UNSEEN ASSUMPTION 197 ทุกวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันหยุดของทางโรงเรียน นักเรียนที่สมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหารชั้นปี 1 และปี 2 จะต้องมาฝึกวิชาทหารที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกของท้องที่ในละแวกนี้ โดยมีโรงเรียนอื่นใกล้เคียง มาร่วมฝึกด้วย มีมาสเตอร์อดินันท์ แสงหิรัญ เป็นผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหาร ราว ค.ศ. 1960
198 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เพื่อลดความแออัดของนักเรียน ทางโรงเรียนแยก นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาไปที่บริเวณสนาม วิลล่า มงฟอร์ต (สาทร ซอย 11) เปิดการสอน ครั้งแรกใน ค.ศ. 1966 ภาพบนคือ พิธีเปิดอาคาร มาร์ติน เดอ ตูรส์ อาคารเรียนหลังแรก โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
UNSEEN ASSUMPTION 199 โรงเรียนอัสสัมชัญตั้งแผนกพาณิชย์ขึ้นใน ค.ศ. 1938 แต่ทาง กระทรวงศึกษาธิการท้วงติงมาเสมอให้แยกออกไปเป็นอีก โรงเรียนหนึ่ง จึงได้มีการสร้างโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ (Assumption Commercial College: ACC) โดยในช่วงแรก ใช้บุคลากรของโรงเรียนอัสสัมชัญ อัสสัมชัญพาณิชย์ ภาพถ่ายนักเรียนอัสสัมชัญแผนกพาณิชย์ บริเวณดาดฟ้าตึกเตี้ย ใน ค.ศ. 1941 ขบวนเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ตั้ง อัสสัมชัญพาณิชย์ ในปัจจุบัน
200 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ภาพถ่ายคณะครูและ นักเรียนในความทรงจำ ครูสตรีเริ่มมีบทบาทหน้าที่ในโรงเรียนอัสสัมชัญ QR CODE #24
UNSEEN ASSUMPTION 201
202 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น การถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ในวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี ณ ลาน พระบรมรูปทรงม้า เป็นธรรมเนียมของนักเรียนใน โรงเรียนเครือจตุรมิตร อันประกอบด้วย - โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย - โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย - โรงเรียนอัสสัมชัญ - โรงเรียนเทพศิรินทร์
UNSEEN ASSUMPTION 203 ทุกปี โรงเรียนอัสสัมชัญร่วมกับโรงเรียนในเครือจตุรมิตร ประกอบด้วยนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา กองร้อย พิเศษ และ AC Band จะร่วมถวายบังคมวันปิยมหาราช ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ม.วิเชษฐ์ อรสว่าง ผู้ควบคุม AC Band เดินปิดท้ายขบวนถวายบังคม
204 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ทีมฟุตบอลอัสสัมชัญในงานฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี ฟุตบอลอัสสัมชัญขาขึ้นสุดๆ ในทศวรรษที่ 1930 - 1940 พร้อมๆ กับ กระแสของความเป็นชาติ ที่รัฐบาลสมัยคณะราษฎรต้องการให้ราษฎร สุขภาพดีจากการออกกำ ลังกาย และฟุตบอล ช่วยชาติ ที่จัดเก็บรายได้จากการเข้าชมฟุตบอล เพื่อนำ ไปทำสาธารณประโยชน์ อัสสัมชัญขานรับกระแสของคณะราษฎร ทุกประการ เราไปเตะฟุตบอลเพื่อเก็บเงินมาซื้อ ปืนกลและอาวุธยุทโธปกรณ์ เตะฟุตบอลเพื่อบำ รุง การบินแห่งชาติ เตะฟุตบอลเพื่อบำ รุงกองทหาร สื่อสาร เตะฟุตบอลปราบวัณโรค เป็นต้น นอกจากนี้ถ้วยรางวัลที่ได้รับก็มาจากบุคคลสำคัญ ของประเทศหลาย ๆ ท่าน ด้วยกัน เช่น ปรีดี พนมยงค์, จอมพล ป.พิบูลสงคราม, ดิเรก ชัยนาม, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์, วณี เลาหเกียรติ (นางสาวสยาม), สมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชร์บูรณ์อินทราไชย, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต, สุชาติ กรรณสูต ฯลฯ ภาพถ่ายนักกีฬาฟุตบอล บนหลังคาตึกเตี้ย ถ่ายจากด้านตึกกอลมเบต์ไปทางตึกเก่า เห็นต้นจามจุรี ประมาณ ค.ศ. 1938 - 1940 พร้อมภราดาฮิวเบิร์ต (ซ้าย) และภราดา ยอห์น แมรี่ (ขวา) นักฟุตบอลอัสสัมชัญ
UNSEEN ASSUMPTION 205 ภราดาอามาเดโอ และนักกีฬาบาสเกตบอล พร้อมถ้วยรางวัล
206 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ร้านน้ำ บ๊วย (มะนาวดอง) ขายอยู่ตรงสามแยกก่อนถึง โรงแรมโอเรียนเต็ล แก้วละ 1 สลึง พิเศษ 2 สลึง (ซึ่งจะ เข้มข้นและมีเนื้อมะนาวดอง) ตรอกขี้หมา หรือซอยระหว่างหลังอาสนวิหารอัสสัมชัญ กับโรงเรียน คับคั่งไปด้วยร้านค้าขายของต่างๆ เช่น แป๊ะ ขายผลไม้ ร้านขายน้ำ ถั่วแขกปากแดง ร้านแป๊ะอ้วน ลูกชิ้น โอเด้ง ก๋วยเตี๋ยวถังแตก ฯลฯ
UNSEEN ASSUMPTION 207 บรรยากาศภายในโรงอาหารช่วงพักเที่ยง ไพศาล วงศ์วรวิสิทธิ์ อสช. 22517 (พระไพศาล วิสาโล) ขณะเรียนอยู่ชั้น ม.ศ. 5 ค.ศ. 1974 รอบรั้วแดง-ขาว
208 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น พิมพ์ดีดปัตตะโชติ “แป้นพิมพ์ปัตตะโชติ” คิดค้นโดยสฤษดิ์ ปัตตะโชติ เนื่องจากสฤษดิ์ได้ทำ วิจัยแป้นพิมพ์เกษมณี ที่คิดค้นโดยสุวรรณประเสริฐ เกษมณี ตั้งแต่ ค.ศ. 1931 พบว่ามีการใช้งานมือขวามากกว่ามือซ้าย และนิ้วก้อยขวาจะถูกใช้งานหนัก ด้วยเหตุนี้จึงได้ประดิษฐ์แป้นพิมพ์ปัตตะโชติขึ้น สำ เร็จเมื่อ ค.ศ. 1965 โดยเฉลี่ยให้ทั้งสองมือใช้งานเท่า ๆ กัน และให้ลำดับนิ้วที่ใช้บ่อยคือนิ้วชี้ แล้วไล่ลงไป ที่นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยที่ใช้งานน้อยที่สุด นอกจากนี้การวิจัยของสภาวิจัยแห่งชาติ ชี้ให้เห็นว่าแป้นพิมพ์ปัตตะโชติสามารถพิมพ์ได้เร็วกว่าแป้นพิมพ์เกษมณีถึง 25.8% และยังช่วยลด อาการปวดนิ้วมือจากการพิมพ์ได้ แต่เนื่องจากความเคยชินในการใช้แป้นพิมพ์เกษมณี ที่แพร่หลาย ก่อนหน้านั้นแล้ว จึงทำ ให้แป้นพิมพ์ปัตตะโชติไม่เป็นที่นิยมใช้ เริ่มสอนพิมพ์ดีดวิชาพาณิชยการในชั้นสูงสุดของโรงเรียน กลับบ้านผ่านประตูใหญ่
UNSEEN ASSUMPTION 209 เดี๋ยวพี่ไปส่งนะน้อง QR CODE #25 ภาพกิจกรรมรุ่นต่าง ๆ
210 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ในวาระที่โรงเรียนอัสสัมชัญอายุครบ 100 ปี ใน ค.ศ. 1985 มีการจัดฉลอง ตกแต่ง ประดับประดาโรงเรียนอย่าง สวยงาม ยิ่งใหญ่ พร้อมงานทำ บุญใหญ่ ของทุกศาสนา 100 ปี อัสสัมชัญ
UNSEEN ASSUMPTION 211 รื้อตึกเตี้ยออกเพื่อสร้างอาคารอัสสัมชัญ 100 ปี ที่มีโรงยิมภายในตัวอาคาร ซึ่งขึ้นชื่อว่าอากาศร้อนมาก
212 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 213
214 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 215 (ภาพซ้าย) ภาพถ่ายนักเรียนอัสสัมชัญทั้งโรงเรียน ในวาระฉลองโรงเรียนอัสสัมชัญครบ 100 ปี (ภาพบน) ลานเขียวเชื่อมระหว่างตึก ฟ.ฮีแลร์ กับตึกอัสสัมชัญ 100 ปี มีรูปปูนปั้นแม่พระอัสสัมชัญ ประดับเหนือทางเข้าตึกอัสสัมชัญ 100 ปี สารคดีประวัติ QR CODE #26 โรงเรียนอัสสัมชัญ
216 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ภาพถ่าย โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม และโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ ค.ศ. 1988
UNSEEN ASSUMPTION 217
218 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย (Echo de L’Assomption) หนังสือรวมบทความต่าง ๆ ในโรงเรียนและสังคม ส่วนใหญ่จะเป็นภาษา ฝรั่งเศสหรืออังกฤษเกือบทั้งเล่ม สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ ความคิดของ ชาวอัสสัมชัญและสังคมไทยในขณะนั้น เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ เป็น หัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการท�ำหนังสือ และมีสังฆราชเรอเน แปร์โรส เป็นบรรณาธิการ หากนักเรียนคนไหนมีฝีไม้ลายมือการแต่งร้อยแก้วและ ร้อยกรองเป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาคณาจารย์แล้ว ก็จะได้รับคัดเลือกให้ไป ตีพิมพ์ด้วย อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1913 ในระยะแรก จัดพิมพ์ปีละ 4 เล่ม ก่อนปรับลดลงเหลือ 3 และ 2 เล่ม จนยุติไปเมื่อ ค.ศ 1941 เนื่องจากไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 วารสารของโรงเรียน อ่านออกอย่างเดียวไม่พอ ยังต้อง “เขียนได้” ด้วย โรงเรียนอัสสัมชัญให้ก�ำเนิดนักเขียนส�ำคัญ ๆ มา หลายยุคหลายสมัย บ่มเพาะขัดเกลาความคิดและ จิตวิญญาณของสังคมไทยมาตลอดประวัติศาสตร์ของ โรงเรียน ด้วยเพราะว่าโรงเรียนอัสสัมชัญมีแหล่งรวมตัว ให้นักเรียนได้ฝึกหัดการเขียนผ่านวารสารต่าง ๆ ของ โรงเรียน แม้ว่าจะเว้นวรรคดับสูญไปตามกาลสมัย แต่ก็จะถือก�ำเนิดวารสารหัวใหม่เรื่อยมา อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย QR CODE #27
UNSEEN ASSUMPTION 219
