The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Watcharee Yui, 2024-01-26 10:15:03

Unseen Assumption 135th

Unseen Assumption 135th

UNSEEN ASSUMPTION 97 งานฝังศพคุณพ่อกอลมเบต์ ขณะแห่คุณพ่อผ่านมุขกลาง ของตึกเก่า โรงเรียนอัสสัมชัญ (รูปจาก: อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย เล่มที่ 79 ค.ศ. 1933) กลุ่มแรกถือได้ว่าเป็นศิษย์เก่า อันเป็นพยานว่า คุณพ่อกอลมเบต์ ได้บ่มเพาะ อบรมลูกศิษย์ให้เจริญก้าวหน้าไปในสุจริตชีพ แม้ต่าง สาขา ต่างวาระ ต่างวัยกัน ท่านทั้งหลายดังจะเอ่ยนามต่อไปนี้ ก็มี ปฐมาจารย์แห่งอัสสัมชัญคนนี้ร่วมกัน ประกอบด้วย เจ้าพระยา ศรีธรรมาธิเบศ พระยาอนุมานราชธน พระยาเสวกวรายุตก์ พระยา ศรีวิสารวาจา พระยามโหสถศรีพิพัฒน์ พระยามานวราชเสวี พระยา ลักษณสุตสุนทร พระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ พระยาอภิบาลราชไมตรี พระยาประมวลวิชาพูล ฯลฯ กลุ่มที่สองนั้นมิได้เป็นศิษย์เก่า แต่ถือว่าเป็นบุคคลส�ำคัญของงาน และยังเป็นบุคคลส�ำคัญของชาติอีกด้วย ประกอบด้วย พ.อ.พระยา พหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี, เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ, เจ้าพระยายมราช เจ้าพระยา พิชเยนร์โยธิน เจ้าพระยามหิธร เจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ พระยา ด�ำรงแพทยาคุณ พระยานิติศาสตร์ไพศาล พระยาเทพหัสดิน คณะ ทูตานุทูตฝรั่งเศส อิตาลี และอังกฤษ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ในงานฝังศพคุณพ่อกอลมเบต์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1933 (รูปจาก : อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย เล่มที่ 79 ค.ศ. 1933) นอกจากนี้ในบันทึกยังระบุไว้ด้วยว่า บรรดาห้างร้านใหญ่ ๆ ได้เปิด โอกาสให้บรรดาผู้ที่เป็นสานุศิษย์ได้ไปในการพิธี หยุดท�ำการค้าขาย ชั่วคราวจนกว่าจะเสร็จพิธี อีกทั้งสถานทูตฝรั่งเศสได้ลดธงครึ่งเสา เพื่อเป็นการไว้อาลัยคุณพ่อด้วย อัสสัมชนิกทั้งหลายในวันนี้พึงระลึกดูเถิดว่า เหตุใดบุคคลส�ำคัญ ระดับประเทศถึงได้มาร่วมแสดงความเคารพคุณพ่อกอลมเบต์ มากมายถึงเพียงนี้ รวมทั้งบรรดาคณะทูตต่างชาติอีกเป็นจ�ำนวน หลายชาติ และการอนุญาตให้ผู้ที่ต้องการมาร่วมงานลางานจาก ห้างร้านพาณิชย์ภาคเอกชนของตน เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นหลักฐาน อย่างดีของคุณงามความดีที่คุณพ่อกอลมเบต์ได้สร้างสรรค์เอาไว้ ถือได้ว่าท่านเป็นบุคคลส�ำคัญของประเทศไทยอย่างแท้จริง ประวัติคุณพ่อกอลมเบต์ QR CODE #14


98 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น อารัมภกถา บันทึกประจ�ำวันที่เป็นเสมือนสมุดฉีกฉบับที่ สอง (Ephémérides volumes 2) เก็บอยู่ในหอ จดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เขียนขึ้น ด้วยลายมือภาษาฝรั่งเศสศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1898 สิบสามปีหลังการก่อตั้ง รร.อัสสัมชัญ) ไม่เคยมีการแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน และเป็น ภาษาโบราณ (La langue archaïque) มิใช่ภาษา ร่วมสมัย (La langue contemporaine) ในแง่ ผู้บันทึกน่าจะเป็นเสมียนหรือนักบวชฝรั่งเศสที่ ท�ำงานใกล้ชิดกับคุณพ่อเอมิล ออกุสท์ กอลมเบต์ (มิใช่ออกัสท์ เพราะเป็นส�ำเนียงการออกเสียง แบบฝรั่งเศส เช่นเดียวกับนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส ระดับแชมป์โลก Thierry Henry อ่านว่า เธียรี่ อองรี มิใช่เธียรี่ เฮนรี่ ดังที่อองรีเองเคยปฏิเสธ การเรียกชื่อของเขาด้วยการออกเสียงแบบอังกฤษ) ผู้ประศาสน์การโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ขึ้นมา ในสยามประเทศ ค.ศ.1885 ผู้บันทึกฉบับนี้ มิใช่ตัวคุณพ่อกอลมเบต์เองแน่นอนเมื่อพิจารณา จากองค์ประกอบโดยรวมทั้งหมด โดยเฉพาะ อย่างยิ่งจากค�ำสรรพนาม จากวิสามัญนามต่างๆ ที่ใช้อยู่ในบันทึกนี้ (Les pronoms personnels et les Noms Propres utilisés) หลังจากที่พิจารณาอ่านภาพรวมทั้งหมดของ เนื้อหาการบันทึก ผู้แปลสันนิษฐานว่า การบันทึก เป็นวันๆ ไปเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักที่ส�ำคัญที่สุด ได้แก่ กิจประจ�ำวันของสงฆ์ที่คุณพ่อกอลมเบต์ ได้ประพฤติปฏิบัติในแต่ละวันของชีวิตชุมพาบาล ของท่าน เป็นการบันทึกใน ค.ศ. 1897 - 1998 ไดอารี่ของบาทหลวงกอลมเบต์ ค.ศ. 1898 กับการค้นพบเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2019 ผู้แปล วีรวิทย์ เศรษฐวงศ์ อสช. 22737


UNSEEN ASSUMPTION 99 ช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ข้อสังเกตประการหนึ่งของผู้แปล ได้แก่ ในช่วงสองเดือนที่มีการบันทึกนี้ ถือเป็นฤดูฝนของคนไทย แต่เนื่องจากในยุคนั้น การท�ำลายทรัพยากรป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ ของประเทศยังไม่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายเช่นทุกวันนี้ พระพิรุณจึง ตกหนักมากตลอด 2 เดือน เป็นไปตามฤดูกาลที่ควรเป็น ตรงกัน ข้ามกับปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 21 ภาวะโลกร้อน การตัดไม้ท�ำลายป่า ส่งผลให้ฤดูกาลวิปริตไปทั้งระบบ ไม่มีฤดูกาลอย่างที่เคยเป็นมา ในอดีตกาลอีกต่อไป ไม่มีฤดูกาลที่แน่นอนอีกแล้วในศตวรรษนี้ ก่อนอื่น ผู้แปลขอออกตัวก่อนว่า เนื่องจากเอกสารต้นฉบับในบาง วรรค บางตอน ถึงกับอ่านไม่ได้เลย แม้จะพยายามทุกวิถีทางแล้ว กระนั้นก็ยังมีบางข้อความที่หายหกตกหล่นไปอันเนื่องมาจาก ลายมือที่หวัดมากของผู้บันทึกประจ�ำวัน (L’écriture illisible) ผู้แปลจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย อนึ่ง ในบันทึกประวัติศาสตร์นี้ ผู้แปลได้พบภาษาไทยหลายค�ำ ที่ใช้ทับศัพท์ อาทิ le Su Kho (สุโข) le Khan mâk (ขบวนแห่ ขันหมาก) le tok (โตก ส�ำรับอาหารในพีธีมงคลสมรส) น่าพิศวงว่า ใน ค.ศ. 1898 ณ สยามประเทศ แม้จะมีพิธีมิสซาแต่งงานในโบสถ์ ไดอารี่ทั้ง 3 เล่ม ของคุณพ่อกอลอมเบต์ ซึ่งอวยพรท�ำมิสซาโดยคุณพ่อกอลมเบต์ กระนั้นก็ไม่ละเลยประเพณี แห่ขันหมากอันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวสยาม มีการผนวกรวม วัฒนธรรม 2 สาย ตะวันตกและตะวันออก อย่างกลมกลืนสัมพันธ์ กันสนิท ตรงกันข้าม การแต่งงานในโบสถ์คาทอลิกยุคนี้ เท่าที่ทราบ ไม่มีการแห่ขันหมาก ทานขันโตก ปราศจากการสังเคราะห์ หลอมรวม (Fusion of two different cultures regarding Marriage Ceremony) วัฒนธรรมสองสายเข้าด้วยกันอีกต่อไป การท�ำพิธีในโบสถ์คาทอลิก ในทุกวันนี้ถูกลดฐานะลงเป็นแค่น�้ำจิ้ม ขณะที่อาหารจานหลัก ในการแต่งงานของคนยุคศตวรรษที่ 21 นี้ ได้แก่ การแต่งงานใน โรงแรมหรู พร้อมการถ่ายท�ำคลิปวิดีโอ ภาพนิ่งประกอบเพลงของ คู่บ่าวสาว ตั้งแต่เริ่มรักกันจนมาจบที่งานแต่งงาน ด้วยราคาหลัก แสนบาทขึ้นไปโดยสตูดิโอมืออาชีพ ทอดทิ้งวัฒนธรรมการแต่งงาน แบบไทยโบราณอันงดงามของการแห่ขันหมากไว้เป็นแค่อนุสรณ์ ผู้เขียนอยากเห็นผู้อ่านบทความชิ้นนี้ได้รื้อฟื้นการแต่งงานด้วยการ หลอมรวมวัฒนธรรมสองสายที่แตกต่างกันขึ้นมาให้เป็นหลักฐาน ในสยามประเทศอีกครา ผู้เขียนจะพอใจ ภูมิใจมากที่ได้ช่วยจุดประกาย ความงดงามขึ้นมาอีกครา


100 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น บันทึกประจ�ำวัน พฤษภาคม วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2441 นางไซและครูแหม่มหนีออกไปตอนตีสี่ และไปหลบอาศัยอยู่ที่บ้าน ของแชร์มานน์ เดอ เยซู 18.00 น. (เวลาที่บันทึก) ฮังรี เฟรเดริก นักเรียนของโรงเรียน หนีออกไปตอน 17.00 น. เขามีอายุ 17 ปี เขาอาศัยอยู่ที่โรงเรียน มาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ตัวอย่างบันทึกประจ�ำวัน


