111
ให้เป็นสถานท่ีท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรม สถานท่ีแห่งน้ียังถูกจัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบชายหาด
เน่ืองจากมีสภาพภูมิประเทศติดกับทะเล เสาหลักการพัฒนาการท่องเที่ยว หลักที่สาม คือ หญาจาง (Nha
Trang) – ด่าหลัต (Đà Lạt) สถานท่ีสองแห่งนี้เป็นแหล่งทรัพยากรการท่องเที่ยวแนวชายทะเลชายหาด
และบ่อน้าร้อน แต่ปัจจุบันน้ีเมืองด่าหลัตถูกออกแบบใหม่ให้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
(health tourism) โดยมีผลต้ังแต่ ค.ศ. 1983 ขณะท่ีเสาหลักการพัฒนาการท่องเท่ียวหลักสุดท้าย คือ
นครโฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh) หรือไซง่อน (Sài Gòn) และพื้นที่โดยรอบซึ่งตั้งอยู่บริเวณพ้ืนที่สามเหลี่ยม
ปากแม่นา้ โขง (Mekong delta) ได้ถูกเสนอเพื่อพิจารณาให้เป็นพ้ืนที่การเดินเรือและเป็นพน้ื ที่ท่ีมศี ักยภาพ
ในการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตเมือง (urban tourism) สาหรับกลุ่มนักท่องเท่ียวท่ีเดินทาง
มาเท่ียวบริเวณชายหาดและหมู่เกาะในช่วงเวลาส้ัน ๆ (Heinemann, 1995, pp. 315 - 325) ฉะนั้น
จึงเป็นเหตุผลว่าทาไมประเทศเวียดนามจึงมีความน่าสนใจสาหรับกลุ่มนักลงทุนและนักท่องเท่ียว การกาหนด
เสาหลักการพัฒนาการท่องเที่ยวข้างต้น ได้เผยให้เห็นโฉมหน้ารูปแบบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของประเทศ
เวียดนามได้อย่างชัดเจน กล่าวคือส่ีเสา หลักการพัฒนาการท่องเที่ยวนั้น ประเทศเวียดนามได้มุ่งนาเสนอ
ตัวตนในมิติของรูปแบบของการท่องเท่ียวเชิงประวัติศาสตร์ (historical tourism) และรูปแบบการ
ท่องเที่ยวนิเวศทางทะเล (marine ecotourism) เป็นหลัก โดยทั่วไปอาจอธิบายเหตุผลของการนาเสนอ
ตัวตนดังกล่าวได้ว่า เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ท่ียาวนาน ประกอบกับส่ิงปลูกสร้าง
ท่ีมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นจานวนมาก ซึ่งนับเป็นต้นทุนทางการท่องเที่ยวท่ีสาคัญ
ของชาติ นอกจากน้ี ประเทศเวียดนามยังมีภูมิประเทศท่ีติดกับทะเล ด้วยเหตุน้ี จึงเป็นเหตุผลว่า
การท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาน้ันประเทศเวียดนามจึงนาเสนอตัวตนสู่สายตาชาวต่างชาติในฐานะ
เมอื งแห่งประวัติศาสตร์ เมืองแห่งทะเลและหมู่เกาะ
จากการศึกษาถึงแนวทางการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของเมืองฮอยอัน
ประเทศเวยี ดนาม ของธญั ธชั วิภตั ภิ ูมปิ ระเทศ และคณะ (2557) ซ่งึ ไดก้ ล่าวถงึ แนวทางการจดั การทอ่ งเที่ยว
เชิงวัฒนธรรมของฮอยอัน ว่าในความสาเร็จดังกล่าวเกิดจากปัจจัยใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) การดาเนินการ
ท่ีเนน้ ให้ทกุ ภาคสว่ น รวมถึงคนในท้องถิ่นเขา้ มามสี ว่ นร่วมตงั้ แตก่ ารวางแผนร่วมกันในตอนต้นในการจัดการ
แหล่งมรดกโลกของตนพบว่า รัฐบาล ชุมชนฮอยอัน และผู้ประกอบการร้านค้าเข้ามามีส่วนร่วมใน
การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว การให้บริการนักท่องเที่ยวและการตกแต่งอาคารบ้านเรือนเพ่ือสะท้อน
อัตลักษณ์เมืองฮอยอัน 2) แนวทางการจัดการและการเงินสาหรับมรดกโลกพบว่ามีการหาเงิน เพ่ือนามาใช้
ในการอนุรักษ์เมืองฮอยอัน โดยในส่วนของการให้บริการท่องเที่ยวในเมืองฮอยอันของหน่วยงานรัฐ หน่วยงาน
รัฐบาลทอ้ งถ่ินมีบทบาทสาคัญในการใหข้ ้อมลู เกี่ยวกบั การท่องเท่ียว เส้นทางการท่องเที่ยว บริษัทท่องเทย่ี ว
โดยเน้นให้ข้อมูลการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพแก่นักท่องเท่ียวแต่ไม่สามารถดาเนินการเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเท่ียว
อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการท่องเท่ียวร่วมกับเจ้าหน้าท่ีหรือขอรับคาปรึกษา แนะนา
จากเจ้าหน้าท่ีรวมถึงขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดการจองบริษัทท่องเที่ยวให้ได้แต่ไม่ได้ทาเป็นเชิงธุรกิจ และ
สาหรับแนวทางการจัดการท่องเท่ียวและการจัดการรายได้/งบประมาณของเมืองฮอยอัน พบว่ารัฐบาล
ท้องถ่ินฮอยอัน (People’s Committee of Hoi An City) มีนโยบายการขายบัตรท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเท่ียว
112
ท่ีจะมาเยี่ยมชมเมืองโบราณฮอยอัน ซึ่งเริ่มขายบัตรดังกล่าวตั้งแต่ ค.ศ. 1952 และเม่ือเปรียบเทียบกับ
แหล่งมรดกวัฒนธรรมโลกทีอ่ ่ืน ๆ เช่น เว้หม่ีเซิน และองั กอร์ แหล่งท่องเที่ยวเหล่านที้ ี่มพี ้นื ที่จากัดในตัวเอง
แต่เมืองโบราณฮอยอันมีความแตกต่างออกไป เนื่องจากเป็นแหลงที่ผสมผสานหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
บา้ นท่ีอยูอ่ าศัย ศาลบชู าบรรพบุรุษ วดั สมาคม สะพาน วิหาร (Pagodas) บ่อน้า ท่าเรือ ตลาด ระบบการจราจร
ระบบการระบายน้า แมน่ า้ ระบบนิเวศ/ต้นไมข้ นบธรรมเนยี ม กิจกรรมในชีวิตประจาวัน วิถีชีวติ เมืองในอดตี
ของเมืองฮอยอัน ด้วยเหตุผลเหล่านจี้ ึงไมส่ ามารถขายบัตรการเข้าชมสถานท่ีไดท้ ุก ๆ ท่ี ดงั น้ัน จึงมกี ารขาย
บัตรเข้าชมในลักษณะของ “Package Ticket” กล่าวคือ บัตรเข้าเยี่ยมชมสาหรับนักท่องเท่ียว
ชาวเวยี ดนามมีราคา 80,000 ด่อง สว่ นบัตรเข้าเยีย่ มชมของนกั ทอ่ งเท่ียวชาวต่างชาติมีราคา 120,000 ด่อง
หากต้องการมัคคุเทศกต์ ้องมีค่าใช้จ่ายเพ่ิมอีก 120,000 ด่อง ต่อมัคคุเทศก์ 1 คน (ใช้เวลานาเที่ยว 1.45 ชั่วโมง)
ซึ่งมีมัคคุเทศก์ท่ีพูดได้ 4 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาญ่ีปุ่น ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเวียดนาม
โดยนกั ทอ่ งเทีย่ วชาวเวยี ดนามสามารถเลือกเข้าชมได้ 3 สถานท่ี ในขณะท่นี ักท่องเที่ยวชาวตา่ งชาตสิ ามารถ
เลือกเขา้ ชมได้ 5 สถานท่จี าก ทงั้ หมด 20 สถานที่
ทั้งนี้ บัตรดังกล่าวได้รวมค่าผ่านทางเข้าเมืองโบราณฮอยอันแล้ว นักท่องเที่ยว
สามารถใช้บัตรเข้าชมเมือง ฮอยอันได้อย่างไม่จากัดจานวนวัน อย่างไรก็ดี หากจะเข้าชมบ้านโบราณ
ศาลเจ้า วัด หรือ พิพิธภัณ ฑ์ที่กาหนดไว้เป็น 20 สถานท่ีสาคัญ นักท่องเที่ยวจะต้องย่ืนบัตร
ให้เจ้าหน้าท่ีทยี่ ืนเฝ้าอยู่บรเิ วณดา้ นหน้าของแต่ละสถานที่ฉีกต๋ัว ออกจากบัตรเขา้ ชมเมืองฮอยอัน ท้ังน้ีเพ่ือ
ใหท้ างเจ้าของบ้านโบราณ ผู้ดูแลศาลเจา้ วัด หรือพิพิธภัณฑ์นาตั๋วที่ได้จากการมีนักท่องเทย่ี วมาเยย่ี มชมไป
ขึ้นเงินจากทางรัฐบาลเพื่อนาเงินมาใช้ในการอนุรักษ์สถานท่ีของตนต่อไป กล่าวคือจากค่าบัตรเข้าชมเมือง
ฮอยอันสาหรับนักท่องเท่ียวชาวเวียดนามและชาวต่างชาติราคา 80,000 และ 120,000 ด่อง ตามลาดับ
จะแบ่งให้ร้อยละ 5 แก่เจ้าของบ้านโบราณ ผู้ดูแลศาลเจ้า วัด หรือพิพิธภัณฑ์เงินส่วนที่เหลือแบ่งเป็น
สองส่วนคือ ส่วนหน่งึ แบง่ ให้กับรฐั บาลทอ้ งถ่นิ อีกส่วนหน่งึ แบง่ ให้กบั หนว่ ยงานรฐั สว่ นกลาง
3.4 การสงั เคราะหบ์ ทเรยี นจากกรณีศกึ ษาต่างประเทศ
3.4.1 ประเทศญปี่ นุ่
ปัจจัยขับเคล่ือนการเติบโตของเศรษฐกิจฐานรากญ่ีปุ่น จากการทบทวน
วรรณกรรมจะพบว่ารัฐบาลญ่ีปุ่นพยายามแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในท้องถ่ิน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความ
เหลื่อมล้าระหว่างเมือง - ชนบท หรือปัญหาการเติบโตที่ลดลงในเขตชนบท ด้วยนโยบาย โครงการและ
แผนงานลกั ษณะตา่ ง ๆ ด้วยปัจจยั สาคัญดังตอ่ ไปนี้
(1) การเพ่ิมการอัดฉีดโดยตรงโดยรัฐบาลกลาง : ผ่านโครงการระดับประเทศ
ต่าง ๆ เช่น การให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และราคาผลผลิต หรือแผนงานการสนับสนุนเงินให้โดยตรง
(Direct Payment) เช่น การจ่ายเงินสนับสนุนให้แก่เกษตรกรที่ทาการเกษตรบนพื้นท่ีราบสูง และภูเขา
เป็นตน้
113
(2) การเพ่ิมการอัดฉีดจากรัฐบาลท้องถิ่น : ผ่านรูปแบบการกระจายอานาจ
ทางการคลังท่ีเอ้ือให้รัฐบาลท้องถ่ินสามารถจัดสรรงบประมาณ เพ่ือกระตุ้นเศรษฐกิจหรือลงทุน
ในโครงการระดับพ้ืนทไ่ี ด้มากขน้ึ ท้งั น้ี เป็นผลมาจากโครงสร้างการปกครองทอ้ งถิน่ และการกระจายอานาจ
ของญ่ีปุ่น ซ่ึงในแต่ละจังหวัดและเทศบาลจะมีการต้ังคณะกรรมการบริหารด้านต่าง ๆ ทาหน้าท่ีเป็น
คณะกรรมการอิสระรับผิดชอบบริหารงานเฉพาะด้าน เพ่ือถ่วงดุลไม่ให้อานาจบริหารอยู่ภายใต้การ
บริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเทศมนตรีมากเกินไป โดยเฉพาะในกิจการพิเศษท่ีต้องการ
ความเป็นกลางทางการเมืองและไม่มีอคติในการปฏิบัติหน้าท่ี เช่น ด้านการศึกษาและด้านความปลอดภัย
เป็นตน้ ส่วนกลางมกี ารออกแผนยุทธศาสตรต์ ่าง ๆ ท่ีมีมิตเิ ชงิ พื้นที่ เช่น National Spatial Strategy (NSS)
ซึ่งแม้จะไม่มีหน่วยงานปกครองระดับภาค แต่ยังมีแผนพัฒนาระดับภาค (Regional plans) ของภูมิภาค
8 แห่ง โดย Regional Bureau of the Government ซึ่งพัฒนาขึ้นจากข้อเสนอขององค์กรปกครอง
สว่ นท้องถ่นิ ต่าง ๆ ร่วมกับ Ministry of Land, Infrastructure, Transport, and Tourism
(3) การกระตุ้นการอัดฉีดผ่านการลงทุนของเอกชนในพ้ืนที่ : ในแผนพัฒนา
และการลงทุนในระดับพ้ืนท่ี ของญ่ีปุ่นจะมีกระบวนการร่วมให้ความคิดเห็นกับหน่วยงานหลากหลาย
กระทรวง รวมท้ังภาคธุรกิจท่ีชัดเจนทาให้นโยบายมีลักษณะเป็นแบบ bottom - up มากข้ึนกว่าแบบ
top - down นอกจากแผนระดับภูมิภาคทั่วประเทศ ยังมีการเลือกทาแผนยุทธศาสตร์พัฒนาเฉพาะบาง
เมืองหลักที่มีศักยภาพ ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Future City Initiatives และ Eco-model city Initiatives
ซง่ึ จะมีแผนพัฒนาและนโยบายเฉพาะสาหรับกลุ่มเมืองดังกล่าวด้วย ซ่ึงทาใหเ้ กิดการลงทุนจากภาคเอกชน
ในกลุม่ อตุ สาหกรรมทีช่ ดั เจนและสรา้ งการไหลเวียนของเศรษฐกจิ ในพืน้ ที่ด้วย
(4) การกระตุ้นการใช้จ่ายในเขตชนบทจากประชาชนนอกพื้นท่ี : กรณีการ
ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน (One village one product: OVOP) กรณี Kanna - Machi model ซ่ึงมีการลงทุน
ปรับปรุงพ้ืนท่ีให้มีคนมาเที่ยวเพ่ิมมากขึ้น หรือกรณี Izumo City Model ซึ่งพยายามดึงดูดชาวต่างชาติ
ให้มาอยรู่ ะยะยาว โดยเนน้ ชาวต่างชาติท่พี ูดภาษาโปรตเุ กสมาอย่รู ะยะยาว เป็นต้น
การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศญี่ปุ่นนั้น มุ่งเน้นให้เกิดการกระจาย
ความเจรญิ ไปยงั พ้ืนท่ีชนบท โดยมีความพยายามในการสร้างแรงดึงดูดให้แก่พื้นที่ชนบท ด้วยการสร้างความเจริญ
สร้างงาน เช่ือมระบบการเดินทางจากเมืองสู่ชนบท การส่งเสริมการท่องเท่ียวชนบทให้ความสาคัญกับ
การเพิ่มโอกาสให้คนในเมืองย้ายไปตั้งถิ่นฐานในชนบท และเปิดโอกาสให้คนในชนบทได้มีส่วนร่วมใน
การออกแบบนโยบายการพัฒนาในพ้ืนท่ีของตนเอง เป็นต้น และจากกรณีศึกษาท่ีได้ยกมาเป็นตัวอย่าง
กรณขี อง OVOP นน้ั เป็นแนวทางการพฒั นาที่มุ่งสร้างความเจรญิ ให้แก่ชุมชน ดว้ ยการยกระดบั คนในชมุ ชน
ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการผลิต จัดการทรัพยากรท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินให้กลายเป็นสินค้าท่ีมีคุณภาพ
มีจดุ เด่นเปน็ เอกลักษณข์ องเมืองทีส่ อดคล้องกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน และจะเหน็ ไดช้ ดั วา่ ในการพฒั นานโยบาย
OVOP นั้น เป็นการนานโยบายไปส่กู ารปฏบิ ตั ิทีส่ อดคล้องกัน 3 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 เป็นการพฒั นาจาก
ภมู ิปญั ญาท้องถิน่ สู่สากล คือ การคิดระดบั โลก แต่ทาในระดบั ทอ้ งถ่นิ (think global act local) ระดับท่ี 2
เป็นการพ่ึงตนเอง และการคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ คอื กจิ กรรมตา่ ง ๆ ที่มีการดาเนินการอยู่นั้น จะตอ้ งเกดิ จาก
114
ความต้องการของชุมชน ชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ ภาครัฐมีบทบาทและหน้าท่ีเพียงผู้สนับสนุนทางด้าน
การตลาดและเทคโนโลยีเท่าน้ัน และระดับท่ี 3 เปน็ การสร้างทรพั ยากรมนุษย์ ให้เป็นแรงขบั เคล่ือนท่ีสาคัญ
และให้คนในชุมชนเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลง และนากระบวนการพัฒนาในแต่ละชุมชน เรียกได้ว่าเป็น
เศรษฐกิจอัตโนมตั ิ และเปน็ ธรรมชาติ
บทบาทของรฐั ในการดาเนนิ นโยบาย OVOP คอื รฐั มหี นา้ ท่ีสนบั สนนุ ดา้ นเงนิ ทนุ
เทคโนโลยี ในขณะที่หน่วยงานรฐั ในระดบั พนื้ ที่มหี น้าท่ใี นการสนบั สนุนผู้ผลิตในพ้ืนท่ี อาทิ การใหค้ าแนะนา
เร่ืองการแปรรูป การปรับปรุงเทคโนโลยีผ่านกระบวนการวิจัยพัฒนา การกระจาย เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
การฝึกอบรม และการสัมมนา ส่วนทางด้านการตลาดนั้นรัฐบาลมีบทบาทสาคัญในมาตรการส่งเสริม
การตลาด โดยรัฐบาลจะทาหน้าที่เป็นตัวแทนจาหน่าย ทั้งการออกร้าน การจัดตั้งบริษัท การทาหน้าที่
การตลาดท้ังขายส่ง บริการส่ง และจาหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ มีบทบาทในการพัฒนาพันธุ์พืช กาหนด
ทาเลในการเพาะปลูก วิเคราะห์กระแสความต้องการของตลาด สารวจความพึงพอใจ แลกเปลี่ยนเรียนรู้
และแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างเมือง สร้างเครือข่ายระหว่างชาวเมืองกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน
เป็นตน้
3.4.2 ประเทศจีน
ปัจจัยการขับเคลื่อนของจีนมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจชนบทผ่านการพัฒนา
ให้ถึงเป้าการขจัดความยากจน และการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว ในขณะเดียวกันก็ใช้แรงจูงใจ
จากภาครัฐในการสร้างและคัดสรรชนบททจี่ ะทาหนา้ ทีเ่ ป็นเสาของการเติบโต (growth pole) อย่างชัดเจน
ว่าพ้ืนท่ีใดควรจะมีเมืองใดเป็นศูนย์กลางของการเติบโตและจัดสรรทรัพยากรไปยังเมืองน้ันเพื่อสร้าง
การสร้างงานอยา่ งเต็มท่ี และยกระดับความเป็นเมืองในทอ้ งถ่นิ ขึ้นมาผ่านโครงการ เช่น เขตเศรษฐกจิ พิเศษ
(Special economic zone) หรือเมืองอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ปัจจัยหลัก ๆ ที่ขับเคลื่อนจึงมาทั้งจาก
ภาครัฐและเอกชนภายนอกพื้นที่ มากกว่าการส่งเสริมเอกชนหรือกลุ่มชุมชนในพ้ืนที่ให้เป็นผู้ขับเคล่ือน
การเติบโต รวมทงั้ การส่งเสริมการใชจ้ า่ ยจากประชาชนนอกพ้ืนทีแ่ ละนกั ท่องเทยี่ วต่างชาติดว้ ย
อีกท้ัง ในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนน้ัน ให้ความสาคัญกับการกาหนดเป้าหมาย
ท่ชี ัดเจนใน 2 เร่อื ง คอื การเพิม่ การจ้างงานและการกระตนุ้ เศรษฐกจิ ซงึ่ มีแนวทางการสง่ เสริมอุตสาหกรรม
ที่เกี่ยวข้อง หรือแสดงออกถึงสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม รูปแบบหรือเน้ือหาทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา หรือ
วิถีชีวิตของแต่ละกลุ่มชนหรือแต่ละชนชาตินั้น เป็นการนาเอามรดกทางวัฒนธรรมมาเป็นองค์ประกอบ
ในการประดิษฐ์ สร้างสรรค์ และผลิตสินค้าทางวัฒนธรรม โดยใช้แรงงานช่างฝีมือที่มีความรู้ เทคโนโลยี
ศลิ ปะและความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และผลิตสินค้าทางวัฒนธรรม ส่วนการท่องเที่ยวนัน้ ถูกกาหนดให้มกี าร
เชื่อมโยงกันระหว่างการท่องเท่ียวและวัฒนธรรม มีการสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และ
ต้นทุนของแต่ละพ้ืนท่ี อาทิ การสนับสนุนการจัดเทศกาลท่องเท่ียว การบูรณะศิลปะ สนับสนุนให้เกิด
การพัฒนาด้านโครงสรา้ งพนื้ ฐาน เช่น การเดินทางขนส่งเพ่ือใหส้ ามารถเขา้ ถงึ พืน้ ท่ีนน้ั ๆ ไดโ้ ดยง่าย
115
ในการนานโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปสู่การปฏิบัตจิ ริงนั้น ประเทศจีนมี
การระบุกลุ่มเป้าหมายโดยการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data base) โดยกาหนดให้เขตอาเภอเป็น
หน่วยงานควบคมุ ขนาดรับผดิ ชอบตามระดับช้ัน มีการระบุกลุ่มเป้าหมายท่มี ีความยากจน มีการลงทะเบยี น
เพื่อสารวจสถานการณ์ความยากจน รวมท้ังจัดให้มีการประเมินผลการสารวจครอบครัวยากจน ประการ
สาคัญในกรณีของการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศจีนน้ันมีการแยกประเด็นปัญหาความยากจน
แยกพิจารณาเป็นรายครัวเรือนและบุคคล ส่วนเจ้าหน้าท่ีโครงการที่รับผิดชอบจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตาม
ขั้นตอน และหลักการท่ีถูกวางไว้ คือ ต้องให้ความช่วยเหลือด้านท่ีขาดแคลนหรือเหมาะสม ให้การพัฒนา
เกษตรกรรม อตุ สาหกรรม ธรุ กจิ หรอื การทอ่ งเทยี่ วที่เหมาะสม รวมทงั้ การใหท้ ุนตรงแก่ครัวเรอื น เพอ่ื การ
พัฒนาอุตสาหกรรมในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การให้ส่ิงของ หุ้นสว่ น เงนิ สด การจดั สรรทีอ่ ยู่อาศัยแกค่ รัวเรือน
การลดค่าเชา่ การจัดสรรทพี่ กั อาศัยของรฐั การอบรมทักษะอาชีพ เป็นตน้ ทัง้ หมดนี้จะถกู กาหนดรูปแบบไว้
เพ่อื ให้การให้ทนุ เพื่อสนบั สนุนแก่ครวั เรือนทีย่ ากจนตรงกบั ปญั หาและความตอ้ งการทส่ี ุด
3.4.3 ประเทศเวียดนาม
ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจฐานรากของเวียดนาม ในกรณีของ
เวียดนาม ได้พยายามส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางในโครงการ
New Countryside เพ่ืออุดหนุนท้องถิ่นต่าง ๆ เป็นกลไกขับเคล่ือนหลัก นอกจากน้ันประเทศเวียดนาม
ยังมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคที่สาคัญผ่านการสร้าง Cluster การเจริญเติบโตในระดับภูมิภาค
ซ่ึงมีการคาดการณว์ า่ จะทาให้เกดิ ผลการถ่ายเทการเติบโต (spillover effects) ไปสู่ทอ้ งถนิ่ ผา่ นการจา้ งงาน
และการใช้จ่ายของภาคเอกชนดว้ ย
ทั้งนี้ ในสว่ นของเงอ่ื นไขแห่งความสาเร็จในการดาเนินการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานราก/
การพัฒนาเชิงคุณภาพในประเทศเวียดนามน้ัน สามารถสรุปได้เป็น 19 เงื่อนไขสาคัญ ได้แก่ ด้านการ
วางแผน ประกอบด้วย (1) การวางแผนและการนาแผนไปสู่การปฏิบัติจรงิ ด้านสภาพเศรษฐกิจสังคม และ
โครงสร้างพ้ืนฐาน ประกอบด้วย (2) การขนส่งมวลชน (3) เขื่อน (4) ไฟฟ้า (5) โรงเรียน (6) โครงสร้าง
พื้นฐานทางวัฒนธรรม (7) ตลาดในชนบท (8) ไปรษณีย์ (9) ท่ีพักอาศัย ด้านองค์กรทางเศรษฐกิจและ
การผลิต ประกอบด้วย (10) รายได้ (11) ครอบครัวยากจน (12) โครงสร้างแรงงาน (13) รูปแบบการผลิต
ดา้ นวัฒนธรรม สังคม และสงิ่ แวดลอ้ ม ประกอบดว้ ย (14) การศกึ ษา (15) การสาธารณสขุ /การอนามยั (16)
วัฒนธรรม (17) ส่ิงแวดล้อม และด้านระบบการเมือง ประกอบด้วย (18) ระบบสังคมการเมือง และ (19)
ความมนั่ คงทางสังคม
ส่วนในแนวทางเพ่อื การพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานราก ซ่ึงเป็นกรณีตวั อย่างทีไ่ ด้ดาเนินการ
ศึกษานั้น จะเห็นว่า ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่ม 54 กลุ่มชาติพันธุ์น้ัน รัฐบาลได้ให้ความสาคัญ
กับการท่องเที่ยวบนฐาน “ต้นทุน” เนื่องจากเป็นรูปแบบหน่ึงของการธารงมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
ตามกรอบวิสัยทัศน์และพันธกิจที่สาคัญอันนาไปสู่การรักษาคุณค่าความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ของ
ประเทศใหค้ งอย่สู ืบไป นอกจากน้ี จะเห็นว่าในการจดั สรรรายได้ในสถานทีท่ อ่ งเท่ียว เปน็ รูปแบบที่น่าสนใจ
116
เพราะในส่วนของรายได้จากค่าเข้าชมสถานที่ท่องเท่ียวน้ัน รัฐบาลจะแบ่งสัดส่วนร้อยละ 5 ให้กับเจ้าของ
บ้านโบราณ ผู้ดูแลศาลเจ้า วัด และพิพิธภัณฑ์ และที่เหลือจะแบ่งเป็นสองส่วนสาหรับการจัดสรรให้แก่
รฐั บาลทอ้ งถ่นิ (องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ) และรัฐบาลกลาง (สว่ นกลาง)
3.5 ตารางสรปุ การสงั เคราะห์เปรยี บเทยี บบทเรยี น กรณศี กึ ษา 3 ประเทศ
จากผลการสังเคราะห์บทเรียนจากกรณีศึกษา 3 ประเทศ อันได้แก่ ประเทศญีป่ ุ่น จีน และ
เวียดนาม ในหัวข้อ 3.4 ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมาธิการการลงทุนและเศรษฐกิจฐานราก ได้นามาสรุปเพื่อ
เปรียบเทียบแนวทางการหาข้อแตกต่าง โดยการประเมินผลภายใต้กรอบแนวทาง CIPP Model
รวม 4 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ บริบท (Context) ปัจจัยนาเข้า (Input) กระบวนการดาเนินงาน (Process)
และผลลัพธ์ (Output) ดงั ตารางแสดง ด้านล่างนี้
11
ตารางท่ี 3-1 สังเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บบทเรยี น กรณศี กึ ษา 3 ประเทศ (ญี่ป
ปจั จัย ญ่ีปนุ่
1.บรบิ ท/Context
1. ญ่ีปุ่นกาหนดนโยบายการพัฒนา จนี มแี นวทางกา
ชนบทสู่เมือง ประกอบดว้ ย 1. อตุ สาหกรรม
1.1 การยกระดับความน่าดึงดูดของเขต สัญลักษณ์ทา
ชนบทสาหรบั ผู้ทยี่ ้ายไปอยใู่ นเขตเมือง เน้ือหาทางวัฒ
1.2 การสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง ชีวิตของแต่ละ
ชนบทและเมือง เป็นการนาเอาม
1.3 การสง่ เสริมการท่องเที่ยวชนบท องค์ประกอบใ
1.4 การเพ่ิมโอกาสให้คนเมืองย้ายถ่ิน และผลิตสินค
ฐานไปอยู่ชนบทในฐานะเกษตรกร แรงงานช่างฝี
1.5 การให้ประชาชนในพื้นท่ีเข้ามามี ศิลปะและควา
ส่วนรว่ มในการออกแบบนโยบาย ผลิตสินค้าทาง
ช่างฝีมือท่ีมีคว
2. ญีป่ ุ่นกาหนดแนวทางการพฒั นา ความคดิ รเิ ริม่ สร
2.1 การแก้ปัญ หาการจ้างงานและ
พฒั นาชนบท 2. เป้าหมายสอ
2.2 การแลกเปล่ียนระหว่างเมืองและ จ้างงาน 2) การ
ชนบท (กลุ่ม 1) นโยบายส่งเสริมการ
ย้ายไปต้ังถิ่นฐานของคนเมืองในเขต 3. เน้นการพัฒ
ชนบท วัฒนธรรมร่วมก
(กลุ่ม 2) นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว
ในชนบท
17
ปุ่น จนี และเวียดนาม) ตามกรอบแนวทาง CIPP Model
จนี เวียดนาม
ารพัฒนาทีส่ าคัญ ไดแ้ ก่ เวียดนามเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
มที่เกี่ยวขอ้ งหรือแสดงออกถึง หรือพื้นท่ีชนบทของประเทศเวียดนามอยู่
งวัฒนธรรม รูปแบบหรือ บนแนวคิดที่ว่า พ้ืนท่ีชุมชนจะถูกพัฒนาได้
นธรรม ภูมิปัญญา หรือวิถี เมื่อประชาชนมีความเป็ นอยู่ ที่ ดีก่อน
ะกลุ่มชนหรือแต่ละชนชาติ กล่าวคือ มีทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และมี
มรดกทางวัฒนธรรมมาเป็น รายได้ที่พอจะอยู่ได้ หลังจากนั้น การพัฒนา
นการประดิษฐ์ สร้างสรรค์ เชิงพื้นที่จะเพิ่มขึ้นตามมา นอกจากนี้ การที่
ค้าทางวัฒ นธรรม โดยใช้ คนในพ้ืนที่มีความสามารถ ในการหารายได้
มือท่ีมีความรู้ เทคโนโลยี ระดับหนึ่งจะเป็นเหมือนการส่งสัญญาณถึง
ามคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และ รัฐ ถึงความมีประสิทธิภาพและความสามารถ
งวัฒนธรรม โดยใช้แรงงาน ซ่งึ หมายถงึ ความพร้อมท่ีจะได้รับการพัฒนา 117
ามรู้ เทคโนโลยี ศิลปะและ ตอ่ ไปดว้ ย
รา้ งสรรค์
รัฐบาลเวียดนามได้ริเร่ิม “โครงการชนบท
องประการ 1) การเพิ่มการ ใหม่”(New countryside) ซ่ึงเป็นโครงการ
รกระตนุ้ เศรษฐกิจ ที่ รั ฐ จ ะ เข้ า ไ ป ช่ ว ย เห ลื อ เรื่ อ ง โ ค ร ง ส ร้ า ง
พ้ืนฐาน สนับสนุนประสิทธิภาพผลผลิต
ฒนาเรื่องการท่องเท่ียวและ และบริการทางสังคมในชุมชนเพ่ือให้ผ่าน
กนั เง่ือน ไขของรัฐกลายเป็ น ‘New Rural
Commune’ เป็นโครงการที่รัฐพยายามเข้า
แทรกแซงและให้นิยามความเป็น ‘สมัยใหม่’
อย่างชัดเจน รัฐเป็นคนนิยามการพัฒนาและ
11
ปจั จัย ญี่ปนุ่
2.3 การค้นหาทรัพยากรในท้องถ่ิน 4. เน้นสนับสน
พร้อมท้ังสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่ม วัฒ นธรรม เช
การส่งเสริมธุรกิจสังคม ส่งเสริมงานให้ เท ศ ก าลท่ อง
ผู้หญิง สนับสนุนโครงส
พ้ืนทท่ี เ่ี ข้าถึงยา
5. เป็นนโยบาย
บริบทของชุมช
สนับสนุนการท
ทรัพยากร หรือ
นั้น ๆ
6. ผลคือมีนักท
บางเมืองที่เคย
โครงสร้างพ้ืนฐา
สะพานเข้าถงึ
7. ข้อมูลปี 200
อตุ สาหกรรมลด
8. ช่วยแก้ปญั ห
18
จีน เวียดนาม
นุนให้เกิดการท่องเที่ยวเชิง ความเปน็ สมัยใหม่ ผา่ นเง่ือนไขท้ังหมด 19 เรื่อง
ช่น การสนับสนุนการจัด เช่น เรื่องสุขภาพ การศึกษา โครงสร้าง
งเท่ี ย ว การบู รณ ะศิ ลป ะ สังคมวัฒนธรรม ซ่ึงก็สามารถวดั ได้มากน้อย
สร้างพ้ืนฐานบางส่วนสาหรับ ต่าง ๆ กนั ในแต่ละประเด็น เปน็ ตน้
าก
นอกจากน้ัน ยังมีการออกกฎหมายท่ี
ยท่ีเอื้อต่อพื้นที่ของชุมชน/ เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาชนบทของ
ชนระดับหน่ึง คือ ออกแบบ เวี ย ด น า ม ไว้ 19 key success ได้ แ ก่
ท่องเท่ียวผ่านข้อได้เปรียบ ดา้ นการวางแผน ประกอบด้วย (1) การวางแผน
อเง่ือนไขทางสังคมของพ้ืนท่ี และการนาแผนไปสู่การปฏิบัติจริง ด้าน
สภาพเศรษฐกิจสังคม และ โครงสร้าง
พ้ืนฐาน ประกอบด้วย (2) การขนส่งมวลชน
ท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เมือง (3) เขื่อน (4) ไฟ ฟ้า (5) โรงเรียน (6) 118
ยถูกตัดขาดก็ได้รับการสร้าง โครงสร้างพ้ืนฐานทางวัฒนธรรม (7) ตลาด
าน เช่น เมืองโจวจงได้สร้าง ในชนบท (8) ไปรษณีย์ (9) ท่ีพักอาศัย
ด้ า น อ ง ค์ ก ร ท า ง เศ ร ษ ฐ กิ จ แ ล ะ ก า ร ผ ลิ ต
ประกอบด้วย (10) รายได้ (11) ครอบครัวยากจน
06 พบวา่ Sector (12) โครงสร้างแรงงาน (13) รูปแบบการผลิต
ด บริการเพิ่มข้ึน ด้านวัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม
ประกอบด้วย (14) การศึกษา (15) การ
หาการวา่ งงาน ตกงาน สาธารณสุข / การอนามัย (16) วัฒนธรรม
(17) ส่ิงแวดล้อม และด้านระบบการเมือง
ประกอบด้วย (18) ระบบสังคมการเมือง
และ (19) ความมั่นคงทางสังคม
11
ปัจจยั ญีป่ นุ่
2. ปัจจัยนาเขา้ /Input 1. ภ าครัฐสนับ สนุน ด้าน การผลิต จีนใช้มาตรกา
เงิ น ทุ น ส่ิ ง อ า น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว ก ย าก จ น ท่ั ว ป
เทคโนโลยี พัฒนาปรับปรงุ คณุ ภาพ อาทิ กลุ่มเป้าหมาย
ศูนย์วิจัยพัฒนา การเผยแพร่ข่าวสาร โค รงก ารต รง
การอบรมสมั มนา งบประมาณตร
ผลงานตรงเป้า
2. กาหนดมาตรการสนับสนุนด้าน ต้องบูรณาการแ
การเงนิ ลดความยากจ
- ช่วยเหลือรักษาพ้ืนที่เกษตรกรรม และ นโยบายแก้จ
มาตรการสาหรับฟื้นฟูทรัพยากร มี ผลประโยชน์ได
เป้าหมายเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรใน และจัดต้ังสานัก
ท้องถิ่น และเสริมสร้างสถาบันเข้มแข็ง การแก้ปัญหาค
และเพิ่มคุณภาพของทรัพยากรท้องถ่ิน แห่งรัฐ มูลนิธิก
และปรับปรุงหรือสร้างส่ิงอานวยความ ของจีนได้ร่วมม
สะดวกทางการเกษตรใหม่เพ่ือยืดอายุ Group ศูนย์วิจ
การใช้ สังคมศาสตร์ข
เกยี่ วขอ้ ง ร่วมก
3.ก า ห น ด ม า ต รก ารป้ อ งกั น พ้ื น ท่ี “นวัตกรรม การ
เกษตรกรรมรกร้าง รักษาสิ่งอานวย ส่งเสริมการรว่ ม
ความสะดวกทางการเกษตรและ
ปรบั ปรุงภมู ิทศั น์
4.มี มาตรการเกษ ตรกร ลด การใช้
สารเคมีทางการเกษตร และอนุรักษ์
19 119
จีน เวียดนาม
ารลงทะเบียนประชาชนท่ี 1. รู ป แ บ บ ข อ ง ก า ร ท่ อ ง เท่ี ย ว เชิ ง
ระ เท ศ ด าเนิ น ก ารโด ย ประวัติศาสตร์ (historical tourism) และ
ต้องตรงและแม่นยา จัดทา รูปแบ บการท่ องเท่ียวนิเวศทางท ะเล
งต าม ค ว าม ต้ อ งก าร ใช้ (marine ecotourism) เป็นหลัก โดยทั่วไป
รงแม่นยา คนช่วยเหลือตรง อาจอธิบายเหตุผลของการนาเสนอตัวตน
า กาหนดให้รัฐบาลท้องถิ่น ดังกล่าวได้ว่า เพราะเวียดนามเป็นประเทศ
และปรับใช้ทรัพยากรในการ ท่ีมีประวัติศาสตร์ท่ียาวนาน ประกอบกับส่ิง
จนให้เหมาะสม ดาเนินการ ปลูกสร้างท่ีมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยังคง
นตรงเป้า และรับรองว่า หลงเหลืออยู่เป็นจานวนมาก ซ่ึงนับเป็น
ด้เข้าถึงหมู่บ้านและครัวเรือน ต้นทุนทางการท่องเท่ียวที่สาคัญของชาติ
กงานคณะกรรมการกลมุ่ ผู้นา นอกจากน้ี ประเทศเวียดนามยังมีภูมิ
ความยากจนและการพัฒนา ประเทศที่ติดกับทะเล ด้วยเหตุนี้ จึงเป็น
การช่วยเหลือความยากจน เหตุผลว่าทาไมการท่องเท่ียวท่ีเกิดขึ้นใน
มือกับ JD Group, Alibaba ช่วงเวลาน้ันประเทศเวียดนามจึงนาเสนอ
จัยข้อมูลสารสนเทศทาง ตัวตนสู่สายตาชาวต่างชาติในฐานะ เมือง
ของจีน และหน่วยงานอื่นที่ แห่งประวัติศาสตร์ เมืองแห่งทะเลและหมู่
ก่อต้ังค่านิยมร่วมแหง่ ชาติ คือ เกาะ
รเช่ือมโยงและแบง่ ปัน” เพ่ือ
มสร้าง 2. รูปแบบของการท่องเทีย่ วเชิงชาติพนั ธ์ุ
(54 ชาติพันธ์)ุ
12
ปจั จยั ญ่ปี นุ่
3. กระบวนการ ส่งิ แวดลอ้ ม
ดาเนินงาน / Process
5.แก้ปัญหาเรื่องการใช้พ้ืนที่ การเพ่ิม
พ้ืนท่ีการเกษตร และสนับสนุน Smart
farmer
1. ใช้หลักปรัชญา OVOP เป็นแนวทาง 1. ผลักดันคนจ
พัฒนาท่ีจะสร้างความเจริญให้แก่ชุมชน เกี่ยวข้องกับระ
ให้สามารถยกระดับฐานะความเป็นอยู่ อนุรักษ์ โครงกา
ให้ดีข้ึนได้ โดยการผลิตหรือจัดการ นิเวศวิทยา โดย
ทรัพยากร ท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินให้กลายเป็น ที่มั่นคง
สิน ค้าที่ มี คุณ ภ าพ และจุดเด่น เป็ น
อัตลักษณ์สอดคล้องกับวัฒนธรรมใน 2. เร่งพัฒนากา
แต่ละท้องถิ่น สามารถจาหน่ายได้ทั้งใน เงินอุดหนุน ผ่า
และต่างประเทศ ศูนย์อาชีวศึกษ
แ ล ะ เปิ ด ส า ข
2. ใช้หลักการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบ อุตสาหกรรมท
โดยท่ีเลือกที่หมู่บ้านโอยามา (Oyama) จง้ิ หนิง กบั เมอื
และกาหนดการพฒั นาเปน็ 3 ระยะ
2.1 พัฒนาการผลิต โดยการส่งเสริมการ 3. การย้ายคนท
ปลกู บ๊วยและเกาลดั แทนขา้ ว ความเสีย่ ง
2.2 พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้น
ดูงานตา่ งประเทศ 4. ให้เงินอุดหน
2.3 พัฒนาหม่บู ้าน เน้นปรบั สภาพแวดล้อม มาตรฐานความ
และสิ่งอานวยความสะดวก ดแู ลสขุ ภาพ ผ่า
20 เวียดนาม
จีน
จนเข้าทางานในโครงการท่ี 1. เจ้าหนา้ ท่ภี าครฐั ให้ขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งเดียว 120
ะบบนิเวศ ภายใต้โครงการ
ารการก่อสร้างทางวิศวกรรม 2. ภาครัฐ แบ่งรายไดร้ อ้ ยละ 5 แกเ่ จ้าของ
ยได้รบั ตาแหน่งและเงินเดือน บา้ นโบราณ ผ้ดู ูแลศาลเจา้ วดั และ
พิพธิ ภณั ฑ์ เงินส่วนท่ีเหลือแบ่งเปน็ สองสว่ น
คือ ส่วนหน่งึ แบง่ ให้กับรฐั บาลทอ้ งถิ่น อีก
ารศึกษา โดยภาครัฐจัดสรร สว่ นหนง่ึ แบง่ ให้กับหนว่ ยงานรฐั สว่ นกลาง
านระดับอาเภอโดยการสร้าง
ษาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (ใหม่)
ข า วิ ช า ต า ม เอ ก ลั ก ษ ณ์
ท้องถ่ิน มีต้นแบบคือ เมือง
องหลงหนาน
ท่ีอยู่อาศัยในพื้นที่อันตรายมี
นุนแก่คนจนท่ีมีรายได้ต่ากว่า
มยากจน หรือ จ้างงาน และ
านบตั รประกันสังคม
12
ปจั จัย ญ่ปี ่นุ
3. มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์กว่า 100 ชนิด 5. ให้เจ้าหน้าท
จ น ได้ ชื่ อ ว่ า Onevillage Hundred กลุ่มเป้าหมายต
Products” อาทิ เห็ ด ผัก ไส้ กรอ ก ความช่วยเหล
สมุนไพรแปรรูป และมีร้านค้าริมทาง เหมาะสม ให
kanohana garten เป็ น ท่ี ข าย สิน ค้ า อุตสาหกรรม ธ
ชุมชน และแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่าง เหมาะสม และ
ผซู้ ื้อผู้ขาย และการท่องเท่ียวสเี ขียว การ น้า ไฟฟ้า ถนน
ท่องเทย่ี วแบบ farm stay สภาพแวดล้อม
ความเป็นอยู่ให
4. จดั ต้งั โรงเรยี นฝกึ อบรมผู้นาท้องถ่ินใน ประชาชน
อนาคต สร้างคนรุ่นใหม่ไม่ให้ออกไป
ทางานนอกพ้ื นท่ี การจัดตั้งองค์กร 6. ด้านบริหาร
ตงั้ กล่มุ เกษตรกร เพอ่ื รวมกันผลิตและขาย ดาเนินการพฒั น
5. ใช้เทคโนโลยีด้านจัดการขาย และ
จัดการฟาร์ม ต่อยอดใช้ AI จัดการ
ฐานข้อมูล ลดชั่วโมงการทางานของ
มนุษย์ลงร้อยละ40 เกิดสมดุลอุปสงค์
อปุ ทานในภาคการเกษตร
6. ด้านการตลาดนั้น รัฐบาลปฏิบัติเย่ียง
ผู้นา รัฐบาลคือตัวแทนจาหน่าย (ออก
ร้านงานแสดง) การจัดตั้งบริษัท Oita
OVOP Inc. เพ่ือทาหน้าที่การตลาด
21 เวยี ดนาม
จนี 121
ที่โครงการและกองทุน เข้าถึง
ตามขั้นตอน หลักการคือให้
ลือด้านที่ขาดแคลน หรือ
ห้การพั ฒ นาเกษตรกรรม
ธุรกิจ หรือการท่องเที่ยวที่
ะครัวเรือนต้องมี 6 อย่างคือ
น ก๊าซหุงต้ม ท่ีอยู่อาศัยและ
ม เพื่อปรับปรุงสภาพชีวิต
ห้ดีข้ึน เพ่ิมเพิ่มรายได้ของ
รจัดการ นั้น ภาครัฐมุ่งเน้น
นาจากชนบทสูภ่ ายนอก
12
ปัจจัย ญปี่ ุ่น
ทั้งขายส่ง บริการส่ง จาหน่ายผ่าน TV
shopping การจัดกระแสการตลาด
สารวจความพึงพอใจลูกค้า เครือข่าย
แ ล ก เป ล่ี ย น เรี ย น รู้ ร ะ ห ว่ า งผู้ น า
แลกเปล่ียนสินค้าข้ามจังหวัด ระหว่าง
ประเทศ
4. ผลผลติ / Product 7. ด้านการบริหารจัดการ นั้น ภาครัฐ
เชอ่ื มโยงภาคเอกชนจากภายนอก เขา้ มา