220 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น แดง-ขาว เป็นวารสารรวมเรื่องของศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และ ครูของโรงเรียนอัสสัมชัญ เต็มไปด้วยเรื่องราวในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เก็บมาเขียนให้อ่านกัน และ เรื่องการหาหนทางฟื้นฟูโรงเรียนภายหลังจากสงคราม ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1946 มี ม.เฉลิมวงศ์ ปีตรังสี เป็นบรรณาธิการ พิมพ์ออกมาทุก ๆ 10 วัน จนกระทั่ง ปิดภาคเรียน ค.ศ. 1947 จึงยุติไป เพราะเห็นว่าท�ำไม่ไหว จึงไม่ได้ท�ำต่อ แดง - ขาว QR CODE #28
UNSEEN ASSUMPTION 221 อุโฆษสาร (Echoes) อัสสัมชัญกลับมามีหนังสือวารสารของโรงเรียนอีกครั้งใน ค.ศ. 1952 จัดท�ำโดยบรรดานักเรียน มีสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นบรรณาธิการเล่มแรก พยายามเลียนแบบให้เหมือนกับ อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย พระยาอนุมานราชธนเป็นผู้คิดชื่อหนังสือ โดยมี ฟ.ฮีแลร์เป็นผู้ตัดสินใจเลือกใช้อุโฆษสาร ท�ำต่อเนื่อง มาจน ค.ศ. 1955 ก็หยุดชะงักไป และกลับมาท�ำอีกครั้งใน ค.ศ. 1966 ต่อเนื่องไปจนถึง ค.ศ. 1980 จึงได้ยุติลงไป อุโฆษสาร QR CODE #29
222 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น อัสสัมชัญสาส์น ริเริ่มโดยนักเรียนชุมนุมภาษาและวัฒนธรรมไทย มี ม.ประถม โลจนานนท์ และ ม.ชาลี เชาวน์ศิริ ดูแล ออกฉบับแรกวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 โดยมีภราดาวิริยะ ฉันทวโรดม เป็นผู้ตั้งชื่อว่า อัสสัมชัญ สาส์น ในระยะแรกเน้นเนื้อหาไปที่ความรู้เกี่ยวกับภาษา วัฒนธรรม และความเป็นไทยต่าง ๆ รวมทั้งเป็นสะพาน เชื่อมความเข้าใจระหว่างครูกับนักเรียน ตีพิมพ์ต่อเนื่อง มาจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งได้ผันมาอยู่ในความดูแลของ อัสสัมชัญสาส์น ทางโรงเรียน QR CODE #30
UNSEEN ASSUMPTION 223 AC Echo เกิดการรวมตัวกันอีกครั้งของบรรดานักเรียนที่มี อุดมการณ์ในงานหนังสือ รวมกลุ่มกันภายใต้ชื่อ กอง บรรณาธิการ AC Echo เผยแพร่ครั้งแรกในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 AC Echo เน้นการตั้งค�ำถามเกี่ยวกับ สิ่งรอบตัวในโรงเรียนและสังคม ทั้งบุคคล สิ่งของ สถานที่ เรื่องราว ภาษาและวัฒนธรรม ตีพิมพ์ต่อเนื่องมา 7 ฉบับ สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 2014 AC Echo QR CODE #31
224 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เล่าเรื่อง วีรธรรม แรกเริ่ม คณะภราดาเซนต์คาเบรียลคิดจัดพิมพ์นิตยสารส�ำหรับเยาวชน ขึ้นฉบับหนึ่งคือ วีรธรรม เมื่อปลาย ค.ศ. 1956 โดยตั้งส�ำนักพิมพ์ ขึ้นภายในโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ มีบราเดอร์โรเบิร์ทเป็น บรรณาธิการ เป็นนิตยสารส�ำหรับนักเรียนและเยาวชนทั่วไป เนื้อหา ภายในเล่มประกอบด้วยความรู้ทั่วไป การ์ตูน ภาษาอังกฤษ เกมเล่น ต่างๆ ในรายการสรวลสันต์หรรษา ข่าวสั้น ความรู้ทั่วไป ฯลฯ วีรธรรมออกวางจ�ำหน่ายฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 เป็นนิตยสารรายปักษ์ ราคาฉบับละ 2.00 บาท จากนั้น จึงเปลี่ยนเป็นรายสัปดาห์ ราคาฉบับละ 1.00 บาท ในฉบับปฐมฤกษ์ มีค�ำโฆษณาสั้น ๆ ว่า “หนังสือพิมพ์ฉบับนี้จะเป็นเครื่องช่วยความ นึกคิดของผู้อ่าน บันเทิงปัญญา ส่งเสริมความคิดทางวิทยาศาสตร์ ช่วยคนให้รู้จักเป็นคน และมีการละเล่นเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ผู้อ่าน จะได้ประโยชน์เกินค่า เพื่อเยาวชนไทยเท่านั้น 16 หน้า อ่านชั่วโมงครึ่ง ก็ยังไม่จบ” ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ผู้ที่เคยเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม ปีที่ 3 จนถึงระดับมัธยมปลาย รวมทั้งผู้ปกครองที่ได้เคยเห็นและอ่าน วีรธรรม ตั้งแต่ ค.ศ. 1957 ถึง ค.ศ. 1973 จะรู้จักคุ้นเคยวีรธรรม เป็นส่วนมาก ไม่เว้นแต่นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญหรือโรงเรียนใน เครือเท่านั้น เพราะวีรธรรมถูกจัดจ�ำหน่ายไปทุกโรงเรียนทั่วประเทศ โดย ดาวุธ อสช. 22514 วีรธรรม QR CODE #32
UNSEEN ASSUMPTION 225 รูปแบบนิตยสารวีรธรรมมาจากไหน วีรธรรมนับเป็นนิตยสารฉบับแรก ๆ ที่ใช้รูปแบบจากยุโรปซึ่งมีการผลิต นิตยสารแบบนี้หลายประเทศในยุคนั้น และเนื่องจากความเป็น คณะมิสซังซึ่งมีเครือข่ายจากต่างประเทศอยู่แล้ว จึงไม่เป็นการยาก ในการจัดหารูปแบบ วัตถุดิบต่าง ๆ ในการเริ่มจัดท�ำนิตยสารลักษณะ เดียวกันเป็นฉบับภาษาไทย จากฉบับปฐมฤกษ์ เริ่มต้นเราได้เห็นรูปแบบของนิตยสารอิล วิททอริโอโซ (Il Vittorioso) ของอิตาลี ที่มีการน�ำการ์ตูนสอดสี มาพิมพ์ไว้ปกหน้าและหลัง เหมือนนิตยสาร “กองหน้าร่าเริง” พิมพ์ที่โรงพิมพ์อัสสัมชัญ ที่จัดท�ำออกมาก่อนหน้าไม่นาน ภายใน บรรจุบทความ ข้อมูลความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ทั่วไป ข่าว รอบโลก เรื่องข�ำขัน ฯลฯ ตามวัตถุประสงค์เพื่อเยาวชนไทย วีรธรรมซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนฝรั่งที่น�ำมาแปลพิมพ์ในเล่มจากนิตยสาร ดังกล่าวด้วย จากนั้นก็เห็นร่องรอยของการเริ่มน�ำการ์ตูนจาก ประเทศเบลเยียม ฝรั่งเศส และอเมริกา มาแปลพิมพ์ในนิตยสาร อีกด้วย วีรธรรมใช้รูปแบบของอิตาลีนี้อยู่ประมาณ 2 ปี ชื่อหัว หนังสือที่ปกจะพิมพ์อ่านว่า “วิรธรรม” แต่เท่าที่ส�ำรวจค�ำทั้งมวล ในเล่ม ก็จะพบเห็นว่าพิมพ์เป็น “วีรธรรม” มาตลอด จนกระทั่ง เมื่ออดิเรก อารยะมนตรี เริ่มท�ำภาพปกแรกให้กับวีรธรรม จึงได้ ปรับปรุงแก้ไขหัวหนังสือให้อ่านได้เป็น “วีรธรรม” ตั้งแต่ฉบับที่ 89 วันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1958 เป็นต้นมา ราคายังคงเป็นฉบับละ 1.00 บาท (ฉบับปิดภาคราคา 2.00 บาท) ช่วง 3 - 4 ปีแรก ไม่เพียง การ์ตูนฝรั่ง การ์ตูนไทยจากศิลปินการ์ตูนหลายท่านก็มีปรากฏ ให้เห็นในวีรธรรมโดยเช่นกัน นอกจากอดิเรก อารยะมนตรี ที่สร้าง ทั้งเรื่องสั้น เรื่องยาว ภาพประกอบ และกรอบการ์ตูนตลกแล้ว ยังมีนักวาดอีกหลายท่านผลัดกันมาร่วมสร้างสรรค์การ์ตูนให้ วีรธรรม อาทิ สากล อัตตปัญโญ สร้างการ์ตูน “จุ่น-ต้อย” ศิลปิน ที่ใช้นามปากกาว่า “เชย” ฯลฯ ท่านเหล่านี้ได้สร้างรอยยิ้มและ แรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยที่อ่านวีรธรรมอย่างมากมาย อดิเรก อารยะมนตรี อดิเรก อารยะมนตรี นักเขียนการ์ตูนไทยมีฝีมือ เป็นศิษย์เก่า โรงเรียนอัสสัมชัญ ได้มาเป็นผู้จัดรูปแบบและวาดหน้าปกนิตยสาร “วีรธรรม” โดยก่อนหน้า หรือราว ค.ศ. 1959 - 1962 อดิเรกเป็น ผู้สร้างการ์ตูนไทยเรื่อง “หนูเล็ก ลุงโกร่ง” ของส�ำนักพิมพ์บางกอก ที่โด่งดังในยุค ค.ศ. 1957 โดยสร้างเลียนแบบตัวการ์ตูนของวอลต์ ดิสนีย์ ขึ้นมาเป็นแบบไทย ๆ ...หนูเล็กมาจากมิกกี้ เมาส์ ... ลุงโกร่งก็มาจากกูฟฟี่ และอีกหลาย ๆ ตัวการ์ตูนดิสนีย์ มาสร้างเป็น เรื่องราวไทย ๆ ได้อ่านสนุกสนานในยุคนั้น
226 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น หลังจาก ค.ศ. 1959 เป็นต้นมา การ์ตูนอิตาลีก็เริ่มน้อยลงจนขาด หายไป กลายมาเป็นการ์ตูนฟรังโก-เบลจี (Franco-Belgie) เข้ามายึด พื้นที่การ์ตูนฝรั่งเรื่องเยี่ยม ๆ แทน เราได้พบเห็น “แต๋งแต๋ง” (ตินติน - The Adventures of TINTIN)) การ์ตูนที่ยังอยู่ยงคงกระพันจนทุก วันนี้ ในตอน “หูแหว่ง” หรือ The Broken Ear ของเออร์เจ (Herge) ลิขสิทธิ์จาก Casterman ประเทศเบลเยียม-ฝรั่งเศส เป็นครั้งแรกใน ประเทศไทย - เสือบินบั๊ค แดนนี่ (Buck Danny) - ปอมกับเท็ดดี้ ผจญภัย (Pom et Teddy) - มิเชล ไวยัง นักแข่งรถ (Michel Vaillant) ฯลฯ เราได้เห็นรูปแบบหน้าตาวีรธรรมเปลี่ยนโฉมเลียนตามอย่างนิตยสาร แตงแตง (Le Journal de TINTIN) จากฝรั่งเศส-เบลเยียม ตั้งแต่นั้นมา เพราะปรากฏภาพปกและเนื้อเรื่องแปลเดียวกันจากนิตยสารดังกล่าว หลายฉบับในวีรธรรมด้วยจนถึงประมาณ ค.ศ. 1962 การ์ตูน ฟรังโก-เบลจี ที่ตามมายังมีอีกหลายเรื่อง หลายตอน ทั้งสั้นทั้งยาว ถ้าพวกคนรุ่นเก่ายังจ�ำได้ก็มีตงกา หนุ่มจ้าวป่า (Tounga) พราน ไร้อาวุธ (Marc Franval) แดน คูเปอร์ (Dan Cooper) ฯลฯ การ์ตูน เหล่านี้ถือก�ำเนิดจากนิตยสารแตงแตงทั้งสิ้น และที่ส�ำคัญ การ์ตูน ฟรังโก-เบลจีเหล่านี้ วีรธรรมได้น�ำเสนอติดต่อกันมายาวนานจนถึง ใกล้ยุคสุดท้ายของนิตยสารราว ค.ศ. 1972 นอกจากนั้น การ์ตูนนิยายวิทยาศาสตร์ชุด แฟลช กอร์ดอน (Flash Gordon) ที่ก�ำเนิดโดย อเล็กซ์ เรย์มอนด์ (Alex Raymond) ชาว อเมริกัน ซึ่งเป็นการ์ตูนชุดใหม่ที่วาดโดย แดน แบรี่ (Dan Barry) ส�ำหรับ พิมพ์ลงหนังสือพิมพ์รายวันฉบับสุดสัปดาห์ในอเมริกายุคเริ่ม ค.ศ. 1960 ก็ถูกน�ำมาแปลให้เด็กไทยอ่านกันอย่างสนุกสนาน ตื่นเต้น และ เร้าใจ ปรากฏในวีรธรรมตั้งแต่ ค.ศ. 1959 เช่นกัน การ์ตูนจากค่าย ดิสนีย์ (Disney) เนื่องในโอกาสวันคริสต์มาส ภาพวาดบล็อกสารคดี ชุด “ชีวิตจริงผจญภัย” (True-Life Adventures) ก็ดี อีกทั้งชุด “ริบลีส์ เชื่อหรือไม่” (Ripley’s Believe It or Not!) ฯลฯ ก็ตามมา จนถึงการ์ตูนเรื่องฮิต “ป๊อปอาย (Popeye) ยอดกะลาสีเรือ” ที่ได้ถูก น�ำมาเสนอจนหมดยุคสุดท้ายของวีรธรรม ลิขสิทธิ์ล้วนมาจาก King Features Syndicate ของอเมริกา นิยายภาพเรื่องเยี่ยมของฮัลโรล ฟอสเตอร์ - เจ้าชายแวลเยนต์ Prince Valiant ก็ถูกน�ำมาแปลให้ฝึก อ่านกันในหน้าภาษาอังกฤษ เริ่มฉบับปิดภาคเรียนใน ค.ศ. 1967