UNSEEN ASSUMPTION 101 พระคุณเจ้า หลุยส์ เวย์ (พระสังฆราชคาทอลิก ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล เซนต์หลุยส์ และโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์) ล้มป่วยตั้งแต่ วันที่ 6 หรือวันที่ 7 มิถุนายน ศกนี้ แต่ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเชื่องช้า ด้วยความยากล�ำบาก วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 พิธีมงคลสมรสของนายมิเชล เต็มแร็ง (illisible) กับครูเล็ก ทั้งคู่ จะมีความสุขด้วยกันวันนี้และหลังจากนั้นตลอดไป ด้วยเงินหนัก 3 ปอนด์ที่ใส่อยู่ในซอง และตามมาด้วยส�ำรับอาหาร 6 โตก วันนี้ ส�ำหรับขบวนแห่ขันหมากประกอบด้วยส�ำรับอาหาร 20 โตก กับซองใส่เงิน 100 เหรียญ (ไม่ทราบสกุลเงิน) คุณพ่อกอลมเบต์ท�ำพิธีมิสซาและอวยพรงานแต่งงานนี้ วันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 ฝนตกหนักมากทั้งวันทั้งคืน สัปดาห์ที่แล้ว คุณพ่อกอลมเบต์ได้ส่ง น�้ำที่ดื่มได้ 2 เหยือกไปที่อ�ำเภอปากเกร็ด น�้ำบริสุทธิ์ที่กลั่นแล้ว 4 ไหที่ให้เปล่าในแต่ละวันซึ่งบริษัทผลิตได้ ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว วันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 พระพิรุณยังเทกระหน�่ำต่อไป เมื่อวานนี้ วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม นางไซถูกพบเห็นที่บ้านของ แชร์มานน์ เดอ เยซู วันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 พระพิรุณไหลหลั่งไม่หยุด วันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 ฝนฟ้ากระหน�่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา วันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 วันฉลองพระจิตเจ้า (Pentecôte) พระสงฆ์องค์ใหม่นามว่า คุณพ่อ ทากริสเดินทางมาถึงสยาม มิถุนายน วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1898 นายแชร์เนอเว่ เดอ ลิกาแล็ง หยุดพักจากการงานเพื่อเดินทาง ไปพักผ่อน ฝนตกหนักมากตลอดคืน คุณพ่อกอลมเบต์ไปเยี่ยม พระคุณเจ้าเวย์ซึ่งอาการยังไม่ดีขึ้นมากนัก คุณพ่อกอลมเบต์เข้าเยี่ยม นายม็อตแตร์ อัครราชทูตอิตาลีประจ�ำประเทศไทย วันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1898 พระพิรุณยังคงกระหน�่ำอย่างต่อเนื่อง ไม่ลืมหูลืมตา แปลจากต้นฉบับโดย วีรวิทย์ (วิทยา) เศรษฐวงศ์ เลขประจ�ำตัว 22737 อดีตนักเรียนอัสสัมชัญห้องฝรั่งเศสตั้งแต่ประถม 1 ฝรั่งเศส จนถึง ม.ศ.5 ศิลปะแผนกฝรั่งเศส (ท�ำคะแนน ม.ศ.5 เฉพาะวิชาภาษา ฝรั่งเศสได้ 125/140 ของข้อสอบกระทรวงศึกษาธิการทั่วประเทศ ติดบอร์ดประเทศไทย ที่ 40 ของประเทศไทย ด้วยคะแนน 80% ที่หนึ่งของโรงเรียน สอบได้ทุนโคลัมโบของประเทศออสเตรเลีย แต่ ปฏิเสธที่จะรับทุนใน ค.ศ. 1976 ) เกษียณอายุราชการในต�ำแหน่ง หัวหน้าภาคภาษาและวัฒนธรรมตะวันตก (ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย) เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 ด้วยอายุราชการ 27 ปี ที่สอนทฤษฎี การแปล วรรณคดี ภาษา ปรัชญา ฝรั่งเศสตลอดมา จากคณะ ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจฉิมกถา ขอขอบคุณนายวันชัย สวรรค์สกุลไทย กราฟิกดีไซเนอร์มือหนึ่ง ของรุ่นและนายวีรศักดิ์ ศิริอังกูร ปิยมิตรที่ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับ วัฒนธรรมไทยในสมัย ร.5


102 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985 อัสสัมชนิกจ�ำนวนไม่น้อยที่คงไม่ทราบว่า อาสนวิหารอัสสัมชัญ (Assumption Cathedral) หลังปัจจุบัน อันเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ ส�ำคัญควบคู่กับโรงเรียนอัสสัมชัญ จะมีผู้ให้ก�ำเนิดสร้างผู้เดียวกัน ผู้นั้นคือ บาทหลวงเอมิล ออกุสต์ กอลมเบต์ อาสนวิหารอัสสัมชัญหลังเดิมนั้นสร้างด้วยอิฐ มีลักษณะสถาปัตยกรรม ผสมผสานระหว่างไทยกับยุโรป โดยมีพระสังฆราชฟลอรังส์เป็น หัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการซื้อที่ดินและด�ำเนินการ อาสนวิหารอัสสัมชัญ หลังเดิมสร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1821 โดยมีชื่อเรียกแต่เดิมว่า “วัดอัสซมซีโอ” หรือ “วัดสวนท่าน” ตามพิกัดสถานที่ที่อยู่ท่ามกลาง “สวน” มะม่วงของ “ท่าน” สังฆราช ต่อมากลุ่มคริสตชนได้ขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้อาสนวิหารหลังเดิม คับแคบลงไป อีกทั้งคุณพ่อกอลมเบต์ในฐานะเจ้าอาวาสอาสนวิหาร อัสสัมชัญได้ส่งต่อภารกิจในการดูแลบริหารโรงเรียนอัสสัมชัญ ค�ำกล่าวในงานสุวรรณสมโภช 50 ปี คุณพ่อกอลมเบต์อยู่เมืองไทย 22 เมษายน 1922 ถ้าจะอ้างถึงหลักแหล่งแห่งความศรัทธาของคุณพ่อให้มนุษย์รู้เห็นว่า แก่กล้าสักเท่าไรแล้ว ต้องหันเข้าทางพระวิหารอัสสัมชัญ ซึ่งคุณพ่อ ได้พากเพียรสร้างถวายพระผู้เป็นเจ้า แม่พระอัสสัมชัญนานตั้ง 14 ปี กว่าจะส�ำเร็จ กิจนี้แหละเป็นพยานปรากฏในเวลานี้ ซึ่งหวังว่า จะคงอยู่เป็นพยานปรากฏเพื่อเกียรติยศของแม่พระ และพระผู้เป็นใหญ่ ในสากลโลก อาสนวิหารอัสสัมชัญหลังเดิม ให้กับคณะภราดาเซนต์คาเบรียล จึงปรึกษากับคุณพ่อหลุยส์- โรมิเออ ผู้เป็นเหรัญญิกและดูแลโรงพิมพ์อัสสัมชัญ เป็นผู้ออกแบบ โครงสร้างและควบคุมการก่อสร้าง ส่วนคุณพ่อกอลมเบต์เป็นผู้หาทุน ใน ค.ศ. 1904 จึงได้เริ่มรื้อถอนอาสนวิหารหลังเดิมลง และเริ่ม ประชุมคณะกรรมการจัดหาทุนสนับสนุนการก่อสร้างอาสนวิหารหลัง ใหม่เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1905 การหาทุน เป็นไปอย่างยากล�ำบาก ท�ำให้งานก่อสร้างต้องหยุดชะงักหลายครั้ง หลังจากเตรียมพื้นที่และวางรากฐานอยู่หลายปี ใน ค.ศ. 1910 พระสังฆราชแปร์รอสเชิญพระสังฆราชบูชือต์ ผู้แทนพระสันตะปาปา ประจ�ำมิสซังพนมเปญ มาเป็นประธานในพิธีเสกศิลาเอกของ อาสนวิหารอัสสัมชัญ อาสนวิหารอัสสัมชัญ


UNSEEN ASSUMPTION 103 ต้นแบบภายนอกของตัวอาคาร คุณพ่อกอลมเบต์ และคุณพ่อหลุยส์-โรมิเออ ได้ ปรึกษากันว่าจะลอกแบบอาสนวิหารแห่งเมืองไซง่อน ประเทศเวียดนาม ส่วน ความหมายทางจิตวิญญาณนั้น ได้เลือกรูปแบบของโรมาเนสก์-ไบแซนไทน์ เนื่องจาก สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจที่มั่นคงซึ่งเพ่งพิศไปยังพระเจ้า สัดส่วนโครงสร้างเปรียบดั่ง เสาศิลาแห่งค�ำสอนในพระศาสนจักรที่ไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนได้ ห้องใต้ดิน (Crypt) ที่ใช้ฝังร่างของพระสังฆราช เป็นเสมือนเตียงนอนเพื่อรอการเสด็จกลับมาอีกครั้งของ พระผู้เป็นเจ้า หอสูงด้านหน้าวัดเป็นสิ่งที่ท�ำให้ผู้เดินเรือต่างชาติที่เข้ามาในสยามได้ ร�ำลึกถึงพระเป็นเจ้า และความยิ่งใหญ่ของตัวอาคารนี้จะเป็นความภาคภูมิใจของ กรุงเทพมหานครสืบไป อาสนวิหารอัสสัมชัญหลังใหม่สร้างเสร็จและเปิดใช้ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1918 และมีพิธีเสกอาสนวิหารอัสสัมชัญเป็นงานใหญ่ ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1919 อาสนวิหารอัสสัมชัญได้เป็นพยานปรากฏแก่เกียรติยศของแม่พระอัสสัมชัญ และ ความมุ่งมั่นศรัทธาของคุณพ่อกอลมเบต์ แม้จะต้องจัดหาเก้าอี้เพิ่มเติมภายหลังจาก สร้างแล้วเสร็จ แม้จะต้องแก้ไขปัญหาหลังคาทรุดตั้งแต่ขวบปีแรก ๆ แม้จะต้องเผชิญ กับระเบิดของสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่อาสนวิหารอัสสัมชัญก็ท�ำหน้าที่อย่างภาคภูมิในการเป็นตัวแทนของคริสตชน ในการต้อนรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เป็นการส่วนพระองค์เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1946 ต้อนรับพระรูปแม่พระฟาติมา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1950 ต้อนรับ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ต้อนรับ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 นอกจากนี้ อาสนวิหารอัสสัมชัญยังได้ท�ำหน้าที่ทั้งใหญ่น้อยในการเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตของคริสตชน และส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กอัสสัมชัญ หากคราใดที่มีโอกาส ก็คงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคุณพ่อกอลมเบต์ และแวะลงไปเยี่ยมเยียนท่านอยู่เสมอ อาสนวิหารอัสสัมชัญ หลังปัจจุบัน สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 เสด็จเยือนอาสนวิหารอัสสัมชัญ ใน ค.ศ. 1984 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จเยือนโรงเรียน อัสสัมชัญ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ประวัติอาสนวิหารอัสสัมชัญ QR CODE #15


104 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ประวัติ โรงเรียนอัสสัมชัญ เดิมทีในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกพื้นที่นี้ว่า “บางรัก” ปรากฏว่ามีชุมชน ชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่เป็นหลักเป็นฐานตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตกที่เข้ามาท�ำธุรกิจการค้ากัน ตามมาด้วยแรงงาน กุลีชาวเอเชียที่คอยยกขนสินค้าขึ้น - ลงเรือ ตามท่าเรือที่เรียงรายต่อเนื่อง ตามเส้นแนวแม่น�้ำเจ้าพระยา - ถนนเจริญกรุง ตามมาด้วยตลาด ที่กระจายสินค้าให้กับชาวพื้นเมือง ท�ำให้บางรักกลายเป็นย่านธุรกิจที่มี ความหลากหลายทางเชื้อชาติสูงมาก ทั้งไทย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เปอร์เซีย มลายู เวียดนาม อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา เยอรมัน โปรตุเกส ฯลฯ ศูนย์กลางทางศาสนาของชุมชนนี้ก็คือ โบสถ์อัสสัมชัญ ซึ่งโบสถ์หลังเดิม สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1821 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 2) เพียง 2 ปี หลังจากได้รับต�ำแหน่งอธิการโบสถ์อัสสัมชัญ บาทหลวงเอมิล ออกุสต์ กอลมเบต์ ก็ขออาคารบ้านเณรเดิมซึ่งร้างไปจากพระสังฆราชเวย์ เปิดโรงเรียนประจ�ำโบสถ์อัสสัมชัญใน ค.ศ. 1877 สอนภาษาฝรั่งเศส และไทยให้แก่ลูกหลานชาวคริสต์และชาวยุโรป หลังจากนั้นใน ค.ศ. 1879 ก็เปิดสอนภาษาอังกฤษ กิจการการสอนคงด�ำเนินไปด้วยดี ท�ำให้ วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985


