344
๒.๕ จดั กจิ กรรมทเี่ น้นใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองใหม้ ำกทสี่ ดุ ดว้ ยกำรปฏบิ ตั จิ นเกดิ ทกั ษะ หรอื
กำรเรยี นรู้
๒.๖ ใหค้ รูทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในกำรจดั กจิ กรรมโดยครแู นะแนวทำหน้ำทเี่ ป็นพเ่ี ลย้ี งและ
ประสำนงำน
ขอบข่ายของการจดั กิจกรรมแนะแนว
ในกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวใหเ้ ป็นไปตำมจุดประสงคค์ รอบคลมุ ขอบข่ำยดงั น้ี
๓.๑ กำรจดั กจิ กรรมแนะแนวดำ้ นกำรศกึ ษำ มุ่งใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นำตนเองในดำ้ นกำรเรยี นอยำ่ ง
เตม็ ตำมศกั ยภำพ รูจ้ กั แสวงหำและใชข้ อ้ มูลประกอบกำรวำงแผนเรยี น กำรศกึ ษำต่อไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม
กบั ตนเอง
๓.๒ กำรจดั กจิ กรรมแนะแนวดำ้ นกำรงำนและอำชพี มงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ จู้ กั ตนเองในทุกดำ้ นรูโ้ ลก
ของงำนอำชพี อย่ำงหลำกหลำย มเี จตคติทดี่ ตี ่อกำรมชี วี ติ ทด่ี มี คี ุณภำพ มที กั ษะในกำรดำเนนิ ชวี ติ และ
สำมำรถปรบั ตวั ใหด้ ำรงชวี ติ อยใู่ นสงั คมไดอ้ ยำ่ งมคี วำมสุข
กรอบความคิดกิจกรรมแนะแนว
กำรจดั กจิ กรรมแนะแนวมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื พฒั นำผเู้ รยี นใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงคต์ ำมท่ี
สถำนศกึ ษำกำหนดและตอบสนองจดุ มงุ่ หมำยของหลกั สูตรแกนกลำง พทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ ดงั นนั้
สถำนศกึ ษำควรจดั กจิ กรรมใหค้ รอบคลุมขอบข่ำยกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวทงั้ ดำ้ นกำรศกึ ษำดำ้ นกำรงำน
และอำชพี ดำ้ นชวี ติ และสงั คม โดยมกี รอบควำมคดิ กจิ กรรมแนะแนวดงั น้ี จำกกรอบควำมคดิ กจิ กรรม
แนะแนวซง่ึ มขี อบข่ำยครอบคลมุ ดำ้ นกำรศกึ ษำ ดำ้ นกำรงำนและ อำชพี ดำ้ นชวี ติ และสงั คม ในกำรจดั
กจิ กรรมจำเป็นต้องจดั กจิ กรรมทงั้ ๓ ดำ้ น ไปพรอ้ ม ๆ กนั ดงั นนั้ จงึ ไดผ้ สมผสำนและบูรณำกำรเป็น
กล่มุ กจิ กรรมใหญ่ ๆ ๔ กลุม่ ดงั น้ี
กลุ่มท๑่ี กจิ กรรมรูจ้ กั เขำ้ ใจและเหน็ คุณคำ่ ในตนเองและผอู้ น่ื กลุ่มท่ี ๒ กจิ กรรมกำรแสวงหำและใช้
ขอ้ มลู สำรสนเทศ
กลุม่ ท๓ี่ กจิ กรรมกำรตดั สนิ ใจและแกป้ ัญหำ กลมุ่ ท๔ี่ กจิ กรรมกำรปรบั ตวั และดำรงชวี ติ
กจิ กรรมกลมุ่ ที่ ๑ มจี ดุ มุง่ หมำยเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นรูจ้ กั เขำ้ ใจ และเหน็ คุณคำ่ ในตนเองและผอู้ น่ื เป็น
กจิ กรรมทช่ี ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสำมำรถรจู้ กั ตนเองและเขำ้ ใจตนเอง ทงั้ ในดำ้ นควำมถนัด ควำมสนใจ
ควำมสำมำรถ จุดเด่น จดุ ดอ้ ย นสิ ยั อำรมณ์ ควำมภมู ใิ จและเหน็ คุณคำ่ ในตนเองและผอู้ น่ื
กจิ กรรมกลมุ่ ที่ ๒ มจี ดุ มุ่งหมำยเพ่อื ใหม้ คี วำมสำมำรถในกำรแสวงหำและใชข้ อ้ มูลสำรสนเทศ เป็น
กจิ กรรมทชี่ ่วยใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะ และวธิ กี ำรแสวงหำขอ้ มูลจำกแหลง่ ตำ่ ง ๆ รวบรวม และจดั ระเบยี บ
ขอ้ มลู สำมำรถจดั ระบบ กลนั่ กรอง เลอื กใชข้ อ้ มูลฉลำดเหมำะสม และเหน็ คณุ ค่ำในกำรใชข้ อ้ มลู
สำรสนเทศ กจิ กรรมกล่มุ ที่ ๓ มจี ดุ มุง่ หมำยเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมคี วำมสำมำรถ
ในกำรตดั สนิ ใจ และแก้ปัญหำไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม เป็นกจิ กรรมทช่ี ่วยใหผ้ เู้ รยี น สำมำรถกำหนดเป้ำหมำย
วำงแผน วเิ ครำะห์ สงั เครำะห์ และประเมนิ ผล ตลอดจนปรบั ปรงุ แผนกำรดำเนนิ งำน โดยใชข้ อ้ มูล
คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม เป็น พน้ื ฐำนในกำรตดั สนิ ใจ
345
กิจกรรมกลมุ่ ที่ ๔ มจี ดุ มงุ่ หมำยเพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นมคี วำมสำมำรถในกำรปรบั ตวั และกำรดำรงชวี ติ
อย่ำงมคี วำมสขุ เป็นกจิ กรรมทช่ี ่วยใหผ้ เู้ รยี นเขำ้ ใจยอมรบั ตนเองและผอู้ น่ื มวี ฒุ ทิ ำงอำรมณ์ แสดงออก
อย่ำงอย่ำงเหมำะสมมมี นุษยส์ มั พนั ธส์ ำมำรถรว่ มกบั ผอู้ ่นื และดำรงชวี ติ อย่ใู นสงั คมไดอ้ ยำ่ งมคี วำมสุข
โครงสรา้ งเวลาเรยี นกิจกรรมแนะแนว
ชว่ งชนั้ เวลำเรยี น หมำยเหตุ
ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีท่ี ๑-๓ ๔๐ ชวั่ โมง/ปี ๑ ชวั่ โมง/สปั ดำห์
ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีที่ ๔-๖ ๔๐ ชว่ั โมง/ปี ๑ ชวั่ โมง/สปั ดำห์
ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษำตอนตน้
๑. กจิ กรรมรูจ้ กั เขำ้ ใจและเหน็ คณุ คำ่ ในตนเองและผอู้ ่นื
๑.๑. สำรวจควำมถนัด ควำมสนใจของตนเอง
๑.๒. ภูมใิ จในควำมเป็นไทย
๒. กจิ กรรมแสวงหำควำมรูแ้ ละใชข้ อ้ มลู สำรสนเทศ
๒.๑ มที กั ษะกำรใชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื เป็นเครอ่ื งมอื ในกำรเรยี นรู้
๓. กจิ กรรมกำรตดั สนิ ใจและแก้ปัญหำ
๓.๑. มที กั ษะกำรคดิ อย่ำงมวี จิ ำรณญำณ
๓.๒ คดิ สรำ้ งสรรค์
๓.๓ คดิ แก้ปัญหำ
๔. กจิ กรรมกำรปรบั ตวั กำรดำรงชวี ติ และรกั สง่ิ แวดลอ้ ม
๔.๑ ส่งเสรมิ กำรพฒั นำบุคลกิ ภำพส่วนตน
๔.๒มที กั ษะกำรดำเนนิ ชวี ติ
๔.๓ รบั ผดิ ชอบต่อสงั คม ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนปลำย
๑. กจิ กรรมรจู้ กั เขำ้ ใจและเหน็ คุณคำ่ ในตนเองและผอู้ ่นื
๑.๑เพม่ิ พนู ควำมรูแ้ ละทกั ษะเฉพำะดำ้ น
๒. กจิ กรรมแสวงหำควำมรูแ้ ละใชข้ อ้ มลู สำรสนเทศ
๒.๑ มที กั ษะกำรใชว้ ทิ ยำกำรและเทคโนโลยี
๓.กจิ กรรมกำรตดสั นิ ใจและแก้ปัญหำ
๓.๑มที กั ษะกระบวนกำรคดิ ขนั้ สูง
346
๓.๒ สำมำรถนำควำมรูไ้ ปประยุกต์ใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ในกำรศกึ ษำตอ่ และกำรประกอบอำชพี
๔. กจิ กรรมกำรปรบั ตวั กำรดำรงชวี ติ และรกั สง่ิ แวดลอ้ ม
๔.๑ สำมำรถพฒั นำตนและประเทศชำตติ ำมบทบำทของตน
๔.๒ สำมำรถเป็นผนู้ ำและเป็นผใู้ หบ้ รกิ ำรชุมชนในดำ้ นต่ำง ๆ
๒. กิจกรรมนกั เรียน เป็นกจิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ และพฒั นำนกั เรยี นเพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นมพี ฒั นำทำงกำย
สตปิ ัญญำ จติ ใจ และศลี ธรรม ใหเ้ ป็นพลเมอื งดี มคี วำมรบั ผดิ ชอบ ช่วยสรำ้ งสรรคส์ งั คมใหม้ คี วำม
เจรญิ ก้ำวหน้ำ ควำมสงบสขุ และควำมมนั่ คงของประเทศชำติ จงึ ตอ้ งปลกู ฝังใหม้ คี ุณลกั ษณะดงั น้ี
