The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Watcharee Yui, 2024-01-26 10:15:03

Unseen Assumption 135th

Unseen Assumption 135th

UNSEEN ASSUMPTION 247 พร้อม ๆ กันนั้นข้าพเจ้าก็ไปเป็นจิตอาสาเยี่ยมเด็กที่บ้านราชวิถี ซึ่งจัดทุกวันอาทิตย์และวันพฤหัสบดี อันเป็นวันหยุดของโรงเรียน แต่ ต้องขอสารภาพว่าข้าพเจ้าไม่ถนัดงานนี้เลย เพราะพูดคุยกับคนไม่เก่ง เจอเด็กเหล่านี้แล้วก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร ค.ศ. 1972 เป็นปีที่กลุ่มฯ ตั้งมาได้ 5 ปี นอกจากมีการจัดท�ำ หนังสือในวาระดังกล่าวแล้ว ยังมีการชุมนุมสมาชิกเก่า ๆ ของกลุ่มฯ ส่วนใหญ่เคยเป็นสมาชิกค่ายด้วย ในงานนี้เองข้าพเจ้ามีโอกาสได้ ฟังเรื่องราวของชีวิตชาวค่ายที่มีรสชาติ ดูน่าสนุกสนาน หลายอย่าง เป็นความสนุกท่ามกลางความทุกข์ยากล�ำบาก รวมทั้งได้รู้ด้วยว่า บราเดอร์หลุยส์ให้ความส�ำคัญกับค่ายอาสาพัฒนามาก นอกจาก จะมาส่งสมาชิกค่ายก่อนออกเดินทาง (ซึ่งมักออกรถตอนดึก) ท่านยัง ไปเยี่ยมค่ายทุกปี ไปแต่ละครั้งก็เป็นกันเองกับสมาชิกมาก ผิดกับ ภาพที่พวกเราเห็นตอนที่ท่านอยู่โรงเรียน ควรกล่าวด้วยว่ามาถึงตอนนี้ค่ายอาสาพัฒนาได้กลายเป็นงานใหญ่ ประจ�ำปีของกลุ่มฯ ไปแล้ว เวลานั้นมหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย ล้วนมีค่ายอาสาพัฒนาทั้งสิ้น แต่ค่ายอาสาพัฒนาของอัสสัมชัญเป็น ค่ายเดียวในประเทศที่จัดโดยนักเรียนล้วน ๆ อีกทั้งคุณภาพของโครงงาน หรือการก่อสร้างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายของนักศึกษาเลย สมัยนั้นการท�ำค่ายอัสสัมชัญอาสาพัฒนา ซึ่งงานหลักคือการต่อเติม หรือก่อสร้างอาคารเรียน ใช้งบประมาณครั้งละประมาณ 20,000 บาท ซึ่งเป็นจ�ำนวนไม่น้อยในสมัยนั้น เงินเหล่านี้นักเรียนต้องขวนขวาย หามาเอง โรงเรียนแทบไม่ได้ช่วยเลย ดังนั้นระหว่างปีเราจึงต้องจัด กิจกรรมหาเงิน รายได้ส่วนหนึ่งมาจากการขายบัตรดูหนังและดนตรี ซึ่งจัดที่หอประชุม (บางปีดูเหมือนจะจัดในโรงหนังรอบเช้าตรู่ด้วย) บัตรนี้ไม่ได้ขายเฉพาะนักเรียนอัสสัมชัญ แต่ไปขายให้กับนักเรียน โรงเรียนอื่น ๆ ในเครือด้วย และหากต้องการขายบัตรให้ได้มาก ๆ วงดนตรีก็ต้องดึงดูดวัยรุ่นหนุ่มสาว ดังนั้นจึงต้องไปจ้างวงดนตรี ชื่อดัง ซึ่งสมัยนั้น 3,000 บาทก็นับว่าแพงแล้ว รายได้อีกส่วนหนึ่งคือการหา sponsor หรือผู้อุปถัมภ์ วิธีการคือ เอาจดหมายไปยื่นเพื่อขอเงินจากบริษัทห้างร้านรวมทั้งศิษย์เก่าที่มีฐานะ กิจกรรมยามว่างของชาวค่าย


248 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ส่วนใหญ่พวกเราแบ่งสายไปหาผู้อุปถัมภ์ทุกวันพฤหัสบดี เพราะเป็น วันหยุด งานนี้นับว่ายากมากส�ำหรับข้าพเจ้าเพราะไม่ถนัดพูดคุยหรือ ชักชวนหว่านล้อมเลย บางครั้งยื่นจดหมายไปแล้ว เรื่องก็เงียบหายไป แต่ก็มีหลายครั้งที่ประสบความส�ำเร็จ จะว่าไปบริษัทห้างร้านที่ บริจาคเงินให้เราต้องใจถึงมาก เพราะเป็นการให้เปล่า ไม่เหมือนกับ การให้เงินค่าโฆษณา ซึ่งอย่างน้อยยังมีการประกาศรายชื่อผู้อุปถัมภ์ ในหนังสือหรือสื่อต่าง ๆ บางครั้งเรามีความจ�ำเป็นต้องออกไปหาผู้อุปถัมภ์ในวันเรียน อาจ เป็นเพราะผู้อุปถัมภ์นัดไว้ หรือไม่ก็เพราะเวลางวดมาเรื่อย ๆ แต่ยัง ได้เงินไม่พอ ดังนั้นจึงจ�ำเป็นต้องขออนุญาตท่านอธิการออกไป ข้างนอกในชั่วโมงเรียน แทบทุกครั้งท่านไม่เคยขัด อนุญาตให้ไป แม้จะมีบ่นบ้างก็ตาม นับว่าเป็นการไว้วางใจพวกเรามาก เพราะท่าน ไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะไปเถลไถลที่อื่นหรือไม่ แทนที่จะไปท�ำงาน แต่ ชื่อเสียงกิตติศัพท์ที่สมาชิกรุ่นก่อน ๆ ท�ำไว้ ท�ำให้ท่านไว้วางใจพวกเรา ที่เป็นสมาชิกกลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนามาก ปลาย ค.ศ. 1973 กลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนาได้รื้อฟื้นการสัมมนา ระหว่างโรงเรียนขึ้นมาอีกครั้ง มีนักเรียนจากหลายโรงเรียนมาเข้า ร่วมนับร้อยคน วิทยากรที่มีชื่อเสียงหลายคนมาร่วมอภิปรายในงานนี้ อาทิ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ประยูร จรรยาวงษ์ พิชัย วาศนาส่ง ส.ศิวรักษ์ นับเป็นการอภิปรายที่เข้มข้นพอ ๆ กับที่จัดในมหาวิทยาลัย เลยทีเดียว หน้าร้อน ค.ศ. 1973 กลุ่มได้จัดค่ายอาสาพัฒนาที่อ�ำเภอสีชมพู จังหวัด ขอนแก่น นับเป็นค่ายที่กันดารยากล�ำบากกว่าที่ด่านช้าง โคราชมาก แต่ก็สร้างความประทับใจให้แก่ชาวค่ายหลายคน รวมทั้งประทับใจ ในตัวชาวบ้านด้วย ค่ายนี้บราเดอร์หลุยส์ก็มาเยี่ยมค่ายเช่นเคย ชาวค่ายขณะสร้างโรงเรียน ในจังหวัดขอนแก่น ประมาณ ค.ศ. 1977


UNSEEN ASSUMPTION 249 นอกจากท่านอธิการแล้ว บุคคลส�ำคัญคนหนึ่งที่จะต้องกล่าวถึงก็คือ บราเดอร์วิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ร่วมหัวจมท้ายกับ นักเรียนทั้งที่ค่ายหนองแสงและอีกหลายค่าย โดยอยู่ตลอดค่าย อันที่จริงตอนเตรียมค่าย ท่านก็ไปด้วย รวมทั้งค่ายหนองแสง (ซึ่ง ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ร่วมทีมเตรียมค่ายด้วย) แม้ท่านจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ การบริหารค่าย ท่านปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของประธานและ กรรมการค่าย นอกจากท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ชาวค่ายให้ความนับถือ แล้ว ท่านยังมีความสามารถในทางช่างด้วย จึงเป็นก�ำลังส�ำคัญ ในฝ่ายโครงงานหรือก่อสร้าง แม้ในปีต่อมาท่านได้รับแต่งตั้งเป็น อธิการอัสสัมชัญ ท่านก็ยังสละเวลามาร่วมค่ายกับพวกเราเช่นเคย น่าเสียดายที่ท่านจากไปเร็ว แต่ก็ยังเป็นที่ระลึกนึกถึงของชาวค่ายอยู่ จนทุกวันนี้ ค่ายบ้านหนองแสง อ�ำเภอสีชมพู เป็นค่ายอาสาพัฒนาค่ายแรกของ ข้าพเจ้า เป็นค่ายที่ข้าพเจ้าต้องต่อสู้กับตัวเองมาก ด้วยความที่เป็น คนเมือง ไม่คุ้นกับชนบทที่กันดาร แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้เรียนรู้ มากมายเกี่ยวกับสังคมชนบท ได้เห็นช่องว่างอันกว้างใหญ่ระหว่างเมือง กับชนบท ที่ส�ำคัญอีกอย่างคือ ได้สัมผัสน�้ำใจของชาวชนบท ท�ำให้ เกิดความผูกพันกับชาวบ้านหนองแสง ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเยือนชาวบ้านนี้ ต่อมาอีกหลายครั้ง ทั้งหลังจากเสร็จค่ายที่จังหวัดอื่น รวมทั้งเมื่อบวชแล้ว ก็ยังกลับไปเยี่ยมเยือนอีกหลายครั้ง (ล่าสุดก็เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา) เมื่อขึ้นชั้น ม.ศ.4 กลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนาอยู่ในมือของนักเรียนรุ่น ข้าพเจ้าอย่างเต็มที่ก็ว่าได้ ประธานกลุ่มคนใหม่คือ มงคล เตชะก�ำพุ เพื่อนร่วมชั้น ส่วนข้าพเจ้าเป็นประธานฝ่ายวิชาการ ปีนั้นทั้งปีข้าพเจ้า ง่วนอยู่กับกิจกรรมของกลุ่มนี้อย่างเพลิดเพลิน จนไม่ค่อยสนใจ การเรียนเท่าไร ประกอบกับช่วงนั้นมีเหตุการณ์ส�ำคัญเกิดขึ้นใน ชาวบ้านท�ำพิธีอ�ำลาชาวค่าย หลังจากสร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว


250 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น บ้านเมืองมาก เพราะขบวนการนักศึกษาก�ำลังเติบใหญ่ มีการประท้วง บ่อยครั้ง จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา ขึ้นมาในปีนั้น ข้าพเจ้ากับเพื่อน หลายคนก็พลอยตื่นตัวในทางการเมืองด้วย ถึงกับไปร่วมชุมนุมที่ ธรรมศาสตร์ แต่เมื่อมีการเคลื่อนขบวนมหาชนออกจากธรรมศาสตร์ บ่ายวันที่ 13 ตุลา ข้าพเจ้าไปร่วมไม่ได้ เพราะรับผิดชอบการจัด อภิปรายที่โรงเรียนตอนเย็น จึงต้องกลับมาต้อนรับวิทยากรและดูแล งานให้แล้วเสร็จ กลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนาในช่วงนี้ไม่ได้เน้นการท�ำงานแบบ สังคมสงเคราะห์อีกแล้ว แต่เน้นการสร้างจิตส�ำนึกทางสังคม เพื่อพัฒนา ประเทศและรับใช้ประชาชน แม้การช่วยเหลือคนยากไร้ยังจ�ำเป็น แต่เห็นว่าสิ่งที่ต้องท�ำควบคู่ไปก็คือการเสริมสร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล�้ำในสังคม ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองให้ดีขึ้นด้วย กระแสความตื่นตัวทางการเมืองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ท�ำให้แนวคิดนี้ แพร่หลายในหมู่นักเรียนและนักศึกษาจ�ำนวนไม่น้อยที่เรียกกันว่า “หัวก้าวหน้า” แต่ส�ำหรับนักเรียนอัสสัมชัญส่วนใหญ่ แนวคิดดังกล่าว ยังเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ เนื่องจากส่วนใหญ่สนใจแต่การเรียน ที่ สนใจโลกหรือสังคมนอกห้องเรียนยังมีน้อย อย่างไรก็ตามมีหลายคน ที่หลังจากเข้ามาสัมผัสกับกิจกรรมของกลุ่มฯ โดยเฉพาะคนที่ได้เข้า ค่ายอาสาพัฒนา ซึมซับแนวคิดนี้ได้มากขึ้น หน้าร้อน ค.ศ. 1974 เราได้จัดค่ายอาสาพัฒนาที่จังหวัดอุดรธานี คงเป็นเพราะหมู่บ้านอยู่ใกล้ตัวเมือง ชาวบ้านจึงมีลักษณะอย่างคนเมือง มาก ชาวค่ายหลายคนจึงไม่สู้ประทับใจเท่ากับชาวบ้านหนองแสง และด่านช้าง แต่ประสบการณ์ในค่ายก็ได้ให้อะไรหลายอย่างกับ สมาชิกค่าย โดยเฉพาะความสนิทสนมคุ้นเคย หลายคนได้มาเป็น ก�ำลังให้กับกลุ่มฯ ในเวลาต่อมา อีกไม่น้อยก็คบหากันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทุกวันนี้ เปิดเทอมใหม่ปี ค.ศ. 1974 ข้าพเจ้าขึ้นชั้น ม.ศ.5 เป็นธรรมเนียมที่ นักเรียนชั้นนี้จะวางมือ เพื่อให้รุ่นน้องตั้งแต่ชั้น ม.ศ.5 ลงไปบริหาร กลุ่มแทน ปีนั้นทวี ลีธนาโชค ซึ่งเป็นกรรมการกลุ่มตั้งแต่อยู่ชั้น ม.ศ.2 ขึ้นมาเป็นประธานกลุ่มแทน หลังจากนั้นพีระ สิทธิอ�ำนวย สนอง เรวัตรบวรวงศ์ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ก็ผลัดกันขึ้นมาเป็นประธาน กลุ่มคนละปี ทั้งหมดที่กล่าวมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าและท�ำงานร่วมกัน มาหลายปี ตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังเป็นเด็ก ส่วนใหญ่คุ้นเคยกันตอน ที่ไปท�ำค่ายด้วยกัน ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของกลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนาก็คือ มีการ สืบทอดการบริหารกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ประธานและกรรมการแต่ละปี ไม่ใช่คนใหม่ประเภท “ถอดด้าม” ทุกคนเคยมีประสบการณ์ การท�ำงานให้กลุ่มฯ มาก่อนแล้วอย่างน้อย 1 ปี บางคนก็มาร่วมงาน ตั้งแต่อยู่ชั้น ม.ศ.1 หรือ ม.ศ.2 ยังไม่นับบางคนที่เห็นหน้าเห็นตากัน ตั้งแต่เขาอยู่ ป.7 ดังนั้นจึงสามารถสานงานส�ำคัญ ๆ ของกลุ่มฯ ได้ กลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนาไม่ได้เน้นการท�ำงานแบบสังคมสงเคราะห์ แต่เน้นการสร้างจิตส�ำนึกทางสังคม เพื่อพัฒนาประเทศและรับใช้ประชาชน แม้การช่วยเหลือคนยากไร้ยังจ�ำเป็น แต่เห็นว่าสิ่งที่ต้องท�ำควบคู่ไป ก็คือการเสริมสร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล�้ำในสังคม


