The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์ by ณัฐวิภา วิริยา erja

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lukmuang2520, 2023-01-04 22:00:56

Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์ by ณัฐวิภา วิริยา

Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์ by ณัฐวิภา วิริยา erja

Keywords: 1234

Gภาrษaาอmังmกaฤษr

1



Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

ผู้เขียนและผู้เรียบเรียง : ดร.ณัฐวิภา วิริยา
ราคา 350 บาท
พิมพ์ครั้งที่ 1 : ตุลาคม 2559
สงวนลิขสิทธิ์โดย : บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จ�ำกัด
จัดพิมพ์โดย : บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จ�ำกัด (ส�ำนักพิมพ์บิสคิต)
ผลิตหนังสือดีมีคุณค่า ลิขสิทธ์ิถูกต้องจากต่างประเทศ
2387 อาคารรวมทุนพัฒนา ชั้น 4 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทร. 0-2718-1821 (10 คู่สาย)
แฟกซ์ : 0-2718-1831
http://www.expernetbooks.com
e-mail: [email protected]
จัดจ�ำหน่ายโดย : บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จ�ำกัด (มหาชน)
เลขท่ี 1858/87-90 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260
โทรศัพท์ 0-2739-8000
โทรสาร 0-2751-5999
http://www.se-ed.com
พิมพ์ท่ี : บริษัท แอคทีฟ พร้ินท์ จ�ำกัด
โทร. 0-2530-4114 (8 คู่สาย)

ข้อมูลทางบรรณานุกรมหอสมุดแห่งชาติ
ณัฐวิภา วิริยา.
Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์.--กรุงเทพฯ : บิสคิต, 2559.
364 หน้า.
1. ภาษาอังกฤษ--ไวยากรณ์. 2. ภาษาอังกฤษ--การใช้ภาษา. I. ช่ือเรื่อง.
425
ISBN (E-Book) 978-974-414-411-9

หากมีข้อผิดพลาดเนื่องจากการพิมพ์ สามารถน�ำมาเปลี่ยนได้ที่ส�ำนักพิมพ์เอ็กซเปอร์เน็ท
ในกรณีที่ต้องการซ้ือเป็นจ�ำนวนมาก เพ่ือใช้ในการสอน การฝึกอบรม การส่งเสริมการขาย
หรือเป็นของขวัญพิเศษ กรุณาติดต่อสอบถามราคาพิเศษได้ท่ี โทร. 0-2718-1821 (10 คู่สาย)



ค� ำ น� ำ

Grammar หรือ หลักไวยากรณ์ เป็นพ้ืนฐานส�ำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ
เน่ืองจากเป็นรากฐานก้าวแรกที่น�ำไปสู่การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้าน
ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนภาษาอังกฤษ ดังน้ันความรู้ทางไวยากรณ์
จึงเป็นสิ่งจ�ำเป็นอย่างย่ิงส�ำหรับผู้เรียนภาษาที่จะต้องมีความเข้าใจถึงหลักการและ
กฎเกณฑ์ของภาษาอย่างลึกซึ้ง เพ่ือน�ำไปสู่การตีความหมาย และการน�ำไปใช้ใน
ชีวิตประจ�ำวันได้อย่างถูกต้อง ทั้งในด้านการเรียน การท�ำงาน รวมถึงการสอบวัด
ความสามารถทางภาษาอังกฤษต่าง ๆ เช่น TOEFL, IELTS, TOEIC, CU-TEP,
TU-GET เป็นต้น ท่ีผู้สอบจะต้องมีพื้นฐานทางไวยากรณ์ที่ดี เพื่อท�ำข้อสอบให้ได้
คะแนนในระดับท่ีต้องการ

การจัดท�ำหนังสือเล่มนี้ได้ตระหนักถึงปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษของ
ผู้เรียนไทย ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษในการส่ือสารในชีวิตประจำ� วันเท่าท่ีควร
ประกอบกับหลักไวยากรณ์ของภาษาไทยมีความแตกต่างจากภาษาอังกฤษอย่างสิ้นเชิง
ดังน้ัน หนังสือ Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์ เล่มนี้ จึงได้รวบรวมไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษท้ังหมดไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะมีการน�ำเสนอหลักไวยากรณ์
จากหน่วยเล็กไปสู่หน่วยใหญ่ โดยเร่ิมจากโครงสร้างระดับค�ำ (Parts of Speech)
ระดับประโยค (Sentences) กาล (Tenses) วาจก (Voices) การพูดโดยตรงและการพูด
โดยอ้อม (Direct and Indirect Speech) และประโยคเงื่อนไข (Conditional Sentence)
โดยอธิบายเน้ือหาในแต่ละบทไว้อย่างละเอียด อันประกอบด้วยโครงสร้าง วิธีการ
และสถานการณ์ในการน�ำไปใช้ ข้อควรระวัง ตัวอย่างในการใช้ และแบบฝึกหัด
ส�ำหรับฝึกฝนด้วยตนเอง ซึ่งการยกตัวอย่างและแบบฝึกหัดในแต่ละหัวข้อน้ัน ได้
ค�ำนึงถึงรูปแบบการใช้ภาษาจริงในชีวิตประจ�ำวัน ที่ผู้อ่านสามารถน�ำไปใช้ได้ทันทีใน
สถานการณโ์ ลกปัจจบุ นั

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนภาษาอังกฤษ
ทุกท่าน ท้ังนักเรียน นักศึกษา และผู้ท�ำงาน ซ่ึงหากมีข้อบกพร่องใด ๆ ผู้เขียน
ขออภัยไว้ ณ ท่ีนี้

ขอขอบพระคณุ เป็นอย่างสงู

ดร.ณฐั วภิ า วริ ิยา
ผู้เขยี น



ส า ร บั ญ

หน้า

ค�ำน�ำ 3

บทท่ี 1 Parts of Speech 7

Noun (ค�ำนาม) 8
Pronoun (ค�ำสรรพนาม) 18
Verb (ค�ำกริยา) 36
Adjective (ค�ำคุณศัพท์) 48
Adverb (ค�ำกริยาวิเศษณ์) 58
Preposition (ค�ำบุพบท) 69
Conjunction (ค�ำสันธาน) 73
Interjection (ค�ำอุทาน) 80

บทที่ 2 Sentence 83

Simple Sentence (ประโยคความเดียว) 92
Compound Sentence (ประโยคความรวม) 102
Complex Sentence (ประโยคความซ้อน) 110
Compound-Complex Sentence (ประโยคความรวมความซ้อน) 117

บทที่ 3 Present Time 121

Present Simple Tense 122
Present Continuous Tense 136
Present Perfect Tense 150
Present Perfect Continuous Tense 162



สารบัญ 5

บทท่ี 4 Past Time หน้า
171
Past Simple Tense 172
Past Continuous Tense 188
Past Perfect Tense 195
Past Perfect Continuous Tense 204

บทที่ 5 Future Time 213

Future Simple Tense 214
Future Continuous Tense 222
Future Perfect Tense 228
Future Perfect Continuous Tense 235

บทท่ี 6 Voices 243

หลักการเปล่ียนประโยคจาก Active Voice เป็น Passive Voice 246
ท�ำความรู้จักกับกรรมตรง (Direct Object) 262
และกรรมรอง (Indirect Object)
หลักการเปลี่ยนประโยคจาก Active Voice เป็น Passive Voice 267
ในกรณีที่มีกรรม 2 ตัว
หลักการเปล่ียนประโยคค�ำสั่ง (Imperative Sentence) 272
เป็น Passive Voice
หลักการเปล่ียนประโยคที่มีกริยาช่วย (Modal Verb) 275
เป็น Passive Voice



6 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์ หน้า

บทท่ี 7 Direct and Indirect Speech 1279
Direct Speech
Indirect Speech 280
หลักการเปลี่ยนประโยค Direct Speech 282
เป็น Indirect Speech 288

บทท่ี 8 Conditional Sentence 323
ZERO Conditional Sentence
FIRST Conditional Sentence 327
SECOND Conditional Sentence 334
THIRD Conditional Sentence 343
352
บรรณานุกรม
ประวัติผู้เขียน 361
362



PSpaeretcs hof L ESSO N

ในการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษน้ัน หลักการส�ำคัญที่เราควรท�ำความเข้าใจก่อน
เป็นอันดับแรก ได้แก่ การรู้จัก Parts of Speech เน่ืองจากเป็นรากฐานทางไวยากรณ์ที่
สามารถน�ำทางเราไปสู่การเรียนรู้โครงสร้างหน้าที่ของค�ำ การสร้างประโยค และการเข้ารูป
ประโยคได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะพาเราไปสู่การใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

Parts of Speech คือ ส่วนที่ประกอบออกมาเป็นค�ำพูด รวมกันเป็นประโยค ซึ่งจะ
ประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ โดยแต่ละอย่างล้วนเป็นองค์ประกอบท่ีส�ำคัญทั้งสิ้น เน่ืองจาก
ประโยคท่ีเราใช้ทั้งในการพูดและเขียนนั้น ล้วนน�ำมาจากการน�ำส่วนประกอบของค�ำพูดมา
เรียบเรียงเข้าด้วยกันตามโครงสร้างทางไวยากรณ์ ซ่ึงเราสามารถแบ่ง Parts of Speech
ออกเป็น 8 ชนิด ดังน้ี

1. Noun (ค�ำนาม) 2. Pronoun (ค�ำสรรพนาม)

3. Verb (ค�ำกริยา) 4. Adjective (ค�ำคุณศัพท์)

5. Adverb (ค�ำกริยาวิเศษณ์) 6. Preposition (ค�ำบุพบท)

7. Conjunction (ค�ำสันธาน) และ 8. Interjection (ค�ำอุทาน)
โดยจะอธิบายรายละเอียดในแต่ละประเภทดังต่อไปนี้

7



8 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Noun (ค�ำนาม)