UNSEEN ASSUMPTION 227 เปี๊ยก โปสเตอร์ (สมบูรณ์สุข นิยมศิริ) กลาง ค.ศ. 1961 ราคาจ�ำหน่ายได้ขยับเป็นฉบับละ 1.50 บาท (ฉบับปิดภาคราคา 3.00 บาท) จนกระทั่งปลาย ค.ศ. 1962 วีรธรรมได้ปรับปรุงโฉมครั้งใหญ่ น�ำบทความสารคดีจากนิตยสาร Look & Learn ของประเทศอังกฤษ ที่มีภาพวาดประกอบสารคดีที่ สวยงาม โรงพิมพ์ที่รับพิมพ์ภาพหน้าปกได้หาศิลปินวาดภาพหน้าปก คนใหม่ที่ชื่อ สมบูรณ์สุข นิยมศิริ หรือเปี๊ยก โปสเตอร์ ผู้ที่ก�ำลังรุ่ง ในฝีมือเขียนภาพประกอบเรื่องต่าง ๆ ด้วยสีโปสเตอร์ ใบปิดโฆษณา ภาพยนตร์ ฯลฯ มาวาดภาพจากปก หรือภาพประกอบเรื่องแปลต่าง ๆ ของนิตยสาร Look & Learn เพื่อท�ำเป็นภาพปกให้วีรธรรมตั้งแต่นั้นมา กล่าวได้ว่า หากภาพปกที่มิใช่ภาพการ์ตูนในเล่ม ภาพถ่าย หรือภาพ พระบรมฉายาลักษณ์แล้ว ภาพปกวีรธรรมประจ�ำฉบับจะเป็นภาพ วาดจากเปี๊ยก โปสเตอร์ แทบทั้งสิ้น ถือได้ว่าเป็น Signature ของ ภาพปกวีรธรรมในยุคนั้น หัวหนังสือวีรธรรมยุคนั้นจะเด่นมาก ด้วย ตัวหนังสือค�ำว่า “วีรธรรม” สีแดงสดบนพื้นขาวลอยอยู่มุมบนซ้ายมือ ส�ำหรับการ์ตูนฝรั่งในเล่มยังคงเข้มข้นด้วยการ์ตูนเด่นเรื่องประจ�ำ ของฟรังโก-เบลจี และจากอเมริกาเช่นเคย นับเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของวีรธรรมตั้งแต่ครบรอบปีที่ 5 เป็นต้นมา ภาพปกของเปี๊ยก โปสเตอร์ ปรากฏคู่กับวีรธรรมอยู่ราว 3 ปีจนถึง กลาง ค.ศ. 1965 ก็หยุดไป แต่สไตล์ภาพปกเช่นนั้นยังคงอยู่ โดยมีศิลปินรุ่นน้องหรือศิษย์ของเปี๊ยก โปสเตอร์ มาวาดปกให้ วีรธรรมอยู่ต่อเนื่องจนถึงราว ค.ศ. 1970 สลับกับปกที่ส�ำเนาภาพถ่าย สารคดีวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องราวโครงการอวกาศอพอลโลของ อเมริกา ภาพศิลปวัฒนธรรมไทย ภาพกิจกรรมศาสนา ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ภาพจากการ์ตูนในเล่ม ฯลฯ เหล่านี้ปรากฏเป็นภาพปก วีรธรรมอยู่เสมอ
228 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น วีรธรรม ฉบับการ์ตูน วีรธรรมเริ่มพิมพ์รวมการ์ตูนเป็นอัลบั้มครั้งแรกเมื่อปลาย ค.ศ. 1963 ออกวางจาหน่ายในรูปเล่มแบบ Italian Format (แนวนอน) ปกแข็งสวยงาม โดยรวมชุดการ์ตูนของนักเขียน อิตาเลียนนามว่า “รุจไจโร โญวานนินี” (Ruggiro Giovannini) ที่เคยแปลพิมพ์ต่อเนื่องในวีรธรรม รายสัปดาห์ ระหว่าง ค.ศ. 1959 - 1960 เรื่อง “ลูกนกอินทรี” นับเป็นปรากฏการณ์แรกของการ์ตูน ต่างประเทศ ที่แปลเป็นไทยในรูปเล่มของอัลบั้มมาตรฐาน จากนั้น ราว ค.ศ. 1966 กองบรรณาธิการคิดจัดพิมพ์รวมการ์ตูนแต่ละเรื่อง แต่ละชุดที่เคยลงพิมพ์ในรายสัปดาห์มาก่อน เท่าที่มีเก็บครบล�ำดับ มาจ�ำหน่ายเสริม เหมือนเมื่อครั้งเคยจัดพิมพ์รวมเล่มอัลบั้มเรื่อง “ลูกนกอินทรี” (ปกแข็ง) ก่อนหน้า แต่ครั้งนี้วีรธรรมท�ำให้เรียบง่าย กว่า ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะราคาไม่แพง เล่มแรกคือ อัลบั้มการ์ตูนการผจญภัยของแต๋งแต๋ง ตอน “หูแหว่ง” นั่นเอง จากนั้น วีรธรรมก็ทยอยออกฉบับการ์ตูนทุกเรื่องที่เคยพิมพ์ในฉบับ รายสัปดาห์ เช่น ชุดเสือบินบั๊ค แดนนี่ ชุดปอมกับเท็ดดี้ผจญภัย ชุดแฟลช กอร์ดอน ชุดการ์ตูนป๊อปอาย ชุดชีวิตจริงผจญภัย ในช่วงเริ่มต้นจนถึงปีที่สิบ ค.ศ. 1957 - 1967 วีรธรรมไม่ได้ใช้ โรงพิมพ์อัสสัมชัญ แต่ใช้โรงพิมพ์เอกชนที่เป็นเครือข่ายพิมพ์วารสาร ต่างประเทศ หนังสือของโรงเรียนในเครือฯ และข่าวสารคาทอลิก ท�ำการพิมพ์นิตยสารให้ทางส�ำนักพิมพ์ โดยครั้งแรกเริ่มใช้โรงพิมพ์ กรุงเทพโฆษณาและการพิมพ์ ที่พิมพ์การ์ตูนสีของวอลต์ ดิสนีย์ อยู่หลายปี ต่อมาก็โรงพิมพ์ประชาช่างบ้าง โรงพิมพ์ประชาชนบ้าง เป็นต้น ภาพปกวีรธรรมที่สวยงามดังได้กล่าวไว้ ต่างพิมพ์มาจาก โรงพิมพ์เหล่านี้ท้้งสิ้น วีรธรรม รวมเล่ม ระยะเวลาผ่านไปสักปีหรือสองปี หนังสือที่เหลือจ�ำหน่ายกลับมา โรงพิมพ์ฯ ทางส�ำนักพิมพ์ฯ ก็จะน�ำเล่มเก่า ๆ เหล่านั้นมาเย็บรวมเล่ม (ประมาณ 8 - 10 เล่ม) เข้าปกเสียใหม่ น�ำกลับมาจ�ำหน่ายตาม โรงเรียนหรือสมาชิกอีกครั้ง ส�ำหรับผู้ที่สูญหายเล่มเก่า ราคาก็ดู จะแพงสักหน่อย เพราะอัลบั้มมีความหนา แต่ก็คุ้มค่าส�ำหรับผู้ที่ ไม่มีเล่มรายสัปดาห์และอยากเก็บไว้เพื่อสะสม ข้อดีของฉบับรวมเล่ม ก็จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ใช่ว่าวีรธรรมจะรวมได้ครบ บางฉบับไม่มี เหลือกลับมาเก็บก็จะขาดหายไปก็มีให้เห็น ส่วนข้อเสียก็คือ แต่ละ ฉบับรายสัปดาห์มีการตัดขอบเล่ม (ใหญ่กว้าง) ไม่เท่ากันทีเดียว ในทุกเล่ม เมื่อน�ำมาเข้าเล่มรวมจึงต้องมีการตัดเจียนขอบทั้งหมดใหม่ อีกครั้งเพื่อความสวยงามของอัลบั้ม แม้ระบบพิมพ์จะมีการเว้นขอบ ภายในไว้พอควรแล้วก็ตาม บ่อยครั้งพบว่าขอบหนังสือถูกตัดทิ้ง มากไปจนบางหน้าถึงกับแหว่ง เกือบจะอ่านไม่ได้ก็มี อีกเรื่องที่เพิ่ม ความหงุดหงิดก็คือ การหนีบเย็บสันหนังสือให้แน่นหนาเพื่อรวมเล่ม (อัลบั้มรวมหนึ่งๆ จะมีประมาณ 8 - 10 ฉบับ) ท�ำให้ไม่สามารถอ้า หรือแหวกหนังสือให้อ่านเนื้่อความที่พิมพ์ได้ถนัด ต่างจากฉบับราย สัปดาห์ที่ใช้ลวดแบบเย็บอก เปิดได้กว้างเต็มที่...ปัจจุบันเคยเห็น ฉบับรวมเล่มเหล่านี้บ้างตามแผงหนังสือเก่า ตั้งราคาขายกันไว้ที่ เล่มละ 3,000 บาททีเดียว ส่วนฉบับรายสัปดาห์ ราคาบอกขายกัน เล่มละ 150 - 200 บาท แม้สภาพที่จะน�ำไปเก็บไว้ต่ออาจไม่เอื้ออ�ำนวย มากนักแล้วก็ตาม
UNSEEN ASSUMPTION 229 ชุดการ์ตูนวอลต์ ดิสนีย์ ฯลฯ ออกมาต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ ทุกปี ฉบับ การ์ตูนเหล่านี้ยังพอหาเล่มเก่าได้บางเล่ม ต้องคอยมองหาตามร้าน หรือแผงหนังสือเก่า ตามสภาพของหนังสือที่ยังพออ่านได้ หรือ สามารถซื้อน�ำไปเก็บรักษาต่อถ้าต้องการ หมดยุควีรธรรม นิตยสารวีรธรรมแพร่หลายกว้างขวางในกลุ่มนักเรียนโรงเรียนคาทอลิก ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับขายจากทางโรงเรียนก็ดี หรือตาม ความสมัครใจของนักเรียนก็ดี เกือบทุกคนก็ต้องเคยได้เห็น ได้อ่าน นิตยสารฉบับนี้ บางคนอ่านเสร็จก็เก็บสะสมไว้ บางคนก็แบ่งปันให้ เพื่อนอ่าน วีรธรรมยังส่งไปจ�ำหน่ายเผยแพร่ตามโรงเรียนราษฎร์ และโรงเรียนรัฐบาลอื่น ๆ อีกทั่วประเทศอีกด้วย...ตามแผงหนังสือทั่วไป บางแห่งก็มีนิตยสารวีรธรรมไปวางจ�ำหน่ายทุกสัปดาห์ วีรธรรมมีระบบ สมาชิกนิตยสาร ซึ่งก็มีสมาชิกประจ�ำอยู่จ�ำนวนหนึ่ง ทั้งในและ ต่างประเทศ เห็นได้จากรายชื่อสมาชิกและผู้อ่านที่วีรธรรมน�ำมาลงพิมพ์ ไว้ในโอกาสแข่งขันตอบปัญหา เกม และจดหมายแสดงความคิดเห็น ต่อบรรณาธิการ ที่มีจ�ำนวนไม่น้อย แสดงให้เห็นถึงความนิยมในช่วง 10 ปีแรก ล�ำดับบรรณาธิการนิตยสารวีรธรรม ภราดาโรเบิร์ท (เริ่มต้น - ค.ศ. 1965) ภราดาฮิวเบิร์ท (ค.ศ. 1965) และภราดายอห์น (หรือจอห์น ค.ศ. 1966 - สุดท้าย) ราว ค.ศ. 1968 สมัยภราดาสุนัย กาญจนารัณย์ ได้พยายามที่จะตั้ง โรงพิมพ์ของคณะฯ เอง จึงได้สั่งซื้อแท่นพิมพ์และอุปกรณ์มาไว้ส�ำหรับ พิมพ์วีรธรรมโดยเฉพาะ แต่ก็ได้พิมพ์หนังสืออื่น ๆ ของคณะอีกหลาย เล่ม วีรธรรมยังคงด�ำเนินต่อไป แต่ปัญหาเริ่มเกิดกับตลาดนิตยสารไทย ตามกระแสการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องต่าง ๆ ที่มาแรงมาก พร้อม ๆ กับการ น�ำเสนอทางโทรทัศน์และรูปแบบนิตยสารใหม่ ๆ ในตลาดหนังสือยุคนั้น แต่วีรธรรมยังคงออกต่อเนื่องมาได้จนถึง ค.ศ. 1972 ก็เริ่มอ่อนแรงลง ขาดการจัดรูปเล่มที่ดี ขาดสภาพคล่องในการซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูน ต่างประเทศ ภาพประกอบก็ไม่สวยงามอย่างเคย ฯลฯ ท�ำให้ไม่ชวนให้ หยิบจับ เพราะไม่มีการพัฒนา ท�ำให้หนังสือขายไม่ออก ต้องจ�ำกัด การพิมพ์ จากรายสัปดาห์เป็นรายปักษ์ จนเป็นรายสะดวก แม้ทางส�ำนักพิมพ์ จะพยายามออกนิตยสารในรูปแบบอื่นเพื่อให้อยู่รอดก็ไม่เป็นผล ท�ำให้เห็นถึงการเสื่อมความนิยมแล้ว จนถึง ค.ศ. 1974 ส�ำนักพิมพ์ ก็ต้องปิดหนังสือวีรธรรมลง ฉบับที่ 828 มกราคม ค.ศ. 1974 เป็น ฉบับสุดท้าย เพราะขาดทุนและขาดบุคลากรที่จะดูแลด�ำเนินงานต่อ จนที่สุดประมาณ ค.ศ. 1986 ก็ได้ปิดโรงพิมพ์วีรธรรมเป็นการถาวร โดยขายแท่นพิมพ์และอุปกรณ์ต่างๆ ไปเป็นอันยุติลง คิดถึง “วีรธรรม” ส�ำหรับเยาวชนที่คุ้นเคยกับนิตยสารวีรธรรมคงไม่ปฏิเสธว่า การได้ เห็น ได้อ่านวีรธรรมตลอดมาท�ำให้ได้ทั้งความรู้ ความบันเทิง ทักษะ ในการใช้ชีวิต เพาะบ่มนิสัยการเรียนรู้ ช่วยให้รู้จักความเป็นคนที่ดี ได้ทั้งความเข้าใจทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ฯลฯ เป็นนิตยสาร ฉบับหนึ่งในวัยเยาว์ที่มีส่วนเสริมสร้างเพิ่มเติมจากสิ่งที่ได้รับจากการ เล่าเรียน จนเราเป็นผู้เป็นคนได้เช่นทุกวันนี้