ช่วยเหลอื ในชนบท
ประสบความสาเร็จด้วยแนวทาง OVOP ประสบความสา
แสดงให้เห็นได้จากรายได้ของประชากร เดิม 165.67 ล
ภายในจังหวัดในแต่ละท้องท่ีเพิ่มข้ึนไม่ แนวทาง
น้อยกว่าจังหวัดอ่ืน จากยากจนเป็น 1. การบริหารจัด
ประชากรมีรายได้มากเป็นอันดับต้นของ 2. บรหิ ารความ
คิวซู 3. บรหิ ารสิทธแิ
4. สร้างต้นแบบ
ประกาศควา
165.67 ล้าน เห
22 เวียดนาม
จีน
าเร็จ ความยากจนลดลง จาก ประสบความสาเร็จใน 11 ตาบล เพ่ือเป็น
ล้าน เหลือ 16.6 ล้าน ด้วย ต้นแบบ แต่การต่อยอดตาบลอ่ืน ยังเกิด 122
ปั ญ ห าเรื่อ งค วาม เข้ ม งวด จาก เก ณ ฑ์
ดการข้อมลู (Data) ครัวเรอื น ความสาเร็จ 19 ข้อ ท่ีกาหนดไว้ ประกอบ
มโปรง่ ใสโครงการ กบั การทางานของภาครัฐเน้นทาหน้าท่ีเพียง
และอานาจหน้าที่ อานวยความสะดวกกับการให้ข้อมูลเพียง
บความสาเร็จมาต่อยอด และ อยา่ งเดยี ว
มยากจนลดลง จากเดิม
หลอื 16.6 ลา้ น
123
จากการศึกษาเกี่ยวกับการดาเนินนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากใน 3 ประเทศ
กรณศี กึ ษา ซ่ึงได้แก่ ประเทศญปี่ ุ่น จนี และเวียดนาม สามารถสรปุ ไดถ้ ึงปจั จัยความสาเรจ็ รว่ มในการพฒั นา
เศรษฐกิจฐานราก ซงึ่ ประกอบดว้ ย 6 ปจั จัยสาคัญ ได้แก่
1. การกาหนดเปน็ วาระแห่งชาติ : ตวั อย่างกรณศี ึกษาในประเทศญี่ปุ่น จีน และเวยี ดนาม
พบว่า ท้ัง 3 ประเทศกาหนดนโยบาย เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ แนวทาง ระยะเวลาในการดาเนินงานและ
หน่วยงานท่ีรับผิดชอบหลักอย่างชัดเจน ทาให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม เช่ือมโยงกัน
และการกาหนดเป็นวาระแห่งชาติเช่นนี้เป็นการวางเป้าหมายร่วมกันของทุกภาคส่วน ทุกระดับที่เก่ียวข้อง
และถือว่าการส่ือสารที่ทาให้ทุกภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้องได้เห็นทิศทางและการดาเนินการร่วมกันตั้งแต่ระดับ
นโยบาย และการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติ อาทิ ดังในกรณีของประเทศญ่ีปุ่นที่มีการกาหนดนโยบาย
เพื่อการพัฒนาชนบทผา่ นกลุ่มนโยบายท่ีมุ่งใหเ้ กดิ การแลกเปลี่ยนระหว่างเมืองและชนบท ซึ่งประกอบด้วย
2 นโยบายหลัก ได้แก่ นโยบายส่งเสริมการย้ายไปตั้งถิ่นฐานของคนเมืองในชนบทและนโยบายส่งเสริมการ
ท่องเท่ียวในชนบท โดยในการดาเนินการทางนโยบายน้ันมีการเช่ือมโยงกันในการทางานระหว่างรัฐบาลกลาง
และรัฐบาลท้องถ่นิ รวมท้งั รัฐบาลกลางก็สามารถที่จะริเร่มิ กิจกรรม โครงการภายใต้นโยบายได้อยา่ งชัดเจน
มกี ารสนับสนุนงบประมาณอย่างเป็นระบบ มีการเช่ือมโยงกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกันใน
กรณีของประเทศจีน โดยในปี ค.ศ. 2013 ซ่ึงกาหนดเป้าหมายว่าในปี ค.ศ. 2020 จะต้องช่วยให้ประชาชน
ยากจนจานวน 70.17 ล้านคน และอาเภอยากจนจานวน 592 อาเภอหลุดพ้นจากความจนระดับภูมิภาค
โดยในการดาเนินการทางนโยบายนั้น เพ่ือใหบ้ รรลตุ ามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ ประเทศจีนได้กาหนดขั้นตอน
มาตรการให้ความช่วยเหลือ รวมท้ังระบุกลุ่มเป้าหมาย ระบุผู้รับผิดชอบเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่ประสบ
ความสาเร็จในการนานโยบายไปสู่การปฏิบตั ิ สาหรบั กรณขี องประเทศเวยี ดนามนน้ั รัฐบาลเวยี ดนามได้รเิ ร่มิ
และกาหนดวาระทางนโยบายทช่ี ัดเจนภายใตโ้ ครงการชนบทใหม่ ซึง่ รฐั บาลเวียดนามไดอ้ อกแบบการดาเนิน
นโยบายเพ่ือให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยการเช่ือมโยงกนั ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุง
กฎหมาย รวมทั้งการเช่ือมโยงประเด็นอื่น ๆ อีกจานวน 19 ประเด็นย่อย เพ่ือให้เกิดการขับเคล่ือนจริง
ในทางนโยบาย จากตัวอย่างที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าจุดร่วมท่ีเหมือนกันของประเทศกรณีศึกษา คือ
การกาหนดวาระทางนโยบายที่ชัดเจน ออกแบบรายละเอยี ดทางนโยบาย และแนวทางในการนานโยบายไป
ปฏบิ ตั ทิ ี่ชัดเจน เปน็ รปู ธรรมเพือ่ ใหเ้ กดิ ผลในทางปฏบิ ัตจิ ริง
2. การใช้ฐานข้อมูลในการขับเคล่ือนและดาเนินนโยบาย : จากความสาเร็จที่เห็นได้ชัด
ของกรณีตัวอย่างจากประเทศจีนในช่วง ค.ศ. 2013 ที่ประเทศจีนเข้าสู่ยุคของ “แก้จนตรงเป้า” ท่ีมี
กาหนดใหม้ ีมาตรการการลงทะเบียนประชาชนทย่ี ากจนทวั่ ประเทศจนี โดยในการดาเนนิ การนโยบายแก้จน
ตรงเป้านี้เน้นการให้ความชว่ ยเหลือท่ีตรงกลุ่มเป้าหมาย ทาโครงการท่ีตรงกบั ความต้องการ เจ้าหน้าที่ที่ลง
ไปชว่ ยก็ตอ้ งมคี ุณสมบัตติ รง รวมท้ังกาหนดวา่ รฐั บาลท้องถน่ิ จะต้องบรู ณาการและปรับใชท้ รพั ยากรในการ
ลดความยากจนให้เหมาะสม และต้องมีการรับรองว่าการดาเนินการต่าง ๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาความยากจน
จะต้องเข้าถึงในหมูบ่ ้านและครัวเรือนท่ตี รงเป้า มกี ารปรับปรุงฐานขอ้ มูลอย่างต่อเน่อื ง การจดั ทาฐานข้อมูล
ของประเทศจีน ทาใหร้ ฐั บาลจีนสามารถทีว่ เิ คราะหส์ าเหตุของความยากจน และกาหนดมาตรการขจัดความ
124
ยากจน 5 ชุดท่ีตรงกับสภาพปัญหาและความยากจนจึงสามารถท่ีจะแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล และจากกรณีของประเทศจีนจะให้เห็นว่าประเทศจีนให้ ความสาคัญกับ
การสร้างฐานขอ้ มลู (Big data) ที่ถกู ต้องและแมน่ ยา และให้ความสาคญั กบั การปรับปรงุ ฐานข้อมูลในระบบ
ให้เป็นปัจจุบันเพ่ือติดตาม ประเมินผล รวมท้ังการปรับปรุงฐานข้อมูลโดยการนากลุ่มเป้าหมาย ครัวเรือน
และหมบู่ ้านออกจากระบบ จากตวั อย่างท่ีกล่าวขา้ งต้น จะเห็นว่าเพื่อให้สามารถดาเนินนโยบายการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานราก และการแก้ไขปัญหาความยากจนในครัวเรือน อาเภอ และประเทศ จาเป็นต้องมี
ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ท่ีมีรายละเอียดครบถ้วน รอบด้าน และใช้ฐานข้อมูลเพ่ือการออกแบบการดาเนิน
นโยบายและกาหนดมาตรการ รวมทัง้ ตอ้ งมกี ารปรับปรุงฐานขอ้ มูลใหเ้ ปน็ ปจั จบุ นั อยู่ตลอด
3. การสร้างกิจกรรมบนฐาน “ทุน” ในพื้นท่ี / ประเทศ : จากความสาเร็จในการดาเนิน
นโยบาย One Village One Product (OVOP) ของหมู่บ้านโอยามา จังหวัดโออิตะ ที่เกิดแนวคิดในการ
แก้ไขปัญหาของพ้ืนท่ีด้วยการนาแนวคิดในการพ่ึงพาตนเองของชุมชนสู่ความริเร่ิมสร้างสรรค์ โครงการ
“บ๊วยและเกาลดั แบบใหม่” ซึ่งบว๊ ยและเกาลัดเป็นพชื ทีม่ ีปลกู ในพ้นื ทีจ่ านวนมาก มคี ุณภาพ โดยนามาสรา้ ง
มูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจและก่อให้เกิดความย่ังยืนในการดาเนินการ เป็นต้น กรณีของการส่งเสริมการ
ท่องเท่ียวเชงิ ชาติพนั ธ์ุของประเทศเวยี ดนามก็เช่นเดียวกัน เป็นการดาเนนิ นโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานรากบนฐาน “ทุนชุมชน” โดยเวียดนามเป็นประเทศท่ีมีความหลากหลายทางชาติพันธ์ุ จานวนถึง 54
ชาติพันธ์ุ แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีภาษา วัฒนธรรม เครื่องแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมและ
ความเชื่อท่ีแตกต่างกัน ดังน้ัน รัฐบาลเวียดนามจึงให้ความสาคัญกับการส่งเสริมและอนุรักษ์มรดกทาง
วฒั นธรรมของกลุ่มชาตพิ ันธุ์ต่าง ๆ ไม่ให้สูญหาย รัฐบาลเวยี ดนามจึงสรา้ งการพัฒนาเศรษฐกิจให้แก่ชุมชน
ท้องถิ่น ด้วยการสร้างการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ในประเทศ ซึ่งความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์นี้
ถือเป็น “ทุน” ในประเทศท่ีเป็นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากท่ีสาคัญ รูปธรรมของการดาเนิน
นโยบายอีกประการหน่ึงท่ีชัดเจน คือ การดาเนินนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจโด๋ยเม้ย ที่ก่อให้เกิดการ
พัฒนาการท่องเท่ียวของประเทศเวียดนามอย่างจริงจังและนาไปสู่รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรร ม
ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยการท่องเทีย่ วเชงิ ประวตั ิศาสตร์ การท่องเที่ยวเชิงวฒั นธรรมประเพณี การเท่ียวชมวิถชี วี ิต
ในชนบท และการทอ่ งเท่ียวชาติพนั ธุ์ จะเหน็ ได้วา่ ความสาเร็จของประเทศเวียดนามในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานรากด้วยการท่องเที่ยว ซ่ึงเป็นการท่องเที่ยวบนฐาน “ทุน” ของสังคมและประเทศนั้น ก่อให้เกิดความ
ยั่งยนื และก่อให้เกิดการสานต่อในเชิงการสืบสานวฒั นธรรม ประเพณี และความเปน็ เอกลักษณ์ของประเทศ
สืบไป
4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพ่ือรองรับกิจกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก : จาก
กรณีการดาเนินนโยบาย OVOP ของประเทศญี่ปุ่น จะเห็นว่านอกจากการส่งเสริมให้พ้ืนที่ได้ปลูกบ๊วยและ
เกาลัดที่มีคุณภาพ รวมท้ัง การริเร่ิมให้มีผลิตภัณฑ์แปรรูปที่หลากหลาย และสร้างจุดดึงดูดเพื่อให้มี
นักท่องเท่ียวเข้ามาในพื้นที่แล้ว รัฐบาลท้องถ่ินได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นท่ี เช่น ถนน
ไฟฟ้า ประปา และอื่น ๆ ในพ้ืนท่ีเพื่อให้นักท่องเที่ยวและตลาดสามารถเข้าถึงพื้นท่ีได้โดยสะดวก และ
ก่อให้เกิดการพัฒนาพ้ืนท่ีและเศรษฐกิจในลาดับต่อไป ในส่วนของการส่งเสริมการท่องเท่ียวในพื้นท่ีชนบท
125
ก็เช่นกัน รัฐบาลให้ความสาคัญกับการปรับปรุง และการสร้างภูมิทัศน์ที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวด้วยการ
สนับสนุนรฐั บาลท้องถ่ินให้ปรบั ปรุงถนน ป้ายโฆษณา แสงไฟและป้ายบอกทาง เพื่อเป็นการสร้างจูงใจและ
กระตุ้นให้เกิดการท่องเท่ียวในพื้นที่ชนบท กรณีของประเทศจีนนั้น พบว่า ในส่วนของการพัฒนาพ้ืนท่ี
เขตชนบท หรอื เขตเกษตรกรรมตา่ ง ๆ รัฐบาลกลางใหค้ วามสาคญั กบั กาพัฒนาโครงสรา้ งพื้นฐาน โดยเฉพาะ
ถนน ระบบนา้ ระบบไฟฟา้ เพอื่ ใหเ้ กดิ การเดนิ ทางขนสง่ เพ่ือให้สามารถเขา้ ถงึ พื้นทน่ี น้ั ๆ ไดง้ า่ ยขึน้ และเพื่อ
ปรับเปลี่ยนสภาพในพื้นที่ให้เอื้อต่อการดาเนินกิจกรรมทางการเกษตรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กรณีของ
ประเทศเวียดนามก็ไม่แตกต่างจากประเทศญี่ปุ่น และจีน เพราะประเทศเวียดนามก็ให้ความสาคัญกับ
การพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานต่าง ๆ เพ่ือให้นักท่องเที่ยวสามารถที่จะเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ
ได้โดยสะดวก รวมทั้งสิ่งอานวยความสะดวกสบายอื่น ๆ ท่ีจะเป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเท่ียวให้เข้ามาให้
ประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงได้กาหนดเง่ือนไข หลักเกณฑ์การพัฒนาใน 19 ประเด็น ซ่ึงเป็นทั้งเป้าหมาย
(mean) และวิธีการ (ends) ดังนั้น ในกรณีที่จะมีการพัฒนานโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
ในรูปแบบต่าง ๆ จาเป็นอย่างยิ่งที่จะพิจารณาในภาพรวมทั้งกระบวนการให้ครบทุกองค์ประกอบ เพ่ือให้
เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครบวงจรดังเช่นในกรณีของ 3 ประเทศกรณีศึกษาท่ีต้องพัฒนาในจุดอ่ืน ๆ
ท่เี ก่ยี วเนอ่ื งสัมพันธก์ นั
5. รัฐบาล/หน่วยงานของรัฐทาหน้าทใี่ นการสนบั สนุนด้านการเงิน – งบประมาณเพ่ือให้
เกิดการกระตุ้นหรือการเปลี่ยนแปลง : กรณีของประเทศญ่ีปุ่นท่ีกาหนดนโยบายส่งเสริมการย้ายไปตั้งถิ่นฐาน
ของคนเมอื งในเขตชนบท พบว่า รัฐบาลกลางของญ่ีปนุ่ แก้ปญั หาเมืองร้างด้วยการให้สินเชื่อภายใต้โครงการ
Akiya Bank เพอ่ื ชว่ ยสนบั สนุนเงนิ เพอ่ื การซ่อมแซมบ้านใหแ้ กค่ รอบครวั ทตี่ ้องการจะเข้าไปอยใู่ นบา้ นที่ไม่มี
คนพกั อาศยั รวมท้ังบา้ นของผสู้ งู วยั และยังให้เงินสนบั สนนุ แก้เจ้าของบ้านที่ไมม่ ีผู้อยอู่ าศยั ให้ยอมยกบ้านให้
ผู้อื่นอยู่ต่อ และด้วยการสนับสนุนงบประมาณในลักษณะดังกล่าว ทาให้มีการอพยพเข้าไปอาศัยในเขต
ชนบทมากข้ึนด้วย อีกกรณีหนึ่งท่ีเห็นได้ชัดในกรณีท่ีรัฐบาลกลางของประเทศญ่ีปุ่นท่ีมีนโยบายส่งเสริม
การท่องเท่ียวชนบทโดยให้ท้องถิ่น เพื่อให้รัฐบาลท้องถ่ินได้นาเงินงบประมาณมาปรับปรุงแหล่งท่องเท่ียว
รวมท้ังโครงสร้างพ้ืนฐานต่าง ๆ เพราะรัฐบาลกลางเห็นว่าชุมชนหมู่บ้าน และรัฐบาลท้องถิ่นมีงบประมาณ
เพ่ือการปรับปรุงแหล่งท่องเท่ียว และไม่มีงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ โดยรัฐบาลท้องถ่ินสามารถ
ขอรับการสนับสนนุ ผา่ นการคดั เลอื กเพอื่ รบั เงินสนบั สนนุ แหง่ ละ 100 – 200 ลา้ นเยน เพื่อนาเงินทีไ่ ดร้ บั การ
สนับสนุนมาปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว ปรับปรุงถนน ป้ายโฆษณา ไฟสอ่ งสว่าง ป้ายบอกทาง และชว่ ยเหลือ
ด้านการประชาสัมพันธ์ อีกท้ังในส่วนของการที่รัฐบาลกลางให้เงินสนับสนุนโดยตรงแก่เกษตรกรที่ทา
การเกษตรบนพื้นที่ราบสูงและภูเขา เพ่ือใหเ้ กิดการทาการเกษตรในพื้นท่ีให้บรรลุตามเจตนารมณ์ นอกจาก
กรณขี องประเทศญีป่ ุน่ ทร่ี ฐั บาลกลางทาหน้าท่ีในการสนับสนุนดา้ นการเงนิ และงบประมาณแล้ว จะพบวา่ ใน
กรณีของประเทศจีนนั้น รัฐบาลกลางก็ให้ความสาคัญกับการสนับสนุนด้านงบประมาณในการแก้ไขปัญหา
โดยรฐั บาลเน้นการใหเ้ งนิ ทุนทต่ี รงระดบั ครัวเรือน เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยการใหก้ องทนุ ช่วยเหลือ
เป็นหุ้นส่วนของเกษตรกร หรือกรณีของอาเภอหนานเจียงท่ีสนับสนุน/อุดหนุนค่าเช่าท่ีอยู่อาศัยให้แก่
ครัวเรือนที่ยากจน สาหรับกรณีของประเทศเวียดนาม พบว่า มีความพยายามนารูปแบบกลไกทางการเงิน
126
แบบ 4-3-2-1 มาใช้ในการดาเนินนโยบายพัฒนาชนบทใหม่ ซึ่งการเงินแบบ 4-3-2-1 คือสัดส่วนใน
ด้านงบประมาณ ร้อยละ 40 ที่รัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุน ร้อยละ 30 ในรูปแบบของสินเชื่อ ร้อยละ 20
ให้เอกชนร่วมลงทุน และร้อยละ 10 ให้ชุมชนเปน็ ผู้ลงทนุ สินทรพั ย์ร่วม ดงั ทีก่ ล่าวไปแล้วข้างต้นเก่ียวกับจาเป็น
อย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนด้านการเงิน การงบประมาณเพื่อให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ
ฐานราก โดยรูปแบบของการสนับสนุนด้านการเงินและงบประมาณอาจมีความแตกต่างกันออกไป
ตามลักษณะของนโยบายและบริบทของแต่สถานการณ์ หากแต่จาเป็นอย่างยิ่งท่ีรัฐบาลต้องให้ความสาคัญ
กับการให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนด้านการเงิน การงบประมาณในเบื้องต้นเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อน
นโยบายอยา่ งแทจ้ ริง
6. รัฐบาล/หน่วยงานของรัฐทาหน้าที่เป็นผู้ส่งเสริมด้านการตลาด : กรณีของประเทศ
ญ่ปี ่นุ ซง่ึ มีนโยบายด้านการสง่ เสรมิ การท่องเท่ียวในชนบท นอกจากรัฐบาลกลางจะให้การส่งเสริมสนับสนุน
ด้านงบประมาณเพ่ือให้เกิดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแล้ว ปัจจัยแห่งความสาเร็จหน่ึง คือ การที่รัฐบาล
ทาหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเท่ียวในพื้นที่ ดังในกรณีของเกาะคิวชูซ่ึงรัฐบาลท้องถ่ินของ
ควิ ชูเชญิ กองถ่ายละครและภาพยนตรจ์ ากประเทศไทยไปถา่ ยทาในพน้ื ท่ี จนทาให้นกั ทอ่ งเทย่ี วไทยทเี่ ดนิ ทาง
ไปยังคิวชูเพ่ิมมากข้ึน หรือในกรณีของ OVOP น้ัน รัฐบาลกลางของญี่ปุ่นจะทาหน้าที่ในการการส่งเสริม
การตลาด โดยมีมาตรการส่งเสริมการตลาดหลายประการ อาทิ งานออกร้านแสดงสินค้าในกรุงโตเกียว
การจัดตั้งบริษัท Oita OVOP Inc. เป็นต้น เพ่ือทาหน้าที่การตลาด ท้ังขายส่ง บริการส่ง และการสร้างช่องทาง
การจัดทาผ่านทางโทรทศั น์ (TV shopping) รัฐบาลหรอื หน่วยงานของรัฐมบี ทบาทในการให้ความช่วยเหลือ
ด้านการกระจายสินค้า การออกแบบ การบรรจุภัณฑ์ การวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ความน่าสนใจกรณีของ
รัฐบาลท่ีทาหน้าที่ส่งเสริมด้านการตลาดอีกประการหน่ึง คือ การท่ีรัฐบาลกลางทาหน้าท่ีช่วยในการจับ
กระแสความต้องการของตลาด และการสารวจความพึงพอใจของลูกค้า เพื่อใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพัฒนา
สินค้า และพัฒนารูปแบบสินค้าให้เป็นท่ีต้องการของตลาด เป็นต้น กรณีของการส่งเสริมการท่องเท่ียวใน