UNSEEN ASSUMPTION 105 ในที่สุดคุณพ่อกอลมเบต์ตัดสินใจเปิดรับนักเรียนโดยไม่จ�ำกัดเชื้อชาติ และศาสนา ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1885 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนา โรงเรียนอัสสัมชัญ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ มหาวชิรุณหิศ เสด็จพระราชด�ำเนินมา ทรงวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนหลังแรกเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1887 ในยุคเริ่มแรกของโรงเรียน คุณพ่อกอลมเบต์ยังใช้การว่าจ้างครูชาว ต่างชาติเข้ามาท�ำงานเป็นครั้งคราวเสียส่วนใหญ่ ส่วนครูคนไทยก็ขาดแคลน ถึงขนาดต้องไปขอครูเพิ่มจากกระทรวงธรรมการ หนังสือเรียนก็ไม่เพียงพอ ต้องขอจากกระทรวงฯ อีกเช่นกัน ฐานะการเงินของโรงเรียนก็ยังไม่ค่อย จะดีนัก ติดค้างค่าหนังสือกับทางกระทรวงฯ อยู่หลายงวด แต่ท่ามกลาง ปัญหาหลาย ๆ ประการ โรงเรียนกลับมีเด็กมาสมัครเรียนมากขึ้น เรื่อย ๆ ประกอบกับคุณพ่อกอลมเบต์ก็มีภารกิจทางศาสนาให้ รับผิดชอบอีกด้วย ใน ค.ศ. 1900 ในโอกาสที่คุณพ่อเดินทางกลับไป รักษาตัวที่ฝรั่งเศส คุณพ่อจึงได้ติดต่อไปยังคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ให้มาสืบทอดเจตนารมณ์ด้านการศึกษา ท่านเจ้าคณะแขวงจึงได้ส่ง คณะภราดาชุดแรก 5 ท่าน เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1901 เมื่อกิจการโรงเรียนอยู่ภายใต้การดูแลของคณะภราดาเซนต์คาเบรียล แล้ว ทางคณะพยายามอย่างมากที่จะยกฐานะการเรียนการสอนของ โรงเรียนให้เข้มข้นและจริงจังมากยิ่งขึ้น เพื่อขอวิทยฐานะกับทาง ราชการไทย แต่วิธีการบริหารการศึกษาของทางคณะฯ แตกต่างกับวิธี ของทางการไทยพอสมควร กว่าโรงเรียนจะได้รับรองวิทยฐานะก็ล่วงเลย จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กิจการของโรงเรียนในช่วง ค.ศ. 1901 ถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคง สืบทอดเจตนารมณ์ของคุณพ่อกอลมเบต์ คือมีการรับทั้งเด็กก�ำพร้ามา เล่าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และรับเด็กนักเรียนปกติ โดยขึ้นชื่อตั้งแต่ สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่า “แพง” นอกจากนี้ยังมีการรับนักเรียน ประจ�ำมากิน - นอนที่โรงเรียน เรียกว่า เด็กใน พวกนี้จะอยู่ห้องฝรั่งเศส และมักจะได้รับสิทธิพิเศษกว่าเด็กห้องอังกฤษที่ไป - กลับเสมอ จึงเป็น ธรรมดาที่เด็กในและเด็กไป - กลับ จะบาดหมางกันอยู่ร�่ำไป เรื่อยมา จนกระทั่งภายหลังสงคราม ซึ่งจะกลายเป็นที่รู้กันว่า เด็กฝรั่งเศสกับ เด็กอังกฤษไม่ถูกกัน


106 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ค.ศ. 1933 ถือเป็นปีแห่งความสูญเสียของโรงเรียน เนื่องจากมีบุคคล ส�ำคัญของโรงเรียนถึง 3 ท่านได้เสียชีวิตลงในปีนี้ ประกอบด้วย บาทหลวงกอลมเบต์ ภราดามาร์ติน เดอ ตูรส์ และนายเซียว เม่ง เต็ก อัสสัมชนิกคนแรก การมรณภาพของคุณพ่อกอลมเบต์ท�ำให้ศิษย์เก่า ประชุมหารือกันกับทางโรงเรียน ด�ำริที่จะสร้างอนุสรณ์ส�ำหรับคุณพ่อฯ ซึ่งใช้เวลาเรี่ยไรเงินและก่อสร้างนานกว่า 4 ปี จนส�ำเร็จเป็นอนุสรณ์สถาน บาทหลวงกอลมเบต์ หรือตึกกอลมเบต์ ใน ค.ศ. 1938 สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งสร้างความสูญเสียให้กับอัสสัมชัญพอสมควร ครั้งที่ 1 พรากชีวิตของภราดาไปหลายท่าน และพรากศักยภาพของ คณะภราดาฯ ที่กลับฝรั่งเศสไป ท�ำให้ทางคณะฯ ต้องหันมาพึ่งภราดา ชาวสเปนแทน ส่วนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถล่มอาคารและสิ่งปลูกสร้าง ของโรงเรียนไปหลายหลัง โดยเฉพาะตึกกอลมเบต์ซึ่งใช้โถงใต้ตึก เป็นหลุมหลบภัย ก็ถูกระเบิดลงตรงหอนาฬิกาเข้าอย่างจัง เมื่อสงครามสิ้นสุดลงมีนักเรียนมาสมัครเป็นจ�ำนวนมากกว่าเมื่อก่อน สงคราม ในขณะที่ตัวอาคารเรียนที่จะรองรับนั้นมีน้อยกว่าก่อนสงคราม บรรดานักเรียนแต่ละแผนกในช่วงก่อนสงครามจึงต้องแยกย้ายออกไป ตั้งที่ใหม่เป็นการถาวร คือ เด็กในย้ายไปอัสสัมชัญ ศรีราชา และแผนก พาณิชย์ให้ไปเรียนที่อัสสัมชัญพาณิชย์ กระนั้นจ�ำนวนนักเรียนไป - กลับ เพียงอย่างเดียวก็มากเกินว่าโรงเรียนจะรับไหว โรงเรียนจ�ำเป็นต้อง ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งก่อสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติม บนพื้นที่ที่จ�ำกัด จึงด�ำริให้ก่อสร้างอาคารที่มีลักษณะอเนกประสงค์ จน กลายมาเป็นหอประชุมสุวรรณสมโภช ซึ่งความอเนกประสงค์ของการ จัดสรรพื้นที่นี้ปรากฏเรื่อยมาตลอดประวัติศาสตร์โรงเรียนอัสสัมชัญ ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอน อ้างอิงอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการมากขึ้น รวมทั้งกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน จะต้องอยู่ภายใต้การก�ำกับของรัฐ อัสสัมชัญ จึงค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านระเบียบวิธีของตัวเอง แต่ยังสามารถรักษาจุดแข็ง หลายประการเอาไว้ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของความสามารถด้านภาษาต่าง ประเทศและการอบรมจริยธรรมให้กับนักเรียน


UNSEEN ASSUMPTION 107 ค.ศ. 1965 ภราดาชาวไทยเข้ามารับต�ำแหน่งอธิการเป็นครั้งแรก ปริมาณ นักเรียนที่ยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสิ่งที่ทางโรงเรียนพยายามแก้ไข ตลอดมา ในวาระนี้โรงเรียนจึงแยกแผนกประถมออกไป ณ ซอยสาทร 11 เปิดการสอนครั้งแรกใน ค.ศ. 1966 มีตึกมาร์ติน เดอ ตูรส์ เป็น อาคารเรียนหลังแรก ในระยะนี้สัดส่วนภราดาชาวไทยเพิ่มขึ้น สวนทางกับภราดาชาวต่างชาติ ที่เลิกเดินทางเข้ามา ประกอบกับภราดาชาวต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ เข้ามาตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทยอยเสียชีวิตลง โดยเฉพาะ ภราดาฮีแลร์ซึ่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 1968 ประจวบกับตึกเก่าซึ่งสร้างมา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ทรุดโทรม ท�ำให้ทางโรงเรียนรื้อถอนตึกเก่าออก และสร้างอนุสรณ์สถาน ฟ.ฮีแลร์ หรือ ตึก ฟ.ฮีแลร์ขึ้นมาแทนใน ค.ศ. 1972 อย่างไรก็ตาม ภราดาชาวไทยก็ยังมีสัดส่วนน้อยลงเรื่อยจนกระทั่ง ปัจจุบัน ซึ่งหน้าที่ของภราดาก็เปลี่ยนไป จากผู้ที่เคยสอนหนังสือนักเรียน ในรายวิชาต่าง ๆ หรือดูแลงานที่ใกล้ชิดกับนักเรียนและครู ปัจจุบัน ภราดาท�ำหน้าที่ในส่วนของการบริหารงานมากกว่า ทินกร พันธ์ุกระวี อสช. 10000 ใน ค.ศ. 1932 โรงเรียนอัสสัมชัญมีนักเรียนครบ คนที่ 10,000 คือ ด.ช.ทินกร พันธ์ุกระวี จนเป็นข่าวใหญ่ ในขณะนั้น... “ด้วยโรงเรียนอัสสัมชัญได้เจริญจากจ�ำนวนนักเรียน 33 คน ในปีแรก มาเป็นจ�ำนวน 10,000 คน ธรรมดาอยู่เอง ที่จะต้องรู้สึกภาคภูมิใจนึกอยากประชุมอัสสัมชนิกมา พร้อมกันฉลองท�ำนองแซยิดของบุคคล ให้ช่วยกันโมทนาคุณ ของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงอวยชัยให้เจริญถึงเลขหมาย 10000 ในระหว่างที่เลขหมาย 1 ยังมีขีวิตอยู่” (จาก อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย เล่มที่ 77 มีนาคม ค.ศ. 1933) โดยสมาคมอัสสัมชัญได้จัดงานเลี้ยงน�้ำชาต้อนรับ ด.ช.ทินกร และรับภาระค่าเล่าเรียนจนจบการศึกษา


108 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น อัสสัมชัญเริ่มโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่อีกครั้งในช่วงเปลี่ยนเข้าสู่ สหัสวรรษใหม่ มีการรื้อถอนหอประชุมสุวรรณสมโภชออกใน ค.ศ. 2001 และแทนที่ด้วยอาคารอัสสัมชัญ 2003 และอาคารนักบุญหลุยส์ มารี ซึ่งแล้วเสร็จใน ค.ศ. 2007 ขยายศักยภาพในการพัฒนาโรงเรียน ออกไป และเปิดพื้นที่ด้านล่าง ลดความแออัดของนักเรียน แต่การบริหาร พื้นที่กลับไม่ได้ให้ความส�ำคัญกับนักเรียนสูงสุด อันเป็นผลมาจากการ ปรับปรุงภูมิทัศน์และรูปแบบของอาคาร ท�ำให้โรงเรียนขาดสถานที่ ที่เหมาะสมส�ำหรับประชุมอบรมนักเรียนทั้งโรงเรียน ขณะเดียวกันก็ไม่ เอื้ออ�ำนวยให้นักเรียนต่างรุ่น ต่างกิจกรรมมาพบปะกัน เพราะเกิดความ เฉพาะของพื้นที่ขึ้น ส่วนทางแผนกประถมก็พัฒนาพื้นที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน มีการสร้าง อาคารเรียนเพิ่มเติมขึ้นมาเป็นระยะ เช่น อาคารเซนต์หลุยส์ มารี ใน ค.ศ. 1975 ตึกไมเกิ้ลใน ค.ศ. 1986 อาคารหิรัญสมโภช เพื่อฉลอง 25 ปีอัสสัมชัญ แผนกประถม ใน ค.ศ. 1991 และอาคารอัสสัมชัญ 2000 ใน ค.ศ. 2000 ค.ศ. 1912 ค.ศ. 1921 ค.ศ. 1931 ค.ศ. 1935 ค.ศ. 1937 ค.ศ. 1954 ค.ศ. 1955 สัญลักษณ์อัสสัมชัญในยุคต่าง ๆ อาณาบริเวณโรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม


UNSEEN ASSUMPTION 109 จะเห็นได้ว่า ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของโรงเรียนอัสสัมชัญ ปรากฏ เงื่อนไขทางด้านสภาพแวดล้อม พื้นที่ ท้องถิ่น บุคคล และความสัมพันธ์ ของโรงเรียนกับประวัติศาสตร์ชาติและประวัติศาสตร์โลก ก่อให้เกิด ลักษณะเฉพาะขึ้นหลายประการ กลายเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของ โรงเรียน ซึ่งบ่งชี้ได้ว่า อัสสัมชัญต้องปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง ต่าง ๆ อยู่เสมอและในอนาคตกาลเช่นกัน ค.ศ. 1968 ค.ศ. 1985 ค.ศ. 2000 ค.ศ. 2006 ค.ศ. 2007 ค.ศ. 2020 โรงเรียนอัสสัมชัญ ประวัติโรงเรียนอัสสัมชัญ QR CODE #16


110 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น แท้จริงแล้วในสมัยนั้น ค�ำว่า “อัสสัมชัญ” ยังไม่ ปรากฏ ชื่ออย่างเป็นทางการจริง ๆ เป็นชื่อในภาษา ฝรั่งเศส Le Collège de l’Assomption หมายถึง วิทยาลัยของโบสถ์อัสสัมชัญ หรือถอดศัพท์มาเป็น ภาษาอังกฤษว่า Assumption College ส่วนภาษา ไทยนั้นมีชื่อเรียกกันอย่างหลากหลาย ตามแต่ ส�ำเนียงที่ตัวเองจะกล่าวออกมา บันทึกเอกสารใน สมัยนั้นจึงปรากฏชื่อเรียกโรงเรียนอัสสัมชัญอย่าง หลากหลาย เช่น อาซัมชัน แอสซัมชัน แอ๊ซแช่มแช่น อาสมปซิยง อาซมชั่น อาซ�ำซัน แอสส�ำป์ชัน หรือ อย่างในราชกิจจานุเบกษาก็เรียกชานชื่อ แอสอาซัม ซันคอเลซ และแอสซัมซันคอเลซ รวมทั้งชื่ออาซมซาน กอเล็ศ ที่ปรากฏบ้างบางครั้ง หากจะกล่าวว่า การก�ำเนิดชื่ออัสสัมชัญมีจุดเริ่มต้น มาจากความเข้าใจผิดของ ฟ.ฮีแลร์ ก็คงจะไม่ผิดนัก ต้นตอมาจากประกาศของกระทรวงธรรมการเมื่อ วันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1911 เกี่ยวกับการให้เปลี่ยนชื่อ ค�ำใช้เดิมซึ่งไทยเคยเรียกใช้มา แต่ปัจจุบัน (ณ ขณะนั้น) ถูกเรียกเปลี่ยนเป็นตามส�ำเนียงภาษาของชาว ตะวันตก ให้กลับไปใช้ค�ำเดิม ฟ.ฮีแลร์จึงมีจดหมาย ไปยังกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ ลงวันที่ 14 กันยายน ร.ศ. 129 (ค.ศ. 1911) “ข้าพเจ้าได้อ่านค�ำประกาศของกรมศึกษาธิการ… เกิดมีข้อรังเกียจ คือค�ำใช้เดิมซึ่งเคยใช้กันมาแล้ว แต่โบราณ มาเปลี่ยนเรียกให้ผิดไปตามส�ำเนียงฝรั่ง เกิดเปนค�ำใหม่อีกชุดหนึ่ง ฯลฯ นั้น ขอให้ช่วยกัน นึกหา ถ้าโรงเรียนไหน พบค�ำใดที่เปนที่สงสัย ให้บอก มายังกรมศึกษาธิการ ฯลฯ ก็เปนที่เตือนสติข้าพเจ้า ให้ระฤกถึงชื่อของโรงเรียน ‘Assomption’ ซึ่งมัก เรียกและเขียนผิด ๆ กันตามถนัด. ชาวอังกฤษมัก เรียกกันว่า ‘แอ๊ซแซ่มเช่น’ โดยชุกชุม; ชาวสยาม มักเรียกกันว่า ‘อาซัมชัน’ บ้าง, ‘อาซมซาน’ บ้างก็มี ; ชาวฝรั่งเศสก็ว่า ‘อาสมปซียง’ ฯลฯ ล้วนผิด ๆ ที่มาค�ำว่า อัสสัมชัญ วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985


UNSEEN ASSUMPTION 111 กันทั้งนั้น; เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ควรจะเลือกหาค�ำไทย หรือค�ำ อันมีเสียงไทย ๆ ไว้สักค�ำหนึ่ง ส�ำหรับชาวเมืองไทยอ่านเข้าใจกันได้ อย่างหนึ่ง ทั้งให้เสียงคล้ายคลึงกันกับค�ำเดิมด้วย.” พร้อมทั้งเสนอชื่อ อาศรมชัญ เป็นชื่อเรียกโรงเรียน โดยได้อธิบาย ความหมายและที่มาไว้โดยละเอียดความว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าได้ตรวจดู เหนว่าศัพท์ว่า ‘อาศรมชัญ’ นี้ เสียงเปนค�ำไทย คล้ายกันกับค�ำว่า ‘Assomption’ มากกว่าศัพท์อื่นที่กล่าวมาแล้ว ทั้ง เห็นว่า รากศัพท์ต้นเดิมก็เปน ‘อัสสโม’ แผลงเป็น ‘อาศรม’ คงแปล ได้ความว่า ที่เป็นที่ระงับบาป, กุฏิ, ต�ำแหน่ง ฯลฯ; ศัพท์ที่สองคือ ‘ช’ ก็แปลว่า ‘ญาณ, ความรู้’ รวบรวมศัพท์ได้ความว่า ‘ที่ส�ำหรับ เกิดแห่งญาณความรู้’; ถึงหากว่ายังห่างจากรากศัพท์ ‘Assomption’ เดิมมากก็จริง, แต่ดูพอสม เปนชื่อแห่งโรงเรียนแท้ ๆ, เพราะอันที่จริง ‘อาศรมชัญ’ ก็หมายความว่า โรงระงับบาป, โรงฝึกหัด, โรงเกิด แห่งญาณ คือโรงเรียนนั่นเอง” มีการให้ความเห็นโต้ตอบกันระหว่างเจ้าหน้าที่กระทรวงธรรมการ ก่อน ที่จะเสนอขึ้นไปยังพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เพื่อพิจารณาอีกที เอกสารฉบับนี้ ปรากฏลายมือของเจ้าหน้าที่ฯ ทั้งหมด 4 คนด้วยกัน ระบุชื่อเรื่องว่า “ขอให้เรียกชื่อโรงเรียนอาซัมชันเปนโรงเรียนอาศรมชัญ” ลงวันที่ 19 กันยายน ร.ศ. 129 (ค.ศ. 1911) โดยเจ้าหน้าที่คนแรกได้ให้ความเห็นว่า “โรงเรียนชื่อ ‘อาซัมชัน’ นี้ เข้าใจว่าเปนภาษาฝรั่ง และทั้งได้เรียกและ เขียนกันมาเช่นนี้ช้านานแล้ว จะมาเปลี่ยนเปนภาษาบาฬีให้ตรงกับค�ำว่า ‘อัสสม, ชัญ’ ซึ่งแปลว่า ที่เปนที่มาระงับ และเปนที่รู้ หรือ เปนที่ให้ เกิดความรู้, ดังนี้ ดูกระไรอยู่ ถ้าจะเปลี่ยนใช้แต่เพียงว่า ‘อัสสัมชัญ’ เช่นนี้ ก็พอจะไปได้ เพราะไม่สู้ผิดกับส�ำเนียงที่เคยเรียก และเคยเขียน มากนัก ตัว ‘s’ เราก็เคยใช้เขียนเปนตัว ‘ส’ ตัว ‘n’ นั้น ใช้เปนตัว น, ณ, ญ ก็ได้ แต่นี้เขากลับแผลงเป็นสันสกฤตว่า ‘อาศรมชัญ’ ซึ่งผิด กับที่เคยใช้มากนัก ถ้าหากเราจะเรียกหรือเขียนในเวลานี้ ‘โรงเรียน อาศรมชัญ’ ก็เกือบจะไม่มีใครรู้” นับเป็นครั้งแรกที่ปรากฏชื่อ อัสสัมชัญเขียน และสะกดในภาษาไทย ตรงตามอย่างที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นถ้าพูดกันตามหลักฐานแล้ว เจ้าหน้าที่กรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการผู้นี้ เป็นผู้คิดค้นค�ำว่า อัสสัมชัญขึ้นมา เมื่อพลิกเอกสารเพื่อหาลายเซ็น ก็ปรากฏพบชื่อ ขุนวิจิตร ลงก�ำกับไว้ ณ ท้ายข้อความ แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่า ขุนวิจิตร ผู้นี้คือใคร จดหมายตอบกลับยืนยันการใช้ชื่อ “อัสสัมชัญ” ที่ลงนามโดย ฟ.ฮีแลร์ ระบุต�ำแหน่ง “รองอธิการอัสสัมชัญ” นับเป็นเอกสารทางการฉบับแรก ที่ใช้ชื่อ “อัสสัมชัญ” ลงนาม


112 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ความเป็นมาของโรงพิมพ์อัสสัมชัญนั้นสืบทอดมรดกด้านการพิมพ์ ของพระศาสนจักรมาตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่นกัน มีหลักฐานระบุไว้ว่า พวกมิสซังโรมันคาทอลิกได้ลงมือพิมพ์ หนังสือก่อนผู้อื่นใน ค.ศ. 1675 ต่อมาในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ หลักฐานความเป็นมาของโรงพิมพ์ อัสสัมชัญได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในสมัยพระสังฆราชการ์โนลด์ ท่านได้ จัดตั้งโรงพิมพ์ที่วัดซางตาครู้ส ใน ค.ศ. 1795 และได้จัดพิมพ์หนังสือ “ค�ำสอนคฤศตัง” ใน ค.ศ. 1796 ใน ค.ศ. 1837 พระสังฆราชกูรเวอซีได้ย้ายโรงพิมพ์จากวัดซางตาครู้ส มาอยู่ที่ต�ำบลวัดอัสสัมชัญ และได้สร้างอาคารที่เป็นโรงพิมพ์อัสสัมชัญขึ้น ใน ค.ศ. 1845 ปัจจุบันอาคารหลังนี้เป็นที่ท�ำการของหอจดหมายเหตุ หน้าปกในหนังสือค�ำสอนคริสตัง ภาคต้น ซึ่งเขียนภาษาไทยด้วยตัวพิมพ์อักษรโรมัน เป็นหนังสือที่พิมพ์ขึ้นเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่ยังเหลือให้เห็นอยู่ พิมพ์ใน ค.ศ. 1796 วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985 โรงพิมพ์อัสสัมชัญ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ถือได้ว่าเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในย่านบางรัก ผลงานการพิมพ์ที่ส�ำคัญของโรงพิมพ์อัสสัมชัญที่เรียกว่าเป็นชิ้นเอกคือ การจัดพิมพ์หนังสือพจนานุกรม 4 ภาษา ไทย - อังกฤษ - ฝรั่งเศส - ละติน เรียกว่า “สัพะ พะจะนะ พาสา ไท” โดยพระสังฆราชปัลเลอกัว ได้ริเริ่มให้มีการประดิษฐ์ตัวอักษรภาษาไทยแบบใหม่ เรียกว่า ตัวพิมพ์ ฝรั่งเศส (ฝศ.) ด้วย นอกจากนั้น โรงพิมพ์อัสสัมชัญแห่งเดียวกันนี้ยังได้จัดพิมพ์แบบเรียน อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา เพื่อให้นักเรียนอัสสัมชัญได้ใช้ในการเรียนการสอน และแน่นอนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ จัดพิมพ์ “อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย” วารสารของอาสนวิหารอัสสัมชัญที่มีสังฆราชแปร์รอสเป็นบรรณาธิการ และ ฟ.ฮีแลร์ เป็นผู้เขียน


