเมียมีขน ยอดเกสรรปู โล่
ไม่ยืน่ พน้ ปากหลอดกลบี ผลสดมหี ลายเมลด็ รูปรี ยาว 0.8-1.5 ซม. สกุ สีดำ� Rondeletia odorata Jacq.
วงศ์ Rubiaceae
พบทอี่ นิ เดยี จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ในไทยพบทกุ ภาค
ขนึ้ ตามปา่ ดิบเขา ความสงู ถึงประมาณ 2000 เมตร ช่ือพอ้ ง Rondeletia coccinea Moc. & Sessé ex DC., R. speciosa Lodd.
สกุล Eriosolena Blume มี 2 ชนิด พบเฉพาะในเอเชีย ในไทยมีชนดิ เดียว ต่างจาก ไมพ้ ุ่ม สงู 2-3 ม. มีขนตามกิ่ง หูใบ แผ่นใบด้านลา่ ง ก้านใบ ช่อดอก กลบี เล้ียง
สกุล Daphne ทีช่ ่อดอกออกตามซอกใบใกล้ปลายกิง่ กา้ นชอ่ ยาว ช่ือสกลุ มาจาก รงั ไข่ และผล หใู บรปู สามเหล่ียม ยาว 4-5 มม. ตดิ ทน ใบเรยี งตรงขา้ ม รูปรหี รือรูปไข่
ภาษากรกี “erio” ขนคล้ายแกะ และ “sole” โคน ตามลักษณะหลอดกลบี เลยี้ ง ยาว 2-10 ซม. โคนกลมหรอื เว้าตื้น แผน่ ใบสาก ก้านส้นั ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ
ดา้ นนอกมีขนหนาแน่น ออกท่ีปลายกิ่ง กา้ นช่อยาว 0.7-1.5 ซม. ใบประดบั รูปสามเหลี่ยม ยาว 0.2-1.5 ซม.
เอกสารอ้างอิง ก้านดอกยาว 1.5-5 มม. ใบประดบั ยอ่ ยรปู แถบ ยาว 3-4 มม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ
Peterson, B. (1997). Thymelaeaceae (Daphne composita). In Flora of Thailand รูปแถบ ยาว 4-5 มม. ดอกสสี ม้ อมแดง หลอดกลบี ดอกยาว 1-2 ซม. ปากหลอดกลบี
หนาเปน็ วง มี 5 กลีบ รูปรียาว 4-5 มม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ใต้ปากหลอดกลีบดอก
Vol. 6(3): 243-244. กา้ นชอู ับเรณสู น้ั ก้านเกสรเพศเมยี มี 2 แบบ แบบสั้นและแบบยาว ผลแห้งแตก
Wang, Y. and M.G. Gilbert. (2007). Thymelaeaceae (Eriosolena). In Flora of เป็น 2 ซกี กลม เส้นผ่านศนู ย์กลาง 3-4 มม. เมล็ดจำ� นวนมาก ขนาดเล็ก
China Vol. 13: 246. มีถน่ิ ก�ำเนดิ ในอเมริกากลางทเี่ ม็กซิโก ปานามา ประเทศในแถบทะเลแครบิ เบยี น
และทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ เป็นไม้ประดบั ค�ำระบุชนดิ แปลว่ามีกลนิ่ หอม
เขม็ ขาวปา่ : ดอกออกเป็นชอ่ กระจุกแน่น กา้ นชอ่ ดอกยาว ผลสุกสดี �ำ (ภาพดอก: เขาใหญ่ ปราจนี บรุ ี - RP; ภาพผล: เขา้ ใจวา่ มาจากรากทม่ี กี ลนิ่ หอมออ่ น ๆ แตด่ อกไมม่ กี ลนิ่ หอม ตน้ ทป่ี ลกู เปน็ ไมป้ ระดบั
เขาหลวง นครศรีธรรมราช - SSi) มกั ไมต่ ดิ ผล ในตลาดตน้ ไมเ้ รยี กวา่ เขม็ มาดากสั การ์ ทำ� ใหเ้ ขา้ ใจผดิ เรอ่ื งถน่ิ ก�ำเนดิ
ชอื่ เข็มปานามาตั้งตามช่อื สามัญ Panama rose
เขม็ ทอง
สกุล Rondeletia L. มีประมาณ 160 ชนิด พบเฉพาะในอเมริกาเขตรอ้ น
Ixora javanica (Blume) DC. หลายชนิดเป็นไมป้ ระดบั ชื่อสกุลตง้ั ตามนักพฤกษศาสตรช์ าวฝรง่ั เศส Gulaume
วงศ์ Rubiaceae Rondelet (1507-1566)
เอกสารอา้ งอิง
ชอื่ พ้อง Pavetta javanica Blume, Ixora amoena Wall. ex G. Don Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Rondeletia). In Flora of China
ไม้พมุ่ สว่ นมากสูงไมเ่ กิน 3 ม. หูใบยาว 4-6 มม. ปลายเป็นตง่ิ แหลม ใบรูปรี Vol. 19: 303-304.
ถงึ รปู ขอบขนาน หรือแกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 7-18 ซม. กา้ นใบยาว 0.3-1 ซม. ชอ่ ดอก Puff, C. and V. Chamchumroon. (2003). Non-indigenous Rubiaceae grown in
Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 31: 87.
86
สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย เขม็ อนิ เดีย
พบตามชายฝง่ั ทะเลทางใตข้ องอนิ เดยี ศรลี งั กา เกาะอนั ดามนั และชายฝง่ั ทะเล
ด้านตะวนั ตกของไทยแถบจงั หวดั พงั งา ภเู กต็ และสตลู
สกุล Hydrophylax L. f. มีเพียงชนดิ เดยี ว ชอื่ สกุลมาจากภาษากรีก “hydro” น้ำ�
และ “phylax” ผ้พู ิทกั ษ์ ตามลกั ษณะถิน่ ท่อี ยู่
เอกสารอ้างอิง
Puff, C., K. Chayamarit and V. Chamchumroon. (2005). Rubiaceae of Thailand.
Forest Herbarium. Bangkok.
เขม็ ปานามา: ใบเรยี งตรงขา้ ม ช่อดอกแบบช่อกระจกุ ออกทีป่ ลายกิง่ กลบี เล้ยี ง 5 กลบี รูปแถบ ปากหลอดกลบี ดอก เขม็ เลื้อย: ล�ำต้นและใบอวบน้ำ� ลำ� ต้นสีนำ้� ตาลแดงทอดเล้ือย ดอกออกเด่ียว ๆ ตามซอกใบ เกสรเพศผู้ 4 อัน ติด
หนาเป็นวง เกสรเพศผูต้ ดิ ใตป้ ากหลอดกลบี ดอก (ภาพ: cultivated - RP) ภายในหลอดกลบี ดอกระหว่างกลบี ดอก กลบี เล้ียงขยายในผล (ภาพ: ท้ายเหมอื ง พังงา - RP)
เข็มภหู ลวง เข็มอัปสร
Ixora phuluangensis Chamch. Ixora dolichophylla K. Schum.
วงศ์ Rubiaceae วงศ์ Rubiaceae
ไม้พมุ่ สงู 2-3 ม. หใู บเปน็ กาบยาว 0.8-1 ซม. ปลายมรี ยางค์แขง็ ยาว 3-4 มม. ไมพ้ มุ่ สงู 1-2 ม. หใู บมขี น ปลายมรี ยางคแ์ ขง็ ใบรปู ขอบขนานถงึ รปู ใบหอก
ใบรปู ขอบขนาน ยาว 8.5-12 ซม. ปลายเรยี วยาวกว้าง ก้านใบยาว 4-6 มม. ชอ่ ดอก ยาว 10-20 ซม. กา้ นใบหนา ยาว 0.8-1.2 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ คล้ายช่อเชิงลนั่
แบบช่อกระจุกเรียงแบบช่อเชิงหลั่น มีหลายช่อ ออกตามปลายกิ่ง ก้านช่อสั้น ออกตามปลายกงิ่ สนั้ ๆ ดอกจำ� นวนมาก กา้ นดอกยาวประมาณ 4 มม. หลอดกลบี เลย้ี ง
แตล่ ะชอ่ กระจุกมี 3 ดอก ก้านดอกยาว 2-4 มม. หลอดกลีบเล้ียงยาว 2-3 มม. ยาว 2-3 มม. มีขนหยาบหนาแน่น กลบี รปู สามเหลยี่ ม ยาว 2-6 มม. หลอดกลีบดอก
กลบี รูปใบหอก ยาว 2-4 มม. ดอกสขี าวอมชมพู หลอดกลบี ดอกยาว 1.5-2.5 ซม. ยาว 2.3-2.5 ซม. กลบี ยาว 5-6 มม. อบั เรณยู าวประมาณ 4 มม. ยนื่ พน้ ปากหลอด
กลบี รปู ไข่ ยาว 5-6 มม. ปลายมน อบั เรณูยาว 5-7 มม. รังไขเ่ กลี้ยง กา้ นเกสรเพศเมยี กลบี ดอก ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 4-8 มม. ผลจัก 2 พตู ้ืน ๆ เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 5-8 มม.
ยาว 3-5 มม. ผลกลม เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 7-8 มม. ผลแก่สีแดงเปลย่ี นเปน็ สดี �ำ (ดูข้อมลู เพิม่ เตมิ ท่ี เขม็ , สกุล)
(ดขู ้อมลู เพิ่มเติมที่ เขม็ , สกุล)
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ จ่ี นั ทบรุ ี ระยอง และเกาะชา้ ง
พืชถน่ิ เดียวของไทย พบที่ภหู ลวง จงั หวดั เลย ข้ึนตามทล่ี าดชนั ใกลล้ ำ� ธารใน จังหวัดตราด ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ชื้นใกลช้ ายฝัง่ ทะเล
ปา่ ดบิ เขา ความสูง 1400-1800 เมตร คลา้ ยเข็มปา่ I. cibdela Craib ทพ่ี บทว่ั ไป
แตม่ ีกลีบเลี้ยงและหลอดกลบี ดอกยาวกว่า ผลอ่อนไม่เปน็ สีขาว เอกสารอา้ งองิ
Craib, W.G. (1934). Rubiaceae. Florae Siamensis Enumeratio Vol. 2(2): 155.
เอกสารอ้างอิง
Chamchumroon, V., C. Puff and S. Vajrodaya. (2005). A new species of and
a status change in Ixora (Rubiaceae) from Thailand. Thai Forest Bulletin
(Botany) 33: 8-15.
เข็มภหู ลวง: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกเรียงแบบชอ่ เชิงหลั่น ออกตามปลายกงิ่ ก้านช่อส้ัน กลีบดอกสขี าวอมชมพู เข็มอปั สร: ใบรปู ขอบขนานถงึ รูปใบหอก ยาว 10-20 ซม. ก้านใบหนา ชอ่ ดอกออกส้ัน ๆ ตามปลายก่งิ ผลจัก 2 พตู ้ืน ๆ
ผลแก่สีแดง (ภาพ: ภูหลวง เลย - VC) (ภาพ: เกาะช้าง ตราด - BC)
เขม็ เล้ือย เข็มอินเดีย
Hydrophylax maritima L. f. Pentas lanceolata (Forssk.) Deflers
วงศ์ Rubiaceae วงศ์ Rubiaceae
ไม้ลม้ ลุกอวบนำ�้ ทอดเลือ้ ย ยาว 4-5 ม. มรี ากตามข้อ ล�ำตน้ สีนำ้� ตาลแดง ช่ือพอ้ ง Ophiorrhiza lanceolata Forssk.
หรอื อมเขยี วออ่ น กงิ่ ทมี่ ดี อกยาวไดถ้ งึ 10 ซม. หใู บเชอื่ มตดิ กนั คลา้ ยกาบ ใบเรยี ง
ตรงข้าม รูปรีถึงรูปใบพาย ยาว 1-2.5 ซม. โคนสอบเรียวจรดก้าน ขอบใบจักฟัน ไมพ้ มุ่ เตยี้ สงู 30-70 ซม. กง่ิ เปน็ เหลย่ี ม มขี นยาวตามกง่ิ หใู บ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง
เลื่อยถ่ี กา้ นใบสน้ั หรอื ไรก้ ้าน ดอกออกเด่ียว ๆ ตามซอกใบ กลีบเลีย้ ง 4 กลบี ยาว ก้านใบ ชอ่ ดอก กลบี เล้ียงและกลบี ดอกด้านนอก หูใบรูปรีกว้าง ยาวประมาณ
1-2 มม. ขยายในผล ดอกรปู แตรสขี าว หลอดกลบี ดอกยาว 6-7 มม. ปลายแยก 4 กลบี 2 มม. มขี นแขง็ 1-5 อัน ยาว 1-4 มม. ตดิ ทน ใบเรียงตรงขา้ ม รปู รีถึงรปู ใบหอก
รปู สามเหล่ียม ยาว 3-4 มม. เกสรเพศผู้ 4 อนั ตดิ ภายในหลอดกลีบดอกระหวา่ ง ยาว 5-14 ซม. กา้ นใบยาว 0.5-3 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ กา้ นชอ่ ยาวประมาณ
กลบี ดอก กา้ นเกสรเพศผู้เรียว ยาว 3-4 มม. รังไขใ่ ต้วงกลีบ มี 2 ช่อง แต่ละช่องมี
ออวุลเมด็ เดียว เกสรเพศเมียยาวประมาณ 8 มม. ยอดเกสรแยก 2 พู ผลเกล้ียง
เปน็ สนั ตามยาว รปู รี ยาว 4-5 มม. แหง้ ไมแ่ ตก เปลอื กแขง็ คลา้ ยไมค้ อรก์ เมลด็
เป็นร่องลกึ ตามยาว
87
แขนงพร้อย สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
1 ซม. ใบประดับรปู สามเหล่ียม ยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกมีก้านสั้น ๆ หรือไรก้ า้ น ไขด่ าว
กลบี เลยี้ งขนาดไมเ่ ทา่ กนั สว่ นมากมี 5 กลบี ยาว 2-8 มม. ตดิ ทน ดอกสขี าว ชมพู
แดง หรอื เหลอื ง หลอดกลีบดอกยาว 1.7-2 ซม. ปากหลอดมีขนแผงหนาแนน่ Oncoba spinosa Forssk.
กลบี ดอกสว่ นมากมี 5 กลบี รปู รถี งึ รูปขอบขนาน ยาว 3-4 มม. เกสรเพศผูต้ ิดใต้ วงศ์ Salicaceae
ปากหลอดกลบี ดอก รงั ไขม่ ี 2 ชอ่ ง ออวลุ จำ� นวนมาก เกสรเพศเมยี สว่ นมากมี 2 แบบ
แบบสน้ั และแบบยาว ยอดเกสรเพศเมยี แยก 2 แฉก ผลแหง้ แตกตามยาว รปู ไขก่ ลบั ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. ลำ� ตน้ และกงิ่ มชี อ่ งอากาศและหนาม หนามยาว
ยาว 4-6 มม. ปลายมจี ะงอยยาว 1-2 มม. เมล็ดจำ� นวนมาก ขนาดเล็ก 5-7 ซม. ใบเรยี งเวียน รปู รหี รอื รูปไข่ ยาว 3.5-14 ซม. ขอบจักซฟ่ี ัน กา้ นใบยาว
0.6-1 ซม. ดอกออกเดย่ี ว ๆ ตามซอกใบใกล้ปลายก่งิ กา้ นดอกยาว 1-2 ซม. กลบี เลี้ยง
มถี ่ินกำ� เนิดในแอฟริกา เป็นไมป้ ระดับ 4 กลบี รปู ไข่ ยาว 1-1.5 ซม. ติดทน ขยายในผลเลก็ นอ้ ย ดอกสีขาว มี 8-10 กลบี
รปู ไขก่ ลบั ยาว 2.5-3.5 ซม. กลบี วงในแคบกวา่ เล็กน้อย เกสรเพศผจู้ �ำนวนมาก
สกุล Pentas Benth. อย่ภู ายใต้วงศย์ ่อย Rubioideae เผ่า Hedyotideae มี มี 5 มัด รังไขม่ ชี ่องเดียว ก้านเกสรเพศเมียยาว 0.6-1 ซม. ยอดเกสรมีประมาณ
ประมาณ 50 ชนดิ พบในแอฟริกาและมาดากสั การ์ ในไทยพบเป็นไม้ประดบั 8 แฉก ตดิ ทน ผลสดมีหลายเมล็ด กลม เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 5-6 ซม. เปลอื กแขง็
ชนดิ เดยี ว ช่อื สกุลเป็นภาษากรกี หมายถึงเรยี งวงละ 5 กลบี มีสันต้นื ๆ ประมาณ 8 สนั เมล็ดรูปไข่ ยาว 6-7 มม.
เอกสารอา้ งอิง มถี น่ิ กำ� เนดิ ในแอฟรกิ า เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไปในเขตรอ้ น เปลอื กแขง็ ใชท้ �ำกลอ่ ง
Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Pentas). In Flora of China Vol. ใสย่ าสบู ผลกนิ ได้ รากใชร้ กั ษาโรคทอ้ งมาน และกระเพาะปสั สาวะอกั เสบ เมลด็ ให้
19: 290. นำ้� มันใชท้ ำ� น�ำ้ มนั ชักเงา แตส่ กัดคอ่ นขา้ งยาก
สกลุ Oncoba Forssk. มีประมาณ 30 ชนิด พบในอเมริกาเขตร้อน แอฟริกา
และอาระเบีย ในไทยพบเป็นไมป้ ระดบั ชนดิ เดยี ว ชอ่ื สกุลมาจากภาษาอาหรับ
“onkub” หนาม เช่นเดยี วกับคำ�ระบชุ นดิ ซงึ่ หมายถงึ หูใบที่เปลยี่ นรูปเป็นหนาม
เอกสารอ้างองิ
Burkill, H.M. (1995). The useful plants of west tropical Africa. Royal Botanic
Gardens Kew, 2nd edition, Vol. 3: 34-35.
เขม็ อินเดีย: ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกสน้ั ๆ ทีป่ ลกู เป็นไมป้ ระดบั สว่ นมากเปน็ แบบทมี่ กี า้ นเกสรเพศเมยี ยาว มหี ลากสี ไข่ดาว: ดอกขนาดใหญ่ ออกเดย่ี ว ๆ ตามซอกใบใกลป้ ลายกิง่ กลีบดอก 8-10 กลบี เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก ผลกลม
(ภาพ: cultivated - RP) กลบี เล้ียงและเกสรเพศเมยี ตดิ ทน (ภาพ: cultivated - RP)
แขนงพร้อย ไขน่ กกระทา
Phyllanthus collinsae Craib Distylium indicum Benth. ex C. B. Clarke
วงศ์ Phyllanthaceae วงศ์ Hamamelidaceae
ไมพ้ มุ่ อาจสงู ไดถ้ งึ 6 ม. หใู บโคนเปน็ ตง่ิ ใบเรยี งสลบั ระนาบเดยี ว รปู ขอบขนาน ไมต้ ้น สงู ไดถ้ งึ 15 ม. ดอกเพศผูแ้ ละดอกสมบูรณ์เพศรว่ มตน้ มีขนรูปดาว
ถึงรปู ใบหอก ยาว 0.5-2.2 ซม. ปลายมนมตี ิง่ แหลม โคนเบ้ียว กา้ นใบสั้นมาก ประปรายตามกง่ิ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ และชอ่ ดอก กงิ่ มใี บประดบั (prophyll)
ดอกออกเปน็ กระจกุ ตามซอกใบ ไมม่ ีกลบี ดอก ดอกเพศผู้กา้ นดอกยาว 2-4 มม. ทโ่ี คน หใู บรว่ งเรว็ รปู แถบ ยาว 3-8 มม. ใบเรยี งสลบั ระนาบเดยี ว รปู รหี รอื รปู ไขก่ ลบั
กลบี เลย้ี ง 6 กลบี รปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 1 มม. จานฐานดอกเปน็ ตอ่ ม 6 ตอ่ ม ยาว 6-14 ซม. ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ไมม่ ีกลีบดอกและกลบี เลีย้ ง ชอ่ ดอกแบบ
เกสรเพศผู้ 4-6 อนั กา้ นชอู บั เรณเู ชอ่ื มตดิ กนั ยาว 1.5-2 มม. ดอกเพศเมยี กา้ นดอก ชอ่ เชงิ ลดเปน็ กระจกุ หรอื ชอ่ แบบชอ่ กระจะสน้ั ๆ ไรก้ า้ นชอ่ ชอ่ ดอกเพศผมู้ ี 3-6 ดอก
ยาว 3-4 มม. กลบี เล้ียง 6 กลีบ รปู รีหรอื รปู ไข่ ยาว 1.5-2 มม. จานฐานดอกรูปเบาะ เกสรเพศผู้ 1-8 อนั กา้ นชอู บั เรณสู นั้ ยาวไมเ่ ทา่ กนั ชอ่ ดอกสมบรู ณเ์ พศมี 4-10 ดอก
จกั มน รังไขย่ น่ กา้ นเกสรเพศเมยี แยกเปน็ 3 แฉก ยาวประมาณ 1 มม. ผลจัก 3 พู รงั ไข่มี 2 ช่อง ขนรูปดาว แต่ละชอ่ งมอี อวุลเมด็ เดยี ว ก้านเกสรเพศเมยี 2 อนั รูปลิ่ม
กลมแปน้ ผวิ ยน่ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3-4 มม. มี 2 เมลด็ ในแตล่ ะซกี รปู สามเหลย่ี ม ตดิ ทน ผลแหง้ แตกเป็น 2 ส่วน รปู รีหรือรูปไข่ ยาว 1-1.5 ซม. มีขนหนาแน่น
ยาวประมาณ 1 มม. (ดขู อ้ มลู เพ่มิ เตมิ ที่ ผักหวานดง, สกลุ )
พบทอ่ี นิ เดยี พมา่ ลาว และเวยี ดนาม ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคเหนอื
พบที่เวียดนามตอนล่าง ในไทยพบกระจายแทบทุกภาค ยกเว้นภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ขนึ้ ตามสนั เขาหรอื รมิ ลำ� ธาร
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ข้ึนตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และ ในปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ เขา โดยเฉพาะทเ่ี ปน็ เขาหนิ ปนู ความสงู 600-1300 เมตร
ป่าดิบชน้ื ความสูงถึงประมาณ 400 เมตร สว่ นมากมปี มุ่ หดู รูปไขห่ รอื รปู ขอบขนาน ขนาดใหญ่ เบย้ี ว
เอกสารอา้ งองิ สกลุ Distylium Siebold & Zucc. มี 18 ชนิด พบในเอเชยี โดยเฉพาะจนี ในไทย
Chantaranothai, P. (2007). Euphorbiaceae (Phyllanthus). In Flora of Thailand มี 2 ชนดิ อีกชนิด คอื D. annamicum (Gagnep.) Airy Shaw พบท่ีเวียดนาม
Vol. 8(2): 484. และภาคตะวนั ออกของไทยทีช่ ัยภมู ิ ใบเรยี วแคบ และผลสน้ั ช่อื สกุลหมายถงึ มี
ก้านเกสรเพศเมยี 2 อัน
แขนงพรอ้ ย: ใบเรยี งสลับระนาบเดยี ว ปลายมนมีต่งิ แหลม ดอกเพศผู้ออกเปน็ กระจุกตามซอกใบ ผลจกั 3 พู ผิวยน่
(ภาพ: แก่งกระจาน เพชรบรุ ี - PK) เอกสารอา้ งองิ
Phengklai, C. (2001). Hamamelidaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 403.
Zhang, Z.-Y., H. Zhang and P.K. Endress. (2003). Hamamelidaceae. In Flora
of China Vol. 9: 28.
88
สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย คดนกกูด
ไขน่ กกระทา: ช่อดอกส้นั ไร้ก้าน ผลแหง้ แตก มีขนหนาแน่น เกสรเพศเมยี ติดทน มีป่มุ หูดหรอื gall ขนาดใหญ่ เบ้ยี ว แตล่ ะช่องมอี อวลุ 2 เมด็ ยอดเกสรเพศเมยี เรยี บ ผลแหง้ แตก บาง ยาว 3.2-5.5 ซม.
(ภาพ: ดอยตุง เชียงราย - RP) ปกี กวา้ งประมาณ 2 ซม. เมล็ดสดี �ำ รปู รี ยาวประมาณ 5 มม. มขี น ขว้ั เมลด็
ขนาดเล็ก ไม่มเี ยื่อหมุ้
ไข่มดหิน
พบทพ่ี มา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้ ขน้ึ ตาม
Diplycosia heterophylla Blume var. latifolia (Blume) Sleumer ป่าเบญจพรรณ และปา่ ดิบแลง้ ทเ่ี ปน็ เขาหนิ ปนู ความสูงถึงประมาณ 600 เมตร
วงศ์ Ericaceae
สกลุ Arfeuillea Pierre ex Radlk. มชี นิดเดยี ว ชอื่ สกลุ ตง้ั ตาม Arfeuille เพอ่ื นของ
ชอ่ื พ้อง Diplycosia latifolia Blume Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตรช์ าวฝรั่งเศส
เอกสารอา้ งองิ
ไม้พ่มุ สงู ได้ถงึ 5 ม. ใบเรยี งเวียน รูปไข่ รปู รี หรอื รปู ขอบขนาน ยาว 8-16 ซม. van Welzen, P.C. (1999). Sapindaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 185.
แผ่นใบค่อนข้างหนา ก้านใบยาว 3-7 ซม. ดอกออกเป็นกระจุกตามซอกใบ
กา้ นดอกยาว 5-7 มม. ใบประดบั ขนาดเลก็ รปู สามเหลย่ี ม 2 ใบ เชอื่ มตดิ กนั กลบี เลยี้ ง คงคาเดอื ด: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ แยกแขนง กลบี เลย้ี งขนาดใหญก่ ว่ากลีบดอก รงั ไขม่ ขี น ผลมีปกี บาง ๆ (ภาพดอก:
5 กลีบ รูปไข่ ยาวประมาณ 3 มม. ขยายในผล ดอกรูประฆงั สีเขยี วอมชมพู เขางู เพชรบรุ ี - RP; ภาพผล: แกง่ กระจาน เพชรบุรี - MP)
หลอดกลีบดอกยาว 4-6 มม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ขนาดเลก็ ปลายพับงอกลับ
เกสรเพศผู้ 10 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 3 มม. ปลายอบั เรณยู น่ื ยาวคลา้ ยหลอด คดนกกูด
มีตมุ่ กระจาย จานฐานดอกรูปถว้ ย จกั ต้นื ๆ 10 พู รังไขเ่ กลีย้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี
ยาว 4-5 มม. ตดิ ทน ผลแหง้ แตก เปลอื กบาง มกี ลบี เลย้ี งสดหมุ้ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง Aralidium pinnatifidum (Jungh. & de Vriese) Miq.
ประมาณ 5 มม. เมล็ดขนาดเล็กจำ� นวนมาก วงศ์ Torricelliaceae
พบที่คาบสมุทรมลายู บอร์เนียว สมุ าตรา ชวา และฟลิ ปิ ปินส์ ในไทยพบทาง ชอ่ื พ้อง Aralia pinnatifida Jungh. & de Vriese
ภาคใต้ตอนล่างท่ีเบตง จังหวัดยะลา ข้ึนเกาะบนก้อนหินตามที่โล่งบนยอดเขา
ความสงู 700-1000 เมตร ไมพ้ ุ่มหรอื ไมต้ ้น สงู ได้ถงึ 17 ม. แยกเพศตา่ งตน้ ไมม่ หี ใู บ ใบเรยี งเวียน รูปรี
หรอื รูปขอบขนาน ยาว 25-40 ซม. เรียบหรือแฉกลกึ จรดเสน้ กลางใบ ขอบเรยี บ
สกุล Diplycosia Blume อยภู่ ายใต้วงศย์ ่อย Styphelioideae มปี ระมาณ 100 ชนิด กา้ นใบยาว 5-12 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกทปี่ ลายก่ิงหรือซอกใบ
ส่วนใหญ่พบในภูมภิ าคมาเลเซยี ในไทยมี 3 ชนิด พบเฉพาะทางภาคใต้ ชอื่ สกุล ใกล้ปลายก่ิง ยาวไดถ้ งึ 50 ซม. มีขนและปุม่ หนาแน่น ใบประดบั ขนาดเล็ก แต่ละ
มาจากภาษากรกี “diplos” สองเท่า และ “kos” คลุม ตามลกั ษณะใบเช่ือมตดิ กนั ช่อกระจุกยอ่ ยมี 1-5 ดอก ก้านดอกสน้ั กลบี เลีย้ งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ
เอกสารอ้างอิง 5 กลบี เรียงซ้อนเหลือ่ ม ยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกเพศผูแ้ ละดอกเพศเมยี คลา้ ยกัน
Sleumer, H. (1972). Ericaceae. In Flora Malesiana Vol. 6: 738-740. เกสรเพศผู้ 5 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 1 มม. เปน็ หมนั ในดอกเพศเมยี รงั ไข่
ใตว้ งกลีบ มี 3 ชอ่ ง 2 ชอ่ งฝ่อ ออวุล 1 เม็ด ก้านเกสรเพศเมยี ส่วนมาก 3 อัน
ไข่มดหนิ : ช่อกระจกุ สน้ั ๆ ตามซอกใบ ผลมกี ลบี เลีย้ งสดหมุ้ เกสรเพศเมยี ติดทน (ภาพ: เบตง ยะลา - RP) กางออก สนั้ กว่าก้านชูอบั เรณู ผลสดมีเมลด็ เดยี ว รูปรี เบ้ยี ว ยาว 2.5-4 ซม. สขี าว
เปลย่ี นเปน็ สมี ว่ งด�ำ เนอื้ หนา เมลด็ ยาว 2-2.5 ซม. มีริ้ว เอนโดเสปิรม์ ย่น
คงคาเดือด
พบท่ีคาบสมุทรมลายู สุมาตรา บอร์เนียว และภาคใต้ของไทย ข้ึนตามริม
Arfeuillea arborescens Pierre ลำ� ธารหรอื ทล่ี าดชันในป่าดิบชนื้ ความสูงถงึ ประมาณ 1250 เมตร
วงศ์ Sapindaceae
สกุล Aralidium Miq. เคยอยู่ภายใต้วงศ์ Aralidiaceae หรอื Araliaceae มชี นดิ เดียว
ไมต้ ้น สงู ได้ถงึ 20 ม. แยกเพศร่วมตน้ มขี นรูปดาวเป็นมัดกระจาย เปลอื กมี ชื่อสกลุ หมายถงึ สกลุ ท่คี ล้ายกับสกลุ Aralia
ชอ่ งอากาศ ใบประกอบมใี บย่อย 1-4 คู่ ก้านยาว 1-2 ซม. ใบย่อยรูปไข่ ยาว 2-7 ซม. เอกสารอา้ งอิง
โคนเบย้ี ว ขอบจักมน แผ่นใบมขี นยาวใกล้โคนเส้นกลางใบ กา้ นใบยาวประมาณ Esser, H.J. and M. Jebb. (2005). Aralidiaceae. In Flora of Thailand Vol. 9(1): 7-9.
3 มม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุกแยกแขนง ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ช่อย่อยยาว 2-4 ซม. Philipson, W.R. (1979). Araliaceae. In Flora Malesiana Vol. 9: 14-16.
มว้ นเลก็ น้อย กลบี เลยี้ ง 5 กลีบ รปู รถี งึ รูปขอบขนาน หรือแกมรูปไข่ ยาว 5.5-9 มม.
สีแดงอมเขียว ดอกสีขาว มี 2-4 กลบี รูปไขก่ ลบั ยาวประมาณ 3 มม. จานฐานดอก คดนกกดู : ช่อดอกแบบกระจุกแยกแขนง ออกท่ปี ลายกงิ่ ใบแฉกลกึ จรดเสน้ กลางใบ ผลรปู รี เบ้ียวเล็กนอ้ ย สุกสี
รปู คลา้ ยปาก เกสรเพศผู้ 6-9 อัน ก้านชอู ับเรณยู าว 5-9 มม. รังไข่มี 3 ช่อง มขี น มว่ งด�ำ (ภาพ: เขาช่อง ตรัง - RP)
89
คนทา สารานกุ รมพืชในประเทศไทย
คนทา คนทิสอ: ใบประกอบมี 3 ใบย่อย (ภาพซา้ ย: cultivated - RP); คนทสิ อทะเล: ชอ่ ดอกออกทป่ี ลายก่งิ ใบสว่ นมาก
มใี บเดียว ผลกลม กลบี เลีย้ งตดิ ทน (ภาพขวา: ระโนด สงขลา - RP)
Harrisonia perforata (Blanco) Merr.
วงศ์ Rutaceae ครอบจกั รวาล
ชอื่ พอ้ ง Paliurus perforatus Blanco Fioria vitifolia (L.) Mattei
วงศ์ Malvaceae
ไมพ้ ุม่ สงู 1-2 ม. หูใบเปน็ หนาม ยาวประมาณ 1 ซม. ใบประกอบปลายค่ี
เรยี งเวียน ยาวได้ถึง 20 ซม. แกนกลางมปี กี มขี นสัน้ นุ่ม ก้านยาวประมาณ 3 ซม. ชื่อพอ้ ง Hibiscus vitifolius L., H. yunnanensis S. Y. Hu
ใบยอ่ ยมใี บเดยี วหรอื มไี ดถ้ งึ 7 คู่ รปู รี รปู ขอบขนาน รปู สเ่ี หลยี่ มขา้ วหลามตดั หรอื
แกมรปู ไข่ ยาว 1-2 ซม. บางครงั้ จกั เปน็ พู กา้ นใบสน้ั มาก ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ หรอื ไมล้ ม้ ลกุ สงู ไดถ้ งึ 2.5 ม. เปลอื กเปน็ เสน้ ใยเหนยี ว มขี นกระจกุ รปู ดาวกระจาย
แยกแขนงสั้น ๆ กา้ นดอกยาวประมาณ 2 มม. กลบี เล้ียง 4-5 กลีบ ยาวประมาณ หใู บรปู เสน้ ด้าย ยาว 2-4 มม. รว่ งเร็ว ใบเรยี งเวียน รูปฝา่ มอื 3-7 พู หรอื เรยี บ
1.5 มม. เชอื่ มตดิ กันประมาณกึ่งหนงึ่ กลบี ดอก 4-5 กลบี เรียงซอ้ นเหลอื่ มในตาดอก รปู ไข่กวา้ งหรอื รปู หัวใจ ยาว 2.5-14 ซม. ขอบจักฟันเลอื่ ยหรอื จักมน แผน่ ใบมขี น
รปู ขอบขนานถงึ รปู ใบหอก ยาว 6-9 มม. เกสรเพศผู้ 8-10 อนั ตดิ ทโ่ี คนจานฐานดอก ทัง้ สองด้าน เส้นโคนใบข้างละ 2-3 เสน้ กา้ นใบยาว 1-5 ซม. ดอกออกเดยี่ ว ๆ
กา้ นชูอับเรณูยาว 0.7-1 ซม. มแี ผน่ คล้ายล้ินจกั 2 พู ยาวประมาณ 2 มม. ขอบมขี น หรอื เปน็ ชอ่ กระจกุ สน้ั ๆ ตามซอกใบใกลป้ ลายกง่ิ กา้ นดอกยาว 1.5-3 ซม. รวิ้ ประดบั
อบั เรณยู าว 1.5-4.5 มม. จานฐานดอกรปู ถว้ ย มี 4-5 คารเ์ พล เชอ่ื มตดิ กนั เกลย้ี ง มี 8-10 อัน รูปแถบ ยาว 0.6-2 ซม. ตดิ ทน กลีบเลี้ยงยาว 1-2 ซม. มี 5 กลบี
กา้ นเกสรเพศเมียยาว 5-8 มม. มีขน ผลผนังชัน้ ในแข็ง กลม แบนเล็กน้อย มกั จักเปน็ พู แฉกลกึ ประมาณกงึ่ หนง่ึ ขยายในผล ดอกสเี หลอื ง โคนดา้ นในสมี ว่ งอมแดง มี 5 กลบี
เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 1-1.5 ซม. รูปไข่กลับ ยาว 1.5-5 ซม. ด้านนอกมีแถบขน 2 แนว เส้าเกสรยาว 0.8-2 ซม.
อบั เรณรู ปู ตวั ยู ตดิ ตลอดความยาว รงั ไขม่ ขี นสาก กา้ นเกสรเพศเมยี แยกเปน็ 5 แฉก
พบทห่ี มเู่ กาะอนั ดามนั จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ในไทย ยอดเกสรเป็นตมุ่ ผลแหง้ แตกเปน็ 5 ซกี สั้นกว่ากลบี เลีย้ ง เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง
พบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือที่โล่ง ความสูงถึงประมาณ 1-1.5 ซม. มีสนั ปกี 5 สัน ปลายเปน็ จะงอย มีขนแขง็ กระจาย กา้ นผลเปน็ ขอ้ แต่ละซีก
900 เมตร น�้ำค้ันจากเปลือกรากแกท้ ้องเสีย และบดิ มี 2-4 เมล็ด รปู คล้ายไต ยาว 2-3 มม. ผวิ มีตุม่
สกุล Harrisonia R. Br. ex A. Juss. เคยอยูภ่ ายใต้วงศ์ Simaroubaceae พบในแอฟรกิ า เอเชีย และออสเตรเลีย ไทยพบทกุ ภาค ขึน้ ตามชายป่าหรอื
หรือ Cneoraceae มี 11 ชนิด ในไทยมชี นดิ เดียว ช่อื สกุลตงั้ ตามนักท�ำ สวน ที่รกรา้ ง ความสูงถงึ ประมาณ 800 เมตร ใบมสี รรพคุณบ�ำรุงโลหิต
ชาวองั กฤษ Arnold Harrison หรอื ผู้เขียนหนังสือเกยี่ วกับไมผ้ ลชาวองั กฤษ
Charles Harrison สกุล Fioria Mattei อยภู่ ายใตว้ งศ์ยอ่ ย Malvoideae เผา่ Hibisceae มชี นดิ เดียว
เอกสารอ้างอิง ตา่ งจากสกลุ Hibiscus ทม่ี ีริ้วประดับยาวเทา่ ๆ กลีบเลย้ี ง และเส้าเกสรไม่ยน่ื
Nooteboom, H.P. (1981). Simaroubaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 445-446. พน้ ปากหลอดกลบี ดอก
Peng, H. and T.G. Harley. (2008). Cneoraceae. In Flora of China Vol. 11: 99. เอกสารอ้างอิง
Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Malvaceae (Hibiscus yunnanensis),
คนทา: ใบประกอบปลายคี่ แกนกลางมีปกี ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ผลกลม แบนเลก็ นอ้ ย (ภาพดอก: ภหู ลวง เลย;
ภาพผล: แก่งกระจาน เพชรบุรี - PK) In Flora of China Vol. 12: 292.
คนทสิ อทะเล ครอบจกั รวาล: ริว้ ประดับยาวเท่า ๆ กลีบเลี้ยง เส้าเกสรไมย่ ื่นพน้ กลีบดอก (ภาพ: นครศรีธรรมราช - RP)
Vitex trifolia L. subsp. litoralis Steenis ครามนำ้�, สกลุ
วงศ์ Lamiaceae
Breynia J. R. Forst. & G. Forst.
ชือ่ พอ้ ง Vitex rotundifolia L. f. วงศ์ Phyllanthaceae
ไมพ้ มุ่ ทอดนอนแผก่ วา้ ง มรี ากตามขอ้ ใบประกอบสว่ นมากมใี บเดยี ว พบนอ้ ย ไมล้ ม้ ลกุ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ แยกเพศรว่ มตน้ หใู บขนาดเลก็ รว่ งเรว็ ใบเรยี งสลบั
ท่ีมีใบย่อย 2-3 ใบ รปู ไข่กวา้ ง กลม ๆ หรอื รปู ไขก่ ลับ ยาว 2.5-5 ซม. แผ่นใบมี ระนาบเดยี ว แผน่ ใบไมม่ ตี อ่ ม ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ กระจะออกเดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ กระจกุ
ขนสน้ั นมุ่ กา้ นใบสนั้ หรอื ไรก้ า้ น ชอ่ ดอกออกทปี่ ลายกงิ่ ยาวไดถ้ งึ 10 ซม. กลบี เลย้ี ง ตามซอกใบ กงิ่ หรอื ลำ� ต้น ดอกเพศเมียอยู่ชว่ งปลายกงิ่ กลบี เล้ยี ง 6 กลีบ ตดิ ทน
และกลบี ดอกดา้ นนอกมขี นและตอ่ มกระจาย กลบี เลย้ี งรปู สามเหลย่ี ม ยาว 4-5 มม. ในดอกเพศเมยี ไมม่ กี ลบี ดอกและจานฐานดอก ในดอกเพศผไู้ มม่ รี งั ไขท่ เ่ี ปน็ หมนั
ขยายในผลเลก็ น้อย ดอกสมี ว่ ง หลอดกลบี ดอกสว่ นเลยกลีบเล้ียงยาว 6-7 มม.
กลีบบน 2 กลีบ กลีบล่าง 3 กลบี รูปรกี ว้าง ยาว 3-4 มม. กลบี กลางยาว 6-8 มม.
มขี นอยุ ดา้ นใน เกสรเพศผยู้ น่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอก รงั ไขม่ ตี อ่ มหนาแนน่ ผลกลม
เส้นผา่ นศูนย์กลาง 5-6 มม. มี 2-4 ไพรนี (ดขู ้อมูลเพิ่มเติมที่ ตนี นก, สกลุ )
พบตามชายฝ่งั ทะเลในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ จนี ญ่ปี นุ่ ออสเตรเลยี และ
หมเู่ กาะแปซิฟกิ ข้นึ ตามชายหาด และเปน็ ไมป้ ระดบั ส่วน subsp. trifolia หรอื
คนทสิ อ เปน็ ไม้พมุ่ สูง ใบประกอบมี 3 ใบยอ่ ย ใบขนาดใหญแ่ ละเรียวแคบกว่า
เอกสารอ้างองิ
Chantaranothai, P. (2011). A revision of the genus Vitex (Lamiaceae) in Thailand.
Tropical Natural History 11(2): 102.
Chen, S.-L. and M.G. Gilbert. (1994). Verbenaceae. In Flora of China Vol. 17: 30.
90
สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย ควนใต้
ดอกเพศผู้รปู คล้ายจานกลม รปู ระฆงั หรือรปู ลกู ข่าง เกสรเพศผู้ 3 อนั เชอื่ มตดิ กัน ใบประดับรูปไข่ ยาวประมาณ 3 มม. ดอกไร้กา้ น หลอดกลีบเลยี้ งยาว 3-5 มม.
ทีโ่ คน จานฐานดอกเปน็ เกล็ด รงั ไขม่ ี 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวลุ 2 เมด็ เกสรเพศเมีย ด้านนอกมขี น กลีบหลังรปู ขอบขนาน โค้งกลับ ยาวประมาณ 1 มม. กลบี หนา้ มี
ไร้ก้าน ยอดเกสรเพศเมีย 3 อัน ส่วนมากแยกกัน ผลส่วนมากแบบแหง้ แตก บางคร้ัง 4 แฉกสั้น ๆ ขนาดเท่า ๆ กัน ขยายในผล ดอกสขี าวถึงม่วง รปู ปากเปิด ยาว
มผี นงั ช้ันนอกสด 0.8-1 ซม. กลบี บน 4 กลบี รูปกลม กลีบลา่ งรูปขอบขนาน เวา้ หลอดกลบี โค้งงอ
จานฐานดอกจักเป็นพู เกสรเพศผู้ 2 คู่ ยาวไม่เทา่ กัน รังไข่เกลี้ยง กา้ นเกสรเพศเมีย
สกลุ Breynia เคยอยูภ่ ายใต้วงศ์ Euphorbiaceae ปจั จุบันไดร้ วมสกุล Sauropus เปน็ แฉกสนั้ ๆ ผลย่อยเปลอื กแขง็ เมล็ดล่อน รูปไข่ ยาวประมาณ 1 มม.
ไว้ดว้ ย ท�ำ ใหม้ มี ากกว่า 80 ชนดิ ในไทยมปี ระมาณ 40 ชนิด เป็นพชื ต่างถน่ิ 3 ชนิด
คอื B. disticha J. R. Forst & G. Forst, B. thorelii (Beille) Welzen & Pruesapan พบในลาว และกมั พชู า ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
และ B. spatuliifolius (Beille) Welzen & Pruesapan ช่อื สกุลตงั้ ตามนกั ธรรมชาติ ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใตท้ ท่ี งุ่ คา่ ย จงั หวดั ตรงั ขน้ึ ตามทงุ่ หญา้ ทช่ี นื้ แฉะ
วทิ ยาชาวเยอรมนั Jacob Bretne (1637-1697) ในป่าเตง็ รังหรอื ป่าเบญจพรรณ ความสูงถงึ ประมาณ 900 เมตร
ครามนำ้� สกุล Anisochilus Wall. ex Benth. อยูภ่ ายใตเ้ ผ่า Ocimeae มีประมาณ 20 ชนดิ
พบในแอฟรกิ าและเอเชยี ในไทยมี 4 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก “anisos”
Breynia retusa (Dennst.) Alston ไม่เทา่ กัน และ “chilos” กลบี ปาก ตามลกั ษณะกลีบเลี้ยงและกลบี ปาก
เอกสารอา้ งองิ
ช่อื พอ้ ง Phyllanthus retusus Dennst. Li, X.W. and I.C. Hedge. (1994). Lamiaceae. In Flora of China Vol. 17: 268.
Suddee, S., A.J. Paton and J. Parnell. (2004). A taxonomic revision of tribe
ไม้พมุ่ อาจสงู ได้ถึง 5 ม. ใบรปู รถี ึงรปู ขอบขนาน ยาว 1.2-3.6 ซม. ปลายมนหรอื
กลม มีติ่งแหลมสัน้ ๆ โคนเบ้ยี ว แผน่ ใบดา้ นลา่ งมนี วล กา้ นใบยาว 0.5-2.5 มม. Ocimeae Dumort. (Lamiaceae) in continental South East Asia. II. Plectran-
ดอกออกเปน็ กระจกุ หรอื ออกเดย่ี ว ๆ ตามซอกใบ ดอกเพศผกู้ า้ นดอกยาว 1.5-5 มม. thinae. Kew Bulletin 59(3): 379-387.
กลีบเล้ียงยาว 3-5 มม. ปลายจักตื้น ๆ เสา้ เกสรเพศผ้ยู าว 1-1.5 มม. ดอกเพศเมีย
กา้ นดอกยาว 1.2-3 มม. กลีบเล้ียงยาวประมาณ 1.5 มม. จกั ต้นื ๆ มขี นด้านนอก ครูมวย: ใบเรียงตรงข้ามหรือเรียงเปน็ กระจุกรอบขอ้ ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกไร้ก้านรอบแกนคลา้ ยชอ่ เชิงลด บางครงั้
ขยายในผล ยอดเกสรเพศเมยี เชอ่ื มตดิ กนั ประมาณกง่ึ หนงึ่ ปลายแยกเปน็ 3 แฉก แยกแขนง ดอกไรก้ ้าน รูปปากเปิด (ภาพ: เขาพระวหิ าร ศรีสะเกษ - RP)
ปลายแฉกแยก 2 พู ผลจัก 3 พู เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 5-8 มม. ก้านยาว 2-6 มม.
กลบี เลย้ี งเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.6-1.7 ซม. ผลแกส่ แี ดง เมลด็ รปู สามเหลยี่ ม ยาว ควนใต้
ประมาณ 4 มม. มีเย่ือห้มุ สเี หลอื งหรือแดง
Vitex longisepala King & Gamble
พบทอ่ี นิ เดีย ศรลี งั กา เนปาล ภฏู าน พมา่ จนี ตอนใต้ ภูมภิ าคอินโดจนี และ วงศ์ Lamiaceae
คาบสมุทรมลายู ในไทยพบกระจายทุกภาค ข้ึนตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ
ปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ดบิ เขา และปา่ ดบิ ชน้ื รมิ ลำ� ธารหรอื บนสนั เขา ความสงู 100-1300 เมตร ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามกา้ นใบ แผน่ ใบทง้ั สองดา้ น และกลบี เลย้ี ง
ส่วนต่าง ๆ มสี รรพคุณช่วยเพิม่ นำ�้ นมในสตรี เปน็ ยาสมาน ใบประกอบมี 3 ใบย่อย ก้านยาว 2-15 ซม. ใบยอ่ ยรูปไข่ ยาว 10-30 ซม. แผ่นใบ
มตี อ่ มกระจาย ใบขา้ งกา้ นสน้ั มาก ใบปลายกา้ นยาว 2-6 มม. ชอ่ ดอกยาว 3-7 ซม.
เอกสารอ้างองิ ก้านชอ่ ยาว 1-2 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยรปู ใบหอก ยาว 0.6-1 ซม. รว่ งช้า ก้านดอก
van Welzen, P.C. (2007). Euphorbiaceae (Sauropus). In Flora of Thailand Vol. ยาว 1-2 มม. หลอดกลีบเลย้ี งยาวประมาณ 3 มม. กลีบรูปใบหอก ยาว 3-6 มม.
8(2): 521-554. ติดทน ดอกสเี หลือง หลอดกลบี ดอกยาว 5-8 มม. กลีบบน 4 กลีบ รปู สามเหล่ียม
van Welzen, P.C. and H.-J. Esser. (2005). Euphorbiaceae (Breynia). In Flora of ยาว 3-6 มม. กลบี ลา่ งยาว 2-7 มม. เกสรเพศผ้ยู าว 0.6-1 ซม. ย่ืนพ้นหลอดกลบี ดอก
Thailand Vol. 8(1): 132-141. รังไข่มีต่อมสีเหลืองหนาแน่น ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 ซม. ผลกลม
van Welzen, P.C., K. Pruesapan, I.R.H. Telford, H.-J. Esser and J.J. Bruhl. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.8-1.5 ซม. สว่ นมากมี 4 เมลด็ (ดขู อ้ มลู เพม่ิ เตมิ ที่ ตนี นก, สกลุ )
(2014). Phylogenetic reconstruction prompts taxonomic changes in
Sauropus, Synostemon and Breynia (Phyllanthaceae tribe Phyllantheae). พบที่คาบสมุทรมลายู และภาคใต้ตอนล่างของไทยที่ปัตตานี ยะลา และ
Blumea 59: 77-94. นราธิวาส ขึ้นริมล�ำธารหรอื ท่ลี าดชนั ในป่าดบิ ชน้ื ความสงู 100-700 เมตร
ครามนำ้� : ดอกเพศเมยี อย่ชู ่วงปลายกิง่ กลบี เล้ยี งขยายในผล ผลแกส่ แี ดง จัก 3 พู ตื้น ๆ ยอดเกสรเพศเมยี เชื่อมติดกัน เอกสารอา้ งอิง
(ภาพดอก: ทงุ่ สง นครศรธี รรมราช - RP; ภาพผล: ทงุ่ ใหญน่ เรศวร ตาก - PK) Chantaranothai, P. (2011). A revision of the genus Vitex (Lamiaceae) in Thailand.
Tropical Natural History 11(2): 98.
ครมู วย Kochummen, K.M. (1978). Verbenaceae. Tree Flora of Malaya. Vol. 3: 311.
Anisochilus harmandii Doan ex Suddee & A. J. Paton ควนใต:้ ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสั้น ๆ กลบี เล้ียงรูปใบหอก ติดทน ดอกสเี หลือง เกสรเพศผยู้ ื่นพ้นหลอด
วงศ์ Lamiaceae กลบี ดอก (ภาพ: บนั นังสตา ยะลา - RP)
ไม้พ่มุ สูงไดถ้ ึง 1.5 ม. ล�ำต้นเปน็ สี่เหลยี่ ม ก่ิงมีต่อมสเี หลืองอมแดง ใบเรียง
ตรงขา้ มหรอื เรียงรอบขอ้ รูปใบหอก ยาว 1.5-9 ซม. ขอบจักมน จักฟนั เล่ือยหรือ
ม้วนลง แผ่นใบมีขน มักมีตอ่ มดา้ นลา่ ง กา้ นใบยาวได้ถึง 1 ซม. ช่อดอกแบบ
ชอ่ กระจุกไรก้ ้านรอบแกนคลา้ ยช่อเชงิ ลด ยาว 10-15 ซม. บางครง้ั แยกแขนง
91
คอ้ เชยี งดาว สารานกุ รมพืชในประเทศไทย
คอ้ เชียงดาว คอนสวรรค:์ ใบแฉกรูปขนนก แฉกรปู เส้นด้ายลึกถงึ เสน้ กลางใบ ดอกรูปแตร เกสรเพศผยู้ ื่นพ้นปากหลอดกลีบดอก
ก้านเกสรเพศเมยี ตดิ ทน กลีบเลีย้ งตดิ ทน (ภาพ: cultivated; ภาพดอก - RP, ภาพผล - MP)
Trachycarpus oreophilus Gibbons & Spanner
วงศ์ Arecaceae คอรเ์ ดยี , สกุล
ปาลม์ ตน้ เดย่ี ว แยกเพศตา่ งตน้ หรอื มดี อกสมบรู ณเ์ พศรว่ มตน้ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. Cordia L.