ประเทศเวียดนามนั้น นอกจากรัฐบาลกลางจะทาหน้าท่ีรณรงค์ ส่งเสริมประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการ
ท่องเที่ยวในรูปแบบต่าง ๆ ในพื้นที่และท้องถ่ินต่าง ๆ แล้ว พบว่าในพื้นที่/แหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ รัฐบาล
ท้องถิ่นจะทาหน้าท่ีหลักในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เส้นทางการท่องเที่ยว รวมท้ังสามารถท่ีจะ
วางแผนการทอ่ งเทีย่ วร่วมกบั เจา้ หน้าท่ี หรือขอรับคาปรกึ ษา คาแนะนาจากเจา้ หนา้ ที่ทอ้ งถ่ินได้ อีกตวั อย่างหน่ึง
ท่ีเห็นได้ชัดในเรื่องบทบาทของรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ คือ กรณีของนโยบายการขายบัตรท่องเท่ียวให้แก่
นักท่องเท่ียวท่ีจะมาเยี่ยมชมเมืองโบราณฮอยอันที่รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบในการริเร่ิมและดาเนินการ เพื่อ
กระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวในฮอยอันดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นว่ารัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถ่ิน หรือ
หน่วยงานรัฐควรมีบทบาทในการกระตุ้นส่งเสริมด้านการตลาดร่วมกับชุมชนหรือหมู่บ้าน เพราะด้วย
ความสามารถ ศักยภาพของชุมชน หมู่บ้าน หรือกลุ่มอาจจะไม่สามารถสร้างการประชาสัมพันธ์ และสร้าง
การตลาดได้ดีเท่ากับรัฐบาลซึ่งมีทรพั ยากร บุคลากรที่มีความเชย่ี วชาญ งบประมาณ เทคโนโลยี นวตั กรรม
และความสามารถในการเช่ือมประสาน
บทท่ี 4
ปจั จยั ทมี่ ีผลต่อการพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย
การศึกษา เร่ือง “ปัจจัยสู่ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานรากโดยพิจารณาจากนโยบาย
การบูรณาการหน่วยงานภาครัฐและเอกชนตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ได้กาหนดขอบเขตการศึกษา
เป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) การศึกษาแนวคิด และทฤษฎี 2) ศึกษาเปรียบเทียบในต่างประเทศ (ญ่ีปุ่น จีน
เวียดนาม) และ 3) ศึกษานโยบาย กฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ และกาหนดกรณีศึกษาในการดาเนินการ
ศึกษาใน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตรแปรรูป กลุ่มการท่องเที่ยวชุมชน และกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การ
ได้มาซึ่งข้อมูลนั้นกระทาทั้งรูปแบบเชิงปริมาณ (แบบสอบถาม) ซ่ึงเป็นการสอบถามสมาชิกกลุ่ม ใน 8
จงั หวัด ได้แก่ จังหวัดลาพนู พิษณุโลก เลย ชยั ภูมิ สระบุรี สพุ รรณบุรี พทั ลงุ และนครศรีธรรมราช รวม
จานวน 317 ชุด และการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยการศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับ
การถอดบทเรียนกล่มุ อาชีพ กลมุ่ วิสาหกิจชมุ ชน ใน 4 จังหวัด ได้แก่ ลาพนู เลย สระบุรี และนครศรธี รรมราช
และการประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด และการสนทนากลุ่มกับกลุ่มอาชีพ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน
ใน 4 จังหวัดได้แก่ จังหวัดภูเก็ต บุรีรัมย์ น่าน และจันทบุรี ผลจากข้อมูลที่ได้รับนาไปจัดทาข้อมูลตาม
กระบวนการศึกษา มีผลการวิเคราะห์แต่ละสว่ น ดงั นี้
4.1 กรอบการดาเนินการศึกษาปัจจัยแห่งความสาเร็จในการดาเนินนโยบายด้านการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานราก
4.2 ผลการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยความสาเร็จที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจาก
แบบสอบถาม
4.3 ผลการศึกษาเก่ียวกับปัจจัยความสาเร็จที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจาก
การสนทนากลมุ่
4.4 รายงานการศกึ ษาดงู านและจัดเสวนา (การประชมุ เชงิ ปฏิบัตกิ าร) ของคณะอนุกรรมาธกิ าร
การลงทุนและเศรษฐกิจฐานราก ในคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา เร่ือง
“ปัจจัยสู่ความสาเร็จของเศรษฐกิจฐานราก โดยพิจารณาจากนโยบายการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ
และเอกชน ตามยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ป”ี
4.5 การสมั มนาเชิงปฎิบัติการโครงการ “เศรษฐกิจฐานรากพลังการขับเคล่อื นเศรษฐกจิ ไทย”
โดย คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒสิ ภา รว่ มกับกระทรวงการพฒั นาสังคมและ
ความมั่นคงของมนษุ ย์
มรี ายละเอยี ดดงั น้ี
128
4.1 กรอบการดาเนินการศึกษาปัจจัยแห่งความสาเร็จในการดาเนินนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานราก
ในการดาเนินการศึกษาปัจจัยแห่งความสาเร็จในการดาเนินนโยบายด้านการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานรากเป็นการศกึ ษาความคดิ เหน็ ของกลมุ่ ตวั อยา่ งกรณีศกึ ษา วา่ ในการดาเนนิ การเพื่อใหเ้ กิด
ความสาเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากน้ัน มีปัจจัยใดบ้างที่มีส่วนสาคัญ และมีส่วนสาคัญมากน้อย
เพียงใด
ภาพท่ี 4-1 แสดงกรอบการดาเนนิ การศกึ ษา (Concept Framework)
ปจั จัยสภาพแวดล้อมภายนอก กระบวนการ ผลผลิต
Context Process Product
- ครอบครวั มรี ายได้เพ่ิมข้นึ
- นโยบายรัฐ/กฎหมาย/ระเบยี บ - การเข้าถึงปัจจยั การผลติ - การกระจายรายได้ในชมุ ชน
- การเมือง - การสรา้ งองคค์ วามรู้ - เศรษฐกิจชุมชนเขม้ แขง็
- สงั คม - การตลาด - ความสมั พนั ธ์ของคนในชมุ ชน
- วัฒนธรรม - การสอื่ สารสรา้ งการรับรูเ้ พ่อื - ความสัมพนั ธข์ องคนในครอบครวั ดีขนึ้
- สถานการณป์ จั จบุ ัน ความยั่งยนื - การจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์
- การบริหารจดั การ - การจัดระบบสวสั ดิการชุมชน
ปัจจยั ภายใน
Input - คนในชมุ ชนมคี วามสขุ
- ทนุ ชุมชน
- ผนู้ าชุมชน
- การรวมกลมุ่ และเครือขา่ ย
- การบริหารจัดการชุมชน
- การมีสว่ นรว่ มชุมชน
- การต่อยอดกจิ กรรม
การศึกษาความคิดเห็นเก่ียวกับปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก นาเสนอ
ผลก ารศึ กษ าซ่ึง เป็ น กา รสอ บถ ามค ว า มคิด เห็ น จา ก กลุ่ มใ น ชุม ชน ใ น ง าน พั ฒ น าเศ รษฐ กิจ ฐาน รา ก
ด้านเกษตรแปรรูป ด้านการท่องเที่ยวชุมชน ดา้ นอตุ สาหกรรม จากการเก็บแบบสอบถาม จานวน 24 กลุ่ม
จาก 8 จังหวัด รวมจานวน 317 กล่มุ ตัวอย่าง
4.2 ผลการศกึ ษาเก่ียวกบั ปจั จัยความสาเรจ็ ท่มี ผี ลตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากจากแบบสอบถาม
การศึกษาจากกลุ่มในชุมชนในงานพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานราก ดา้ นเกษตรแปรรูป ดา้ นการ
ท่องเทีย่ วชุมชน ด้านอตุ สาหกรรม ประกอบด้วย ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก ปจั จยั สภาพแวดลอ้ มภายใน
กระบวนการดาเนินงาน และผลผลิตจากการดาเนินงาน จากการเก็บแบบสอบถาม จานวน 24 กลุ่ม
ในพ้ืนที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ลาพูน พิษณุโลก เลย ชัยภูมิ สระบุรี สุพรรณบุรี พัทลุง และนครศรีธรรมราช
ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสารวจ
129
(Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษานี้ คือ กลมุ่ ต่าง ๆ ในชุมชน รวมทัง้ สิ้น 24 กลุม่ ที่เก่ียวข้องกับการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานราก จานวน 317 คน
การนาเสนอผลการศึกษาแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลประชากรศาสตร์ 2)
ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก 3) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน 4) กระบวนการดาเนินงาน และ 5)
ผลผลิตจากการดาเนินงาน ดงั ตารางขา้ งลา่ งนี้
ตารางท่ี 4-1 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ เพศ และอายุ ประเภทของกลมุ่
ขอ้ มลู ทั่วไป (n=82) (n=78) (n=317)
(n=157) การทอ่ งเทีย่ ว อตุ สาหกรรม รวม
เกษตรแปรรปู ชุมชน
เพศ 43 27 21 91
- ชาย (27.39) (32.93) (26.92) (28.71)
114
- หญงิ (72.61) 55 57 226
(67.07) (73.08) (71.29)
อายุ 2
- ต่ากวา่ 20 ปี (1.27) 3 2 7
11 (3.66) (2.56) (2.21)
- 21 – 30 ปี (7.01) 12 27
46 (14.63) 4 (8.52)
- 31 – 40 ปี (29.30) 11 (5.13) 67
46 (13.41) 10 (21.14)
- 41 – 50 ปี (29.30) 24 (12.82) 93
28 (29.27) 23 (29.34)
- 51 – 60 ปี (17.83) 13 (29.49) 60
24 (15.85) 19 (18.93)
- 60 ปขี ึ้นไป (15.29) 19 (24.36) 63
(23.17) 20 (19.87)
(25.64)
จากตารางท่ี 4-1 ขอ้ มูลประชากรศาสตร์ เพศ และอายุ อธบิ ายไดว้ า่
ด้านเพศ พบว่า เป็นชายจานวน 91 คน (ร้อยละ 28.71) และเป็นหญิงจานวน 226 คน
(ร้อยละ 71.29) ด้านอายุ พบว่าส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41 – 50 ปี จานวน 93 คน (ร้อยละ 29.34)
รองลงมาคืออายรุ ะหว่าง 31 – 40 ปี จานวน 67 คน (ร้อยละ 21.14) และมีอายุ 60 ปขี ึน้ ไป จานวน 63
คน (ร้อยละ 19.87)
130
ตารางที่ 4-2 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ สถานภาพสมรส และระดับการศกึ ษาสงู สดุ
ขอ้ มลู ทั่วไป ประเภทของกลมุ่
(n=157) (n=82) (n=78) (n=317)
เกษตรแปรรปู การทอ่ งเท่ยี ว อุตสาหกรรม รวม
ชมุ ชน
สถานภาพสมรส
- โสด 37 20 10 67
(23.57) (24.39) (12.82) (21.14)
- แต่งงาน 100 50 58 208
(63.69) (60.98) (74.36) (65.62)
- หย่ารา้ ง 11 10 4 25
(7.01) (12.20) (5.13) (7.89)
- แยกกนั อยู่ 1 0 12
(0.64) (0.00) (1.28) (0.63)
- หม้าย/ ม่าย 8 1 5 14
(5.10) (1.22) (6.41) (4.42)
- ไม่ระบุ 0 1 01
(0.00) (1.22) (0.00) (0.32)
ระดบั การศกึ ษาสูงสดุ
- ประถมศึกษา 25 14 14 53
(15.92) (17.07) (17.95) (16.72)
- มธั ยมศึกษาตอนตน้ 49 14 21 84
(31.21) (17.07) (26.92) (26.50)
- มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 42 17 7 66
(26.75) (20.73) (8.97) (20.82)
- ปวช. 11 1 10 22
(7.01) (1.22) (12.82) (6.94)
- ปวส. 8 7 7 22
(5.10) (8.54) (8.97) (6.94)
- ปรญิ ญาตรี 17 25 13 55
(10.83) (30.49) (16.67) (17.35)
- ปรญิ ญาโท 5 4 3 12
(3.18) (4.88) (3.85) (3.79)
- ไม่ระบุ 0 0 33
(0.00) (0.00) (3.85) (0.95)
จากตารางที่ 4-2 ขอ้ มูลประชากรศาสตร์ สถานภาพสมรส และระดบั การศกึ ษาสงู สุด
อธบิ าย ได้วา่
ด้านสถานภาพสมรส พบว่า แต่งงาน จานวน 208 คน (ร้อยละ 65.62) รองลงมาคือ
โสด จานวน 67 คน (ร้อยละ 21.14) และหย่าร้าง จานวน 25 คน (ร้อยละ 7.89) ด้านระดับการศึกษา
131
พบวา่ ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ จานวน 84 คน (รอ้ ยละ 26.50) มัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 66 คน
(รอ้ ยละ 20.82) และปริญญาตรี จานวน 55 คน (รอ้ ยละ 17.35)
ตารางที่ 4-3 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ อาชพี หลกั และจานวนคนในครอบครัว
ข้อมูลทว่ั ไป ประเภทของกลมุ่
(n=157) (n=82) (n=78) (n=317)
เกษตรแปรรปู การท่องเท่ยี ว อตุ สาหกรรม รวม
ชุมชน
อาชีพหลัก
- รบั จ้าง 78 23 30 131
(46.68) (28.05) (38.46) (41.32)
- เกษตรกร 40 26 32 98
(25.48) (31.71) (41.03) (30.91)
- ธรุ กจิ 26 18 7 51
(16.56) (21.95) (8.97) (16.09)
- รับราชการ/ พนักงานราชการ/ ขา้ ราชการ 3 5 6 14
บานาญ (1.91) (6.10) (7.69) (4.42)
- คา้ ขาย 1 5 06
(0.64) (6.10) (0.00) (1.89)
- กลุ่มอาชีพ 6 0 17
(3.82) (0.00) (1.28) (2.21)
- อ่นื ๆ 3 5 2 10
(1.91) (6.10) (2.56) (3.15)
จานวนคนในครอบครัว
- ต่ากว่า 3 คน 43 27 24 94
(27.39) (32.93) (30.77) (26.65)
- 4 – 5 คน 90 42 45 177
(57.32) (51.22) (57.69) (55.84)
- มากกวา่ 5 คน 24 13 9 46
(15.29) (15.85) (11.54) (14.51)
จากตารางที่ 4-3 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ อาชีพหลกั และจานวนคนในครอบครัว
อธบิ ายไดว้ า่
ด้านอาชีพหลัก พบว่า มีอาชีพรับจ้าง จานวน 131 คน (ร้อยละ 41.32) รองลงมาคือ
เกษตรกร จานวน 98 คน (ร้อยละ 30.91) ธุรกิจ จานวน 51 คน (ร้อยละ 16.09) และรับราชการ/
พนักงานราชการ/ข้าราชการบานาญ จานวน 14 คน (ร้อยละ 4.42) ดา้ นจานวนคนในครอบครัว พบว่า
มีคนในครอบครัว 4 – 5 คน จานวน 177 คน (ร้อยละ 55.84) และ มีคนในครอบครัวต่ากว่า 3 คน
จานวน 94 คน (รอ้ ยละ 26.65)
132
ตารางท่ี 4-4 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ รายไดเ้ ฉลยี่ ตอ่ เดอื น ประเภทของกลมุ่ (n=317)
(n=82) (n=78) รวม
ข้อมูลทั่วไป การท่องเทีย่ ว อตุ สาหกรรม
(n=157) 70
ชุมชน (22.08)
เกษตรแปรรปู 114
(35.96)
รายได้เฉลี่ยตอ่ เดือน 37 13 20
- ตา่ กวา่ 5,000 บาท (23.57) (15.85) (25.64) 76
(23.97)
- 5,001 – 10,000 บาท 52 35 27
(33.12) (42.68) (34.62) 57
- 10,001 – 15,000 บาท (17.98)
45 15 16
- มากกวา่ 15,000 บาท (28.66) (18.29) (20.51)
23 19 15
(14.65) (23.17) (19.23)
จากตารางที่ 4-4 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ รายไดเ้ ฉลีย่ ตอ่ เดือน อธบิ ายได้วา่
ด้านรายได้ต่อเดือน พบว่า มีรายได้ต่อเดือน 5,001 – 10,000 บาท จานวน 114 คน
(ร้อยละ 35.96) รองลงมาคอื มีรายได้ต่อเดือน 10,001 – 15,000 บาท จานวน 76 คน (ร้อยละ 23.97)
และมรี ายได้ต่อเดอื นตา่ กวา่ 5,000 บาท จานวน 70 คน (ร้อยละ 22.08)
ตารางที่ 4-5 ขอ้ มูลประชากรศาสตร์ ข้อมลู ดา้ นกลุ่ม (1) ประเภทของกลมุ่ (n=317)
(n=82) (n=78) รวม
ข้อมูลทวั่ ไป การทอ่ งเที่ยว อตุ สาหกรรม
(n=157) 86
เกษตรแปรรปู ชมุ ชน (27.13)
สถานภาพทางธรุ กิจของกลุ่ม 17 43 26 20
- กลมุ่ อาชีพ (10.83) (52.44) (33.33) (6.31)
151
- กลมุ่ สหกรณ์ 10 4 6 (47.63)
(6.37) (4.88) (7.69) 31
- กลมุ่ วิสาหกิจ 75 35 41 (9.78)
(47.77) (42.68) (52.56) 29
- บรษิ ทั จากดั 31 (9.15)
(19.75) 0 0
- ไมร่ ะบุ 24 (0.00) (0.00)
(15.29)
0 5
(0.00) (6.41)
133
จากตารางที่ 4-5 ขอ้ มลู ประชากรศาสตร์ ขอ้ มูลดา้ นกลุ่ม (1) อธบิ ายไดว้ า่
ด้านสถานภาพทางธุรกิจของกลุ่ม พบว่า เป็นกลุ่มวิสาหกิจ จานวน 151 คน (ร้อยละ
47.63) รองลงมาคือ กลุ่มอาชีพ จานวน 86 คน (ร้อยละ 27.13) และ บริษัทจากัด จานวน 31 คน
(ร้อยละ 9.78)
ตารางที่ 4-6 ข้อมูลประชากรศาสตร์ ขอ้ มลู ดา้ นกลมุ่ (2) ประเภทของกลมุ่ (n=317)
(n=82) (n=78) รวม
ขอ้ มูลทั่วไป การทอ่ งเที่ยว อุตสาหกรรม
(n=157) 28
ชมุ ชน (8.83)
เกษตรแปรรปู 44
(13.88)
ตาแหนง่ / บทบาทในกล่มุ 11 11 6 240
- ประธาน/ รองประธาน/ เลขานกุ าร/ ที่ปรกึ ษา (7.01) (13.41) (7.69) (75.71)
16 13
- กรรมการ (10.19) 15 (16.67) 5
127 (18.29) 57 (1.58)
- สมาชิกกลุ่ม (80.89) (73.08)
56 28
- ไมร่ ะบุ 3 (68.29) 2 (8.83)
(1.91) (2.56) 87
ระยะเวลาในการมีสว่ นรว่ ม/ มีบทบาทในกลุ่ม 0 (27.44)
- น้อยกว่า 1 ปี 2 (0.00) 66
(1.27) (20.82)
- 1 – 3 ปี 26 11 15 136
(16.56) (13.41) (19.23) (42.90)
- 3 – 5 ปี 48
(30.57) 44 17
- 5 ปขี ้นึ ไป 81 (53.66) (21.79)
(51.59)
7 11
(8.54) (14.10)
20
(24.39) 35
(44.87)
จากตารางท่ี 4-6 ขอ้ มูลประชากรศาสตร์ ขอ้ มูลด้านกลุ่ม (2) อธิบายได้ว่า
ด้านตาแหน่งและบทบาทในกลุ่ม พบว่า เป็นสมาชิกกลุ่ม จานวน 240 คน (ร้อยละ
75.71) รองลงมาคือ กรรมการ จานวน 44 คน (ร้อยละ 13.88) และประธาน/ รองประธาน/ เลขานุการ/
ทปี่ รึกษา จานวน 28 คน (ร้อยละ 8.83) ด้านระยะเวลาในการมสี ่วนร่วม/ มบี ทบาทในกลมุ่ สว่ นใหญ่มี
ส่วนร่วม/ มบี ทบาท 5 ปขี ้ึนไป จานวน 136 คน (ร้อยละ 42.90) รองลงมาคือ 1 – 3 ปี จานวน 87 คน
(ร้อยละ 27.44) และ 3 – 5 ปี จานวน 66 คน (ร้อยละ 20.82)
134
ตารางท่ี 4-7 ปัจจยั สภาพแวดลอ้ มภายนอก ประเภทของกลมุ่
(n=82) (n=78)
ปัจจัยสภาพแวดลอ้ มภายนอก การทอ่ งเทย่ี ว อตุ สาหกรรม
(n=157) ชมุ ชน (n=317)
เกษตรแปรรูป รวม
3.30 3.59
ดา้ นกฎหมาย 3.43 .732 .889 3.44
.773 .797
1) ความรู้ ความเข้าใจของท่านเกี่ยวกับวิสาหกิจ Mean
ชมุ ชน S.D.