230 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 231
232 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น AC Band แตรวงประจ�ำโรงเรียน วงแรกในประเทศไทย สมชาย จุฬาวไลวงศ์ อสช. 23810
UNSEEN ASSUMPTION 233 เย็นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ศิษย์เก่าชาว AC Band และ นักเรียนปัจจุบันวง AC Band ร่วม 200 ชีวิต มาร่วมเฉลิมฉลองใน งาน Assumption College Band Centennial Celebration ฉลอง ครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้งวง ที่ตึกหอประชุมชั้น 9 ในวันแรก 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 มีการจัดนิทรรศการประวัติ ความเป็นไปมาของวง ชุดเครื่องแบบต่าง ๆ ในอดีตที่เคยใส่ เครื่อง ดนตรีรุ่นเก่า ๆ ให้ชมกัน และมีการแสดงดนตรีของนักเรียนวง AC Band ปัจจุบัน มีนักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ และผู้ที่สนใจมาร่วมงาน จนเต็มหอประชุม ส่วนในงานวันที่สองเป็นงานภายในของบรรดาอดีตนักดนตรีวง AC Band คืนนั้นเป็นการพบปะสังสรรค์ของศิษย์เก่าและนักเรียน ปัจจุบัน เริ่มด้วยการเสวนา โดยพี่กวี อังศวานนท์ (อดีตผู้จัดการ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ และอดีตสมาชิกวงดนตรี อ.ส. วันศุกร์), พี่เกียรติ สิทธีอมร อสช. 91, พี่กริช ทอมมัส อสช. 92 และน้องอภิสิทธิ์ วงศ์โชติ อสช. 106 เล่าเรื่องราวสนุกๆ ของวงในสมัยต่างๆ และจบท้าย ด้วยการร่วมบรรเลงเพลงบนเวทีด้วยกัน พวกเราได้รับเกียรติจากภราดาหลุยส์ ชาแนล มาเป็นประธาน, ภราดามาร์ตินก็ได้มาร่วมงานในฐานะผู้มีความชื่นชอบดนตรี และอดีต คุณครูผู้ควบคุมวงดนตรี ม.วิเชษฐ์ อรสว่าง, ม.ปรีชา บุญญะสิทธิ์ และ ม.ประถม โลจนานนท์ (ผู้ควบคุมในการแสดงโขนร่วมกับวง AC Band) ก็มาร่วมงาน ไฮไลท์ของคืนนั้นคือ ศิษย์เก่าต่างรุ่นนับร้อยคน ได้ร่วมเล่นเพลงมาร์ชและเพลงส�ำคัญในอดีต อาทิ เพลง The Stars and Stripes Forever, Hands Across the Sea ฯลฯ ศิษย์เก่า อายุมากที่สุดในงานมาร่วมเล่นแซกโซโฟนบนเวทีด้วยคือ พี่กวี อังศวานนท์ (ปัจจุบันเสียชีวิต) และได้กรุณาอนุญาตให้น�ำแซกโซโฟน พระราชทานมาแสดงในงานนิทรรศการด้วย บางคนที่ยังพอเล่น ดนตรีได้ก็ขึ้นเวที คนที่เล่นไม่ไหวหรือไม่ได้เล่นมานานก็เป็นคนดู คนฟัง จบท้ายด้วยเพลงสดุดีอัสสัมชัญ เป็นค�่ำคืนแห่งความทรงจ�ำ ของเหล่าพี่ ๆ น้อง ๆ ใจรักในดนตรี ที่เคยใช้ชีวิตช่วงหนึ่งด้วยกัน อย่างไม่มีวันลืม Assumption College Band หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า AC Band ก่อตั้ง โดยภราดาหลุยส์ โนบิรอง (ภราดาหลุยส์แตร) และ ภราดาเฟรเดอริก ผู้มีความรักในเสียงดนตรี
234 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น จากเอกสารที่ค้นพบกล่าวว่า “ปี ค.ศ. 1911 เริ่มก่อตั้งวง AC Band โดยเป็นวง 20 คน ลักษณะกึ่งออร์เคสตรา โดยเพลงฝึกซ้อมในช่วงนั้น คือ เพลงมาร์ชฝรั่งเศส หรือ Marche Pontificale มุ่งหวังให้นักเรียน ได้มีความรู้ทางดนตรี” ถือว่าเป็นวงโยธวาทิตเก่าแก่วงหนึ่งของประเทศ นับอายุได้เป็นร้อยปี แต่จะเก่าที่สุดเลยในประเภทวงนักเรียนไหม ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เป็นที่น่าเสียดายว่า ประวัติของวงในช่วง 50 ปีแรกมีการบันทึกไว้น้อยมาก มีเพียงข้อเขียนสั้นๆ และภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น จากรูปถ่ายของ สมุดภาพของโรงเรียนใน ค.ศ. 1912 - 1913 มีปรากฏวงดนตรีซึ่งเป็น ภาพคณะบราเดอร์และนักเรียนได้ร่วมเล่นดนตรีอยู่ 2 วง คือ วง Harmonic มีสมาชิกวงเป็นบราเดอร์ 5 ท่าน และนักเรียน 25 คน เล่นเครื่องเป่า ประเภทเครื่องทองเหลือง (Brass Band) อีกภาพเป็นวง Orchestra ประเภทเครื่องสายฝรั่ง สมาชิกวงเป็นภราดา 6 ท่าน และนักเรียน 19 คน และยังมีเอกสารอื่นเขียนไว้ว่า “10 กันยายน ค.ศ. 1919 มีแตรวง ไปต้อนรับทหารไทยกลับจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ท่าน�้ำ” แต่จากการค้นหาข้อมูลจากเอกสารเก่า คณะท�ำงาน Assumption Museum ได้พบเอกสารที่บอกว่า วงดนตรีของโรงเรียนมีจุดเริ่มต้น ก่อนปีที่กล่าวมาเบื้องต้นถึง 14 ปี (หรืออาจจะนานกว่านั้นอีกก็อาจเป็นได้) จากข้อมูลในหนังสือ A.C. Ball 1966 วันที่ข้าพเจ้าไม่ลืม เขียนโดย นาวาเอก พระยาศราภัยพิพัฒ (เลื่อน ศราภัยวานิช) อสช. 900 อุปนายก สมาคมอัสสัมชัญ ค.ศ. 1931 อรุณสวัสดิ์วันเสาร์ กล่าวไว้ว่า “...ในปีแรกที่ข้าพเจ้าเข้าเรียนนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชด�ำเนินกลับจากประพาสทวีปยุโรป ครั้งที่ 1 ทางโรงเรียนได้จัดการรับเสด็จ มีการแต่งบทเพลง สรรเสริญพระบารมีให้นักเรียนท่องอยู่ก่อนหลายวัน ครั้นถึงวัน รับเสด็จกลับสู่พระนครโดยเรือพระที่นั่งมหาจักรีวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1897 ท่านบาทหลวงกอลมเบต์ได้น�ำนักเรียนทั้งหมดไป ตั้งแถวรับเสด็จที่ท่าน�้ำหน้าโบสถ์อัสสัมชัญ ข้าพเจ้าจ�ำพวกเด็กเล็ก ที่สุดได้ยืนหน้าแถว นักเรียนทุกคนถือช่อดอกไม้ และมีแตรวง ของโรงเรียนสมทบไปด้วย พอเรือพระที่นั่งแล่นมาอย่างเชื่องช้า ถึงหน้าโบสถ์แตรวงได้บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี...ได้มี พระราชโองการให้ราชเลขามีหนังสือมาแสดงความพอพระราชหฤทัย ด้วย เพราะว่าเป็นโรงเรียนเดียวในสมัยนั้นที่มีแตรวงประจ�ำ โรงเรียน....” ในอนาคตคงจะมีการค้นพบเอกสารอื่น ๆ อีก ที่มีผู้กล่าวถึงวง AC Band และอาจมีข้อมูลที่ให้ความกระจ่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติ ของวงอีกก็เป็นได้ สมาชิก AC Band Alumni ได้พูดคุยและตกลง กันเบื้องต้นว่า ให้ยึด ค.ศ. 1911 เป็นปีที่ก่อตั้งวงอย่างเป็นทางการ โดยภราดาหลุยส์แตรต่อไป แต่ก็รู้อยู่ในหัวใจและจิตวิญญาณของ นักดนตรี AC Band ว่า การเล่นดนตรีสากลแบบแตรวงและเครื่องสาย ฝรั่งในโรงเรียนมีมายาวนานก่อนใคร ๆ
UNSEEN ASSUMPTION 235 พวกเรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็น “นักเรียนแตร” (ชื่อเรียกใน สมัย ค.ศ. 1916 ที่มา: AC Echo เล่ม 10) เป็น เสี้ยวเล็ก ๆ ของ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน อย่างที่ ม.นิวัฒ เลิศจรัญรัตน์ อสช. 103 บอกว่า “AC Band เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต มีช่วงที่รุ่งโรจน์ มี ช่วงโรยรา มีชีวิตผู้คนมากมายวนเวียน ตามกาลเวลาที่ยาวนานนับ ร้อยปี และจะยังด�ำเนินต่อไปอีกนาน ตราบที่ดนตรียังเป็นส่วนหนึ่ง ของจิตวิญญาณของนักเรียนอัสสัมชัญ” ใน ค.ศ. 1916 ภราดาแอนโตนีโอ ชาวสเปน ได้เริ่มท�ำวงใหม่อีกครั้ง โดยรับสมัครนักเรียนที่ชอบดนตรีให้มาเรียนโน้ตหลังเลิกเรียนใน สองเดือนแรก มี ม.สถิตย์ สัตยสมบูรณ์ มาเป็นครูช่วยสอนด้วย หลังจากนั้น ภราดาก็จัดเครื่องดนตรีเล่นตามความสามารถของนักเรียน ตัวเครื่องเก่าและช�ำรุดอยู่มากเพราะไม่ได้ใช้งานมานาน แต่ก็มากพอ ส�ำหรับนักเรียน 40 - 50 คน งานแรกที่เล่นหลังจากจับเครื่องได้สองเดือนคือ งานวันปิยมหาราช เล่นเพลง The Longest Day และ Battle Hymn of the Republic ท�ำวงได้เพียงแค่ปีเดียว ภราดาแอนโตนีโอก็ย้ายไปเป็นอธิการที่โรงเรียน มงฟอร์ตวิทยาลัย เชียงใหม่ จึงมอบหมายให้ภราดาพยุง ประจงกิจ, ม.สถิตย์ สัตยสมบูรณ์ และ ม.ณรงค์ (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นผู้ควบคุมวง ต่อไป ชุดวงสมัยนั้นเรียกว่าจัดเต็ม ชุดแบบทหารยุโรป เสื้อสีแดงเลือดนก กระดุมสองแถว กางเกงขายาวสีขาว สวมหมวกทรงหม้อตาลมีพู่สีขาว คล้ายไม้ขนไก่ กลองเป็นรุ่นที่ยังใช้เชือกรั้งหนังกลอง ดรัมเมเยอร์สุดหล่อสมัยนั้นก็คือ ม.