The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tuahuay, 2022-11-01 02:43:10

รายงานการพิจารณาศึกษา ปัจจัยสู่ความสำเร็จของเศรษฐกิจฐานราก โดยพิจารณาจากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี

สำนักกรรมาธิการ ๑

รายงานการศกึ ษา

ปัจจยั สคู่ วามสาเรจ็ ของเศรษฐกิจฐานราก
โดยพจิ ารณาจากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครฐั

และเอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี

โดย
คณะกรรมาธกิ ารการพาณชิ ย์และการอุตสาหกรรม

วุฒิสภา

กลุม่ งานคณะกรรมาธกิ ารเศรษฐกิจ การพาณชิ ย์ และอุตสาหกรรม
สานกั กรรมาธกิ าร ๑

สานกั งานเลขาธกิ ารวุฒสิ ภา



b~il'i ~1tJ~1'Urn~Pim~ni~tJ b~eN "\l'il~tJ~m1:u~1b~lil"lJ€J~Lm~~nlil~1'U~1nLliltJVilil1~ru11il1f1'U1m.ntJ
···········-··················-···-······-·--· --4IIJI- - - · · - - - · - - - · · · · · · - · · - ·····-··-···---·--··-···-·

m1ub~tJ'U '\.J~~~1u:1u'~U~1•~uG~'~f".rlnJ:u1~G'f.n1
••
fl~~~ (9)~ (G'flJtJG'f1l1ruu~~'hufl~~~VI~~) l'UeJ~fl1~~ (9)0
v
n'UtJ1tJ'U ~<tb~ ~'\.J~~"lJ:uHi'ii:u~~~flru~n~~:u16m~G'!1l1ru'\.J~~~11~G'f.n1m:uoU'm1~ri'um~'\.J~~"lJ:u
, Ql , q

11•~~G'M!.nn1 vbUu''lU.fl~r<ut~nb~~~:uoU1€61m~~G~'!11l~~1frluG''\f€.JJ~~~(~~1~1~)G'~!~.fnl1rub~~€nJ~V~i:lui1l16~mr~um1w~n1r~'uV"ll~l~~~b1"blfJiU~rfu1r1u~~€nJ~~•G~'vfh1nVlIiml~m:~u
.. Ql , Ql Ql

Vi lil1 ~ ru 1 G'f €l UV11oUm Vllillil~ ~ Vl1€l Pi n~1 b~ €1~11il 1 ~ b~ tJ 1 nun 1 ~~~ bG'f~:U G'!UU G'f~ 'U Vl1€l~w.J 'U1

un 1 ~'Vl1 ru "lJ ~ bb (l ~ €J ~ G'f1VI n ~ ~:u n 1 w):u fl ~ tl~Vl-r'Vl ~~'U V11~U ru ru 1 n 1 ~~w.J 'U 1.flll ru ru 1 VI€1~ ~ 'U
.. , Ql Q.l \J Q.l Q.J

~bbfi .fcul l J U ru ru 1 1 v l t l i G'f1 VI tl lil b~ €J ~~ fl:U i G'f1 VI tl lil b~ €J "lJ:U "lJ'U b"lJ ~ bl"l ~~~tllil Vi bl"l~ fl 1 1:U G'f1:U 1 ~fl
Ql Ql , cU

1'Uf11~bb"ll~<U''U bbfi~f11~blil~tyb~u1~V11~~~G'f1VIm~:u~btl'Ui1~~~€J~~bb11il~€J:u Yilil1~ru1Pin~1 ~1il~1:u

-r nbG'f'U tlbb 'U~ ~'\.J ~'\.J ~~ bbfi ~ bb~'UbblJu Vl.fl1 tJ1~tJV151"11 G'f ~ {"1!1 ~ ~ €l ~1'U'VI'U1~
bLfi ~ d ~ lil n 1 d.J '\.J bVll"l , 'U
'\J
1.1
I II I
bbfi~eJ1'U11il bbfi~~'U 1 ViditJ1oU€J~ ~~flru~m~:u16m~flru~il '\.J~~n€Ju#l1tJ

(9) . 'U1~B.fh~ vi'Um1.n~ru '\.J~~u1'Uflru~n~~:u16m~

.q f'OJ f' I CV f' ~€J~'\.J~~u1'Uflru~m~:u16rn~ fl'U~VI~~
m. 'U1~G'f1T"JUfitJfif1~ru ~1:u~n~ ~€J~'\.J~~51'Uflru~m~:u16m~ fl'U~G'f€1~
'U ~€J~'\.J~~u1'Uflru~m~:u16rn~ fl'U~G'f1:U
~€J~'\.J~~u1'Uflru~m~:u16m~ fl'U~~
. c : l . qQ. Q.l f'
,~. 'U1~G'f1~~ru G'f~bd"ll"ll~'Vl'Uu bfi"lJ,1'Uf11~flru~m~:u16n1~

<> II <> 1~~nflru~m~:u16m~

<t. 'U1tJ"lJ(l~ bbf1dlil'Uiil1 '\.J~~u1'U~'\.J~n~1flru~n~~:u16m~
~'\.J~n~1flru~m~:u16m~
( ~'\.J~n~1flru~m~:u16m~
~'\.J~n~1flru~m~:u16m~
b. 'U1tJ~ru1~VJ6 '\.J~tJ5~~~~~nfi ~'\.J~n~1flru~m~:u16m~
'U
m~:u16m~
~. 'U1tlblil'U '111-litJ~~
m~:u16m~
~ . 'U1tJG'flJ'Vl~ bfltJ~~1'WUfi~
'U m~:u16m~

f'.q .c:i..:::::..cv f'
•~ . 1"11G'fm11il1~tJ'Vlbl"l~G'f:u lil1~1"1~'WV1n~
(9)0 . 'Vlfib€Jf1 1-rru 5'UVJI"11G'f~{lnl"lfi

(9)(9) . 'Vlfib€Jf1 "1'""1'1~ tJ1V"l''VltJ(

(

C9l~ . 'U1tJU~~"lJ1 'Vl~l"l€J1tJf1(l
' "<V
(9)Q1. 'U1~1"i'l'U~'U1
"lltJtJ1~~ru1m~
...
...
(9)~. 'U1tlb1lfitld bm~Lbm

(

C9l!t. 'U1~1ild~'Vl~ ~€Jiil'VltJ1"5"

m~:u16m~

m~:u16m~

...

<V ...

Ulil'U ...

-๒-

บัดนี้ คณะกรรมำธิกำรได้ดำเนินกำรพิจำรณำรำยงำนกำรศึกษำวิจัย เรื่อง “ปัจจัย
สู่ควำมสำเรจ็ ของเศรษฐกิจฐำนรำก โดยพิจำรณำจำกนโยบำยกำรบูรณำกำรหนว่ ยงำนภำครัฐและเอกชน
ตำมยุทธศำสตร์ชำติ ๒๐ ปี” เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอรำยงำนผลกำรพิจำรณำศึกษำเรื่องดังกล่ำว
ต่อวุฒิสภำตำมขอ้ บังคับกำรประชมุ วุฒสิ ภำ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๘

จึงกรำบเรียนมำเพอ่ื โปรดทรำบและนำเสนอรำยงำนของคณะกรรมำธกิ ำรต่อท่ีประชุม
วฒุ ิสภำ ต่อไป

ลงช่ือ อภริ ดี ตนั ตรำภรณ์
(นำงอภิรดี ตนั ตรำภรณ)์

ประธำนคณะกรรมำธกิ ำรกำรพำณิชยแ์ ละกำรอุตสำหกรรม
วฒุ ิสภำ

สำเนำถูกตอ้ ง

(นำยภำสนั ต์ เงำศุภธน) (นำงสำวนริ มล ดวงดำว)
ผชู้ ว่ ยเลขำนกุ ำร ผูช้ ว่ ยเลขำนุกำร

คณะกรรมำธิกำรกำรพำณิชย์และกำรอตุ สำหกรรม คณะกรรมำธกิ ำรกำรพำณิชยแ์ ละกำรอตุ สำหกรรม
วฒุ สิ ภำ วฒุ ิสภำ

ฝำ่ ยเลขำนกุ ำรคณะกรรมำธกิ ำรกำรพำณิชยแ์ ละกำรอตุ สำหกรรม นริ มล พิมพ์
สำนกั กรรมำธกิ ำร ๑ สำนกั งำนเลขำธิกำรวฒุ สิ ภำ ภำสนั ต์ ทำน
โทรศัพท์ ๐ ๒๘๓๑ ๙๑๖๐
โทรสำร ๐ ๒๘๓๑ ๙๑๖๑



คำนำ

การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากทาให้เศรษฐกิจของประชาชน ชุมชน และท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง
มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ อันจะทาให้เกิดการยกระดับมาตรฐานการครองชีพและ
ความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น นาไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้าภายในสังคม
และทาให้เกดิ การพัฒนาและการยกระดับประเทศใหเ้ ปน็ ประเทศรายได้สงู ทมี่ ีการกระจายรายไดอ้ ยา่ งทัว่ ถงึ
เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงใหก้ ับเศรษฐกิจไทย ท่ีผ่านมาประเทศไทยไดร้ ิเริ่มให้มีการนาแนวคิดการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานรากมาใช้ในสร้างงาน สร้างความมั่นคงในอาชีพ การแก้ไขปัญหาความยากจน สร้างรายได้
แก้ปัญหาความเหลื่อมล้า และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจใหแ้ ก่บุคคล กลุ่ม และชุมชน โดยหนว่ ยงาน
ราชการที่เก่ียวข้องได้ดาเนินกิจกรรมและโครงการท่ีหลากหลายภายใต้ภารกิจของหน่วยงาน
แตก่ ารดาเนนิ การท่ีผ่านมาของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยพบทั้งความสาเร็จและความท้าทาย
ในหลากหลายประการ ดังนั้น คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา จึงได้ดาเนินการ
ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ประสบความสาเรจ็ และศึกษาปัญหาอปุ สรรคท่ีเกิดขนึ้
ในการพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากของประเทศไทย เพือ่ จัดทาข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายเพอ่ื การพฒั นาเศรษฐกจิ
ฐานรากให้ประสบความสาเร็จ

ในการจัดทารายงานการศึกษา เรื่อง “ปัจจัยสู่ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานรากโดยพิจารณา
จากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐและเอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” น้ี คณะกรรมาธิการ
มุ่งหวังที่จะนาเสนอข้อเสนอผลการศึกษา และข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์สาหรับหน่วยงานของภาครัฐ
เพื่อนาไปสู่การกาหนดนโยบายและวางกลไกที่เหมาะสมสาหรับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ให้เศรษฐกิจ
ฐานรากของประเทศไทยมีความสามารถในการแขง่ ขนั มคี วามเข้มแขง็ และมีความสามารถในการพึ่งตนเอง
และเปน็ จกั รกลสาคญั ในการพฒั นาเศรษฐกิจในระดับชุมชนและทอ้ งถ่นิ อย่างย่งั ยืนต่อไป

คณะกรรมาธกิ ารการพาณชิ ยแ์ ละการอตุ สาหกรรม วุฒสิ ภา



สารบัญ หนา้

คานา ข
สารบัญ จ
สารบัญภาพ ฉ
สารบัญตาราง ช
บทสรุปสาหรบั ผู้บรหิ าร ฐ
รายงานการศึกษา
บทท่ี 1 บทนา 1
2
1.1 ความเป็นมาและความสาคญั 2
1.2 วตั ถปุ ระสงคใ์ นการศึกษาวิจยั 3
1.3 ขอบเขตในการศกึ ษา 5
1.4 ระเบยี บวธิ วี ิจัย 5
1.5 การตรวจสอบเคร่ืองมือในกรณีของแบบสอบถาม 6
1.6 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
1.7 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ บั 7
บทท่ี 2 แนวคดิ ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากในประเทศไทย 12
และเอกสารทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 15
2.1 แนวคดิ เก่ียวกับวสิ าหกจิ ชมุ ชน 19
2.2 แนวคิดเกี่ยวกบั ทนุ ชุมชน 24
2.3. แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
2.4 แนวคดิ และเปา้ หมายการพัฒนาทีย่ ่ังยืน 30
2.5 แนวคดิ เก่ยี วกับเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวยี น และเศรษฐกจิ สี 40
71
เขยี ว (Bio Economy – Circular Economy – Green Economy :
BCG) 75
2.6 ยทุ ธศาสตร์ชาติวา่ ดว้ ยการพฒั นาเศรษฐกิจฐานราก 77
2.7 นโยบายวา่ ดว้ ยการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากของไทย
2.8 รายงานการศกึ ษา เรื่อง “การฟ้นื ฟูเศรษฐกจิ ฐานรากด้านการผลติ และ 78
การค้าผลติ ภัณฑ์ท้องถิน่ และชุมชน ภายหลงั การแพรร่ ะบาดของโรคตดิ
เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019
2.9 พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ วิสาหกิจเพ่อื สังคม พ.ศ. 2562
2.10 พระราชบญั ญตั ิการจดั ประชารฐั สวัสดิการเพ่ือเศรษฐกิจฐานรากและ
สังคม พ.ศ. 2562
2.11 ดษุ ฎีนิพนธ์ เร่ือง การพัฒนาการท่องเทีย่ วเชงิ สรา้ งสรรคด์ ว้ ย
กระบวนการออกแบบการบรกิ าร กรณศี ึกษา : การทอ่ งเทย่ี วโดย
ชุมชนบา้ นปางหา้ จงั หวัดเชยี งราย



บทที่ 3 การศกึ ษารูปแบบการพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากทีป่ ระสบความสาเรจ็

ในต่างประเทศ

3.1 กรณศี ึกษาประเทศญี่ปนุ่ 85

3.1.1 ลักษณะทางเศรษฐกิจสังคม และสภาพปัญหาการพฒั นา 85

เศรษฐกจิ ฐานรากของญี่ปนุ่

3.1.2 นโยบายการพฒั นาชนบทของประเทศญป่ี นุ่ 87

3.1.3 ตวั อย่างโมเดลท่ปี ระสบความสาเร็จ: OVOP ต้นแบบและ 93

กระบวนการพฒั นาหนง่ึ ชุมชน หนง่ึ ผลติ ภณั ฑ์ (OVOP)

3.2 กรณศี กึ ษาประเทศจนี 95

3.2.1 ลักษณะทางเศรษฐกิจสังคม และสภาพปญั หาการพัฒนาเศรษฐกิจ 95

ฐานรากของจีน

3.2.2 นโยบายเศรษฐกิจฐานรากของประเทศจนี 96

3.2.3 การนานโยบายแกจ้ นตรงเป้าไปปฏิบตั ขิ องจนี 100

3.3 กรณีศึกษาประเทศเวยี ดนาม 104

3.3.1 ลกั ษณะทางเศรษฐกิจสังคม และสภาพปญั หาการพัฒนา 104

เศรษฐกิจฐานรากของเวยี ดนาม

3.3.2 นโยบายเศรษฐกจิ ฐานรากประเทศเวียดนาม 105

3.3.3 การท่องเทีย่ วเชงิ ชาตพิ ันธ์ุของประเทศเวยี ดนาม 108

3.4 การสงั เคราะหบ์ ทเรยี นจากกรณศี ึกษาต่างประเทศ 112

3.4.1 ประเทศญ่ีปนุ่ 112

3.4.2 ประเทศจนี 114

3.4.3 ประเทศเวยี ดนาม 115

บทท่ี 4 ปจั จยั ที่มีผลตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากของประเทศไทย

4.1 กรอบการดาเนนิ การศึกษาปจั จัยแหง่ ความสาเรจ็ ในการดาเนินนโยบาย 128

ดา้ นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

4.2 ผลการศกึ ษาเกีย่ วกบั ปจั จยั ความสาเรจ็ ทมี่ ีผลตอ่ การพัฒนาเศรษฐกิจ 128

ฐานรากจากแบบสอบถาม

4.3 ผลการศึกษาเกยี่ วกับปัจจัยความสาเรจ็ ทม่ี ีผลตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ ฐาน 153

รากจากการสนทนากลุ่ม

4.3.1 ด้านเกษตรแปรรปู 153

4.3.2 ด้านการท่องเทย่ี วชมุ ชน 166

4.3.3 ด้านอตุ สาหกรรม 179



4.4 รายงานการศกึ ษาดูงานและจดั เสวนา (การประชมุ เชิงปฏบิ ตั กิ าร) 190
ของคณะอนกุ รรมาธกิ ารการลงทุนและเศรษฐกจิ ฐานราก
ในคณะกรรมาธกิ ารการพาณิชยแ์ ละการอตุ สาหกรรม วฒุ ิสภา 198
เรอื่ ง “ปัจจัยสคู่ วามสาเร็จของเศรษฐกิจฐานรากโดยพิจารณาจาก
นโยบายการบรู ณาการหนว่ ยงานภาครัฐและเอกชน 204
ตามยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ป”ี 204
207
4.5 การสัมนาเชงิ ปฎบิ ตั กิ ารโครงการ “เศรษฐกิจฐานรากพลงั การขับเคล่ือน
208
เศรษฐกิจไทย” โดย คณะกรรมาธกิ ารการพาณชิ ยแ์ ละการอตุ สาหกรรม 211
รว่ มกบั กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมนั่ คงของมนุษย์ ระหวา่ ง 211
วนั ท่ี 25 - 26 มนี าคม 2564 214
บทท่ี 5 บทสรุปและขอ้ เสนอแนะ
5.1 บทสรุป
5.1.1 ปจั จัยท่ีมีผลตอ่ การพฒั นาเศรษฐกิจฐานราก
5.1.2 ผลการวเิ คราะห์เกี่ยวกบั ปจั จัยท่ีมีผลตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ

ฐานรากด้านเกษตรแปรรปู ด้านการทอ่ งเทย่ี วชมุ ชน และด้าน
อตุ สาหกรรมจากการถอดบทเรยี น การสนทนากลมุ่ และ
สัมมนาเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร
5.1.3 ผลการวเิ คราะหป์ ัจจยั ความสาเร็จในการพฒั นาเศรษฐกิจฐาน
รากในตา่ งประเทศ (กรณศี กึ ษา)

5.2 ขอ้ เสนอเชงิ นโยบายเพอื่ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
5.2.1ข้อเสนอเชงิ นโยบายต่อการบริหารจดั การเศรษฐกิจฐานรากใน
ภาพรวม
5.2.2 ข้อเสนอเชงิ นโยบายตอ่ การสง่ เสริมความเขม้ แข็งของเศรษฐกจิ
ฐานราก

ภาคผนวก
ตารางสรปุ ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายเพือ่ การพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากและ
การนาไปสกู่ ารปฏิบตั ิ
รายชื่อคณะกรรมาธกิ ารการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒสิ ภา
รายชอ่ื คณะอนุกรรมาธกิ ารการลงทนุ และเศรษฐกิจฐานราก
รายชื่อคณะทางานเศรษฐกิจฐานราก
แบบสอบถาม

ประเดน็ การถอดบทเรยี น
ภาพกิจกรรม


สารบญั ภาพ

ภาพที่ 2-1 แนวคดิ ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 15

ภาพที่ 2-2 แสดงเป้าหมายการพัฒนาท่ีย่งั ยนื หรอื Sustainable Development Goals 23

(SDGs)

ภาพที่ 2-3 แสดงความสมั พันธร์ ะหว่างเศรษฐกจิ ชวี ภาพ เศรษฐกิจหมนุ เวียนและเศรษฐกจิ 26

สีเขียว (เศรษฐกจิ BCG)

ภาพท่ี 2-4 แสดงความสมั พันธร์ ะหว่างการพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากและแผนแมบ่ ท 37

ภายใตย้ ุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี

ภาพที่ 3-1 กรอบการวิเคราะห์เศรษฐกจิ ฐานรากตามแบบจาลองตวั กาหนดรายได้ 84

ประชาชาตขิ องเคนส์

ภาพที่ 3-2 อันดบั ของประเทศญี่ปนุ่ ดา้ นเศรษฐกจิ และคณุ ภาพชีวติ 85

ภาพที่ 3-3 การเปลีย่ นแปลงโครงสร้างประชากรของญป่ี ุ่นในเขตเมอื ง 86

ภาพที่ 3-4 การกระจายของผลผลติ มวลรวมในระดบั จงั หวัด และคา่ แรงขั้นต่าในประเทศ 86

ญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 2016

ภาพที่ 3-5 ชดุ เกณฑ์การพฒั นา 19 ดา้ นในการพฒั นาของ Nong Thon Moi 106

ภาพท่ี 3-6 รูปแบบการสนบั สนนุ งบประมาณเพอื่ การลงทนุ ของ Nong Thon Moi 107

ภาพที่ 4-1 แสดงกรอบการดาเนินการศกึ ษา (Concept Framework) 128



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี 2-1 เป้าหมายและตัวชว้ี ดั ของแผนแมบ่ ทภายใตย้ ุทธศาสตรช์ าตปิ ระเด็นเศรษฐกจิ ฐานราก 40
ตารางท่ี 2-2 เปา้ หมายและตวั ชีว้ ดั ของแผนยอ่ ยการยกระดับศักยภาพการเปน็ ผปู้ ระกอบการธุรกจิ 41
ตารางที่2-3เป้าหมายและตัวชี้วัดของการสร้างสภาพแวดล้อมและกลไกท่ีส่งเสริม 42

การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก 44
ตารางที่ 2-4 แผนงานและการบูรณาการเศรษฐกิจฐานราก ประจาปีงบประมาณ พ.ศ.2563 59
71
ตารางที่ 2-5 การจดั ประชมุ และเชญิ หนว่ ยงาน 80
ตารางท่ี 2-6 แสดงรายชือ่ ผทู้ รงคุณวุฒิทด่ี าเนนิ การสมั ภาษณ์ 117
ตารางท่ี 2-7 สรปุ สาระสาคญั ของ PPMM Model
ตารางที่ 3-1 สังเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บบทเรียน กรณศี กึ ษา 3 ประเทศ (ญป่ี นุ่ จีน 129
130
และเวียดนาม) ตามกรอบแนวทาง CIPP Model 131
ตารางที่ 4-1 ข้อมูลประชากรศาสตร์ เพศ และอายุ 132
ตารางที่ 4-2 ขอ้ มูลประชากรศาสตร์ สถานภาพสมรส และระดับการศกึ ษาสูงสดุ 132
ตารางท่ี 4-3 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ อาชีพหลัก และจานวนคนในครอบครัว 133
ตารางท่ี 4-4 ข้อมูลประชากรศาสตร์ รายไดเ้ ฉลยี่ ต่อเดือน 134
ตารางท่ี 4-5 ข้อมลู ประชากรศาสตร์ ข้อมลู ดา้ นกลุ่ม (1) 138
ตารางที่ 4-6 ข้อมูลประชากรศาสตร์ ข้อมูลด้านกลุม่ (2) 140
ตารางท่ี 4-7 ปัจจัยสภาพแวดลอ้ มภายนอก 146
149
ตารางที่ 4-8 ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน 150
ตารางที่ 4-9 กระบวนการดาเนินงาน 151
ตารางที่ 4-10 ผลผลติ จากการดาเนนิ งาน 151
ตารางที่ 4-11 การวเิ คราะหส์ ถิตถิ ดถอยพหุคูณในภาพรวม 153
ตารางท่ี 4-12 การวิเคราะหส์ ถิตถิ ดถอยพหคุ ณู ประเภทของกลมุ่ เกษตรแปรรปู
ตารางที่ 4-13 การวิเคราะหส์ ถติ ถิ ดถอยพหุคณู ประเภทของกลมุ่ ท่องเทยี่ วชมุ ชน 153
ตารางท่ี 4-14 การวิเคราะหส์ ถติ ถิ ดถอยพหคุ ณู ประเภทของกลมุ่ อุตสาหกรรม
ตารางที่ 4-15 แสดงพ้นื ทีท่ ด่ี าเนินการการถอดบทเรยี น ในกรณกี ารพฒั นาเศรษฐกจิ 155