UNSEEN ASSUMPTION 251 อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ทิ้งเจตนารมณ์ดั้งเดิมคือ การส่งเสริมจิตส�ำนึก ในการช่วยเหลือผู้อื่นและบ�ำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม เอกลักษณ์ดังกล่าวแตกต่างจากหลายชุมนุมหรือหลายกลุ่มในเวลานั้น บางชุมนุมประธานเป็นคนใหม่ที่ไม่เคยท�ำงานให้กับชุมนุมมาก่อน แต่จับพลัดจับผลูถูกเลือกให้มาเป็นผู้น�ำ จึงต้องมาเรียนรู้งานกัน ใหม่ กิจกรรมจึงไม่ต่อเนื่อง ขาดตอน ท�ำให้ชุมนุมไม่เติบโตเท่าที่ควร ส�ำหรับกลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนา กิจกรรมส�ำคัญที่ช่วยสร้างคน ให้ขึ้นมาเป็นผู้น�ำบริหารกลุ่มได้อย่างต่อเนื่องนานหลายปีก็คือ ค่าย อาสาพัฒนา การที่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ท�ำงานด้วยกันอย่าง ต่อเนื่องถึง 21 วัน ช่วยหล่อหลอมให้นักเรียนชั้นต่าง ๆ มีความ สนิทสนมสามัคคี เกิดความกลมเกลียวข้ามรุ่นข้ามชั้นและข้ามห้อง (โดยเฉพาะระหว่างห้องอังกฤษกับห้องฝรั่งเศส) ไม่ใช่เรื่องแปลกที่รุ่นพี่ ม.ศ.5 จะทักทายรุ่นน้อง ป.7 เมื่อกลับมาที่โรงเรียน ทั้ง ๆ ที่ห่างชั้น กันมาก ทั้งนี้ก็เพราะเคยร่วมค่ายเดียวกัน ส�ำหรับหลายคน กิจกรรมที่ท�ำกับกลุ่มฯ ช่วยให้เขาเติบโตขึ้น รู้จักคิด และ ท�ำงานเป็น เป็นการสร้างพื้นฐานอย่างดีให้กับการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการท�ำกิจกรรมในชมรมต่าง ๆ จนหลายคนเป็นผู้น�ำนักศึกษา อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานให้กับการท�ำงานเมื่อส�ำเร็จการศึกษา ส�ำหรับข้าพเจ้า สองปีที่ขลุกอยู่กับกลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนา ช่วย เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น เห็นความเป็นจริงของบ้านเมือง ที่ท�ำให้ สภาพอาคารเรียนระหว่างการต่อเติมพื้น ฝาไม้ และหลังคา


252 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ชาวค่ายอาสาฯ ซึ่งประกอบด้วย นักเรียนชั้น ป.7 ถึง ม.ศ.5 ขณะออกค่ายสร้างโรงเรียน ในจังหวัดขอนแก่น ค.ศ. 1978


UNSEEN ASSUMPTION 253 ตระหนักว่า จะเรียนหนังสือเพื่อชีวิตที่ก้าวหน้ามั่นคงอย่างเดียว หาได้ไม่ หากควรคิดถึงการพัฒนาประเทศชาติ เกื้อกูลส่วนรวม และช่วยเหลือผู้ยากไร้ด้วย เข็มมุ่งของชีวิตจึงเปลี่ยนไป ที่เคยคิด จะเอาดีทางด้านวิศวกรรมหรือวิทยาศาสตร์ ก็เปลี่ยนไปเป็นการ ขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้น แม้ความสนใจในวิทยาศาสตร์ยังมีอยู่ แต่ใจก็โน้มไปทางด้านสังคมศาสตร์มากขึ้น จึงตั้งเป้าเข้าเรียนที่ ธรรมศาสตร์แทน ซึ่งตอนนั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่มีส�ำนึกทางการเมือง และสังคมสูงมาก นอกจากมุมมองและเส้นทางชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าได้จากสองปีที่อยู่กลุ่มนี้คือ ทักษะการเขียน ทั้งนี้ก็เพราะ หลังจากที่พวกเราสนทนาวิวาทะกันอย่างจริงจัง ก็มีความเห็นว่าควร แลกเปลี่ยนความคิดด้วยข้อเขียนบ้าง จึงได้จัดท�ำกระดานส�ำหรับการ แสดงข้อคิดความเห็น มีการเชิญชวนสมาชิกกลุ่มให้เขียนบทความ มาติดเพื่ออ่านและวิจารณ์กัน ตอนนั้นข้าพเจ้ามี “ไฟ” ในการเขียน มาก จึงพิมพ์บทความมาติดอยู่เป็นประจ�ำแทบทุกอาทิตย์ ผ่านไป ไม่ถึงปีก็รู้สึกอินทรีย์แก่กล้าขึ้น จึงเขียนบทความไปลงอัสสัมชัญ สาส์น ซึ่งเป็นวารสารรายเดือน และอุโฆษสาร ซึ่งเป็นหนังสือประจ�ำปี ของโรงเรียน อีกคนที่เขียนร่วมวงอย่างต่อเนื่องคือ พจนา จันทรสันติ ประธานกลุ่ม ไม่นานพจนาก็ไปไกลถึงขั้นเขียนนิยายเรื่อง “จากแยงซีเกียงถึง เจ้าพระยา” ข้าพเจ้าได้น�ำเอานิยายของพจนามาพิมพ์เป็นตอน ๆ ใน อัสสัมชัญสาส์น ซึ่งข้าพเจ้าเป็นบรรณกรเมื่อขึ้นชั้น ม.ศ.5 แล้ว หลายคน ติดตามอ่านนิยายของพจนาต่อเนื่องทุกเดือน ภายหลังมีส�ำนักพิมพ์ แห่งหนึ่งขอน�ำไปรวมพิมพ์เป็นเล่ม นอกจากข้าพเจ้าและพจนา ยังมีอีกหลายคนที่ได้รับอิทธิพลอย่างมาก จากกลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนา กล่าวได้ว่ากลุ่มนี้ได้มีส่วนช่วย หล่อหลอมสร้างคนไม่น้อยอย่างต่อเนื่องนานนับสิบปี ปลูกฝังจิตใจ ใฝ่เสียสละ ห่วงใยผู้ยากไร้ นึกถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง สอดคล้องกับ อุดมคติของบาทหลวงกอลมเบต์และบราเดอร์คณะเซนต์คาเบรียล นับตั้งแต่รุ่นแรก (มีภราดามาร์ติน เดอ ตูรส์ และ ฟ.ฮีแลร์ เป็นอาทิ) ที่ข้ามน�้ำข้ามทะเลมาเพื่ออุทิศตนให้แก่ยุวชนไทย น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่กลุ่มนี้ถูกยุบเลิกไปไม่นานหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 แต่ได้ ทราบมาว่าไม่กี่ปีมานี้ได้มีการก่อตั้งชมรมอาสาขึ้นมาในโรงเรียน หวังว่าชมรมนี้จะมีชีวิตชีวาและรักษาจิตวิญญาณตามอุดมคติของ นักบวชรุ่นแรก ๆ เหล่านั้นได้ หากท�ำเช่นนั้นได้ก็เชื่อมั่นว่าประวัติศาสตร์ หน้าใหม่อันน่าจดจ�ำอีกหน้าหนึ่งของอัสสัมชัญจะบังเกิดขึ้น หนังสือที่ระลึกค่ายอาสาฯ อัสสัมชัญ อาสาพัฒนา ค.ศ. 1968 - 1977 QR CODE #36


254 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น สมาคมอัสสัมชัญก่อตั้งเมื่อวันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) ด้วยด�ำริของคุณพ่อกอลมเบต์ เนื่องจากท่านเห็นนักเรียนเก่า ซึ่งจบการศึกษาไปแล้วมีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีการพบปะสังสรรค์กัน ในกลุ่มนักเรียนเก่า แต่ขาดสถานที่รวมตัวกันให้เป็นพลัง จึงประสงค์ให้ นักเรียนเก่าเหล่านั้นมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน มีสถานที่ไว้ใช้พบปะ เพื่อประชุมปรึกษาหารือท�ำการใดๆ และเพื่อสามารถช่วยเหลือรุ่นน้องที่ เพิ่งออกหางานท�ำ รวมไปถึงรุ่นน้องๆ ที่ก�ำลังศึกษาในโรงเรียนได้ โดย คุณพ่อกอลมเบต์ได้ตั้งชื่อครั้งแรกว่า “สโมสรนักเรียนเก่าอัสสัมชัญ” เมื่อแรกก่อตั้ง คุณพ่อกอลมเบต์ได้ขอห้องเล็กๆ ในตึกไม้ 2 ชั้น ริม ถนนบูรพา หรือตรอกโอเรียนเต็ล ซึ่งเคยเป็นอาคารที่พักเก่าของสังฆราช โชแรงมาให้ใช้ (ปัจจุบันตึกเก่าได้ถูกรื้อทิ้งและสร้างเป็นอาคารมิสซัง โรมันคาทอลิกกรุงเทพฯ ด้านข้างโรงเรียนอัสสัมชัญฝั่งตึก ฟ.ฮีแลร์) ซึ่งตึกไม้นี้ ด้านบนใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวส�ำหรับนักเรียนที่เพิ่งจบ การศึกษาจากโรงเรียน เริ่มท�ำงานได้ไม่นานและยังไม่มีที่พักพิงอาศัย เป็นของตนเอง ส่วนด้านล่างเป็นห้องโถง สถานที่นี้ใช้พบปะสังสรรค์ ในช่วงระหว่างวันได้ แต่ไม่เหมาะกับการจัดเลี้ยงหรือดื่มกินในช่วงเย็น ถึงดึก เพราะติดขัดจะรบกวนผู้ต้องการพักผ่อนบริเวณชั้นบนของอาคาร ในช่วงแรกของสโมสรนักเรียนเก่าอัสสัมชัญ ได้รองอ�ำมาตย์เอก หลวง นาวาเกนิกร (ซิวเบ๋ง โปษยะจินดา - เลขประจ�ำตัว 13) และพระยา บริบูรณ์โกษากร (ผ่อง โชติกะพุกกณะ - เลขประจ�ำตัว 85) ซึ่งต่อมา ภายหลังได้เป็นมหาอ�ำมาตย์ตรี พระยาโชฎึกราชเศรษฐี) สองนักเรียนเก่า ผู้ซึ่งครอบครัวเป็นผู้มีฐานะทางการเงินดี เป็นผู้อุปถัมภ์คนส�ำคัญ ช่วยบริจาคเงินท�ำนุบ�ำรุงสโมสรมาโดยตลอด ประวัติสมาคมอัสสัมชัญ พิเชษฐ์ มโนพัฒนาสุนทร อสช. 104 อัสสัมชนิกรุ่นแรก เมื่อมาต้อนรับการกลับจากการรักษาตัว ของคุณพ่อกอลมเบต์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสมาคมอัสสัมชัญ เว็บไซต์ สมาคมอัสสัมชัญ QR CODE #37


UNSEEN ASSUMPTION 255 นาวาเอก พระยาศราภัยพิพัฒ (เลื่อน ศราภัยวานิช) อุปนายก (แทนพระยาโชฎึกราชเศรษฐี นายกสมาคม) ก�ำลังอ่านรายงานการเปิดสมาคมอัสสัมชัญ ต่อเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) เมื่อแยกสมาคมมาเป็นอิสระ สโมสรฯ ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พบปะรวมตัวกันตลอดมาเป็นระยะ เวลา 28 ปี จนถึง พ.ศ. 2474 (ค.ศ.1931) มีนักเรียนเก่าหลายรุ่นมา รวมตัวกัน ณ สถานที่นี้ จนเกิดความคับแคบ ประกอบกับท่านสังฆราช โชแรงต้องการใช้สถานที่ส�ำหรับสร้างส�ำนักงานโรงพิมพ์ของวัด อัสสัมชัญและใช้เป็นที่พักให้กับคณะมิสซังฯ พวกนักเรียนเก่ารุ่นพี่ๆ หลายคนจึงชักชวนกันหาสถานที่ใหม่ ตั้งใจว่านอกจากจะใช้ส�ำหรับ นักเรียนเก่าของโรงเรียนอัสสัมชัญแล้ว ยังเป็นที่รวมตัวของนักเรียนเก่า จากโรงเรียนในเครือคณะภราดาเซนต์คาเบรียล เช่น โรงเรียน เซนต์คาเบรียล โรงเรียนเซนต์ปอลแปดริ้ว ฯลฯ ได้อีกด้วย จึงได้ตั้ง คณะท�ำงานด�ำเนินการหาสถานที่เช่าใช้เป็นที่ท�ำการ จนได้อาคาร หลังหนึ่งที่ตรอกเวท ถนนสีลม (สีลม ซ.19) ซึ่งเป็นอาคารในพื้นที่บ้าน ของมหาอ�ำมาตย์เอก เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา - เลข ประจ�ำตัว 771) อัสสัมชนิกผู้ด�ำรงต�ำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม และได้จัดให้มีพิธีเปิดในวันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2474 (ค.ศ.1931) พร้อมกับปรับระดับสถานะขึ้นเป็นสมาคม มีพิธียกป้าย “อัสสัมชัญ สมาคม” ใช้ตัวอักษรสีทองอร่าม ขึ้นติดตั้งหน้าอาคาร ติดธงราวผืนสีแดง และขาวสลับกัน ประดับประดาอย่างสวยงาม อาคารสมาคมฯ แห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับสโมสรสีลม จึงได้ สิทธิ์ในการใช้สนามเทนนิสร่วมกันกับสมาชิกสโมสรสีลม ซึ่งอยู่ใน พระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสนาม เทนนิส 8 สนาม โต๊ะบิลเลียด 4 โต๊ะ นับเป็นสโมสรหรือ Clubhouse ที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและนิยมในหมู่ Yuppies (Young Urban Professional) ของพระนคร โดยสโมสรแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่ จัดการแข่งขันเทนนิสชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย เมื่อย้ายมาสถานที่แห่งใหม่นี้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการอ�ำนวยการ สมาคมฯ โดยมีมหาอ�ำมาตย์ตรี พระยาโชฏึกราชเศรษฐี (ผ่อง โชติกะพุกกณะ) เป็นนายกสมาคม อุปนายกสมาคมคือ นาวาเอก พระยา ศราภัยพิพัฒ (เลื่อน ศราภัยวานิช - เลขประจ�ำตัว 900) และนายเอ๊กโป๊ย (เอก วีสกุล - เลขประจ�ำตัว 2267) เป็นเลขานุการ ต่อมาได้เรียนเชิญ มหาอ�ำมาตย์เอก เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) เป็น นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมฯ เปิดรับสมาชิก มีผู้สมัครเข้าร่วมจ�ำนวนประมาณ 400 คน ค่าบ�ำรุงสมาชิกคนละ 3 บาทต่อเดือน และมีเงินสดตั้งต้นจากการบริจาค ของอัสสัมชนิก ฝากธนาคารเป็นทุนส�ำรองอีก 20,000 บาท ซึ่งนับว่า เป็นจ�ำนวนเงินที่มีค่ามากเมื่อเทียบกับราคาขายก๋วยเตี๋ยวชามละ 2 สตางค์ ใน พ.ศ.นั้น การด�ำเนินการระยะแรกของสมาคมฯ ที่ตรอกเวทมีความเจริญรุ่งเรือง มากกว่าสมัยตั้งอยู่ที่ริมถนนบูรพาหลายเท่า แต่เจริญรุ่งเรืองได้ เพียงชั่วคราวอยู่ไม่นาน เข้าปีที่สอง-ปีที่สามก็ประสบกับปัญหาการ บริหารจัดการ ด้วยสมาชิกส่วนใหญ่ค้างการช�ำระค่าบ�ำรุงรายเดือน ค่าธรรมเนียมเล่นกีฬา ค่าอาหารและเครื่องดื่ม สมาชิกบางคนแอบน�ำ ทรัพย์สินส่วนกลางของสมาคมไปใช้ ที่ร้ายแรงสุดคือปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างสมาชิก เหตุจากความคิดเห็นแตกต่างกันในเรื่องการบริหาร บ้านเมืองหลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) ท�ำให้การด�ำเนินการสมาคมฯ ที่ตรอกเวทเริ่มเสื่อมถอย นานเข้าสมาคมฯ มีภาระค่าใช้จ่ายจนไม่สามารถเช่าสถานที่เดิมต่อไปได้ ต้องหาสถานที่เช่าแห่งใหม่ที่ถูกกว่าเพื่อใช้เป็นที่ท�ำการ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ได้ย้ายสถานที่ใหม่อีกครั้งก็ยังประสบปัญหาเดิมอีก จนในที่สุด สมาคมจ�ำต้องหยุดด�ำเนินกิจกรรมเป็นการชั่วคราว ต่อมาไม่นาน หลังจากนั้นประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วิกฤต