๑. มคี วำมรู้ ควำมเข้ำใจ และสำมำรถปฏบิ ตั ติ ำมคำปฏญิ ำณ กฎ และคตพิ จน์ของลกู เสอื สำมญั
ร่นุ ใหญ่
๒. มที กั ษะกำรสงั เกต จดจำ กำรใชม้ อื เครอ่ื งมอื กำรแกป้ ัญหำ และทกั ษะในกำรทำงำนรว่ มกบั
ผอู้ น่ื
๓. มคี วำมซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ มคี วำมกลำ้ หำญ อดทน เชอ่ื มนั่ ในตนเอง มรี ะเบยี บวนิ ัย มคี วำม
สำมคั คี เหน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื มคี วำมเสยี สละ บำเพญ็ ตนเพ่อื สำธำรณประโยชน์
๔. มกี ำรพฒั นำตนเองอยู่เสมอ สรำ้ งสรรคง์ ำนฝีมอื สนใจและพฒั นำเรอ่ื งของธรรมชำติ กจิ กรรม
นักเรยี นประกอบดว้ ย
๒.๑ กิจกรรมลูกเสอื /เนตรนารี/ยวุ กาชาด นกั เรยี นทกุ คนตอ้ งเขำ้ รว่ มกจิ กรรมลกู เสอื /เนตรนำร/ี ยวุ
กำชำด ๔๐ ชวั่ โมงต่อปีกำรศกึ ษำ
แนวการจดั กิจกรรมลูกเสอื /เนตรนารี
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ ๑
โดยกำหนดคำอธบิ ำยรำยวชิ ำในกจิ กรรมคอื เปิดประชมุ กอง ดำเนินกำรตำมกระบวนกำร
ลกู เสอื และจดั กจิ กรรมโดยใชก้ ำรศกึ ษำ วเิ ครำะห์ วำงแผนกำรจดั กจิ กรรมตำมมำตรฐำน เนน้ ระบบหมู่
สรปุ ผลกำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ปิดประชมุ กอง ตำมหลกั สูตรลูกเสอื /เนตรนำรสี ำมญั รุ่นใหญ่ กำหนดเรอ่ื ง
เน้อื หำกำรจดั กจิ กรรมดงั น้ี
ภาคเรียนที่ ๑ (กิจกรรมบงั คบั )
1. กจิ กำรคณะลกู เสอื แห่งชำติ ลูกเสอื โลก และบทบำทลกู เสอื สำมญั รุ่นใหญ่
2. คำปฏญิ ำณและกฎของลกู เสอื
347
3. ระเบยี บแถวลกู เสอื
4. กำงและเกบ็ รกั ษำเตน็ ท์
5. กำรบรรจเุ คร่อื งหลงั
6. ก่อจุดไฟกลำงแจง้ และประกอบอำหำรแบบชำวค่ำย
7. แผนทแี่ ละกำรใชเ้ ขม็ ทศิ
8. เงอ่ื นและวธิ กี ำรใชเ้ ง่อื น
9. กำรปฐมพยำบำล
10. ควำมปลอดภยั ในกำรเขำ้ ร่วมกจิ กรรมของลกู เสอื
ภาคเรยี นที่ ๒ กิจกรรมพิเศษ
เพ่อื เสรมิ สรำ้ งทกั ษะควำมสำมำรถ ควำมถนัดและควำมสนใจของผเู้ รยี นโดยเฉพำะไดเ้ ลอื ก กจิ กรรม
พเิ ศษดงั น้ี 1.กำรเดนิ ทำงสำรวจ
2. กำรบรกิ ำร
3. ผจญภยั
4. นักบุกเบกิ
5. ธรรมชำตวิ ทิ ยำ
ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ ๒
โดยกำหนดคำอธบิ ำยรำยวชิ ำในกจิ กรรม คอื เปิดประชมุ กอง ดำเนินกำรตำมกระบวนกำร ลกู เสอื และ
จดั กจิ กรรมโดยใชก้ ำรศกึ ษำ วเิ ครำะห์ วำงแผนกำรจดั กจิ กรรมตำมมำตรฐำน เนน้ ระบบหมู่ สรปุ ผลกำร
ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ปิดประชมุ กอง ตำมหลกั สตู ร ลกู เสอื /เนตรนำรสี ำมญั รุ่นใหญ่ กำหนดเร่อื ง เน้อื หำกำรจดั
กจิ กรรมดงั น้ี
ภาคเรียนท่ี ๑ (กิจกรรมบงั คบั )
1. กำรเดนิ ทำงไกล
2. กำรอยคู่ ่ำยพกั แรม
3. กำรชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบภยั
348
4. แผนทแ่ี ละกำรใชเ้ ขม็ ทศิ
5. กำรปฏบิ ตั งิ ำนในเวลำกลำงคนื
6. กำรแปรรหสั
ภาคเรียนท่ี ๒ กิจกรรมพิเศษ
เพ่อื เสรมิ สรำ้ งทกั ษะควำมสำมำรถ ควำมถนดั และควำมสนใจของผเู้ รยี นโดยเฉพำะไดเ้ ลอื ก
กจิ กรรมพเิ ศษดงั น้ี
๑. กำรเดนิ ทำงสำรวจ
๒. กำรบรกิ ำร
๓. นักสะกดรอย
๔. นกั สญั ญำณ
๕. ผจู้ ดั กำรค่ำยพกั แรม
ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ ๓
โดยกำหนดคำอธบิ ำยรำยวชิ ำในกจิ กรรมคอื เปิดประชุมกอง ดำเนินกำรตำมกระบวนกำร
ลกู เสอื และจดั กจิ กรรมโดยใชก้ ำรศกึ ษำ วเิ ครำะห์ วำงแผนกำรจดั กจิ กรรมตำมมำตรฐำน เน้นระบบหมู่
สรปุ ผล กำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ปิดประชมุ กอง ตำมหลกั สูตรลกู เสอื /เนตรนำรสี ำมญั รนุ่ ใหญ่ กำหนดเร่อื ง
เน้อื หำกำรจดั กจิ กรรมดงั น้ี
ภาคเรียนท่ี ๑ (กิจกรรมบงั คบั )
๑.วชิ ำพน้ื ฐำน ในระดบั ลกู เสอื ชนั้ พเิ ศษ ๓ วชิ ำ ซ่งึ ไม่อยู่ในวชิ ำพน้ื ฐำน ๕ วชิ ำ ทสี่ อบไดเ้ ม่อื ขอรบั
เครอ่ื งหมำยลกู เสอื ชนั้ พเิ ศษ
๑.๑. วชิ ำกำรเดนิ ทำงสำรวจ
๑.๒.วชิ ำกำรบรกิ ำร
๑.๓.วชิ ำนักสะกดรอย
๑.๔ วชิ ำนกั สญั ญำณ
๑.๕.วชิ ำผจู้ ดั กำรคำ่ ยพกั แรม
349
๒. สอบไดว้ ชิ ำบรกิ ำรและวชิ ำพน้ื ฐำนอกี ๓ วชิ ำในระดบั ลกู เสอื หลวง
๒.๑ วชิ ำนักธรรมชำตวิ ทิ ยำ
๒.๒ วชิ ำหน้ำทพี่ ลเมอื ง
๒.๓ วชิ ำพฒั นำชุมชน
๓. อบรมวชิ ำกำรเป็นผนู้ ำตำมหลกั สตู รทก่ี ำหนดไว้
ภาคเรยี นที่ ๒ กิจกรรมพิเศษ
เพ่อื เสรมิ สรำ้ งทกั ษะควำมสำมำรถ ควำมถนดั และควำมสนใจของผเู้ รยี นโดยเฉพำะไดเ้ ลอื ก กจิ กรรม
พเิ ศษดงั น้ี
1. วชิ ำนกั กฬี ำ
2. กำรอนุรกั ษธ์ รรมชำติ
3. กำรพดู ในทสี่ ำธำรณะ
หมายเหตุ
๑. เม่อื ลูกเสอื ไดป้ ฏบิ ตั กิ จิ กรรมและผ่ำนกำรทดสอบกำรเขำ้ รว่ มกจิ กรรมพเิ ศษแลว้ จะไดร้ บั กำร
ประดบั เคร่อื งหมำยวชิ ำพเิ ศษ
๒. สมำชกิ ลกู เสอื ไดบ้ ำเพญ็ ประโยชน์ต่อสงั คมโดยปฏบิ ตั หิ น้ำทอี่ ย่ำงน้อยภำคเรยี นละ ๔ ครงั้
๓. ลกู เสอื ตอ้ งไดเ้ ขำ้ รว่ มกจิ กรรมเดนิ ทำงไกลและอยคู่ ำ่ ยพกั แรม ๑ ครงั้ / ปีกำรศกึ ษำ
แนวการจดั กิจกรรมยุวกาชาด
หลกั การของกิจกรรมยวุ กาชาด
เพอ่ื ใหก้ จิ กรรมยวุ กำชำดเป็นไปตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขนั้ พน้ื ฐำน พทุ ธศกั รำช
๒๕๕๑ ในกจิ กรรมพฒั นำผเู้ รยี น จงึ กำหนดหลกั กำรของกจิ กรรมยวุ กำชำดไวด้ งั น้ี
๑. เป็นกจิ กรรมทส่ี รำ้ งพน้ื ฐำนในกำรคดิ ปฏบิ ตั ติ ำมหลกั กำรกำชำดและยุวกำชำด
กฎหมำยมนุษยธรรม และสทิ ธมิ นุษยชน รวมทงั้ ทกั ษะในกำรจดั กำร ทกั ษะในกำรดำเนนิ ชวี ติ สำมำรถ
คดิ เป็น ทำเป็น และแกป้ ัญหำได้
350
๒. มคี วำมเป็นเอกภำพและมคี วำมหลำกหลำยในกจิ กรรม กล่ำวคอื เป็นกจิ กรรมทม่ี ี
โครงสรำ้ งหลกั สูตรยดื หย่นุ ทงั้ น้เี พอ่ื ควำมจำเป็นและควำมสอดคลอ้ งสำหรบั กำรพฒั นำคณุ ภำพชวี ติ
ควำมเป็นไทย และควำมเป็นพลเมอื งดขี องชำติ
๓.สำมำรถสนองตอบตอ่ สภำพควำมตอ้ งกำรทแ่ี ทจ้ รงิ ของสถำนศกึ ษำและทอ้ งถน่ิ
วตั ถปุ ระสงคข์ องกิจกรรมยุวกาชาด
๑. มอี ดุ มคตใิ นศำนตสิ ขุ มคี วำมจงรกภกั ดตี ่อชำติ ศำสนำ พระมหำกษตั รยิ ์
๒. มคี วำมรู้ ควำมชำนำญในกำรรกั ษำอนำมยั ของตนเองและของผอู้ ่นื ตลอดจน กำร
พฒั นำตนเองทำงร่ำงกำย จติ ใจ คุณธรรม และธำรงไวซ้ ่งึ เอกลกั ษณท์ ำงวฒั นธรรมของชำติ
๓. มคี วำมรู้ ควำมเขำ้ ใจในหลกั กำรและอดมุ กำรณก์ ำชำด มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และมี
จติ ใจเมตตำ กรุณำต่อเพ่อื นมนุษย์
๔. บำเพญ็ ตนใหเ้ ป็นประโยชน์ต่อผอู้ ่นื ชมุ ชน สงั คม และประเทศชำติ