ฐานรากดา้ นเกษตรแปรรปู 161
ตารางที่ 4-16 การถอดบทเรียนประเดน็ ปัจจยั สภาพแวดลอ้ มภายนอกท่สี ง่ ผลตอ่
163
การดาเนนิ งานของกลุม่ ด้านเกษตรแปรรปู
ตารางที่ 4-17 การถอดบทเรยี นประเด็นปัจจัยภายในทส่ี ง่ ผลต่อการดาเนินงานของกลมุ่

ด้านเกษตรแปรรูป
ตารางที่ 4-18 การถอดบทเรยี นประเดน็ ผลลัพธข์ องการดาเนินการของกลุม่ ด้าน

เกษตรแปรรปู ท่เี กดิ ขน้ึ ต่อครอบครวั และชุมชน
ตารางที่ 4-19 การถอดบทเรยี นประเดน็ ปัญหาและอุปสรรคในการการดาเนนิ การของกลมุ่

ด้านเกษตรแปรรปู



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี 4-20 การถอดบทเรยี นประเดน็ ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนากลมุ่ และ 164
สง่ เสรมิ งานพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากดา้ นเกษตรแปรรปู
166
ตารางที่ 4-21 แสดงพน้ื ทีท่ ด่ี าเนินการการถอดบทเรยี นในกรณีการพฒั นาเศรษฐกจิ
ฐานราก ดา้ นการทอ่ งเท่ียวชมุ ชน 167

ตารางท่ี 4-22 การถอดบทเรยี นประเดน็ ปจั จัยสภาพแวดล้อมภายนอกท่ีส่งผลต่อ 169

การดาเนินงานของกลุ่มด้านการท่องเทยี่ วชุมชน 173
ตารางที่ 4-23 การถอดบทเรียนประเดน็ ปัจจัยสภาพแวดลอ้ มภายในที่สง่ ผลตอ่ การ
175
ดาเนนิ งานของกลุ่มดา้ นการท่องเทีย่ วชมุ ชน
ตารางที่ 4-24 การถอดบทเรยี นประเดน็ ผลลัพธ์จากการดาเนินงานของกลมุ่ ด้าน 176

การทอ่ งเที่ยวชุมชนตอ่ ครอบครวั และชุมชน 179
ตารางที่ 4-25 การถอดบทเรียนประเดน็ ปัญหาและอปุ สรรคในการการดาเนนิ งาน
179
ของกลมุ่ ดา้ นการท่องเทีย่ วชุมชน
ตารางท่ี 4-26 การถอดบทเรยี นประเดน็ ขอ้ เสนอแนะเพื่อการพัฒนากลมุ่ และ 181

สง่ เสรมิ งานพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากดา้ นการท่องเทยี่ วชมุ ชน 185
ตารางที่ 4-27 แสดงพื้นที่ทดี่ าเนินการการถอดบทเรยี น ในกรณกี ารพฒั นาเศรษฐกจิ
187
ฐานราก ด้านอตุ สาหกรรม 188
ตารางที่ 4-28 การถอดบทเรยี นประเด็นปัจจยั สภาพแวดลอ้ มภายนอกท่ีสง่ ผลต่อ
190
การดาเนินงานของกลมุ่ ด้านอตุ สาหกรรม 190
ตารางที่ 4-29 การถอดบทเรยี นประเดน็ ปจั จัยสภาพแวดล้อมภายในทส่ี ง่ ผลตอ่ การ
195
ดาเนนิ งานของกลุ่มด้านอุตสาหกรรม 200
ตารางที่ 4-30 การถอดบทเรียนประเด็นผลลพั ธข์ องการดาเนนิ การดา้ นอุตสาหกรรมต่อ
219
ครอบครวั และชุมชน
ตารางที่ 4-31 การถอดบทเรียนประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการดาเนนิ งานดา้ นอุตสาหกรรม
ตารางที่ 4-32 การถอดบทเรียนประเดน็ ขอ้ เสนอแนะเพื่อการพัฒนากลมุ่ และ

สง่ เสริมงานพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากด้านอุตสาหกรรม
ตารางท่ี 4-33 สรุปการศกึ ษาดงู านในระดบั พื้นท่ี
ตารางท่ี 4-34 รายชอื่ กลมุ่ และผลติ ภณั ฑข์ องกลุ่มวิสาหกจิ ชมุ ชน ทคี่ ณะอนุกรรมาธกิ าร

ลงพื้นท่ีเพ่อื สนทนากลุม่
ตารางท่ี 4-35 สรปุ กจิ กรรมการศกึ ษาดงู านในระดบั พ้ืนที่

ตารางที่ 4-36 สรปุ ผลการจัดสัมมนาเชิงปฏบิ ัติการโครงการ “เศรษฐกิจฐานรากพลัง
ขบั เคลอื่ นเศรษฐกจิ ไทย”

ตารางที่ 5-1 สรุปข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายเพอ่ื การพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากและการ
นาไปสู่การปฏบิ ัติ



บทสรปุ ผบู้ ริหาร

ปัจจุบันหลายประเทศมุ่งเนน้ การดาเนนิ นโยบายดา้ นการพฒั นาเศรษฐกจิ ในระดบั ฐานราก
ด้วยตระหนักว่าการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานราก หรือ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเป็นรากฐาน
สาคญั ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และทาให้บุคคล กลุม่ ชมุ ชนมรี ายได้มากยงิ่ ข้ึนและหลุดพ้น
จากความยากจน ท้ังน้ี การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานรากถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกบั เป้าหมาย
การพัฒนาท่ียั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ขององค์การสหประชาชาติท่ีกาหนด
เป้าหมายสาคญั ประการหนึ่ง คือ การมุง่ ขจดั ความยากจนทกุ รปู แบบทีส่ าคญั

สาหรับประเทศไทย ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ยุทธศาสตร์ท่ี 4 ด้าน
การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ได้กาหนดประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาส
และความเสมอภาคทางสังคม โดยในประเด็นท่ี 4.1 เรื่องการลดความเหล่ือมล้าและสร้างความเป็นธรรม
ในทุกมิติ ซ่ึงจะต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก โดยเน้นระบบจัดการตนเองของเกษตรกร
แ ล ะ มี ก ล ไ ก ใ น ก า ร ขั บ เ ค ลื่ อ น เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ฐ า น ร า ก เ พ่ื อ ใ ห้ เ ก ษ ต ร ก ร เ ข้ า ถึ ง ฐ า น ท รั พ ย า ก ร
การวิจัย ความรู้ ทั้งทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการผลิต ตลอดจนเพิ่มช่องทาง
การตลาดท่ีสาคัญ อีกทั้งในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติยังกาหนดประเด็นท่ี 16 เร่ือง เศรษฐกิจฐานราก
โดยมองว่าการพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากจะเปน็ เคร่อื งมือสาคญั ในการพฒั นาและยกระดบั เศรษฐกิจของ
ประเทศไทยให้เป็นประเทศท่ีมีรายได้สูงและมีการ กระจายรายได้อย่างทั่วถึง ท้ังน้ี
โดยกาหนดให้การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมุ่งเน้นไปท่ีการส่งเสริมเศรษฐกิจระดับชุมชนท้องถ่ิน
ให้มีความเข้มแข็งและมศี ักยภาพในการแขง่ ขนั และพ่ึงพาตนเองได้ ซึ่งจะนาไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน
และลดความเหลอ่ื มลา้ ได้

อย่างไรก็ตาม พบว่าในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในหลายพ้ืนที่ประสบความสาเร็จ
ในขณะท่ียังคงมีบางพื้นท่ีท่ียังไม่ถือว่าประสบความสาเร็จ แม้ว่าจะมีหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน
มีการดาเนินโครงการและกิจกรรมในพื้นที่ ดังน้ัน คณะอนุกรรมาธิการการลงทุนและเศรษฐกิจฐานราก
ในคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ในฐานะหน่ึงในกลไกการทางานของวฒุ ิสภา
ซึ่งมีหน้าที่และอานาจในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย
ตามหมวดท่ี 16 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ และการดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยยังมีหน้าที่
และอานาจในการพิจารณาศึกษา ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
การส่งเสริมการสนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจเร่ิมต้น วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพ่ือสังคม ผู้ประกอบการ
และชุมชน ให้มีความเข้มแข็ง มีการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งมีพันธกิจ
หลกั ในการส่งเสริมและให้บริการทางวชิ าการแก่สมาชกิ รฐั สภา จดั ทาการรายงานศึกษาเรือ่ ง “ปัจจยั สู่
ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานราก โดยพิจารณาจากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐและ
เอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” มีวัตถุประสงค์ (1) เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานรากท่ีปร ะ สบคว ามสาเร็ จ (2) เพื่อศึกษารู ปแ บบการ พัฒ น าเศร ษฐ กิจฐ าน ราก
ท่ีประสบความสาเรจ็ ในตา่ งประเทศ (3) เพ่ือศกึ ษาปญั หา และอปุ สรรคในการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานราก



ของประเทศไทย และ (4) เพื่อจัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
ให้ประสบความสาเร็จ

การศึกษาครั้งน้ีใช้แบบจาลอง CIPP Model ของ Daniel L. Stufflebeam เป็นหลัก
ในการศึกษา ทั้งท่ีเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพและการศึกษาเชิงปริมาณ สอบถามความคิดเห็น
ของคณะกรรมการสมาชิกกลมุ่ เก่ยี วกับนโยบายการพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานราก โดยใช้การสมั ภาษณ์แบบ
เป็นทางการ (formal Interview) และการสมั ภาษณ์พดู คุยแบบไมเ่ ปน็ ทางการ (Informal Interview)
กับผู้นากลุ่มกลุ่มอาชีพ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกรณีศึกษาในงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้านเกษตรแปรรูป
ด้านการท่องเที่ยวชุมชน และด้านอุตสาหกรรม จานวน 24 กลุ่ม ในพ้ืนที่ 8 จังหวัดจานวน 317 ชุด การศึกษา
จากเอกสารท่ีเก่ียวข้อง (Documentary research) อาทิ การศึกษาแนวคิด และทฤษฎีท่ีเก่ียวข้อง
กับเศรษฐกิจฐานราก การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
ใหป้ ระสบความสาเร็จ การศึกษากรณศี ึกษาต่างประเทศทเ่ี ก่ียวกับรปู แบบการพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานราก
ใหป้ ระสบความสาเรจ็ ของประเทศญปี่ ุน่ จนี และเวียดนาม

จากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐ านรากภาพรวม พบว่า
สภาพแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อความสาเร็จในภาพรวม ประกอบด้วย ด้านวัฒนธรรม ได้แก่
การส่งเสริมองค์ความรู้ชุมชน ภูมิปัญญาชุมชนและปราชญ์ชุมชน การส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ชุมชนที่มีอัตลักษณ์ ส่งผลต่อการดาเนินงานของกลุ่มให้ประสบความสาเร็จและด้านสถ านการณ์
ปัจจุบัน เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยกิจกรรมรูปแบบใหม่ เช่น ตลาดอินทรีย์ ตลาดอนุรักษ์
ตลาดย้อนยุค การท่องเท่ียวชุมชน การส่งเสริมทักษะอาชีพ การ ส่งเสริมด้านการรักษาส่ิงแวดล้อม
การส่งเสริม ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม การส่งเสริมด้านการตลาดออนไลน์ รวม ท้ัง
การส่งเสริมความรู้ด้านธุรกิจ การบริหารจัดการ การผลิต การตลาด และระบบการเงินบัญชี
ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในที่มีผลต่อความสาเร็จของกลุ่มในภาพรวม ประกอบด้วย ผู้นากลุ่ม
ซ่ึงเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจ มีความคิดสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ที่ดีมคี วามสามารถในการพัฒนากลุ่ม
และทุนชุมชน ซึ่งในชุมชนมีทุนชุมชน ได้แก่ มีทรัพยากรธรรมชาติวัตถุดิบใน ท้องถ่ิน วัฒนธรรม
ประเพณี และองค์ความรู้ชุมชน ภูมิปัญญา ปราชญ์ชุมชน เครือข่ายในชุมชนและการ รวมกลุ่มต่าง ๆ
ภายในชุมชนมีบทบาทในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนความร่วมมือในการผลิตและ การตลาด
ทาให้เกิดการต่อยอดและขยายกจิ กรรมส่ภู ายนอกไดเ้ ป็นอย่างดี การศึกษาเกี่ยวกับการดาเนนิ นโยบาย
ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากใน 3 ประเทศ กรณีศึกษา ซึ่งได้แก่ ประเทศญ่ีปุ่น จีนและเวียดนาม
สามารถสรุปปัจจัยความสาเร็จร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พบว่าท้ัง 3 ประเทศ ได้กาหนด
นโยบาย เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ ในการดาเนินงานและหน่วยงานท่ีรับผิดชอบหลักอย่างชัดเจน
ทาให้เกิดการขับเคล่ือนนโยบายอย่างเป็น รูปธรรม เช่ือมโยงกัน โดยการกาหนดเป็นวาระแห่งชาติ
การใช้ฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนและดาเนินนโยบาย การสร้างกิจกรรมบนฐาน “ทุน” ในพ้ืนท่ี ประเทศ
การพฒั นาโครงสรา้ งพ้ืนฐาน เพอ่ื รองรับกจิ กรรมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก รฐั ทาหนา้ ทใ่ี นการสนับสนุน
ดา้ นการเงนิ – งบประมาณ และเสรมิ ดา้ นการตลาด เพ่อื ใหเ้ กิดการกระตุน้ หรือการเปล่ยี นแปลง



ขอ้ เสนอเชงิ นโยบายตอ่ การบริหารจดั การเศรษฐกิจฐานรากในภาพรวม

รัฐควรกาหนดความหมายและขอบเขตของ “เศรษฐกจิ ฐานราก” ให้ชัดเจน และกาหนด
เปน็ วาระแหง่ ชาติ เพือ่ ให้การพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยมเี ปา้ หมายและแนวทางท่ชี ดั เจน
เกิดประสิทธิภาพเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เห็นควรกาหนดนิยาม และขอบเขตของ “เศรษฐกิจฐานราก”
ให้มีความชัดเจนในเชิงความหมาย ขอบเขต ทิศทางในการดาเนินการ และสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ในทุกหน่วยงานที่เก่ียวข้องได้เข้าใจตรงกัน อันจะมีผลต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลสัมฤทธ์ิ
ในการดาเนินการภายใต้นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยประเด็นท่ีควรจะพิจารณาร่วมด้วย
ในการกาหนดนิยาม คือ การให้ความหมายของ “เศรษฐกิจฐานราก” ที่มีนัยยะแบบเน้นตัวกระทา
(Actor-based) ของการขับเคล่ือนโดย “กลุ่ม/องค์กรชุมชน” ซึ่งสอดคล้องกับบริบทสากลของขบวนการ
ขับเคล่ือนโดยฐานราก (Grassroots movement)

การสร้างกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับชาติ เพ่ือให้เกิด
การบูรณาการร่วมกันและสามารถขับเคล่ือนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีเอกภาพ จึงเสนอการออกแบบ
กลไกระดับชาตใิ นเชิงยุทธศาสตร์ ใหม้ ีหนา้ ทกี่ ากับดูแลการดาเนินการเก่ียวกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานราก
กาหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประสิทธิผล
เ สน อค ว ามเ ห็นและเ สนอแน ะเก่ี ยวกับ นโยบายของปร ะเทศด้านก ารพัฒ น า เศรษฐกิจฐานราก
เพ่ือเชอื่ มโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจมหภาค รวมท้ังใหค้ าแนะนาแก่หนว่ ยงานต่าง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้องเกี่ยวกับ
กฎ ระเบยี บ หรอื คาสง่ั

การกาหนดแนวทางการดาเนินงานภายใตแ้ ผนงานบรู ณาการพัฒนา ควรเป็นการบรู ณา
การอย่างครบวงจร ต้ังแต่เริม่ ตน้ การจัดทางบประมาณ การบริหารงบประมาณและการติดตามประเมนิ ผล
งบประมาณเชิงบรู ณาการ โดยคานึงถงึ ความเหมาะสมและความสามารถวัดผลไดอ้ ยา่ งเปน็ รูปธรรม

การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ควรใช้งานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้าง
ความสามารถในการแข่งขัน โดยควรให้มีการใช้งานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมโดยสร้างความร่วมมือ
ในระดับพื้นท่ีระหว่างหน่วยงานภาครัฐ หน่วยวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา
ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์ใหแ้ ก่งานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากระดบั พนื้ ท่ี
เพื่อยกระดบั มาตรฐานผลิตภณั ฑช์ ุมชน และสรา้ งความเชอื่ มัน่ ของผู้บรโิ ภคและตลาด

การจัดทาระบบการบริหารจัดการขอ้ มูลสารสนเทศด้านเศรษฐกจิ ฐานราก ควรให้มี
การจัดทาระบบการบรหิ ารจดั การระบบข้อมูลสารสนเทศ (Management Information System : MIS)
ซึ่งครอบคลุมขอ้ มูลสารสนเทศเกี่ยวกบั เศรษฐกิจฐานรากท้งั ในระดับจุลภาค (Micro) และระดับมหภาค
(Macro) ให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน ครอบคลุมท้ังข้อมูลในเชิงปริมาณ ข้อมูลเชิงคุณภาพทั้งระดับประเทศ
ภูมิภาค จังหวัด อาเภอ ตาบล และหมู่บ้าน ทาให้ลดความซ้าซ้อนในด้านภารกิจและงบประมาณ
และไว้เป็นเครื่องมอื ในการพิจารณาจดั สรรงบประมาณ

สรา้ งกลไกการขบั เคลอ่ื นการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากในระดับจังหวดั ควรใหท้ กุ จงั หวดั
กาหนดให้ “การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก” เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด มีการกาหนด
ตัวช้ีวัดที่สะท้อนถึงความเข้มแข็งและความสามารถในการพ่ึงตนเองในทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการมี



ตวั ช้ีวัดท่ีสามารถวัดรายไดท้ ี่เพม่ิ ข้ึนของประชาชน กลมุ่ ชมุ ชน และวิสาหกจิ ในเชงิ ประจกั ษ์

เพิ่มความสามารถในการเขา้ ถงึ โครงข่ายอินเตอร์เนต็ และเครอื ขา่ ยไร้สาย ความเรว็ สงู
ที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีการดาเนินการภายใต้แผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพ้ืนฐานโดยท่ัวถึง
และบรกิ ารเพื่อสงั คม ฉบบั ที่ 2 (พ.ศ. 2560 - 2564) ซง่ึ มุ่งเน้นขยายบริการในสถานศกึ ษา ศาสนสถาน
และสถานพยาบาลในพ้ืนที่เป้าหมาย แต่อย่างไรก็ดีในแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน
โดยท่ัวถึงและบริการเพื่อสังคม ฉบับท่ี 3 เห็นควรให้พิจารณาเร่งดาเนินการพัฒนาโครงข่ายอินเตอร์เน็ต
และเครอื ขา่ ยไร้สายที่มีความเรว็ สงู ให้มปี ระสิทธภิ าพเพยี งพอ เหมาะสมกับการทาการตลาดสมัยใหม่

ข้อเสนอเชิงนโยบายตอ่ การส่งเสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกจิ ฐานราก

ควรเปล่ียนกรอบความคิด (mindset) จากการผลิตนาการตลาดเป็นการตลาดนา
การผลิต หนว่ ยงานของรัฐควรดาเนินการเรง่ ดว่ นในการพฒั นากรอบความคิดของกลมุ่ ชมุ ชน และวสิ าหกิจ
ในเรื่องการดาเนินธุรกิจและการบริการของชุมชน เพ่ือเข้าถึงความเข้าใจของลูกค้า (customer centric)
อย่างเข้มข้นและมีวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ อาทิ การเปลี่ยนวิถีการผลิตจาก “การผลิตนา
การตลาด” มาเป็น “การตลาดนาการผลิต” และเร่งยกระดับกรอบแนวคิดของกลุ่ม ชุมชน และวิสาหกิจ
ใหม้ ีกรอบความคิดตามคุณลักษณะของความเปน็ ผปู้ ระกอบการ (entrepreneur)

การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์โดยเน้นการส่งเสริมองค์ความรู้ชุมชน หน่วยงานของรัฐ
ควรสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน โดยจัดต้ังศูนย์เรียนรู้ชุมชน
เพ่ือใหเ้ กิดการแลกเปล่ียนระหว่างกัน มีการถา่ ยทอดองค์ความรู้ ภมู ิปัญญาจากจากรนุ่ สูร่ ุ่น รวมทั้ง ควรให้
ความสาคัญกับการค้นหาและพัฒนาผู้นากลุ่มเพ่ือให้ผู้นากลุ่มเปน็ ผ้นู าการเปลยี่ นแปลง (change agent)
และเสรมิ สรา้ งความรูใ้ ห้แกผ่ นู้ ากล่มุ และคนรุ่นใหม่ (young generation) อยา่ งตอ่ เนื่องและใหผ้ ูน้ าได้
ถ่ายทอดความรูต้ า่ ง ๆ ทีส่ าคัญและจาเป็นสู่กลุม่ ชุมชนและวิสาหกิจ

การสร้างมูลค่าเพ่ิมเชิงพาณิชย์ หน่วยงานภาครัฐต้องสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์
ให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชนและการบริการโดยการนาอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ชุมชนมาเพิ่มนาเสนอ
คุณสมบัติเด่นที่ชัดเจน ยกระดับผลิตภัณฑ์และการบริการให้ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการ
ระดับสากล

การพัฒนาทักษะการตลาดสมัยใหม่ หน่วยงานของรัฐจาเป็นท่ีต้องช่วยส่งเสริมให้กลุ่ม
ชุมชน และวิสาหกิจมีทักษะด้านการตลาดสมัยใหม่ ซ่ึงเป็นตลาดที่ผู้บริโภคต้องได้รับประสบการณ์
ที่ดีกว่าจากผลิตภัณฑ์นั้น ผู้บริโภคต้องมีความรู้สึกถึงคณุ ค่าและความคุ้มค่าและพึงพอใจท่ีมีต่อผลิตภัณฑ์
โดยไม่คานึงถึงราคา ผลิตภัณฑ์ต้องสามารถขายได้ในทุกท่ีบนตลาดออนไลน์ การยกระดับกลุ่ม
ที่มีความเข้มแข็งสู่การเป็นวิสาหกิจชุมชน เสนอว่าหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งส่งเสริมความรู้ ยกระดับกลุ่ม
ที่มีความเข้มแข็งเป็น “วิสาหกิจชุมชน” มีการจดทะเบียนรับรองให้มสี ถานะเป็นนิติบคุ คล เพ่ือให้สามารถ
ดาเนินการทางธรุ กิจไดต้ ามเง่ือนไขทเ่ี กี่ยวขอ้ ง และสามารถเข้าถึงการสนบั สนุนตา่ ง ๆ จากภาครฐั ได้

