๑๕๐ ๔) ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการปล่อยสาร VOCs เพื่อป้องกันและแก้ไขให้ถูกจุด โดยเฉพาะในบริเวณ ที่มีค่าตรวจวัดสูง ทั้งในพื้นที่นิคมและพื้นที่ชุมชน ๕) ขยายความร่วมมือและการเผยแพร่ข้อมูลการด าเนินงานไปสู่ชุมชนโดยผ่านหน่วยงานอื่น ๆ ในท้องถิ่น ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง มีค่าสาร VOCs สูงเกินกว่าค่าเฝ้าระวัง โดยเฉพาะเบนซีน (Benzene) และสาร ๑,๓ - บิวทาไดอีน (1, 3 Butadiene) โดยความเข้มข้นของเบนซีนมีค่าสูงกว่า ค่าเฝ้าระวังที่ก าหนดไว้ ๗.๖ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ และ ๒๕๖๒ โดยมีค่า ๙.๗๗ µg/m3 และ ๘.๔๓ µg/m3 ตามล าดับ ในขณะที่สาร ๑,๓ - บิวทาไดอีน พบว่ามีค่าสูงเกินกว่าค่าเฝ้าระวัง ตลอดทั้ง ๓ ปี โดยพบค่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๕๖๓ และ ๒๕๖๒ เท่ากับ ๖.๖๐ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ๑๖.๓๒ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรและ ๑๑.๒๖ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรตามล าดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฝ้าระวัง ที่ก าหนดไว้ไม่เกิน ๕.๓ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร๕๖ สถานการณ์ในภาพรวมของประเทศไทยส าหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๕ พบสารเบนซีน สาร ๑,๓ - บิวทาไดอีน สาร ๑,๒ ไดคลอโรอีเธน และคลอโรฟอร์ม มีค่าสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ ริมถนน และรอบพื้นที่อุตสาหกรรม ส าหรับสถานการณ์สารเบนซีนพบมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในพื้นที่ ทั่วไปบริเวณจุดตรวจวัดในจังหวัดปทุมธานีเชียงใหม่ และอ่างทอง แต่ยังตรวจพบเกินค่ามาตรฐาน ในพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเมือง บริเวณริมถนนที่มีการจราจรหนาแน่น และพื้นที่บริเวณรอบ แหล่งก าเนิดอุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง ส่วนสาร ๑,๓ - บิวทาไดอีน และสาร ๑,๒ ไดคลอโรอีเธน ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานในพื้นที่บริเวณรอบแหล่งก าเนิดอุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง ส าหรับสาร คลอโรฟอร์ม ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานบริเวณริมถนนในบางพื้นที่ของกรุงเทพฯ และจังหวัดขอนแก่น (ดังภาพที่ ๓๙) อย่างไรก็ตาม สารเบนซีนในบรรยากาศยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาหลักของมลพิษอากาศ ทั่วประเทศ ซึ่งมีแหล่งก าเนิดหลากหลาย๕๗ ๕๖ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อ กรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กันยายน ๒๕๖๕ ๕๗ สรุปสถานการณ์สารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศตามมาตรฐาน ...https://www.pcd.go.th/ wp-content/uploads/2023/01/pcdnew-2023-01-26_08-11-33_301052.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๕
๑๕๑ ภาพที่ ๓๙ ปริมาณสารเบนซีนในบรรยากาศบริเวณพื้นที่ต่างๆของประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๓ – ๒๕๖๕ จากรายงานผลการตรวจวัดปริมาณสาร VOCs ในบรรยากาศในพื้นที่จังหวัดระยองประจ าเดือน สิงหาคม ๒๕๖๕ ซึ่งกรมควบคุมมลพิษมีการเฝ้าระวังในพื้นที่อย่างต่อเนื่องจ านวน ๑๑ จุด ได้แก่ - โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลมาบตาพุด - วัดมาบชลูด - โรงเรียนวัดหนองแฟบ - เมืองใหม่มาบตาพุด - ที่ท าการการชุมชนบ้านพลง - ศูนย์บริการสาธารณสุขบ้านตากวน - ชุมชนเนินพะยอม - วัดปลวกเกตุ - โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลบ้านหนองจอก - คลินิกชุมชนอบอุ่นเทศบาลระยอง - บริเวณค่ายมหาสุรสิงหนาท โดยวันที่ ๒ – ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ตรวจพบปริมาณสาร VOCs ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ ค่าเฝ้าระวัง ตามประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง ก าหนดค่าเฝ้าระวังส าหรับสาร VOCs ในบรรยากาศ โดยทั่วไปในเวลา ๒๔ ชั่วโมง และประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง ก าหนดมาตรฐาน ก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ในบรรยากาศโดยทั่วไปยกเว้นสาร ๑,๓ – บิวทาไดอีน และสารเบนซีนในบางพื้นที่ ที่มีผลการตรวจวัดเกินค่าเฝ้าระวังฯ ดังนี้ ๑) วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ตรวจพบสาร ๑,๓ – บิวทาไดอีนบริเวณเมืองใหม่มาบตาพุด มีค่า ๕.๔ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงเกินเกณฑ์ค่าเฝ้าระวังส าหรับสาร ๑,๓ – บิวทาไดอีน ในบรรยากาศโดยทั่วไปและตรวจพบสารเบนซีน บริเวณชุมชนเนินพยอม (หมู่บ้านนพเกตุ) มีค่า ๘.๔ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงเกินเกณฑ์ค่าเฝ้าระวังส าหรับเบนซีนในบรรยากาศโดยทั่วไป
๑๕๒ ๒) วันที่ ๓ สิงหาคมพ.ศ. ๒๕๖๕ ตรวจพบสารเบนซีน บริเวณ กม.๕ ใกล้ค่ายมหาสุรสิงหนาท มีค่า ๑๗.๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรซึ่งสูงเกินเกณฑ์ค่าเฝ้าระวังส าหรับเบนซีนในบรรยากาศโดยทั่วไป (อยู่นอกเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง) (ทั้งนี้ตามประกาศกรมควบคุมมลพิษค่าเฝ้าระวัง สาร ๑,๓ – บิวทาไดอีนและสารเบนซีนต้องไม่เกิน ๕.๓ และ ๗.๖ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามล าดับ) โดยกรมควบคุมมลพิษได้ประสานแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ตรวจสอบ และควบคุม ก ากับดูแลแหล่งก าเนิดอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ปริมาณสาร ๑,๓ – บิวทาไดอีนและสารเบนซีน ในบรรยากาศโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ค่าเฝ้าระวังฯ ตามประกาศกรมควบคุมมลพิษต่อไปรายงานผลการ ตรวจวัดปริมาณสาร VOCs ในบรรยากาศในพื้นที่จังหวัดระยอง ประจ าเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕๕๘ จากการตรวจปริมาณสาร VOCs ทั้ง ๙ ชนิด ปรากฏว่าอยู่ในเกณฑ์ค่าเฝ้าระวัง ตามประกาศ กรมควบคุมมลพิษ เรื่อง ก าหนดค่าเฝ้าระวังส าหรับสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา ๒๔ ชั่วโมงอย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ตรวจพบสารไวนิลคลอไรด์ในบรรยากาศ โดยทั่วไปบริเวณที่ท าการชุมชนบ้านพลง มีค่า ๒๐.๙๙ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรซึ่งสูงเกินเกณฑ์ค่า เฝ้าระวังส าหรับสารไวนิลคลอไรด์ในบรรยากาศโดยทั่วไป ในเวลา ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งก าหนดค่าไว้ไม่เกิน ๒๐ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษได้ประสานแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ตรวจสอบ และควบคุม ก ากับดูแลแหล่งก าเนิดโดยด่วนเพื่อให้ปริมาณสารไวนิลคลอไรด์ในบรรยากาศ โดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ค่าเฝ้าระวังฯ ตามประกาศกรมควบคุมมลพิษเรียบร้อยแล้ว๕๙ ที่ผ่านมามีการด าเนินการด้านการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ในหลายวิธี อาทิควบคุม การระบายสาร VOCs จากอุตสาหกรรม ยานพาหนะ สถานีบริการน้ ามัน และแหล่งก าเนิดสาร VOCs ที่ส าคัญต่าง ๆ โดยมีแผนการด าเนินงานจากหลายฝ่าย เช่น การตรวจวัดและจัดท าบัญชีแหล่งก าเนิด มลพิษ (Emission inventory) การตรวจวัดและท ารายงานการรั่วไหลของสาร VOCs จากกระบวนการผลิต (Fugitive VOCs Inventory) แต่อย่างไรก็ตาม จากการเฝ้าระวังคุณภาพอากาศในพื้นที่ ยังพบค่าความเข้มข้น ของ Benzene และ 1,3Butadiene ซึ่งเป็นสาร VOCs ที่มีความเข้มข้นเกินค่าเฝ้าระวังของกรมควบคุมมลพิษ อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสาร VOCs ดังกล่าว มักมีแหล่งก าเนิดจากกิจกรรมในพื้นที่ คือ โรงงานอุตสาหกรรม ด้านปิโตรเคมี และการจราจรเป็นหลัก และยังพบปัญหาคุณภาพอากาศอันเนื่องมาจากการจราจร อีกด้วย๖๐ สถานการณ์การระบายสาร VOCs จากโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง จากผลการตรวจวัดความเข้มข้นสาร VOCs ในบรรยากาศ และผลการประเมินความสามารถในการ รองรับสาร VOCs ของพื้นที่ ได้มีการรวบรวมปัญหาอุปสรรคในการจัดการสาร VOCs โดยการสัมภาษณ์ ผู้ประกอบการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับสาร VOCs และการจัดประชุมกลุ่มย่อยซึ่งมีทั้งผู้แทนหน่วยงาน ๕๘ ระบบฐานข้อมูลประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กรม ... ccee.pcd.go.th/ pcdlawsuit/topic/publicpcdForm02view/56, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๕ ๕๙ https://www.pcd.go.th/maptapoot/%E0%B8%A3%E0%B8%B2% E0%B8%A2%E0%B 8%87% %B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0% %E0%B8%A1-2565, สื บ ค้น เ มื่ อ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ๖๐ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ, จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕
๑๕๓ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมประชุมให้ความเห็น ซึ่งในการให้ผู้เข้าร่วมประชุม ออกความเห็นนั้นได้รวมประเด็นเป็น ๔ ด้าน คือ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และการก ากับดูแลของภาครัฐ (Political and Law) ด้านเศรษฐศาสตร์และการลงทุน (Economics) ด้านเทคโนโลยี(Technology) และด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ (Environmental , Social and Health) ซึ่งสามารถสรุป ประเด็นปัญหาและอุปสรรคการจัดการสาร VOCs ในบรรยากาศ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และการก ากับ ดูแลของภาครัฐ (Political and Law) ได้ดังนี้๖๑ - ขาดระบบฐานข้อมูลกลาง (Big Data System) ของทุกหน่วยงานไว้ที่เดียวกัน - ภาครัฐขาดการน าผลตรวจวัดด้านสิ่งแวดล้อมของโรงงานต่าง ๆ ไปสรุปผลเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์ ปัญหาสาร VOCs - โครงการ PRTR ยังเป็นโครงการภาคสมัครใจ ขาดการอบรมให้ความรู้แก่โรงงาน และไม่มี ความชัดเจนว่าผลจากการศึกษาได้ไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายอย่างไร - การศึกษาแหล่งก าเนิดของสาร VOCs ในพื้นที่ยังไม่ครอบคลุมแหล่งก าเนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะ จากยานพาหนะ - ค่ามาตรฐานสาร VOCs ในบรรยากาศเฉลี่ย ๑ ปี มีความเข้มงวดมากเกินไป - ขาดความสอดคล้องของกฎหมายแต่ละหน่วยงาน รวมถึงมีกฎหมายควบคุมและหน่วยงาน ก ากับดูแลที่มีความหลากหลายท าให้ยากในการจัดการ - วิธีการได้มาของข้อมูลการระบายสาร VOCs ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (วิธีการตรวจวัด การค านวณค่าสัมประสิทธิ์ฯ) ใช้แนวคิดหรือหลักการที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน - กฎหมายหรือมาตรการบางรายการไม่มีการรับฟังความเห็นจากโรงงานในพื้นที่ก่อน และไม่มี การแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนการประกาศใช้ - โรงงานต้องส่งรายงานผลการตรวจวัดไปสู่หลายหน่วยงานที่ก ากับดูแล โดยมีรูปแบบรายงาน รวมถึงรอบการรายงานที่ไม่ตรงกัน ท าให้เสียเวลาในการจัดท าและส่งรายงานหลายครั้ง จากการรวบรวมข้อมูลการระบายสาร VOCs จากโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ที่มีการรายงานข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รอบที่ ๒/๒๕๖๕ รวมถึงจากผลการตรวจวัดสาร VOCs จากรายงานการติดตามตรวจสอบและมาตรการ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รอบที่ ๒/๒๕๖๒ พบว่ามีข้อมูลการระบายสาร VOCs ของโครงการทั้งหมด ดังนี้ ๑) โครงการมีการระบาย VOCs ในรูป TVOC จากทุกกิจกรรมคิดเป็น ๓,๙.๐๕ ตัน/ปี โดยมาจากแหล่งก าเนิดประเภทถังกักเก็บ (Storage Tank) มากที่สุด คิดเป็น ๑,๔๘๖.๕๘ ตัน/ปี (ร้อยละ ๓๗.๓ ของการระบายทั้งหมด) รองลงมาคือ การเผาไหม้ (Combustion) คิดเป็น ๑,๑๒๙.๔๓ ตัน/ปี (ร้อยละ ๒๘.๓) และการรั่วซึมจากอุปกรณ์(Fugitives) คิดเป็น ๕๓๓๓.๖๔ ตัน/ปี (ร้อยละ ๑๓.๔) ๒) เมื่อจ าแนกพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีการระบาย TVOC จากทุกกิจกรรมมากที่สุด พบว่า นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมีการระบาย TVOC รวมสูงสุด คิดเป็น ๒,๒๖๓.๑๖ ตัน/ปี (ร้อยละ ๕๖.๗ ๖๑ รายงานสรุปส าหรับผู้บริหาร ภายใต้โครงการศึกษาการจัดการมลพิษทางอากาศในพื้นที่อุตสาหกรรม มาบตาพุดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนhttp://eec-mtp.onep.go.th/report/executivesummary-th-2020.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๕
๑๕๔ ของการระบายทั้งหมด) รองลงมาคือ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตาพุด) คิดเป็น ๑,๔๑๕.๐๔ ตัน/ปี (ร้อยละ ๓๕.๕) ซึ่ง ๒ นิคมอุตสาหกรรมข้างต้นมีการระบาย VOCs รวมกันมากกว่า ร้อยละ ๙๐ ๓) ส่วนนิคมอุตสาหกรรมผาแดงและโรงงานนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม มีการระบาย TVOC น้อยที่สุด (๐.๕๗ และ ๐.๒๗ ตัน/ปี ตามล าดับหรือร้อยละ ๐.๐๑) การประเมินแหล่งก าเนิดสาร VOCs ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยองจากผลการศึกษา ในโครงการศึกษาสถานภาพการจัดการมลพิษทางอากาศในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดและศักยภาพ ในการขยายตัวของอุตสาหกรรมตามศักยภาพการรองรับด้านคุณภาพอากาศของพื้นที่ และข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายส าหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดอย่างยั่งยืน ท าการรวบรวมข้อมูล การระบายสาร VOCs จากโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด พบว่ามีข้อมูล การระบายสาร VOCs ของโครงการทั้งหมด ๗๔ โครงการ มีการระบายสาร VOCs ในรูป TVOC จากทุกกิจกรรม คิดเป็น ๓,๙๙๐.๐๕ ตัน/ปี โดยมาจากแหล่งก าเนิด ดังนี้ - ประเภทถังกักเก็บ (Storage Tank) มากที่สุด คิดเป็น ๑,๔๘๖.๕๘ ตัน/ปี (ร้อยละ ๓๗.๘ ของการระบายทั้งหมด) - การเผาไหม้ (Combustion) คิดเป็น ๑,๑๒๙.๔๓ ตัน/ปี (ร้อยละ ๒๘.๓) - การรั่วซึมจากอุปกรณ์ (Fugitives) คิดเป็น ๕๓๓.๖๔ ตัน/ปี (ร้อยละ ๑๓.๔) โดยสามารถแสดงปริมาณการระบายของ VOCs ทั้งหมดแยกตามพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังแสดง ในภาพที่ ๔๐ ภาพที่ ๔๐ ปริมาณการระบาย TVOC จากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด จ าแนกตามพื้นที่นิคมฯ ปี พ.ศ. ๒๕๖๒๖๒ ๖๒ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕
๑๕๕ ปริมาณการระบายของสาร VOCs ทั้งหมดในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ๓,๙๙๐.๐๕ ตัน/ปี แยกตามพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมและนอกพื้นที่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม (ดังภาพที่ ๓๕) ซึ่งสาร VOCs ที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดเกิดในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง โดยเกิดจากนิคมอุตสาหกรรมร้อยละ ๙๘.๑๖ จากท่าเรือร้อยละ ๑.๘ และเกิดจากพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรมเพียงร้อยละ ๐.๐๐๗ โดยเกิดจาก นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมากที่สุดร้อยละ ๕๖.๗๒ ได้แก่ ๑) จากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ๒,๒๖๓.๑๖ ตัน/ปี ๒) จากนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอตะวันออก ๑,๔๑๕.๐๔ ตัน/ปี ๓) จากนิคมอุตสาหกรรม อาร์ไอแอล ๑๑๐.๒๓ ตัน/ปี ๔) จากนิคมอุตสาหกรรม ผาแดง ๐.๕๗ ตัน/ปี ๕) จากนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย ๑๒๗.๖๘ ตัน/ปี ๖) จากท่าเรือฯ ๗๓.๐๙ ตัน/ปี ๗) จากนอกนิคมอุตสาหกรรม ๐.๒๗ ตัน/ปี จากผลการวิจัยพบว่าระดับการด าเนินงานตามมาตรการแก้ไขและควบคุมมลพิษในของ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยรวมและในรายด้านส่วนใหญ่ยังคงมีระดับการด าเนินงาน อยู่ในระดับต่ า ปัญหาขาดการเชื่อมต่อข้อมูลเครือข่ายติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศจากสถานีตรวจวัด (AAQMS/ Fence line) ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจาก Canister และผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบ อัตโนมัติแบบเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เป็นต้น จากนั้นน าผลการตรวจวัดของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่มาประมวลข้อมูลเพื่อทราบสถานการณ์ในภาพรวมของพื้นที่และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร แก่ประชาชน๖๓ จากการทดลองประเมินในพื้นที่น าร่อง เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ถูกจัดให้เป็นเขต ควบคุมมลพิษที่มีความพร้อมน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ยังคงมีระดับมลพิษเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะ ในพื้นที่ระยองซึ่งมีปัญหาด้านสาร VOCs ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน๖๔ ประเด็นของสาร VOCs มีการอ้างว่ามีแหล่งก าเนิดสาร VOCs ที่ส าคัญอีก ได้แก่ เตาเผาศพ รถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันมีกฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศทั้งเตาเผาศพ และรถยนต์แล้ว แต่ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรม ร่างกฎหมายยังไม่แล้วเสร็จ โดยมีข้อสังเกตว่า กลุ่มปิโตรเคมีขอชะลอการออกกฎหมายไว้ก่อนจึงยังท าให้ประชาชนได้รับสารก่อมะเร็งเกินค่ามาตรฐาน กว่า ๑๓ ปี๖๕ ๖๓ กรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, file:///C:/Users/ ANFIELD/Downloads/forensicadmin,+%7B$userGroup%7D,+Paper04-Vol.7-No.1-2021%20(8).pdf การป้องกันปัญหาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๕ ๖๔ หวั่นยกเลิกเขตควบคุมมลพิษระยอง กระทบการจัดการมลพิษ-สุขภาพในพื้นที่, https://green news.agency/?p=32921, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ๖๕ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,กันยายน ๒๕๖๕
๑๕๖ ปัจจุบันยังไม่มีค่าขีดความสามารถในการรองรับสาร VOCs ของพื้นที่ (Carrying Capacity) การก าหนดค่าขีดความสามารถในการรองรับสารเบนซีนของพื้นที่ส าหรับโรงงานอุตสาหกรรมเคมี ประเภท ๔๒ และ ๔๔ และการพัฒนามาตรฐานควบคุมการระบายสาร ๑,๓-บิวทาไดอีนในอากาศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการหารือร่วมกันในรูป คณะอนุกรรมการเพื่อจัดท าร่างมาตรฐานควบคุม การปล่อยทิ้งสารเบนซีนและสาร ๑,๓ - บิวทาไดอีนในรูปอัตราการระบาย (Loading) จากโรงงาน อุตสาหกรรมเคมี ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป็นอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการควบคุมมลพิษ ซึ่งอยู่ระหว่างจัดท าและเสนอความเห็นเกี่ยวกับ ผลกระทบ ข้อดีและข้อเสีย การบังคับใช้ค่าขีดความสามารถในการรองรับสารเบนซีนเป็นค่าเป้าหมาย ในการลดสารเบนซีนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อให้การด าเนินการบังคับใช้กฎหมายมีความ เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ๖๖ ส าหรับก๊าซ SO2 จากการประเมินศักยภาพการรองรับมลพิษทางอากาศด้วยข้อมูลอัตราการ ระบายจริงจากโรงงานต่าง ๆ ในมาบตาพุดบางช่วงเวลาพบว่าก๊าซทั้งสองชนิดมีความเข้มข้นสูงเกินกว่า ค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศ โดยมีโรงไฟฟ้า ๕-๖ แห่ง ที่เป็นตัวปล่อยมลพิษทางอากาศมากที่สุด ซึ่งปล่อยก๊าซ SO2 มากกว่าร้อยละ ๘๐ ของปริมาณก๊าซดังกล่าวที่ทุกโรงงานปล่อยรวมกัน โดยโรงไฟฟ้า ถ่านหินขนาดใหญ่ของบีแอลซีพีที่ปล่อยก๊าซ SO2 สูงถึง ๑,๐๐๐ กรัม/วินาที ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการ ปล่อยก๊าซ SO2 ทั้งหมดในพื้นที่มาบตาพุด๖๗ จากข้อมูลมลพิษปี พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๕๙๖๘ - การตรวจวัดอากาศของจังหวัดระยอง รวบรวมจากข้อมูล ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๕๙ จากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีการตรวจวัดจ านวน ๕ พารามิเตอร์ (PM10 SO2, NO2, O3 ค่าเฉลี่ย ๑ ชั่วโมง O3 ค่าเฉลี่ย ๘ ชั่วโมง) ผลตรวจวัดพบว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จากรายงานสถานการณ์มลพิษทางอากาศบริเวณพื้นที่ อ าเภอเมือง จังหวัดระยอง ประจ าเดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ผลการตรวจวัดมลพิษทางอากาศบริเวณพื้นที่อ าเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีดังนี้ - พบปริมาณก๊าซ SO2 เฉลี่ย ๑ ชั่วโมง มีค่าระหว่าง ๐ – ๑๐๑ ppb (ค่ามาตรฐานไม่เกิน ๓๐๐ ppb) ค่าสูงสุดตรวจวัดได้ในวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่สถานีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล มาบตาพุด จังหวัดระยอง - พบปริมาณ NO2 เฉลี่ย ๑ ชั่วโมงมีค่าระหว่าง ๓ – ๗๓ ppb (ค่ามาตรฐานไม่เกิน ๑๗๐ ppb) ค่าสูงสุดตรวจวัดได้ ในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่สถานีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต าบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง ๖๖ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กันยายน ๒๕๖๕ ๖๗ มาบตาพุด…ทุกข์ท้น มลพิษท่วม – รายงานสุขภาพคนไทย, www.thaihealthreport.com/th/ situation_ten.php?id=137&y=2551&bm=17, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ๖๘ นางสาวโสภิดา เภาเจริญ ผู้อ านวยการศูนย์พัฒนา - envocc.ddc.moph.go.th, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