ลำ� ต้นเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 10-20 ซม. กาบใบยาวไดถ้ งึ 30 ซม. มีเส้นใยหนาแน่น วงศ์ Cordiaceae
ใบรปู ฝา่ มอื เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.9-1.1 ม. ใบยอ่ ยแฉกลกึ เกนิ กงึ่ หนง่ึ 60-90 แฉก
ปลายจกั ตนื้ ๆ ด้านล่างมนี วล ก้านใบยาวได้ถึง 50 ซม. โคนกา้ นรูปสามเหลย่ี ม ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ ใบเรยี งเวยี น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ เรยี งแบบชอ่ เชงิ หลนั่ ไมม่ ี
ขอบก้านใบจักซี่ฟัน หลังใบที่จุดติดก้านใบ (hastula) รูปสามเหลี่ยมขนาด ใบประดบั กลบี เลยี้ งเชอ่ื มตดิ กนั เปน็ หลอดหรอื รปู ระฆงั ขยายในผล ดอกรปู แตร
ประมาณ 3 ซม. ชอ่ ดอกมี 3-5 ช่อ กาบประดบั ยาวประมาณ 25 ซม. ใบประดับ หรือรูประฆัง สขี าว เหลอื ง หรือสม้ มี 4-8 กลีบ เกสรเพศผู้ 5 อนั กา้ นชอู บั เรณู
ท่ีก้านช่อและแกนช่อยาว 15-35 ซม. โคนเปน็ หลอด ดอกเพศผูแ้ ละดอกเพศเมยี มขี นทโี่ คน มี 2 คารเ์ พล แตล่ ะคารเ์ พลมี 2 ชอ่ ง เกลย้ี ง แตล่ ะชอ่ งมอี อวลุ เมด็ เดยี ว
คล้ายกัน ชอ่ ดอกเพศผูต้ ัง้ ตรง ยาว 30-50 ซม. กา้ นยาวไดถ้ ึง 20 ซม. ดอกสคี รีม ก้านเกสรเพศเมยี แยก 2 แฉก 2 หน ผลผนงั ชนั้ ในแขง็ มีไพรนี เดยี ว หมุ้ ด้วย
เกสรเพศผู้ 6 อัน ช่อดอกเพศเมยี แขง็ และโค้งเลก็ น้อย ยาว 0.8-1 ม. กา้ นช่อยาว กลีบเลี้ยงทข่ี ยาย มี 1-4 เมลด็
30-50 ซม. มี 3 คารเ์ พล แยกกัน มกั เจริญเพยี งคาร์เพลเดียว ผลรูปคล้ายไต ยาว
1-1.2 ซม. เนอ้ื หุ้มเมล็ดบาง เมลด็ รปู รีกวา้ ง กวา้ งประมาณ 1 ซม. สกลุ Cordia บางคร้งั อย่ภู ายใตว้ งศ์ Boraginaceae มีประมาณ 250 ชนดิ พบมาก
ในอเมรกิ าใต้ พบนอ้ ยในแอฟรกิ า และเอเชีย ในไทยมีพืชพน้ื เมืองประมาณ 10 ชนดิ
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทดี่ อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ และดอยภคู า จงั หวดั นา่ น เป็นไม้ประดับ 2 ชนิดคอื อีกชนดิ คอื สุวรรณพฤกษ์ C. dentata Poir. มีถ่นิ ก�ำเนดิ ใน
ขนึ้ ตามทโี่ ลง่ บนเขาหนิ ปนู ความสงู 1700-2200 เมตร ค�ำระบชุ นดิ หมายถงึ ชอบเมฆ อเมรกิ ากลาง ดอกสีเหลอื ง มี 5-6 กลีบ ผลสุกรสหวาน รบั ประทานได้ มียางเหนียว
ตามถน่ิ ท่อี ยบู่ นเขาสงู ทม่ี เี มฆปกคลุมเปน็ เวลานาน ใชแ้ ทนกาว ชอ่ื สกลุ ตงั้ ตามนกั พฤกษศาสตรช์ าวเยอรมนั Valerius Cordus (1514-1544)
สกุล Trachycarpus H. Wendl. อยภู่ ายใต้วงศ์ย่อย Coryphoideae มี 8 ชนดิ คอร์เดยี
พบทอี่ นิ เดีย เนปาล ภฏู าน จนี พม่า และเวยี ดนาม ในไทยมีชนดิ เดยี ว ชือ่ สกุล
มาจากภาษากรกี “trachys” ขรขุ ระ และ “kapos” ผล ตามลักษณะผิวของผล Cordia sebestena L.
เอกสารอา้ งองิ ไมพ้ ่มุ หรือไมต้ ้น สูงไดเ้ กอื บ 10 ม. ก่งิ มีช่องอากาศ ใบรูปไข่ ยาว 15-20 ซม.
Barford, A.S. and J. Dransfield. (2013). Arecaceae. In Flora of Thailand Vol.
ปลายแหลม โคนรูปหวั ใจหรอื กลม ก้านใบยาว 3-4 ซม. ชอ่ ดอกมี 10-40 ดอก
11(3): 490-491. กลบี เล้ียงยาว 1-1.5 ซม. ปลายแยกเปน็ แฉกตืน้ ๆ 3-5 แฉก มขี นปกคลมุ ดอกรปู แตร
Gibbons, M. and T.W. Spanner. (1997). Trachycarpus oreophilus: The Thailand บานออก มี 5-7 กลบี เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 2.5-5 ซม. ผลรปู รี ยาว 2-2.5 ซม. สกุ สขี าว
มี 1-2 เมลด็ สีน�้ำตาลเขม้
Trachycarpus. Principes 41(4): 201-207.
มีถ่นิ กำ� เนดิ ทางตอนใต้ของสหรฐั อเมริกา อเมรกิ ากลาง และประเทศในแถบ
คอ้ เชยี งดาว: ถน่ิ ท่อี ยตู่ ามท่โี ล่งบนเขาหนิ ปูน มเี มฆหมอกปกคลมุ ปาล์มตน้ เดี่ยว ใบรูปฝา่ มอื ใบแหง้ ติดทน ทะเลคารบิ เบียน เปน็ ไมป้ ระดบั ผลสุกมกี ล่ินหอม กนิ สดหรือปรุงสุก
(ภาพ: ดอยเชียงดาว เชียงใหม่ - SSi)
เอกสารอ้างองิ
คอนสวรรค์ Johnston, I. (1951). Studies in the Boraginaceae, xx: Representatives of three
subfamilies in eastern Asia. Journal of the Arnold Arboretum 27: 2-12.
Ipomoea quamoclit L. Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
วงศ์ Convolvulaceae Press, Honolulu, Hawai`i.
Zhu, G., H. Riedl and R.V. Kamelin. (1995). Boraginaceae. In Flora of China
ชอื่ พ้อง Quamoclit pennata (Desr.) Bojer Vol. 16: 331.
ไม้เถา ใบแฉกรูปขนนก ยาว 2-10 ซม. แฉกรปู เส้นด้ายลึกถงึ เส้นกลางใบ คอร์เดยี : ดอกรปู แตร บานออก มี 5-7 กลีบ ผลรูปรี สกุ สีขาว (ภาพ: cultivated - RP)
มี 8-18 คู่ ค่ลู ่างปลายแยกเป็น 2 แฉก ก้านใบยาวได้ถงึ 4 ซม. โคนมีแผน่ คลา้ ยหูใบ
ชอ่ ดอกสว่ นมากมดี อกเดยี ว กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 10 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 2 ซม. สวุ รรณพฤกษ:์ ดอกสเี หลือง มี 5-6 กลบี (ภาพ: cultivated - PK)
กลบี เลยี้ งรปู ขอบขนาน ยาว 4-6 มม. ตดิ ทน ดา้ นนอกมปี มุ่ กระจาย ใตป้ ลายกลบี
มีตง่ิ สั้น ๆ ดอกรูปแตร สแี ดงหรือสีขาว หลอดกลีบดอกยาว 2.5-3.5 ซม. ปลาย
บานออกแยกเป็นกลบี ต้ืน ๆ เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม. เกสรเพศผู้ยนื่ พ้นปาก
หลอดกลบี รงั ไข่เกลยี้ ง ก้านเกสรเพศเมียตดิ ทน ผลแหง้ แตก รปู รี ยาว 6-8 มม.
เมลด็ ยาว 5-6 มม. มีลายด่าง (ดขู อ้ มูลเพิ่มเตมิ ท่ี ผกั บ้งุ , สกลุ )
มถี ่ินก�ำเนิดในอเมริกาใตแ้ ละอเมริกากลาง เป็นไมป้ ระดับ
เอกสารอา้ งอิง
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 422-423.
92
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย ค�ำเงาะ
คันหามเสือ คันแหลน: ใบเรียงตรงข้าม ดอกแบบชอ่ เชงิ หลัน่ แยกเปน็ ช่อกระจุกส้นั ๆ ผลมชี อ่ งอากาศ (ภาพ: พงั งา - RP)
Leea angulata Korth. ex Miq. คางคาก
วงศ์ Vitaceae
Nyssa javanica (Blume) Wangerin
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 15 ม. ตน้ และกงิ่ มหี นาม หใู บคลา้ ยปกี แคบ ๆ ยาว วงศ์ Nyssaceae
2.5-5 ซม. ใบประกอบ 2-3 ชน้ั แกนกลางเปน็ สนั ยาวไดถ้ งึ 25 ซม. กา้ นใบประกอบ
ยาว 3-6.5 ซม. ใบยอ่ ยรูปไขแ่ กมรูปขอบขนาน ยาว 2.5-15 ซม. ขอบจักซ่ฟี นั ชื่อพอ้ ง Agathisanthes javanica Blume
กา้ นใบยาวประมาณ 1 ซม. ชอ่ ดอกออกที่ปลายก่ิง แผก่ วา้ ง ยาวได้ถึง 25 ซม.
แกนช่อเป็นเหลย่ี มหรือครีบคล้ายปีก ตามข้อมีขน กา้ นดอกยาวประมาณ 2 มม. ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 40 ม. แยกเพศตา่ งตน้ แกมดอกสมบรู ณเ์ พศ มขี นสน้ั นมุ่ ตาม
กลีบเลี้ยงรูปถว้ ย ยาวประมาณ 2.5 มม. ปลายจกั ลึกประมาณ 1 มม. มขี นด้านนอก กง่ิ ออ่ น แผ่นใบด้านลา่ ง ชอ่ ดอก ก้านดอก กลีบเล้ยี งและกลีบดอก ไมม่ ีหใู บ
ดอกสีเขยี วออ่ น กลีบดอกเชือ่ มติดกนั ท่โี คน ยาว 3.5-4 มม. กลบี รปู ไข่ ยาว 2-3 มม. ใบเรยี งเวยี น รปู ขอบขนานหรอื รปู ไขก่ ลบั ยาว 5-20 ซม. ก้านใบยาวไดถ้ ึง 3.5 ซม.
แผ่นก้านชูอับเรณูที่เป็นหมันเชื่อมติดกันประมาณ 2 มม. ก้านชูอับเรณูยาว ช่อดอกแบบช่อกระจกุ แนน่ กา้ นช่อยาว 1-3.5 ซม. ช่อดอกเพศผ้มู ี 20-40 ดอก
ประมาณ 1.5 มม. กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 2 มม. ผลเส้นผา่ นศนู ย์กลาง กา้ นดอกยาว 1-4 มม. ดอกเพศเมยี มี 3-15 ดอก ไรก้ ้าน กลีบเล้ยี งรูปถ้วย มี 4-5 กลีบ
0.7-1 ซม. จักเป็นพู สกุ สนี ำ�้ เงนิ ปนเทา (ดูข้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี กะตังใบ, สกุล) รปู สามเหลยี่ มแคบ ยาว 4-5 มม. ดอกสเี หลืองอมเขยี ว มี 4-5 กลบี รปู ไขก่ ลับ
ยาวเทา่ ๆ กลีบเล้ียง เกสรเพศผู้ 8-10 อัน เรียง 2 วง เป็นหมนั ในดอกเพศเมยี
พบในภูมิภาคมาเลเซยี และภาคใตข้ องไทยทีน่ ครศรธี รรมราช ปัตตานี ยะลา จานฐานดอกหนา รงั ไขใ่ ตว้ งกลบี มชี อ่ งเดยี ว กา้ นเกสรเพศเมยี สนั้ ปลายแยก 2 แฉก
และนราธวิ าส ขนึ้ ตามชายปา่ ดบิ ชนื้ รมิ ลำ� ธาร ความสงู 50-200 เมตร มสี รรพคณุ ก้านเกสรมีตุม่ ผลผนังชั้นในแข็ง รปู รีกว้างเกือบกลม ยาวประมาณ 1.5-2.5 ซม.
บรรเทาอาการปวดจากทอ้ งเสยี มีเมล็ดเดยี ว แบน มี 5 สนั ด้านเดียว
เอกสารอ้างอิง พบท่ีอินเดยี ภฏู าน จนี ตอนใต้ พม่า ลาว เวียดนาม และภมู ภิ าคมาเลเซีย ในไทย
van Welzen, P.C. (2010). Leeaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(2): 213. พบทุกภาค ขึ้นริมล�ำธารหรอื ตามสนั เขา ความสูง 800-2500 เมตร
คันหามเสือ: ต้นและกิ่งมหี นาม หใู บคลา้ ยปกี แคบ ๆ ดอกสเี ขียวออ่ น กลีบเลย้ี งรปู ถ้วย ผลจกั เป็นพู (ภาพ: ถำ�้ พรรณรา สกลุ Nyssa L. บางครัง้ อยู่ภายใตว้ งศ์ Cornaceae มปี ระมาณ 12 ชนิด ใน
นครศรีธรรมราช - RP) อเมริกาเหนอื มี 4 ชนิด คอสตาริกา 1 ชนิด และเอเชีย 7 ชนดิ โดยเฉพาะท่จี ีน
ในไทยมีชนิดเดียว ชื่อสกุลเป็นชอ่ื นางเงือก ตามลกั ษณะถน่ิ ท่ีอยู่ที่พชื บางชนิด
คนั แหลน ชอบข้นึ ในทีช่ ้ืนแฉะหรือป่าพรุ
เอกสารอ้างองิ
Vidalasia fusca (Craib) Tirveng. Phengkhai, C. (1981). Nyssaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 402-404.
วงศ์ Rubiaceae Qin, H. and C. Phengklai. (2007). Nyssaceae. In Flora of China Vol. 13: 301-302.
ชอ่ื พ้อง Randia fusca Craib คางคาก: ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แนน่ มีขนสัน้ นุม่ ดอกเพศเมยี ไร้ก้าน ผลรปู รเี กือบกลม (ภาพ: ดอยอินทนนท์
เชียงใหม่; ภาพดอก - SSi, ภาพผล - RP)
ไมพ้ ุ่มหรอื ไมต้ ้น อาจสูงได้ถึง 7 ม. กง่ิ มีช่องอากาศ ยอดมียางเหนยี ว หใู บ
รปู สามเหล่ียม กวา้ งประมาณ 4 มม. ปลายมีตงิ่ หนาม โคนมีขนและตอ่ ม ใบเรียง คำ�เงาะ
ตรงขา้ ม รปู รี ยาว 5-12 ซม. โคนมกั เบีย้ ว แผน่ ใบมีขนส้ันนุ่มทั้งสองด้าน กา้ นใบ
ยาว 1-2 ซม. ชอ่ ดอกแบบเชงิ หลน่ั แยกเปน็ ชอ่ กระจกุ สน้ั ๆ ยาว 3-4 ซม. ใบประดบั Bixa orellana L.
ขนาดเลก็ กา้ นดอกยาว 1-2 มม. กลบี เลยี้ ง 5 กลบี รปู สามเหลยี่ ม ปลายมตี ง่ิ หนาม วงศ์ Bixaceae
ยาวประมาณ 3 มม. ดอกรูปดอกเขม็ หลอดกลีบดอกยาว 0.7-1 ซม. มี 5 กลบี
ยาว 5-8 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ เหนอื จุดกงึ่ กลางหลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณู ไมพ้ มุ่ อาจสงู ไดถ้ งึ 8 ม. มยี างสแี ดง มขี นและตอ่ มรปู โลส่ นี ำ�้ ตาลแดงหนาแนน่
สนั้ ก้านเกสรเพศเมยี รปู ทรงกระบอก ยอดเกสรรูปกระสวย ผลสดมีหลายเมล็ด ตามกง่ิ กลีบเลย้ี ง และชอ่ ดอก หูใบรว่ งเร็ว ใบเรยี งเวียน รปู ไขห่ รือรปู หวั ใจ ยาว
เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 1-1.7 ซม. เปลอื กบาง มีช่องอากาศ 7.5-25 ซม. เสน้ โคนใบขา้ งละ 2 เส้น กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 12 ซม. ปลายกา้ นบวม
ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนง ออกตามปลายกง่ิ ยาว 8-10 ซม. บานครง้ั ละ 1-2 ดอก
พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคใต้ท่กี ระบ่ี พังงา และสุราษฎรธ์ านี ขนึ้ ตาม ใบประดบั รว่ งเรว็ มรี อยคลา้ ยเกลด็ กา้ นดอกยาวประมาณ 1 ซม. กลบี เลย้ี ง 4-5 กลบี
เขาหินปนู ความสูงถึงประมาณ 250 เมตร รูปไข่กลับ ยาวประมาณ 1 ซม. โคนมีตอ่ ม ดอกสีขาวหรือชมพู มี 4-7 กลบี เรยี ง
ซ้อนเหล่ือม รูปไข่กลับ ขนาดไมเ่ ท่ากนั ยาว 1.5-4 ซม. เกสรเพศผู้จำ� นวนมาก
สกลุ Vidalasia Tirveng. อยูใ่ นเผ่า Gardenieae ซ่ึงรวมพชื บางชนิดในสกุล รงั ไขม่ ชี ่องเดียว ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 1.5 ซม. ผลแห้งแตก รปู รี ยาว
Gardenia และสกุล Randia เดมิ มี 5 ชนดิ พบทพ่ี ม่าตอนใต้ เวยี ดนามตอนบน 2-4.5 ซม. มขี นแขง็ สีแดงหนาแนน่ ยาว 1-2 ซม. เมลด็ มปี ุยสีแดงหุม้
และฟิลปิ ปนิ ส์ ข้ึนเฉพาะตามเขาหนิ ปูน ในไทยมี 3 ชนิด
เอกสารอา้ งองิ
Craib, W.G. (1932). Randia fusca. Florae Siamensis Enumeratio Vol. 2: 102.
Tirvengadum, D.D. (1998). Noveties in Rubiaceae from the limestone flora of
southeast Asia. Biogeographica 74(4): 163-175.
93
คำ� ปองแสด สารานุกรมพืชในประเทศไทย
มถี ่ินกำ� เนดิ ในอเมริกาเขตรอ้ น เปน็ ไม้ประดบั ผลใช้ทำ� เป็นสผี สมอาหารและ ค�ำ ป่า
เครอื่ งอปุ โภคหลายชนดิ เปลอื กหมุ้ เมลด็ ใหส้ ารสแี ดง bixa ละลายในนำ�้ มนั ได้ ใช้
ท�ำสียอ้ ม เมลด็ บดใช้ระบายเปน็ สที ารา่ งกายและเป็นเครื่องปรุง Reinwardtia indica Dumort.
วงศ์ Linaceae
สกุล Bixa L. มี 5 ชนดิ พบในอเมรกิ าเขตรอ้ น ชื่อสกลุ มาจากภาษาบราซิลเลยี่ น
“biche” ที่เรยี กตน้ ไม้ชนิดนี้ ส่วนคำ�ระบุชนดิ ต้งั ตามนกั สำ�รวจลุ่มนำ้�อเมซอน ไม้พ่มุ สูงได้ถงึ 1 ม. หใู บขนาดเลก็ รว่ งเร็ว ใบเรยี งเวียน รปู ไขก่ ลับ รปู รี หรอื
ชาวเสปน ในชว่ งศตวรรษท่ี 16 Francisco de Orellana รปู ใบหอก ยาว 1-9 ซม. ปลายแหลมหรอื มน มกั มีตง่ิ แหลม ขอบเรียบ กา้ นใบยาว
เอกสารอา้ งองิ 0.5-2.5 ซม. ดอกออกเดีย่ ว ๆ หรือเป็นช่อกระจุกส้นั ๆ ตามซอกใบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ
Backer, C.A. (1951). Bixaceae. In Flora of Malesiana Vol. 4: 239-241. รปู ใบหอกแคบ ยาว 1-1.5 ซม. ติดทน ดอกสีเหลอื ง เส้นกลบี ชว่ งโคนสีแดง มี
Yang, Q. and M.G. Gilbert. (2007). Bixaceae. In Flora of China Vol. 13: 71. 4-5 กลบี รปู ไข่กลบั ยาว 1.5-3 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ใต้รังไข่ โคนเชื่อมติดกัน
มี 2-5 ตอ่ ม กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 1.3 ซม. เกสรเพศผูท้ ี่เปน็ หมัน 5 อัน รปู ลิม่ แคบ
ค�ำเงาะ: ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนงออกท่ีปลายกง่ิ บานทีละ 1-2 ดอก กลบี ดอกขนาดไม่เท่ากัน เกสรเพศผ้จู �ำนวนมาก รังไข่เกล้ยี ง มี 3-4 ชอ่ ง แตล่ ะช่องมี 2 ชอ่ งยอ่ ย มีออวุลเม็ดเดยี ว เกสรเพศเมยี
ผลแห้งแตกมขี นแข็งสีแดงหนาแนน่ (ภาพ: cultivated - SSiI) 3-4 อนั ยาว 0.7-1.8 ซม. ผลแหง้ แตก รปู รีกว้างเกอื บกลม แตกเปน็ 6-8 ส่วน
เมล็ดรูปคล้ายไต มีปีกบาง
คำ�ปองแสด
พบทป่ี ากสี ถาน ภฏู าน เนปาล อินเดีย จีน พมา่ ลาว เวยี ดนาม ในไทยพบทาง
Ridleyandra flammea (Ridl.) A. Weber ภาคเหนือท่ีเชียงราย เชียงใหม่ ล�ำปาง ขึ้นตามที่โล่งในป่าสนเขาและป่าดิบเขา
วงศ์ Gesneriaceae ความสงู 600-2000 เมตร ในจีนนิยมปลกู เปน็ ไมป้ ระดับรมิ ร้ัว
ชือ่ พ้อง Didissandra flammea Ridl. สกุล Reinwardtia Dumort. มีเพยี งชนิดเดียว ชอื่ สกุลตง้ั ตาม Caspar G.C.
Reinwardt (1773-1854) ผูก้ ่อตัง้ สวนพฤกษศาสตร์โบกอร์ ประเทศอินโดนีเซยี
ไมล้ ม้ ลกุ โคนมเี นอ้ื ไม้ สงู ไดถ้ งึ 10 ซม. มขี นหนาแนน่ ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู ไขก่ ลบั เอกสารอา้ งอิง
หรอื แกมขอบขนาน ยาว 5-18 ซม. ปลายมนกวา้ ง โคนมนหรอื เวา้ ตน้ื กา้ นใบยาว Larsen, K. (1997). Linaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(3): 195-196.
1.5-5 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุก ก้านช่อยาว 6-10 ซม. มี 2-3 ดอก กา้ นดอก Liu, Q. and L. Zhou. (2008). Linaceae. In Flora of China Vol. 11: 34.
ยาวประมาณ 5 มม. กลีบเลยี้ ง 5 กลีบ แฉกลึก รปู ใบหอก ยาว 1.5-2 ซม. ดอกสีแดง
อมสม้ รูปปากเปดิ หลอดกลบี ดอกยาว 4-6 ซม. กลบี บน 2 กลีบ กลบี ลา่ ง 3 กลบี ค�ำป่า: ใบเรยี งเวียน มตี ิง่ แหลมดอกออกเด่ยี ว ๆ กลบี เลยี้ งรปู ใบหอกแคบ กลบี ดอกรูปไขก่ ลับ (ภาพ: ดอยเชียงดาว
รปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ 5 มม. เกสรเพศผ้อู ันสนั้ 2 อัน อันยาว 2 อัน ตดิ ท่โี คนหลอด เชียงใหม่ - RP)
กลีบดอกด้านใน กา้ นชอู ับเรณูยาว 1.2-2 ซม. อบั เรณูแต่ละคเู่ ชือ่ มตดิ กนั รังไข่มี
ขนตอ่ มหนาแนน่ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวไดถ้ งึ 3 ซม. ยอดเกสรเพศเมยี แผบ่ านออก คำ�มอกหลวง
ผลสดหรอื แหง้ แตกดา้ นบน รูปแถบ ยาว 5-6 ซม. มีขนต่อมกระจาย
Gardenia sootepensis Hutch.
พบทางตอนบนคาบสมุทรมาเลเซียและภาคใต้ตอนล่างของไทยท่ีนราธิวาส วงศ์ Rubiaceae
ขน้ึ บนกอ้ นหนิ หรอื พน้ื ดนิ ตามทล่ี าดชนั ใกลล้ ำ� ธารในปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ระดบั ตำ่� ๆ
ไม้ตน้ สูงได้ถึง 15 ม. ยอดมีน�ำ้ ยางเหนียวสเี หลือง มขี นส้ันนมุ่ ตามหใู บ
สกุล Ridleyandra A. Weber & B. L. Burtt เปน็ สกลุ ที่แยกมาจากสกลุ Didis- แผ่นใบด้านลา่ ง และก้านใบ หใู บเชอื่ มติดกนั เป็นวงรอบกง่ิ ยาว 0.5-1 ซม. รว่ งเรว็
sandra มีกวา่ 20 ชนดิ พบที่คาบสมทุ รมลายู บอรเ์ นียว และภาคใตต้ อนลา่ ง ท้ิงรอยชัดเจน ใบเรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปขอบขนาน หรือแกมรูปไข่กลับ ยาว
ของไทยซงึ่ มี 3 ชนดิ อกี 2 ชนิด คือ แววนกแวน่ R. latisepala (Ridl.) A. Weber 10-30 ซม. ก้านใบยาว 0.5-1.2 ซม. ดอกออกเด่ียว ๆ ทซี่ อกใบใกล้ปลายกง่ิ
หลอดกลบี ดอกสีม่วง และ R. kerrii A. Weber หลอดกลบี ดอกสขี าว ช่อื สกุลตัง้ ตาม กา้ นดอกยาว 1-1.5 ซม. หลอดกลบี เลี้ยงยาว 1-2 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกตืน้ ๆ
นักพฤกษศาสตรช์ าวองั กฤษ Henry Nicholas Ridley (1855-1956) 5 แฉก แยกเกือบจรดโคนดา้ นเดียว ดอกสีเหลอื งหรอื ขาว หลอดกลีบดอกยาว
เอกสารอ้างองิ 5-7 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลบี รูปไขก่ ลับ ยาว 3-5 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดใตป้ าก
Weber, A. and B.L. Burtt. (1997). Revision of the genus Ridleyandra (Gesneria- หลอดกลบี ดอกระหวา่ งกลบี ดอก ไร้ก้านชอู บั เรณู เกสรเพศเมยี ยื่นพน้ ปากหลอด
กลบี ดอก ยอดเกสรรูปกระบอง ผลสดมีหลายเมล็ด รปู รี ยาว 2.5-5 ซม. มี 5-6 สนั
ceae). Beitrage zur Biologie der Pflanzen 70: 225-273.
พบทจ่ี นี ตอนใต้ พมา่ ลาว ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
คำ� ปองแสด: ลำ� ตน้ มีขนหนาแนน่ ใบเรียงตรงข้าม ปลายมนกวา้ ง ก้านใบสั้น ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ ดอกรูปปากเปิด และภาคตะวันออก ข้ึนตามป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ความสูงถึงประมาณ
ผลรูปแถบ (ภาพบน: สุคิริน นราธวิ าส - MP); แววนกแว่น: หลอดกลีบดอกสีมว่ ง ผลสด แตกดา้ นบน (ภาพลา่ ง: 1500 เมตร บางครงั้ พบเป็นไมป้ ระดบั
นราธิวาส - MP)
สกลุ Gardenia L. มมี ากกว่า 60 ชนิด แตอ่ าจมไี ดถ้ ึง 250 ชนิด ในไทยมพี ชื พ้ืนเมอื ง
มากกวา่ 10 ชนดิ และมีหลายชนดิ พบเปน็ ไมป้ ระดับ ท่พี บทวั่ ไป ได้แก่ พุดซ้อน
G. jasminoides J. Ellis มถี น่ิ กำ�เนดิ ในจีนและไต้หวัน และพดุ น�ำ้ บุษย์ G. carinata
Wall. ex Roxb. หลอดกลีบดอกยาว พบทางภาคใต้ ชือ่ สกลุ ตงั้ ตามนกั ธรรมชาติ
วิทยาชาวอเมริกนั ท่ีเกิดในสกอตแลนด์ Alexander Garden (1730-1791)
94
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย เคราฤๅษี
เอกสารอา้ งอิง
Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Gardenia). In Flora of China Vol.
19: 143.
Puff, C., K. Chayamarit and V. Chamchumroon. (2005). Rubiaceae of Thailand.
Forest Herbarium. Bangkok.
คำ� มอกหลวง: ใบเรยี งตรงข้าม ดอกสีเหลอื งหรอื ขาว เกสรเพศผตู้ ิดใตป้ ากหลอดกลีบดอกระหว่างกลบี ดอก
เกสรเพศเมยี ยน่ื พ้นปากหลอดกลีบดอก ยอดเกสรรปู กระบอง ผลมี 5-6 สนั (ภาพ: ภหู ลวง เลย - PK)
พุดซ้อน: กลีบเลี้ยงหนาเปน็ สนั มีทง้ั ทม่ี กี ลบี ดอกชัน้ เดยี วและดอกซอ้ น (ภาพซา้ ยและภาพขวาบน: cultivated - RP); คำ� แสด: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะหลายช่อตามปลายกิง่ ดอกเพศผสู้ เี ขยี ว ดอกเพศเมยี สเี หลืองหรือแดง ยอดเกสรเพศเมีย
พดุ น�้ำบุษย์: หลอดกลบี ดอกยาว (ภาพขวาลา่ ง: cultivated - RP) ตดิ ทน (ภาพชอ่ ดอกเพศผู:้ ประจวบครี ีขนั ธ์ - RP; ภาพช่อดอกเพศเมีย: ยะลา - VC; ภาพผล: หนองคาย - PK)
คำ�แสด เคราฤาษี
Mallotus philippensis (Lam.) Müll. Arg. Strophanthus preussii Engl. & Pax
วงศ์ Euphorbiaceae วงศ์ Apocynaceae
ชอ่ื พ้อง Croton philippensis Lam. ไม้พุ่มรอเลอ้ื ย ยาวไดถ้ ึง 10 ม. ก่งิ มีชอ่ งอากาศ มยี างใสหรอื ขาว ใบเรยี งตรงขา้ ม
รูปรหี รือรปู ไข่ ยาว 2-19 ซม. กา้ นใบยาว 0.2-1.4 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุก
ไม้พ่มุ หรือไมต้ น้ สูงไดถ้ ึง 15 ม. หใู บรปู สามเหลี่ยมแคบ ยาว 0.5-1.3 ซม. ออกสัน้ ๆ ตามปลายก่ิง กา้ นดอกยาว 0.4-2.5 ซม. ใบประดับติดทน กลบี เลยี้ ง
ใบรูปรหี รอื รปู ไข่ ยาว 4-22 ซม. ปลายเรียวแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลม 5 กลบี ยาว 0.5-2.5 ซม. โคนด้านในมีตอ่ ม ดอกสขี าวเปลยี นเปน็ สีครมี อมเหลอื ง
กา้ นใบยาว 1.5-5 ซม. แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นและตอ่ มเกลด็ หนาแนน่ เสน้ โคนใบ มี 5 กลีบ เรยี งซ้อนทบั ดา้ นขวาในตาดอก หลอดกลีบดอกยาว 1.2-2.5 ซม. สีขาว
ขา้ งละ 1 เส้น ชอ่ ดอกออกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ หรือหลายชอ่ ตามปลายกิง่ ยาวได้ถงึ มรี วิ้ สมี ว่ งอมนำ้� ตาล ดา้ นในสเี ขม้ รปู ไข่ ยาว 0.4-1.2 ซม. ปลายกลบี บดิ เปน็ เกลยี ว
20 ซม. ไม่มีกลบี ดอก ดอกเพศผสู้ เี ขยี ว เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 2-3 มม. กลีบเล้ียง ยาว 12-20 ซม. สีน้�ำตาลแดง กะบงั มี 10 พู สนี ้�ำตาลอมส้ม เกสรเพศผู้ 5 อัน
2-4 กลบี เกสรเพศผู้ 15-20 อนั ดอกเพศเมยี สเี หลอื งหรอื แดง เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ตดิ ภายในหลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู นั้ โคนอบั เรณเู ป็นเงีย่ ง แนบตดิ ปลาย
ประมาณ 4 มม. กลบี เล้ยี ง 3-6 กลบี กา้ นเกสรเพศเมียส้ัน ยอดเกสร 3 อนั ยาว เกสรเพศเมยี มี 2 คาร์เพล บางส่วนติดกันทโ่ี คน ยอดเกสรเพศเมยี จกั 10 พู ผลเปน็
3-5 มม. ติดทน มีขนยาวน่มุ ผลรปู รีกว้าง จกั เปน็ พู ยาว 0.8-1.2 ซม. มตี อ่ มและ ฝักคูก่ างออก รปู ทรงกระบอก ปลายโค้ง ยาว 15-30 ซม. มขี นและช่องอากาศ
ขนสนี ำ�้ ตาลแดงกระจาย มี 1-3 เมล็ด (ดขู ้อมลู เพม่ิ เตมิ ที่ ตองเตา้ , สกลุ ) เมล็ดจ�ำนวนมาก ขนกระจกุ ยาว 6-10 ซม.
พบท่ศี รีลงั กา อินเดีย จีนตอนใต้ ไตห้ วัน พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซีย มถี น่ิ กำ� เนดิ ในแอฟรกิ าตะวันตก เปน็ ไมป้ ระดบั เมล็ดมีพษิ ใช้อาบหวั ลกู ศร
ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก ในไทยพบทุกภาค ข้ึนตามป่าเบญจพรรณ
ป่าดิบแลง้ ป่าดบิ เขา หรอื ตามชายฝงั่ ทะเล ความสงู ถงึ ประมาณ 1200 เมตร สกลุ Strophanthus DC. มี 38 ชนดิ พบในแอฟรกิ า มาดากัสการ์ และเอเชยี
ผลใช้ท�ำเป็นสีย้อมให้สีแดงเรียกว่า kamela dye ส่วนต่าง ๆ มีสรรพคุณด้าน ในไทยมีพชื พน้ื เมือง 3 ชนดิ เปน็ ไมป้ ระดับ 2 ชนดิ อกี ชนดิ คอื แยม้ ปนี งั
สมุนไพรหลายอยา่ ง S. gratus (Wall. & Hook.) Baill. ปลายกลีบดอกไมบ่ ดิ เป็นเกลียว มีถ่นิ กำ�เนิด
ในแอฟริกาเชน่ เดยี วกัน ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก “strophe” บดิ เวียน และ
เอกสารอา้ งอิง “anthos” ดอก ตามลกั ษณะปลายกลบี ดอกทีบ่ ิดเวยี นในหลายชนิด
Qiu, H. and M.G. Gilbert. (2008). Euphorbiaceae (Mallotus). In Flora of China เอกสารอ้างองิ
Vol. 11: 229. Burkill, H.M. (1985). The useful plants of west tropical Africa. Vol. 1: 183.
van Welzen, P.C., S.E.C. Sierra, J.W.F. Silk and S. Bollendroff. (2007). Euphor- Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 97.
biaceae (Mallotus). In Flora of Thailand Vol. 8(2): 421-423.
เคราฤๅษี: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ปลายกลีบดอกบดิ เป็นเกลยี วยาว กะบงั สีน�้ำตาลอมสม้ (ภาพซ้าย: cultivated - RP);
แย้มปนี งั : ปลายกลบี ดอกไม่บดิ เปน็ เกลียว (ภาพขวา: cultivated - RP)
95
เครือกลว้ ยน้อย สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย
เครือกล้วยน้อย เอกสารอา้ งองิ
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
Hiptage triacantha Pierre In Flora of Thailand Vol. 4(1): 24-25.
วงศ์ Malpighiaceae Mackinder, B.A. and R. Clark. (2014). A synopsis of the Asian and Australasian
genus Phanera Lour. (Cercideae: Caesalpinioideae: Leguminosae) including
ไมพ้ ุ่ม ก่งิ มีช่องอากาศ ใบรูปรถี ึงรูปขอบขนาน ยาว 3-7 ซม. ก้านใบยาว 19 new combinations. Phytotaxa 166(1): 49-68.
4-5 มม. ช่อดอกยาว 4-10 ซม. มขี นหนาแนน่ กา้ นดอกยาว 3-8 มม. มขี อ้ ใต้จุด
กงึ่ กลาง กลบี เลยี้ งรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 4 มม. มตี อ่ มขนาดใหญต่ อ่ มเดยี ว
ดอกสีขาว กลีบรูปไข่แกมรูปขอบขนาน โคนเป็นต่ิงหู ด้านนอกมีขนหนาแน่น
ขอบมขี นครยุ กา้ นกลบี ยาวประมาณ 1 มม. กลบี ยาว 6-9 มม. โคนมสี เี หลอื งแตม้
เกสรเพศผูย้ าวประมาณ 8 มม. อันสั้นยาวประมาณ 3 มม. รังไขม่ ีขนหนาแน่น
ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 5 มม. ผลมี 3 ปกี ขนาดเทา่ ๆ กนั รปู แถบ ยาว
1-1.5 ซม. (ดูขอ้ มูลเพิม่ เตมิ ที่ โนรี, สกุล)
พบทภี่ มู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
และภาคตะวนั ออก ขนึ้ ตามทีล่ ่มุ ใกลห้ นองน�ำ้ ความสูงถงึ ประมาณ 200 เมตร
เอกสารอ้างอิง
Sirirugsa, P. (1991). Malpighiaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(3): 276.
เครือกล้วยน้อย: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ มขี นหนาแน่น ก้านดอกมขี อ้ ใต้จุดก่งึ กลาง มตี อ่ มขนาดใหญ่ตอ่ มเดยี ว เครือเขาแกบ: ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนง กลีบดอกสเี ขยี วอ่อน มกี ้านกลบี จานฐานดอกรปู เบาะ สีเหลือง
กลบี ดอกโคนมสี ีเหลอื งแตม้ โคนเป็นตง่ิ หู เกสรเพศผู้อนั ยาว 1 อนั (ภาพ: ยโสธร - PK) ฝักรูปใบหอก แบน (ภาพ: บางเบิด ชมุ พร - RP)
เครือเขาแกบ, สกลุ เครือเขาคำ�
Lasiobema (Korth.) Miq. Cuscuta reflexa Roxb.
วงศ์ Fabaceae วงศ์ Convolvulaceae
ไมเ้ ถาหรอื ไมพ้ มุ่ รอเลอ้ื ย มมี อื จบั หใู บรปู สามเหลยี่ มขนาดเลก็ ใบเรยี งเวยี น พชื เถาลม้ ลุกเบียน ล�ำตน้ เกล้ยี ง เส้นผา่ นศูนย์กลาง 2-3 มม. มจี ุดสีน้�ำตาลอมแดง
บางครง้ั ปลายแยกเปน็ แฉกตนื้ ๆ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ มกั แยกแขนง ใบประดบั กระจาย ใบลดรปู เปน็ เกลด็ ขนาดเลก็ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะหรอื แยกแขนง ออกตาม
และใบประดบั ยอ่ ยขนาดเลก็ รว่ งเรว็ ฐานดอกสนั้ กลบี เลยี้ งรปู ถว้ ย แยก 2-3 แฉก ดา้ นขา้ ง ยาว 1.5-3 ซม. ใบประดบั คล้ายเกล็ด ก้านดอกยาว 2-4 มม. กลีบเลี้ยง
หรือ 5 แฉก หรอื ขอบตัด กลบี ดอก 5 กลีบ มกี ้านกลีบ เกสรเพศผทู้ ี่สมบูรณ์ 3 อัน รูปถว้ ย มี 5 กลีบ รปู ไข่ ปลายมน ยาว 2-2.5 มม. ด้านนอกมตี มุ่ ดอกสขี าวหรอื ครมี
รงั ไขม่ กี า้ น ก้านเกสรเพศเมยี ส้นั ฝักรูปใบหอก แบน เมลด็ แบน หลอดกลบี ดอกยาว 5-9 มม. กลีบแฉกตน้ื ๆ รูปไข่แกมรปู สามเหลย่ี ม บานออก
โคนด้านในมีแผ่นหลอดเกสรเพศผู้เป็นเกล็ด รูปขอบขนาน ยาวถึงประมาณ
สกุล Lasiobema เคยอยภู่ ายใตส้ กุล Bauhinia sect. Lasiobema หรอื สกลุ ย่อย กง่ึ กลางหลอดกลบี ขอบจกั ชายครยุ เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ระหวา่ งกลบี ดอก อบั เรณู
Phanera sect. Lasiobema เนือ่ งจากคล้ายกบั สกลุ Phanera ทีเ่ ปน็ ไมเ้ ถาและ ไรก้ า้ นหรอื มกี ้านส้ันมาก อับเรณสู ีเหลอื ง รงั ไขม่ ี 2 ช่อง ออวลุ 4 เม็ด เกสรเพศเมยี
มมี ือจบั มปี ระมาณ 26 ชนดิ พบเฉพาะในเอเชียเขตร้อน ในไทยมี 9 ชนิด ชือ่ ไร้ก้านหรือมกี า้ นส้ันมาก ยอดเกสร 2 อัน รปู ล้ิน โคนเช่ือมตดิ กนั ผลแหง้ แตก
สกลุ มาจากภาษากรกี “lasios” ขนกำ�มะหยีห่ รือขนแกะ และ “bema” ข้ันหรอื เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 0.5-1 ซม. มตี ุม่ กระจาย
ยกข้ึน ตามลกั ษณะของก่งิ ทค่ี ล้ายขน้ั บนั ได และก่ิงอ่อนส่วนมากมีขน
พบที่อินเดยี อฟั กานิสถาน ปากสี ถาน เนปาล ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า และ
เครอื เขาแกบ ภูมิภาคมาเลเซีย ในไทยพบทางภาคเหนือ ข้ึนเบียนต้นไม้หลายชนิดตามชายป่า
และปา่ ดบิ เขา ความสงู 300-1900 เมตร นำ�้ คน้ั จากตน้ มพี ษิ ทำ� ใหอ้ าเจยี น ใชถ้ อนพษิ
Lasiobema curtisii (Prain) de Wit
วงศ์ Fabaceae สกลุ Cuscuta L. มปี ระมาณ 200 ชนดิ สว่ นมากพบในอเมรกิ าเหนือและ
อเมริกาใต้ หลายชนิดเป็นวชั พืชรา้ ยแรง และหลายชนดิ มสี รรพคณุ ด้านสมุนไพร
ชอ่ื พอ้ ง Bauhinia curtisii Prain ในไทยมี 4 ชนดิ สว่ นมากขึน้ เป็นวัชพชื โดยเฉพาะชนดิ ท่ีลำ�ต้นสเี หลืองหรือ
ฝอยทอง ได้แก่ C. chinensis Lam., C. japonica Choisy และ C. reflexa
ไม้เถา มีขนสั้นนุม่ ตามก่งิ ออ่ น แผน่ ใบดา้ นล่าง ก้านใบ ชอ่ ดอก และตาดอก Roxb. ลักษณะท่วั ไปยงั ดคู ลา้ ยกับพชื ในสกุล Cassytha (Lauraceae) หรือ
หใู บรปู สามเหลย่ี มขนาดเลก็ ใบรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 5-7 ซม. ปลายแหลม สังวาลพระอินทร์ ซึง่ มีรังไข่ใตว้ งกลีบ ผลสดมหี ลายเมลด็ ปลายผลมกี ลีบติดทน
หรอื แฉกต้นื ๆ ปลายแฉกแหลม โคนกลมหรอื เวา้ ตื้น ๆ เส้นโคนใบขา้ งละ 2-3 เสน้ ชือ่ สกลุ เปน็ ภาษาละตนิ หมายถงึ โยกโอนเอนไปมา ตามลักษณะวิสัยที่ขนึ้ คลมุ
ก้านใบยาว 1-3.5 ซม. ชอ่ ดอกยาว 10-20 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 2 ซม. ต้นไมอ้ นื่ ท�ำ ใหล้ ำ�ตน้ โยกเอนไปมา
ใบประดบั ยอ่ ยตดิ ประมาณกงึ่ กลางกา้ นดอก ตาดอกรปู ไขป่ ลายแหลม ยาว 2-3 ซม. เอกสารอ้างอิง
ฐานดอกสน้ั ดอกสเี ขยี วออ่ น ยาว 5-7 มม. กลบี คลู่ า่ งรปู ใบพาย 3 กลบี บนรปู ใบหอก Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 378-382.
กา้ นชูอบั เรณูยาว 4-5 มม. เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั 2 อัน จานฐานดอกรูปเบาะ
สเี หลอื ง ฝักรูปใบหอก ยาว 5-6 ซม. มี 5-6 เมล็ด เครอื เขาค�ำ: พืชเถาลม้ ลกุ เบยี น ลำ� ต้นเกลย้ี ง ช่อดอกแบบชอ่ กระจะหรอื แยกแขนง ออกตามด้านข้าง มจี ดุ สี
นำ้� ตาลอมแดงกระจาย ผลมตี มุ่ กระจาย (ภาพ: อ่างขาง เชยี งใหม่ - PK)
พบในภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู ในไทยพบกระจายตามชายป่า
เบญจพรรณ ปา่ ดิบแลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ เขาหินปนู ความสงู ถงึ ประมาณ 500 เมตร
96
สารานุกรมพืชในประเทศไทย เครือเทพรัตน์
เครอื เขามวก เครือเขาหนัง: ชอ่ ดอกแบบชอ่ แยกแขนงขนาดใหญ่ ดอกจำ� นวนมาก ก้านดอกยาว ดอกสเี ขยี วอ่อนอมเหลือง กลบี รปู
สามเหล่ยี มปลายมน ก้านกลบี ยาว (ภาพ: กระบ่ี - RP)
Parameria laevigata (Juss.) Moldenke
วงศ์ Apocynaceae เครอื คางควาย
ช่อื พ้อง Aegiphila laevigata Juss. Capparis radula Gagnep.
วงศ์ Capparaceae
ไมเ้ ถา ใบเรียงตรงข้ามหรือเรียงรอบข้อ 3 ใบ รปู รี รปู ไข่ หรอื รูปขอบขนาน
มีขนหยาบตามซอกเส้นแขนงใบด้านล่างคลา้ ยต่มุ ใบ ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ สนั้ ๆ ไม้พุ่ม กง่ิ มตี ่มุ ขนาดเล็กกระจาย มหี นามโค้งงอ ยาว 3-4 มม. ยอดมีเกล็ด
แยกแขนง ออกทปี่ ลายกงิ่ หรอื กง่ิ ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ใบประดบั ขนาดเลก็ กลบี เลย้ี ง ประดบั ทโี่ คน ใบรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 3.5-9.5 ซม. แผน่ ใบหนา ปลาย
5 กลีบ รปู ไข่ ยาวประมาณ 1 มม. มเี กล็ดท่โี คน ดอกรูปดอกเข็ม สีขาวหรอื อมชมพู แหลมมน เว้าต้นื กา้ นใบยาว 5-6 มม. ช่อดอกออกเปน็ กระจกุ ส้ัน ๆ ตามซอกใบ
กลบี เรยี งซอ้ นทบั ดา้ นซา้ ยในตาดอก หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ 2 มม. มี 5 กลบี ดา้ นบน มี 1-3 ดอก กา้ นดอกยาว 0.8-1.3 ซม. กลบี เลยี้ ง 4 กลีบ รปู ขอบขนาน
รูปรี เบ้ียวเล็กนอ้ ย ยาว 2-4 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ใกล้โคนหลอดกลีบดอก ยาวประมาณ 1.2 ซม. มขี นสน้ั นุ่ม ดอกสีขาว มี 4 กลีบ กลีบคบู่ นมีสเี หลืองหรือ
ก้านชูอับเรณูส้ัน อับเรณูรูปเง่ียงลูกศร ปลายเรียวแนบติดปลายเกสรเพศเมีย ชมพแู ซม รูปใบหอก ยาวประมาณ 1.4 ซม. ปลายมนกลม เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก
จานฐานดอกจกั 5 พู มี 2 คารเ์ พล แนบตดิ กนั เรยี วยาวเปน็ กา้ นเกสรเพศเมยี ผลเปน็ ก้านชูอับเรณูยาวกว่าก้านชูเกสรเพศเมียเล็กน้อย ก้านเกสรเพศเมียเกล้ียง ยาว
ฝกั คู่ ยาว 12-27 ซม. คอดตามเมลด็ เมลด็ จำ� นวนมาก เรยี ว ยาวประมาณ 1 ซม. 1.2-1.8 ซม. ผลรปู ไข่ ยาว 4-5 ซม. มีริว้ ผิวขรขุ ระ กา้ นผลยาวไดถ้ งึ 4 ซม. เมลด็
ปลายมกี ระจุกขน ยาวประมาณ 3 มม. รูปคล้ายไต ยาวประมาณ 8 มม. (ดูข้อมูลเพิ่มเตมิ ที่ ชิงชี่, สกุล)
พบทจี่ นี พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และภมู ภิ าคมาเลเซยี ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตาม พบท่ีภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบมากทางภาคกลาง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ท่ี
ชายปา่ หรอื ในปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู ถงึ ประมาณ 900 เมตร อทุ ัยธานี และกระจายห่าง ๆ ทางภาคตะวนั ออก ข้นึ ตามท่ีโลง่ ริมลำ� ธาร ความ
สูงถงึ ประมาณ 100 เมตร
สกุล Parameria Benth. มี 3 ชนดิ พบในจนี และเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ในไทยมี
2 ชนดิ ชนดิ P. polyneura Hook. f. พบทางภาคใต้ ตาดอกมขี นสั้นน่มุ ชอ่ื สกลุ เอกสารอ้างองิ
มาจากภาษากรีก “para” ใกล้ และ “meris” ส่วน ตามลกั ษณะดอกท่ีออกชิดกัน Chayamarit, K. (1991). Capparaceae in Flora of Thailand Vol. 5(3): 241-259.
เอกสารอา้ งอิง
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 150-151.
เครือเขามวก: ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกส้นั ๆ แยกแขนง ออกทป่ี ลายกง่ิ กลีบดอกเรียงซอ้ นเหลื่อมดา้ นซ้ายในตาดอก เครอื คางควาย: กิง่ เกลีย้ ง หนามโค้งงอ แผน่ ใบหนา ปลายแหลมมน เว้าต้ืน ชอ่ ดอกมี 1-3 ดอก กลบี ดอกคบู่ นมสี ี
กลีบดอกรูปดอกเขม็ กลบี เบ้ียวเลก็ นอ้ ย (ภาพ: เขาพระวหิ าร ศรีสะเกษ - RP) เหลืองหรอื ชมพูแซม กา้ นเกสรเพศเมียเกลย้ี ง ผลมผี วิ ขรขุ ระ (ภาพ: อุบลราชธานี; ภาพดอก - PK, ภาพผล - MP)
เครอื เขาหนัง เครือเทพรัตน์
Phanera bassacensis (Gagnep.) de Wit Thepparatia thailandica Phuph.
วงศ์ Fabaceae วงศ์ Malvaceae
ช่อื พ้อง Bauhinia bassacensis Gagnep. ไม้เถาเน้อื แขง็ ยาวได้ถึง 20 ม. เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 10-15 ซม. มขี นรูปดาว
ตามท้องใบ ก้านใบ ชอ่ ดอก ริว้ ประดบั และกลบี เล้ยี ง หูใบร่วงเรว็ ใบเรียงเวยี น
ไม้เถาเนอ้ื แข็ง หูใบเปน็ ตง่ิ คลา้ ยหู ยาวประมาณ 6 มม. ใบรูปไข่ ยาวไดถ้ งึ รูปฝ่ามอื 3-5 พูตน้ื ๆ กว้าง 7-12 ซม. ยาว 8-12 ซม. ขอบจักฟนั เลื่อยหา่ งๆ
20 ซม. ปลายแฉกลกึ ไมเ่ กนิ กงึ่ หนง่ึ เสน้ โคนใบขา้ งละ 4-6 เสน้ กา้ นใบยาว 2-7 ซม. ดา้ นบนมีต่อมกระจาย ก้านใบยาว 5-10 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะออกตาม
ชอ่ ดอกแยกแขนง ใบประดับรูปใบหอก ยาวประมาณ 8 มม. ก้านดอกยาวไดถ้ งึ ปลายกง่ิ หอ้ ยลง ยาวไดถ้ งึ 20 ซม. กา้ นดอกยาว 1.5-1.8 ซม. กา้ นมตี งิ่ รว้ิ ประดบั
7 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยตดิ กงึ่ กลางกา้ นดอก ฐานดอกสนั้ กลีบเลยี้ งแยก 2 ส่วน 5-7 อัน เช่อื มตดิ กันทโี่ คน สีเขียวอมแดง รูปรถี งึ รูปขอบขนาน ยาว 0.7-1 ซม.
ยาว 5-8 มม. ดอกสเี ขยี วออ่ นอมเหลอื ง กลบี รปู สามเหลย่ี มปลายมน ยาวประมาณ ติดทน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ แฉกลกึ รปู ขอบขนาน ยาว 1-1.5 ซม. เสน้ กลบี เปน็ สนั
1 ซม. บางคร้ังมลี ายเสน้ กลบี กา้ นกลบี ยาว 1-2.5 ซม. เกสรเพศผู้ 2 อัน ก้านชอู บั เรณู ดอกสเี หลอื งครมี มีปื้นสแี ดง มี 5 กลีบ รูปไขก่ ลับ ยาว 3-3.5 ซม. ปลายกลบี พับงอ
ยาว 1.5-2 ซม. เกสรเพศผลู้ ดรปู 7 อนั ยาว 3-9 มม. มที ่ีเป็นหมันขนาดเลก็ 1 อนั เสา้ เกสรยาว 1.5-2 ซม. กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 1 มม. อบั เรณรู ปู เกอื กมา้ สเี หลอื ง
ตดิ ระหวา่ งเกสรเพศผู้ท่ีสมบูรณ์ รังไขม่ ีขนยาว ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 0.7-1 ซม. รงั ไขม่ ขี นหนาแนน่ ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1.6 ซม.
ฝกั รูปใบหอก ยาวได้ถึง 9 ซม. มี 3-5 เมลด็ (ดูขอ้ มูลเพมิ่ เติมที่ แสลงพัน, สกลุ )
พบทภี่ มู ภิ าคอนิ โดจนี และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคกลาง
ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขน้ึ ตามชายปา่ ดบิ แล้ง และปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู
ระดบั ตำ่� ๆ มคี วามผนั แปรสงู ทง้ั รปู รา่ งใบ สงิ่ ปกคลมุ และขนาดใบประดบั แยกเปน็
var. backeri de Wit พบท่บี อร์เนียว
เอกสารอ้างอิง
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 29-31.