UNSEEN ASSUMPTION 113 โรงพิมพ์อัสสัมชัญ ปัจจุบันคือที่ท�ำการของ หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จากนิตยสารสารคดี เล่มที่ 211 ค.ศ. 2002 ตัวพิมพ์ฝรั่งเศส ที่พิมพ์ในอัสสัมชัญ อุโฆษสมัย


114 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น 1. บาทหลวงเอมิล กอลมเบต์ 1885 - 1902 2. ภราดามาร์ติน เดอ ตูรส์ 1902 - 1920, 1929 - 1932 3. ภราดาไมเกิล เรอเน เลอดิก 1920 - 1929, 1938 - 1941 4. ภราดาเฟรเดอริก ยัง 1932 - 1938 5. ภราดามงฟอร์ต 1941 - 1947 6. ภราดาฮูเบอร์ต คูแซง 1947 - 1952, 1954 - 1955 7. ภราดาอูร์แบง กลอลิโอ 1952 - 1954 8. ภราดาโดนาเชียง 1955 - 1960 9. ภราดายอห์น แมรี 1960 - 1961 ท�ำเนียบอธิการ


UNSEEN ASSUMPTION 115 10. ภราดาโรเบิร์ต ริชาร์ด 1961 - 1965 11. ภราดาวิริยะ ฉันทวโรดม 1965 - 1973, 1986 - 1992 12. ภราดาวิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย 1973 - 1979 13. ภราดาชุมพล ดีสุดจิต 1979 - 1986 14. ภราดาเลอชัย ลวสุต 1992 - 1998 15. ภราดาสุรสิทธิ์ สุขชัย 1998 - 2004, 2013 16. ภราดาอานันท์ ปรีชาวุฒิ 2004 - 2013 17. ภราดาเดชาชัย ศรีพิจารณ์ 2013 - 2019 18. ภราดาศักดา สกนธวัฒน์ 2019 - ปัจจุบัน


116 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เดิมทีอาสนวิหารอัสสัมชัญได้รับเด็กหญิงที่นับถือคริสต์ศาสนา มาสอนอยู่แล้ว แต่การเปิดรับเด็กหญิง “ทั่วไป” เหมือนเช่นเด็กชายนั้น ยังไม่ได้จัดหาสถานที่และครูอาจารย์ เมื่อคุณพ่อกอลมเบต์พอจะ แบ่งภาระของทางโรงเรียนชายไปให้คณะภราดาเซนต์คาเบรียล บ้างแล้ว จึงหันมาขานรับภารกิจซึ่งพระสังฆราชหลุยส์ เวย์ ได้ มอบหมายให้ นั่นคือ การสร้างโรงเรียนส�ำหรับเด็กผู้หญิงโดยไม่จ�ำกัด ชาติ ศาสนา สถานที่สร้างโรงเรียนส�ำหรับผู้หญิงนั้น ให้อยู่ตรงข้ามกับส�ำนัก พระสังฆราช มีเนื้อที่ขนาด 3 ไร่ 2 งาน ส่วนการจัดหาผู้ที่จะมา ดูแล สั่งสอน อบรมเด็กหญิงเหล่านี้นั้น คุณพ่อกอลมเบต์ก็ได้ติดต่อ ประสานไปยังคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ซึ่งได้เข้ามาดูแล โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ อันเป็นกิจการโรงพยาบาลของมิสซังฯ ตั้งแต่ ค.ศ. 1898 ให้เข้ามาสอน เหมือนเช่นที่คณะภราดา เซนต์คาเบรียลรับช่วงต่อที่โรงเรียนชาย ใน ค.ศ. 1905 โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์จึงเริ่มเปิด ท�ำการเรียนการสอน ส่วนบรรดาภคินคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบริเวณมิสซังฯ ด้วย มีแมร์แซงต์ ซาเวียร์ เป็นอธิการิณีท่านแรก มีนักเรียนรุ่นแรก 37 คน ครูฆราวาส 2 - 3 คน อธิการิณีและคณะมาเซอร์ รวมทั้งหมด 8 คน ภายใต้การก�ำกับ ดูแลของพระสังฆราชหลุยส์ เวย์ และคุณพ่อกอลมเบต์ เจ้าอาวาส อาสนวิหารอัสสัมชัญ ตลอดประวัติศาสตร์ของโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์นั้น เผชิญ ชะตากรรมคล้ายกับโรงเรียนอัสสัมชัญชาย อาคารเรียนของโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ เมื่อคราวฉลอง 100 ปี ของโรงเรียนได้เปลี่ยนชื่ออาคารนี้เป็น อาคารศตพรรษพัชรสมโภช ประวัติ โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985 เป็นต้นว่า เริ่มมีเครื่องแบบนักเรียนในปีการศึกษาเดียวกัน, เคยหยุดเรียนในวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์เหมือนกัน, ต้องหนีภัย ย้ายไปเรียนนอกกรุงเทพฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกัน หรือที่เด่นชัดที่สุดคงไม่พ้นเรื่องชื่อโรงเรียน อย่างโรงเรียนของเด็กชาย เรียกกันในระยะแรกว่า Le Collège de l'Assomption ซึ่งหมายถึง วิทยาลัยของอัสสัมชัญ ส่วนโรงเรียน อัสสัมชัญคอนแวนต์นั้นเล่า ก็มีชื่ออย่างฝรั่งว่า Couvent de l'Assomption ซึ่งหมายถึง คอนแวนต์ของอัสสัมชัญ ซึ่งเรียกชื่อ อย่างฝรั่งนี้มาก่อนจะมีค�ำว่า “อัสสัมชัญ” ต่อเมื่อมีการบัญญัติ ค�ำว่า “อัสสัมชัญ” ขึ้น Couvent de l'Assomption ก็หันมา ใช้ชื่อในภาษาไทยเช่นเดียวกันกับโรงเรียนของเด็กชาย นี่เองเป็น เหตุให้มีความหมายของชื่อโรงเรียนเหมือนกัน และเหมือนกับ โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา ดังจะกล่าวในหน้าต่อไป


UNSEEN ASSUMPTION 117 ประวัติ โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา ภายหลังจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์เปิดการเรียนการสอนขึ้น บรรดาเด็กหญิงชาวคริสต์ก็ถูกย้ายไปสอนรวมกับเด็กหญิงทั่วไป โดยไม่จ�ำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ต่อมาภายหลังมรณกรรมของ คุณพ่อกอลมเบต์ เจ้าอาวาสอาสนวิหารอัสสัมชัญคนต่อมาคือ คุณพ่อเลโอ แปรูดอง ได้รื้อฟื้นโรงเรียนประจ�ำวัดขึ้นมาใหม่ เป็นที่รู้จักกันในนามอัสสัมชัญคอนแวนต์ (สาขา) หรือโรงเรียน วัดอัสสัมชัญขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1933 บรรดาเด็กหญิงและเด็กชาย ชาวคริสต์ก็ถูกโอนย้ายมาฝากไว้ในบัญชีนักเรียนของโรงเรียน อัสสัมชัญคอนแวนต์ ต่อมามีจ�ำนวนนักเรียนมากขึ้น พอที่จะจัดตั้งเป็นส่วนของโรงเรียน ประจ�ำวัดเองแล้ว จึงขออนุญาตแยกโรงเรียนทั้งสองออกจากกัน ใน ค.ศ. 1953 โดยใช้ชื่อโรงเรียนที่แยกออกมานั้นว่า โรงเรียน อัสสัมชัญศึกษา หลังจากเป็นโรงเรียนสาขาฝากเรียนไว้ที่โรงเรียน อัสสัมชัญคอนแวนต์มา 20 ปี โดยมีบาทหลวงทองดี กฤษเจริญ เป็น เจ้าของ และมีมาสเตอร์เฉลิมวงศ์ ปีตรังสี จากโรงเรียนอัสสัมชัญ มารับหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงเรียน ใน ค.ศ. 1960 โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษาก็เลิกรับนักเรียนชาย ดังนั้นพอถึง ค.ศ. 1967 นักเรียนจึงหมดรุ่นไป ข้อนี้จึงพอจะอธิบาย ได้ว่า ท�ำไมเราถึงเคยได้ยินว่าอัสสัมชนิกรุ่นก่อน ๆ เคยเล่าว่า ที่อัสสัมชัญศึกษาเคยมีนักเรียนชายด้วยนะ หรืออัสสัมชนิกบางคน ก็ย้ายจากโรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา มาเรียนต่อที่อัสสัมชัญด้วยซ�้ำ ถ้าจะสรุปง่าย ๆ โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษานั้นเป็นโรงเรียนของ อาสนวิหารอัสสัมชัญโดยตรง โดยมีบาทหลวงของอาสนวิหาร อัสสัมชัญเป็นเจ้าของ และคณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่ง กรุงเทพฯ มาบริหารจัดการ ส่วนโรงเรียนอัสสัมชัญนั้น แรกเริ่มเดิมที ก็เป็นโรงเรียนของวัด แต่ต่อมาขยายการศึกษาไปโดยไม่จ�ำกัด เชื้อชาติและศาสนา และได้ส่งไม้ต่อให้กับภราดาคณะเซนต์คาเบรียล ในขณะที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์เกิดจากความต้องการขยาย การศึกษาไปยังเด็กหญิง โดยมีภคินีคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร เป็นผู้ดูแล รวมกันแล้วเราเรียกว่า "ไตรอัสสัมชัญ" หรืออัสสัมชัญทั้งสาม ซึ่ง หากเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์แล้ว เราแทบจะมีจุดก�ำเนิด ร่วมกันจากอาสนวิหารอัสสัมชัญ และทั้งสามโรงเรียนก็ล้วนเกี่ยวข้อง กับคุณพ่อกอลมเบต์ทั้งสิ้น ช่างน่าอัศจรรย์ใจเสียนี่กระไร วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985