การพัฒนาทักษะความรู้ ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐท่ีเกี่ยวข้อง
ควรเรง่ รดั ให้ความรู้ สง่ เสรมิ สนบั สนุน พัฒนาทักษะ ยกระดบั และตอ่ ยอดให้กลุ่ม ชุมชน และวสิ าหกจิ
ให้มีความสามารถดา้ นการบริหารจัดการ สามารถจัดทาแผนการเงิน แผนการลงทุน แผนพัฒนาธรุ กิจ



แผนการจัดการ แผนการตลาด และแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเน่ือง ให้ความรู้และพัฒนา
ทักษะท่เี ปน็ สอดคลอ้ งกับสถานการณป์ ัจจบุ นั มกี ารติดตามประเมนิ ผลหลังเสร็จส้นิ การอบรมใหค้ วามรู้
และประเมินความสามารถดา้ นการบรหิ ารจัดการของกล่มุ

การสนับสนุนการลงทุนด้านโครงสรา้ งพ้ืนฐาน (infrastructure) หน่วยงานของรฐั
ควรเข้าไปพัฒนาถนน โครงข่ายอินเตอร์เน็ต เครือข่ายไร้สาย และส่ิงอานวยความสะดวกต่าง ๆ
ในพื้นท่ี เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงพื้นท่ีไดโ้ ดยสะดวก กลุ่มสามารถสร้างและเขา้ ถึงตลาดสมัยใหมไ่ ด้
เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ รวมทั้งพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง เพื่อให้สามารถส่งมอบ
ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและไม่เกิดความเสียหายแก่ผลิตภัณฑ์ หน่วยงานของรัฐ
จึงต้องให้ความสาคญั กบั การสนบั สนุนดา้ นโครงสร้างพนื้ ฐานให้ครบวงจร

ในการศึกษาคร้ังนี้ได้กาหนดช่วงเวลาศึกษาในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งสถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019 กาลังเริ่มระบาด จึงเป็นผลทาให้ประสบปัญหา
ในการลงพื้นท่ีเก็บข้อมูล ท่ีได้กาหนดไว้ล่วงหน้าจาเป็นต้องมีการขยายเวลาออกไป และการศึกษา
จาเป็นต้องใช้ขอ้ มูลจากการลงพื้นทกี่ ารเกบ็ ขอ้ มลู จานวนมาก มาวิเคราะห์สงั เคราะห์ เพ่ือให้ได้ข้อเทจ็ จรงิ
บางประการท่ีเกี่ยวข้อง เป็นเหตุผลหน่ึงท่ีทาให้ระยะเวลาได้ขยายข้ามปีงบประมาณมา อย่างไรก็ตาม
ข้อค้นพบท่ีได้ยังคงสามารถสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นปัจจัยสู่ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานราก
และการขาดโอกาสของกลุ่มประชากรบางส่วนที่ยังคงเข้าไม่ถึงปัจจัยการส่งเสริมต่าง ๆ ของรัฐ
ที่บางหน่วยงานดาเนินงานไปบ้างแล้วก็ตาม ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ท่ีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถ
นาข้อค้นพบจากการศึกษาครั้งน้ีไปศึกษาเป็นข้อมูลในการวางแผนและใช้ประโยชน์เพ่ือปรับหาวิธีจัดการ
แก้ไขความยากจนและความเหล่ือมล้าอย่างถูกตอ้ ง สร้างโอกาส และมีความย่ังยืนให้กบั กลุ่มเศรษฐกิจฐานราก
ต่อไป

รายงานการศกึ ษา
เรอื่ ง “ปัจจัยสคู่ วามสาเรจ็ ของเศรษฐกจิ ฐานราก โดยพิจารณาจากนโยบายการบรู ณาการ

หนว่ ยงานภาครฐั และเอกชนตามยทุ ธศาสตร์ชาติ ๒๐ ป”ี

ของคณะกรรมาธิการการพาณชิ ย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
.........................................................

ตามที่ที่ประชุมวุฒิสภา ครั้งท่ี ๑๗ (สมัยสามัญประจาปีคร้ังท่ีหน่ึง) วันอังคารท่ี ๑๐ กันยายน ๒๕๖๒
ท่ีประชุมได้มีมติต้ังคณะกรรมาธิการสามัญประจาวุฒิสภาตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๗๘
วรรคสอง (๒๔) ซ่งึ คณะกรรมาธกิ ารการพาณิชย์และการอตุ สาหกรรม วฒุ ิสภา เปน็ คณะกรรมาธิการสามัญประจาวุฒิสภา
เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กระทากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เก่ียวกับ
การส่งเสริม สนับสนุน หรือพัฒนาการพาณิชย์และอุตสาหกรรม การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาภูมิปัญญา
ท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย วิสาหกิจเพ่ือสังคม วิสาหกิจเพ่ือชุมชน เขตเศรษฐกิจพิเศษ ความสามารถในการแข่งขัน
และการเจริญเติบโตทางอุตสาหกรรมท่ีเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม พิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูป
ประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ท่ีอยู่ในหน้าท่ีและอานาจ และอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมาธิการ
ได้ศึกษา เรื่อง ปัจจัยสู่ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานราก โดยพิจารณาจากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ
และเอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี

บัดน้ี คณะกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานการศึกษา
ตอ่ วฒุ ิสภา ดังนี้

๑. การดาเนนิ งานของคณะกรรมาธิการ

๑.๑ คณะกรรมาธกิ ารได้มีมตเิ ลอื กตาแหน่งตา่ ง ๆ ดังนี้

๑.๑.๑ นางอภริ ดี ตันตราภรณ์ ประธานคณะกรรมาธกิ าร

๑.๑.๒ นายสมชาย หาญหริ ัญ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนท่ีหนึ่ง

๑.๑.๓ นางสาววบิ ูลยล์ กั ษณ์ รว่ มรกั ษ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนที่สอง

๑.๑.๔ นางสุวรรณี สริ ิเวชชะพนั ธ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทส่ี าม

๑.๑.๕ นายชลิต แก้วจนิ ดา รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทส่ี ่ี

๑.๑.๖ นายรณวริทธ์ิ ปริยฉัตรตระกลู เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ

๑.๑.๗ นายเจน นาชัยศริ ิ โฆษกคณะกรรมาธิการ

๑.๑.๘ นายสมพล เกยี รตไิ พบูลย์ ประธานทป่ี รึกษาคณะกรรมาธกิ าร

๑.๑.๙ ศาสตราจารยพ์ ิเศษสม จาตศุ รพี ิทกั ษ์ ทป่ี รกึ ษาคณะกรรมาธิการ

๑.๑.๑๐ พลเอก วรี ัณ ฉนั ทศาสตร์โกศล ทีป่ รึกษาคณะกรรมาธกิ าร

๑.๑.๑๑ พลเอก วชิ ติ ยาทิพย์ ท่ีปรกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร

๑.๑.๑๒ นายบรรชา พงศ์อายกุ ลู ทีป่ รึกษาคณะกรรมาธิการ

๑.๑.๑๓ นางจนิ ตนา ชัยยวรรณาการ กรรมาธิการ

๑.๑.๑๔ นายเฉลยี ว เกาะแก้ว กรรมาธิการ

๑.๑.๑๕ นางดวงพร รอดพยาธิ์ กรรมาธิการ

๑.๑.๑๖ นายสาธิต เหล่าสวุ รรณ กรรมาธิการ

๑.๑.๑๗ นายอุดม วรัญญูรฐั กรรมาธกิ าร



๑.๒ คณะกรรมาธิการได้มีมติแต่งต้ังผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมาธิการ ตามข้อบังคับ

การประชมุ วุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๘๗ วรรคสี่ ดงั น้ี

๑.๒.๑ นายภาสันต์ เงาศุภธน นติ กิ รเชยี่ วชาญ

กลุ่มงานคณะกรรมาธกิ ารเศรษฐกิจ

การพาณชิ ยแ์ ละอตุ สาหกรรม

๑.๒.๒ นางสาวนริ มล ดวงดาว วิทยากรปฏิบตั กิ าร

กลมุ่ งานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ

การพาณชิ ยแ์ ละอุตสาหกรรม

๑.๓ คณะกรรมาธิการได้ต้ังคณะอนุกรรมาธิการการลงทุนและเศรษฐกิจฐานราก ในคณะกรรมาธิการ

การพาณชิ ย์และการอตุ สาหกรรม วฒุ สิ ภา ประกอบด้วยบคุ คลดงั ตอ่ ไปนี้

ก. คณะอนกุ รรมาธกิ าร ประกอบด้วย

(๑) นางสวุ รรณี สิรเิ วชชะพนั ธ์ ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร

(๒) พลเอก วรี ณั ฉนั ทศาสตร์โกศล รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนทห่ี น่งึ

(๓) นายสาธิต เหลา่ สวุ รรณ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนทส่ี อง

(๔) นายเฉลียว เกาะแก้ว รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนท่ีสาม

(๕) นางสายพิรุณ น้อยศิริ อนกุ รรมาธกิ าร

(๖) นางสาวสภุ ารตั น์ ฮนุ พงษ์สมิ านนท์ อนุกรรมาธิการ

(๗) นางเกณิกา เฟื่องฟู อนุกรรมาธิการ

(๘) นางทพิ วรรณ สงั เกตุ อนุกรรมาธกิ าร

(๙) นางดวงสุดา เมอื งวงษ์ อนกุ รรมาธิการ

(๑๐) นางสาวศิรพิ ร ไชยสตุ อนกุ รรมาธิการ

(๑๑) นายสวุ ิช ชูตระกูล อนุกรรมาธกิ าร

(๑๒) นายสบื สวัสดิ์ วุฒวิ รดิษฐ์ อนกุ รรมาธกิ ารและเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ

(๑๓) นางกีระณา สมุ าวงศ์ ประธานที่ปรึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ

(๑๔) นายยทุ ธการ สทุ ธิพงษ์ ทป่ี รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ

(๑๕) นายอภสิ ทิ ธิ์ งามอัจฉรยิ ะกลุ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ

(๑๖) นายประวิทย์ จติ นราพงศ์ ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร

(๑๗) นางสาวไปยดา หาญชัยสขุ สกุล ที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร

(๑๘) นางสาววิชดุ า นันทะพานชิ สกุล ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร

(๑๙) นางกรรณกิ าร์ จรสั อไุ รสนิ ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร

(๒๐) นายธนชยั อาจหาญ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธกิ าร

(๒๑) นางพรนภา เหลอื งวัฒนากจิ ที่ปรึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ

(๒๒) นายธีรพล ขุนเมอื ง ทป่ี รึกษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร

(๒๓) นายเจรญิ ชยั ประเทืองสขุ ศรี ทีป่ รึกษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร

(๒๔) นางอัมพวนั พิชาลยั ที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร

(๒๕) นายอภชิ าติ โพธิสาร ท่ีปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร

(๒๖) นางรตั นา สัยยะนิฐี ทป่ี รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ

(๒๗) นายศริ พันธ์ ยงวฒั นานันท์ ท่ปี รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ



(๒๘) นายธชั ไท กรี ตพิ งคไ์ พบลู ย์ ที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ

ข. คณะอนกุ รรมาธิการ มีหน้าท่แี ละอานาจ ดงั ตอ่ ไปน้ี

(๑) พิจารณาศึกษา ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะด้านการลงทุน การส่งเสริม การลงทุน

รวมถึงปญั หาและอุปสรรคท่ีเก่ียวข้องกับการลงทุน ตลอดจนความเชื่อมโยงการลงทุนกับชุมชน

(๒) พิจารณาศึกษา ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะการขับเคล่ือนเศรษฐกิจฐานราก

การส่งเสริม การสนับสนุน การพัฒนา การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิต การตลาด การจาหน่าย

สินค้าและบริการของวิสาหกิจเร่ิมต้น วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ผู้ประกอบการและชุมชน เพ่ือให้มีความเข้มแข็ง

มกี ารเติบโตอยา่ งยงั่ ยนื และสอดคล้องกบั ยทุ ธศาสตร์ชาตแิ ละแผนการปฏริ ูปประเทศที่เกย่ี วข้อง

(๓) วิเคราะห์ สังเคราะห์ เสนอแนวคิด กลไกและวิธีท่ีเหมาะสมในการแก้ปัญหา

รวมทั้งการตดิ ตามประเมนิ ผลการแก้ไขปญั หาด้านการลงทุน การสง่ เสริมการลงทุนและเศรษฐกจิ ฐานราก

(๔) ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีหรอื ดาเนนิ การใด ๆ ตามที่คณะกรรมาธิการมอบหมาย

(๕) รวบรวมข้อมูล เสนอความเห็นต่อท่ีประชุมคณะกรรมาธิการเพ่ือเรียกเอกสาร

จากหน่วยงานหรือบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในเร่ืองที่ศึกษาอยู่

ตลอดจนจัดทาสรุปผลการพิจารณาศึกษาเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา

เพือ่ เสนอต่อวฒุ สิ ภา ตอ่ ไป

๑.๔ คณะกรรมาธิการไดต้ ้งั คณะทางานศึกษาวิจัย เรือ่ ง “ปจั จัยสูค่ วามสาเรจ็ ของเศรษฐกจิ ฐานราก”

ซ่ึงคณะทางานคณะนี้ ประกอบดว้ ย คณะทางาน จานวน ๑๓ คน ดังน้ี

ก. คณะทางาน ประกอบดว้ ย

(๑) พลเอก วรี ณั ฉนั ทศาสตร์โกศล ประธานคณะทางาน

(๒) นายสบื สวัสด์ิ วุฒวิ รดษิ ฐ์ รองประธานคณะทางาน

(๓) นางรตั นา สัยยะนิฐี คณะทางาน

(๔) นางเกณกิ า เฟื่องฟู คณะทางาน

(๕) นางทพิ วรรณ สังเกตุ คณะทางาน

(๖) นางสายพริ ุณ น้อยศิริ คณะทางาน

(๗) นางสาวสุภารตั น์ ฮนุ พงษส์ ิมานนท์ คณะทางาน

(๘) นางกรรณกิ าร์ จรสั อไุ รสิน คณะทางาน

(๙) นางสาวธรี พรรณ ใจมนั่ คณะทางาน

(๑๐) นางสาวชมพูนุท ตง้ั ถาวร คณะทางาน

(๑๑) นายชนาธิป โรจนส์ ิรวรพัฒน์ คณะทางาน

(๑๒) นางสาวสหุ ชา ชวลติ ปรชี า คณะทางานและเลขานุการ

ข. ใหค้ ณะทางานฯ มหี น้าท่แี ละอานาจ ดังตอ่ ไปน้ี

(๑) วเิ คราะห์ปัจจัยท่ที าให้เศรษฐกิจฐานรากประสบความสาเร็จ และปัจจยั ทท่ี าให้เกิดอุปสรรค

ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก หรือทาให้เศรษฐกิจฐานรากลม้ เหลว

(๒) พจิ ารณา วเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์ ข้อมลู ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั เศรษฐกิจฐานราก

(๓) เสนอมาตรการกลไก - เครื่องมอื เพอื่ ขับเคล่ือนเศรษฐกิจฐานราก

(๔) รวบรวมข้อมูล เสนอความเห็นต่อท่ีประชุมคณะอนุกรรมาธิการการลงทุน

และเศรษฐกจิ ฐานราก



๒. วิธกี ารพิจารณาศึกษา

๒.๑ คณะกรรมาธิการได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการการลงทุนและเศรษฐกิจฐานราก

พิจารณาศึกษาและจัดทารายงานการพิจารณาศึกษาในเร่ืองดังกล่าว โดยคณะอนุกรรมาธิการได้จัดให้มีการประชุม

จานวน ๓๒ ครั้ง

๒.๒ คณะกรรมาธิการได้เชิญหน่วยงานมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงและประกอบการพิจารณา

ในคณะอนุกรรมาธกิ าร ดงั น้ี

๒.๒.๑ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวัตกรรม

สานกั งานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรมแห่งชาติ

๑. นายกิตติ สจั จาวัฒนา ผู้อานวยการหนว่ ยบรหิ ารและจัดการทนุ

ด้านการพฒั นาระดับพื้นที่

๒. นางสาวรัชชนก สหวรรักษ์ นักวเิ คราะห์

3. นางสาวจติ ราพรรณ รตั นวงษ์ นกั วเิ คราะห์

๒.๒.๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กรมสง่ เสริมการเกษตร

- นางวชริ า ไฝเจรญิ มงคล ผู้อานวยการกองสง่ เสรมิ วสิ าหกจิ ชุมชน

๒.๒.๓ กระทรวงการท่องเทยี่ วและกฬี า

กรมการทอ่ งเที่ยว

๑. นายเรวตั จันทนง หวั หนา้ กลมุ่ สง่ เสริมและพัฒนาการ

ท่องเทีย่ วชมุ ชน

๒. นางอรณี อนตุ รเมธากลุ นักพัฒนาการท่องเทยี่ วชานาญการพิเศษ

๒.๒.๔ กระทรวงมหาดไทย

กรมการปกครอง

- รอ้ ยตารวจตรี สิงหค์ า คายอด หัวหนา้ กล่มุ งานโรงแรม ปฏิบัติหน้าที่ผู้อานวยการ

ส่วนการรักษาความสงบเรยี บรอ้ ย ๓

๒.๒.๕ สานกั งานคณะกรรมการกจิ การกระจายเสียง กจิ การโทรทศั น์

และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

สานกั บริการโทรคมนาคมโดยทั่วถึงและเพ่ือสงั คม

1. นายสุปรยี ์ เทยี นทานูล ผูอ้ านวยการส่วนนโยบายและแผน

2. นางสาวรจุ ิรัตน์ โกยกุล ผู้อานวยการส่วนติดตามและประเมินผล

๒.๒.๖ สานักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสงั คม (สวส.)

๑. นางนภา เศรษฐกร ผู้อานวยการสานกั งานส่งเสริมวิสาหกจิ

เพื่อสังคม (สวส.)

๒. นายธนาวฒุ ิ ศภุ างคะรัตน์ หวั หนา้ สว่ นงานส่งเสรมิ และพัฒนาวิสาหกิจ

เพอื่ สงั คม

๒.๒.๗ สถาบนั สิ่งแวดลอ้ มไทย

๑. นายวจิ ารย์ สิมาฉายา ผู้อานวยการสถาบนั สงิ่ แวดล้อมไทย

๒. นายนธิ วิ ัฒน์ แก้วเปรมกุศล เจา้ หนา้ ที่



๒.๒.๘ สถาบนั พระปกเกล้า

สานกั ส่งเสรมิ วิชาการรฐั สภา

๑. นางสาวธรี พรรณ ใจมั่น ผู้อานวยการสานักส่งเสรมิ วชิ าการรัฐสภา

๒. นางกันธรตั น์ ลาเทศ พนักงานฝึกอบรมและบริหารโครงการ

๓. นายกิฎาพล ภทั รธรรมา พนักงานฝึกอบรมและบริหารโครงการ

๔. นางสาวชยานษิ ฐ์ ไกรจิรารุลกั ษณ์ พนักงานฝึกอบรมและบริหารโครงการ

๒.๒.๙ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร

- รองศาสตราจารย์ดลเดช ตั้งตระการพงษ์ หัวหน้าหน่วยขับเคล่ือนนวัตกรรมเพือ่ สังคม

๒.๒.๑๐ มหาวทิ ยาลัยแมโ่ จ้

- นายกัลย์ กลั ยาณมิตร ผอู้ านวยการอทุ ยานวิทยาศาสตร์

เทคโนโลยเี กษตรและอาหาร

๒.๒.๑๑ มหาวทิ ยาลัยแมฟ่ า้ หลวง

- นางชลดิ า ธนินกลุ ภรณ์ หัวหนา้ ส่วนจัดการทรัพยส์ ินทางปญั ญา

และนวตั กรรม

๒.๒.๑๒ โรงพยาบาลมะเรง็ อดุ รธานี

- นายแพทย์อสิ ระ เจยี วริ ยิ บุญญา ผอู้ านวยการโรงพยาบาลมะเร็งอดุ รธานี

๒.๒.๑๓ สภาอตุ สาหกรรมพษิ ณโุ ลก

- นายณฐกร โซ่จินดามณี ประธานอาวุโส

๒.๒.๑๔ มลู นิธิสหธรรมกิ ชน

- นายอิทธศิ ักดิ์ เลอยศพรชยั ประธานมูลนิธิสหธรรมกิ ชน

๒.๒.๑๕ บริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสารวจและผลติ จากัด

๑. นางสาวพรสุรยี ์ กอนนั ทา ผจู้ ดั การฝ่ายกจิ การองคก์ ร

๒. นายคมสนั ต์ โอ๊ยนาสวน ผู้ชว่ ยผ้จู ัดการฝา่ ยกิจการสัมพนั ธ์

๒.๒.๑๖ บรษิ ทั ฮาบิ 32 จากดั

- นายนราธิป อา่ เท่ยี งตรง กรรมการบรหิ าร

๒.๒.๑๗ บริษัทซาลสั ไบโอซูตคิ อล (ประเทศไทย) จากดั

- นายธนดี พนั ธุมโกมล CEO บริษทั ซาลัส ไบโอซตู คิ อล

(ประเทศไทย) จากัด

๒.๒.๑๘ บรษิ ัท จีเอน็ แลนด์ จากัด

- นายชนิ ะ สทุ ธาธนโชติ บริษทั จีเอน็ แลนด์ จากัด



๓. ผลการพิจารณาศึกษา
คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ขอรายงานผลการศึกษา

เร่ือง ปัจจัยสู่ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานราก โดยพิจารณาจากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ
และเอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ซึ่งคณะกรรมาธิการได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการการลงทุน
และเศรษฐกิจฐานราก ศึกษาและจัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยคณะกรรมาธิการได้พิจารณารายงาน
ของคณะทางานด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว และได้มีมติให้ความเห็นชอบกับรายงานดังกล่าว โดยถือว่า
เป็นรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการ

จากการศึกษาเร่ืองดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมาธิการจึงขอเสนอรายงานการศึกษา
ของคณะกรรมาธิการ โดยมีรายละเอียดตามรายงานแนบท้ายน้ี เพ่ือให้วุฒิสภาได้พิจารณาหากวุฒิสภา ให้ความเหน็ ชอบ
ด้วยกับผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการ ขอได้โปรดแจ้งไปยังคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานอื่นท่ีเก่ียวข้อง
เพื่อพิจารณาและดาเนนิ การตามแต่เห็นสมควรต่อไป ทงั้ นี้ เพือ่ ประโยชนข์ องประเทศชาติและประชาชน

นายรณวริทธ์ิ ปริยฉัตรตระกูล
เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอตุ สาหกรรม