Noun หรือ ค�ำนาม เป็นค�ำท่ีใช้เรียกชื่อคน สัตว์ ส่ิงของ สถานที่ หรืออาจเป็น
สภาวะที่เป็นนามธรรมก็ได้ เช่น
คน explorer (นักส�ำรวจ), friend (เพ่ือน), artist (ศิลปิน),
prince (เจ้าชาย)
สัตว์ dolphin (ปลาโลมา), cheetah (เสือชีตาห์), parrot (นกแก้ว),
horse (ม้า)
ส่ิงของ camera (กล้อง), violin (ไวโอลิน), calculator (เครื่องคิดเลข),
desk (โต๊ะท�ำงาน)
สถานท่ี museum (พิพิธภัณฑ์), hospital (โรงพยาบาล),
beach (ชายทะเล), Japan (ประเทศญี่ปุ่น)
นามธรรม honesty (ความซ่ือสัตย์), beauty (ความงาม),
curiosity (ความอยากรู้อยากเห็น), fear (ความกลัว)
เราสามารถแบ่งประเภทของค�ำนามตามโครงสร้างไวยากรณ์ออกเป็น 5 ชนิด ได้แก่

1 Common Noun (สามานยนาม)

หรือ นามท่ัวไป เป็นค�ำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ ส่ิงของ หรือสถานที่ท่ัวไป ไม่เฉพาะ
เจาะจง เป็นได้ทั้งเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น doctor (แพทย์) colleague (เพื่อนร่วมงาน)
flowers (ดอกไม้) zebras (ม้าลาย) cities (เมือง) country (ประเทศ) เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
Please consult your doctor before taking this medicine.
กรุณาปรึกษาแพทย์ของท่านก่อนรับประทานยาตัวน้ี
We are going to visit our colleague in Morocco.
เราก�ำลังไปเย่ียมเพ่ือนร่วมงานของเราท่ีประเทศโมร็อกโก



บทที่ 1 : Parts of Speech 9

My younger sister gave me some small yellow flowers.
น้องสาวของฉันให้ดอกไม้สีเหลืองเล็ก ๆ แก่ฉัน
Most zebras live in South Africa.
ม้าลายส่วนมากอาศัยอยู่ท่ีแอฟริกาใต้
How many of famous cities have you traveled to?
คุณเคยเดินทางไปเมืองที่มีช่ือเสียงจ�ำนวนกี่เมืองมาแล้ว
Germany is a country in Europe.

เยอรมนีเป็นประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป

2 Proper Noun (วิสามานยนาม)

หรือ นามเฉพาะ เปน็ ค�ำนามทเ่ี ปน็ ชื่อเฉพาะเจาะจงของคน สตั ว์ สง่ิ ของ หรอื สถานที่
ซ่ึงเราจะสามารถสังเกตว่าค�ำเหล่าน้ีขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ใน
ต�ำแหน่งใดของประโยค เช่น Madonna, Lilo, Stitch, Nile River, Notre Dame, Munich
เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
Madonna is well-known as the Queen of Pop and fashion icon.
มาดอนน่าเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นราชินีเพลงป๊อปและเจ้าแม่แฟช่ัน
Lilo adopts a small ugly “dog”, whom she names Stitch.
ลีโลรับสุนัขข้ีเหร่ตัวเล็ก ๆ มาเล้ียงตัวหน่ึงท่ีหล่อนตั้งช่ือให้ว่าสติทช์
Nile River was an important factor in the success
of ancient Egypt.
แม่น�้ำไนล์เป็นปัจจัยท่ีส�ำคัญในความส�ำเร็จของอียิปต์โบราณ
Notre Dame is a beautiful Roman Catholic parish.
น็อทร์ ดาม เป็นอาสนวิหารที่งดงามของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
Munich is one of Germany’s most popular cities.
มิวนิกเป็นหนึ่งในเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเยอรมนี



10 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

3 Collective Noun (สมุหนาม)

หรือ นามที่เป็นกลุ่ม เป็นค�ำนามที่อยู่รวมกันเป็นหมู่หรือเป็นคณะของคน สัตว์
สิ่งของ หรือสถานท่ี ซึ่งมักจะมาคู่กับ Common Noun เช่น a group of tourists
(นักท่องเที่ยวกลุ่มหน่ึง) a flock of sheep (แกะฝูงหน่ึง) a pride of lions (สิงโตฝูงหน่ึง)
a bouquet of flowers (ดอกไม้ช่อหน่ึง) a range of mountains (ภูเขาเทือกหนึ่ง) เป็นต้น
โดยจะสังเกตเห็นได้ว่าการใช้ Collective Noun มีโครงสร้างดังนี้

Collective Noun + of + Common Noun

ตัวอย่างประโยค
The authorities are looking for a gang of thieves.
เจ้าหน้าที่ของรัฐก�ำลังค้นหากลุ่มโจร
A lion is chasing a herd of zebras.
สิงโตตัวหนึ่งก�ำลังไล่ล่าฝูงม้าลาย
The big dolphin swam with a school of fish.
ปลาโลมาตัวใหญ่ว่ายน�้ำมาพร้อมกับฝูงปลา
A crowd of fans cheered for their favorite singer.
แฟนเพลงกลุ่มหนึ่งมาให้ก�ำลังใจนักร้องคนโปรดของพวกเขา
My mother bought a loaf of bread at the market.
แม่ของฉันซ้ือขนมปังแถวหนึ่งมาจากตลาด



บทท่ี 1 : Parts of Speech 11

ห ม า ย เ ห ตุ

1. Collective Noun ท่ีใช้ร่วมกับ Common Noun ที่พบเห็นการใช้บ่อย ๆ มี
ดังนี้

a tribe of natives ชนเผ่าหนึ่ง
an army of soldiers ทหารกองหน่ึง
a hive of bees ผึ้งรวงหนึ่ง
a flock of geese ห่านฝูงหนึ่ง
a colony of ants มดฝูงหน่ึง
a herd of cows วัวฝูงหน่ึง
a bouquet of roses ดอกกุหลาบช่อหนึ่ง
a band of musicians นักดนตรีวงหนึ่ง
a cluster of stars ดาวกลุ่มหน่ึง
a troop of monkeys ลิงฝูงหน่ึง

2. เราสามารถใช้ Collective Noun กับกริยาเปน็ เอกพจนห์ รอื พหพู จน์กไ็ ด้ ข้นึ อยู่
กับความหมาย หากหมายถึงกลุ่มเดียว ให้ใช้กริยาเป็นเอกพจน์ แต่หากหมายถึงจ�ำนวน
แยกแยะรายบุคคล ต่างคนต่างท�ำ ให้ใช้กริยาพหูพจน์ เช่น

The class is waiting for its instructor silently.
The class ในท่ีนี้ใช้เป็นเอกพจน์ หมายถึงนักเรียนทั้งช้ันเรียนรอผู้สอน
อย่างเงียบๆ
The class were doing their homework when their instructor
arrived.
The class ในที่นี้ใช้เป็นพหูพจน์ หมายถึงนักเรียนแต่ละคนต่างท�ำ
การบ้านเมื่อผู้สอนมาถึง



12 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

4 Material Noun (วัตถุนาม)

หรือ นามท่ีเก่ียวกับวัตถุ เป็นค�ำนามที่เรียกส่ิงของท่ีมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
เป็นก้อน เป็นนามนับไม่ได้แต่จับต้องได้ ได้แก่ พวกแร่ธาตุต่าง ๆ โลหะ ของแข็ง ของเหลว
เป็นต้น เราสามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า Mass Noun ซ่ึงจะมีรูปเป็นเอกพจน์และใช้กับ
กริยาท่ีเป็นเอกพจน์เสมอ เช่น rice (ข้าว) air (อากาศ) sand (ทราย) bread (ขนมปัง)
sugar (น้�ำตาล) milk (นม) oil (น�้ำมัน) water (น้�ำ) เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
Water is considered the most important nutrient.
น้�ำถูกพิจารณาว่าเป็นสารอาหารท่ีส�ำคัญที่สุด
Sugar can give you cancer.
น้�ำตาลสามารถท�ำให้คุณเป็นมะเร็งได้
My mother tried making bread this morning.
แม่ของฉันพยายามท�ำขนมปังเมื่อเช้านี้
Soil affects the health and quality of the food we eat.
ดินส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพของอาหารที่เรารับประทาน
Sand can be shaped into a variety of figures according to
our imagination.
เราสามารถปั้นทรายได้หลายรูปทรงขึ้นอยู่กับจินตนาการของเรา

ห ม า ย เ ห ตุ

1. เราไม่ใช้ค�ำน�ำหน้า a/an น�ำหน้า Material Noun แต่เราจะใช้ Common Noun
มาช่วยในการแสดงปริมาณในรูปของกลุ่มค�ำโดยมี of มาค่ัน ดังน้ี

Number + Common Noun + of + Material Noun



บทที่ 1 : Parts of Speech 13

ห ม า ย เ ห ตุ

ตัวอย่าง

a glass of water น้�ำหนึ่งแก้ว
two glasses of milk นมสองแก้ว
a kilo of meat เน้ือหนึ่งกิโลกรัม
two spoons of sugar น�้ำตาลสองช้อน
a jar of honey น้�ำผึ้งหนึ่งเหยือก

2. การใช้ Material Noun เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์หรือไม่น้ัน ให้สังเกตจาก
Common Noun ท่ีอยู่ข้างหน้าเป็นหลัก หาก Common Noun เป็นเอกพจน์ ให้ใช้ Verb
เป็นเอกพจน์ แต่หาก Common Noun เป็นพหูพจน์ ก็ให้ใช้ Verb พหูพจน์ เช่น
A glass of wine per day prevents heart attacks.
ดื่มไวน์วันละแก้วช่วยป้องกันโรคหัวใจ
สังเกตค�ำว่า a glass มีรูปเป็นเอกพจน์ ดังน้ัน จึงใช้ Verb เป็นเอกพจน์ คือ
prevents