118 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เมื่อแรกที่คุณพ่อกอลมเบต์ได้สร้างโรงเรียนอัสสัมชัญขึ้น ธรรมดา จะหานักเรียนมาเรียนสักสิบคนได้ก็ยังยากเหลือคณา แต่ที่ไหนได้ เมื่อเวลาผ่านไปถึงราว ค.ศ. 1900 กลับมีนักเรียนในความดูแล ของคุณพ่อถึง 400 คน การที่จ�ำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้นถึงเพียงนี้ แต่จ�ำนวนครูไม่ได้เพิ่มขึ้นตามกันทัน คุณพ่อกอลมเบต์จึงมีความ เดือดร้อนที่จะต้องแสวงหาครูผู้สามารถมาอบรมสั่งสอนให้ทันกับ ปริมาณนักเรียน คุณพ่อกอลมเบต์จึงถือโอกาสเดียวกันกับที่จะต้องกลับไปพักรักษา ตัวที่ฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1900 ในการหาคณะบุคคลมารับงานด้าน การศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ในขณะนั้น ภราดามาร์ติน เดอ ตูรส์ ก�ำลังเป็นอธิการปกครอง โรงเรียนของคณะเซนต์คาเบรียลที่โบสถ์เมืองซังซะแน ในเมือง แคลร์มงต์ ซึ่งภราดามาร์ตินก็ไม่ได้คิดเลยว่า ตัวเองจะต้องข้ามน�้ำ ข้ามทะเลมายังสยามประเทศที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ภายหลัง คุณพ่อกอลมเบต์ได้ไปทาบทามหัวหน้าคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ที่เมืองซังลอรังต์ ท่านหัวหน้าฯ จึงตกลงยินยอมรับโอนการปกครอง โรงเรียนอัสสัมชัญมาไว้ในความดูแลของคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ภราดามาร์ตินได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ชุดแรก พร้อมกับภราดาชาวฝรั่งเศสอีก 3 ท่าน คือ ภราดาอาแบล ภราดากาเบรียล เฟเรอดี และภราดาฮีแลร์, ภราดาชาวแคนาดา อีก 1 ท่าน คือ ภราดาออกุสตี โดยเฉพาะภราดาออกุสตีท่านนี้เป็น ผู้มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษดี วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985 ภราดามาร์ติน เดอ ตูรส์ (รูปจาก อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย เล่มที่ 78 ค.ศ. 1933) ภราดามาร์ติน เดอ ตูรส์ & เจษฎาจารย์รุ่นแรกของ คณะภราดาเซนต์คาเบรียล ประวัติบราเดอร์มาร์ติน เดอ ตูร์ส QR CODE #17


UNSEEN ASSUMPTION 119 ท่านหัวหน้าฯ บอกกับคุณพ่อกอลมเบต์ว่า “Mon Révérend Pére Voici votre homme Il ne paie pas de mine. Mais c’est un trésor” แปลว่า “นี่แหละครูที่คุณพ่อต้องการ ! ดูข้างนอกก็อย่างนั้นเอง แต่ข้างในเป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐ” แม้ว่าคุณพ่อกอลมเบต์ได้ยกโรงเรียนให้ไปอยู่ในความดูแลของคณะ ภราดาเซนต์คาเบรียลแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วคุณพ่อกอลมเบต์ยังคง เป็นห่วงเป็นใยโรงเรียนอัสสัมชัญเป็นอย่างยิ่ง คอยมาช่วยเหลือ ภราดาในยุคแรกที่เข้ามาเมืองไทย ดูแลร่วมกับคณะภราดาเซนต์คาเบรียลอยู่ตลอดเวลา ท�ำให้เป็น ที่เบาอกเบาใจคณะภราดาฯที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ๆ ให้ด�ำเนินงานตรงกับ หลักที่คุณพ่อฯ ได้วางเอาไว้ จะเรียกว่าฝึกสอนให้คณะภราดาฯ ก็คงไม่ผิดนัก จวบจนคุณพ่อกอลมเบต์มรณภาพ คงไว้แต่ปณิธาน ของคุณพ่อฯ ที่คณะภราดาฯ ได้สืบเจตนารมณ์อันเป็นที่วัฒนาถาวร สืบมาจนปัจจุบัน


120 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น วันที่ข้าพเจ้าไม่ลืม “วันที่ข้าพเจ้าไม่ลืม” ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ A.C. Ball 1966 ในปีแรกที่ข้าพเจ้าเข้าเรียนนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินกลับจากการประภาส* ทวีปยุโรป ครั้งที่ 1 ทางโรงเรียนได้จัดการรับเสด็จ มีการแต่งบทเพลงสรรเสริญ บารมีให้นักเรียนท่องกันอยู่ก่อนหลายวัน ครั้นถึงรับเสด็จกลับสู่พระนครโดยเรือพระที่นั่งมหาจักรีวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1897 ท่านบาทหลวงคอลมเบต์* ได้น�ำนักเรียน ทั้งหมดไปตั้งแถวรับเสด็จที่ท่าน�้ำหน้าโบสถ์อัสสัมชัญ ข้าพเจ้าจ�ำพวกเด็กเล็กที่สุดได้ยืนหน้าแถว นักเรียนทุกคนถือ ช่อดอกไม้และมีแตรวงของโรงเรียนสมทบไปด้วย พอเรือพระที่นั่ง แล่นมาอย่างเชื่องช้าถึงหน้าโบสถ์แตรวงได้บรรเลงเพลงสรรเสริญ พระบารมี นักเรียนทั้งหมดได้ร้องเพลงถวายและชูช่อดอกไม้ขึ้นด้วยมือขวา และถวายบังคมด้วยการก้มศรีษะ* ถวายค�ำนับ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงยืนประทับอยู่ท้ายเรือ ทรงโบก พระราชหัตถ์ด้วยลักษณะทรงโสมนัสในความจงรักภักดีของคณะ โรงเรียนมิชชั่นคาทอลิก และได้มีพระบรมราชโองการให้ราชเลขา ทรงมีหนังสือมาแสดงความพอพระราชหฤทัยด้วย เพราะว่าเป็น โรงเรียนเดียวในสมัยนั้นที่มีแตรวงประจ�ำโรงเรียน พระยาศราภัยพิพัฒ อสช. 900 อดีตอุปนายกสมาคมอัสสัมชัญ *สะกดตามต้นฉบับ


UNSEEN ASSUMPTION 121 พระยาศราภัยพิพัฒ นักเรียนอัสสัมชัญ วัย 8 ขวบ ได้มีโอกาสไปร่วมรับเสด็จรัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากยุโรปเมื่อ ค.ศ. 1897 ณ ท่าเรือโบสถ์อัสสัมชัญ นับเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์พระมหากษัตริย์ไทยยังความปลาบปลื้มใจ ให้ข้าพเจ้ามากเหมือนกัน ทั้งๆ ยังไม่เดียงสาว่า พระมหากษัตริย์มีคุณประโยชน์ แก่ชาติบ้านเมืองเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราช ได้ทรงด�ำเนินรัฐประศาสโนบายอันยอดเยี่ยมที่ท�ำให้ประเทศไทยพ้นจาก ปากเหยี่ยวปากกาพวกล่าอณานิคม* ในขณะที่ประเทศรอบบ้านเราเป็นเมืองขึ้น ของคนต่างชาติ และบ้านเมืองไทยสู่ความเจริญเป็นเอกราชมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ นี่เป็นเรื่องแรกของ "วันที่ข้าพเจ้าไม่ลืม" พระยาศราภัยพิพัฒ เรือพระที่นั่งขณะผ่านตึกศุลกสถาน (ภาพบน) และขณะเทียบท่าราชวรดิฐ (ภาพล่าง) *สะกดตามต้นฉบับ


122 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น


UNSEEN ASSUMPTION 123


124 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ และหนังสือดรุณศึกษา โดย ไกรฤกษ์ นานา อสช. 22856 นามบัตร ฟ.ฮีแลร์


UNSEEN ASSUMPTION 125 1. ฟ.ฮีแลร์ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ความภาคภูมิใจของอัสสัมชนิกทุกคน มาจาก ผลงานและการด�ำเนินชีวิตแบบสมถะแต่ทุ่มเทของผู้ก่อตั้งโรงเรียน อัสสัมชัญถึง 2 ท่าน ซึ่งต่อมากลายเป็น “แม่แบบ” ของชาวอัสสัมชัญ มาทุกยุคทุกสมัย จนเป็นต�ำนานแห่งความส�ำเร็จของโรงเรียนแห่งนี้ แม่แบบท่านแรกของชาวเราตั้งแต่เริ่มแรกและได้รับการเคารพยกย่อง ให้เป็น “ปูชนียบุคคล” ผู้มีคุณูปการต่ออัสสัมชัญอย่างแท้จริงก็คือ คุณพ่อกอลมเบต์ หากไม่มีท่าน อัสสัมชัญก็จะไม่ได้ถือก�ำเนิดขึ้นมา เป็นตักศิลาแห่งการเรียนรู้ อีกทั้งเป็นสถาบันตัวอย่างของสังคมไทย ตลอดมาเป็นเวลากว่า 134 ปีแล้ว ทั้งที่เป็นโรงเรียนของฝรั่งเศส แต่ก็สามารถเติบโตมาเป็นโรงเรียนชั้นน�ำของชาวสยามได้ ต่อจากคุณพ่อกอลมเบต์ ผู้ที่สืบทอดเจตนารมณ์ของคณะภราดา เซนต์คาเบรียลจากฝรั่งเศสที่มีบราเดอร์มาร์ติน เดอ ตูรส์ เป็น หัวหน้าคณะ ก็คือ บราเดอร์ฮีแลร์ ด้วยอุดมการณ์อันมั่นคงของ ความเป็น “แม่แบบ” และแบบฉบับตัวอย่างของผู้น�ำที่มีคุณภาพ ต่อมาอย่างสมบูรณ์แบบ “ฟ.ฮีแลร์” เป็นชาวฝรั่งเศสโดยก�ำเนิด แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานอันใหญ่โต ของท่านมาอุทิศชีวิตให้กับประเทศไทย เพื่ออบรมสั่งสอนเด็กชาวสยาม ให้รักเมืองไทย เทิดทูนสถาบัน และไม่ให้ลืมธรรมะ ท่านจึงเป็นต�ำนาน ตัวจริงและเป็น IDOL อันทรงพลังอยู่เสมอ แม้นว่าท่านจะจากพวกเรา ไปนานแล้วก็ตาม “บราเดอร์ฮีแลร์” ที่ชาวอัสสัมชัญรู้จัก เป็นศาสนนามของฟรังซัว ตูเวอเนท์ (François Touvenet) ฟ.มิได้ย่อมาจากนามเดิม หากย่อมา จากภาษาฝรั่งเศส Frère ที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Brother ซึ่งบัญญัติ ศัพท์เป็นภาษาไทยว่า เจษฎาจารย์ หรือภราดา นั่นเอง ท่านเกิดที่ต�ำบลจ�ำโปเมีย เมืองบัวเตียร์ (Poitiers) ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1881 ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนชั้นต้นที่ ต�ำบลบ้านเกิด จนอายุได้ 12 ปีความศรัทธาในพระศาสนาได้บังเกิดขึ้น ในดวงจิตของท่าน ใคร่จะถวายตนเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้า จึงได้ ขออนุญาตบิดามารดาเข้าอบรมในยุวนิสิตสถาน ในคณะเจษฎาจารย์ เซนต์คาเบรียล ที่เมืองแซงต์ลอรังต์ ในมณฑลวังเด เพื่อร�่ำเรียน วิชาลัทธิศาสนา วิชาครู และอื่น ๆ จึงประกาศอุทิศตนถวายพระเจ้า สมาทานศีลของคณะเซนต์คาเบรียล บรรพชาเป็นภราดาเมื่ออายุได้ 18 ปี เพื่อให้ความรู้ในทางศาสนาได้ลึกซึ้ง กว้างยิ่งขึ้น หลังจาก บรรพชาแล้วก็ได้เดินทางไปที่เมืองคลาเวียส์ เพื่อศึกษาปรัชญา การ์ตูนลายเส้น ฟ.ฮีแลร์ กับลูกศิษย์หลากหลายวัย ฝีมือประยูร จรรยาวงษ์ อัสสัมชนิกเลขที่ 6260 เจ้าของฉายา “ราชาการ์ตูนไทย” ผู้ให้ก�ำเนิดตัวการ์ตูน “ศุขเล็ก”