วฒุ ิสภา

บทท่ี 1

บทนำ

1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญ

ปัจจุบัน หลายประเทศได้มุ่งเน้นการดาเนินนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับ
ฐานราก เพื่อใหช้ มุ ชนมีรายได้มากยิง่ ขึน้ และหลุดพ้นจากความยากจน โดยอาจใช้รปู แบบวิสาหกจิ ชมุ ชน
(Community Enterprise) ดังเช่น การพัฒนาในกลุ่มหมู่เกาะคาริบเบียนซึ่งเป็นประเทศกาลังพัฒนา
หรืออาจจะใช้รูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลกาไร
หรือผลประกอบการเพื่อสังคมโดยใช้รูปแบบการทางานของธุรกิจเพ่ือเชื่อมภาคธุรกิจและภาคสังคม
เข้าด้วยกัน อย่างเช่นกรณีของประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป เช่น ประเทศอังกฤษ ท่ีมีวิสาหกิจเพื่อสังคมกว่า
70,000 แหง่ สรา้ งรายได้รวมกว่า 18.5 พนั ลา้ นปอนดต์ อ่ ปี และยังเปน็ การชว่ ยเหลอื ให้คนดอ้ ยโอกาสมี
งานทา ท้ังนี้ การพฒั นาเศรษฐกจิ ในระดบั ฐานรากยังถอื เป็นแนวทางท่สี อดคล้องกบั เปา้ หมายการพฒั นา
ทยี่ ง่ั ยนื (Sustainable Development Goals – SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ท่ีกาหนดเปา้ หมาย
สาคัญประการหนึ่ง คือ การมุ่งขจัดความยากจนทุกรูปแบบที่สาคัญ แม้แต่ในกลุ่มประเทศอาเซียน
(ASEAN) ก็ยังมองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจในระดบั ฐานรากจะเป็นรากฐานสาคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ให้แกป่ ระเทศสมาชกิ ในกลมุ่ อาเซียนดว้ ย

สาหรับประเทศไทย รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2560 ในหมวดที่ 16
ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ได้กาหนดให้สร้างกลไกเพ่ือส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจ
เพ่ือสังคม รวมถึงการสร้างกลไกเพื่อเพิ่มโอกาสในการทางานและการประกอบอาชีพของประชาชน
การกาหนดยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ในยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาค
ทางสังคม ได้กาหนดประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
โดยกาหนดไวใ้ นประเดน็ ท่ี 4.1 เรื่องการลดความเหล่ือมล้าและสรา้ งความเปน็ ธรรมในทกุ มิติ ซ่ึงจะต้อง
มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก โดยเน้นระบบจัดการตนเองของเกษตรกร และมีกลไกในการขับเคล่ือน
เศรษฐกิจฐานรากเพ่ือให้เกษตรกรเข้าถึงฐานทรัพยากร การวิจัย ความรู้ ท้ังทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เพ่ือพัฒนาการผลิต ตลอดจนเพ่ิมช่องทางการตลาดที่สาคัญ ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตรช์ าติยังกาหนด
ประเด็นท่ี 16 เรื่อง เศรษฐกิจฐานราก โดยมองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจะเป็นเครื่องมือสาคัญ
ในการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้เป็นประเทศท่ีมีรายได้สูงและมีการกระจาย
รายได้อย่างท่ัวถึง ท้ังน้ี โดยกาหนดให้การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมุ่งเน้นไปท่ีการส่งเสริมเศรษฐกิจ
ระดับชุมชนท้องถ่ินให้มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขันและพ่ึงพาตนเองได้ ซึ่งจะนาไปสู่
การแกไ้ ขปัญหาความยากจน และลดความเหลอ่ื มล้าได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะมีการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในหลายพ้ืนท่ีซ่ึงอาจ
ดาเนินการในรูปแบบวิสาหกิจชุมชนหรือรูปแบบอื่น ๆ อีกท้ังท่ีผ่านมา ยังได้มีการจัดสรรงบประมาณ
เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก แต่ก็มีการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในบางพ้ืนที่เท่าน้ันท่ีประสบความสาเร็จ
ซ่ึงในบางพ้ืนท่ี การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากก็ยังไม่ถือว่าประสบความสาเร็จ อีกทั้งยังพบอุปสรรค

2

ในการพัฒนาท่ีสาคัญ แม้ว่าจะมีหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานราก แต่การวางแนวทางส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากโดยหน่วยงานภาครัฐ
ยังขาดการบูรณาการ ส่งผลให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกจิ ฐานรากในปัจจุบันยังไมบ่ รรลุผลหรอื ยงั ไม่
ยัง่ ยืนเทา่ ท่คี วร

คณะอนุกรรมาธิการการลงทุนและเศรษฐกิจฐานราก ในคณะกรรมาธิการการพาณิชย์
และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ในฐานะหนึ่งในกลไกการทางานของวุฒิสภา ซึ่งมีหน้าที่และอานาจ
ในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายตามหมวดที่ 16 ว่าด้วย
การปฏิรูปประเทศ และการดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และยังมีหน้าที่และอานาจในการพิจารณา
ศึกษา ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก การส่งเสริม การสนับสนุน
การพัฒนา การเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิต การตลาด การจาหน่ายสินค้าและ
บริการของวิสาหกิจเริ่มตน้ วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพอ่ื สังคม ผู้ประกอบการ และชุมชน ให้มีความเข้มแข็ง
มีการเติบโตอย่างย่ังยืน ตลอดจนวิเคราะห์ สังเคราะห์ เสนอแนวคิด กลไก และวิธีการที่เหมาะสม
ในการแก้ปัญหาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก จึงร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งมีพันธ กิจหลัก
ในการส่งเสริมและให้บริการทางวิชาการแก่สมาชิกรัฐสภา เพ่ือจัดทาการศึกษา เรื่อง “ปัจจัย
สคู่ วามสาเรจ็ ของเศรษฐกจิ ฐานรากโดยพิจารณาจากนโยบายการบรู ณาการหนว่ ยงานภาครฐั และเอกชน
ตามยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี” ท้ังน้ี เพอ่ื ให้ได้ข้อสรปุ และขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายเพือ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ
ฐานรากใหป้ ระสบความสาเรจ็

1.2 วัตถปุ ระสงคใ์ นกำรศกึ ษำวจิ ัย

1.2.1 เพอื่ ศกึ ษาปัจจยั ทม่ี ีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ประสบความสาเร็จ
1.2.2 เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ประสบความสาเรจ็ ในตา่ งประเทศ
1.2.3 เพ่อื ศกึ ษาปัญหา และอปุ สรรคในการพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากของประเทศไทย
1.2.4 เพ่อื จดั ทาขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายเพ่อื การพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากให้ประสบความสาเร็จ

1.3 ขอบเขตในกำรศึกษำ

1.3.1 ขอบเขตด้านระยะเวลา
การดาเนนิ การดังกลา่ ว จะดาเนินการภายใตช้ ว่ งปงี บประมาณ พ.ศ. 2563

1.3.2 ขอบเขตดา้ นเนอื้ หา ประกอบดว้ ย
1) แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจฐานราก การพัฒนาเศรษฐกิจ

ฐานราก และรูปแบบการพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากใหป้ ระสบความสาเรจ็
2) กรณีศึกษาต่างประเทศที่เกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

ให้ประสบความสาเรจ็ ในตา่ งประเทศ ได้แก่ ญ่ีปุ่น จนี และเวยี ดนาม
3) นโยบาย กฎหมาย ระเบียบตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
(1) ยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี พ.ศ. 2561 - 2580
(2) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบบั ท่ี 12 พ.ศ. 2560 - 2564
(3) แผนปฏิรูปประเทศดา้ นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสงั คม

3

(4) นโยบายการพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากของประเทศไทย
(5) พระราชบญั ญัติส่งเสรมิ วสิ าหกิจเพือ่ สังคม พ.ศ. 2562
(6) พระราชบัญญัตกิ ารจดั การประชารัฐสวัสดกิ ารเพื่อเศรษฐกจิ ฐานรากและสังคม

พ.ศ. 2562
4) ปจั จยั ที่มีผลตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากท่ีประสบความสาเร็จ
5) ปญั หาและอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากของประเทศไทย
6) แนวทางในการสง่ เสริมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพ่ือการพัฒนาด้านเกษตรแปรรูป
ด้านการทอ่ งเที่ยวชุมชน และด้านอุตสาหกรรม

1.4 ระเบยี บวธิ วี จิ ยั

การศึกษาคร้ังน้ี ดาเนินการในหลากหลายรูปแบบ โดยใช้แบบจาลอง CIPP Model
ของ Daniel L. Stufflebeam เป็นหลักในการศึกษา ทั้งที่เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพและการศึกษา
เชงิ ปริมาณ ดังรายละเอียดต่อไปน้ี

1.4.1 การศึกษาเชงิ ปริมาณ โดยในการดาเนนิ การศกึ ษาครั้งนี้ ได้สอบถามความคิดเห็น
ของคณะกรรมการ สมาชิกกลุ่มเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้การสัมภาษณ์
แบบเป็นทางการ (formal Interview) และการสัมภาษณ์พูดคุยแบบไม่เป็นทางการ (Informal Interview)
กับผู้นากลุ่ม กลุ่มอาชีพ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษาในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากดา้ นเกษตรแปรรูป
ด้านการท่องเท่ียวชุมชน และด้านอุตสาหกรรม จานวน 24 กลุม่ ในพ้นื ที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จงั หวดั ลาพูน
จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเลย จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดสระบุรี จังหวัดสุพรรณบรุ ี จังหวัดพัทลุง และจังหวดั
นครศรีธรรมราช จานวน 317 ชุด แบบสอบถามประกอบด้วย 5 ส่วน ดังนี้ 1) ด้านประชากรศาสตร์
2) ปจั จยั สภาพแวดลอ้ มภายนอก 3) ปจั จัยสภาพแวดล้อมภายใน 4) กระบวนการดาเนินงาน และ 5) ผลผลิต
จากการดาเนินงานโดยกาหนดเกณฑ์การให้ความหมายของการให้คะแนนในแต่ละช่วงมีพิสัยคะแนน
1 – 5 ซงึ่ มีเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดงั น้ี

 ค่าคะแนน 1 หมายถึง เหน็ ดว้ ยนอ้ ยท่สี ดุ /นอ้ ยทส่ี ดุ
 ค่าคะแนน 2 หมายถึง เห็นดว้ ยน้อย/นอ้ ย
 ค่าคะแนน 3 หมายถงึ เหน็ ด้วยปานกลาง/ปานกลาง
 คา่ คะแนน 4 หมายถงึ เหน็ ด้วยมาก/มาก
 ค่าคะแนน 5 หมายถงึ เหน็ ด้วยมากท่ีสดุ /มากท่ีสุด

1.4.2 การศึกษาเชงิ คุณภาพ โดยมีเคร่อื งมือและกระบวนการในการศึกษารายละเอยี ด ดังนี้

(1) การศึกษาจากเอกสารท่ีเก่ียวข้อง (Documentary research) ท้ังที่เป็นเอกสาร
ระดบั ปฐมภมู ิ และทตุ ยิ ภมู ิ อาทิ การศึกษาแนวคดิ และทฤษฎที ีเ่ กีย่ วขอ้ งกับเศรษฐกิจฐานรากการพฒั นา
เศรษฐกิจฐานราก และรูปแบบการพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากให้ประสบความสาเรจ็ การศกึ ษา กรณศี กึ ษา
ต่างประเทศทเ่ี กยี่ วกบั รปู แบบการพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากให้ประสบความสาเรจ็ ประเทศญป่ี นุ่ จนี และเวยี ดนาม
การศึกษายุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนปฏิรูป แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ

4

แนวนโยบายต่าง ๆ ของประเทศไทยท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ตลอดจนศึกษา
การจัดสรรงบประมาณ การสง่ เสริมการลงทนุ กฎหมาย (เช่น พระราชบญั ญัตกิ ารจัดประชารฐั สวสั ดกิ าร
เพ่ือเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. 2562) กฎระเบียบ มาตรการทางภาษี และมาตรการอื่น ๆ
ของหน่วยงานภาครัฐทใี่ ชใ้ นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ข้อมลู /สถติ ิ รวมทั้งการศกึ ษาวจิ ัย วิทยานิพนธ์
ท่ีเกี่ยวขอ้ ง และการศึกษาเอกสาร ข้อมลู เบ้อื งต้นทีเ่ กี่ยวกับกลุม่ ซึ่งเปน็ พ้นื ที่กรณศี กึ ษา

(2) การเชิญหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ท้ังหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้ามาช้ีแจง
และร่วมแลกเปล่ียนต่อสถานการณ์การดาเนินการ ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานราก โดยเป็นการแลกเปล่ียนผ่านการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการการลงทุนและเศรษฐกิจฐานราก
ในคณะกรรมาธิการการพาณิชยแ์ ละการอตุ สาหกรรม วุฒสิ ภา

(3) การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความชานาญเกี่ยวกับการการพัฒนา
เศรษฐกิจ การพัฒนาชุมชน การส่งเสริมการลงทุน ท้ังในส่วนที่เป็นผู้กาหนดนโยบาย นักวิชาการ
นกั ธุรกิจ สมาชกิ วฒุ สิ ภา รวมจานวน 17 คน

(4) การถอดบทเรยี นชมุ ชน กลุ่มอาชพี กลุม่ วสิ าหกิจชุมชน กรณีศกึ ษาในงานพฒั นา
เศรษฐกิจฐานราก ดา้ นเกษตรแปรรูป ด้านการทอ่ งเท่ยี วชมุ ชน ดา้ นอุตสาหกรรม เพอ่ื ศกึ ษาขอ้ มลู การดาเนนิ งาน
ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้ประสบความสาเร็จในพ้ืนที่
กรณีศึกษา 4 จังหวดั ได้แก่ จงั หวัดลาพนู จงั หวัดนครศรีธรรมราช จงั หวัดเลย และจงั หวัดสระบรุ ี

(5) การศึกษาดูงานและการเสวนา (การประชุมเชิงปฏิบัติการ) เรื่อง “ปัจจัยสู่
ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานราก โดยพิจารณาจากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษาในงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้านเกษตร
แปรรูป ด้านการท่องเท่ียวชุมชน ด้านอุตสาหกรรม จานวน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต จังหวัด
บรุ ีรัมย์ จังหวัดนา่ น และจงั หวดั จนั ทบรุ ี การสนทนากลุ่ม (Focus Group) โดยดาเนินการใน 3 แนวทาง
ได้แก่

(5.1) การประชุมร่วมหัวหน้าส่วนราชการระดบั จังหวัดท่เี กีย่ วข้องกับการดาเนนิ การ
ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อรวบรวมปัญหา อุปสรรค ความคาดหวัง และแนวทางในการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานรากใหป้ ระสบความสาเร็จ

(5.2) การจัดเสวนา (การประชุมเชิงปฏิบัติการ) โดยกระบวนการสนทนากลุ่ม
(Focus Group) การสนทนากลุ่มกับกลุ่มอาชีพ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษาในงานพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานราก ด้านเกษตรแปรรูป ด้านการท่องเที่ยวชุมชน และด้านอุตสาหกรรมในพ้ืนที่ เพื่อให้ได้ข้อมูล
การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากท่ีประสบความสาเร็จ ในพ้ืนที่
กรณีศึกษา 4 จังหวดั ไดแ้ ก่ จังหวดั ภูเกต็ จงั หวัดบุรรี มั ย์ จังหวัดน่าน และจงั หวัดจันทบรุ ี

(5.3) การสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการ “เศรษฐกจิ ฐานรากพลังการขับเคลือ่ น
เศรษฐกิจไทย” โดย คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ร่วมกับกระทรวง
การพัฒนาสังคมและความมนั่ คงของมนุษย์ ระหว่างวันท่ี 25 - 26 มีนาคม 2564 ห้องประชุมสานักงาน
การเคหะแห่งชาติ สรุปการแบ่งกลุ่มระดมสมอง เรื่อง “ปัจจัยสู่ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานราก
โดยพจิ ารณาจากนโยบายการบรู ณาการหน่วยงานภาครฐั และภาคเอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ป”ี

5

1.5 กำรตรวจสอบเครือ่ งมอื ในกรณีของแบบสอบถำม

การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คณะผู้วิจัยฯ ได้ดาเนินการ
ตรวจสอบเคร่ืองมือโดยการวัดความเท่ียงตรงของแบบสอบถาม (Content Validity) จากท่ีปรึกษา
โครงการฯ และนาไปปรึกษากับผู้เช่ียวชาญ และดาเนินการปรับแก้แบบสอบถามตามความคิดเห็น
ของทีป่ รกึ ษาโครงการฯ และผู้เชี่ยวชาญดา้ นตา่ ง ๆ กอ่ นจะนาแบบสอบถามไปตรวจสอบความนา่ เชอ่ื ถอื
(Reliability) โดยการนาแบบสอบถามจานวน 30 ชุด ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างก่อนนาไปใช้จริง
(Pre-test) เพื่อตรวจสอบภาษาท่ีใช้ในข้อคาถามว่าสื่อความหมายได้ตรงหรือไม่ ซ่ึงพบว่า จากการนาข้อมูล
ที่ได้ไปวิเคราะห์ความนา่ เช่อื ถอื ของแบบสอบถาม โดยใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รูปทางสถิติ SPSS หาความเชอื่ มนั่
ของแบบสอบถาม สัมประสิทธ์ิแอลฟา (Alpha-coefficient) ของ Cronbach ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความน่าเช่ือถือได้
ของแบบสอบถาม ได้เทา่ กบั .97 ทั้งนี้ ความน่าเชอ่ื ถอื ของแบบสอบถามตอ้ งมคี า่ ไมต่ ่ากว่า 0.7

1.6 กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล

1.6.1 การวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากแบบสอบถาม การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative
Research) เมื่อรวบรวมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือคานวณหาค่าสถิติต่าง ๆ
เพ่อื การนาเสนอขอ้ มลู โดยมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี

(1) การวิเคราะหข์ ้อมลู ด้วยสถติ เิ ชงิ พรรณนา (Descriptive Analysis)
- ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา

สูงสุด อาชีพหลัก จานวนคนในครอบครัว รายได้เฉล่ียต่อเดือน และข้อมูลด้านกลุ่ม วิเคราะห์โดยแจกแจง
ความถี่และรอ้ ยละ

- ความคิดเห็นตอ่ ปจั จยั ดา้ นสภาพแวดล้อมภายนอก แบง่ ออกเปน็ 5 ประเดน็
คือ ด้านกฎหมาย ด้านการเมือง ด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม และด้านสถานการณ์ปัจจุบัน วิเคราะห์
โดยแจกแจงความถ่ี การหาคา่ เฉลี่ยและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน

-ความคิดเห็นต่อปัจจัยภายใน ได้แก่ ทุนชุมชน ผู้นาชุมชน การรวมกลุ่มและเครือข่าย
การบริหารจัดการชุมชน การมีส่วนร่วมชุมชน และการต่อยอดกิจกรรมวิเคราะห์โดยแจกแจงความถ่ี
การหาคา่ เฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน

- ความคิดเห็นตอ่ กระบวนการดาเนนิ งาน แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น คือ การเขา้ ถงึ
ปัจจัยการผลิต การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพื่อประโยชน์ในการต่อยอด
การตลาด การสอื่ สารสร้างการรบั รเู้ พอื่ ความย่ังยืน และการบริหารจัดการ วเิ คราะห์โดยแจกแจงความถ่ี
การหาค่าเฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน

- ความคิดเห็นต่อผลการดาเนินงานของกลุ่ม ได้แก่ ครอบครัวมีรายได้เพ่ิม
กระจายรายได้ในชุมชน เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน การจัดกิจกรรม
สาธารณประโยชน์ การจัดระบบสวัสดิการชุมชน และคนในชุมชนมีความสุข วิเคราะห์โดยแจกแจงความถี่
การหาคา่ เฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน

ระดบั คะแนนเฉลย่ี โดยกาหนดเกณฑค์ ะแนนในการพจิ ารณา แบ่งเป็น 5 ระดบั
ดังน้ี

คะแนนเฉลีย่ ระหว่าง 1.00 – 1.80 หมายถึง เห็นด้วยนอ้ ยทสี่ ุด/นอ้ ยทส่ี ุด

6

คะแนนเฉล่ยี ระหว่าง 1.81 – 2.60 หมายถงึ เหน็ ด้วยน้อย/น้อย
คะแนนเฉลยี่ ระหว่าง 2.61 – 3.40 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยปานกลาง/ปานกลาง
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.41 – 4.20 หมายถึง เห็นดว้ ยมาก/มาก
คะแนนเฉลย่ี ระหว่าง 4.21 – 5.00 หมายถึง เหน็ ด้วยมากทส่ี ุด/มากทส่ี ดุ
(2) การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics Analysis)
ใช้การวิเคราะห์เพ่ืออ้างอิงตวั เลขทางสถิติไปสกู่ ลมุ่ ประชากร โดยใช้ค่า t-test และ One-Way ANOVA
และ Multiple Regression Analysis เพ่ือทดสอบสมมติฐาน

1.6.2 การวิเคราะหข์ ้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่ม โดยการวิเคราะห์เน้ือหา (Content
Analysis) เพ่ือวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการถอดบทเรียนกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชนจากการสนทนากลุ่ม
เพ่อื วิเคราะหข์ อ้ มลู เก่ียวกับปจั จัยดา้ นตา่ ง ๆ ท่สี ง่ ผลตอ่ การดาเนินงานของกล่มุ กระบวนการดาเนนิ งาน
ของกลมุ่ ผลลัพธ์จากการดาเนนิ การ ตลอดจนแนวทางการปฏิบตั ทิ ด่ี ี ข้อเสนอต่อการบริหารจัดการกลมุ่
และขอ้ เสนอเชงิ นโยบายเพอื่ การออกแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต่อไป

1.7 ประโยชน์ท่ีคำดว่ำจะได้รบั
1.7.1 ไดท้ ราบถึงปจั จัยที่มผี ลต่อการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากทปี่ ระสบความสาเร็จ
1.7.2 ได้ทราบถึงรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากท่ีประสบความสาเร็จ

ในตา่ งประเทศ (ประเทศญปี่ ุ่น จนี และเวียดนาม)
1.7.3 ได้ทราบถงึ ปญั หา และอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากของประเทศไทย
1.7.4 ไดข้ อ้ เสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้ประสบความสาเรจ็

7

บทท่ี 2

แนวคดิ ยทุ ธศาสตร์ชาติ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากในประเทศไทย
และเอกสารทเี่ กีย่ วขอ้ ง

ในส่วนของการดาเนินการของบทท่ี 2 ประกอบด้วย 2 ส่วน คอื แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานราก ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในประเทศไทย และเอกสาร
ท่ีเกี่ยวข้อง ดังรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