Ten cups of coffee per day are bad for your health.
ดื่มกาแฟสิบถ้วยต่อวันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ
สังเกตค�ำว่า cups เติม s มีรูปเป็นพหูพจน์ ดังนั้น จึงใช้ Verb เป็นพหูพจน์
คือ are



14 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

5 Abstract Noun (อาการนาม)

หรือ นามท่ีเกี่ยวกับสภาพหรืออาการ เป็นค�ำนามที่เรียกสิ่งของท่ีไม่มีรูปร่าง จับต้อง
ด้วยกายไม่ได้ มองไม่เห็น มีลักษณะเป็นนามธรรม เป็นค�ำนามท่ีแสดงถึงสภาวะ (State)
คุณสมบัติ (Quality) การกระท�ำ (Action) หรือความคิด (Idea) เช่น poverty (ความยากจน)
honesty (ความซ่ือสัตย์) accuracy (ความถูกต้อง) kindness (ความปรานี) arrival (การ
มาถึง) creation (การสร้างสรรค์) evil (ความช่ัวร้าย) เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
Poverty is not only a lack of money but also a lack
of opportunity.
ความยากจนไม่ใช่แค่การขัดสนเงินเท่านั้นแต่รวมไปถึงการขาดโอกาสด้วย
Death comes to all men.
ความตายย่อมมาสู่มนุษย์ทุกคน
There is no justice in this world.
ไม่มีความยุติธรรมในโลกใบนี้
We will never forget your kindness.
เราจะไม่มีทางลืมความปรานีของคุณเลย
His arrival was completely unexpected.
การมาถึงของเขาเป็นส่ิงที่ไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิง



บทท่ี 1 : Parts of Speech 15

ห ม า ย เ ห ตุ

Abstract Noun มักเป็นค�ำที่สร้างมาจาก Verb หรือ Adjective หรือแม้กระท่ัง
Noun ด้วยกันเอง เวลาที่แปลความหมายของ Abstract Noun เป็นภาษาไทย เรามัก
ข้ึนต้นด้วยค�ำว่า ‘การ .........’ หรือ ‘ความ ........’ ดังต่อไปนี้

1. Abstract Noun ท่ีมีรูปมาจาก Verb เช่น creation (Abstract Noun)
create (Verb) การสร้างสรรค์
สร้างสรรค์ preference (Abstract Noun)
prefer (Verb) การชอบมากกว่า
ชอบมากกว่า

2. Abstract Noun ที่มีรูปมาจาก Adjective เช่น

honest (Adjective) honesty (Abstract Noun)
ซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์

happy (Adjective) happiness (Abstract Noun)
มีความสุข ความสุข

3. Abstract Noun ที่มีรูปมาจาก Noun เช่น friendship (Abstract Noun)
friend (Common Noun) ความเป็นเพ่ือน
เพ่ือน motherhood (Abstract Noun)
ความเป็นแม่
mother (Common Noun)
แม่



16 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Point out the underlined nouns in the following sentences and say
whether they are Common, Proper, Collective, Material, or Abstract.

1 Poseidon is not merely the god of the sea, but it also known as
the Earth-Shaker.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun
2 Gangs of youths went to the cinema last night.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun
3 Christopher was recently promoted to senior manager.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun
4 Could you open the window? I need some air.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun

5 After waiting for an hour, they were beginning to run out of patience.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun



บทที่ 1 : Parts of Speech 17

6 The jury were divided in their opinion.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun
7 My aunt went into hospital for a heart operation.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun
8 Two children have been kidnapped by terrorists.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun
9 Over 60 million people have visited Neuschwanstein Castle.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun
10 Ask your parents for advice.
a. Common Noun b. Proper Noun c. Collective Noun
d. Material Noun e. Abstract Noun

เฉลย

1. b 2. c 3. a 4. d 5. e
6. c 7. e 8. a 9. b 10. e



18 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Pronoun (ค�ำสรรพนาม)

Pronoun หรอื คำ� สรรพนาม เปน็ ค�ำที่ใช้เรียกช่ือแทนคน สตั ว์ สง่ิ ของ หรือสถานที่
ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ หรือก�ำลังจะกล่าวต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้�ำ ท่ีจะท�ำให้การพูด
หรือการเขียนซ�้ำซาก และดูน่าเบื่อ
ลองเปรยี บเทียบสองข้อความตอ่ ไปน้ี และพิจารณาวา่ ข้อความไหนใหค้ วามร้สู กึ ลื่นไหล
และสละสลวยมากกว่ากัน

A I saw Jenny in the morning. Jenny wears a beautiful big hat. I guess Jenny

is probably going to the beach with Jenny’s boyfriend.

B I saw Jenny in the morning. She wears a beautiful big hat. I guess she is

probably going to the beach with her boyfriend.

จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่าเม่ืออ่านข้อความ A จะท�ำให้รู้สึกสะดุดและไม่ราบรื่น
ในขณะท่ีขอ้ ความ B จะให้ความร้สู ึกทเี่ ปน็ ธรรมชาติและลืน่ ไหล ท�ำใหเ้ กิดความรสู้ กึ อยากอ่าน
ต่อไป ดังน้ันการใช้ Pronoun ที่ถูกต้องจึงมีผลมากในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารใน
ชีวิตประจ�ำวัน โดยสามารถแบ่ง Pronoun ออกเป็น 8 ชนิด ได้แก่
1. Personal Pronoun (บุรุษสรรพนาม)
2. Possessive Pronoun (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ)
3. Demonstrative Pronoun (สรรพนามชี้เฉพาะ)
4. Reflexive Pronoun (สรรพนามสะท้อนกลับ)
5. Interrogative Pronoun (ปุจฉาสรรพนาม)
6. Indefinite Pronoun (สรรพนามทั่วไป)



บทที่ 1 : Parts of Speech 19

7. Relative Pronoun (ประพันธสรรพนาม)
8. Distributive Pronoun (สรรพนามแจกแจง)
โดยจะอธิบายหน้าที่ของสรรพนามและรูปแบบการใช้ในแต่ละชนิดดังต่อไปนี้

1 Personal Pronoun (บุรุษสรรพนาม)

Personal Pronoun หรือ บุรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ
หรือสถานท่ี สามารถท�ำหน้าท่ีเป็นได้ท้ังประธาน (Subject) และกรรม (Object) ของประโยค
โดยแบ่ง Personal Pronoun ออกได้เป็น 3 บุรุษ (Person) ดังนี้
1 สรรพนามบุรุษที่ 1 (First Person) คือ สรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้พูด
การใช้สรรพนามในภาษาอังกฤษแตกต่างจากภาษาไทยที่ใช้สรรพนามบุรุษท่ี 1 หลากหลาย
ข้ึนอยู่กับระดับของภาษาและสถานะของผู้พูด เช่น ฉัน ดิฉัน หนู ผม อาตมา ข้าพเจ้า
หรือเรียกชื่อตัวเองเป็นบุรุษท่ี 1 เวลาพูด แต่ในภาษาอังกฤษมี 2 ค�ำเท่าน้ัน คือ I (ฉัน) และ
we (เรา) ในกรณีที่เป็นประธานในประโยค แต่เม่ือเป็นกรรมในประโยคจะกลายเป็น me
และ us เชน่

ท�ำหน้าท่ีเป็นประธาน
I visit my uncle every year.
ฉันไปเย่ียมลุงของฉันทุกปี
We can choose our friends but not our family.
เราสามารถเลือกเพื่อนได้แต่เลือกครอบครัวไม่ได้

ท�ำหน้าท่ีเป็นกรรม
The teacher saw me in town yesterday.
คุณครูเจอฉันในเมืองเม่ือวานนี้
The manager is going to meet us next week.
ผู้จัดการก�ำลังจะมาพบเราสัปดาห์หน้า



20 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

2 สรรพนามบุรุษท่ี 2 (Second Person) คือ สรรพนามท่ีใช้แทนคู่สนทนา
หรือคนที่เราพูดด้วย ซ่ึงมีอยู่เพียงค�ำเดียว คือ you (คุณ) ไม่ว่าจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์
ไมว่ า่ จะท�ำหน้าที่เป็นประธานหรือเป็นกรรมในประโยค เช่น

ท�ำหน้าท่ีเป็นประธาน
You are my best friend.
คุณคือเพ่ือนที่ดีท่ีสุดของฉัน
You have to take a French class in the morning.
คุณต้องเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสในตอนเช้า

ท�ำหน้าท่ีเป็นกรรม
Jennifer likes you.
เจนนิเฟอร์ชอบคุณนะ
My mother invited you to the party.
แม่ของฉันเชิญคุณมางานเล้ียง

3 สรรพนามบุรุษที่ 3 (Third Person) คือ สรรพนามที่ใช้แทนบุคคล
ที่ 3 หรือบุคคลที่เรากล่าวถึง มีทั้งหมด 4 ค�ำ ได้แก่ he (เขา) she (หล่อน) it (มัน)
และ they (พวกเขา หรือ พวกมัน) ท�ำหน้าท่ีเป็นประธานในประโยค แต่เม่ือท�ำหน้าที่
เป็นกรรมในประโยคจะเปล่ียนรูปเป็น him, her, it และ them เช่น

ท�ำหน้าที่เป็นประธาน
He decided to join an online dating agency.
เขาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมชมรมจัดหาคู่ออนไลน์
She spends too much time surfing the Internet.
หล่อนใช้เวลาเล่นอินเทอร์เน็ตนานเกินไป



บทที่ 1 : Parts of Speech 21

It hits the ship on the starboard side.
มันชนเรือตรงกาบเรือด้านขวา
They are addicted to American TV shows.
พวกเขาติดรายการทีวีโชว์อเมริกัน