๕. มจี ติ สำนกึ ในกำรอนุรกั ษท์ รพั ยำกรธรรมชำตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ๖. มสี มั พนั ธภำพและ
มติ รภำพทดี่ ตี อ่ บุคคลทวั่ ไป
หลกั สูตรของกิจกรรมยุวกาชาด
เพอ่ื ใหก้ ำรจดั กจิ กรรมยุวกำชำดเป็นไปตำมหลกั กำร จุดประสงค์ทก่ี ำหนดไว้ จงึ ไดก้ ำหนด
โครงสรำ้ งของหลกั สตู รกจิ กรรมยุวกำชำดในสถำนศกึ ษำ ดงั น้ี
ระดบั ยวุ กาชาด
กำหนดหลกั สูตรเป็น ๔ ระดบั ๆ ละ ๑ ชว่ งชนั้ ดงั น้ี
๑. ระดบั ๑ ชนั้ ประถมศกึ ษำปีท่ี ๑- ๓
๒. ระดบั ๒ ชนั้ ประถมศกึ ษำปีที่ ๔- ๖
๓. ระดบั ๓ ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีที่ ๑-๓
๔. ระดบั ๔ ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีท่ี ๔ – ๖
351
หลกั สตู รกิจกรรมยวุ กาชาด แบง่ เป็นกจิ กรรมบงั คบั และกจิ กรรมพเิ ศษโดยกจิ กรรมบงั คบั
ประกอบดว้ ย ๔ กลุม่ กจิ กรม คอื
๑. กล่มุ กจิ กรรมกำชำดและยวุ กำชำด
๒. กลมุ่ กจิ กรรมสุขภำพ
๓. กลุม่ กจิ กรรมสมั พนั ธภำพและควำมเขำ้ ใจอนั ดี
๔. กล่มุ กจิ กรรมบำเพญ็ ประโยชน์
๑. กลุ่มกิจกรรมกาชาดและยวุ กาชาด ประกอบดว้ ย
๑.๑ กำชำดสำกล
๑.๒ สภำกำชำดไทย
๑.๓ ยุวกำชำด
กลุ่มกจิ กรรมน้เี ป็นกำรจดั กจิ กรรมเพ่อื ส่งเสรมิ ใหส้ มำชกิ ยุวกำชำดมคี วำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ
ใน
หลกั กำรและอดุ มกำรณ์ของกำชำด มศี รทั ธำในกำรเขำ้ รว่ มกจิ กรรมดว้ ยควำมเสยี สละ เป็นคนดี มี
คุณธรรม ชว่ ยสรำ้ งสรรคส์ งั คมเป็นผนู้ ำในกำรเผยแพรก่ จิ กรรมกำชำดและยวุ กำชำด ส่งเสรมิ สนั ตภิ ำพ
และคุณคำ่ ของควำมเป็นมนุษย์ รวมทงั้ กฎหมำยมนุษยธรรมระหว่ำงประเทศ
๒. กล่มุ กิจกรรมสุขภาพ ประกอบดว้ ย
๒.๑ สขุ ภำพ
๒.๒ กำรป้องกนั ชวี ติ และสุขภำพ
กล่มุ กจิ กรรมน้เี ป็นกำรจดั กจกิ รรมใหส้ มำชกิ ยวุ กำชำดไดศ้ กษึ ำและฝึกทกั ษะในกำร
ป้องกนั
ชวี ติ และสุขภำพ กำรเสรมิ สร้ำงสมรรถภำพ มคี วำมรูแ้ ละทกั ษะในกำรรกั ษำอนำมยั ของตนเองและ
ส่งเสรมิ อนำมยั ของผอู้ ่นื กำรปฐมพยำบำลและเคหะพยำบำล กำรเตรยี มตวั ป้องกนั อุบตั เิ หตแุ ละ
ภยนั ตรำยต่ำง ๆ เชน่ เอดส์ สำรเสพตดิ ฯลฯ
๓. กลุม่ กิจกรรมสมั พนั ธภาพและความเขา้ ใจอนั ดี ประกอบดว้ ย
๓.๑ ควำมสำมคั คแี ละควำมพรอ้ มเพรยี ง
352
๓.๒ ควำมมรี ะเบยี บวนิ ยั
๓.๓ สมั พนั ธภำพและควำมเขำ้ ใจอนั ดี
กล่มุ กจิ กรรมน้เี ป็นกำรจดั กจิ กรรมใหส้ มำชกิ ยุวกำชำดไดร้ ูจ้ กั ตนเอง มรี ะเบยี บวนิ ยั มี
บคุ ลกิ ภำพทด่ี ี รูจ้ กั กำรปรบั ตวั เขำ้ กบั ผอู้ น่ื และสงั คมไดด้ ี มีควำมสำมคั คี มสี มั พนั ธภำพและควำม เขำ้ ใจ
อนั ดกี บั บคุ คลทวั่ ไป ยอมรบั ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคลทมี่ พี น้ื ฐำนกำรดำรงชวี ติ และวฒั นธรรมท่ี
แตกต่ำงกนั สำมำรถทำงำนร่วมกบั ผอู้ ่นื ไดอ้ ยำ่ งมคี วำมสุข มกี ำรพบปะแลกเปลยี่ นควำมคดิ เหน็ ประสบ
กำรณขอ์ งยุวกำชำดทป่ี ฏบิ ตั งิ ำนสร้ำงเสริมสนั ตภิ ำพซ่งึ เป็นพน้ื ฐำนกำรทำงำนในดำ้ นอน่ื
๔. กลุม่ กิจกรรมบาเพญ็ ประโยชน์ ประกอบดว้ ย
๔.๑ กำรบำเพญ็ ประโยชน์
๔.๒ กำรอนุรกั ษ์สงิ่ แวดลอ้ ม
กล่มุ กจิ กรรมน้เี ป็นกำรจดั กจิ กรรมส่งเสรมิ และสนบั สนุนใหส้ มำชกิ ยุวกำชำดปฏบิ ตั ติ น
สนองต่ออดุ มกำรณแ์ ละวตั ถปุ ระสงคข์ องยวุ กำชำด มคี วำมภำคภมู ใิ จในวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม
ประเพณี และมรดกของชำติ พรอ้ มทจ่ี ะอนุรกั ษส์ ภำพแวดลอ้ มและธรรมชำติ ปลูกฝังและฝึกฝนใหเ้ ป็น ผู้
มคี วำมเสยี สละ บำเพญ็ ตนใหเ้ ป็นประโยชน์ตอ่ สว่ นรวม
๒.๒ กิจกรรมชมุ นุม นักเรยี นทุกคนตอ้ งเขำ้ ร่วมกจิ กรรมชมุ นมุ ๒๐ ชวั่ โมงตอ่ ภำค
เรยี น แนวการจดั กิจกรรมชมุ นมุ มดี งั น้ี
1. เป็นกจิ กรรมทเ่ี ก้อื กลู สง่ เสรมิ กำรเรยี นรู้ ๘ กลุม่ สำระกำรเรยี นรูใ้ หก้ วำ้ งขวำงลกึ ซ้งึ ยง่ิ ขน้ึ
2. เป็นกจิ กรรมทจี่ ดั ตำมควำมสนใจของผเู้ รยี น
3. เป็นกจิ กรรมทสี่ ำมำรถจดั ไดท้ งั้ ในและนอกสถำนศกึ ษำ และทงั้ ในและนอกเวลำเรยี น กจิ กรรมชุมนุมที่
เปิดสอนในโรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค
๑. ชุมนุมรกั ษเ์ ทพศริ นิ ทร์ ๒. ชุมนุมภำษำไทย
๓. ชุมนุมคณิตศำสตร์
๔. ชุมนุมวทิ ยำศำสตร์ ๕. ชุมนุมภำษำองั กฤษ ๖. ชุมนุมภำษำญ่ปี ่นุ
๗. ชุมนมุ เคมี
๘. ชมุ นุมคอมพวิ เตอร์
353
๙. ชุมนุมบำสเกตบอล
๑๐.ชมุ นุมฟตุ บอล
๑๑. ชุมนมุ วอลเล่ยบ์ อล
๓. กิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณะประโยชน์ เป็นกจิ กรรมทสี่ ง่ เสรมิ และพฒั นำนักเรยี นให้
สำมำรถพฒั นำตนเองตำมธรรมชำตแิ ละเตม็ ตำมศกั ยภำพ คำนึงถงึ ควำมแตกตำ่ งระหว่ำงบคุ คลและ พฒั
นำกำรทำงสมอง เน้นควำมรู้ คุณธรรม จรยิ ธรรม ใหผ้ เู้ รยี นคดิ สรำ้ งสรรค์ ออกแบบกจิ กรรมอย่ำง
หลำกหลำย
นักเรยี นทกุ คนตอ้ งเขำ้ ร่วมกจิ กรรมเพอ่ื สงั คมและสำธำรณประโยชน์ ๑๕ ชวั่ โมงตอ่ ภำค
เรยี น (ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนต้น) และ ๒๐ ชวั่ โมงตอ่ ภำคเรยี น (ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนปลำย)
รปู แบบลกั ษณะจิตอาสา
๑. จดั กจิ กรรมในลกั ษณะบรู ณำกำรใน ๘ กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้
๒.จดั กจกิ รรมลกั ษณะโครงกำร/โครงงำน/กจิ กรรม
๓. จดั กจิ กรรมร่วมกบั องคก์ รอ่นื แนวทำงกำรประเมนิ ผลกจิ กรรมพฒั นำผเู้ รยี น
โรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค จดั ใหม้ กี จิ กรรมพฒั นำผเู้ รยี นทงั้ กจิ กรรมแนะแนวและกจิ กรรม
นักเรยี น กำรประเมนิ กำรเขำ้ ร่วมกจิ กรรมของผเู้ รยี นเป็นรำยกจิ กรรม โดยมแี นวดำเนนิ กำรประเมนิ
กจิ กรรมพฒั นำผเู้ รยี นดงั น้ี
1. กำรประเมนิ กจิ กรรมพฒั นำผเู้ รยี นรำยกจิ กรรม
๑.๑ผรู้ บั ผดิ ชอบกจิ กรรมประเมนิ กำรปฏบิ ตั กิ จกิ รรมของผเู้ รยี นตำมจดุ ประสงคข์ อง
แตล่ ะกจิ กรรม โดยประเมนิ จำกพฤตกิ รรมกำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรมและผลกำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรมดว้ ยวธิ กี ำรที่
หลำกหลำยตำมสภำพจรงิ
๑.๒ ผรู้ บั ผดิ ชอบกจิ กรรม ตรวจสอบเวลำเขำ้ ร่วมกจิ กรรมของผเู้ รยี นว่ำเป็นไปตำม เกณฑท์ ี่
สถำนศกึ ษำกำหนดไวห้ รอื ไม่
๑.๓ ในกรณีทมี่ กี จิ กรรมใดต้องใชเ้ วลำปฏบิ ตั ติ ลอดปีเมอ่ื สน้ิ ภำคเรยี นแรก ผรู้ บั ผดิ ชอบ
กจิ กรรมควรจดั ใหม้ กี ำรประเมนิ กำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรมของผเู้ รยี น เพ่อื สรปุ ควำมก้ำวหน้ำและ สภำพของ
กำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรมของผเู้ รยี นระยะหนึ่งกอ่ น เพอ่ื กำรปรบั ปรงุ แกไ้ ขหรอื ส่งเสรมิ กำรปฏบิ ตั ิ กจิ กรรมของ
ผเู้ รยี นใหเ้ ป็นไปอยำ่ งถกู ต้องและมปี ระสทิ ธภิ ำพ และรำยงำนผลกำรประเมนิ ใหผ้ ปู้ กครอง ทรำบโดยกำร
354
ประเมนิ ตำมจุดประสงคส์ ำคญั ของกจิ กรรม และนำผลกำรประเมนิ นนั้ ไปรวมกบั ผลกำร ประเมนิ กำรรวม
กจิ กรรมในภำคเรยี นทส่ี อง เพอ่ื ตดั สนิ ผลกำรประเมนิ กำรผ่ำนจดุ ประสงคส์ ำคญั ของ กจิ กรรม เม่อื สน้ิ สุด
ปีกำรศกึ ษำ (สน้ิ สุดกจิ กรรม)
๑.๔ ตดั สนิ ใหผ้ ูเ้ รยี นทผ่ี ำ่ นจุดประสงคส์ ำคญั ของกจิ กรรม และมเี วลำเขำ้ รว่ มกจิ กรรม ครบ
ตำมเกณฑใ์ หเ้ ป็นผผู้ ่ำนกำรประเมนิ ผลกำรรว่ มกจิ กรรม ผเู้ รยี นทม่ี ผี ลกำรประเมนิ บกพร่องในเกณฑ์ ใด
เกณฑห์ นึง่ หรอื ทงั้ สองเกณฑ์ จะเป็นผทู้ ไ่ี ม่ผ่ำนกำรประเมนิ ผลกำรรว่ มกจิ กรรม จะต้องซ่อมเสรมิ
ขอ้ บกพร่องใหผ้ ่ำนเกณฑก์ อ่ น จงึ จะไดร้ บั กำรตดั สนิ ใหผ้ ่ำนกจิ กรรม
2. กำรประเมนิ กจิ กรรมพฒั นำผเู้ รยี นผำ่ นชว่ งชนั้ เป็นกำรประเมนิ สรปุ ผลกำรผ่ำน กจิ กรรมตลอดชว่ งชนั้
ของผเู้ รยี นแตล่ ะคน เพอ่ื นำผลไปพจิ ำรณำตดั สนิ กำรผ่ำนชว่ งชนั้ โดยมขี นั้ ตอน ปฏบิ ตั ดิ งั น้ี
๒.๑ กำหนดใหม้ ผี รู้ บั ผดิ ชอบในกำรรวบรวมขอ้ มูลเกย่ี วกบั กำรรว่ มกจิ กรรมพฒั นำ ผเู้ รยี น
ของผเู้ รยี นทุกคนตลอดช่วงชนั้
๒.๒ ผรู้ บั ผดิ ชอบสรปุ และประเมนิ ผลกำรร่วมกจิ กรรมพฒั นำผเู้ รยี น เป็นรำยบุคคล ตำม
เกณฑท์ สี่ ถำนศกึ ษำกำหนด
๒.๓ นำเสนอผลกำรประเมนิ ต่อคณะกรรมกำรบรหิ ำรหลกั สูตรและวชิ ำกำรเพอ่ื ให้ ควำม
เหน็ ชอบ
๒.๔ เสนอผบู้ รหิ ำรสถำนศกึ ษำพจิ ำรณำตดั สนิ และอนุมตั ผิ ลกำรประเมนิ กจิ กรรม พฒั นำ
ผเู้ รยี นผำ่ นชว่ งชนั้ ต่อไป
355
356
วิธกี ารประเมินผลการเรยี น
การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการที่ให้ผูส้ อนใช้พัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รียนเพอ่ื ให้ไดข้ อ้ มลู
สารสนเทศ ทีแ่ สดงพัฒนาการความกา้ วหนา้ และความสำเร็จทางการเรยี นของผู้เรยี น ให้เปน็ การประเมนิ เพ่อื
ปรบั ปรุงการเรียนมากกว่าการตัดสินผลการเรยี น ประกอบดว้ ย
๑. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ระดบั ชัน้ เรยี น เปน็ การวดั ความก้าวหน้าทง้ั ดา้ นความรู้ ทกั ษะ
กระบวนการ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมท่พี งึ ประสงค์
๒. การประเมนิ ผลระดบั สถานศกึ ษาเพอ่ื ตรวจสอบความก้าวหนา้ ดา้ นการเรยี นรู้ เปน็ รายภาคสำหรบั
สถานศกึ ษานำข้อมลู ทีไ่ ด้ใชเ้ ป็นแนวทางในการปรับปรงุ และการพฒั นาการเรยี น การสอนและคณุ ภาพของ
ผ้เู รยี นใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ รวมทั้งพิจารณาตดั สนิ การเลอ่ื นระดับการศกึ ษา
๓. การประเมินผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นระดับชาติ เปน็ การประเมินด้วยแบบประเมินผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นทเ่ี ปน็ มาตรฐานระดบั ชาติ เพ่ือตรวจสอบคุณภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษาและคณุ ภาพ
การศึกษาของชาตสิ ำหรบั นำผลการประเมินไปวางแผนดำเนินการปรับปรงุ แกไ้ ขการจดั การเรียนการสอน และ
พฒั นาการผเู้ รียนใหไ้ ดม้ าตรฐาน
๔. การประเมนิ เพอ่ื ตัดสนิ ผลการเรยี น เป็นการประเมนิ เพ่อื สรุปความสำเร็จในการเรียนร้ขู องผู้เรียน
ในการจบหลกั สูตรการศึกษาในระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ หรอื ชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนปลายซง่ึ จะทำให้ผเู้ รียน
ได้รบั การรับรองความรแู้ ละวฒุ กิ ารศึกษาจากสถานศึกษา
แนวดำเนนิ การประเมนิ ผลการเรยี นของสถานศึกษา
เพอ่ื ใหก้ ารวดั และประเมินผลการเรยี นรูข้ องสถานศกึ ษาสอดคล้องกับหลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มกี ารดำเนินการตามหลักการกระจายอำนาจ มกี ารประเมนิ ผูเ้ รียนตามหลกั การ
วดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ มีการตรวจสอบและกำกับตดิ ตามประเมนิ คณุ ภาพการประเมินผลการเรียนอย่าง
เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ จงึ กำหนดแนวดำเนนิ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องสถานศึกษาไว้ ดังนี้
๑. สถานศกึ ษาโดยคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการของสถานศกึ ษา โดยความเห็นชอบ
ของคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน กำหนดรปู แบบระบบและระเบียบประเมนิ ผลของสถานศึกษา เพอื่
ใชเ้ ป็นแนวปฏิบัตใิ นการประเมนิ ผลการเรียนของสถานศึกษา
๒. สถานศึกษาโดยคณะกรรมการบริหารหลกั สูตรและวชิ าการของสถานศกึ ษา กำหนดผลการเรียนรู้
รายภาค และแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้โดยวเิ คราะห์จากตวั ช้ีวัด สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ คณุ ลักษณะ
357
อนั พึงประสงคแ์ ละมาตรฐานการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เป้าหมายในการวัดและการ
ประเมนิ ผลการเรยี นรรู้ ายภาค
๓. คณะอนุกรรมการระดับกลุ่มสาระหรือกลุ่มวิชาให้ความเหน็ ชอบของรูปแบบ วธิ ีการ เครอ่ื งมอื
สำหรับการประเมิน และการตัดสินการประเมินผลการเรียนรายวิชาของผู้สอน
๔. ผสู้ อน จดั การเรยี นการสอน ตรวจสอบพฒั นาการของผู้เรยี น และประเมินสรปุ ผลสมั ฤทธิ์ ของ
ผู้เรยี นดว้ ยวธิ ีการหลากหลายตามสภาพจรงิ โดยนำผลการเรยี นรรู้ ะหวา่ งเรียนไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ย ละ 70 ไปใช้
เปน็ ข้อมูลรวมกับการประเมนิ ปลายภาค
๕. หัวหนา้ สถานศกึ ษาอนุมตั ิผลการเรียนปลายภาค และการผ่านระดับการศึกษา
๖. สถานศึกษาจัดทำรายงานผลการดำเนนิ การประเมินผลการเรียนประจำปโี ดยความเห็นชอบ ของ
คณะกรรมการบรหิ ารหลกั สตู รและวชิ าการของสถานศกึ ษา เสนอตอ่ คณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้น พืน้ ฐาน
การประเมนิ ผลการเรียน
๑. การประเมนิ ผลการเรียนสาระการเรยี นรู้รายวชิ า ตามผลการเรียนร้รู ายภาคของรายวชิ าซ่งึ
กำหนดไว้ในหลกั สูตร โดยกำหนดสดั สว่ นคะแนนระหว่างเรียนกบั คะแนนปลายปี/ปลายภาค โดยให้
ความสำคญั ของคะแนนระหว่างเรียนมากกว่าคะแนนปลายปี/ปลายภาค กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย กลมุ่
สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ สดั สว่ นคะแนน ๗๐:๓๐ กลมุ่ สาระ การเรยี นรู้ศิลปะ
กล่มุ สาระการเรยี นรู้สุขศกึ ษา พลศกึ ษา และกลมุ่ สาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และ เทคโนโลยี สดั สว่ น
คะแนน ๘๐:๒๐ การประเมินสาระการเรยี นรรู้ ายวชิ า ใหต้ ัดสินผลการประเมินเปน็ ระดบั ผลการเรยี น ๘
ระดับ ดงั นี้
358
ระดบั ผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนน
๔ ดเี ยย่ี ม ๘๐-๑๐๐
๓.๕ ดมี าก ๗๕-๗๙
๓ ดี ๗๐-๗๔
๒.๕ ค่อนข้างดี ๖๕-๖๙
๒ ๖๐-๖๔
๑.๕ ปลานกลาง ๕๕-๕๙
๑ พอใช้ ๕๐-๕๔
๐ ๐-๔๙
ร ผา่ นเกณฑข์ ้นั ต่ำ
ตำกว่าเกณฑ์
มส รอการตดั สนิ และยงั ตดั สนิ ผลการ
เรยี นไมไ่ ด้
ไมม่ ีสทิ ธเิ์ ข้ารับการวัดผลปลาย
ภาคเรยี น
๒. การประเมนิ ความสามารถการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน เปน็ การประเมนิ ทกั ษะการคิดและ
การถา่ ยทอดความคดิ ด้วยทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ ตามเงื่อนไข และวิธกี ารท่ี สถานศกึ ษากำหนดและ
ตดั สินผลการประเมินเปน็ ๔ ระดับ ดงั น้ี
ระดับ ๓(ดเี ยย่ี ม) หมายถงึ ความสามารถในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น ทีม่ ีคุณภาพดี
เลศิ อยเู่ สมอ
ระดบั ๒ (ดี) หมายถึง ความสามารถในการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี น ที่มีคุณภาพเป็นที่
ยอมรับ
ระดบั ๑ (ผ่าน) หมายถงึ ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ท่ีมคี ุณภาพเป็น
ทีย่ อมรบั แต่ยังมีขอ้ บกพรอ่ งบาง ประการ
ระดับ ๐ (ไม่ผา่ น) หมายถึง ความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียน ที่ผลงานน้นั
ยงั มขี อ้ บกพรอ่ ง ทีต่ อ้ งไดร้ ับการปรับปรงุ แก้ไขหลายประการ
เมอ่ื จบระดบั การศึกษาพจิ ารณาจากผลการประเมิน “ผ่าน” และ “ไมผ่ า่ น” โดยการ
ประเมนิ “ผา่ น” นนั้ ตอ้ งมีผลการประเมนิ อยใู่ นระดับ ดเี ย่ียม ดี และผ่าน
359
การประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี น
ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑-๓
ขอบเขตการประเมนิ
การอา่ นจากสอื่ สิง่ พมิ พ์และส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ทีใ่ หข้ ้อมูลสารสนเทศ ข้อคิด ความรูเ้ ก่ียวกบั สังคม
และสงิ่ แวดลอ้ มที่เอือ้ ให้ผ้อู า่ นนำไปคิดวเิ คราะห์ วิจารณ์ สรุปแนวคดิ คุณค่าทีไ่ ด้นำไปประยุกตใ์ ช้ดว้ ย
วิจารณญาณและถ่ายทอดเปน็ ข้อเขียนเชิงสรา้ งสรรคห์ รอื รายงานดว้ ยภาษาทถ่ี กู ต้องเหมาะสม เช่น อา่ น
หนงั สือพมิ พ์ วารสาร หนงั สือเรียน บทความ สนุ ทรพจน์ คำแนะนำ คำเตือน แผนภูมิ ตาราง แผนท่ี
ตวั ชี้วัด
๑. สามารถคัดสรรส่อื ที่ตอ้ งการอ่านเพื่อหาข้อมูลสารสนเทศไดต้ ามวัตถปุ ระสงค์ สามารถสรา้ ง ความเข้าใจ
และประยุกตใ์ ช้ความรู้จากการอ่าน
๒. สามารถจับประเด็นสำคัญและประเดน็ สนับสนนุ โตแ้ ย้ง
๓. สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์ ความสมเหตุสมผล ความนา่ เช่ือถอื ลำดบั ความและความเป็นไป ไดข้ องเรอื่ งที่
อ่าน
๔. สามารถสรปุ คณู ค่า แนวคิด แงค่ ิดทไ่ี ดจ้ ากการอ่าน
๔. สามารถสรปุ อภิปราย ขยายความ แสดงความคดิ เหน็ โตแ้ ย้ง สนบั สนนุ โนม้ นา้ ว โดยการ เขยี นส่อื สารใน
รูปแบบตา่ ง ๆ เช่น ผังความคดิ เปน็ ตน้
ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๔-๖
ขอบเขตการประเมนิ
การอ่านจากสื่อส่ิงพิมพ์และส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ข้อมลู สารสนเทศ ความรู้ และประสบการณ์ แนวคิด
ทฤษฎี รวมท้ังความงดงามของภาษา ท่เี อ้ือให้ผอู้ ่านวิเคราะห์ วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ แสดงความคิดเหน็ โตแ้ ยง้ หรือ
สนับสนนุ ทำนาย คาดการณ์ ตลอดจนประยกุ ต์ใชใ้ นการตัดสินใจแก้ปญั หา และถ่ายทอดเปน็ ข้อเขียนเชงิ
สรา้ งสรรค์ รายงานบทความทางวิชาการอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เชน่ อา่ นบทความวิชาการ วรรณกรรม
ประเภทตา่ ง ๆ
360
ตัวช้วี ดั
๑. สามารถอา่ นเพ่อื การศึกษาค้นคว้า เพิ่มพนู ความรู้ ประสบการณ์ การประยุกตใ์ ช้ใน ชวี ิตประจำวัน
๒. สามารถจับประเด็นสำคญั ลำดับเหตกุ ารณ์จากการอา่ นสอื่ ท่มี คี วามซ้ำซ้อน
๓. สามารถวเิ คราะห์สง่ิ ท่ีผูเ้ ขียนตอ้ งการสือ่ สารกับผ้อู ่านและสามารถวพิ ากษ์ ใหข้ ้อเสนอแนะ เลยแงม่ ุม
ตา่ ง ๆ
๔. สามารถประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื คณุ ค่า แนวคดิ ทีไ่ ดจ้ ากการอา่ นอย่างหลากหลาย
๕. สามารถเขยี นแสดงความคิดเหน็ โต้แย้ง สรุปโดยมีข้อมูลอธิบายสนบั สนนุ อย่างเพียงพอและ
สมเหตสุ มผล
การประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
การประเมนิ คณุ ลักษณะอันพ่ึงประสงค์เปน็ การประเมนิ พฒั นาทางด้าน คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และ
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงคข์ องผู้เรียน ตามคณุ ลักษณะที่สถานศกึ ษา กำหนด การประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ
ประสงค์จะประเมินเป็นรวมทุกคุณลกั ษณะเพอ่ื เล่อื นชน้ั และจบ การศึกษา และกำหนดการตดั สนิ ผลการ
ประเมนิ เปน็ ๔ ระดับ ดงั น้ี
ระดับ ๓ (ดเี ยยี่ ม) หมายถึง ผู้เรียนมีพฤตกิ รรมตามตัวบง่ ชี้ ผา่ นเกณฑ์ ร้อยละ
๘๐ ขน้ึ ไปของจำนวนตัวบ่งชค้ี ุณลกั ษณะ นัน้ ๆ แสดงว่าผู้เรยี นมีคณุ ลักษณะน้นั ๆ จนสามารถ เป็นแบบอยา่ ง
แก่ผ้อู น่ื ได้
ระดับ ๒ (ดี) หมายถึง ผเู้ รยี นมพี ฤติกรรมตามตัวบง่ ช้ี ผา่ นเกณฑ์ ร้อยละ ๖๕-
๗๙ ขึ้นไป ของจำนวนตัวบ่งชี้ คณุ ลกั ษณะนน้ั ๆ แสดงวา่ ผ้เู รียนมีคุณลักษณะ นั้น ๆ ดว้ ยการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความ
เต็มใจ
ระดับ ๑ (ผ่าน) หมายถึง ผู้เรยี นมีพฤตกิ รรมตามตวั บง่ ช้ี ผา่ นเกณฑ์ รอ้ ยละ
๕๐-๖๔ข้ึนไป ของจำนวนตัวบ่งช้ี คุณลักษณะนน้ั ๆ แสดงวา่ ผ้เู รยี นมคี ณุ ลักษณะนั้น โดยได้พยายามปฏบิ ตั ิ
ตน ตามคำแนะนำ
ระดับ ๐ (ไมผ่ า่ น) หมายถึง ผู้เรยี นมีพฤตกิ รรมตามตัวบง่ ช้ี ผา่ นเกณฑ์ รอ้ ยละ
ตำ่ กว่า ๕๐ ของจำนวนตัวบง่ ชี้ในคุณลักษณะนน้ั ๆ แสดงวา่ ผ้เู รียนมีคณุ ลกั ษณะนนั้ ๆ โดยตอ้ งมีผู้อน่ื คอย
กระตุ้นเตือน
เมือ่ จบระดับการศึกษาจะพิจารณาจากผลการประเมนิ “ผ่าน” และ “ไม่ผ่าน” กรณที ผ่ี า่ นใหร้ ะดบั
ผล การประเมนิ เป็น ดเี ยี่ยม ดี และผ่าน