2.1 แนวคิดเกย่ี วกับวสิ าหกิจชมุ ชน
2.2 แนวคิดเกีย่ วกับทุนชมุ ชน
2.3 แนวคดิ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
2.4 แนวคิดและเป้าหมายการพัฒนาท่ียั่งยืน
2.5 แนวคดิ เกย่ี วกบั เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวยี นและเศรษฐกจิ สเี ขียว
2.6 ยทุ ธศาสตรช์ าติว่าดว้ ยการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
2.7 นโยบายว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในประเทศไทย
2.8 รายงานการศึกษา เรื่อง “การฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้านการผลิตและการค้า

ผลิตภณั ฑ์ท้องถ่ินและชุมชน ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019
2.9 พระราชบัญญตั ิสง่ เสริมวสิ าหกจิ เพอ่ื สังคม พ.ศ. 2562
2.10 พระราชบัญญตั กิ ารจัดการประชารัฐสวสั ดิการเพ่ือเศรษฐกจิ ฐานรากและสังคม พ.ศ. 2562
2.11 ดษุ ฎีนิพนธ์ เรื่อง การพัฒนาการท่องเทย่ี วเชิงสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบ

การบริการ กรณศี ึกษา : การทอ่ งเท่ียวโดยชมุ ชนบ้านปางห้า จังหวดั เชยี งราย

ดงั รายละเอียดท่ีปรากฏด้านล่าง

2.1 แนวคิดเก่ียวกบั วสิ าหกจิ ชุมชน

วิสาหกิจชุมชนเป็นธุรกิจของคนในชุมชนเปรียบเสมือนเคร่ืองมือสาคัญในการพัฒนา
ให้เศรษฐกิจชุมชนมีความเจริญก้าวหน้าอย่างย่ังยืน ซ่ึงมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมาย
ของวิสาหกิจชุมชน (Community enterprise) ดงั ต่อไปนี้

เสรี พงศ์พิศ (2545) ได้กล่าวไว้ว่าคาว่า “วิสาหกิจ” แปลจากภาษาอังกฤษว่า “Enterprise”
ซึ่งแปลว่า “การประกอบการ” แต่ในปัจจุบันมีคาว่า “วิสาหกิจชุมชน” (SMCE : Small and Micro
Community Enterprise) เกิดขนึ้ ซ่ึงผู้คนเรม่ิ หันมาให้ความสาคัญกบั วสิ าหกิจชมุ ชนจนกลา่ วไดว้ ่าเปน็
ยคุ แห่งวิสาหกจิ ชมุ ชน วสิ าหกจิ ชุมชนเป็นแนวคิดท่มี ุง่ แปรรูปผลผลิตตามธรรมชาติ หรอื สรา้ งผลติ ภัณฑ์
หรือผลิตผลโดยครอบครัวในชุมชน โดยองค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชน เพื่อการบริโภค
และสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนโดยมีหลักการคิดที่สาคัญ คือ สร้างความหลากหลายของผลผลิตและ
ผลติ ภัณฑ์ในชมุ ชน เพ่ือการบริโภคแบบพึ่งพาตนเอง ลดรายจา่ ยใหค้ รอบครัว สร้างเสริมสุขภาพอนามยั ที่ดี

8

ให้ตนเอง และมีคุณธรรมรับผิดชอบตอ่ สมาชิกคนอ่นื ๆ ท่ีอยู่ร่วมในชมุ ชน ไม่เห็นแก่ประโยชนด์ ้านกาไร
สูงสุดและเอาเปรียบผบู้ ริโภค

วิสาหกิจชุมชนเกิดจากการที่คนกลุ่มหนึ่งในชุมชนมาร่วมมือกันทาอะไรบางอย่าง
ทเ่ี กีย่ วกับการผลติ การแปรรปู การจัดการทรพั ยากร การจดั การทนุ การจดั การตลาด โดยมีการซือ้ ขาย
ในลักษณะสหกรณ์ แต่แตกต่างกันที่ระเบียบและกฎเกณฑ์ ซ่ึงวิสาหกิจชุมชนเนน้ การแบ่งปันการชว่ ยเหลอื กัน
มากกว่าการแข่งขัน วิสาหกิจชุมชนจึงเป็นหน่วยท่ีทาให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ ไม่แตกแยก แบ่งพวก
และไม่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง เพราะวิสาหกิจชุมชนคือ การเน้นการช่วยเหลือกัน
(เสรี พงศพ์ ิศ, 2552 น.9-10)

พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 ได้ให้ความหมายของคาว่าวิสาหกจิ
ชุมชนไว้ว่าหมายถึง กจิ การของชมุ ชนเกีย่ วกบั การผลติ สนิ คา้ การใหบ้ รกิ าร หรอื การอื่น ๆ ทด่ี าเนินการ
โดยคณะบุคคลท่ีมีความผูกพัน มีวิถีชีวิตร่วมกันและรวมตัวกันประกอบกิจการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคล
ในรูปแบบใดหรือไม่เป็นนิติบุคคลเพื่อสร้างรายได้และเพื่อการพึ่งพาตนเองของครอบครัว ชุมชนและ
ระหวา่ งชมุ ชน (สานกั งานเลขานุการคณะกรรมการสง่ เสรมิ วิสาหกิจชมุ ชน, 2548)

สานกั งานวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดย่อย (2556, หน้า 1) ให้ความหมายไวว้ ่ากจิ การ
ของชุมชน ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การผลิตสินคา้ การใหบ้ ริการหรอื การบริการอ่ืน ๆ ที่ดาเนินการโดยคณะบคุ คล
ทม่ี ีความผูกพัน มวี ิถชี วี ิตร่วมกันและรวมตวั กัน ประกอบกิจการดังกล่าวไม่วา่ จะเป็นนิติบคุ คลในรูปแบบใด
ห รื อ ไ ม่ เ ป็น นิ ติบุค คล เ พื่ อ ราย ไ ด้แ ล ะก าร พึ่ งพ า ต น เ อ งข อง คร อบ ครั ว ใ น ชุ มช น แ ล ะ ระห ว่างชุมชน
โดยใช้ทรัพยากรผลผลิต ความรู้ภูมิปัญญาวัฒนธรรม วิถีตนเองโดยยึดเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก
เพอื่ ใหช้ มุ ชนเขม้ แขง็ เพื่อเปน็ ส่วนตอ่ ยอดใหเ้ ศรษฐกจิ ข้างบนทีแ่ ข็งแรงเพราะมีรากฐานท่ีแข็งแรง

วิสาหกิจชุมชนจึงเป็นฐานรากของเศรษฐกิจชุมชน ที่ช่วยสร้างความม่ันคงในแบบชีวิต
พนื้ ฐานทพ่ี อเพียง มกี ลไกกระต้นุ ใหเ้ กดิ การเรียนรดู้ ้วยตนเอง ร้จู ักแสวงหาความร้มู าพัฒนาเพ่ือยกระดบั
ผลิตภัณฑ์และบริการ อาศัยหลักความสามัคคีอันก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสมาชิกและชุมชน
มีการดาเนินการแบบบูรณาการโดยเป็นการประกอบการที่เช่ือมโยงเข้าสู่วงจรชีวิตของชุมชน
เพ่อื ใหค้ นในชุมชนบรรลเุ ป้าหมายของการพึง่ พาตนเองอยา่ งย่งั ยืนในทา้ ยทีส่ ดุ

สานักงานเลขานกุ ารคณะกรรมการส่งเสริมวสิ าหกจิ ชุมชน (2548 : 2) กลา่ วว่า วสิ าหกจิ ชมุ ชน
มีลักษณะที่สาคัญอยู่ 7 อย่างด้วยกัน ซ่ึงถือเป็นองค์ประกอบของวิสาหกิจชุมชน คือ 1) ชุมชนเป็น
เจ้าของกิจการเอง แต่อย่างไรก็ดี คนนอกอาจมีส่วนร่วมโดยอาจมีการถือหุ้นได้เพื่อการมีส่วนร่วม
ร่วมมือและให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่หุ้นใหญ่ทาให้มีอานาจในการตัดสินใจ 2) ผลผลิตมาจาก
กระบวนการในชุมชน ซึ่งอาจจะนาวัตถุดิบบางส่วนมาจากภายนอกได้แต่เน้นการใช้ทรัพยากร
ในท้องถิ่นให้มากที่สุด 3) ริเร่ิมสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมของชุมชน เพื่อการพัฒนาศักยภาพของชุมชน
ซึ่งมีความรู้ ภูมิปัญญา หากมีกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมเกิดมีความเช่ือมั่นในตัวเองก็จะริเร่ิม
สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้โดยไม่เอาแต่เลียนแบบหรือแสวงหาสูตรสาเร็จ 4) มีฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น
ผสมผสานกับภูมิปัญญาสากลฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นฐานทุนท่ีสาคัญ เป็นการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น
โดยปรับประยุกต์ให้ทันสมัย ผสมผสานกับความรู้ภูมิปัญญาสากลหรือจากท่ีอื่น 5) มีการดาเนินการ
แบบบูรณาการเช่ือมโยงกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทาแบบโครงการเด่ียว คล้ายกับปลูกพืชเดี่ยว

9

แต่เป็นการทาแบบวนเกษตร คือมีหลาย ๆ กิจกรรมประสานผนึกพลัง (synergy) และเกื้อกูลกัน
(cluster) 6) มีกระบวนการเรียนรู้เป็นหัวใจหลัก การเรียนรู้คือหัวใจของกระบวนการพัฒนา วิสาหกิจ
ชมุ ชน หากไม่มีการเรยี นรกู้ ็จะมีแตก่ ารเลียนแบบ การหาสูตรสาเรจ็ โดยไมม่ คี วามคิดสรา้ งสรรคใ์ หม่ ๆ หากไม่มี
การเรียนรู้ก็จะไม่มีวิสาหกิจชุมชนบนฐานความรู้ แต่บนฐานความรู้สึก ความอยาก ความต้องการตามทสี่ ือ่
ในสังคมกระตุ้นให้เกิด ทาให้ความอยาก กลายเป็นความจาเป็นสาหรับชีวิตไปหมด 7) มีการพึ่งตนเอง
เป็นเป้าหมาย การพึ่งตนเองคือเป้าหมายอันดับแรกและสาคัญที่สุดของวิสาหกิจชุมชน ถ้าหากพลาด
เป้าหมายน้ีคือพลาดเป้า วิสาหกิจชุมชนจะกลายเป็นธุรกิจท่ีมีเป้าหมายที่กาไรก่อนที่จะคิดทาให้รอด ไม่
พัฒนาเป็นข้ันเป็นตอนใหเ้ กิดความม่ันคง ก่อนท่จี ะกา้ วไปพัฒนาธรุ กจิ

ดวงเดือน สมวัฒนศักดิ์ (2548) กล่าวว่า การดาเนินงานวิสาหกิจชุมชน จาเป็นต้องต้ังอยู่
บนหลักพ้ืนฐาน 3 ประการ ไดแ้ ก่

1) วิสาหกจิ ชุมชนเปน็ กระบวนการการประกอบกจิ การของชุมชนเพ่อื ให้ชุมชน สามารถ
พง่ึ ตนเองได้

2) การประกอบกจิ การต้องมุ่งเน้นการใช้ภูมิปญั ญาท่ีสอดคลอ้ งกบั วิถชี วี ิตและความต้องการ
ของชุมชนเปน็ หลัก

3) มุ่งเน้นการสร้างโอกาสและเพิ่มรายได้ทั้งในระดับครัวเรือน กลุ่มองค์กร เครือข่าย
และชมุ ชน

ในขณะที่กรมการพัฒนาชุมชน (2546) ได้อธิบายหลักการของวิสาหกิจชุมชน
โดยอธิบายจากความหมายของวสิ าหกิจชมุ ชนไว้ ดงั นนั้

1) หลกั การใชภ้ ูมปิ ัญญาท้องถิน่ พฒั นาทรพั ยากรของชุมชน
2) หลักการมสี ่วนรว่ มของประชาชน และองคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่
3) หลักการส่งเสริมเครอื ขา่ ยองค์กรและพัฒนาผู้นา
4) หลักการบรู ณาการทุนและสินทรัพยข์ องชุมชน
5) หลักการเรยี นรู้และการเชือ่ มโยงการพฒั นา
6) หลกั การบริหารจดั การและการตดั สินใจโดยชมุ ชน
7) หลักการอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม
8) หลักการหาผลประโยชนร์ ่วมกัน
9) หลักการตดิ ตาม ตรวจสอบใหโ้ ปร่งใสและยุติธรรม
10) หลักการต่อยอดและขยายผล
11) หลกั การวิจัยและพัฒนา
12) หลักการพ่งึ ตนเอง

นอกจากนี้แล้วกรมการพัฒนาชุมชน (2546) ได้อธิบายถึงองค์ประกอบของวิสาหกิจ
ชุมชนว่ามีลักษณะทีส่ าคัญ 5 ประการ ดงั น้ี

1) เป็นกิจการของชุมชน หมายถึง เป็นการประกอบกิจการทั้งด้านการผลิต และบริการ
ที่กลุ่มคนในชมุ ชนเปน็ เจา้ ของไม่ใชข่ องผ้ใู ดผู้หนึ่ง

10

2) ดาเนินการโดยใช้ทุนของชุมชน และมีการบริหารจัดการท่ีเหมาะสม หมายถึง
กิจการท่ีดาเนินการโดยใช้ทุนของชุมชนเป็นหลัก อันได้แก่ เงิน แรงงาน ทรัพยากร ภูมิปัญญา เป็นต้น
โดยมีการบรหิ ารจัดการ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีทีเ่ หมาะสมในการผลิตหรือการให้บริการ ด้วยความคิด
สร้างสรรค์ คิดค้นเองโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็นฐาน เป็นการจัดการแบบประสานพลังทากิจกรรม
ทางเศรษฐกิจและสงั คมแบบเสรมิ กัน ไม่แยกทางแบบเดีย่ วหรอื เปน็ เรอื่ ง ๆ

3) ดาเนินการด้วยหลักสามัคคีธรรม หมายถึง หมู่คณะในชุมชนมีส่วนร่วมในการ
ดาเนินกิจการอย่างเป็นเอกภาพ ก่อให้เกิดผลประโยชน์ส่วนรวมแก่สมาชิกและชุมชน โดยไม่ส่งผล
กระทบในเชงิ ลบตอ่ สาธารณะ อันหมายความรวมถงึ สภาพแวดล้อมของชมุ ชนดว้ ย

4) เน้นกระบวนการเรียนรู้ในการดาเนินการ หมายถึง ในการดาเนินการจะก่อให้เกิด
กระบวนการเรียนรู้ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองและชุมชน เรียนรู้ท่ีจะบริหารจัดการทุนชุมชน
ด้วยการรเิ ริม่ สร้างสรรคใ์ หเ้ กดิ นวตั กรรม

5) มีเป้าหมายเพื่อการพ่ึงพาตนเองของชุมชน หมายถึง การดาเนินกิจการมีเป้าหมาย
เพ่ือการพง่ึ ตนเองเปน็ รากฐาน ทาใหพ้ อกินพอใช้ในครัวเรอื น ชมุ ชน และเครอื ข่ายเปน็ ลาดับแรก

จนิ ตนา กาญจนวสิ ทุ ธิ์ (2558, หน้า 5-6) ได้กลา่ วถึงองค์ประกอบของวิสาหกจิ ชมุ ชน ดงั นี้
1) ชุมชนเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดาเนินการหลัก อาจมีบุคคลภายนอกมีส่วนร่วม
ในลักษณะของการถือหุ้นได้เพื่อการมีส่วนร่วม ร่วมมือและให้ความช่วยเหลือแต่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่
ท่ีจะทาใหม้ ีอานาจในการตดั สนิ ใจ
2) ผลผลิตมาจากกระบวนการในชุมชน เน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้มากท่ีสุด
แตอ่ าจนาวตั ถดุ บิ บางสว่ นมาจากภายนอกได้
3) ริเริ่มสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมโดยชุมชน ชุมชนมีความรู้ มีภูมิปัญญา หากชุมชน
มีกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมชุมชนจะเกิดความเช่ือม่ันในตนเองและริเริ่มสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ
โดยไม่เลยี นแบบหรอื แสวงหาสูตรสาเรจ็ จากแหล่งอนื่ ๆ ซ่ึงเป็นการพฒั นาศกั ยภาพของชุมชน
4) มฐี านภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานกบั ภูมปิ ญั ญาสากลฐานภมู ิปญั ญาท้องถ่ินเป็นฐานทุน
ทส่ี าคัญเป็นการสบื ทอดภูมปิ ัญญาท้องถิ่น โดยประยกุ ตใ์ หผ้ สมผสานกับความรูภ้ มู ปิ ัญญาสากล
5) มีการดาเนินการแบบบูรณาการเชื่อมโยงกจิ กรรมตา่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ คอื มหี ลาย
ประสานและผนึกกาลังและเกอื้ กลู กัน

เสรี พงศ์พิศ และคณะ (2544) ได้นาเสนอแนวทางการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนไว้ 3 ข้อ
สรปุ ได้ดงั น้ี

1) การพัฒนาวิสาหกิจชุมชนควรเน้นการใช้ทรัพยากรและบุคคลภายในชุมชนเอง
เพื่อการพึง่ พาตนเอง และเป็นรากฐานให้กบั ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม

2) การพัฒนาวิสาหกิจชุมชนจึงควรเริ่มต้นและดาเนินงานจากภายในชุมชน ใช้การบริหาร
จัดการทเ่ี ปน็ อสิ ระ สอดคล้องกบั ศักยภาพขององค์กรชุมชน โดยใช้ปจั จัยการผลิตและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น
เปิดโอกาสให้ชุมชนได้เรียนรู้ ท้ังด้านการจัดการผลิต การพัฒนาระบบทุน และสวัสดิการชุมชน ไม่ใช่
การคอยโอกาสหรือแสวงหากาไรสงู สดุ

11

3) การพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ควรเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนด้วยการแสวงหา
ความร่วมมือกับองค์กรภายนอก โดยชุมชนเปน็ ผตู้ ัดสินใจเรื่องตา่ ง ๆ เอง

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าชุมชนควรมีบทบาทในการริเริ่มสร้างวิสาหกิจชุมชนด้วยตนเอง
ด้วยการระดมศักยภาพของชุมชน มีการวางแผนและการจัดการแหล่งวัตถุดิบ แหล่งเรียนรู้และสร้างเครือขา่ ย
องคก์ รชมุ ชนเพื่อให้เกิดระบบการจดั การและการพฒั นายิง่ ขนึ้

ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (2542) นาเสนอปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวกาหนดความสาเร็จ
หรอื ความลม้ เหลวของธุรกจิ ชมุ ชนไว้อยา่ งนา่ สนใจ ดงั ต่อไปนี้

1) ปัจจัยด้านการเงิน โดยแหล่งท่ีมาของเงินทุน สาหรับการประกอบการธุรกิจชุมชน
มี 3 แหล่ง ได้แก่ เงินทุนของตนเอง เงินทุนจากแหล่งเงินกู้และเงนิ ทนุ จากการระดมทุนจากคนในชมุ ชน
โดยเงินทุนจากการระดมทุนจากคนในชุมชน โดยเงินทุนจากการระดมทุน เป็นแหล่งการเงิน ท่ีสร้าง
โอกาสในการเจรญิ เตบิ โตของธรุ กจิ ได้ดกี วา่ เงินทุนจากการกยู้ มื

2) ปัจจัยด้านการตลาด วิสาหกิจชุมชนต้องมีตลาดรองรับผลผลิตของตนเอง มีกลุ่มลูกค้า
ทพ่ี อเพยี งและเปน็ ลูกคา้ ประจา โดยต้องรู้จกั แหลง่ ขายและวธิ ีการขาย การตลาดถือวา่ เปน็ ตวั นาการผลิต

3) ปัจจัยด้านการผลิต การผลิตของวิสาหกิจชุมชนท่ีจะประสบผลสาเร็จต้องสอดคลอ้ ง
กบั โอกาสทางการตลาดและผลผลิตต้องเป็นทต่ี อ้ งการของตลาด

4) ปัจจัยด้านการบริหารจัดการ การบรหิ ารงานเก่ยี วกับวสิ าหกจิ ชุมชน แบ่งเปน็ 3 ดา้ น
ซึ่งแตล่ ะดา้ นมอี ทิ ธพิ ลต่อความสาเร็จของวสิ าหกิจ ดังน้ี

(1) การจัดการด้านการเงิน วิสาหกิจชุมชนต้องมีความสามารถในการระดม
และสะสมทุนท่นี ามาใชใ้ นการดาเนนิ งาน

(2) การจัดการด้านระบบงาน วิสาหกิจชุมชนต้องมีโครงสร้างการทางานท่ีชัดเจน
มกี ารแบ่งหน้าทกี่ นั ทาและมีการตรวจสอบควบคมุ อยา่ งเป็นระบบ

(3) การจัดการดา้ นระบบบุคลากร ผู้บริหารและสมาชกิ ของวิสาหกิจชุมชนตอ้ งใช้ระบบ
ส่งั การ การบังคับบญั ชาทีเ่ ข้มแข็งจรงิ จงั สว่ นดา้ นคณุ สมบัติของผูบ้ ริหารและสมาชกิ เองนนั้ ต้องเป็นผ้มู ีคุณธรรม
และมคี วามเสยี สละด้วย

5) ปจั จยั ดา้ นผนู้ า จากการศึกษาพบว่าวิสาหกิจชุมชนที่กอ่ ต้ังโดยบุคคลที่ประสบผลสาเร็จ
ในอาชีพ หรือโดยคณะบุคคลที่เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน การระดมทุนจะทาได้ง่าย กิจการขยายตัวได้
รวดเร็วและมีโอกาสในการประสบความสาเรจ็ สูง

6) ปัจจัยด้านแรงงาน แรงงานในวิสาหกิจชุมชนท่ีมีลักษณะเป็นลูกจ้างส่วนใหญ่มีน้อย
โดยมากเป็นประเภททางานให้ตัวเอง (Self Employed) ภายในครอบครัวส่วนใหญ่พบว่าเป็นแรงงาน
ไร้ฝีมอื ขาดทักษะประสบการณ์และความรเู้ ป็นแรงงานของคนรุ่น พอ่ แม่ ปู่ ย่า เปน็ สาคัญ

7) ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของสมาชิก การเกิดขึ้นการคงอยู่และการเติบโตท่ีย่ังยืน
ของวิสาหกิจชุมชน ตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื ร่วมใจของชมุ ชน กล่าวคอื สมาชิกตอ้ งร่วมกันคดิ ร่วมตดั สนิ ใจ
ร่วมกนั ทางานและร่วมรับผิดชอบ

และทั้งนี้ กฎหมายได้กาหนดให้มีการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนอย่างครบวงจรไว้ 3 ระดบั
ไดแ้ ก่ 1) ระดบั ปฐมภูมิ สง่ เสรมิ การจดั ตัง้ การใหค้ วามรู้ การศึกษาวจิ ยั ในการนาทนุ ชมุ ชนมาใช้เหมาะสม
การร่วมมือกันในชุมชน เพ่ือให้ชุมชนมคี วามเขม้ แข็งและพ่ึงตนเองได้ 2) ระดบั สงู ขึน้ ส่งเสริมการพฒั นา