ท�ำหน้าที่เป็นกรรม
The committee appointed him as the chairman.
คณะกรรมการแต่งต้ังให้เขาเป็นประธาน
I told her the truth.
ฉันบอกความจริงแก่หล่อน
A boy is throwing it at the windows.
เด็กผู้ชายคนหนึ่งก�ำลังขว้างมันไปท่ีหน้าต่าง
Their parents bought them a big house.
พ่อแม่ของพวกเขาซื้อบ้านหลังใหญ่ให้แก่พวกเขา
จากตัวอย่างข้างต้นเราสามารถสรุปการใช้ Personal Pronoun ได้ดังตารางต่อไปน้ี

บุรุษ เอกพจน์ พหูพจน์
(Person) (Singular) (Plural)
บรุ ษุ ที่ 1
บรุ ษุ ท่ี 2 I we
you you
บรุ ษุ ท่ี 3 he
she they
it



22 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Personal Pronoun ท�ำหน้าท่ีเป็นได้ท้ังประธาน (Subject) และกรรม (Object) ของ
ประโยค สรุปได้ดังตารางต่อไปน้ี

สรรพนามท�ำหน้าท่ีเป็นประธาน สรรพนามท�ำหน้าท่ีเป็นกรรม
(Subject Pronouns) (Object Pronouns)

I me
we us
you you
he him
she her
it it
they them

2 Possessive Pronoun (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ)

Possessive Pronoun หรือ สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ มีโครงสร้างการใช้
แตกต่างจาก Possessive Adjective ตรงที่ Possessive Pronoun สามารถวางไว้เด่ียวๆ
ได้เลย โดยไม่จ�ำเป็นต้องมีค�ำนามตามหลัง ในขณะท่ี Possessive Adjective ต้องมีค�ำนาม
ตามหลัง เช่น

Have you seen my keys? Possessive Adjective
คุณเห็นกุญแจของฉันบ้างไหม

Could I borrow your keys? I can’t find mine. Possessive Pronoun
ฉันขอยืมกุญแจคุณได้ไหม ฉันหาของฉันไม่เจอ

สังเกตจากตัวอย่างข้างต้นจะพบว่า เราจะใช้ Possessive Pronoun เมื่อมีการ
ระบุค�ำนามน้ันไว้ก่อนหน้าน้ี เพื่อแสดงให้ทราบว่า ค�ำ Possessive Pronoun น้ันใช้แทน
ค�ำนามอะไร โดยสามารถสรุปโครงสร้างการใช้งานดังตารางต่อไปนี้



บทที่ 1 : Parts of Speech 23

Possessive Adjective Possessive Pronoun ความหมาย
my + ค�ำนาม mine ของฉัน
This is my cat.
This cat is mine. ของพวกเรา
ของคุณ
our + ค�ำนาม ours ของเขา
That is our house. That house is ours. ของหลอ่ น
ของมัน
your + ค�ำนาม yours
These are your rings. These rings are yours. ของพวกเขา

his + ค�ำนาม his
This is his car. This car is his.

her + ค�ำนาม hers
This is her bag. This bag is hers.

its + ค�ำนาม its
Those are its legs. Those legs are its.

their + ค�ำนาม theirs
These are their books. These books are theirs.

3 Demonstrative Pronoun (สรรพนามชี้เฉพาะ)

Demonstrative Pronoun หรือ สรรพนามช้ีเฉพาะ คือสรรพนามท่ีใช้แทนค�ำนาม
เพ่ือแสดงการชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นส่ิงไหน อันไหน หรือคนไหน สามารถเป็นได้ท้ังประธาน
และกรรมของประโยค โดยสรรพนามในกลุ่มน้ีที่พบเห็นบ่อยๆ มี 4 ตัว ได้แก่ this, that,
these, those มีรายละเอียดการใช้ดังต่อไปนี้



24 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

พจน์ ใกล้ ไกล
เอกพจน ์ this that
พหูพจน ์ these those

This แปลว่า น่ี หรือ น้ี ใช้แทนค�ำนามท่ีเป็นเอกพจน์และอยู่ใกล้ตัวผู้พูด เช่น

This is what I need. ท�ำหน้าท่ีเป็นประธานของประโยค
นี่คือสิ่งท่ีฉันต้องการ

I really like this. ท�ำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
ฉันชอบสิ่งน้ีจริง ๆ

That แปลว่า นั่น หรือ นั้น ใช้แทนค�ำนามที่เป็นเอกพจน์และอยู่ไกลตัวผู้พูด เช่น

That hurts my feeling. ท�ำหน้าท่ีเป็นประธานของประโยค
น่ันมันท�ำร้ายความรู้สึกของฉัน

I heard that. ท�ำหน้าท่ีเป็นกรรมของประโยค
ฉันได้ยินมาอย่างน้ัน

These แปลว่า เหล่านี้ ใช้แทนค�ำนามท่ีเป็นพหูพจน์และอยู่ใกล้ตัวผู้พูด เช่น

These look wonderful. ท�ำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
ส่ิงเหล่าน้ีดูน่ายอดเยี่ยมมาก

I am going to buy these. ท�ำหน้าท่ีเป็นกรรมของประโยค
ฉันจะซื้อของเหล่าน้ีท้ังหมด



บทท่ี 1 : Parts of Speech 25

Those แปลว่า เหล่านั้น ใช้แทนค�ำนามที่เป็นพหูพจน์และอยู่ไกลตัวผู้พูด เช่น

Those are too expensive. ท�ำหน้าท่ีเป็นประธานของประโยค
ส่ิงเหล่านั้นมันแพงเกินไปนะ

He owns those. ท�ำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
เขาครอบครองของเหล่าน้ัน

ห ม า ย เ ห ตุ

ควรระวังการใช้ this, that, these และ those ในประโยค เนื่องจากค�ำเหล่าน้ี
สามารถท�ำหน้าที่ได้ท้ัง Demonstrative Pronoun และ Demonstrative Adjective
ซ่ึงมีหลักในการสังเกต ดังนี้
1. หากเป็น Demonstrative Pronoun จะไม่มีค�ำนามตามหลัง เน่ืองจากมันท�ำ
หน้าท่ีแทนค�ำนาม ไม่ได้ท�ำหน้าที่ขยายค�ำนาม เช่น
Look! The apples look fresh. I would like these, please.
ดูน่ันสิ ! แอปเปิลดูสดจัง ฉันอยากได้พวกมันเหล่านี้จัง ได้โปรดเถอะ
These bags are mine. Those belong to Jennifer.
กระเป๋าเหล่าน้ีเป็นของฉัน (กระเป๋า) เหล่านั้นเป็นของเจนนิเฟอร์

2. หากเป็น Demonstrative Adjective จะมีค�ำนามตามหลัง โดยตัวมันจะท�ำ
หน้าที่ขยายค�ำนามตัวน้ัน เช่น

This film is boring.
หนังเร่ืองน้ีน่าเบ่ือจังเลย

Those novels are interesting.
นิยายเหล่านั้นน่าสนใจ



26 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

4 Reflexive Pronoun (สรรพนามสะท้อนกลับ)

Reflexive Pronoun หรือ สรรพนามสะท้อนกลับ เป็นสรรพนามที่สะท้อนให้เห็น
การกระท�ำของประธาน (Subject) ใช้เพ่ือเน้นประธานว่าเป็นผู้กระท�ำการน้ันด้วยตนเอง
หลักในการสังเกตของสรรพนามประเภทนี้คือ ให้ดูที่ค�ำลงท้ายด้วย -self ถ้าเป็นเอกพจน์
หรือ -selves ถ้าเป็นพหูพจน์ ดังนี้

เอกพจน์ พหูพจน์

myself ตัวฉันเอง ourselves ตัวพวกเราเอง
yourself ตัวคุณเอง yourselves ตัวพวกคุณเอง
himself ตัวเขาเอง
herself ตัวหล่อนเอง themselves ตัวพวกเขาเอง
itself ตัวมันเอง

ตัวอย่างประโยค
I blame myself for this mistake.
ฉันต�ำหนิตัวฉันเองส�ำหรับข้อผิดพลาดครั้งนี้
We fixed this fax ourselves.
เราซ่อมแฟกซ์เครื่องนี้ด้วยตัวเราเอง
You should live by yourself.
คุณควรใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวคุณเอง
He solved the problems himself.
เขาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเขาเอง
My sister hurts herself.
น้องสาวของฉันท�ำร้ายตัวหล่อนเอง



บทที่ 1 : Parts of Speech 27

The printer switches itself off when we are printing the report.
เคร่ืองพรินเตอร์หยุดท�ำงานด้วยตัวมันเองตอนท่ีเราก�ำลังพิมพ์รายงานอยู่
Our parents buy themselves a house.
พ่อแม่ของพวกเราซื้อบ้านด้วยตัวของพวกท่านเอง

ห ม า ย เ ห ตุ

จากตัวอย่างข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า Reflexive Pronoun ใช้เน้นว่าประธานเป็น
ผู้กระท�ำกริยานั้นๆ ด้วยตัวเอง จะวางไว้ติดกับประธานหรือวางไว้ท้ายประโยคก็ได้
เช่น

I myself clean the whole house. ฉันท�ำความสะอาดบ้านทั้งหลังด้วยตัวฉันเอง
I clean the whole house myself.