๑๕๗ - พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๑๐ ไมครอน เฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมงมีค่าระหว่าง ๑๒ – ๕๑ มคก./ลบ.ม. (ค่ามาตรฐานไม่เกิน ๑๒๐ มคก./ลบ.ม.) ค่าสูงสุดตรวจวัดได้ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่สถานีศูนย์ราชการระยองจังหวัดระยอง - และพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน เฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมงมีค่าระหว่าง ๓ – ๒๘ มคก./ลบ.ม. (ค่ามาตรฐานไม่เกิน ๕๐ มคก./ลบ.ม.) ค่าสูงสุดตรวจวัดได้ในวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่สถานีส านักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง และค่าสูงสุดตรวจวัดได้ในวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่สถานีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง (หมายเหตุ : เป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบในระดับเบื้องต้นส่วนแผนงานและประมวลผล กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๔)๖๙ ปัญหาความเข้มข้นของ O3 : ปัญหาความเข้มข้นของ O3 ในเขตควบคุมมลพิษระยองมีค่าสูง O3 เป็น Secondary Pollutant ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาร VOCs๗๐ ในพื้นที่ ๔.๑๓.๒ ภาวะมลพิษทางน า นอกจากปัญหาทางด้านมลพิษอากาศแล้ว ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ยังมีประเด็นปัญหามลพิษทางน้ าที่ส าคัญ ได้แก่ ด้านคุณภาพน้ าของแหล่งน้ าผิวดินซึ่งเป็นคลองต่าง ๆ ๑๗ คลองเสื่อมโทรม ปัญหาตะกอนดินในแหล่งน้ า ปัญหาคุณภาพน้ าทะเลและชายฝั่ง และปัญหา คุณภาพน้ าใต้ดิน ๑) แหล่งก าเนิดมลพิษทางน้ า แหล่งก าเนิดมลพิษทางน้ าที่ระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ าผิวดินในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ได้แก่ ล าคลองต่าง ๆ ๑๗ คลองและลงสู่ทะเลในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง มีทั้งแหล่งอุตสาหกรรม และแหล่งชุมชน โดยโรงงานอุตสาหกรรมประเภทที่ ๒ และ ๓ ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง มีจ านวนทั้งสิ้น ๔๗๖ โรง (กรมควบคุมมลพิษ ๒๕๕๔) เป็นโรงงานที่ประกอบกิจการ เกี่ยวกับสารเคมีหรือวัสดุเคมี โดยพื้นที่ต าบลมาบตาพุดเป็นพื้นที่ที่มีจ านวนโรงงานอุตสาหกรรมมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ระบายน้ าทิ้งลงสู่ทะเลผ่านคลองชากหมากและคลองตากวนตามล าดับ ส าหรับนิคมอุตสาหกรรม ผาแดงและนิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก มีคลองบางเบิดไหลผ่านก่อนลงสู่ทะเลนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย มีคลองบางกะพรุนไหลผ่านก่อนลงสู่ทะเลภายในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ พบว่ามีปริมาณน้ าทิ้งรวมกัน ๖๙ สรุปรายงานสถานการณ์มลพิษทางอากาศ พื้นที่จังหวัดระยอง ประจ าเดือน, ...www.pcd.go.th/ maptapoot/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2% E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E 0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A1% %B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2564, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์๒๕๖๕ ๗๐ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กันยายน ๒๕๖๕
๑๕๘ กว่า ๙๒,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ประมาณร้อยละ ๖ โดยน้ าทิ้งจาก นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมีปริมาณสูงที่สุดกว่า ๔๖,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน๗๑ ในส่วนของน้ าทิ้งจากโรงงานทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม โดยแยกเป็นรายต าบล ในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ พบว่า พื้นที่มาบตาพุดมีจ านวนโรงงานอุตสาหกรรม มากที่สุด รองลงมาคือพื้นที่ต าบลห้วยโป่ง โดยโรงงานอุตสาหกรรมมีปริมาณน้ าทิ้งรวมกว่า ๘๗,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน เป็นน้ าทิ้งจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดปริมาณมากสุดกว่า ๔๕,๘๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน (ไม่รวมน้ าระบายความร้อน) และน้ าทิ้งกว่าร้อยละ ๙๐ เป็นน้ าทิ้งระบายลงสู่คลองซากหมาก ซึ่งเป็นคลองระบายน้ าที่ไหลผ่านนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ความสกปรกในรูปของบีโอดี(BOD) ที่เกิดจากตามต าบลต่าง ๆ ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ปรากฏว่าพื้นที่ต าบลมาบตาพุดเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณมลพิษทางน้ าจากโรงงานอุตสาหกรรมสูงที่สุด (ดังตารางที่ ๑๘ ปริมาณความสกปรกในรูปของบีโอดี (BOD) ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อาร์ไอแอล ผาแดง เหมราชตะวันออก และเอเชีย) และต าบลทับมา เป็นต าบลที่มีปริมาณน้ าทิ้งจากโรงงานสูงที่สุด (๒๕,๒๒๙ ลบ.ม./วัน)และปริมาณความสกปรกในรูปของบีโอดี (BOD) ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมนอกนิคมอุตสาหกรรม๗๒ (ดังตารางที่ ๑๙) ตารางที่ ๑๘ ปริมาณความสกปรกในรูปของบีโอดี (BOD) ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อาร์ไอแอล ผาแดง เหมราชตะวันออกและเอเชีย๗๓ ๗๑ รายงานโครงการวิจัยเพื่อการจัดการความเสี่ยงเชิงนิเวศชายฝั่งทะเล บริเวณพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง, จากการปนเปื้อนของสารอันตรายกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยและกึ่งระเหยและสารกลุ่มโลหะหนัก เพื่อการบริโภคอย่างยั่งยืน จังหวัดระยอง ๗๒ เปิดรายงานคุณภาพน้ ามาบตาพุด–พื้นที่ควบคุมมลพิษ จ.ระยอง (2)…สารพิษ ..., Thaipublica.org/2012/01/the-water-quality-report-map-ta-phut-2 ๓๑ ม.ค. ๒๕๕๕, สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ๗๓ เพิ่งอ้าง
๑๕๙ ตารางที่ ๑๙ ปริมาณความสกปรกในรูปของบีโอดี (BOD) ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม นอกนิคมอุตสาหกรรม๗๔ แหล่งก าเนิดน้ าเสียชุมชนในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองประกอบด้วยเทศบาล ๘ แห่ง และชุมชน ต่าง ๆ ประมาณ ๖๗ ชุมชน มีประชากรประมาณ ๑๕๔,๗๙๒ คน มีจ านวนครัวเรือนประมาณ ๑๐๔,๗๙๕ ครัวเรือนมีเพียง ๒ เทศบาลเท่านั้นที่มีระบบบ าบัดน้ าเสียรวมของชุมชน ได้แก่ เทศบาล นครระยองและเทศบาลเมืองมาบตาพุด๗๕ มีความสกปรก ๒,๓๓๘ กิโลกรัมบีโอดี/วัน รายละเอียด รายเทศบาลดังตารางที่ ๒๐ (ดังตารางที่ ๒๐) ตารางที่ ๒๐ ปริมาณน้ าเสียและปริมาณความสกปรกในรูปบีโอดีที่เกิดขึ้นจากชุมชน ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ๗๔ เพิ่งอ้าง ๗๕ โครงการวิจัยเพื่อการจัดการความเสี่ยงเชิงนิเวศชายฝั่งทะเล บริเวณพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง จากการปนเปื้อนของสารอันตรายกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยและกึ่งระเหยและสารกลุ่มโลหะหนัก เพื่อการบริโภคอย่างยั่งยืน จังหวัดระยอง
๑๖๐ เทศบาลเมืองมาบตาพุด มีระบบรวบรวมน้ าเสียชุมชนยังไม่ครอบคลุมพื้นที่๗๖ ๒) ภาวะมลพิษแหล่งน้ าผิวดิน ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แม้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจะมีระบบบ าบัดน้ าเสียภายในแต่ส่วนใหญ่ โรงงานต่าง ๆ จะบ าบัดน้ าเสียกันเองแต่น้ าเสียมีมากเกินไป แหล่งน้ าธรรมชาติจึงเสื่อมโทรมลง ทั้งส่วนของคุณภาพน้ าผิวดินและคุณภาพน้ าทะเลชายฝั่ง จากการตรวจวัดคุณภาพน้ าผิวดินของ กรมควบคุมมลพิษ พบว่า ความสกปรกในรูปอินทรีย์สารและปริมาณความเข้มข้นของโลหะหนักมีค่าสูง เกินค่ามาตรฐาน ได้แก่ ทองแดง แมงกานีส นิเกิล สารหนู เป็นต้น ทั้งนี้ คุณภาพน้ าทะเลในบริเวณ มาบตาพุดได้เกิดการสะสมของโลหะหนักในสัตว์ ทั้งหอย ปลา รวมถึงการเกิดปัญหาแพลงตอนบูม ซึ่งยังไม่นับรวมถึงปัญหาการกัดเซาะของชายฝั่ง เนื่องมาจากเปลี่ยนแปลงจากการถมทะเลเพื่อเป็นพื้นที่ นิคมอุตสาหกรรมและการก่อสร้างท่าเรือน้ าลึก ท าให้ชายฝั่งระยะทางเกือบ ๕ กิโลเมตร ถูกกัดเซาะ ในอัตรา ๕ - ๑๐ เมตร/ปี จนแทบไม่เหลือสภาพชายหาดให้เห็นในปัจจุบัน๗๗ จากการประเมินโดยใช้ดัชนีคุณภาพน้ าในแหล่งน้ าผิวดิน (Water Quality Index : WQI) พบว่าคุณภาพน้ าในคลองสาธารณะในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง เปรียบเทียบ ปีพ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๖๕ ของกรมควบคุมมลพิษ คุณภาพน้ าส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมปัญหาที่พบ ส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณออกซิเจนละลายต่ า ความสกปรกในรูปสารอินทรีย์หรือบีโอดี การปนเปื้อน ของกลุ่มแบคทีเรียและแอมโมเนียในหน่วยไนโตรเจนสูง สาเหตุมาจากคลองสาธารณะในพื้นที่มาบตาพุด ส่วนใหญ่ไหลผ่านเขตชุมชนที่มีความหนาแน่น เป็นแหล่งรองรับน้ าทิ้งจากอาคารบ้านเรือน และบ้านจัดสรร ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จ านวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่จาก นิคมอุตสาหกรรม จากการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ าคลองสาธารณะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๖๕ พบว่าคลองที่มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง ได้แก่ คลองก้นปึก คลองบางกระพรุน และคลองพยูน (ตารางที่ ๒๑) ๗๖ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ, เสนอต่อ กรมควบคุมมลพิษ, จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕ ๗๗ ประกาศ “มาบตาพุด” เป็นเขตควบคุมมลพิษ...บทพิสูจน์ความจริงใจของรัฐต่อ ..., mgronline.com/ qol/detail/9500000014051.., สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕
๑๖๑ ตารางที่ ๒๑ เกณฑ์คุณภาพน้ าคลองสาธารณะในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง เปรียบเทียบปี พ.ศ. ๒๕๖๓ – ๒๕๖๕ ทั้งนี้เมื่อเทียบผลคุณภาพน้ ากับมาตรฐานคุณภาพน้ าในแหล่งน้ าผิวดินเป็นรายคลองสามารถสรุปได้ดังนี้ คลองทับมา คลองหนองผักหนาม คลองกระเฉด คลองหนองคล้า คลองห้วยพร้าว คลองชากหมาก และคลองคา ได้ตามมาตรฐานคุณภาพน้ าในแหล่งน้ าผิวดินประเภทที่ ๔ คือ แหล่งน้ าที่ได้รับน้ าทิ้งจากกิจกรรม บางประเภทและสามารถเป็นประโยชน์เพื่อการอุปโภคและบริโภคโดยผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติและผ่าน กระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ าเป็นพิเศษก่อน รวมถึงใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรม คลองพยูน คลองบางกระพรุน คลองบางเบิด คลองน้ าด า คลองตากวน คลองน้ าหูคลองห้วยใหญ่คลองหลอด คลองก้นปึก และคลองน้ าตก ได้ตามมาตรฐานคุณภาพน้ าในแหล่งน้ าผิวดินประเภทที่ ๕ คือแหล่งน้ าที่ได้รับน้ าทิ้งจากกิจกรรมบางประเภท และสามารถเป็นประโยชน์เพื่อการคมนาคม ในส่วนของคุณภาพตะกอนดินในแหล่งน้ าผิวดิน : ผลการตรวจวัดคุณภาพตะกอนดินในคลองสาธารณะ ประจ าปีพ.ศ. ๒๕๖๕ ครอบคลุมคลองสาธารณะ จ านวน ๑๑ สาย ได้แก่คลองพยูน คลองบางกะพรุน คลองบางเบิด คลองชากหมาก คลองน้ าด า คลองตากวน คลองห้วยใหญ่ คลองก้นปัก คลองหนอง ผักหนาม คลองกระเฉด และคลองน้ าตก โดยพบ โลหะหนัก ๕ ชนิด ได้แก่แคดเมียม (Cd) นิกเกิล (Ni) สังกะสี(Zn) ทองแดง (Cu) และสารหนู(As) ในตะกอนดิน ที่มีค่าสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพตะกอนดิน ในแหล่งน้ าผิวดิน (ประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง มาตรฐานคุณภาพตะกอนดินในแหล่งน้ าผิวดิน ปี ๒๕๖๕) ๓) ภาวะมลพิษน้ าทะเลชายฝั่ง การติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเลซึ่งรวมทั้งน้ าทะเลตะกอนดินและสัตว์ทะเล บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและพื้นที่ ใกล้เคียงระหว่างปี ๒๕๕๐ - ๒๕๕๕ โดยกรมควบคุมมลพิษ (๒๕๕๕) พบว่า ปรอท สารหนูค่าปิโตรเลียม ไฮโดรคาร์บอน ในน้ าทะเลในบริเวณปากคลองชากหมาก และอ่าวประดู่มีค่าสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพน้ าทะเล ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาโดยกรมทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่งที่ตรวจพบการปนเปื้อนของสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน รวมทั้งหมดในน้ าบริเวณ
๑๖๒ ชายฝั่งเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ส าหรับในตะกอนดินด า บริเวณปากคลองชากหมากและอ่าวประดู่มีปริมาณสารหนูทองแดงสังกะสีสูงกว่าระดับความเข้มข้น ของสารอันตรายในตะกอนดินที่มีโอกาสพบผลกระทบต่อสัตว์หน้าดินระดับต่ า ERL (Effect Range Low) แต่ไม่เกินระดับความเข้มข้นของสารอันตรายในตะกอนดินที่มีโอกาสพบผลกระทบต่อสัตว์หน้าดิน ระดับปานกลาง (ก่อให้เกิดผลกระทบบ่อยครั้ง) ERM (Effect Range Median) ในบางช่วงเวลา และบริเวณปากคลองชากหมากและปากคลองตากวนมีปรอทสูงกว่า ERM ในบางช่วงเวลา๗๘ คุณภาพน้ าทะเลชายฝั่งที่สถานีหาดพยูน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ แบคทีเรียกลุ่มโคลีฟอร์มทั้งหมด มีค่าเกินค่ามาตรฐาน และพบว่าในปี ๒๕๔๔ และ ปี ๒๕๔๕ เหล็กมีค่าเกินค่ามาตรฐาน๗๙ ส่วนพื้นที่ ข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ ยังมีนิคมอุตสาหกรรมเอเชียอีก ๑ แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่ต าบลบ้านฉาง อ าเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง อยู่ต่อเนื่องกับท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด โรงงานอุตสาหกรรม ต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชียเป็นอุตสาหกรรมหนักเช่นกันและปรากฏข้อเท็จจริงว่าคุณภาพ น้ าทะเลชายฝั่งสถานีหาดพยูนในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ แบคทีเรียกลุ่มโคลีฟอร์มทั้งหมดมีค่าเกินค่ามาตรฐาน และพบว่าในปี ๒๕๔๔ และ ปี ๒๕๔๕ เหล็กมีค่าเกินค่ามาตรฐาน๘๐ จากการศึกษาการแพร่กระจายของปริมาณโลหะหนักในน้ าทะเลบริเวณนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จังหวัดระยอง และบริเวณข้างเคียง ด้วยการเก็บตัวอย่างในเดือนพฤษภาคม (ฤดูแล้ง) และเดือนสิงหาคม (ฤดูฝน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรากฏว่าปริมาณโลหะหนักที่พบสูงสุดในน้ า คือ ทองแดง (๗๑.๐๕ ± ๔๐.๑๙ µg/L) รองลงมาคือสังกะสี(๔๓.๗๕ ±๕๓.๐๙ µg/L) เหล็ก (๒๕.๒๕±๑๖.๙๔ µg/L) แมงกานีส (๑๘.๕๐±๑๐.๒๗ µg/L) ตะกั่ว (๑๑.๕๐±๔.๒๗ µg/L) และแคดเมียม (๑.๑๗±๐.๗๗ µg/L) ตามล าดับบริเวณที่มีการแพร่กระจายของโลหะหนักมากที่สุดคือ ปากคลองชากหมาก ปากคลองน้ าหู และปากน้ าระยอง โดยฤดูแล้งมีปริมาณโลหะหนักเกือบทุกชนิดสูงกว่าฤดูฝน ยกเว้น สังกะสีและเหล็ก นอกจากนั้นยังพบว่าปริมาณเหล็กและทองแดงมีความส าพันธ์กันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติกับปริมาณ สารแขวนลอย และพบว่าปริมาณของทองแดง สังกะสีและตะกั่วจะมีค่าเกินมาตรฐานของกรมควบคุม มลพิษ โดยปริมาณทองแดงและสังกะสีมีค่าเกินมาตรฐานเกือบทุกบริเวณทั้งสองฤดูกาล ในขณะที่ ปริมาณตะกั่วจะเกินมาตรฐานเฉพาะบางบริเวณในฤดูฝนเท่านั้น๘๑ ๗๘ โครงการวิจัยเพื่อการจัดการความเสี่ยงเชิงนิเวศชายฝั่งทะเล บริเวณพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง จากการปนเปื้อนของสารอันตรายกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยและกึ่งระเหยและสารกลุ่มโลหะหนักเพื่อการบริโภค อย่างยั่งยืน จังหวัดระยอง ๗๙ ระบบฐานข้อมูลประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กรม ...ccee.pcd.go.th/ pcdlawsuit/topic/publicpcdForm02view/56, สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕ ๘๐ ข้อมูลเบื้องต้นเรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลย ต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายก าหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร (มาบตาพุด) ที่อยู่เขตเทศบาล เมืองมาบตาพุด ต าบลเนินพระ ต าบลมาบข่าและต าบลทับมา อ าเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ๘๑ การแพร่กระจายของโลหะหนักในน้ า บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, www.thaiexplore.net/ file_upload/submitter/file_doc/891180a04d25aa0791a8d2e11288521e.pdf, สืบค้นเมื่อ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕
๑๖๓ ตะกอนดินสีด าที่มีกลิ่นเหม็นในบริเวณปากคลองซากหมากเกิดจากการสะสมตัวของตะกอน ส่งผลให้น้ าทะเลในอ่าวประดู่ซึ่งเป็นที่รับน้ าที่ไหลออกจากคลองซากหมาก (ดังภาพที่ ๔๑) สภาพการไหล ของน้ าในคลองชากหมากตั้งแต่เข้าเขตกลุ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดประกอบด้วยล าน้ า ยาว ๖.๓๐ กิโลเมตร มีอัตราการไหล ๕๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที(กนอ. ๒๕๕๕) ตะกอนดินมีลักษณะเป็นชั้นสี โดยมีสีคล้ าสลับกับสีอ่อน ตะกอนดังกล่าวครอบคลุมบริเวณกว้างเป็นพื้นที่ประมาณ ๓.๒๕ ตารางกิโลเมตร และมีปริมาตรเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลระหว่าง ๑๘๖,๐๐๐ ถึง ๔๗๓,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร อีกทั้งคลองชากหมาก เป็นคลองที่รับน้ าที่ระบายออกจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด น้ าที่ระบายออกจากคลองชากหมาก จะถูกพัดพาตามกระบวนการทางธรรมชาติ แต่ภายหลังจากที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถมทะเลเพื่อก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดท่าเทียบเรือและส่วนต่อขยายส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าว มีการไหลเวียนของน้ าเปลี่ยนไป (กรมควบคุมมลพิษ ๒๕๕๕) ๘๒ ภาพที่ ๔๑ ปากคลองซากหมากและอ่าวประดู่ เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง (กรมควบคุมมลพิษ ๒๕๕๕) ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ าทะเลในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕ คุณภาพน้ าทะเลชายฝั่งส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ และเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพ น้ าทะเล ยกเว้นบริเวณปากคลองตากวน และปากคลองชากหมาก พารามิเตอร์ที่เป็นปัญหา ได้แก่ ไนเตรท – ไนโตรเจน แอมโมเนียรวม ฟอสเฟต-ฟอสฟอรัส แบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม แบคทีเรีย กลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด และปิโตรเลียม ไฮโดรคาร์บอน ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างตะกอนดินพบการ ปนเปื้อนของทองแดง และสังกะสีเกินเกณฑ์คุณภาพตะกอนดินชายฝั่งทะเล ส่วนผลการวิเคราะห์ ๘๒ โครงการวิจัยเพื่อการจัดการความเสี่ยงเชิงนิเวศชายฝั่งทะเล บริเวณพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง จากการปนเปื้อนของสารอันตรายกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยและกึ่งระเหยและสารกลุ่มโลหะหนัก เพื่อการบริโภคอย่างยั่งยืน จังหวัดระยอง
๑๖๔ ตัวอย่างเนื้อเยื่อสัตว์น้ าไม่พบการปนเปื้อนเกินเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๙๘ (พ.ศ. ๒๕๒๙) และฉบับที่ ๒๗๓ (พ.ศ. ๒๕๔๖) เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน๘๓ ๔) ภาวะมลพิษน้ าใต้ดิน คุณภาพของน้ าใต้ดินในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง มีการปนเปื้อนของสาร VOCs และมีการปนเปื้อนของโลหะหนักบางชนิด แม้จะไม่มีการใช้ประโยชน์จากน้ าใต้ดิน แต่ต้องมีการฟื้นฟู ในบางแห่งที่มีการปนเปื้อนมากๆ หรือถ้าจ าเป็นต้องปิดบ่อ ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลได้ให้ความส าคัญ คือ การเอาน้ าประปาไปให้ประชาชนใช้ให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้ร้อยละ ๑๐๐๘๔ โดยข้อมูลที่อ้างอิงจากหน่วยงานต่าง ๆ และการส ารวจของกรมทรัพยากรน้ าบาดาลในพื้นที่ จังหวัดระยอง ที่พบว่าน้ าบาดาลมีค่าเหล็กเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งในบริเวณที่มีและไม่มี โรงงานอุตสาหกรรม ส่วนกรณีสารหนูสูง จากการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า อาจมีความเกี่ยวข้องกับ การท าเหมืองแร่ดีบุกในพื้นที่เมื่อในอดีต๘๕ ๕) ภาวะระบบนิเวศน์ชายฝั่ง ผลการศึกษาความเชื่อมโยงของสิ่งมีชีวิตนิเวศชายฝั่ง บริเวณอ่าวประดู่มาบตาพุด โดยการศึกษาล าดับขั้นการถ่ายทอดของห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิตในบริเวณอ่าวประดู่จากผู้ผลิต ได้แก่ แพลงก์ตอนพืช ผู้บริโภคอันดับหนึ่ง ได้แก่ แพลงก์ตอนสัตว์ สัตว์หน้าดิน และหอยแมลงภู่ ผู้บริโภคอันดับสอง ได้แก่ ปลานวลจันทร์ทะเล ปลากระบอก ปลาแป้นเล็ก ปลาแป้นเขี้ยว และกุ้งแชบ๊วย และผู้บริโภค อันดับสุดท้าย ได้แก่ ปลาจวดเตียน ปลาสีกุนหัวอ่อน ปลาสีกรุด และปูทะเลนั้น มีการถ่ายทอดทางห่วงโซ่อาหาร ของสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทางทะเลต่างๆ รวมถึงสัตว์น้ าที่อาศัยอยู่บริเวณอ่าวประดู่เป็นไปตามล าดับขั้น ของห่วงโซ่อาหาร ดังนั้น สามารถมีการถ่ายทอดการปนเปื้อนสารอันตรายในระบบห่วงโซ่อาหารได้ (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๒๕๕๙) จากผลการศึกษาที่ผ่านมาแสดงได้อย่างชัดเจนถึงความเสี่ยง ที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศพื้นที่ชายฝั่งทะเลในเขตพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง บริเวณที่มีการสะสม ของตะกอนดินสีด าบริเวณปากคลองซากหมาก - อ่าวประดู่และบริเวณใกล้เคียง๘๖ สรุปในภาพรวมปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษต าบลมาบตาพุด ต าบลห้วยโป่ง ต าบลเนินพระ อ าเภอเมือง จังหวัดระยอง มีปัญหาการปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยง่ายบางชนิดในบรรยากาศ การปนเปื้อนของโลหะหนักและสารอินทรีย์ระเหยง่ายบางชนิดในดินและน้ าใต้ดิน ปัญหาการจัดการน้ าเสีย ๘๓ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อ กรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕ ๘๔ ประกาศ “มาบตาพุด” เป็นเขตควบคุมมลพิษ...บทพิสูจน์ความจริงใจของรัฐต่อ ..mgronline.com/qol/ detail/9500000014051, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๘๕ เปิดรายงานคุณภาพน้ ามาบตาพุด–พื้นที่ควบคุมมลพิษ จ.ระยอง (2)…สารพิษ ..., thaipublica.org/2012/01/the-water-quality-report-map-ta-phut-2, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๘๖ โครงการวิจัยเพื่อการจัดการความเสี่ยงเชิงนิเวศชายฝั่งทะเลบริเวณพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง จากการปนเปื้อนของสารอันตรายกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยและกึ่งระเหยและสารกลุ่มโลหะหนักเพื่อการบริโภค อย่างยั่งยืน จังหวัดระยอง