12

ผลิตภัณฑ์ การรักษาคุณภาพ การศึกษาวิจัยเทคโนโลยีและการตลาด การสร้างความเชื่อถือทางธุรกิจ
และความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค การประสานงานแหล่งเงินทุนเพ่ือให้สามารถเป็นผู้ประกอบการ
หรือพัฒนาไปสู่การประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไปในอนาคต และ 3) การส่งเสริม
เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน รัฐจะให้การสนับสนุนการจัดตั้งการประกอบการ การตลาด ความสัมพันธ์
และความร่วมมอื กนั ระหว่างเครือข่ายหรือภาคธรุ กิจหรืออุตสาหกรรมอื่น เพ่ือขยายและสร้างความม่ันคง
ให้แกก่ จิ การวสิ าหกิจชุมชน

2.2 แนวคิดเกีย่ วกับทนุ ชมุ ชน

แนวคิดเก่ียวกับทุนชุมชน ถูกกล่าวถึงจริงจังในปี 2540 จากการจัดต้ังกองทุนเพ่ือการลงทุน
ทางสังคม (Social Investment Fund : SIF) หรือช่ือย่อว่ากองทุนชุมชน เกิดข้ึนท่ามกลางภาวะวิกฤติ
เศรษฐกิจฟองสบู่แตก การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้วิกฤติเป็นโอกาส ซึ่งทาให้รัฐบาลตัดสินใจ กู้เงินจาก
ธนาคารโลก (World Bank) ดาเนินการกองทุนชุมชน (SIF) แนวความคิดของ SIF ต้องการแสวงหา
ทางออกใหม่ให้แก่สังคมเน้นการเสริมสร้างศักยภาพชุมชน สร้างทุนทางสังคม มุ่งช่วยเหลือ
กลุ่มคนว่างงาน กลุ่มคนยากจนและด้อยโอกาส เสริมสร้างการพ่ึงตนเองและความเข้มแข็งแก่ชุมชน
และหวังผลให้เกิดประชาคมและธรรมาภิบาล พยายามให้สังคมไทยหันกลับไปมองคุณค่าที่เคยมีอยู่
เช่น ความมีน้าใจ ความเอ้อื อาทร การช่วยเหลือเกอื้ กูล ภูมิปัญญา ประเพณี ความเช่ือ วัฒนธรรมชมุ ชน
รวมทั้งศักยภาพในการพฒั นาชุมชน เชน่ ผนู้ ากล่มุ องคก์ รประชาชน เครือขา่ ย เปน็ ตน้

ในประเทศไทยมองว่าทุนชุมชนเป็นทุนทางสงั คมท่ที าให้ชุมชนเข้มแข็ง ซ่งึ ประกอบด้วยทุน
ทรัพยากรธรรมชาติ ทุนวัฒนธรรม ความเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ การหลอมจติ ใจหลอมความคดิ การสร้างทักษะ
ในการจัดการ การแลกเปลีย่ นเรียนรรู้ ว่ มกนั โดยมีการรวมกาลังความคดิ ความรู้ สติปญั ญา และความชานาญ
ทม่ี ีอยู่ไปใช้ในการจดั การแก้ไขปญั หารว่ มกัน รวมทง้ั มกี ระบวนการแลกเปล่ียนเรยี นร้รู ่วมกนั อกี ด้วย

โกวทิ ย์ พวงงาม ได้แบง่ ประเภทของทุนชุมชนไว้ ดงั น้ี
1) ทนุ พื้นฐาน (basic Capital) ได้แก่ ระบบสาธารณูปโภคตา่ ง ๆ เช่น น้าไหล ไฟสวา่ ง
ทางดี สื่อสารสะดวกรวดเร็ว เพราะถือเป็นปัจจัยข้ันพ้ืนฐานในการดารงชีวิตของชุมชน ซึ่งเป็นตัวเสริม
ให้ การดาเนินงานของชุมชนประสบความสาเร็จได้ ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นสิ่งท่ีทาให้เกิดความ
ยุ่งยากต่อการดาเนินงานชุมชนมากข้ึนได้เช่นกัน อาทิ ระบบการติดต่อส่ือสารท่ีสะดวกรวดเร็วและไร้พรมแดน
อย่างอินเตอร์เน็ต หากถูกนาไปใช้ในทิศทางที่เป็นประโยชน์ก็จะก่อให้เกิดการพัฒนา ในทางกลับกัน
หากว่านาไปใชใ้ นทางท่ีไม่ถกู ต้องก็จะกอ่ ให้เกดิ โทษทง้ั ต่อตนเองและชมุ ชน
2) ทุนธรรมชาติ (Natural Capital) ได้แก่ น้า แร่ธาตุ ป่าไม้ ทุนประเภทน้ีจะเป็นปัจจัย
สาคัญในการรองรับการผลิตของส่ิงมีชีวิตทั้งหลายในโลก แม้ว่าดินและน้าจัดเป็นสิ่งไม่มีชีวิต โดยเฉพาะ
ที่ดินน้ันถือได้วา่ เป็นผู้ใหก้ าเนดิ พืช สัตว์ แร่ธาตุในดินก็เป็นอาหารให้พืช แต่ถ้าใช้นาน ๆ ก็ย่อมเสื่อมลงได้
ดังนั้น ธรรมชาติต้องปรับปรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ ด้วยการกาหนดให้พืชแต่ละชนิด ต้องการสารอาหาร
แตกต่างกัน มีผลผลิต (ใบ ดอก ผล) ท่ีประกอบดว้ ยแร่ธาตุตา่ งกนั พรอ้ มท้งั เนรมิตใหป้ า่ เป็นแหล่งที่อยอู่ าศัย
ของสัตว์ป่าสัตว์หลากหลายชนิด เมื่อใบและผลร่วงสู่ดินกลายเป็นปุ๋ย แม่พระธรณีนั้นจะได้รับการปรับ
สภาพความสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา ทุกแห่งจึงมีต้นไม้ยืนต้นอยู่ได้นานนับร้อยพันปี พร้อมกับทาหน้าทีเ่ ป็น
แหล่งต้นน้าหรือเพ่ิมความชุ่มชื้นในดินเอาไว้ใช้อย่างไม่ขาดแคลน เหตุนี้ ดินและน้าจึงเป็นทุนธรรมชาติ

13

จะคงอยู่โดยไม่เสื่อมโทรมตราบเท่าท่ีป่ายังคงสภาพอุดมสมบูรณ์เอาไว้ได้ โดยมนุษย์ไม่ต้องลงทุนซื้อ
ปุ๋ยเคมไี ปใสต่ น้ ไมใ้ นป่า เหมอื นเชน่ การใส่ปุย๋ ในการปลกู พืชเชงิ เดยี่ ว ดังนัน้ ความพิสดารของทนุ พ้นื ฐาน
ของป่า จึงได้แก่ ความไม่เส่ือมค่า ไม่สึกหรอในการใช้ ในป่าธรรมชาติดินและน้าเป็นทุนธรรมชาติทมี่ ีคา่
เทา่ กบั ศูนย์ และการที่ชมุ ชนมีฐานทรัพยากรธรรมชาติ และสามารถนาทรพั ยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์
โดยการบารงุ รกั ษาไม่ทาลายสิ่งแวดล้อมให้หมดไป กอ่ ใหเ้ กิดเป็นผลผลิตท่อี าศยั ฐานทรพั ยากรธรรมชาติ
ของชมุ ชน เรียกวา่ ทนุ ธรรมชาติ

3) ทุนแห่งชีวิตหรือทุนสร้างสรรค์ พืชสัตว์ทุกชนิด ภายในตัวมันเองเป็นทั้งทุน
และตัวการผลิต (ทาหน้าท่ีคล้ายเครื่องจักร) ดังจะเห็นได้จากการเลี้ยงลูกหมู ปากมันกินอาหารเข้าไปแล้ว
ร่างกายจะค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นจนอายุราว 8 เดือน ก็เป็นหนุ่มเป็นสาวพอที่จะแพร่พันธ์ุได้
ความเจริญเติบโตของหมู จากวันหนึ่งขึ้นไป นับว่าเป็นการสะสมทุนโดยปริยายพอโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว
แสดงว่าได้สะสมตัวมันเองจนกลายเป็นตัวการผลิต และจะทาการผลิตลูกหมูออกมาเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ
จนกว่าจะแกแ่ ลว้ หมดสภาพไป

4) ทุนมนุษย์ (Human Capital) ในหลักเศรษฐศาสตร์ ทุนนิยมถือว่ามนุษย์เป็นทุน
อย่างหน่ึงที่ใช้ในการผลิต จึงมักคิดค้นกันว่าการใช้พลังเพื่อทางานมีอยู่ในมนุษย์เท่าน้ัน ซ่ึงปัจจัยทุน
มนุษย์ดังกล่าว ในข้ันเจรญิ เติบโตจะมกี ารแพรพ่ ันธุ์ มันจะทาการผลติ ลูกหรือผลอย่างตอ่ เนอื่ ง หรือผลิต
ซ้าในปริมาณมาก ๆ ดังนั้น หากว่าชุมชนใดมีทุนมนษุ ย์มาก หมายถึง คนจานวนหน่ึงที่มคี ุณภาพเป็นคนเกง่
คนดี คนเสียสละ มีความรู้ สติปัญญาและทักษะ มีคุณธรรม มีวินัยและความรับผิดชอบ มีทัศนคติท่ีดี
ในการทางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายเพ่ือทาให้ส่วนรวม เป็นผู้นาให้กับสังคม
ก็เท่ากับว่ามีทุนแรงงานมากด้วยเช่นกัน จึงนับว่าเป็นคุณประโยชน์อย่างมากมาย หากว่าทุนมนุษย์นั้น
ได้รับการพัฒนาศักยภาพอยา่ งเพียงพอและเหมาะสมก็จะเป็นแรงสาคญั ประการหนึ่งที่จะทาให้เกดิ การ
พัฒนา ดงั น้ัน ทุนมนุษย์ก็คอื ความเปน็ มนษุ ยท์ ี่มีพลงั มีศักด์ิศรี และมีความเสมอภาค

5) ทุนความรู้ภูมิปญั ญา (Knowledge Wisdom Capital) ระบบความรหู้ รือภมู ิปัญญา
ท่ีมีอยู่ในชุมชนเป็นสิ่งมีคุณค่า แต่สภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ความรู้เฉพาะอาชีพหรือ
เฉพาะด้าน เช่น การบริหารจัดการธุรกิจ ความรู้ในการผลิต ความรู้ในเรื่องการตลาด มีความสาคัญ
มากข้ึน แต่ทาให้คนในชุมชนอ่อนแอลง เพราะไม่สามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยสี มัยใหม่ และความรใู้ ห้
เหมาะสมกับทอ้ งถ่ินของตนเองได้ เมอ่ื มปี ัญหากไ็ ม่สามารถแก้ไขปญั หาได้ กลายเป็นผู้ท่ีไมเ่ ทา่ ทันความรู้
ที่ตนเองใช้อยู่ต้องพ่ึงพิงคนอนื่ ดังน้ัน ทุนความรู้หรือทุนภูมปิ ัญญา คือ สิ่งท่ีเกิดข้ึนจากกระบวนการคดิ
ของชาวบ้านเอง ซึ่งผ่านประสบการณ์ทดลองแนวคิดของตนเองดว้ ยการปรับใช้ในการจัดการกับปัญหา
ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน ถือเป็นสติปัญญา เป็นองค์ความรู้ท้ังหมดของชาวบ้านท้ัง 3 มิติ คือ กว้าง ยาว ลึก
โดยอาศัยศักยภาพท่ีมีอยู่มาใช้ในการแก้ปัญหาการดาเนินวิถีชีวิตของตนและชุมชนได้อย่างภาคภูมิ
ภูมิปัญญาอาจจะเกิดขึ้นจากการสะสมการเรียนรู้มาเป็นระยะเวลายาวนานมีลักษณะเชื่อมโยงกันหมด
ไม่แยกส่วน

6) ทุนวัฒนธรรม (cultural capital) สามารถจาแนกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ วัฒนธรรม
ที่เป็นนามธรรมเช่น ความรู้ ความคิด ความเช่ือ ระบบความสัมพันธ์ คุณลักษณะของความเป็นมนุษย์
ของคนในแต่ละชุมชน และวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรม เช่น งานหัตถกรรม เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ ผลผลิต
ในรูปแบบต่าง ๆ ทุนวัฒนธรรม คือ สิ่งท่ีสะท้อนวิถีการดารงชีวิตและส่ิงต่าง ๆ ที่คนในชุมชนได้

14

สร้างสรรค์และสืบทอดมา ด้วยเห็นว่าเป็นส่ิงที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ในการดารงชีวิตของคน
ในชุมชน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนท่ัวไปมองเห็นได้ง่าย ก็คือ รูปธรรมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรมที่แต่ละชุมชนมีอยู่ เช่น การทานา การทาไร่ การทอผ้าไหม การจักสาน การทายา
สมุนไพร การใหบ้ รกิ ารการทอ่ งเท่ยี วของชุมชน

7) ทุนทางสังคม (Social Capital) หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ก่อตัวข้ึน
ในชุมชนหรือกฎเกณฑ์ทางสงั คมทรี่ ้อยรัดผู้คนให้อย่รู ่วมกนั เป็นชุมชน มีน้าใจ เอ้ืออาทร พ่ึงพาอาศยั กนั
ไว้เน้ือเช่ือใจกนั การมคี ุณธรรม จิตสานกึ สาธารณะ รวมถึงจารตี ประเพณี ความเช่อื วัฒนธรรม อาจสรปุ
ได้ว่าการมีจิตสานึกร่วมอันประกอบด้วยความรัก ความผูกพันท่ีคนในชุมชนมีต่อกัน ความสามัคคี
ปรองดองและการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก็สามารถเรียกว่า ทุนทางสังคมได้
(โกวิทย์ พวงงาม , 2553)

ในส่วนของกรมการพัฒนาชุมชนน้ัน ได้แบ่งประเภทของทุนชุมชนไว้ดังน้ี ทุน หมายถึง
ของเดิมหรอื เงนิ เดมิ ทมี่ ไี ว้ ลงไว้ กาหนดไว้ จัดต้งั ไว้ เพือ่ ประโยชน์ให้งอกงาม เชน่ มคี วามรเู้ ป็นทนุ มีเงนิ
เป็นทุน มีทรัพยากรธรรมชาติเป็นทุน มีแกนนาชุมชนเป็นทุน เป็นต้น ทั้งน้ีทุนสามารถแบ่งออกเป็น
1) ทนุ ท่เี ป็นเงินตรา คอื กองทุน เงินทนุ ทเี่ กดิ ขน้ึ จากการออม การสะสมทรพั ย์ รวมถงึ งบประมาณทีไ่ ดร้ บั
การสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ 2) ทุนท่ีไม่ใช่เงินตรา ทุนชุมชน หมายถึง สินทรัพย์หรือทรัพยากร
(ที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติและท่ีมนุษย์สร้างข้ึน) ท่ีก่อให้เกิดผลผลิตในการดารงชีวิตของคนและชุมชน
ทุนชมุ ชนจาแนกเปน็ 5 ดา้ น ได้แก่ ทุนมนษุ ย์ ทุนสงั คม ทนุ กายภาพ ทุนธรรมชาติและทนุ การเงิน

ทุนมนุษย์ (Human Capital) หมายถึง ความรู้ความชานาญด้านต่าง ๆ ของคนทุกเพศ
ทุกวัยในชุมชน ได้แก่ ความรู้ด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษา ด้านภูมิปัญญา เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน
ผู้นาชุมชนท้ังที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ครู พระสงฆ์ กลุ่มองค์กรต่าง ๆ เด็ก สตรี เยาวชน
ผสู้ งู อายุ ผดู้ อ้ ยโอกาส คนพิการ เด็กกาพรา้ เป็นตน้ รวมถงึ ผมู้ ฐี านะทางเศรษฐกจิ ทัง้ ยากจนและรา่ รวย

ทุนสังคม (Social Capital) หมายถึง ทรัพยากรทางสังคมที่ประชาชนใช้เพ่ือการดารงชีพ
รวมทั้งความไว้เนื้อเช่ือใจ การยอมรับซ่ึงกันและกันของคนในชุมชน กลุ่มองค์กร เครือข่าย
ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมท่ีมีความสัมพันธต์ ่อกัน ตลอดจนความเชื่อถอื ศรัทธา และวัฒนธรรมที่
สืบทอดมายาวนาน

ทุนกายภาพ (Physical Capital) หมายถึง ส่ิงท่ีมนุษย์ได้สร้างข้ึนเพื่ออานวยความสะดวก
ต่อการดาเนินชีวิต หรือเป็นปัจจัยพ้ืนฐานในการผลิตที่สนับสนุนการดารงชีพของประชาชน ได้แก่
การคมนาคมขนส่ง ระบบไฟฟ้า ประปา ระบบพลังงาน การส่ือสารโทรคมนาคม โบราณวัตถุ
โบราณสถาน หรือสง่ิ ปลูกสรา้ งต่าง ๆ เป็นตน้

ทุนธรรมชาติ (Natural Capital) หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ
ที่เป็นตัวกาหนดศักยภาพในการดารงชีวิต และการประกอบอาชีพของประชาชนในชุมชน ได้แก่ แหล่งน้า
ธรรมชาติ ป่าไม้ ดิน น้าภูเขา ทะเล เกาะ สัตว์ป่า แร่ธาตุ พลังงาน น้าพุ พืชพันธ์ุ ธัญญาหาร เป็นต้น
(สถาบนั พัฒนาองคก์ รชมุ ชน (องค์การมหาชน), 2558)

การดาเนินงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ทุนชุมชนมีบทบาทสาคัญในการขับเคล่ือน
การดาเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย กล่าวคือ ทุนชุมชนเป็นท้ังปัจจัยสาคัญท่ีส่งเสริมการดาเนินงาน
กระบวนการดาเนนิ งาน และผลลพั ธจ์ ากการดาเนินงาน

15
2.3. แนวคิดปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ได้พระราชทานคาจากดั ความของคาว่า เศรษฐกิจพอเพียง ว่าหมายถึง การดาเนินชีวิต การมีเศรษฐกจิ
แบบพอมีพอกนิ สามารถเลี้ยงดูอุ้มชูตนเองโดยใหม้ ีความเหมาะสม เพยี งพอกับความต้องการของตนเองได้
ท้ังนี้ ไม่ได้หมายความถึงว่าทุกครอบครัวจะต้องทาการผลิตอาหาร ถักทอเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
ด้วยตนเอง แต่หมายถึงในหมู่บ้านจะต้องมีความพอเพียงในระดับหนึ่ง (มูลนิธิชัยพัฒนา , ออนไลน์,
2548) ได้อธิบายถึงแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นท่ีมาของนิยาม 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ที่คณะอนกุ รรมการขับเคลือ่ นเศรษฐกิจพอเพียง สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคม
แห่งชาติ นามาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางต่าง ๆ ในปัจจุบัน
ซึง่ ประกอบด้วย ความพอประมาณ มเี หตุผล มภี มู คิ ุ้มกัน บนเง่อื นไขความรู้และคุณธรรม
ภาพที่ 2-1 แนวคดิ ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

ท่ีมา : คู่มือปฏิบัติการเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชนเพื่อยกระดับรายได้ครัวเรือน (น. 5) กรมการพัฒนาชุมชน
กระทรวงมหาดไทย, (2549), กรุงเทพฯ : สานกั สง่ เสรมิ วิสาหกิจชมุ ชน กรมการพฒั นาชุมชน.

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชน
ในทุกระดับ ต้ังแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ท้ังในการพัฒนาและบริหารประเทศ
ให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพ่ือให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
โดยความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบ
ภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีพอสมควรต่อการกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก

16

ทัง้ น้ีจะตอ้ งอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวงั อย่างยิ่งในการนาวิชาการตา่ ง ๆ มาใช้
ในการวางแผนและการดาเนินการทุกข้ันตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจ
ของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสานึกในคุณธรรม
ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา
และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ท้ังด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี (กรมการพัฒนาชุมชน
กระทรวงมหาดไทย, 2549)

นอกจากน้ี ประเวศ วะสี (2548 อ้างถึงใน อภิชัย พันธเสน, 2549) ได้สรุปแนวคิด
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงว่ามีลักษณะเป็นเศรษฐกจิ สายกลาง หรือเศรษฐกจิ แบบมัชฌิมาปฏิปาทา
ที่เช่ือมโยงและสัมพันธ์กบั ความเป็นครอบครวั ชุมชน วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมซ่ึงเป็นเศรษฐกิจทบ่ี รู ณาการ
เช่ือมโยงชีวิตจิตใจ สังคม ส่ิงแวดล้อม และความเป็นประชาสังคม ดังนั้น จึงอาจเรียกชื่อปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงในชื่ออ่ืน ๆ เช่น เศรษฐกิจพื้นฐาน เศรษฐกิจดุลยภาพ เศรษฐกิจบูรณาการ
หรือเศรษฐกจิ ศีลธรรม ดังนนั้ เศรษฐกจิ พอเพยี ง จึงมคี วามหมายถงึ ความพอเพยี งอยา่ งนอ้ ย 7 ประการ คอื

1) พอเพียงสาหรบั ทุกคน ทุกครอบครวั ไมใ่ ช่เศรษฐกจิ แบบทอดท้งิ กนั
2) จิตใจพอเพยี ง รักเออื้ อาทรผ้อู ่นื
3) สงิ่ แวดล้อมพอเพียง อนรุ ักษแ์ ละเพ่ิมพูนสิ่งแวดล้อมทจ่ี ะเป็นพนื้ ฐานในการประกอบอาชพี
4) ชมุ ชนเข้มแข็งพอเพยี ง รวมตวั กันแกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ เชน่ ปญั หาสังคม ปญั หาความยากจน
หรอื ปัญหาสิง่ แวดล้อม ฯลฯ
5) ปัญญาพอเพียง เรยี นรรู้ ว่ มกนั เท่าทนั กบั การเปลยี่ นแปลงโลก
6) ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานวัฒนธรรมพอเพียง เพราะเศรษฐกิจที่สัมพันธ์และเติบโตจากฐาน
ทางวัฒนธรรม อนั หมายถงึ วถิ ีชวี ิตของกล่มุ ชนท่สี มั พันธอ์ ยกู่ ับสิ่งแวดล้อม จงึ จะเป็นเศรษฐกิจท่มี ่นั คง
7) มคี วามมน่ั คงพอเพยี ง ไมผ่ ันผวนอย่างรวดเร็วจนกระท่งั มนษุ ยไ์ มส่ ามารถรบั ได้