97
เครือปลาซวิ สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย
พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทต่ี าก เชยี งใหม่ ขนึ้ ตามหบุ เขาทลี่ าดชนั เครือปงุ , สกุล
ใกลล้ ำ� ธารในปา่ ดิบแลง้ ความสงู 300-700 เมตร
Stemona Lour.
สกลุ Thepparatia Phuph. อยใู่ นเผ่า Gossypieae มชี นดิ เดียว ช่ือสกุลตงั้ เพ่ือ วงศ์ Stemonaceae
เทิดพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี
เอกสารอา้ งอิง ไม้เถาล้มลกุ รากอวบหนาจ�ำนวนมาก รปู กระสวย โคนตน้ มีเกลด็ หุม้ ยอด
Phuphathanaphong, L. (2006). Thepparatia (Malvaceae), a new genus from เปน็ กาบ ใบเรยี งเวยี น เรียงตรงข้าม หรือเรยี งรอบข้อ กา้ นใบมักโป่งพอง เส้นใบ
6-13 เส้น โคง้ จรดปลายใบ เสน้ แขนงใบยอ่ ยแบบขน้ั บนั ได ชอ่ ดอกคล้ายชอ่ ซรี่ ่ม
Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 34: 195-200. หรอื แบบชอ่ กระจะ ออกตามซอกใบ ใบประดบั เรยี วแคบ มกั ตดิ ทน กา้ นดอกมขี อ้
กลีบรวม 4 กลบี แยกจรดโคน เรยี งซ้อนเหลื่อม บานออก ตดิ ทน เกสรเพศผู้ 4 อนั
เครือเทพรตั น:์ ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ หอ้ ยลง ร้วิ ประดับ 5-7 อัน ดอกสีเหลอื งครมี มปี ้นื สแี ดง ปลายกลบี พับงอ โคนอับเรณูแนบติดแกนท่ีแผเ่ ป็นแผ่น บางคร้ังมรี ยางค์เล็ก ๆ คลา้ ยเดือย 1 อนั
(ภาพ: ท่าสองยาง ตาก - RP) หรือไมม่ ี กา้ นชอู ับเรณูสั้น เชอ่ื มตดิ กนั ที่โคนแนบติดกลีบรวม รงั ไขม่ ชี อ่ งเดียว
ไร้ก้านเกสรเพศเมีย ยอดเกสรขนาดเล็ก ผลแห้งแตก มีหลายเมล็ด เรียวยาว
เครอื ปลาซิว ปลายเปน็ จะงอย มีกา้ น โคนมีเยื่อหมุ้ รปู คล้ายนิว้ มอื
Pseudodissochaeta septentrionalis (W. W. Sm.) M. P. Nayar สกลุ Stemona มีประมาณ 20 ชนดิ พบในเอเชียและออสเตรเลยี ในไทยมี 11 ชนดิ
วงศ์ Melastomataceae หลายชนดิ มรี ากอวบหนา มีสรรพคณุ ดา้ นสมนุ ไพร ชือ่ สกุลมาจากภาษากรีก
“stemon” เกสรเพศผู้ หมายถงึ ลักษณะโคนอบั เรณูแนบติดแกนทแี่ ผ่เปน็ แผ่น
ชื่อพ้อง Medinilla septentrionalis (W. W. Sm.) H. L. Li, Oritrephes septen-
trionalis W. W. Sm. เครือปุง
ไม้พมุ่ พาดเลอ้ื ย สูงไดถ้ งึ 4 ม. ตามขอ้ มีเส้นและขนแขง็ ใบเรยี งตรงขา้ ม รูปไข่ Stemona aphylla Craib
ถงึ รปู ใบหอก ยาว 6-10 ซม. ปลายแหลมยาว เสน้ ใบขา้ งละ 2 เส้น ขอบเรยี บ ไม้เถา ยาว 2-4 ม. เกล้ยี ง ใบเรียงเวยี น รปู ไข่กวา้ ง ยาว 6-8 ซม. โคนตัดหรอื
หรอื จกั ฟนั เล่ือย กา้ นใบยาว 0.4-1 ซม. ชอ่ กระจุกแยกแขนงส้นั ๆ ออกตามซอกใบ
และปลายกง่ิ ยาว 2-5 ซม. แตล่ ะชอ่ มี 1-5 ดอก ก้านดอกยาวประมาณ 1 ซม. รูปหัวใจ เส้นใบ 9-11 เสน้ กา้ นใบยาว 4-17 ซม. ชอ่ ดอกออกตามซอกใบ ไรก้ ้าน
ใบประดับขนาดเล็ก ฐานดอกรูปถ้วย ยาวประมาณ 5 มม. ปลายแยก 4 แฉกต้นื ๆ หรือยาวประมาณ 5 มม. มี 1-3 ดอก ใบประดับยาว 0.8-1 ซม. กา้ นดอกยาว
กลบี ดอก 4 กลบี รปู ไข่กลบั ยาวประมาณ 6 มม. เกสรเพศผู้ 8 อัน เรยี ง 2 วง 0.5-2 ซม. ดอกสีน�้ำตาลอมเขียวหรือแดง กลีบรวมรูปใบหอกปลายเรียวแหลม
วงนอกยาวประมาณ 1.3 ซม. วงในส้ันกวา่ เล็กนอ้ ย ปลายอบั เรณูมีช่องเปดิ โคนมี ยาว 2-2.5 ซม. เกสรเพศผยู้ าว 1.5-2.7 ซม. รวมรยางคท์ ปี่ ลายแกนอบั เรณรู ปู ลมิ่ แคบ
เดอื ยสน้ั ๆ รงั ไขม่ ี 4 ชอ่ ง ปลายเวา้ ถงุ เกสรเพศผแู้ นบตดิ โคนรงั ไข่ ผลสดมหี ลายเมลด็ ไมม่ รี ยางค์คล้ายเดือย ผลรปู รี ยาว 2-3 ซม. มี 5-6 เมล็ด เรียว ยาว 1-1.2 ซม.
รปู คนโท ยาวประมาณ 7 มม. เมล็ดรปู ลม่ิ ขนาดเลก็
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบกระจายทางภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
พบทจ่ี นี ตอนใต้ พมา่ ลาว และเวยี ดนาม ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออก ข้นึ ตามปา่ เบญจพรรณ หรอื บนเขาหนิ ปูน ความสูง 200-700 เมตร
และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเี่ พชรบรู ณ์ ขนึ้ ตามชายปา่ หรอื ในปา่ ดบิ เขา ความสงู
800-1500 เมตร เครอื ปงุ ขน
สกลุ Pseudodissochaeta Nayar มี 7 ชนิด พบที่อนิ เดีย จนี พม่า และภมู ภิ าค Stemona kerrii Craib
อินโดจีน ในไทยมี 2 ชนดิ อีกชนิดคอื P. subsessilis (Craib) Nayar พบทางภาคเหนือ ไม้เถา ยาวไดถ้ งึ 1 ม. มขี นสัน้ นมุ่ ตามกิง่ แผน่ ใบ กา้ นใบ ชอ่ ดอก และ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชอ่ ดอกออกทปี่ ลายกงิ่ ดอกจำ�นวนมาก ใบใหญ่กวา่
ดา้ นลา่ งมขี นยาวประปราย ชือ่ สกลุ หมายถึงคลา้ ยพืชสกลุ Dissochaeta กลบี รวม ใบเรียงเวยี น รูปไข่กวา้ ง ยาว 4-7 ซม. โคนรปู หวั ใจ เส้นใบ 9-17 เสน้
เอกสารอ้างอิง ก้านใบยาว 1.5-4 ซม. ชอ่ ดอกออกตามซอกใบ กา้ นชอ่ ยาว 1-2.5 ซม. มี 1-4 ดอก
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae. ใบประดบั ยาวประมาณ 5 มม. กา้ นดอกยาว 1.5-4.5 ซม. ดอกสีนำ้� ตาลอมแดง
กลบี รวมรูปไข่แกมรปู ขอบขนาน ปลายเรยี วแหลม ยาว 1-1.2 ซม. เกสรเพศผู้
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 475-476. ยาว 0.8-1.2 ซม. รวมรยางค์ ปลายแกนอบั เรณรู ูปสามเหลีย่ มแคบ ไม่มรี ยางค์
คล้ายเดอื ย ผลเกล้ยี ง รูปไข่ ยาว 1.2-1.4 ซม. มี 1-3 เมล็ด เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง
เครอื ปลาซิว: ใบเรยี งตรงขา้ ม เส้นใบขา้ งละ 2 เส้น ช่อดอกออกตามซอกใบ ผลรปู คนโท (ภาพ: ดอยตุง เชียงราย - RP) ประมาณ 5 มม.
พบที่จีนตอนใต้ พม่า และภาคเหนือของไทย ข้ึนตามป่าเบญจพรรณท่ีเป็น
หินปูน ความสงู 200-900 เมตร
เครือปุงดอกสัน้
Stemona involuta Inthachub
ไมเ้ ถา ยาวไดถ้ งึ 1 ม. เกลยี้ ง ใบเรยี งเวยี น รปู หวั ใจหรอื รปู ไขแ่ กมรปู สามเหลย่ี ม
ยาว 5-11 ซม. โคนตัดหรอื เวา้ ตื้น เส้นใบ 7-9 เสน้ กา้ นใบยาว 3.5-6.5 ซม.
ชอ่ ดอกออกตามซอกใบ ไร้กา้ นช่อ มดี อกเดยี ว ใบประดบั ยาว ประมาณ 7 มม.
กา้ นดอกยาว 0.5-1.7 ซม. ดอกสนี ำ�้ ตาลเขม้ อมแดง กลบี รวมรปู ไขแ่ กมรปู ใบหอก
ปลายเรยี วแหลม ยาว 1.5-2 ซม. เกสรเพศผู้ยาว 1.3-1.5 ซม. รวมรยางค์ ปลายแกน
อบั เรณขู อบมว้ น ไมม่ รี ยางคค์ ลา้ ยเดอื ย ผลเกลยี้ ง รปู ไข่ ยาวประมาณ 1.3 ซม.
มี 3-6 เมล็ด รปู ไข่ ยาว 7-8 มม.
พชื ถิน่ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ท่สี ุโขทยั ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ท่ี
ขอนแก่น และภาคตะวนั ออกท่ีนครราชสมี า ขึ้นตามปา่ โปรง่ ที่มหี นิ โผล่ ความสงู
100-300 เมตร
เอกสารอ้างอิง
Duyfjes, B.E.E. and P. Inthachub. (2011). Stemonaceae. In Flora of Thailand
Vol. 11(1): 75-94.
98
สารานุกรมพืชในประเทศไทย เครอื พทู อง
เครอื ปงุ : ชอ่ ดอกมี 1-3 ดอก ดอกสีน้�ำตาลอมเขยี วหรือแดง กลบี รวมรปู ใบหอกปลายเรียวแหลม รยางค์ที่ปลาย กลบี ใน 3 กลบี สัน้ กว่าเลก็ น้อย ดอกรูประฆัง สีขาว ยาว 5-6 ซม. ปลายจกั ต้ืน ๆ
แกนอับเรณรู ูปลิ่มแคบ (ภาพ: ภูพาน สกลนคร - PI) เกสรเพศผไู้ มย่ ื่นพน้ ปากหลอดกลีบดอก ก้านชอู บั เรณยู าวประมาณ 3 ซม. โคนมี
ขนยาว อบั เรณยู าว 5-6 มม. จานฐานดอกรปู วงแหวน เกสรเพศเมยี ยาวประมาณ
เครือปงุ ขน: มขี นสน้ั นุม่ ตามก่งิ แผ่นใบท้ังสองดา้ น ชอ่ ดอก และกลีบรวม ทั่วไป ช่อดอกออกตามซอกใบ ผลเกล้ียง 3 ซม. ผลรูปกลม ๆ เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 7-8 มม. มี 4 เมลด็ ยาว 5-6 มม.
รปู ไข่ กลีบรวมตดิ ทน (ภาพ: แม่ออน เชยี งใหม่ - RP)
พืชถ่ินเดียวของไทย พบเฉพาะทางภาคตะวันออกท่ีมุกดาหาร และ
เครอื ปงุ ดอกสั้น: ใบเรียงเวียน รูปหวั ใจ โคนตัดหรือเวา้ ตื้น เสน้ โคนใบ 7-9 เส้น ช่อดอกไรก้ า้ นช่อ มีดอกเดียว อุบลราชธานี ข้ึนตามป่าเต็งรังที่เปน็ หินทราย ความสูง 150-300 เมตร
ดอกสนี ้ำ� ตาลเขม้ อมแดง (ภาพ: น้ำ� พอง ขอนแก่น - PI)
เครอื พูเงิน
เครอื พงุ หม,ู สกุล
Argyreia obtecta (Choisy) C. B. Clarke
Argyreia Lour.
วงศ์ Convolvulaceae ช่อื พ้อง Rivea obtecta Choisy
ไมเ้ ถาล้มลกุ มีรากสะสมอาหาร นำ�้ ยางสขี าว ใบเด่ียว เรยี งเวียน ช่อดอก ไม้เถาลม้ ลกุ ยาวได้ถึง 30 ม. กงิ่ ออ่ นมขี นยาว ใบรปู รีถงึ รูปขอบขนานหรือ
แบบช่อกระจะออกส้ัน ๆ คลา้ ยชอ่ กระจกุ สว่ นมากออกตามซอกใบ กลีบเลยี้ ง แกมรปู ไข่กลับ ยาว 4-15 ซม. แผ่นใบมขี นแข็งเอนสเี งิน ก้านใบยาว 0.7-3 ซม.
5 กลีบ ขยายในผล ดอกรปู ระฆังหรือรูปแตร แฉกลึกหรือจักตนื้ ๆ 5 กลบี มี ก้านช่อดอกยาว 1.5-2 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1.2 ซม. ใบประดับรูปไข่กลับ
แถบขนด้านนอก เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ใกล้โคนหลอดกลบี ดอก จุดตดิ สว่ นมากมีขน ขนาดเลก็ ร่วงเรว็ กลีบเล้ยี งยาวเท่า ๆ กัน 3 กลีบนอกรปู ไขก่ ว้าง ยาว 0.6-1 ซม.
หรอื ตอ่ ม เรณเู ปน็ หนามละเอยี ด จานฐานดอกเปน็ วงหรอื จกั เปน็ พู รงั ไขม่ ี 2 หรอื กลีบคูใ่ นแคบกวา่ เล็กน้อย ด้านนอกมขี นสั้นน่มุ ดอกรปู ระฆงั สีมว่ งออ่ น ด้านใน
4 ชอ่ ง แต่ละชอ่ งมอี อวุล 4 เมด็ ยอดเกสรเพศเมยี จกั 2 พู ผลสดมหี ลายเมลด็ สเี ข้ม ยาว 3.5-7.5 ซม. ปลายจกั ต้นื ๆ เกสรเพศผ้ไู มย่ ่ืนพน้ ปากหลอดกลบี ดอก
สว่ นมากมี 4 เมล็ด รปู สามเหลีย่ มมนกลม เกลยี้ ง ก้านชอู ับเรณยู าว 2-3.5 ซม. โคนมขี นยาว อบั เรณูยาว 3-4.5 มม. จานฐานดอก
รปู ถ้วย เกสรเพศเมยี ยาว 3-4 ซม. ผลรปู กลม เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 0.8-1 ซม. มี
สกุล Argyreia มีประมาณ 90 ชนดิ สว่ นมากพบในเอเชียเขตรอ้ น ในออสเตรเลีย 4 เมล็ด ยาว 4-5 มม.
มชี นิดเดยี ว ในไทยมีพชื พน้ื เมอื งอยา่ งน้อย 35 ชนิด และพบเปน็ ไมป้ ระดบั
อกี 1 ชนดิ คอื ใบระบาด A. nervosa (Burm. f.) Bojer ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก พบทพ่ี ม่า ภมู ิภาคอินโดจีน และคาบสมุทรมลายู ในไทยพบทกุ ภาค ขึ้นตาม
“argyreios” สีเงนิ ตามลกั ษณะแผ่นใบดา้ นล่างของพชื ในสกุลนี้สว่ นมากมสี เี งนิ ชายปา่ หลากหลายสภาพรวมทงั้ ปา่ ชายเลน ความสงู ถงึ ประมาณ 1300 เมตร บาง
ครง้ั ใหเ้ ปน็ ช่ือพ้องของ A. mollis (Burm. f.) Choisy ซึง่ แผน่ ใบด้านบนเกลย้ี ง
เครอื พงุ หมู ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ตกเฉียงใต้ และภาคใต้
Argyreia leucantha Traiperm & Staples เครือพเู งินขน
ไมเ้ ถาลม้ ลกุ มขี นยาวสนี ำ�้ ตาลกระจายตามกงิ่ ใบ ใบประดบั และกลบี เลยี้ ง
Argyreia ooststroomii Hoogland
ด้านนอก ใบรปู รีถงึ รปู ใบหอก ยาว 6-12 ซม. ก้านใบยาว 5-8 มม. แต่ละชอ่ มี ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ยาวไดถ้ งึ 6 ม. มขี นแขง็ เอนสเี หลอื งอมน้�ำตาลตามกง่ิ ออ่ น เสน้
2-9 ดอก ก้านช่อสัน้ มาก กา้ นดอกยาว 3-9 มม. ใบประดบั รปู รี ยาว 1.5-2 ซม.
ตดิ ทน กลีบเล้ยี งรปู ไข่ รูปขอบขนาน หรือรปู ใบหอก กลบี คู่นอกยาว 2.5-2.8 ซม. แขนงใบดา้ นล่าง และกลีบเลี้ยง ใบรูปรีหรือรูปไข่ ยาว 6-12 ซม. กา้ นใบยาว 1-4 ซม.
ชอ่ ดอกยาว 3-18 ซม. ออกตามปลายกงิ่ ช่อสัน้ ออกตามซอกใบ ใบประดับรปู ไข่
ยาว 0.5-1 ซม. ติดทน ก้านดอกยาว 3-6 มม. กลบี เลี้ยงรูปไข่ ยาวเทา่ ๆ กนั ยาว
6-8 มม. ปลายกลีบกลม ดอกรูปแตร สีขาวอมม่วง ยาว 2.5-5 ซม. ปลายจกั ตน้ื ๆ
กา้ นชอู ับเรณูรูปสามเหล่ยี ม อับเรณูรูปแถบ ยาวประมาณ 1.5 ซม. ไมย่ ่นื พ้นปาก
หลอดกลบี ดอก จานฐานดอกรปู ถว้ ย จกั ตน้ื ๆ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 1.3-1.5 ซม.
ผลรูปรีกวา้ ง สแี ดง ยาว 1-1.5 ซม. มเี มลด็ เดียว ยาวประมาณ 9 มม.
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทย่ี ะลา นราธวิ าส ขน้ึ ตาม
ชายปา่ หรอื ในปา่ ดิบช้นื ความสงู 100-200 เมตร
เครอื พูทอง
Argyreia thorelii Gagnep.
ไม้เถาล้มลุก มขี นยาวสนี �้ำตาลทองประปรายตามกงิ่ และแผน่ ใบ หนาแน่น
ตามชอ่ ดอก ใบประดับ และกลีบเล้ยี ง ใบรปู ขอบขนานถึงรูปใบหอก ยาวไดถ้ ึง
14 ซม. ปลายมนหรอื แหลม ปลายมตี งิ่ แหลม แผ่นใบด้านล่างมนี วล ก้านใบยาว
0.7-1 ซม. ชอ่ ดอก มี 3-5 ดอก ก้านชอ่ ยาว 1-1.5 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 5 มม.
ใบประดับรปู ใบหอก ยาว 0.8-1.2 ซม. ตดิ ทน กลีบเล้ยี งรปู ใบหอก กลบี ค่นู อกยาว
1.8-2 ซม. 3 กลบี ในสัน้ กว่าเล็กนอ้ ย ดอกรปู ดอกเข็ม สีขาว หลอดกลีบดอกยาว
2-3 ซม. กลีบแฉกลกึ รปู ใบหอก ยาว 1.6-2 ซม. ปลายแหลม เกสรเพศผ้ยู นื่ พน้
ปากหลอดกลบี ยาว 3.8-4 ซม. โคนกา้ นชอู บั เรณแู ผก่ วา้ ง มปี มุ่ กระจาย โคนอบั เรณู
เปน็ เงยี่ ง จานฐานดอกรูปวงแหวน เกสรเพศเมียยาวเท่า ๆ เกสรเพศผู้
พบทล่ี าว และภาคตะวันออกของไทยที่อบุ ลราชธานี ขน้ึ ตามปา่ เตง็ รัง และ
ปา่ ดิบแลง้ ที่เปน็ หนิ ทราย ความสงู 150-650 เมตร
เอกสารอา้ งองิ
Hoogland, R.D. (1953). Convolvulaceae. In Flora Malesiana Vol. 4: 504.
Staples, G. and P. Traiperm. (2010). Convolvulaceae (Argyreia). In Flora of
Thailand Vol. 10(3): 337-371.
________. (2010). New species, new combination, and new record in Con-
volvulaceae for the Flora of Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 36:
100-102.
99
เครืออีเฒ่า สารานุกรมพืชในประเทศไทย
ยาว 0.5-2 ซม. โคนมนหรือรูปหวั ใจ ชอ่ ดอกออกส้ัน ๆ ตามซอกใบ มี 1-3 ดอก
ก้านช่อและก้านดอกยาวประมาณ 1 ซม. กลีบเล้ียงรูปลิ่มแคบหรือรูปเส้นด้าย
ยาว 5-6 มม. ดอกสคี รมี อมเหลอื ง มจี ดุ สนี ำ�้ ตาลอมแดงทวั่ ไป หลอดกลบี ดอกรปู คนโท
โค้ง ยาว 2-3 ซม. โคนปอ่ ง กลบี รูปไข่ ยาว 7-8 มม. พับงอกลบั จรดกัน ปลาย
เชอื่ มตดิ กนั คลา้ ยโดม มขี นยาวทงั้ ดา้ นนอกและดา้ นใน กะบงั เรยี ง 2 วง วงนอก
จกั 5 พู พูแยก 2 แฉก วงในแยกเปน็ 5 แฉกรปู เสน้ ดา้ ย ปลายเปน็ ตะขอ มีขน
ประปราย ผลยาว 4-4.5 ซม. (ดูข้อมูลเพ่ิมเตมิ ที่ เทพธาโร, สกุล)
พบทีอ่ นิ เดยี ในไทยพบทางภาคตะวันออกท่มี ุกดาหาร อุบลราชธานี ข้นึ ตาม
พ้นื ทรายในป่าดิบแลง้ โปร่ง ๆ ที่เป็นหินทราย ความสงู 200-300 เมตร
เอกสารอ้างอิง
Boonjaras, T. and O. Thaithong. (2003). Ceropegia hirsuta (Asclepiadaceae), a
new record for Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 31: 1-6.
เครอื พงุ หมู: ไมเ้ ถา กลีบเลีย้ งดา้ นนอกมีขนสีน้�ำตาลยาว ดอกรปู ระฆัง เกสรเพศผู้ไม่ยน่ื พ้นปากหลอดกลีบดอก เรณู
เป็นหนามละเอียด (ภาพ: มุกดาหาร - PK)
เครอื พเู งนิ : แผ่นใบมขี นแขง็ เอนสเี งิน ชอ่ ดอกออกสั้น ๆ กลบี เล้ยี งขนาดเทา่ ๆ กนั ดอกรูประฆงั ดา้ นในสีเขม้ เครอื อเี ฒา่ : ไม้ลม้ ลุกหรือไมเ้ ถา มีหัวกลม ช่อดอกมี 1-3 ดอก หลอดกลีบรูปคนโท โค้ง โคนปอ่ ง กลีบดอกพบั งอกลบั
เกสรเพศผไู้ มย่ ่นื พ้นปากหลอดกลีบดอก (ภาพ: ช่องเม็ก อุบลราชธานี - RP) จรดกนั ปลายเชือ่ มตดิ กนั คลา้ ยโดม (ภาพ: มกุ ดาหาร - PK)
เครือพูเงนิ ขน: มีขนแขง็ เอนสเี หลอื งอมนำ�้ ตาลตามลำ� ต้น และกลีบเลย้ี ง ช่อดอกส้ัน ๆ ออกตามซอกใบ เกสรเพศผู้ เคลง, สกุล
ไม่ยน่ื พ้นปากหลอดกลบี ดอก (ภาพ: เขาฉลองชยั ยะลา - RP)
Pachycentria Blume
เครอื พทู อง: แผ่นใบด้านลา่ งมนี วล มขี นยาวสนี ำ�้ ตาลทองหนาแน่นตามชอ่ ดอก ใบประดบั และกลีบเล้ยี ง ดอกรูป วงศ์ Melastomataceae
ดอกเขม็ แฉกลกึ เกสรเพศผู้ยื่นพน้ ปากหลอดกลบี ดอก (ภาพ: โขงเจียม อุบลราชธานี - PK)
ไม้พุ่มอิงอาศัย ก่ิงส่วนมากเป็นเหล่ียมและมีร้ิว ข้อหนา ใบเรียงตรงข้าม
เครอื อีเฒา่ เส้นโคนใบ 1-3 เสน้ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง ออกตามซอกใบหรอื ปลายกง่ิ
บางคร้ังลดรูปมีเพยี งดอกเดียว ฐานดอกรูปคนโท คอดเหนอื รังไข่ กลบี เลย้ี งจัก
Ceropegia hirsuta Wight & Arn. ตน้ื ๆ 4 กลบี หรอื เรียบ กลบี ดอก 4 กลีบ เกสรเพศผู้ 8 อนั สว่ นมากยาวเทา่ ๆ กนั
วงศ์ Apocynaceae อบั เรณรู ปู แถบ ปลายมรี เู ปดิ แกนอบั เรณหู นา โคนมเี ดอื ย ปลายสว่ นมากไมม่ รี ยางค์
รังไข่มี 4 ช่อง ยาวไมเ่ กนิ กงึ่ หนึ่งของฐานดอกรูปถว้ ย ไมม่ ชี ่องพเิ ศษ (stamen pocket
ไมล้ ม้ ลุกหรอื ไมเ้ ถา หวั ใต้ดนิ กลม เส้นผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 2.5 ซม. มขี น หรอื extaovarian chamber) ผลสดมหี ลายเมล็ด ปลายคอดเปน็ วงกลีบเล้ยี ง
สน้ั นมุ่ ตามล�ำตน้ แผน่ ใบทงั้ สองดา้ น กา้ นชอ่ กา้ นดอก กลบี เลย้ี งและกลบี ดอก
ดา้ นนอก และกะบงั สว่ นต่าง ๆ มยี างใส ใบรปู รหี รือรปู ไข่ ยาว 2-6.5 ซม. ก้านใบ สกุล Pachycentria มปี ระมาณ 8 ชนดิ พบในเอเชยี โดยเฉพาะภูมิภาคมาเลเซยี
ในไทยมี 3 ชนดิ คลา้ ยกับสกุล Medinilla ฐานดอกไมค่ อดเหนือรงั ไข่ รงั ไขย่ าว
และมชี อ่ งพเิ ศษ ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรกี “pachys” หนา และ “kentron”
เดอื ย ตามลกั ษณะของอบั เรณู
เคลงกนก
Pachycentria varingaefolia (Blume) Blume
ชื่อพอ้ ง Melastoma varingiaefolium Blume, Medinilla varingiifolia (Blume) Nayar
ไมพ้ ่มุ อิงอาศยั สูงไดถ้ ึง 4 ม. ใบรปู ไขห่ รือรปู ใบหอก ยาว 5-10 ซม. เส้นโคนใบ
ขา้ งละ 1 เสน้ แผ่นใบข้างหนา ดา้ นบนมรี อยย่น ดา้ นลา่ งสมี ว่ งอมแดง กา้ นใบยาว
1-1.7 ซม. ช่อดอกออกตามปลายกงิ่ ยาว 2-6 ซม. ก้านช่อยาว 1-3 ซม. แต่ละช่อ
มี 2-7 ดอก ใบประดบั รูปใบหอก ยาว 1-3 มม. ฐานรองดอกยาว 4-8 มม. กลีบเล้ียง
ขอบสงู ประมาณ 1-1.5 มม. จักตื้น ๆ ดอกสชี มพเู ปลี่ยนเปน็ สขี าว กลบี รปู ไข่
หรอื รปู รี ยาว 1.2-1.8 ซม. ปลายแหลม โคนตัด เกสรเพศผู้ 8 อัน ยาวไม่เท่ากัน
ปลายมจี ะงอยยาว โคนมีเดอื ยสน้ั ๆ อบั เรณูวงนอกยาว 0.6-1 ซม. วงในยาว 5-7 มม.
กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวกวา่ เกสรเพศผู้ ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 6-8 มม.
สกุ สแี ดง ขอบกลีบเลีย้ งสูง 4-5 มม.
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู และทางภาคใต้ของไทยที่เขาหลวงและเขานนั จงั หวดั
นครศรธี รรมราช ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ชน้ื และปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 2000 เมตร
100
สารานุกรมพชื ในประเทศไทย เคลงหนิ
เคลงกา้ นแดง เคลงแดง
Pachycentria constricta (Blume) Blume Medinilla curtisii Hook. f.
ชอื่ พอ้ ง Melastoma constrictum Blume ช่ือพ้อง Medinilla elliptica Craib
ไมพ้ ่มุ องิ อาศัย สูงได้ถงึ 1.5 ม. มหี วั ใบรูปรี รปู ไข่ หรือรปู ใบหอก ยาว 5-24 ซม. ไมพ้ มุ่ องิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 1 ม. ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว
แผ่นใบคอ่ นข้างหนา ด้านล่างมักมีสีมว่ งอมแดง เสน้ โคนใบข้างละ 1 เส้น ก้านใบ 5-11.5 ซม. โคนโอบรอบก่ิง เส้นใบออกใกล้โคนข้างละ 1 เส้น มีเสน้ ขอบในบาง
ยาว 0.3-1.5 ซม. ช่อดอกออกทปี่ ลายกิง่ ยาว 2-6 ซม. กา้ นชอ่ ยาว 1-3 ซม. 1 คู่ ไร้ก้าน ชอ่ ดอกออกที่ปลายก่ิง ยาว 4-8 ซม. กา้ นยาว 1.5-3 ซม. เป็นเหล่ยี ม
ดอกจ�ำนวนมาก ใบประดับและใบประดับย่อยรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ติดทน หรอื ปีกบาง ๆ ส่วนมากมดี อกหนาแน่น กา้ นดอกยาว 0.8-1 ซม. ฐานดอกรปู ระฆัง
ฐานดอกยาว 3-4 มม. กลีบเลี้ยงขอบสูง 1-1.5 มม. จักตน้ื ๆ ดอกสขี าว โคนมีสีแดง ยาว 5-6 มม. มรี ิว้ ต้ืน ๆ กลีบเลี้ยงจกั ต้ืน ๆ 4-5 กลบี ดอกสมี ่วงอมชมพู มี 4-5 กลบี
แตม้ กลีบดอกรูปขอบขนาน ยาว 5-7 มม. ปลายแหลม หนา เกสรเพศผู้ 8 อัน รูปไขก่ ลบั ยาวได้ถึง 1.2 ซม. เกสรเพศผู้ยาวเท่า ๆ กัน อับเรณยู าว 5-7 มม. ผลสแี ดง
ยาวเท่า ๆ กนั ยาว 5-6 มม. ปลายโค้ง โคนมีเดือยส้นั ๆ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว หรอื อมส้ม รูปคนโท เส้นผา่ นศนู ย์กลาง 5-6 มม.
กว่าเกสรเพศผู้เล็กนอ้ ย ผลเส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 5-7 มม. สุกสสี ้มหรอื แดง
พบทส่ี มุ าตรา ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ ตี่ ราด และภาคใต้ ขนึ้ ตาม
พบท่พี มา่ คาบสมทุ รมลายู สุมาตรา ชวา ซลู าเวสี และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบทาง ป่าดิบช้นื ความสงู 800-900 เมตร
ภาคใต้ ข้ึนตามปา่ ดบิ ช้ืน และป่าดบิ เขา ความสูงถงึ ประมาณ 1300 เมตร
เคลงใบเวยี น
เอกสารอ้างอิง
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomata- Medinilla radicans (Blume) Blume
ceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 462-468.
ช่อื พ้อง Melastoma radicans Blume
เคลงกนก: ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกแยกแขนง ออกตามปลายก่งิ กลีบดอกสชี มพูเปลย่ี นเปน็ สีขาว เกสรเพศผู้ 8 อัน
ยาวไม่เทา่ กนั ปลายมจี ะงอยยาว (ภาพ: เขานัน นครศรธี รรมราช - PI) ไมพ้ ุ่มอิงอาศัย สูง 1-2 ม. ใบเรยี งเวยี นรอบข้อ 4-5 ใบ รปู รี รปู ขอบขนาน
หรือแกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 7-16 ซม. เส้นใบออกใกล้โคนขา้ งละ 1 เสน้ ก้านใบยาว
เคลงกา้ นแดง: ใบเรียงตรงขา้ ม ขอ้ หนา ชอ่ ดอกออกทีป่ ลายกิ่ง กลีบดอกปลายแหลม สขี าว โคนมสี แี ดงแตม้ ผลสุก 1.5-3 ซม. ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ ซรี่ ม่ ออกตามซอกใบหรอื ขอ้ ในกง่ิ แก่ ยาวไมเ่ กนิ 3 ซม.
สแี ดง ปลายคอดเป็นวงกลีบเลย้ี ง (ภาพดอก: เบตง ยะลา, ภาพผล: นำ�้ ตกโตนไพร พงั งา; - RP) ก้านช่อยาว 0.5-1 ซม. มี 6-8 ดอกในแต่ละช่อ ก้านดอกสนั้ ฐานรองดอกรปู ระฆัง
ยาว 0.7-1 ซม. ขอบเกือบเรยี บ ดอกสีขาวหรอื อมชมพู มี 4 กลีบ รูปขอบขนาน ยาว
เคลงแดง, สกุล 0.8-1 ซม. เกสรเพศผวู้ งนอกยาวประมาณ 1.5 ซม. วงในยาว 7-9 มม. ผลสชี มพู
รปู คนโท เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 1 ซม. ขอบวงกลบี เล้ยี งยาว 4-5 มม.
Medinilla Gaudich.
วงศ์ Melastomataceae พบท่ีคาบสมุทรมลายู ชวา สุมาตรา และภาคใต้ของไทยที่เขาหลวง จังหวัด
นครศรีธรรมราช ขึน้ ตามคบไมใ้ นปา่ ดิบช้ืน ความสงู ประมาณ 500 เมตร
ไม้พมุ่ องิ อาศัย บางคร้ังขน้ึ ตามพื้นดนิ กิ่งสว่ นมากเปน็ เหล่ียม ตามขอ้ มกั มี
ขนแขง็ ใบเรียงตรงขา้ มหรอื เรียงเป็นวงรอบ 3-5 ใบ ใบที่เรียงตรงขา้ มบางครั้ง เคลงย้อย
ลดรูป แผ่นใบหนา ใบย่อยไม่ชัดเจน ขอบใบเรียบ ช่อดอกแบบแยกแขนงหรือ
คล้ายช่อซร่ี ่ม ออกตามซอกใบหรอื ปลายก่งิ บางครง้ั ลดรปู มดี อกเดยี ว ใบประดับ Medinilla alpestris (Jack) Blume
ขนาดเล็ก ร่วงเรว็ ฐานดอกรูประฆงั หรอื รปู ทรงกระบอก กลีบเล้ยี งรูปสามเหลยี่ ม
ขนาดเล็ก 4-6 กลบี หรือเกือบเรียบ กลบี ดอก 4-6 กลบี เกสรเพศผูจ้ �ำนวน 2 เท่า ช่อื พอ้ ง Melastoma alpestris Jack
ของกลบี ดอก เรยี ง 2 วง กา้ นชอู บั เรณสู น้ั อับเรณูรปู แถบ ปลายมีรูเปิด โคนมี
รยางค์หรอื ไมม่ ี ดา้ นหน้าแยกเป็น 2 พู ด้านหลงั มเี ดอื ยสน้ั ๆ รังไข่ 4-6 ชอ่ ง ไม้พ่มุ อิงอาศัย สงู 1-2 ม. ใบเรยี งตรงขา้ ม รูปรหี รือรูปไข่ ยาว 9.5-20 ซม.
มชี อ่ งพเิ ศษ (stamen pocket หรอื extaovarian chamber) ผลสดมหี ลายเมลด็ แผ่นใบหนา เสน้ ใบออกใกลโ้ คนขา้ งละ 1 เส้น มเี สน้ ขอบในบาง 1 คู่ ไร้ก้าน
หรือก้านใบยาวได้ถึง 1.5 ซม. ช่อดอกแบบกระจุกแยกแขนงออกตามซอกใบ
สกุล Medinilla มปี ระมาณ 150 ชนดิ พบในแอฟรกิ า เอเชีย และออสเตรเลยี หรือตามขอ้ ยาว 10-30 ซม. กา้ นช่อยาว 5-15 ซม. กา้ นดอกยาว 5-6 มม.
ในไทยมี 8-9 ชนดิ และเปน็ ไม้ประดับ 2-3 ชนดิ ช่อื สกุลตง้ั ตาม José de ฐานดอกรูประฆงั ยาว 5-6 มม. กลีบเลย้ี งจกั ตน้ื ๆ 5 กลีบ ดอกสีขาว มี 5 กลีบ
Medinilla y Pineda ชาวสเปน อดีตผ้ปู กครองหมเู่ กาะมาเรยี นา ในมหาสมุทร รูปไขก่ ลบั ยาว 8-9 มม. เกสรเพศผ้ยู าวเทา่ ๆ กัน อับเรณูยาวประมาณ 8 มม.
แปซฟิ กิ ในปี ค.ศ. 1820 กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวเทา่ ๆ เกสรเพศผู้ ผลสชี มพู กลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 7-8 มม.
พบที่คาบสมุทรมลายู ชวา สมุ าตรา และภาคใตข้ องไทยทีน่ ครศรธี รรมราช
สรุ าษฎรธ์ านี และกระบี่ ขน้ึ ตามคบไมใ้ นปา่ ดิบเขา ความสูง 1200-1700 เมตร
เคลงหิน
Medinilla rubicunda (Jack) Blume
ชือ่ พ้อง Melastoma rubicundum Jack, Medinilla emarginata Craib
ไม้พุ่มอิงอาศยั สูง 1-2 ม. เกลีย้ ง มักมีตุ่มกระจาย ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู รี
รปู ขอบขนาน หรือแกมรปู ไขก่ ลับ ยาว 7-13 ซม. โคนรปู ลิม่ เป็นครีบหรอื มตี งิ่
เสน้ โคนใบขา้ งละ 1 เส้น ไรก้ า้ นหรอื มีกา้ นยาวได้ถึง 4 มม. ช่อดอกออกสัน้ ๆ
ตามซอกใบ ยาว 1.5-2.5 ซม. ออกเดย่ี ว ๆ หรือเปน็ คู่ กา้ นดอกยาว 3-4 มม.
ฐานดอกรูประฆงั ยาว 3-4 มม. กลีบเลย้ี งจักตืน้ ดอกสขี าวหรอื ชมพู มี 4-5 กลีบ
รูปไขก่ ลับ ยาว 5-7 มม. เกสรเพศผ้ยู าวเท่า ๆ กนั อับเรณยู าวประมาณ 5 มม.
ผลกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 มม. สกุ สีแดง
พบท่ีอินเดีย จนี ตอนใต้ พมา่ และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบทางภาคเหนือ
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ขึน้ ตามคบไมห้ รือโขดหินในปา่ พรุ ปา่ ดิบชื้น
และปา่ ดิบเขา ความสูงถงึ ประมาณ 1400 เมตร
เอกสารอา้ งอิง
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomata-
ceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 434-438.
101
แคขาว สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
เคลงแดง: ใบเรียงตรงข้าม ไรก้ ้าน เสน้ ใบออกใกลโ้ คนข้างละ 1 เสน้ ชอ่ ดอกออกสั้น ๆ ทป่ี ลายกงิ่ ผลรูปคนโท แคคำ�
(ภาพ: เขาเหมน นครศรธี รรมราช - RP)
Radermachera eberhardtii Dop
เคลงใบเวยี น: ใบเรียงเวยี นรอบข้อ 4-5 ใบ ชอ่ ดอกคลา้ ยช่อซรี่ ม่ ออกสั้น ๆ ตามซอกใบหรือขอ้ ในกิง่ แก่ ผลสชี มพู วงศ์ Bignoniaceae
รูปคนโท (ภาพ: เขาหลวง นครศรีธรรมราช - SSi)
ชอ่ื พอ้ ง Radermachera microcalyx C. Y. Wu & W. C. Yin
เคลงยอ้ ย: ชอ่ กระจุกแยกแขนง ออกตามข้อในกิ่งแก่ ชอ่ และกา้ นชอ่ ยาว (ภาพซ้าย: เขานนั นครศรธี รรมราช - MT);
เคลงหนิ : ใบเรยี งตรงขา้ ม เส้นโคนใบขา้ งละ 1 เส้น ผลสีแดง ปลายตัด (ภาพขวา: ภูกระดงึ เลย - SSi) ไมต้ ้น สูง 7-15 ม. ใบประกอบชน้ั เดยี ว ยาว 25-30 ซม. ใบย่อยมี 2-3 คู่ รูปรี
หรือรูปไข่ ยาว 10-20 ซม. แผน่ ใบด้านลา่ งมตี ่อมกระจาย ก้านใบยาว 1-2 ซม.
แคขาว ใบปลายยาวไดถ้ ึง 6 ซม. ชอ่ ดอกออกตามปลายก่ิง ยาวได้ถึง 20 ซม. แยกแขนง
สั้น ๆ หลอดกลบี เลย้ี ง ยาว 6-8 มม. กลบี ยาวประมาณ 2 มม. ดอกรปู ระฆงั แคบ
Dolichandrone serrulata (Wall. ex DC.) Seem. สีเหลือง หลอดกลบี ดอกยาว 3-3.5 ซม. กลีบกลมหรือรปู ไข่ ยาว 0.6-1 ซม.
วงศ์ Bignoniaceae เกสรเพศผมู้ ตี อ่ มขนทจี่ ดุ ตดิ ไมย่ น่ื พน้ หลอดกลบี จานฐานดอกรปู วงแหวน ผลรปู แถบ
โค้งเล็กน้อย ตงั้ ขึน้ หรอื หอ้ ยลงเล็กน้อย ยาว 10-25 ซม. เมลด็ จ�ำนวนมาก รูปแถบ
ชอื่ พ้อง Bignonia serrulata Wall. ex DC. ยาว 0.8-1.5 ซม. รวมปีก (ดูขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ ท่ี กาซะลองค�ำ, สกุล)
ไม้ต้น สงู ได้ถงึ 20 ม. ใบประกอบยาว 12-35 ซม. มีใบยอ่ ย 3-5 คู่ รปู รหี รือ พบทจ่ี นี ตอนใต้ เวียดนาม ในไทยพบทางภาคเหนอื ท่นี ่าน เชยี งใหม่ ข้ึนตาม
รปู ไขก่ ลบั ยาว 5-14 ซม. ขอบใบจักหา่ ง ๆ โคนเบี้ยว กา้ นใบยาว 0.5-1.3 ซม. ไหล่เขาในปา่ ดิบแล้ง และป่าดิบเขา ความสงู 300-950 เมตร
ช่อดอกยาว 2-3 ซม. ก้านดอกยาว 1.8-4 ซม. กลบี เล้ยี งเป็นกาบ ยาว 4-5 ซม.
หลอดกลบี ดอกยาว 6-10 ซม. ปลายบานออกรูประฆัง ยาว 5-8 ซม. เกสรเพศผู้ แคชาญชยั
ยาว 3-5 ซม. เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั ยาวประมาณ 1 ซม. รงั ไขย่ าวประมาณ 1.5 ซม.
ก้านเกสรเพศเมียยาวไดถ้ งึ 12 ซม. ผลรูปแถบ บดิ งอ ยาวได้ถงึ 85 ซม. เมล็ด Radermachera glandulosa (Blume) Miq.
รปู สเ่ี หล่ยี ม ยาว 2.2-2.8 ซม. รวมปีกบางใส (ดขู ้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี แคทะเล, สกลุ )
ชอื่ พ้อง Spathodea glandulosa Blume
พบทพ่ี มา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้ ขน้ึ ตาม
ป่าเบญจพรรณ ชายท่งุ หรอื ท่งุ นา ความสงู ถงึ ประมาณ 300 เมตร ไม้ต้น สูงไดถ้ งึ 10 ม. ใบประกอบชัน้ เดยี ว มใี บย่อย 2-4 คู่ รูปรถี งึ รูปใบหอก
ยาว 9-30 ซม. แผ่นใบด้านล่างมีต่อมสีด�ำกระจายเป็นแนว ช่อดอกออกตาม
เอกสารอ้างอิง ปลายกิ่ง ยาว 12-30 ซม. แยกแขนงส้นั ๆ หลอดกลีบเลย้ี งปลายตดั ยาว 3-5 มม.
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 54. ตดิ ทน มตี อ่ มตามสนั ทโ่ี คนกลบี ดอกรปู ทรงกระบอก สขี าวอมชมพู หลอดกลบี ดอก
ยาว 2.5-3.5 ซม. โคนคอด กลีบรปู รกี วา้ ง กว้างประมาณ 8 มม. เกสรเพศผ้มู ีตอ่ มขน
ทจ่ี ดุ ตดิ ไมย่ น่ื พน้ หลอดกลบี จานฐานดอกรปู วงแหวน ฝกั ออกเปน็ กระจกุ รปู แถบ
ตรง หอ้ ยลง ยาว 18-30 ซม. เมลด็ รปู แถบ ยาวประมาณ 2 ซม. รวมปีก (ดูข้อมลู
เพ่มิ เติมท่ี กาซะลองค�ำ, สกุล)
พบที่อินเดยี จนี พม่า ลาว คาบสมุทรมลายู สมุ าตรา ชวา และฟิลปิ ปนิ ส์ ใน
ไทยพบทางภาคเหนือ และภาคใต้ ขึน้ ตามริมล�ำธารในป่าดิบแลง้ และป่าดบิ ชืน้
ความสงู ถึงประมาณ 900 เมตร
เอกสารอา้ งองิ
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 39.
Srisanga, P., C. Trisonthi and T. Santisuk. (2003). Radermachera eberhardtii
(Bignoniaceae), a new record for Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany)
31: 129-131.
Zhang, Z.Y. and T. Santisuk. (1998). Bignoniaceae (Radermachera microcalyx).
In Flora of China Vol. 18: 218-219.
แคค�ำ: ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสัน้ ๆ ดอกรูประฆงั แคบสีเหลอื ง ผลแหง้ แตก โค้งเล็กนอ้ ย (ภาพดอก:
สันกำ� แพง เชยี งใหม่, ภาพผล: ดอยอ่างขาง เชียงใหม;่ - RP)
แคขาว: ช่อดอกส้ัน กลบี เล้ยี งเป็นกาบ หลอดกลบี ดอกเรียวยาว ปลายบานออกรูประฆัง (ภาพ: cultivated - RP) แคชาญชัย: ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนงสนั้ ๆ หลอดกลบี เลย้ี งปลายตดั ติดทน ฝกั ออกเป็นกระจุก รปู แถบตรง
หอ้ ยลง (ภาพ: บางสะพาน ประจวบคีรขี นั ธ์ - RP)
102
สารานุกรมพชื ในประเทศไทย แคสันติสุข
แคทะเล, สกุล แคธารโบก
Dolichandrone (Fenzl) Seem. Radermachera peninsularis Steenis
วงศ์ Bignoniaceae วงศ์ Bignoniaceae
ไม้ต้น ใบประกอบปลายค่ี เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ไมม่ ีหูใบเทียม ใบย่อย ไม้ต้น สูง 7-20 ม. ใบประกอบ 3 ช้ัน ยาว 40-80 ซม. ใบยอ่ ยรูปขอบขนาน
เรยี งตรงขา้ ม โคนเบยี้ ว ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะออกสน้ั ๆ ตามปลายกงิ่ กลบี เลยี้ ง ถึงรูปใบหอก ยาว 5-7 ซม. ปลายแหลมยาวหรือยาวคล้ายหาง แผ่นใบมีจุด
เชอ่ื มตดิ กนั เปน็ หลอดคลา้ ยกาบ ปลายมจี ะงอย ดอกสขี าว โคนหลอดกลบี เรยี วแคบ โปร่งแสงกระจาย ด้านล่างมีต่อมใกล้ช่วงปลายใบ กลีบเลี้ยงรูปถ้วยหนา ยาว
ปลายบานออกรูประฆงั แยกเปน็ 5 กลบี ต้ืน ๆ แผน่ กลีบยน่ เกสรเพศผู้ 2 คู่ ยาว 1.5-2 ซม. ปลายแยก 3-5 แฉก ขนาดไมเ่ ทา่ กนั ดอกรูประฆงั สีขาวครีม ด้านใน
ไม่เทา่ กนั เกลยี้ ง ติดภายในหลอดกลบี ดอก ไมย่ ่ืนพน้ ปากหลอดกลบี เกสรเพศผู้ มีปืน้ เหลอื ง หลอดกลบี ดอกชว่ งโคนยาวประมาณ 1.5 ซม. ชว่ งปลายแผ่กวา้ ง
ทเี่ ป็นหมัน 1 อัน ลดรปู จานฐานดอกรูปเบาะ รังไข่รูปทรงกระบอกสนั้ มี 2 ชอ่ ง ยาว 3.5-4.5 ซม. กลีบรปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ 2 ซม. จุดตดิ เกสรเพศผเู้ กลย้ี ง
กา้ นเกสรเพศเมยี รปู เสน้ ดา้ ย เรยี วยาว ยอดเกสรเพศเมยี แยกเปน็ 2 แฉก ผลแหง้ แตก จานฐานดอกรปู วงแหวน ฝักรปู แถบบิดไปมา ยาว 50-65 ซม. เมล็ดรูปแถบ ยาว
เกล้ยี ง ผนงั กนั้ รูปกากบาท เมล็ดเป็นคอรก์ มีปีก ประมาณ 1.2 ซม. รวมปีกใส (ดขู อ้ มลู เพ่ิมเตมิ ท่ี กาซะลองค�ำ, สกลุ )
สกลุ Dolichandrone เคยอยู่ภายใตส้ กุล Dolichandra sect. Dolichandrone พบท่ีคาบสมุทรมลายู และภาคใต้ของไทยท่ีสุราษฎร์ธานี กระบ่ี และพังงา
มีประมาณ 10 ชนิด พบในแอฟรกิ า เอเชยี ใต้ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ และ ข้ึนตามริมลำ� ธารในปา่ ดบิ ชน้ื ความสูงถึงประมาณ 100 เมตร
ออสเตรเลีย ในไทยมี 3 ชนิด ชอื่ สกุลมาจากภาษากรกี “dolichos” ยาว และ
“andros” เกสรเพศผู้ ตามลกั ษณะของเกสรเพศผู้ เอกสารอ้างอิง
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 40.
แคทะเล
แคธารโบก: ใบประกอบแบบขนนก 3 ชน้ั กลบี เลี้ยงรูปถ้วยหนา ดอกรปู ระฆังสีขาวครีม ดา้ นในมปี นื้ เหลอื ง (ภาพ:
Dolichandrone spathacea (L. f.) K. Schum. เขาประบางคราม กระบ่ี - RP)
ชื่อพ้อง Bignonia spathacea L. f. แคสนั ตสิ ุข, สกุล
ไมต้ น้ สูงไดถ้ งึ 20 ม. ก่งิ อ่อนมักมีเมือกเหนยี ว ใบประกอบยาว 8-35 ซม. Santisukia Brummit
ใบยอ่ ยมี 2-4 คู่ รปู ไขถ่ งึ รูปใบหอก ยาว 7-16 ซม. ก้านใบย่อยยาว 0.4-1 ซม. วงศ์ Bignoniaceae
ช่อดอกยาว 2-4 ซม. มี 2-8 ดอก กา้ นดอกยาว 1.5-3.5 ซม. กลบี เลี้ยงยาว 3-9 ซม.