5 Interrogative Pronoun (ปุจฉาสรรพนาม)

Interrogative Pronoun หรือ ปุจฉาสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนค�ำนาม
ในการตั้งค�ำถาม จึงไม่ต้องมีค�ำนามตามหลัง โดยวางไว้หน้าประโยคค�ำถาม และมี
เครื่องหมายค�ำถาม (Question Mark) ปิดท้ายประโยคเสมอ เช่น who, whom, whose,
what, which เป็นต้น ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
Who หมายความว่า ใคร ใช้แทนคนและท�ำหน้าท่ีเป็นประธานของประโยค เช่น
Who killed President Abraham Lincoln?
ใครเป็นผู้สังหารประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น
Who won the election?
ใครชนะการเลือกตั้ง



28 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Whom หมายความว่า ใคร ใช้แทนคนและท�ำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา เช่น
Whom will they choose to take care of their children?
พวกเขาจะเลือกใครให้มาดูแลลูก ๆ ของพวกเขา
Whom did you invite to the party?
คุณเชิญใครไปงานเลี้ยงบ้าง

Whose หมายความว่า ของใคร ใช้เพ่ือแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น
Whose is that car?
รถยนต์คันน้ันเป็นของใคร
Whose is this ring?
แหวนวงน้ีเป็นของใคร

What หมายความว่า อะไร ใช้แทนสิ่งของหรือวัตถุ เรามักวางไว้ต้นประโยคไม่ว่าจะทำ�
หน้าที่เป็นประธานหรือกรรม เช่น
What is going on?
เกิดอะไรข้ึน
What did you say?
คุณพูดว่าอะไรนะ

Which หมายความวา่ คนไหน ตัวไหน หรอื อันไหน ใช้แทนไดท้ งั้ คน สตั ว์ และสิ่งของ
สามารถท�ำหน้าท่ีเป็นประธานและกรรมของประโยค เช่น
Which is the coldest month of this year?
เดือนไหนเป็นเดือนท่ีเย็นที่สุดของปีนี้
Which is your son - the tall one or the short one?
คนไหนเป็นลูกชายของคุณ คนท่ีตัวสูงหรือคนที่ตัวเต้ีย



บทที่ 1 : Parts of Speech 29

6 Indefinite Pronoun (สรรพนามทั่วไป)

Indefinite Pronoun หรือ สรรพนามทั่วไป เป็นสรรพนามที่ใช้แทนค�ำนาม
โดยท่ัวไป ไม่ช้ีเฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร หรือสิ่งไหน มีท้ังท่ีเป็นรูปเอกพจน์และพหูพจน์
เช่น everyone, anyone, someone, others, both, many ดังมีรูปการใช้ต่อไปน้ี

Indefinite Pronoun ท่ีเป็นเอกพจน์ ต้องใช้กับค�ำกริยาท่ีมีรูปเป็นเอกพจน์ด้วย
เช่นเดียวกัน ตัวอย่างค�ำสรรพนามเหล่าน้ี เช่น

คน ส่ิงของ
everyone everything
everybody something
someone nothing
somebody anything
no one
nobody
anyone
anybody

ตัวอย่างประโยค
I know nothing at all about his personal life.
ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา
Welcome everyone to the seminar.
ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่การสัมมนา
Is there anybody who doesn’t pay the bill?
มีใครที่ยังไม่ช�ำระค่าใช้จ่ายบ้าง
There is always something to do at work.
มักมีอะไรให้ท�ำที่ท�ำงานเสมอ



30 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Indefinite Pronoun ที่เป็นพหูพจน์ ต้องใช้กับค�ำกริยาที่มีรูปเป็นพหูพจน์ เช่น
many, few, both, several เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
Several of employees will work aboard.
พนักงานหลายคนจะไปท�ำงานต่างประเทศ
Both of them will be attending the conference.
พวกเขาท้ังคู่จะเข้าร่วมการประชุม
A few of the tourists woke up late.
มีนักท่องเที่ยวไม่ก่ีคนที่ต่ืนสาย

Indefinite Pronoun บางค�ำสามารถใช้เป็นได้ท้ังเอกพจน์และพหูพจน์ ข้ึนอยู่กับ
ค�ำนามที่ใช้แทน เช่น none, some, all เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
“Are there any oranges?” “Yes, there are some in the fridge.”
“มีส้มบ้างไหม” “มีสิ มีจ�ำนวนหน่ึงอยู่ในตู้เย็น”
ในกรณีนี้ some เป็นพหูพจน์ แทนคำ� ว่า some oranges สังเกตว่า Verb ใช้ are
I could not buy anything in this shop. All is expensive.
ฉันซื้ออะไรในร้านนี้ไม่ได้เลย ทุกอย่างแพงหมด
ในกรณีนี้ all เป็นเอกพจน์ เพราะแทนที่ค�ำว่า anything ซึ่งมีรูปเป็นเอกพจน์

7 Relative Pronoun (ประพันธสรรพนาม)

Relative Pronoun หรือ ประพันธสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนค�ำนามที่อยู่
ข้างหน้า และยังท�ำหน้าที่เชื่อมประโยคท่ีอยู่ข้างหน้าและข้างหลังให้เป็นประโยคเดียวกัน
โดย Relative Pronoun สามารถเป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยคหลังได้อีกด้วย
สรรพนามกลุ่มนี้ท่ีมักพบได้ในข้อสอบ ได้แก่ who, whom, whose, which, what และ
that ซ่ึงมีความหมายเปลี่ยนไปจากเดิมท่ีแปลว่า ใคร หรือ อะไร กลายเป็นมีความหมาย
ว่า ผู้ซึ่ง หรือ อันท่ี ดังมีรายละเอียดการใช้ ดังน้ี



บทท่ี 1 : Parts of Speech 31

Who มีความหมายว่า ผู้ซ่ึง หรือ ผู้ท่ี เราใช้แทนนามที่เป็นคนท้ังในรูปเอกพจน์และ
พหูพจน์ และสามารถท�ำหน้าท่ีเป็นได้ท้ังประธานและกรรมของประโยคหลัง แต่ถ้าเป็น
Formal English เราจะใช้ whom ในกรณีที่เป็นกรรมของกริยาหรือบุพบท เช่น
I want to talk to the person who broke the company rules.
ฉันต้องการพูดกับคนท่ีไม่ปฏิบัติตามกฎของบริษัท
You are free to marry the man who/whom you love.
คุณมีอิสระในการท่ีจะแต่งงานกับคนท่ีคุณรัก

Whom มีความหมายว่า ผู้ซึ่ง หรือ ผู้ที่ เราใช้แทนนามที่เป็นคนได้ทั้งในรูปเอกพจน์
และพหูพจน์ และท�ำหน้าท่ีเป็นกรรมของประโยคเท่านั้น เชน่
Do you know the man whom she lives with?
คุณรู้จักผู้ชายคนท่ีหล่อนอาศัยอยู่ด้วยไหม
Tell me whom you care about.
บอกฉันมาสิว่าใครกันท่ีเธอใส่ใจ

Whose มีความหมายว่า ของผู้ซ่ึง ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของค�ำนามที่ตามหลัง
ให้สังเกตว่าหลัง whose ต้องมีค�ำนามตามหลังเสมอ เช่น
I have a friend whose cat is really cute.
ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งผู้ท่ีมีแมวน่ารักมาก
I want to help the people whose homes were destroyed by floods.
ฉันอยากจะช่วยผู้ท่ีบ้านของเขาถูกท�ำลายโดยน�้ำท่วม

Which มีความหมายว่า อันที่ ตัวที่ หรือ คนที่ ใช้แทนค�ำนามท่ีเป็นส่ิงของ สัตว์ หรือ
อาจใช้กบั คนก็ได้ เช่น
Do you see the dog which is lying on the road?
เธอเห็นสุนัขตัวท่ีนอนอยู่บนถนนไหม
My mother bought me the expensive ring which was stolen last night.
แม่ของฉันซื้อแหวนราคาแพงให้ฉันวงที่ถูกขโมยไปเมื่อคืนน้ี



32 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

What มีความหมายว่า สิ่งที่ หรือ อันที่ ใช้แทนค�ำนามท่ีเป็นส่ิงของเท่านั้น ห้ามใช้
กับคน และค�ำนามท่ี what ไปแทนนั้น จะไม่ปรากฏให้เห็นข้างหน้าเหมือนกับ Relative
Pronoun ตัวอ่ืน เนื่องจากถูกละไว้ในฐานะเข้าใจตรงกันแล้ว เช่น
Do you understand what I mean?
คุณเข้าใจที่ฉันหมายความถึงหรือเปล่า
I don’t have what you need.
ฉันไม่มีในสิ่งที่คุณต้องการหรอก

That มีความหมายว่า ที่ ซึ่ง ใช้แทนค�ำนามได้ทั้งคน สัตว์ และส่ิงของ ดังนั้นการใช้
that จึงแตกต่างและยุ่งยากกว่า Relative Pronoun ตัวอื่นๆ ขอให้สังเกตหลักการใช้
that ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการใช้ 4 ข้อ ดังน้ี
1. ค�ำนามที่ that ไปแทนน้นั จะตอ้ งมีคุณศัพท์ขนั้ สูงสดุ (Superlative Degree) ขยาย
อยู่ด้านหน้า เช่น
Madonna is the most famous singer that I’ve ever known.
มาดอนน่าเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงที่สุดเท่าท่ีฉันเคยรู้จัก
2. ค�ำนามท่ี that ไปแทนน้ัน จะต้องมีคุณศัพท์บอกปริมาณ (Quantitative Adjec-
tive) ขยายอยู่ข้างหน้า ได้แก่ all, some, any, the only, much, many, little,
few, all, everything, anything เป็นต้น เช่น
Is there anything else that you are looking for?
มีอะไรอีกบ้างไหมท่ีคุณก�ำลังมองหา
3. ค�ำนามตัวนั้นตอ้ งมีตวั เลขแสดงลำ� ดับที่ (Ordinal Number) มาขยายอยูข่ า้ งหนา้ เช่น
Karen is the first person that I always think of.
แคเรนเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึงก่อนเสมอ
4. เราสามารถใช้ that หลัง Clause ทข่ี นึ้ ต้นดว้ ย It is หรอื It was และ Interrogative
Pronoun ได้แก่ who และ what เป็นต้น เช่น
It was my fault that put her life in danger.
มันเป็นความผิดของฉันเองท่ีท�ำให้หล่อนตกอยู่ในอันตราย
What is it that she expects more?
อะไรคือสิ่งที่หล่อนคาดหวังอีก