126 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ฝ่ายศาสนา อีกระยะหนึ่งจนเกิดความรู้สึกแก่กล้าที่จะอุทิศชีวิต เพื่อศาสนา แต่ก่อนหน้านั้นเมื่อท่านมีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น ที่ประเทศสยาม คุณพ่อกอลมเบต์ก็ได้จัดตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญขึ้นที่ในกรุงเทพฯ และ ได้ด�ำเนินกิจการเรื่อยมาด้วยดีจนถึง ค.ศ. 1900 บาทหลวงกอลมเบต์ ก็ได้เดินทางไปฝรั่งเศส เพื่อเยี่ยมบ้านเกิดของท่านเป็นการพักผ่อน และเพื่อเสาะแสวงหาคณะอาจารย์ที่มีความสามารถในการสอน มารับหน้าที่ปกครองดูแลรักษาโรงเรียนอัสสัมชัญต่อไป เนื่องจาก โรงเรียนใหญ่โตขึ้นเกินความสามารถที่ท่านจะดูได้ตามล�ำพังแล้ว โรงเรียนของคุณพ่อกอลมเบต์เรียกชื่อในครั้งแรกเมื่อก่อตั้งว่า “อาซมซาน กอเลศ” ตามค�ำอ่านในภาษาฝรั่งเศสเขียนว่า COLLEGE DE L’ASSOMPTION โดยมีจุดประสงค์จะตั้งขึ้นเพื่อสอนเด็ก วัดอัสสัมชัญให้เรียนรู้ภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส ครั้นมาถึง ค.ศ 1885 ก็เลิกจากการเป็นโรงเรียนวัดมาเป็น โรงเรียนอิสระต่างหากเรียกว่า “โรงเรียนอัสสัมชัญ” เมื่อเปิดเรียน วันแรกมีนักเรียนรวมกันเพียง 33 คนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อคุณพ่อกอลมเบต์เดินทางกลับมาไปขอความช่วยเหลือ ที่ฝรั่งเศส ท่านได้ไปพบกับอธิการใหญ่ของคณะเซนต์คาเบรียล ณ เมืองแซงต์ลอรังต์ และได้เจรจาขอให้ทางคณะเซนต์คาเบรียลให้รับ ที่จะปกครองโรงเรียนอัสสัมชัญแทนคุณพ่อกอลมเบต์ต่อไป ซึ่งทาง คณะเซนต์คาเบรียลก็ตอบตกลงด้วยดี และได้มอบให้เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ กล่าวถวายรายงานต่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ประธานในการเปิดหอประชุมสุวรรณสมโภช เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1951


UNSEEN ASSUMPTION 127 5 ท่าน เดินทางมารับภารกิจนี้ โดยมีเจษฎาจารย์มาร์ติน เดอ ตูรส์ เป็นประธาน เจษฎาจารย์ออกุสแตง คาเบรียล อาเบค และ ฟ.ฮีแลร์ เป็นผู้ร่วมคณะในจ�ำนวน 5 ท่าน ฟ.ฮีแลร์ เป็นคนหนุ่มที่สุด มีอายุ เพิ่งย่างจะเข้า 20 ปีเท่านั้น ทั้งยังเป็นการเดินทางครั้งแรกออกนอก ประเทศฝรั่งเศส ไปยังดินแดนที่แม้ชาวยุโรปก็ยังไม่ค่อยรู้จัก เมื่อตกปากรับค�ำกันแล้ว คณะเจษฎาจารย์ชุดใหม่ก็เดินทางมายัง สยามทันทีโดยลงเรือที่เมืองมาร์เซย์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1901 ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นหนึ่งเดือนกับสองวัน จนถึงวันที่ 23 ตุลาคม ศกเดียวกันนั้น เรือก็มาถึงกรุงเทพฯ เข้าเทียบท่าห้างเบอร์เนียว พอขึ้นจากเรือก็ได้เห็นคุณพ่อแฟร์เลย์มาคอยรับอยู่แล้วอีกครู่เดียว ก็มาถึงอัสสัมชัญ นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ท่านย่างเหยียบผืนแผ่นดินไทย ในช่วงทศวรรษสุดท้ายในรัชกาลที่ 5 ในขณะที่โรงเรียนของชาว ฝรั่งเศสยังไม่เป็นที่สนใจของสังคมไทยชั้นสูงมากนัก ฟ.ฮีแลร์ท่านได้รับมอบหมายให้สอนวิชาภาษาอังกฤษและภาษา ฝรั่งเศสในเบื้องต้น นอกจากนี้ในเวลาเดียวกันนั้นท่านก็ศึกษาภาษา ไทยไปด้วย โดยมีท่านมหาทิมเป็นครู กล่าวกันว่าการเรียนภาษา ไทยของท่านนั้นเรียนรู้ได้รวดเร็วมาก พระยามไหสวรรย์เคยเขียน ถึงท่านว่า “ส�ำหรับข้าพเจ้าคาดว่าครูฮีแลร์เห็นจะเรียนหนังสือไทย ภายหลังข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่อยากพูดถึงการเรียนของเด็ก พวกเรานั้นจะมีมานะหมั่นเพียรเทียบกับครูฮีแลร์ได้อย่างไร ท่าน เรียนไม่เท่าไรเกิดเป็นครูสอนภาษาไทยขึ้นมาอีก” ฟ. กับ ป. ฟ.ฮีแลร์เข้าพบจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ท�ำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1954


128 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เนื่องจากท่านมีความรู้เรื่องภาษาไทยดีกว่าเจษฎาจารย์องค์อื่น ประกอบกับมีบุคลิกลักษณะน่าเกรงขาม ท่านจึงได้รับแต่งตั้งเป็น อาจารย์ผู้ปกครองอีกต�ำแหน่งหนึ่ง และก็ด�ำรงต�ำแหน่งนี้อยู่เป็น เวลานาน ท่านเป็นอาจารย์ผู้ปกครองที่แสนดุจนได้รับสมญานามว่า “โจโฉ” เพราะหนวดเครานี่เอง ใครเห็นก็เกรงกลัว รูปลักษณ์ของท่านเป็น ที่ย�ำเกรงแก่ผู้ปกครองและลูกศิษย์ตลอดจนผู้พบเห็น แท้จริงแล้ว ในดวงใจของท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อทุกๆ คน โดยเฉพาะลูกศิษย์ของท่าน น่าคิดในข้อที่ว่า ผู้ที่เป็นครูนั้นสามารถแสดง ละครได้ดีถึงบทถึงบาทยิ่งนัก คิดดูเด็ก ๆ นักเรียนที่น่ารัก มีความ ประพฤติดี มารยาทดี ครูก็ชมเชยพูดด้วยไพเราะเสนาะหู ครั้นเมื่อ มีเด็กอวดดี โอหัง ไม่เรียน เกเร ครูก็ออกบทดุ ถึงบางครั้งก็ต้อง เฆี่ยนตี ก็เพียงเพื่อจะให้เด็กดีได้ในที่สุด เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์ผู้ปกครองนี่เอง ท่านจึงได้วางระเบียบ การอบรมนักเรียน นักเรียนจะขึ้นห้องประชุมเพื่อรับฟังการอบรม จิตใจและศีลธรรมจรรยา การอบรมนี้เป็นที่พอใจของเด็กนักเรียนมาก เพราะท่านมีจิตวิทยาสูง มีวาทศิลป์ดีนั่นเอง การอบรมของท่านนั้น บางครั้งก็ใช้ประพันธ์เสียส่วนมาก นิยมแต่งค�ำกลอน อ่านง่าย เข้าใจง่าย ชอบเล่านิทาน ใช้นิทานสอนเด็กเป็นประจ�ำ ท่านใช้ตัวอย่าง ของท่านสุนทรภู่เป็นแบบฉบับ ท่านมีความจ�ำเป็นเลิศ มีมารยาทงดงาม เจรจาไพเราะกับบุคคลทั่วไปและจะเจรจาสนุกสนานกับลูกศิษย์ นับแต่นั้นมา งานในต�ำแหน่งอาจารย์ผู้ปกครองของท่านนั้นเป็น ที่กล่าวขวัญกันอย่างมาก ท่านเป็นผู้รักษาระเบียบข้อบังคับของ โรงเรียนอย่างเข้มงวดกวดขัน หากผิดแล้วเป็นลงโทษทันที แม้จะ เป็นเจ้านายชั้นสูงศักดิ์ก็ไม่เคยละเว้น จึงเมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว ก็ดูเหมือนเป็นคนดุดันเกรี้ยวโกรธเอามาก แต่เมื่อมองให้ซึ้งแล้ว ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ กิริยาทางที่ท่านแสดงออกนั้นเป็นเพียง กุศโลบายในการปกครองอย่างหนึ่งเท่านั้น ส่วนน�้ำใสใจจริงของท่าน แล้ว สุขุมเยือกเย็นเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาอย่างยิ่ง ท่านไม่ นิยมความรุนแรง ไม่นิยมการทะเลาะวิวาท ดังเช่นคุณเขตร ศรียาภัย เคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งได้เกิดการชกต่อยกับเพื่อน เมื่อจะถูก ฟ.ฮีแลร์ลงโทษ ก็ให้เหตุผลว่า ถูกรังแกจึงต้องต่อสู้ป้องกันตัว เหตุผล ที่คุณเขตรอ้างนั้นท่านไม่ยอมรับฟัง ท่านบอกว่าคุณเขตรเป็นนักกีฬา มีชื่อใคร ๆ ก็รู้ เพียงแต่จะวิ่งหนีการถูกรังแกเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนั้น ไฉนจะท�ำไม่ได้ ถ้าไม่คิดจะทะเลาะวิวาทแล้ว ฝีเท้าอย่างคุณเขตร ย่อมเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน และจากภาระหน้าที่ของการเป็นครูฝ่ายปกครองนี่เอง ท่านจึงได้ เริ่มวางระเบียบอบรมเด็กทุกวันเสาร์ตอนบ่าย ท่านจะพานักเรียน ขึ้นห้องประชุมอบรมจิตใจและศีลธรรมจรรยา การอบรมนี้รู้สึกว่า เป็นที่พอใจของนักเรียนมาก เพราะท่านมีจิตวิทยาสูง มีวาทศิลป์ดี ฟังแล้วท�ำให้เลื่อมใสจริง ๆ กิตติศัพท์ของการเป็นครูฝ่ายปกครองของ ฟ.ฮีแลร์เริ่มเป็นที่ปรากฏ โดยเฉพาะในสังคมชั้นสูงของประเทศสยามในสมัยนั้น ที่ยังมีลูก เจ้านายและบุตรหลานของราชนิกุลสายต่าง ๆ ที่บิดามารดาต้องการ จะส่งไปให้ได้รับการศึกษาแผนฝรั่งกับครูชาวต่างประเทศ โดยที่ไม่ จ�ำเป็นต้องส่งออกไปเรียนต่างประเทศ อันเป็นแฟชั่นแบบหนึ่งของ สังคมชั้นสูงในสมัยนั้น โรงเรียนอัสสัมชัญจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการมองหาสถานที่เรียน ในระบบแบบแผนของชาวยุโรป โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ในสมัยโบราณ ใครว่าไพร่ตีเจ้าไม่ได้ ท่านภราดาฮีแลร์หาเป็นเช่นนั้นไม่ จะ “เจ้า” หรือ “ไพร่” ก็คนเหมือนกัน ไม่ดีก็ต้องดัดกัน ท่านตี ท่านลงโทษ ก็ไม่เคยเห็นว่ามีท่านเจ้าองค์ไหนต่อว่าหรือว่าท่านเลย กลับแสดง ความขอบคุณอีกด้วย ฉะนี้ เมื่ออัสสัมชัญรุ่งเรืองขึ้นมีผู้นิยมน�ำ บุตรหลานมาฝากเป็นนักเรียน ให้สอนวิทยาการให้ อบรมมารยาทให้ มีความสามารถที่จะประกอบกิจการงานได้ทันทีที่ออกจากโรงเรียนไป นี่คือคุณสมบัติลักษณะของเด็กอัสสัมชัญตั้งแต่ครั้งกระโน้น จนกระทั่งบัดนี้ก็เป็นที่นิยมน�ำบุตรหลานมาฝากเข้าเรียน อีกทั้งยังได้ บริจาคเงินท�ำนุบ�ำรุงโดยมีจุดหมายที่จะได้ช่วยธ�ำรง “อัสสัมชัญ” ไว้