๑๖๕ ขยะมูลฝอย และกากของเสียอันตราย เนื่องจากการประกอบกิจกรรมของโรงงานอุตสาหกรรมและการขยายตัว ของชุมชนอย่างรวดเร็ว๘๗ ๔.๑๓.๓ สถานะและปัญหาสุขภาพของประชาชนในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ปัญหามลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนกลายเป็นเงื่อนไขส าคัญที่น าไปสู่ การร้องขอให้ศาลปกครองสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ มาบตาพุดและใกล้เคียงในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือการขอให้ศาลระงับการก่อสร้างโครงการหรือกิจกรรม ๗๖ โครงการ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ หรือการฟ้องร้องต่อศาลปกครองระยอง เพื่อการขอให้ศาลปกครองระยองมีค าสั่งประกาศให้จังหวัดระยองเป็นเขตควบคุมมลพิษ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐๘๘ ก่อนที่จะมีนิคมอุตสาหกรรม ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดมีสุขภาพที่แข็งแรง ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ หลังจากการตั้งนิคมอุตสาหกรรม พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีภาวการณ์เจ็บป่วย จากมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรมมาบตาพุด จะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ ผื่นคัน๘๙ ผลการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพของสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้น าเสนอข้อมูลจาก โครงการศึกษาระบาดวิทยาของโรคมะเร็งในประเทศไทยของจังหวัดระยอง ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๔ รายงานว่าสถิติการเกิดโรคมะเร็งทุกชนิดและโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของอ าเภอเมืองระยอง จังหวัดระยองสูง กว่าอ าเภออื่น ๆ เป็น ๓ และ ๕ เท่า ตามล าดับ ซึ่งสาเหตุการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวส่วนหนึ่งมาจาก สารเบนซีน๙๐ ปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมในจังหวัดระยอง โดยเฉพาะในเขตควบคุมมลพิษ ยังคงก่อ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เนื่องจากพบว่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายบางตัวในบรรยากาศสูงเกินค่า มาตรฐานคือ benzene, 1,3 butadiene และ 1,2 dichloroethane แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่ามาจากแหล่ง ใดบ้าง ซึ่งแหล่งก าเนิดมลพิษ มีทั้งภาคอุตสาหกรรมการคมนาคมขนส่ง และการใช้ชีวิตประจ าวันของ ประชาชน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อสุขภาพ๙๑ กรมควบคุมโรคยืนยันว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งแม้ทางการแพทย์ไม่สามารถยืนยันได้ อย่างชัดเจนว่าผลการเจ็บป่วยเรื้อรังของชาวบ้านในพื้นที่มาบตาพุดจะเกิดจากมลพิษของโรงงานในนิคมฯ แต่ผลการวิจัยหลายภาคส่วน เช่น กรมควบคุมมลพิษ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ๘๗ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕ ๘๘ รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ การทบทวนและปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาของโครงการพัฒนาพื้นที่ ชายฝั่งทะเลตะวันออกสู่การเป็นประเทศอาเซียนในจังหวัดระยอง : กรณีการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรม ใน เ ข ต ม าบ ต า พุ ด, http://dspace.lib.buu.ac.th/bitstream/1234567890/4287/1/ 2565_008.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๘๙ ผลกระทบต่อชุมชนที่เกิดจากการตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดในโครงการ, so05.tci-thaijo.org/ index.php/ptujournal/article/download/177263/126286, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๙๐ ระบบฐานข้อมูลประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กรม ..., ccee.pcd.go.th/ pcdlawsuit/topic/publicpcdForm02view/56, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๙๑ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังสุขภาพจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmhs/article/view/59733/49056,สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕
๑๖๖ ต่างมีผลการศึกษาออกมาในทางเดียวกันที่บ่งบอกว่าอาการเจ็บป่วยของชาวบ้านมีผลสัมพันธ์กันโดยตรง กับสาร VOCs๙๒ ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ - ๒๕๔๓ สถาบันมะเร็งแห่งชาติท าการเปรียบเทียบอัตราอุบัติการณ์ของผู้ป่วย ด้วยโรคมะเร็งใน ๙ จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ล าปาง นครพนม ขอนแก่น ระยอง อุดรธานี กรุงเทพมหานคร ประจวบคีรีขันธ์และสงขลา พบว่าอัตราอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งต่อประชากรแสนคนของโรคมะเร็งปอด และมะเร็งตับของจังหวัดระยองสูงกว่าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และสงขลา อัตราอุบัติการณ์ของผู้ป่วย ด้วยมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ลิวคีเมีย และมะเร็งปากมดลูกของจังหวัดระยองพบว่า สูงสุดใน ๙ จังหวัด และมะเร็งเต้านมสูงกว่าใน ๗ จังหวัด นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราอุบัติการณ์ผู้ป่วย ด้วยโรคมะเร็งในเขตอ าเภอเมืองระยองสูงกว่าอ าเภออื่น ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ลิวคีเมีย มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม๙๓ อย่างไรก็ตาม ระดับของการปนเปื้อนสาร VOCs มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังอยู่ในระดับ ที่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศซึ่งนับเป็นสิ่งคุกคามสุขภาพที่ประชาชนในพื้นที่จะต้องสัมผัสอยู่ตลอดเวลา ส่วนสถิติโรคที่อาจเกี่ยวข้องกับมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยองคือสาร VOCs ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิด มะเร็งเม็ดเลือดขาวโดยข้อมูลสถิติผู้ป่วยด้วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๗ พบว่าอัตราการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวของจังหวัดระยองสูงกว่าระดับประเทศ ทั้งนี้จังหวัดระยองเป็นที่ตั้ง ของแหล่งอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเป็นพื้นที่ที่พบปริมาณสาร VOCs สูงเกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยข้อมูลนี้มีข้อจ ากัดคือยังขาดการศึกษาทางระบาดวิทยาว่ามีความสัมพันธ์ กับมลพิษในพื้นที่หรือไม่ ผลกระทบจากปัญหามลพิษที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ ท าให้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต้องท าหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ออกค าสั่งย้ายโรงเรียน มาบตาพุดพันพิทยาคารออกจากพื้นที่อุตสาหกรรม เนื่องจากนักเรียนไม่สามารถทนรับมลพิษจาก โรงงานกลั่นน้ ามันได้๙๔ ๙๒ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมกรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ๙๓ รายงานสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค ๒๕๖๓, file:///C:/Users/ANFIELD/ Downloads/forensicadmin,+%7B$userGroup%7D,+Paper04-Vol.7-No.1-2021%20(8).pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๙๔ รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ การทบทวนและปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาของโครงการพัฒนาพื้นที่ ชายฝั่งทะเลตะวันออกสู่การเป็นประเทศอาเซียนในจังหวัดระยอง : กรณีการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรม ใน เ ข ต ม าบ ต า พุ ด , http://dspace.lib.buu.ac.th/bitstream/1234567890/4287/1/ 2565_008.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕
๑๖๗ ด้านปัญหาโรคระบบทางเดินหายใจและโรคผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ในพื้นที่มีอัตราเจ็บป่วยสูง จากสถิติข้อมูลของผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลมาบตาพุด พ.ศ. ๒๕๔๖ พบว่ามีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ เข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลมากที่สุดจ านวน ๑๒,๙๔๐ คน โดยผู้ป่วยของพื้นที่มาบตาพุด สูงกว่าของ พื้นที่โรงพยาบาลบ้านฉางและโรงพยาบาลวังจันทร์๙๕ ประชาชนในพื้นที่บริเวณรอบโรงงานอุตสาหกรรมของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มีความเสี่ยง ต่อการได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีค่อนข้างสูง เช่น กรณีอุบัติภัยการรั่วไหลของ สารเคมีซึ่งพบว่าจากปี พ.ศ. ๒๕๔๒ - ๒๕๕๒ เกิดการรั่วไหลของสารเคมี (ที่ได้รับแจ้ง) ถึงจ านวน ๑๔ ครั้ง มีผู้ได้รับผลกระทบจ านวน ๒,๘๒๕ ราย เสียชีวิต ๒ ราย ปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนจากโรงงาน ปิโตรเคมีและโรงกลั่นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ - ๒๕๔๓ ซึ่งส่งผลให้มีการย้ายโรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร ออกนอกพื้นที่ และที่ส าคัญคือปัญหาสุขภาพของประชาชนพบว่า ประชาชนและนักเรียนที่อาศัย อยู่ใกล้เคียงได้รับกลิ่นและเจ็บป่วยด้วยอาการแสดงของโรคระบบทางเดินหายใจในสัดส่วนที่มากกว่า พื้นที่อื่น ๆ อัตราการป่วยด้วยโรคมะเร็งของประชาชนในพื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรมที่พบมากกว่าพื้นที่อื่น จากปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าว๙๖ การศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพจากการได้รับสารอันตรายในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยองที่ผ่านมา เป็นการสัมผัสจากอากาศ ตัวอย่างเช่น รศ.ดร. นันทวรรณ วิจิตรวาทการ และคณะ (๒๕๕๓) ๙๗ ได้ศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากอุตสาหกรรม โดยศึกษาผลกระทบจากการสัมผัส มลพิษในอากาศต่อสุขภาพทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ของประชาชนที่อาศัยในบริเวณอุตสาหกรรม มาบตาพุด จังหวัดระยอง ผลการศึกษาบ่งชี้ว่า ๑) การอยู่ในบริเวณรอบพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ (Preterm, LBW, SGA) ต่อการรบกวนระบบประสาท (Neurological Disturbance) และอาการทางระบบทางเดินหายใจ บางอาการ ๒) นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลกระทบทางสุขภาพที่พบในการศึกษานี้ เนื่องจากโดยรวมผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม มีความเสี่ยงต่ออาการต่าง ๆ มากกว่าผู้ที่อยู่ไกล นิคมอุตสาหกรรมและผลกระทบในแนวลมหลัก สูงกว่านอกแนวลมหลัก เช่น อาการแสบตา การได้กลิ่น ผลของการตั้งครรภ์ ๙๕ การประเมินความเสี่ยงจากการได้รับสารอินทรีย์ระเหยกลุ่ม เบนซีน โทลูอีน, kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/SRC/search_detail/dowload_digital_file/20001278/128761, สืบค้นเมื่อ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๙๖ สถานการณ์และการจัดการปัญหาสุขภาพ การบริหารจัดการ การดูแลสุขภาพของประชาชนในเขต ควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง เวทีวิชาการเพื่อมาบตาพุด สถานการณ์มาบตาพุด: มลพิษ สุขภาพ และผังเมือง, สถาบัน สิ่งแวดล้อมไทย ๒๕๕๔ ๙๗ รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินความเสี่ยงในการรับสัมผัสสารอินทรีย์อันตรายอุบัติใหม่ของประชาชน จากแหล่งน้ าส าหรับอุปโภค บริโภค บริเวณ พื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง - ส านักงานคณะกรรมการ ข้อมูลข่าวสารของราชการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี ๒๕๖๒, http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER3/DRAWER083/GENERAL/DATA0001/00001779.PDF, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕
๑๖๘ ๓) สารอินทรีย์ระเหยกลุ่ม BTEX, ไวนิลคลอไรด์, ๑,๓ -บิวทาไดอีน มีความสัมพันธ์กับการเกิด อาการระบบทางเดินหายใจ๙๘ คุณหญิงมธุรส รุจิรวัฒน์ และคณะ (๒๕๕๓) ได้ศึกษาผลกระทบจากการได้รับสาร VOCs ที่เป็นสารก่อมะเร็งต่อสุขภาพของประชากรในพื้นที่จังหวัดระยอง โดยเปรียบเทียบกันระหว่างประชาชน ที่อาศัยอยู่รอบเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดกับประชาชนที่อาศัยอยู่นอกพื้นที่อุตสาหกรรม โดยได้ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งจากการได้รับสัมผัสสารอินทรีย์ระเหยชนิดเบนซิน ๑,๓ - บิวทาไดอีน และไวนิลคลอไรด์จากบรรยากาศ โดยใช้ดัชนีชีวภาพการได้รับสัมผัส ได้แก่ ระดับเบนซินในเลือด และสารเมตาบอไลต์ในปัสสาวะ ประกอบด้วยกรดมิวโคนิค สาร monohydroxy-butenyl mercapturicacid และสาร S-carboxymethyl-L-cysteine ซึ่งมีความจ าเพาะกับ เบนซิน ๑,๓ บิวทาไดอีน และไวนิลคลอไรด์ และพบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญของกลุ่มตัวอย่างทั้งสอง และได้ศึกษาดัชนีชีวภาพความ ผิดปกติของสารพันธุกรรม ซึ่งกลุ่มประชากรทั้งสองมีระดับที่ใกล้เคียงกันของการเปลี่ยนแปลงของสาร พันธุกรรมที่เป็นดัชนีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอนาคต๙๙ ปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมในจังหวัดระยอง โดยเฉพาะในเขตควบคุมมลพิษ ยังคงก่อผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เนื่องจากพบว่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายบางตัวในบรรยากาศสูงเกินค่ามาตรฐาน คือ benzene, 1,3 butadiene และ 1,2 dichloroethane แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่ามาจากแหล่งใดบ้าง ซึ่งแหล่งก าเนิดมลพิษ มีทั้งภาคอุตสาหกรรมการคมนาคมขนส่ง และการใช้ชีวิตประจ าวันของประชาชน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อสุขภาพ๑๐๐ ปัญหาผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนในจังหวัดระยองโดยเฉพาะในเขตพื้นที่อุตสาหกรรม เป็นปัญหาที่มีขนาดใหญ่ระดับประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากการขาดการวางแผนป้องกันที่ดี การท างานของบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ต้องท างาน ในพื้นฐานของการขาดแคลนทั้งบุคลากรและงบประมาณ แม้จะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมดูแล สุขภาพประชาชน แต่พบว่ายังขาดการบูรณาการที่ดีมีความซ้ าซ้อนในการด าเนินงาน๑๐๑ ๙๘ รายงานฉบับสมบูรณ์การประเมินความเสี่ยงในการรับสัมผัสสารอินทรีย์อันตรายอุบัติใหม่ของประชาชน จากแหล่งน้ าส าหรับอุปโภค บริโภค บริเวณพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง - ส านักงานคณะกรรมการ ข้อมูลข่าวสารของราชการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมปี ๒๕๖๒, http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER3/DRAWER083/GENERAL/DATA0001/00001779 .PDF,สืบค้น เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๙๙ เพิ่งอ้าง ๑๐๐ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังสุขภาพจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง, https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmhs/article/view/59733/49056,สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๑๐๑ สถานการณ์และการจัดการปัญหาสุขภาพ การบริหารจัดการ การดูแลสุขภาพของประชาชน ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง เวทีวิชาการเพื่อมาบตาพุด สถานการณ์มาบตาพุด: มลพิษ สุขภาพ และผังเมือง, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ๒๕๕๔
๑๖๙ ผลการศึกษาอัตราการป่วยของประชาชนในเขตควบคุมมลพิษพบว่า ประชาชนในต าบลมาบตาพุด และห้วยโป่ง ป่วยด้วยกลุ่มอาการทางระบบทางเดินหายใจ โรคเยื่อจมูกอักเสบจากการแพ้หรือ เปลี่ยนอากาศ และโรคหืด ค่อนข้างสูงกว่าต าบลอื่น ๆ ในเขตควบคุมมลพิษ ทั้งนี้อาจเนื่องจากระยะทาง จากนิคมอุตสาหกรรมกับที่อยู่อาศัยค่อนข้างใกล้มากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ๑๐๒ ผลการตรวจการสัมผัสสารแปรรูปเบนซีนและโลหะหนัก ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง พบว่ากลุ่มผู้ชายที่เข้ารับการตรวจสุขภาพมีการสัมผัสสารแปรรูปเบนซีนในปัสสาวะ (กรดมิวโคนิคในปัสสาวะ) อยู่ในระดับปกติร้อยละ ๘๓.๓ สัมผัสปานกลางร้อยละ ๑๕.๘ สัมผัสสูงร้อยละ ๐.๙ ในขณะที่ในกลุ่มผู้หญิง อยู่ในระดับปกติร้อยละ ๙๒.๓ สัมผัสปานกลางร้อยละ ๖.๖ และสัมผัสสูงร้อยละ ๑.๐ ตามล าดับ ในกลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า ๑๕ ปีและกลุ่มผู้หญิงพบระดับตะกั่วในเลือดสูงมากกว่าหรือเท่ากับ ๑๐ ไมโครกรัม/ลิตรขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ ๐.๑๗ (๒ คนจาก ๒๙๓ คน) และในกลุ่มผู้ชายไม่พบว่าระดับ ตะกั่วในเลือดสูงมากกว่าหรือเท่ากับ ๑๕ ไมโครกรัม/ลิตร นอกจากนี้ยังพบระดับสารหนูรวมในปัสสาวะ มากกว่าหรือเท่ากับ ๕๐ ไมโครกรัม/ลิตร คิดเป็นร้อยละ ๔.๘๘ ( คนจาก ๔๑๒ คน) และไม่พบผู้ที่มี ระดับปรอทในเลือดสูงมากกว่า หรือเท่ากับ ๑๐ ไมโครกรัม/ลิตร๑๐๓ ประชาชนในพื้นที่จังหวัดระยองมีความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีค่อนข้างสูง พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ มีอัตราการป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น คิดเป็น ๔๘ คน/แสนประชากร และอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมากกว่าโรคอื่น๑๐๔ แหล่งก าเนิดสาร VOCs ที่มาจากยานพาหนะบนท้องถนนเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ของประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพริมถนน๑๐๕ ผลการวิจัยสารพันธุกรรม (DNA) ที่ผิดปกติของสิ่งมีชีวิตศึกษาโดย ดร.เรณู เวชรัตต์พิมล อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยการเก็บตัวอย่างเยื่อบุข้างแก้ม ของประชาชน ๔๐๐ รายในเขตมาบตาพุด พบว่าผู้ใหญ่จ านวนกว่าร้อยละ ๕๐ มีสารพันธุกรรมที่บ่งบอกถึง ความผิดปกติของยีนส์ในร่างกายที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง๑๐๖ การประเมินความเสี่ยงจากการได้รับสารอินทรีย์ระเหยของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพริมถนน ในเขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นายท่ารถประจ าทาง พ่อค้าแม่ค้าริมถนน ต ารวจจราจร และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง จ านวน ๖๐ คน และกลุ่มควบคุมคือกลุ่มเจ้าหน้าที่ส านักงาน ๑๐๒ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังสุขภาพจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง, https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmhs/article/view/59733/49056, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๑๐๓ สถานการณ์และการจัดการปัญหาสุขภาพ การบริหารจัดการ การดูแลสุขภาพของประชาชน ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง เวทีวิชาการเพื่อมาบตาพุด สถานการณ์มาบตาพุด: มลพิษ สุขภาพ และผังเมือง,สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ๒๕๕๔ ๑๐๔ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ๒๕๕๘, รายงานประจ าปี ๒๕๕๘ ข้อมูลสถานะสุขภาพ จังหวัดระยอง, www.rayonghealth.com/web/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๐. ๑๐๕ การประเมินความเสี่ยงจากการได้รับสารอินทรีย์ระเหยกลุ่ม เบนซีน โทลูอีน ..., kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/SRC/search_detail/dowload_digital_file/20001278/128761, สืบค้นเมื่อ วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๐๖ เพิ่งอ้าง