บทท่ี 1 : Parts of Speech 33

8 Distributive Pronoun (สรรพนามแจกแจง)

Distributive Pronoun เป็นสรรพนามแจกแจง หรือเรียกอีกอย่างว่า วิภาคสรรพนาม
ได้แก่ สรรพนามที่ใช้แทนค�ำนาม เพื่อเป็นการแจกแจงหรือแยกแยะถึงส่ิงที่กล่าวมาออกเป็น
คนหนึ่ง อย่างหน่ึง ตัวหนึ่ง หรือคร้ังหน่ึง Distributive Pronoun ท่ีมักปรากฏในข้อสอบ
ได้แก่ each (แต่ละ) either (อย่างหน่ึง) และ neither (ไม่ทั้งสองอย่าง) มีรูปแบบการใช้
ดังต่อไปนี้
Each หมายถึง แต่ละ เป็นการระบุถึงจำ� นวนท้ังหมด แต่แยกกล่าวเป็นรายๆ ไป ดังนั้น
each จึงมีรูปเป็นเอกพจน์ และใช้กับกริยาท่ีเป็นเอกพจน์ เช่น
Each of students is required to fill out an application.
นักเรียนแต่ละคนจ�ำเป็นต้องกรอกใบสมัคร
Each of us has to hand in the essay by Friday.
พวกเราแต่ละคนต้องส่งบทความภายในวันศุกร์

Either หมายถึง คนใดคนหนึ่ง หรือ สิ่งใดส่ิงหน่ึง เม่ือมีให้เลือก 2 อย่าง มีรูปเป็น
เอกพจน์ จึงใช้กับกริยาเอกพจน์ เช่น
Does either of you speak French?
มีพวกคุณคนใดคนหนึ่งพูดภาษาฝร่ังเศสได้ไหม
Either of the competitors wins the match today.
ไม่ผู้เข้าแข่งขันคนใดก็คนหนึ่งชนะการแข่งขันในวันนี้

Neither หมายถึง ไม่ท้ังสองคน หรอื ไม่ทั้งสองส่ิง ใช้กับคนสองสงิ่ หรอื ของสองอยา่ ง
เหมือนกบั either แต่ neither เป็นการปฏิเสธทงั้ คู่ และใชก้ บั กรยิ าเอกพจนด์ ้วยเช่นเดยี วกัน
แตใ่ นการใช้ในกรณีที่ไม่เป็นทางการ เราอาจพบว่ามกี ารใชใ้ นรปู พหูพจนไ์ ด้ เชน่
Neither of us wants to rejoin our colleagues in the meeting room.
ไม่มีพวกเราคนไหนอยากกลับไปท�ำงานร่วมกับเพ่ือนร่วมงานของเราในห้องประชุมอีก

Neither of us are preparing the project.*

ไม่มีพวกเราคนไหนจัดเตรียมโครงการเลย

* ใช้ในภาษาพูดและไม่เป็นทางการ



34 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Read each sentence. Choose the correct pronoun that can replace the
underlined word(s) in each sentence.

1 That’s the reason why I hate Mr. Lee. d. you
a. he b. her c. him

2 Thomas and I are planning to study abroad next year. d. They
a. We b. I c. You

3 There’s a rumor that Miss Lorenz will be forced to resign.
a. he b. him c. her d. she

4 Natalie and Chris were arrested for possession of illegal drugs.
a. We b. He c. They d. She

5 I think I must have lost my ticket.
a. them b. they c. her d. it

6 Do you know what your children are doing online? d. them
a. it b. they c. he

7 We are building the new bridge over the river. d. them
a. it b. its c. they

เฉลย

1. c 2. a 3. d 4. c 5. d 6. b 7. a



บทที่ 1 : Parts of Speech 35

Complete the following sentences using appropriate relative pronouns.

1 Lisa is the best manager ........................ I have worked with.
a. who b. whose c. what d. that

2 This is the computer ........................ I bought last week.
a. whom b. who c. which d. whose

3 Martin is a lawyer ........................ advice I trust. d. that
a. what b. which c. whose

4 The girl to ........................ you have just talked is my sister.
a. whom b. whose c. that d. who

5 Please show me the way ........................ leads to the post office.
a. whose b. what c. who d. which

6 I know a man ........................ daughter is studying in London. d. what
a. who b. whom c. whose

7 I have lost the paper ........................ I had written his address on.
a. that b. whose c. what d. who

8 You should complain to the employee ........................ breaks the rules.
a. whom b. who c. what d. whose

เฉลย

1. d 2. c 3. c 4. a 5. d 6. c 7. a 8. b



36 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Verb (ค�ำกริยา)

Verb หรือ ค�ำกริยา เป็นค�ำท่ีใช้แสดงอาการหรือการกระท�ำของประธาน ตลอดจน
บอกถึงอาการท่ีเป็นอยู่ หรือสภาพที่คงอยู่ได้ เราสามารถแบ่งกริยาออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
1. Transitive Verb (สกรรมกริยา)
2. Intransitive Verb (อกรรมกริยา)
3. Finite Verb (กริยาแท้)
4. Non-Finite Verb (กริยาไม่แท้)
5. Auxiliary Verb (กริยาช่วย)
โดยจะอธิบายชนิดของกริยา การน�ำกริยาไปใช้ในประโยค พร้อมยกตัวอย่างการใช้
กริยาในแต่ละกลุ่ม ดังต่อไปน้ี

1 Transitive Verb (สกรรมกริยา)

Transitive Verb หรือ สกรรมกริยา คือกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ กริยา
ชนิดน้ีเป็น Action Verb เน่ืองจากแสดงอาการท่ีประธานแสดงออกมา ตัวอย่าง Verb
กลุ่มนี้ได้แก่ give (ให้), bring (น�ำมา), take (เอาไป), pay (จ่าย), send (ส่ง), buy (ซ้ือ),
make (ท�ำ), want (ต้องการ) เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
My mother gave me a necklace at Christmas.
แม่ของฉันให้สร้อยคอแก่ฉันในวันคริสต์มาส
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า Verb คือ give ซ่ึงมีกรรมมารองรับ มีทั้งกรรมตรง คือ
a necklace และกรรมรองเป็นคน คือ me
He sent you an email with all the details yesterday.
เขาส่งอีเมลพร้อมรายละเอียดทั้งหมดให้คุณเม่ือวานนี้
Verb ของประโยคน้ีคือค�ำว่า sent มีกรรมตรงคือ an email และกรรมรองเป็นคน
คือ you



บทท่ี 1 : Parts of Speech 37

2 Intransitive Verb (อกรรมกริยา)

Intransitive Verb หรือ อกรรมกริยา หมายถึงกริยาท่ีไม่ต้องมีกรรมมารองรับ
ก็สามารถเข้าใจได้ เพราะมีเน้ือหาที่สมบูรณ์อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีกลุ่มค�ำตาม
หลัง Verb เพ่ือขยายความ ก็ไม่จัดเป็นกรรมของกริยา แต่เป็นส่วนเติมเต็มของประโยค
Verb กลุ่มน้ีได้แก่ walk (เดิน), run (วิ่ง), sleep (นอนหลับ), stand (ยืน), fly (บิน),
dance (เต้นร�ำ) เป็นต้น

ตัวอย่างประโยค
Alan often walks to work in the morning.
อลันมักเดินไปท�ำงานในตอนเช้า
จากประโยคข้างต้นจะเห็นได้ว่า Verb คือ walks ซึ่งเป็น Verb ที่ไม่ต้องการกรรม
จึงไม่มีกรรมมารองรับ มีเพียงส่วนเติมเต็มของประโยคเท่าน้ัน
My grandfather usually sleeps in the afternoon.
โดยปกติคุณปู่ของฉันงีบหลับในตอนบ่าย ๆ
Verb ของประโยคนี้คือ sleeps ซ่ึงเป็น Verb ท่ีไม่มีกรรมมารองรับ มีเพียงส่วน
เติมเต็มของประโยคที่บอกช่วงเวลาเท่าน้ัน

ห ม า ย เ ห ตุ

มี Verb หลายตัวเป็นได้ทั้ง Transitive Verb และ Intransitive Verb เวลาใช้จึง
ควรพิจารณาจากหน้าที่ของกริยาน้ัน ๆ ในประโยคว่าท�ำหน้าท่ีเป็น Transitive Verb หรือ
Intransitive Verb เช่น

ตัวอย่าง
He is eating an apple.
เขาก�ำลังรับประทานแอปเปิลผลหนึ่งอยู่
จากตัวอย่างข้างต้น สังเกตได้ว่า Verb ในประโยคคือ eat ท�ำหน้าท่ีเป็นกริยาท่ี
ต้องการกรรมและกรรมท่ีรองรับ คือ an apple ดังนั้น eat ในประโยคนี้จึงเป็น Transitive
Verb



38 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

ห ม า ย เ ห ตุ

ตัวอย่าง
Don’t talk while you are eating.
อย่าพูดในขณะท่ีรับประทานอยู่
จากตัวอย่างทสี่ อง จะเห็นได้วา่ eat ท�ำหนา้ ท่ีเป็น Verb เชน่ เดียวกับตวั อยา่ งที่หนง่ึ
แต่แตกต่างกันตรงที่ Verb ในตัวอย่างท่ีสองไม่มีกรรมมารองรับ แต่มีความหมายสมบูรณ์
ในตัวมันเอง ดังนัน้ eat ในประโยคนจ้ี งึ เป็น Intransitive Verb หรอื กริยาท่ไี ม่ต้องการกรรม
น่ันเอง