หลอดกลีบดอกส่วนโคนยาว 8-13 ซม. ส่วนบานออกยาว 3-5 ซม. เกสรเพศเมยี ไมต้ น้ ใบประกอบชน้ั เดยี ว เรยี งเวยี นหนาแนน่ ทป่ี ลายกง่ิ แผน่ ใบดา้ นลา่ งมตี อ่ ม
ย่ืนเลยพ้นปากหลอดกลีบเล็กน้อย ผลรูปแถบโค้งเล็กน้อย ยาว 30-60 ซม. ประปราย ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง กลีบเลี้ยงเช่ือมติดกันเป็นหลอด
ผนังก้ันแขง็ เมลด็ และปีกหนาเป็นคอร์ก ยาว 1.3-1.8 ซม. รวมปีก กลบี แฉกไม่เทา่ กนั ด้านนอกมีต่มุ ดอกรปู ลำ� โพงหรอื รูประฆงั มี 5 กลบี ขนาด
เทา่ ๆ กนั แผน่ กลบี ยน่ เกสรเพศผอู้ นั สนั้ 2 อนั อนั ยาว 2 อนั ไมย่ นื่ พน้ ปากหลอด
พบทอ่ี ินเดีย ศรลี ังกา พม่า เวียดนาม ภมู ิภาคมาเลเซยี และหมเู่ กาะแปซิฟกิ กลบี ดอก จดุ ตดิ มขี น ผลแหง้ แตกตามยาว รปู ขอบขนานสนั้ ๆ ผนงั กน้ั รปู กากบาท
ในไทยพบทางภาคกลาง และภาคใตแ้ ถบจงั หวดั ชายทะเล ขนึ้ ตามชายปา่ โกงกาง ผนังเทียมหนาเป็นคอรก์ เมล็ดบางคล้ายจาน มปี ีกบางรูปคร่ึงวงกลม
ดา้ นในหรอื รมิ แมน่ ้�ำทนี่ ำ้� ทะเลทว่ มถงึ เมลด็ บดมสี รรพคณุ ระงบั ประสาท จติ ผดิ ปกติ
ใบใช้ประคบแผลไฟไหม้ สกลุ Santisukia เปน็ พืชถ่นิ เดียวของไทย เดิมใชช้ ือ่ สกุล Barnettia แต่ไปซ�ำ้ กับ
ชือ่ สกุลพวกเห็ดรา R. K. Brummitt ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นการตง้ั ชื่อวิทยาศาสตร์ชาว
แคทุ่ง องั กฤษของสวนพฤกษศาสตร์ควิ จงึ เปล่ยี นช่ือสกุลใหมต่ ามชอ่ื ศ. ดร.ธวชั ชัย
สนั ตสิ ุข ผูศ้ กึ ษาพืชวงศ์แค Bignoniaceae ของไทย มีเพยี ง 2 ชนดิ
Dolichandrone columnaris Santisuk
ไมต้ น้ สงู ได้ถึง 30 ม. ใบประกอบยาว 10-24 ซม. ใบย่อยมี 2-4 คู่ รปู รหี รอื แคสันตสิ ุข
รูปไข่ ยาว 3-13 ซม. แผ่นใบดา้ นล่างมีตอ่ มประปราย ก้านใบยอ่ ยยาวได้ถงึ 2.2 ซม. Santisukia kerrii (Barnett & Sandwith) Brummitt
ช่อดอกมี 1-3 ดอก กา้ นดอกยาว 2-3.3 ซม. กลบี เล้ียงยาว 3.5-5 ซม. หลอดกลีบดอก
สว่ นโคน ยาว 10-17 ซม. ส่วนบานออกยาว 2-3.4 ซม. เกสรเพศผยู้ าว 1.5-2 ซม. ชอื่ พ้อง Radermachera kerrii Barnett & Sandwith, Barnettia kerrii (Barnett &
อนั ที่เป็นหมนั ยาวประมาณ 5 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาว 11-12 ซม. ผลรปู แถบ Sandwith) Santisuk
บิดงอ ยาว 25-60 ซม. ผนงั ก้นั หนาเป็นคอรก์ เมล็ดรปู สี่เหลย่ี ม บาง ยาว 2.5-3 ซม.
รวมปีก ไมต้ น้ สูงได้ถึง 15 ม. ล�ำต้นมกั แคระแกรน็ ใบประกอบมใี บย่อย 4-7 คู่ รูปไข่
รปู ขอบขนาน หรอื รปู ใบหอก ยาว 3.5-7.5 ซม. โคนเบย้ี ว ขอบจกั ฟันเล่ือยต้ืน ๆ หรือ
พบท่ีกมั พูชา เวียดนาม และคาบสมทุ รมลายตู อนบน ในไทยพบทางภาคใต้ เปน็ คล่ืนหา่ ง ๆ ก้านใบยาว 2-5 มม. ชอ่ ดอกยาว 16-28 ซม. หลอดกลบี เลีย้ งยาว
ขึ้นตามทุ่งหญา้ ทีช่ น้ื แฉะหรือท้องไรท่ อ้ งนา 1-1.5 ซม. มตี อ่ มประปราย ดอกรปู ระฆงั สขี าวอมชมพหู รอื สชี มพเู ขม้ ยาว 3-4 ซม.
โคนเป็นหลอดแคบส้นั ยาว 0.8-1.2 ซม. ปลายบานออกกวา้ ง ยาว 2.3-3.3 ซม.
เอกสารอ้างอิง ฝกั รปู ขอบขนาน ยาว 12-16 ซม. ผวิ มตี อ่ มประปราย ผนงั กน้ั กวา้ ง 2.8-3.8 ซม.
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 52-56. เมลด็ ยาวประมาณ 3 ซม. รวมปีก
van Steenis, C.G.G.J. (1977). Bignoniaceae. In Flora Malesiana Vol. 8: 141-144.
แคทะเล: หลอดกลบี ดอกช่วงโคนยาวประมาณ 2 เทา่ ของช่วงปลายที่บานออก (ภาพซ้าย: พงั งา - NP); แคทุ่ง:
หลอดกลบี สว่ นโคนเรยี วแคบ ยาวกวา่ ชว่ งปลายท่ีบานออกเกิน 2 เท่า (ภาพ: cultivated - RP)
103
แคแสด สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย
พชื ถนิ่ เดียวของไทย พบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคเหนอื ตอนลา่ งท่ีนครสวรรค์ ด้านนอกมตี อ่ มกระจาย เกสรเพศผู้ 2 คู่ ยาวไมเ่ ทา่ กนั ฝกั รูปแถบ ยาว 30-70 ซม.
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทขี่ อนแกน่ และภาคกลางทส่ี ระบรุ ี ขนึ้ บนเขาหนิ ปนู เตยี้ ๆ มขี นประปราย ขนปยุ หรอื มตี มุ่ กระจาย ผนงั กน้ั รปู กากบาท เมลด็ กวา้ งประมาณ
ความสูง 50-100 เมตร 1 ซม. ยาวประมาณ 3-5 ซม. รวมปีก
เอกสารอา้ งองิ พบทจี่ นี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบกระจายแทบทกุ ภาค จนถงึ
Brummitt, R.K. (1992). Santisukia, a new generic name in Bignoniaceae. Kew ภาคใตต้ อนบน ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ เบญจพรรณ ความสงู ถงึ ประมาณ 1000 เมตร
Bulletin 47: 436. บางครงั้ แยกเปน็ var. kerrii Sprague และ var. pierrei (Dop) Santisuk ตามสงิ่
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae (Barnettia). In Flora of Thailand Vol. 5(1): 57-60. ปกคลมุ บนกลบี เล้ยี ง ฝกั และสีกลีบดอก
สกุล Markhamia Seem. ex Baill. มปี ระมาณ 10 ชนดิ สว่ นมากพบในแอฟรกิ า
ในไทยมีชนิดเดยี ว ชอื่ สกุลตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวองั กฤษ Clements
Robert Markham (1830-1916)
เอกสารอ้างองิ
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 48-52.
Zhang, Z.Y. and T. Santisuk. (1998). Bignoniaceae. In Flora of China Vol. 18: 224.
แคสนั ติสุข: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง กลบี ดอกบานออกรปู ระฆงั กวา้ ง ฝกั รปู ขอบขนานส้ัน ๆ มตี ่อม แคหัวหมู: ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ กระจะ กลีบเล้ยี งเป็นกาบ ต้นดอกสหี ลืองครมี ฝักมีขนปุย ต้นดอกสนี ำ้� ตาลแดง ฝักมี
ประปราย (ภาพ: ถำ�้ เพชรถำ�้ ทอง นครสวรรค์ - RP) ปุ่มหนาแนน่ (var. pierrei) (ภาพบน: มวกเหล็ก สระบรุ ี, ภาพลา่ ง: เขาพระวิหาร ศรีสะเกษ; - RP)
แคแสด โคกกระออม
Spathodea campanulata P. Beauv. Cardiospermum halicacabum L.
วงศ์ Bignoniaceae วงศ์ Sapindaceae
ไม้ตน้ สงู 10-25 ม. มหี ใู บเทยี ม ใบประกอบชน้ั เดียว เรยี งตรงขา้ มสลบั ตั้งฉาก ไม้เถาล้มลุก แยกเพศร่วมต้น ใบประกอบมี 3 ใบยอ่ ย 2 ชัน้ เรยี งเวียน ยาว
ยาว 30-40 ซม. มีใบย่อย 4-8 คู่ รปู รถี ึงรปู ขอบขนาน ยาว 5-15 ซม. โคนเบย้ี ว ไดถ้ งึ 20 ซม. กา้ นยาวไดถ้ ึง 5 ซม. ใบประกอบย่อยยาว 5-6 ซม. ก้านยาว 1-2 ซม.
มกั มตี อ่ ม 1 คู่ ก้านใบยอ่ ยสนั้ มากเกือบไรก้ ้าน ช่อดอกคลา้ ยช่อกระจุกแยกแขนง ใบย่อยรูปไข่ จักเปน็ พู ยาว 3-4 ซม. กา้ นยาวประมาณ 5 มม. ชอ่ ดอกคล้ายช่อ
ออกท่ปี ลายกง่ิ ดอกสีส้ม กา้ นดอกสัน้ กลีบเล้ียงเปน็ กาบ ยาว 4-6 ซม. เปน็ สัน กระจกุ แยกแขนง ออกตามซอกใบ ยาว 5-14 ซม. ชอ่ ยอ่ ยลดรปู เปน็ มอื เกาะ กา้ นดอก
ปลายมีจะงอย มขี นละเอียด ดอกรูประฆงั กว้าง หลอดกลบี ดอกยาว 8-12 ซม. ยาวประมาณ 3 มม. กลีบเลยี้ ง 4 กลบี ติดทน คนู่ อกยาว 1-1.5 มม. คใู่ นยาวกวา่
ปลายแยกเป็น 5 กลบี ต้ืน ๆ ยาวประมาณ 1.5 ซม. ขอบกลบี เปน็ คลนื่ เกสรเพศผู้ เล็กน้อย ดอกสขี าวสมมาตรด้านขา้ ง กลบี ดอก 4 กลีบ รปู ไขก่ ลบั กวา้ ง ยาว 2-3 มม.
4 อนั รังไขม่ ี 2 ชอ่ ง ยอดเกสรเพศเมยี จัก 2 พู ผลแห้งแตก รปู ขอบขนาน ยาว 2 กลบี มเี กลด็ ขนขนาดใหญด่ า้ นใน ปลายเปน็ สนั นนู สเี หลอื ง จานฐานดอกคลา้ ย
10-25 ซม. ปลายแหลม ผวิ มีสัน แตกออกดา้ นเดียวรูปเรอื เมล็ดจำ� นวนมาก มี ต่อม 2 ตอ่ ม ติดตรงข้ามรังไข่ เกสรเพศผู้ 8 อัน กา้ นชูอบั เรณสู ้ัน มขี น อบั เรณู
ปกี บางลอ้ มรอบ สีเหลอื ง รังไขม่ ี 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวลุ เมด็ เดยี ว ก้านเกสรเพศเมยี ส้ัน ยอดเกสรจัก
3 พู ผลแหง้ แตก มี 3 พู ผนงั บาง เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 1.5-3 ซม. มขี นสัน้ นมุ่ เมล็ดกลม
มถี น่ิ กำ� เนดิ ในแอฟรกิ าเขตรอ้ น เปน็ ไมป้ ระดบั ทวั่ ไปในเขตรอ้ น กง่ิ ใบ และดอก สีด�ำ เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 4-5 มม. ข้ัวเมลด็ สีขาว
ใชถ้ อนพิษ ขบั ลม แก้ไข้
มีถิน่ กำ� เนดิ ในอเมริกาเขตรอ้ น เป็นวชั พชื ความสงู ถึงประมาณ 1500 เมตร
สกลุ Spathodea P. Beauv. มชี นดิ เดยี ว ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “spathe” กาบ รากมีสรรพคุณขบั ปสั สาวะ ลดไข้ และเป็นยาระบาย
หมายถึงกลีบเลี้ยงคลา้ ยกาบ
สกุล Cardiospermum L. มี 12 ชนิด สว่ นใหญ่พบในอเมรกิ า ชอ่ื สกลุ มาจากภาษา
เอกสารอ้างองิ กรีก “cardio” กับ “spermus” หมายถงึ เมลด็ รปู หัวใจ ส่วนคำ�ระบุชนดิ เป็นภาษา
Santisuk, T. (1987). Bignoniaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(1): 64. กรีกโบราณ “halikakabon” ท่ใี ช้เรยี กพืชสกุลโทงเทง Physalis ทผ่ี ลคล้ายกัน
แคแสด: ชอ่ ดอกคล้ายชอ่ กระจุกแยกแขนง ออกท่ปี ลายกง่ิ กา้ นดอกสน้ั กลบี เลย้ี งเปน็ กาบ เป็นสนั ปลายมจี ะงอย เอกสารอ้างองิ
กลีบดอกรูประฆังกวา้ ง ขอบกลบี เป็นคลนื่ (ภาพ: cultivated - SSi) van Welzen, P.C. (1999). Sapindaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 189-191.
Xia, N. and P.A. Gadek. (2007) Sapindaceae. In Flora of China Vol. 12: 24.
แคหัวหมู
Markhamia stipulata (Wall.) Seem. ex K. Schum.
วงศ์ Bignoniaceae
ชอ่ื พอ้ ง Spathodea stipulata Wall.
ไมต้ น้ สงู 5-15 ม. มหี ใู บเทยี ม ใบประกอบชน้ั เดยี ว เรยี งตรงขา้ มสลบั ตงั้ ฉาก
ยาวได้ถงึ 55 ซม. ใบยอ่ ยมี 4-8 คู่ รปู รถี ึงรปู ใบหอก ยาว 8-25 ซม. ก้านใบสนั้
ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนงส้ัน ๆ คล้ายช่อกระจะ ออกท่ีปลายกิ่ง ยาว
15-35 ซม. มีได้ถงึ 10 ดอก กา้ นดอกยาว 2-6 ซม. กลบี เล้ียงเปน็ กาบคล้ายเรือ
ยาว 3.3-5.5 ซม. มขี นปยุ ดอกรปู แตร สเี หลอื งครมี หรอื อมแดง ยาวไดถ้ งึ 4.5 ซม.
โคนหลอดกลบี รปู ทรงกระบอก ยาว 2-2.6 ซม. กลีบรูปรีกวา้ ง ยาวได้ถงึ 4.5 ซม.
104
สารานุกรมพืชในประเทศไทย โคลงเคลงตวั ผู้
โคกกระออม: ชอ่ ดอกย่อยลดรูปเป็นมอื เกาะ ดอกสมมาตรด้านข้าง กลบี ดอกมเี กล็ดขนาดใหญด่ า้ นใน ปลายเป็น โคลงเคลงขนต่อม
สันนูนสีเหลือง ผลมี 3 พู ผนงั บาง (ภาพ: อยุธยา - RP)
Clidemia hirta (L.) D. Don
โคลงเคลง, สกุล วงศ์ Melastomataceae
Melastoma L. ชื่อพ้อง Melastoma hirtum L.
วงศ์ Melastomataceae
ไมพ้ มุ่ หรอื กงึ่ เลอื้ ย สงู 1-2 ม. มขี นหยาบแขง็ เปน็ ตอ่ มตามสว่ นตา่ ง ๆ ใบเรยี ง
ไมพ้ ่มุ ใบเรียงตรงขา้ ม ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ หรือช่อแยกแขนง กลีบเลีย้ ง ตรงข้าม รปู ไข่ ยาว 5-15 ซม. โคนกลมหรอื เว้าตนื้ ขอบใบจักฟนั เล่อื ย เส้นใบ
และกลีบดอกส่วนมากจ�ำนวนอย่างละ 5 กลีบ ดอกส่วนมากสีชมพูหรืออมม่วง ออกจากโคนขา้ งละ 2 เส้น เสน้ ใบยอ่ ยแบบข้นั บันได ก้านใบยาวได้ถึง 3 ซม.
ฐานดอกรปู ถว้ ย มเี กลด็ ขนแขง็ หรอื ขนกระจกุ เกสรเพศผจู้ �ำนวน 2 เทา่ ของกลบี ดอก ชอ่ ดอกแบบกระจกุ สนั้ ๆ ออกตามซอกใบ มไี ดถ้ งึ 15 ดอก ฐานดอกสน้ั กลบี เลย้ี ง
เรยี ง 2 วง มี 2 แบบหรือแบบเดียว แกนอบั เรณูยนื่ ยาว อันทีต่ ิดเหนอื กลีบเลีย้ ง 5 กลบี รูปเสน้ ดา้ ย ยาวเทา่ ๆ ฐานดอก ดอกสขี าว มี 5 กลีบ รูปไข่ ยาว 0.8-1 ซม.
ยาวกว่าอนั ที่ติดเหนอื กลบี ดอก ปลายโคง้ ส่วนมากมรี ยางค์ 2 อนั หรือจัก 2 พู เกสรเพศผู้ 10 อนั เรยี งเปน็ 2 วง อบั เรณูยาวประมาณ 5 มม. มรี ูเปดิ ท่ปี ลาย
อับเรณมู รี ูเปดิ ท่ีปลาย รังไข่ใตว้ งกลบี แนบติดฐานดอกรูปถว้ ย มี 5 ช่อง เกสรเพศเมีย แกนอบั เรณูมีรยางค์เปน็ เดอื ยเล็ก ๆ ดา้ นขา้ ง รงั ไขม่ ี 5 ชอ่ ง ผลสดมีหลายเมล็ด
ยาวเท่า ๆ เกสรเพศผอู้ ันยาว ยอดเกสรขนาดเลก็ ผลแห้งแตกออกเป็นส่วน ๆ เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-7 มม. สกุ สนี ำ�้ เงนิ
หรือแห้งไมแ่ ตก เมล็ดขนาดเลก็ จำ� นวนมาก ฝงั ตามเนือ้ ผล
มีถิน่ ก�ำเนดิ ในอเมริกาใต้ แถบประเทศเมก็ ซโิ กถึงโบลิเวีย เป็นวัชพืชทว่ั ไปใน
สกลุ Melastoma มี 22 ชนดิ พบในเอเชีย ในไทยมี 8 ชนิด ช่ือสกลุ มาจาก เขตรอ้ น ในไทยพบทางภาคใต้ ขึน้ ตามชายปา่ ดบิ ช้ืนท่เี ปดิ โลง่ และสวนยาง ใบขยี้
ภาษากรีก “melas” สีด�ำ และ “stoma” ปาก หมายถึงผลของพชื สกุลน้บี างชนดิ ใชพ้ อกแผลสดเพื่อห้ามเลือด
ทำ�ใหป้ ากด�ำ เมือ่ กนิ เขา้ ไป
สกลุ Clidemia D. Don พบเฉพาะในอเมริกาใตเ้ ขตร้อน มีประมาณ 120 ชนดิ
โคลงเคลง ในไทยขึน้ เป็นวัชพืช ชอื่ สกลุ ตงั้ ตามนักพฤกษศาสตร์กรกี โบราณ Cleidemus
เอกสารอ้างองิ
Melastoma malabathricum L. Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae.
ไมพ้ ุม่ อาจสูงได้ถงึ 6 ม. กิ่งเป็นเหลี่ยม มีเกลด็ คลา้ ยขนแบนราบหนาแน่น
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 417-419.
ตามก่งิ ใบประดบั และฐานดอกรูปถ้วย ใบรูปใบหอก ยาว 4-14 ซม. เส้นโคนใบ
ขา้ งละ 1-2 เสน้ แผน่ ใบมขี นแขง็ เอนหนาแนน่ ทางดา้ นลา่ ง กา้ นใบยาว 0.5-2 ซม. โคลงเคลงขนต่อม: สว่ นต่าง ๆ มีขนตอ่ มทว่ั ไป เส้นโคนใบข้างละ 2 เสน้ เสน้ ใบย่อยแบบขัน้ บนั ได กลีบดอกรูปไข่
ช่อดอกมี 3-7 ดอก ออกทป่ี ลายกง่ิ ใหม่ ๆ ใบประดบั ยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ฐานดอกยาว เกสรเพศผู้ 10 อัน ผลสุกสนี ำ�้ เงนิ (ภาพดอก: เขานำ�้ คา้ ง สงขลา - PK; ภาพผลแก่: น�้ำตกโตนเพชร พังงา - RP)
0.5-1 ซม. กลบี เล้ียงรปู ใบหอก ยาว 0.5-1.3 ซม. ปลายเรยี วแหลม กลีบดอก
รูปไขก่ ลับ ยาว 2.5-4 ซม. อบั เรณวู งนอกยาว 0.7-1.4 ซม. รยางค์ยาว 0.4-1 ซม. โคลงเคลงตวั ผู้
วงในอบั เรณแู ละรยางคส์ นั้ กวา่ รงั ไขป่ ลายมขี นแขง็ ผลรปู คนโท ยาวไดถ้ งึ 1.5 ซม.
แตกอ้าเปิดออก ผลแกเ่ น้ือในสมี ว่ ง Osbeckia cochinchinensis Cogn.
วงศ์ Melastomataceae
พบทอี่ นิ เดยี เนปาล จนี ตอนใต้ ไตห้ วนั ญป่ี นุ่ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี
ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค ขนึ้ ตามชาย ความสงู ถงึ ประมาณ ไม้ลม้ ลกุ สงู ไดถ้ งึ 30 ซม. กิ่งเป็นเหล่ยี ม แผ่นใบ ฐานดอก และผลมีขนยาว
2000 เมตร มคี วามผนั แปรสงู แยกเปน็ subsp. normale (D. Don) Karst. Mey. หนาแนน่ ใบรปู รถี งึ รปู ใบหอก ยาว 1-2 ซม. กา้ นสนั้ มากหรอื เกอื บไรก้ า้ น โคนกลม
กิ่งและแผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นยาว พบทีอ่ นิ เดีย เนปาล จีนตอนใต้ พม่า เวยี ดนาม เสน้ โคนใบขา้ งละ 1-3 เสน้ ดอกออกเปน็ กระจกุ หรอื ออกเดยี่ วตามซอกใบทป่ี ลายกง่ิ
ภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทย ใบใช้ประคบแผลไฟไหม้ ฐานดอกยาว 3-4 มม. กลีบเลยี้ ง 4 กลบี ยาวประมาณ 1 มม. กลีบดอก 4 กลบี
รูปไขก่ ลับ ยาวประมาณ 6 มม. เกสรเพศผู้ 8 อนั ยาวเท่าๆ กนั อับเรณเู รยี วยาว
เอกสารอา้ งอิง ประมาณ 2 มม. ไม่มีจะงอย รงั ไข่ปลายมีขนประปราย ก้านเกสรเพศเมียยาว 3-5 มม.
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae. ผลรปู ระฆงั ยาว 4-5 มม. (ดูข้อมลู เพ่มิ เติมที่ เอนอา้ , สกลุ )
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 438-448.
พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคเหนอื ขนึ้ ตามทโ่ี ลง่
หรือท่งุ หญา้ ทีช่ น้ื แฉะ ความสงู ถึงประมาณ 500 เมตร
เอกสารอ้างองิ
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae.
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 452.
โคลงเคลง: เกสรเพศผมู้ ี 2 ขนาด ผลรปู คนโท แตกอา้ เปดิ ออก เมล็ดขนาดเล็กฝงั ตามเนื้อผล กิ่งและแผน่ ใบด้านล่าง โคลงเคลงตวั ผู้: กิ่งเป็นเหลี่ยม ดอกออกตามซอกใบทีป่ ลายก่ิง กลบี ดอก 4 กลีบ แผน่ ใบ ฐานดอก และผลมขี น
มีขนยาว (subsp. normale) (ภาพซา้ ย: นำ�้ ตกโตนเพชร พงั งา, ภาพขวา: เชยี งใหม่; - RP) ยาวหนาแนน่ (ภาพซา้ ย: ภพู าน สกลนคร - PI; ภาพขวา: ชุมพร - RP)
105
โคลงเคลงผลแห้ง สารานุกรมพืชในประเทศไทย
โคลงเคลงผลแห้ง โคลงเคลงแอฟริกา
Melastoma pellegrinianum (H. Boissieu) Karst. Mey. Dissotis rotundifolia (Sm.) Triana
วงศ์ Melastomataceae วงศ์ Melastomataceae
ช่ือพอ้ ง Dissotis pellegriniana H. Boissieu ช่ือพอ้ ง Osbeckia rotundifolia Sm.
ไม้พมุ่ สงู 1-2.5 ม. มีขนแข็งเอนตามกิ่ง แผน่ ใบทง้ั สองดา้ น และฐานดอก ไมล้ ม้ ลกุ ทอดเลอื้ ยชยู อดตามพนื้ มรี ากตามขอ้ มขี นตามกงิ่ ออ่ นและแผน่ ใบ
ใบรูปใบหอก ยาว 8-12 ซม. เสน้ โคนใบข้างละ 2-3 เส้น กา้ นใบยาวประมาณ 1 ซม. ใบเรยี งตรงข้าม รปู ไข่ ยาว 1-7 ซม. ขอบจกั ฟนั เล่ือยต้ืน ๆ มขี นแหลม เส้นโคนใบ
ชอ่ ดอกแยกแขนง ออกตามปลายกิง่ ดอกจำ� นวนมาก ใบประดับยาวประมาณ ข้างละ 1 เสน้ กา้ นใบยาว 1-2 ซม. ชอ่ ดอกมี 1-2 ดอก กา้ นดอกส้นั ฐานดอกและ
8 มม. ดา้ นนอกมีขนยาว ฐานดอกยาว 5-7 มม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปใบหอก ยาว กลบี เลย้ี งรปู ถว้ ยมขี นรปู ดาวมกี า้ นหนาแนน่ กลบี เลยี้ ง 5-6 กลบี รปู สามเหลย่ี ม
5-7 มม. กลบี ดอก 5 กลบี รปู ไขก่ ลับ ยาว 1-1.5 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อัน ยาวไม่ ยาว 0.5-1 ซม. พบั งอกลบั มสี นั กลางกลบี ดอกสชี มพอู มมว่ ง มี 5-6 กลบี รปู รกี วา้ ง
เทา่ กนั แกนอับเรณวู งนอกยาวประมาณ 9 มม. รยางค์ยาว 0.8-1 ซม. วงในส้นั กวา่ โคนเรยี วแคบ ยาว 2-2.8 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อัน อนั ยาว 5 อัน โค้งคลา้ ยตะขอ
วงนอก รงั ไขป่ ลายมขี นแขง็ ผลแหง้ แตกดา้ นบน รปู รกี วา้ ง ยาว 0.6-1 ซม. (ดขู อ้ มลู อบั เรณูสมี ่วงหรือชมพู อันส้ัน 5 อัน อบั เรณตู รงสเี หลอื ง รยางค์ท่โี คนจัก 2 พู
เพ่ิมเติมที่ โคลงเคลง, สกุล) รังไขม่ ี 5 ช่อง กา้ นเกสรเพศเมียยาวเท่า ๆ เกสรเพศผอู้ นั ยาว โคนมขี นยาว ผลแหง้ แตก
รูปรีกวา้ ง ยาว 0.6-1 ซม. เมล็ดจ�ำนวนมาก ขนาดเลก็ มีริว้ และรพู รุน
พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคกลาง ภาคตะวนั ออก
และภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ข้นึ ตามชายป่าดบิ แลง้ ทโ่ี ล่งบนลานหนิ ความสงู ถงึ มถี น่ิ กำ� เนดิ ในแอฟรกิ า เปน็ ไมป้ ระดบั เมลด็ ไมพ่ ฒั นา ขยายพนั ธโ์ุ ดยการปกั ชำ�
ประมาณ 600 เมตร
สกลุ Dissotis Benth. มมี ากกว่า 100 ชนดิ พบเฉพาะในแอฟริกา ชอื่ สกุลมาจาก
โคลงเคลงยวน ภาษากรกี “dissos” 2 แบบ ตามลักษณะของเกสรเพศผู้
เอกสารอ้างอิง
Melastoma saigonense (Kuntze) Merr. Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum
ช่ือพ้อง Osbeckia saigonensis Kuntze Press, Honolulu, Hawai`i.
ไมพ้ ุม่ สงู ไดป้ ระมาณ 3 ม. กงิ่ มีขนแข็งสีน้�ำตาลแดง ขนยาวตามแผ่นใบ โคลงเคลงแอฟรกิ า: ไม้ลม้ ลุกทอดชูยอด ฐานดอกมขี นรูปดาวมีกา้ น กลีบเล้ียงพบั งอกลบั (ภาพ: cultivated - RP)
ทง้ั สองดา้ นและใบประดบั ขนแขง็ รปู ดาวเปน็ ตง่ิ หนาแนน่ ตามฐานดอก และผล
ใบรปู ขอบขนาน ยาว 3-9 ซม. เส้นโคนใบข้างละ 1-2 เสน้ ก้านใบยาวไดถ้ งึ 2 ซม. ไคร้งอย
ชอ่ ดอกออกตามซอกใบทปี่ ลายกง่ิ มี 3-5 ดอก ใบประดบั ยาวประมาณ 5 มม. ฐานดอก
ยาว 1-1.3 ซม. กลบี เลย้ี ง 4-5 กลบี รปู สามเหลย่ี มแคบ ยาวประมาณ 7 มม. กลีบดอก Itea riparia Collett & Hemsl.
4-5 กลบี รูปไข่กลบั ยาว 1.5-2 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อัน ยาวไม่เท่ากนั อับเรณู วงศ์ Iteaceae
ยาวประมาณ 1 ซม. แกนอบั เรณูยาวเท่า ๆ อับเรณู วงในแกนอบั เรณไู ม่ย่ืนยาว
รงั ไข่ปลายมีขนแขง็ ผลยาว 1.2-1.4 ซม. (ดูขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ ท่ี โคลงเคลง, สกลุ ) ไมพ้ มุ่ สูงไดถ้ งึ 2 ม. หใู บคล้ายขนครยุ ใบเรียงเวียน รูปรหี รอื รูปไข่กลบั ยาว
5-13 ซม. ขอบจกั ฟันเลอ่ื ย ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตามปลายกิง่ ยาว 4-8 ซม.
พบที่พม่าและภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทางภาคกลาง ภาคตะวันออก มีขนกำ� มะหยห่ี นาแนน่ ใบประดบั ยาวประมาณ 3 มม. ร่วงเร็ว แตล่ ะใบประดบั
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ขน้ึ ตามชายปา่ ดบิ แลง้ ทโี่ ลง่ มี 1-3 ดอก ใบประดบั ยอ่ ยขนาดเล็ก กา้ นดอกยาว 3-5 มม. ขยายในผล ฐานดอก
บนลานหินทราย ความสูงถึงประมาณ 200 เมตร ยาวประมาณ 1.5 มม. กลบี เลี้ยงมี 5 กลีบ เชือ่ มตดิ โคนรังไข่ รูปสามเหล่ียม
ยาวประมาณ 2 มม. ติดทน ดอกสขี าว กลีบรูปไขแ่ คบ ๆ ยาว 4-5 ซม. จานฐานดอก
เอกสารอา้ งอิง รปู วงแหวน เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ใตข้ อบจานฐานดอก กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ
Renner, S.S., G. Clausing, N. Cellinese and K. Meyer. (2001). Melastomataceae. 3 มม. มี 2 คารเ์ พล ตดิ กันทโี่ คน ยอดเกสรเพศเมยี เชอื่ มกนั ตดิ ทน ผลแห้งแตก
In Flora of Thailand Vol. 7(3): 444-446. แยกเป็น 2 ซีก ยาว 5-6 มม. เมล็ดจ�ำนวนมาก ขนาดเลก็
โคลงเคลงผลแห้ง: ช่อดอกแยกแขนง ออกตามปลายกิง่ เกสรเพศผ้ยู าวไม่เท่ากัน (ภาพ: เขาใหญ่ นครนายก - RP) พบทจี่ นี ตอนใต้ พมา่ และภูมภิ าคอนิ โดจีน ในไทยพบแทบทกุ ภาค ยกเว้น
ภาคใต้ ขึ้นตามริมล�ำธารในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ความสูง
200-1400 เมตร เป็นไม้ทนนำ้� ทว่ ม
สกุล Itea L. เคยอยูภ่ ายใตว้ งศ์ Escalloniaceae, Grossulariaceae หรือ Saxi-
fragaceae มปี ระมาณ 18 ชนิด ในไทยมี 2 ชนิด อกี ชนิดคือ I. macrophylla
Wall. ไมใ่ ช่พชื ทนน้�ำ ทว่ ม ใบขนาดใหญ่กว่า และช่อดอกออกตามซอกใบ ในไทย
พบทเ่ี ชียงใหม่ ชื่อสกุลเปน็ ภาษากรกี หมายถึงพชื พวกหลิว
เอกสารอ้างองิ
Esser, H.-J. (2005). Iteaceae. In Flora of Thailand Vol. 9(1): 36-38.
โคลงเคลงยวน: ก่ิงมีขนแขง็ สนี ำ้� ตาลแดง ขนยาวตามแผน่ ใบท้ังสองดา้ นและใบประดับ ขนแข็งรปู ดาวเปน็ ต่งิ หนาแนน่ ไครง้ อย: ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ ผลแห้งแตก แยกเป็น 2 ซีก (ภาพ: น้�ำตกพาเจรญิ ตาก; ภาพดอก - RP, ภาพผล - PK)
ตามฐานดอก และผล เกสรเพศผยู้ าวไมเ่ ทา่ กัน (ภาพ: อบุ ลราชธานี - PK)
106
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย ไคร้หางนาค
ไคร้นำ้� ไคร้ยอ้ ย
Homonoia riparia Lour. Elaeocarpus grandiflorus Sm.
วงศ์ Euphorbiaceae ไมต้ ้น สูงไดถ้ ึง 30 ม. ใบรูปไข่กลับหรอื รูปใบหอก ยาว 7-19 ซม. แผน่ ใบ
ไม้พมุ่ แตกกงิ่ หนาแน่น สงู ได้ถงึ 7 ม. แยกเพศต่างต้น หใู บ 2 อนั เรียวแคบ ยาว ด้านลา่ งมขี นหรอื เกล้ยี ง ก้านใบยาว 0.5-4 ซม. ชอ่ ดอกห้อยลง ยาว 6-10 ซม.
5-8 มม. ร่วงเร็ว ใบเรยี งเวียน รปู ใบหอกหรือรูปแถบ ยาว 3.5-20 ซม. ขอบเรียบ ใบประดบั คลา้ ยใบ กา้ นดอกยาวไดถ้ งึ 3 ซม. ขยายในผล กลบี เลยี้ งรปู ใบหอก ยาว
หรือจักฟันเล่ือย ขอบจักมีต่อมด้านล่าง แผ่นใบด้านล่างมีนวลและปุ่มเล็ก ๆ 1-1.5 ซม. กลีบดอกรปู ไข่ ยาวประมาณ 1.5 ซม. มขี นกระจายท้งั สองด้าน มรี วิ้ ขน
กระจาย กา้ นใบยาว 0.4-1.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อเชงิ ลด ออกเด่ยี ว ๆ ตามซอกใบ ทโี่ คนกลีบด้านใน 2 แถบ ยาวประมาณ 6 มม. ชายครุยยาวประมาณ 3 มม.
ยาว 7-10 ซม. ดอกไรก้ า้ น ไมม่ กี ลีบดอก ดอกเพศผู้ กลีบเล้ียง 3 กลบี รูปไข่ ยาว เกสรเพศผู้ยาวประมาณ 1 ซม. แกนอับเรณปู ลายเปน็ รยางค์แขง็ จานฐานดอก
3-4 มม. เกสรเพศผเู้ ชอื่ มตดิ กัน 3-6 มม. แยกแขนง 2 ทาง สน้ั ๆ อับเรณูจ�ำนวนมาก จกั ตื้น ๆ 10 พู รังไข่มีขนสัน้ น่มุ ผลรูปรี ยาว 3-4 ซม. ปลายและโคนแหลม
ไมม่ เี กสรเพศเมยี ทเ่ี ปน็ หมัน ดอกเพศเมีย กลบี เลีย้ ง 5-6 กลบี เรยี งซ้อนเหล่อื ม
รปู ไขห่ รอื รปู ขอบขนาน ยาว 1-2 มม. รงั ไขม่ ขี นละเอยี ด กา้ นเกสรเพศเมยี สน้ั มาก พบที่อนิ เดีย พม่า ภมู ภิ าคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู และสมุ าตรา ในไทยพบ
ยอดเกสรแยก 3 แฉก ยาวไดถ้ งึ 4 มม. ตดิ ทน ผลแยกแลว้ แตก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ทกุ ภาค ขนึ้ ตามรมิ น้�ำในปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู ถงึ ประมาณ 800 เมตร เปน็
3-4 ซม. มขี นสนั้ นมุ่ เมลด็ ยาวประมาณ 2 มม. มีเยื่อหุ้มสแี ดง ไมป้ ระดบั ส่วนตา่ ง ๆ มพี ิษ น�้ำสกดั จากผลและเมลด็ เปน็ ยาขบั ปัสสาวะ
พบทอ่ี นิ เดยี จนี พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี นวิ กนิ ี ในไทยพบทกุ ภาค เอกสารอา้ งองิ
ขน้ึ ตามโขดหนิ รมิ แมน่ ำ�้ หรอื ชายฝง่ั ทะเลทนี่ ำ้� ทว่ มถงึ เปน็ พชื ทนนำ้� ทว่ ม เปลอื กเหนยี ว Phengklai, C. (1981). Elaeocarpaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 427-430.
ใชแ้ ทนเชอื กได้ ใบ กง่ิ และผล แกโ้ รคผวิ หนงั ผดผน่ื คนั ในเวยี ดนามใบใชเ้ ลย้ี งสตั ว์
ไคร้ย้อย: ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ ห้อยลง ใบประดับคล้ายใบ ขอบกลบี ดอกจักชายครุย ปลายแกนอบั เรณูเป็น
สกุล Homonoia Lour. อยูภ่ ายใต้วงศ์ยอ่ ย Acalyphoideae มี 3 ชนิด อีก 2 ชนดิ รยางคแ์ ข็ง ผลปลายและโคนแหลม (ภาพ: เบตง ยะลา; ภาพดอก - RP, ภาพผล: - MP)
พบเฉพาะท่ีอินเดีย ชือ่ สกุลมาจากภาษากรีก “homos” คลอ้ งจองกัน เป็นหน่ึง
เดยี วกนั และ “nous” จติ ใจ หมายถึงลักษณะเกสรเพศผจู้ ำ�นวนมากทเี่ รียงแยก ไคร้หางนาค
แขนงไปมาสอดคลอ้ งกนั
เอกสารอ้างองิ Rotula aquatica Lour.
Qiu, H. and M.G. Gilbert. (2008). Euphorbiaceae (Homonoia). In Flora of China วงศ์ Boraginaceae
Vol. 11: 247-248. ไม้พุ่ม สงู ไดถ้ ึง 2 ม. กิ่งมีรวิ้ ใบเรียงเวยี นชิดกนั ที่ปลายกิ่ง เรียงหา่ ง ๆ ช่วง
van Welzen, P.C. (2007). Euphorbiaceae (Homonoia). In Flora of Thailand Vol. โคนกงิ่ รปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอกกลบั ยาว 0.5-3 ซม. ปลายมน ปลายมตี งิ่ แหลม
แผน่ ใบหนา ขอบเรยี บหรอื จกั ซฟ่ี นั มขี นแขง็ เอนประปราย กา้ นใบยาว 0.5-4 มม.
8(2): 336-338. ชอ่ แบบช่อกระจุกส้นั ๆ ทป่ี ลายกง่ิ กลีบเล้ียง 5 กลีบ เรยี งซอ้ นเหลอ่ื มในตาดอก
กลบี รูปสามเหลีย่ มแคบ ยาว 4-5 มม. ปลายแหลมยาว ติดทน ด้านนอกมีขน
ไคร้นำ�้ : ไม้พมุ่ แตกกิ่งต�่ำหนาแนน่ ข้นึ เปน็ กลุ่มตามโขดหินริมแม่นำ�้ ดอกแยกเพศตา่ งต้น ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ ลด ดอกสชี มพู หลอดกลบี ดอกสัน้ มี 5 กลบี รปู รีกวา้ ง ยาว 6-7 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั
อบั เรณจู �ำนวนมาก กา้ นเกสรเพศเมียแยก 3 แฉก ตดิ ทน (ภาพ: แม่น้�ำเมย ตาก - RP) ตดิ ภายในหลอดกลบี ดอก อบั เรณหู นั เขา้ ยนื่ พน้ ปากหลอดกลบี ดอก รงั ไขม่ ี 4 ชอ่ ง
แตล่ ะชอ่ งมอี อวลุ เมด็ เดยี ว ยอดเกสรเพศเมยี จกั 2 พู รปู คลา้ ยโล่ ผลผนงั ชน้ั ในแขง็
ไคร้ยอ้ ย, สกุล รปู กลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 4-5 มม. สกุ สแี ดงเปน็ มนั วาว มี 4 ไพรนี
Elaeocarpus L. พบทอ่ี นิ เดยี จนี ตอนใต้ พมา่ เวยี ดนาม ภมู ภิ าคมาเลเซยี และฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทย
วงศ์ Elaeocarpaceae พบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคตะวนั ออก และตะวันออกเฉยี งเหนือ ข้นึ ตามโขดหนิ
ริมล�ำธารในป่าดิบแล้ง และปา่ ดบิ ชื้น ความสงู 50-300 เมตร มสี รรพคุณใชร้ ักษานิว่
ไมต้ น้ หใู บรว่ งเรว็ ใบเรยี งเวยี นหรอื เกอื บตรงขา้ ม ขอบใบจกั ฟนั เลอื่ ยหรอื จกั มน แก้ไอ โรคหวั ใจ และโรคทางประสาท
ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบ กลบี เลีย้ ง 5 กลบี แยกหรอื เช่ือมติดกัน
ทีโ่ คน กลีบดอก 5 กลีบ แยกกนั ขอบจักชายครุย เกสรเพศผจู้ �ำนวนมาก ติดบน สกลุ Rotula Lour. เคยอยู่ภายใต้วงศ์ Ehretiaceae มี 3 ชนดิ พบในอเมริกาใต้
จานฐานดอก อบั เรณตู ดิ ทโ่ี คน รปู แถบ แตกตามรเู ปดิ ทปี่ ลาย ปลายแกนอบั เรณู แอฟรกิ า และเอเชียเขตรอ้ น ในไทยมีเพยี งชนิดเดยี ว ชือ่ สกุลเปน็ ภาษาละตนิ
มกั มขี นแขง็ หรอื กระจกุ ขน รงั ไขม่ ี 2-7 ชอ่ ง กา้ นเกสรเพศเมยี เรยี วยาว ยอดเกสร หมายถึงกงลอ้ ขนาดเลก็ ตามลกั ษณะดอก
แหลม ผลผนงั ช้ันในแขง็ ผวิ เปน็ รพู รุน เอกสารอา้ งอิง
Zhu, G., H. Riedl and R.V. Kamelin. (1995). Boraginaceae. In Flora of China
สกลุ Elaeocarpus มปี ระมาณ 350 ชนิด สว่ นใหญ่พบในเอเชยี เขตรอ้ น ในไทย
มี 17 ชนดิ ชอื่ สกุลมาจากภาษากรกี “elaia” มะกอก และ “karpos” ผล หมายถึง Vol. 16: 337.
ลักษณะผลคล้ายผลมะกอก Olea europaea L.
ไคร้หางนาค: ใบเรียงเวียนชิดกนั ที่ปลายกง่ิ ชอ่ แบบช่อกระจกุ สน้ั ๆ ท่ีปลายกิง่ ผลสุกสีแดงเปน็ มันวาว กลีบเลีย้ ง
ตดิ ทน (ภาพ: น�ำ้ ตกคลองแก้ว ตราด - PK)
107
ไคร้หางนาค สารานุกรมพืชในประเทศไทย
ไครห้ างนาค เอกสารอ้างอิง
Craven, L.A. (2005), Malesian and Australian Tournefortia transferred to
Breynia heteroblasta (Airy Shaw) Welzen & Pruesapan Heliotropium and notes on delimitation of Boraginaceae. Blumea 50(2): 379.
วงศ์ Phyllanthaceae Johnston, I.M. (1935). Studies in the Boraginaceae XI. Journal Arnold Arboretum
16: 164-168.
ช่อื พ้อง Sauropus heteroblastus Airy Shaw Zhu, G., H. Riedl and R.V. Kamelin. (1995). Boraginaceae (Tournefortia argentea).
In Flora of China Vol. 16: 341-342.
ไมพ้ ุ่ม สงู ได้ถงึ 2 ม. แตกกิ่งสน้ั ๆ มีริ้วคล้ายปกี ใบรปู ไข่กลับ ยาว 0.5-3 ซม.
ปลายกลม เวา้ ตนื้ ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ กระจกุ ตามซอกใบ ดอกเพศผอู้ ยตู่ ดิ งวงช้างทะเล: ใบเรียงเวียนชดิ กันท่ปี ลายก่งิ ช่อดอกคล้ายชอ่ เชงิ หลนั่ ปลายมว้ น (ภาพ: เกาะลันตา กระบี่ - TP)
ดอกเพศเมยี ดอกเพศผสู้ นี ำ้� ตาลแดง เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 3 มม. กา้ นดอก
ยาวประมาณ 5 มม. กลบี เล้ยี งรปู ไข่ ปลายเวา้ ต้นื เส้าเกสรส้ัน ดอกเพศเมยี สีเขียว
มักมีปน้ื แดงตามขอบ เส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 3-6 มม. ก้านดอกยาวประมาณ 1.5 มม.
กลบี เล้ียงแยกเกอื บจรดโคน ปลายกลบี แหลมส้นั ๆ ขยายในผล รปู ไขก่ ว้าง ยาว
ประมาณ 2.5 มม. รังไขร่ ูประฆังกว้าง ยอดเกสรแยกเป็น 3 แฉก ตามแนวระนาบ
มว้ นงอเล็กนอ้ ย ตดิ ทน ผลแห้งแตก รปู รี ยาวประมาณ 1 ซม. (ดขู ้อมลู เพ่มิ เติมท่ี
ครามน้�ำ, สกุล)
พบในภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทางภาคตะวนั ออก และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
เปน็ พืชทนน้�ำ ขน้ึ ตามท่ีราบลมุ่ ท่นี �้ำทว่ มถึง ความสูง 100-200 เมตร
เอกสารอ้างอิง
van Welzen, P.C. (2007). Euphorbiaceae. In Flora of Thailand Vol. 8(2): 537.
ไครห้ างนาค: ไมพ้ ุม่ แตกก่งิ ส้ันจำ� นวนมาก ปลายใบเว้าตืน้ ดอกเพศผสู้ ีนำ้� ตาลแดง ดอกเพศเมยี สเี ขียว กลบี เลย้ี ง หญา้ งวงชา้ งน้อย: โคนสอบเรยี วจรดก้านใบเป็นครีบคลา้ ยปกี ช่อดอกปลายมว้ น (ภาพ: พระนครศรีอยธุ ยา - NS)
แยกเกือบจรดโคน ปลายกลีบแหลมสัน้ ๆ ขยายในผล (ภาพ: ทงุ่ กุลารอ้ งไห้ ยโสธร - PK)
งวงช่มุ
งวงช้างทะเล
Combretum pilosum Roxb. ex G. Don
Heliotropium foertherianum Diane & Hilger วงศ์ Combretaceae
วงศ์ Heliotropiaceae
ช่ือพอ้ ง Combretum insigne Van Heurck & Müll. Arg.
ชือ่ พอ้ ง Tournefortia argentea L. f., Messerschmidia argentea (L. f.) Johnston,
Argusia argentea (L. f.) Heine ไม้เถาเนอ้ื แข็ง มีขนหรอื ขนตอ่ มสนี ำ�้ ตาลแดงตามกิ่ง เส้นแขนงใบด้านล่าง ก้านใบ
ชอ่ ดอก ใบประดบั กลีบเลี้ยง รังไข่ และผลอ่อน ใบรูปรี รูปขอบขนาน หรือรปู ไข่
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 10 ม. ลำ� ตน้ หนา มขี นสนั้ นมุ่ ตามแผน่ ใบทง้ั สองดา้ น ยาว 8-15.5 ซม. โคนเบี้ยวเล็กนอ้ ย ก้านใบยาว 2-5 มม. ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ
ช่อดอก และกลีบเล้ียง ใบเรียงเวียนชิดกันที่ปลายกิ่ง รูปไข่หรือรูปใบหอกกลับ หรอื แยกแขนงสน้ั ๆ ยาว 3-12.5 ซม. ออกชดิ กนั ชว่ งปลายกง่ิ ใบประดบั รปู ใบหอก
ยาว 8-20 ซม. ปลายเปน็ ตงิ่ หรอื มน โคนสอบเรยี วจรดกา้ นใบเปน็ ครบี คลา้ ยปกี แกมรปู ไข่ ยาว 3.5-6.5 มม. ตดิ ทน ดอกเรยี งหนาแนน่ หลอดกลบี เลยี้ งรปู กรวยแคบ
ยาวได้ถึง 2.5 ซม. ชอ่ ดอกคล้ายช่อเชิงหล่ันออกทปี่ ลายก่งิ ชอ่ ตอนปลายม้วน ยาว 7-8 มม. ปลายแยกเป็น 5 แฉก รปู สามเหลย่ี มขนาดเล็ก ดอกสขี าวหรอื อมมว่ ง
ดอกไรก้ า้ น กลีบเลยี้ ง 5 กลบี รูปสามเหลี่ยม ยาว 1.5-2 มม. ดอกสขี าว หลอดกลีบดอก มี 5 กลีบ รปู ไขแ่ คบ ยาว 3.5-5.5 มม. ปลายกลบี มน เกสรเพศผยู้ าว 1-1.5 ซม.
ยาว 2.5-3 ซม. มี 5 กลบี รูปไข่ ยาวประมาณ 2 มม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ท่ีปาก ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 1-1.5 ซม. ผลแหง้ รูปรเี กอื บกลม ยาว 2.2-2.8 ซม. มี 5 ปีก
หลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู นั้ รงั ไขเ่ กลยี้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี ไมช่ ดั เจน ยอดเกสร กว้าง 7.5-9.5 มม. (ดขู อ้ มลู เพิม่ เติมท่ี สะแกนา, สกุล)
แยก 2 แฉก ฐานเปน็ วงแหวน ผลสด เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 5 มม. แตกเปน็
2 สว่ น ปลายทงั้ 2 ดา้ น มเี ปลอื กหมุ้ เปน็ คอรก์ แตล่ ะซกี มี 2 ไพรนี กวา้ งประมาณ พบทีอ่ ินเดีย พมา่ จนี และภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้น
1 มม. ยาวประมาณ 2 มม. ภาคใต้ ข้นึ ตามปา่ เต็งรงั ปา่ เบญจพรรณ และปา่ ดบิ แลง้ ความสงู 100-800 เมตร
ใบใช้เปน็ ยาถา่ ยพยาธิ ราก ใช้ต้มแกไ้ ข้บิด
พบตามหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก อินเดีย ศรีลังกา
ไห่หนาน ไต้หวนั เวยี ดนาม ภูมภิ าคมาเลเซยี และออสเตรเลียตอนบน ในไทยพบ เอกสารอ้างอิง
ตามเกาะฝงั่ ทะเลอันดามนั ทพี่ งั งา กระบี่ ตามหาดทรายที่ไม่ถูกรบกวน Nanakorn, W. (1986). The genus Combretum (Combretaceae) in Thailand. Thai
Forest Bulletin (Botany) 16: 161-163.
สกุล Heliotropium L. เคยอยู่ภายใตว้ งศ์ Boraginaceae ซ่งึ มีลักษณะทาง
สัณฐานคลา้ ย ๆ กนั มีประมาณ 390 ชนิด พบในเขตร้อนและก่ึงเขตรอ้ น ในไทย งวงชุม่ : มีขนหรือขนต่อมสีน�้ำตาลแดงกระจาย ช่อดอกแบบชอ่ กระจะหรือแยกแขนงสน้ั ๆ ดอกเรยี งหนาแนน่
อาจมี 4-5 ชนิด รวมถงึ หญา้ งวงชา้ งนอ้ ย H. indicum L. ท่ขี ึ้นเป็นวชั พืช ชอ่ื ดอกสีขาวหรืออมมว่ ง เกสรเพศผู้ 10 อนั ย่นื พ้นหลอดกลีบดอก (ภาพ: ภวู วั บงึ กาฬ - NS)
สกลุ มาจากภาษากรีก “helios” ดวงอาทิตย์ และ “trope” หันเขา้ หา หมายถงึ พืช
ที่หนั เข้าหาดวงอาทติ ย์
108
สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย ง้ิวปา่
งา้ ย เอกสารอา้ งอิง
Chaowasku, T. and R.W.J.M. van der Hama. (2013). Integrative systematics
Rhodamnia kerrii J. Parn. & NicLugh. supports the establishment of Winitia, a new genus of Annonaceae
วงศ์ Myrtaceae (Malmeoideae, Miliuseae) allied to Stelechocarpus and Sageraea. Systematics
and Biodiversity 11(2): 195-207.
ไม้พมุ่ สูงไดถ้ งึ 2 ม. เปลอื กลอกเปน็ แผ่น มีขนส้ันนมุ่ ตามแผน่ ใบ ก้านใบ Sinclair, J. (1955). A revision of the Malayan Annonaceae. Gardens’ Bulletin
กา้ นดอก ฐานดอก กลบี เลยี้ งและกลบี ดอก ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู รหี รอื รปู ไข่ ยาว Singapore 14: 182-184.
2-3 ซม. แผน่ ใบหนา เส้นโคนใบข้างละ 1 เส้น กา้ นใบส้ันมากหรือไร้กา้ น ดอกออก
เดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ คตู่ ามซอกใบ กา้ นดอกยาว 1-1.5 ซม. กา้ นดอกเทยี มยาวประมาณ ง�ำเงาะ: ดอกออกเป็นกระจุกตามล�ำต้น กลีบเลยี้ ง 3 กลบี กลีบดอก 6 กลบี เรียง 2 วง แผน่ กลีบหนา ผลมขี นละเอยี ด
2 มม. ก้านดอกยาว 1-1.5 ซม. กลีบเล้ยี งรูปกรวย ยาวประมาณ 5 มม. ตดิ ทน สีนำ้� ตาลดำ� (ภาพ: บันนงั สตา ยะลา - MP)
มี 4 กลบี รูปรี ยาวประมาณ 2 มม. ดอกสคี รีม มี 4 กลีบ รปู รี ยาวประมาณ 6 มม.
เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก ก้านชูอบั เรณูยาวประมาณ 4 มม. โคนก้านสีชมพู แกนอบั เรณู งิ้ว, สกุล
ปลายแหลมสนั้ รังไข่ใต้วงกลีบ กา้ นเกสรเพศเมียยาวเทา่ ๆ เกสรเพศผู้ ผลสด มี
1-2 เมลด็ รปู กลม สกุ สดี ำ� มขี นละเอยี ด เมลด็ กลมหรอื ครง่ึ วงกลม ยาวประมาณ Bombax L.