๑๗๐ จ านวน ๒๐ คน ผลการศึกษาพบว่า ความเข้มข้นเฉลี่ยของ BTEX คือ เบนซีนพบมากที่สุดในกลุ่ม นายท่ารถประจ าทาง เฉลี่ย ๑๘.๙๖. ± ๙ พีพีบีโทลูอีนพบมากที่สุด ในกลุ่มต ารวจจราจรเฉลี่ย 18.66±10 พีพีบีเอทิลเบนซีนพบมากที่สุดในกลุ่มต ารวจจราจร เฉลี่ย ๑.๔๙ ±๕ พีพีบีและไซลีนพบมากที่สุดในกลุ่ม ผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้าง เฉลี่ย ๘.๑๑ ± ๗ พีพีบี ส าหรับค่าดัชนีอันตรายเฉลี่ย พบพ่อค้าแม่ค้าริมถนน ผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้าง และนายท่ารถประจ าทางมีค่าเฉลี่ย ๐.๗๑ ± ๐.๔๒, ๐.๖๓ ± ๐.๒๑ และ ๐.๕๙ ± ๐.๓๔ ตามล าดับ โดยกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าริมถนนมีค่าดัชนีอันตรายเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มอื่น แหล่งก าเนิดที่มาจากยานพาหนะบนท้องถนนเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพริมถนน๑๐๗ โรงงานอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ก่อมลพิษสูง เช่น โรงกลั่นน้ ามัน โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงงานผลิตเหล็กและเหล็กกล้า โรงงานเคมีและปุ๋ยเคมี โรงงานไฟฟ้าถ่านหิน ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมผาแดง และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช ตะวันออก โดยทั้งหมดตั้งอยู่ในเทศบาลมาบตาพุด ข้อเท็จจริงจากการศึกษาวิเคราะห์และการตรวจสอบพื้นที่ ของผู้เกี่ยวข้องเป็นเวลาหลายปีตลอดมา สรุปได้ว่าประชาชนที่อยู่ในท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ได้รับผลกระทบจากมลพิษโรงงานอุตสาหกรรมมากที่สุด๑๐๘ สถานการณ์สุขภาพในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ที่เฝ้าระวังจากข้อมูลด้านสุขภาพ ได้แก่ - อัตราการเจ็บป่วยโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมย้อนหลัง ๕ ปี(ปี ๒๕๒๙ – ๒๕๖๕) -อัตราการเข้ารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก ในสถานพยาบาลภาครัฐของประชาชนในเขตควบคุม มลพิษย้อนหลัง ๓ ปี (ปี ๒๕๖๒ – ๒๕๖๔) - สถิติการเกิดอุบัติภัยสารเคมีจังหวัดระยองหลัง ๕ ปี (ตุลาคม ๒๕๖๑ – เมษายน ๒๕๖๕) -ผลการตรวจสุขภาพประชาชนในเขตควบคุมมลพิษ สาธารณสุขจังหวัดได้ก าหนดโรคที่เฝ้าระวัง ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ได้แก่ ๑) โรคทางเดินระบบหายใจส่วนล่าง อัตราการเกิด ประมาณ ๖๐๐ คน/ปี และมีแนวโน้ม การเพิ่มขึ้นในระดับคงที่ ๒) โรคทางเดินระบบหายใจทั่วไป อัตราการป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจทั่วไปมีแนวโน้ม ลดลง เป็นโรคที่อยู่ในเครือข่ายเฝ้าระวัง แต่จากการวินิจฉัยไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าเป็นโรคที่มีสาเหตุ เกิดจากสาร VOCs ๓) โรคหัวใจขาดเลือด อัตราป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือดมีแนวโน้มลดลง ๑๐๗ พิชชุดา เกษี, ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์และ สุนทรี ขุนทอง “การประเมินความเสี่ยงจากการได้รับ สารอินทรีย์ระเหยกลุ่มเบนซีน โทลูอีน เอทิลเบนซีน และไซลีน ของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพริมถนน ในเขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง” การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ ๒ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ประจ าปี การศึกษา ๒๕๖๐, file:///C:/Users/ ANFIELD/Downloads/KRSRC000S0000096c1%20(8).pdf, สืบค้น เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๑๐๘ ระบบฐานข้อมูลประสานงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กรม ..., ccee.pcd.go.th/pcdlawsuit/topic/publicpcdForm02view/56, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๕
๑๗๑ ๔) โรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม อัตราการบาดเจ็บจากการท างานในปี ๒๕๖๔ – ๒๕๖๕ มีแนวโน้มลดลง รายผลการตรวจเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนในเขตควบคุมมลพิษ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผู้รับบริการ ตรวจสุขภาพ จ านวน ๑๘,๐๗๔ ราย๑๐๙ - จากผลการตรวจความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง (ภาวะซีด) มีจ านวน ๕,๙๙๑ ราย - ผลการตรวจอนุพันธ์ของสารเบนซีนในปัสสาวะ พบว่ามีผลผิดปกติ จ านวน ๓๒ ราย สถานการณ์มะเร็ง อัตราอุบัติการณ์จ านวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จังหวัดระยองเทียบกับประเทศไทย - ปี พ.ศ.๒๕๖๐ เพศชาย มีค่า ASR อยู่ในอันดับ ๑๔๗ ของประเทศไทย เพศหญิงมีค่า ASR อยู่ในอันดับ ๑๔๑ จากการเปรียบเทียบค่า ASR แต่ละปี ในแต่ละชนิดของโรคมะเร็งของประชาชน จังหวัดระยองเทียบกับประเทศไทยพบว่า มะเร็งปอดมีแนวโน้มลดลง มะเร็งตับลดลง มะเร็งล าไส้ใหญ่ และไส้ตรงลดลง มะเร็งต่อมน้ าเหลืองลดลง (หมายเหตุ ASR (Age – standardized Incidence Rates) คือ อัตราอุบัติการณ์ที่ใช้โครงสร้างของมาตรฐานอายุ โดยใช้มาตรฐานประชากรโลก (World standardized incidence rate) ในการค านวณค่าอุบัติการณ์มีหน่วยอัตราต่อจ านวนประชากรแสนคน อัตราอุบัติการณ์ปรับตามมาตรฐานของประชากรโลกมีความเหมาะสมและสามารถใช้เพื่อเปรียบเทียบ ความแตกต่างของการเกิดโรคมะเร็ง ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก) ผลการศึกษาด้านสุขภาพ : ผลการวิเคราะห์ข้อมูลโครงการตรวจสุขภาพประชาชน ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ปี พ.ศ.๒๕๕๓ – ๒๕๖๐ โดยผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบความสัมพันธ์ระหว่าง t,t-MA อายุ การสูบบุหรี่ งานอดิเรกเกี่ยวกับสารระเหย ค่า Creatinine (การท างานของไต) และ Hemoglobin (เม็ดเลือดแดง) ผู้ที่มีงานเกี่ยวกับสารระเหยมีค่า t,t-MA สูงกว่า กลุ่มที่ไม่มีงานที่เกี่ยวข้องกับสารระเหย ผู้ที่มีค่า Creatinine สูง (การท างานของไตไม่ดี) มีค่า t,t-MA น้อย เพราะขับสารเบนซีนออกได้ไม่ดี - อนุพันธ์สารเบนซีนของประชาชนในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๕๙ ประชาชนในเขตควบคุมมลพิษที่ตรวจสุขภาพทุกปี เป็นเวลา ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๕๙)จ านวน ๒,๕๑๒ คน พบกรดมิวโคนิคในปัสสาวะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติโดยมีค่าเฉลี่ย ในแต่ละปีเท่ากับ ๒๒.๗๔ ๓๖.๙๗ และ ๓๗.๔๖ และพบว่า เพศ พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่ ระยะทางจากบ้านกับนิคมอุตสาหกรรม ระยะเวลาอาศัยในพื้นที่ มีความสัมพันธ์กับภาวะซีดส่วนการท างาน ของตับ ร้อยละ ๗๕ อยู่ในเกณฑ์ปกติ - ปัจจัยเสี่ยงด้านอาชีพของการเกิดมะเร็งระบบเม็ดเลือดในจังหวัดระยองจากการตรวจกลุ่มตัวอย่าง จ านวน ๕๒๕ คน สรุปได้ว่า การสัมผัสสารเคมีก าจัดศัตรูพืชและควันระหว่างการประกอบอาชีพ เป็นปัจจัยเสี่ยงด้านอาชีพที่ส าคัญต่อการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดในจังหวัดระยอง ๑๐๙ รายงานสรุปผลการสัมมนา เรื่อง “การจัดการสารอินทรีย์ระเหย (VOCs) ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง” ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๖ ระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๔๐ นาฬิกา ณ ห้องแมจิก ๓ ชั้น ๒ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
๑๗๒ - การเฝ้าระวังสุขภาพจากการรับสัมผัสสารเบนซีนในสิ่งแวดล้อมของนักเรียนในโรงเรียน ใกล้นิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาบตาพุด จากกลุ่มตัวอย่างจ านวน ๔๔๔ คน พบว่าการรับสัมผัส สารเบนซีน พบค่าเฉลี่ยของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มากที่สุดเท่ากับ ๑๘๗.๔๕ พิโกกรัม/กรัม -ผลกระทบต่อเม็ดเลือดต่อการรับสัมผัสสารเบนซีนในสิ่งแวดล้อมของประชาชน เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ประชาชน จ านวน ๙,๘๒๐ คน พบว่ากรดมิวโคนิกในปัสสาวะมีความสัมพันธ์กับปริมาณ ฮีโมโกลบิน ฮีมาโตรคริด เม็ดเลือดขาว อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ผลกระทบต่อชุมชนที่เกิดจากการตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด พบว่า ผลกระทบทางสุขภาพ ต่อร่างกายหลังจากการตั้งนิคมอุตสาหกรรม ประชาชนส่วนใหญ่จะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ ผื่นคัน ได้แก่ การแพ้น้ าและแพ้อากาศ เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมมาบตาพุดจะปล่อยสารเคมี ต่าง ๆ ออกมาโดยเฉพาะในตอนกลางคืน ถ้าหากเป็นช่วงที่ฝนก าลังจะตก โรงงานอุตสาหกรรมจะปล่อย ก๊าซออกมามากว่าปกติเพื่อให้น้ าฝนชะล้างก๊าซพิษ ข้อมูลสถิติโรคของส านักงาน สาธารณสุขจังหวัด ระยองระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๘ พบว่า โรคระบบทางเดินหายใจเป็นกลุ่มโรคที่ประชาชนจังหวัด ระยองเข้ารับการรักษาสูงเป็นอันดับ ๑ จ านวน ๓๑๐,๒๙๕ คน ซึ่งมลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุส าคัญ ของการเจ็บป่วย ด้วยโรคกลุ่มนี้งานวิจัยของเดชรัตน์ สุขก าเนิด ศุภกิจ นันทะวรการ และวิภา ชื่นชิต (๒๕๕๐) พบว่า อัตราผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจของประชาชนจังหวัดระยองมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๕ มีประชาชนป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจประมาณ ๕๖๙ คน/ประชากร หนึ่งพันคน เป็น ๖๑๓ คน/ประชากรหนึ่งพันคน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และเพิ่มขึ้น ๖๙๖ คน ต่อประชากร หนึ่งพันคน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ และในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ จากรายงานมีผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ประมาณ ๖๓๔ คน/ประชากรหนึ่งพันคน๑๑๐ จากการศึกษาพบว่าจ านวนหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายของสาร VOCs ในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา ๑ ปี พบหมู่บ้านอยู่ในขอบเขตพื้นที่เสี่ยงภัยระดับเสี่ยงมากที่สุดจาก สาร VOCs ที่เกินค่ามาตรฐานจ านวน ๔ ชนิด (สารเบนซีน, สาร ๑,๓-บิวทาไดอีน, สาร ๑,๒-ไดคลอโรอีเธน และสารไวนิลคลอไรด์) จ านวน ๑๕๘ หมู่บ้าน (ดังภาพที่ ๔๒) คิดเป็นร้อยละ ๓๘.๙๒ ซึ่งเป็นอัตรา ความเสี่ยงที่สูงและเป็นปัญหาที่ส าคัญของ หน่วยงานในท้องถิ่นที่ ควรให้ความส าคัญและเฝ้าระวังภัย จากสาร VOCs ในเขตพื้นที่จังหวัดระยอง๑๑๑ ๑๑๐ inside-วารสารสหวิทยาการ, ปี๑๗ ฉบับ ๒, ก.ค. – ธ.ค. ๖๓, indd - ThaiJO ๑๑๑ ธัญญรัตน์ ไชยครามและสุเพชร จิรขจรกุล การประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการ วิเคราะห์ThaiJo Thai Journal of Science and Technology ปีที่ ๓, ฉบับที่ ๓ กันยายน – ธันวาคม ๒๕๕๗
๑๗๓ ภาพที่ ๔๒ แผนที่ชุมชนได้รับผลกระทบจากสาร VOCs ๔ ชนิดที่มีความเข้มข้นเกินค่ามาตรฐาน เฉลี่ยรายปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จ านวน ๑๕๘ ชุมชน จากสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเห็นได้ว่า ๓ จังหวัด EEC มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ที่เหมือนกัน คือ การไหลเข้าของแรงงานจากนอกพื้นที่ ทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ ซึ่งอาจท าให้ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของพื้นที่แต่ละจังหวัดและพื้นที่ในภาพรวม ไม่สามารถรองรับได้เพียงพอ และแรงงานดังกล่าวนี้ อาจท าให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพชุดใหม่จากที่มีอยู่เดิมอีกด้วย จังหวัดระยอง มีความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสัมผัสสาร VOCs ที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจการปิโตรเคมีและการขนส่ง สถิติโรคที่อาจเกี่ยวข้องกับมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยองคือ VOCs ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง เม็ดเลือดขาวโดยข้อมูลสถิติผู้ป่วยด้วยมะเร็ง เม็ดเลือดขาวตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวของจังหวัดระยองสูงกว่าระดับประเทศ ทั้งนี้จังหวัดระยองเป็นที่ตั้งของ แหล่งอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเป็นพื้นที่ที่พบปริมาณสาร VOCs สูงเกินค่ามาตรฐานคุณภาพ๑๑๒ ๑๑๒ รายงานสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), http://envocc.ddc.moph.go.th/uploads/JR/NEWS_R/EEC_situation_Final_Report.pdf, สืบค้นเมื่อ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕
๑๗๔ จ านวนผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งรายใหม่ของจังหวัดระยอง (ดังภาพที่ ๔๓)สูงที่สุดคือโรคมะเร็งเต้านม และต่ าที่สุดคือมะเร็งเม็ดเลือดขาว๑๑๓ “ระบบสุขภาพในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ยังมีข้อจ ากัด อยู่ ๒ ส่วนคือ การเฝ้าระวังสุขภาพทั้งเชิงรุกและเชิงรับที่ระบบไม่ตอบสนองต่อโรคที่เกิดจาก สิ่งแวดล้อม อยากให้มีกลไกของรัฐในระดับที่สูงกว่าพื้นที่เข้ามาช่วย เนื่องจากต้องใช้ทักษะองค์ความรู้ และผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะประเด็นของสองโรคที่ภาคประชาชนต่างมีข้อกังวล คือมะเร็งและโรคระบบ ทางเดินหายใจ” ๑๑๔ ภาพที่ ๔๓ จ านวนผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง (รายใหม่) ชนิดต่าง ๆ ในจังหวัดระยอง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ อย่างไรก็ตามยังมีข้อสังเกตเกี่ยวข้อมูลการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งของพื้นที่มาบตาพุดที่ไม่เป็นปัจจุบัน คือวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๖ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า จากกรณีที่มีการรายงานว่า ในพื้นที่มาบตาพุดพบสารก่อมะเร็งในพื้นที่สูงเกินค่ามาตรฐาน – อันตราย ต่อสุขภาพจากการปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่ายนั้น จากการตรวจสอบพบว่า รายงานดังกล่าวเป็นข้อมูล งานวิจัยอุบัติการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๖๐ ที่จังหวัดระยองมีอัตราการ เกิดโรคมะเร็งสูง ซึ่งข้อมูลยังไม่เป็นปัจจุบัน รวมถึงการรายงานผลตรวจของกรมควบคุมมลพิษว่า พบค่าสารเบนซีนเฉลี่ย ๑ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๘ ก็ยังเป็นข้อมูลที่ไม่ใช่ปัจจุบันเช่นกัน๑๑๕ ๑๑๓ นางสาวโสภิดา เภาเจริญ ผู้อ านวยการศูนย์พัฒนา -envocc.ddc.moph.go.th, envocc.ddc. moph.go.th/uploads/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0% B8%A1/16-19_01_61/16_01_2561_file02_EnvHealthProfile.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๑๔ หวั่นยกเลิกเขตควบคุมมลพิษระยอง กระทบการจัดการมลพิษ-สุขภาพในพื้นที่, https://greennews.agency/?p =32921, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ๑๑๕ กนอ. .ย้ าสารอินทรีย์ระเหยในนิคมมาบตาพุดอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายก าหนด
๑๗๕ ๔.๑๓.๔ อุบัติภัยในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ปัญหาการเกิดอุบัติภัยในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ที่ผ่านมามีหลายลักษณะ ได้แก่อุบัติภัยจากสารเคมี และจากเพลิงไหม้โดยเฉพาะในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การเกิดอุบัติภัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบันเกิดขึ้นไม่น้อยกว่า ๒๐ ครั้ง ทั้งที่เป็นอุบัติภัยขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่มีผู้เสียชีวิตจากการรวบรวมข้อมูลอุบัติภัยในเขตควบคุมมลพิษที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณะมีดังต่อไปนี้ ตั้งแต่ช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๑ พบว่าเกิดอุบัติเหตุจากสารเคมี ๔ ครั้ง๑๑๖ ครั้งที่ ๑ ที่โรงงานบริษัทแพรกซ์แอร์ (Praxair) เป็นโรงงานผลิตน้ าแข็งแห้ง ตั้งอยู่ต าบลมาบตาพุด เกิดเหตุท่อและถังแก๊สแอมโมเนียระเบิด เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ครั้งที่ ๒ โรงงานไทยออร์แกนนิกเคมิคัลส์ ในเครือบริษัทอดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลล์ จ ากัด ตั้งอยู่ในนิคมเหมราชตะวันออก เกิดเหตุก๊าซคลอลีนรั่วไหลเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ทางนิคมฯ ไม่มีการแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ชุมชนใกล้เคียงทราบ ครั้งที่ ๓ โรงงานพีทีที ฟีนอลในเครือ ปตท. อยู่ในนิคมเหมราชตะวันออก เกิดเหตุสารคิวมีน รั่วไหลในปริมาณมากระหว่างทดลองเดินเครื่องเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีคนงานกว่า ๑๑๒ คน ถูกน าส่งโรงพยาบาลมาบตาพุด โดยแหล่งข่าวจากภายในนิคมระบุว่ามีผู้เสียชีวิต ๒ คน แต่ทางบริษัท และสาธารณสุขจังหวัดแถลงข่าวว่าไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด ครั้งที่ ๔ โรงงานพีทีทีฟีนอล ในเครือ ปตท. ได้เกิดเหตุระเบิดท าให้มีสารเคมีรั่วไหล เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ก๊าซบิวเทน 1 รั่วจากเรือ GLOBAL HIME ขณะโหลดสินค้า ที่ท่าเรือสินค้ามาบตาพุด แท็งก์เทอร์มินอล เพื่อน าไปส่งที่ประเทศสิงคโปร์และมีชุมชนบ้านตากวน อ่าวประดู่และกลุ่มประมงเรือเล็ก ได้รับกลิ่นเหม็นของก๊าซและเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียนและมึนงง ต้องน าส่งโรงพยาบาล วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เกิดก๊าซลึกลับกลิ่นเหม็นฉุนคล้ายแอมโมเนีย หรือคลอรีนกระจายฟุ้งไปทั่วไม่ทราบชนิดของก๊าซพิษและจุดเกิดเหตุมีเพียงเบาะแสจากสถานีตรวจอากาศ เมืองใหม่ มาบตาพุด พบปริมาณก๊าซไฮโดรคาร์บอนสูงกว่าปกติ ๒ - ๓ เท่า วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการอนุมัติแผนงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุด เพิ่มเติมอีก ๒๕ โครงการ วงเงิน ๒๕๕.๗๒๕๖๕ ล้านบาท แต่ในชั่วข้ามคืนกลับเกิดเหตุการณ์ระเบิด ของโรงงานกรุงเทพซินธิติกส์ มีคนเจ็บและตาย ตามด้วยก๊าซรั่วจากโรงงานอาทิตยาเบอร์รา เคมีคอล มีคนสูดดมก๊าซพิษ ต้องหามเข้าโรงพยาบาลกว่า ๗๐ คน๑๑๗ ๑๑๖ ความต้องการระบบเตือนภัยกรณีอุบัติเหตุ, http://library1.nida.ac.th/termpaper6/sd/2556/19990.pdf,สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๑๗ ๑๑ ศพสังเวยซ้ า – ๓๓ ชุมชนเสี่ยงไม่สิ้น นิยามใหม่ “นิคมฯมาบตาพุด-อิส,https://mgronline.com/ daily/detail/9550000058425, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๗๖ วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เกิดเพลิงไหม้หม้อต้มไอน้ าของบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ จ ากัด (มหาชน) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง๑๑๘ วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โรงงานกรุงเทพ ซินธิติกส์ จ ากัด หรือบีเอสที ภายในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ระเบิดและไฟไหม้ จนท าให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด ๑๒ ราย และผู้บาดเจ็บ ทั้งหมดมี ๑๔๑ รายแพทย์รักษาและให้กลับบ้านแล้วบางส่วน เหลือผู้บาดเจ็บนอนพักรักษาที่โรงพยาบาล ๒๙ ราย จ านวนนี้มีผู้บาดเจ็บอาการหนัก ๔ ราย ส่วนใหญ่บาดเจ็บจากแผลไฟไหม้๑๑๙ สื่อมวลชนได้เสนอข่าว เกี่ยวกับความเสี่ยงต่อสารพิษและอุบัติภัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขต มาบตาพุด “๑๑ ชีวิต กับอีกกว่า ๑๐๐ คนงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ยังต้องเสี่ยงกับสารโทลูอีน ที่นักวิชาการด้านการจัดการสารเคมี ระบุว่า คงอยู่ได้นานถึง ๒๗,๙๕๐ วัน หรือมากกว่า ๗๖ ปี กับเหตุ เพลิงไหม้และระเบิดที่โรงงานบีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จ ากัด (Bste) เครือบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จ ากัด ผู้ผลิตสารปิโตรเคมี เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมาด้วยเหตุก๊าซรั่วที่โรงงานอดิตยาเบอร์ล่า เคมิคัลส์ ในนิคมฯ เหมราช ห่างจาก Bste เพียง ๔ กิโลเมตร (กม.) จนต้องเร่งอพยพพนักงานออกกว่า ๕๐๐ คน และหามส่งโรงพยาบาลกว่า ๗๐ ราย เป็น ๒ เหตุใหม่หมาดๆ ที่สะท้อนถึง “ความเสี่ยง” ของคนมาบตาพุดที่ต้องก้มหน้ารับ หลังจากก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์อุบัติภัยสารเคมีในมาบตาพุด หลายต่อหลายครั้ง” ๑๒๐ วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ นาฬิกา มีก๊าซคลอรีนรั่วจากโรงงาน ของบริษัทอดิตยาฯ โดยในระยะ ๔ - ๕ ปี บริษัท อดิตยาฯ เกิดอุบัติภัยสารพิษรั่วมาแล้ว ๓ ครั้ง เป็นสารตัวเดิม ตั้งแต่ครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ มีผู้ได้รับผลกระทบ เกิดรั่วใหญ่และเป็นประเด็นใหญ่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ถังเก็บโซเดียมไฮโปคลอไรด์๑๒๑ ๑๑๘ สถิติอุบัติภัยวัตถุเคมี –ฐานความรู้เรื่องความปลอดภัยด้านสารเคมี,http://www.chemtrack.org/StatAccident-List.asp?SYear=2010&EYear=2014&ACT=10&ACD_YEAR=2010, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๑๙ ส.ส.ระยอง แฉ ๒ โรงงานก๊าซรั่วฝืนค าสั่งเปิดท าการต่อ, https://www.thairath.co.th/news/local/ east/1412940, ไฟไหม้โรงงานเส้นใยสังเคราะห์ นิคมมาบตาพุด ควันด าพวยพุ่ง, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๒๐ 11 ศพสังเวยซ้ า-33 ชุมชนเสี่ยงไม่สิ้นนิยามใหม่“นิคมฯมาบตาพุด-อิสเทิร์นซีบอร์ด”, https://mgronline.com/daily/detail/9550000058425, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๒๑ “ศุภกิจ นันทะวรการ” กางพื้นที่เสี่ยง” มาบตาพุด” ทางการได้ท า-ไม่ท าอะไรกับแผนป้องกัน อุบัติภัยสาธารณภัย, https://thaipublica.org/2012/05/supakit-bst-map-ta-put/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๗๗ จากสถิติอุบัติภัยสารเคมี ๓ ปีย้อนหลัง (พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๕๙) พบว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เกิดอุบัติภัยสารเคมี จ านวน ๖ ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ ๑๒๙ คน พ.ศ. ๒๕๕๘ เกิดอุบัติภัยสารเคมี จ านวน ๒ ครั้ง มีไม่พบผู้บาดเจ็บ และพ.