2) การให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิสาหกิจ Mean 3.46 3.46 3.64 3.51
ชุมชนมีความสาคญั S.D. .721 .688 .953 .778
3) หน่วยงานภาครัฐท่ีให้การส่งเสริมและ
สนบั สนนุ การดาเนนิ งานของกลุม่
3.1) กรมการพัฒนาชุมชน Mean 3.77 3.63 3.97 3.97
S.D. .724 .910 .967 .845
3.2) กรมส่งเสรมิ การเกษตร Mean 3.51 3.44 3.33 3.45
S.D. .740 .904 .658 .769
3.3) กรมพัฒนาธรุ กิจการคา้ Mean 3.38 3.17 3.25 3.30
S.D. .861 .823 .746 .827
3.4) กรมสง่ เสริมอุตสาหกรรม Mean 3.25 3.18 3.68 3.34
S.D. 1.001 .883 1.129 1.022
3.5) กรมการคา้ ภายใน Mean 3.36 2.99 3.19 3.22
S.D. .803 .907 1.026 .899
3.6) สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ Mean 3.27 3.32 3.31 3.29
เทคโนโลยีแห่งชาติ/สถาบันการศึกษา/ S.D. .939 .804 1.127 .954
มหาวิทยาลัยในพน้ื ที่
3.7) อืน่ ๆ Mean 3.37 3.32 2.68 3.20
S.D. .865 .954 1.293 1.038
4) การส่งเสริมและสนับสนุนจากหน่วยงาน Mean 3.50 3.41 3.40 3.45
ภาครฐั ช่วยใหก้ ลุ่มประสบความสาเร็จ S.D. .685 .902 .985 .824
รวม Mean 3.43 3.32 3.46 3.41
S.D. .561 .620 .726 .621
ด้านการเมอื ง
1) นโยบายการพัฒนาและการส่งเสริมจาก Mean 3.41 3.33 3.36 3.38
หน่วยงานภาครัฐ ทาให้กลุ่มของท่านประสบ S.D. .759 .806 .939 .817
ความสาเรจ็
2) นโยบายการพัฒนาและการส่งเสริมจาก Mean 3.32 3.38 3.31 3.34
หนว่ ยงานภาครฐั มคี วามเปน็ ไปไดใ้ นการปฏบิ ตั ิ S.D. .744 .799 .872 .790
Mean 3.35 3.37 3.25 3.33
135
ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก ประเภทของกลมุ่
(n=82) (n=78)
(n=157) การท่องเทย่ี ว อตุ สาหกรรม (n=317)
เกษตรแปรรูป รวม
ชุมชน
3) นโยบายการพัฒนาและการส่งเสริมจาก S.D. .724 .814
.843 .948
หน่วยงานภาครัฐเอื้อให้เกิดภาคีเครือข่าย และ 3.35 3.34
.672 3.36 3.30 .731
ความเข้มแข็งของกล่มุ .758 .822
3.33 3.37
รวม Mean .813 3.46 3.36 .897
.892 1.057
S.D. 3.24 3.28
.953 3.32 3.31 .977
ดา้ นสังคม .901 1.103
3.29 3.32
1) การสง่ เสริมและสนับสนุนการดาเนนิ งานของ Mean .825 3.39 3.33 .879
.846 1.015
กลุ่มด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ส่งผลต่อ S.D. 3.51 3.53
ความสาเรจ็ ของกลุ่ม .713 3.54 3.56 .773
3.50 .804 .862 3.54
2) การส่งเสริมและสนับสนุนการดาเนินงานของ Mean .713 3.63 3.51 .731
.778 .716
กลุ่มด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่น/ การพัฒนา S.D. 3.50 3.53
ช่องทางการตลาดออนไลน์ ส่งผลตอ่ ความสาเร็จ .657 3.59 3.54 .702
.757 .738
ของกลุม่ 3.39 3.50
.667 3.58 3.63 .762
รวม Mean 3.39 .835 .839 3.47
.740 3.52 3.58 .809
S.D. 3.31 .835 .905 3.45
.876 3.49 3.68 .902
ดา้ นวฒั นธรรม 3.43 .839 .974 3.50
.819 3.61 3.51 .866
1) การส่งเสริมการพัฒนาผลิตภณั ฑ์ชุมชนทม่ี ีอัต Mean 3.40 .871 .950 3.45
.793 3.43 3.55 .916
ลักษณส์ ่งผลต่อการดาเนนิ งานของกลุ่ม S.D. .930 1.112
3.57 3.54
2) การส่งเสริมองค์ความรู้ชุมชน ภูมิปัญญา Mean 3.55 3.47
ชุมชนและปราชญ์ชุมชนมีผลต่อการดาเนินงาน S.D.
ของกลมุ่
รวม Mean
S.D.
ดา้ นสถานการณ์ปัจจุบัน
1) การส่ งเสริมทักษะอาชีพมี ผลต่อกา ร Mean
ดาเนนิ งานของกล่มุ S.D.
2) การส่งเสริมด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์/ Mean
นวตั กรรมมีผลต่อการดาเนนิ งานของกลมุ่ S.D.
3) การส่งเสริมด้านการตลาดออนไลน์ มีผลต่อ Mean
การดาเนนิ งานของกลมุ่ S.D.
4) การส่งเสริมด้านการรกั ษาส่ิงแวดลอ้ มมีผลต่อ Mean
การดาเนนิ งานของกลมุ่ S.D.
5) การส่งเสริมความรู้ด้านธุรกิจ การบริหาร Mean
จัดการ การผลิต การตลาด และระบบการเงิน S.D.
บัญชมี ผี ลต่อการดาเนนิ งานของกล่มุ
Mean
136
ปัจจยั สภาพแวดลอ้ มภายนอก ประเภทของกลมุ่
(n=82) (n=78)
(n=157) การทอ่ งเทีย่ ว อุตสาหกรรม (n=317)
เกษตรแปรรูป รวม
ชมุ ชน .824
6) การกระต้นุ เศรษฐกจิ ด้วยกิจกรรมรูปแบบใหม่ S.D. .753
เช่น ตลาดอินทรีย์ ตลาดอนุรักษ์ ตลาดย้อนยุค .863 .922 3.48
การท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น มีผลต่อการ 3.41 .735
ดาเนินงานของกลมุ่ .628 3.53 3.57
.784 .869
รวม Mean
S.D.
จากตารางที่ 4-7 ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก อธิบายไดว้ า่
ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลต่อการดาเนินงานของกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย
ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยภายนอกด้านกฏหมาย ปัจจัยภายนอกด้านการเมือง ปัจจัยภายนอกด้านสังคม
ปัจจัยภายนอกด้านวัฒนธรรม และปัจจัยภายนอกด้านสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า
ปัจจัยภายนอกท่ีมีผลต่อความสาเร็จและการดาเนินงานของกลุ่มจัดเรียงตามลาดับ ได้แก่ ปัจจัย
สภาพแวดล้อมภายนอกด้านวัฒนธรรม มีค่าเฉลี่ย 3.53 ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านสถานการณ์
ปัจจุบัน มีค่าเฉล่ีย 3.48 ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านกฎหมาย มีค่าเฉลี่ย 3.41 ปัจจัยสภาพแวดล้อม
ภายนอกด้านการเมือง มีค่าเฉล่ีย 3.34 และปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านสังคม มีค่าเฉลี่ย 3.32
ท้ังนี้ เม่ือพิจารณารายละเอียดปจั จัยยอ่ ยในแตล่ ะด้าน ปรากฏดงั รายละเอียดด้านลา่ ง ดงั นี้
(1) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านวัฒนธรรม ภาพรวมมีค่าเฉลี่ย 3.53 และเมื่อ
พิจารณาในองค์ประกอบย่อย 2 ตัว ได้แก่ การส่งเสริมองค์ความรู้ชุมชน ภูมิปัญญาชุมชนและปราชญ์
ชุมชนมีผลต่อการดาเนินงานของกลุ่ม (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.54) และองค์ประกอบย่อย เร่ือง การส่งเสริม
การพัฒนาผลิตภณั ฑช์ มุ ชนที่มอี ัตลกั ษณ์สง่ ผลต่อการดาเนนิ งานของกลุ่ม (ค่าเฉลี่ยเท่ากบั 3.53)
(2) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านสถานการณ์ปัจจุบัน ภาพรวมมีค่าเฉล่ีย 3.48
และเม่ือพจิ ารณาในองค์ประกอบย่อย ซึ่งประกอบดว้ ย 6 องค์ประกอบย่อยซงึ่ จัดเรียงลาดับตามค่าเฉล่ีย
ไดแ้ ก่ องค์ประกอบยอ่ ย ในเรอ่ื งการกระตนุ้ เศรษฐกิจด้วยกจิ กรรมรูปแบบใหม่ เช่น ตลาดอินทรีย์ ตลาดอนรุ ักษ์
ตลาดย้อนยุค การท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น มีผลต่อการดาเนินงานของกลุ่ม (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.54)
องค์ประกอบย่อย เรื่อง การส่งเสริมด้านการรักษาส่ิงแวดลอ้ มมีผลต่อการดาเนินงานของกลุ่ม (ค่าเฉลี่ย
เท่ากับ 3.50) ท้ังนี้ในส่วนขององค์ประกอบยอ่ ยดา้ นการส่งเสริมทักษะอาชีพมีผลต่อการดาเนินงานของ
กลมุ่ มีค่าเฉล่ยี เท่ากับองค์ประกอบย่อยด้านการส่งเสริมด้านการรกั ษาสิ่งแวดล้อมมีผลตอ่ การดาเนนิ งาน
ของกลุ่ม องค์ประกอบย่อยทีม่ ีความสาคัญในลาดบั ถดั มา ได้แก่ องค์ประกอบยอ่ ย เรือ่ ง การส่งเสรมิ ด้าน
การพัฒนาผลิตภณั ฑ์/ นวัตกรรมมีผลตอ่ การดาเนินงานของกลมุ่ มีค่าเฉลี่ย 3.47 ในขณะท่ีองค์ประกอบยอ่ ย
2 ตัวสุดท้ายท่ีมีค่าเฉลี่ยต่าท่ีสุดในส่วนของปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในด้านสถานการณ์ปัจจุบัน ได้แก่
137
การส่งเสริมด้านการตลาดออนไลน์ มีผลต่อการดาเนินงานของกลุ่ม และการส่งเสริมความรู้ด้านธุรกิจ
การบรหิ ารจดั การ การผลิต การตลาด และระบบการเงินบัญชมี ผี ลตอ่ การดาเนนิ งานของกล่มุ ซึ่งทงั้ สอง
องค์ประกอบยอ่ ยน้มี ีค่าเฉลยี่ เทา่ กบั 3.45
(3) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านกฎหมาย ภาพรวมมีค่าเฉลี่ย 3.41 ทั้งน้ี
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบย่อยซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบปรากฎค่าเฉล่ียจัดเรียงตามลาดับ ดังนี้
การให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน มีค่าเฉล่ีย 3.51 หน่วยงานภาครัฐท่ีให้การส่งเสริม
และสนับสนุนการดาเนินงานของกลุ่ม และการส่งเสริมและสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐช่วยให้กลุ่ม
ประสบความสาเรจ็ มีค่าเฉลีย่ 3.45 เท่ากนั ในทั้งสององค์ประกอบยอ่ ย
(4) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านการเมือง ภาพรวมมีค่าเฉล่ีย 3.34 ซ่ึงใน
รายละเอียดเก่ียวกับองค์ประกอบย่อย พบว่า องค์ประกอบย่อยมีความสาคัญจัดเรียงตามลาดับ ดังนี้
การส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐทาให้กลุ่มประสบความสาเร็จ (ค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.38) นโยบาย
การพัฒนาและการส่งเสรมิ จากหน่วยงานภาครัฐมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ (มีค่าเฉลี่ยเทา่ กับ 3.34)
และนโยบายการพัฒนาและการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครฐั เอื้อให้เกิดภาคีเครือขา่ ยและความเข้มแข็ง
(มีคา่ เฉล่ียเท่ากับ 3.33)
(5) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านสังคม ภาพรวมมีค่าเฉลี่ย 3.32 ซึ่งปัจจัย
สภาพแวดล้อมภายนอกด้านน้ี ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การส่งเสริมและสนับสนุน
การดาเนินงานของกลุ่มดว้ ยการวิจยั และพฒั นานวตั กรรมส่งผลต่อความสาเรจ็ ของกลุ่ม มีคา่ เฉล่ีย 3.37
และการส่งเสริมและสนับสนุนการดาเนินงานของกลุ่มด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่น/การพัฒนาช่องทาง
การตลาดออนไลนส์ ง่ ผลต่อความสาเร็จของกลุ่ม มีคา่ เฉลย่ี 3.28
ท้ังน้ี เมื่อพิจารณาจาแนกตามกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึงได้มีการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตร
แปรรูป กลมุ่ การทอ่ งเทยี่ วชมุ ชน และกลุม่ การอตุ สาหกรรม
กลุ่มเกษตรแปรรูป กลุ่มตัวอย่างที่มาจากกลุ่มเกษตรแปรรูป จานวน 157 คน เห็นว่า
ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านวัฒนธรรมมีความสาคัญมากที่สุด (ค่าเฉล่ีย 3.50) รองลงมาได้แก่
ปัจจัยภายนอกด้านกฎหมาย (ค่าเฉล่ีย 3.43) ถัดมาได้แก่ปัจจัยภายนอกด้านสถานการณ์ปัจจุบัน
(ค่าเฉลีย่ 3.41) ส่วนสองลาดับสุดท้าย ได้แก่ ปัจจยั ภายนอกด้านการเมอื ง และปจั จัยภายนอกด้านสังคม
ซ่ึงมคี ่าเฉลี่ยเท่ากบั 3.35 และ 3.29 ตามลาดบั
กลุ่มการทอ่ งเทย่ี วชมุ ชน กลุม่ ตัวอย่างทมี่ าจากกลุ่มการทอ่ งเที่ยวชุมชน จานวน 82 คน
สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยภายนอกที่มีความสาคัญกับการดาเนินการของกลุ่มมากท่ีสุด ได้แก่ ปัจจัย
ภายนอกดา้ นวัฒนธรรม (ค่าเฉลีย่ 3.59) รองลงมาได้แก่ปจั จัยภายนอกดา้ นสถานการณป์ จั จบุ นั (ค่าเฉล่ีย
เท่ากับ 3.53) ลาดับท่ีสามได้แก่ปัจจัยภายนอกด้านสังคม (ค่าเฉล่ีย 3.39) ลาดับท่ีสี่ ได้แก่ ปัจจัย
ภายนอกด้านการเมือง (ค่าเฉล่ีย 3.36) และปัจจัยภายนอกที่สาคัญน้อยท่ีสุดในความคิดเห็นของกลุ่ม
ตวั อย่าง ได้แก่ ปัจจัยภายนอกด้านกฎหมาย
138
กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มตัวอย่างที่มาจากกลุ่มอุตสาหกรรม จานวน 78 คน สะท้อนให้
เห็นว่าปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีความสาคัญต่อการดาเนินการของกลุ่มเรียงตามความสาคัญ
ไดแ้ ก่ ลาดับที่หน่งึ ปัจจัยภายนอกด้านสถานการณ์ปัจจบุ ัน (คา่ เฉลี่ย 3.57) ลาดบั ที่สอง ปจั จยั ภายนอก
ดา้ นวัฒนธรรม (ค่าเฉล่ีย 3.54) ลาดับท่ีสาม ได้แก่ ปัจจัยภายนอกด้านกฎหมาย (ค่าเฉล่ีย 3.46) ลาดับที่สี่
ได้แก่ ปัจจยั ภายนอกดา้ นสงั คม (ค่าเฉลี่ย 3.33) และลาดบั ที่ห้า สุดทา้ ยคอื ปัจจยั ภายนอกด้านการเมือง
(ค่าเฉล่ีย 3.30)
ตารางท่ี 4-8 ปัจจยั สภาพแวดลอ้ มภายใน
ปัจจยั สภาพแวดล้อมภายใน ประเภทของกลมุ่
(n=157) (n=82) (n=78) (n=317)
เกษตรแปรรปู การทอ่ งเที่ยว อุตสาหกรรม รวม
ชุมชน
1) ผู้นากลุ่มมคี วามรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการ Mean 3.87 3.74 3.95 3.85
พฒั นากลุ่ม S.D. .737 .886 1.005 .849
2) “ทุนชมุ ชน” ทสี่ ่งเสริมการพัฒนากล่มุ
2.1) สถาบันการเงนิ ชมุ ชน Mean 3.40 3.49 2.95 3.31
S.D. .871 1.033 .952 .956
2.2) องคค์ วามรู้ ภูมิปญั ญา Mean 3.57 3.78 3.50 3.61
S.D. .802 .770 .752 .787
2.3) ปราชญ์ชมุ ชน Mean 3.58 3.80 3.47 3.61
S.D. .825 .710 .751 .786
2.4) วฒั นธรรมประเพณี Mean 3.64 3.89 3.71 3.72
S.D. .776 .707 .667 .738
2.5) ทรพั ยากรธรรมชาต/ิ วตั ถุดิบในทอ้ งถ่ิน Mean 3.79 3.94 3.85 3.84
S.D. .743 .822 .981 .827
2.6) อ่ืนๆ Mean 3.62 3.60 3.43 3.57
S.D. .938 .871 .958 .920
3) กลุ่มมีความสามารถดา้ นการบรหิ าร Mean 3.61 3.38 3.76 3.59
S.D. .705 .815 .856 .782
4) กลุ่มมีความร่วมมือ/ การเชื่อมโยงกับกลุ่มหรือ Mean 3.54 3.41 3.78 3.57
องค์กรอ่ืน S.D. .764 .902 .832 .826
5) ชุมชนมีส่วนในการสนับสนุนการดาเนินงานของ Mean 3.38 3.54 3.54 3.46
กลมุ่ S.D. .813 .834 .768 .809
6) กลมุ่ มกี ารพฒั นาและต่อยอดกจิ กรรมของกลุม่ Mean 3.61 3.46 3.64 3.58
S.D. .773 .837 .720 .779
รวม Mean 3.60 3.64 3.61 3.61
S.D. .583 .633 .518 .580
139
จากตารางท่ี 4-8 ปจั จัยสภาพแวดลอ้ มภายใน อธบิ ายได้วา่
ผลจากปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในท่ีส่งผลต่อความสาเร็จของกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย
ปัจจัยย่อย จานวน 6 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยย่อยด้านผู้นากลุ่ม ปัจจัยย่อยด้านทุนชุมชน ปัจจัยย่อยด้าน
ความสามารถการบริหารของกลุ่ม ปัจจัยย่อยด้านความร่วมมือ/การเช่ือมโยงกับกลุ่มองค์กรอื่น ปัจจัย
ยอ่ ยดา้ นการสนับสนุนการดาเนินงานกล่มุ ของชุมชน และปจั จยั ย่อยด้านการพัฒนาและตอ่ ยอดกิจกรรม
ของกลมุ่ โดยในสว่ นของภาพรวมของปจั จัยภายใน พบว่า กลมุ่ ตัวอยา่ งเห็นว่ามีความสาคัญในระดับมาก
โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.61 ซ่ึงหากจะจัดเรียงลาดับความสาคัญของปัจจัยภายในทั้ง 6 ประเด็นย่อย
ปรากฏผลดงั น้ี ปจั จยั สภาพแวดลอ้ มภายในทมี่ ีความสาคญั เปน็ ลาดับแรก คือ ปัจจยั ภายในด้านผนู้ ากลมุ่
ซ่ึงต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการพัฒนากลุ่ม (ค่าเฉล่ีย 3.85) ลาดับท่ีสอง ได้แก่
ปัจจัยภายในเร่ืองทุนชุมชนท่ีมีส่วนส่งเสริมพัฒนาการกลุ่ม (ค่าเฉล่ีย 3.61) ลาดับท่ีสาม ได้แก่ ปัจจัย
ภายในด้านกลุ่มที่มีความสามารถด้านการบริหาร (ค่าเฉล่ีย 3.59) ลาดับท่ีส่ี ปัจจัยภายในด้านกลุ่มที่มี
การพัฒนาและต่อยอดกิจกรรมของกลุ่ม (ค่าเฉลี่ย 3.58) ลาดับท่ีห้า ได้แก่ ปัจจัยภายในด้านกลุ่มซึ่งมี
ความร่วมมือ/การเช่ือมโยงกับกลุ่มหรือองค์กรอื่น (ค่าเฉลี่ย 3.57) และ ลาดับสุดท้าย ได้แก่ ปัจจัย
ภายในด้านชุมชนทีม่ สี ว่ นในการสนบั สนุนการดาเนนิ งานของกลมุ่ (คา่ เฉลีย่ 3.46)
เมอ่ื พิจารณาในส่วนของปัจจัยสภาพแวดลอ้ มภายในซึง่ เป็นปจั จัยย่อย ดา้ น “ทุนชมุ ชน”
น้ัน ได้มีการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับนัยความหมายของคาว่า “ทุนชุมชน” ซึ่ง
กลุ่มตัวอย่างสะท้อนว่าทุนชุมชนท่ีสาคัญมากท่ีสุด จัดเรียงตามลาดับได้แก่ ทุนทรัพยากรธรรมชาติ/
วัตถุดิบในท้องถ่ิน (คา่ เฉลี่ย3.84) , ทุนวัฒนธรรมประเพณี (คา่ เฉลี่ย 3.72) , ทนุ ปราชญ์ชุมชน (คา่ เฉลี่ย
3.61) , ทนุ องค์ความรู้ ภูมิปัญญา (ค่าเฉล่ีย 3.61) และ ทุนที่เป็นสถาบันการเงินชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.31)
ทั้งนี้ ในส่วนน้ี พบว่า กลุ่มตัวอย่างสะท้อนว่ายังมีทุนชุมชนในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือท่ีได้กล่าวถึงใน
ตอนตน้ ซึง่ เห็นวา่ มคี วามสาคญั ในระดบั มาก มคี ่าเฉลีย่ เทา่ กบั 3.57