256 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ความยากล�ำบากในเวลานั้นท�ำให้ความตั้งใจของกรรมการที่ต้องการ หยุดด�ำเนินกิจกรรมของสมาคมเป็นการชั่วคราว กลายเป็นการขาด การด�ำเนินกิจกรรมเป็นระยะเวลาหลายปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 ถึง พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1941 - ค.ศ. 1955) ต่อมาอัสสัมชนิกอาวุโสหลายคนต้องการฟื้นฟูสมาคมฯ ขึ้นใหม่อีกครั้ง จึงพยายามรวมตัวนัดประชุมปรึกษาหารือเพื่อฟื้นสมาคมให้กลับมา เป็นที่รวมใจกันเหมือนแต่ก่อนตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อกอลมเบต์ เมื่อประชุมกันได้หลายครั้งจนเห็นพ้องร่วมกัน ในที่สุดได้ด�ำเนินการ ขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมขึ้นใหม่และได้รับใบอนุญาตเป็นทางการ จากสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เมื่อวันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) เปลี่ยนชื่อจากอัสสัมชัญสมาคม เป็น “สมาคมอัสสัมชัญ” “สมาคมอัสสัมชัญ” ที่ตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) มี พล.ต.ต.ละม้าย อุทยานานนท์ (อสช. 4446) รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรในสมัยนั้น เป็นนายกสมาคม มีกรรมการด�ำเนินงาน 30 ท่านต่างสละเงินส่วนตัวตามก�ำลังศรัทธา รวบรวมส�ำหรับมาเช่า ที่ท�ำการใหม่ของสมาคม โดยได้เช่าที่ของส�ำนักงานทรัพย์สิน พระมหากษัตริย์บนถนนพญาไท ใกล้สะพานเฉลิมหล้า 56 หรือที่เรียก ว่า “สะพานหัวช้าง” เยื้องฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมเอเชียในปัจจุบัน สมาคมฯ เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีกเมื่อสมาชิกไม่ยอมเสียค่าบ�ำรุง ท�ำให้ คณะกรรมการสมาคมต้องเฉลี่ยกันออกค่าเช่า ค่าน�้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ซึ่งประเด็นค่าเช่าสถานที่เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูงของ สมาคมตลอดมา กรรมการหลายท่านเสนอทางออกว่า สมาคมฯ ควร มีที่ท�ำการเป็นของตนเอง แต่การจะมีสถานที่เป็นของตนเองเป็นปัญหา ใหญ่ จะติดขัดในเรื่องเงินที่จะต้องหามาใช้ซื้อที่ดินเพราะต้องใช้เงินเป็น จ�ำนวนมาก สมาคมฯ ไม่มีเงินเพียงพอ นายเสนาะ จุลวัจนะ (อสช. 6477) เจ้าของห้างแว่นตาภิรมย์เภสัช ซึ่งเป็นกรรมการสมาคม จึง เสนอขอเซ้งสถานที่ท�ำการของสมาคมเป็นจ�ำนวนเงิน 1,000,000 บาท เพื่อจัดตั้งเป็นคลินิกของบริษัท และให้สมาคมฯ น�ำเงินจ�ำนวนนี้ไป ติดต่อขอซื้อที่ดินของคุณเจิม ภูมิจิตร บนถนนพระรามที่ 4 เขตพระโขนง เมื่อสมาคมฯ ซื้อที่ดินได้แล้ว ต้องมีการปรับปรุงที่ดินและสร้างอาคาร ที่ท�ำการสมาคมด้วย กรรมการสมาคมจึงได้เรี่ยไรเพิ่มเติม โดยได้รับ ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากบรรดาศิษย์เก่าหลายท่าน อาทิ คุณ บุญวงศ์ อมาตยกุล (อสช. 7527) คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ (อสช. 8893) คุณประธาน ดวงรัตน์ (อสช. 9976) และท่านอื่นๆ อีกหลายท่าน ให้กู้ ยืมเงินมาเพื่อการนี้ โดยทางคณะกรรมการสมาคมได้วางแผนหารายได้ โดยการจัดงาน เอ.ซี.บอลล์ ขึ้นทุกปี น�ำผลจากก�ำไรไปใช้หนี้อยู่หลายปี จึงสามารถใช้หนี้ได้หมด อาคารสมาคมอัสสัมชัญ ณ สถานที่ใหม่ ถนนพระรามที่ 4 ในปัจจุบัน มีพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างเมื่อวันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2508 (ค.ศ.1965) โดยมีมหาอ�ำมาตย์เอก เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ซึ่งเคย ด�ำรงต�ำแหน่งนายกกิตติมศักดิ์คนแรกของสมาคมฯ เป็นประธานวาง ศิลาฤกษ์ แต่ในช่วงก่อนเปิดใช้อาคาร ท่านเจ้าพระยาฯ มีอาการป่วยหนัก แพทย์ได้ก�ำชับให้ท่านพักผ่อนอย่างจริงจัง จึงไม่สามารถเดินทางมา เป็นประธานได้ ทางคณะกรรมการสมาคมจึงได้เรียนเชิญนาวาเอก พระยาศราภัยพิพัฒ ผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมและเป็นอุปนายกสมาคม สมัยแรก ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการแก่สมาคมในล�ำดับถัดมา มาเป็นประธาน พิธีเปิดอาคาร ในวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ปัจจุบันสมาคมอัสสัมชัญมีสถานที่อันโอ่โถงบนที่ดินขนาด 718 ตารางวา นอกจากเป็นความภูมิใจยังสะท้อนถึงความเป็นปึกแผ่นและเสียสละ ของเหล่าอัสสัมชนิกอาวุโสที่ได้สร้างขึ้นและมอบไว้ให้กับอัสสัมชนิก รุ่นหลังๆ เพื่อใช้รวมตัวกันสร้างคุณประโยชน์แก่โรงเรียนและสังคม ตามจุดประสงค์ของคุณพ่อกอลมเบต์และกรรมการสมาคมอัสสัมชัญ รุ่นอาวุโสทุกรุ่นที่ส่งต่อมายังพวกเราทุกคนตลอดไป ประวัติสมาคมอัสสัมชัญ จากอุโฆษสาร 2000 QR CODE #38


UNSEEN ASSUMPTION 257 อัสสัมชนิกาภรณ์ คือเหรียญเครื่องหมาย แห่งนักเรียนอัสสัมชัญ เริ่มใช้ ค.ศ. 1928 วิเคราะห์ความหมาย “อัสสัมชนิก” ค�ำว่า “อัสสัมชนิก” บัญญัติโดย ฟ.ฮีแลร์ ในทางนิรุกติศาสตร์ (Etymology) “อัสสัมชนิก” มีรากศัพท์มาจากค�ำว่า “อัสสัมชัญ” ที่มาจากภาษาฝรั่งเศส l’Assomption หมายถึง แม่พระมารีอา ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกาย และวิญญาณ ซึ่งชาวคาทอลิกจะเฉลิมฉลองทุกปีตั้งแต่อดีตกาลในอัสดงคต ประเทศในวันที่ 15 สิงหาคม จากค�ำว่า “อัสสัมชัญ” เมื่อลงปัจจัย (suffix) “ก” หรือ “ค” ตามหลักภาษา บาลี ที่จะท�ำให้ความหมายเป็น active meaning ในแง่ “ผู้กระท�ำ” อาทิ ค�ำว่า “นาย” + “ก” --> “นายก” แปลว่า “ผู้เป็นนาย” “เวหา” แปลว่า “ท้องฟ้า” เมื่อลงปัจจัย “ค” จะแปลว่า “ผู้ที่โบยบินไปในท้องฟ้า ก็คือ นก” ฉะนั้น ค�ำว่า “อัสสัมชนิก” เมื่อพิจารณาความอย่างละเอียดตามหลัก ภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์แล้ว น่าจะเป็น “สมุหนาม” (collective noun) ที่หมายความถึง “ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโรงเรียนอัสสัมชัญ” ได้แก่ ภราดา, มาสเตอร์และมิส, นักเรียนอัสสัมชัญ ไม่น่าจะจ�ำกัดความหมาย ที่แคบๆ อยู่เพียง “นักเรียนอัสสัมชัญ” เท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นเพียงทัศนะ อัตวิสัยของนักเรียนอัสสัมชัญแผนกฝรั่งเศสคนหนึ่ง ที่ได้มีโอกาส เล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมูล แผนกฝรั่งเศส จนจบ ม.ศ.5 แผนกศิลปะ เอก ฝรั่งเศส และได้ไปศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบ D.E A. จาก Sorbonne Nouvelle, PARIS ด้วยทุนรัฐบาลฝรั่งเศส ใน ปี ค.ศ.1997-1999 วีรวิทย์ (วิทยา) เศรษฐวงศ์ อสช. 22737 89 generation UNSEEN ASSUMPTION 257


258 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น กรรมการสมาคมอัสสัมชัญยุคแรกๆ


UNSEEN ASSUMPTION 259 รายนามนายกสมาคมอัสสัมชัญ 1. พล.ต.ต.ละม้าย อุทยานานนท์ ค.ศ. 1955 - 1958 2. พล.ต.ต.จ�ำรัส มัณฑุกานนท์ ค.ศ. 1959 3. เขตร ศรียาภัย ค.ศ. 1960 4. บุญวงศ์ อมาตยกุล ค.ศ. 1961 - 1975 5. ประธาน ดวงรัตน์ ค.ศ. 1976 - 1981 6. น.ท.ทินกร พันธุ์กระวี ค.ศ. 1982 - 1983 7 พล.อ.อ. นพ.ประกอบ บุรพรัตน์ ค.ศ. 1984 - 1993 8. จรัญ บุรพรัตน์ ค.ศ. 1994 - 1997 9. วัลลภ เจียรวนนท์ ค.ศ. 1998 - 2013 10. ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ค.ศ. 2014 - 2017 11. พล.ร.อ.ประพฤติพร อักษรมัต ค.ศ. 2018 - ปัจจุบัน 1 2 3 4 5 9 10 11 6 7 8


260 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น กิจกรรมสมาคม พิธีทางศาสนาเนื่องในวันก่อตั้งสมาคม (1 มิถุนายนของทุกปี) โดยจัดท�ำบุญ 4 ศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกข์ บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น


UNSEEN ASSUMPTION 261 มูลนิธิบราเดอร์หลุยส์ ชาแนล ร่วมกับอัสสัมชนิก โรงเรียนอัสสัมชัญ และสมาคมอัสสัมชัญ ร่วมบริจาคผลิตภัณท์หรือสินค้า โครงการมูลนิธิหลุยส์ ชาแนล และชาวอัสสัมชัญเพื่อช่วยเหลือชุมชน ด้วยการจัดถุงยังชีพแจกจ่ายชุมชนที่อาศัยใกล้เคียงบริเวณโรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถมและมัธยมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ UNSEEN ASSUMPTION


262 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น H A L L FAME O F U N S E E N ASSUMPTION เซียวเม่งเต็ก อัสสัมชนิกคนแรก เลขประจ�ำตัว 1 ประวัติ เซียวเม่งเต็ก QR CODE #40 บทความ โรงเรียนอัสสัมชัญของผม โดย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ QR CODE #41


UNSEEN ASSUMPTION 263 เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ อสช. 771 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา อสช. 961 พระยาอนุมานราชธน อสช. 1112 ควง อภัยวงศ์ อสช. 2990 ดิเรก ชัยนาม อสช. 3303 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อสช. 3567 สัญญา ธรรมศักดิ์ อสช. 3570 เขตร ศรียาภัย อสช. 3857 ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อสช. 7036 ถนัด คอมันตร์ อสช. 7066 ชื่ิออัสสัมชัญ นั้นเด่นมาช้านาน ยังมีพยาน ปรากฏรับรอง... เรียบเรียงโดย วัฒภูมิ ทวีกุล


264 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) เจ้าพระยาคนสุดท้าย “ประธานฯ หาเงินสร้างตึกกอลมเบต์ และหอประชุมสุวรรณสมโภช” เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) เกิด เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1885 ณ ถนนวิเชียรชม ต�ำบลบ่อยาง อ�ำเภอกลาง (ปัจจุบัน คือ อ�ำเภอ เมืองสงขลา) จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของ พระอนันตสมบัติ (เอม) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา เมื่ออายุได้ 9 ปี ได้อพยพตามมารดาเข้ามาอยู่ กรุงเทพฯ และเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญเมื่อ ค.ศ. 1895 ขึ้นทะเบียนเป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 771 เรียน อยู่ 7 ปีจึงสอบไล่ได้ชั้น 6 บริบูรณ์ มีคะแนน ในวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นที่ 1 มีความ ประพฤติดี และผลการเรียนดีจนได้รับการยกย่องจากคณาจารย์ ให้เป็นนักเรียนตัวอย่างของโรงเรียน จากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อในวิชา กฎหมาย สอบได้เนติบัณฑิตไทยเมื่อ ค.ศ. 1905 และศึกษา วิชากฏหมายต่อที่ประเทศอังกฤษ ส�ำเร็จเป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ จากส�ำนัก Gray’s Inn เมื่อ ค.ศ. 1910 เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในอ�ำนาจอธิปไตย 3 อ�ำนาจ ทั้งตุลาการ บริหาร และนิติบัญญัติ ทั้งในสมัย สมบูรณาญาสิทธิราชย์และสมัยประชาธิปไตย โดยด�ำรงต�ำแหน่ง ส�ำคัญมากมาย เช่น อธิบดีศาลฎีกา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประธานรัฐสภา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ องคมนตรี และเป็นประธานองคมนตรี ชั่วคราว ฯลฯ ทั้งยังเป็นผู้แทนรัฐบาลสยามไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กรุงลอนดอน เพื่ออัญเชิญเสด็จกลับมา ครองราชย์ โดยเป็นผู้รับพระราชหัตถเลขา สละราชสมบัติจากพระองค์ท่าน และไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ณ เมืองโลซาน ในการเสด็จขึ้นครองราชย์ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ วันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1976 ส�ำหรับโรงเรียนอัสสัมชัญและอัสสัมชนิกแล้ว เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ส�ำคัญในการเรี่ยไรเงินสร้างอนุสรณ์สถาน บาทหลวงกอลมเบต์และตึกสุวรรณสมโภช โดย ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นประธานกรรมการฯ ทั้ง 2 วาระ ในโอกาสนั้นท่าน เจ้าพระยาฯ ได้ร่วมงานกันอย่างแข็งขันกับ ฟ.ฮีแลร์ ซึ่งท่านเจ้าพระยาฯ ระบุไว้ว่า รู้จักกับบราเดอร์ฮีแลร์นับตั้งแต่ท่านเข้ามาสยามในปีแรก ขณะนั้นท่านเจ้าพระยาฯ ก�ำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 6 แผนกภาษา อังกฤษ 6 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย เท่ากับว่า ฟ.ฮีแลร์อยู่เมืองไทยนาน เท่าไร เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศก็รู้จัก ฟ.ฮีแลร์นานเท่านั้น เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศสามารถวางตัวได้สมกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง ได้รับความเกรงอกเกรงใจไปทั่ว สามารถแยกแยะ หน้าที่การงานที่ท่านรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีความเสียสละ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองมารับภาระในการเป็น ประธานกรรมการหาเงินสร้างอนุสรณ์สถานบาทหลวงกอลมเบต์ และหอประชุมสุวรรณสมโภช ซึ่งอาคารทั้งสองได้รองรับเยาวชน คนรุ่นต่อไปที่ยังไม่เกิดในยุคสมัยของท่านให้ได้การศึกษามาอย่าง ยาวนานอีกหลายหมื่นคน เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ


UNSEEN ASSUMPTION 265 ค�ำไว้อาลัยของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ เนื่องในมรณกรรมของเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ สมุดรายนามบริจาคเงินสร้างอนุสรณ์สถานบาทหลวงกอลมเบต์ ปรากฏชื่อเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศอยู่ในบรรทัดแรก โดยบริจาคเงินจ�ำนวน 500 บาท


266 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น พระยามโนปกรณ์นิติธาดา หรือนามเดิม ก้อน หุตะสิงห์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1884 เป็นบุตรของนายฮวด กับนางแก้ว หุตะสิงห์ เริ่มเรียนหนังสือชั้นต้นที่โรงเรียนวัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) จากนั้นเข้าศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัยเป็นเวลา 4 เดือน และเข้าเรียนชั้นโต ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ในแผนกภาษาอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 1897 ขึ้นทะเบียนเป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 961 สอบไล่ได้ชั้น 4 ใน ค.ศ. 1901 จากนั้นจึงไปศึกษา ต่อที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม ตาม ล�ำดับ จนส�ำเร็จเป็นเนติบัณฑิต และได้รับทุน เล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อด้านกฎหมายจากสถาบัน The Middle Temple ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ. 1905 นายก้อน หุตะสิงห์ เริ่มต้นรับราชการในต�ำแหน่งผู้พิพากษาศาล อุทธรณ์ กระทรวงยุติธรรม จนเจริญเติบโตในหน้าที่ราชการได้รับ ต�ำแหน่งอธิบดี ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยามโนปกรณ์- นิติธาดา เมื่อ ค.ศ. 1914 ชีวิตของท่านขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง ภายหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1932 เมื่อ ได้รับเชิญจากคณะราษฎรให้ด�ำรงต�ำแหน่งประธานคณะกรรมการ ราษฎร หรือเทียบเท่านายกรัฐมนตรี และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ของประเทศไทย ชื่อของนายก้อน หุตะสิงห์ ปรากฏในหน้าข่าวเกียรติยศของโรงเรียน เสมอมา ทั้งการได้รับเหรียญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่าง ๆ การได้รับ ต�ำแหน่งองคมนตรีใน ค.ศ. 1927 ร่วมกับอัสสัมชนิกอีกหลายท่าน ได้รับต�ำแหน่งมหาอ�ำมาตย์โทใน ค.ศ. 1928, การได้รับเหรียญ จักรพรรดิมาลาใน ค.ศ. 1930 ได้รับเครื่อง ราชอิสริยาภรณ์ดาราทุติยจอมเกล้าวิเศษใน ค.ศ. 1931 ไปจนกระทั่งด�ำรงต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน ค.ศ. 1932 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1948 เจ้าคุณมโนฯ ได้ใช้วิชาความรู้จากการไปเล่าเรียน วิชากฎหมายที่ประเทศอังกฤษมาอย่างเต็มความ สามารถ ทั้งยังโดดเด่นในเรื่องความซื่อตรงและ ความยุติธรรม พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) (อัสสัมชนิกเลขที่ 1679) ได้สรรเสริญท่านไว้ว่า “ไม่เคย มีค�ำกล่าวหาว่าท่านไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ คู่ความในคดีทั้งไทยและ ต่างประเทศ ก็พอใจที่คดีของตนไปตกอยู่ในมือเจ้าคุณมโนฯ เพราะ แน่ใจว่าจะได้รับความยุติธรรม ส่วนความกล้าก็ทราบกันว่าไม่มีทาง ที่จะไปใช้อิทธิพลบังคับให้เจ้าคุณมโนฯ ท�ำอย่างโน้นอย่างนี้ได้ เว้นไว้แต่จะเป็นไปตามความคิดเห็นของท่านโดยแท้จริง ท่านยัง เป็นคนไม่ถือตัว เป็นที่เคารพรักใคร่ของผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชา ทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือแก่บุคคลทั่วไปอีกด้วย” การเป็นอัสสัมชนิกนั้นมีลักษณะพิเศษอยู่ประการหนึ่ง ไม่ว่าผู้นั้น จะมีต�ำแหน่งแห่งที่ใหญ่โตสูงส่งเพียงไร หากเพียงแต่ทราบว่าผู้นั้นคือ อัสสัมชนิกแล้ว และได้มีความเดือดร้อนใดๆ ในอัสสัมชัญที่ได้รู้หูผึ่ง ไปถึงแล้ว ก็ไม่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือเลย เจ้าคุณมโนฯ เองก็เช่นกัน ในคราวที่ท่านด�ำรงต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี อยู่นั้น เหตุการณ์ภายในอัสสัมชัญเองก็ไม่ค่อยเป็นปกติสุขนัก เพราะ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย


UNSEEN ASSUMPTION 267 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ไม่ถึงสามเดือน เกิดการ ชุมนุมประท้วงกันของบรรดานักเรียนชั้นโต โดยมีข้อเรียกร้องให้ โรงเรียนหยุดในวันส�ำคัญทางพุทธศาสนา ลดค่าเล่าเรียน และให้ รับนักเรียนที่ถูกไล่ออกกลับเข้าเรียน เหตุการณ์นี้ต่อมารู้จักกัน ในชื่อ “กบฏ 9 กันยา 75” ภราดาเฟรเดอริก ยัง อธิการโรงเรียน อัสสัมชัญ และเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ไม่ยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง ของนักเรียน ตัดสินใจปิดโรงเรียนไปอย่างไม่มีก�ำหนด ทางเจ้าคุณมโนฯ เองก็ไม่ได้นิ่งดูดาย คงใฝ่ใจดูแลเสมอเหมือนกับ ที่ทางโรงเรียนได้ติดตามความก้าวหน้าของท่าน หันไปทางซ้ายที พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พร้อมด้วยคุณหญิงนิตย์ ภริยา ทางขวาทีก็มีแต่อัสสัมชนิกอยู่ทั่วไปทั้งในคณะรัฐมนตรีและในสภา ผู้แทนราษฎร เมื่อพิจารณาความเหมาะสมแล้วจึงได้ส่งนายประยูร ภมรมนตรี คณะกรรมการราษฎร (เทียบเท่าต�ำแหน่งรัฐมนตรี) พร้อมด้วยนายวิเชียร สุวรรณทัต (อัสสัมชนิกเลขที่ 3280) สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร มาดูแลสถานการณ์ถึงที่โรงเรียน โดยได้ขอ สอบสวนเรื่องราว และทราบเรื่องการกระท�ำของนักเรียนจากคณาจารย์ ท้ายที่สุดโรงเรียนก็กลับมาเปิดท�ำการเรียนการสอนได้อีกครั้งใน เดือนตุลาคม


268 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) บุคคลส�ำคัญของโลก โดย UNESCO พระยาอนุมานราชธน หรือนามเดิม ยง เสฐียรโกเศศ เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1881 ที่ต�ำบลวัดพระยาไกร อ�ำเภอยานนาวา จังหวัด พระนคร เป็นบุตรของนายหลี และนางเฮียะ เด็กชายยงเริ่มต้นเรียนหนังสือจากบิดา ได้รับ การหัดอ่านทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ต่อมา แม้เมื่อบิดาติดกิจธุระ และไม่มีเวลาสอนให้มากนัก เด็กชายยงก็ยังคงขยัน หมั่นเพียร ลุกขึ้นมา อ่านหนังสือเองตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน เด็กชายยง เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านพระยานานา ก่อนจะย้ายเข้าไปเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อ ค.ศ. 1899 ขึ้นทะเบียน เป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 1112 เด็กชายยงเข้ามาเรียนอัสสัมชัญในสมัยที่คุณพ่อกอลมเบต์ยัง บริหารงานอยู่ ครูที่สอนเด็กชายยงในชั้นประถมนั้นชื่อ ยอน เจมส์ เป็นลูกครึ่งฝรั่ง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายนิยม รักไทย และได้ เป็นหลวงบรรณารักษ์ ภายหลังได้ร่วมงานด้านหนังสือกับพระยา อนุมานราชธนด้วย ครูอีกท่านในชั้นประถมชื่อ ฮกกี่ เป็นลูกจีน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายธานี วีรานุวัตติ์ ทั้งสองท่านนี้สอนภาษาอังกฤษ ส่วนครูที่สอนภาษาไทยคือครูทิม เปรียญ ใช้แบบเรียนมูลบทบรรพกิจ เป็นหลัก การเรียนในชั้นประถมศึกษาเรียกว่า Preparatory เมื่อส�ำเร็จแล้ว ก็เลื่อนชั้นไปเป็นชั้น 1 หรือ Standard One (Standard I) ครูประจ�ำชั้น ชื่อ กอเรโด เชื้อสายโปรตุเกส ซึ่งเป็นคนดุ และเคยสอนเจ้าพระยา ศรีธรรมาธิเบศมาด้วย ครูประจ�ำชั้น Standard II ชื่อ ครูวัน ตอนหลัง ได้เป็นพระยามานวราชเสวี (อัสสัมชนิกเลขที่ 4) ส่วนชั้นโตกว่านั้น เป็นฝรั่งสองคนพี่น้องกันสกุลโอเลียรี นอกจากครูที่เป็นฆราวาสแล้ว ยังมีครูที่เป็น บาทหลวงประจ�ำมิสซังมาสอนด้วย คือ คุณพ่อ กอลมเบต์ คุณพ่อเฟอร์เลย์ และคุณพ่อกังตอง ต่อมาเมื่อคณะภราดาเซนต์คาเบรียลเดินทาง เข้ามาแล้ว เด็กชายยงก็ได้เรียกกับภราดาออกัสติน และภราดากาเบรียล ซึ่งล้วนแต่เป็นภราดา รุ่นแรกที่เข้ามาในประเทศไทย ในความเห็นของพระอนุมานราชธนแล้ว การเรียน ที่อัสสัมชัญท�ำให้ท่านถูกโน้มน�ำไปในทางที่ดี ให้เอาใจใส่กับการเรียน พากเพียรตลอดเวลา แม้ในละแวกบ้านจะมีเพื่อนที่พาลคอยชวนไปในทางทะเลาะวิวาท อยู่เนืองๆ อีกทั้งท่านยังเคารพนับถือครูมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งคุณพ่อกอลมเบต์ การเรียนที่อัสสัมชัญนั้นท�ำคะแนนได้ดีในทางอ่านเขียน และท่อง ขึ้นใจ ภาษาอังกฤษเรียกได้ว่ารู้มากสมกับเป็นนักเรียนอัสสัมชัญ สมัยเมื่อ 70 ปีก่อนโน้น ซึ่งบังคับให้นักเรียนพูดภาษาอังกฤษอยู่ ตลอดเวลา และสอนวิชาต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น ยกเว้น แต่ภาษาไทยสัปดาห์ละครั้งเดียว แม้กระนั้นเด็กชายยงก็ไปสมัคร สอบภาษาไทยด้วยตนเอง จนสอบไล่ได้ประโยคสองที่โรงเรียน เทพศิรินทร์ ภายหลังจากสอบไล่ได้ชั้น 4 (Standard IV) แล้ว ขึ้นชั้น 5 (Standard V) ได้ไม่ทันไร ทางบ้านก็ต้องให้ท่านออกไปท�ำงาน เพื่อหารายได้มา ค�้ำจุนครอบครัว ท่านเริ่มต้นท�ำงานที่โอสถศาลาของรัฐบาล แต่บิดา เห็นท่าไม่ดี จึงให้ลาออกมาท�ำงานเป็นเสมียนและพนักงานทั่วไป ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ท�ำอยู่ไม่นานก็ไปสมัครเข้ารับราชการเป็นเสมียน พระยาอนุมานราชธน


UNSEEN ASSUMPTION 269 ฝรั่งกองรายงานในกรมศิลปากร จากนั้นก็มีความเจริญในทาง ราชการจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอนุมานราชธน สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนอัสสัมชัญ และก�ำลัง จัดท�ำหนังสือลักษณะเดียวกับอัสสัมชัญ อุโฆษสมัย ในช่วงก่อน สงครามโลกนั้น ได้ไปหาพระยาอนุมานราชธนอยู่ถึง 3 รอบกว่าจะ ได้พบกัน เพื่อปรึกษาหารือในการจัดท�ำหนังสือ และขอค�ำแนะน�ำ ในการตั้งชื่อหนังสือที่ก�ำลังท�ำอยู่นี้ โดยท่านพระยาฯ ได้เสนอมา 2 ชื่อ ระหว่างอุโฆษสามัคคี กับอุโฆษสาร เมื่อสุลักษณ์ได้ไป น�ำเสนอต่อเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ซึ่งขณะนั้นก�ำลังพักรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ท่านเจษฎาจารย์ได้เลือกนามอุโฆษสาร อันเป็นนิตยสารของโรงเรียนสืบต่อกันมาอีกหลายสิบรุ่น แท้จริงแล้ววุฒิทางการศึกษาในทางการของพระยาอนุมานราชธน จะมีเพียงแค่ชั้นมัธยม 4 แต่ความรู้ความสามารถของท่านจะเกิน ระดับชั้นปริญญาเอกสักกี่เท่าก็คงไม่อาจระบุได้ ท่านผลิตงานเขียน พระยาอนุมานราชธน ประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรนักเรียนที่จบการศึกษา ณ หอประชุมสุวรรณสมโภช ตราไปรษณียากร ท�ำขึ้นในวาระครบ 100 ปี ชาตกาล งานวิชาการมากกว่า 200 ชิ้น มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ต่าง ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย โบราณคดี นิรุกติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศาสนา และประเพณี ผลงานของท่านท�ำให้นานาประเทศรู้จักและ เข้าใจในศิลปวัฒนธรรมของชาติไทย พระยาอนุมานราชธนถึงแก่ อนิจกรรมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 เนื่องในวาระโอกาสครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของพระยา อนุมานราชธน เมื่อ ค.ศ. 1988 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) จึงได้ ยกย่องให้พระยาอนุมานราชธนเป็นบุคคลส�ำคัญของโลก