ศ. ๒๕๕๙ เกิดอุบัติภัยสารเคมี จ านวน ๑๕ ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ ๓๑ คน ทั้ง ๓ ปี ไม่พบผู้เสียชีวิต๑๒๒ ได้แก่ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ บริษัท วีนิไทย จ ากัด (มหาชน) มีอุบัติเหตุที่เตาเผาด้วยความร้อน ของบริษัทที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เกิดการรั่วไหลของกรดเกลือบริษัทฯ๑๒๓ อุบัติภัยสาธารณภัยในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดยังคงเกิดขึ้นซ้ า ๆ อย่าง ๒ กรณีล่าสุด โรงงานของบริษัทบีเอสทีอิลาสโตเมอร์ ในเครือบริษัทกรุงเทพซินธิติกส์ (BST) เกิดระเบิดและเพลิงไหม้ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และกรณีบริษัทอดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์ (ประเทศไทย) ก๊าซคลอรีนรั่วในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก๑๒๔ วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ศูนย์อีเอ็มซีซี นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด รับแจ้งเหตุไฟไหม้ ภายในบริษัท เอเซียซิลิโคนส์ โมโนเมอร์ จ ากัด (ASM) นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย เลขที ่ ๑ ม.๒ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง สามารถสกัดต้นเพลิงอยู ่ภายในจุดเกิดเหตุประมาณ ๑ ชั ่วโมง จึงควบคุมเพลิงไว้ในวงจ ากัดได้โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต๑๒๕ วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จ ากัด (มหาชน) ตั้งอยู ่ถนนไอ ๒ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตใยเทียมและใยสังเคราะห์ได้เกิดเพลิงไหม้ที่ท่อระบายอากาศที่ติดตั้งอยู่ บนหลังคาของสายผลิตเส้นใยสังเคราะห์ชนิดสั้น (Fiber line3) เหตุเพลิงไหม้ท าให้เกิดกลุ่มควันสีด า เนื่องจากมีละอองน้ ามันเคลือบเส้นใยสังเคราะห์ภายในท่อที่ถูกเพลิงไหม้ ซึ่งไม่ใช่สารเคมีอันตราย การระงับเหตุเบื้องต้นได้ใช้ทีมดับเพลิงของบริษัทฯ เข้าระงับเหตุเพลิงไหม้ โดยใช้เวลา ๑๕ นาที เพลิงจึงสงบ๑๒๖ ๑๒๒ นางสาวโสภิดา เภาเจริญ ผู้อ านวยการศูนย์พัฒนา, envocc.ddc.moph.go.thenvocc.ddc. moph.go.th/uploads/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0% B8%A1/16-19_01_61/ 16_01_2561_file02_EnvHealthProfile.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๒๓ เกิดเหตุกรดไฮโดรคลอริกรั่วที่มาบตาพุด ยังไม่ทราบความเสียหาย,https://thecitizen.plus/node/11682/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๒๔ “ศุภกิจ นันทะวรการ” กางพื้นที่เสี่ยง” มาบตาพุด” ทางการได้ท า-ไม่ท าอะไรกับแผนป้องกัน อุบัติภัยสาธารณภัย, https://thaipublica.org/2012/05/supakit-bst-map-ta-put/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๒๕ อลหม่าน ! ไฟ ไหม้ โรงงาน ซิ ลิ โคน ระยอง พนักงาน หนี ตาย วุ่น, https://workpointtoday.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0% B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%84%E0%B8%AB% E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0 %B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B4//, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๒๖ ไฟไหม้โรงงานเส้นใยสังเคราะห์ นิคมมาบตาพุด ควันด าพวยพุ่ง, https://www.thairath.co.th/ news/local/ east/1412940 , สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๗๘ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ เกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณถังเก็บผลิตภัณฑ์ (เม็ดพลาสติก) (ภาพที่๔๔) และมีควันด าพวยพุ่งออกมาจากโรงงานของบริษัท เอ็ชเอ็มซีโปลีเมอส์ จ ากัด ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง โดยมีการประกาศภาวะฉุกเฉินระดับ ๑ ของโรงงาน ในเวลาต่อมาทีมระงับเหตุฉุกเฉินได้ด าเนินการ ตัดแยกระบบและด าเนินการก าจัดสารไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นสารต้นทางโดยส่งไปเผาที่หอเผา แม้ว่าเบื้องต้นไม่มีการรายงานถึงผู้บาดเจ็บ การปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมและผลกระทบอื่น ๆ แต่เหตุเพลิงไหม้นี้คือหนึ่งในอุบัติภัยที่ต้องจารึกลงในบัญชีรายชื่ออันยาวเหยียดของความเสี่ยงภัย ทางอุตสาหกรรมในเขตอีสเทอร์นซีบอร์ด หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) อีกครั้งหนึ่ง๑๒๗ ภาพที่ ๔๔ เพลิงไหม้บริเวณถังเก็บผลิตภัณฑ์ (เม็ดพลาสติก) ของบริษัท เอ็ชเอ็มซีโปลีเมอส์ จ ากัด ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง๑๒๘ วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ กรณีอุบัติเหตุ ณ บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จ ากัด (บริษัทในเครือ SCG) เหตุเกิดขึ้นบริเวณถังเก็บวัตถุดิบ แนฟทา 401c ซึ่งเป็นกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ ระเหยง่าย VOCs (สารที่ได้มาจากการกลั่นน้ ามัน) เป็นถังขนาดความจุ ๙๐,๐๐๐ ลบ.ม. เป็นวัตถุดิบ ในโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทฯ แจ้งว่าขณะเกิดเหตุไม่มีสารเคมีจัดเก็บในถัง กลุ่มควันที่เกิดขึ้น ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งสันนิษฐานว่าเหตุเกิดจากสารเคมีที่ตกค้างอยู่ภายในถังได้เกิดประกาย ไฟหรือความร้อนท าให้เกิดการติดไฟ ในระหว่างการกวาดล้างเก็บตะกอนในถังก่อนที่จะด าเนินการ ซ่อมบ ารุง อุบัติเหตุเกิดกับผู้ลงไปท างานในถังที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๗๔ เมตร ความสูง ๒๕ เมตร ๑๒๗ อุบัติภัยอุตสาหกรรมในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก : สิทธิการรับรู้และความจ าเป็นของ กฎหมาย PRTR ในประเทศไทย, https://www.greenpeace.org/thailand/story/18384/toxic-prtr-lawin-thailand/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๒๘ อุบัติภัยอุตสาหกรรมในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก : สิทธิการรับรู้และความจ าเป็นของ กฎหมาย PRTR ในประเทศไทย, https://www.greenpeace.org/thailand/story/18384/toxic-prtr-lawin-thailand/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๗๙ สามารถควบคุมเพลิงได้ในเวลา ๑ นาที มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟไหม้ ได้รับบาดเจ็บจ านวน ๕ ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บจ านวน ๒ รายได้เสียชีวิตระหว่างน าส่งโรงพยาบาล๑๒๙ วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ศูนย์ EMCC นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมืองระยอง รายงานว่า ได้รับแจ้งว่าบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จ ากัด (มหาชน) (ผลิตเส้นใย โพลีเอสเตอร์) เลขที่ ๖ ถนนไอ ๒ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เกิดเหตุไฟไหม้ พบกลุ่มควันภายในบริษัท จุดเกิดเหตุบริเวณอาคาร POY ชั้น ๒ ทิศทางลมพัดจากตะวันตกเฉียงใต้ไปตะวันออกเฉียงเหนือ ทางบริษัทได้ขอความช่วยเหลือจากบริษัท NPC S&E และเทศบาลเมืองมาบตาพุด เข้าระงับเหตุ บริษัทสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยเบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ นายแพทย์ศุภชัย เอี่ยมกุลวรพงษ์รองผู้อ านวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯได้รายงานสถิติการเกิดอุบัติภัยสารเคมีจังหวัดระยอง ปี ๒๕๕๑ – ๒๕๖๕ อัตราเฉลี่ย ๑๐ ครั้ง/ปีซึ่งมีเหตุการณ์ส าคัญ ได้แก่ -วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ เกิดเพลิงไหม้ในกระบวนการผลิตสารไซลอกเซน ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย มีผู้เสียชีวิต จ านวน ๑ ราย - วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๔ เกิดระเบิดประกายไฟบริเวณถังเก็บวัตถุดิบแนฟทา บริเวณท่าเรือ มาบตาพุด มีผู้เสียชีวิต จ านวน ๔ ราย๑๓๐ ในการจัดการกับมลพิษและอุบัติภัยสารเคมีที่กล่าวมานั้นได้มีข้อเรียกร้องจากภาคประชาชน ให้หน่วยงานรัฐใช้ท าเนียบการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายมลพิษ(Pollutant Release and Transfer Registers หรือ PRTR) เป็นเครื่องมือในการจัดการกับมลพิษและอุบัติภัยสารเคมี จนในที่สุดกรมควบคุม มลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะผู้เชี่ยวชาญ จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ได้มีโครงการน าร่อง PRTR ในจังหวัดระยอง เป็นแห่งแรก อย่างไรก็ตาม มีข้อสงสัยว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์สารเคมีรั่วเป็นกลิ่นเหม็นรุนแรงท าให้ชุมชนในเขต อ าเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ต้องอพยพออกจากพื้นที่ (ในวันที่ ๗ และ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗) และเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายในบริษัทผลิตปิโตรเคมี IRPC ที่ตั้งอยู่ ณ ต าบลเชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง ถ้าประชาชนต้องการรู้ว่า PRTR ที่จัดท าขึ้นมาเป็นโครงการน าร่อง จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึง ข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษจากทั้งแหล่งก าเนิดในอ าเภอบ้านฉางและบริษัทผลิตปิโตรเคมี IRPC ได้หรือไม่อย่างไร๑๓๑ ๑๒๙ อธิบดี กสร. ส่งทีมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์กรณีอุบัติเหตุถังเก็บสารเคมีระเบิดที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง, https://www.labour.go.th/index.php/60777-2021-10-27-10-30-02 , สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๓๐ รายงานสรุปผลการสัมมนา เรื่อง “การจัดการสารอินทรีย์ระเหย (VOCs) ในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง” โดยกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๖ ระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๔๐ นาฬิกา ณ ห้องแมจิก ๓ ชั้น ๒ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร ๑๓๑ อุบัติภัยอุตสาหกรรมในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก, https://www.greenpeace.org/ thailand/story/18384/toxic-prtr-law-in-thailand/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๘๐ ๔.๑๓.๕ นโยบาย และแผนปฏิบัติการฯและแผนการปฏิรูปบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง นโยบายและแผนการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง นั้น รัฐบาลได้เตรียมการ มาก่อนที่ศาลปกครองจะมีค าสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เนื่องจากปัญหามลพิษได้เกิดขึ้นบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ต่อมาจนถึง ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกหรือที่รู้จักกันในนามของ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)” ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนกับเขตควบคุม มลพิษ จังหวัดระยอง บางฝ่ายเกรงว่าจะสร้างปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีนโยบายและแผนการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยองหลายฉบับ ซึ่งมีทั้ง แผนระดับชาติ แผนปฏิบัติการฯ และแผนการปฏิรูป โดยที่แผนดังกล่าวได้ด าเนินการไปแล้วและมีการ วางแผนส าหรับอนาคตเนื่องจากปัจจุบันการแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ยังไม่ประสบผลส าเร็จ สาเหตุหนึ่งมาจากการวางแผนและการด าเนินการตามแผนที่วางไว้ดังต่อไปนี้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๕ ได้มีเป้าหมายในการกระจายความเจริญ จากเมืองหลวงไปสู่ภูมิภาคอย่างเป็นระบบ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก รัฐบาลได้เลือกจังหวัดระยองเนื่องจาก มีลักษณะภูมิประเทศที่เหมาะสมไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร โดยรัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่ออ านวยความสะดวกแก่อุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ได้แก่ ท่าเรือน้ าลึก ระบบถนน รถไฟ ระบบส่งน้ า ระบบโทรคมนาคม ฯลฯ ภายในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด ประกอบด้วย อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ เหล็ก โรงกลั่นน้ ามัน โรงไฟฟ้า พื้นที่ส าหรับ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นการให้เช่าในระยะเวลา ๓๐ ปีและพิจารณาต่อให้อีกคราวละ ๒๐ ปีโดยจัดแบ่งพื้นที่ตามลักษณะ กลุ่มอุตสาหกรรมและได้มีการจัดเตรียมพื้นที่ส าหรับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยบริการต่าง ๆ เพื่ออ านวยความสะดวกให้แก่ชุมชนตลอดจนผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ได้แก่ ที่พักอาศัย สถานที่ราชการ เทศบาล ต ารวจตรวจคนเข้าเมืองศุลกากร โรงพยาบาล สถานที่พักผ่อน ฯลฯจึงนับได้ว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรม ที่มีความครบวงจร๑๓๒ การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการ พัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกอีกครั้ง เพื่อท าหน้าที่พิจารณาเสนอแนะแนวทางและมาตรการ พัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมทั้ง ก ากับดูแลประสานงานและเร่งรัด ติดตามการด าเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายฝั่งทะเล ตะวันออกให้เป็นระบบและมีเอกภาพ ๑๓๒ ผลกระทบต่อชุมชนที่เกิดจากการตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง ทะเลภาคตะวันออก กรณีของเทศบาลเมืองมาบตาพุด :อ าเภอเมือง จังหวัดระยอง, file:///C:/Users/ANFIELD/ Downloads/kunaporn,+%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A3% E0%E0% B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8% A9%E0% B9%8C_82- 89%20(14).pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๘๑ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกหรือที่รู้จักกันในนามของ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)” ซึ่งจะถูกใช้เป็นจักรกลใหม่ เพื่อขับเคลื่อนความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ (New Engines of Growth) โดยระเบียง เศรษฐกิจแห่งนี้ได้ผนวกเอาพื้นที่มาบตาพุดเข้าไปเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาเพื่อยกระดับ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีให้เป็นอุตสาหกรรมชั้นน าหนึ่งในห้าของทวีปเอเชีย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางด้านโรงกลั่น น้ ามันและพลังงานในประเทศไทย หากจักรกลใหม่นี้สามารถด าเนินการได้ รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะท าให้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ ๕/ปี และจะเกิดการลงทุนในพื้นที่ ชายฝั่งทะเลตะวันออกประมาณ ๑.๕ ล้านล้านบาทภายใน ๕ ปี จะเกิดการจ้างงานใหม่ทั้งภาคอุตสาหกรรม และบริการไม่น้อยกว่า ๑๐๐,๐๐๐ อัตรา/ปีภาคอุตสาหกรรมยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่การใช้ เทคโนโลยีขั้นสูงและมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกิดการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่งทุกรูปแบบทั้งทางบก ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ ท าให้ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ได้กว่า ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท/ปี การที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาประเทศด้วยการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจนั้นมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเห็นว่าการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยตั้งอยู่บน ทัศนคติการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี ท าให้ลดความส าคัญของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม สังคม และประชาชน อันเนื่องมาจากการประกอบกิจการของโรงงานอุตสาหกรรม โดยรัฐกล่าวว่าหากรัฐ บังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดต่อโรงงานอุตสาหกรรมมากก็จะท าให้เกิดอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศ เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการต้องจ่ายงบประมาณเพิ่ม เสี่ยงต่อการย้าย ถิ่นฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น เป็นผลให้ประเทศขาดรายได้มหาศาล ดังนั้นนโยบายของภาครัฐจึงมี ลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม๑๓๓ มีผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาลว่ายุทธศาสตร์การพัฒนาของรัฐไทยและชนชั้นน าไทยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ มาบตาพุด เปรียบเสมือนการผลิตซ้ าอุดมการณ์แบบทุนนิยมที่มีภาคอุตสาหกรรมเป็นจักรกลในการ ขับเคลื่อนความเติบโตทางเศรษฐกิจส่วนผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมนั้น กล่าวได้ว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่มาบตาพุด ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลต่อปฏิกิริยาและปฏิบัติการทางสังคมของ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขและโครงสร้าง ทางสังคมที่ห้อมล้อมผู้คนเหล่านั้น ๑๓๓ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมกรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด, file:///C:/Users/ANFIELD/Downloads/forensicadmin, +%7B$userGroup% 7D,+Paper04-Vol.7-No.1-2021%20(8).pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๘๒ โดยที่ส่วนหนึ่งเห็นว่าในส่วนนโยบายนั้นผู้ก าหนดนโยบาย (Policy Maker) จ าเป็นต้องออกแบบ นโยบายที่ตอบสนอง ต่อความหลากหลายความจ าเป็น และความต้องการขั้นพื้นฐานของผู้คนในท้องถิ่น รวมทั้งการสร้างความสมดุลระหว่างภาคการผลิตต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่มาบตาพุด๑๓๔ สภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นผลมาจากการขาดการวางแผน และการใส่ใจดูสภาพแวดล้อม ในการด าเนินงาน อุตสาหกรรมของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จนก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตมลพิษและผลกระทบต่าง ๆ ต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนอย่างยาวนานและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น จนน ามาสู่การประกาศให้พื้นที่ ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ (National Reform Council, 2015) ๑๓๕ กรณีของเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง เกิดขึ้นจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติ ในการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒ เห็นชอบให้ใช้อ านาจตามที่ศาลปกครอง สั่งให้ประกาศก าหนดให้ท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด และพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในท้องที่ที่ได้ประกาศก าหนดให้เป็นเขตควบคุมมลพิษจัดท า แผนปฏิบัติการเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และด าเนินการตามข้อก าหนดในพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ การประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของ ประชาชนในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ รวมถึงบรรยากาศในการลงทุนทางเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของ ประเทศ ดังนั้นจึงควรมีการเร่งรัดจัดการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งในด้านสุขภาพของประชาชนและด้าน สิ่งแวดล้อมในเขตควบคุมมลพิษให้ดีขึ้น พร้อมทั้งก าหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อทดแทนประกาศเขต ควบคุมมลพิษ และก าหนดมาตรการเพิ่มเติม๑๓๖ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๗ – ๔๑ ก าหนดให้ต้องมีการจัดท าแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อให้เกิดการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ที่สอดคล้องกับ “แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับชาติ” โดยเฉพาะในท้องที่เขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และหรือเขตควบคุมมลพิษ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องจัดท าแผนปฏิบัติการฯ ในระดับจังหวัดคือ ๑. แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัดแบ่งออกเป็น ๒ ด้าน คือ ๑) ด้านทรัพยากรธรรมชาติ๒) ด้านสิ่งแวดล้อม ๑๓๔ รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์การทบทวนและปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาของโครงการพัฒนา พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกสู่การเป็นประเทศอาเซียนในจังหวัดระยอง : กรณีการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนา อุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุด, http://dspace.lib.buu.ac.th/bitstream/1234567890/4287/1/2565 _008.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๓๕ การพัฒนาการด าเนินงานตามมาตรการแก้ไขและควบคุมมลพิษของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง, Journal of Graduate Studies Valaya Alongkorn Rajabhat University Vol. 15 No. 2 (May - August 2021, สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๓๖ แผนการปฏิรูปประเทศ - ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, http://nscr.nesdb.go.th/wpcontent/uploads/2021/01/CR_06_%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0% B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8 %AD%E0%B8%A1-280164.