ขอ้ ท่ี1 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
361
นิยาม
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ หมายถงึ คุณลกั ษณะท่แี สดงออกถงึ การเปน็ พลเมอื งดีของชาติ ธำรงไว้ ซึ่ง
ความเป็นชาติไทย ศรัทธา ยดึ ม่นั ในศาสนา และเคารพเทดิ ทูนสถาบันพระมหากษัตรยิ ์
ผู้ทีร่ กั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ คอื ผู้ทีม่ ลี ักษณะซ่งึ แสดงออกถงึ การเปน็ พลเมอื งดขี องชาติ มคี วาม
สามคั คีปรองดอง ภูมิใจ เชดิ ชูความเปน็ ชาตไิ ทย ปฏบิ ัติตนตามหลักศาสนาทต่ี นนับถือและแสดงความ
จงรักภักดีต่อสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์
ตัวชีว้ ดั ๑.๑ เปน็ พลเมืองดขี องชาติ
๑.๒ ธำรงไว้ซ่งึ ความเป็นชาตไิ ทย
๑.๓ ศรทั ธา ยดึ ม่ันและปฏิบัติตนตามหลกั ศาสนา
๑.๔ เคารพเทดิ ทนู สถาบันพระมหากษัตรยิ ์
362
363
364
365
366
367
368
ข้อท่ี ๒ ซ่อื สัตยส์ ุจริต
นิยาม
ซอื่ สตั ยส์ จุ ริต หมายถึง คุณลกั ษณะทีแ่ สดงออกถึงการยึดมั่นในความถูกตอ้ ง ประพฤติ ตรงตาม
ความเปน็ จรงิ ตอ่ ตนเองและผู้อื่นทงั้ กาย วาจา ใจ มคี วามซือ่ สัตยส์ จุ รติ คือ ผูท้ ป่ี ระพฤติตรงตามความเปน็ จรงิ
ทั้งกาย วาจา ใจ และยึดหลกั ความจรงิ ความถกู ต้องในการดำเนินชวี ิต มคี วามละอายและเกรงกลวั ตอ่ การ
กระทำทผ่ี ิด
ตัวชี้วดั
๒.๑ ประพฤติตรงตามความเป็นจริงตอ่ ตนเองทัง้ กาย วาจา ใจ
369
๒.๒ ประพฤติตรงตามความเปน็ จรงิ ตอ่ ผ้อู ื่นทง้ั กาย วาจา ใจ
ตัวชวี้ ัดและพฤติกรรมบ่งช้ี
370
371
372
373
374
375
376
377
378
379
380
381
382
383
ขอ้ ที่ ๘ มีจติ สาธารณะ
นิยาม
มีจิตสาธารณะ หมายถึง คุณลกั ษณะที่แสดงออกถึงการมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมหรอื
สถานการณ์ทกี่ ่อใหเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ผ้อู น่ื ชมุ ชน และสังคม ดว้ ยความเต็มใจ กระตอื รือรน้ โดยไม่หวงั
ผลตอบแทน ผูม้ ีจติ สาธารณะ คือ ผทู้ มี่ ีลักษณะเปน็ ผ้ใู ห้และช่วยเหลอื ผู้อ่ืน แบ่งปนั ความสุขส่วนตนเพอ่ื ทำ
ประโยชนแ์ กส่ ่วนรวม เขา้ ใจ เหน็ ใจผทู้ มี่ คี วามเดือดรอ้ น อาสาชว่ ยเหลอื สงั คม อนรุ ักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม ด้วย
แรงกาย สติปัญญา ลงมอื ปฏิบัตเิ พือ่ แกป้ ัญหา หรือร่วมสร้างสรรค์สง่ิ ที่ดงี ามให้เกิดในชมุ ชน โดยไม่หวังส่ิง
ตอบแทน
ตวั ชวี้ ดั
๘.๑ ช่วยเหลอื ผอู้ ื่นด้วยความเต็มใจโดยไมห่ วงั ผลตอบแทน
384
๘.๒ เข้ารว่ มกิจกรรมทเ่ี ป็นประโยชนต์ อ่ โรงเรียน ชมุ ชน และสงั คม
385
386
387
การประเมินกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน
การประเมินกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน เปน็ การประเมินความสามารถและพัฒนาการของผู้เรียน ในการเข้า
ร่วมกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี นในแตล่ ะภาคเรียนตามเกณฑ์ของแต่ละกิจกรรม และตัดสนิ
ผลการประเมนิ โดยใชต้ วั อักษรแสดงผลการประเมิน ดงั นี้
“ผ” หมายถงึ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ผเู้ รียนมเี วลารว่ มกจิ กรรมไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลา
ท้งั หมดที่จดั กิจกรรม ของแต่ละภาคเรยี นและผ่านจดุ ประสงค์สำคัญของกจิ กรรมตามทีก่ ำหนด “มผ” หมายถึง
ไมผ่ ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ผเู้ รียนมีเวลาร่วมกิจกรรมไม่ถึง ร้อยละ๘๐ ของเวลาท้งั หมดท่จี ดั กิจกรรมของแต่ละ
ภาคเรยี น และ/หรือ ไม่ผา่ นจดุ ประสงคส์ ำคญั ของกิจกรรม
เม่อื จบระดับการศกึ ษาพจิ ารณาจากผลการประเมนิ “ผา่ น” และ “ไม่ผา่ น” โดยการประเมนิ
“ผ่าน” น้นั ตอ้ งมผี ลการประเมนิ อยูใ่ นระดับ ดีเยยี่ ม ดี และผ่าน
เกณฑ์การจบการศึกษา
เกณฑก์ ารจบระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้
๑. ผูเ้ รยี นเรียนรายวชิ าพน้ื ฐานและเพิ่มเตมิ โดยเปน็ รายวชิ าพน้ื ฐาน ๖๖ หน่วยกติ และรายวชิ าเพ่มิ เติมตามที่
สถานศึกษากำหนด
๒. ผู้เรยี นตอ้ งได้หน่วยกิต ตลอดหลกั สูตรไม่นอ้ ยกว่า ๗๗ หนว่ ยกิต โดยเป็นรายวชิ าพนื้ ฐาน ๖๖ หน่วยกติ
และรายวชิ าเพ่มิ เตมิ ไม่นอ้ ยกว่า ๑๑ หน่วยกิต
๓. ผเู้ รยี นมีผลการประเมินการอ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขยี น ในระดับผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ตามทสี่ ถานศกึ ษา
กำหนด
๔. ผเู้ รียนมผี ลการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ในระดบั ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ตามทีส่ ถานศึกษา
กำหนด
๕. ผู้เรยี นเขา้ รว่ มกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนและมผี ลการประเมนิ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินตามท่สี ถานศึกษากำหนด
เกณฑ์การจบระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
๑. ผู้เรียนเรยี นรายวิชาพ้นื ฐานและเพ่ิมเติม โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน ๔๑ หน่วยกิต และรายวชิ าเพ่ิมเตมิ ตามที่
สถานศกึ ษากำหนด
388
๒. ผู้เรยี นต้องไดห้ น่วยกิตตลอดหลกั สูตรไมน่ ้อยกวา่ ๗๗ หนว่ ยกิต โดยเปน็ รายวิชาพื้นฐาน ๔๑ หนว่ ยกติ
และรายวชิ าเพิม่ เตมิ ไม่น้อยกว่า ๓๖ หนว่ ยกิต
๓. ผเู้ รยี นมผี ลการประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขยี น ในระดบั ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินตามท่สี ถานศึกษา
กำหนด
๔. ผู้เรียนมีผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ในระดบั ผ่านเกณฑ์การประเมินตามทสี่ ถานศึกษา
กำหนด
๕. ผ้เู รยี นเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นและมผี ลการประเมนิ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามทีส่ ถานศกึ ษากำหนด
การตดั สินผลการเรยี น
๑. ตัดสินผลการเรยี นเปน็ รายวิชา ผู้เรยี นตอ้ งมีเวลาเรยี นตลอดภาคเรียน ไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ ๗๐ ของเวลา
เรียนท้ังหมด ในรายวชิ าน้ัน ๆ
๒. ผู้เรียนต้องได้รับการประเมนิ ทุกตัวชว้ี ดั /ผลการเรยี นรู้ และผา่ นตามเกณฑท์ ่สี ถานศึกษากำหนด
๓. ผู้เรียนผา่ นเกณฑก์ ารประเมินรายวิชาตามกล่มุ สาระการเรยี นรทู้ ้งั ๙ กลมุ่ สาระและได้ระดบั ผลการเรียน ๑
ถงึ ๔
๔. ผู้เรียนต้องได้รบั การตดั สินผลการเรยี นทกุ รายวิชา
๕. ผเู้ รยี นไดร้ บั การประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียน เป็นรายภาคเรยี น และนำไปตดั สินการผ่านระดบั