270 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น พันตรี ควง อภัยวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1902 ที่เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา (ขณะนั้นยังเป็นเมืองหนึ่งในมณฑลบูรพาของ ไทย) เป็นบุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) กับหม่อมรอด อภัยวงศ์ นายควง อภัยวงศ์ เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เมื่ออายุได้ 5 ขวบ โดยเริ่มเรียนที่โรงเรียน วัดเทพศิรินทร์ จากนั้นบิดาให้ย้ายไปเรียน ภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อ ค.ศ. 1907 ศึกษาอยู่ 7 ปี สอบไล่ได้ชั้น 3 แผนก ฝรั่งเศส ขึ้นทะเบียนเป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 2990 โดยบิดาหวังจะ ส่งนายควง อภัยวงศ์ ไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศส พอดีเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขึ้น จึงต้องรั้งรอจนสงครามสงบแล้วจึงไปศึกษาต่อ ที่ฝรั่งเศส บิดาหมายจะให้ท่านเรียนวิชากฎหมาย แต่ตัวท่าน ไม่ชอบเรียนกฎหมาย อยากจะเรียนวิชาช่างกล บิดาจึงแนะน�ำ ให้ไปเรียนไฟฟ้า แต่ในที่สุดท่านก็ส�ำเร็จการศึกษาวิชาวิศวกรรม โยธา จากเอโกล ซังตรัล เดอ ลียอง (École Centrale de Lyon) นายควง อภัยวงศ์ เข้ารับราชการในกรมไปรษณีย์โทรเลขเมื่อ ค.ศ. 1928 เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร รับหน้าที่ตัดสายโทรศัพท์ และโทรเลขในเช้ามืดวันก่อการ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1932 ต่อมาได้รับ ต�ำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขเมื่อ ค.ศ. 1935 ในทางการเมือง ท่านได้เป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง และขึ้นสู่ต�ำแหน่งสูงสุด ทางการเมือง คือ การเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1944 ใน ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นายควง อภัยวงศ์ ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1968 สมัยที่นายควง อภัยวงศ์ เรียนที่อัสสัมชัญนั้น ท่าน เป็นเด็กใน (นักเรียนประจ�ำ) มีบราเดอร์แอมเม่ เป็นผู้ควบคุมห้องนอน บราเดอร์แอมเม่เพิ่งจะ มาจากฝรั่งเศส ยังพูดไทยไม่ค่อยได้ จึงอุปโลกน์ นายควง อภัยวงศ์ ให้เป็นล่ามประจ�ำห้องนอน เลยพลอยท�ำให้นายควงเรืองอ�ำนาจขึ้นมา เพราะ เวลามีเรื่องมีราวอะไรขึ้นมา นายควงจะรับหน้าที่ แปลความจากภาษาไทยของเพื่อน ๆ เป็นภาษา ฝรั่งเศสให้บราเดอร์แอมเม่ฟัง ครั้งหนึ่งเคยร่วม กับเพื่อนพ้องซื้อขนมปังมาซ่อนไว้ในขันอาบน�้ำ ที่ใต้เตียง ตอนกลางคืนพอถึงเวลาก็คลานออกจาก เตียงไปกินกันอย่างเอร็ดอร่อย พวกเพื่อนบางคนก็เล่นสัปดนเอา ขาไก่เคาะเตียงเหล็กแล้วท�ำเสียงกะปี๊บกะป๊าบ เมื่ออาจารย์ตื่นก็เอะอะ กันใหญ่ เดือดร้อนถึงนายควงต้องลุกขึ้นมาเป็นล่าม แปลความเอาดี เข้าใส่ กว่าจะแปลเสร็จก็เล่นเอาเหงื่อตก ผลสุดท้ายก็จับใครไม่ได้ อีกครั้งหนึ่งพวกเพื่อนนักเรียนคิดจะแกล้งอาจารย์กัน ครั้นพออาจารย์ นอนก�ำลังหลับสบายกันแล้ว ก็มีคนท�ำแกล้งท�ำเสียงละเมอร้องเอะอะ ขึ้น ตกใจตื่นกันหมด แต่นายควงเป็นคนขี้เซา ตื่นมาไม่ทันใครเขา ก็ต้องมานั่งฟังความกันระหว่างเพื่อนนักเรียนกับอาจารย์ คอยแปล รับส่งให้ นายควงเห็นว่าถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ เข้าก็คงจะไม่ไหว จึงต้อง เรียกเพื่อนหัวโจกมาว่ากล่าวอย่าให้บ่อยนัก ให้ทิ้งระยะบ้าง ล่าม มันจะแย่เอา บางครั้งล่ามไม่ได้ท�ำผิดอะไรกับเขาก็พลอยโดนลงโทษ ไปด้วย เพราะแปลดีเกินไปหน่อย แต่พวกพ้องก็จัดหาขนมปังสังขยา มาปลอบใจไว้ให้ หลวงโกวิทอภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศไทย “ล่ามของนักเรียนประจ�ำ” ควง อภัยวงศ์


UNSEEN ASSUMPTION 271 วิชาภาษาฝรั่งเศสที่นายควง อภัยวงศ์ ได้ติดตัวไปจากอัสสัมชัญ ทั้งจากการเรียน การสอนของครูบาอาจารย์ และจากการคอยเป็นล่ามแปลความระหว่างบราเดอร์ กับเพื่อนจอมทโมน กลายเป็นพื้นฐานแห่งชีวิตในเวลาต่อมา ที่ท�ำให้นายควง อภัยวงศ์ ไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศสสมกับความตั้งใจของบิดาท่าน และการที่ ท่านเคยได้เป็นล่ามนี่เองก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ติดตัวท่านไปเช่นกัน เพราะเป็น เหตุให้ท่านต้องฟังความ กลั่นกรองข่าวสารข้อมูลที่ได้รับ และพิจารณาไตร่ตรอง ก่อนที่จะเป็นผู้ส่งสารนั้นต่อไป การที่ท่านเข้ารับราชการในกรมไปรษณีย์โทรเลข จวบจนได้ด�ำรงต�ำแหน่งอธิบดีฯ ก็อาจจะมีมูลมาเช่นนี้แล พันตรี ควง อภัยวงศ์ ขณะก�ำลังเซ็นสัญญา รับมอบดินแดนมณฑลบูรพา จากอินโดจีนฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1941


272 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น คนเรานั้นไว้ใจกันได้มากน้อยแค่ไหน แล้วจะพิสูจน์ กันอย่างไร ทุกวันนี้แค่นัดเพื่อนมากินข้าวหรือ นัดไปเที่ยวสนุกกันให้พร้อมหน้าพร้อมตากัน ยังนับว่ายาก ยังจะให้มาตามเวลานัดหมายยิ่งยาก เข้าไปใหญ่ หรือจะไว้ใจฝากฝังให้บรรลุกิจการงานใด ให้เป็นที่เรียบร้อยตลอดรอดถึงฝั่งก็คงยากแท้ หยั่งถึงว่าจะไปกันได้สักกี่น�้ำ หรือข้อมูลส�ำคัญที่เรา ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ แต่เขาผู้นั้นจ�ำเป็นต้องรู้ เขาจะสามารถเก็บรักษาความนั้นไว้ได้หรือไม่ ธรรมดาเราจะไว้ใจกันได้ต้องมีคุณสมบัติประกอบ กันนานาประการ ทั้งความหนักแน่น มั่นคง ความ ซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความกล้าหาญ ฯลฯ แล้วเราจะพิสูจน์การไว้ใจ กันได้อย่างไร ความไว้ใจก็ต้องผ่านอุปสรรคนานาที่มาท้าทายให้ความ เชื่อมั่นโคลงเคลง คงไม่มีสถานการณ์ใดมาท้าทายความไว้ใจของคน ได้ดีเท่าช่วงเวลาแห่งสงคราม ซึ่งอย่าว่าแต่รู้หน้าไม่รู้ใจ แค่เมื่อเช้า เจอกัน เมื่อบ่ายจะอยู่ข้างไหน มิตรหรือศัตรูก็ไม่อาจรู้ได้ ความไว้ใจ จึงได้ก้าวเข้ามาท�ำหน้าที่ตรงนี้ เพื่อพิสูจน์คุณค่าของคน และช่วงเวลาแห่งสงคราม เวลาใดจะพิสูจน์คุณค่าของคนได้ดีกว่า สงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ในช่วงเวลาก่อนที่สงครามโลกจะลุกลาม มายังประเทศไทย รัฐบาลไทยได้พยายามรักษาผลประโยชน์ของชาติใน การวางตัวเป็นกลาง หน้าที่ในการสร้างความไว้ใจให้กับนานาชาตินี้ก็หนี ไม่พ้นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการปฏิบัติ ตามกรอบนโยบายแห่งรัฐ ดิเรก ชัยนาม เข้ารับต�ำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้าประเทศไทย นายดิเรก ชัยนาม เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1904 ที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นบุตรของพระยาอุภัยพิพากษา (เกลื่อน ชัยนาม) และคุณหญิงจันทร์ ดิเรก ชัยนาม เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อ ค.ศ. 1914 ขึ้นทะเบียนเป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 3303 โดย ตอนแรกเป็นนักเรียนประจ�ำ และต่อมาได้เปลี่ยน เป็นนักเรียนไปกลับ จนกระทั่งส�ำเร็จการศึกษาชั้น มัธยมปีที่ 6 (ตามหลักสูตรในสมัยนั้น) เมื่อ ค.ศ. 1921 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนราชวิทยาลัย อีก 2 ปี ชีวิตที่เรียนรู้คุณค่าและความหมายของ ค�ำว่าความไว้ใจของดิเรก เริ่มต้นเมื่อเจ้าพระยา ศรีธรรมาธิเบศ (อัสสัมชนิกเลขที่ 771) ได้ฝากตัว ดิเรกเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนของกระทรวงยุติธรรม ดิเรกตอบแทนความไว้ใจนั้นด้วยการสอบไล่ส�ำเร็จ เป็นเนติบัณฑิตใน ค.ศ. 1928 ชีวิตการท�ำงานของนายดิเรก ชัยนาม เริ่มต้นจากการเป็นล่ามกฎหมาย ในกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร ร่วมกระท�ำ การเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นายดิเรก ชัยนาม มีบทบาทอย่างมากในรัฐบาลสมัยประชาธิปไตย ด�ำรงต�ำแหน่ง ทางการเมืองมากมาย ที่ส�ำคัญที่สุดคือ บทบาทของดิเรก ชัยนาม ใน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ฝ่ายไทยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ดิเรกในฐานะ รัฐมนตรีของชาติที่เคยวางตัวเป็นกลางได้ลาออกจากต�ำแหน่ง เพื่อเปิดทาง ให้กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ปรับคณะรัฐมนตรี อย่างเต็มที่ แต่ผลงานของดิเรกในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศที่ผ่านมานั้น ท�ำให้ได้รับความไว้วางใจจากญี่ปุ่นเป็นอย่าง มาก นี่เป็นสาเหตุให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้ทาบทามให้ดิเรก ชัยนาม รับต�ำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจ�ำกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อปฏิบัติภารกิจตามมอบหมายของทางรัฐบาล เรื่องนี้สร้างความหนักอกหนักใจให้กับดิเรกเป็นอย่างมาก ดิเรกได้หัน ไปปรึกษากับปรีดี พนมยงค์ ผู้ส�ำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้รับ ดิเรก ชัยนาม ดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “ไว้ใจคนที่ไว้ใจ”


UNSEEN ASSUMPTION 273 ค�ำแนะน�ำว่า ถึงอย่างไรก็ต้องรับหน้าที่นี้ แต่ขอให้เลือกคนที่ไว้ใจได้ ไป ปฏิบัติภารกิจที่ญี่ปุ่นด้วย จริงอยู่ที่ดิเรกจะได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งจากท่านผู้ส�ำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ในโมงยามแห่งสงครามนี้ ที่บังคับให้ดิเรกต้องไว้ใจคนอื่น ดิเรกได้พิจารณาเลือกนายทวี ตะเวทิกุล (อัสสัมชนิกเลขที่ 3606) ให้ด�ำรงต�ำแหน่งเอกอัครราชทูตที่ปรึกษา ซึ่งนายทวีก็แนะน�ำให้ดิเรกเลือกเลขานุการโทไปด้วยอีก 2 คน อันเป็น ผู้ที่นายทวีไว้ใจ อ�ำนาจการตัดสินใจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ที่ดิเรก ซึ่งต้องไว้ใจคนที่ตน ไว้ใจอีกที เลขานุการโทอีก 2 ท่านที่นายทวีแนะน�ำมานั้น เป็นนักเรียน ฝรั่งเศสที่เพิ่งส�ำเร็จการศึกษามาทั้งคู่ คนแรกคือ นายถนัด คอมันตร์ (อัสสัมชนิกเลขที่ 7066) และอีกท่านคือ นายกนต์ธีร์ ศุภมงคล (อัสสัมชนิก เลขที่ 7213) ซึ่งนายดิเรกก็ยินดีเลือกเข้ามาในคณะด้วย เป็นอันว่าคณะผู้แทนรัฐบาลไทยซึ่งประกอบไปด้วยอัสสัมชนิกทั้ง 4 ท่าน ได้ออกเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1942 คณะของนายดิเรกสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี โดยสร้างความ น่าเชื่อถือและความเกรงใจให้กับฝ่ายญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก รวมทั้งพยายาม ยับยั้งไม่ให้ประเทศไทยและญี่ปุ่นต้องผูกพันกันมากเกินความจ�ำเป็น ในขณะเดียวกันก็ได้ปฏิบัติภารกิจลับในนามของเสรีไทยไปพร้อมกันด้วย นายดิเรก ชัยนาม ลาออกจากราชการ และเดินทางกลับมาประเทศไทยใน เดือนตุลาคม ค.ศ. 1943 แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งให้กลับมาด�ำรงต�ำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีกวาระหนึ่ง และได้สิ้นสุดหน้าที่ ไปพร้อมกับการลาออกพร้อมคณะรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ใน ค.ศ. 1944 ก่อนสงครามจะสิ้นสุด นายดิเรก ชัยนาม ได้ปฏิบัติการลับ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนเสรีไทย ไปปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ชั้นสูง ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่กรุงแคนดี ประเทศศรีลังกา ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด นายดิเรก ชัยนาม ยังคงท�ำงาน ด้านการเมืองและการทูตอยู่เป็นระยะ ทั้งยังท�ำงานด้านวิชาการด้วย นายดิเรก ชัยนาม ด�ำรงต�ำแหน่งคณบดีคนแรกของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลงานในการบรรยายและแสดงปาฐกถา บ่อยครั้ง เรื่องราวการท�ำงานช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับการกลั่นกรอง จากท่านจนออกมาเป็นหนังสือ “ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2” ซึ่งได้รับ การยกย่องจากส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยให้เป็น 1 ในหนังสือดี ที่คนไทยควรอ่าน 100 เล่ม ดิเรก ชัยนาม ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1967 เห็นได้ชัดว่า เมื่อถึงยามวิกฤตของชาติบ้านเมือง นายดิเรก ชัยนาม ก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่เราอาจเรียกได้ว่าประเทศชาติต้องการ และคน ที่ประเทศชาติต้องการก็ต้องการพี่น้องอัสสัมชนิกมาร่วมปฏิบัติงาน เพื่อชาติครั้งส�ำคัญ นายดิเรก ชัยนาม ขณะก�ำลังให้สัมภาษณ์ผู้แทน หนังสือพิมพ์ ณ กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1946