4 มม. ด้านหน่งึ เป็นเหล่ยี ม วงศ์ Malvaceae
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเี่ ลย ขน้ึ ตามทงุ่ หญา้ ทโ่ี ลง่ ไมต้ ้น ผลัดใบ ลำ� ตน้ สว่ นมากมหี นาม หูใบขนาดเล็ก ร่วงเรว็ ใบประกอบ
พ้ืนเป็นหินทราย รปู นิว้ มอื มี 5-9 ใบ เรยี งเวยี น ดอกออกเด่ียว ๆ หรือเปน็ กระจกุ ตามซอกใบหรือ
ปลายกงิ่ ดอกออกกอ่ นผลใิ บใหม่ กลบี เลย้ี งหนา เชอื่ มตดิ กนั ปลายแยกเปน็ 3-5 กลบี
สกุล Rhodamnia Jack มี 24 ชนดิ พบในเอเชยี โดยเฉพาะภูมิภาคมาเลเซีย และ กลบี ดอก 5 กลบี เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมากเชอ่ื มตดิ กนั เปน็ มดั ๆ 5-10 มดั ตดิ ระหวา่ ง
ออสเตรเลยี ในไทยมี 3 ชนิด ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “rhodon” กุหลาบ และ กลีบดอก รงั ไข่มี 5 ช่อง ออวลุ จ�ำนวนมาก กา้ นเกสรเพศเมียรปู เสน้ ดา้ ย ยาวกว่า
“amnion” ถงุ น้ำ�คร�่ำ หรือรก ตามลักษณะผลทยี่ ังไม่แก่มีสีแดงคล้ายกุหลาบ เกสรเพศผเู้ ล็กนอ้ ย ยอดเกสรแยกเป็น 5 แฉก ผลแหง้ แตก เรียบหรอื มี 5 สัน
เอกสารอา้ งองิ แตกเป็น 5 ซีก เมล็ดจ�ำนวนมาก มีปุยนนุ่ หมุ้
Parnell, J. and P. Chantaranothai. (2002). Myrtaceae. In Flora of Thailand Vol.
สกุล Bombax L. เคยอยู่ภายใต้วงศ์ Bombacaceae ปัจจุบนั อยภู่ ายใต้วงศย์ อ่ ย
7(4): 807-809. Bombacoideae มีประมาณ 50 ชนดิ สว่ นใหญพ่ บในอเมริกาและแอฟรกิ า
เขตร้อน ในไทยมี 3 ชนดิ ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรีก “bombyx” เสน้ ไหม ตาม
งา้ ย: มีขนสน้ั นุ่มกระจาย ใบเรยี งตรงข้าม แผน่ ใบหนา มขี นส้นั นุม่ ท้งั สองดา้ น เส้นโคนใบขา้ งละ 1 เสน้ ดอกส่วนมาก ลกั ษณะปุยน่นุ คล้ายเสน้ ไหมทห่ี ุม้ เมลด็
ออกเด่ยี ว ๆ ตามซอกใบ (ภาพ: เลย - TP)
งิ้ว
งำ�เงาะ
Bombax ceiba L.
Winitia cauliflora (Scheff.) Chaowasku ไม้ต้น สงู ไดถ้ งึ 30 ม. ใบรูปฝา่ มอื มใี บยอ่ ย 5-7 ใบ ก้านใบยาว 10-20 ซม.
วงศ์ Annonaceae
รูปขอบขนานถึงรูปใบหอก ขนาดไม่เทา่ กัน ยาว 8-15 ซม. กา้ นใบย่อยส้ัน หรือ
ชอ่ื พอ้ ง Sageraea cauliflora Scheff., Stelechocarpus cauliflorus (Scheff.) R. E. Fr. ยาวได้ถงึ 4 ซม. กา้ นดอกยาว 0.5-1 ซม. กลบี เล้ยี งรปู ถว้ ย ยาว 2-3 ซม. ด้านนอก
มีขนคล้ายไหม กลีบ 3-5 กลีบ รูปรกี ว้าง ยาวประมาณ 1.5 ซม. ดอกสีแดงอมส้ม
ไมต้ ้นขนาดเล็ก สงู 5-12 ม. แยกเพศร่วมต้น ใบเรียงเวียน รูปขอบขนาน หรอื เหลอื ง กลบี รปู ขอบขนานแกมรปู ไขก่ ลบั ยาว 5-10 ซม. แผน่ กลบี คอ่ นขา้ งหนา
หรอื รปู ใบหอก ยาว 12-25 ซม. แผน่ ใบดา้ นลา่ งมเี กลด็ เปน็ ตมุ่ กระจาย กา้ นใบยาว มีขนรปู ดาวละเอียดทง้ั สองดา้ น เกสรเพศผ้ยู าว 3.5-7 ซม. เรียง 2 วง วงนอก 5 มดั
0.5-1 ซม. ดอกออกเป็นกระจุกตามลำ� ตน้ ดอกเพศผูแ้ ละดอกเพศเมียคลา้ ยกนั วงใน 5 มัด กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 8-8.5 ซม. ผลรูปรีถงึ รูปขอบขนาน ยาว 8-15 ซม.
กลบี เลยี้ ง 3 กลบี เรยี งซอ้ นเหลอ่ื ม กลบี รปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ 5 มม. กวา้ งประมาณ มีขนรูปดาวกระจาย
8 มม. ดอกสเี หลอื งออ่ นหรอื ครมี มี 6 กลบี เรยี ง 2 วง แผน่ กลบี หนา กลบี วงนอก
รปู ไขก่ ลบั ยาว 1-1.3 ซม. กลบี ในรปู คมุ่ ขนาดเลก็ กวา่ กลบี นอก ฐานดอกรปู ครงึ่ วงกลม อาจมถี น่ิ กำ� เนิดในอเมรกิ าเขตร้อนหรือในเอเชยี จนถึงออสเตรเลยี ตอนบน ใน
เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก เรยี งเป็นชน้ั ๆ ยาวประมาณ 2.5 มม. คารเ์ พลจำ� นวนมาก ไทยพบมากตามทอ้ งไรท่ อ้ งนาทกุ ภาค หรอื ปลกู เปน็ ไมเ้ ศรษฐกจิ ทกุ สว่ นมสี รรพคณุ
ผลกล่มุ ทรงรีเกือบกลม ยาว 4-5 ซม. มีขนละเอยี ด สีน้�ำตาลดำ� มี 4-6 เมล็ด เรียง ดา้ นสมนุ ไพรหลายอย่าง
2 แถว ยาวประมาณ 3 ซม.
งิว้ ปา่
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู สมุ าตรา และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทยี่ ะลา นราธวิ าส
ขน้ึ ตามป่าดิบช้ืน ความสงู 200-700 เมตร Bombax anceps Pierre
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 30 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามกง่ิ กลบี เลย้ี ง และกลบี ดอก ใบรปู ฝา่ มอื
สกุล Winitia Chaowasku เปน็ สกลุ ทีแ่ ยกมาจากสกุล Stelechocarpus มี 2 ชนิด
อีกชนดิ คือ W. expansa Chaowasku เป็นพชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบเฉพาะ มใี บยอ่ ย 5-7 ใบ ก้านใบยาว 10-30 ซม. มรี ิว้ เปน็ สัน ใบรปู รี รปู ไขก่ ลับ หรือรูป
ทีเ่ ขาปเู่ ขาย่า จงั หวัดพัทลงุ ชอื่ สกุลตั้งตามชือ่ พระยาวนิ จิ วนนั ดร (โต โกเมศ) ขอบขนาน ขนาดไม่เทา่ กนั ยาว 8-28 ซม. แผ่นใบด้านลา่ งเกล้ยี งหรอื มีขนส้นั นุม่
บดิ าแห่งพฤกษศาสตรข์ องไทย กา้ นใบยอ่ ยยาว 1-1.5 ซม. กา้ นดอกยาว 1-3.5 ซม. กลบี เล้ยี งรปู ระฆังแคบ ยาว
3-5 ซม. ปลายจักตืน้ ๆ 3-5 กลีบ ขนาดไมเ่ ท่ากัน ดอกสขี าวครมี อมเขยี ว หรอื
ชมพอู อ่ น รปู ไขก่ ลบั หรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 4-7 ซม. เกสรเพศผยู้ าว 6-7 ซม.
มี 5 มดั เชือ่ มติดกนั ประมาณ 1.5 ซม. ผลรปู ขอบขนาน โคง้ เลก็ นอ้ ย ยาว 10-18 ซม.
มสี นั ตืน้ ๆ 5 สัน
109
โงงงัง สารานกุ รมพืชในประเทศไทย
พบทจ่ี นี ตอนใต้ พมา่ กมั พชู า ในไทยพบแทบทุกภาคยกเวน้ ภาคใต้ ข้นึ ตาม จมกู ปลาหลด
ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าเต็งรัง โดยเฉพาะบนเขาหินปูน ความสูงถึง
ประมาณ 1000 เมตร Oxystelma esculentum (L. f.) Smith
วงศ์ Apocynaceae
เอกสารอา้ งองิ
Phengklai, C. (2005). Bombacaceae. In Flora of Thailand Vol. 9(1): 10-15. ชือ่ พ้อง Periploca esculenta L.f., Oxystelma secamone (L.) Karst.,
Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Bombacaceae. In Flora of China Sarcostemma secamone (L.) Bennet
Vol. 12: 300-301.
ไมเ้ ถาลม้ ลกุ นำ�้ ยางสขี าว ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู แถบ ยาว 5-12 ซม. ปลายแหลม
งิว้ : ดอกสแี ดง กลบี เลี้ยงรปู ถ้วย เกสรเพศผู้เรยี ง 2 วง วงนอก 5 มัด วงใน 5 มดั ยอดเกสรเพศเมียแยกเปน็ 5 แฉก โคนกลม มีเส้นขอบใน ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ช่อดอกคล้ายช่อกระจะหรอื ซ่ีร่ม
(ภาพ: เพชรบรู ณ์ - PK) ออกตามซอกใบใกล้ปลายก่ิง ยาวไดถ้ งึ 20 ซม. มี 2-6 ดอกในแต่ละชอ่ กลีบเลยี้ ง
5 กลบี รูปขอบขนาน ยาว 3-4 มม. มีต่อมทโ่ี คนดา้ นใน ดอกสขี าวอมชมพู มเี สน้
สมี ว่ งเขม้ ดา้ นใน กลบี เรยี งทบั ดา้ นขวาในตาดอก ดอกบานรปู ถว้ ยกวา้ ง มี 5 กลบี
รปู สามเหลย่ี มกวา้ ง ยาว 1-1.5 ซม. ขอบมขี นครยุ กะบงั วงนอกแนบตดิ โคนกลบี ดอก
มขี นสนั้ นมุ่ กะบงั วงในแนบตดิ เสา้ เกสร เกลย้ี ง ปลายเรยี วจรดกนั ยาวไดถ้ งึ 1 ซม.
เกสรเพศผู้ 5 อัน เช่อื มตดิ กนั เป็นเส้าเกสรสน้ั ๆ มี 2 คารเ์ พล แยกกนั ผลแตก
แนวเดยี ว สว่ นมากเจรญิ เพยี งผลเดยี ว รปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 5 ซม. เมลด็
จ�ำนวนมาก ขนาดเล็ก กระจุกขนยาว 1.5-2 ซม.
พบในแอฟรกิ า อนิ เดยี ปากสี ถาน เนปาล บงั กลาเทศ พมา่ จนี ตอนใต้ ภมู ภิ าค
อินโดจีนและมาเลเซีย ออสเตรเลีย ในไทยพบทุกภาค ขึ้นเป็นวัชพืชตามที่โล่ง
ยางมฤี ทธิ์เปน็ ยาปฏชิ วี นะ น้�ำสกัดจากสว่ นตา่ ง ๆ แกเ้ จ็บคอ ผลรบั ประทานได้
สกุล Oxystelma R. Br. อยู่ภายใตว้ งศ์ย่อย Asclepiadoideae มี 2 ชนดิ พบใน
แอฟริกาและเอเชีย แยกเปน็ var. alpini N. E. Br. พบในอียปิ ต์ ช่ือสกลุ มาจาก
ภาษากรีก “oxys” แหลม และ “stelmatos” เชอ่ื มติดกนั ตามลกั ษณะของกะบัง
เอกสารอา้ งองิ
Li, B., M.G. Gilbert and W.D, Stevens. (1995). Asclepiadaceae. In Flora of
China Vol. 16: 202.
งิว้ ปา่ : ดอกออกเดีย่ ว ๆ หรอื เปน็ กระจุกท่ีปลายกิ่ง ดอกสีครีมอมเขยี ว กลีบเลย้ี งรูประฆังแคบ มขี นส้นั นุม่ จมกู ปลาหลด: กลบี ดอกรปู ถ้วยกวา้ ง มปี ื้นสีม่วงเขม้ หนาแน่นด้านใน ผลรปู ขอบขนาปลายเรยี วแคบ (ภาพดอก:
(ภาพซ้าย: ไทยประจนั ราชบุรี - SSi; ภาพขวา: พระบาท สระบรุ ี - RP) ปทมุ ธานี - RP; ภาพผล: สามร้อยยอด ประจวบคีรขี นั ธ์ - MT)
โงงงัง จวงหอม
Cratoxylum arborescens (Vahl) Blume Neocinnamomum caudatum (Nees) Merr.
วงศ์ Hypericaceae วงศ์ Lauraceae
ชือ่ พอ้ ง Hypericum arborescens Vahl ชือ่ พ้อง Cinnamomum caudatum Nees
ไม้ตน้ อาจสูงได้ถงึ 40 ม. ใบเรียงตรงข้ามสลบั ตง้ั ฉาก รูปขอบขนานหรือ ไม้ต้น สงู ไดถ้ ึง 20 ม. เปลือกหนาแตกเปน็ สะเกด็ มีขนละเอียดตามก่งิ ออ่ น
รูปใบหอกกลบั ยาว 8-16 ซม. แผ่นใบเกล้ียง เสน้ แขนงใบจำ� นวนมาก ก้านใบ เกลด็ ตา ชอ่ ดอก ใบประดบั กลบี รวม ตายอดขนาดเลก็ เกลด็ หมุ้ ตาหนา ใบเรยี งเวยี น
ยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายก่ิง ดอกจ�ำนวนมาก รปู ไขห่ รอื แกมรูปขอบขนาน ยาว 4-12 ซม. ปลายแหลมยาว โคนรูปลิม่ กวา้ ง
ก้านดอกยาวประมาณ 3 มม. กลีบเลยี้ ง 5 กลีบ รปู รี เรียงซ้อนเหลื่อม ยาว 4-6 มม. แผ่นใบด้านลา่ งคลา้ ยมีนวล ก้านใบยาว 0.8-1.2 ซม. เสน้ โคนใบขา้ งละ 1 เสน้
ดอกส่วนมากสแี ดงเข้ม มี 5 กลีบ รปู รี ยาว 4-7 มม. มีตอ่ มน้�ำตอ้ ยขนาดเลก็ มเี สน้ ตามขวางจำ� นวนมาก ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ กลม ออกตามซอกใบ หรือ
กระจาย เกสรเพศผู้จำ� นวนมาก มี 5 มัด ตดิ กนั 2 คู่ แยกเป็นมัดเดีย่ ว 1 มัด เรียงบนแกนช่อแยกแขนงสั้น ๆ ท่ีปลายก่งิ ยาวได้ถงึ 10 ซม. ชอ่ กระจุกก้านชอ่
ยาว 4-5 ซม. กา้ นเกสรเพศเมียแยกเปน็ 3 แฉก ยาวได้ถงึ 3 มม. ผลแหง้ แตกเปน็ สน้ั มาก มี 5-6 ดอก ใบประดบั รปู เคยี วขนาดเลก็ กา้ นดอกยาวไดถ้ งึ 5 มม. ขยาย
3 ซกี รปู ทรงกระบอก ยาว 7-9 มม. เมลด็ จ�ำนวนมาก เรยี วแคบ ยาวประมาณ 5 มม. ในผล เรยี ว ปลายหนา ยาวไดถ้ งึ 1 ซม. ดอกสีเขยี วอมเหลืองขนาดเล็ก กลีบรวม
(ดขู อ้ มูลเพม่ิ เตมิ ท่ี ติ้ว, สกุล) 6 กลีบ เรยี ง 2 วง รูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 1.2 มม. หลอดกลีบส้นั ขยายหนา
ในผล กวา้ ง 6-8 มม. เกสรเพศผู้ 9 อนั เรยี ง 3 วง ยาวประมาณ 1 มม. กา้ นชอู ับเรณู
พบทพี่ มา่ ตอนล่าง คาบสมุทรมลายู สมุ าตรา บอร์เนียว และภาคใต้ตอนลา่ ง มขี นยาว วงทสี่ ามโคนมตี อ่ ม 2 ตอ่ ม อบั เรณมู ี 2 คู่ แตล่ ะวงเรยี งหนั เขา้ และหนั ออก
ของไทยทีน่ ราธิวาส ขึ้นตามปา่ ดิบช้ืน ความสงู ระดับตำ�่ ๆ หรือป่าพรุ ยางใชท้ า ตา่ งกนั มฝี าเปิดด้านบน เกสรเพศผวู้ งในสดุ เป็นหมนั 3 อนั รงั ไข่มชี ่องเดียว ออวุลมี
แผลพพุ องท่เี กิดจากอีสุกอีใส เมด็ เดยี ว กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวกวา่ รงั ไข่ ยอดเกสรรปู จาน ผลผนงั ชน้ั ในแขง็ รปู รแี คบ
ยาว 1.5-2 ซม. แกส่ แี ดงเปล่ยี นเปน็ สีดำ�
เอกสารอา้ งองิ
Robson, N.K. (1974). Hypericaceae. In Flora Malesiana Vol. 8: 11. พบทอี่ ินเดยี ภฏู าน เนปาล จนี พมา่ และเวียดนามตอนบน ในไทยพบทาง
ภาคเหนอื ทีเ่ ชียงใหม่ ลำ� ปาง ข้ึนตามป่าดบิ เขา ความสูง 1000-2550 เมตร
โงงงงั : ใบเรยี งตรงข้ามสลบั ตง้ั ฉาก ชอ่ ดอกแบบแยกแขนงออกตามปลายก่งิ ดอกจ�ำนวนมาก สแี ดงเข้ม เกสรเพศผู้
จ�ำนวนมาก (ภาพ: โต๊ะแดง นราธวิ าส - MT)
110
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย จอกบว่ าย
สกลุ Neocinnamomum H. Liu แยกมาจากสกุล Cinnamomum ตามลักษณะ ยาวประมาณ 3 มม. มขี นส้นั น่มุ ผลสดแตกด้านบน รปู รี ยาวประมาณ 5 มม. มี
กลบี รวมขยายหนาในผล และชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุกแนน่ มี 7 ชนดิ พบท่ี ขนส้นั นุม่ เมลด็ ขนาดเลก็ จำ� นวนมาก
อินเดยี ภฏู าน เนปาล จีน พมา่ ภมู ภิ าคอินโดจีน และสุมาตรา ในไทยมีชนดิ เดยี ว
ชื่อสกุลหมายถงึ สกลุ ใหม่ท่ีแยกมาจากสกลุ Cinnamomum พบที่คาบสมุทรมลายู และภาคใต้ของไทยทน่ี ครศรีธรรมราช กระบ่ี สงขลา
เอกสารอา้ งองิ ปัตตานี ยะลา นราธวิ าส ขน้ึ ตามป่าดบิ ชนื้ ความสงู 300-400 เมตร
Li, X.W., J. Li and H. van der Werff. (2008). Lauraceae (Neocinnamomum). In
สกลุ Loxocarpus R. Br. มปี ระมาณ 14 ชนดิ พบเฉพาะในภมู ิภาคมาเลเซยี ใน
Flora of China Vol. 7: 187. ไทยมีชนิดเดียว ชอื่ สกลุ มาจากภาษากรีก “loxos” เบ้ยี ว และ “karpos” ผล
เอกสารอ้างอิง
Ridley, H.N. (1923 reprint 1967). Gesneriaceae. Flora of the Malay Peninsula Vol.
2: 526-527.
จวงหอม: เปลือกหนาแตกเปน็ สะเกด็ เสน้ โคนใบขา้ งละ 1 เสน้ มีเส้นตามขวางจำ� นวนมาก กา้ นดอกและกลีบรวม จอกกระแต: ใบเรียงชดิ โคน ขอบจักฟันเลื่อย ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกเชงิ ซ้อน ผลสดแตกดา้ นบน (ภาพ: เขาพนม
ขยายในผล (ภาพ: ดอยเชยี งดาว เชยี งใหม่ - SSi) เบญจา กระบ;ี่ ภาพดอก - MP, ภาพผล - RP)
จอก จอกบว่ าย
Pistia stratiotes L. Drosera burmanni Vahl
วงศ์ Araceae วงศ์ Droseraceae
ไมล้ ม้ ลกุ มีไหลลอยน�้ำ รากจ�ำนวนมาก ยาวได้ถงึ 1 ม. ใบเรียงซ้อนเป็นกระจกุ พืชล้มลุกกินแมลง ล�ำต้นสนั้ มาก หูใบขนาดเล็ก มี 3-6 แฉก ใบออกเป็นกระจุก
ล้ินกาบบาง ใบรูปไข่กลบั หรือแกมรูปขอบขนาน ยาวได้ถึง 10 ซม. ปลายตดั โคน แบบกุหลาบซอ้ นทโี่ คนแนบชดิ ตดิ ดนิ เป็นวง เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 1-3 ซม. ใบบนตน้
หนาคล้ายฟองน้�ำ มีขนก�ำมะหยี่ปกคลุม แผ่นใบด้านล่างมีนวล เส้นใบเรียง รปู ไขก่ ลบั ยาว 0.6-1.5 ซม. โคนเรยี วแคบ ปลายจกั ชายครยุ มขี นตอ่ มทว่ั ไป ชอ่ ดอก
ขนานกันออกจากโคน เกือบไร้กา้ น ช่อดอกแบบชอ่ เชงิ ลดมกี าบ ออกเด่ียว ๆ แบบชอ่ กระจะ 1-3 ชอ่ ออกทยี่ อด กา้ นช่อโดดยาว 7-20 ซม. แกนชอ่ ยาว 2-9 ซม.
กลางกลุ่มใบ กาบยาว 0.7-1.2 ซม. คอดกลาง ปลายแหลมยาว โคนเชอ่ื มตดิ กนั มีได้ถงึ 20 ดอก ใบประดบั รูปเง่ยี งใบหอก ยาว 1-3 มม. ก้านดอกยาวได้ถงึ 7 มม.
แนบตดิ รงั ไขค่ ลา้ ยลอด ดา้ นนอกมขี น ชอ่ ดอกสน้ั ดอกเพศผอู้ ยดู่ า้ นบน มี 2-8 ดอก กลบี เลีย้ ง 5 กลีบ รูปขอบขนาน ยาว 2-3 มม. ตดิ ทน มีตุ่มกระจาย ดอกสขี าว ชมพู
เรยี งเปน็ วง อบั เรณเู รยี งชดิ กนั 2 คู่ ไรก้ า้ น ดอกเพศเมยี มดี อกเดยี ว รปู คลา้ ยกระเปา๋ หรือแดงอมมว่ ง มี 5 กลบี รปู ไขก่ ลับ ยาว 4-5 มม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ยาว 2-3 มม.
รงั ไขม่ ีชอ่ งเดยี ว กา้ นเกสรเพศเมียโค้งเข้าหาดอกเพศผู้ ยอดเกสรเปน็ ต่มุ ผลสดมี เกสรเพศเมยี 5 อนั ยาว 2-3 มม. ติดทน ผลยาว 1-2 มม. (ดขู ้อมลู เพ่มิ เติมที่
หลายเมลด็ เป็นกระเปาะรปู รี ขนาดเลก็ เมล็ดจำ� นวนมาก หญา้ นำ้� คา้ ง, สกลุ )
ข้ึนเป็นวัชพืชท่ัวไป ไม่แน่ชัดในถิ่นก�ำเนิด แพร่พันธุ์ง่ายด้วยไหลและเมล็ด พบที่อินเดยี ศรลี งั กา จนี พมา่ ไต้หวนั ญีป่ นุ่ ภมู ิภาคอนิ โดจีนและมาเลเซีย
ควบคมุ และกำ� จดั ยาก ใชเ้ ปน็ พชื น�้ำในอ่างปลาและอาหารสัตว์ ออสเตรเลยี ขึน้ ตามทโ่ี ลง่ ทดี่ ินทไ่ี ม่สมบูรณ์ ความสูงถงึ ประมาณ 1400 เมตร
สกุล Pistia L. เป็นสกุลที่มีเพียงชนดิ เดยี ว และมีชอื่ พอ้ งจำ�นวนมาก ตัวอย่าง เอกสารอา้ งองิ
พรรณไมต้ ้นแบบเกบ็ มาจากแมน่ ้ำ�ไนล์ในแอฟรกิ า ช่อื สกุลมาจากภาษากรีก Larsen, K. (1987). Droseraceae. In Flora of Thailand Vol. 2(1): 67-69.
“pistos” ดืม่ ได้หมายถึงน�้ำ ตามลกั ษณะวสิ ยั ท่ีเป็นพืชน้ำ� Lu, L. and K. Kondo. (2001). Droseraceae. In Flora of China Vol. 8: 199.
เอกสารอา้ งอิง
Boyce, P.C. (2012). Araceae (Pistia). In Flora of Thailand Vol. 11(2): 252-253. จอกบว่ าย: ใบออกเปน็ กระจุกแบบกุหลาบซอ้ น ออกหนาแนน่ ท่โี คน โคนเรยี วแคบ ปลายจักชายครยุ มีขนตอ่ ม
ทั่วไป ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ กลีบดอกรูปไข่กลบั 5 กลีบ (ภาพ: วัดจนั ทร์ เชยี งใหม่ - PK)
จอก: พืชลอยนำ้� ใบเรียงซ้อนเป็นกระจุก โคนมขี น ชอ่ ดอกแบบช่อเชงิ ลดมกี าบ (ภาพ: กรงุ เทพฯ - RP)
จอกกระแต
Loxocarpus incanus R. Br.
วงศ์ Gesneriaceae
ช่ือพอ้ ง Henckelia browniana A. Weber
ไมล้ ม้ ลกุ สงู 4-15 ซม. ลำ� ตน้ สนั้ มขี นสนั้ นมุ่ ตามลำ� ตน้ แผน่ ใบ และกลบี เลย้ี ง
ด้านนอก ใบเรียงเวียนเป็นกระจุกชิดโคน รูปไข่หรือรูปรี เบี้ยวเล็กน้อย ยาว
2.5-9 ซม. ขอบจกั ฟนั เลอ่ื ย กา้ นใบยาว 1-4 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ เชงิ ซอ้ น
ออกตามซอกใบ กา้ นชอ่ ยาว 7-10 ซม. ชอ่ ยอ่ ยมี 1-2 ดอก ใบประดบั รปู ขอบขนาน
ยาวประมาณ 2 มม. กา้ นดอกยาว 1-2 มม. กลบี เลี้ยงสีขาวอมเขียว มี 5 กลีบ
รปู สามเหลย่ี ม ยาวประมาณ 2 มม. ดอกสมี ว่ งออ่ น ดา้ นในสเี ขม้ หลอดกลบี ดอกยาว
1.5-2.5 มม. ดา้ นนอกมขี นตอ่ มหนาแนน่ มี 5 แฉกรปู กลม ยาวประมาณ 1.5 มม.
เกสรเพศผู้ 2 อัน ยาวประมาณ 2 มม. มเี กสรเพศผู้เปน็ หมัน 1 อัน เกสรเพศเมยี
111
จอกฤๅษี สารานุกรมพืชในประเทศไทย
จอกฤาษี จอกหูหน:ู เฟนิ ขึ้นในนำ้� ใบที่โผลพ่ ้นนำ�้ โคนโคง้ เข้าหากนั ใบใตน้ ำ้� สรา้ งสปอร์เป็นเส้นคลา้ ยราก สปอโรคาร์ปเกิดท่ี
ใบใต้น�้ำเป็นกล่มุ ๆ (ภาพ: พรโุ ตะ๊ แดง นราธิวาส - PC)
Paraboea strobilacea (Barnett) C. Puglisi
วงศ์ Gesneriaceae จันเขา
ชื่อพอ้ ง Dichiloboea strobilacea Barnett, Trisepalum strobilaceum (Barnett) Diospyros dasyphylla Kurz
B. L. Burtt วงศ์ Ebenaceae
ไม้ลม้ ลุก สูงประมาณ 20 ซม. ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู ไข่หรอื แกมรูปขอบขนาน ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 20 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามกงิ่ และใบออ่ น กา้ นใบ กา้ นดอก กลบี เลย้ี ง
ยาว 11-14 ซม. ขอบจักมน แผ่นใบมขี นกระจาย ก้านใบยาวได้ถึง 4 ซม. ใบช่วง และกลบี ดอกดา้ นนอก ใบรปู ขอบขนานหรอื แกมรปู ไข่ ยาว 7-20 ซม. ปลายแหลมยาว
ปลายก้านส้ันโอบห้มุ ลำ� ต้น ชอ่ ดอกแบบช่อกระจุกซอ้ น กา้ นช่อยาวไดถ้ ึง 5 ซม. มีติง่ แหลม โคนมน กลม หรือเวา้ ตนื้ เสน้ แขนงใบข้างละ 12-14 เสน้ ก้านใบยาว
ชอ่ ซอ้ นเหลอ่ื มกนั คลา้ ยรปู โคน ยาวไดถ้ งึ 4 ซม. ใบประดบั รปู ครง่ึ วงกลม ออก 2.5-5 มม. ดอกเพศผอู้ อกเปน็ ชอ่ กระจกุ ดอกไรก้ า้ น กลบี เลย้ี งรปู ระฆงั ยาว 2-3 มม.
เปน็ คู่ซอ้ นกัน ยาวประมาณ 3 ซม. กลบี เลี้ยงยาวประมาณ 1 ซม. กลีบบนแยก มี 4 กลบี แฉกลกึ จรดโคน ดอกรปู หลอด ยาว 6-7 มม. มี 4 กลบี แฉกลกึ ประมาณ
เปน็ 3 กลบี แฉกลกึ ประมาณ 5 มม. กลบี ลา่ ง 2 กลบี แฉกลกึ ถงึ โคน ดอกรปู ระฆงั กึง่ หนีง่ เกสรเพศผู้ 12-16 อนั รงั ไขท่ ่ีไม่เจรญิ มขี นยาว ดอกเพศเมียออกเดี่ยว ๆ
เบย้ี ว ยาวประมาณ 1.5 ซม. กลบี ดอกขนาดประมาณ 5 มม. เกสรเพศผยู้ าวประมาณ กา้ นดอกยาว 2-3 มม. รังไข่มขี นสนั้ นุ่ม ผลกลม เส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 4-5 ซม.
2 มม. อบั เรณกู างออก ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 8 มม. มีขน ยอดเกสรแบน กา้ นผลหนา ยาวประมาณ 5 มม. กลบี เลยี้ งแฉกลกึ จรดโคน กลบี พบั งอ ดา้ นนอก
ผลแห้งแตกรปู กระสวย (ดูข้อมูลเพิม่ เติมท่ี ชาฤๅษ,ี สกุล) มขี นก�ำมะหยีห่ นาแน่น ดา้ นในเกลย้ี ง เอนโดสเปริ ์มเรยี บ (ดูข้อมลู เพิ่มเติมท่ี
มะเกลอื , สกลุ )
พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ ก่ี าญจนบรุ ี ขน้ึ บนเขาหนิ ปนู
ความสูงประมาณ 850 เมตร พบทอ่ี นิ เดยี พมา่ และลาว ในไทยพบกระจายทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก
ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และ
เอกสารอา้ งองิ ป่าดิบแล้ง ความสงู 100-1000 เมตร
Barnett, E.C. (1961). New species of the Gesneriaceae from Thailand (Dichiloboea
strobilacea). Natural History Bulletin of the Siam Society 20: 25. จนั ดำ�
จอกฤๅษ:ี ช่อดอกซอ้ นเหลือ่ มกันคลา้ ยรปู โคน ใบประดับรูปครึ่งวงกลม ออกเป็นคู่ซอ้ นกนั กลีบดอกรูประฆัง เบย้ี ว Diospyros venosa Wall. ex A. DC. var. olivacea (King & Gamble) Ng
(ภาพ: ทองผาภูมิ กาญจนบุรี - TP) ไมต้ ้น สงู ไดถ้ ึง 20 ม. ใบรูปรี หรือรปู ไข่ ยาว 3.5-7 ซม. ปลายแหลม มน หรือ
จอกหหู นู มตี ิง่ แหลม โคนมน กลม เสน้ แขนงใบข้างละ 16-10 เสน้ แผ่นใบด้านล่างมขี น
ประปราย กา้ นใบยาวประมาณ 5 มม. ดอกเพศผอู้ อกเปน็ ชอ่ กระจกุ หรอื แยกแขนง
Salvinia cucullata Roxb. ex Bory สั้น ๆ ก้านดอกยาวประมาณ 2 มม. มขี นสนั้ นุ่ม กลีบเล้ียงรปู ระฆัง ยาว 1-2 มม.
วงศ์ Salviniaceae มี 3-4 กลีบ แฉกตืน้ ๆ ไม่เกินก่งึ หนึ่ง ดอกรูปคนโท ยาว 3-5 มม. มี 4 กลบี แฉก
ต้ืน ๆ เกสรเพศผู้ 6-16 อนั รงั ไข่ทไี่ ม่เจรญิ เกลี้ยง ดอกเพศเมียออกเปน็ ชอ่ กระจกุ
เฟนิ ลอยบนน้ำ� มไี หลส้ัน ๆ เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 1-2 มม. มขี นสนี �้ำตาล แต่ละข้อ สนั้ ๆ รังไข่เกลีย้ ง เกสรเพศผูท้ เ่ี ป็นหมนั 3-6 อนั เกลยี้ ง ผลรปู รี ยาว 1-2.5 ซม.
มี 3 ใบ เรียงหนาแนน่ สองใบไม่สร้างสปอร์ ลอยบนผิวนำ�้ รูปร่างคอ่ นข้างกลม ก้านผลยาว 1-3 มม. กลบี เลย้ี งแฉกลึกประมาณก่งึ หนึ่ง พบั งอกลับ เกลยี้ ง
กว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 1.2-1.5 ซม. โคนใบด้านขา้ งโคง้ เขา้ หากนั ขอบเรียบ เอนโดสเปิรม์ เรยี บ (ดขู อ้ มูลเพ่ิมเติมท่ี มะเกลือ, สกลุ )
แผ่นใบหนานุ่ม ด้านบนมปี ุ่มกระจาย ด้านล่างมีขนสนี ำ�้ ตาลประปราย เส้นใบ
สานกนั เปน็ รา่ งแห ใบใตน้ ำ้� สรา้ งสปอร์ เปน็ เสน้ คลา้ ยราก ยาว 3-5 ซม. สปอโรคารป์ พบท่ีอินเดีย พม่า กัมพูชา เวียดนาม คาบสมุทรมลายู ชวา สุมาตรา และ
เกดิ ทใี่ บใต้นำ้� เปน็ กลุ่ม ๆ ละ 6-8 อัน เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 2 มม. มี 2 อนั บอรเ์ นยี ว ในไทยสว่ นมากพบทางภาคใต้ และภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ พบประปราย
ทส่ี ร้างเมกะสปอร์ ทางภาคกลาง และภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ ข้ึนตามปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู
ถงึ ประมาณ 500 เมตร สว่ น var. venosa แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นกำ� มะหยหี่ นาแนน่
พบท่ีอนิ เดีย พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจีน คาบสมทุ รมลายู และสุมาตรา ในไทย
พบทกุ ภาค ขึน้ หนาแน่นในหนองน�้ำที่เป็นทีโ่ ล่ง ทง้ั ต้นใช้เลย้ี งหมูและทำ� ปยุ๋ หมัก เอกสารอา้ งอิง
Ng, Francis S.P. (2002). Ebenaceae. In Tree Flora of Sabah and Sarawak Vol.
สกลุ Salvinia Ség. มีประมาณ 10 ชนดิ สว่ นใหญพ่ บในอเมริกาและแอฟริกา 4: 98-99.
ในไทยมี 2 ชนดิ อกี ชนิดคอื แหนใบมะขาม S. natans (L.) All. ช่อื สกุลตั้งตาม Phengklai, C. (1981). Ebenaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(4): 278-279, 349.
ศาสตราจารยด์ า้ นกรกี ศึกษาชาวอติ าลี Antonio Maria Salvini (1633-1729)
เพอ่ื นของนกั พฤกษศาสตรช์ าวอิตาลี Pier’ Antonio Micheli (1679-1737) จนั เขา: เปลือกเรยี บสเี ทาดำ� ผลกลม กา้ นผลหนา กลีบเลีย้ งแฉกลึกจรดโคน กลีบพบั งอ ดา้ นนอกมีขนกำ� มะหยี่
เอกสารอา้ งอิง หนาแนน่ (ภาพ: ป่าละอู ประจวบครี ีขันธ์ - SSi)
Lin, Y., S. Lei, M. Funston and M.G. Gilbert. (2013). Salviniaceae. In Flora of
China Vol. 2-3: 125.
Lindsay, S. and D.J. Middleton. (2012 onwards). Ferns of Thailand, Laos and
Cambodia. http://rbg-web2.rbge.org.uk/thaiferns/
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. (1989). Salviniaceae. In Flora of Thailand Vol. 3(4):
603-604.
112
สารานุกรมพชื ในประเทศไทย จันทน์ชะมด
จันดำ� : ดอกเพศผอู้ อกเปน็ ชอ่ กระจุกหรอื แยกแขนงส้ัน ๆ ดอกเพศเมยี ออกเป็นช่อกระจุกสั้น ๆ ผลรปู รี กลีบเลย้ี ง จันทนก์ ะพอ้ แดง: มขี นสนี �ำ้ ตาลแดงหนาแน่นทวั่ ไป หใู บรูปใบหอก ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนงส้ัน ๆ ดอกสชี มพู
แฉกลกึ ประมาณกงึ่ หนึ่ง พบั งอกลบั (ภาพ: ชมุ พร - AS) ผลมปี กี ยาว 2 ปีก ปกี ส้ัน 3 ปกี (ภาพ: สุคิรนิ นราธวิ าส - MP)
จันทนก์ ะพ้อ จนั ทนช์ ะมด
Vatica diospyroides Symington Mansonia gagei J. R. Drumm. ex Prain
วงศ์ Dipterocarpaceae วงศ์ Malvaceae
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 20 ม. มขี นกระจกุ รปู ดาวสน้ั นมุ่ สนี ำ้� ตาลตามกงิ่ กา้ นใบ ชอ่ ดอก ไม้ต้น สงู ได้ถึง 20 ม. หใู บรปู ใบหอก ยาว 5-7 มม. รว่ งเรว็ ใบเรียงเวยี น รปู ไข่
ใบประดบั ก้านดอก กลีบเล้ยี ง กลีบดอกด้านนอก และผล หใู บรปู แถบ ยาว หรอื รปู ขอบขนาน ยาว 8-14 ซม. โคนเวา้ ตนื้ เบย้ี วเลก็ นอ้ ย ขอบเรยี บหรอื จกั ฟนั เลอ่ื ย
5-8 มม. ใบรูปขอบขนานถงึ รปู ใบหอก ยาว 10-28 ซม. เส้นใบยอ่ ยแบบขน้ั บันได เล็กน้อย เสน้ โคนใบขา้ งละ 1-2 เส้น ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ชอ่ ดอกแยกแขนง
กา้ นใบยาว 1-2.5 ซม. งอเปน็ ขอ้ ช่อดอกยาว 4-5 ซม. ช่อแยกแขนงมี 1-5 ดอก ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 5 มม. กลบี เลย้ี งแยกดา้ นเดยี ว รปู ขอบขนาน
ใบประดบั รปู ใบหอก ยาวประมาณ 2 มม. กา้ นดอกยาว 1-2 มม. กลบี เลยี้ งรปู ไข่ ยาว ยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก ดอกสีขาว มี 5 กลบี รูปใบหอกกลบั ยาวประมาณ 1 ซม.
4-5 มม. ขยายในผล ดอกสคี รมี กลบี รปู ขอบขนานถงึ รปู ใบหอก ยาว 1.2-1.7 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อนั เชอ่ื มตดิ กนั เปน็ เสา้ เกสร ลอ้ มรอบรงั ไข่ เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั
รงั ไข่มขี นหนาแน่น ผลรปู รี ยาว 1.5-3 ซม. ปลายเป็นตง่ิ แหลม ผิวมีนวลแปง้ 5 อนั ตดิ ระหวา่ งเกสรเพศผู้และรงั ไข่ คาร์เพล 5 อนั แยกกนั มีขน กา้ นเกสรเพศเมีย
สนี ้�ำตาล แหง้ แตกเปน็ 3 สว่ น กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายเรียวแหลม ยาว 1-1.5 ซม. โคง้ ออก ยอดเกสรเรียวเป็นตุ่ม ผลมีปกี เดียว แหง้ ไม่แตก ทรงรี ยาว 1-1.5 ซม.
เรยี งซอ้ นเหลอื่ มท่ีโคน (ดขู ้อมูลเพม่ิ เตมิ ที่ พนั จำ� , สกุล) ปีกยาว 2.5-3 ซม. ปลายปีกมน
พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคใตท้ ร่ี ะนอง สรุ าษฎรธ์ านี พงั งา และตรงั ขน้ึ ตาม พบทอ่ี นิ เดยี และพมา่ ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ ภาคกลางทสี่ ระบรุ ี
ป่าดิบช้นื พ้นื ทนี่ �้ำทว่ มถึง เป็นไม้ประดบั ดอกมกี ลนิ่ หอมแรง ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ และภาคใตท้ น่ี ครศรธี รรมราช ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ชนื้ และปา่ ดบิ แลง้
ทีเ่ ปน็ หนิ ปนู ความสูง 100-650 เมตร แกน่ มีน้�ำมนั หอมระเหย ใชส้ ร้างพระโกศ
จนั ทน์กะพอ้ แดง ใช้ในงานพระราชพธิ ี ท�ำเคร่ืองใช้ ดอกไมจ้ ันทน์ ธูป และเครอื่ งหอม
Vatica maingayi Dyer สกลุ Mansonia J. R. Drumm. ex Prain เคยอย่ภู ายใต้วงศ์ Sterculiaceae
ไมต้ น้ สูงได้ถงึ 25 ม. มีขนกระจกุ รูปดาวสน้ั น่มุ สีนำ้� ตาลแดงหนาแน่นตาม ปจั จบุ ันอยู่วงศ์ย่อย Helicteroideae มีประมาณ 5 ชนิด พบในแอฟริกาและเอเชยี
ในไทยมชี นดิ เดียว ชอื่ สกุลตง้ั ตาม F. B. Manson นักอนรุ กั ษ์ของการป่าไมอ้ นิ เดีย
กง่ิ ออ่ น ปลายกา้ นใบ ชอ่ ดอก ใบประดบั กา้ นดอก กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกดา้ นนอก ในชว่ งศตวรรษที่ 20
และผล หใู บรปู ใบหอก ยาว 0.5-1.5 ซม. ใบรูปใบหอก ยาว 6-12 ซม. เส้นใบย่อย
แบบร่างแห กา้ นใบยาว 1.5-2 ซม. ชอ่ ดอกออกสั้น ๆ ยาว 1-3 ซม. แยกแขนง 2-4 ช่อ เอกสารอา้ งองิ
แตล่ ะช่อมี 2-4 ดอก ใบประดับรปู ไข่ ยาว 1-2 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 3 มม. Phengklai, C. (2001). Sterculiaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(3): 590.
กลบี เล้ยี งรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 3 มม. ขยายเป็นปีกในผล ดอกสีชมพู กลีบรปู ไข่
หรือแกมรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 1 ซม. รงั ไข่มีขนหนาแน่น ผลรปู รกี วา้ ง
ยาว 0.8-1 ซม. ปลายมตี ่งิ แหลม ปกี ยาว 2 ปกี ยาว 5-7.5 ซม. ปกี ส้ัน 3 ปกี ยาว
2.5-3.5 ซม. (ดูข้อมูลเพ่ิมเติมท่ี พันจำ� , สกลุ )
พบทค่ี าบสมทุ รมลายู สมุ าตรา บอรเ์ นยี ว และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทน่ี ราธวิ าส
ขึ้นตามป่าดิบชื้น ความสูง 200-500 เมตร
เอกสารอา้ งองิ
Ashton, P.S. (1982). Dipterocarpaceae. In Flora Malesiana 9(2): 369.
Symington, C.F. (1938). Notes on Malayan Dipterocarpaceae IV. Gardens’
Bulletin Singapore 9: 347.
จันทนก์ ะพ้อ: เสน้ ใบยอ่ ยแบบขนั้ บนั ได ก้านใบมกั งอเป็นข้อ ช่อดอกแบบชอ่ แยกแขนง ดอกสคี รีม ผลผิวมนี วลแปง้ จนั ทน์ชะมด: โคนใบเว้าตน้ื เบ้ยี วเล็กน้อย เสน้ โคนใบขา้ งละ 1-2 เสน้ ผลมปี กี เดยี ว (ภาพ: แกง่ กระจาน เพชรบรุ ี - SSi)
สีน้�ำตาล กลีบเลี้ยงขยายในผล (ภาพ: cultivated; ภาพดอก - PPr, ภาพผล - MP)
113
จันทน์มว่ ง สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
จันทนม์ ่วง จาก
Myristica elliptica Wall. ex Hook. f. & Thomson Nypa fruticans Wurmb
วงศ์ Myristicaceae วงศ์ Arecaceae
ไม้ตน้ สงู ได้ถงึ 40 ม. แยกเพศตา่ งตน้ โคนต้นมพี พู อนหรือรากค�้ำยนั สงู ปาล์มแตกกอ แยกเพศรว่ มต้น ใบแบบขนนก เรียงเวยี น 4-7 ใบ แกนกลาง
0.5-1 ม. มรี ากหายใจรปู หวั เขา่ เปลอื กมชี อ่ งอากาศกระจาย กง่ิ หอ้ ย ใบเรยี งเวยี น ยาว 6-7 ม. ก้านใบและกาบยาว 1.3-1.8 ม. ใบย่อยมีขา้ งละ 70-80 ใบ เรยี งสลบั
ใบรูปรถี ึงรูปขอบขนาน ยาว 9-32 ซม. แผน่ ใบหนา ดา้ นลา่ งมนี วล กา้ นใบยาว รูปแถบ ยาว 100-120 ซม. โคนตดั กาบหนาแข็งคล้ายเน้อื ไม้ ดา้ นบนเปน็ รอ่ ง
1.5-2.5 ซม. ช่อดอกออกสน้ั ๆ ตามซอกใบ ยาว 1-2.5 ซม. มขี นแบน กา้ นดอก ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนง ยาว 1-1.7 ม. กา้ นชอ่ หนา ยาว 60-90 ซม. ใบประดบั
ยาวประมาณ 3 มม. กลีบรวม 3 กลบี ดอกเพศผูเ้ ป็นหลอดแคบ ๆ ยาว 7-9 มม. คล้ายกาบ ยาว 30-40 ซม. ก้านยาว 20-30 ซม. ช่อดอกยอ่ ยแบบชอ่ เชิงลด ยาว
ปลายแฉกลกึ ประมาณหนึ่งในสาม ดอกเพศเมยี รปู ไข่ ยาว 6-8 มม. เกสรเพศผู้ 7-12 ซม. ช่อดอกเพศผ้มู ี 5-8 ช่อ กลบี เล้ยี งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ 3 กลบี
เชอื่ มตดิ กนั เปน็ เสา้ เกสร อบั เรณรู ปู เสน้ ดา้ ยตดิ กนั เกสรเพศเมยี ไรก้ า้ น ยอดเกสร รูปแถบ ยาวประมาณ 2 มม. เกสรเพศผู้ 3 อนั ก้านชอู ับเรณูเชื่อมติดกนั ยาว 4-5 มม.
เพศเมียจัก 2 พู ตื้น ๆ ผลสด รูปรี ยาว 4.5-7.5 ซม. มขี นละเอยี ด สกุ สเี หลืองอมส้ม ชอ่ ดอกเพศเมียมีชอ่ เดียว ทรงกลม เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 6-8 ซม. ดอกบานหลัง
เปลอื กหนา แตกเปน็ 2 ซีก กา้ นเทยี มยาวไดถ้ งึ 1.2 ซม. ก้านผลยาว 0.5-1 ซม. ดอกเพศผู้ กลีบเลย้ี งและกลบี ดอกยาว 3-4 มม. ยอดเกสรเพศเมยี ตดิ ทน ผลตดิ
มเี มลด็ เดยี ว เป็นมันเงา มีเยื่อห้มุ เปน็ รว้ิ เปน็ กล่มุ อดั แนน่ ผลย่อยรูปไขก่ ลบั ยาว 8-11 ซม. เป็นเหลย่ี มและมสี ัน เปลอื กหนา
มเี ส้นใยเหนยี ว เนอ้ื ในกะลาสีขาวใส
พบท่ีคาบสมุทรมลายู สุมาตรา บอร์เนียว และภาคใต้ตอนล่างของไทยท่ี
นราธิวาส ขนึ้ ตามป่าดิบช้นื ป่าพรุน�้ำจดื และริมฝ่งั แม่น�้ำ ความสูงระดบั ตำ่� ๆ พบทอี่ นิ เดยี ศรลี งั กา เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ออสเตรเลยี ตอนบน และหมเู่ กาะ
แปซฟิ กิ พบตามชายคลองใกลช้ ายฝง่ั ทะเล ปา่ ชายเลน ใบออ่ นตากแหง้ ใชม้ วนยาสบู
สกลุ Myristica Gronov. มีประมาณ 175 ชนดิ พบในเอเชยี เขตรอ้ น ออสเตรเลีย หอ่ ขนม ท�ำท่ตี กั นำ้� หมาจาก ใบแก่ใช้มุงหลังคา เนอ้ื ในเมลด็ กนิ ได้
และหมู่เกาะแปซฟิ ิก ในไทยมี 8 ชนิด ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “myristikos”
กลิ่นหอม และ “myron” นำ้�หอม เน่อื งจากเมลด็ ให้นำ้�มนั มีกลิ่นหอม สกุล Nypa Steck มีชนดิ เดียว และเพียงสกุลเดียวภายใตว้ งศ์ย่อย Nypoideae
ชอื่ สกลุ เป็นภาษามาเลย์ “nipah” ท่ีเรียกพืชชนิดนี้
เอกสารอ้างองิ
de Wilde, W.J.J.O. (2002). Myristicaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(4): 770-771. เอกสารอ้างองิ
Barfod, A.S. and J. Dransfield. (2013). Arecaceae. In Flora of Thailand Vol.
11(3): 455-458.
จนั ทน์มว่ ง: ใบเรยี งเวียน แผ่นใบดา้ นลา่ งมีนวล ผลเปลอื กหนา เมลด็ มีเย่ือหมุ้ เป็นรว้ิ (ภาพ: แวง้ นราธิวาส - MP) จาก: ปาล์มแตกกอ กาบหนาและแข็ง ชอ่ ดอกยอ่ ยแบบชอ่ เชงิ ลด ช่อดอกเพศผมู้ ี 5-8 ช่อ ช่อดอกเพศเมียมชี อ่ เดยี ว
ทรงกลม ผลติดเป็นกลมุ่ อัดแน่น (ภาพตน้ และภาพชอ่ ผล: ระนอง - RP; ภาพชอ่ ดอก: สมุทรสาคร - PK)
จันทร์เชยี งดาว
จากเขา
Pedicularis thailandica T. Yamaz.
วงศ์ Orobanchaceae Eugeissona tristis Griff.
วงศ์ Arecaceae
ไมล้ ้มลุกเบยี นรากพืชอืน่ สงู 40-50 ซม. ล�ำต้นมขี นยาว ใบเรยี งเป็นวงรอบ 4 ใบ
ยาว 3-5 ซม. แฉกลกึ แบบขนนก 5-8 คู่ รปู แถบ ขอบจกั ซีฟ่ นั มขี นยาว ดอกออก ปาลม์ แตกกอ ล�ำตน้ ทอดเลอ้ื ยอยใู่ ต้ดนิ ส่วนมากมรี ากคำ้� ยนั แยกเพศและ
เดยี่ ว ๆ เปน็ กระจกุ 2-4 ดอก ตามซอกใบรอบขอ้ กา้ นดอกสนั้ มาก หลอดกลบี เลย้ี ง มดี อกสมบรู ณ์เพศร่วมตน้ ใบแบบขนนก เรียงเวยี น 7-10 ใบ ยาวไดถ้ ึง 8 ม. กา้ นยาว
เรยี วแคบ ยาวประมาณ 7 มม. ปลายแยกเปน็ 5 กลีบ รปู แถบ ยาวประมาณ 2 มม. ไดถ้ ึง 3 ม. กาบยาวได้ถงึ 1 ม. แกนกลางและก้านใบมหี นามตดิ เป็นกลุ่ม 2-3 อนั
ขอบจักถี่ ดอกสีขาวหรือเหลืองอ่อน มีต่อมขนหนาแน่น หลอดกลีบดอกยาว ยาวได้ถึง 5 ซม. ใบยอ่ ยจำ� นวนมาก เรียงสลบั รูปแถบ ยาว 45-90 ซม. ไรก้ ้าน
ประมาณ 2 ซม. ปลายงุ้มเปน็ หมวกงอเข้า ปลายแหลมหรือแยกเป็น 2 แฉกสัน้ ๆ มขี นแขง็ คลา้ ยหนามตามขอบใบและเสน้ ใบดา้ นบน ชอ่ ดอกคลา้ ยชอ่ เชงิ ลด ยาว
กลีบปากล่างยาวประมาณ 8 มม. แยก 3 กลบี กลีบกลางยาวประมาณ 3 มม. 2.5-5 ม. ก้านชอ่ ยาวไดถ้ ึง 1 ม. ช่อยอ่ ยมี 12-13 ชอ่ ใบประดบั และใบประดับยอ่ ย
กลบี คขู่ า้ งสนั้ กวา่ เลก็ นอ้ ย ผลรปู ไขก่ วา้ ง ยาว 7-8 มม. ปลายเปน็ ตง่ิ แหลม (ดขู อ้ มลู เปน็ กาบซอ้ นกนั หนาแน่น ดอกเพศผแู้ ละดอกสมบูรณเ์ พศคล้ายกนั กา้ นดอกยาว
เพิม่ เติมที่ ชมพูเชียงดาว, สกลุ ) 1-6 ซม. กลบี เลยี้ ง 3 กลบี ยาวประมาณ 2 ซม. กลบี ดอกเช่ือมตดิ กนั เปน็ หลอด ยาว
ประมาณ 6 ซม. ปลายแยก 3 แฉก แขง็ เกสรเพศผู้ 22-27 อนั ผลรปู รี ยาว 7-9 ซม.
พืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคเหนือที่ดอยเชียงดาว และดอยอินทนนท์ ปลายเป็นจะงอย มเี กลด็ สนี ้�ำตาลหนาแน่น เนือ้ ในกะลาสขี าว
จงั หวดั เชยี งใหม่ ขนึ้ ตามเขาหินปูนหรอื ปา่ ดิบเขา ความสงู 1800-2500 เมตร
พบทคี่ าบสมทุ รมลายู และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทย่ี ะลา นราธวิ าส ขน้ึ ตาม
เอกสารอา้ งองิ ทล่ี าดชนั หรอื สนั เขาในปา่ ดบิ ชนื้ ความสงู 200-800 เมตร ชนเผา่ ซาไกใชใ้ บมงุ หลงั คา
Yamazaki, T. (1990). Scrophulariaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(2): 235-237. ทนกว่าใบจาก เน้อื ในเมลด็ กนิ ไดค้ ล้ายจาก
จันทร์เชียงดาว: ใบเรยี งเป็นวงรอบ แฉกลกึ แบบขนนก ดอกออกเดี่ยว ๆ เปน็ กระจุกตามซอกใบรอบขอ้ กลบี ดอก สกุล Eugeissona Griff. อยวู่ งศย์ ่อย Eugeissoneae มี 6 ชนิด พบที่คาบสมุทรมลายู
มตี อ่ มขนหนาแนน่ ปลายงมุ้ เป็นหมวกงอเข้า (ภาพ: ดอยอนิ ทนนท์ เชียงใหม;่ ภาพซา้ ย - SSi, ภาพขวา - RP) และบอรเ์ นียว ในไทยมชี นดิ เดียว ชอ่ื สกุลมาจากภาษากรีก “eu” ดี และ “geisson”
หลงั คา หมายถึงใบใช้ทำ�หลงั คาไดด้ ี
เอกสารอา้ งอิง
Barfod, A.S. and J. Dransfield. (2013). Arecaceae. In Flora of Thailand Vol.
11(3): 414-415.
114
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย จ�ำปาหลวง
จากเขา: ปาลม์ แตกกอหนาแน่น กา้ นมีหนามติดเปน็ กลุ่ม 2-3 อัน ช่อดอกคลา้ ยช่อเชงิ ลด ปลายผลเปน็ จะงอย จำ� ปา: ดอกออกเดีย่ ว ๆ กลีบรวม 15 กลีบ รูปใบหอกกลับ เรยี งหลายวง สีเหลืองอมสม้ แกนอับเรณมู รี ยางคส์ ั้น ๆ
มีเกลด็ สนี ้ำ� ตาลหนาแนน่ (ภาพ: ยะลา; ภาพลำ� ต้น - RP, ภาพกา้ นใบและชอ่ ผล - MP) ผลยอ่ ยแยกกัน (ภาพ: cultivated - SSi)
จามจุรี จ�ำ ปาขอม
Albizia saman (Jacq.) Merr. Polyalthia cauliflora Hook. f. & Thomson var. wrayi (Hemsl.) J. Sinclair
วงศ์ Fabaceae วงศ์ Annonaceae
ช่ือพอ้ ง Mimosa saman Jacq., Samanea saman (Jacq.) Merr. ชื่อพอ้ ง Unona wrayi Hemsl.
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 25 ม. เรอื นยอดแผก่ วา้ ง ใบประกอบยอ่ ยมี 2-5 คู่ มตี อ่ มระหวา่ ง ไมพ้ ุม่ หรือไมต้ ้น สงู ได้ถึง 10 ม. กิง่ มชี อ่ งอากาศ ใบรปู รถี งึ รูปใบหอก ยาว
กา้ นใบ ใบย่อยมี 3-10 คู่ รูปรี หรือรูปส่เี หลยี่ มขนมเปียกปนู เบ้ียว ยาว 1.5-6 ซม. 9-20 ซม. แผ่นใบมขี นสั้นนุม่ ตามเส้นกลางใบ และเสน้ แขนงใบดา้ นล่าง กา้ นใบ
คบู่ นขนาดใหญ่ ปลายมนมตี ง่ิ แหลม โคนกลมหรอื ตดั แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นละเอยี ด ยาว 5-7 มม. ดอกออกเปน็ กระจกุ ตามลำ� ตน้ และกงิ่ กลบี เลย้ี ง 3 กลบี รปู ไขแ่ กม
ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชงิ หลน่ั ดอกกลางชอ่ ไรก้ า้ น กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกจำ� นวนอยา่ งละ รปู สามเหล่ียม ยาว 6-7 มม. กลบี ดอก 6 กลีบ รูปแถบ เรยี ง 2 วง วงนอกยาว 5-8 ซม.
7-8 กลบี หลอดกลบี เลย้ี งยาว 8-9 มม. หลอดกลีบดอกยาวประมาณ 1.2 ซม. วงในยาวกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้ยาวประมาณ 2 มม. รงั ไข่มีขนสน้ั นมุ่ ผลยอ่ ยรูปรี
หลอดเกสรเพศผยู้ าวกวา่ กลบี ดอกเลก็ นอ้ ย ดอกดา้ นขา้ งมกี า้ นสนั้ ๆ ขนาดเลก็ กวา่ ยาว 1.5-2.5 ซม. สกุ สชี มพอู มสม้ กา้ นผลยาว 1-1.5 ซม. มี 1-2 เมลด็ (ดขู อ้ มลู
กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกอยา่ งละ 5 กลบี หลอดเกสรเพศผสู้ นั้ กวา่ กลบี ดอก ฝกั รปู แถบ เพิ่มเติมที่ กระเจียน, สกลุ )
ขอบหนา โค้งเล็กน้อย ยาว 15-20 ซม. ผนังช้ันกลางมเี นอ้ื น่มิ มี 15-25 เมล็ด
รูปรี ยาวประมาณ 1 ซม. (ดูขอ้ มูลเพิม่ เตมิ ท่ี ปันแถ, สกุล) พบทค่ี าบสมทุ รมลายู และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทส่ี งขลา ยะลา และนราธวิ าส
ขึ้นตามป่าดิบชื้น ความสูงประมาณ 100 เมตร ส่วน var. cauliflora พบที่
มถี นิ่ กำ� เนดิ ในอเมรกิ าใต้ เปน็ ไมป้ ระดบั ใหร้ ม่ เงาในเขตรอ้ น ในไทยขน้ึ กระจาย คาบสมทุ รมลายู แผ่นใบเกลี้ยง และมกี า้ นผลยาวกวา่
ในธรรมชาติตามริมแม่น้�ำ และทร่ี าบลุ่มทกุ ภาค ตน้ ใชเ้ ลี้ยงคร่งั ใบใช้ทำ� ป๋ยุ
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอา้ งองิ Sinclair, J. (1955). A revision of the Malayan Annonaceae. Gardens’ Bulletin
Nielsen, I.C. (1985). Leguminosae-Mimosoideae. In Flora of Thailand Vol. 4(2): Singapore 14(2): 292-296.
202-204.
จามจุร:ี เรือนยอดแผ่กว้าง ใบประกอบ 2 ชนั้ ใบย่อยเบ้ยี ว โคนกลมหรอื ตดั ชอ่ ดอกแบบช่อเชิงหล่ัน (ภาพ: จำ� ปาขอม: ดอกออกเปน็ กระจุกตามลำ� ต้น กลีบดอก 6 กลีบ รูปแถบ วงในยาวกว่าวงนอกเล็กน้อย ผลยอ่ ยสกุ
cultivated - RP) สีชมพูอมสม้ (ภาพดอก: บันนังสตา ยะลา - RP; ภาพผล: แว้ง นราธวิ าส - MT)
จำ�ปา จำ�ปาหลวง
Magnolia champaca (L.) Baill. ex Pierre Magnolia utilis (Dandy) V. S. Kumar
วงศ์ Magnoliaceae
ช่ือพอ้ ง Manglietia utilis Dandy
ชือ่ พ้อง Michelia champaca L.
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 30 ม. หใู บแนบตดิ กา้ นใบประมาณกงึ่ หนงึ่ ใบรปู รี รปู ขอบขนาน
ไม้ต้น สูงได้ถึง 30 ม. หูใบแนบติดก้านใบมากกว่าก่ึงหนึ่ง ใบรูปไข่ ยาว หรอื แกมรปู ไข่กลบั ยาว 15-35 ซม. ปลายแหลมยาว ยาวไดถ้ ึง 1.5 ซม. แผ่นใบดา้ นลา่ ง
10-30 ซม. ปลายแหลมยาว ยาวได้ถึง 2.5 ซม. แผ่นใบด้านลา่ งมขี น เสน้ แขนงใบ มักมีนวล ก้านใบยาว 1.5-4.5 ซม. ช่อดอกยาว 2-4 ซม. ออกท่ีปลายกง่ิ กา้ นดอกสั้น
เรียงจรดกันเปน็ เส้นขอบใน ก้านใบยาว 1.5-4 ซม. ช่อดอกออกตามปลายกิ่งงัน หรือยาวได้ถงึ 1.2 ซม. ดอกมกี ลนิ่ หอมแรง สเี หลืองอมเขียว โคนเปลีย่ นเปน็ สีแดง
ยาว 1-1.8 ซม. มีดอกเดียว ก้านดอกส้ันมาก ดอกมีกลิน่ หอมแรง สีเหลืองอมสม้ ก่อนร่วง มี 9 กลีบ เรยี ง 3 วง ขนาดลดหลน่ั จากวงนอกสวู่ งใน กลบี วงนอกรูปไข่กลับ
มี 15 กลบี เรียงหลายวง ยาวเทา่ ๆ กัน รปู ใบหอกกลบั ยาว 2-4 ซม. เกสรเพศผู้ ยาว 3-8 ซม. เกสรเพศผยู้ าว 1.2-2 ซม. รวมแกนอบั เรณทู เ่ี ปน็ รยางค์ คารเ์ พลยาว
ยาว 6-8 มม. แกนอับเรณมู ีรยางคส์ ้นั ๆ ผลยาว 7-15 ซม. ผลย่อยแยกกนั ยาว 1.8-2.2 ซม. ผลยาว 4-13 ซม. เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 2-4 ซม. ก้านยาว 2-4 ซม. ผลย่อย
1-1.5 ซม. แต่ละผลยอ่ ยมี 2-4 เมลด็ ผวิ ยน่ (ดขู อ้ มูลเพมิ่ เตมิ ที่ จำ� ป,ี สกลุ ) เรยี งชดิ กัน แห้งแยกกัน ยาว 1.2-1.8 ซม. มี 2-11 เมลด็ รูปรี ยาว 4-6 มม.
มีถ่ินก�ำเนิดในอินเดีย เป็นไม้ประดับท่ัวไปในเอเชียเขตร้อน แยกเป็น var. พบท่ีพม่า คาบสมุทรมลายู และบอร์เนียว ในไทยพบกระจายห่าง ๆ ทาง
pubinervia (Blume) Figlar & Noot. พบทางภาคใต้ ต้นสงู ได้ถึง 50 ม. ใบรปู รี ภาคเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ข้ึนตามป่าดิบแล้ง และป่าดิบช้ืน
ปลายแหลมสน้ั สว่ นจำ� ปาขาว เปน็ ลกู ผสม M. champaca x baillonii คำ� ระบชุ นดิ ความสูง 600-1000 เมตร
มาจากภาษาสันสกฤต และเป็นทีม่ าของชอ่ื ไทย
เอกสารอา้ งองิ
Nooteboom, H.P. and P. Chalermglin. (2009). The Magnoliaceae of Thailand.
Thai Forest Bulletin (Botany) 37: 118-120.
115
จ�ำปี สารานกุ รมพืชในประเทศไทย
จ�ำ ป,ี สกุล จำ�ปีปา่
Magnolia L. Magnolia baillonii Pierre
วงศ์ Magnoliaceae ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 35 ม. หใู บแนบตดิ กา้ นใบนอ้ ยกวา่ กงึ่ หนง่ึ ใบรปู รี รปู ไข่ หรอื
ไม้พมุ่ หรอื ไมต้ ้น ก่ิงมักมชี อ่ งอากาศ หใู บหมุ้ ยอด รว่ งเรว็ ทิ้งรอยชดั เจน รปู ขอบขนาน ยาว 6-25 ซม. ปลายแหลมส้ัน ๆ แผน่ ใบดา้ นลา่ งมีขน กา้ นใบยาว
ใบเรยี งเวยี น แผน่ ใบหนา ชอ่ ดอกออกตามยอด ซอกใบ หรอื ปลายกง่ิ งนั (brachyblast) 1.5-3.5 ซม. ช่อดอกยาว 1-1.5 ซม. กา้ นดอกยาวประมาณ 5 มม. ดอกมกี ลิ่นหอม
สว่ นมากมดี อกเดยี ว กา้ นดอกหนา ใบประดบั รว่ งเรว็ ทง้ิ รอยชดั เจน กลบี รวมหนา สขี าว มี 15-21 กลบี เรยี งหลายวง รปู ใบหอกแคบ กลบี วงในสน้ั กวา่ วงนอก ยาว
มี 6-36 กลีบ เรยี งเปน็ วง ๆ เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก เรยี งเวยี นอดั แน่น ก้านชอู ับเรณูสนั้ 2.5-3.5 ซม. เกสรเพศผูย้ าว 4-5 มม. รวมแกนอบั เรณทู ่เี ป็นรยางค์ คารเ์ พลจำ� นวนมาก
แกนอบั เรณเู ปน็ รยางคส์ นั้ ๆ วงเกสรเพศเมยี สว่ นมากมกี า้ นชู คารเ์ พลจำ� นวนมาก ยาว 5-8 มม. กา้ นยาว 3-5 มม. ผลรปู รหี รือรูปทรงกระบอก ยาว 6-10 ซม. มีกา้ น
แยกกนั หรอื ออกจากจดุ เดยี วกนั ออวลุ มหี ลายเมด็ ผลกลมุ่ เชอ่ื มตดิ กนั หรอื แยกกนั สนั้ ๆ ผลยอ่ ยเชอื่ มตดิ กนั แตกออก แกนกลางติดทน
เมล็ดมเี ยอื่ หมุ้
พบทจ่ี นี ตอนใต้ พมา่ และเวยี ดนาม ในไทยพบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออก
สกุล Magnolia นบั ว่าเปน็ สกุลพืชโบราณ จากลักษณะทไ่ี ม่มกี ลีบดอกที่แทจ้ รงิ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นตามปา่ ดบิ แลง้ และป่าดิบเขา ความสงู ถึงประมาณ
เดมิ แยกเปน็ หลายสกลุ เชน่ Manglietia, Michelia และ Talauma เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั มเี พยี ง 1300 เมตร
2 สกลุ สกลุ Magnolia มมี ากกวา่ 225 ชนิด พบในเขตรอ้ นและเขตอบอุน่ ในไทยเปน็
พืชพน้ื เมืองมากกวา่ 20 ชนิด หลายชนดิ เปน็ ไม้ประดับ สว่ นอกี สกุลคอื Liriodendron L. จำ�ปีเพชร
พบในอเมริกาเหนือ และจีน มี 2 ชนิด ชื่อสกุลตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส
Pierre Magnol (1638-1715) Magnolia mediocris (Dandy) Figlar
จ�ำ ปี ช่อื พอ้ ง Michelia mediocris Dandy
Magnolia x alba (DC.) Figlar ไม้ตน้ สงู ได้ถึง 35 ม. มขี นตามกิ่ง หใู บ แผ่นใบดา้ นล่าง กิง่ งัน และก้านผล
หใู บตดิ ท่ีโคนก้านใบ ยาว 1-1.5 ซม. ใบรปู รีหรอื รูปขอบขนาน ยาว 6-13 ซม.
ชือ่ พ้อง Michelia × alba DC. ปลายแหลมยาว ยาว 0.7-2 ซม. กา้ นใบยาว 1.5-3 ซม. ชอ่ ดอกยาวประมาณ 1 ซม.
ก้านดอกสนั้ ดอกสขี าวหรือมลี ายชมพู มี 9 กลบี เรยี ง 2 วง รปู ขอบขนานหรอื
ไมต้ ้น สงู ได้ถงึ 30 ม. กิ่งมีขนสัน้ น่มุ โคนหใู บแนบติดกา้ นใบเกินกึง่ หน่งึ รูปใบหอก กลบี วงนอก ยาว 1.8-2.2 ซม. กลบี วงในสนั้ กวา่ เลก็ นอ้ ย เกสรเพศผู้ยาว
ใบรูปไข่ ยาว 15-35 ซม. ปลายแหลมยาว 0.7-3 ซม. แผ่นใบด้านล่างมขี นส้นั 1-1.5 ซม. อบั เรณยู าว 0.8-1.4 ซม. แกนอับเรณูเป็นรยางค์ ยาว 3-4 มม. มี 7-14
เส้นแขนงใบเรียงจรดกันเป็นเส้นขอบใน ก้านใบยาว 1.5-5 ซม. ช่อดอกยาว คาร์เพล ผลรปู ทรงกระบอก ยาว 2-5 ซม. ผลย่อยแยกกัน ยาว 1-2 ซม.
1-1.7 ซม. ก้านดอกส้นั ดอกมีกลิ่นหอมแรง สขี าว มี 10-14 กลบี เรียงหลายวง
ยาวเท่า ๆ กนั รปู ใบหอกกลบั ยาว 1.5-5 ซม เกสรเพศผยู้ าวประมาณ 1 ซม. รวม พบทจ่ี ีนตอนใต้ และภมู ภิ าคอินโดจนี ในไทยพบทางภาคตะวันตกเฉยี งใตท้ ี่
แกนอับเรณู กา้ นวงเกสรเพศเมียยาว 4-7 มม. มี 8-12 คารเ์ พล ส่วนมากไมต่ ิดผล แกง่ กระจาน จงั หวดั เพชรบรุ ี ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ ทคี่ อ่ นขา้ งชนื้ ความสงู 400-1000 เมตร
พบเฉพาะเปน็ ไม้ประดบั เขา้ ใจว่าเปน็ ลกู ผสมระหวา่ ง M. champaca (L.) จำ�ปสี ริ นิ ธร
Baill. ex Pierre กบั M. montana (Blume) Figlar & Noot. ใบมีสรรพคณุ
เปน็ ยาปฏิชีวนะ แต่อาจท�ำให้เปน็ หมนั Magnolia sirindhorniae Noot. & Chalermglin
ไมต้ น้ สงู ไดถ้ งึ 30 ม. หใู บตดิ กา้ นใบประมาณกงึ่ หนง่ึ ใบรปู รหี รอื รปู ขอบขนาน
จ�ำ ปีแขก
ยาว 11-26 ซม. ปลายแหลมมน แผน่ ใบด้านล่างมขี นประปราย ก้านใบยาว 2.5-4 ซม.
Magnolia figo (Lour.) DC. ชอ่ ดอกยาว 1.3-2.2 ซม. ก้านดอกสั้น ดอกสีครีมอมเหลือง มี 12-15 กลีบ เรียง 2 วง
รูปขอบขนานหรือรปู ใบหอก วงนอก 3-4 กลบี ยาว 3-4.5 ซม. วงใน 8-12 กลีบ
ช่อื พ้อง Liriodendron figo Lour., Michelia figo (Lour.) Spreng. เรียวแคบกวา่ เลก็ น้อย เกสรเพศผ้ยู าว 0.6-1.2 ซม. กา้ นชอู บั เรณยู าว 3.5-4 มม.
แกนอับเรณเู ปน็ รยางค์ รปู สามเหลีย่ ม ยาวประมาณ 1 มม. มี 25-35 คาร์เพล
ไม้พุม่ ส่วนมากสงู 2-3 ม. แตกกิง่ หนาแน่น มขี นสั้นนุม่ ตามกิ่งออ่ น ตายอด ก้านยาว 0.8-1 ซม. ขยายในผล ผลย่อยแยกกัน ยาว 1-1.4 ซม.
ก้านใบ เส้นแขนงใบด้านล่าง กิ่งงัน และใบประดับ โคนหูใบแนบติดก้านจรด
ปลายกา้ น ใบรปู รี รปู ไข่ หรอื รปู ไข่กลับ ยาว 3-10 ซม. ปลายแหลมมีตง่ิ ก้านใบยาว พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทภี่ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทเ่ี ลย ภาคตะวนั ออกทชี่ ยั ภมู ิ
2-4 มม. ชอ่ ดอกออกส้นั ๆ ใบประดบั หนา ดอกมกี ลิ่นหอม สีครมี มี 6 กลีบ เรยี ง 2 วง และภาคกลางทลี่ พบรุ ี ขน้ึ ตามปา่ พรนุ ำ�้ จดื ความสงู ถงึ ประมาณ 200 เมตร คำ� ระบุ
รปู รี หนา ยาว 1.2-2 ซม เกสรเพศผู้ยาว 7-8 มม. แกนอบั เรณปู ลายแหลม ชนิดเพ่ือเทิดพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี
ก้านวงเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 7 มม. คาร์เพลเกลยี้ ง ผลรูปไข่กวา้ ง ยาว 2-3.5 ซม.
เอกสารอา้ งอิง
มถี ่ินกำ� เนดิ ทจ่ี นี เป็นไมป้ ระดบั ทว่ั ไปในเขตรอ้ น บางครง้ั พบสายพนั ธดุ์ อกสี Nooteboom, H.P. and P. Chalermglin. (2009). The Magnoliaceae of Thailand.
ม่วงหรืออมชมพู มสี รรพคุณชว่ ยฟื้นฟรู า่ งกายหลงั คลอด Thai Forest Bulletin (Botany) 37: 111-138.
Xia, N., Y. Liu and H.P. Nooteboom. (2008). Magnoliaceae. In Flora of China
จ�ำ ปถี นิ่ ไทย Vol. 7: 80, 87, 90
Magnolia koordersiana (Noot.) Figlar จ�ำปาหลวง: ช่อดอกออกท่ปี ลายกง่ิ กลีบรวม 9 กลบี เรยี ง 3 วง ขนาดลดหลนั่ จากวงนอกสู่วงใน (ภาพ: แวง้
นราธวิ าส - NP)
ชื่อพอ้ ง Michelia koordersiana Noot.
ไม้ตน้ สูงได้ถงึ 30 ม. หใู บติดที่โคนก้านใบ ยาว 1-1.5 ซม. ใบรูปรหี รือรูปไข่กลบั
ยาว 6-23 ซม. ปลายแหลมยาว มกั เบี้ยว ก้านใบยาว 1-2 ซม. ชอ่ ยาวประมาณ 1.5 ซม.
กา้ นดอกสนั้ ดอกสีเหลือง มี 9 กลีบ เรียง 2 วง รูปใบหอกแคบ กลีบวงนอก 3 กลีบ
ยาว 1.2-2.2 ซม. กลบี วงใน 6 กลบี หนากวา่ เกสรเพศผยู้ าว 5-7 มม. รวมแกน
อับเรณูท่ีเป็นรยางค์ คาร์เพล 8-12 อนั มีขนสนั้ สเี ทา กา้ นยาว 4-6 มม. ผลรปู
ทรงกระบอก กา้ นยาวประมาณ 4.5 ซม. ผลยอ่ ยแยกกัน ยาว 1.5-2.5 ซม. แต่ละผล
มี 1-2 เมล็ด เยอื่ ห้มุ เมลด็ สแี ดง
พบท่ีคาบสมทุ รมลายู และสุมาตรา ในไทยพบกระจายหา่ ง ๆ ทางภาคใตท้ ่ี
ชมุ พร สงขลา พังงา นราธวิ าส ขึน้ ตามสนั เขาหรือทลี่ าดชันในป่าดบิ ช้นื ความสูงถึง
ประมาณ 700 เมตร
116
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย จำ� ลา
จ�ำปี: กลีบรวม 10-14 กลีบ (ภาพซ้าย: พุแค สระบรุ ี - SSi); จ�ำปีแขก: แตกกิ่งหนาแน่น กลบี รวม 6 กลบี เรยี ง 2 วง จำ�ปูน, สกุล
คาร์เพลเกลย้ี ง แกนอับเรณูปลายแหลม (ภาพขวา: cultivated - RP)
Anaxagorea A. St.-Hil.
จำ� ปถี น่ิ ไทย: กลบี รวม 9 กลบี เรียง 2 วง รูปใบหอกแคบ ๆ ผลย่อยแยกกนั เยือ่ หมุ้ เมล็ดสแี ดง (ภาพ: สุคริ นิ วงศ์ Annonaceae
นราธิวาส - MP)
ไมพ้ ่มุ หรอื ไมต้ น้ ใบเรียงเวยี น ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรือเป็นช่อสั้น ๆ ตามซอกใบ
จำ� ปีป่า: หูใบแนบตดิ ก้านใบน้อยกว่ากง่ึ หนึ่ง กลบี รวม 15-21 กลบี เรียงหลายวง รูปใบหอกแคบ กลบี วงในส้นั กวา่ หรอื ตามลำ� ต้น กลบี เล้ยี ง 2-3 กลบี กลบี ดอก 6 กลบี เรยี ง 2 วง หรือลดรูปเหลือ
วงนอก (ภาพ: เขาใหญ่ ปราจีนบรุ ี - SSi) 2-3 กลบี กลบี หนา เกสรเพศผจู้ ำ� นวนมาก อบั เรณตู ดิ หนั ออก แกนอบั เรณมู รี ยางค์
คารเ์ พลแยกกนั แต่ละคาร์เพลมีออวุล 2 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมียมีหลายรูปแบบ
ยอดเกสรรูปตัวยู ผลย่อยรปู กระบอง แยกกนั มกี า้ น แห้งแล้วแตก มี 1-2 เมล็ด
เปน็ มันวาว
สกลุ Anaxagorea มปี ระมาณ 27 ชนดิ สว่ นใหญพ่ บในอเมรกิ ากลางและอเมรกิ าใต้
ในไทยมี 2 ชนิด อีกชนิดคอื ก�ำลังวัวเถลิง A. luzonensis A. Gray ชือ่ สกุลตง้ั ตาม
นกั ปรชั ญาชาวกรีก Anaxagoros (b.c. 500 BC)
จ�ำ ปนู
Anaxagorea javanica Blume
ไม้พุ่ม สงู ไดถ้ งึ 5 ม. ใบรูปรีหรือรปู ขอบขนาน ยาว 10-20 ซม. กา้ นใบยาว
0.5-1 ซม. แตล่ ะชอ่ มีไดถ้ ึง 4 ดอก ก้านดอกยาวประมาณ 1 ซม. ใบประดบั 1 คู่
กลบี เลย้ี งรปู รี ยาวประมาณ 7 มม. ขอบบาง ดอกสขี าวอมเขยี ว หนา กลบี วงนอก
รูปไข่ ยาว 1.8-2 ซม. มีกา้ นกลบี สน้ั ๆ กลีบวงในรปู สี่เหล่ียมขา้ วหลามตัด ยาว
ประมาณ 1.5 ซม. เกสรเพศผยู้ าวประมาณ 4 มม. อันท่ีเป็นหมันอยู่ดา้ นใน ยาว
ประมาณ 6 มม. กา้ นชอู บั เรณูส้ัน มี 8-9 คาร์เพล เปน็ เหลย่ี ม ยาวประมาณ 3 มม.
มีผลยอ่ ย 4-8 ผล รูปกระบอง ยาว 2.5-3 ซม. มีกา้ นสั้น ๆ เมลด็ แบน เว้า ยาว
ประมาณ 2 ซม.
พบทคี่ าบสมทุ รมลายู บอรเ์ นยี ว และชวา ในไทยพบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้
ทจี่ นั ทบรุ ี และภาคใตต้ ง้ั แตส่ รุ าษฎรธ์ านลี งไป ขน้ึ ตามปา่ ดบิ ชน้ื ความสงู ระดบั ตำ�่ ๆ
เปน็ ไมป้ ระดับ ดอกมีกล่ินหอมแรง บ�ำรุงหวั ใจ แยกเป็น var. tripetala Corner
หรอื จำ� ปนู เบตง กลบี ดอกมี 3 กลีบ
เอกสารอา้ งอิง
Li, B. and M.G. Gilbert. (2011). Annonaceae (Anaxagorea). In Flora of China
Vol. 19: 673.
Sinclair, J. (1955). A revision of the Malayan Annonaceae. Gardens’ Bulletin
Singapore 14(2): 346-349.
จำ� ปเี พชร: ดอกสีขาวหรือมีลายชมพู มี 9 กลีบ เรียง 2 วง รูปขอบขนานหรอื รูปใบหอก กลีบวงในสนั้ กวา่ เล็กนอ้ ย จำ� ปูน: กลบี เลย้ี ง 2-3 กลีบ กลบี ดอกหนา มี 6 กลีบ เรียง 2 วง ผลรวมมผี ลยอ่ ย 4-8 ผล รูปกระบอง แยกกัน
ผลรูปทรงกระบอก (ภาพ: แก่งกระจาน เพชรบุร;ี ภาพดอก - PK, ภาพผลอ่อน - TT) (ภาพ: เขาหลวง นครศรธี รรมราช - SSi)
จำ� ปสี ริ ินธร: ดอกสีครีมอมเหลอื ง มี 12-15 กลบี วงนอก 3-4 กลีบ วงใน 8-12 กลีบ เรียวแคบกวา่ เลก็ นอ้ ย จ�ำ ลา
(ภาพ: ซบั จ�ำปา ลพบุรี - NN)
Magnolia praecalva (Dandy) Figlar & Noot.
วงศ์ Magnoliaceae
ชอ่ื พอ้ ง Pachylarnax praecalva Dandy
ไมต้ น้ สงู ได้ถงึ 50 ม. มพี พู อน หูใบขนาดใหญ่ติดทีโ่ คนกา้ นใบ ใบรปู รีหรือ
รปู ขอบขนาน ยาว 5-20 ซม. ปลายมน เว้าตืน้ ๆ แผน่ ใบหนา กา้ นใบยาว 1-3 ซม.
ก้านช่อดอกยาว 0.5-2 ซม. มี 1-3 ขอ้ กา้ นดอกยาว 1-3 มม. กลีบรวมสว่ นมาก
มี 9 กลบี รปู ขอบขนาน ยาว 2.5-3 ซม. เกสรเพศผูจ้ �ำนวนมาก ยาว 1.7-2 ซม.
แกนอับเรณรู ปู สามเหล่ียม ยาว 2-3 มม. คาร์เพล 2-4 อัน ไมม่ กี า้ น อยูภ่ ายใน
วงเกสรเพศผู้ ผลยอ่ ยเชื่อมตดิ กัน รปู กลม เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 3-4.5 ซม. เปลือกหนา
แตกเปน็ 2-4 สว่ น เมล็ดมีเยือ่ ห้มุ สแี ดง (ดขู ้อมลู เพิม่ เติมที่ จำ� ป,ี สกุล)
พบทอี่ นิ เดยี คาบสมทุ รมลายู และภาคใตต้ อนลา่ งของไทยทพี่ งั งา สงขลา สตลู
และยะลา ขึ้นตามสนั เขาในปา่ ดิบชืน้ ความสูง 400-800 เมตร
117
จิกน�้ำ สารานกุ รมพืชในประเทศไทย
เอกสารอา้ งอิง ยาว 0.8-2 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยขนาดเล็ก กา้ นดอกสว่ นมากยาว 2-4 ซม. ฐานดอก
Nooteboom, H.P. and P. Chalermglin (2009). The Magnoliaceae of Thailand. ยาว 1-1.5 ซม. เปน็ ส่ีเหลย่ี ม กลบี เลี้ยงแยก 2 ส่วนไม่เท่ากัน รูปรี ยาว 2.5-4 ซม.
Thai Forest Bulletin (Botany) 37: 131. ปลายมีติ่งแหลม ดอกสีขาวอมชมพู กลบี รูปรี ยาว 5-8.5 ซม. ปลายกลีบมน หรอื
Sawangchote, P., P. Sirirugsa, J. Leerativong, K. Sridith, T. Saknimit, L. เวา้ ต้นื ๆ เกสรเพศผู้เรียง 6 วง ยาวได้ถึง 9.5 ซม. วงในยาว 2-3.5 ซม. จานฐานดอก
Eksomtramage and S. Jornead. (1999). Pachylarnax praecalva Dandy เป็นวงหนา กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 9-13.5 ซม. ผลรปู ไข่ โคนกวา้ งเป็นเหล่ยี ม
(Magnoliaceae): a new record for Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) ยาว 8-11 ซม. ปลายเรยี วจรดกลบี เลย้ี ง มีเมลด็ เดยี ว รปู ขอบขนาน ยาว 4-5 ซม.
27: 41-45.
พบท่ีมาดากสั การ์ อินเดยี ศรลี งั กา ไตห้ วนั ญี่ปนุ่ กมั พชู า เวียดนาม ภูมิภาค
จำ� ลา: โคนต้นมีพพู อน ปลายใบมน เวา้ ตนื้ ๆ ผลยอ่ ยเชือ่ มตดิ กัน รูปกลม เปลอื กหนา (ภาพ: เขา 1490 ยะลา - RP) มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลียตอนบน และหมู่เกาะแปซิฟิก ในไทยพบตาม
ชายฝง่ั ทะเลทง้ั ฝง่ั อนั ดามนั และอา่ วไทย บางครงั้ เปน็ ไมป้ ระดบั ผลทบุ ใชเ้ บอ่ื ปลา
จิกน�้ำ , สกุล
จกิ สวน
Barringtonia J. R. Forst. & G. Forst.
วงศ์ Lecythidaceae Barringtonia racemosa (L.) Spreng.
ไม้พ่มุ หรือไมต้ น้ หูใบขนาดเล็ก ร่วงเรว็ ใบเรยี งเวยี น มักเรียงหนาแน่นช่วง ช่ือพอ้ ง Eugenia racemosa L.
ปลายกงิ่ ขอบจกั ฟนั เลอ่ื ยหรอื เรยี บ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะหอ้ ยลงหรอื ตงั้ ขน้ึ แบบ
ชอ่ เชงิ ลด หรอื ดอกออกเปน็ กระจกุ ออกตามซอกใบ ปลายกง่ิ หรอื ตามกง่ิ โคนชอ่ ดอก ไมต้ ้น สงู ได้ถึง 20 ม. ใบรปู ไข่กลบั หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 14-42 ซม.
มกั มเี กลด็ ประดับ (cataphylls) ดอกจ�ำนวนมาก ฐานดอกมักเปน็ สเ่ี หล่ยี มหรือ ปลายแหลมยาว โคนรปู ลม่ิ มน หรอื เวา้ ตนื้ แผน่ ใบคอ่ นขา้ งบาง ขอบจกั ฟนั เลอื่ ย
เปน็ ปกี กลบี เลย้ี งจกั ตนื้ ๆ 2-5 กลบี หรอื แฉกลกึ จรดโคน 4-5 กลบี เรยี งซอ้ นเหลอ่ื ม เสน้ แขนงใบขา้ งละ 10-20 เสน้ กา้ นใบยาว 0.5-1.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ
ในตาดอก ติดทน กลีบดอกสว่ นมากมี 4 กลีบ ติดระหว่างกลบี ดอก เชอื่ มตดิ เสา้ หอ้ ยลง ยาวได้ถงึ 1 ม. ใบประดบั รูปสามเหลีย่ ม ยาว 5-6 มม. ก้านดอกยาวได้ถึง
เกสรเพศผู้ เกสรเพศผ้จู ำ� นวนมาก เรียงหลายวง เช่อื มตดิ กนั ทโ่ี คน วงในมักลดรูป 1.5 ซม. ฐานดอกยาว 0.4-1.2 ซม. เรยี บ กลบี เล้ยี งรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ยาว
อบั เรณูติดที่ฐาน มี 2 ช่อง หนั ออก จานฐานดอกเป็นวง บางหรือหนา รังไขใ่ ต้วงกลบี 0.6-1.3 ซม. ดอกสชี มพหู รอื ขาวมีป้นื ชมพู กลบี รปู รี ยาว 1.5-2.5 ซม. เกสรเพศผู้
มี 2-4 ชอ่ ง แตล่ ะช่องมอี อวุล 2-6 เม็ด เกสรเพศเมียรูปเสน้ ดา้ ย ติดทน ผลเปลือกบาง เรยี ง 5-6 วง ยาว 3.5-4 ซม. วงในยาว 1-2.5 ซม. กา้ นเกสรเพศเมียยาว 3-6.5 ซม.
ผนงั ช้นั ในหนาเป็นเส้นใยหรือคล้ายฟองนำ้� ผลรปู รี เป็นเหลยี่ มมน ๆ ยาว 5-9 ซม. มีเมลด็ เดียว รปู ไข่ ยาว 2-4 ซม.
สกลุ Barringtonia อย่ภู ายใตว้ งศ์ยอ่ ย Barringtonioideae มปี ระมาณ 70 ชนิด พบ พบในแอฟรกิ า มาดากสั การ์ เซเชลส์ เอเชยี ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ
ในแอฟรกิ า มาดากัสการ์ เอเชยี ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซฟิ ิก ในไทยมี 11 ชนิด ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามชายปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ มกั ขน้ึ ใกลแ้ หลง่ นำ้� ความสงู
ชือ่ สกุลต้งั ตามนักธรรมชาตวิ ทิ ยาชาวอังกฤษ Daines Barrington (1727-1800) ถงึ ประมาณ 1000 เมตร
จกิ น�ำ้ จกิ ใหญ่
Barringtonia acutangula (L.) Gaertn. Barringtonia angusta Kurz
ไม้ต้น สงู ได้ถงึ 20 ม. ใบรูปใบหอกกลับ ยาว 30-70 ซม. ปลายมตี ิ่งแหลม
ชื่อพอ้ ง Eugenia acutangula L.
โคนรูปลิ่ม แผน่ ใบบาง ขอบจกั ฟันเลอื่ ย เสน้ แขนงใบข้างละ 18-30 เสน้ กา้ นใบ
ไมต้ น้ สูงได้ถึง 20 ม. ใบรูปไขก่ ลบั หรอื แกมรูปขอบขนาน ยาว 5-26 ซม. ยาว 0.5-1.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ เชิงลด ห้อยลง ยาวได้ถึง 2.5 ม. ใบประดบั รปู
ปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนสอบเรยี ว แผ่นใบหนา ขอบจกั ฟนั เล่ือย เส้นแขนงใบ สามเหล่ียมหรอื แกมรปู ขอบขนาน ยาวไดถ้ ึง 1.5 ซม. ดอกไร้ก้าน ฐานดอกยาว
ขา้ งละ 10-20 เสน้ กา้ นใบยาวไดถ้ งึ 1.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะหอ้ ยลง ยาว 0.6-1.2 ซม. กลบี เลยี้ งยาว 0.6-1 ซม. มีขนสน้ั นมุ่ ดอกสคี รมี อมชมพู กลบี รูปรี
ได้ถึง 70 ซม. กา้ นดอกส้ัน หรือยาวไดถ้ ึง 1 ซม. ฐานดอกยาว 1-4 มม. กลีบเลีย้ งรปู รี กว้างหรือคลา้ ยรูปใบพาย ยาว 1.5-3 ซม. เกสรเพศผู้เรยี ง 5-7 วง ยาว 3.5-5 ซม.
กวา้ ง ยาว 3-5 มม. ดอกสชี มพูหรืออมแดง กลีบรปู กลมหรอื รปู ใบพาย ยาว 0.5-1 ซม. วงในยาว 0.7-2 ซม. ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 5-7 ซม. ผลรูปขอบขนาน ยาว 7-8 ซม.
เกสรเพศผเู้ รยี ง 3 วง วงนอกยาวไดถ้ งึ 2.5 ซม. วงในยาว 3-6 มม. กา้ นเกสรเพศเมีย สนั ปีกกวา้ ง 2-5 มม. มเี มลด็ เดยี ว รปู ไข่ ยาวประมาณ 2.2 ซม.
ยาว 1-2 ซม. ผลรปู รีแคบ รปู ไข่ หรอื เกือบกลม ยาว 2-6 ซม. สว่ นมากมีสัน
หรือครบี 4-8 สัน มีเมลด็ เดียว รปู ไข่ ยาว 1-4 ซม. พบทพ่ี ม่า เวยี ดนาม คาบสมุทรมลายู ในไทยพบทางภาคเหนอื ที่แม่ฮ่องสอน
ตาก ภาคตะวนั ออกเฉยี งใตท้ ต่ี ราด และภาคใต้ ขนึ้ รมิ ลำ� ธารในปา่ ดบิ แลง้ และปา่ ดบิ ชนื้
พบทอ่ี นิ เดยี อฟั กานสิ ถาน ปากสี ถาน บงั กลาเทศ พมา่ ภมู ภิ าคมาเลเซยี นวิ กนิ ี ความสูงถงึ ประมาณ 500 เมตร เป็นไม้ประดับ มชี ่ือการคา้ วา่ จกิ เศรษฐี
ออสเตรเลยี ตอนบน และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามรมิ นำ�้ ความสงู
ถงึ ประมาณ 400 เมตร บางคร้งั แยกเปน็ subsp. spicata (Blume) Payens เอกสารอ้างอิง
ดอกไรก้ ้าน ผลรปู กลม สันเป็นเหล่ียม ไมพ่ บในเอเชยี ใต้ และออสเตรเลีย Chantaranothai, P. (1995). Barringtonia (Lecythidaceae) in Thailand. Kew Bulletin
50(4): 677-694.
จิกเล Prance, G.T. (2012). Lecythidaceae. In Flora of Peninsular Malaysia Vol. 3:
175-221.
Barringtonia asiatica (L.) Kurz
จิกน้�ำ: ขอบใบจกั ฟนั เล่อื ย ช่อดอกแบบชอ่ กระจะห้อยลง เกสรเพศผูเ้ รียง 3 วง ผลรูปรแี คบ มสี ันหรอื ครบี (ภาพดอก:
ชอ่ื พอ้ ง Mammea asiatica L. แกง่ กระจาน เพชรบรุ ,ี ภาพผล: ชมุ พร; - MP)
ไม้ตน้ สงู ได้ถงึ 30 ม. ใบรปู ไขก่ ลับ หรอื แกมรูปขอบขนาน ยาว 15-52 ซม.
ปลายมน บางครงั้ มตี งิ่ แหลม ขอบเรยี บ แผน่ ใบหนา เสน้ แขนงใบขา้ งละ 6-10 เสน้
ไรก้ า้ นหรอื ยาวไดถ้ งึ 5 มม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ออกตามปลายกงิ่ ตง้ั ขน้ึ ยาว
ไดถ้ งึ 20 ซม. มี 3-20 ดอก เกล็ดประดับรปู รี ยาว 1.5-3 ซม. ใบประดบั รปู ไข่
118
สารานุกรมพชื ในประเทศไทย จงิ จอ้ แดง
จกิ เล: ใบเรยี งเวียนหนาแน่นชว่ งปลายกิ่ง ไร้ก้าน ช่อดอกออกตามปลายกิ่ง ผลขนาดใหญ่ โคนกวา้ งเป็นเหลี่ยม 4.5 ซม. 3 กลบี ในรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 4 ซม. ดอกรปู ระฆัง สีขาว ยาว
ปลายเรียวจรดกลีบเล้ยี งทขี่ ยาย (ภาพ: cultivated - RP) 7.5-9 ซม. มี 5 กลบี ปลายกลบี รปู สามเหลยี่ ม ปลายเรยี วแหลม เกสรเพศผู้ 5 อัน
จดุ ตดิ บนหลอดกลบี มขี นสน้ั นมุ่ เหนอื จดุ ตดิ มเี กลด็ รปู ไขก่ ลบั ยาวประมาณ 5 มม.
ก้านชูอบั เรณยู าว 2-2.6 ซม. อบั เรณยู าว 7-9 มม. บดิ เวียน จานฐานดอกเป็นวง
รังไขม่ ี 4 ช่อง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 2.7-3 ซม. ยอดเกสรจัก 2 พู ผลแยกเปน็ 4
กระเปาะ บางกระเปาะฝอ่ รปู ไขก่ ลบั ยาว 1.5-1.7 ซม. ผนงั บางใสครงึ่ บน แตล่ ะ
กระเปาะมีเมล็ดเดียว รปู ไข่ ยาว 6-7 มม. มีขว้ั สเี หลอื งท่โี คน
พชื ถนิ่ เดยี วของไทย พบทางภาคตะวนั ตกเฉยี งใตท้ ไี่ ทรโยค จงั หวดั กาญจนบรุ ี
ข้ึนบนเขาหนิ ปูนในปา่ เบญจพรรณ ความสงู ประมาณ 200 เมตร
สกลุ Remirema Kerr มชี นิดเดียว และเปน็ สกลุ พืชถิ่นเดียวของไทย คล้ายสกุล
Operculina ทผ่ี ลมผี นังเชือ่ มตดิ กนั และไมม่ ีเกล็ดบรเิ วณเหนือจดุ ติดของเกสรเพศผู้
ซ่ึงคลา้ ยกับสกลุ Lepistemon และ Paralepistemon
เอกสารอา้ งองิ
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 455-457.
จกิ สวน: ใบรูปไขก่ ลบั หรือแกมรปู ขอบขนาน ปลายแหลมยาว แผน่ ใบคอ่ นขา้ งบาง ขอบจกั ฟันเลื่อย ชอ่ ดอกแบบ จงิ จ้อเขาขาด: ใบรปู ไขก่ วา้ ง โคนรปู หัวใจ ปลายกลีบดอกรูปสามเหล่ยี ม ปลายเรียวแหลม กลบี เลีย้ งขยายในผล
ชอ่ กระจะ หอ้ ยลง ผลรูปรี เป็นเหล่ยี มมน (ภาพ: อมั พวา สมุทรสาคร - MP) ผลแยกเป็น 4 กระเปาะ บางกระเปาะฝอ่ ผนังบางใสคร่งึ บน (ภาพ: ไทรโยค กาญจนบุรี; ภาพดอก - RP, ภาพผล - PK)
จิกใหญ:่ ใบรูปใบหอกกลบั ปลายมีตงิ่ แหลม ชอ่ ดอกแบบช่อเชงิ ลด ห้อยลง ดอกไร้กา้ น ฐานดอกเปน็ ปีกกว้าง จงิ จ้อแดง
(ภาพ: สบเมย ตาก - MP)
Ipomoea hederifolia L.
จิงจอ้ เขาขาด วงศ์ Convolvulaceae
Remirema bracteata Kerr ไมเ้ ถาลม้ ลุก ใบรูปไขก่ วา้ ง เรียบหรือจักเป็นพูต้ืน ๆ 3 พู ยาว 3-10 ซม.
วงศ์ Convolvulaceae ปลายแหลมยาว โคนรปู หัวใจ เสน้ โคนใบ 1-2 คู่ กา้ นใบยาว 3-12 ซม. ก้านช่อดอก
ยาว 3-20 ซม. ใบประดบั ขนาดเลก็ กา้ นดอกยาว 5-7 มม. ขยายในผล กลบี เล้ยี งรูปรี
ไม้เถาลม้ ลกุ ยาวได้ถึง 10 ม. นำ้� ยางสีขาว ใบรูปไข่กว้าง ยาว 9.5-1.5 ซม. ยาว 2-2.5 มม. ใต้ปลายกลบี มีรยางค์แขง็ ยาว 3-4 มม. ติดทน ดอกรูปแตร สีแดง
ปลายแหลมยาว โคนรปู หวั ใจ กา้ นใบยาว 3.5-8.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ หลอดกลีบดอกยาว 3-4.5 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกต้ืน ๆ เส้นผ่านศูนย์กลาง
ยาว 11-24 ซม. มี 2-4 ดอก ใบประดับรูปไข่กวา้ ง ยาวได้ถงึ 3.3 ซม. ติดทน 2-2.5 ซม. เกสรเพศผ้ยู น่ื พน้ ปากหลอดกลีบดอก รังไขเ่ กล้ียง ก้านเกสรเพศเมีย
กา้ นดอกยาว 1-2 ซม. กลบี เลยี้ งขยายในผล คนู่ อกรปู ไขก่ ลบั แคบ ๆ ยาวประมาณ ยาวกว่าเกสรเพศผเู้ ลก็ นอ้ ย ผลกลม เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 5-7 มม. เกลี้ยง เมลด็ ยาว
ประมาณ 4 มม. สีดำ� มีขนสน้ั น่มุ (ดขู อ้ มลู เพ่ิมเตมิ ท่ี ผักบุง้ , สกลุ )
มีถิ่นกำ� เนดิ ในอเมริกาเขตร้อน เป็นไมป้ ระดับ หรือข้ึนเป็นวัชพืช ความสงู ถึง
ประมาณ 1300 เมตร ดอกสีแดงคล้ายกบั คอนสวรรค์ I. quamoclit L. ทใี่ บเปน็
ใบประกอบ แฉกรูปเส้นดา้ ยจำ� นวนมาก
เอกสารอา้ งอิง
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 414-415.
จิงจ้อแดง: ใบเรียบหรอื จกั เป็น 3 พู ช่อดอกแบบชอ่ กระจุก ปลายกลบี เลี้ยงมีรยางค์แขง็ ติดทน เกสรเพศผ้แู ละ
เพศเมียยน่ื พน้ ปากหลอดกลบี ดอก ผลเกลี้ยง (ภาพซ้าย: แม่สอด ตาก - PK; ภาพขวา: ปาย แม่ฮ่องสอน - SSi)
119
จิงจอ้ นวล สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
จิงจอ้ นวล พบในแอฟรกิ า อนิ เดยี ศรลี งั กา จนี พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์
นวิ กินี หมูเ่ กาะแปซฟิ ิก และออสเตรเลีย ในไทยพบทุกภาค ขนึ้ ตามชายป่า และ
Merremia bambusetorum Kerr เขาหินปูน ความสูงถึงประมาณ 600 เมตร มีความผันแปรสูง แยกเป็นหลาย
วงศ์ Convolvulaceae varieties นำ้� สกัดจากใบและรากชว่ ยให้นอนหลบั
ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ลำ� ตน้ เกลยี้ ง ใบรปู ขอบขนานหรอื รปู ใบหอก ยาว 5.5-13 ซม. สกุล Jacquemontia Choisy มปี ระมาณ 120 ชนดิ สว่ นใหญ่พบในอเมรกิ า ในไทย
ปลายมตี ง่ิ แหลม โคนรปู หวั ใจ กา้ นใบยาว 0.8-1.2 ซม. หใู บเทยี มขนาดเล็ก 2 อนั มีชนิดเดยี ว และพบเปน็ ไม้ประดับ 1 ชนดิ คือ แส J. pentanthos (Jacq.) G. Don
ช่อดอกมี 1-5 ดอก ก้านชอ่ ยาว 3-4.5 ซม. ก้านดอกยาว 1-1.6 ซม. ปลายกา้ นหนา ดอกสีฟ้าอมมว่ ง กลีบขนาดใหญ่กว่า แต่กลีบเลี้ยงแคบกว่า ช่ือสกุลต้ังตาม
กลบี เลย้ี งรปู รี ยาว 1-1.2 ซม. โค้งเวา้ ปลายกลม เส้นกลางกลีบเปน็ สนั ปลายมี นกั ธรรมชาติวิทยาชาวฝรงั่ เศส Venceslas Victor Jacquemont (1801-1832)
ตงิ่ แหลม ดอกรปู แตร สเี หลอื งหรอื ครมี ยาว 3-4.2 ซม. ปลายแยกเปน็ หา้ เหลยี่ ม เอกสารอา้ งอิง
ตนื้ ๆ ปลายกลบี ดา้ นนอกมขี นเปน็ กระจกุ อบั เรณไู มบ่ ดิ เวยี น ยาวประมาณ 4 มม. Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 427-429.
รงั ไขเ่ กลยี้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 1.6-1.8 ซม. ผลรปู กรวย ยาว 1.2-1.5 ซม. สนี ำ้� ตาล
เกลี้ยง เมล็ดรูปสามเหล่ียมกลม ๆ ยาว 4-5 มม. มีขนหนาแน่น (ดูข้อมูลเพ่มิ เตมิ ที่ จิงจ้อผี: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ คล้ายชอ่ ซี่รม่ กลบี เลย้ี งด้านนอกมีขนยาว ดอกรูปล�ำโพง สีขาว หรอื อมม่วง กลางกลีบ
จงิ จ้อเหลือง, สกลุ ) มีแถบ ยอดเกสรเพศเมยี แยก 2 แฉก โค้งออก ผลกลม เกลีย้ ง (ภาพ: ไทรโยค กาญจนบรุ ี - RP)
พบทจี่ นี ตอนใตแ้ ละเวยี ดนาม ในไทยพบทกุ ภาค ทางภาคใตจ้ นถงึ ชมุ พร ขนึ้ ตาม แส: ใบรปู ไข่ โคนรูปหวั ใจ ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ ดอกขนาดใหญ่กวา่ จงิ จอ้ ผี ดอกสีฟ้าอมม่วง โคนด้านในสขี าว
ข้างทางหรอื ชายปา่ ใกล้แหลง่ น�ำ้ หรือลำ� ธาร ความสูง 100-800 เมตร (ภาพ: cultivated - RP)
จงิ จ้อนวลเลก็ จิงจ้อผเี สือ้
Merremia hirta (L.) Merr. Thunbergia papilionacea W. W. Sm.