การศกึ ษา โดยผ่านเกณฑก์ ารประเมินให้ไดร้ ะดับผลการประเมนิ “ผ่าน” ถา้ ไมผ่ ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ให้ได้ผล
การประเมนิ “ไมผ่ ่าน”
๖. ผูเ้ รียนได้รับการประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์เปน็ รายภาคเรียน และนำไปตัดสนิ การผ่านระดับ
การศกึ ษา โดยถา้ ผ่านเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดใหไ้ ดผ้ ลการประเมนิ เปน็ ดีเยี่ยม ดแี ละผา่ น ถ้าไมผ่ า่ นเกณฑ์
การประเมนิ ให้ได้ผลการประเมนิ เป็น “ไม่ผา่ น”
๗. ผู้เรียนได้รบั การตดั สนิ การเขา้ ร่วมกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียนเปน็ รายภาคเรยี นและรายระดับการศึกษา โดยถ้า
ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ให้ไดผ้ ลประเมนิ เป็น “ผ” และถา้ ไมผ่ ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ใหไ้ ดผ้ ลการประเมนิ เปน็
“มผ”
๘. ผูเ้ รียนทมี่ ีเวลาเรียนไมถ่ ึงร้อยละ 80 ของเวลาเรยี นในรายวชิ าใด และไมม่ เี หตสุ ุดวิสัยใหไ้ ดร้ บั การผอ่ นผัน
จากหวั หนา้ สถานศึกษา เพื่อเข้ารบั การวดั ผลปลายภาคเรียน ใหไ้ ด้ผลการเรยี น “มส”
๙. ผูเ้ รยี นที่มีผลการเรียนต่ำกวา่ เกณฑท์ สี่ ถานศึกษากำหนด ใหไ้ ดร้ ะดับผลการเรยี น “0”
389
๑๐.ผูเ้ รยี นทีท่ ุจรติ ในการสอบกลางภาคหรือทุจรติ ในงานท่มี อบหมายให้ทำหรอื ไมส่ ง่ งานทไี่ ดร้ บั มอบหมายใน
รายวิชาใด คร้งั ใดกต็ าม ใหไ้ ดค้ ะแนน “0” ในครั้งน้ัน
๑๑. ผู้เรียนทที่ จุ ริตในการสอบปลายภาคในรายวิชาใด ให้ไดผ้ ลการเรียน “0” ในรายวิชานน้ั
๑๒. ผู้เรยี นทไี่ มไ่ ดเ้ ข้ารับการวัดผลปลายภาค หรอื มีเหตสุ ดุ วิสัยท่ีมีหลักฐานชัดเจน ทำให้ยังประเมินผลการ
เรียนไมไ่ ด้ ให้รายงานตอ่ หวั หน้าสถานศึกษา และใหไ้ ด้ผลการเรยี น “ร”
การเปลี่ยนระดับผลการเรยี น
๑. การเปลี่ยนระดบั ผลการเรยี นจาก “0” ให้ครูผูส้ อนดำเนินการพัฒนาผู้เรยี น โดยซอ่ มเสริม ปรับปรุง แก้ไข
ผ้เู รยี นในมาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ดั /ผลการเรียนรู้ ที่ผู้เรยี นสอบไมผ่ า่ นกอ่ น แล้วประเมินดว้ ยวิธีการทม่ี ี
ประสทิ ธภิ าพ จนผู้เรยี นสามารถผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ และใหร้ ะดบั ผลการเรียนใหม่ ให้ได้ระดับผลการเรียน
ไมเ่ กิน “๑” โดยดำเนินการสอบแกต้ ัวได้ไม่เกนิ ๒ ครงั้ ใหเ้ สร็จสิ้นในภาคเรียนถดั ไป ใหอ้ ยใู่ นดุลยพินจิ ของ
สถานศกึ ษาทจ่ี ะพิจารณาขยายเวลาออกไปอีก ๑ ภาคเรียน ทงั้ นต้ี อ้ งดำเนินการใหแ้ ล้วเสรจ็ ในปกี ารศึกษานน้ั
ถ้าสอบแกต้ ัว 2 ครง้ั แล้ว ยงั ได้ระดบั ผลการเรยี น “0” อกี ให้สถานศึกษาแตง่ ตัง้ คณะกรรมการดำเนินการ
เกีย่ วกบั การเปลีย่ นผลการเรยี นของผู้เรยี น โดยปฏบิ ตั ิ ดังน้ี
๑) ถ้าเปน็ รายวชิ าพ้นื ฐาน ให้เรยี นซ้ำรายวชิ านัน้
๒) ถ้าเปน็ รายวชิ าเพิ่มเติม ใหเ้ รยี นซำ้ หรือเปล่ียนรายวิชาใหม่ทัง้ นี้ใหอ้ ยใู่ นดุลยพินิจของสถานศึกษาในกรณี
เปลย่ี นรายวิชาใหม่ ให้หมายเหตุในระเบยี นแสดงผลการเรยี นว่าแทนรายวิชาใด
๒. การเปลีย่ นผลการเรียนตามขอ้ ๑๑.๑๑ ใหไ้ ด้ระดับผลการเรยี นตามปกติ (ตง้ั แต่ ๐-๔)
๓. การเปลยี่ นผลการเรยี นจาก “มผ” ใหส้ ถานศึกษาดำเนินการซอ่ มเสรมิ ปรับปรุง แกไ้ ข ผู้เรยี นในส่วนทไี่ ม่
ผา่ นการประเมิน ตามระยะเวลาท่ีสถานศกึ ษากำหนด
๔. การเปล่ียนผลการเรยี นจาก “มส” ตามข้อ ๑๑.๘ ให้สถานศกึ ษาดำเนินการซ่อมเสรมิ ปรับปรงุ แกไ้ ข
ผู้เรียนตามระยะเวลาที่สถานศกึ ษากำหนด ให้ได้ระดับผลการเรียนไม่เกิน “๑” และหากผเู้ รียนมีเวลาเรียน
น้อยกวา่ ร้อยละ ๖๐ ในรายวชิ าใด ใหเ้ รยี นซ้ำในรายวชิ านั้น
๕. การเปลย่ี นผลการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคร์ ะดบั “ไมผ่ ่าน” ให้คณะกรรมการประเมิน
คุณลักษณะอนั พึงประสงคด์ ำเนินการจดั กิจกรรมซอ่ มเสรมิ ปรบั ปรุงแก้ไข หรอื ตามวธิ กี ารท่คี ณะกรรมการ
กำหนด เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนผ่านเกณฑต์ ามท่สี ถานศกึ ษากำหนด
๖. ถา้ ผ้เู รยี นไม่ผ่านระดับการศกึ ษาใหด้ ำเนินการซ่อมเสรมิ แล้วทำการประเมนิ จนผเู้ รียนสามารถผา่ นเกณฑ์
การประเมินท่ีสถานศึกษากำหนด
390
๗. ผ้เู รียนท่มี รี ะดบั ผลการเรียนเฉลย่ี ตลอดปีการศกึ ษา ในปีการศึกษาใด ตำ่ กว่า ๑.๐๐ ในวนั ประกาศผลภาค
เรียนที่ ๒ ของปกี ารศกึ ษานน้ั หรอื มีผลการเรยี น 0 ,ร, มส ,มผ มากกวา่ ครงึ่ หนงึ่ ของวิชาท่เี รยี นทงั้ หมดของ
ภาคเรยี นน้ัน จะตอ้ งลงทะเบียนเรยี นใหมท่ ุกรายวชิ าในระดบั ช้ันน้นั ในปกี ารศกึ ษาถัดไป ตามเกณฑ์และ
วิธกี ารทสี่ ถานศกึ ษากำหนด
การเทียบโอนผลการเรยี น
๑. การเทยี บโอนผลการเรียน หมายถงึ การนำผลการเรยี นซง่ึ เป็นความรทู้ ักษะ และประสบการณ์ของผู้เรียน
ท่เี กดิ จากการศกึ ษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศยั และผลการศกึ ษา จากตา่ ง
สถานศกึ ษามาประเมนิ เป็นส่วนหนง่ึ ของการศกึ ษา ตามหลักสูตรใดหลกั สตู รหนึ่งทก่ี ำลังศกึ ษา โดย
คณะกรรมการบริหารหลักสตู ร และวชิ าการของสถานศึกษาควรดำเนินการในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนแรก หรอื
ตน้ ภาคเรยี นแรกที่สถานศึกษารบั ผ้เู ทียบโอนเปน็ ผู้เรียน ท้งั นผ้ี เู้ รยี นท่ไี ดร้ บั การเทยี บโอนตอ้ งศกึ ษาต่อเน่อื งใน
สถานศกึ ษาที่รบั โอนอย่างนอ้ ย ๑ ภาคเรียน โดยสถานศกึ ษาทรี่ บั เทยี บโอนกำหนดรายวิชา จำนวนหนว่ ยกิต ที่
จะรบั เทียบโอน
๒. สถานศึกษาแตง่ ต้งั คณะกรรมการดำเนนิ การเทยี บโอนผลการเรียนของสถานศกึ ษาให้ปฏิบตั หิ นา้ ที่กำหนด
สาระ จดั สรา้ งเคร่อื งมอื สำหรบั การเทียบโอนผลการเรยี น และดำเนนิ การเทยี บโอนผลการเรยี น โดย
คณะกรรมการดำเนินการเทยี บโอนผลการเรยี น ทำการเทยี บโอนผลการเรียนให้ผ้เู รยี นดงั น้ี
๑) ให้เทยี บโอนผลการเรียนเป็นรายวิชา
๒) กรณีผู้ขอเทยี บโอนมีผลการเรียนมาจากหลกั สตู รอน่ื ใหน้ ำรายวชิ า หรอื หน่วยกิตทมี่ ีมาตรฐานการเรียนรู้/
ตัวช้ีวดั /ผลการเรยี นรู้/จดุ ประสงค/์ เนอ้ื หาสอดคล้องกนั ไมน่ ้อยกว่าร้อยละ ๖๐ มาเทียบโอนผลการเรียน และ
พิจารณาให้ระดบั ผลการเรียนให้สอดคลอ้ งกับหลกั สูตรทร่ี ับเทยี บ
๓) กรณเี ทียบโอนความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ ใหพ้ ิจารณาจากเอกสารหลักฐาน (ถา้ มี) โดยใหม้ ีการ