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๘๓ ๒. แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ (กรณีที่จังหวัดมีพื้นที่ที่ประกาศ ให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ) ๓. แผนงานการจัดการคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ด าเนินการ ประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม (กรณีที่จังหวัดมีพื้นที่ที่ประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม) ๑๓๗ โดยที่เป็นเขตควบคุมมลพิษตามกฎหมายต้องด าเนินการจัดท าแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษให้ ด าเนินการดังต่อไปนี้ (๑) ท าการส ารวจ และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งก าเนิดมลพิษที่มีอยู่ในเขตควบคุมมลพิษนั้น (๒) จัดท าบัญชีรายละเอียดแสดงจ านวน ประเภท และขนาดของแหล่งก าเนิดมลพิษ ที่ได้ท า การส ารวจและเก็บข้อมูลตาม (๑) (๓) ท าการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินสถานภาพมลพิษ รวมทั้งขอบเขตความรุนแรงของ สภาพปัญหา และผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อก าหนดมาตรการที่เหมาะสม และจ าเป็นส าหรับ การลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษนั้น ในการจัดท าแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษของ เจ้าพนักงานท้องถิ่นและให้เจ้าพนักงานควบคุมมลพิษแนะน าและช่วยเหลือตามความจ าเป็น๑๓๘ ในขณะที่ปฏิกิริยาของผู้คนในท้องถิ่นที่มีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมมีความหลากหลายไม่เป็น เอกภาพและมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง แม้จะอยู่ในพื้นที่มาบตาพุดเหมือนกัน แต่พวกเขากลับอยู่ ภายใต้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกันอย่างยิ่ง ท าให้ผลประโยชน์ที่ผู้คนแต่ละกลุ่มได้รับ จากการพัฒนาอุตสาหกรรมแตกต่างกัน อันเป็นผลให้ผู้คนเหล่านี้มีอุดมการณ์ จุดยืนต่อการพัฒนา อุตสาหกรรมแตกต่างกันไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงท าให้ปฏิบัติการทางสังคมทั้งในรูปของการออกมาสนับสนุน การคัดค้านการสร้างเงื่อนไขเพื่อต่อรอง หรือการวางตัวเป็นกลางในกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรม ต่างล้วนแล้วแต่มีชุดของความเป็นเหตุเป็นผลรองรับด้วยกันทั้งสิ้น๑๓๙ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้เคยศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในมาบตาพุด เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยได้สุ่มตัวอย่างประชาชนไว้ถึง ๑,๑๐๗ คน (http://bit.ly/1Rfm0QH,ผลสรุป การส ารวจความคิดเห็นของประชาชน ประชาชนในมาบตาพุดต้องการให้อุตสาหกรรมขยายตัวต่อไป) ประเด็นส าคัญที่พึงพิจารณาในเชิงนโยบายก็คือประชากรส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๖๕.๓ หรือสองในสาม) ในพื้นที่มาบตาพุดเห็นควรให้มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่อไป มีเพียงหนี่งในสามที่เห็นว่า ควรหยุดขยายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม หากนับรวมผู้ที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่มีความเห็นร้อยละ ๒๒.๓ แล้ว ๑๓๗ บทที่ ๑ แนวทางการจัดท าแผนปฏิบัติการ เพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด http://www.dla.go.th/upload/ebook/column/2012/1/1178_4512.pdf,สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๓๘ การวิเคราะห์กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจาก ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี https://repository.nida.ac.th/bitstream/handle/662723737/3772/ b199701e.pdf?sequence=4&isAllowed=y , สืบค้นเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๑๓๙ รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์การทบทวนและปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาของโครงการพัฒนา พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกสู่การเป็นประเทศอาเซียนในจังหวัดระยอง: กรณีการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนา อุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุด, http://dspace.lib.buu.ac.th/bitstream/1234567890/4287/1/2565_ 008.pdf, สืบค้นเมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๘๔ จะพบว่า ประชากรที่เห็นว่าควรหยุดขยายตัวมีอยู่ ร้อยละ ๒๖.๖ หรือเพียงครึ่งหนึ่งของประชากร ที่เห็นควรให้อุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดควรจะขยายตัวต่อไป (ร้อยละ ๕๑.๑) ๑๔๐ ผลการศึกษาวิจัยกรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เหตุและปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ประกอบด้วย ปัญหา การบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมต้องมีขั้นตอนทางกฎหมายซึ่งในการ ขออนุญาตด าเนินการจัดตั้งหน่วยงานภาครัฐต้องท าการประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับคน และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยต้องให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตั้งโรงงาน อุตสาหกรรมเนื่องจากเป็นขั้นตอนหนึ่งทางกฎหมาย ที่ผ่านมาการด าเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว อาจเกิดขึ้นจริง แต่ข้อเท็จจริงคือประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการแสดงความคิดเห็น หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่ว่าประชาชนจะในพื้นที่จะแสดงความเห็นอย่างไรแต่ถ้ารัฐส่งเสริมให้มีการสร้าง โรงงานอุตสาหกรรมด้วยเหตุผลทั้งปวง เช่น การขยายตัวของภาคเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประชาชนต้องเสียสละคล้อยตามนโยบายและการด าเนินการของภาครัฐ ประชาชนไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ ในกระบวนการสุดท้ายหากแต่เป็นหน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นผู้ด าเนินการทั้งหมด ดังนั้นสาเหตุและปัจจัย ปัญหาสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากการบริหารจัดการภาครัฐที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน ไม่วิเคราะห์ ผลกระทบเชิงลึกที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชนในพื้นที่เห็นได้จากประชาชนออกมาเรียกร้องให้หน่วยงาน ภาครัฐออกมาดูแลผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากโรงงานอุตสาหกรรม การแก้ไขปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมนอกจากมีแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษแล้ว ยังมีแผนการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขต ควบคุมมลพิษ จังหวัดระยองซึ่งใน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติแผนการแก้ไขปัญหา มาบตาพุดอย่างครบวงจรตามที่ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ๑๔๑ แผนปฏิบัติการ เพื่อลดและขจัดมลพิษของเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง จะถูกน าเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัดท าหน้าที่เป็นประธานอนุกรรมการจัดท าแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ ของเขตควบคุมมลพิษ) เพื่อรวมไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาโดยส่วนใหญ่แผนปฏิบัติการฯ ที่จัดท าขึ้นไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในแผนจัดการคุณภาพ สิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม๑๔๒ ทั้งนี้ ในแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ ในเขตควบคุมมลพิษ ควรประกอบด้วยวิธีการประเมินผลของการด าเนินการตามแผนปฏิบัติการด้วย และควรวางแผนปฏิบัติการในลักษณะของแผนชี้น า (Indicative Plan) เพื่อก าหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ ในระดับพื้นที่ที่สามารถน าไปแปลงเป็นแผนในระดับ ปฏิบัติที่มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงระหว่าง หน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างชัดเจน ๑๔๐ ผลสรุปการส ารวจความคิดเห็นของประชาชน http://bit.ly/1Rfm0QH, ประชาชนในมาบตาพุด ต้องการให้อุตสาหกรรมขยายตัวต่อไป, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๕ ๑๔๑ แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร | RYT921 มิ.ย. 555, www.ryt9.com/s/cabt/ 1429164, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๕ ๑๔๒ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กันยายน ๒๕๖๕
๑๘๕ จะเห็นได้ว่าแผนปฏิบัติการฯ ฉบับแรก ได้ถูกก าหนดวิธีการด าเนินการและวิธีการติดตาม และปรับปรุงแผนไว้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพื้นที่ไม่สามารถด าเนินการตาม กระบวนการของแผนปฏิบัติการฯ ได้อย่างเคร่งครัด ท าให้ขาดการทบทวนและเกิดการปรับปรุงแผนงาน อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจังหวัดระยองมีการจัดท าแผนปฏิบัติการฯ มากถึง ๔ ฉบับ ในช่วงเวลา ๑๓ ปี ซึ่งนับว่ามากพอที่ต้องได้รับการถอดบทเรียนเพื่อการด าเนินการอย่างชัดเจน และตรงประเด็นมากขึ้น ซึ่งต้องมีการลดมลพิษที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยเร็ว การแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ประสบปัญหาข้อขัดข้องหลายประการ เช่น ปัญหาขาดความเชื่อมโยงของแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง กับแผนงานหรือโครงการของหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การป้องกันปัญหามลพิษโดยการที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในการ จัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อน าเทคโนโลยีชนิดใหม่ ๆ มาใช้ในการก าจัดมลพิษทางอากาศจากส านักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในขณะที่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กยังขาดการ ส่งเสริมและสนับสนุนเท่าที่ควร ท าให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการจัดการสิ่งแวดล้อมของภาคอุตสาหกรรม๑๔๓ ในการแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ต้องประสบปัญหาไม่สามารถ ด าเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษได้เพราะไม่สามารถบูรณาการ แผนปฏิบัติการฯกับแผนงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก - อนุกรรมการฯ ในภาพรวมยังมีบทบาทน้อยในการร่วมสร้างแผนปฏิบัติการฯ - หน่วยงานหลักที่ท าหน้าที่จัดท าแผนปฏิบัติการฯ ยังคงเป็นบทบาทของ ทสจ. สสภ. และ คพ. - หน่วยงานสนับสนุนอื่น ได้แก่ หน่วยงานอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการมลพิษ ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมเจ้าท่า กระทรวงสาธารณสุข และอื่น ๆ ยังมีบทบาทน้อย -อปท. ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องขาดศักยภาพในการจัดท าแผนปฏิบัติการฯและการด าเนินการตามแผนฯ - ภาคผู้แทนของกลุ่มธุรกิจ และประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ได้เสียจากการบริหารจัดการมลพิษของ พื้นที่มีส่วนในการรับรู้และให้ข้อคิดน้อย - อนุกรรมการฯ ยังไม่สามารถท าการประสานในเชิงบูรณาการแผนปฏิบัติการฯ กับแผนงานอื่น ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเต็มที่ - อนุกรรมการฯ ยังไม่สามารถติดตามประเมินผลการด าเนินงานตามแผนฯ ได้อย่างเป็นรูปธรรม - แผนปฏิบัติการฯ เป็นแผนระยะกลางประมาณ ๔-๕ ปี ท าให้การทบทวนผลการปฏิบัติตาม แผนปฏิบัติการฯ และสภาพมลพิษของพื้นที่เพื่อปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ในปีถัดไปท าได้ยาก - แผนการจัดการสิ่งแวดล้อม ได้แก่ แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ ขาดดัชนีชี้วัดปัญหามลพิษของพื้นที่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ใกล้เคียงยังคงมีความรู้สึกกว่ารัฐบาล ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากมลพิษอุตสาหกรรมได้จริง แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ จากรายงาน ผลการปฏิบัติงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตาม ๑๔๓ การวิเคราะห์กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจาก ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, https://repository.nida.ac.th/bitstream/handle/662723737/3772/ b199701e.pdf?sequence=4&isAllowed=y, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๕
๑๘๖ ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการโรงกลั่นน้ ามันระบุว่าเมื่อน าผลการตรวจวัดมาเปรียบเทียบกับ ประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง ก าหนดค่าเฝ้าระวังส าหรับสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศ โดยทั่วไปเวลา ๒๔ ชั่วโมง พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งก าหนดไว้ไม่เกิน ๗.๖ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ผลการ ตรวจวัดบริเวณชุมชนบ้านพลง ระหว่างวันที่ ๘ - ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ พบว่าค่าความเข้มข้นของ เบนซีนเกินกว่าค่าเฝ้าระวัง ซึ่งหมายความว่าประชาชนในพื้นที่ยังคงต้องแบกรับความเสี่ยงต่อผลกระทบ ด้านสุขภาพต่อไป๑๔๔ แผนการปฏิรูปด้านสิ่งแวดล้อม (ฉบับปรับปรุง) ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๕ มีเป้าหมายที่จะ ประกาศยกเลิกเขตควบคุมมลพิษและด าเนินมาตรการอื่น ๆ แทนในพื้นที่อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาของ ความเข้มข้นในการปฏิบัติตามของผู้ประกอบการในพื้นที่เนื่องจากข้อกฎหมายหรือข้อบังคับในการ ด าเนินการในมาตรการใหม่ ๆ นั้นอาจไม่เข้มข้นเท่ากับการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งอาจเป็น ช่องว่างให้เกิดการท าลายทรัพยากรธรรมชาติที่ส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมได้หากมีการยกเลิกเขต ควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปด้านสิ่งแวดล้อม (ฉบับปรับปรุง) ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๕ ปัญหามลพิษ จะกลับมาสู่สภาวะเดิมหรือไม่ ค าตอบคือแม้ว่าเขตควบคุมมลพิษจะถูกยกเลิกไปแล้วแต่จังหวัด ยังสามารถใช้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัดได้ตามมาตรา ๓๗ วรรคสาม๑๔๕ เครือข่ายประชาชนคนรักระยองได้มีข้อเรียกร้องต่อแผนปฏิรูป “การยกเลิกเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง” โดยเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๕ เครือข่ายประชาชนคนรักระยองได้ยื่นหนังสือ ถึงคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ “ขอให้เร่งรัดแก้ปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง” แม้จะมีการประกาศเขตควบคุมมลพิษมานานกว่า ๑๓ ปี แต่ปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัด ระยองยังสูงเกินค่ามาตรฐานและสูงกว่าที่กฎหมายก าหนด ขณะเดียวกันยังมีการอนุญาตให้สร้างโรงงาน อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการขยายตัวของอุตสาหกรรมตาม โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ท าให้พื้นที่จังหวัดระยองนอกเขตควบคุมมลพิษมีปัญหา มลพิษเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน หรืออาจ ก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม๑๔๖ ๑๔๔ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมกรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, file:///C:/Users/ANFIELD/ Downloads/forensicadmin,+%7B $userGroup% 7D,+Paper04-Vol.7-No.1-2021%20(8).pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๔๕ แผนการปฏิ รูปประเทศด้ านทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม, http://nscr.nesdc.go.th/ wpcontent/uploads/2022/03/6.%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%8, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๔๖ เค รือข่ ายฯ คน รัก ระย อง ยื่นข้อเ รียก ร้ องบ อ ร์ ด ส วล .จัดก า รก่อนเดินหน้ า EEC, https://www. Thereporters.co/environment/1402221340/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕
๑๘๗ ๔.๑๓.๖ กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี อาทิ พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งมีการออกกฎหมายมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานท าให้ข้อก าหนดในกฎหมายบางมาตรานั้น ขาดความทันสมัยเนื่องจากในปัจจุบัน สารมลพิษทางอากาศชนิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย กฎหมาย ที่ใช้ในการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ยังขาดการปรับปรุง ให้ทันสมัยสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเด็น ดังนี้๑) มาตรการตรวจวัดและควบคุมสาร VOCs ๒) สารมลพิษจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายบางชนิดยังไม่ได้รับการควบคุม๑๔๗ การออกกฎหมายการควบคุมมลพิษทางอากาศไม่เพียงอาศัยการจัดการที่ปลายปล่องเท่านั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือและการส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพ เช่น การลดภาษี ให้สิทธิประโยชน์ในการ ลงทุนในเรื่องของการจัดการมลพิษ การปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดมลพิษทางอากาศ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความหลากหลายในกระบวนการท าให้แต่ละโรงงานมีปริมาณ การผลิต การใช้และปริมาณการกักเก็บสาร ๑,๓-บิวทาไดอีนที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น การก าหนด มาตรฐานอัตราการระบายเท่ากันทุกโรงงาน ๑๖๐ กิโลกรัม/ปี ตาม (ร่าง) ประกาศกระทรวงฯ จึงไม่เหมาะสมและเกิดปัญหาในการปฏิบัติ เนื่องจากไม่เป็นธรรมกับโรงงานที่มีก าลังการผลิต/ใช้/กักเก็บ แตกต่างกัน และไม่สอดคล้องกับค่าการระบายที่ได้รับการพิจารณาจากการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (EIA) ของแต่ละโครงการ๑๔๘ กฎหมายก าหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ก ากับดูแลจัดท าแผนปฏิบัติการเพื่อลด และขจัดมลพิษของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ในกรณีที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่ด าเนินการภายในเวลาอันสมควร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอ านาจด าเนินการแทนเมื่อได้แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น และคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบแล้ว (พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๖๓) อย่างไรก็ตาม ในเขตควบคุมมลพิษ ในกรณีที่เห็นสมควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอ านาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาก าหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งก าเนิดสูงกว่ามาตรฐาน ควบคุมมลพิษจากแหล่งก าเนิดที่รัฐมนตรีประกาศก าหนด หรือมาตรฐานซึ่งก าหนดตามกฎหมายอื่น ซึ่งไม่ต่ ากว่ามาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งก าเนิดที่รัฐมนตรีประกาศก าหนดเป็นพิเศษ (มาตรา ๕๘) มีข้อสังเกตว่าการก าหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษเป็นพิเศษนี้ จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนั้น อาจจะก าหนดเป็นพิเศษ หรือใช้มาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศก าหนดหรือที่ซึ่งก าหนดตามกฎหมายอื่น ก็ได้๑๔๙ ๑๔๗ การวิเคราะห์กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจาก ภ าคอุตส าหก ร รมปิโต รเคมี, https://repository.nida.ac.th/bitstream/handle/662723737/3772/ b199701e.pdf?sequence =4&isAllowed=y, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๑๔๘ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กันยายน ๒๕๖๕ ๑๔๙ เพิ่งอ้าง