274 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1905 ณ บ้านพักในกรมทหาร จังหวัดนครสวรรค์ เป็นโอรสของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าค�ำรบ และหม่อมแดง บุนนาค ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 ชีวิตในวัยเด็กของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ค่อนข้าง จะระหกระเหินกับการย้ายโรงเรียน โดยเริ่ม ต้นศึกษาที่โรงเรียนราชินี โรงเรียนอัสสัมชัญ ขึ้นทะเบียนเป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 3567 โรงเรียน เทพศิรินทร์ และย้ายมาเป็นนักเรียนประจ�ำที่โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย ต่อมาท่านไปศึกษาต่อในต่างประเทศที่โรงเรียนมัธยม เทร้นท์ (Trent College) ประเทศอังกฤษ และวูซเตอร์ คอลเลจ (Worcester College) มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้รับปริญญาตรี ด้านกฎหมาย เกียรตินิยมอันดับ 2 ส�ำนักเนติบัณฑิตอังกฤษ ณ ส�ำนักเกรย์อินน์ (Gray’s Inn) สอบไล่เนติบัณฑิตอังกฤษได้คะแนน ยอดเยี่ยม ชั้น 1 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้าฝึกงานที่ศาลฎีกาเป็นเวลา 6 เดือน จึง ได้เป็นผู้พิพากษาในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่ ค.ศ. 1929 ด�ำรงต�ำแหน่งผู้พิพากษาส�ำรอง ผู้พิพากษาศาลแพ่ง เลขานุการ ศาลฎีกา ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และผู้พิพากษาศาลฎีกา นอกจากนี้ ยังได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิตยสภา ภายหลัง เปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1932 จึงเข้าท�ำงานที่กระทรวง การต่างประเทศ ใน ค.ศ. 1940 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชได้รับ ค�ำสั่งจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้เดินทาง ไปด�ำรงต�ำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจ�ำ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ดังนั้นเมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 ลุกลามมายังประเทศไทย จะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือเหลือเชื่อประการใด ก็คงไม่อาจฟันธงได้ เมื่อในอีกฟากฝั่งมหาสมุทร แปซิฟิก ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก็มีดิเรก ชัยนาม ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเอกอัครราชทูต เช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า เอกอัครราชทูตไทยประจ�ำประเทศมหาอ�ำนาจ คู่สงครามในเวทีแปซิฟิกเป็นอัสสัมชนิกเหมือนกัน แถมทั้งคู่ยัง ปฏิบัติภารกิจเป็นเสรีไทยอีกด้วย ภายหลังสงครามสิ้นสุด ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เดินทางกลับมารับ ต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยภารกิจส�ำคัญคือ การเจรจากับฝ่าย สัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามจนสามารถบรรลุความตกลงสมบูรณ์แบบ เพื่อเลิกสถานะสงครามระหว่างไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย รวมทั้งจัดท�ำสัญญาไมตรีระหว่างไทยกับสาธารณรัฐจีน ทั้งนี้โดย ได้รับค�ำปรึกษาและแนะน�ำจากดิเรก ชัยนาม นอกจากการร่วมงานกับอัสสัมชนิกในการรักษาผลประโยชน์ของ ประเทศชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อีกบทบาทหนึ่งของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่กระท�ำร่วมกับพี่น้องอัสสัมชนิกคือ การก่อตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับนายควง อภัยวงศ์ ใน ค.ศ. 1946 เมื่อ นายควงได้รับเลือกให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ร่วมคณะรัฐมนตรีกับท่านโดยด�ำรงต�ำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 6 “สูงส่งเพียงใดไม่ทอดทิ้ง”


UNSEEN ASSUMPTION 275 สถานะของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงถือว่ายิ่งใหญ่มาก เพราะคือตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศที่ท�ำ หน้าที่ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ ทั้งยังได้รับการยอมรับจาก สหรัฐอเมริกาผู้เป็นมหาอ�ำนาจในเวลานั้น ในคราวที่นักเรียน อัสสัมชัญได้เตรียมจัดท�ำหนังสืออุโฆษสาร เมื่อ ค.ศ. 1952 นั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ถ่ายทอดเรื่องราว สถานการณ์ และ ความคิดของท่านไว้ในบทความ “ความสัมพันธ์ระหว่างไทย - อเมริกา ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่แล้ว” และส่งมาให้กับ ทางกองบรรณาธิการเพื่อเอามาตีพิมพ์ในอุโฆษสาร ซึ่งทางกอง บรรณาธิการผู้เป็นรุ่นน้องศิษย์ปัจจุบันในขณะนั้นได้เขียนยกย่อง สดุดี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไว้ว่า “อัสสัมชนิกถึงจะทรงเกียรติสูงส่ง เพียงใด แต่เมื่อกล่าวถึง ‘อัสสัมชัญ’ แล้ว ย่อมไม่มีใครยอมทอดทิ้ง เลย เมื่อทราบว่าอัสสัมชนิกรุ่นเยาว์จะจัดการออกหนังสือเพื่อ ‘อัสสัมชัญ’ ถึงแม้ว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จะมีงานล้นมือ ไม่สามารถ เขียนเรื่องให้ใหม่ได้ทันท่วงที ท่านก็ยังกรุณาให้ส�ำเนาปาฐกถาที่เคย แสดงที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อนานมาแล้ว ถึงเรื่องจะเก่า แต่ เนื้อเรื่องยังคงใหม่และเหมาะอยู่เสมอ” รูปที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ส่งมาให้ลงในอุโฆษสาร ค.ศ. 1952 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ประธานในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ ฟ.ฮีแลร์


276 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น สัญญา ธรรมศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1907 ที่จังหวัดธนบุรี เป็นบุตรของมหา อ�ำมาตย์ตรี พระยาธรรมสารเวทย์วิเศษภักดีศรี สัตยาวัตตาพิริยพาหะ (ทองดี ธรรมศักดิ์) กับ คุณหญิงชื้น ท่านเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียน ทวีธาภิเศก ก่อนย้ายเข้ามาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อ ค.ศ. 1914 ขึ้นทะเบียน เป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 3570 จนกระทั่งเรียนจบ ชั้นมัธยมศึกษาใน ค.ศ. 1924 จากนั้นเข้าศึกษาต่อ ที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม และไป ศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ภายหลังส�ำเร็จการศึกษาได้กลับเข้ามารับราชการที่กระทรวง ยุติธรรมเมื่อ ค.ศ. 1933 ในต�ำแหน่งผู้พิพากษาฝึกหัด ท่านเริ่มต้น ชีวิตการท�ำงานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อ ค.ศ. 1936 ได้เข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษสอนในรายวิชา กฎหมาย ต่อมาได้ด�ำรงต�ำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์ และ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านได้รับต�ำแหน่งสูงสุด ทางฝ่ายตุลาการด้วยการเป็นประธานศาลฎีกาใน ค.ศ. 1967 ส่วนในทางฝ่ายบริหารนั้น ท่านด�ำรงต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1973 จนพ้นวาระเมื่อมี การเลือกตั้งใน ค.ศ. 1975 และด�ำรงต�ำแหน่งเป็นองคมนตรีและ ประธานองคมนตรี ระหว่าง ค.ศ. 1975 - 1998 สัญญา ธรรมศักดิ์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2002 ข่าวคราวของสัญญา ธรรมศักดิ์ ปรากฏอยู่ในหน้าข่าวเกียรติยศ ของอัสสัมชัญ อุโฆษสมัย เสมอมา ถือได้ว่าเป็นนักเรียนอีกหนึ่งคน ที่ทางโรงเรียนภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และท่านเอง ก็ภาคภูมิใจในความเป็นอัสสัมชนิกด้วยเช่นกัน ท่านยกย่องเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ภราดาไมเกิล ภราดาฮิวเบิร์ต ท่านมหาสุข และท่านมหาแปลก ในฐานะคณาจารย์ผู้สร้างสรรค์ท่านขึ้นมา ท่านแบ่งสิ่งที่อัสสัมชัญให้ท่านติดตัวไปเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่มองเห็น ดังเช่นความรู้ใน ทางวิชาทั้งหลาย ที่สามารถผลักดันให้ท่าน สามารถสอบเป็นเนติบัณฑิตไทย และใช้วิชา ภาษาอังกฤษส�ำหรับสอบแข่งขันชิงทุนรพีมูลนิธิ ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ และสามารถส�ำเร็จเป็นเนติบัณฑิต ได้ภายใน 3 ปี ส่วนที่มองไม่เห็นคือ อุปนิสัยที่อัสสัมชัญได้มอบให้กับท่าน อัสสัมชัญได้สร้างให้ท่านเป็นคนที่ท�ำงานเป็นระเบียบ และตั้งใจท�ำงาน อย่างจริงจัง อดทน ไม่ลดละ ตั้งเป้าหมายอะไรแล้วต้องท�ำให้ได้ ความขี้เกียจ ความประมาทเลินเล่อต้องขจัดออกไป ซึ่งได้กลายเป็น อานิสงส์ที่ท่านได้สร้างตัวจนประสบความส�ำเร็จในชีวิตหน้าที่ การงาน อันที่จริงท่านเคยปรารภไว้ว่า ความขี้เกียจเป็นสันดานพื้นฐานของ ตัวท่านเอง ซึ่งท่านก็ได้ถ่อมตัวด้วยการตั้งค�ำถามกับตัวเองว่า ท่าน อยู่ในฐานะที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านความวิริยอุตสาหะต่อหน้าที่ได้ หรือไม่ แต่ท่านก็ไม่ยอมให้สันดานพื้นฐานนั้นมาพรากความก้าวหน้า ของท่านไป เพราะท่านก็ชี้แจงว่า ในบรรดาผู้ที่ขี้เกียจทั้งหลาย หาก ได้รับการกระตุ้นให้ท�ำงานได้แล้ว ก็จะท�ำงานเป็นบ้า ท�ำงานหนัก ๆ อย่างที่เรียกว่าเครียดไปหมดทั้งกายทั้งใจ สัญญา ธรรมศักดิ์ สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 12 “ส�ำนึกในหน้าที่”


UNSEEN ASSUMPTION 277 ท่านเปิดเผยว่า สิ่งอันเป็นแรงกระตุ้นนั้น นอกจากค�ำดูถูกและ อุดมคติแล้วก็คือ ความส�ำนึกในหน้าที่ (Sense of Duty) ซึ่งท่าน ย�้ำนักย�้ำหนาให้อัสสัมชนิกทั้งหลายพึงตระหนักผ่านงานเขียนต่าง ๆ ของท่านในอุโฆษสารหลายฉบับ ดังข้อความที่ยกมาต่อไปนี้ “ผมเป็นนักเรียนอัสสัมชัญรุ่นเก่าแก่มาก...ส�ำเร็จออกจากโรงเรียน ค.ศ. 1924 นับถึงเวลานี้ 53 ปีเข้าแล้ว แต่ผมยังระลึกถึงบุญคุณของ โรงเรียนอยู่มิรู้หาย เพราะอะไร? เพราะโรงเรียนอัสสัมชัญสอนผม มิใช่แต่เพียงให้รู้วิชา แต่สอนผมให้มีความส�ำนึกในหน้าที่อย่างที่ ฝรั่งเขาเรียกว่า Sense of Duty คุณธรรมข้อนี้ส�ำคัญนัก ที่ผมเปนตัว เปนตนมาจนทุกวันนี้ ก็เพราะคุณธรรมข้อนี้เปนส่วนส�ำคัญยิ่ง” ท่านเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อตั้งสมาคมครูและผู้ปกครอง โรงเรียน อัสสัมชัญ ซึ่งถือก�ำเนิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1973 และเข้าด�ำรง ต�ำแหน่งเป็นนายกสมาคมครูและผู้ปกครอง โรงเรียนอัสสัมชัญเป็น ท่านแรก นับได้ว่าเป็นรุ่นพี่ผู้ขี้เกียจอีกท่าน ที่ผ่านการขัดเกลาและฝึกปรือ จากอัสสัมชัญสถาน จนสามารถเอาชนะความขี้เกียจได้ ดังปณิธาน ของโรงเรียนที่ว่า LABOR OMNIA VINCIT “ความอุตสาหะย่อม ชนะอุปสรรคทั้งมวล” ภาพคณะกรรมการสมาคมครูและผู้ปกครอง โรงเรียนอัสสัมชัญในช่วงแรก สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกสมาคมฯ คนแรก ใส่สูทสีเทา นั่งอยู่แถวหน้า สัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่ออายุได้ 22 ปี ก่อนไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ


278 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เขตร ศรียาภัย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1902 ณ ต�ำบลหนองช้างตาย (ปัจจุบันคือ ต�ำบลท่าตะเภา) อ�ำเภอท่าตะเภา (ปัจจุบันคือ อ�ำเภอเมืองชุมพร) จังหวัดชุมพร เป็นบุตรคนที่ 5 (คนสุดท้อง) ของพระยาวจีสัตยารักษ์ (ข�ำ ศรียาภัย) มารดาชื่อ แก้ว ท่านถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1978 เขตร หรือที่ในหมู่อัสสัมชนิกเรียกว่า พี่เขตร เดินทางมาอยู่กรุงเทพฯเมื่ออายุได้ 8 ปี เข้าเรียน ที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม สอบไล่ได้ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 และเข้าเรียนต่อในแผนกภาษาอังกฤษที่ โรงเรียนอัสสัมชัญ ขึ้นทะเบียนเป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 3857 จนส�ำเร็จ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พี่เขตรเข้ารับราชการในกองโยธาเทศบาลเกือบตลอดทั้งชีวิต เคย ด�ำรงต�ำแหน่งหัวหน้ากองรักษาความสะอาด หัวหน้ากองโรงงานและ พัสดุ รักษาการหัวหน้ากองประปากรุงเทพฯ จนเกษียณในต�ำแหน่ง รองปลัดเทศบาล ส�ำนักปลัดเทศบาลกรุงเทพฯ ใน ค.ศ.1963 อนึ่ง พี่เขตรเคยได้รับค�ำชมเชยจากคณะรัฐมนตรีในการช่วยเหลือปราบ กบฏบวรเดชเมื่อ ค.ศ. 1933 พี่เขตรมีความสนใจในด้านกีฬาเป็นอย่างยิ่ง โดยเริ่มต้นจากการ เป็นนักกรีฑาของโรงเรียนอัสสัมชัญ เคยได้รับถ้วยในต�ำแหน่ง “เอก” ของปัญจกรีฑาจากเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1917 ซึ่งการที่พี่เขตรมีฝีเท้ายอดเยี่ยมเช่นนี้ ท�ำให้ทางโรงเรียน ให้พี่เขตรมาเล่นฟุตบอล จนได้ชื่อว่าเป็นดาราฟุตบอลของโรงเรียน เขตร ศรียาภัย อัสสัมชัญ มีฉายาว่า “แบ๊คเขตร” และท�ำให้ทีม ฟุตบอลของโรงเรียนอัสสัมชัญมีชื่อขึ้นมา คว้า ถ้วยไซ่ง่อนใน ค.ศ. 1931 และชนะเลิศได้รับ รางวัลเครื่องบินของกองทัพอากาศใน ค.ศ. 1935 สมัยเด็ก ๆ พี่เขตรมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก เลยท�ำให้ ถูกรังแกบ่อย ๆ ตั้งแต่ครั้งยังเรียนอยู่ที่โรงเรียน วัดสุทธิฯ พี่เขตรจึงฝึกหัดวิชามวยไทยจากบิดา ของท่าน คือ พระยาวจีสัตยารักษ์ (อดีตเจ้าเมือง ไชยา) เมื่อพี่เขตรเติบโตขึ้น วิชามวยไทยก็ยิ่ง แก่กล้าขึ้นทุกวัน ส�ำหรับพี่เขตรแล้ว เรื่องชกต่อย เป็นเกียรติของลูกผู้ชาย แม้จะเป็นการป้องกันตัวก็ตาม ก็ต้อง เตะตอบบวกก�ำไร แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของพี่เขตรคือ ฟ.ฮีแลร์ ซึ่งสอนพี่เขตรไว้ว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดัง บราเดอร์ฮีแลร์ ลงโทษด้วยการตีโดยไม่สนใจว่าใครเป็นคนก่อเรื่อง หากวิวาทกัน ก็ลงโทษด้วยกันทั้งสองฝ่าย เรื่องนี้พี่เขตรจ�ำจนขึ้นใจ และพาลด่า ว่าร้ายสาปแช่ง อ้ายโจโฉ (บราเดอร์ฮีแลร์) ต่าง ๆ นานา ท้ายที่สุด เมื่อกาลผ่านไปพี่เขตรพากเพียร ฝึกปรือจนเป็นปรมาจารย์มวยไทย ไชยา พี่เขตรยอมรับว่า ค�ำอบรมสั่งสอนของบราเดอร์ฮีแลร์นี้ มีค่าอนันต์ และได้พิสูจน์ผ่านกาลเวลาแล้วว่า เป็นบุญพระคุณมหาศาล แก่พวกนักเรียนอัสสัมชัญที่ประพฤติตามโอวาทโดยทั่วไป พี่เขตรเป็นสมาชิกของชมรม ก.ส.ต.บ. (กินสนุกตามบ้าน) อันเป็น การรวมตัวกันของอัสสัมชนิกรุ่นต่าง ๆ มาพบปะสังสรรค์กัน เป็นประจ�ำแทบทุกเดือน ติดต่อกันเป็นเวลากว่าสิบปี พี่เขตรรัก อัสสัมชัญและอัสสัมชนิกด้วยชีวิตและจิตใจ เวลาไปไหนมาไหน ไม่เคยขาดสัญลักษณ์ของ เอ.ซี.เลย ถ้ากางเกงขาว เสื้อก็ต้องแดง หรือเสื้อขาวขลิบแดง หรือลายแดง-ขาว เขตร ศรียาภัย “SEMPER FIDELIS ซื่อสัตย์ตลอดกาล”