ประเมนิ ดว้ ยเคร่อื งมอื ทห่ี ลากหลาย และให้ระดบั ผลการเรียนให้สอดคลอ้ งกบั หลักสตู รท่รี ับเทยี บโอน
๔) กรณีเทียบโอนนักเรียนทเี่ ขา้ โครงการแลกเปล่ียนตา่ งประเทศ ให้ดำเนินการตามประกาศ
กระทรวงศกึ ษาธกิ ารและแนวปฏบิ ตั ิการเทยี บชั้นการศึกษาสำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน
๕) คณะกรรมการดำเนนิ การเทยี บโอนผลการเรียน รายงานผลการเทียบโอนให้คณะกรรมการบริหาร
หลกั สตู รและวิชาการของสถานศกึ ษาใหค้ วามเห็นชอบ และเสนอผบู้ ริหารสถานศึกษาอนุมตั ิผลการเทียบโอน
ผลการเรยี นเอกสารหลักฐานการศึกษา
391
๑. ระเบยี นแสดงผลการเรยี น (Transcript) (ปพ.1) เปน็ เอกสารบันทึกผลการเรียนของผ้เู รยี นตามสาระการ
เรยี นรูก้ ลุ่มวชิ าและกจิ กรรมตา่ ง ๆ ทไี่ ด้เรยี นในแต่ละระดับการศกึ ษาของหลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน เพอ่ื ให้
เปน็ หลักฐานในการสมัครเข้าศึกษาตอ่ สมคั รทำงานหรอื ดำเนินการในเรอื่ งอ่นื ทเี่ ก่ียวข้อง
๒. หลกั ฐานแสดงวฒุ กิ ารศกึ ษา (ใบประกาศนยี บตั ร) (ปพ.2) เปน็ เอกสารท่สี ถานศกึ ษาออกให้กับผู้สำเร็จ
การศกึ ษาและรบั รองวฒุ ิการศกึ ษาของผู้เรียน ให้ผู้เรยี นนำไปใชเ้ ป็นหลักฐานแสดงระดบั วุฒิการศกึ ษาของตน
๓. แบบรายงานผู้สำเรจ็ การศึกษา (ปพ.3) เปน็ แบบรายงานรายชื่อและขอ้ มลู ของ ผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษาภาคบงั คับ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพือ่ ใชเ้ ป็นหลกั ฐานสำหรับตรวจสอบยนื ยนั และรบั รองความสำเร็จ
และวุฒกิ ารศกึ ษาของผสู้ ำเรจ็ การศึกษาแต่ละคน ต่อเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาและกระทรวงศกึ ษาธิการ
๔. แบบแสดงผลการพัฒนาคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค(์ ปพ.4) เปน็ เอกสารรายงานพัฒนาการดา้ นคณุ ลกั ษณะ
ของผูเ้ รียนเก่ยี วกับคุณธรรมจริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงคท์ ่สี ถานศึกษากำหนดข้ึนเพ่ือ
พัฒนาผเู้ รียนเป็นพเิ ศษ เพอื่ การแก้ปัญหาหรอื สร้างเอกลกั ษณ์ ใหผ้ ้เู รยี นตามวิสัยทัศน์ของสถานศกึ ษา เปน็
การรายงานผลการประเมนิ ทแ่ี สดงถงึ สภาพหรือระดับคุณ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม หรอื คณุ ลักษณะอันพงึ
ประสงคข์ องผเู้ รยี นในแตล่ ะระดบั การศกึ ษา สถานศึกษาต้องจัดทำเอกสารนีใ้ หผ้ ู้เรยี นทุก ๆ คน ควบคูก่ ับ
ระเบียบแสดงผลการเรยี นของผเู้ รียน เพ่ือนำไปใช้เป็นหลักฐานแสดงคณุ ลกั ษณะของผเู้ รียน เพื่อประกอบใน
การสมคั รศกึ ษาตอ่ หรือสมคั รทำงาน
๕. แบบแสดงผลการพัฒนาคุณภาพของผเู้ รยี น (ปพ.5) เปน็ เอกสารสำหรับผู้สอนใชบ้ ันทกึ เวลาเรยี น ขอ้ มูลผล
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ขอ้ มูลการพฒั นาคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผู้เรยี นแต่ละคนท่เี รียนใน
หอ้ งเรียนกลุ่มเดียวกนั เพอื่ ใช้เปน็ ขอ้ มูลในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ปรับปรงุ แกไ้ ข สง่ เสริม และ
ตดั สนิ ผลการเรียนของผ้เู รียน รวมท้งั ใช้เปน็ หลกั ฐานสำหรับตรวจสอบ ยืนยัน สภาพการเรียน การมีสว่ นรว่ ม
ในกจิ กรรมต่าง ๆ และผลสัมฤทธขิ์ องผูเ้ รียนแต่ละคน
๖. แบบรายงานผลการพฒั นาคุณภาพผเู้ รียนรายบคุ คล (ปพ.6) เปน็ เอกสารสำหรบั บนั ทึกข้อมลู เกีย่ วกับผล
การเรียน พฒั นาการในดา้ นตา่ งๆ และขอ้ มูลอ่ืนๆ ของผเู้ รียน
๗. ใบรบั รองผลการศกึ ษา (ปพ.7) เป็นเอกสารทส่ี ถานศกึ ษาออกให้ผเู้ รียนเปน็ การเฉพาะกิจ เพอื่ รับรอง
สถานภาพทางการศกึ ษาของผู้เรียนเปน็ การชวั่ คราว ทั้งกรณผี ู้เรยี นยังไม่สำเรจ็ การศกึ ษา และสำเรจ็ การศกึ ษา
แล้ว
392
393
คําส่ังโรงเรยี นสาธติ บุญเลศิ วทิ ยา
ที่ ๓๕/๒๕๖๒
เรอื่ ง แต่งตั้งคณะกรรมการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา พุทธศกั ราช ๒๕๖๑ ตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๖o)
................................................................
ตามทก่ี ระทรวงศึกษาธกิ ารไดอ้ อกคําส่งั ท่ี สพฐ. ๑๒๓๙/๒๕๖๐ เร่ืองการใช้มาตรฐานการเรียนรู้ และ
ตัวชี้วัด กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุม่ สาระการเรียนรู้ สงั คม
ศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรงุ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖o) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษา ขั้น
พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ ลงวนั ท่ี ๗ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เพ่อื ให้การจดั การศึกษาข้ันพื้นฐาน สอดคลอ้ ง
กบั การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อมและความก้าวหน้าทาง วทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี เป็นการเสรมิ สร้างศกั ยภาพคนของชาติ ยกระดับคณุ ภาพการศกึ ษาในระดับ สากล สอดคล้องกบั
ประเทศไทย ๔.๐ โลกในศตวรรษที่ ๒๑ และทดั เทยี มกบั นานาชาติ ผู้เรยี นมศี กั ยภาพ ในการแขง่ ขันและ
ดํารงชวี ิตอยา่ งสร้างสรรค์ในประชาคมโลกตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กําหนดให้ทกุ โรงเรยี นเรมิ่ ใช้
หลกั สตู รนีใ้ นระดบั ชน้ั ม.๑ และม.๔ในปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๑ และให้ครบทุก ระดบั ช้ันในปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
นน้ั เพือ่ ให้โรงเรยี นสาธติ บญุ เลิศวิทยา สามารถใชห้ ลักสูตรสถานศกึ ษาที่ สอดคลอ้ งกบั หลักสูตรแกนกลาง
ดังกล่าว
เพอื่ ใหก้ ารพัฒนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา พุทธศักราช ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้
พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖o) ในวนั ที่ ๒๑ มนี าคม ๒๕๖๒ ณ ห้องแม่
รําเพย ตามประกาศสํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร เปน็ ไปดว้ ยความ
เรียบรอ้ ย อาศยั อาํ นาจความตามมาตรา ๓๙ วรรค ๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญตั ริ ะเบียบข้าราชการครแู ละ บุคลากร
ทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงแต่งตัง้ คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษา พุทธศักราช ๒๕๖๑ (ฉบับ
ปรับปรงุ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖o) ดงั น้ี