ชัชวาลย์ ชูสกุล อสช. 85 จาก รูปถ่ายใน ค.ศ. 1967 วง AC Band มีนักดนตรีถึง 60 คน พี่ ดร.สมบูรณ์ หวังศุภชาติ อสช. 86 เล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นงานเล่นส่วนใหญ่จะตระเวน ไปเล่นตามโรงเรียนอื่นๆ เช่น ถ้าไปโรงเรียนเซนต์คาเบรียล นอกจาก เล่นเพลงมาร์ชแล้วก็จะเล่นเพลงประจ�ำ โรงเรียนเซนต์คาเบรียลด้วย เพราะสมัยนั้นยังไม่มีวงเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังมีแยกเป็นวงย่อย เล่นสไตล์คอมโบ้เพื่อบรรเลงบนเวที (ผมจ�ำได้ว่ามีแสตนด์วางโน้ตเพลง ท�ำจากสังกะสีที่มีสกรีนค�ำว่า AC Band Combo ที่พวกเราเอามาเล่น เป็นเกราะอัศวินจนพังพินาศหายไปตามกาลเวลา) และวงสไตล์ คลาสสิกที่มีเครื่องสายประกอบ ภราดาพยุงเองก็เล่นไวโอลินกับ วงด้วย เช่นเพลง Serenade No.5 ต่อมา ม.สถิตย์ได้หยุดดูแลวง ก็มี ม.วิเชษฐ์ อรสว่าง มาช่วยจนภราดา พยุงท่านได้รับต�ำแหน่งอธิการที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ระยอง วงก็อยู่ ภายใต้การดูแลของ ม.วิเชษฐ์คนเดียว สมัยนั้นความเฟื่องฟูลดลง ชุดก็เปลี่ยนมาเป็นชุดราชปะแตน แถบคอสีแดง กระดุมเหล็กตรา AC กางเกงนักเรียน ถุงเท้ายาว ใส่หมวกหนีบแดงขาวแทน และเหลือวง Marching Band เพียงอย่างเดียว ผมเองเข้าวงมาตั้งแต่ ป.7 ด้วยความประทับใจที่เห็นรุ่นพี่เล่นดนตรี ดูเท่มากมาย (ถ้าเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นก็คงมีแสงเรืองๆ อยู่รอบตัว) ผมก็ อยากเท่แบบนั้นบ้าง ก็ไปขอสมัคร ในสมัยที่ ม.วิเชษฐ์ อรสว่าง เป็น ผู้ควบคุมวง ห้องดนตรีอยู่ที่ชั้น 3 ห้องหัวมุมด้านซ้าย ตึกกอลมเบต์ รุ่นพี่ก็จัดให้ไปเล่นกลอง ได้ไม้กลองมาคู่หนึ่ง แต่ไม่มีเครื่องประจ�ำ เพราะยังเป็นช่วงฝึกหัด มีรุ่นพี่มาสอนเคาะจังหวะ 16 และได้อาศัย พื้นห้องบ้าง เก้าอี้บ้าง หัวเสาปูนตรงระเบียงด้านหลังตึกบ้าง เป็นที่ ฝึกปรือ สมัยนั้นเรื่องอ่านโน้ตเพลงยังเป็นเรื่องไกลตัวมาก เครื่อง ดนตรีอื่นๆ ยังมีโน้ตให้ฝึก แต่กลองไม่มีเลย ถึงจะพอมีให้เห็นบ้าง ก็ไม่มีใครอ่านเป็น วีธีการเรียนดนตรี นอกจากรุ่นพี่สอนน้อง เพื่อน สอนเพื่อน ก็ได้อาศัยฟังเพลงจากแผ่นเสียง แกะและเล่นตาม มี ความรู้สึกว่าทุกวันต้องเข้าห้องดนตรี มันมีมนต์ขลังบางอย่างยาก จะอธิบาย จ�ำได้ว่าผมเคยใส่ชุดราชปะแตนอยู่แค่สองครั้ง เพราะ ชุดเก่าขาดช�ำรุดมาก และมีไม่พอใช้ ต่อมาก็เลยเปลี่ยนมาเป็น ชุดนักเรียน ใส่ถุงเท้ายาวเท่านั้น
236 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น สมัยปลาย 70 เพลงที่เล่นนอกจากเพลงโรงเรียน, ราชวัลลภ, มหาฤกษ์, มหาชัย, เพลง Ave Maria (ตอนแห่แม่พระ), ศรีศุภศรี (ฉลองอธิการ) ฯลฯ หลักๆ ก็เล่นเพลงมาร์ชของ Philip Susa เป็นหลัก พวกเราก็พยายามขวนขวายหาเพลงอื่นๆ มาเล่นเพิ่มเติม เช่น เพลงสากลไทย, เพลงสากลฝรั่ง, เพลงแจ๊ส Sir Duke และมีการเต้นประกอบเพลงปูไข่ไก่หลงด้วย มีการขอท�ำการคัดลอก โน้ตเพลงจากวงดนตรีวัดสุทธิฯ โดยหัวหน้าเครื่อง (สมัยนั้นต้องเขียน โน้ตด้วยลายมือเพราะยังไม่มีเครื่องซีร็อกซ์ให้ใช้) ก็ได้อาศัยจังหวะ นั้นแหละไปเปิดหูเปิดตา ดูวิธีการฝึกเดิน ซ้อมบรรเลงของวง ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นวงที่ดีที่สุดในสมัยนั้น นาน ๆ ทีก็จะมีวงจากต่างประเทศมาโชว์ ก็จะพากันไปดูกันด้วยความตื่นเต้น ชุดนักเรียน ใส่ถุงเท้ายาว มี เพิ่มถุงมือขาว ติดอาร์มแบบกองปราบตรงแขนเสื้อ พร้อมสายสะพาย สีแดง ต่อมาก็ท�ำเสื้อยืดแขนสามส่วนมาใส่ในงานที่ไม่เป็นทางการนัก ชีวิตการเป็นนักดนตรีก็จะใช้เวลาตอนเช้า ๆ ก่อนเข้าเรียน พักเที่ยง และหลังเลิกเรียนเป็นเวลาซ้อม เรียกว่าว่างเมื่อไหร่ก็แวบเข้า ห้องดนตรีเมื่อนั้น ข้อดีคือ ยิ่งซ้อมมากก็เป็นเร็ว (หรือว่าเป็นที่ โดดเรียน ลอกการบ้าน ก็สุดแล้วแต่จะคิด) มีรุ่นพี่ที่ถึงแม้จะจบไปแล้ว ก็จะกลับมาช่วยสอน มาช่วยเล่นในงานส�ำคัญๆ ท�ำให้รู้จักรุ่นพี่ขึ้นไป 2 - 3 รุ่น และรุ่นน้องลงมา 2 - 3 รุ่น กลายเป็นวงโคจรของความ เป็นพี่น้องที่จะรู้จักกันแบบสนิทกันหลายรุ่นมากกว่ากิจกรรมอื่น ๆ ในแต่ละปีพอนักดนตรีรุ่นพี่ ม.ศ.5 เลิกเล่นไปเพราะต้องเตรียมตัว สอบเอนทรานซ์ ก็เป็นธรรมเนียมที่นักดนตรีหลายคนจะถูกย้าย ไปเล่นเครื่องดนตรีที่คนเล่นขาดหายไป ผมเองก็โดนย้ายไปเล่น หลายครั้ง เริ่มที่กลอง, นิ้งหน่อง, แคลริเน็ต และเครื่องดนตรีสุดท้าย ที่เล่นคือบาริโทน ตอนที่เป็นหัวหน้าวง ผมก็พยายามหาอะไรให้ พี่ ๆ น้อง ๆ ในวงท�ำเพื่อให้ผ่อนคลายจากการซ้อมและฝึกเดิน เย็น วันหนึ่งหลังจากซ้อมเดินที่หลังตึก ฟ.ฮีแลร์ ผมพาวงเดินตบเท้าไป ที่หน้าโบสถ์ ตอนเลิกเรียนที่หน้าโบสถ์มีทั้งนักเรียนกระโปรงแดง กระโปรงน�้ำเงิน อยู่กันเต็ม ซึ่งปกติจะห้ามไม่ให้นักเรียนชายเข้าไป เดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้น พอถึงหน้าโบสถ์ก็เริ่มเล่นเพลง จ�ำไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นเพลงอะไร แต่ที่จ�ำได้ไม่เคยลืมแม้จะผ่านมาหลายสิบปีคือ พี่ๆ น้อง ๆ นักดนตรีทุกคนเล่นตั้งใจเล่นได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง และ หลังจากที่ ม.วิเชษฐ์ลาออกไปประกอบอาชีพทนายความ ทาง โรงเรียนได้มอบหมายให้ ม.สุวรรณ ทรัพย์เจริญ มาควบคุมวง ตอนนั้น นักดนตรีเหลือน้อยมาก พวกเราอยากได้คุณครูที่มีความรู้ทาง ดนตรีมาช่วย เลยไปขอให้ ม.ปรีชา บุญญะสิทธิ์ นายทะเบียน และ เป็นครูสอนนักเรียนขับร้องประสานเสียงมาควบคุมวง ช่วงนั้นได้ย้าย ห้องดนตรีจากชั้น 3 ตึกกอลมเบต์ ไปที่ห้องเหนือเวที ชั้น 3 ของตึก สุวรรณสมโภช จ�ำได้ว่าครั้งแรกที่ไปเปิดห้อง มีเปียโน ตู้โบราณสูง ๆ ที่น่าจะน�ำเข้าจากทางยุโรปหลายใบ พองัดเปิดตู้ดูจึงค้นพบขุมทอง คือ ไวโอลิน วิโอลา ดับเบิ้ลเบส (ปัจจุบันไม่ทราบว่าเครื่องสาย พวกนี้หายไปไหนหมด) ออร์แกนลม ทูบาทองเหลือง โน้ตดนตรีเก่า ๆ ยางสนแข็งโป๊กในกล่องขนมที่เอามาปาเล่นกันจนหมด จริง ๆ แล้ว ห้องดนตรีใหม่ที่ว่านี้ก็คือห้องดนตรีเก่าที่ทิ้งร้างไว้หลายสิบปีนั่นเอง
UNSEEN ASSUMPTION 237 และหลายๆ คนพัฒนาต่อไปเป็นนักดนตรีอาชีพ บ้างก็เป็น นักประพันธ์ โปรดิวเซอร์ที่ประสบความส�ำเร็จ เป็นอาจารย์ทางดนตรี ก็มีหลายคน สมัยนี้มีการไปประกวดทั้งในและต่างประเทศ การให้ นักเรียนดูแลวงและตัดสินใจการบริหารวงเอง (Child Center) และ คอยติดตามดูว่าทิศทางของวงภายใต้การควบคุมวงของมาสเตอร์ คนใหม่จะเป็นเช่นไร เรื่องที่เล่าให้อ่านก็มาจากความทรงจ�ำขาด ๆ เกิน ๆ ที่ได้พูดคุย กับรุ่นพี่ รุ่นน้อง จากการพบปะกันในงาน Reunion ที่จัด จากไลน์ ที่ส่งข้อความและแชร์รูปถ่ายให้ดูกัน มีคนตั้งค�ำถามว่า “อะไรท�ำให้ วงมีอายุยาวนานต่อเนื่องมาได้ขนาดนี้” ก็คงตอบได้ง่าย ๆ ว่า ก็ตั้งมาก่อนใครเขาก็นานสิครับ แต่ความต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ คงเริ่มจากความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง จนกลายเป็นความรักในดนตรี อาจด้วยทุกครั้งที่เป่าลมผ่านเครื่อง ดนตรี ทุกครั้งที่ตีเกราะเคาะไม้ ทุกเพลงที่ได้เล่นด้วยกัน ส�ำหรับผม คือความสุข เหนือสิ่งอื่นใดคือ การได้เป็นนักดนตรี AC Band เติมเต็มชีวิตในการเป็นนักเรียนอัสสัมชัญให้สมบูรณ์ขึ้น คติพจน์ประจ�ำวง “เป็นนักดนตรี พึงมีวินัย ตั้งใจฝึกซ้อม พร้อมด้วยใจรัก รู้จักเสียสละ มานะอดทน ฝึกฝนวิชา พัฒนาดนตรี” เล่นอย่างสุดหัวใจ พอเพลงจบก็ยืนนิ่ง ๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วก็เดินกลับมา ที่โรงเรียนอย่างเงียบ ๆ แต่...พอก้าวข้ามเข้ารั้วโรงเรียนเท่านั้นแหละ ทุกคนพร้อมใจกันส่งเสียงเฮกันลั่น หัวเราะ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมยังจ�ำรอยยิ้มของทุกคนได้ดี และน้อง ๆ ก็ขอให้พาไปเล่นโชว์หญิง อีกบ่อย ๆ เรื่องก็น่าจะจบด้วยความสุขเล็ก ๆ ที่น่าประทับใจ แต่ใน เช้าวันรุ่งขึ้น ผมโดนบราเดอร์เรียกพบ ให้ไปอธิบายว่าไปท�ำอะไร ที่หน้าโบสถ์ เพราะทางซิสเตอร์ร้องเรียนมาว่า ไปส่งเสียงหนวกหู ท�ำให้นักเรียนหญิงตกใจ งานเข้าเลยคราวนี้ เพราะนั่นเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่ได้ไปเล่นโชว์หญิงที่หน้าโบสถ์ ใน ค.ศ. 1977 หลังจาก ม.ปรีชา (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นสุพจน์) ได้รับมอบหมายจากทางโรงเรียนให้ไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียน อัสสัมชัญทิพวัล วงก็เริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ของ ม.วิชัย ยงวานิชจิต อสช. 91 ที่เป็นนักดนตรี AC Band มาก่อน ต่อมาก็มีมิสพรภัทร์ ยงวานิชจิต ที่เข้ามาช่วยในปี ค.ศ. 1999 และเกษียณอายุพร้อมกันใน ค.ศ. 2019 ยุคที่ ม.วิชัยเข้ามาควบคุมวงมีระบบการเรียนดนตรีที่ได้มาตรฐาน สากล ท�ำให้ฝีมือของนักดนตรีรุ่นน้องดีขึ้นมาก เล่นเพลงได้หลากหลาย ประวัติ AC Band QR CODE #33