๑๘๘ มลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผู้ประกอบการมุ่งสร้างผลก าไรให้กับองค์กร จนไม่ค านึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร ผู้ประกอบการธุรกิจมักคิดว่าการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมเป็นภาระและเป็นหน่วยที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงมองประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในเชิงลบ และมักละเลยหรือไม่ให้ความส าคัญ๑๕๐ ผลการศึกษาเมื่อพิจารณาโดยวิธี SWOT Analysis พบว่าช่องว่างทางกฎหมายที่เกิดขึ้น นั้น เกิดจากการที่ภาคอุตสาหกรรมไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดอีกทั้งยังขาดการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี และบางส่วนเกิดจากการที่ภาครัฐขาดการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้มีความทันสมัยมากขึ้น ท าให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณข้างเคียงและก่อให้เกิดความเสื่อมโทรม ต่อสิ่งแวดล้อม๑๕๑ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ก าหนดมาตรฐานควบคุม การปล่อยทิ้งสารเบนซีน และสาร ๑, ๓ - บิวทาไดอีน จากโรงงานอุตสาหกรรมเคมีมีใจความส าคัญ ความว่า สารประกอบที่มีคาร์บอนอินทรีย์ (Organic Carbon) เป็นองค์ประกอบหลัก และมีความดันไอ มากกว่า ๐.๑ มิลลิเมตรปรอท ที่อุณหภูมิ ๒๐ องศาเซลเซียส และ ๒๕ ความดัน ๗๖๐ มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่รวมถึงมีเทน คาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ โลหะ คาร์ไบด์หรือคาร์บอเนต แอมโมเนียม คาร์บอเนต ที่มีหรือใช้สารอินทรีย์ระเหยง่ายในกระบวนการผลิต ตั้งแต่ ๓๖ ตัน/ปีขึ้นไป และมีการผลิต หรือใช้สารเบนซีน หรือสาร ๑, ๓ – บิวทาไดอีน จะต้องมีมาตรฐานควบคุมความเข้มข้นของการปล่อยทิ้ง สารเบนซีน และสาร ๑, ๓ - บิวทาไดอีน จากโรงงานอุตสาหกรรมเคมี ไว้ดังต่อไปนี้ (๑) สารเบนซีน ต้องมีค่าไม่เกิน ๗ มิลลิกรัม/ลูกบาศก์เมตร (๒) สาร ๑, ๓ - บิวทาไดอีน ต้องมีค่าไม่เกิน ๕ มิลลิกรัม/ลูกบาศก์เมตรโรงงานอุตสาหกรรมเคมี ต้องควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ก าหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมด้วย ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและการบังคับโทษ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามปรับปรุง กฎหมายและมีมาตรการควบคุมมลพิษรวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมหลาย ๆ ด้าน แต่ไม่สามารถแก้ไข ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากมลพิษอุตสาหกรรมได้จริงกล่าวได้ว่ากฎหมายประเทศไทยยังไม่สามารถ จัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และไม่มีบทลงโทษอย่างจริงจัง ท าให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่ภาคธุรกิจฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ และท าให้ประชาชนต้องได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง การด าเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ต้องอาศัยอ านาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐอื่นที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษ ตามที่ก าหนดไว้ในกฎหมาย ฉบับต่าง ๆได้แก่ (๑) พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ (๒) พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ (๔) พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบ เรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ (๕) พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ (๖) พระราชบัญญัติ ๑๕๐ เพิ่งอ้าง ๑๕๑ การวิเคราะห์กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจาก ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, https://repository.nida.ac.th/bitstream/handle/662723737/3772/ b199701e.pdf?sequence=4&isAllowed=y, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕
๑๘๙ ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ (๗) พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ า พ.ศ. ๒๕๖๑ (๘) พระราชบัญญัติส่งเสริม การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ (๙) พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๒ (๑๐) พระราชบัญญัติก าหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอ านาจ ให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ (๑๑) พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ (๑๒) พระราชบัญญัติ องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐๑๕๒ ความซ้ าซ้อนและอุปสรรคทางกฎหมายต่อการประกาศหรือยกเลิกเขตควบคุมมลพิษ ในด าเนินงานควบคุม ลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษให้กลับมาสู่ระดับที่ไม่มีแนวโน้มที่จะ ร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อ คุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถยกเลิกเขตควบคุมมลพิษได้นั้น จะต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานของรัฐที่มีอ านาจหน้าที่ตามกฎหมาย กฎหมายดังกล่าวอาจมีความซ้ าซ้อนและอาจ เป็นอุปสรรคต่อการด าเนินงานดังกล่าว๑๕๓ ปัญหาประสิทธิภาพในการลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษที่ค่อนข้างต่ าเนื่องจากมีปัญหา การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ การด าเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษในเขตควบคุม มลพิษให้กลับมาสู่ระดับที่ไม่มีแนวโน้มที่จะร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งไม่ค่อยใช้หน้าที่และอ านาจที่มีอยู่ในการออกข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ เพื่อใช้บังคับในท้องที่ซึ่งจ าเป็นต้องมีการออกกฎหมายจากส่วนกลางเสียก่อน เช่น มาตรการควบคุม การระบายไอสาร VOCs เป็นต้น มิฉะนั้นการลดและขจัดมลพิษในระดับท้องที่จึงอาจมีอุปสรรค และเป็นไปได้ยาก กฎหมายที่ใช้ในการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันยังขาด การปรับปรุงให้ทันสมัยทั้งในเรื่องของการควบคุมสาร VOCs โดยที่ปัจจุบันมีสาร VOCs หลายชนิด ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแต่กฎหมายยังไม่การก าหนดให้มีการควบคุมสาร VOCs เพิ่มเติม ท าให้มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม๑๕๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการระบายสาร VOCs ขาดความเข้มงวด ในแง่ของการ ควบคุมสาร VOCs แบบรายชนิด อาทิ เบนซีน ไวนิลคลอไรด์ และ ๑,๓ - บิวทาไดอีน ยังไม่มีมาตรฐาน ในการควบคุมที่ชัดเจน ประกอบกับกฎหมายมีการควบคุมสาร VOCs โดยรวมเป็น Total VOCs ท าให้ เกิดความไม่สอดคล้องกันในการน ากฎหมายไปปฏิบัติและบังคับใช้ ปัญหาการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ นั่นคือการจัดท ารายงานการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (EIA) ไม่ได้มีการปฏิบัติอย่างจริงจังควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย แม้ที่ผ่านมารัฐบาล จะพยายามปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างการควบคุมมลพิษ รวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อม ๑๕๒ รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕ ๑๕๓ เรื่องเดียวกัน น. ๑๒๕ ๑๕๔ การวิเคราะห์กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจาก ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, https://repository.nida.ac.th/bitstream/handle/662723737/3772/b199701 e.pdf?sequence=4&isAllowed=y, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕
๑๙๐ หลาย ๆ ด้าน แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากมลพิษอุตสาหกรรมได้จริงเนื่องจากบุคคล ที่เกี่ยวข้องมักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวมิใช่อาชญากรรมหรือการกระท าผิดต่อบุคคลใด๑๕๕ หน่วยงานภาครัฐผู้ออกกฎหมายมีการด าเนินการก าหนดมาตรการ การวางแผนต่าง ๆ ในเชิงรับ มากกว่าเชิงรุก คือเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีสาเหตุจากมลพิษทางอากาศจึงมีการก าหนดมาตรการในการ แก้ไขช่องโหว่ของกฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของ ประเทศไทยนั้น มีกฎหมายที่ใช้ในการควบคุมการระบายมลพิษทาง อากาศอยู่หลายฉบับแต่กฎหมาย ต่าง ๆ นั้นขาดการปรับปรุงให้เกิดความทันสมัย อาทิ กฎหมายการควบคุมสาร VOCs ยังมีการก าหนด ค่ามาตรฐานในการปล่อยแบบรายชนิด มีเพียงการควบคุมสาร VOCs โดยรวม (Total VOCs) ส่งผลให้ ปริมาณมลพิษทางอากาศโดยรวมเกินค่ามาตรฐานแม้ว่าโรงงานจะปฏิบัติตามกฎหมายแล้วก็ตามแต่เมื่อ แต่ละโรงงานมีการปล่อยมลพิษสูงสุดตามมาตรฐานที่กฎหมายก าหนดพร้อมกันหลายโรงงานก็จะส่งผล ให้มลพิษโดยรวมในสิ่งแวดล้อมมีค่าสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการด าเนินการของภาครัฐที่มีการออก กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแบบเชิงรับมากกว่า เชิงรุก คือเมื่อเกิดเหตุการณ์ด้านมลพิษทางอากาศที่รุนแรงจึงมาก าหนดมาตรการป้องกันและออกเป็น กฎหมายขึ้น และส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงาน ภาครัฐเท่าที่ควร มีการลักลอบปลดปล่อยมลพิษทางอากาศที่ช่วงเวลาที่หน่วยงานภาครัฐมิได้ท าการตรวจสอบ ท าให้ประชาชนโดยรอบของพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น๑๕๖ ในปัจจุบันกฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นการควบคุมที่แหล่งก าเนิดแต่ละแหล่ง เมื่อแหล่งก าเนิดมลพิษทางอากาศจากภาคาอุตสาหกรรม ปิโตรเคมีอยู่ในพื้นที่เดียวกันท าให้ปริมาณการระบายมลพิษทางอากาศในภาพรวมค่อนข้างมีปริมาณมาก ท าให้เกิดเป็นความขัดแย้ง เพราะต่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเลียมมีการปฏิบัติตามกฎหมายก็ยังไม่ สามารถควบคุมค่าความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศในสิ่งแวดล้อมได้อยู่ดี เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มี กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จ าเพาะเจาะจง ในพื้นที่นั้น ๆ มีเพียงกฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศที่บังคับใช้โดยทั่วกันทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของกฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ของประเทศไทย๑๕๗ การควบคุมการปล่อยมลพิษจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้น การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปด้วย ความยากล าบาก ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ และเจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากการเข้าไปตรวจติดตาม ในแหล่งก าเนิดมลพิษ ต้องใช้ทั้งก าลังคนและงบประมาณ ซึ่งไม่เพียงพอกับจ านวนของแหล่งก าเนิด ๑๕๕ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมกรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด, file:///C:/Users/ANFIELD/Downloads/forensicadmin,+%7B$userGroup%7D,+Paper04-Vol.7- No.1-2021%20(8).pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๕๖ การวิเคราะห์กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจาก ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, https://repository.nida.ac.th/bitstream/handle/662723737/3772/ b199701 e.pdf?sequence=4&isAllowed=y, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๑๕๗ เพิ่งอ้าง
๑๙๑ มลพิษในพื้นที่ โดยบางพื้นที่สามารถติดตามได้ในส่วนน้อย และประเด็นของการเมืองส่วนท้องถิ่นที่ใช้ วิธีการประนีประนอมในการบริหารจัดการ ท าให้ยากแก่การประเมินผลในการใช้กฎหมายได้ในภาพรวม๑๕๘ การบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ของประเทศไทยยังไม่มีระบบติดตามตรวจสอบที่ดีเพียงพอท าให้เมื่อมีการลักลอบปลดปล่อยมลพิษ ทางอากาศออกมา หน่วยงานผู้ท าหน้าที่ติดตามตรวจสอบไม่สามารถทราบว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้น มีการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าในบางครั้งประเทศไทยมีกฎหมายการ ควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศที่มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง แต่ยังขาดการบังคับใช้อย่างจริงจัง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ โรงงานที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมจะมีการติดตามตรวจสอบจาก เจ้าหน้าที่การนิคมอย่างเข้มงวดในการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศ ในขณะที่โรงงานที่ตั้งอยู่นอก พื้นที่การนิคมจะมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐเป็นระยะ ท าให้มีความเข้มงวดที่น้อยกว่า อีกทั้ง เมื่อเกิดการลักลอบปลดปล่อยมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐมีบทลงโทษ ในลักษณะประนีประนอม ให้เวลาในการปรับปรุง แก้ไข ท าให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม่เกรงกลัว ต่อกฎหมายดังกล่าวเท่าที่ควร๑๕๙ การออกกฎหมายการควบคุมมลพิษทางอากาศไม่เพียงอาศัยการจัดการที่ปลายปล่องเท่านั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือและการส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพ เช่น การลดภาษี ให้สิทธิประโยชน์ในการ ลงทุนในเรื่องของการจัดการมลพิษ การปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดมลพิษทางอากาศ กฎหมายต่าง ๆ ที่มีผลบังคับในการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม ทั้งสิ้นบทบาทหน้าที่หลักในการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมอ านาจหน้าที่ โดยตรงนั้นขึ้นอยู่กับกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ออกกฎหมาย แต่ในข้อก าหนดกฎหมายการควบคุม การระบายมลพิษทางอากาศบางข้อก าหนดนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ได้เป็นผู้ออกกฎหมาย ท าให้ในบางครั้งเกิดความทับซ้อนของอ านาจหน้าที่ในการ ออกกฎหมาย ซึ่งกฎหมายที่ออกโดยกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) จะเป็นกฎหมายที่มีผล บังคับใช้กับโรงงานอุตสาหกรรมโดยตรง ในขณะที่กฎหมายที่ออกโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) เป็นกฎหมายเชิงส่งเสริมสนับสนุนมากกว่าที่จะมีบทบาทบังคับในการ ควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม มีข้อสังเกตว่าหน่วยงานภาครัฐกระทรวงอุตสาหกรรมไม่มีบทบาทหลักในการออกข้อก าหนด กฎหมายต่าง ๆ ด้านควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศ ทั้งที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้น ากฎหมาย มาบังคับใช้โดยตรงแต่ผู้ท าหน้าที่ออกกฎหมายหลักในการควบคุมมลพิษเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมท าให้เกิดความไม่สอดคล้องในการออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย๑๖๐ ๑๕๘ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อ กรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กันยายน ๒๕๖๕ ๑๕๙ การวิเคราะห์กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศ จากภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, https://repository.nida.ac.th/bitstream/handle/662723737/3772/ b199701e.pdf?sequence=4&isAllowed=y, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕ ๑๖๐ อ้างแล้วเชิงอรรถที่ ๑๒๗
๑๙๒ ปัญหาด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมและการบังคับใช้กฎหมายยังไม่สามารถจัดการกับปัญหา ที่เกิดขึ้นได้จริง น าไปสู่ความขัดแย้งระหว่างขุมชน ภาคเอกชน และภาครัฐ โดยประชาชนในพื้นที่ มาบตาพุดได้รวมตัวกันยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อศาลปกครองระยอง ซึ่งศาลปกครอง ได้พิพากษาให้ประกาศให้ท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดทั้งหมดเป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งภายหลัง การประกาศเขตควบคุมมลพิษดังกล่าว ภาครัฐต้องด าเนินการจัดท าแผนปฏิบัติการเพื่อลดและและขจัด มลพิษในเขตควบคุมมลพิษตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๓๕ บัญญัติไว้ ท าให้เห็นบทบาทของศาลปกครองในฐานะศาลที่มีอ านาจในการพิจารณาคดีปกครอง ด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนาหลักกฎหมายและวางบรรทัดฐานในคดีสิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะก้าวหน้า ในแง่ของการขยายขอบเขตการคุ้มครองสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมให้กว้างขวางขึ้น คดีประกาศเขตควบคุมมลพิษ ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดถือเป็นคดีที่เป็นผลงานส าคัญที่แสดงถึงความก้าวหน้าในกระบวนการ ยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันกลับถูกละเลยและขาดการต่อยอดจากสังคมไทยแม้จะเคยพยายาม ตั้งศาลสิ่งแวดล้อมของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เรื่องแนวทางการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมขึ้นเป็นศาลยุติธรรม เพื่อพัฒนานิติรัฐและประชาธิปไตยด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้การแก้ไขปัญหาคดีสิ่งแวดล้อมเบ็ดเสร็จ ในศาลเดียวแต่การด าเนินการดังกล่าวต้องหยุดชะงักและยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร๑๖๑ ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและการบังคับโทษ โดยการบังคับใช้กฎหมายและบังคับโทษในพื้นที่ ไม่มีความชัดเจน ตลอดจนมีข้อจ ากัดในตัวบทกฎหมายสิ่งแวดล้อมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน อุตสาหกรรมหลายประการ เจ้าพนักงานของรัฐไม่สามารถท างานหรือใช้ดุลพินิจที่ถูกต้องตามหลักการ เนื่องจากกลัวความผิดพลาดหรือถูกฟ้องร้องหรือเพิกถอนค าสั่งทางปกครอง ประกอบกับข้อจ ากัดในเชิง โครงสร้างและทรัพยากรหลายประการ เช่น เรื่องงบประมาณ การแทรกแซงจากภาคการเมืองหรือระบบ บริหารจัดการภาครัฐที่ไม่ถูกต้องตามหลักนิติกรรม ท าให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรื้อรังในพื้นที่มาบตาพุดได้๑๖๒ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย๑๖๓ ได้สรุปปัญหาด้านกฎหมายและการบังคับใช้ กฎหมายในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง มีดังต่อไปนี้ ๑) มลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผู้ประกอบการมุ่งสร้างผลก าไรให้กับองค์กรจนไม่ค านึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร ผู้ประกอบการธุรกิจมักคิดว่าการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมเป็นภาระและเป็นหน่วยที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงมองประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในเชิงลบ และมักละเลยหรือไม่ให้ความส าคัญ ๑๖๑ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมกรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด, file:///C:/Users/ANFIELD/Downloads/forensicadmin,+%7B$userGroup%7D,+Paper04- Vol.7-No.1-2021%20(8).pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๖๒ เพิ่งอ้าง ๑๖๓ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕
๑๙๓ ๒) ปัญหาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๕๙ ให้อ านาจคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในการประกาศเขตควบคุมมลพิษ แต่มิได้มีบทบัญญัติให้อ านาจคณะกรรมการในการประกาศยกเลิกเขตควบคุมมลพิษไว้โดยตรง๑๖๔ ๓) ปัญหาการออกกฎหมาย PRTR ถ้าจะประกาศ พ.ร.บ. PRTR ขอให้เป็นไปตามกลุ่มประเทศ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organizationfor Economic Co–operation and Development : OECD) อย่าออกมาโดยไม่เกิดประโยชน์และในอนาคตอย่าให้เราต้องถูกกีดกัน ทางการค้าผ่าน OECD ๔) โครงการ PRTR ยังเป็นโครงการภาคสมัครใจ และไม่มีความชัดเจนว่าผลจากการศึกษา ได้ไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายอย่างไร ๕) ปัจจุบันการควบคุมสาร VOCs จากแหล่งก าเนิดของภาคอุตสาหกรรมที่ก าหนดยังเน้นจาก การรั่วซึมและปล่องระบายเป็นหลัก ในส่วนของแหล่งก าเนิดอื่น ๆ นั้นยังเป็นลักษณะแนวทาง หรือข้อแนะน าที่ยังไม่ได้บังคับใช้เป็นกฎหมายที่ชัดเจน เป็นแบบสมัครใจ หรือเน้นความร่วมมือ ท าให้การควบคุมสาร VOCs ยังไม่ครอบคลุม ทั้งหมด ๖) ค่ามาตรฐานหรือการบังคับใช้กฎหมายค่ามาตรฐานสาร VOCs ในบรรยากาศเฉลี่ย ในเวลา ๑ ปีเข้มงวดเกินไป มีความเข้มงวดมากกว่าอีกหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้แคนาดา แอฟริกาใต้ รวมถึงสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) หรือค่ามาตรฐานสาร ๑,๓-บิวทาไดอีน พบว่า ค่ามาตรฐานของไทย (ค่าเฉลี่ย ๑ ปี ไม่เกิน ๐.๓๓ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) มีความเข้มงวดกว่า ประเทศนิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักรท าให้การด าเนินการลดสาร VOCs ภาคอุตสาหกรรม โดยใช้ค่ามาตรฐานที่ก าหนดอยู่ในปัจจุบันเป็นเกณฑ์นั้นเป็นไปได้ยาก ปัจจุบันการควบคุมสาร VOCs จากแหล่งก าเนิดของภาคอุตสาหกรรมที่ก าหนดยังเน้นจากการรั่วซึมและปล่องระบายเป็นหลัก ในส่วนของแหล่งก าเนิดอื่น ๆ นั้นยังเป็นลักษณะแนวทาง หรือข้อแนะน าที่ยังไม่ได้บังคับใช้เป็นกฎหมาย ที่ชัดเจน เป็นแบบสมัครใจ หรือเน้นความร่วมมือ ท าให้การควบคุมสาร VOCs ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ๗) ปัจจุบันมีกฎหมายปกติเพื่อใช้ในการควบคุมและจัดการมลพิษ โดยมุ่งเน้นการจัดการมลพิษ ที่แหล่งก าเนิด ได้แก่ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒, พระราชบัญญัติผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒, พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรฐานควบคุมการปล่อยมลพิษจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผ่านมาการบังคับใช้ กฎหมายเป็นไปด้วยความยากล าบาก ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากการเข้าไป ตรวจติดตามในแหล่งก าเนิดมลพิษ ต้องใช้ทั้งก าลังคนและงบประมาณ ซึ่งไม่เพียงพอกับจ านวนของ แหล่งก าเนิดมลพิษในพื้นที่ โดยบางพื้นที่สามารถติดตามได้ในส่วนน้อย และประเด็นของการเมืองส่วนท้องถิ่น ที่ใช้วิธีการประนีประนอมในการบริหารจัดการ ท าให้ยากแก่การประเมินผลในการใช้กฎหมายได้ในภาพรวม ๘) การที่กฎหมายก าหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง เป็นหน่วยปฏิบัติการตามแผนลดและขจัดมลพิษเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ผ่านกลไกของคณะกรรมการและ/หรือคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ เช่น คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คณะกรรมการควบคุมมลพิษ ไม่มีความต่อเนื่อง ขาดงบประมาณและการติดตามตรวจสอบผลการด าเนินการ ตามแผนฯ อย่างจริงจัง ๑๖๔ เพิ่งอ้าง