3 Finite Verb (กริยาแท้)

Finite Verb หรือ กริยาแท้ คือกริยาหลักของประโยค ท�ำหน้าที่แสดงกริยา
อาการท่ีแท้จริงของประโยค โดยสามารถเป็นได้ท้ังกริยาท่ีแสดงการกระท�ำ (Action Verb)
และกริยาที่แสดงความเป็นอยู่ (State of being) และกริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ
(Possession) มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง หากประโยคใดขาดกริยาแท้จะเป็นประโยค
ที่ไม่สมบูรณ์ ซ่ึงกริยาแท้จะมีการเปลี่ยนรูปไปตามประธาน (Subject) และกาล (Tense)
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
Nancy often reads a few chapters of a book before breakfast.
แนนซี่มักจะอ่านหนังสือสองสามบทก่อนอาหารเช้า
กริยาแท้ของประโยคคือ reads ซึ่งมีการเปลี่ยนรูปไปตามประธานคือ Nancy และ
กาลคือ Present Simple Tense
We had a good time at the party last night.
เรามีช่วงเวลาที่ดีในงานเลี้ยงเม่ือคืนนี้
กริยาแท้ของประโยคคือ had ซ่ึงอยู่ในรูปอดีตของ have โดยมีกาลเป็น Past Simple
Tense



บทที่ 1 : Parts of Speech 39

He is studying English Literature.
เขาก�ำลังเรียนวรรณคดีอังกฤษ
กริยาแท้ของประโยคคือ is studying ซึ่งเปลี่ยนรูปไปตามประธานคือ he และกาล
คือ Present Continuous Tense
I have lived here for ten years.
ฉันอยู่ท่ีนี่มาสิบปีแล้ว
กริยาแท้ของประโยคคือ have lived โดยผันกริยาตามประธานคือ I และกาลคือ
Present Perfect Tense

4 Non-Finite Verb (กริยาไม่แท้)

Non-Finite Verb หรือ กริยาไม่แท้ เป็นค�ำกริยาที่ไม่ได้ท�ำหน้าท่ีเป็นกริยาแท้
ในประโยค แต่ถูกน�ำมาใช้ท�ำหน้าที่อื่น ๆ เช่น ใช้เป็นค�ำนาม (Noun) ใช้เป็นค�ำคุณศัพท์
(Adjective) หรือสามารถใช้เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ในภาษาอังกฤษแบ่งกริยาไม่แท้
หรือ Non-Finite Verb ออกเป็น 3 ชนิด คือ
1 Infinitive คือ กริยาทมี่ ี To น�ำหน้า (To + Verb 1) ท�ำหนา้ ที่ไดห้ ลายอยา่ ง
ในประโยค เช่น เป็นค�ำนามที่เป็นประธานในประโยค ท�ำหน้าที่เป็นค�ำนามท่ีเป็นกรรมใน
ประโยค และท�ำหน้าที่เป็นเหมือนค�ำคุณศัพท์ในประโยค ดังตัวอย่างต่อไปน้ี
ท�ำหน้าท่ีเป็นประธาน
To get over your ex is always painful.
การลืมแฟนเก่าเป็นเรื่องเจ็บปวดเสมอ
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า To get over your ex ท�ำหน้าท่ีเป็นค�ำนามและ
เปน็ ประธานของประโยค โดยมี Verb คือ is

ท�ำหน้าท่ีเป็นกรรม
I really wish to believe her story.
ฉันอยากจะเชื่อเร่ืองราวของหล่อนจริง ๆ เลย
ในประโยคน้ี to believe ท�ำหน้าท่ีเป็นค�ำนามและเป็นกรรมของ Verb ซึ่งก็คือ wish
ที่อยู่ข้างหน้าตัวมันเอง



40 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

ท�ำหน้าท่ีขยายนาม
It is time to move on.
มันถึงเวลาแล้วท่ีจะต้องก้าวต่อไป
to move on ในประโยคข้างต้น ท�ำหน้าท่ีเหมือนค�ำคุณศัพท์ (Adjective) ขยาย
ค�ำนามที่อยู่หน้าตัวมันเอง คือ time

ท�ำหน้าท่ีขยายคุณศัพท์
นอกจากนี้ Infinitive ยังสามารถท�ำหน้าท่ีเหมือนค�ำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ขยาย
ค�ำคุณศัพท์ (Adjective) หรือกริยา (Verb) ท่ีวางอยู่ข้างหน้า เช่น
This manual is easy to understand.
คู่มือเล่มน้ีเข้าใจง่าย
จากตัวอย่างจะพบว่า to understand ท�ำหน้าที่เป็น Adverb ขยาย Adjective
ที่วางอยู่ข้างหน้า คือ easy น่ันเอง

2 Gerund คือ กริยาท่ีเติม ing (Verb + ing) ท�ำหน้าท่ีเป็นเหมือนค�ำนาม
สามารถใช้เป็นประธานของกริยาในประโยค เป็นกรรมของกริยา เป็นกรรมของบุพบท
(Preposition) หรือเป็นส่วนเติมเต็มของประโยค (Complement) ดังตัวอย่างต่อไปน้ี

ท�ำหน้าที่เป็นประธาน
Smoking is bad for your health.
การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ
Giving opens the way for receiving.
การให้เป็นการเปิดหนทางสู่การรับ
ท�ำหน้าที่เป็นกรรม
I avoid talking to my neighbor.
ฉันหลีกเลี่ยงท่ีจะคุยกับเพื่อนบ้านของฉัน
We enjoy going on holiday.
เราสนุกกับการไปเท่ียววันหยุด



บทท่ี 1 : Parts of Speech 41

ท�ำหน้าที่เป็นกรรมของ Preposition
John was afraid of getting lost.
จอห์นกลัวการหลงทาง
Ben is fond of playing tennis.
เบนช่ืนชอบการเล่นเทนนิส

ท�ำหน้าท่ีเป็นส่วนเติมเต็มของประโยค
The first rule is learning from your own mistakes.
กฎข้อแรกคือการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของคุณ
Fearing black magic is believing.
การท่ีรู้สึกหวาดกลัวในไสยศาสตร์ด�ำหมายถึงการเช่ือว่ามันมีอยู่

3 Participle คือ ค�ำที่เปล่ียนรูปมาจากกริยา แต่ไม่ใช่กริยาแท้ เพราะไม่มี
การผันรูปตามบุรุษ (Person) และตามกาล (Tense) โดยส่วนใหญ่ท�ำหน้าท่ีเหมือนค�ำคุณศัพท์
(Adjective) แบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่
Present Participle คือ กริยาที่เติม ing (Verb + ing) มีรูปเหมือน Gerund แต่
แตกต่างตรงที่ Gerund ท�ำหน้าท่ีเหมือนค�ำนาม แต่ Present Participle ท�ำหน้าท่ีเหมือน
Adjective คือ ขยายค�ำนาม เช่น
Have you seen the crying baby?
คุณเห็นเด็กที่ร้องไห้อยู่บ้างไหม
จากตัวอย่าง จะเห็นว่า crying เป็น Present Participle ท�ำหน้าที่เป็น Adjective
ขยายค�ำนามที่ตามหลังมาคือ baby
The barking dog attempts to chase those motorcycles.
สุนัขท่ีเห่าอยู่พยายามท่ีจะว่ิงไล่รถมอเตอร์ไซค์เหล่าน้ัน
Present Participle ของประโยคนี้ คือ barking ซ่ึงท�ำหน้าท่ีเป็น Adjective ขยาย
ค�ำนามที่เป็นประธานของประโยค คือ dog



42 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Present Participle ตามหลังกริยาท่ีแสดงความรู้สึก (เช่น
see, feel, smell, notice, watch, hear, observe เป็นต้น) เมื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า
การกระท�ำก�ำลังด�ำเนินอยู่ในขณะนั้น เช่น
We saw a boy throwing stones and several glasses were broken.
เราเห็นเด็กผู้ชายคนหน่ึงก�ำลังขว้างหินและแก้วหลายใบก็แตก
I smell something burning.
ฉันได้กล่ินอะไรก�ำลังไหม้อยู่
Past Participle คือ กริยาช่องที่ 3 ซ่ึงมีรูปค�ำที่ลงท้ายด้วย -ed เช่น closed,
opened, stopped, worked หรืออาจเปล่ียนรูปไปเลย เช่น driven, seen, gone, stolen,
built เป็นต้น ท�ำหน้าท่ีแสดงว่าการกระท�ำน้ันสมบูรณ์แล้ว และมักมีความหมายเป็น Passive
คือถูกกระท�ำโดยกริยานั้น เช่น
The police found the stolen jewelry.
ต�ำรวจพบเคร่ืองเพชรพลอยที่ถูกขโมยไปแล้ว
Admired by his girlfriend, Sam felt so proud.
จากท่ีเขาได้รับการช่ืนชมจากแฟนสาวของเขา แซมรู้สึกภาคภูมิใจมาก
Perfect Participle คือ Having + กริยาช่องที่ 3 ในกรณีที่เป็นผู้กระท�ำ (Active)
และ Having + been + กริยาช่องที่ 3 ในกรณีที่ถูกกระท�ำ (Passive) เราใช้ Perfect
Participle เม่ือมีการกระท�ำ 2 เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เหตุการณ์ท่ีเกิดก่อนเป็น
Perfect Participle เช่น
Having written the report, Jennifer went home.
หลังจากเขียนรายงานเสร็จ เจนนิเฟอร์ก็กลับบ้าน
Having been arrested, he tried to commit suicide.
หลังจากถูกจับกุม เขาพยายามฆ่าตัวตาย