238 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เนื่องจากสมาคมอัสสัมชัญให้ผมช่วยเขียนเกี่ยวกับกองเชียร์ อัสสัมชัญ เล่าประสบการณ์ที่ผมพบเห็นในอดีตให้รุ่นน้องฟัง ผมจึง นั่งรวบรวมข้อมูลเท่าที่หาได้จากหนังสือต่าง ๆ รวมทั้งจากของเก่า เกี่ยวกับการเชียร์ตั้งแต่ผมนั่งอยู่ในกองเชียร์ ตอนที่ผมเป็นประธานเชียร์และตอนที่เข้ามาคุมกองเชียร์ในฐานะที่ เป็นครู ผมเสียดายที่เคยมอบหลักฐานเก่า ๆ ที่เก็บไว้กับศิษย์เก่า ที่จะน�ำไปเขียนประวัติการเชียร์ แต่ไม่เคยเห็นว่าไปปรากฏที่ใดเลย รู้สึกผิดหวังนิด ๆ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมเข้าอัสสัมชัญเมื่อ ค.ศ. 1953 ในชั้น ป.1 เรียน ได้วันเดียวก็ถูกลดชั้นไปเรียนห้องที่เรียกว่าชั้น “มูล” หรือชั้นก่อน ประถม สมัยผมชั้นประถมมีประถม 1 - 4 แล้วขึ้นชั้นมัธยม 1 - 6 Standard 1 - 6 ที่ใช้วัดชะตาชีวิตคือชั้น ม.4 หรือ Standard 4 ถ้า สามารถผ่านชั้นนี้ได้ก็สามารถเรียนต่อไปถึง Std.6 ได้ไม่ยากนัก ที่ เป็นเช่นนี้เพราะเป็นปีแรกที่เรียนหลายวิชาเป็นภาษาอังกฤษยกเว้น วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย แล้วมันจะรอดสักกี่คนผมคิดในใจ ในชั้นนี้ ผมมี ม.ไพโรจน์ หรืออีกนามหนึ่งคือ “เชน” เวลาตีใช้มือซ้าย ผมก็ โดนไปแยะ แถมต้องอยู่เย็นเป็นประจ�ำ (ขาประจ�ำ) ส�ำหรับ ม.ไพโรจน์ Inside กองเชียร์อัสสัมชัญ นักเรียนที่เข้ามาท�ำกองเชียร์รุ่นผมและอีกหลายรุ่นรู้จักเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง ท่านท�ำให้พวกเราสามารถ ผ่านชั้นนี้ไปได้เป็นส่วนใหญ่ มีซ�้ำชั้นบ้างเล็กน้อย บางคนทนไม่ไหว ก็ลาออกไป ผมเรียน ม.4 อยู่ 1 เทอม ทางรัฐบาลก็เปลี่ยนหลักสูตร เปลี่ยนชั้น ม.4 เป็น ม.ศ.1 แต่โรงเรียนเราก็ยังคงใช้ชื่อชั้นเดียว จนถึง ม.6 (ม.ศ.3) ชั้นนี้เป็นชั้นสุดท้ายของเพื่อนๆ หลายคนที่จะมี โอกาสเรียนต่อระดับ ม.ปลายที่อัสสัมชัญคือชั้น ม.ศ. 4, 5 เทียบได้กับ ม.7, 8 ในปัจจุบัน เพราะต้องมีคะแนนเฉลี่ยต�่ำสุด 60% จึงจะเรียน ต่อได้ ผมเองมีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ได้เรียนต่อ ม.ปลาย ได้ติดเข็ม A.C. ที่ปากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ไม่ต้องปัก “อ.ส.ช.” พร้อมเลข ประจ�ำตัวอีกแล้วเท่เป็นบ้า ไม่มีนักเรียนโรงเรียนใดในประเทศไทย เขาติดเข็มอย่างเดียว แสดงว่าพวกเราเป็นอิสระแล้วพร้อมที่จะเป็น คู่แข่งทางด้านวิชาการกับโรงเรียนอื่น ๆ โดยเฉพาะต�ำแหน่งติดบอร์ด 50 คนแรกของประเทศต้องมีเด็กอัสสัมชัญเป็นขาประจ�ำทุกปี ผมจบ ม.ปลายสายศิลป์ (ค�ำนวณ) สอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ แต่มีความจ�ำเป็นต้องขอย้ายไปเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ (ภาคค�่ำ) ผมเป็นรุ่นที่ 2 ของคณะนี้ ม.วิธาน นิยมวัน ประธานเชียร์คนแรก อสช. 18459 ภาพแปรอักษรยุคแรก ประมาณ ค.ศ. 1942
UNSEEN ASSUMPTION 239 ผมเข้ามามีส่วนร่วมกับกองเชียร์อัสสัมชัญตั้งแต่ ม.1 ไม่ว่าทีมบาส จะไปแข่งขันกี่ครั้งต้องไปเชียร์ตลอด ในการเชียร์สมัยนั้นทุกคนต้อง ระวัง เตรียมความพร้อมสูงมาก มิฉะนั้นแล้วอาจเจ็บตัวโดยง่าย ไปทางไหนต้องเกาะกลุ่มไว้ ตาต้องไว วิ่งต้องเร็ว ตามรุ่นพี่ให้ทัน ปลอดภัยแน่ นัดที่ดุเดือดที่สุดคือนัดชิงชนะเลิศบาสเกตบอล ระหว่าง AC กับเข้าใจว่า...เราชนะคู่แข่งในวินาทีสุดท้ายแต้มเดียว โดยการโยนจากครึ่งสนามลงห่วงพอดี ในนัดนี้พวกเรามีน้อยกว่า เขาเพราะเรารู้ว่าชนะแน่ เนื่องจากเรามีตัวทีมชาติ แล้วก็รู้ว่าคงจะ โดนตีแน่เหมือนกัน ครูประจ�ำชั้นคือ ม.ธรรมชัย ประกาศว่าใครกลัว ไม่ต้องไป ห้องเราส่วนใหญ่ไป ระหว่างเดินทางออกจากสนามเพื่อ จะไปหน้าสนามศุภฯ ก็โดนทั้งเศษไม้และเศษหินเจ็บกันทั่วหน้า แล้ว มาถูกล้อมไว้ที่ด้านหน้าสนามศุภฯ ไปไหนไม่ได้ รุ่นพี่ให้พวกเราอยู่ ตรงกลางเพื่อความปลอดภัย ในที่สุดทางกรมพลศึกษาก็จัดรถนักเรียน น�ำพวกเรากลับโรงเรียนโดยมีนักเรียนช่างกลปทุมวันและนักเรียน นายร้อย จปร. ตั้งแถวเปิดทางให้รถออกจากสนามได้ หลังจากนั้น การแข่งขันกีฬากับโรงเรียนอื่นก็ไม่ค่อยมี ถ้ามีก็ไม่อนุญาตให้ไปเชียร์ การเชียร์ของเราก็เงียบ ๆ ไป ผมเข้าร่วมกับกองเชียร์อีกครั้งตอนมีฟุตบอลประเพณี อัสสัมชัญ - คริสเตียน ราว ค.ศ. 1962 รู้สึกตื่นเต้นมาก คราวนั้นแปรอักษร โดยใช้อุปกรณ์เพียง 2 อย่างคือ หมวกสีขาว เสื้อยืดสีแดง เวลา แปรก็ถอดเสื้อสีขาวออกให้เห็นเสื้อยืดสีแดง แล้วลุกยืนนั่งเพื่อให้ ตัวอักษรนูนขึ้นมา แค่นี้ก็ได้รับเสียงตบมือรอบสนามแล้ว ม.เฉิด เป็นผู้ควบคุมการแปร มี ม.มานะเป็นคนคุมจังหวะร้องเพลง ไม่ใช่ เชียร์ลีดเดอร์ จากประวัติการแปรอักษรอัสสัมชัญเริ่มท�ำครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1942 (ปีน�้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่) ไม่มีภาพถ่ายให้เห็น เป็นเพียง ค�ำบอกเล่า ภาพที่น�ำมาแสดงเป็นภาพยุคหลังไม่ใช่ภาพแรก คราวนี้คง ไม่งงแล้วนะว่าไม่ตรงกับค�ำบอกเล่า ต่อไปผมจะเล่าว่าผมเข้ามาเป็น ประธานเชียร์คนแรกได้อย่างไร เลือกตั้งหรือสรรหา ช่วงนั้นเป็นช่วง ที่จะมีฟุตบอลจตุรมิตรครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1964 การแปรอักษรเป็น จุดส�ำคัญของงานนี้ ทางโรงเรียนมีการเปลี่ยนครูที่คุมกองเชียร์ใหม่ โดยไม่มี ม.เฉิดอีกแล้ว เพราะท่านก�ำลังจะไปเปิดโรงเรียนของท่าน ร่วมกับครูประมาณ 10 ท่าน ครูที่เข้ามารับผิดชอบควบคุมการเชียร์ และแปรอักษรมี 2 ท่าน คือ 1. ม.ไพโรจน์ รัศมีมารีย์ (เชน) 2. ม.ธรรมชัย เลาหะวัฒนะ (ยาย) ม.เฉิด สุดารา บิดาแห่งการแปรอักษรของไทย มาเยี่ยมโรงเรียนอัสสัมชัญ ขณะอายุครบ 100 ปี ค.ศ. 2013
240 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ทั้ง 2 ท่านเป็นเพื่อนสนิทกันและเป็นครูประจ�ำชั้นผมทั้งคู่ แกก็ไป ลากผมเข้ามาเป็นเชียร์ลีดเดอร์ โดยให้เหตุผลว่าผมเคยเป็น นักจัดรายการเพลง พูดออกอากาศให้คนฟังทั่วกรุงเทพฯ และทุกจังหวัด ที่คลื่นส่งไปถึงมันยังไม่รู้จักค�ำว่า “เขินอายเลย” มาเต้นให้รุ่นน้อง และเพื่อนดูท�ำได้แน่ ผมขออธิบายความเรื่องการจัดรายการเพลง ซักหน่อย จิ๊กโก๋รุ่นผมโก๋หลังวังบูรพา ถือว่านักจัดรายการเพลงเป็นการ แสดงความเด่นและดังในสังคมวัยรุ่นในขณะนั้น ผมเองและเพื่อนๆ อีก หลายคนก็รวมตัวกันไปเช่าเวลาตามสถานีวิทยุ ทีมผมมี 4 คน ไปเช่า จัดที่สถานีวิทยุ ตชด. บางคนก็ไปเช่าที่สถานีวิทยุยานเกราะ สมัยนั้น นักจัดรายการที่ดังมากคือ เล็ก วงศ์สว่าง (I.S. Song Hits) สถานีวิทยุ กองพลที่ 1 ก็เลยเป็นเหตุให้ถูกลากเข้ามาร่วมกองเชียร์และได้เป็น ตัวแทนนักเรียนเข้าร่วมประชุมจัดการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตร ในการ ประชุมครั้งนี้ตัวแทนนักเรียนทั้ง 3 โรงเรียนมีต�ำแหน่งประธานเชียร์ทั้งนั้น ยกเว้นผมคนเดียว ผมก็เลยได้เป็นประธานเชียร์คนแรกของอัสสัมชัญ โดยไม่รู้ตัว การประชุมครั้งนั้นสวนกุหลาบเป็นประธานและแจ้งให้ ที่ประชุมทราบถึงวัตถุประสงค์ของการจัดว่า ต้องการให้ทั้ง 4 โรงเรียน เป็นตัวอย่างให้กับโรงเรียนอื่นในเรื่องความสามัคคี แม้นว่าเราทั้ง 4 เคยมีเรื่องตีกันมาตั้งแต่อดีตจากสาเหตุการแข่งขันกีฬา ต่อไปนี้เราจะ จับมือกันร่วมมือกันเป็นเพื่อนกัน โดยจะเน้นที่กองเชียร์เพราะเป็นคน หมู่มาก ถ้ามีเรื่องกันก็บานปลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่าย ถ้ากองเชียร์ทั้ง 4 โรงเรียนมีความสามัคคีกันและโรงเรียนอื่นเห็นและน�ำไปปฏิบัติ การตีกัน ก็จะน้อยลงจนหมดไปเอง ดังนั้นในการแปรอักษรครั้งแรกเราจะนั่ง ติดกันทั้ง 4 โรงเรียนทางด้านตรงข้ามอัฒจันทร์ที่ประทับ ซึ่งตอนนั้น ยังไม่มีกระถางคบเพลิง แต่ใช้บันไดแค่ 15 ขั้นด้านบนเพื่อหลีกเลี่ยง ช่องทางขึ้นขนาดใหญ่ ท�ำให้กองเชียร์ของแต่ละโรงเรียนมีลักษณะคล้าย ริบบิ้น (สี่เหลี่ยมผืนผ้า) เหมือนธงชาติ และต้องแปรโค้ดร่วมให้มากที่สุด ส่วนเวลาที่เหลือจะแปรอะไรก็ได้แต่ต้องไม่เป็นการยั่วยุ เมื่อกลับมาโรงเรียน ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลการเขียนโค้ดร่วมและ โค้ดของเรา ส่วน ม.ไพโรจน์ และ ม.