วงศ์ Acanthaceae
ช่อื พ้อง Convolvulus hirtus L.
ไม้เถาลม้ ลกุ ใบรปู ไข่ แผ่กว้างคล้ายผเี สื้อ ยาว 4-5 ซม. โคนรปู หัวใจ ขอบจัก
ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ลำ� ตน้ มขี นหยาบหรอื เกลยี้ ง มรี ากตามลำ� ตน้ ใบรปู ไข่ หรอื แกม ซฟ่ี ันลกึ ห่าง ๆ แผน่ ใบมีขนส้นั นุ่มทง้ั สองด้าน เสน้ โคนใบขา้ งละ 2-3 เส้น กา้ นใบ
รปู ขอบขนาน รปู ใบหอก หรอื รปู แถบ ยาว 2-6 ซม. ปลายมตี ง่ิ หรอื เวา้ ตน้ื โคนกลม สัน้ มาก ใบบนช่อดอกก้านใบยาว 1-6 ซม ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ มี 2-3 ดอก
ตดั มตี ง่ิ หรอื เปน็ เงย่ี ง แผน่ ใบดา้ นลา่ งมขี นหยาบยาวหรอื เกลยี้ ง กา้ นใบยาว 1-5 มม. ออกตามซอกใบหรือปลายกงิ่ ช่อทปี่ ลายกงิ่ ยาวได้ถงึ 20 ซม. กา้ นดอกยาวได้ถึง
หรือยาวไดถ้ งึ 2 ซม. สว่ นมากมี 1-4 ดอกในแตล่ ะชอ่ ก้านชอ่ ยาว 1.5-7.5 ซม. 2 ซม. ใบประดับคลา้ ยใบ ยาวประมาณ 5 ซม. ขอบจักชายครุย ใบประดบั ยอ่ ย
ใบประดบั รปู ไข่ ยาว 1-2 มม. ตดิ ทน กา้ นดอกยาว 0.5-1 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ขอบขนาน มี 1 คู่ คล้ายกาบหุ้มดอก ตดิ ทน ยาว 1-5 ซม. กลีบเลยี้ งลดรูป ดอกรูปแตร
กลบี คู่นอกยาว 3-5 มม. ขอบมสี เี ขม้ 3 กลีบในยาวประมาณ 6 มม. ดอกรปู แตร สเี หลอื งสด หลอดกลบี ยาวประมาณ 2 ซม. ปลายบานออกกวา้ ง 2-5 ซม. มี 5 แฉก
สเี หลอื งออ่ น มแี ถบกลางสเี ขม้ เกลย้ี ง ยาว 1-1.8 ซม. รงั ไขเ่ กลยี้ ง ผลรปู ไขเ่ กอื บกลม กลม ๆ ขนาดไมเ่ ท่ากัน เกสรเพศผูอ้ นั ส้นั 2 อัน ยาว 2 อนั ติดบนหลอดกลีบดอก
ยาว 6-7 มม. เปลอื กบาง เกลี้ยง เมล็ดรูปสามเหล่ียมรี ยาวประมาณ 3 มม. มกั มี กา้ นชอู ับเรณูรปู ล้ิน ยาวประมาณ 1 ซม. อบั เรณูเชื่อมติดกนั ท่ีปลาย มขี น รงั ไข่มขี น
ขนปุยทีข่ อบและข้วั (ดขู ้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี จงิ จอ้ เหลอื ง, สกลุ ) หนาแนน่ กา้ นเกสรเพศเมยี สน้ั ผลแหง้ แตกกลางพู ฐานกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
ประมาณ 1.5 ซม ปลายเปน็ จะงอยรปู ดาบ ยาวประมาณ 2 ซม. มีขนหนาแนน่
พบทีอ่ ินเดยี พมา่ ภูมิภาคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ออสเตรเลยี ตอนบน ในไทย ก้านผลยาว 2-3 ซม. (ดูข้อมลู เพิ่มเติมที่ รางจืด, สกุล)
พบทกุ ภาค ขน้ึ ตามขา้ งทาง ทโ่ี ลง่ ทงุ่ นา หรอื ชายปา่ ความสงู ถงึ ประมาณ 600 เมตร
รูปรา่ งของใบมีความผนั แปรสงู พบทพี่ มา่ และภาคเหนอื ของไทยทแ่ี มส่ ะเรยี ง จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน และดอยตงุ
จังหวัดเชยี งราย ข้นึ ตามป่าเบญจพรรณ และปา่ ดบิ เขาที่เปน็ เขาหนิ ปนู ความสงู
เอกสารอ้างอิง 400-1400 เมตร
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 433-434,
437-438. เอกสารอา้ งองิ
Smith, W.W. (1914). Thunbergia papilionacea. Records of the Botanical Survey
จงิ จ้อนวล: ก้านดอกหนา เสน้ กลางกลบี เลย้ี งเป็นสนั ปลายเป็นตงิ่ แหลม (ภาพซ้าย: นำ�้ ตกภลู ะออ ศรสี ะเกษ - RP); of India 6: 103.
จงิ จอ้ นวลเล็ก: ดอกรปู แตร แผน่ กลีบมแี ถบกลาง เกลย้ี ง (ภาพขวา: คันธุลี ชุมพร - RP)
จิงจ้อผี
Jacquemontia paniculata (Burm. f.) Hallier f.
วงศ์ Convolvulaceae
ช่ือพ้อง Ipomoea paniculata Burm. f., Jacquemontia violacea (Vahl) Choisy
ไมเ้ ถาลม้ ลกุ ยาวไดถ้ งึ 2 ม. มขี นสนั้ นมุ่ ตามแผน่ ใบ กา้ นใบ กา้ นดอก หรอื เกลย้ี ง
ใบรปู ไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 1.5-8 ซม. โคนรปู หวั ใจ กา้ นใบยาว 1-6 ซม.
ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ คลา้ ยชอ่ ซรี่ ม่ กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 4 ซม. ใบประดบั รปู ลม่ิ แคบ
กา้ นดอกยาว 3-5 มม. กลบี เลย้ี งรูปสามเหลยี่ ม 3 กลีบนอกขนาดใหญ่กวา่ คู่ใน
ยาว 5-7 มม. ด้านนอกมีขนยาว ดอกรปู ลำ� โพง สขี าว อมมว่ งหรืออมชมพู ยาว
0.8-1.2 ซม. ปลายแยกเปน็ 5 แฉกตื้น ๆ เกลีย้ งหรือมขี นใกล้ปลายกลบี กลางกลบี
เปน็ แถบยาว เกสรเพศผู้ 5 อนั ตดิ ทีโ่ คนหลอดกลีบ ไมย่ นื่ พน้ ปากหลอดกลบี อับเรณู
รปู รี เรณไู มเ่ ปน็ หนาม รงั ไขเ่ กลยี้ ง กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 6-8 มม. ยอดเกสรแยก
2 แฉก โคง้ ออก ผลแห้งแตกเป็น 8 ซีก กลม เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 3-4 มม. เกลี้ยง
มี 4 เมลด็ ยาวประมาณ 2 มม. มปี มุ่ กระจาย ขอบมีปกี แคบ ๆ
120
สารานกุ รมพืชในประเทศไทย จิงจอ้ เหลอื ง
พบท่แี อฟรกิ า อินเดยี ปากสี ถาน เนปาล ศรลี งั กา จนี ตอนใต้ พม่า ภมู ิภาคอินโดจีน
และมาเลเซยี ออสเตรเลยี ในไทยพบทกุ ภาค ขน้ึ ตามขา้ งทาง รมิ ลำ� ธาร หรอื ชายหาด
ความสงู ถึงประมาณ 500 เมตร รากมีสรรพคุณขับพิษ ขับปสั สาวะ
เอกสารอา้ งองิ
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 451-453.
จิงจอ้ ผเี สอื้ : ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ ใบประดบั คล้ายใบ ใบประดบั ยอ่ ยคลา้ ยกาบ ดอกรูปแตร ผลแหง้ แตกกลางพู จิงจ้อเหล่ียม: ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ ออกสั้น ๆ ตามซอกใบ ดอกรูปแตร ผลแหง้ แตก มี 2-4 กระเปาะ ผนังเชอ่ื ม
ฐานกลม ปลายเปน็ จะงอยรปู ดาบ มขี นหนาแน่น (ภาพ: ดอยตงุ เชยี งราย - RP) ตดิ กนั บางใสครง่ึ บนคล้ายฝา (ภาพดอก: ปทุมธาน,ี ภาพผล: ขนอม นครศรีธรรมราช; - RP)
จิงจอ้ หนิ จิงจอ้ เหลอื ง, สกุล
Merremia verruculosa S. Y. Liu Merremia Dennst. ex Endl.
วงศ์ Convolvulaceae วงศ์ Convolvulaceae
ไม้เถาลม้ ลกุ ยาวได้ถงึ 2 ม. ใบรูปไขห่ รอื แกมรปู ขอบขนาน ยาว 1.5-5 ซม. ไมล้ ม้ ลกุ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมเ้ ถา ใบเดยี่ วหรอื ใบประกอบ เรยี งเวยี น เรยี บหรอื แฉก
แผน่ ใบมีขนละเอยี ดด้านล่าง ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. ชอ่ ดอกมี 1-4 ดอก ก้านช่อ เปน็ พู ชอ่ ดอกสว่ นมากแบบชอ่ กระจกุ ออกตามซอกใบ ใบประดบั ขนาดเลก็ สว่ นมาก
ยาวได้ถึง 2 ซม. ใบประดบั รปู ขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 3-5 มม. ก้านดอก รว่ งเร็ว กลบี เลีย้ ง 5 กลบี ขนาดเท่า ๆ กนั หรือกลบี ค่นู อกขนาดเลก็ กวา่ ตดิ ทนและ
และกลบี เลยี้ งหนา มตี มุ่ กระจาย กา้ นดอกยาว 5-8 มม. กลบี เลยี้ งคนู่ อกรปู ขอบขนาน มักขยายในผล ดอกรูปแตรหรอื รปู ระฆัง ส่วนมากสีขาวหรอื เหลือง ปลายแยก
หรอื แกมรูปไข่ ยาว 0.6-1.2 ซม. ปลายมนหรือกลม กลบี ใน 3 กลีบยาว 0.8-1.4 ซม. 5 แฉกตน้ื ๆ หรือเกือบเรยี บ กลางกลีบเปน็ แถบรว้ิ เกสรเพศผู้ 5 อัน ไมย่ ื่นพ้น
ปลายแหลม ดอกรูปลำ� โพง สีเหลืองออ่ น ยาว 1.8-2.2 ซม. โคนกา้ นชูอบั เรณูมี ปากหลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณรู ปู เสน้ ดา้ ย โคนแผก่ วา้ ง อบั เรณสู ว่ นมากบดิ เวยี น
รยางค์คลา้ ยเกลด็ อับเรณูบิดเวยี น รงั ไข่เกลยี้ ง ผลรปู รี ยาว 0.8-1.2 ซม. เมลด็ เรณูไม่มีหนาม จานฐานดอกเป็นวง รังไข่ 4 ช่อง มอี อวุล 4 เมด็ กา้ นเกสรเพศเมีย
ยาวประมาณ 5 มม. (ดูข้อมูลเพิ่มเตมิ ที่ จงิ จอ้ เหลือง, สกลุ ) รูปเส้นดา้ ย ยาวกว่าเกสรเพศผเู้ ล็กนอ้ ย ยอดเกสรมี 2 พู ผลแห้งแตก มี 4 ส่วน
สว่ นมากมี 4 เมล็ด
พบท่ีจีนตอนใต้ ลาว และกัมพูชา ในไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และภาคตะวนั ออก ข้ึนตามที่โล่งในป่าเต็งรงั ปา่ ดิบแล้งทเี่ ปน็ หินทราย ความสูง สกลุ Merremia มีประมาณ 100 ชนิด พบท้งั ในเขตอบอุน่ และเขตร้อน ในไทย
100-700 เมตร มไี มน่ ้อยกวา่ 16 ชนดิ ลกั ษณะท่ัวไปคล้ายกับสกุล Ipomoea ซ่ึงอับเรณูส่วนมาก
ไมบ่ ดิ เวียน เรณูมีหนามละเอียด ชื่อสกลุ ต้ังตามนกั พฤกษศาสตรช์ าวเยอรมนั
เอกสารอา้ งอิง Blasius Merrem (1761-1824)
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 445-446.
จงิ จ้อเหลือง
จงิ จอ้ หิน: ก้านดอกหนามีตุ่มกระจาย กลบี เลย้ี งมตี ่มุ หนาแนน่ ขยายในผล ดอกรปู ลำ� โพง สีเหลืองออ่ น (ภาพ: ภูผาเทบิ
มกุ ดาหาร - PK) Merremia vitifolia (Burm. f.) Hallier f.
จิงจอ้ เหลย่ี ม ชอ่ื พอ้ ง Convolvulus vitifolius Burm. f.
Operculina turpethum (L.) Silva Manso ไมเ้ ถาลม้ ลกุ เกลย้ี งหรอื มขี นยาวตามลำ� ตน้ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง กา้ นใบ และชอ่ ดอก
วงศ์ Convolvulaceae ใบรปู ฝ่ามือจกั ตืน้ ๆ หรอื แฉกลึก 3-7 แฉก กว้าง 4-15.5 ซม. ยาว 5-18 ซม.
โคนรปู หวั ใจ ขอบจกั ฟันเลอื่ ยหา่ ง ๆ หรอื เกอื บเรยี บ ก้านใบยาว 1-4 ซม. ก้านช่อ
ชอื่ พอ้ ง Conolvulus turpethum L., Ipomoea turpethum (L.) R. Br. ยาว 2-15 ซม. มหี นง่ึ หรอื หลายดอก กา้ นดอกยาว 1-1.5 ซม. ปลายหนา ใบประดบั
รูปลิม่ แคบ กลีบเลีย้ งรูปขอบขนานแกมรปู ไข่ ยาว 1.4-1.8 ซม. ขยายในผล มตี อ่ ม
ไม้เถาล้มลกุ ยาวได้ถึง 4 ม. ลำ� ต้นเปน็ เหลี่ยม ใบรปู ไข่ แกมรูปขอบขนาน โปรง่ แสง กลบี คนู่ อกดา้ นนอกมขี นหยาบยาว 3 กลบี ดา้ นในเกลย้ี ง ดอกรปู แตร
หรอื รปู หัวใจ ยาว 4-14 ซม. แผน่ ใบดา้ นล่างมีขนสัน้ นุม่ ก้านใบยาว 2-10 ซม. มีสนั สเี หลอื ง ดา้ นในบางครงั้ มสี แี ดงเขม้ ยาว 2.5-5.5 ซม. เกสรเพศผยู้ าวประมาณ 1 ซม.
คลา้ ยปกี ชอ่ ดอกออกสนั้ ๆ ตามซอกใบ สว่ นมากมี 1-3 ดอก กา้ นชอ่ ยาว 0.5-3 ซม. รังไขเ่ กลยี้ ง ผลกลม เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 1.2 ซม. เปลอื กบาง เมล็ดรปู ไข่มน
ใบรปู ไขแ่ กมรปู ขอบขนาน ยาว 1-2.5 ซม. มขี นส้ันนมุ่ ก้านดอกยาว 1.5-2 ซม. ยาวประมาณ 7 มม.
ขยายในผลยาวได้ถึง 4 ซม. กลบี เลย้ี งรปู ไข่ ยาว 1.5-2 ซม. ขยายในผล ดอกรูปแตร
สีขาว ยาว 3.5-4 ซม. ปลายจักคลา้ ยมี 10 กลบี กลางกลีบมแี ถบ เกลี้ยง อบั เรณู พบทอ่ี นิ เดยี ศรลี งั กา เนปาล จนี พมา่ ลาว เวยี ดนาม คาบสมทุ รมลายู และสมุ าตรา
บดิ เวยี น กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวกวา่ เกสรเพศผเู้ ลก็ นอ้ ย ยอดเกสรจกั 2 พู ผลแหง้ แตก ในไทยพบทุกภาค ข้ึนตามที่โล่งในปา่ เส่ือมโทรม ชายป่า หรอื ขา้ งถนน ความสงู
มี 2-4 กระเปาะกลม ๆ แบน เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 1.5 ซม. ผนงั เชอื่ ม 100-1600 เมตร ทั้งตน้ ใชร้ ักษาอาการปัสสาวะอกั เสบ
ตดิ กนั บางใสครง่ึ บนคลา้ ยฝา มี 2-4 เมลด็ รปู ไขแ่ กมสามเหลย่ี ม สดี ำ� ยาวประมาณ
6 มม. เกลี้ยง (ดขู ้อมูลเพม่ิ เตมิ ท่ี บานบา่ ย, สกลุ ) เอกสารอ้างองิ
Fang, R. and G. Staples. (1995). Convolvulaceae. In Flora of China Vol. 16:
291, 295.
Staples, G. (2010). Convolvulaceae. In Flora of Thailand Vol. 10(3): 431-447.
121
จีง้�ำ สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
จิงจอ้ เหลอื ง: ใบรปู ฝา่ มอื ลำ� ต้นและกลบี เล้ยี งคู่นอกมีขนหยาบยาว ดอกรปู แตร สเี หลอื ง ก้านดอกปลายหนา บิดเวียนในตาดอก เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ตรงขา้ มกลีบดอก โคนก้านชอู ับเรณแู บน
(ภาพ: เขาแหลม กาญจนบรุ ี - PK) อบั เรณรู ปู แถบ เกสรเพศเมยี เชอื่ มตดิ กนั ปลายแยกเปน็ 5 แฉก ยอดเกสรเพศเมยี
ติดด้านในของแฉก มตี ่อม ผลแห้งแตกตามขวาง มกี ลีบเลยี้ งหุ้ม มเี มลด็ เดียว มปี ีก
จีงำ�้
สกุล Plumbago มีประมาณ 12 ชนดิ พบทว่ั ไปในเขตรอ้ นและกง่ึ เขตร้อน ในไทย
Scyphiphora hydrophyllacea C. F. Gaertn. มี 2 ชนิด และพบเปน็ ไม้ประดับ 1 ชนดิ คือ เจตมลู เพลงิ ฝรง่ั หรอื พยับหมอก
วงศ์ Rubiaceae P. auriculata Lam. มีถิ่นกำ�เนิดในแอฟรกิ าใต้ ช่อดอกไม่มีต่อม ดอกสฟี ้าอม
มว่ งอ่อน ๆ หรอื สีขาว ช่ือสกุลเปน็ ภาษาละตนิ “plumbago” แปลวา่ ตะก่วั
ไมพ้ ่มุ หรือไมต้ ้น สงู ไดถ้ ึง 6 ม. บางคร้งั มีรากค้�ำยัน กง่ิ ออ่ นและกา้ นใบมักมี เนือ่ งจากพชื กลุ่มนีส้ ามารถใชร้ ักษาโรคทีเ่ กิดจากพษิ ตะก่ัวได้
สแี ดงแตม้ ตามชี นั เป็นเมือกสีเหลอื ง หใู บรว่ มยาวประมาณ 3 มม. ตดิ ทน ขอบมีขน
ใบเรียงตรงข้ามสลับต้ังฉาก รูปไข่กลับหรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 4-10 ซม. เจตมูลเพลงิ ขาว
ปลายกลมหรอื มน แผน่ ใบคอ่ นขา้ งหนา เสน้ แขนงใบไมช่ ดั เจน กา้ นใบยาว 0.5-2 ซม.
ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ออกตามซอกใบ ยาว 1.5-3 ซม. ดอกเกอื บไร้ก้าน หลอด Plumbago zeylanica L.
กลบี เลี้ยงยาวประมาณ 2 มม. ปลายแยกเปน็ 4 แฉกตนื้ ๆ ไม่ชัดเจน ติดทน ไมพ้ ุ่มเตี้ยหรอื ไมล้ ้มลุก สูง 1-3 ม. กิ่งมกั ทอดยาว ใบรปู ไข่ ยาว 3-13 ซม.
ดอกรปู แตร สขี าวแลว้ เปลย่ี นเปน็ สชี มพอู อ่ น บดิ เวยี นในตาดอก หลอดกลบี ดอก
ยาว 3-5 มม. มี 4 กลีบ รปู ล้ิน ยาว 2-3 มม. พบั งอกลับ เกสรเพศผู้ 4 อัน ตดิ บน ปลายมตี ง่ิ แหลม ชอ่ ดอกยาวไดถ้ งึ 15 ซม. กา้ นชอ่ ยาว 0.5-2 ซม. แกนกลางและ
ปากหลอดกลบี ดอก กา้ นชอู บั เรณสู น้ั กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 5-7 มม. ยอดเกสรแยก กา้ นช่อดอกมีต่อมไรก้ า้ น ใบประดับรปู ไข่ ยาว 4-8 มม. ใบประดับยอ่ ยรปู แถบ
2 พู ยาวประมาณ 3 มม. ผลผนังชั้นในแขง็ รูปรี ยาว 0.8-1 ซม. มี 6-10 สนั แหง้ แขง็ ยาวประมาณ 2 มม. กลบี เลย้ี งยาว 1-1.3 ซม. มีขนตอ่ มหนาแนน่ ดอกสีขาวหรอื
ลอยน�้ำได้ มี 2-4 เมล็ด สฟี า้ อ่อน หลอดกลีบดอกยาว 1.8-2.2 ซม. กลบี รูปไข่กลับ รูปขอบขนาน หรอื
รูปใบหอก ยาวประมาณ 7 มม. ปลายแหลมหรือเป็นต่ิง อับเรณูสีนำ้� เงิน ยาว
พบทมี่ าดากสั การ์ อนิ เดยี ศรลี งั กา จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซยี ประมาณ 2 มม. รังไข่รปู รี มี 5 เหลยี่ ม กา้ นเกสรเพศเมยี เกล้ียง ผลรปู ขอบขนาน
ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยพบตามชายฝง่ั ทะเล และปา่ โกงกาง ยาว 7-8 มม. เมลด็ เรยี วยาว ยาวประมาณ 7 มม. สนี ำ�้ ตาลแดง
ต้นท่ีไมม่ ดี อกและผลดูคลา้ ยกบั พืชในสกลุ โปรง Ceriops (Rhizophoraceae) ที่
มีหใู บเรยี วยาวกวา่ และเปลอื กมชี อ่ งอากาศ พบในเขตรอ้ น ในไทยพบทุกภาค สว่ นมากพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก
และภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ ขน้ึ ตามปา่ ดบิ แลง้ ความสงู ระดบั ตำ่� ๆ หรอื เปน็ ไมป้ ระดบั
สกลุ Scyphiphora C. F. Gaertn. มชี นดิ เดยี ว ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “skyphos” มสี รรพคณุ ทางสมนุ ไพรคลา้ ยเจตมลู เพลงิ แดง โดยเฉพาะราก แตจ่ ะมฤี ทธอิ์ อ่ นกวา่
ถว้ ยหรือกระป๋อง และ “phero” น�ำไป ตามลกั ษณะผลรูปรีเป็นแนวสัน
เจตมลู เพลงิ แดง
เอกสารอ้างอิง
Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Scyphiphora). In Flora of China Plumbago indica L.
Vol. 19: 323. ไมล้ ้มลุก สูง 0.5-2 ม. ก่ิงทอดยาว ใบรปู รีหรอื รปู ไข่ ยาว 3-13 ซม. ชอ่ ดอก
Puff, C., K. Chayamarit and V. Chamchumroon. (2005). Rubiaceae of Thailand.
Forest Herbarium. Bangkok. ยาว 20-90 ซม. กา้ นชอ่ ยาว 1-3 ซม. แกนกลางชอ่ ดอกไม่มตี ่อม ใบประดับและ
ใบประดับยอ่ ยรปู ไข่ ยาว 2-3 มม. กลีบเลยี้ งรูปใบหอก ยาว 8-9 มม. มขี นตอ่ ม
กระจาย ดอกสแี ดงหรอื อมมว่ ง หลอดกลบี ดอกยาว 2-2.5 ซม. กลีบรูปไขก่ ลบั
ยาวประมาณ 1.2 ซม. ปลายกลีบกลม ปลายเป็นต่งิ หนาม อับเรณูสีน�้ำเงนิ ยาว
ประมาณ 2 มม. กา้ นเกสรเพศเมยี มที ัง้ แบบสน้ั และแบบยาว แบบสั้นไมย่ นื่ พ้น
ปากหลอดกลบี ดอก โคนมีขนยาว ยอดเกสรเพศเมยี มตี อ่ ม มกั ไม่ตดิ ผล
พบในเขตร้อน ในไทยพบกระจายหา่ งๆ เกอื บทกุ ภาค ขนึ้ ตามป่าดบิ แล้ง ความสูง
ระดบั ตำ่� ๆ หรอื พบเปน็ ไมป้ ระดบั รากมสี รรพคณุ ชว่ ยเจรญิ อาหาร เปน็ ยาปฏชิ วี นะ
ใช้รักษาโรคผวิ หนงั ด่าง
เอกสารอ้างอิง
Pen, T.H. and R.V. Kamelin. (1996). Plumbaginaceae. In Flora of China Vol.
15: 190-191.
จงี ำ้� : ใบเรยี งตรงข้ามสลับต้งั ฉาก เสน้ แขนงใบไม่ชัดเจน ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุก กลบี ดอกรูปล้นิ พับงอกลบั กลีบเล้ียง เจตมลู เพลิงขาว: ใบรูปไข่ เรยี งเวียน ปลายเป็นติง่ แหลม ชอ่ ดอกคลา้ ยช่อเชิงลด กลบี เลีย้ งมขี นต่อมหนาแน่น
เชอ่ื มตดิ กนั เป็นหลอด ปลายแยกไมช่ ัดเจน ติดทน ผลมีสนั นูน (ภาพดอก: ตรัง - NP; ภาพผล: ทุง่ ทะเล กระบ่ี - RP) ดอกสขี าว (ภาพ: ภพู าน สกลนคร - PK)
เจตมลู เพลิง, สกลุ เจตมูลเพลิงแดง: แกนกลางชอ่ ดอกไม่มีตอ่ ม ดอกสแี ดง (ภาพ: ป่าละอู ประจวบครี ีขนั ธ์ - RP); เจตมลู เพลิงฝร่งั :
แกนชอ่ ดอกมีขนสั้นนมุ่ ไม่มีต่อม ดอกสีฟ้าอมมว่ งอ่อน ๆ (ภาพ: cultivated - RP)
Plumbago L.
วงศ์ Plumbaginaceae
ไมล้ ม้ ลกุ หรอื ไมพ้ มุ่ ไมม่ หี ใู บ ใบเรยี งเวยี น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะคลา้ ยชอ่ เชงิ ลด
ใบประดบั และใบประดบั ยอ่ ยบาง กลบี เลย้ี งเปน็ หลอด เปน็ รวิ้ มตี อ่ ม ตอ่ มมกี า้ น
ปลายแยก 5 กลีบขนาดเลก็ ดอกรูปดอกเขม็ มี 5 กลบี หลอดกลีบยาวกว่ากลบี ดอก
122
สารานุกรมพชื ในประเทศไทย ชงโค
แจง เอกสารอ้างองิ
Hou, D., (1970). Rhizophoraceae. In Flora of Thailand Vol. 2(1): 13.
Maerua siamensis (Kurz) Pax Qin, H. and D.E. Boufford. (2007). Rhizophoraceae. In Flora of China Vol. 13: 298.
วงศ์ Capparaceae
เฉียงพร้านางแอ: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจกุ ซ้อนสัน้ ๆ ออกตามซอกใบ กลบี ดอกแยกจรดโคน สีขาวอมเขียว ปลายเว้าตนื้
ช่อื พอ้ ง Niebuhria siamensis Kurz ขอบแหว่ง ผลสดช่มุ น้�ำ สกุ สีแดง (ภาพ: ศรสี ะเกษ - SSi)
ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ ้น สงู ไมเ่ กิน 10 ม. มีเกลด็ ห้มุ ยอด ใบประกอบมี 3 ใบย่อย ชงโค, สกุล
กา้ นใบยาว 1.5-6.5 ซม. ใบย่อยรปู ไขก่ ลบั รปู ขอบขนาน หรอื รูปแถบ ยาว 2-12 ซม.
ปลายกลม เว้าต้นื ๆ หรอื มีตง่ิ เกือบไรก้ ้าน ช่อดอกคล้ายช่อเชิงหลัน่ ออกส้ัน ๆ Bauhinia L.
ทปี่ ลายกง่ิ หรอื ตามซอกใบ กา้ นดอกยาว 1.5-5.5 ซม. ใบประดบั รปู แถบขนาดเลก็ วงศ์ Fabaceae
กลบี เลี้ยง 4 กลบี รูปขอบขนาน ยาว 0.7-1 ซม. ตดิ ทน ไมม่ กี ลีบดอก เกสรเพศผู้
8-12 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าว 1-1.5 ซม. อบั เรณรู ปู ขอบขนาน ยาว 1.5-2 มม. ปลาย ไมต้ น้ หรอื ไมพ้ มุ่ ไมม่ มี อื จบั หใู บรว่ งเรว็ ใบประกอบมใี บเดยี ว เรยี งเวยี น เรยี บ
มตี ง่ิ กา้ นเกสรเพศเมยี ยาว 1.5-2 ซม. รงั ไขต่ ดิ บนกา้ นชเู กสรเพศเมยี (gynophore) หรอื แฉกลกึ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ชอ่ เชงิ หลนั่ หรอื ชอ่ แยกแขนง ใบประดบั และ
ทยี่ าวเทา่ ๆ กา้ นชอู บั เรณู ผลมเี นอื้ หลายเมลด็ รปู รกี วา้ งเกอื บกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ใบประดับยอ่ ยขนาดเลก็ ร่วงเรว็ กลบี เลย้ี งแยกเป็น 2 สว่ น รปู ใบพาย แต่ละ
2-2.5 ซม. ผิวขรขุ ระ ก้านผลยาว 4.5-7.5 ซม. เมล็ดรูปไต สว่ นปลายจกั ตนื้ ๆ 2 และ 3 จกั กลบี ดอก 5 กลบี มกี า้ นกลบี เกสรเพศผทู้ ส่ี มบรู ณ์
มี 1-10 อนั รังไข่ส่วนมากมีก้าน มี 1 ชอ่ ง ยอดเกสรเพศเมยี เป็นตุ่ม ฝักแห้งแตก
พบในภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทุกภาคจนถึงภาคใต้ตอนบน ขึ้นตามป่า หรอื ไม่แตก
เบญจพรรณ และปา่ ดบิ แลง้ หรอื ตามปา่ โปร่ง โดยเฉพาะเขาหนิ ปนู เตื้ยี ๆ ความสงู
ถึงประมาณ 400 เมตร ใบเขียวตลอดปี ใบและดอกอ่อนกินเป็นผกั ดองคล้ายกุ่ม สกลุ Bauhinia อยภู่ ายใต้เผา่ Cercideae วงศ์ยอ่ ย Caesalpinioideae ปัจจบุ ัน
ถูกจ�ำ แนกเป็นหลายสกลุ สกลุ ทีพ่ บในไทยไดแ้ ก่ Phanera, Lasiobema และ
สกลุ Maerua Forssk. มีประมาณ 90 ชนิด สว่ นใหญพ่ บในแอฟรกิ าทแี่ ห้งแลง้ Lysiphyllum ลกั ษณะส�ำ คัญท่ีใชจ้ ำ�แนกคือ วสิ ยั ทเี่ ปน็ ไมต้ ้นหรือไม้พมุ่ ไมม่ ีมือจับ
ในไทยมีชนิดเดยี ว ชอื่ สกุลมาจากภาษาอาหรบั “maeru” หมายถึงดวงอาทติ ย์ กับไมเ้ ถามมี อื จับ กลบี เล้ยี งแยกข้างเดยี วรูปใบพายกบั กลบี เล้ียงแฉกลกึ 3-5 แฉก
น่าจะหมายถึงเปน็ พืชท่ชี อบแสงแดดจัด หลายชนิดมีสรรพคุณด้านสมุนไพร หรอื เรียบ และจำ�นวนเกสรเพศผูท้ ี่สมบูรณ์ ท�ำ ให้สกุล Bauhinia เหลอื ประมาณ
เอกสารอ้างอิง 150 ชนิด จากเดิมท่มี ีประมาณ 300 ชนิด ส่วนมากพบในเขตร้อน ในไทยมี
Chayamarit, K. (1991). Capparaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(3): 266-268. ประมาณ 15 ชนดิ รวมที่นำ�เข้ามาเป็นไมป้ ระดบั ชอ่ื สกุลตงั้ ตามสองพีน่ อ้ งตระกลู
Bauhin คอื Jean Bauhin (1541-1613) และ Gaspard Bauhin (1560-1624) นกั
แจง: ใบประกอบมี 3 ใบยอ่ ย ช่อดอกคลา้ ยช่อเชิงหลัน่ ออกส้นั ๆ ก้านดอกยาว กลบี เลยี้ งติดทน ไม่มีกลบี ดอก พฤกษศาสตรช์ าวสวิตเซอร์แลนด์
กา้ นชูเกสรเพศเมียยาวเท่า ๆ กา้ นชูอับเรณู ผลผิวขรขุ ระ ก้านผลยาว (ภาพ: ถ้ำ� เพชรถำ�้ ทอง นครสวรรค์ - RP)
ชงโค
เฉียงพรา้ นางแอ
Bauhinia purpurea L.
Carallia brachiata (Lour.) Merr. ไมต้ ้น สงู ได้ถึง 10 ม. ใบรปู เกอื บกลม กวา้ งและยาวประมาณ 12 ซม. ปลายแฉก
วงศ์ Rhizophoraceae
ลึกเกือบก่งึ หนึ่ง แผ่นใบดา้ นลา่ งมีขนประปราย เส้นโคนใบข้างละ 4-6 เส้น ก้านใบ
ช่ือพ้อง Diatoma brachiata Lour. ยาว 2-3 ซม. ชอ่ ดอกมี 6-10 ดอก กา้ นดอกหนา ยาว 1-1.5 ซม. ใบประดบั ยอ่ ย
ตดิ ประมาณกง่ึ กลางกา้ นดอก ตาดอกรปู กระบอง มสี นั นนู 4-5 สนั ยาว 3-4 ซม.
ไม้ตน้ ส่วนมากสงู ได้ถึง 15 ม. หรือมากกวา่ หใู บเชือ่ มติดกัน บดิ เวยี น รปู ใบหอก มขี นกำ� มะหยหี่ นาแนน่ ฐานดอกยาว 0.7-1.2 ซม. ดอกสชี มพหู รอื มว่ ง กลบี รปู ใบหอก
ยาว 1-2.5 ซม. ร่วงเร็ว ใบเรยี งตรงขา้ มสลับตงั้ ฉาก รปู รี รูปไข่กลับ หรอื รปู ใบหอกกลับ ยาว 3-5 ซม. ก้านกลีบยาว 0.5-1 ซม. เกสรเพศผู้ 3 อนั ก้านชอู บั เรณยู าวเท่า ๆ
ยาว 5-15 ซม. ขอบเรยี บหรอื จกั ฟันเล่อื ย กา้ นใบยาวไดถ้ ึง 1 ซม. ช่อดอกแบบ กลีบดอก โคนเชื่อมติดกนั 3-4 มม. เกสรเพศผ้ทู เ่ี ปน็ หมัน 5-6 อัน รปู เสน้ ด้าย ยาว
ช่อกระจุกซ้อนสน้ั ๆ ออกตามซอกใบ ยาว 1-6 ซม. มกั มีชันใส ก้านดอกสัน้ มากหรือ 0.6-1 ซม. รังไข่มีขนก�ำมะหย่ีหนาแน่น ก้านเกสรเพศเมียโค้งงอ ยาวเท่า ๆ
ไรก้ า้ น ใบประดบั 2-3 อนั ขนาดเลก็ เชอ่ื มตดิ กนั กลบี เลยี้ ง 6-7 กลบี รปู สามเหลยี่ ม เกสรเพศผู้ ฝกั รูปแถบ ยาว 20-30 ซม. มี 10-15 เมล็ด
ยาว 3-4 มม. ดอกสขี าวอมเขียว กลีบเทา่ จำ� นวนกลีบเล้ียง แยกจรดโคน ยาว
ประมาณ 1.5 มม. ปลายเว้าต้ืน ขอบแหวง่ มกี ้านส้นั ๆ เกสรเพศผู้ 12-14 อัน เข้าใจว่ามีถ่ินก�ำเนิดในเอเชียเขตร้อน ตัวอย่างพรรณไม้ต้นแบบเก็บจาก
ตดิ บนจานฐานดอก ยาวไมเ่ ทา่ กนั อนั สน้ั ตดิ ตรงขา้ มกลบี เลยี้ ง อนั ยาวตดิ ตรงขา้ ม ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ในไทยพบปลกู ตามสองขา้ งถนนและสวนสาธารณะ พบนอ้ ยทก่ี ระจาย
กลบี ดอก ยาว 2-3 มม. ตดิ ทน จานฐานดอกเปน็ วง รังไข่ใตว้ งกลีบ กา้ นเกสรเพศเมีย ในธรรมชาติ สว่ นชงโคทปี่ ลกู เปน็ ไมป้ ระดบั และไมต่ ดิ ผล เกสรเพศผู้ 5 อนั เปน็ หมนั
ยาวประมาณ 2 มม. ยอดเกสรรปู จาน จกั 4-8 พู ผลสดชมุ่ นำ�้ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ซ่งึ เปน็ ดอกไมป้ ระจำ� เกาะฮ่องกง ช่ือสามัญคอื Hong Kong orchid tree ชือ่
5-7 มม. สกุ สีแดง มี 1-5 เม็ด รปู ไต วทิ ยาศาสตรค์ ือ Bauhinia x blakeana Dunn เป็นลกู ผสมของ B. purpurea L.
และ B. variegata L. คำ� ระบชุ นิดตง้ั ตาม Sir Henry Arthur Blake ผู้ปกครอง
พบที่มาดากัสการ์ อินเดีย ภฏู าน ศรลี ังกา จนี ตอนใต้ พมา่ ภมู ภิ าคอินโดจีน เกาะฮอ่ งกงชว่ งปี ค.ศ. 1989-1903
และมาเลเซยี ฟิลิปปนิ ส์ นวิ กินี ออสเตรเลียตอนบน และหมู่เกาะแปซฟิ กิ ในไทย
พบทุกภาค ข้นึ ตามป่าเบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ ปา่ พรุ และปา่ ดิบชนื้ ความสงู ถงึ เอกสารอ้างองิ
ประมาณ 1300 เมตร ใบและเปลอื กมฤี ทธต์ิ า้ นเชอื้ แบคทเี รยี และตา้ นอนมุ ลู อสิ ระ Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 4-45.
สกุล Carallia Roxb. มีประมาณ 10 ชนิด พบทม่ี าดากัสการ์ เอเชียเขตร้อน Mackinder, B.A. and R. Clark. (2014). A synopsis of the Asian and Australasian
ออสเตรเลยี และหมเู่ กาะแปซฟิ กิ ในไทยมี 3 ชนดิ อีก 2 ชนดิ คือ ชาทองเขา genus Phanera Lour. (Cercideae: Caesalpinioideae: Leguminosae) including
C. euryoides Ridl. และคอแห้งเขา C. suffruticosa Ridl. พบเฉพาะทางภาคใต้ 19 new combinations. Phytotaxa 166(1): 49-68.
ตอนลา่ ง ช่อื สกลุ มาจากชอื่ พื้นเมืองท่ใี ชเ้ รยี กไม้ตน้ น้ใี นภาษาอินเดีย “karalii”
123
ชงโค สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
ชงโค: B. purpurea ตาดอกรปู กระบอง มีสนั นูน เกสรเพศผู้ที่สมบรู ณ์ 3 อัน ฝกั รูปแถบ (ภาพซ้ายและภาพขวาบน: ชงโคดอกเหลอื ง
ตาก - RP); ชงโค: Bauhinia x blakeana เกสรเพศผูม้ ี 5 อนั เปน็ หมัน (ภาพขวาล่าง: cultivated - RP)
Bauhinia tomentosa L.
ชงโค วงศ์ Fabaceae
Phanera glauca Benth. ไม้พุ่ม สงู ได้ถึง 3 ม. มขี นส้นั นมุ่ ตามก่งิ แผ่นใบดา้ นล่าง กา้ นใบ และตาดอก
วงศ์ Fabaceae หใู บรูปแถบ ยาว 0.5-1 ซม. ใบกว้างกวา่ ด้านยาว เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 3-8 ซม.
แฉกลกึ เกือบกึ่งหน่งึ ปลายแฉกกลม เส้นโคนใบข้างละ 3-4 เสน้ ก้านใบยาว 1-3 ซม.
ชอื่ พ้อง Bauhinia glauca (Wall. ex Benth.) Benth. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะออกสน้ั ๆ ตามซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ กา้ นดอกยาวประมาณ
1 ซม. ใบประดับย่อยตดิ ใตก้ ง่ึ กลางกา้ นดอก ตาดอกรูปกระสวย ยาวประมาณ 2 ซม.
ไมเ้ ถา หใู บรูปแถบ ยาวประมาณ 4 มม. ใบรูปไข่กวา้ งหรอื เกอื บกลม ยาว ฐานดอกส้นั ดอกหอ้ ยลงรปู ระฆัง สีเหลืองหรือสีม่วงอมชมพู มี 1 กลบี มปี ื้นสี
4-9 ซม. แฉกลึกไม่เกินกึ่งหนึ่ง แผ่นใบด้านล่างมขี น เส้นโคนใบข้างละ 3-5 เสน้ ม่วงเข้มทโ่ี คนกลีบดา้ นใน กลีบรปู ไข่กลบั ยาว 4-5 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อัน ยาว
ก้านใบยาว 2-4 ซม. ช่อดอกแบบชอ่ เชงิ หล่นั ใบประดับรปู แถบ ยาวประมาณ 1-2 ซม. โคนก้านชูอบั เรณมู ีขน รงั ไขม่ ีขนยาว กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ
5 มม. ก้านดอกยาว 1-2 ซม. ใบประดบั ย่อยติดประมาณก่งึ กลางกา้ นดอก ตาดอก 1.5 ซม. ฝักรปู แถบ ยาว 7-15 ซม. มขี นกำ� มะหย่ี ปลายเป็นจะงอย แตกอา้ ออก
รปู ไข่ ฐานดอกเป็นริว้ ยาว 0.7-1.5 ซม. กลีบเล้ยี งแยกเป็น 2-3 ส่วน ดอกสขี าว บดิ งอ (ดูขอ้ มลู เพ่ิมเติมท่ี ชงโค, สกลุ )
กลบี รปู ไข่กลับ ยาว 0.8-1.2 ซม. เกสรเพศผู้ 3 อนั ยาวเทา่ ๆ กลบี ดอก อับเรณู
สแี ดง เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมนั 7 อนั 2 อนั ขนาดเลก็ อยรู่ ะหวา่ งเกสรเพศผทู้ สี่ มบรู ณ์ เขา้ ใจวา่ มถี น่ิ ก�ำเนดิ ในเอเชยี เขตรอ้ น ซงึ่ อาจเปน็ อนิ เดยี เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไป
อกี 5 อนั เชอื่ มตดิ กนั ทโี่ คน รงั ไขเ่ กลยี้ ง ยอดเกสรเพศเมยี เบยี้ ว ฝกั รปู ใบหอก แบน ในเขตร้อน เปลือกใหน้ �้ำฝาดแก้บิด ตับอักเสบ
ยาว 18-25 ซม. มี 10-30 เมลด็ (ดูข้อมูลเพ่ิมเตมิ ที่ แสลงพัน, สกุล)
ชงโคด�ำ
พบทอี่ นิ เดยี พมา่ คาบสมทุ รมลายู และสุมาตรา ในไทยพบทางภาคใต้ ข้นึ
กระจายห่าง ๆ ตามชายป่าดบิ ช้นื ความสูงประมาณ 100 เมตร แยกเป็น subsp. Bauhinia pottsii G. Don
tenuiflora (C. B. Clarke) A. Schmitz ปลายใบแฉกต้นื ๆ ช่อดอกและดอก ไม้พมุ่ รอเลื้อย มขี นสีน้�ำตาลแดงตามกง่ิ แผ่นใบด้านลา่ ง กา้ นใบ ตาดอก และฝกั
ขนาดใหญก่ วา่ ฐานดอกยาวกวา่ พบท่ีพม่า จนี ตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจนี ในไทย
พบทางภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื และภาคตะวันออกเฉยี งใต้ ใบรปู ไขก่ วา้ งเกอื บกลม ยาว 9-15 ซม. แฉกลกึ ถงึ ประมาณกง่ึ หนง่ึ ปลายแฉกกลม
เสน้ โคนใบขา้ งละ 5-7 เสน้ กา้ นใบยาว 3-4 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ยาวไดถ้ งึ
เอกสารอ้างองิ 10 ซม. กา้ นดอกยาว 1-1.5 ซม. ใบประดับยอ่ ยติดประมาณก่งึ กลางกา้ นดอก
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae. ตาดอกรปู ใบหอก ยาว 3-4 ซม. ฐานดอกยาวเท่า ๆ ตาดอก กลีบเลีย้ งพบั งอกลับ
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 40-42. ดอกสีแดงอมชมพู มีปนื้ สเี หลืองตรงกลาง กลบี รปู ใบหอก ยาว 4-6 ซม. เกสรเพศผู้
3 อนั ยาว 3-4.5 ซม. เกสรเพศผทู้ ี่เปน็ หมันมี 2 อัน รงั ไขแ่ ละก้านเกสรเพศเมยี
ชงโค: P. glauca subsp. glauca ดอกออกเปน็ ชอ่ เชิงหลั่น กลีบเลยี้ งแยกเป็น 2-3 ส่วน ดอกสีขาว กลบี รปู ไขก่ ลบั มขี นยาวสีนำ�้ ตาลแดง ฝักแบน หนา ชว่ งปลายกว้าง มีจะงอยสั้น ๆ มี 4-6 เมล็ด
มีกา้ นกลีบ เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั อับเรณูสีแดง ฝกั รูปใบหอก แบน (ภาพ: สรุ าษฎร์ธานี - RP) (ดูข้อมลู เพ่มิ เตมิ ที่ ชงโค, สกุล)
ชงโค: P. glauca subsp. tenuiflora ชอ่ ดอกและดอกมีขนาดใหญก่ วา่ ฐานดอกยาวกว่า ปลายใบแฉกต้นื ๆ พบทีพ่ มา่ คาบสมุทรมลายู สุมาตรา และภาคใต้ของไทยท่นี ครศรธี รรมราช
(ภาพดอก: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - RP; ภาพผล: ดอยภคู า นา่ น - TB) สรุ าษฎรธ์ านี สตลู และนราธวิ าส ขนึ้ ตามชายปา่ ดบิ ชนื้ ระดบั ตำ�่ ๆ สขี องดอกมคี วาม
ผนั แปรสงู แยกเปน็ กลมุ่ ดอกสสี ม้ อมเหลอื ง ชงโคไฟ var. velutina (Wall. ex Benth.)
K. Larsen & S. S. Larsen และ var. mollissima (Wall. ex Prain) K. Larsen &
S. S. Larsen และกลุ่มดอกสีขาว ชงโคขาว var. subsessilis (Craib) de Wit และ
var. decipiens (Craib) K. Larsen & S. S. Larsen ซ่ึงแตล่ ะพันธุ์ในกลุ่มคล้ายกัน
ยากในการจ�ำแนก โดยเฉพาะ var. decipiens ท่พี บทางภาคตะวันออกเฉยี งใต้
ซง่ึ พบ var. subsessilis กระจายหนาแนน่ ดว้ ยเชน่ กัน
ชงโคแดง
Bauhinia galpinii N. E. Br.
ไมพ้ มุ่ รอเลอ้ื ย หใู บมี 1 คู่ รปู ลิ่มแคบขนาดเลก็ ใบรูปไขก่ วา้ ง กว้าง 2-7 ซม.
ยาว 1-5.5 ซม. ปลายแฉกไมถ่ งึ กงึ่ หนงึ่ ปลายแฉกมนกลม แผน่ ใบดา้ นลา่ งมนี วล
เส้นโคนใบขา้ งละ 3 เสน้ กา้ นใบยาว 0.8-1.5 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออก
ตรงขา้ มใบ กา้ นชอ่ หนา ยาว 0.5-1 ซม. มี 2-10 ดอก กา้ นดอกยาว 2-3.5 ซม.
กลีบเล้ียงพับงอกลับ ดอกสีแดงเข้ม ขนาดไม่เท่ากัน กลีบรูปสามเหล่ียม ยาว
3-4.5 ซม. กา้ นกลบี รปู เสน้ ดา้ ยยาวประมาณ 1.5 ซม. เกสรเพศผู้ 3 อนั ยาวประมาณ
3 ซม. เกสรเพศผู้ที่เปน็ หมัน มี 2-3 อนั รงั ไขม่ ีขนละเอยี ด ฝักรปู ขอบขนาน ยาว
8-10 ซม. แบน ปลายเปน็ จะงอย มี 3-5 เมลด็ (ดูขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ ท่ี ชงโค, สกลุ )
มีถ่ินกำ� เนิดในแอฟรกิ าทางตอนใต้แถบประเทศซิมบบั เว แซมเบยี โมซัมบิก
สวาซิแลนด์ และแอฟริกาใต้ เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไปในเขตร้อน คำ� ระบุชนดิ ตั้งตาม
นักพฤกษศาสตรช์ าวแอฟริกาใต้ Ernest Edward Galpin (1858-1941)
เอกสารอ้างองิ
Boonkerd, T., S. Saengmanee and B.R. Baum. (2004). The varieties of
Bauhinia pottsii G. Don in Thailand (Leguminosae-Caesalpinioideae). Plant
Systematics and Evolution 232: 51-62.
Brummitt, R.K., A.C. Chikuni, J.M. Lock and R.M. Polhill. (2007). Leguminosae
subfamily Caesalpinioideae. Flora of Zimbabwe 3(2): 25-26.
Larsen, K., S.S. Larsen and J.E. Vidal. (1984). Leguminosae-Caesalpinioideae.
In Flora of Thailand Vol. 4(1): 9-11, 14.
124
สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย ชบา
พบทอ่ี นิ เดยี จนี ตอนใต้ พมา่ เวยี ดนามตอนบน ในไทยพบทด่ี อยภคู า จงั หวดั นา่ น
ขึ้นตามริมล�ำธารในปา่ ดิบเขา ความสงู ประมาณ 1200 เมตร
เอกสารอา้ งอิง
Larsen, S.S. (1999). Bauhinia wallichii J.F. Macbr. (Leguminosae-Caesalpinioideae),
a species new to Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 27: 25-29.
ชงโคดอกเหลือง: ดอกห้อยลงรูประฆงั กลีบดอกมี 1 กลบี มีป้นื สีมว่ งเขม้ ท่โี คนกลีบดา้ นใน (ภาพ: cultivated - RP)
ชงโคด�ำ: กลีบดอกมปี ื้นสเี หลืองตรงกลาง เกสรเพศผู้ 3 อนั เกสรเพศผทู้ เ่ี ป็นหมนั 2 อนั (ภาพ: ตะรุเตา สตลู - PK) ชงโคภคู า: ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะแยกแขนงสั้น ๆ ฐานดอกเบ้ยี ว มรี ้ิว กลบี ดอกมขี นสีน�้ำตาลคลา้ ยเส้นไหม เกสรเพศผู้
3 อนั รังไขม่ ขี นหนาแนน่ มกี า้ นสน้ั ๆ (ภาพ: ดอยภคู า นา่ น - RP)
ชงโคไฟ: B. pottsii var. velutina ดอกสีสม้ อมเหลอื ง กา้ นกลบี ยาวกว่าแผน่ กลีบ (ภาพซ้าย: ทุ่งตะโก ระนอง - RP)
ชงโคขาว: B. pottsii var. subsessilis ดอกสขี าว ก้านกลีบดอกสนั้ (ภาพขวา: ชมุ พร - RP) ชบา, สกุล
ชงโคแดง: ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตรงข้ามใบ ดอกสีแดง กลบี เล้ยี งแยกเป็น 2 ส่วน (ภาพ: cultivated - RP) Hibiscus L.
วงศ์ Malvaceae
ชงโคภูคา
ไมล้ ม้ ลกุ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ พบนอ้ ยทเี่ ปน็ ไมเ้ ถา มหี ใู บ ใบเรยี งเวยี น ชอ่ ดอกแบบ
Phanera wallichii (J. F. Macbr.) Thoth. ชอ่ กระจะหรอื แยกแขนง บางครงั้ มดี อกเดยี ว ดอกสมบรู ณเ์ พศ กา้ นดอกสว่ นมาก
วงศ์ Fabaceae เป็นขอ้ ริ้วประดับมี 5 อัน หรือหลายอัน ติดทน กลีบเลยี้ งรูประฆงั มี 5 กลีบ
ติดทน กลบี ดอกมี 5 กลบี บางครง้ั ดอกซอ้ น ตดิ ท่โี คนเสา้ เกสรเพศผทู้ ีส่ ว่ นมาก
ช่ือพ้อง Bauhinia wallichii J. F. Macbr. ส้ันกว่ากลบี ดอก อบั เรณกู ระจายตลอดความยาวเสา้ เกสรหรือเฉพาะช่วงบน
รังไข่ 5 ช่อง กา้ นเกสรเพศเมยี แยกเปน็ 5 แฉก ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ ผลแห้งส่วน
ไมเ้ ถาเนอ้ื แขง็ หใู บรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 5 มม. ใบดา้ นกว้างยาวกวา่ มากแตกเปน็ 5 ซีก หรือคลา้ ยมี 10 ซกี เมล็ดรปู ไต มขี นหรือต่มุ
ดา้ นยาว ยาว 6-14 ซม. ปลายเรยี บหรอื แฉกตนื้ ๆ ปลายแฉกแหลม โคนรปู หวั ใจ
เส้นโคนใบขา้ งละ 4-5 เสน้ กา้ นใบยาว 3-6 ซม. ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ยาวได้ สกุล Hibiscus อยูภ่ ายใต้วงศย์ อ่ ย Malvoideae มีมากกวา่ 200 ชนดิ พบในเขตร้อน
ถึง 20 ซม. แยกแขนงส้ัน ๆ ใบประดับรูปใบหอก ยาวประมาณ 3 มม. มขี นด้านนอก และกง่ึ เขตรอ้ น ในไทยมีประมาณ 15 ชนิด และมีท่ีน�ำ เขา้ มาเปน็ ไมป้ ระดบั อีก
กา้ นดอกยาว 1-1.5 ซม. ใบประดบั ย่อยตดิ เหนอื กึง่ กลางก้านดอก ตาดอกรปู ไข่ หลายชนดิ ชื่อสกุลเป็นภาษาละติน ทใี่ ชเ้ รียกพชื ชนิด Althaea officinalis L.