นอกจากนี้ สุเมธ ตันติเวชกุล (2550) ได้สรุปหลักสาคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
วา่ เปน็ ปรัชญาทช่ี ี้ถงึ แนวการดารงอย่แู ละปฏบิ ตั ิตนของประชาชนในทกุ ระดับ ต้งั แต่ระดับบคุ คล ระดบั ชมุ ชน
จนถึงระดับรัฐ ท้ังในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนา
เศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เศรษฐกิจสาหรับคนยากจน
และไม่ใช่เศรษฐกิจท่ีต้องตระหนี่ถ่ีเหนียว พระองค์ทรงสอนให้ร่ารวยแต่รวยแล้วต้องรักษาให้คงอยู่
และยั่งยืน พระองค์ท่านรับส่ังให้หลักสามประการและเง่ือนไขประกอบสองประการเป็นแนวทางของ
การดาเนินชวี ติ การพัฒนาประเทศและจะนาไปใช้ในการบริหารงานในองค์กรใด ๆ กไ็ ด้ ดังน้ี ประการท่หี น่ึง
ให้ใช้เหตุผลเป็นเครื่องนาทาง อย่าใช้กิเลสตัณหา อย่าทาตามกระแส ต้องมีความกล้าหาญเพียงพอ
ที่จะเลือกหนทางในการดาเนนิ ชวี ิตโดยใชส้ ติปญั ญา ประการท่ีสอง ทาอะไรพอประมาณ คือ ตรวจสอบ
ศักยภาพของตนเองก่อนว่าตนเองมีจุดแข็งตรงไหน ซ่ึงการจะพัฒนาอะไรต้องดูจากขีดความสามารถ
ของตนเองว่าควบคุมได้หรือไม่ และยึดทางสายกลาง ความพอดีและมีความสมดุล และประการท่ีสาม
ทาอะไรให้มีภูมิคุ้มกันตลอดเวลา เน่ืองจากไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ ปัจจุบันสถานการณ์ต่าง ๆ
มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ทาให้การวางแผนพัฒนาทาได้ยากมีปัจจัยความเส่ียงตลอดเวลา

17

ซึ่งอีกนัยหนงึ่ ภูมิคุ้มกนั คือการบริหารความเสี่ยงน่ันเอง จากท่ีกล่าวมาท้ังหมด พระองค์ทรงใหม้ ีเง่ือนไข
รองรับทีส่ าคญั 2 ประการ คอื คนต้องมีคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม มีธรรมาภบิ าลและดาเนินชวี ิตดว้ ยความ
รอบรรู้ อบคอบ คอื ตอ้ งทันโลกอยูร่ ว่ มกบั การเปลีย่ นแปลงของโลกได้

ทองทิพภา วริ ยิ ะพันธ์ (2550) กลา่ ววา่ เศรษฐกิจพอเพยี งจะต้องคานงึ ถึงหลกั การสาคญั
สรุปได้ดังนี้ 1) ใช้ทางสายกลาง โดยเน้นการดาเนินชีวิตหรือการดาเนินงานในลักษณะไม่เร่งรัด
หรอื เช่อื งชา้ จนเกินไป มีความพอดี อยู่อย่างประมาณตน ตามฐานะ ตามอตั ภาพ ไม่หลงกระแสวตั ถนุ ยิ ม
มีอิสรภาพ สร้างพ้ืนฐานความม่ังคงให้กับชีวิตทาให้สามารถพ่ึงพาตนเองได้ 2) ให้ความสาคัญกับความพอประมาณ
โดยยึดหลักความมีเหตุผล และต้ังอยู่บนพื้นฐานความไม่ประมาท ใช้สติปัญญาในการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ
3) ให้ความสาคัญกับการเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ ให้มีความพอเพียงท้ังในด้านวัตถุ
และด้านจิตใจ เป็นการสร้างจิตสานึกเกี่ยวกับจริยธรรม คุณธรรม และความซ่ือสัตย์สุจริต ให้รู้จักคาว่าพอ
ขจดั ความโลภใหน้ ้อยลง ให้มคี วามสุขทั้งทางกาย จิตใจ ไม่เบียดเบยี นผู้อน่ื ไมก่ อ่ ความวุ่นวายใหแ้ ก่สังคม
โดยรวม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใหม้ นุษย์รู้จกั การพึ่งพาตนเองให้มากท่ีสุด รู้จักความพอเพียง รู้จักการช่วยเหลือ
ซึ่งกันและกันในด้านต่าง ๆ ดังน้ี 1) ด้านจิตใจ ยึดหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” โดยมีจิตสานึกที่ดีต่อ
ประเทศชาติ มีเมตตา เอ้ืออาทร ประนีประนอม เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ต้ัง รู้รักสามัคคี 2) ด้าน
สังคม ใหแ้ ต่ละชุมชนชว่ ยเหลือเก้ือกูลกัน มกี ารเชอื่ มโยงไปสู่เครือข่ายชมุ ชนที่เข้มแข็ง เพอ่ื ให้มกี ารกระจาย
รายได้ท่ีดีขึ้น มีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในทุก ๆ ด้าน 3) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
คานึงถึงการใช้และการจัดการทรัพยากรอย่างชาญฉลาด พร้อมทั้งหาทางเพ่ิมมูลค่า โดยยึดหลัก
ของความยั่งยืน 4) ด้านเทคโนโลยี ควรผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับภูมิปัญญาท้องถ่ิน และ
5) ด้านเศรษฐกิจ ควรให้ความสาคัญกับหลักการประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายที่ไม่จาเป็นทุกด้าน ลดการ
ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ยดึ หลกั พออยู่ พอกนิ พอใช้ หลกี เลย่ี งการกอ่ หนีท้ ี่ไม่มีผลตอบแทนท่ไี ม่คุม้ คา่

ท้งั นี้ สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ออนไลน์, 2550)
ได้กล่าวถึง การน้อมนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ ซึ่งทุกคนสามารถนาหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักปฏิบัติในการดาเนินชีวิตได้ไม่ใช่เฉพาะในหมู่คนจนหรือเกษตรกรโดยต้องเกดิ
จติ สานกึ มคี วามศรทั ธาเชือ่ มั่นเหน็ คุณคา่ และนาไปปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง แล้วจึงขยายไปส่คู รอบครวั ชุมชน
สังคมและประเทศชาติต่อไป โดยแบ่งเป็นระดับ ดังน้ี 1) ความพอเพียงระดับบุคคลและครอบครัว
มุ่งเน้นให้บุคคลและครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทั้งทางก ายและทางใจพึ่งพาตนเองอย่ าง
เต็มความสามารถไม่ทาอะไรเกินตัวดาเนินชีวิตโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นรวมท้ังใฝ่รู้และ
มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองเพื่อความมั่นคงในอนาคต และเป็นท่ีพึ่งให้ผู้อ่ืนได้ในท่ีสุด เช่น หาปัจจัย 4
มาเล้ยี งตนเองและครอบครัวจากการประกอบสัมมาชพี รขู้ ้อมูลรายรบั - รายจา่ ย ประหยดั แตไ่ ม่ตระหนี่
ลด ละ เลิก อบายมุข สอนให้เด็กรู้จักคุณค่า รู้จักใช้และรู้จักออมเงิน ดูแลรักษาสุขภาพ มีการแบ่งปัน
ภายในครอบครัว ชุมชนและสังคมรอบข้าง รวมถึงการรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และการอยู่ร่วมกับ
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม 2) ความพอเพียงระดับชุมชน คนในชุมชนมี
การรวมกลุ่มกันทาประโยชน์เพื่อส่วนรวม ช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในชุมชนบนหลักของความรู้
รักสามัคคี สร้างเป็นเครือข่ายเช่ือมโยงกันในชุมชนและนอกชุมชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การรวมกลุ่มอาชีพ องค์กรการเงินสวัสดิการชุมชน การช่วย

18

ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม 2) ความพอเพียงระดับชุมชน คนในชุมชนมี
การรวมกลุ่มกันทาประโยชน์เพื่อส่วนรวม ช่วยเหลือเก้ือกูลกันภายในชุมชนบนหลักของความรู้
รักสามัคคี สร้างเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันในชุมชนและนอกชุมชนทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การรวมกลุ่มอาชีพ องค์กรการเงินสวัสดิการชุมชน การช่วย
ดูแลรักษาความสงบความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมท้ังการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและ
ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในชุมชนมาสร้างประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างเสริมชุมชน
ให้มีความเข้มแข็งและมีความเป็นอยู่ท่ีพอเพียง 3) ความพอเพียงในภาคธุรกิจเอกชน เริ่มจากความ
มุ่งม่ันในการดาเนินธุรกิจท่ีหวังผลประโยชน์ หรือกาไรในระยะยาวมากกว่าระยะส้ัน แสวงหา
ผลตอบแทนบนพ้นื ฐานของการแบง่ ปัน มุ่งให้ทุกฝ่ายทเ่ี กีย่ วขอ้ งได้รับประโยชน์อยา่ งเหมาะสม และเป็น
ธรรมทงั้ ลูกคา้ คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงาน ด้านการขยายธุรกิจตอ้ งทาอยา่ งคอ่ ยเปน็ ค่อยไป รวมทั้งตอ้ ง
มคี วามร้แู ละเขา้ ใจธรุ กิจของตนเอง รู้จกั ลกู คา้ ศกึ ษาคู่แข่ง และเรียนรู้การตลาดอยา่ งถ่องแท้ ผลิตในสิ่ง
ท่ีถนัดและทาตามกาลัง สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเน่ือง มีการ
เตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงท่ีอาจเกิดขึ้น มีความซ่ือสัตย์รับผิดชอบต่อสังคมและป้องกัน
ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ท่ีสาคัญต้องสร้างเสริมความรู้และจัดสวัสดิการให้แก่พนักงานอย่างเหมาะสม
และ 4) ความพอเพียงระดับประเทศ เป็นการบริหารจัดการประเทศ โดยเริ่มจากการวางรากฐานให้
ประชาชนส่วนใหญ่อยู่อย่างพอมีพอกิน และพ่ึงตนเองได้ มีความรู้และคุณธรรมในการดาเนินชีวิต มีการ
รวมกลมุ่ ของชุมชนหลาย ๆ แหง่ เพ่อื แลกเปลีย่ นความรู้ สบื ทอดภูมิปญั ญาแลรว่ มกันพฒั นาตามแนวทาง
เศรษฐกิจพอเพียงอย่างรู้ รัก สามัคคี เสริมสร้างเครือข่ายเช่ือมโยงระหว่างชุมชนให้เกิดเป็นสังคมแห่ง
ความพอเพยี งในท่ีสุด

ด้านการนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาประยกุ ตใ์ ช้ สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร
(2555) กล่าวว่า พ้ืนฐานของประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ดังน้ัน จุดเร่ิมต้นของการพัฒนา
เศรษฐกิจพอเพียง คือ การฟ้ืนฟูเศรษฐกิจของชุมชนท้องถ่ินต้ังแต่ขั้นการฟื้นฟูและขยายเครือข่าย
เกษตรกรรมให้ยง่ั ยนื เป็นการพฒั นาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยูพ่ อกนิ ไปจนถึง
การแปรรูปอุตสาหกรรมครวั เรือน สร้างอาชพี และทกั ษะวิชาการ ซ่ึงจะเปน็ การพัฒนาทีละขั้นตอนเป็น
ลาดับ รวมถึงเทคโนโลยีที่ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ
และเรียนรู้จากโลกภายนอกด้วย ซ่ึงในการพัฒนาประเทศไม่ได้มีแบบอย่างตายตัวตามตา รา แต่ต้อง
เป็นไปตามสภาพภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ สังคมวิทยา วัฒนธรรมชุมชน ที่มีความหลากหลาย
ในขณะเดียวกันต้องเข้าใจการเปล่ียนแปลงของสังคมโลกท่ีเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วตามอิทธิพลของกระแส
โลกาภิวัตน์ ควบคู่ไปกับการพยายามหาแนวทางหรือวิธีการท่ีจะดารงชีวิตตามหลักการพ้ืนฐานของ
เศรษฐกิจพอเพียง ให้ดาเนินไปได้อย่างสมดุลและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในยุคโลกาภิวัตน์
โดยอาศัยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวสร้างภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบที่ชุมชนอาจจะได้รับ ไม่ให้
กระแสเหล่าน้ันมาทาลายเอกลักษณ์และวัฒนธรรมชุมชนจนต้องล่มสลายไป จากแนวพระราชดาริ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางท่ีใหป้ ระชาชนดาเนินตามวถิ ีแหง่ การดารงชีพท่ีสมบูรณ์ ศานตสิ ุข โดยมี
ธรรมะเปน็ เครอ่ื งกากบั และใจตนเป็นท่ีสาคญั ซึ่งกค็ ือวิถชี วี ิตไทย ท่ียดึ เสน้ ทางสายกลางของความพอดี
ในหลกั ของการพึ่งพาตนเอง 5 ประการ ได้แก่ 1) ความพอดีด้านจิตใจ คอื มีความเข้มแข็ง พ่ึงตนเองได้
มีจิตสานึกท่ีดี เอ้ืออาทร ประนีประนอม คานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความพอดีด้านสังคม คือ

19

มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน รู้จักผนึกกาลังและท่ีสาคัญมีกระบวนการ
เรยี นรู้ท่ีเกดิ จากฐานรากท่ีมั่นคงและแข็งแรง 3) ความพอดีดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม คือ
รู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาดและรอบคอบ เพ่ือให้เกิดความย่ังยืนสูงสุด ใช้ทรัพยากรทมี่ ีอยู่ในประเทศ
เพ่ือพัฒนาประเทศให้มั่นคงเป็นข้ันเป็นตอนไป 4) ความพอดีด้านเทคโนโลยี คือ รู้จักใช้เทคโนโลยี
ที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับความต้องการและควรพัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้าน และ
สอดคลอ้ งเปน็ ประโยชนต์ ่อสภาพแวดล้อม และ 5) ความพอดีด้านเศรษฐกจิ คอื เพิม่ รายได้ ลดรายจ่าย
ดารงชวี ิตอย่างพอสมควร พออยู่ พอกินตามอตั ภาพ และฐานะของตนเอง ดังนั้น จะเหน็ ได้วา่ การพฒั นา
เริ่มจากการสร้างพื้นฐาน ความพอกินพอใช้ ของประชาชนในชาติเป็นส่วนใหญ่ก่อน แล้วจึงค่อย
เสรมิ สรา้ งความเจริญและฐานะทางเศรษฐกจิ ตามลาดับ เพื่อจะได้เกิดสมดลุ ทางด้านต่าง ๆ หรอื เป็นการ
ดาเนนิ การไปอย่างเปน็ ขน้ั เปน็ ตอนจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนง่ึ

2.4 แนวคดิ และเป้าหมายการพฒั นาท่ีย่ังยนื

2.4.1 แนวคิดการพัฒนาท่ีย่งั ยนื

“การพัฒนาท่ีย่ังยืน” เร่ิมเข้ามามีบทบาทอย่างมากในกระแสการพัฒนาของ
สังคมโลก นับต้ังแต่ประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติรวมท้ังประเทศไทย ได้ร่วมลงนามในแผน
แม่บทของโลกเพ่ือการพัฒนาที่ย่ังยืนหรือแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) ในการประชุมสุดยอดของ
โลกทางด้านส่ิงแวดล้อม (Earth Summit) ท่ีประเทศบราซิล เม่ือปี 2535 ซ่ึงได้เป็นพันธกรณีท่ีแต่ละ
ประเทศจาเปน็ ตอ้ งแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาประเทศใหม้ งุ่ ความยง่ั ยนื สาหรบั ประเทศไทย
ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการพัฒนาที่ย่ังยืนในกระแสโลก มาปรับใช้ในกระบวนการวางแผนพัฒนา
ประเทศดว้ ย เช่นกนั

แนวทางการพัฒนาประเทศภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา จึงได้ปรับเปล่ียนทิศทางไปสู่ความย่ังยืนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) ซึ่งใช้เป็นกรอบทิศทางการ
พัฒนาประเทศในปัจจุบันน้ันได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาที่สมดุล ทั้งด้านคน สังคม เศรษฐกิจ และ
สงิ่ แวดลอ้ ม เพอื่ มงุ่ ส่เู ป้าหมาย “การพัฒนาทย่ี ่งั ยนื และความอยดู่ ีมีสขุ ของคนไทยทกุ คน”

การพัฒนาที่ยั่งยืนจาเป็นต้องดาเนินการอย่างเป็นองค์รวม เพื่อสร้างสมดุลให้
เกิดข้นึ ใน 3 มติ ิ ทัง้ มิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม มติ ดิ า้ นเศรษฐกจิ และมิตดิ า้ นสงั คม

แนวคิดของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ได้อธิบายการพัฒนาที่ย่ังยืนว่า
“การพัฒนาที่ย่ังยืนมีลักษณะที่เป็นบูรณาการ (Integrated) คือทาให้เกิดเป็นองค์รวม (Holistic)
หมายความว่า องค์ประกอบท้ังหลายที่เก่ียวข้องจะต้องมาประสานกันครบองค์ และมีลักษณะอีก
อย่างหน่ึง คอื มดี ุลยภาพ (Balance) หรือพูดอกี นัยหนึ่ง คือ การทาให้กิจกรรมของมนษุ ยส์ อดคล้อง กับ
กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ” น่นั ก็คือ การกาหนดแนวทางการพัฒนาจะต้องคานึงถึงปจั จยั ด้านมนุษย์ โดย
ให้คุณคา่ ทางวฒั นธรรมรวมอยใู่ นกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คม รวมท้ังการแก้ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มด้วย
ดังนั้นตามแนวคิดของพระธรรมปิฏก จึงสามารถสรุปได้ว่า “การพัฒนาท่ีย่ังยืน เป็นการพัฒนา
ท่ีครอบคลุมการพัฒนาในทุกด้านและทุกมิติ กล่าวคือ ท้ังเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและ

20

สง่ิ แวดลอ้ ม จิตใจ วฒั นธรรม ฯลฯ โดยมคี นเป็นศนู ย์กลางหรอื เปา้ หมายของการพฒั นา เพอ่ื ใหค้ นอยู่ดี
กนิ ดี และมคี วามสุข ท้ังคนในรนุ่ นี้และร่นุ ตอ่ ๆ ไป”” (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) , 2556)

คณะกรรมการเตรียมการประชุมสุดยอดฯ ของประเทศได้ร่วมกับสถาบัน
ส่ิงแวดล้อมไทย จัดระดมความคิดเห็นจากภาคีต่าง ๆ ได้ข้อยุติด้านคานิยามของการพัฒนาที่ย่ังยืนว่า
“การพัฒนาท่ียั่งยืนในบริบทไทย เป็นการพัฒนาที่ต้องคานึงถึงความเป็นองค์รวมของทุก ๆ ด้านอย่าง
สมดุล บนพื้นฐานของทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย ด้วยการมีส่วนร่วมของ
ประชาชนทุกกลุ่ม ด้วยความเอ้ืออาทร เคารพซึ่งกันและกัน เพ่ือความสามารถในการพ่ึงตนเอง และ
คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม” (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,
2556 : 1-5)

ทั้งน้ีการพัฒนาท่ียั่งยืนมีหลักการสาคัญ ได้แก่ 1) การพัฒนาที่ดาเนินไป
โดยคานึงถึงขีดจากัดของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสนองความต้องการในปัจจุบันโดย
ไมส่ ่งผลเสยี ต่อความตอ้ งการในอนาคต 2) การพัฒนาท่คี านงึ ถึงความเปน็ “องค์รวม” คือมองวา่ การจะ
ทาส่งิ ใดตอ้ งคานงึ ถึงผลกระทบท่ีจะเกดิ ข้นึ กบั ส่ิงอ่ืน ๆ ดังน้ัน การพฒั นาแนวนีจ้ งึ ยดึ หลกั ความรอบคอบ
และค่อยเป็นคอ่ ยไป รวมท้งั เปิดโอกาสให้ภาคกี ารพัฒนาต่าง ๆ เข้ามามสี ่วนรว่ มในกระบวนการพฒั นา
ด้วย 3) การพัฒนาทย่ี ง่ั ยนื ไมไ่ ด้ระบวุ ่าจะตอ้ งปฏิเสธ “ระบบเทคโนโลยี” เพียงแต่ต้องคานึงวา่ เทคโนโลยี
ที่นามาใชน้ ั้นควรเป็นไปในทาง “สรา้ งสรรค์” ไมใ่ ช่ “ทาลาย”(พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โต), 2556)

ในการพฒั นาท่ียงั่ ยนื มแี นวทางในการดาเนินงานใน 3 ดา้ น คือ 1) แนวทางด้าน
นิเวศวทิ ยา การพัฒนาทย่ี ัง่ ยืนให้ความสาคญั กบั คณุ ค่าของทรพั ยากรธรรมชาติ โดยเน้นเรอ่ื งความยงั่ ยืน
ของการทางานและประสิทธิภาพของระบบนิเวศ เพ่ือก่อให้เกิดความย่ังยืนทางนิเวศในระยะยาว ท้ังน้ี
เพ่ือสง่ มอบทนุ ทางธรรมชาติ ได้แก่ ทรพั ยากรธรรมชาตติ า่ ง ๆ และทนุ ท่ีมนษุ ย์สร้างขน้ึ ไดแ้ ก่ ปจั จัยการผลติ
และสินค้าต่าง ๆ ให้คนรุ่นอนาคตได้ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 2) แนวทางสังคม การพัฒนาที่ยั่งยืน
จะต้องสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ได้อย่างต่อเน่ืองโดยคานึงถึงความเป็นธรรม
ทางสังคมและกลุ่มชนระดับต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่สาคญั คือ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร 3)
แนวทางด้านเศรษฐกิจการพัฒนาที่ย่ังยืน หมายถึง การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างย่ังยืนยาวนานบน
พืน้ ฐานการสงวนรกั ษาทุนธรรมชาติไว้ใช้ประโยชน์สาหรบั คนรุน่ ปจั จุบันและร่นุ อนาคต ท้ังน้ี จาเป็นตอ้ ง
ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตและการบริโภค และการพัฒนาเทคโนโลยีท่ีไม่เป็นอันตรายต่อส่ิงแวดล้อม
ฉะนั้นหากยึดแนวทางการพัฒนาดังกล่าวข้างต้น สังคมโลกก็จะดาเนินไปด้วยกันได้อย่างสมดุล และ
ยงั่ ยืน (สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาต,ิ 2546)

สาหรับประเทศไทยมีการจัดทาข้อเสนอสาหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทไทย
จะต้องเป็น “การพัฒนาท่ีทาให้เกิดดุลยภาพของมิติทางเศรษฐกิจสังคม ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความอยู่ดีมีสุขของประชาชนตลอดไป” โดยมีกรอบแนวคิดของ
การดาเนนิ งานในแต่ละมติ ิของการพฒั นา ดังน้ี

1. การบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมอยา่ งย่งั ยนื ใหค้ วามสาคัญ
กับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในปริมาณที่ระบบนิเวศสามารถฟ้ืนตัวกลับสู่สภาพเดิมได้ และปล่อยมลพิษ
ออกสู่สิ่งแวดล้อมในระดับท่ีระบบนิเวศสามารถดูดซับและทาลายมลพิษนั้นได้ด้วย กล่าวคือ หากใช้

21

ทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วหมดไป (non-renewable) จาเป็นต้องหาทรัพยากรธรรมชาติ
ประเภทใช้แล้วไม่หมดไป (renewable) มาแทนที่ และต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วไม่หมดไปนี้
ไม่มากเกินขีดความสามารถของระบบนิเวศในการผลิตทดแทนได้ด้วย ทั้งน้ี เพื่อคงความอุดมสมบูรณ์
ของทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและคุณภาพส่ิงแวดล้อม เพื่อเป็นฐานการผลิตของ
ระบบเศรษฐกิจ และการดารงชีวติ ของมนุษย์ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่องตลอดไป

2. การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซ่ึงจะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจ
ของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีเสถียรภาพ มีความสมดุลและกระจายความม่ังคั่ง
เอ้ือประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่และต้องเป็นการเตบิ โตทย่ี ง่ั ยนื ได้ในระยะยาว

3. การพัฒนาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาคน
และสังคมให้เชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุล โดย
(1) พัฒนาคุณภาพคนไทยให้มีผลิตภาพสูงขึ้น รู้เท่าทันการเปล่ียนแปลง มีจิตสานึก พฤติกรรมและวิถี
ชีวิตท่ีไม่ทาลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2) มีสิทธิและโอกาสท่ีจะได้รับการจัดสรร
ทรัพยากรและผลประโยชน์จากการพัฒนา และได้รับการคุ้มครองอย่างท่ัวถึงและเปน็ ธรรม (3) มีระบบ
การจัดการทางสังคมท่ีเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคมในกระบวนการพัฒนา และ
(4) มีการนาทุนทางสังคมและทุนทางทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่หลากหลายมาประยุกต์ใช้ ให้เกิด
ประโยชนไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม (สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , 2546 : 1-5)

การพัฒนาที่ยั่งยืน จึงเป็นการให้ความสาคัญกับการพัฒนาท่ีสมดุลท้ังด้าน
คน สังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม จิตใจและวัฒนธรรม เพ่ือความสามารถในการพึ่งตนเอง
และคุณภาพชวี ติ ทด่ี ี อยู่ดมี ีสุข

2.4.2 เป้าหมายการพัฒนาท่ยี ง่ั ยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)

องค์การสหประชาชาติให้ความสนใจเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาตั้งแต่ช่วง
พ.ศ. 2515 โดยมีการจัดการประชุมเรื่องส่ิงแวดล้อมในระดับโลกข้ึนเป็นครั้งแรก ท่ีกรุงสต็อคโฮม
ประเทศสวีเดน และใน พ.ศ. 2526 ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการโลกในเรื่อง ส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา
(World Commission on Environment and Development) เพ่ือทาการศึกษาเรื่องการสร้างความ
สมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนา และต่อมาได้เผยแพร่เอกสารชื่อ Our Common Future
เรยี กรอ้ งใหม้ ีการเปล่ียนแปลงวธิ กี ารดาเนนิ ชวี ิตที่ฟ่มุ เฟอื ย เพอ่ื ใหม้ ีการพัฒนาที่ปลอดภัยตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม
เอกสารฉบับน้ีมีส่วนสาคัญต่อการประชุมสุดยอดของโลก หรือ The Earth Summit ที่ กรุง ริโอ เดอ
จาเนโร ประเทศบราซิล เม่ือ พ.ศ. 2535 ซ่ึงในการประชุมคร้ังน้ันได้มีการให้คาจัดกัดความคาว่า
“การพัฒนาที่ย่ังยืน” ไว้ว่า “การพัฒนาท่ีย่ังยืน เป็นการพัฒนาที่ตอบสนองความจาเป็นของคนยุค
ปัจจุบันโดยไม่ลดขีดความสามารถในการตอบสนองความจาเป็นของคนยุคต่อไป” (Development
that meets the needs of the present without compromising the ability of future
generations to meet their own needs)

การพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable Development : SD) เร่ิมต้นจากการประชุม
สหประชาชาติ ครั้งท่ี 2 ณ กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ใน พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) โดยประเทศ
สมาชิกต่าง ๆ ประชุมร่วมกันในหัวข้อว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาและได้เห็นชอบให้ประกาศ

22

หลักการแห่งส่งิ แวดลอ้ มและแผนปฏิบัตกิ าร 21 หรือท่เี รียกกนั วา่ Agenda 21 สาหรับทศวรรษ 1991–1999
และศตวรรษที่ 21 เพื่อเป็นแผนแม่บทของโลกสาหรับการดาเนินงานท่ีจะทาให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ทัง้ ในด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม และในเวลาต่อมาได้มีการจัดทาเปา้ หมายการพัฒนาแหง่ สหสั วรรษ
(Millennium Development Goals: MDGs) จานวน 8 เป้าหมาย ครอบคลุมระยะเวลา 15 ปี ใน
ระหวา่ ง พ.ศ. 2543 - 2558 ได้แก่

1. เปา้ หมายท่ี 1 ขจดั ความยากจนและความหวิ โหย
2. เปา้ หมายท่ี 2 ให้เดก็ ทุกคนได้รับการศึกษาระดบั ประถมศึกษา
3. เป้าหมายที่ 3 ส่งเสรมิ บทบาทสตรแี ละความเทา่ เทียมกนั ทางเพศ
4. เปา้ หมายท่ี 4 ลดอตั ราการตายของเด็ก
5. เปา้ หมายที่ 5 พัฒนาสขุ ภาพสตรมี ีครรภ์
6. เปา้ หมายท่ี 6 ต่อสโู้ รคเอดส์ มาเลเรีย และโรคสาคญั อน่ื ๆ
7. เป้าหมายท่ี 7 รกั ษาและจดั การส่งิ แวดลอ้ มอย่างยัง่ ยนื
8. เป้าหมายท่ี 8 สง่ เสรมิ การเปน็ หนุ้ สว่ นเพ่อื การพฒั นาในประชาคมโลก
ปัจจุบัน MDGs ได้สิ้นสุดลง ดังน้ัน องค์การสหประชาชาติจึงได้กาหนดเป้าหมาย
การพัฒนาข้ึนใหม่โดยอาศัยกรอบความคิดที่มองการพัฒนาเป็นมิติ (Dimensions) ทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคมและส่ิงแวดล้อม ให้มีความเชื่อมโยงกัน เรียกว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable
Development Goals (SDGs) โดยในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ คร้ังท่ี 70 ภายใต้
หัวข้อการประชุม เรื่อง การพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้นาประเทศต่าง ๆ ท่ีเข้าร่วมประชุมได้ร่วมรับรอง
ร่างเอกสารเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหลังปี 2015 (Sustainable Development Goals)
ทเี่ รียกว่า Transforming Our World : the 2030 Agenda for Sustainable Development สาหรับ
เป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืนของโลกใน 15 ปีข้างหน้า (นับจาก พ.ศ. 2558) ท่ีจะใช้เป็นทิศทางการพัฒนา
ของประชาคมโลก ต้ังแต่เดือนกันยายน ปี 2558 ถึงเดือนสิงหาคม 2573 ครอบคลุมระยะเวลา 15 ปี
โดยประกอบไปด้วย 17 เป้าหมาย (Goals) 169 เป้าประสงค์ (Targets) โดยเป้าหมายต่าง ๆ
ประกอบด้วย
1. เป้าหมายที่ 1 ขจดั ความยากจนในทุกรูปแบบ ทกุ ท่ี
2. เป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย บรรลุเป้าความมั่นคงทางอาหาร ปรับปรุง
โภชนาการ และสนบั สนุนการทาเกษตรกรรมอยา่ งยั่งยนื
3. เปา้ หมายที่ 3 สรา้ งหลักประกนั ใหค้ นมีชวี ิตท่มี ีคณุ ภาพ และส่งเสรมิ สุขภาวะท่ีดขี อง
คนทุกเพศทกุ วยั
4. เปา้ หมายท่ี 4 สรา้ งหลักประกนั ให้การศึกษามคี ุณภาพอย่างเท่าเทียมและครอบคลุม
และส่งเสริม โอกาสในการเรียนรตู้ ลอดชีวติ สาหรับทกุ คน
5. เป้าหมายท่ี 5 บรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่
สตรแี ละเด็กหญงิ
6. เป้าหมายท่ี 6 สร้างหลักประกันให้มีน้าใช้ และมีการบริหารจัดการน้าและการ
สขุ าภิบาลอย่างยง่ั ยนื สาหรบั ทุกคน

23

7. เป้าหมายท่ี 7 สร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ในราคา
ทย่ี อ่ มเยาและยง่ั ยนื

8. เป้าหมายที่ 8 สง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจท่ยี ั่งยืนและครอบคลุม และการ
จ้างงานเตม็ อัตรา และงานทมี่ ีคณุ ค่าสาหรับทกุ คน

9. เป้าหมายท่ี 9 สร้างโครงสร้างพ้ืนฐานทีม่ ีความตา้ นทานและยืดหยนุ่ ตอ่ การเปลี่ยนแปลง
ส่งเสรมิ การพัฒนาอตุ สาหกรรมท่คี รอบคลมุ และยง่ั ยนื และส่งเสริมนวัตกรรม

10. เปา้ หมายที่ 10 ลดความเหลอ่ื มล้าไมเ่ ท่าเทียม
11. เป้าหมายท่ี 11 ทาให้เมืองและการตั้งถ่ินฐานของมนุษย์มคี วามปลอดภยั ความตา้ นทาน
และยดื หย่นุ ต่อการเปล่ยี นแปลงอยา่ งครอบคลุมและยัง่ ยนื
12. เป้าหมายท่ี 12 สรา้ งหลกั ประกันใหม้ แี บบแผนการบริโภคและการผลติ ท่ยี ่ังยืน
13. เป้าหมายที่ 13 ดาเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับสภาวะการเปล่ียนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศและผลกระทบ
14. เป้าหมายที่ 14 อนุรักษ์และใช้มหาสมุทร ทะเลและทรัพยากรทางทะเลอ่ืน ๆ อย่างย่ังยืน
เพอ่ื การพัฒนาทย่ี ่ังยืน
15. เป้าหมายที่ 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน
การบรหิ ารจดั การปา่ ไม้ทยี่ ัง่ ยืน การต่อตา้ นการแปรสภาพเปน็ ทะเลทราย หยดุ ย้ังการเสือ่ มโทรมของดิน
และฟ้นื ฟูสภาพดนิ และหยดุ ย้งั การสูญเสียความหลากหลายทางชวี ภาพ
16. เป้าหมายท่ี 16 สนับสนุนสังคมท่ีสงบสุขและครอบคลุมสาหรับการพัฒนาที่ย่ังยืน
จดั ใหม้ กี ารเขา้ ถงึ ความยุติธรรมสาหรับทุกคน และสรา้ งสถาบนั ท่มี ปี ระสิทธิภาพ มีความรับผดิ ชอบ และ
มคี วามครอบคลมุ ในทุกระดบั
17. เป้าหมายที่ 17 เสริมสรา้ งความแข็งแกรง่ ของกลไกการดาเนนิ งานและฟน้ื ฟหู ุ้นส่วน
ความร่วมมือระดบั โลกเพือ่ การพฒั นาทีย่ ัง่ ยืน
ภาพท่ี 2-2 แสดงเปา้ หมายการพัฒนาทย่ี ง่ั ยนื หรือ Sustainable Development Goals (SDGs)

ที่มา : สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ.

24

เปา้ หมายการพัฒนาท่ียง่ั ยืน (SDGs) 17 เป้าหมาย ประกอบไปดว้ ย 169 เปา้ หมายย่อย
ท่มี ีความเป็นสากลเชื่อมโยงและเก้ือหนุนกัน และกาหนดให้มี 247 ตัวช้ีวัด เพ่ือใช้ติดตามและประเมิน
ความก้าวหน้าของการพัฒนา โดยสามารถจัดกลุ่ม SDGs ตามปัจจัยท่ีเชื่อมโยงกันใน 5 มิติ (5P)
ได้แก่ (1) การพัฒนาคน (People) ให้ความสาคัญกับการขจัดปัญหาความยากจนและความหิวโหย
และลดความเหลื่อมล้าในสังคม (2) ส่ิงแวดล้อม (Planet) ให้ความสาคัญกับการปกป้องและรักษา
ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศเพ่ือพลเมืองโลกรุ่นต่อไป (3) เศรษฐกิจและความม่ังค่ัง
(Prosperity) ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและสอดคล้องกับธรรมชาติ (4) สันติภาพและ
ความยุติธรรม (Peace) ยึดหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีสังคมท่ีสงบสุขและไม่แบ่งแยก และ (5)
ความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา (Partnership) ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนวาระ
การพฒั นาทย่ี งั่ ยืน

ท้ังนี้ ในส่วนของการการขับเคลื่อน SDGs ในระดับพื้นท่ีของประเทศไทยเพื่อบรรลุ
เป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืนท้ัง 17 เป้าหมาย นอกจากต้องอาศัยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจาก
ทกุ ภาคสว่ นแลว้ ยังตอ้ งมกี ารดาเนนิ การทัง้ ในระดับประเทศ ระดับชมุ ชุนและท้องถิ่น โดยสานักงานสภา
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เก่ียวข้อง
ร่วมคัดเลือกจังหวัดนาร่องในพื้นที่ 6 ภาคท่ัวประเทศ กระจายตัวตามกลุ่มจังหวัด 4 ระดับการพัฒนา
และองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน เพื่อทดลองจัดทาแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพฒั นาทอ้ งถนิ่ ทีส่ นับสนุน
การขับเคล่ือนเปา้ หมายการพัฒนาทย่ี ่งั ยืน ต่อไป

2.5 แนวคิดเกย่ี วกับเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio Economy –
Circular Economy – Green Economy : BCG)

2.5.1 แนวคดิ หลักการของการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ (BCG)

เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม เป็นแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่
(Bio Economy – Circular Economy – Green Economy : BCG) โดยการท่ีจะพัฒนาเศรษฐกิจ 3
มิติไปพร้อมกัน ประกอบด้วย 3 เศรษฐกิจหลัก ได้แก่ B ย่อมาจาก Bio Economy C ย่อมาจาก
Circular Economy G ย่อมาจาก Green Economy

B = เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เป็นการนาความรู้ เทคโนโลยี และ
นวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดจากฐานความเข้มแข็งเดิม นั่นก็คือ ทรัพยากรชีวภาพ หรือผลผลิตทาง
การเกษตร เพอื่ เพ่ิมมูลคา่ ให้กับสินค้า เชน่ การพัฒนาพันธ์ขุ า้ วทีม่ ีธาตุอาหารสงู เป็นต้น

C = เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การนาทรัพยากรมาใช้ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด ท่ีสาคัญคือการมุ่งไปท่ี ZERO WASTE หรือการลดปริมาณของเสียให้
นอ้ ยลงหรือเท่ากับศูนย์ ดว้ ยการปรับกระบวนการผลิต เช่น การเปลย่ี นของเสียจากการผลติ

G = เศรษฐกิจสเี ขียว (Green Economy) มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่าง
ยั่งยืน โดยเฉพาะความย่ังยืนด้านส่ิงแวดล้อม เช่น การใช้เอมไซม์จากจุลินทรีย์เพ่ือการฟอกกระดาษ
การใช้สารชวี ภัณฑ์กาจดั แมลงศัตรูพชื ทดแทนการใช้สารเคมี เปน็ ต้น

นอกจากเศรษฐกิจหลัก 3 ด้านท่ีกล่าวมาน้ี ยังครอบคลุมเศรษฐกิจอีก 3 ด้าน
ท่ีสาคัญ คือ เศรษฐกิจอัจฉริยะ (intelligent Economy) เป็นการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วย

25

วางแผนและจัดการระบบต่าง ๆ เป็นเศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ (Sharing Economy) เป็นระบบ
เศรษฐกิจแบบใหม่ที่เราสามารถเลือกใช้ประโยชน์ได้ตามความต้องการของตัวเองและมีความยืดหยุ่น
กว่าเดิม เช่น การหาท่ีพักในแอพพลิเคชั่น และสุดท้าย คือ เศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy) เป็น
การนาความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพ่ือรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หลักสาคัญในการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย โดยเศรษฐกิจ BCG ทาหน้าที่บูรณาการการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้าถึง
ปลายน้า ใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม ( Value
Creation) จากฐานความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและวัฒนธรรมด้วยกลไกจตุ รภาคี
(Quadruple Helix) ทั้งนี้ หลักภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย (1) อนุรักษ์ ฟ้ืนฟู พัฒนา
เพ่ิมพูนทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม (2) บริหารจัดการ การใช้ประโยชน์และ
บริโภคอย่างยั่งยืน (3) ลดและใช้ประโยชน์ของท้ิงจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ (4) เพ่ิม Value
Creation ตลอดหว่ งโซ่มลู ค่า ตัง้ แตภ่ าคเกษตรท่เี ปน็ ตน้ น้าจนถงึ ภาคการผลติ และบรกิ าร และ (5) สรา้ ง
ภมู ิคุม้ กนั พึง่ พาตนเองและเพ่ิมสมรรถนะในการฟืน้ ตวั อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ประเทศไทยกาหนดเป้าหมายว่าจะเปล่ียนข้อได้เปรียบที่ไทยมีจากความ
หลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ให้เป็นความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรม เพ่ือให้เกิด
เศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหล่ือมล้า
ชุมชนเข้มแข็ง มคี วามเปน็ มติ รกับสง่ิ แวดล้อมและการพฒั นาทีย่ ง่ั ยืน การพฒั นาเศรษฐกจิ ใหม่สอดรบั กบั
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
และเศรษฐกิจใหม่ BCG จะช่วยสง่ เสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ขา้ งหลัง
และเศรษฐกิจ BCG เป็นรูปแบบเศรษฐกิจท่ีจะนาไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน หรือ SDG
ขององค์การสหประชาชาติ ที่ต้องการร่วมกันพัฒนาความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ และดูแลโลกของ
ในทุกมิติ

26

ภาพท่ี 2-3 แสดงความสมั พันธ์ระหว่างเศรษฐกจิ ชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวยี นและเศรษฐกจิ สเี ขยี ว
(เศรษฐกจิ BCG)

ที่มา : ดร.สวุ ิทย์ เมษินทรยี ์

เศรษฐกิจ BCG จะเป็นกลไกที่มีศักยภาพสูงในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคน
ในประเทศอย่างทั่วถึง สามารถกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกันสามารถสร้างให้ประเทศไทยก้าวข้ึนเป็นผู้นาระดับโลกในบางสาขาที่ประเทศไทย
มีศักยภาพ ดังนั้น จึงได้กาหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศเพื่อใช้ในการขับเคล่ือนเศรษฐกิจ
BCG ดังนี้ 1) มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมเป้าหมาย BCG 2) ลดความเหล่ือมล้าด้วยการ
เพิ่มรายได้เกษตรกรและชุมชน 3) ยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารของไทยข้ึนเป็นผู้ผลิต
อาหารเพ่ือสุขภาพและส่วนประกอบอาหารมูลค่าสูงติดอันดับ 1-5 ของโลก 4) อุตสาหกรรมชีวภาพ
การผลิตยา เคร่อื งมือแพทย์ วัสดชุ ีวภาพ มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพส่งออก เป็นแหล่งจา้ งงานทกั ษะสูง
และรายได้สูง 5) ระบบบริหารจัดการท่องเท่ียว นาไปสลู่ าดบั 1-3 ของเอเชยี แปซฟิ ิก และ 6) ลดการใช้
ทรัพยากรลงจากปัจจุบัน

หัวใจสาคัญของเศรษฐกิจ BCG คือ การพัฒนาแบบคู่ขนาน ท้ังในส่วนที่อาศัย
ความก้าวหน้าทางวิทยาการระดับสูงสาหรับผลิตสินค้าและบริการมูลค่าสูง เช่น ส่วนประกอบอาหาร
สุขภาพ ชีววัตถุ สารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ ฯลฯ และในส่วนฐานกว้างของปิรามิดท่ีเป็นการยกระดับ
เศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างมูลค่าให้คนจานวนมาก และการพฒั นาทเ่ี ป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม ตลอดจน
การเสริมความเข้มแข็งของทุนทางสังคมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมตามหลัก
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ที่จะขยายผลไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (from SEP
to SDG)

27

2.5.2 วิสัยทศั น์ ยทุ ธศาสตร์ แผนงานและการขับเคลอื่ นเศรษฐกจิ BCG1

วิสัยทัศน์ : เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ดี
คุณภาพชวี ิตดี รกั ษาและฟื้นฟฐู านทรัพยากรจากความหลากหลายทางชีวภาพให้มีคณุ ภาพท่ดี ี ด้วยการ
ใชค้ วามรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

เป้าหมาย และตัวชี้วัด : การขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดล
เศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564 - 2569 มุ่งรักษา ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรจากความ
หลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมอย่างคุ้มค่าและเต็มศักยภาพโดยภายใต้ 3 แนวทางหลัก
ประกอบด้วย

1) น้อมนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งสู่การพัฒนาที่ย่ังยืน หลักปรัชญา
ของเศรษฐกจิ พอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) เป็นรากฐานสาคัญของการพฒั นา
โมเดลการขับเคล่ือนประเทศไทยท่ีเป็นรูปธรรมภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยการผนึก 3 เศรษฐกิจ
เข้าด้วยกัน คือเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกจิ หมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจ
สีเขียว (Green Economy) มุ่งสู่เป้าหมายของการพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable Development Goals :
SDGs) โดยใชอ้ งคค์ วามรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมเป็นตวั ขับเคล่อื นสาคญั

2) การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เชื่อมไทยสู่ประชาคมโลก โมเดลเศรษฐกิจ
BCG เป็นการพัฒนาจากฐานความเข้มแข็งจากภายในอนั ประกอบด้วย “ความหลากหลายทางชวี ภาพ”
และ“ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดและยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและ
บริการท่ีมีมูลค่าสูงขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG เป็นการพัฒนาโดยการเริ่มต้นจากการสร้างความ
เข้มแข็งในระดับพ้ืนท่ี ขยายไปสู่ประเทศและเชื่อมโยงไทยสู่ประชาคมโลกท้ังในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของ
หว่ งโซอ่ ปุ ทานของโลก (Global Supply Chain) การเขา้ ถึงความรู้เทคโนโลยีและนวตั กรรมจากสถาบนั
ช้นั นาของโลกเพอ่ื นามาพัฒนาตอ่ ยอดเปน็ ผลติ ภัณฑ์หรือบริการนวัตกรรม

3) เดินหนา้ ไปดว้ ยกนั ไม่ท้งิ ใครไวข้ ้างหลงั โมเดลเศรษฐกจิ BCG ให้ความสาคัญ
กับการพัฒนาท่ีนาไปสู่การเดินหน้าไปด้วยกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นการเติบโตของทุกภาคส่วน
รวมถึงการใช้ศักยภาพของพื้นท่ีด้วยการระเบิดจากภายใน เน้นตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นท่ี
ควบคู่ไปกบั การดารงไวซ้ ่ึงอัตลกั ษณ์ของแต่ละพ้ืนที่

แนวทางการดาเนินงาน : การขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดล
เศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 เป็นการขบั เคล่ือนดว้ ย 4 ยุทธศาสตร์ 14 แผนงาน ดังมีรายละเอียด
ดงั นี้

ยุทธศาสตร์ท่ี 1 : สร้างความย่ังยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทาง
ชีวภาพดว้ ยการ จดั สมดลุ ระหวา่ งการอนรุ กั ษ์และการใชป้ ระโยชน์

1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตั กรรม เรื่องยทุ ธศาสตร์การขบั เคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดล
เศรษฐกิจ BCG พ.ศ.2564 – 2569 (https://www.nstda.or.th/home/knowledge_post/bcg-strategy-2564-2569/
เม่ือวนั ท่ี 2 มิถุนายน 2564)


Click to View FlipBook Version