ท้ังนี้ เมื่อพิจารณาจาแนกตามกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึงได้มีการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม
เกษตรแปรรูป กล่มุ ท่องเทีย่ วชมุ ชน และ กลุ่มอตุ สาหกรรม
กลุ่มเกษตรแปรรูป กลุ่มตัวอย่างท่ีมาจากกลุ่มเกษตรแปรรูป จานวน 157 คน เห็นว่า
ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในด้านผู้นากลุ่มที่มีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการพัฒนากลุ่มมี
ความสาคัญมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 3.87) รองลงมาได้แก่ปัจจัยภายในด้านความสามารถในการบริหาร
ของกลมุ่ (ค่าเฉลย่ี 3.61) ถดั มาไดแ้ กป่ ัจจัยภายในด้านการพัฒนาและตอ่ ยอดกิจกรรมของกลุม่ (ค่าเฉล่ีย
3.61) ส่วนสามลาดับสุดท้าย ได้แก่ ปัจจัยภายในด้านทุนชุมชนที่ส่งเสริมการพัฒนากลุ่ม ปัจจัยภายใน
ด้านความร่วมมือ/การเชื่อมโยงกับกลุ่มหรือองค์กรอ่ืน และ ปัจจัยภายในด้านการมีส่วนสนับสนุนจาก
ชุมชนในการดาเนนิ การของกลมุ่ ซง่ึ มคี ่าเฉล่ยี เท่ากับ 3.60 , 3.54 และ 3.38 ตามลาดบั
กล่มุ การท่องเท่ียวชมุ ชน กลมุ่ ตวั อย่างท่ีมาจากกลุ่มการทอ่ งเที่ยวชุมชน จานวน 82 คน
สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในท่ีมีความสาคัญต่อความสาเร็จในการดาเนินการของกลุ่ม
ได้แก่ ปจั จยั ภายในด้านทนุ ชมุ ชนท่ีสง่ เสรมิ การพฒั นากลุ่ม (ค่าเฉลยี่ 3.75) รองลงมา ได้แก่ ปัจจัยภายใน
140
ด้านผู้นากลุ่มที่มีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการพัฒนากลุ่มมีความสาคัญมากท่ีสุด (ค่าเฉล่ีย
3.74) ลาดับท่ีสาม ได้แก่ปัจจัยภายในด้านการมีส่วนสนับสนุนจากชุมชนในการดาเนินการของกลุ่ม
(ค่าเฉล่ีย 3.54) ถัดมาได้แก่ปัจจัยภายในด้านการพัฒนาและต่อยอดกิจกรรมของกลุ่ม (ค่าเฉลี่ย 3.46)
ลาดับท่ีห้า ได้แก่ ปัจจัยภายในด้านความร่วมมือ/การเชื่อมโยงกับกลุ่มหรือองค์กรอื่น (ค่าเฉลี่ย 3.41)
และสดุ ทา้ ย ไดแ้ กป่ ัจจยั ภายในดา้ นความสามารถในการบริหารของกลมุ่ (ค่าเฉลย่ี 3.38)
กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มตัวอย่างท่ีมาจากกลุ่มอุตสาหกรรม จานวน 78 คน สะท้อนให้
เห็นวา่ ปจั จัยภายในท่ีมีสว่ นสาคัญตอ่ ความสาเรจ็ ในการดาเนินการของกลุ่ม ไดแ้ ก่ ปจั จยั ภายในดา้ นผู้นา
กลุ่มท่ีมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการพัฒนากลุ่มมีความสาคัญมากท่ีสุด (ค่าเฉล่ีย 3.95)
รองลงมา ได้แก่ ปัจจัยภายในด้านความร่วมมือ/การเช่ือมโยงกับกลุ่มหรือองค์กรอ่ืน (ค่าเฉล่ีย 3.78)
ลาดับทีส่ าม ไดแ้ ก่ปัจจยั ภายในดา้ นความสามารถในการบรหิ ารของกลุม่ (ค่าเฉล่ยี 3.76) ลาดบั ที่ส่ี ได้แก่
ปัจจัยภายในด้านการพัฒนาและต่อยอดกิจกรรมของกลุ่ม (ค่าเฉล่ีย 3.64) ลาดับท่ีห้า ได้แก่ ปัจจัย
ภายในด้านการมสี ว่ นสนับสนุนจากชุมชนในการดาเนินการของกลุ่ม (ค่าเฉล่ยี 3.54) และลาดบั สุดท้าย
ได้แกป่ จั จัยภายในด้านทนุ ชุมชนทส่ี ่งเสรมิ การพัฒนากลุ่ม (คา่ เฉลีย่ 3.54)
ตารางท่ี 4-9 กระบวนการดาเนินงาน
กระบวนการดาเนินงาน ประเภทของกลมุ่
(n=157) (n=82) (n=78) (n=317)
รวม
เกษตรแปรรปู การท่องเท่ยี ว อตุ สาหกรรม
ชมุ ชน 3.13
.954
1) การเข้าถึงปัจจยั การผลิต 3.55
.831
1.1) มแี หลง่ เงินทนุ Mean 3.29 3.15 2.78 3.55
.784
S.D. .887 .862 1.089 3.02
1.028
1.2) มที รัพยากรและวัตถุดบิ การผลิต Mean 3.58 3.49 3.56 3.31
.686
S.D. .642 .789 1.158
3.48
1.3) มคี วามรู้ Mean 3.52 3.51 3.67 .798
3.58
S.D. .666 .572 1.124 .802
3.46
1.4) มีเครื่องจกั ร/ เทคโนโลยี Mean 3.03 2.95 3.08 .869
S.D. .923 .835 1.365
รวม Mean 3.36 3.28 3.27
S.D. .606 .603 .894
2) การสร้างองค์ความรูจ้ ากชุมชน และการส่งเสรมิ ความรูเ้ พื่อประโยชนใ์ นการตอ่ ยอด
2.1) การรวบรวบองค์ความรู้ Mean 3.48 3.50 3.46
S.D. .765 .724 .935
2.2) การนาองคค์ วามรูไ้ ปต่อยอดและใชป้ ระโยชน์ Mean 3.62 3.52 3.56
S.D. .738 .689 1.014
2.3) การประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่ และการ Mean 3.48 3.44 3.44
ถา่ ยทอดองค์ความรู้ S.D. .773 .848 1.064
141
กระบวนการดาเนนิ งาน ประเภทของกลมุ่
(n=157) (n=82) (n=78) (n=317)
เกษตรแปรรปู การท่องเทย่ี ว อตุ สาหกรรม รวม
ชมุ ชน
2.4) การถอดบทเรียนและการสรุปบทเรียน Mean 3.31 3.43 3.23 3.32
S.D. .869 .807 1.170 .911
รวม Mean 3.47 3.47 3.42 3.46
S.D. .683 .696 .967 .764
3) การตลาด
3.1) การวิเคราะห์ตลาด Mean 3.49 3.35 3.27 3.40
S.D. .806 .807 1.170 .911
3.2) การแสวงหาชอ่ งทางการตลาด Mean 3.57 3.35 3.36 3.46
S.D. .826 .709 1.128 .887
รวม Mean 3.53 3.35 3.31 3.43
S.D. .787 .714 1.117 .866
4) การสอื่ สารสรา้ งการรบั รเู้ พอื่ ความย่ังยนื
4.1) การสร้างแบรนด์/ การสร้างความจดจาใน Mean 3.67 3.48 3.42 3.56
สนิ ค้า/ ผลิตภัณฑ์ S.D. .720 .878 1.157 .890
4.2) การแสวงหาชอ่ งทางการประชาสมั พนั ธ์ Mean 3.62 3.48 3.37 3.52
S.D. .755 .741 1.239 .898
รวม Mean 3.65 3.48 3.40 3.54
S.D. .682 .749 1.143 .839
5) การบรหิ ารจดั การ
5.1) การวางแผนการดาเนนิ งาน Mean 3.62 3.46 3.73 3.61
S.D. .763 .740 1.002 .826
5.2) การวิเคราะห์ความเสยี่ งในการดาเนนิ งาน Mean 3.49 3.32 3.38 3.42
S.D. .859 .768 .915 .852
5.3) การลดต้นทุน Mean 3.52 3.33 3.32 3.42
S.D. .844 .686 .875 .818
5.4) การแสวงหากาไร Mean 3.43 3.24 2.94 3.26
S.D. .908 .746 .744 .852
รวม Mean 3.52 3.34 3.34 3.43
S.D. .739 .635 .760 .722
จากตารางที่ 4-9 กระบวนการดาเนนิ งาน อธบิ ายไดว้ า่
ผลจากกระบวนการดาเนินงาน ใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) การเข้าถึงปัจจัยการผลิต
2) การสร้างองค์ความรจู้ ากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่อื ประโยชน์ในการต่อยอด 3) การตลาด 4)
การสื่อสารสร้างการรับรู้เพื่อความยั่งยืน และ 5) การบริหารจัดการ น้ัน จากการสอบถามความคิดเห็น
ของกลุ่มตัวอย่างเก่ียวกับกระบวนการในการดาเนินงาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการ
สื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้เพื่อความย่ังยืนในระดับมาก (ค่าเฉล่ีย 3.54) รองลงมาได้แก่ ประเด็นเร่ือง
142
ความสามารถในการสรา้ งองค์ความรู้จากชุมชน และการสง่ เสรมิ ความรู้เพอ่ื ประโยชนใ์ นการต่อยอดกลุ่ม
มคี วามสามารถในระดับมาก (คา่ เฉล่ยี 3.46) ถัดมาไดแ้ ก่ประเดน็ เรือ่ งความสามารถด้านการตลาดเทา่ กนั
กับประเด็นเรือ่ งความสามารถในการบรหิ ารจดั การ ซึง่ มคี วามสามารถในระดบั มาก (ค่าเฉล่ยี 3.43) และ
ลาดับสุดท้าย พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความสามารถดาเนินการเก่ียวกับการเข้าถึงปัจจัยการผลิตในระดับ
ปานกลาง (ค่าเฉล่ยี 3.31)
ท้ังน้ี เม่ือพจิ ารณารายละเอียดในแตล่ ะประเดน็ ปรากฏผลดงั น้ี
(1) กระบวนการดาเนินงานด้านการสอ่ื สารสร้างการรับรู้เพื่อความย่ังยืน ประกอบด้วย
ประเด็นย่อย 2 รายการ ได้แก่ การสร้างแบรนด์/การสร้างความจดจาในสินค้า/ผลิตภัณฑ์ และการ
แสวงหาช่องทางการประชาสัมพันธ์ ซ่ึงผลการสอบถามความคิดเห็นวา่ กลุ่มมีความสามารถในการสร้าง
แบรนด์/การสร้างความจดจาในสินค้า/ผลิตภัณฑ์ ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.56) และสามารถแสวงหา
ช่องทางการประชาสัมพนั ธ์ในระดบั มากเช่นเดยี วกนั โดยมีคา่ เฉล่ยี ทีร่ ะดบั 3.52
(2) กระบวนการดาเนินงานด้านการสรา้ งองค์ความรจู้ ากชุมชน และการสง่ เสริมความรู้
เพ่ือประโยชน์ในการต่อยอด ประกอบด้วยประเด็นย่อย 4 รายการ ได้แก่ 1) การรวบรวบองค์ความรู้
2) การนาองค์ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ 3) การประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่ และการถ่ายทอด
องค์ความรู้ และ 4) การถอดบทเรียนและการสรุปบทเรียน และเม่ือมีการพิจารณาในรายละเอียดแล้ว
พบว่ากลุ่มตัวอย่างเห็นว่ากลุ่มของตนเองสามารถนาองค์ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ได้ในระดับ
มาก (ค่าเฉล่ีย 3.58) รองลงมาได้แก่ความสามารถในการรวบรวบองค์ความรู้ (ค่าเฉลี่ย 3.48) ลาดับท่ี
สามซ่งึ กลุ่มสามารถดาเนินการได้ในระดับมากเช่นเดียวกัน ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่ และ
การถา่ ยทอดองค์ความรู้ (ค่าเฉลี่ย 3.46) สว่ นประเดน็ สุดทา้ ย พบวา่ กลมุ่ สามารถดาเนนิ การเก่ยี วกบั การ
ถอดบทเรียนและการสรุปบทเรียนในได้ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลีย่ อยทู่ ร่ี ะดบั 3.32
(3) กระบวนการดาเนินงานด้านการตลาด ประกอบด้วยประเด็นย่อย จานวน 2
รายการ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ตลาด และ 2) การแสวงหาช่องทางการตลาด ซึ่งจากการสอบถาม
ความคิดเห็นของประชาชน พบว่ากลุ่มของตนเองมีความสามารถในการแสวงหาช่องทางการตลาดได้
ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.46) ในขณะที่ประเด็นมีความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดเพียงในระดับ
ปานกลาง (ค่าเฉลีย่ 3.40)
(4) กระบวนการดาเนินงานด้านการบริหารจัดการ ประกอบด้วยประเด็นย่อย 4 รายการ
ได้แก่ 1) การวางแผนการดาเนนิ งาน 2) การวเิ คราะห์ความเส่ยี งในการดาเนนิ งาน 3) การลดต้นทุน และ
4) การแสวงหากาไร พบว่ากลุ่มตัวอย่างจานวน 317 ราย สะท้อนว่ากลุ่มมีความสามารถในการวาง
แผนการดาเนินงาน ความสามารถด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยงในการดาเนินงาน และการลดต้นทุน
ในระดับมาก โดยมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.61, 3.42 และ 3.42 ในขณะที่ในส่วนของการแสวงหากาไรนั้น
กลุม่ มคี วามสามารถในการดาเนนิ การดงั กล่าวเพยี งในระดับปานกลาง โดยมคี ่าเฉลีย่ เท่ากับ 3.26 เทา่ น้ัน
(5) กระบวนการดาเนินงานด้านการเข้าถึงปัจจัยการผลิต ประกอบด้วยประเด็นย่อย
จานวน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) การมีแหลง่ เงินทุน 2) ทรัพยากรและวตั ถุดิบการผลิต 3) การมีความรู้ และ
143
4) มีเคร่ืองจักร/เทคโนโลยี ซึ่งจากการรวบรวมสอบถามความคิดเห็นพบว่า กลุ่มมีความสามารถใน
ด้านทรัพยากรและวัตถุดิบการผลิตในระดบั มาก (ค่าเฉล่ีย 3.55) มีความรู้ในการดาเนินการในระดับมาก
เช่นเดียวกัน (ค่าเฉล่ีย 3.55) และในส่วนของประเด็นเรื่องการเข้าถึงปัจจัยการผลิตซ่ึงเป็นแหล่งเงินทุน
นั้น สามารถดาเนินการได้เพียงในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.13) และในส่วนของการเข้าถึงปัจจัย
การผลติ ซง่ึ เป็นเครื่องจักร/เทคโนโลยีนนั้ กลุ่มมคี วามสามารถเพยี งในระดบั ปานกลางเช่นเดียวกัน โดยมี
คา่ เฉลย่ี 3.02
ท้ังนี้ เม่ือพิจารณาจาแนกตามกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึงได้มีการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม
เกษตรแปรรปู กลุม่ การท่องเท่ยี วชมุ ชน และ กลมุ่ อตุ สาหกรรม
กลุ่มเกษตรแปรรูป กลุ่มตัวอย่างที่มาจากกลุ่มเกษตรแปรรูป จานวน 157 คน เห็นว่า
กลุ่มมีความสามารถด้านส่ือสารเพ่ือสร้างการรับรู้เพื่อความยั่งยืนมากกว่าประเด็นย่อยด้านอ่ืน ๆ โดย
ระดับคา่ เฉลีย่ ความสามารถท่ีระดับ 3.65 รองลงมาได้แก่ ความสามารถในการดาเนินการด้านการตลาด
ซ่ึงสะท้อนว่ามีความสามารถดาเนินการด้านน้ีในระดับมากเช่นเดียวกัน มีค่าเฉล่ียอยู่ที่ระดับ 3.53
รองลงมาได้แก่ ความสามารถด้านการบริหารจัดการซึ่งสามารถดาเนินการได้ในระดับมาก ท่ีระดับ
คา่ เฉล่ยี 3.52 สว่ นประเด็นย่อยสดุ ท้ายที่กลุ่มสะท้อนว่าสามารถดาเนนิ การได้ในระดับมาก คือ ประเด็น
การดาเนินการด้านการสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่ือประโยชน์ในการต่อยอดกลุ่ม
(ค่าเฉลีย่ 3.36) สว่ นประเด็นทเ่ี หน็ ว่าดาเนินการไดเ้ พียงในระดับปานกลาง ได้แก่ ประเดน็ เรื่องการเขา้ ถึง
ปจั จัยการผลติ (คา่ เฉล่ีย 3.36)
โดยเมือ่ พิจารณาในรายละเอยี ดเฉพาะสว่ นของความสามารถในการเขา้ ถงึ ปจั จยั การผลติ
น้ัน พบว่า กลุ่มตัวอย่างท่ีมาจากกลุ่มเกษตรแปรรูปสะท้อนว่ากลุ่มของตนมีความสามารถในการเข้าถึง
ปัจจัยการผลิตท่ีเป็นเคร่ืองจักร/เทคโนโลยีได้เพียงในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.03) ซ่ึงในส่วนนี้ก็
สะท้อนให้เห็นถงึ ปัญหาทีเ่ กดิ ข้นึ กบั ความสามารถในการเขา้ ถึงปจั จยั การผลิตของกลุ่มเกษตรแปรรปู
ในเรื่องการสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่ือประโยชน์ในการ
ต่อยอดนั้น พบว่า กลุ่มสามารถดาเนินการเก่ียวกับการนาองค์ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ได้
ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.62) รองลงมาได้แก่การมีความสามารถดาเนินการในเร่ืองการประชาสัมพันธ์
การเผยแพร่ และการถ่ายทอดองคค์ วามรู้ ซง่ึ กลุม่ สะท้อนว่าสามารถดาเนินการได้ในระดบั มาก (คา่ เฉลี่ย
3.48) ท้ังน้ี ในรายการท่ีเป็นการรวบรวมองค์ความรนู้ ้นั พบว่า กลุม่ กม็ คี วามสามารถดาเนนิ การในระดับ
เดยี วกบั การประชาสมั พันธ์ คอื มีความสามารถในระดบั มาก (ค่าเฉล่ีย 3.48) ส่วนประเด็นสุดทา้ ย เร่อื ง
การดาเนินการถอดบทเรยี นและการสรุปบทเรยี นนัน้ กลุม่ สะท้อนวา่ สามารถดาเนินการในส่วนนไี้ ดเ้ พยี ง
ในระดบั ปานกลางเท่านน้ั (ค่าเฉล่ีย 3.31)
ความสามารถและการดาเนนิ การดา้ นการตลาดนั้น พบว่า กลมุ่ มีความสามารถในระดับ
มากในทั้งสองรายการย่อย อันได้แก่ การวิเคราะห์ตลาด และการแสวงหาช่องทางการตลาด โดยมี
ค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.49 และ 3.57 ตามลาดบั ส่วนการดาเนินการด้านการส่ือสร้างการรับรู้เพอ่ื ความยั่งยืนนั้น
กลุ่มได้ดาเนินการในส่วนนี้ในระดับมากในทั้งสองรายการ อันได้แก่ การสร้างแบรนด์/การสร้างความจดจา
144
ในสินค้า/ผลิตภัณฑ์ (ค่าเฉล่ีย 3.67) และ การดาเนินการในการแสวงหาช่องทางการประชาสัมพันธ์
(คา่ เฉล่ยี 3.62)
ประเด็นสุดท้ายเป็นการดาเนินการด้านการบริหารจัดการ ซ่ึงพบว่ากลุ่มเกษตรแปรรูป
ดาเนินการในท้ังส่ีรายการย่อยในระดับมาก ทั้งน้ีสามารถจัดเรียงตามระดับค่าคะแนนเฉล่ียได้ดังนี้การ
ดาเนินการวางแผนการดาเนินงาน (คา่ เฉล่ีย 3.62) การดาเนนิ การอันเป็นการลดต้นทุน (ค่าเฉล่ยี 3.52)
การวิเคราะห์ความเส่ียงในการดาเนินงาน (ค่าเฉลี่ย 3.49) และการดาเนินการเพื่อการแสวงหากาไร
(คา่ เฉล่ีย 3.43)
กลุ่มการท่องเที่ยวชุมชน กลุ่มตัวอย่างท่ีมาจากกลุ่มเกษตรแปรรูป จานวน 82 คน นั้น
พบว่ากลุ่มตัวอยา่ งซึง่ มาจากกล่มุ ดา้ นการท่องเท่ียวชุมชนนัน้ สามารถดาเนินการสือ่ สารเพือ่ สรา้ งการรบั รู้
เพ่ือความยั่งยืนมากกว่าประเดน็ ยอ่ ยดา้ นอืน่ ๆ โดยระดับค่าเฉลี่ยความสามารถที่ระดบั 3.48 รองลงมา
ไดแ้ ก่ การดาเนนิ การดา้ นการสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพือ่ ประโยชนใ์ นการต่อ
ยอดกลุ่มซ่ึงสามารถดาเนินการได้ในระดับมาก (ค่าเฉล่ีย 3.47) ลาดับที่สาม ได้แก่ การดาเนินการด้าน
การตลาด ซึ่งสะท้อนว่ามีความสามารถดาเนินการด้านน้ีในระดับปานกลาง มีค่าเฉล่ียอยู่ท่ีระดับ 3.35
ลาดบั ที่ส่ีพบวา่ กลุ่มมีการดาเนินการเกีย่ วกับการบริหารจัดการได้เพียงในระดบั ปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย
เท่ากับ 3.34 ส่วนประเด็นย่อยสุดท้ายท่ีกลุ่มสะท้อนว่าสามารถดาเนินการได้ในระดับปานกลาง คือ
ประเด็นด้านการดาเนินการและความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิต (ค่าเฉลี่ย 3.58) โดยเม่ือ
พจิ ารณาในรายละเอยี ดเฉพาะสว่ นของความสามารถในการเข้าถึงปัจจยั การผลติ นนั้ พบว่า กลุ่มตวั อย่าง
ท่ีมาจากกลุ่มท่องเท่ียวชุมชนสะท้อนว่ากลุ่มของตนมีความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่เป็น