ยาวประมาณ 1 ซม. ฐานดอกเบี้ยว มีร้ิว ยาว 5-7 มม. กลบี เล้ยี ง 5 กลบี ปลายกลีบมน ในยโุ รป หมายถงึ พชื สกุลชบามีลกั ษณะก่งิ เหนยี วใชท้ �ำ เชือกไดเ้ ช่นเดยี วกัน
ยาวประมาณ 4 มม. กลบี ดอกรปู ไขห่ รอื เกอื บกลม ยาว 5-8 มม. มขี นสนี ำ�้ ตาลคลา้ ย
เส้นไหมหนาแนน่ เกสรเพศผู้ 3 อัน กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 2 ซม. เกสรเพศผู้ ชบา
ทเ่ี ปน็ หมนั มี 5-7 อัน ยาว 3-4 มม. รงั ไข่มขี นสนี ้ำ� ตาลหนาแนน่ มีกา้ นส้ัน ๆ
กา้ นเกสรเพศเมียยาว 0.5-1 ซม. (ดูข้อมูลเพิม่ เติมที่ แสลงพัน, สกุล) Hibiscus rosa-sinensis L.
ไมพ้ ุม่ สงู 1-3 ม. มีขนรปู ดาวกระจายตามก่งิ เสน้ แขนงใบดา้ นลา่ ง กา้ นดอก
รวิ้ ประดบั กลบี เล้ยี ง และหูใบ หูใบรูปเส้นด้าย ยาว 0.5-1.2 ซม. ใบรูปไข่ ยาว
4-9 ซม. ขอบจักซฟี่ ันหรอื จกั เปน็ พู เสน้ โคนใบข้างละ 1 เสน้ กา้ นใบยาว 0.5-2 ซม.
ดอกออกเดยี่ ว ๆ ตามซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ กา้ นดอกยาว 3-7 ซม. ปลายก้านมีขอ้
รวิ้ ประดับ 6-7 อัน รูปเส้นดา้ ย เชอ่ื มตดิ กันท่ีโคน ยาว 0.8-1.5 ซม. กลีบเลี้ยง
รูปไขห่ รอื แกมรปู ใบหอก ยาวประมาณ 2 ซม. ติดทน ดอกรปู แตร สแี ดงหรอื ส้ม
อมเหลือง ดอกบานเส้นผ่านศูนยก์ ลาง 6-10 ซม. แผ่นกลบี รปู ไข่กลับ มีขนยาว
ด้านนอก เส้าเกสรยาว 4-8 ซม. เกลี้ยง อับเรณูกระจายเฉพาะช่วงบน ผลรูปไข่ ยาว
ประมาณ 2.5 ซม. ปลายเป็นจะงอย
มถี น่ิ กำ� เนดิ ในประเทศจนี เปน็ ดอกไมป้ ระจำ� ชาตมิ าเลเซยี มกี ารปรบั ปรงุ พนั ธ์ุ
และผสมขา้ มพันธุ์ทำ� ให้มหี ลากสี หรอื ใบดา่ ง ตน้ ทดี่ อกซอ้ นถกู จ�ำแนกเป็น var.
rubroplenus Sweet มสี รรพคณุ ด้านสมนุ ไพรหลายอย่าง
เอกสารอ้างอิง
Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Malvaceae. In Flora of China Vol.
12: 289.
ชบา: ขอบใบจกั ซีฟ่ นั อบั เรณกู ระจายเฉพาะช่วงบน มที ัง้ ต้นใบดา่ ง และกลีบดอกซอ้ น (ภาพ: cultivated - RP)
125
ชบาโคม สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย
ชบาโคม ชมพูกาหลง
Abutilon megapotamicum (A. Spreng.) A. St.-Hil. & Naudin Scaphochlamys biloba (Ridl.) Holttum
วงศ์ Malvaceae วงศ์ Zingiberaceae
ชอื่ พอ้ ง Sida megapotamica A. Spreng. ชอ่ื พอ้ ง Gastrochilus biloba Ridl., Scaphochlamys longifolia Holttum,
Scaphochlamys biloba (Ridl.) Holttum var. lanceolata (Ridl.) Holttum
ไมพ้ ุ่ม สูง 1-2.5 ม. หใู บรปู ลมิ่ แคบ ยาว 5-6 มม. ใบเรยี งเวยี น รูปไข่ จกั 3-5 พู
ยาว 4-7 ซม. ขอบจกั ซ่ฟี นั ก้านใบยาว 1-1.8 ซม. ดอกออกเด่ียว ๆ ตามซอกใบ ไมล้ ม้ ลุก เหง้าทอดเลอ้ื ย เส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 3-4 มม. แทงยอดหา่ ง ๆ มี 1-2 ใบ
รปู ระฆัง ห้อยลง กา้ นดอกยาว 3-3.5 ซม. กลีบเล้ยี งรูปถว้ ย ยาว 1.2-2 ซม. กาบใบยาว 2-5 ซม. ล้นิ กาบขนาดเล็ก ก้านใบสั้น หรือยาวได้ถึง 20 ซม. ใบรปู รี
กลีบยาวประมาณ 1 ซม. ดอกสีเหลือง กลบี รูปใบพาย ยาว 2-3 ซม. เส้าเกสรสี ถงึ รปู ใบหอก ขนาดเลก็ หรือยาว 15-25 ซม. ชอ่ ดอกออกที่โคน รปู รี ยาวไดถ้ งึ
นำ�้ ตาลแดงเปลย่ี นเปน็ สเี ขม้ ยาว 3-3.5 ซม. ชว่ งเกสรเพศผยู้ าวประมาณ 1.5 ซม. 4 ซม. ใบประดบั เรยี งเวียนซอ้ นกัน สีนำ�้ ตาล ยาว 1.5-2 ซม. ใบประดบั ย่อยสั้น
ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 3 มม. คาร์เพลมีขนส้ันนุ่ม ก้านเกสรเพศเมยี 7-10 อัน หรือยาวกว่าใบประดบั เล็กน้อย ในแต่ละใบประดบั มีดอกเดียว ใบประดบั ย่อย
ไม่ย่นื เลยเกสรเพศผู้ ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ (ดขู ้อมูลเพ่ิมเติมท่ี มะกอ่ งขา้ ว, สกลุ ) มีอนั เดียว หลอดกลบี เลีย้ งยาวประมาณ 1.3 ซม. ปลายจัก 3 พูตนื้ ๆ แฉกด้านเดยี ว
ประมาณ 5 มม. ดอกสขี าว มตี อ่ มขนเลก็ ๆ กระจาย หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ
มถี นิ่ กำ� เนดิ ในอเมรกิ าใต้ ดอกกนิ เปน็ ผกั สดหรอื ปรงุ สกุ เปน็ ไมป้ ระดบั คลา้ ยกบั 3 ซม. กลบี ล่างรูปแถบ ยาวประมาณ 1.7 ซม. กลีบคขู่ ้างสัน้ กวา่ เล็กน้อย แผ่น
A. pictum (Gillies ex Hook.) Walp. ท่ีมหี ลายสายพันธ์ุ หลากสี เกสรเพศผทู้ เี่ ปน็ หมนั ดา้ นขา้ งรปู ไขก่ ลบั แกมรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 1.5 ซม.
กลบี ปากรปู ไข่กลบั ยาวประมาณ 2 ซม. ปลายแฉกประมาณก่งึ หนึ่ง กลางกลีบ
เอกสารอ้างอิง มปี น้ื สเี หลอื งออ่ นหรอื สชี มพู เกสรเพศผยู้ าวประมาณ 8 มม. สนั อบั เรณไู มช่ ดั เจน
Huxley, A. (1992). The new RHS Dictionary of Gardening. MacMillan Press.
Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum พบที่คาบสมทุ รมลายู และทางภาคใต้ตอนล่างของไทยท่ปี ัตตานี ยะลา และ
Press, Honolulu, Hawai`i. นราธิวาส ขึน้ ตามป่าดิบชืน้ ความสูงระดับตำ่� ๆ
สกลุ Scaphochlamys Baker มีมากกวา่ 30 ชนดิ พบทีค่ าบสมทุ รมลายู บอร์เนียว
และภาคใตต้ อนล่างของไทย ในไทยมี 4 ชนิด ชอ่ื สกลุ มาจากภาษากรกี “skaphe”
หรอื “skapho” เรอื และ “chlamys” ใบประดบั หมายถึงใบประดบั ทรี่ ูปร่างคล้ายเรอื
เอกสารอ้างอิง
Larsen, K. and S.S. Larsen. (2006). Gingers of Thailand. Queen Sirikit Botanic
Garden. Chiang Mai.
Searle, R.J. (2010). The genus Scaphochlamys (Zingiberaceae-Zingibereae): a
compendium for the field worker. Edinburgh Jounal of Botany 67(1): 75-121.
ชบาโคม: A. megapotamicum ใบจัก 3-5 พู ขอบจัก ดอกออกเดีย่ ว ๆ รูประฆงั หอ้ ยลง กา้ นดอกยาว เสา้ เกสร ชมพูกาหลง: ไมล้ ้มลกุ มี 1-2 ใบ ชอ่ ดอกออกท่โี คน กลีบปากรูปไขก่ ลับ ยาวประมาณ 2 ซม. ปลายแฉกประมาณ
สีน้�ำตาลแดงเปล่ียนเป็นสเี ข้ม (ภาพซ้าย: cultivated - RP); ชบาโคม: A. pictum (ภาพขวา: cultivated - RP) ก่ึงหนึ่ง กลางกลีบมปี ืน้ สีเหลอื งอ่อนหรอื สีชมพู (ภาพ: แวง้ นราธวิ าส - MP)
ชบาจ๋วิ ชมพเู ชียงดาว, สกุล
Hibiscus hirtus L. Pedicularis L.
วงศ์ Malvaceae วงศ์ Orobanchaceae
ไมพ้ ุม่ สูงไดถ้ ึง 2 ม. กิ่งมขี นรูปดาวกระจาย มขี นยาวตามกา้ นใบ ก้านดอก ไมล้ ม้ ลุกกง่ึ พชื เบยี น ใบเดย่ี วหรือใบจกั แบบขนนก เรียงเวียน เรียงตรงข้าม
รวิ้ ประดบั และกลบี เลย้ี ง หใู บรปู เสน้ ดา้ ย ยาวประมาณ 1 ซม. ใบรปู ไข่ เรยี บหรอื หรอื เปน็ กระจกุ รอบขอ้ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ หรอื ชอ่ กระจกุ แยกแขนงคลา้ ยชอ่
จกั 3 พตู น้ื ๆ ยาว 3-8 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเสน้ ใบดา้ นลา่ งมตี อ่ มขนาดใหญ่ เชงิ ลด ออกตามซอกใบหรอื ปลายกง่ิ ใบประดบั คลา้ ยใบ กลบี เลย้ี งเปน็ หลอดหรอื
ขอบจกั ซี่ฟนั ปลายจกั มีขนยาว ก้านใบยาวไดถ้ งึ 5 ซม. ช่อดอกมีดอกเดยี ว รปู ระฆงั คล้ายรูปปากเปดิ ปลายแยกเปน็ 2-5 กลบี กลบี ดอกรูปปากเปดิ กลีบบน
กา้ นดอกยาว 2-5 ซม. ร้วิ ประดบั 5-7 อัน รูปล่ิมแคบ ยาวประมาณ 5 มม. กลบี เล้ียง งมุ้ คลา้ ยหมวก กลีบล่าง 3 กลีบ เกสรเพศผู้ 4 อนั ส้ัน 2 อนั ยาว 2 อนั ก้านชู
รปู ใบหอก ยาวประมาณ 1 ซม. ดอกสชี มพอู มสม้ หรอื ขาว กลบี รปู รี ยาว 1.5-1.8 ซม. อบั เรณรู ปู เสน้ ดา้ ย ตดิ บนหลอดกลบี ดอก ตดิ สลบั กบั กลบี ดอก อบั เรณอู ยใู่ ตก้ ลบี บน
เสา้ เกสรสน้ั กวา่ กลบี ดอก เกสรเพศผเู้ รยี งเวยี นตลอดความยาว กา้ นเกสรเพศเมยี กา้ นเกสรเพศเมยี รปู เสน้ ดา้ ย ยอดเกสรเปน็ ตมุ่ ผลแหง้ แตกกลางพู ปลายมจี ะงอย
แยก 5 แฉก ยาว 7-8 มม. ผลรปู กลม สน้ั กว่ากลบี เลย้ี ง มี 12-15 เมลด็ มปี ยุ คลา้ ยฝ้าย เมลด็ จำ� นวนมาก ผิวเป็นร่างแห
(ดขู ้อมลู เพม่ิ เตมิ ท่ี ชบา, สกลุ )
สกลุ Pedicularis เคยอยภู่ ายใต้วงศ์ Scrophulariaceae เชน่ เดยี วกบั อีกหลายสกลุ
มถี ิน่ ก�ำเนดิ ในอินเดยี และชวา ปลูกเป็นไมป้ ระดับท่วั ไปในเขตรอ้ น ทเี่ ปน็ พชื เบยี น เชน่ เดียวกับสกุล Alectra, Buchnera, Centranthera, Sopubia
และ Striga ปจั จบุ ันอย่วู งศย์ อ่ ย Pedicularideae มี 600-800 ชนดิ ส่วนใหญ่พบ
เอกสารอา้ งองิ บรเิ วณเขตอลั ไพนท์ างตะวันตกของจนี และแถบหิมาลยั ในไทยมี 4 ชนดิ ช่ือสกุล
Master, T.M. (1874). Malvaceae. In Flora of British India Vol. 1: 335. มาจากภาษาละติน “pediculus” แมลงพวกเหบ็ หมดั ตามความเชื่อท่วี า่ เป็นท่อี ยู่
ของพวกเหบ็ หมัดท่ีติดจากสัตว์เลีย้ ง และสตั ว์เลีย้ งตวั อนื่ จะตดิ เม่อื กินพืชสกุล
ชบาจิ๋ว: ขอบใบจกั ซฟ่ี นั ลึก มีขนยาวตามปลายจัก ก้านดอก และกลีบเลย้ี ง ชอ่ ดอกมดี อกเดียว ก้านเกสรเพศเมยี น้ีเป็นอาหาร
แยก 5 แฉก ยอดเกสรเปน็ ตุม่ (ภาพ: cultivated - RP)
126
สารานุกรมพืชในประเทศไทย ชมพูพาน
ชมพูเชียงดาว ชมพ่นู ก: ใบเรียงรอบขอ้ โคนเวา้ ตนื้ ๆ ไม่มเี สน้ ขอบใน ช่อดอกแบบชอ่ เชิงหล่ัน ออกตามกิง่ (ภาพ: ภวู ัว บงึ กาฬ - MP)
Pedicularis siamensis P. C. Tsoong
ไมล้ ม้ ลกุ สงู 40-60 ซม. ลำ� ตน้ มขี น ใบเรยี งเปน็ วง 3-4 ใบ รปู รหี รอื รปู ขอบขนาน
ยาว 1.5-4.5 ซม. จกั ลกึ แบบขนนก มีประมาณ 5-12 คู่ ขอบจกั ซี่ฟนั มีขนบาง
และแหง้ ทง้ั สองดา้ น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ยาวไดถ้ งึ 40 ซม. หลอดกลบี เลย้ี งยาว
0.8-1 ซม. เปน็ สนั ต้นื ๆ ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ยาวประมาณ 3 มม. รปู แถบ 1 กลีบ
รปู ใบหอกกลบั 4 กลบี ขอบจกั ดอกสชี มพถู งึ มว่ งเขม้ หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ
2 ซม. กลบี ปากบนรูปหมวก ยาวประมาณ 1 ซม. ง้มุ เข้า กลีบปากล่างบานออก
มี 3 กลบี ยาวประมาณ 1 ซม. กลบี กลางกลม ยาวประมาณ 5 มม. กลบี ขา้ งรปู รี
ยาวประมาณ 6 มม. เกสรเพศผ้เู กลี้ยง โคนอบั เรณูแหลม ผลรปู ไข่ ยาว 0.8-1.2 ซม.
ปลายมีติง่ แหลม เมล็ดขนาดเล็กจำ� นวนมาก
พชื ถน่ิ เดยี วของไทย พบทางภาคเหนอื ทด่ี อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ ขนึ้ ตาม
เขาหนิ ปนู ทโ่ี ล่ง ความสูง 1800-2100 เมตร
เอกสารอา้ งองิ
Yamazaki, T. (1990). Scrophulariaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(2): 235-237.
ชมพเู ชียงดาว: ใบจักลึกแบบขนนก ช่อดอกแบบช่อกระจะ กลีบดอกรูปปากเปดิ กลบี ปากบนรปู หมวก ชมพู่น�ำ้ : ชอ่ ดอกออกตามปลายกง่ิ หรอื ซอกใบ เกสรเพศผู้สีชมพอู มแดง หรือเหลอื งอมเขียว กลีบเลย้ี งและกลบี ดอก
(ภาพ: ดอยเชียงดาว เชียงใหม่ - SSi) โคนหนา ขอบบาง ผลกลม ๆ (ภาพซา้ ย: น�้ำตกพล้ิว จนั ทบุรี - TP; ภาพขวา: น้�ำตกขาออ่ น ประจวบคีรีขันธ์ - RP)
ชมพู่นก ชมพพู าน
Syzygium formosum (Wall.) Masam. Wightia speciosissima (D. Don) Merr.
วงศ์ Myrtaceae วงศ์ Paulowniaceae
ช่อื พ้อง Eugenia formosa Wall. ชื่อพ้อง Gmelina speciosissima D. Don
ไมต้ น้ สูงไดถ้ ึง 20 ม. ใบเรยี งรอบขอ้ รูปขอบขนาน รปู ใบหอก หรอื แกมรูปไข่ ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ น้ องิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 15 ม. มเี กลด็ และขนรปู ดาวหนาแนน่ ตาม
ยาว 20-45 ซม. โคนเวา้ ต้ืน ๆ ไมม่ ีเสน้ ขอบใน ก้านใบยาว 1-3 มม. ช่อดอกแบบ แผน่ ใบดา้ นลา่ ง ชอ่ ดอก กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกดา้ นนอก ใบเรยี งตรงขา้ ม รปู รหี รอื
ช่อเชงิ หล่นั ออกสน้ั ๆ ตามกิง่ ทใี่ บหลดุ ร่วง มี 4-6 ดอก ก้านดอกยาว 0.5-2.5 ซม. รปู ขอบขนาน ยาว 10-30 ซม. แผ่นใบหนา กา้ นใบยาวได้ถงึ 2 ซม. ชอ่ ดอกแบบ
ฐานดอกยาว 1.5-2 ซม. กา้ นดอกเทยี มยาว 5-6 มม. กลบี เลย้ี ง 4 กลบี กวา้ งประมาณ ชอ่ กระจกุ แยกแขนงสน้ั ๆ ยาว 10-20 ซม. กา้ นชอ่ และกา้ นดอกสนั้ ใบประดบั ยอ่ ย
1 ซม. ดอกสีชมพู กลีบดอกมี 4 กลบี ขนาด 0.9-1.2 ซม. มตี อ่ มหนาแน่น เกสรเพศผู้ ขนาดเล็ก 2 อัน กลบี เล้ียงรูประฆัง ยาวประมาณ 8 มม. ปลายแยก 3-4 แฉกตื้น ๆ
วงนอกยาวประมาณ 2 ซม. รงั ไขม่ ี 2 ชอ่ ง กา้ นเกสรเพศเมียยาวประมาณ 3.5 ซม. ดอกสีชมพู ยาว 2.5-3.5 ซม. กลีบรปู ปากเปิด หลอดกลบี ดอกสัน้ กลบี ปากบน
ผลเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3-4 ซม. (ดขู ้อมูลเพม่ิ เตมิ ท่ี หวา้ , สกลุ ) ยาวประมาณ 8 มม. แยก 2 แฉก กลีบปากล่าง 3 กลบี ยาว 6-7 มม. เกสรเพศผู้
2 คยู่ าวไม่เท่ากัน อับเรณรู ปู ลูกศร ยื่นพน้ ปากหลอดกลีบดอก รงั ไขม่ ี 2 ชอ่ ง มรี วิ้
พบทอ่ี นิ เดยี บงั กลาเทศ พมา่ และเวยี ดนาม ในไทยพบกระจายทกุ ภาค ขนึ้ ตาม กา้ นเกสรเพศเมียสนั้ กว่าเกสรเพศผู้เล็กนอ้ ย ผลแห้งแตกกลางพู รูปขอบขนาน
รมิ ลำ� ธารในป่าดิบแลง้ และป่าดิบช้ืน ความสงู ถึงประมาณ 700 เมตร ยาว 2.5-4 ซม. เมล็ดจ�ำนวนมาก รปู แถบ ยาวประมาณ 7 มม. มปี ีกบาง แคบ ๆ
ชมพู่นำ�้ พบทเี่ นปาล อนิ เดยี จนี ตอนใต้ พมา่ และภมู ภิ าคอนิ โดจนี ในไทยพบทกุ ภาค
ขน้ึ ตามคบไม้ หรือกอ้ นหนิ ในปา่ ดิบเขา ความสูง 1300-2000 เมตร
Syzygium siamense (Craib) Chantar. & J. Parn.
สกุล Wightia เดมิ อย่ภู ายใต้วงศ์ Scrophulariaceae มเี พยี ง 2 ชนิด อีกชนดิ คอื
ชอื่ พอ้ ง Eugenia siamensis Craib ศรีฮาลา W. borneensis Hook. f. พบทางภาคใตต้ อนลา่ ง และภมู ิภาคมาเลเซยี
ชื่อสกลุ ตง้ั ตามนักพฤกษศาสตรช์ าวบริตชิ Robert Wight (1796-1872)
ไม้ตน้ สูงไดถ้ งึ 15 ม. ใบเรียงตรงข้าม รูปขอบขนาน รปู ใบหอก หรอื แกมรปู ไข่ เอกสารอ้างอิง
ยาว 9-28 ซม. โคนกลมหรือเว้าต้ืน มเี ส้นขอบใน 1 เสน้ กา้ นใบยาว 3.5-8 มม. Hong, D., H. Yang, C.L. Jin, M.A. Fischer, N.H. Holmgren and R.R. Mill.
ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ ออกสน้ั ๆ ตามปลายกง่ิ หรอื ซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ มี 2-6 ดอก
ก้านดอกยาว 3-5 มม. ฐานดอกยาว 1-1.7 ซม. ไม่มีต่อม กา้ นดอกเทียมยาว (1998). Scrophulariaceae. In Flora of China Vol. 18: 10-11.
5-6 มม. กลีบเลี้ยง 4 กลบี ยาว 3-6.5 มม. โคนหนา ขอบบาง ดอกสชี มพู แดง หรอื Yamazaki, T. (1990). Scrophulariaceae. In Flora of Thailand Vol. 5(2): 142-143.
เหลอื ง มี 4 กลบี ขนาด 1.4-1.7 ซม. โคนหนา ขอบบาง มีตอ่ มหนาแน่น เกสรเพศผู้
วงนอกยาว 2-3 ซม. รังไข่มี 2 ชอ่ ง ผลเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 2.5-2.7 ซม. (ดูข้อมลู ชมพพู าน: ใบเรยี งตรงขา้ ม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุกแยกแขนงสนั้ ๆ กลีบดอกรปู ปากเปดิ (ภาพ: เชียงใหม่ - RP)
เพ่ิมเติมที่ หว้า, สกุล)
พบทพี่ มา่ และคาบสมทุ รมลายู ในไทยพบทกุ ภาค โดยเฉพาะทางภาคใต้ สว่ น
มากข้ึนรมิ ลำ� ธารในป่าดบิ แล้ง และปา่ ดิบชื้น ความสูงระดบั ตำ่� ๆ
เอกสารอา้ งองิ
Parnell, J. and P. Chantaranothai. (2002). Myrtaceae. In Flora of Thailand Vol.
7(4): 899.
127
ชมพพู งิ ค์ สารานุกรมพชื ในประเทศไทย
ชมพพู งิ ค์ เอกสารอ้างองิ
de Craene, L.P.R. and E. Haston. (2006). The systematic relationships of
Prunus cerasoides Buch.-Ham. ex D. Don glucosinolate-producing plants and related families: a cladistic investigation
วงศ์ Rosaceae based on morphological and molecular characters. Botanical Journal of
the Linnean Society 151: 453-494.
ช่อื พ้อง Cerasus cerasoides (Buch.-Ham. ex D. Don) S. Ya. Sokolov Lu, L. and D.E. Boufford. (2001). Bretschneideraceae. In Flora of China Vol.
8: 197.
ไมต้ ้น สูงไดถ้ งึ 30 ม. หูใบรปู ล่มิ จกั ชายครุย รว่ งเร็ว ใบเรียงเวยี น รูปไข่ Niyomdham, C. (1991). Bretschneideraceae. In Flora of Thailand Vol. 5(3): 239-240.
รปู ขอบขนาน หรือรูปใบหอก ยาว 5-12 ซม. ขอบจักฟนั เลื่อย ปลายจกั มีตุ่ม แผน่ ใบ
ด้านลา่ งมขี นตามเส้นแขนงใบ ก้านใบยาว 0.8-2 ซม. มักมตี ่อม 2-4 ตอ่ ม ช่อดอก ชมพภู ูคา: ใบประกอบเรยี งเวียน ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตามปลายกง่ิ กลบี ดอกสมมาตรดา้ นข้าง กลบี บนโค้ง
แบบชอ่ กระจกุ หรอื คลา้ ยชอ่ ซร่ี ม่ วงใบประดบั ยาว 1-1.2 ซม. กา้ นชอ่ ยาว 1-2 ซม. ปดิ เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี ผลผนังหนา (ภาพ: ปัว น่าน; ภาพดอก - SK, ภาพผล - PM)
ใบประดบั ย่อยขนาดเล็ก ขอบจักเปน็ ตอ่ ม กา้ นดอกยาว 0.7-2 ซม. ขยายในผล
ฐานดอกรูประฆงั สแี ดงอมชมพู กลีบเลีย้ ง 5 กลีบ รูปสามเหล่ียม ยาว 4-5 มม. ชมพยู นู นาน
รว่ งเร็ว ดอกสชี มพหู รอื ขาว มี 5 กลีบ รปู ไข่ ยาว 1.5-2 ซม. รวมกา้ นส้นั ๆ ปลาย
เว้าต้ืน เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก ติดรอบรังไข่ ส้ันกว่ากลีบดอกเล็กน้อย รังไข่เกล้ียง Begonia modestiflora Kurz
กา้ นเกสรเพศเมยี ยาวเทา่ ๆ เกสรเพศผู้ ยอดเกสรคลา้ ยจาน ผลสด ผนงั ชน้ั ในแขง็ วงศ์ Begoniaceae
รูปรีหรือรูปไข่ ยาวประมาณ 1.5 ซม. มีเมล็ดเดียว ผวิ ย่น
ชอื่ พอ้ ง Begonia yunnanensis H. Lév.
พบทเี่ นปาล อนิ เดยี จนี ตอนใต้ พม่า ลาว และเวยี ดนามตอนบน ในไทยพบ
ทางภาคเหนอื ทเี่ ชยี งใหม่ ขน้ึ ตามปา่ ดบิ เขา ความสงู ถงึ ประมาณ 1500 เมตร เปน็ ไม้ล้มลุก สูงได้ถึง 50 ซม. มีรากตามข้อ หูใบรูปไข่ ยาว 5-7 มม. ใบรูป
ไมป้ ระดบั ในท่สี ูง สามเหลีย่ ม เบยี้ ว ยาว 3.5-8 ซม. ขอบจักซ่ฟี นั ถี่ ก้านใบยาว 1.8-5.5 ซม. ชอ่ ดอก
ออกตามปลายกิ่งและซอกใบ ปลายช่อเป็นดอกเพศผู้ โคนชอ่ เป็นดอกเพศเมยี
สกุล Prunus L. อยภู่ ายใตว้ งศ์ยอ่ ย Amygdaloideae มกี ว่า 400 ชนิด หลายชนิด ช่อดอกทีอ่ อกตามซอกใบมดี อกเพศเมีย 1-2 ดอก ใบประดบั รปู ไข่ ยาว 6-7 มม.
เปน็ ไมผ้ ล เช่น อลั มอนด์ แอปรคิ อต เชอรี่ พีช ท้อ และพลัม เป็นตน้ ในไทยมี ขอบจัก มขี นครุย ดอกสีชมพู ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 0.6-1 ซม. กลีบรวม 4 กลีบ
พืชพืน้ เมือง 7 ชนดิ ชือ่ สกุลมาจากภาษากรกี “proume” หมายถงึ พชื พวกพลัม คนู่ อกรูปไข่ ยาว 5-7 มม. มีขนดา้ นนอก คใู่ นรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 3 มม.
เอกสารอา้ งองิ กา้ นชอู บั เรณเู ชอื่ มตดิ กนั ทโ่ี คน ดอกเพศเมยี กา้ นดอกยาวกวา่ ดอกเพศผู้ กลบี รวม
Li, C., J. Shunyuan and B. Bartholomew. (2003). Rosaceae (Cerasus). In Flora 5 กลบี กลีบใหญร่ ปู ไข่ ยาว 7-8 มม. ปลายแหลม กลบี เล็กรปู ใบหอก ยาว 6-7 มม.
ปลายมน รงั ไข่เกลี้ยง กา้ นเกสรเพศเมีย 3 อนั เช่อื มตดิ กันที่โคน ยอดเกสรจัก
of China Vol. 9: 418. 2 พู บดิ เวียน ผลห้อยลง กวา้ งประมาณ 6 มม. ยาวประมาณ 1 ซม. ปีกกลางรปู
Vidal, J.E. (1970). Rosaceae. In Flora of Thailand Vol. 2(1): 68. สามเหลยี่ ม ยาวประมาณ 1.5 ซม. ปกี คขู่ า้ งขนาดเลก็ (ดขู อ้ มลู เพมิ่ เตมิ ทสี่ ม้ กงุ้ , สกลุ )
ชมพูพงิ ค์: ขอบใบจกั ก้านใบมตี ่อม ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุกหรอื คล้ายช่อซ่รี ่ม เกสรเพศผ้จู �ำนวนมาก ผลสด พบท่ีอินเดยี เนปาล จนี ตอนใต้ พมา่ และภาคเหนอื ของไทยทแี่ มฮ่ ่องสอน
(ภาพดอก: วัดจนั ทร์ เชยี งใหม่ - RP; ภาพผล: ห้วยนำ�้ ดัง เชยี งใหม่ - SSi) เชียงใหม่ เชียงราย ลำ� พูน อตุ รดิตถ์ แพร่ ตาก ข้ึนตามปา่ ดบิ เขา และบนเขาหนิ ปูน
ความสูงถงึ ประมาณ 1800 เมตร
ชมพูภคู า
เอกสารอา้ งอิง
Bretschneidera sinensis Hemsl. Gu, C., C.I. Peng and N.J. Turland. (2007). Begoniaceae. In Flora of China
วงศ์ Akaniaceae Vol. 13: 186.
ไมต้ ้น สูง 10-25 ม. ใบประกอบเรยี งเวียน ยาว 30-70 ซม. ใบยอ่ ยมี 3-9 คู่ ชมพยู ูนนาน: ใบเบ้ยี ว ดอกเพศผู้อยูป่ ลายช่อ ดอกเพศผูม้ ี 4 กลบี คูน่ อกใหญ่กวา่ คูใ่ น ช่อดอกเพศเมยี อยู่ดา้ นล่าง
ใบย่อยชว่ งโคนเรียงสลบั รปู รี รปู ใบหอก หรอื แกมรูปไข่ ยาว 6-25 ซม. ก้านใบยอ่ ย ดอกเพศเมยี มี 5 กลบี (ภาพ: เชียงดาว เชียงใหม่ - SSi)
ยาว 0.2-1 ซม. ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ ออกตามปลายกง่ิ ยาว 20-45 ซม. กลีบเล้ยี ง
รปู ระฆัง ยาว 1.5-2 ซม. ปลายแยกตน้ื ๆ 5 แฉก ดอกสมมาตรดา้ นข้าง สขี าว
อมชมพู เปลยี่ นเปน็ สีชมพเู ข้ม มรี ้วิ สีแดง มี 5 กลีบ รูปไขก่ ลับ ยาว 1.8-2 ซม.
มกี า้ นกลบี สนั้ ๆ ตดิ บนหลอดกลบี เลย้ี ง กลบี บนโคง้ ปดิ เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี
เกสรเพศผมู้ ี 8 อัน ติดบนจานรองฐานดอกทเี่ ป็นวงบาง ๆ ก้านชูอับเรณูยาว
2.5-3 ซม. ปลายโค้ง มขี นท่ีโคน รังไข่และกา้ นเกสรเพศเมยี มขี น เกสรเพศเมยี
ยาว 3-4 ซม. ปลายงอลง ยอดเกสรเปน็ ตุ่ม ผลแห้งแตกเป็น 3-5 สว่ น รปู รี ยาว
3-4 ซม. ผนงั หนา มีขนละเอียดและตุม่ กา้ นผลยาว 2.5-3.5 ซม. เมล็ดรปู รีหรอื
เกอื บกลม ยาว 1.5-2.5 ซม. มเี ยื่อหุ้มสสี ม้
พบทจ่ี นี เวยี ดนามตอนบน ไตห้ วนั และภาคเหนอื ของไทยทดี่ อยภคู า จงั หวดั นา่ น
ขึ้นตามท่ีลาดชนั ในปา่ ดิบเขา ความสงู 1200-1500 เมตร
สกลุ Bretschneidera Hemsl. เดิมอยภู่ ายใตว้ งศ์ Bretschneideraceae มีสกุลเดียว
และชนดิ เดยี ว มคี วามใกลช้ ิดกับวงศ์ Hippocastanaceae และ Sapindaceae
ขอ้ มลู ปจั จุบนั ให้อยภู่ ายใต้วงศ์ Akaniaceae ซ่งึ มี 2 สกลุ อกี สกลุ คือ Akania มี
ชนิดเดียวเช่นกัน พบเฉพาะในออสเตรเลยี ช่อื สกลุ ตั้งตามนักพฤกษศาสตรช์ าว
ลตั เวยี Emil Bretschneider (1833-1901)
128
สารานุกรมพชื ในประเทศไทย ช่อชมดาว
ชวนชม เอกสารอา้ งอิง
Fang, R. and P.F. Stevens. (2007) Ericaceae (Vaccinium). In Flora of China
Adenium obesum (Forssk.) Roem. & Schult. Vol. 14: 476.
วงศ์ Apocynaceae Sleumer, H. (1966). Ericaceae. In Flora Malesiana Vol. 6(5): 852-853.
Watthana, S. (2015). Ericaceae. In Flora of Thailand Vol. 13(1): 132-141.
ชื่อพ้อง Nerium obesum Forssk.
ชอ่ ไขม่ ุก: ใบรปู ไข่กลับ ปลายกลม โคนสอบเรยี ว ขอบเรียบ แผ่นใบหนา ก้านใบสแี ดง แบน ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะ
ไม้พุ่มอวบน้�ำ น�้ำยางขาว ใบเรียงหนาแน่นท่ีปลายกิ่ง รูปไข่กลับถึงรูปแถบ ดอกรปู คนโท ผลกลม (ภาพช่อดอก: เขาเหมน นครศรธี รรมราช, ภาพผล: ยะลา; - RP)
ยาว 3-17 ซม. ปลายมตี ง่ิ แหลม กา้ นใบสน้ั มตี อ่ มทซี่ อกใบ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ
แยกแขนงสัน้ ๆ ออกตามซอกใบทป่ี ลายก่ิง กลีบเล้ียง 5 กลีบ รูปไขแ่ คบ ยาว 0.5-1 ซม. ชอ่ ชมดาว
ดอกรูปแตร สว่ นมากสชี มพหู รอื สแี ดง กลบี เรียงซ้อนทบั ดา้ นขวาในตาดอก มี
5 กลบี หลอดกลบี ยาว 2-4.5 ซม. ด้านในมีขนส้ันนมุ่ กลบี เกอื บกลม ยาว 1-2.8 ซม. Kohautia gracilis (Wall.) DC.
มกี ะบังระหว่างกลบี เกสรเพศผู้ 5 อัน ตดิ ภายในหลอดกลบี กา้ นชูอบั เรณูยาว วงศ์ Rubiaceae
5-7 มม. ปลายอับเรณูเรยี วเป็นรยางค์ มีขนยาว มี 2 คาร์เพล ปลายเช่อื มติดกัน
เรียวเปน็ ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 1-2 ซม. ผลเปน็ ฝกั คู่ ยาว 10-22 ซม. เมลด็ จำ� นวนมาก ชื่อพ้อง Hedyotis gracilis Wall., Oldenlandia gracilis (Wall.) Hook. f.
เรยี วแคบ ยาว 1-1.5 ซม. กระจกุ ขนยาว 2.5-3.5 ซม.
ไม้ล้มลกุ สูง 20-50 ซม. หูใบเปน็ แผน่ บาง ยาว 1-2 มม. ปลายจกั ชายครุย
มถี น่ิ กำ� เนดิ ในแอฟรกิ า เปน็ ไมป้ ระดบั ทว่ั ไป มหี ลากสายพนั ธ์ุ ยางมพี ษิ ใชเ้ บอ่ื ปลา 1-2 อนั ใบเรยี งตรงข้าม รูปใบหอกหรือรปู แถบ ยาว 3.5-9 ซม. ปลายแหลมเป็นติ่ง
หรอื ใชอ้ าบลูกดอกในแอฟริกา มีสรรพคณุ ใชแ้ ก้พิษงูหรือสตั วม์ ีพษิ อนื่ ๆ แผน่ ใบสาก เสน้ แขนงใบเปน็ เสน้ กลางใบ ไรก้ า้ น ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แยกแขนง
ออกทป่ี ลายกง่ิ กา้ นชอ่ ยาวไดถ้ งึ 12 ซม. แตล่ ะชอ่ กระจกุ มกั มดี อกเดยี ว กา้ นดอก
สกุล Adenium Roem. & Schult. อยภู่ ายใตว้ งศ์ย่อย Apocynoideae เผ่า ยาว 0.5-3.5 ซม. ใบประดับขนาดเล็ก กลีบเล้ยี ง 4 กลีบ รูปสามเหลยี่ มแคบ ยาว
Wrightieae มี 5 ชนดิ พบในแอฟริกา และคาบสมทุ รอาระเบยี ใน ตะวนั ออกกลาง 1-2 มม. ตดิ ทน ดอกรปู ดอกเขม็ ดา้ นในสคี รมี ดา้ นนอกสมี ว่ งอมชมพหู รอื นำ�้ ตาล
ชอื่ สกุลมาจากภาษาละตนิ “aden” ทใี่ ช้เรียกตน้ ไมช้ นดิ นี้ หลอดกลบี ยาว 0.7-1.2 ซม. มี 4 กลีบ รูปขอบขนานหรอื รูปใบหอก ยาว 3.5-5.5 มม.
เอกสารอ้างอิง เกสรเพศผู้ 4 อนั ไรก้ า้ น อบั เรณรู ปู เสน้ ดา้ ย ยาว 2-2.5 มม. ปลายมีรยางคย์ น่ื จรด
Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 78. ปากหลอดกลบี ก้านเกสรเพศเมียยาว 2.5-5 มม. ยอดเกสรแยก 2 แฉก รูปเสน้ ดา้ ย
Staples, G.W. and D.R. Herbst. (2005). A tropical garden flora. Bishop Museum ยาว 2-3.5 มม. ผลแห้งแตกกลางพูดา้ นบน รปู ไข่กวา้ ง กวา้ ง 3-4 มม. เมลด็ ขนาดเลก็
จำ� นวนมาก
Press, Honolulu, Hawai`i.
พบทอ่ี ินเดีย ปากสี ถาน เนปาล ศรีลงั กา พม่า และทางภาคตะวนั ตกเฉียงใต้
ชวนชม: ดอกหลากสี กะบังแฉกไมเ่ ป็นระเบียบ ปลายอบั เรณูเรยี วแหลมเป็นรยางค์ มีขนยาว นิยมทำ� เปน็ บอนไซ ของไทยทท่ี องผาภมู ิ จงั หวดั กาญจนบรุ ี ขนึ้ บนเขาหนิ ปนู เตยี้ ๆ ความสงู ประมาณ
(ภาพ: cultivated; ภาพบอนไซและดอกขาว - RP, ภาพดอกสแี ดง - PK, ภาพดอกขาวขอบแดง - MP) 200 เมตร
ช่อไข่มุก สกุล Kohautia Cham. & Schltdl. อยูภ่ ายใต้เผา่ Spermacoceae มี 27 ชนิด
สว่ นมากพบในแอฟริกา ในไทยมีชนดิ เดียว ต่างจากสกลุ Oldenlandia และ
Vaccinium viscifolium King & Gamble Hedyotis ท่ีกา้ นเกสรเพศเมียเปน็ แบบสั้นแบบเดียว ไมย่ ื่นพน้ ปากหลอดกลบี ดอก
วงศ์ Ericaceae และไม่ย่ืนเลยอบั เรณู เกสรเพศผู้ติดท่ปี ากและไม่ยืน่ พน้ ปากหลอดกลีบดอก
ช่ือสกลุ ตัง้ ตามนกั พฤกษศาสตรช์ าวเชก็ Francis Kohaut
ไมพ้ มุ่ หรอื องิ อาศยั สงู ไดถ้ งึ 6 ม. ใบเรยี งเวยี น รปู ไขก่ ลบั หรอื แกมรปู ขอบขนาน เอกสารอ้างองิ
ยาว 4-10 ซม. ปลายมนหรอื กลม โคนสอบเรยี ว ขอบเรียบ แผน่ ใบหนา ก้านใบ Puff, C. (2013). Kohautia Cham. & Schltdl. (Rubiaceae) - a new genus record
สีแดง แบน ยาว 4-8 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบใกลป้ ลายกิง่
2-5 ชอ่ ยาว 3-11 ซม. เกลี้ยงหรือมีขนส้นั น่มุ ใบประดับขนาดเลก็ กา้ นดอกยาว for the Flora of Thailand: K. gracilis (Wall.) DC. discovered in Kanchanaburi.
3-6 มม. กลีบเลี้ยงรปู ระฆัง ยาว 1-1.5 มม. ปลายแยก 5 กลบี รปู สามเหลย่ี ม Thai Forest Bulletin (Botany) 41: 56-60.
ขนาดเลก็ ดา้ นนอกมขี นและตอ่ มกระจาย ดอกรปู คนโท สขี าวหรอื อมชมพู หลอดกลบี
ยาว 6-7 มม. ปลายแยกเป็น 5 กลบี รปู สามเหล่ยี ม ยาวประมาณ 1 มม. เกสรเพศผู้ ชอ่ ชมดาว: เสน้ แขนงใบเป็นเสน้ กลางใบ ใบไร้กา้ น ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกแยกแขนง ชอ่ กระจกุ สว่ นมากมดี อกเดียว
10 อนั กา้ นชอู บั เรณยู าวประมาณ 4 มม. มขี นหนาแนน่ อบั เรณไู มม่ เี ดอื ย ปลาย ดอกรปู ดอกเขม็ เกสรเพศผแู้ ละเพศเมยี ไม่ยืน่ พ้นปากหลอดกลบี ดอก ผลแห้งแตกกลางพดู ้านบน รูปไขก่ ว้าง
มีรเู ปิด จานฐานดอกเป็นวง รังไขใ่ ตว้ งกลบี กา้ นเกสรเพศเมียยาว 6-7 มม. ผลสด (ภาพ: ทองผาภมู ิ กาญจนบรุ ี - RP)
มีหลายเมล็ด เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 5 มม.
129
พบทเ่ี วยี ดนามตอนใต้ คาบสมทุ รมลายู และภาคใตข้ องไทยทน่ี ครศรธี รรมราช
ยะลา และนราธิวาส ขนึ้ ตามปา่ ดบิ เขา ความสูง 1200-1400 เมตร
สกุล Vaccinium L. อยภู่ ายใตว้ งศ์ย่อย Vaccinioideae มีประมาณ 450 ชนิด
สว่ นมากพบทางซกี โลกเหนอื อยา่ งไรก็ตาม หลายชนดิ ทพ่ี บในเอเชยี อาจถูก
ยบุ รวมกับสกลุ Agapetes ในไทยมีประมาณ 10 ชนิด ชื่อสกลุ เป็นภาษาละตนิ
หมายถึงพชื พวก berry
ชอ่ ดาวดนิ สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย
ช่อดาวดิน พบในอเมรกิ า แอฟริกา ยุโรป และเอเชีย ในไทยพบทางภาคตะวันออกเฉยี งใต้
ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ ภาคกลาง และภาคใต้ ขน้ึ ตามชายป่าโกงกาง ทรี่ กร้างรอบ ๆ
Mycetia basiflora Puff นาเกลอื รบั ประทานเป็นผกั สดหรอื ปรงุ สุก
วงศ์ Rubiaceae
สกุล Suaeda Forssk. ex J. F. Gmel. เดมิ อยู่ภายใต้วงศ์ Chenopodiaceae มี
ไม้พุ่ม สงู ไดถ้ ึง 1 ม. หใู บรปู ใบหอก ยาว 4-7 มม. มีขนละเอยี ดดา้ นนอก ประมาณ 100 ชนิด เปน็ พชื ทพี่ บตามดินเคม็ ทงั้ ในอเมรกิ า แอฟรกิ า ยโุ รป เอเชยี
ใบเรยี งตรงข้าม รปู ไข่ถึงรปู ใบหอกกลบั ยาว 12-26 ซม. ก้านใบยาว 1.5-3 ซม. และออสเตรเลีย ในไทยมีชนิดเดยี ว ชอื่ สกลุ มาจากภาษาอาหรบั “suivada” หรือ
ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ แนน่ ออกเปน็ กลมุ่ ทโ่ี คนต้น ก้านชอ่ ยาวไดก้ วา่ 10 ซม. “sauda” เกลือ ตามถ่ินทอ่ี ย่ทู ่ชี อบดินเคม็
ใบประดบั รปู เสน้ ดา้ ยขนาดเลก็ กา้ นดอกยาว 1-4 มม. มขี นสน้ั นมุ่ กลบี เลยี้ ง 5 กลบี เอกสารอ้างองิ
รปู สามเหลีย่ มแคบ ยาว 4-8 มม. ตดิ ทน ด้านนอกมีขนสนั้ ดอกสีเหลอื งเปลย่ี นเปน็ Larsen, K. (2000). Chenopodiaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(2): 257-259.
สีครีม หลอดกลีบดอกยาว 1-1.4 ซม. มขี นสนั้ ท้งั ด้านในและดา้ นนอก มี 5 กลบี ยาว
2-4 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั ติดบนปากหลอดกลีบในดอกทกี่ ้านเกสรเพศเมียส้นั ชะคราม: ใบอวบน้�ำ ไรก้ ้าน ดอกออกเปน็ กระจุก 3-5 ดอก เรียงตามแกนช่อ ผลมกี ลีบรวมหุม้ (ภาพ: สมุทรสงคราม - RP)
ตดิ ใกลโ้ คนหลอดกลบี ในดอกทก่ี า้ นเกสรเพศเมยี ยาว กา้ นชอู บั เรณสู นั้ มาก อบั เรณู
ยาว 2-3 มม. ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 0.7-1.2 ซม. ยอดเกสรจกั เป็นพู ยาว 3-5 มม. ชะมด
ผลสดมีหลายเมลด็ เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 0.7-1 ซม. ผลแก่สขี าว เมล็ดขนาดเลก็
จ�ำนวนมาก สีด�ำ เป็นมนั วาว Hibiscus surattensis L.
วงศ์ Malvaceae
พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ท่ีเขาสอยดาว จังหวัด
จันทบรุ ี ขึน้ ตามป่าดบิ ชืน้ ใกล้ลำ� ธาร ความสงู 650-1000 เมตร อย่างไรกต็ าม อาจเปน็ ไมล้ ้มลกุ มีขนและหนามกระจาย หใู บคล้ายใบ เป็นต่ิง ยาว 0.5-1.5 ซม. ขอบมี
ชนิดเดียวกบั ท่ีพบในอินเดยี เนือ่ งจากถ่นิ ทอี่ ย่ใู กล้กบั ป่ากระวานทช่ี าวบา้ นปลกู ขนครุย ใบรปู ฝา่ มือ 3-5 พู ยาว 4-10 ซม. ขอบจักซีฟ่ นั หา่ ง ๆ แผ่นใบมขี นทัง้ สองดา้ น
ซ่งึ กระวานมีถิ่นกำ� เนิดในอินเดีย เสน้ โคนใบ 5 เสน้ ก้านใบยาว 2-7 ซม. ดอกออกเด่ยี ว ๆ ตามซอกใบ กา้ นดอกยาว
1-9 ซม. ริ้วประดบั 10 อนั โคนเรยี วแคบคล้ายเปน็ ก้าน ยาว 5-7 มม. ริว้ ด้านใน
สกุล Mycetia Reinw. อย่ภู ายใต้วงศย์ ่อย Rubioideae เผา่ Argostemmateae มี ต้ังขน้ึ รูปแถบ ยาว 1-2 ซม. ด้านนอกเปน็ รยางค์รูปรี ยาว 0.7-1 ซม. กลบี เล้ียง
ประมาณ 45 ชนิด พบในเอเชยี เขตร้อน ในไทยมี 12 ชนดิ ชอ่ื สกุลมาจากภาษากรกี รูปไขแ่ กมรูปใบหอก ยาวไดถ้ ึง 2.5 ซม. ดอกสีเหลือง โคนกลีบด้านในสีแดงเขม้ กลบี
“mykes” หรอื “myketos” ต่มุ หรอื ป่มุ ตามลักษณะล�ำ ต้นในบางชนดิ รูปไขก่ ลบั ปลายกลม ยาว 3-5 ซม. เสา้ เกสรสนั้ กว่ากลีบดอก อบั เรณูสเี หลืองตดิ
เอกสารอ้างอิง ตลอดความยาว ก้านชูอบั เรณสู นั้ รังไข่ 5 ช่อง มชี ่องเทียมอกี 5 ช่อง ผลรูปไข่ ยาว
Chen, T. and C.M. Taylor. (2011). Rubiaceae (Mycetia). In Flora of China Vol. ประมาณ 1.5 ซม. ปลายมจี ะงอย (ดขู ้อมูลเพมิ่ เติมที่ ชบา, สกุล)
19: 424. พบทีแ่ อฟรกิ า ภฏู าน อินเดีย จีนตอนใต้ ฮอ่ งกง พมา่ ภูมภิ าคอนิ โดจนี และ
Puff, C. (2010). Mycetia (Rubiaceae) from Khao Soi Dao, Chanthaburi province, มาเลเซยี และออสเตรเลยี ในไทยพบทกุ ภาค ขึ้นตามชายป่าหรอื ท่รี กรา้ ง ส่วนตา่ ง ๆ
มสี รรพคุณด้านสมนุ ไพรหลายอย่าง
SE Thailand: the discovery of a remarkable new species and the true
identity of a supposedly endemic species. Thai Forest Bulletin (Botany) 38: เอกสารอ้างองิ
173-178. Tang, Y., M.G. Gilbert and L.J. Dorr. (2007). Malvaceae. In Flora of China Vol.
Puff, C., K. Chayamarit and V. Chamchumroon. (2005). Rubiaceae of Thailand. 12: 239.
Forest Herbarium. Bangkok.
ชะมด: สว่ นตา่ ง ๆ มขี นและหนามกระจาย ริว้ ประดบั 10 อัน โคนเรียวแคบ ร้ิวด้านในตงั้ ขน้ึ รปู แถบ ดา้ นนอกเป็น
ช่อดาวดนิ : ใบเรียงตรงขา้ ม ช่อดอกแบบชอ่ กระจกุ แน่นเป็นกลมุ่ ท่ีโคนต้น กา้ นชอ่ ยาว ดอกสเี หลอื งเปลยี่ นเป็นสคี รีม รยางค์รปู รี (ภาพดอก: ตาก - RP; ภาพผล: สิชล นครศรธี รรมราช - RP)
(ภาพ: เขาสอยดาว จันทบรุ ี - PPh)
ชะคราม
Suaeda maritima (L.) Dumort.
วงศ์ Amaranthaceae
ชือ่ พ้อง Chenopodium maritimum L.
ไมล้ ม้ ลุก แตกก่งิ หนาแนน่ ใบเรียงเวียน อวบน้�ำ ส่วนมากสีแดงและมีนวล
รูปทรงกระบอกแคบ ๆ โคง้ เล็กน้อย ยาว 2-5 มม. ปลายเรยี วแหลม ไรก้ ้าน ช่อดอก
แบบชอ่ แยกแขนง ออกทป่ี ลายกง่ิ ยาวไดถ้ งึ 15 ซม. ดอกออกเปน็ กระจกุ 3-5 ดอก
เรยี งตามแกนชอ่ บางครงั้ เปน็ ดอกเพศเมยี ใบประดบั คลา้ ยใบ ลดรูปชว่ งปลายชอ่
ใบประดบั ยอ่ ยขนาดเลก็ 2-3 อัน ติดทน ดอกสเี ขยี วหรือสีแดง กลบี รวมมี 5 กลบี
ยาวประมาณ 2 มม. เกสรเพศผู้ 5 อนั รังไขม่ ีชอ่ งเดยี ว ก้านเกสรเพศเมียแยก 2-3 อนั
ยนื่ เลยกลบี รวมเลก็ นอ้ ย ผลสด มกี ลบี รวมหมุ้ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 2 มม.
มีเมล็ดเดยี ว สนี �้ำตาล เปน็ มันวาว
130