บทท่ี 1 : Parts of Speech 43

5 Auxiliary Verb (กริยาช่วย)

Auxiliary Verb หรือ กริยาช่วย บางครั้งเรียกว่า Helping Verb หมายถึงกริยาท่ี
ใช้ช่วยกริยาตัวอ่ืนในประโยคเพ่ือสร้าง Tense ท่ีแตกต่างกันออกไป ทั้งในอดีต ปัจจุบัน
และอนาคต ตลอดจนยังท�ำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอ่ืนเพ่ือให้ประโยคน้ันเป็นค�ำถาม หรือปฏิเสธ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ Primary Auxiliary Verb และ Modal Auxiliary Verb
ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
1 Primary Auxiliary Verb คือ กริยาช่วยที่ท�ำหน้าท่ีช่วยกริยาแท้เพ่ือ
ต่อโครงสร้างทางไวยากรณ์ ไม่มีความหมายในตัวของมันเอง และไม่สามารถอยู่ล�ำพังได้
ต้องใช้คู่กับกริยาแท้เท่านั้น โดยกริยาแท้จะเป็นตัวส่ือความหมายที่แท้จริง สามารถแบ่ง
กรยิ าชว่ ยกลมุ่ น้ีออกเป็น 3 กลมุ่ คอื 1) Verb to be 2) Verb to have และ 3) Verb to do
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
Verb to be เราสามารถน�ำ Verb to be มาเป็นกริยาช่วยของกริยาแท้ของ
ประโยคเพ่ือสร้างประโยค Active Voice และ Passive Voice ตลอดจนประโยคค�ำถาม
และประโยคปฏิเสธ โดยวางไว้หน้ากริยาแท้ในประโยค เช่น
The manager is warning his secretary not to attend the meeting late.
ผู้จัดการก�ำลังเตือนเลขานุการของเขาไม่ให้เข้าประชุมสาย
Jim was recently promoted to senior manager.
เม่ือเร็ว ๆ นี้ จิมได้ถูกเลื่อนต�ำแหน่งไปเป็นผู้จัดการอาวุโส
Verb to have เราใช้ Verb to have เป็นกริยาช่วยเพ่ือสร้าง Tense ต่างๆ ได้แก่
Present Perfect Tense, Present Perfect Continuous Tense, Past Perfect Tense และ
Past Perfect Continuous Tense เช่น
I have lived in Paris for two years.
ฉันอยู่ท่ีปารีสมาสองปีแล้ว
My mother had just finished cooking when her friends arrived.
แม่ของฉันเพิ่งท�ำอาหารเย็นเสร็จเมื่อเพ่ือน ๆ ของหล่อนมาถึง



44 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Verb to do เรามักใช้ Verb to do เป็นกริยาช่วยเพ่ือท�ำหน้าท่ีช่วยกริยาแท้
สร้างประโยคค�ำถาม หรือประโยคปฏิเสธ ตลอดจน Tense ต่าง ๆ ในประโยค หรือเพ่ือ
เน้นกริยาแท้ในประโยค เช่น
What did you say?
คุณพูดว่าอะไรนะ
I don’t believe what he said.
ฉันไม่เชื่อในสิ่งท่ีเขาพูดหรอกนะ
I do love her even though she hurts me!
ฉันรักหล่อนจริง ๆ นะ ถึงแม้หล่อนจะท�ำร้ายฉันก็เถอะ !
2 Modal Auxiliary Verb คือ กริยาช่วยท่ีมีความหมายในตัวมันเอง ท�ำให้
กริยาแท้มีความหมายแตกต่างกันออกไป เช่น แสดงความเป็นไปได้ แสดงการคาดคะเน
แสดงความสามารถ แสดงความจ�ำเป็น หรือแสดงการขอร้อง กริยาช่วยในกลุ่มนี้ได้แก่
may, might, can, could, will, would, shall, should, must, ought to, need, dare
โดยมีโครงสร้างคือ

Modal Auxiliary Verb + Verb Infinitive

ตัวอย่างประโยค
You should take an umbrella. It may rain.
คุณควรเอาร่มไปด้วยนะ ฝนอาจจะตก
‘Can you play the piano?’ ‘No, I can’t.’
‘คุณเล่นเปียโนเป็นไหม’ ‘ไม่นะ ฉันเล่นไม่เป็น’
Don’t worry – the manager won’t blame you.
อย่ากังวลไปเลย - ผู้จัดการไม่ต�ำหนิคุณหรอก
You must arrive here at eight o’clock.
คุณต้องมาถึงท่ีนี่ตอนแปดโมงนะ
He shouldn’t drive so fast.
เขาไม่ควรขับรถเร็วเกินไปนะ



บทท่ี 1 : Parts of Speech 45

Read each sentence and determine if the underlined verb is a
Transitive Verb (VT.) or an Intransitive Verb (VI.).

...................... 1 Kate finally arrived home safely in the morning.
...................... 2 They are building a new house near a river.
...................... 3 You have eaten too much.
...................... 4 Jennifer received a bracelet as a birthday present.
...................... 5 Ryan always swims after work.
...................... 6 My neighbor talks all the time.
...................... 7 I try to leave early to avoid the crowds.
...................... 8 My father should take more exercise.
...................... 9 Some people stopped and stared at the beautiful girl.
...................... 10 Karen smiled to herself when she thought of her boyfriend.

เฉลย 2. VT. 3. VI. 4. VT. 5. VI.
7. VT. 8. VT. 9. VI. 10. VI.
1. VI.
6. VI.



46 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Circle the Main Verb in each sentence and underline the Auxiliary
Verb.

1 Amada should see a doctor about the treatment she received.
2 You can always trust Elizabeth with a secret.
3 The plane is leaving in twenty minutes.
4 That machine is making too much noise.
5 You must accept that you might fail.
6 Environmental pollution has become the biggest problem.
7 Do you need anything?
8 The director has already said sorry for hurting his secretary’s feelings.
9 My brother doesn’t earn much money, but he enjoys his work.
10 It is known that money can’t buy happiness, but people keep on earning.



บทท่ี 1 : Parts of Speech 47

เฉลย

1. Main Verb = see, received
Auxiliary Verb = should
2. Main Verb = trust
Auxiliary Verb = can
3. Main Verb = leaving (leave)
Auxiliary Verb = is
4. Main Verb = making (make)

Auxiliary Verb = is
5. Main Verb = accept, fail

Auxiliary Verb = must, might
6. Main Verb = become
Auxiliary Verb = has
7. Main Verb = need
Auxiliary Verb = do
8. Main Verb = said (say)
Auxiliary Verb = has
9. Main Verb = earn, enjoys
Auxiliary Verb = does
10. Main Verb = known (know), buy, keep
Auxiliary Verb = is, can’t



48 Grammar ภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์

Adjective (ค�ำคุณศัพท์)

Adjective หรือ ค�ำคุณศัพท์ เป็นค�ำท่ีท�ำหน้าที่ขยายค�ำนาม (Noun) หรือค�ำ
สรรพนาม (Pronoun) เพ่ือบอกให้ทราบถึงลักษณะ ชนิด คุณภาพ ปริมาณ จ�ำนวน หรือ
คุณสมบัติของค�ำนามหรือค�ำสรรพนามน้ัน ๆ ว่าเป็นอย่างไร เช่น tall (สูง), small (เล็ก),
good (ดี), bad (แย่), excellent (ยอดเย่ียม), white (ขาว), lazy (ข้ีเกียจ), thin (ผอม),
happy (มีความสุข) เป็นต้น เราสามารถแบ่ง Adjective ออกเป็น 11 ชนิด ได้แก่
1. Descriptive Adjective (คุณศัพท์บอกลักษณะ)
2. Proper Adjective (คุณศัพท์บอกสัญชาติ)
3. Quantitative Adjective (คุณศัพท์บอกปริมาณ)
4. Numeral Adjective (คุณศัพท์บอกจ�ำนวนแน่นอน)
5. Demonstrative Adjective (คุณศัพท์ช้ีเฉพาะ)
6. Interrogative Adjective (คุณศัพท์บอกค�ำถาม)
7. Possessive Adjective (คุณศัพท์บอกเจ้าของ)
8. Distributive Adjective (คุณศัพท์แบ่งแยก)
9. Emphasizing Adjective (คุณศัพท์เน้นความ)
10. Exclamatory Adjective (คุณศัพท์บอกอุทาน)
11. Relative Adjective (คุณศัพท์สัมพันธ์)
โดยจะอธิบาย Adjective แต่ละประเภทดังรายละเอียดต่อไปน้ี

1 Descriptive Adjective (คุณศัพท์บอกลักษณะ)

Descriptive Adjective หรือ Adjective of Quality เป็นคุณศัพท์แสดงลักษณะ
ขนาด สี หรือบอกคุณภาพของค�ำนามท่ีตัวมันเองขยายว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น happy,
rich, fat, poor, pretty, nice, new ดังตัวอย่างประโยคต่อไปน้ี



บทที่ 1 : Parts of Speech 49

Mary is wearing a very pretty dress.
แมร่ีใส่ชุดน่ารักมาก ๆ
I am poor, so I could not afford the expensive things.
ฉันจนนะ ดังน้ันฉันเลยไม่ค่อยมีเงินซื้อของแพง ๆ
We are happy to know she’d got a good job.
พวกเราดีใจท่ีได้รู้ว่าหล่อนได้งานที่ดี

2 Proper Adjective (คุณศัพท์บอกสัญชาติ)

Proper Adjective คือคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ จะมีรูปมาจากชื่อ
ประเทศที่เป็น Proper Noun เช่น

Japan Japanese

จากตัวอย่างข้างต้น Japan เป็น Proper Noun หมายถึงประเทศญี่ปุ่น เมื่อ
เปล่ียนรูปเป็น Japanese จะท�ำหน้าท่ีเป็น Proper Adjective มีความหมายว่า เกี่ยวกับ
ญี่ปุ่น ดังตัวอย่างประโยคต่อไปนี้
We are moving to Japan next week.
เราก�ำลังจะย้ายไปประเทศญ่ีปุ่นสัปดาห์หน้านี้
Japanese fashion is moving from trend to trend very quickly.
แฟช่ันญ่ีปุ่นก�ำลังเปลี่ยนแนวหนึ่งไปอีกแนวหน่ึงอย่างรวดเร็ว


Click to View FlipBook Version