ธรรมชัย ไปสร้างอักษรวิ่ง (แบบ ไฟโฆษณา) ผมได้ไปประสานงานกับประธานเชียร์ของสวนกุหลาบและ เทพศิรินทร์ ได้ไปเห็นผังที่จะเขียนตัวอักษรลงไปและได้ผังโค้ดร่วม มาด้วย ก็เลยเอามาปรับใช้กับของเรา ผังโค้ด 1 : 1 ของทั้ง 2 โรงเรียน เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ของเราเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายไพ่ ถ้าเป็นตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสภาพที่ออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่ปรากฏ จริง จริง ๆ แล้วถ้าเป็นตัวหนังสือก็ดูไม่ต่างกัน แต่ถ้าเป็นภาพคน ภาพวิว ก็ต่างกันไม่มากนัก แต่การวาดภาพลงไปในตารางสี่เหลี่ยมจะง่ายกว่า คนท�ำภาพแปรอักษรชอบตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น 1 : 4 , 1 : 16 , 1 : 100 ของเราเองก็ใช้ตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส สมัยผมใช้ โค้ด 1 : 1 เท่านั้น ในการแปรอักษรครั้งนี้ท�ำให้เห็นว่าสวนกุหลาบและ เทพศิรินทร์เขาก้าวหน้ากว่าเราทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ริเริ่มการแปรอักษรเจ้าแรก อาจจะเป็นเพราะเรายึดติดกับค�ำว่า “แปรอักษร” ที่มีความหมายแคบๆ ว่า เป็นการเปลี่ยนตัวอักษรหลายแบบก็อาจเป็นได้ ในขณะที่โรงเรียนอื่นเขา ยึดความหมายที่กว้างกว่าคือ การท�ำให้ตัวอักษรหรือภาพปรากฏขึ้นบน อัฒจันทร์โดยคนจ�ำนวนมาก ในการแปรอักษรครั้งนี้ผมแอบเอาภาพและ ตัวอักษรขึ้นอัฒจันทร์ในกองเชียร์ของเราเป็นครั้งแรก เพราะวันนั้นอยู่ใน เทศกาลลอยกระทง ผมก็เลยเขียนภาพดอกบัวคู่กัน ค.ศ. 1964 ดังภาพที่ อยู่ในสมุดภาพโรงเรียนอัสสัมชัญ ในวันเปิดจตุรมิตร ครั้งที่ 1 ผมได้ ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ อสช. 80 (ตอนนี้เป็นเจ้าพ่อยานยนต์ เจ้าของงาน Motor Show) มือกีตาร์ของวง The Youngsters คนดัง มาช่วยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ อีกคนหนึ่ง ต่อจากวันนั้นผมได้น�ำกองเชียร์ไปเชียร์ฟุตบอลจตุรมิตร สตาฟเชียร์และถ้วยรางวัลกองเชียร์ ฟุตบอลจตุรมิตรครั้งแรก ค.ศ. 1964
UNSEEN ASSUMPTION 241 นัดที่ 2 ไปพบกับกองเชียร์อีกกองน�ำโดยทรงวิทย์ ศรีอ่อน อสช. 81 เชียร์กัน อย่างเมามันเร้าใจด้วยลีลาการเชียร์ที่สวยงาม ผมก็เลยไปดึงทรงวิทย์มา ร่วมทีมอีกคนหนึ่ง ทรงวิทย์เองไปซ้อมลีดกับจุฬาฯ เราก็เลยปรึกษากันว่าจะ แต่งเพลงเชียร์เพิ่มพร้อมทั้งออกแบบท่าทางประกอบเพลงเชียร์ทุกเพลง ผมก็เลยมอบภาระการฝึกซ้อมเชียร์ลีดทั้งหมดให้ทรงวิทย์รับผิดชอบ ไปท�ำ นอกจากนั้นผมยังได้นักวาดเขียนฝีมือดีคือ ประจ�ำดี เนาวราช อสช. 81 เข้ามาเป็นดีไซเนอร์ ผมได้เพื่อนร่วมงานครบแล้ว ผมขอพูดเรื่องเพลง สักนิด เดิมเราใช้อยู่ประมาณ 7 เพลง เพลงที่ร้องยากที่สุดคือ เพลง “กราวเกียรติศักดิ์” เพลงที่แต่งขึ้นใหม่โดยทรงวิทย์ มีดังนี้ 1. BOOM 2. ร่วมเป็นใจเดียว (เอาท�ำนองมาจากเพลงไทยเดิม) 3. March AC (เอามาจากเพลงเดินของจุฬาฯ มาเปลี่ยนบางส่วน) 4. AC V.Day BOOM เป็นเพลงที่มีท่าทางประกอบที่สวยงาม มีความหมายทุก ลีลา คนที่จะเต้นได้ต้องใช้เวลาฝึกและก�ำลังมาก ต้องท�ำสกอตช์จัมป์ อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ก่อนเข้าท�ำการฝึกท่าประกอบเพลงเพื่อให้ก�ำลังขามั่นคงสวยงาม เราท�ำการฝึกวันละหลายชั่วโมง เวลาพักก็จะมานั่งคุยกันที่ห้องเขียน ภาพแปรอักษร ท�ำให้เราได้ดีไซเนอร์เพิ่มขึ้นอีกคน คือ จาตุรนต์ เอมซ์บุตร อสช. 85 ซึ่งได้เข้ามาฝึกเป็นเชียร์ลีดเดอร์รุ่นเล็กที่สุดของเรา ทั้งทรงวิทย์และจาตุรนต์ได้มาเป็นประธานเชียร์ต่อจากผม จาตุรนต์ เป็นเด็กที่น่ารักมีหัวศิลปะ ทุกครั้งที่เข้ามาคุยกับเราก็จะวาดรูปต่างๆ สมัยนั้นการ์ตูน POPEYE ก�ำลังดัง ผมก็เลยส่งตารางแปรอักษรให้ ลองเขียนดู ปรากฏว่าเขียนออกมาได้สวยงาม ผมก็เลยบอกให้เขียน ภาพอะไรก็ได้จะเอาไปใช้แปรอักษร ก็เลยได้ภาพส�ำคัญมาอีก 2 ภาพ คือ ภาพ ร.9 และภาพพระบรมฯ (ตอนเด็ก) โค้ด 1 : 1 เขียนภาพคน ถือว่าสุดยอดโดยเฉพาะภาพเหมือน นี่ถือว่าเป็นการปฏิรูปการแปร อักษรของอัสสัมชัญครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งครูและนักเรียนร่วมมือกันสร้าง ผลงาน เป็นการคบเด็กสร้างบ้านที่มีแต่สร้างผลส�ำเร็จก้าวหน้า ลบล้าง ค�ำว่าคบเด็กสร้างบ้านจะท�ำให้พังมีแต่เสียหายอย่างเดียว หลังจากจบ ม.ศ.5 จากอัสสัมชัญไปแล้ว ผมสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้ วันแรกที่เข้าไปได้พบเพื่อนที่เป็นประธานเชียร์สวนกุหลาบและ กรุงเทพคริสเตียน ส่วนเทพศิรินทร์ไปสอบเข้า ม.ศิลปากรได้ ที่ ธรรมศาสตร์ผมได้ร่วมเป็นดีไซเนอร์ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ โดยการชักชวนของนายวราทร พินทุสมิต อดีตประธาน เชียร์สวนกุหลาบ และก็รับหน้าที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะเศรษฐศาสตร์ (ภาคค�่ำ) ด้วย จึงขอจบเรื่องสมัยที่เป็นนักเรียนเพียงเท่านี้ ยังมีสมัย ที่เป็นครูอีกนะครับ บทความ แปรอักษรกับ เด็กอัสสัม โดย ไชยันต์ ไชยพร QR CODE #34 บทความ ต�ำนานการแปรอักษร QR CODE #35
242 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น จตุรมิตรสามัคคี วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985 ฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคีนับว่าเป็นอะไรที่แปลกและ ย้อนแย้งกันอยู่ในหลายด้าน ท่านผู้อ่านที่เป็นอัสสัมชนิกและเพื่อน ๆ กรุงเทพคริสเตียน เทพศิรินทร์ และสวนกุหลาบคงนึกสนุกสนาน สะใจทุกครั้งที่ค�ำว่าจตุรมิตรลอยมาเข้าหู เมื่อเกริ่นมาได้เพียงนี้แล้ว ก็จะขอไล่เรียงความแปลกและย้อนแย้งให้ท่านได้สนุกกัน ลองคิดในมุมกลับว่า จตุรมิตรสามัคคี มีความหมายอะไรซ่อนอยู่ จตุ คือ สี่ (4) หมายถึง 4 โรงเรียนที่ขานชื่อไปแล้วข้างต้น มิตร คือ สหาย เพื่อน ส่วนสามัคคี หมายถึง ความพร้อมเพรียงกัน ความปรองดอง รวม ๆ แล้วหมายความว่า สี่โรงเรียนนี้ต้องรักกัน ต้องท�ำอะไรร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความ หมายและที่มาของค�ำว่า จตุรมิตรสามัคคี เป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่า งานถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า ในนาม 4 โรงเรียน “จตุรมิตร” ย้อนกลับไปในช่วงก่อนมีจตุรมิตรสามัคคี ปัญหานักเรียนทะเลาะ วิวาทกันเป็นปัญหาใหญ่ของยุคสมัย บรรดานักเลงขาสั้นทั้งหลาย ต่างออกอาละวาด จนเป็นที่ปวดหัวของบรรดาครูบาอาจารย์ ดังนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่จึงเริ่มคิดหาทางให้นักเรียนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่าง สันติ และได้ใช้กีฬาเข้ามาเป็นตัวน�ำ เพื่อเป็นสื่อกลางในการเชื่อม ความสัมพันธ์ อันที่จริงก่อนหน้าการก�ำเนิดของจตุรมิตรสามัคคี ก็มีฟุตบอลประเพณีระหว่างโรงเรียนชายล้วนด้วยกันก่อนหน้านี้แล้ว ระหว่างกรุงเทพคริสเตียนกับอัสสัมชัญ, เทพศิรินทร์กับสวนกุหลาบ ฯลฯ นอกจากนี้ก็มีการฟาดแข้งกันตามฟุตบอลชิงถ้วยในรุ่นและ รายการต่าง ๆ กันมานมนาน ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะตั้งแต่ก่อน สงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นเค้าลางในการเกิดจตุรมิตรสามัคคีมีมา นานนับสิบ ๆ ปี
UNSEEN ASSUMPTION 243 วัตถุประสงค์ของจตุรมิตรสามัคคีเน้นย�้ำให้สังคม มองเห็นเป็นแบบอย่างที่ดีบ้าง เพื่อให้มีน�้ำใจนักกีฬาบ้าง เพื่อส่งเสริมมารยาทบ้าง เล่นกันอย่างสุภาพบ้าง ฯลฯ ความย้อนแย้งจึงปรากฏตรงที่ฟุตบอลเป็นกีฬาของชนชั้น แรงงานในอังกฤษ อันเป็นกีฬาที่มีการเชียร์ ให้ก�ำลังใจ ด้วยการตะโกน โห่ร้อง หรือแซว ตัดก�ำลังใจนักกีฬา ฝ่ายตรงข้าม เป็นที่สนุกสนานกัน เมื่อวัตถุประสงค์ระบุให้สุภาพเรียบร้อย มีมารยาท ก็เป็นอันว่าคงจะไปด้วยกันยากกับกีฬาฟุตบอล ถ้าอยาก ให้นักเรียนมีความสุภาพ เรียบร้อย มีมารยาทแล้ว สู้ ให้นักเรียนไปตีกอล์ฟ เล่นเทนนิส หรือจับใส่ทักซิโด้ แทงสนุกเกอร์ แต่กับฟุตบอลนั้นเป็นคนละเรื่อง นักกีฬา ปะทะในสนามกันแต่ละที กองเชียร์ก็อยากจะปะทะกันด้วย ปรากฏการณ์ย้อนแย้งที่ประหลาดที่สุดคือได้ผล จตุรมิตรสามัคคีได้ท�ำให้นักเรียนของทั้งสี่โรงเรียนนี้ มีประสบการณ์ร่วมกัน และรู้สึกพิเศษต่อกันมากกว่า เพื่อนฝูงโรงเรียนอื่น เมื่อนักเรียนก็ดี นักกีฬาก็ดี เติบโต ไปเป็นผู้ใหญ่ ค�ำว่าจตุรมิตรมันฝังอยู่ในใจอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ จตุรมิตร ล้วนรู้รักสามัคคี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2020 โรงเรียน ในเครือจตุรมิตรร่วมถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดยมีริ้วขบวนนักเรียนจากทั้ง 4 โรงเรียน พร้อมด้วย ผู้บริหาร ศิษย์เก่า และนายกสมาคมทั้ง 4 สมาคม ประกอบด้วย • พลเรือเอก ประพฤติพร อักษรมัต นายกสมาคมอัสสัมชัญ • พลต�ำรวจเอก ศตวรรษ หิรัญบูรณะ นายกสมาคมนักเรียนเก่า เทพศิรินทร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ • นายกู้ศักดิ์ สารกิติพันธ์ นายกสมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียน วิทยาลัย • นายแพทย์พิชญา นาควัชระ นายกสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบ วิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าถวายบังคมและกล่าวค�ำมั่นค�ำสัญญาว่า “จะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์” “จะรู้รักสามัคคี” และ “ท�ำหน้าที่เป็นพลเมืองดี”