เคร่ืองจักร/เทคโนโลยีไดเ้ พียงในระดบั ปานกลาง (ค่าเฉล่ยี 2.95) ซึ่งในส่วนนี้กส็ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงปัญหาที่
เกิดขึ้นกับความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตของกลุ่มท่องเท่ียวชุมชน อย่างไรก็ตามหากจะ
เปรียบเทียบกับการดาเนินการและความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตด้านเคร่ืองจักรและ
เทคโนโลยีระหว่างกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม จะเห็นว่ากลุ่มการท่องเที่ยวชุมชนมีความสามารถในการเข้าถึง
ปจั จัยดังกลา่ วตา่ กว่ากลุม่ อื่นอกี 2 กลุ่ม
ในเร่ืองการสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพื่อประโยชน์ในการ
ต่อยอดนั้น พบว่า กลุ่มสามารถดาเนินการเกี่ยวกับการนาองค์ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ได้
ในระดับมาก (คา่ เฉลี่ย 3.52) รองลงมาไดแ้ ก่การมีความสามารถรวบรวมองคค์ วามร้ซู ึ่งมีคา่ เฉล่ียเทา่ กับ
3.50 ลาดับที่สาม ได้แก่การดาเนินการในการถอดบทเรียนและการสรุปบทเรียน ทั้งนี้กลุ่มสะท้อนว่า
สามารถดาเนนิ การในส่วนนีใ้ นระดับมาก (ค่าเฉลยี่ 3.43) และ การดาเนินการในเร่ืองการประชาสมั พันธ์
การเผยแพร่ และการถ่ายทอดองค์ความรู้ ซ่ึงกลุ่มสะท้อนว่าสามารถดาเนินการได้ในระดับ ท่ีต่ากว่า
รายการอ่นื (คา่ เฉล่ีย 3.44)
ความสามารถและการดาเนินการด้านการตลาดน้ัน พบว่า กลุ่มความสามารถในระดับ
มากในท้งั สองรายการยอ่ ยในระดบั ที่เท่ากนั คอื ระดับปานกลาง ทงั้ ในสว่ นของ การวิเคราะห์ตลาด และ
การแสวงหาช่องทางการตลาด ส่วนการดาเนินการด้านการสื่อสร้างการรับรู้เพื่อความย่ังยืนน้ัน กลุ่มได้
145
ดาเนินการในส่วนนี้ในระดับมากในทั้งสองรายการ โดยมีคา่ เฉลยี่ การดาเนินการในระดบั ท่ี 3.48 เท่ากัน
ในทัง้ 2 รายการ ไดแ้ ก่ การสรา้ งแบรนด/์ การสรา้ งความจดจาในสนิ ค้า/ผลติ ภณั ฑ์ และการดาเนินการใน
การแสวงหาชอ่ งทางการประชาสัมพันธ์
ประเด็นสุดท้ายเป็นการดาเนินการด้านการบริหารจัดการ ซึ่งพบว่ากลุ่มการท่องเท่ียว
ชุมชนดาเนินการได้ในระดับมากเพียงในรายการเดียว ได้แก่ การดาเนินการวางแผนการดาเนินงาน
(ค่าเฉลี่ย 3.46) ในขณะท่อี กี 3 รายการย่อย ซ่ึงไดแ้ ก่ การวิเคราะหค์ วามเส่ยี งในการดาเนนิ งาน การลด
ตน้ ทนุ และการแสวงหากาไร สามารถดาเนินการได้เพยี งในระดบั ปานกลาง โดยมคี ่าเฉลย่ี เท่ากับ 3.33,
3.32 และ 3.24 ตามลาดับ
กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มตัวอย่างที่มาจากกลุ่มอุตสาหกรรม จานวน 78 คน น้ัน พบว่า
กลุ่มตัวอย่างซ่ึงมาจากกลุ่มด้านการอุตสาหกรรมสามารถในการสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการ
ส่งเสริมความรู้เพ่ือประโยชน์ในการต่อยอดกลุ่มมากกว่าประเด็นย่อยด้านอื่น ๆ โดยมีระดับค่าเฉลี่ย
ความสามารถอย่ทู ร่ี ะดับ 3.42 รองลงมาได้แกค่ วามสามารถและการดาเนินการด้านการสอื่ สารเพ่ือสร้าง
การรับร้เู พ่อื ความย่ังยืน มีค่าเฉลี่ยนในระดบั 3.40 รองลงมาลาดับสาม ได้แก่ การบริหารจัดการ ซึง่ กลุ่ม
อุตสาหกรรมมีการดาเนินการในระดับปานกลาง (ค่าเฉล่ีย 3.34) ส่วนการดาเนินการด้านการตลาดนั้น
สามารถดาเนนิ การได้ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉล่ียเทา่ กับ 3.31 อย่างไรก็ตามในสว่ นของการเข้าถึง
ปัจจัยการผลติ นน้ั กลุ่มอุตสาหกรรมก็ประเมนิ วา่ กลุ่มไดด้ าเนนิ การในส่วนน้ีในระดบั ปานกลาง มคี า่ เฉลี่ย
เท่ากับ 3.27 โดยเมื่อพิจารณาในรายละเอียดเฉพาะส่วนของความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตนั้น
พบว่า กลุ่มอุตสหกรรมสะท้อนว่าตนมีความสามารถในการเข้าถึงความรู้ได้สูงกว่าปัจจัยด้านอ่ืน ๆ
(ค่าเฉล่ีย 3.67) ในขณะท่ีสามารถเข้าถึงทรพั ยากรและวัตถุดิบการผลิตได้ในระดับ 3.56 ส่วนปัจจัยการ
ผลิตท่ีเป็นเครื่องจักร/เทคโนโลยีนั้น สามารถเข้าถึงได้เพียงในระดับค่าเฉล่ีย 3.08 ส่วนรายการสุดท้าย
ซ่ึงเป็นการเข้าถึงปัจจัยการผลิตด้านแหล่งเงินทุนน้ัน พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นเพี ยงกลุ่มเดียว
ที่สะท้อนว่าตนสามารถเข้าถึงปัจจัยด้านแหล่งเงินทุนต่าที่สุด (ค่าเฉลี่ย 2.78) เมื่อเทียบกับกลุ่ม
เกษตรแปรรปู และกลมุ่ การท่องเทีย่ วชมุ ชน
การดาเนินการของกลุ่มเก่ียวกับการสรา้ งองค์ความรูจ้ ากชุมชน และการส่งเสริมความรู้
เพอ่ื ประโยชนใ์ นการตอ่ ยอดน้ัน พบวา่ ในสามรายการแรก ซ่ึงไดแ้ ก่ การรวบรวมองคค์ วามรู้ การนาองค์
ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ และการประชาสมั พันธ์ การเผยแพร่ และการถ่ายทอดองคค์ วามรู้นั้น
กลุ่มตัวอย่างในส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมสะท้อนว่าสามารถดาเนินการได้ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย
เรียงลาดับจากมากไปหาน้อยได้ ดังน้ี การนาองค์ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ (ค่าเฉลี่ย 3.56)
การรวบรวมองค์ความรู้ (ค่าเฉล่ีย 3.46) และการการประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่ และการถ่ายทอดองค์ความรู้
(ค่าเฉลี่ย 3.44) ในขณะที่การดาเนินการเก่ียวกับการถอดบทเรียนและการสรุปบทเรียนสามารถ
ดาเนนิ การไดเ้ พยี งในระดบั ปานกลาง (ค่าเฉลีย่ 3.23)
146
ความสามารถและการดาเนินการด้านการตลาดนั้น พบว่า กล่มุ มีความสามารถในระดับ
มากในท้ังสองรายการย่อยในระดับปานกลางเท่ากัน หากแต่เม่ือเปรียบเทียบความสามารถในการ
ดาเนินการแลว้ พบว่ากลมุ่ อตุ สาหกรรมสามารถดาเนนิ การในการแสวงหาช่องทางการตลาดไดด้ กี ว่าการ
วเิ คราะหต์ ลาด โดยมีค่าเฉล่ียอยทู่ ่รี ะดบั 3.36 ส่วนการวิเคราะห์ตลาด สามารถดาเนนิ การได้เพียงระดับ
3.27 เท่าน้ัน
กลุ่มอุตสาหกรรม สามารถดาเนินการสร้างแบรนด์/การสร้างความจดจาในสินค้า/
ผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่าการแสวงหาช่องทางการประชาสัมพันธ์ โดยมีค่าเฉลี่ยการดาเนินการในการสร้าง
แบรนด์ฯ ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.42 ในขณะท่ีสามารถแสวงหาช่องทางการประชาสัมพันธ์ได้
เพยี งในระดบั ปานกลาง มีคา่ เฉล่ียเทา่ กบั 3.37 เท่านนั้
ประเด็นสุดท้ายเป็นการดาเนินการด้านการบริหารจัดการ พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรม
ดาเนนิ การในส่วนของการวางแผนการดาเนนิ การได้ดีทสี่ ุดเมอ่ื เทียบกนั ระหว่างกลุ่มเกษตรแปรรูป กลุ่ม
การท่องเที่ยวชุมชน และ กลุ่มอุตสาหกรรม ด้วยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.73 และเม่ือพิจารณาในส่วนของ
กลมุ่ อตุ สาหกรรมกพ็ บว่าใน 4 รายการยอ่ ยน้ัน กล่มุ อุตสาหกรรมสามารถดาเนนิ การในสว่ นนไี้ ด้มากกว่า
รายการอ่ืน ๆ (ค่าเฉลย่ี 3.73) ในขณะทรี่ ายการอื่น ๆ อีก 3 รายการ ซ่ึงเป็นประเดน็ ย่อยในประเดน็ ย่อย
ด้านการบริหารจัดการน้ัน กลุ่มอุตสาหกรรมสะท้อนว่าสามารถดาเนินการได้เพียงในระดับปานกลาง
โดยสามารถจัดเรียงตามลาดับค่าคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ การวิเคราะห์ความเส่ียงในการ
ดาเนินงาน (คา่ เฉลยี่ 3.38) การลดต้นทุน (คา่ เฉล่ีย 3.32) และ การแสวงหากาไร (ค่าเฉลี่ย 2.94)
ตารางท่ี 4-10 ผลผลิตจากการดาเนินงาน ประเภทของกลมุ่
(n=82) (n=78)
ผลผลติ จากการดาเนนิ งาน การท่องเทีย่ ว อตุ สาหกรรม
1) ครอบครวั มีรายได้เพมิ่ Mean (n=157) ชุมชน (n=317)
2) มกี ารกระจายรายได้ในชมุ ชน S.D. เกษตรแปรรปู รวม
3) เศรษฐกิจชมุ ชนเขม้ แขง็ Mean 3.55 3.69
4) ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวดขี นึ้ S.D. 3.85 .877 1.073 3.73
5) ความสมั พนั ธข์ องคนในชุมชนดีขึ้น Mean .700 3.67 3.51 .857
6) ชุมชนมีการจดั กจิ กรรมสาธารณประโยชน์ S.D. 3.84 .802 .936 3.72
7) มีการจดั ระบบสวสั ดิการชุมชน Mean .730 3.61 3.58 .812
S.D. 3.75 .871 .987 3.67
Mean .722 3.80 3.67 .834
S.D. 3.85 .761 .784 3.79
Mean .766 3.78 3.55 .771
S.D. 3.71 .889 .800 3.69
Mean .672 3.77 3.46 .767
3.64 .851 .893 3.63
.689 3.56 3.14 .791
3.47 3.41
147
ผลผลิตจากการดาเนนิ งาน ประเภทของกลมุ่
8) คนในชมุ ชนมคี วามสขุ (n=157) (n=82) (n=78) (n=317)
เกษตรแปรรูป การทอ่ งเที่ยว อุตสาหกรรม รวม
ชุมชน
S.D. .730 .983 .990 .880
Mean 3.79 3.79 3.58 3.74
S.D. .716 .782 .961 .802
จากตารางที่ 4-10 ผลผลติ จากการดาเนินงาน อธบิ ายได้วา่
ผลจากการดาเนินงานของกลุ่มท่ีส่งผลต่อสมาชิกและชุมชนในด้านรายได้น้ัน
ประกอบด้วยประเด็นยอ่ ย จานวน 8 ประเดน็ ได้แก่ 1) ครอบครวั มรี ายไดเ้ พิ่มขึน้ 2) การกระจายรายได้
ในชุมชน 3) เศรษฐกจิ ชมุ ชนเขม้ แข็ง 4) ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวดีข้ึน 5) ความสัมพันธ์ของคน
ในชุมชน 6) การจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในชุมชน 7) การจัดระบบสวสั ดกิ ารชุมชน และ 8) คนใน
ชุมชนมีความสุขน้ัน จากการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเก่ียวกับผลผลิตจากการดาเนินการ
น้ัน พบวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามสมั พันธ์ของคนในครอบครวั ดขี นึ้ (ค่าเฉล่ยี 3.79) ลาดับที่สองพบว่าคนใน
ชมุ ชนมีความสุข (คา่ เฉลยี่ 3.74) ลาดบั ทส่ี าม คือ ครอบครวั มีรายได้เพม่ิ (ค่าเฉลีย่ 3.73) ลาดบั ทส่ี ี่ ได้แก่
การกระจายรายได้ในชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.72) ลาดับท่ีห้า ได้แก่ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนดีขึ้น
(ค่าเฉลี่ย 3.69) ลาดับที่หก ได้แก่ เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง (ค่าเฉลี่ย 3.67) ลาดับที่เจ็ด ได้แก่ ชุมชนมี
การจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ (ค่าเฉลี่ย 3.63) และลาดับสุดท้าย ได้แก่ การจัดระบบสวัสดิการ
ชมุ ชน (ค่าเฉลยี่ 3.41)
ทั้งน้ี เมื่อพิจารณาจาแนกตามกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึงได้มีการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม
เกษตรแปรรูป กล่มุ การท่องเที่ยวชุมชน และ กลมุ่ อุตสาหกรรม ปรากฏผลดงั น้ี
กลุ่มเกษตรแปรรูป กลุ่มตัวอย่างที่มาจากกลุ่มเกษตรแปรรูป จานวน 157 คน เห็นว่า
เม่ือมีการดาเนินการเกี่ยวกับเกษตรแปรรปู แล้วกอ่ ใหเ้ กดิ ผลตอ่ ประเด็นต่าง ๆ จดั เรียงตามลาดบั ดังนี้
- ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวดีข้ึน (ค่าเฉล่ีย 3.85) และครอบครัวมีรายได้เพ่ิม
(ค่าเฉลีย่ 3.85)
- การกระจายรายไดใ้ นชมุ ชน (ค่าเฉลย่ี 3.84)
- คนในชุมชนมีความสุข (ค่าเฉลย่ี 3.79)
- เศรษฐกิจชมุ ชนเขม้ แข็ง (ค่าเฉลย่ี 3.75)
- ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนดีขน้ึ (ค่าเฉลีย่ 3.71)
- ชุมชนมกี ารจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ (คา่ เฉลี่ย 3.64)
- การจดั ระบบสวัสดิการชุมชน (ค่าเฉล่ีย 3.47)
กลุ่มท่องเที่ยวชุมชน กลุ่มตวั อย่างที่มาจากกลุ่มท่องเทย่ี วชุมชน จานวน 82 คน เห็นว่า
เมื่อมกี ารดาเนินการเก่ียวกับการจดั ให้มีการท่องเที่ยวชุมชนแล้วกอ่ ใหเ้ กิดผลตอ่ ประเด็นต่าง ๆ จัดเรียง
ตามลาดบั ดงั นี้
148
- ความสัมพนั ธ์ของคนในครอบครวั ดขี ึน้ (คา่ เฉล่ีย 3.80)
- คนในชมุ ชนมีความสุข (คา่ เฉลย่ี 3.79)
- ความสมั พนั ธ์ของคนในชุมชนดขี ้ึน (คา่ เฉลยี่ 3.78)
- ชมุ ชนมกี ารจดั กจิ กรรมสาธารณประโยชน์ (คา่ เฉล่ยี 3.77)
- การกระจายรายได้ในชุมชน (คา่ เฉล่ีย 3.67)
- เศรษฐกิจชมุ ชนเขม้ แขง็ (ค่าเฉล่ยี 3.61)
- การจดั ระบบสวสั ดิการชุมชน (คา่ เฉลีย่ 3.56)
- ครอบครวั มรี ายไดเ้ พิ่ม (ค่าเฉลย่ี 3.55)
กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มตัวอย่างที่มาจากกลุ่มอุตสาหกรรม จานวน 78 คน เห็นว่าเมื่อมี
การดาเนนิ การเกย่ี วกบั การจดั ให้มีกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมแล้วก่อให้เกดิ ผลต่อประเด็นต่าง ๆ จดั เรยี ง
ตามลาดบั ดงั นี้
- ครอบครวั มรี ายไดเ้ พมิ่ (คา่ เฉล่ีย 3.69)
- ความสมั พนั ธ์ของคนในครอบครัวดีข้นึ (คา่ เฉลี่ย 3.67)
- คนในชมุ ชนมีความสขุ (ค่าเฉลี่ย 3.58) และ เศรษฐกจิ ชุมชนเขม้ แข็ง (ค่าเฉลย่ี 3.58)
- ความสมั พันธ์ของคนในชุมชนดีข้นึ (ค่าเฉลยี่ 3.55)
- การกระจายรายได้ในชมุ ชน (ค่าเฉลีย่ 3.51)
- ชุมชนมีการจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ (คา่ เฉล่ยี 3.46)
- การจดั ระบบสวสั ดกิ ารชมุ ชน (ค่าเฉล่ีย 3.14)
หากจะจัดเรียงเปรียบเทียบกันระหว่างกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม จาแนกเป็นประเด็น
สามารถนาเสนอได้ดังนี้
(1)ครอบครัวมีรายได้เพ่ิมขึ้น : ประเภทของกลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยมีการกระจายรายได้
ในชมุ ชนสูงท่สี ุด คือ กลุม่ เกษตรแปรรปู มคี ่าเฉลยี่ 3.85 รองลงมาคือ กลุ่มอุตสาหกรรม มีค่าเฉลย่ี 3.69
และกลุ่มการท่องเทยี่ วชุมชน มคี ่าเฉลีย่ 3.55
(2)การกระจายรายได้ในชุมชน : ประเภทของกลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยมีการกระจายรายได้ใน
ชุมชน สงู ท่สี ุด คือ กลุ่มเกษตรแปรรูป มีค่าเฉลีย่ 3.84 รองลงมาคือ กลุ่มการท่องเท่ยี วชุมชน มีค่าเฉลี่ย
3.67 และกลมุ่ อุตสาหกรรม มคี า่ เฉลย่ี 3.51
(3)เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง : ประเภทของกลุ่มที่มีค่าเฉล่ียเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง
สูงท่ีสุด คือ กลุ่มเกษตรแปรรูป มีค่าเฉลี่ย 3.75 รองลงมาคือ กลุ่มการท่องเท่ียวชุมชน มีค่าเฉล่ีย 3.61
และกล่มุ อุตสาหกรรม มคี ่าเฉล่ีย 3.58
(4)ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวดีขึ้น : ประเภทของกลุ่มท่ีมีค่าเฉล่ียความสัมพันธ์
ของคนในครอบครวั ดขี ึ้น สงู ทส่ี ดุ คอื กลุ่มเกษตรแปรรูป มคี า่ เฉล่ีย 3.85 รองลงมาคอื กลมุ่ การท่องเทยี่ ว
ชมุ ชน มคี า่ เฉลย่ี 3.80 และกลุม่ อุตสาหกรรม มคี า่ เฉลี่ย 3.67
149
(5)ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนดีขึ้น : ประเภทของกลุ่มท่ีมีค่าเฉล่ียความสัมพันธ์ของ
คนในชุมชนดีข้ึนสูงท่ีสุด คือ กลุ่มการท่องเที่ยวชุมชน มีค่าเฉลี่ย 3.78 รองลงมาคือ กลุ่มเกษตรแปรรูป
มีค่าเฉลย่ี 3.71 และกล่มุ อตุ สาหกรรม มีค่าเฉลีย่ 3.55
(6)ชุมชนมกี ารจดั กจิ กรรมสาธารณประโยชน์ : ประเภทของกลุ่มทีม่ ีค่าเฉลย่ี ชุมชนมีการ
จัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ สูงที่สุด คือ กลุ่มการท่องเท่ียวชุมชน มีค่าเฉลี่ย 3.77 รองลงมาคือกลุ่ม
เกษตรแปรรูป มคี ่าเฉลีย่ 3.64 และกลุม่ อตุ สาหกรรม มคี า่ เฉลย่ี 3.46
(7)การจดั ระบบสวสั ดิการชุมชน : ประเภทของกลุ่มทม่ี ีคา่ เฉลยี่ มกี ารจดั ระบบสวัสดิการ
ชุมชน สงู ทีส่ ุด คอื กล่มุ การท่องเที่ยวชมุ ชน มีคา่ เฉลย่ี 3.56 รองลงมาคือ กลุ่มเกษตรแปรรูป มีค่าเฉล่ีย
3.47 และกลุ่มอุตสาหกรรม มคี ่าเฉลีย่ 3.14
(8)คนในชุมชนมีความสุข : ประเภทของกลุ่มที่มีค่าเฉลย่ี คนในชุมชนมีความสุข สูงท่ีสุด
คือ กลุ่มเกษตรแปรรูป และกลุ่มการท่องเท่ียวชุมชน มีค่าเฉลี่ย 4.79 เท่ากัน รองลงมาคือ กลุ่ม
อุตสาหกรรม มคี ่าเฉลย่ี 3.58
ในการวิเคราะห์ปัจจัยด้านกระบวนการดาเนินงานที่มีผลต่อผลผลิตจากการดาเนินงาน
จาแนกเป็นภาพรวม และประเภทของกลุ่ม โดยใช้การวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression
Analysis) แบบ Enter
X1 หมายถึง การเข้าถึงปจั จัยการผลิต
X2 หมายถึง การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพื่อประโยชน์
ในการต่อยอด
X3 หมายถึง การตลาด
X4 หมายถึง การส่ือสารสรา้ งการรับรู้เพือ่ ความยัง่ ยนื
X5 หมายถงึ การบริหารจดั การ
รายละเอยี ดผลการวิเคราะห์สถติ ิถดถอยพหคุ ูณ ในภาพรวมดังนี้
ตารางท่ี 4-11 การวเิ คราะหส์ ถติ ิถดถอยพหุคูณในภาพรวม
กระบวนการดาเนนิ งาน B Std. Error Beta t Sig.