UNSEEN ASSUMPTION 279 ความรักที่พี่เขตรมีต่อโรงเรียนอัสสัมชัญนี้ นับว่าหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยากยิ่ง ในคราวที่โรงเรียนอัสสัมชัญจัดงานสมโภชครบ 50 ปี ทางโรงเรียนได้จัดท�ำ เหรียญทองค�ำจารึกอักษรภาษาละตินว่า SEMPER FIDELIS แปลเป็นไทยว่า “ซื่อสัตย์ตลอดกาล” มอบให้พี่เขตร ซึ่งไม่เคยปรากฏว่าทางโรงเรียนเคยมอบ เหรียญท�ำนองนี้ให้กับผู้ใด และเป็นเช่นนั้นจวบจนกระทั่งปัจจุบัน เหรียญทองค�ำที่โรงเรียนอัสสัมชัญ มอบให้เขตร ศรียาภัย เมื่อฉลองโรงเรียนครบ 50 ปี เขตร ศรียาภัย สาธิตท่ามวยไชยา


280 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ.1916 ที่บ้านตรอกโรงสูบน�้ำ ตลาดน้อย กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายซา แซ่อึ้ง และนางเซาะเซ็ง แซ่เตียว ป๋วยเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญในแผนก ภาษาฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1924 ขึ้นทะเบียนเป็น อัสสัมชนิกเลขที่ 7036 ส�ำเร็จมัธยมศึกษาเมื่อ ค.ศ. 1933 ป๋วยได้ท�ำหน้าที่เป็นครูผู้สอนตั้งแต่ ปีสุดท้ายที่ก�ำลังเรียนอยู่ที่อัสสัมชัญ ป๋วยเป็นครูอยู่ ที่อัสสัมชัญราว 4 ปี จนกระทั่งส�ำเร็จปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ ค.ศ. 1937 จากนั้น เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ท่านส�ำเร็จ การศึกษาในระดับปริญญาเอกเมื่อ ค.ศ.1948 และกลับมารับราชการใน ประเทศไทย ด�ำรงต�ำแหน่งส�ำคัญ ๆ เช่น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ป๋วยยังคงพ�ำนักอยู่ที่อังกฤษ จึงได้เข้า ร่วมกับขบวนการเสรีไทย ป๋วยย้ายมาอยู่ที่ฐานปฏิบัติการในประเทศ อินเดีย เพื่อเตรียมตัวลักลอบเข้ามาประเทศไทย ได้ถือโอกาส ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาลาพักร้อนเพื่อมาพบกับบราเดอร์ไมเกิล กับบราเดอร์ฮีแลร์ ที่เมือง Ootacamund บนเทือกเขานิลคีรี จังหวัด มัทราส และได้มีโอกาสพบกับบราเดอร์ฮีแลร์อีกครั้งในเมืองนิว เดลี ก่อนจะปฏิบัติภารกิจในไทยไม่ถึงเดือน ป๋วยใช้ความพยายามในการเข้ามาปฏิบัติการในประเทศไทยอยู่ถึง 3 ครั้งจึงส�ำเร็จ ในครั้งที่ 3 ป๋วยกระโดดร่มลงมาที่หมู่บ้านวังน�้ำขาว จังหวัดชัยนาท และก็ถูกจับกุมฝากขังไว้ที่เรือนจ�ำชัยนาท ก่อนจะ น�ำตัวลงมากรุงเทพฯ ในระหว่างพันธนาการนั้นเอง ป๋วยก็ได้พบกับครูเทียม ส่งศิริ (เคยคุมทีม ฟุตบอลรุ่นเล็ก) นั่งอยู่ในเรือข้าง ๆ กับป๋วย ป๋วยไม่กล้าทักทายท่าน เพราะกลัวจะพานให้ ท่านล�ำบาก แต่ท่านก็กลับกระซิบถามข่าวคราว ของน้องภรรยาของท่าน ซึ่งป๋วยได้ตอบโกหกไป เพราะน้องภรรยาของท่านก�ำลังจะกระโดดร่ม ตามหลังป๋วยลงมาในไม่ช้า เมื่อต�ำรวจน�ำตัวป๋วยมาส่งที่กองต�ำรวจสันติบาล ในกรุงเทพฯ ผู้ที่มารับตัวป๋วยไปคุมขังต่อ มีนามว่า พโยม จันทรัคคะ (ไม่ปรากฏชื่อในท�ำเนียบอัสสัมชนิก) เป็นรุ่นพี่ในแผนกฝรั่งเศสของป๋วย รู้จักมักคุ้นพอประมาณ เมื่อเงยหน้ามาพบกัน นายพโยมก็ส่งภาษาฝรั่งเศสบอกป๋วยว่า ไม่เป็นไร พวกเราทั้งนั้น ค�ำว่า พวกเราทั้งนั้น ในที่นี่ช่างมีความหมายยิ่งนัก นายพโยม จันทรัคคะ มีต�ำแหน่งเป็นสารวัตรของกองต�ำรวจสันติบาล อยู่ภายใต้ รองผู้ก�ำกับการจ�ำรัส มัณฑุกานนท์ (อัสสัมชนิกเลขที่ 5188) ซึ่ง เรื่องราวที่ป๋วยถูกจับกุมและให้ส่งตัวจากชัยนาทเข้ามาที่กรุงเทพฯนี้ จะต้องรายงานขึ้นตรงต่ออธิบดีกรมต�ำรวจ หลวงอดุลเดชจรัส (อัสสัมชนิกเลขที่ 1257) เมื่อป๋วยได้ทราบสายบังคับบัญชาดังนี้แล้ว ป๋วยแซวไว้อย่างน่ารักว่า โทษโพยอย่างไรคงไม่รุนแรงกว่าถูกยืนเสา จากสี่โมงถึงห้าโมงเย็นเป็นแน่ ซึ่งเป็นการลงโทษตามปกติสมัย เมื่อยังเป็นนักเรียน ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “อัสสัมชนิกตลอดทาง” ป๋วย อึ๊งภากรณ์


UNSEEN ASSUMPTION 281 ระหว่างที่ป๋วยได้รับการจับกุมคุมขังอยู่ที่กรุงเทพฯ นั้น ได้รับค�ำสั่ง โดยตรงจากหลวงอดุลฯ ว่าให้ดูแลเป็นอย่างดี อย่าให้มีความเดือดร้อน ใด ๆ แต่ภายนอกให้ถือเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ การติดต่อกับหลวงอดุลฯ จะติดต่อกันโดยตรงไม่ได้ จะต้องด�ำเนินการผ่านนายพโยมซึ่ง หลวงอดุลฯ ทราบว่าชอบพอกันกับป๋วย นายพโยมจึงมีหน้าที่ในการไปรับ ไปส่งป๋วยตามที่ต่าง ๆ เพื่อตบตาญี่ปุ่นบ้าง ปฏิบัติงานเสรีไทยบ้าง ติดต่อกับนายปรีดี พนมยงค์ บ้าง ฯลฯ ครั้งหนึ่งพวกญี่ปุ่นต้องการตัวป๋วยไปสอบสวนซึ่งมีนายทหารไทย นั่งร่วมด้วย จึงมีการเตรียมเรื่องเท็จให้ป๋วยต่าง ๆ นานา โดยมี หลวงอดุลฯ และบรรดาอัสสัมชนิกแวดล้อมรู้เห็นเป็นใจด้วย ป๋วย เล่าว่า เมื่อเห็นล่ามญี่ปุ่นแล้วใจหายวาบ เพราะล่ามคนนั้นคือ ฮาตาโน (อัสสัมชนิกเลขที่ 8971) บ้านอยู่ปากตรอกโรงเรียนอัสสัมชัญ เคยเล่นลูกหินด้วยกัน ฮาตาโนเข้ามาทักทายป๋วยเป็นอย่างดีถามทุกข์สุข ต่าง ๆ รวมทั้งข่าวคราวของโรงเรียนอัสสัมชัญด้วย เมื่อนายทหาร ญี่ปุ่นเข้ามาสอบสวน ป๋วยก็ร่ายเพลงยาวที่เตรียมกันเป็นตุเป็นตะ ไว้แล้ว ให้ฮาตาโนแปลให้นายทหารญี่ปุ่นฟัง ญี่ปุ่นฟังแล้วก็ยิ้ม เป็น อันว่า ภารกิจในครั้งนี้ส�ำเร็จเสร็จสิ้นก็ด้วยอัสสัมชนิกอีกเช่นเคย จากซ้าย ร.ต.ประทาน เปรมกมล, ร.ต.ส�ำราญ วรรณพฤกษ์, ภราดาจอห์น, เจษฎาธิการไมเกิล, เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์, และ ร.ต.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่กรุงเดลี ประเทศอินเดีย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ขณะกล่าวค�ำไว้อาลัยในงานมรณภาพ ฟ.ฮีแลร์ ณ หอประชุมสุวรรณสมโภช โรงเรียนอัสสัมชัญ เรื่องราวของป๋วย อึ้งภากรณ์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ หาก ปราศจากความช่วยเหลือ ร่วมมือร่วมใจกันของบรรดาพี่น้องและ เพื่อนฝูงอัสสัมชนิกด้วยกันแล้ว การก็คงจะส�ำเร็จไปไม่ได้เลย ชีวิต ของป๋วยก็อาจจะหาไม่เช่นกัน ป๋วยเริ่มต้นภารกิจอย่างเอาบุญ เมื่อ ได้มีใจคิดถึงและไปหาบราเดอร์ไมเกิลและบราเดอร์ฮีแลร์ตั้งแต่ ต้นทาง ในระหว่างทางก็ได้เจอบรรดาอัสสัมชนิกต่าง ๆ นานา ตั้งแต่ นายต�ำรวจผู้ควบคุมตัว ไปจนถึงอธิบดีกรมต�ำรวจ และที่ไหนจะได้นึก กันเล่า ว่าล่ามที่มานั่งแปลภาษาในตอนที่นายทหารญี่ปุ่นสอบสวน จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอัสสัมชัญด้วย ในอีกทาง ท่านผู้อ่านคงพอได้รับทราบแล้วกระมังว่า โรงเรียนอัสสัมชัญ ได้ผลิตบุคลากรออกไปช่วยกันท�ำประโยชน์เพื่อประเทศชาติมาก เพียงใด ในปัจจุบันและอนาคตกาลคงมีแต่อัสสัมชนิกเช่นพวกเรา เท่านั้นกระมังที่จะทรงคุณงามนี้ได้ต่อไป


282 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ - มิสเตอร์อาเซียน “ความประทับใจในอัสสัมชัญ” ถนัด คอมันตร์ หรือนามเดิม ถนัดกิจ คอมันตร์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914 เป็น บุตรของพระยาพิพากษาสัตยาธิปไตย (โป๋) กับ คุณหญิงถนอม เด็กชายถนัดกิจสามารถอ่านออก เขียนได้ตั้งแต่ยังไม่ถึงวัยเข้าโรงเรียน และเริ่ม ศึกษาที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ จนกระทั่ง ส�ำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงย้ายเข้าเรียนต่อ ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ขึ้นทะเบียนเป็นอัสสัมชนิกเลขที่ 7066 เนื่องจากบิดาของท่านได้เล็งเห็นความส�ำคัญของ การออกไปศึกษายังต่างประเทศ เด็กชายถนัดกิจ จึงได้เข้าเรียนในแผนกภาษาฝรั่งเศส แต่ท่านก็ไม่ต่างจากเด็กไทย ทั่วไปในยุคนั้น ที่ใคร่จะชอบเรียนภาษาไทยมากกว่า แม้จะเรียนเพียง แค่สัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมงโดยมีท่านมหาทองศุข (มหาศุข ศุขสิริ) เป็น ผู้สอน ซึ่งสามารถจูงใจนักเรียนให้แข่งขันกันในทางที่ดี หากนักเรียน คนใดสามารถเขียนโคลงกลอนหรือบทความได้โดดเด่น ก็จะน�ำ ผลงานนั้นไปลงตีพิมพ์ในหนังสืออัสสัมชัญ อุโฆษสมัย ท�ำให้เป็นที่ ภาคภูมิใจ และ “สามารถโอ้อวดชูคอได้ไม่สิ้นสุด” ส�ำหรับทางด้านครูฝรั่งเองนั้น เด็กชายถนัดกิจประทับใจท่านเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์เป็นที่สุด เพราะท่านสามารถพูดภาษาไทยได้อย่าง คล่องแคล่ว อีกทั้งท่านก็เป็นอาจารย์ปกครองที่เข้มงวดกวดขันใน เรื่องความประพฤติและระเบียบวินัย เป็นที่รักของนักเรียน และใน ขณะเดียวกันก็เป็นที่เกรงใจกลัวด้วย ในภาพรวมแล้ว สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในอัสสัมชัญสถานคือ เรื่อง ของความมีระเบียบวินัย ถนัดกิจบอกว่า เป็นสิ่งที่ติดตัวนักเรียน อัสสัมชัญไปทุกคน รวมทั้งเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย ความ เสมอภาคในโรงเรียน นักเรียนทุกคนเข้ากันได้ อย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นลูกเจ้าขุนมูลนาย เศรษฐี หรือยาจก ทั้งหมดจะได้รับการอบรม ให้รักกันโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น ทั้ง ๆ ที่ ในขณะนั้นประเทศไทยยังปกครองในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ด้วยซ�้ำ ถนัดกิจเล่าว่า เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ มีหม่อมเจ้า พระองค์หนึ่งมีริมฝีปากที่ไม่หุบ เพื่อน ๆ ทุกคน ทุกฐานะก็จะเรียกท่านว่า “ไอ้แบะ” ซึ่งท่านก็ไม่ได้ ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด ส�ำหรับนักเรียน อัสสัมชัญแล้ว ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่มีความส�ำคัญ ไม่มีการใช้ค�ำราชาศัพท์กัน เว้นแต่จะเป็นการล้อเลียนกันเท่านั้นเอง ความประทับใจในอัสสัมชัญนี้ได้ติดตัวเด็กชายถนัดกิจ คอมันตร์ ไปด้วย เมื่อได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2471 หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ขณะนั้น มีอายุเพียง 14 ปี ถนัดกิจเข้าเป็นนักศึกษาวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัย บอร์โด ใน ค.ศ. 1933 ขณะนั้นมีนักเรียนกฎหมายในฝรั่งเศส ประมาณ 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอัสสัมชนิกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ทวี ตะเวทิกุล (อัสสัมชนิกเลขที่ 3602), เสริม วินิจฉัยกุล (อัสสัมชนิก เลขที่ 3748), กัลย์ กุญชร ณ อยุธยา (อัสสัมชนิกเลขที่ 4811), ประยูร กาญจนดุล (อัสสัมชนิกเลขที่ 5292) กนต์ธีร์ ศุภมงคล (อัสสัมชนิกเลขที่ 7213) เป็นต้น ขณะที่ถนัดกิจก�ำลังท�ำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกทางกฎหมายอยู่ ได้หลบหนีภัยสงครามออกจากกรุงปารีส ไปหาที่สงบเงียบเพื่อให้ ตัวเองได้มีสมาธิกับการศึกษา เมืองที่ถนัดกิจเลือกคือเมืองปัวติเย (Poitiers) ในจังหวัดเวียนน์ (Vienne) อันเป็นจังหวัดเดียวกับบ้านเกิด ถนัด คอมันตร์ ขณะก�ำลังศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศส


UNSEEN ASSUMPTION 283 ของเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ หลังจากไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสได้ 12 ปี ถนัดกิจ เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อ ค.ศ. 1940 เริ่มต้นท�ำงานในกระทรวงการ ต่างประเทศ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นถนัด คอมันตร์ ต่อมานายทวี ตะเวทิกุล ได้ชักชวน ให้ไปร่วมงานในต�ำแหน่งเลขานุการโทที่สถานเอกอัครราชทูตประจ�ำกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ใน ค.ศ. 1942 ร่วมกับรุ่นพี่หัวหน้าคณะอย่างนายดิเรก ชัยนาม ในขณะนั้นเพิ่งมีอายุได้เพียง 28 ปี แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังงานเลขานุการโทประจ�ำ สถานทูต คือการด�ำเนินงานเสรีไทยที่ท�ำงานกันภายใต้จมูกของญี่ปุ่น สงครามโลกครั้งที่ 2 ท�ำให้ถนัด คอมันตร์ ได้ตระหนักถึงสันติภาพและความมั่นคง ของประเทศชาติ แต่ถนัดมีวิสัยทัศน์ไปไกลกว่านั้น เพราะโลกในยุคสงครามเย็น ไม่อาจปฏิเสธการปะทะสังสรรค์ของนานาชาติได้ โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค ถนัด คอมันตร์ เป็นแรงผลักดันส�ำคัญในการจัดตั้งสมาคมอาสา (ASA, Association of South East Asia) ใน ค.ศ. 1961 เพื่อความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม ต่อมาได้ขยับขยายเป็นองค์กรทางการเมืองเต็มตัวเพื่อต่อต้านการ แพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นผลจากการ ลงนามในปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1967 ซึ่งถือว่าเป็นการก่อตั้ง สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN, Association of Southeast Asian Nations) บทบาทของถนัด คอมันตร์ ในการ ผลักดันความร่วมมือในระดับภูมิภาคนี้ จึงกลายเป็นที่มาของฉายา “มิสเตอร์อาเซียน” และถือว่าเป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งอาเซียนด้วยเช่นกัน ถนัด คอมันตร์ ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2016 ถนัด คอมันตร์ เป็นหนึ่งในอัสสัมชนิกที่มีชื่อเสียงอีกท่าน ที่หากได้มองย้อน กลับไปแล้วก็จะพบว่า พื้นฐานในวัยเด็กจากสิ่งที่ไดัรับและเรียนรู้จากอัสสัมชัญนั้นตาม ติดตัวไปเป็นรากแก้วอันแข็งแกร่งที่ท�ำให้ท่านทั้งหลายพร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อไป และแม้เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ค�ำว่าอัสสัมชัญ อัสสัมชนิก ก็ยังวนเวียนแวดล้อม อยู่อย่างไม่จากไปไหน เป็นคุณงามที่อัสสัมชัญและอัสสัมชนิกทั้งในวันนี้และวันหน้า จะได้ช่วยส่งต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด รูปจากสิริลักษณา คอมันตร์. (2559) แต่พ่อที่รักของลูก. หน้า 96 ประธานในพิธีมอบรางวัลเรียนดี หอประชุมสุวรรณสมโภช


จากอดีตสู่ปัจจุบันของอาคารโรงเรียนอัสสัมชัญ ตึก ฟ.ฮีแลร์ ประตูใหญ่รุ่น 1 ประตูใหญ่รุ่น 2 ประตูใหญ่รุ่น 3 ประตูใหญ่รุ่น 4 ตึกเก่า


โรงเล่น ตึกสุวรรณสมโภช ตึก 2003 อาคารนักบุญหลุยส์-มารีย์ อาคารเรือนไม้ 3 ชั้น ตึกเตี้ยรุ่นแรก โรงโภชนาคาร ตึก 100 ปี ตึกเตี้ยรุ่นสอง


286 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ASSUMP TION


UNSEEN ASSUMPTION 287 ทีมฟุตบอลโรงเรียนอัสสัมชัญ ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี ค.ศ. 2017 อัสสัมชัญวันนี้


288 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น (บน) การเข้าแถวเคารพธงชาติของนักเรียน เมื่อปี การศึกษา ค.ศ. 2019 (ขวา) นักเรียนกำลังนั่งฟังประกาศตอนเช้าก่อนเข้า ห้องเรียน ท่ามกลางความแออัดของพื้นที่ ขณะ กำลังสร้างอาคารนักบุญหลุยส์-มารีย์ ภาพถ่ายเมื่อ ปีการศึกษา ค.ศ. 2006


UNSEEN ASSUMPTION 289


290 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น อัฒจันทร์กับเด็กนักเรียนอัสสัมชัญ (ภาพบน) นักเรียนเชียร์และแปรอักษร รุ่น 136 ถ่ายเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 (ภาพล่าง) นักเรียน ม.6/3 รุ่น 99 จบปีการศึกษา ค.ศ. 1984 ปีการศึกษา ค.ศ. 2006 วันอำลาตึกร้อยปีส่วนสุดท้าย (โรงอาหาร) ก่อนทางโรงเรียนจะรื้อถอนออก ได้เกิด เหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อนักเรียนระดับชั้น ม.ต้น นำ สีมาเขียนข้อความที่ผนังตึกกันอย่างสนุกสนาน ด้วยเข้าใจว่าเขียนเพื่อให้เป็นการอำ ลาตึก ซึ่งทาง โรงเรียนไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน เพราะผนังตึกไม่ใช่ที่จะ เอาไว้เขียนเล่น งานนี้ฝ่ายปกครองร่วมกับสภานักเรียน และฝ่ายเชียร์และแปรอักษร ช่วยกันนำ ตัวผู้กระทำ มาลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ นานา สุดแท้แต่ที่ท่านจะ นึกออก ก่อนจะให้ผู้กระทำ ไปขัดสีตึกที่ตนเขียนจนกว่า จะออก สะอาดเรียบร้อยดังเดิม


UNSEEN ASSUMPTION 291 นักเรียนอัสสัมชัญรุ่น 100 ปี


292 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ประดู่แดง ประดู่แดง บันทึกเก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึง ต้นประดู่ในโรงเรียนอัสสัมชัญ ระบุถึง การมีต้นประดู่ตั้งแต่ ค.ศ. 1901 [“ความหลังยังจำ ได้” โดย เจือ ฉั่วประยูร ในอุโฆษสาร 1952 หน้า 157-161] สำ หรับในสมัยใกล้ปัจจุบัน (ราว ค.ศ. 1990-2007) ต้นประดู่แดงได้กลายเป็น ต้นไม้ต้นสุดท้ายที่เป็นความทรงจำ ร่วมกันของนักเรียนอัสสัมชัญ เมื่อ คราวใดที่ต้นประดู่แดงผลิดอกสีแดง บานเต็มต้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของช่วง เวลาแห่งการสอบ รวมทั้งเป็นสัญญาณ ที่บ่งบอกว่า นักเรียนอัสสัมชัญอีกรุ่น กำ ลังจะสำ เร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้ (ประดู่แดงจะออกดอกในช่วงเดือน มกราคม - มีนาคม) ด้วยลำต้นที่สูงใหญ่ ดอกสีแดงที่เด่นชัด ทั้งยังพ้องกับ หนึ่งในสีประจำ โรงเรียน จึงเป็นภาพที่ เข้าไปอยู่ในความทรงจำช่วงเวลาสุดท้าย ของการเป็นนักเรียนอัสสัมชัญ ต้นประดู่ แดงต้นสุดท้าย (ในรูป) ถูกตัดเมื่อ ค.ศ. 2007 แม้จะมีการปลูกขึ้นใหม่ แต่คงต้อง ใช้เวลาอีกสักระยะ กว่ามันจะสูงใหญ่ และผลิดอกสีแดงเต็มต้น ภาพถ่ายราว ค.ศ. 2005


UNSEEN ASSUMPTION 293 ไฟไหม้อาคารนักบุญ หลุยส์-มารีย์ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2006 เวลาประมาณ 15.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารนักบุญหลุยส์-มารีย์ ขณะกำลังก่อสร้างบริเวณชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นสถานที่ สำ หรับจัดเก็บวัสดุก่อสร้างจำ พวกท่อแอร์ ฉนวนกันความร้อน และฝ้าเพดาน นายณัฐวุฒิ จันทร์ลอย อายุ 38 ปี คนงานบริษัทเพาเวอร์ ไลน์ เอนจิเนียร์ริ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับเหมา ก่อสร้างอาคาร ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุมีคนงาน ประมาณ 5 - 6 คน กำ ลังทำ งานเชื่อมท่อ น้ำ ประปาดับเพลิงอยู่ในบริเวณชั้นที่ 6 ซึ่ง ขณะเชื่อมอยู่นั้น สะเก็ดไฟได้กระเด็นไปโดน ฉนวนกันความร้อนซึ่งอยู่ใกล้กัน ทำ ให้เกิด ประกายไฟลุกลามขึ้นมาจนไม่สามารถ ควบคุมได้ ทางโรงเรียนประกาศให้ยุติ การเรียนการสอนและปล่อยนักเรียนกลับบ้าน ทันที การอพยพนักเรียนของโรงเรียนจำ นวน 3,500 คน ออกจากโรงเรียนได้รับการดูแล ความเป็นระเบียบเรียบร้อยจากครูและนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ช่วยดูแลน้องๆ และ ประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่ มาถึงที่เกิดเหตุจึงทำการฉีดน้ำ เพื่อสกัดเพลิง โดยใช้เวลาอยู่ประมาณ 20 นาที จึงสามารถ ควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ ในครั้งนี้ไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่อย่างใด


294 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น รวม 39 ชมรม งานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนสรุปรายชื่อชมรม ปีการศึกษา 2563 ล�ำดับ ชื่อชมรม ชื่อชมรม (ภาษาอังกฤษ) 1 Economics Business Economics Business 2 ภูมิศาสตร์น่ารู้กับ Google Earth Let’s have fun with Geography x Google Earth! 3 เล่าเรื่องจากภาพถ่าย Tell story for the photo 4 มองชีวิตผ่านฟิล์ม Life Real Film 5 สังคมและนวัตกรรม Social and Innovation (ACSC) 6 SPACE AC SPACE AC 7 ไทยรื่นเริง Joyful Thai 8 กวีรุ่นเยาว์ Young Poet 9 แคปชั่นคำคม Quotes caption 10 เด็กช่างพูด Creative Speaking 11 คนช่างเขียน The little writer 12 AC Thai Music AC Thai Music 13 AC Gundam AC Gundam 14 Non Electric Music Non Electric Music 15 เอซี โพล จูเนียร์ AC Poll Junior 16 English through movies English through movies 17 English Board Games English Board Games 18 Crossword Crossword 19 A-Math A-Math 20 หมากล้อม Go 21 ซูโดกุ Sudoku 22 โอริกามิ Origami 23 Plants for Life Plants for Life 24 ธรรมะกับธรรมชาติ Philosophy and nature 25 Power Teen Power Teen 26 ไฟฟ้าคิดสนุก Fun Electricity Club 27 เครื่องร่อนเหินเวหา Sky glider 28 กราฟิกคิด Graphic Kids 29 Creative mobile Creative mobile 30 AC Robot AC Robot 31 D.I.Y. แบบลูกผู้ชาย D.I.Y. for boys 32 กีฬาวอลเลย์บอล Volleyball 33 E-SPORT PUBG MOBILE E-SPORT PUBG MOBILE 34 ฟุตซอล Futsal 35 บาสเกตบอล Basketball 36 เสวนารูปแบบการออกกำลังกาย Health Discussion 37 Chinese 2020 Chinese 2020 38 อัศวินแห่งศีลมหาสนิท The Knights of the Blessed Sacrament (K.B.S) 39 AC Band AC Band


UNSEEN ASSUMPTION 295 ล�ำดับ ชื่อชมรม ชื่อชมรม (ภาษาอังกฤษ) 1 ภูมิศาสตร์โอลิมปิก iGeo 2 AC Singha AC Singha 3 สังคมและนวัตกรรม Social and Innovation (ACSC) 4 ชมรมพุทธศาสตร์ Buddhist Club 5 SPACE AC SPACE AC 6 นั่งคุย ชวนคิด ลองเห็นต่างกับประวัติศาสตร์นอกกระแส Various Perspectives from histories 7 หมากล้อม Go 8 A-Math A-Math 9 คณิตศาสตร์เพื่อการแข่งขัน Mathematics for Competition 10 ตะลอนตลาด Let’s go Market 11 อาสาจะทำ-อัสสัมชัญอาสาพัฒนา Assumption College Volunteer Club 12 AC ED TECH AC ED TECH 13 คอมพิวเตอร์โอลิมปิก Computer Olympiad 14 AC Robot AC Robot 15 ชีววิทยาในชีวิตประจำวัน Biology in Everyday Life 16 ฟิสิกส์โอลิมปิก Physics Olympic 17 ชีววิทยาโอลิมปิก BIOLYMPIADS 18 ดาราศาสตร์โอลิมปิก Astronomy Olympiad 19 เคมีโอลิมปิก Olympic Chemistry 20 Aeronautics (Drone) Aeronautics (Drone) 21 Recycle science Recycle science 22 ACO ACO 23 ART Club ART Club 24 กระบี่-กระบอง ART & FIGHT AC 25 AC หัวใจศิลป์ AC Art Heart 26 ดนตรีเข้าเส้น Music addiction 27 การละคร AC Drama Club 28 อินเตอร์แร็ค Interact Club 29 กอล์ฟ Golf 30 ท่องโลกฝรั่งเศส Films français 31 คาเฟ่ภาษา English Cafe’ 32 Crossword Crossword 33 AC Boardgamers AC Boardgamers 34 AC Singing and Dancing AC Singing and Dancing 35 ภาษาและวัฒนธรรมไทย Thai Language and Culture 36 นักปั้นเรื่อง Writers’ Club 37 คำคม Thai Board Game 38 กล้าวรรณกรรม Literature Composition and Comprehension 39 วรรณกรรมและการขับร้อง Fork-lore and Thai literature 40 วรรณศิลป์ The Poet 41 แบดมินตัน Badminton 42 นักกีฬาฟุตบอล Football 43 E-SPORT E-SPORT 44 ยุวนักเรียนคาทอลิก Young Catholic Student (Y.C.S) 45 AC Band AC Band 46 ยุวพยาบาล Red cross youth 47 Dream Design Dream Design ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม 47 ชมรม


296 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น AC DRAMA CLUB ชมรมต่างๆ ชมรมการละคร ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 2008 โดยเริ่มจาก สมาชิกกลุ่มเล็กๆ ที่มีแนวคิดที่จะสร้างสรรค์และพัฒนา ผลงานละครเวทีเยาวชน ให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ออกสู่ สาธารณชน โดยพัฒนาเป็นละครที่มีความสมบูรณ์แบบ ในการอำ นวยการสร้าง การบริหาร การกำกับการแสดง และองค์ประกอบทั้ง ฉาก แสง เสียง เครื่องแต่งกาย และ ดนตรีประกอบ โดยเริ่มพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานเรื่องแรก “อสช The Unintended” จนกระทั่ง ค.ศ. 2018 มีผลงานเรื่อง “ดรีมสเตจ” ในโอกาสครบรอบ 10 ปี แห่งการก่อตั้งจวบจนปัจจุบัน กว่า 13 ปี ชมรมการละคร มีผลงานจัดแสดงไปแล้วกว่า 38 เรื่อง (ติดตามผลงาน ได้ทาง Facebook: LakornAssump) QR CODE #41


Click to View FlipBook Version