๑๙๔ ๙) การก าหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้ง สาร ๑,๓-บิวทาไดอีน ไม่เกิน ๑๖๐ กิโลกรัม/ปี/โรงงาน จะเป็นข้อจ ากัดในการด าเนินการผลิตที่ก าลังสูงสุดของบริษัทฯ และส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก รวมถึงผลกระทบในเรื่องการระงับการร่วมลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ทั้งนี้หากบริษัทฯ ไม่สามารถด าเนินการผลิตได้เต็มที่จะท าให้ประเทศสูญเสียรายได้จากการส่งออกกับอาจจะส่งผลกระทบ ต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย อนึ่ง อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงิน ลงทุนสูง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ให้ความส าคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติตามข้อก าหนดในเรื่อง ดังกล่าวที่ได้รับการอนุมัติจากส านักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างเคร่งครัด การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานโดยมิได้มีการชี้แจงให้นักลงทุนทราบก่อนการตัดสินใจลงทุน และไม่ค านึงถึงผลกระทบต่อนักลงทุนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อการประกอบกิจการรวมถึงต่อความเชื่อมั่น ของนักลงทุนต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง ๑๐) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดท า (ร่าง) ประกาศกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ก าหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งสาร ๑,๓ - บิวทาไดอีนจากโรงงานอุตสาหกรรมเคมี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๖๑ และบริษัท เจเอสอาร์ บีเอสที อิลาสโตเมอร์ จ ากัด ชี้แจงข้อมูลการประกอบกิจการ และข้อจ ากัดของรวมถึงผลกระทบที่ได้รับจากร่างประกาศกระทรวงดังกล่าว กรมโรงงานอุตสาหกรรม พิจารณาแล้วเห็นว่ามีข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปจากเดิม จึงเห็นควรทบทวนการก าหนดอัตราการระบาย สาร ๑,๓-บิวทาไดอีน เพื่อให้เป็นไปตามหลักวิชาการโดยค านึงถึงความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้วย ๑๑) ที่มาและข้อสังเกตการก าหนด(ร่าง)มาตรฐานอัตราการระบายสาร ๑,๓-บิวทาไดอีน - คพ.ใช้ Model ศึกษาการกระจายของสาร ๑,๓-บิวทาไดอีน ในพื้นที่มาบตาพุด - ความสามารถในการรองรับสาร ๑,๓-บิวทาไดอีนในพื้นที่ (Carrying Capacity) เท่ากับ ๕,๓๐๐กิโลกรัม/ปีมีข้อสังเกต ดังนี้ - คพ.ไม่ได้ใช้ค่านี้ในการด าเนินการต่อ - ใช้ข้อมูลการระบายของโรงงานในพื้นที่ในรายงาน EIA - ใช้เปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ ๘๐ ของข้อมูลการระบาย=๑๘๐ กิโลกรัม/ปีก าหนดเป็นมาตรฐาน ของแต่ละโรงงาน มีข้อสังเกต ดังนี้ - ไม่ค านึงถึงความแตกต่างของกระบวนการผลิต ปริมาณการเก็บกักสาร ๑,๓-บิวทาไดอีน ของแต่ละโรงงาน - ซ้ าซ้อน/ไม่สอดคล้องกับค่าการระบายที่ได้รับพิจารณา - ใช้ค่าการระบายจากรายงาน EIA ๑ ปีมาก าหนดมาตรฐานซึ่งบางโรงงานเป็นโรงงานใหม่ ที่ยังด าเนินการผลิตไม่เต็มตามแผน - โรงงานแต่ละแห่งมีก าลังการผลิตต่างกันในแต่ละปีเป็นปัญหาในการปฏิบัติ เมื่อใช้ค่าต่ าสุด ของอุปกรณ์ตรวจวัดมาใช้ค านวณยังได้ค่าเกินค่ามาตรฐานที่ก าหนด - ยังไม่มีเกณฑ์ค านวณการระบายที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๑๒) กลุ่มฯ ปิโตรเคมีสนับสนุนการใช้มาตรการ Code of Practice (CoP) ตามประกาศของ กรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบไปด้วยมาตรการควบคุมการระบายไอสารอินทรีย์ระเหยจากการ ประกอบกิจการในระหว่างที่มีการซ่อมบ ารุง การรายงานการใช้หอเผาทิ้ง และมาตรการการควบคุม
๑๙๕ การระบายสาร VOCs จากถังเก็บกัก เพื่อควบคุมการปลดปล่อยสาร ๑,๓-บิวทาไดอีน จากกิจการที่ไม่ใช่ กระบวนการผลิตปกติ ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ตรงจุด ควบคู่ไปกับมาตรการ EIA โดยโรงงานอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่มาบตาพุด และพื้นที่เชิงเนินได้จัดท าโครงการร่วมมือด าเนินการโครงการน าร่อง เพื่อจัดการการระบายไอสาร ๑,๓ - บิวทาไดอีน โดยใช้มาตรการ COP ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงยืนยันความตั้งใจ เพื่อสร้างความร่วมมือจากสมาชิกในการ ด าเนินธุรกิจควบคู่กับค านึงถึงสิ่งแวดล้อมและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกรุณาและความเป็นธรรม ในการใช้มาตรการทางกฎหมาย รวมถึงการพิจารณาใช้แนวทางที่เหมาะสมและปฏิบัติได้จริงในการ จัดการการระบายสาร VOCs ๑๓) อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความหลากหลายในกระบวนการท าให้แต่ละโรงงานมีปริมาณ การผลิต การใช้ และปริมาณการกักเก็บสาร ๑,๓-บิวทาไดอีนที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น การก าหนด มาตรฐานอัตราการระบายเท่ากันทุกโรงงาน ๑๖๐ กิโลกรัม/ปี ตาม (ร่าง) ประกาศกระทรวงฯ จึงไม่เหมาะสม และเกิดปัญหาในการปฏิบัติ เนื่องจากไม่เป็นธรรมกับโรงงานที่มีก าลังการผลิต/ใช้/กักเก็บ แตกต่างกัน และไม่สอดคล้องกับค่าการระบายที่ได้รับการพิจารณาจากการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (EIA) ของแต่ละโครงการ ๑๔) ปัญหาการใช้มาตรการภายใต้หลักการใครท าใครจ่าย ๑๕) ปัญหาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๕๙ ให้อ านาจคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในการประกาศเขตควบคุมมลพิษ แต่มิได้มีบทบัญญัติให้อ านาจคณะกรรมการในการประกาศยกเลิก เขตควบคุมมลพิษไว้โดยตรง ๑๖) สภาพบังคับของกฎหมายของการประกาศเขตควบคุมมลพิษ มาตรา ๖๐ ก าหนดให้ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีหน้าที่จัดท าแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษนั้นเสนอต่อ ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) และ ทสจ. ท าการรวมไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัดภายใต้การสั่งการของ ผวจ. แต่ในทางปฏิบัติจริงที่ผ่านมา อปท. หลายแห่ง ในพื้นที่ ยังขาดความพร้อมในการบริหารจัดการมลพิษตามที่ก าหนดไว้โดยที่ ทสจ. สสภ. และ คพ. ท าหน้าที่ ในการบริหารจัดการมลพิษในพื้นที่แทนเจ้าพนักงานท้องถิ่นในภาพรวม ๑๗) การควบคุมการปล่อยมลพิษจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้น การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปด้วย ความยากล าบาก ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ และเจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากการเข้าไปตรวจติดตาม ในแหล่งก าเนิดมลพิษ ต้องใช้ทั้งก าลังคนและงบประมาณ ซึ่งไม่เพียงพอกับจ านวนของแหล่งก าเนิด มลพิษในพื้นที่ โดยบางพื้นที่สามารถติดตามได้ในส่วนน้อย และประเด็นของการเมืองส่วนท้องถิ่นที่ใช้ วิธีการประนีประนอมในการบริหารจัดการ ท าให้ยากแก่การประเมินผลในการใช้กฎหมายได้ในภาพรวม วันนี้๑๔ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๖๕ เครือข่ายประชาชนคนรักระยองยื่นหนังสือข้อเสนอถึง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ๑๖๕ ขอให้เร่งรัดการออกกฎหมายเฉพาะของเขตควบคุมมลพิษ ให้สามารถก าหนดบทลงโทษและก าหนดให้เก็บค่าใช้จ่ายเพื่อการป้องกันและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจากผู้ที่ก่อ มลพิษในเขตควบคุมมลพิษ และก าหนดวิธีการใช้งบประมาณที่สามารถด าเนินการเพื่อลดและขจัดมลพิษ ๑๖๕ เค รื อข่ า ย ฯคน รั ก ร ะย อง ยื่ น ข้ อเ รี ย ก ร้ องบ อ ร์ ด ส ว ล . จั ด ก า ร ก่ อนเดิ นหน้ า EEC, https://www.thereporters.co/environment/1402221340/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๕
๑๙๖ ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษได้และเร่งรัดการออกกฎหมายและบังคับใช้เพื่อก าหนดแนวป้องกันโดยรอบ (Protection Strip) เพื่อเว้นระยะห่างระหว่างเขตโรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชน และแนวพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ระหว่างพื้นที่อุตสาหกรรมกับพื้นที่ชุมชน/พื้นที่ท่องเที่ยว เนื่องจากมีการส่งเสริมการลงทุน ในจังหวัดระยอง และที่ส าคัญคือต้องเร่งรัดให้ประกาศ พระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการ เคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (Pollutant Release and Transfer Registers : PRTR) ซึ่งมีความส าคัญ ต่อการแก้ปัญหาเขตควบคุมมลพิษ และการบรรลุเป้าหมายของแผนการปฏิรูปประเทศและแผนยุทธศาสตร์ชาติ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๑๕๓๕ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๕๙ ให้อ านาจคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แห่งชาติในการประกาศเขตควบคุมมลพิษ แต่มิได้มี บทบัญญัติให้อ านาจคณะกรรมการในการประกาศยกเลิกเขตควบคุมมลพิษไว้โดยตรง ซึ่งเมื่อพิจารณา ตามหลักกฎหมายแล้วผู้มีอ านาจในการออกกฎก็มีอ านาจในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกกฎด้วย ดังนั้น ในกรณีนี้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจึงมีอ านาจในการประกาศยกเลิกเขตควบคุมมลพิษ อย่างไรก็ตาม มีข้อสงสัยว่าบทบัญญัติดังกล่าวนี้มีข้อสังเกตว่าการพิจารณาว่าท้องที่ที่จะประกาศเป็นเขต ควบคุมมลพิษนั้นจะต้องเป็นท้องที่ที่ “มีปัญหามลพิษซึ่งมีแนวโน้มที่จะร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ อนามัยของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม” นั้น มีขอบเขตและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร และหากในเขตควบคุมมลพิษดังกล่าวได้ใช้มาตรการ เพื่อควบคุม ลด และขจัดมลพิษ จนกระทั่งปัญหามลพิษกลับคืนสู่สภาพที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะมีอ านาจในการประกาศยกเลิกเขตควบคุมมลพิษหรือไม่ และมีบทบัญญัติที่ให้อ านาจองค์กรหรือหน่วยงานใดในการประกาศยกเลิกเขตควบคุมมลพิษหรือไม่ ภาคอุตสาหกรรมขอให้ชะลอการออกกฎหมายล าดับรองหรือกฎหมายลูกที่ก าหนดขีดความสามารถ ในการรองรับสารเบนซีนของพื้นที่ (Carrying Capacity) โดยใช้ค่าความเข้มข้นของสารเบนซีนในบรรยากาศ เฉลี่ย ๑ ปีไม่เกิน ๑.๗ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร๑๖๖ ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษเป็นผู้ก าหนด ในสภาวะที่คนไทยมีอัตราเสี่ยงจากโรงมะเร็งอันมีสาเหตุจากสารเบนซีน ๑ : ๑๐๐,๐๐๐ คน (WHO ได้ก าหนด ค่ามาตรฐานของสารเบนซีนในบรรยากาศเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมงไว้ดังนี้คือค่าความเข้มข้นสารเบนซีนในบรรยากาศ ๑๗ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร อัตราเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ๑ : ๑๐,๐๐๐ คน ค่าความเข้มข้นสารเบนซีน ในบรรยากาศ ๑.๗ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร มีอัตราเสี่ยงจากโรงมะเร็ง ๑ : ๑๐๐,๐๐๐ คน และค่า ความเข้มข้นสารเบนซีนในบรรยากาศ ๐.๑๗ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร มีอัตราเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ๑ : ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ที่มา : กรมควบคุมมลพิษ) ๑๖๖ คู่มือมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม, https://monitor.deqp.go.th/documents/1629881850 725px1.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๕
๑๙๗ ๔.๑๓.๗ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับปรับปรุง) ในขั้นตอนและวิธีการการด าเนินการปฏิรูปได้ก าหนดให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลัก ในการท างานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในการด าเนินการ ดังนี้๑๖๗ แผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับปรับปรุง) ในกิจกรรมปฏิรูปที่ ๔ คือการปฏิรูประบบการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ กรณีเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง (ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๕) ขั้นตอนที่ ๑ ทบทวนผลจากการปฏิบัติตามมาตรการของเขตควบคุมมลพิษ และจัดล าดับ ความส าคัญของผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตควบคุมมลพิษโดยให้มีการทบทวนปัจจัยอ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ ระยะเวลาด าเนินการ ๑ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔) ขั้นตอนที่ ๒ เพิ่มกลไกในการด าเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัดในการเป็นผู้ก ากับดูแล การด าเนินการของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๖๐ ตามแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ โดยการเพิ่มรูปแบบและวิธีการของการสั่งการต่อเจ้าหน้าที่รัฐในส่วนภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินแผนงาน เพื่อให้สามารถด าเนินการได้อย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ ระยะเวลาด าเนินการ ๑ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔) แต่ปรากฏว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักไม่ได้ ด าเนินการตามที่แผนฯก าหนดไว้๑๖๘ การด าเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ที่ผ่านมาประกอบด้วยหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจ านวนมากและมีการบริหารจัดการ โดยอาศัยคณะกรรมการ อนุกรรมการและคณะท างานจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบการ บริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ได้แก่ - องค์กรระดับภาพรวม ๑) คณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการในเขตควบคุมมลพิษ (ตามค าสั่งคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐) โดยมีปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ๒) คณะอนุกรรมการก ากับดูแลและติดตามผลการด าเนินงานพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง (ตามค าสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐) โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานอนุกรรมการ ๓) คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการด าเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ (ผลการประชุม คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ๑๖๗ แผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับปรับปรุง) ในกิจกรรมปฏิรูปที่ ๔ คือการปฏิรูประบบการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ กรณีเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง (ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๕) ๑๖๘ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน ๒๕๖๕
๑๙๘ ๔) คณะอนุกรรมการพหุภาคีเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษและพัฒนาคุณภาพชีวิตในพื้นที่จังหวัดระยอง (ค าสั่ง กกวล.ที่ ๑๒/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓) ๕) คณะท างานประสานการด าเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ฉบับปรับปรุง) กิจกรรมปฏิรูประบบการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ กรณีเขต ควบคุมมลพิษมาบตาพุด (โดยอนุกรรมการจัดการมลพิษ ๒๕๖๔) ๖) คณะกรรมการก ากับการด าเนินการตามแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษของโรงงาน อุตสาหกรรมในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และท่าเรืออุตสาหกรรมพื้นที่มาบตาพุด (โดย กนอ. พ.ศ. ๒๕๕๘) ๗) คณะอนุกรรมการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้คณะอนุกรรมการ สนับสนุนการด าเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดระยอง (โดย สพกอ. พ.ศ. ๒๕๖๒) - องค์กรด้านการจัดการน้ าเสีย ๘) คณะกรรมการบูรณาการระบบบ าบัดน้ าเสียในพื้นที่จังหวัดระยอง (จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๖๓) - องค์กรด้านคุณภาพอากาศ ๙) คณะกรรมการบริหารโครงการร่วมมือด าเนินโครงการน าร่อง เพื่อจัดการการระบาย ไอสาร ๑,๓ บิวทาไดอีน โดยใช้มาตรการ CoP (คณะท างานร่วมผู้ประกอบการ) ๑๐) คณะกรรมการติดตามตรวจสอบและแก้ไขปัญหาสาร VOCs ในพื้นที่ มาบตาพุด เขตประกอบการไออาร์พีซี และบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง (จังหวัดระยอง พ.ศ.๒๕๕๘) ๑๑) คณะท างานติดตามตรวจสอบและแก้ไขปัญหาสาร VOCs ในพื้นที่ มาบตาพุด และบริเวณ ใกล้เคียงจังหวัดระยอง ภายใต้คณะกรรมการติดตามตรวจสอบฯ ข้อ ๗) (มี ทสจ. ระยองเป็นประธาน) - องค์กรด้านอุบัติภัย ๑๒) คณะท างานทบทวนแผนปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (ERP) (โดย กนอ. พ.ศ. ๒๕๕๓) ๑๓) หน่วยตอบโต้เหตุฉุกเฉินสารเคมีและวัตถุอันตราย (สสภ.๑๓) ๑๔) ส านักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง - หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑๕) คณะอนุกรรมการการติดตามรายงานผลการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณ ใกล้เคียงจังหวัดระยอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง ประกอบด้วย หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นหลายท้องถิ่น ซึ่งแต่ละท้องถิ่นมีศักยภาพที่แตกต่างกัน ทั้งบุคคลากรและงบประมาณ ๑) หน่วยงานส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม ขนส่งจังหวัด ๒) หน่วยงานส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดระยอง ส านักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดระยอง อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ส านักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ ๑๓ ส านักงาน เจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยอง ๓) หน่วยงานส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาลนครระยอง เทศบาลเมืองมาบตาพุด เทศบาลต าบลเนินพระ เทศบาลต าบลทับมา เทศบาลต าบลมาบข่า เทศบาลต าบลมาบข่าพัฒนา เทศบาลเมืองบ้านฉาง เทศบาล ต าบลบ้านฉาง และองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง
๑๙๙ ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยองต้องประสบปัญหาต่าง ๆ ได้แก่๑๖๙ ๑) หน่วยงานภาครัฐขาดการสื่อสารกับภาคประชาชนเกี่ยวกับการจัดการสาร VOCs ทั้งหมด ที่ด าเนินการอยู่ในพื้นที่และหน่วยงานก ากับดูแลที่มีความหลากหลายท าให้ยากในการจัดการ ๒) วิธีการได้มาของข้อมูลการระบายสาร VOCs ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (วิธีการตรวจวัด การค านวณค่าสัมประสิทธิ์ฯ) ใช้แนวคิดหรือหลักการที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๓) โรงงานต้องส่งรายงานผลการตรวจวัดไปสู่หลายหน่วยงานที่ก ากับดูแล โดยมีรูปแบบรายงาน รวมถึงรอบการรายงานที่ไม่ตรงกัน ท าให้เสียเวลาในการจัดท าและส่งรายงานหลายครั้ง ๔) หน่วยงานก ากับดูแลที่มีความหลากหลายท าให้ยากในการจัดการ ๕) ขาดการการพัฒนาและส่งเสริมความรู้การบริหารจัดการมลพิษเชิงพื้นที่ทั้งที่เป็นความจ าเป็น ในปัจจุบันและในอนาคตให้แก่เจ้าหน้าที่และบุคลกรภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน (ครอบคลุมทั้งฝ่ายบริหารและผู้ปฏิบัติงาน) รวมถึงภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ๖) ขาดการพัฒนาและการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ภายในประเทศให้ทันสมัยในการจัดการ สาร VOCs ต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม การด าเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ที่ผ่านมาประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจ านวนมากและมีการบริหารจัดการโดยอาศัย คณะกรรมการ อนุกรรมการและคณะท างานอีกจ านวนมาก ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย,รายงานว่าคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ มีไม่น้อยกว่า ๑๓ คณะ และหน่วยงานย่อย ส่งผลให้ การด าเนินการประสบปัญหาการบูรณาการระหว่างคณะอนุกรรมการและคณะท างานต่าง ๆ รวมทั้ง ปัญหาการก ากับ ติดตามประเมินผลการด าเนินการตามแผนฯ และขาดการทบทวนและการปรับปรุง แผนปฏิบัติการฯ ที่ไม่สามารถด าเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ได้๑๗๐ ที่ผ่านมามีการตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษโดยมีรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แต่แผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษกลับไม่ได้รับความร่วมมือจากโรงงานต่าง ๆ เท่าที่ควร อีกทั้งรัฐบาลยังค านึงแต่การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นส าคัญ การเดินหน้าขยายการลงทุนปิโตรเคมีระยะ ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง๑๗๑ กิจกรรมปฏิรูปประเทศการปฏิรูประบบการบริหารจัดการเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง มีหน่วยงานร่วมด าเนินการตามแผนมีจ านวนมากถึง ๑๓ หน่วยงาน ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์การจัดการน้ าเสีย ส านักงาน อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง กองบังคับการต ารวจภูธรจังหวัดระยอง ส านักงานขนส่งจังหวัดระยอง ๑๖๙ โครงการศึกษาการจัดการมลพิษทางอากาศในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน, http://eecmtp.onep.go.th/report/executivesummary-th-2020.pdf,สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑๗๐ รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลเพื่อยกเลิกเขตควบคุมมลพิษตามแผนการปฏิรูปประเทศ เสนอต่อกรมควบคุมมลพิษ จัดท าโดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กันยายน ๒๕๖๕ ๑๗๑ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม กรณีศึกษาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด, file:///C:/Users/ANFIELD/Downloads/forensicadmin,+%7B $userGroup% 7D, +Paper04-Vol.7-No.1-2021%20(8).pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