(X1) การเข้าถึงปัจจยั การผลิต .048 .071 .048 .675 .500
(X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้ .452 .082 .508 5.511 .000*
เพอื่ ประโยชนใ์ นการตอ่ ยอด
(X3) การตลาด -.031 .060 -.039 -.513 .608
(X4) การส่อื สารสร้างการรบั รเู้ พื่อความยั่งยนื .053 .072 .066 .746 .456
(X5) การบรหิ ารจดั การ .140 .067 .149 2.085 .038*
คา่ คงท่ี 1.385 .146 9.519 .000
R2 = .483, SEE = .492, F = 58.220*
*ระดับนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดบั .05
150
จากตารางท่ี 4-11 การวเิ คราะหส์ ถติ ิถดถอยพหคุ ูณในภาพรวม อธิบายไดว้ า่
ผลการวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณในภาพรวม พบว่า ความผันแปรของผลผลิตจาก
การดาเนินงานวิเคราะห์ได้ ร้อยละ 48.3 โดยปัจจัยที่มีผลต่อผลผลิตจากการดาเนินงาน คือ ( X2)
การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพื่อประโยชน์ในการต่อยอด และ (X5)
การบริหารจัดการ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 เมื่อพิจารณาตัวแปรท่ีมีอานาจในการทานาย
การเปล่ียนแปลงของผลผลิตจากการดาเนนิ งาน ได้ดที ส่ี ุด คือ (X2) การสรา้ งองค์ความรู้จากชมุ ชน และ
การส่งเสริมความรูเ้ พื่อประโยชน์ในการต่อยอด และ (X5) การบริหารจัดการ ตามลาดบั
ผลการวเิ คราะห์สถิติถดถอยพหุคณู จาแนกตามประเภทของกลมุ่ เกษตรแปรรปู กลมุ่ การ
ทอ่ งเทย่ี วชมุ ชน และกลุ่มอุตสาหกรรม มีรายละเอียด ดังนี้
ตารางที่ 4-12 การวเิ คราะห์สถติ ิถดถอยพหุคณู ประเภทของกลมุ่ เกษตรแปรรูป
กระบวนการดาเนนิ งาน B Std. Error Beta t Sig.
(X1) การเข้าถงึ ปจั จยั การผลิต -.100 .093 -.104 -1.072 .285
(X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้ .319 .091 .373 3.503 .001*
เพ่อื ประโยชนใ์ นการต่อยอด
(X3) การตลาด .051 .061 .068 .833 .406
(X4) การสอ่ื สารสรา้ งการรบั รเู้ พ่ือความย่งั ยนื .299 .090 .350 3.330 .001*
(X5) การบริหารจัดการ .078 .077 .099 1.010 .314
คา่ คงท่ี 1.419 .192 7.391 .000
R2 = .550, SEE = .397, F = 36.965*
*ระดบั นยั สาคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05
จากตารางท่ี 4-12 การวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณ ประเภทของกลมุ่ เกษตรแปรรูป
อธบิ ายไดว้ า่
ผลการวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณ ประเภทของกลุ่มเกษตรแปรรูป พบว่า ความผันแปร
ของผลผลิตจากการดาเนินงานวิเคราะห์ได้ ร้อยละ 55.0 โดยปัจจัยท่ีมีผลต่อผลผลิตจาก
การดาเนินงาน คือ (X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพื่อประโยชน์ในการ
ต่อยอด และ (X4) การส่ือสารสร้างการรับรู้เพื่อความย่ังยืน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เมื่อพิจารณาตัวแปรท่ีมีอานาจในการทานายการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตจากการดาเนินงาน ได้ดีท่ีสุด
คือ (X2) การสร้างองค์ความรู้จากชมุ ชน และการส่งเสริมความรู้เพื่อประโยชนใ์ นการต่อยอด และ (X4)
การส่อื สารสรา้ งการรบั รู้เพอ่ื ความยง่ั ยืน ตามลาดับ
151
ตารางที่ 4-13 การวิเคราะห์สถติ ิถดถอยพหุคูณ ประเภทของกลุ่มทอ่ งเท่ยี วชุมชน
กระบวนการดาเนนิ งาน B Std. Error Beta t Sig.
(X1) การเขา้ ถึงปัจจัยการผลติ .295 .140 .244 2.106 0.39*
(X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้ .569 .172 .544 3.301 .001*
เพือ่ ประโยชนใ์ นการตอ่ ยอด
(X3) การตลาด -.102 .161 -.100 -.634 .528
(X4) การสอ่ื สารสรา้ งการรับรูเ้ พื่อความย่ังยนื -.246 .142 -.253 -1.730 .088
(X5) การบริหารจัดการ .399 .163 .348 2.449 .017*
ค่าคงท่ี .617 .340 1.813 .074
R2 = .566, SEE = .495, F = 19.852*
*ระดับนยั สาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05
จากตารางท่ี 4-13 การวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณ ประเภทของกลุ่มท่องเท่ียว
ชุมชน อธิบายไดว้ ่า
ผลการวิเคราะหส์ ถิติถดถอยพหคุ ูณ ประเภทของกลมุ่ ท่องเท่ียวชุมชน พบว่า ความผันแปร
ของผลผลิตจากการดาเนินงานวิเคราะห์ได้ ร้อยละ 56.6 โดยปจั จยั ที่มีผลต่อผลผลิตจากการดาเนินงาน
คือ (X1) การเข้าถึงปัจจัยการผลิต (X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่ือ
ประโยชน์ในการต่อยอด และ (X5) การบริหารจัดการ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เม่ือพิจารณาตัวแปรที่มีอานาจในการทานายการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตจากการดาเนินงาน ได้ดีท่ีสุด
คือ (X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่ือประโยชน์ในการต่อยอด ( X5)
การบรหิ ารจัดการ และ (X1) การเข้าถึงปจั จยั การผลิต ตามลาดับ
ตารางท่ี 4-14 การวเิ คราะห์สถติ ถิ ดถอยพหุคณู ประเภทของกลุ่มอตุ สาหกรรม
กระบวนการดาเนนิ งาน B Std. Error Beta t Sig.
(X1) การเขา้ ถงึ ปจั จัยการผลติ .224 .169 .256 1.323 .190*
(X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้ .556 .247 .686 2.245 .028*
เพอ่ื ประโยชนใ์ นการตอ่ ยอด
(X3) การตลาด -.245 .157 -.350 -1.563 .122*
(X4) การสื่อสารสรา้ งการรับรเู้ พ่อื ความยั่งยนื .031 .180 .045 .170 .865
(X5) การบรหิ ารจัดการ .038 .188 .037 .202 .841
ค่าคงท่ี 1.469 .321 4.575 .000
R2 = .469, SEE = .590, F = 12.737*
*ระดบั นัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05
จากตารางท่ี 4-14 การวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณ ประเภทของกลุ่มอุตสาหกรรม
อธบิ ายไดว้ า่
ผลการวิเคราะห์สถติ ถิ ดถอยพหุคณู ประเภทของกลุ่มอตุ สาหกรรม พบวา่ ความผนั แปร
ของผลผลิตจากการดาเนินงานวิเคราะห์ได้ ร้อยละ 46.9 โดยปัจจัยท่ีมีผลต่อผลผลิตจากการดาเนินงาน
152
คือ (X1) การเข้าถึงปัจจัยการผลิต (X2) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่ือ
ประโยชน์ในการตอ่ ยอด และ (X3) การตลาด อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 เมือ่ พิจารณาตวั แปร
ที่มีอานาจในการทานายการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตจากการดาเนินงาน ได้ดีท่ีสุด คือ (X2) การสร้าง
องค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่ือประโยชน์ในการต่อยอด (X3) การตลาด และ (X1)
การเขา้ ถงึ ปจั จัยการผลติ ตามลาดบั
ผลการศกึ ษาจากการเก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยใชแ้ บบสอบถาม ในดา้ นปจั จัยสภาพแวดล้อม
ภายนอก ปจั จัยสภาพแวดล้อมภายใน กระบวนการดาเนินงาน และผลผลิตจากการดาเนินงาน สรุปภาพรวม
ได้ดังนี้
1) ปัจจยั สภาพแวดลอ้ มภายนอกท่ีมีผลตอ่ ความสาเรจ็ ของกลุ่มในภาพรวม คือ 1) ด้าน
วัฒนธรรม ไดแ้ ก่ การส่งเสริมองค์ความรู้ชมุ ชน ภูมปิ ัญญาชุมชนและปราชญ์ชุมชน และการสง่ เสริมการ
พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีอัตลกั ษณ์สง่ ผลต่อการดาเนินงานของกลุ่ม 2) ดา้ นสถานการณ์ปจั จุบนั ได้แก่
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยกิจกรรมรูปแบบใหม่ เช่น ตลาดอินทรีย์ ตลาดอนุรักษ์ ตลาดย้อนยุค
การท่องเท่ียวชุมชน การส่งเสริมทักษะอาชีพ การส่งเสริมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม กา รส่งเสริม
ดา้ น การพัฒนาผลิตภัณฑ์/นวตั กรรม การส่งเสริมด้านการตลาดออนไลน์ การส่งเสริมความรู้ด้านธุรกิจ
การบรหิ ารจดั การ การผลิต การตลาด และระบบการเงินบญั ชี
2) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในท่ีมีผลต่อความสาเร็จในการดาเนินงานของกลุ่ม
ในภาพรวม คือ 1) ผู้นากลุ่ม มีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการพัฒนากลุ่ม 2) ในชุมชน
มี “ทุนชุมชน” ที่ส่งเสริมการพัฒนากลุ่ม ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ/วัตถุดิบในท้องถิ่น วัฒนธรรม
ประเพณี และองค์ความรู้ชุมชน ภมู ิปญั ญา ปราชญช์ ุมชน
3) กระบวนการดาเนินงาน ในภาพรวม คือ 1) กลุ่มมีกระบวนการดาเนินงานด้าน
การสื่อสารสร้างการรับรู้เพื่อความย่ังยืน ได้แก่ การสร้างแบรนด์ การสร้างความจดจาในสินค้าและ
ผลิตภัณฑ์ 2) กระบวนการดาเนินงานด้านการสร้างองค์ความรู้จากชุมชนและการส่งเสริมความรู้เพ่ือ
ประโยชน์ในการต่อยอด ได้แก่ การรวบรวมองค์ความรู้ การนาองค์ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์
การประชาสัมพนั ธ์ การเผยแพร่และการถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ และการถอดบทเรยี นและสรุปบทเรียน
4) ผลผลิตจากการดาเนินงานของกลุ่มที่ส่งผลต่อสมาชิกและชุมชน ในภาพรวม ได้แก่
1) ความสมั พนั ธข์ องคนในครอบครัวดีขึน้ 2) คนในชมุ ชนมคี วามสุข 3) ครอบครัวมีรายได้เพ่มิ 4) การกระจาย
รายได้ในชุมชน
5) กระบวนการดาเนินงานท่มี ผี ลตอ่ ผลผลิตจากการดาเนินงานของกลมุ่ ในภาพรวม คอื
1) การสร้างองค์ความรู้จากชุมชน และการส่งเสริมความรู้เพ่ือประโยชน์ในการต่อยอด ได้แก่ การรวบรวม
องค์ความรู้ การนาองค์ความรู้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ การประชาสัมพนั ธ์ การเผยแพรแ่ ละการถ่ายทอด
องค์ความรู้ และการถอดบทเรียนและสรุปบทเรียน 2) การบริหารจัดการ ได้แก่ การวางแผนการดาเนินงาน
การวิเคราะห์ความเส่ียงในการดาเนินงาน การลดตน้ ทนุ และการแสวงหากาไร
153
4.3 ผลการศึกษาเก่ียวกับปัจจัยความสาเร็จท่มี ผี ลตอ่ การพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากจากการสนทนากลมุ่
จากการสนทนากลุ่มกับสมาชิกกลุ่มในด้านเกษตรแปรรูป ด้านการท่องเที่ยวชุมชน
และด้านอุตสาหกรรม รวมจานวน 12 กลุ่ม ในพ้ืนท่ีจังหวัดลาพูน เลย สระบุรี และนครศรีธรรมราช
มรี ายละเอยี ดดงั น้ี
4.3.1 ด้านเกษตรแปรรูป
ตารางที่ 4-15 แสดงพ้นื ท่ที ่ดี าเนนิ การการถอดบทเรยี น ในกรณีการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานราก
ด้านเกษตรแปรรูป
จงั หวดั กล่มุ
ลาพนู
กลมุ่ เกษตรแปรรปู ลาไยอบแหง้ วสิ าหกิจชมุ ชนกลมุ่ แมบ่ ้านริมรอ่ ง
เลย ตาบลมะเขือแจ้ อาเภอเมือง จงั หวัดลาพูน
สระบรุ ี
กลมุ่ เกษตรแปรรูปดวงใจมะพรา้ วแกว้ บา้ นน้อย อาเภอเชียงคาน จงั หวดั เลย
นครศรีธรรมราช
กลุม่ เกษตรแปรรูปคุกกธ้ี ญั พชื กระเจีย๊ บ กลมุ่ แม่บา้ นเกษตรกรบ้านพแุ ค
ตาบลพแุ ค อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จงั หวดั สระบรุ ี
กลมุ่ เกษตรแปรรปู กลมุ่ วิสาหกิจชุมชน บ้านสมนุ ไพรคีรีวง ตาบลกาโลน
อาเภอลานสกา จังหวดั นครศรีธรรมราช
ตารางท่ี 4-16 การถอดบทเรียนประเดน็ ปจั จยั สภาพแวดลอ้ มภายนอกทสี่ ่งผลต่อการดาเนินงาน
ของกลุม่ ดา้ นเกษตรแปรรปู
กลมุ่ รายละเอียด
กลุม่ เกษตรแปรรปู ลาไยอบแหง้ 1) การให้การส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐในด้านต่างๆ อาทิ
วสิ าหกจิ ชุมชนกลมุ่ แม่บา้ นรมิ รอ่ ง ความรู้ มาตรฐานสินค้า การจดั ทาแผนธุรกิจ และความช่วยเหลือ
ตาบลมะเขือแจ้ อาเภอเมอื ง เพ่ือยกระดบั และสร้างมาตรฐานสินคา้
จงั หวดั ลาพูน 2) ความนิยมในลาไย และการเป็นผลไม้เศรษฐกิจท่ีสาคัญของ
ประเทศ
3) ความนิยมในลาไยท่ีสามารถนามาบริโภคได้หลากหลาย
รปู แบบ เช่น ทานเล่น ผสมเคร่ืองดื่ม ทาเป็นชา และ เป็นของฝาก
และสามารถเก็บรักษาไดน้ านในกรณีของลาไยอบแห้ง
กลมุ่ เกษตรแปรรปู ดวงใจ 1) จานวนนักท่องเท่ียวท่ีมาท่องเท่ียวในอาเภอเชียงคาน
มะพรา้ วแกว้ บ้านน้อย มจี านวนมากข้ึนเรอื่ ย ๆ ทาให้สามารถจาหน่ายสนิ คา้ ได้มากขึ้น
อาเภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย 2) ความนิยมและส่งั ซอื้ เพอื่ ไปจาหน่ายในต่างจังหวัดมากข้ึน
154
กลุ่ม รายละเอยี ด
3) การซ้ือสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต กาลังได้รับความนิยมทา
ใหส้ ามารถขายสินคา้ ไดม้ ากขึ้น
4) โอกาสนาสนิ ค้าไปขายในประเทศเพอื่ นบ้าน มีการส่ังซอ้ื จาก
ประเทศจนี เป็นจานวนมาก
5) ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
ทั้งได้ด้านวัสดุ อุปกรณ์ การฝึกอบรมความรู้และทักษะ
การสนบั สนนุ และส่งเสริมช่องทางการจดั จาหน่ายผลิภัณฑ์ เป็นตน้
กลมุ่ เกษตรแปรรูปคุกกธี้ ัญพชื 1) นโยบายและมาตรการส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจ ภายหลังจากมี
กระเจ๊ียบ กลมุ่ แม่บ้านเกษตรกร การส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาชุมชน
บ้านพแุ ค ตาบลพแุ ค ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 และมีการ
อาเภอเฉลมิ พระเกยี รติ ดาเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมท่ัวทุกภูมิภาคทั่วประเทศ กลุ่มก็
จังหวดั สระบรุ ี
ได้รับการสนบั สนุน ส่งเสริม และพัฒนาในด้านการผลิตสนิ ค้า และ
การจัดจาหน่ายสนิ คา้ อยา่ งต่อเน่อื ง
2) หน่วยงานภายนอกให้การสนับสนุนการดาเนินงานใน
รูปแบบต่าง ๆ ท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา อาทิ
สานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสระบุรีสนับสนุนให้มกี ารผลิตภัณฑ์
สนิ ค้าเปน็ สินค้า OTOP ท่มี คี ณุ ภาพ มมี าตรฐาน สานกั งานเกษตร
จังหวัดสระบุรี สนับสนุนการพัฒนาทางการเกษตร โดยเฉพาะ
ทางด้านอาหารปลอดภัย โดยการเข้ามาอบรมให้ความรู้ทางด้าน
การปลูกพืช กระเจ๊ียบ ให้มีคณุ ภาพและได้จานวนที่มาก ๆ และมี
คุณภาพ สานักงานพาณิชยจ์ ังหวัดสระบรุ ี ให้การสนบั สนุนในการ
พัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตรวจสอบมาตรฐานการผลิตสินค้า
การช่ัง ตวง วัดปริมาณของสินค้าให้มีน้าหนักให้คงที่ ตลอดจน
การประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์คุกกี้กระเจี๊ยบให้เป็นท่ีรู้จักแก่
คนทั่วไป และมีการหาช่องทางการตลาด สาหรับการจาหน่าย
สินค้าได้ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เข้ามาให้บริการด้าน
วิชาการ ด้วยการวิจัยเพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน มีการสนับสนุน
องค์ความรู้ในด้านการประกอบอาชีพ การทาน้าผลไม้ การพัฒนา
บรรจุภัณฑ์ในระยะแรก และให้คาปรึกษาในด้านอาหารปลอดภัย
คกุ กเี้ พ่อื สขุ ภาพใหก้ บั สมาชกิ กลมุ่