244 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น กลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนา ในความทรงจ�ำ พระไพศาล วิสาโล อสช. 22517 สมัยเป็นนักเรียนอัสสัมชัญ นอกจากห้องเรียนแล้ว การเรียนรู้ ที่ส�ำคัญของข้าพเจ้ายังเกิดขึ้นในหลายที่ เช่น ห้องสมุด ซึ่ง เปิดโลกของข้าพเจ้าให้กว้างขึ้น ห้องประชุมใหญ่ อันเป็นที่ ที่ข้าพเจ้าได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมจากการอบรมประจ�ำ วันเสาร์ของท่านอธิการ และจากแบบอย่างอันดีงามของ อัสสัมชนิกรุ่นเก่า ๆ ที่ได้รับเชิญมาพูดคุยกับนักเรียน สนาม กรวดก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับการฝึกฝนเรื่องวินัย การตรงต่อเวลา และการรักษาความสะอาด การเรียนรู้เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าตั้งแต่วัยเด็ก แต่เมื่อถึงวัยรุ่น มีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ช่วยให้ข้าพเจ้าเติบโต อย่างมากในทางความคิด ชนิดที่การเรียนในห้องไม่อาจ ท�ำให้ได้ อีกทั้งมีส่วนไม่น้อยในการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของ ข้าพเจ้า สถานที่แห่งนั้นคือห้องท�ำงานของกลุ่มอัสสัมชัญ อาสาพัฒนา ห้องนี้อยู่บนชั้นสามปีกด้านตะวันตกของตึกสุวรรณสมโภช หรือหอประชุม อันที่จริงข้าพเจ้าไม่เคยย่างกรายไปที่ห้อง นี้เลยจนกระทั่งอยู่ชั้น ม.ศ.3 ความที่เพื่อนร่วมชั้นหลายคน เป็นกรรมการของกลุ่มนี้ ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสแวะเวียนไปที่นั่น การสนทนา (และวิวาทะ) ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในห้องนั้นหลัง เลิกเรียน ได้ท�ำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจในกิจกรรมของ กลุ่มนี้ รวมทั้งเกิดความตื่นตัวในเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองและ สภาพสังคมไทยมากขึ้น จนได้กลายมาเป็นสมาชิกที่แข็งขัน ของกลุ่มนี้ และเข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่างที่ชักน�ำข้าพเจ้า ออกจากห้องเรียนและโรงเรียนสู่โลกกว้าง จนในที่สุดได้ ตัดสินใจย้ายจากห้องวิทย์ไปอยู่ห้องศิลป์ และเปลี่ยนความ ตั้งใจที่จะเข้าจุฬาฯ เพื่อเรียนวิศวะหรือเรียนหมอ ไปเรียน ที่ธรรมศาสตร์แทน ค่ายอาสาพัฒนายุคแรกๆ ริเริ่มโดย ภราดาวิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย และภราดาวิริยะ ฉันทวโรดม ขณะมาเยี่ยมให้ก�ำลังใจชาวค่ายฯ ในภาคอีสาน
UNSEEN ASSUMPTION 245 “เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงเปิดตึก ฟ.ฮีแลร์ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2515 นั้น พระองค์ท่านสนพระราชหฤทัยเป็นพิเศษในกิจกรรมที่ทางกลุ่มได้จัดขึ้นในห้องเรียน พระองค์ได้ตรัส ถามถึงการด�ำเนินงานของกลุ่ม - การปฏิบัติงาน และสมาชิกที่ออกไปปฏิบัติงานตามแหล่งต่าง ๆ แล้วพระองค์ ได้ตรัสชมเชยว่า เป็นกิจกรรมที่ดีมากในการไปช่วยเหลือชาวบ้านตามชนบทต่างๆ” ภราดาวิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย จากหนังสืออัสสัมชัญ อาสาพัฒนา ค.ศ. 1968 - 1977
246 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น กลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนาก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1968 เริ่มแรกมี สมาชิกเพียงแค่ 14 คน ประธานคนแรกคือ สุธรรม กิจอุดม ตอนนั้น ข้าพเจ้าอยู่ชั้น ป.6 ถ้าจ�ำไม่ผิด มีอยู่ปีหนึ่ง นักเรียนรุ่นพี่หลายคน มาที่ห้องเรียนของข้าพเจ้าเพื่อแนะน�ำกลุ่มนี้และเชิญชวนพวกเรา มาเป็นสมาชิก ข้าพเจ้าได้สมัครด้วยคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ท�ำกิจกรรม กับกลุ่มนี้เลย กลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์ชักชวนนักเรียนท�ำกิจกรรมบ�ำเพ็ญประโยชน์ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งสมัยนี้เรียกว่าจิตอาสา ปีแรก ๆ มีการพานักเรียนไปสอนหนังสือเด็กในสลัม ต่อมาก็ไปเยี่ยม เด็กก�ำพร้าที่บ้านราชวิถี และเยี่ยมคนชราที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ที่ขาดไม่ได้ก็คือค่ายอาสาพัฒนา ปีแรก ๆ ท�ำค่ายไม่ไกล แถวชานเมือง คือพระโขนง หรือไม่ก็ชานเมืองคือบางบัวทอง จุดเด่นของกลุ่มนี้คือ มีประธานและกรรมการที่แข็งขัน ท่านอธิการ ตอนนั้นคือบราเดอร์หลุยส์จึงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ กลุ่มนี้ จึงเติบโตขึ้นเป็นล�ำดับและมีกิจกรรมขยายตัว จากงานประเภท สังคมสงเคราะห์ไปสู่การเสริมสร้างจิตส�ำนึกทางสังคม โดยเฉพาะ ในปีที่มีประธานชื่อกนก วงษ์ตระหง่าน (ซึ่งตอนหลังได้กลายเป็นผู้น�ำ นักศึกษาช่วง 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516) จ�ำได้ว่าในปีนั้นคือ ค.ศ. 1969 กลุ่มนี้ได้เป็นตัวตั้งตัวตีจัดการสัมมนาระหว่างโรงเรียนเรื่องเกี่ยวกับ เยาวชนกับความรับผิดชอบต่อสังคม มีนักเรียนหลายโรงเรียน มาร่วม ทั้งในเครือคาทอลิกและเครือจตุรมิตร (สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ และกรุงเทพคริสเตียน) มีวิทยากรชื่อดังหลายคนมาร่วมงาน ข้าพเจ้าเริ่มคุ้นกับกลุ่มนี้มากขึ้นเมื่ออยู่ชั้น ม.ศ. 2 ทั้งนี้เพราะมี เพื่อนร่วมห้องหลายคนเป็นสมาชิกที่แข็งขันของกลุ่มนี้ รวมทั้งไป เข้าค่ายอาสาพัฒนาด้วย ปีนั้น (ค.ศ. 1971) ประธานคือ เกรียงศักดิ์ ธรรมกิตติเกษม (เจริญวงศ์ศักดิ์) ค่ายอาสาพัฒนาซึ่งจัดในเดือน เมษายน ค.ศ. 1972 ออกไปท�ำในภาคอีสาน คือ ต�ำบลด่านช้าง อ�ำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ข้าพเจ้าทราบในเวลาต่อมาว่า ค่ายที่ด่านช้างสร้างความประทับใจให้แก่ ผู้คนเป็นอันมาก สมาชิกค่ายหลายคนติดอกติดใจค่ายนี้ ส่วนชาวบ้าน หลายคนก็ผูกพันกับสมาชิกค่ายมาก จนมีการเยี่ยมค่ายนี้ในภายหลัง อยู่หลายครั้ง (ข้าพเจ้าก็พลอยได้ไปเยี่ยมด้วยหลายครั้งเช่นกัน) ค.ศ. 1972 ประธานคนใหม่ของกลุ่มคือ พจนา จันทรสันติ เพื่อนร่วม ห้องของข้าพเจ้า 2 คนได้เป็นกรรมการด้วย คือ ไพจิตร เตียมสัญชัญ (เลขานุการ) และพิชัย ไตรภัทร (ปฏิคม) ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ แทนด้วย อีกทั้งรู้สึกว่าการเป็นกรรมการกลุ่มเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ ไม่คาดคิดว่าเพื่อนทั้งสองจะมีความสามารถถึงเพียงนั้น เป็นเพราะเพื่อนทั้งสอง ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นไปที่ห้องท�ำการของกลุ่มนี้ และมีการสนทนากันหลายครั้ง ช่วงนั้นศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา แห่งประเทศไทย โดยธีรยุทธ บุญมี ท�ำการรณรงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น และส่งเสริมให้ใช้ผ้าดิบแทนผ้าญี่ปุ่น เป็นข่าวคราวใหญ่โต เราจึง สนทนากันเรื่องนี้ แล้วโยงไปถึงการครอบง�ำเศรษฐกิจไทยโดยญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การศึกษาไทย ตอนหลังเราอ่าน หนังสือเรื่องใดก็เอามาพูดกัน ไม่เว้นแม้แต่การสนทนาและวิวาทะ เรื่องโสกราตีส การสนทนาดังกล่าวช่วยเปิดโลกของเราให้กว้างขึ้น อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในห้องเรียน ผลพวงอย่างหนึ่งของการไปคลุกคลีกับเพื่อนที่นั่นคือ การถูกชวน มาช่วยงานของกลุ่มนี้ ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้เป็นอนุกรรมการ ฝ่ายวิชาการของกลุ่ม ซึ่งมีกอบชัย จิราธิวัฒน์ เป็นประธานฝ่าย งานแรกที่ได้มีส่วนช่วยคือ การจัดฝึกพูดในที่สาธารณะ โดยมีนักเรียน จากอัสสัมชัญคอนแวนต์ อัสสัมชัญศึกษา และมาแตร์เดอี มาร่วม ฝึกด้วย งานนี้ก็ดี และงานอื่น ๆ ที่ตามมาในเวลาต่อมาก็ดี ได้ท�ำให้ข้าพเจ้า กลายเป็นสมาชิกขาประจ�ำของกลุ่มนี้ ทุกเย็นหลังเลิกเรียนข้าพเจ้า จะไปขลุกอยู่บนชั้น 3 ของตึกหอประชุม จากคนที่กลับบ้านเย็นกลายเป็น คนกลับบ้านค�่ำ บางวันก็กลับดึกเพราะมีงานติดพัน แล้วต่อด้วย การไปกินข้าวค�่ำที่บางรัก