UNSEEN ASSUMPTION 129 ค.ศ. 1910 ภายหลังจากที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสยาม 9 ปี ท่านก็ มีความรู้ภาษาไทยแบบแตกฉานจนสามารถแต่งโคลงกลอนได้ จึงได้ ลงมือแต่งหนังสือภาษาไทยเป็นต�ำราเรียนของโรงเรียนอัสสัมชัญ โดยเฉพาะ โดยให้ชื่อหนังสือชุดนี้ว่า “ดรุณศึกษา” ซึ่งนอกจากจะบรรจุ ไวยากรณ์ภาษาไทยให้เด็กเข้าใจง่ายๆ แล้ว ยังได้รวบรวมวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดีไทยและเทศเอาไว้ด้วย เพื่อให้เด็กอยากอ่าน ท�ำให้น่าติดตามและไม่น่าเบื่อเหมือนต�ำราภาษาไทยทั่วไปในยุคนั้น ท่านใช้เวลาแต่ง “ดรุณศึกษา” นาน 11 ปี โดยแต่งทีละเล่มจากง่าย ไปหายาก ให้เหมาะสมกับเด็กนักเรียนในแต่ละวัย มีทั้งหมดด้วยกัน 5 เล่ม นอกจากต�ำราดรุณศึกษาแล้ว ต่อมาในราว ๆ ค.ศ.1913 ฟ.ฮีแลร์ ก็ได้ออกหนังสือส�ำหรับเด็กโตและเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับศิษย์เก่า อัสสัมชัญที่จบออกไป ให้ชื่อว่าหนังสือ “อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย” โดยท่านได้แถลงจุดประสงค์ของหนังสือดังกล่าวในบทน�ำของ ฉบับแรกว่า... “...มีประสงค์อยู่ก็แต่เพียงจะเอื้อเฟื้อการศึกษาวิชาความรู้ ความ สามัคคีพร้อมเพรียงกัน ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ต่อพระศาสนา อ่อนน้อมสุภาพต่อกฎหมายบ้านเมือง และการระเบียบเรียบร้อย ในระหว่างสานุศิษย์ส�ำนักนี้เท่านั้น...” หนังสืออุโฆษสมัยเป็น ที่รวมบทประพันธ์ กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ของคณะภราดาของ นักเรียนและบุคคลภายนอกด้วย อุโฆษสมัยยุคนั้นจึงดูครึกครื้น และเข้มข้นไม่น้อยทีเดียว และจากอุโฆษสมัยนี่เอง ท่าน ฟ.ฮีแลร์ ได้เขียนบทความและโคลงกลอนลงไว้เป็นจ�ำนวนมากมาย รวมถึง หนังสือแปลที่โด่งดังคือ “โกษาปานไปฝรั่งเศส” ซึ่งท่านแปลจาก จดหมายเหตุ มองซิเออร์ เดอ วีเซ นั้นด้วย ภายหลังจากที่ ฟ.ฮีแลร์ใช้ชีวิตแบบสุขสงบในประเทศสยามนานถึง 13 ปี ก็ได้เกิดมหาสงครามขึ้นในทวีปยุโรป และประเทศฝรั่งเศส ของท่านก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามนั้นโดยตรง ภาพถ่าย ฟ.ฮีแลร์ ขณะไปรับใช้ราชการทหาร ที่ประเทศฝรั่งเศส ณ โรงพยาบาล "ซูร์มือเอ" ในเมืองบัวเตียร์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ค.ศ. 1914 - 1916 ภาพถ่าย ฟ.ฮีแลร์ กับอัสสัมชนิก ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หลังปลดประจ�ำการ ใน ค.ศ. 1916


130 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นใน ค.ศ. 1914 และ ประเทศฝรั่งเศสบ้านเกิดของท่านก็ได้ถูกรุกราน โดยฝ่ายเยอรมนีอย่างหนัก ชายชาวฝรั่งเศสทุกคน ถูกเกณฑ์ไปสู้รบเพื่อปกป้องมาตุภูมิของตนเอง รัฐบาลจึงได้เรียกชาวฝรั่งเศสในต่างแดนให้กลับ ไปช่วยชาติบ้านเมืองของตน ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ.1914 ฟ.ฮีแลร์ พร้อมด้วยภราดาหลุยส์ ชาแนล ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพ ส�ำหรับท่าน ฟ.ฮีแลร์นั้นได้ประจ�ำการในหน่วยเสนารักษ์ ประจ�ำ โรงพยาบาลซูร์มือเอ เมืองบัวเตียร์ จนเสร็จ ภารกิจ จึงได้เดินทางกลับมาเมืองไทยเมื่อ เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1916 และได้เดินทาง กลับมาประจ�ำ ณ โรงเรียนอัสสัมชัญตามเดิม ฟ.ฮีแลร์ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะครูอาวุโสของ โรงเรียน จนกระทั่งใน ค.ศ.1933 ผู้ให้ก�ำเนิด โรงเรียนคือคุณพ่อกอลมเบต์ก็ได้ถึงแก่มรณภาพ บรรดาศิษย์เก่าทั้งหลายจึงได้ประชุมตกลงกันให้ สร้างตึกเรียนชื่อ “กอลมเบต์” ไว้เป็นอนุสาวรีย์ แด่ท่านบาทหลวง ภาระในการหาเงินนั้นตกแก่ ฟ.ฮีแลร์ อีกท่านเห็นว่าจะรอรับความช่วยเหลือ เฉพาะในประเทศไทยคงได้ไม่เพียงพอ ดังนั้น ท่านจึงต้องเดินทางไปหาทุนรอนจนถึงยุโรป “ครูเดินขอความช่วยเหลือเงินเขามาสร้างโรงเรียน ให้พวกเจ้า จนรองเท้าขาดไปหลายคู่” นี่คือข้อความ ตอนหนึ่งในจดหมายที่ท่านเขียนมาถึงลูกศิษย์ใน กรุงเทพฯ เมื่อไปถึงปีนังท่านก็แวะเข้าเฝ้าสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ดังปรากฏอยู่ใน ลายพระหัตถ์ว่า “ภราดาฮีแลร์จะไปยุโรป แวะไปเที่ยว เรี่ยไรสร้างอนุสาวรีย์บาทหลวงกอลมเบต์” ดังนี้ ตึกกอลมเบต์สูง 3 ชั้น 23 ห้องเรียนจึงส�ำเร็จ ได้เพราะความอุตสาหะวิริยะของท่านโดยแท้ และ ยังตั้งอยู่เป็นประจักษ์พยานมาจนถึงทุกวันนี้ ฟ.ฮีแลร์ กล่าวถวายรายงานต่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ประธานในการเปิดหอประชุมสุวรรณสมโภช เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1951


UNSEEN ASSUMPTION 131 ภายหลังใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยยาวนานถึง 4 ปี ก็ได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นอีก ในคราวนี้ประเทศไทยได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วยโดยตรงในกรณีพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศส ดังนั้น ด้วยเหตุผลทางการเมือง ฟ.ฮีแลร์ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสจึงจ�ำเป็น ต้องออกจากประเทศไทยไปอยู่เมืองปอนเดเชรี่ ประเทศอินเดีย จนกระทั่งสงครามสงบลง ท่านจึงได้เดินทางกลับมาเมืองไทยเมื่อ ต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 1946 เมื่อกลับมาเมืองไทยคราวนี้ ท่านก็ได้รับ การขอร้องจากลูกศิษย์ลูกหา ให้ขยายโรงเรียนสร้างหอประชุมอีก ตึกสุวรรณสมโภชจึงได้ปรากฏขึ้น เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1951 ตึกสุวรรณสมโภช อันเป็นสัญลักษณ์เก่าของอัสสัมชัญและเป็น น�้ำพักน�้ำแรงของ ฟ.ฮีแลร์โดยตรง สร้างเสร็จไม่ทันถึงปี ท่านก็ป่วย เป็นโรคเบาหวาน ต้องส่งเข้ารักษาโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ สายตา ของท่านซึ่งไม่สู้จะดีอยู่แล้วก็เริ่มมืดมิดลงจนเกือบจะมองไม่เห็น ลูกศิษย์ลูกหาทุกคนต่างก็เป็นห่วงท่านและพากันวนเวียนไปเยี่ยม ท่านอยู่เสมอ รัฐบาลประเทศฝรั่งเศสเมื่อได้รายงานว่า เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ได้ สร้างคุณงามความดีและชื่อเสียงให้แก่ประเทศฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงมอบเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ให้ท่านเพื่อเป็นเกียรติ โดยมีเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสเป็นผู้กระท�ำ พิธีประดับให้ ณ วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1952 ที่โรงพยาบาล เซนต์หลุยส์นั่นเอง เมื่ออาการป่วยของท่านทุเลาลง ท่านก็กลับมาพักอยู่ที่โรงเรียน อัสสัมชัญดังเดิม ขณะนั้นท่านไม่ต้องท�ำหน้าที่การงานประจ�ำแล้ว คงเป็นดังหนึ่งที่ปรึกษาของอธิการกลายๆ เมื่ออยู่เฉยๆ ก็เกิดความ ร�ำคาญ ท่านคงจะอ่านหนังสือฆ่าเวลามากเกินไป สายตาซึ่งเดิม ก็ไม่ดีอยู่แล้ว เลยมืดสนิทลงไปทั้งสองข้าง ทั้งนี้ก็เนื่องจากโรค เบาหวานที่ท่านเป็นอยู่นั่นเอง คงเป็นด้วยเพราะท่านได้ประกอบ กุศลกรรมตลอดมา จึงถึงคราวที่ความทุกข์ทรมานอันเกิดจากโรคาพาธ จะได้หายไป นายแพทย์ชุด อยู่สวัสดิ์ จึงได้ท�ำการรักษาโดยการผ่าตัด เยื่อหุ้มตา รักษาอยู่ประมาณ 3 อาทิตย์ก็หายเป็นปกติ ศิษย์ต่าง ๆ ก็ดีอกดีใจไปกับท่าน จึงได้จัดงานสมโภชท่านขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1959 เพื่อเป็นขวัญและก�ำลังใจในยามชราภาพ ฟ.ฮีแลร์ บุพการีแห่งอัสสัมชัญได้ด�ำรงชีวิตอยู่ต่อมาจนถึง พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) ซึ่งขณะนั้นอายุได้ 87 ปี แล้ววาระสุดท้าย ก็มาถึงด้วยคืนวันที่ 18 กันยายน ท่านนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมา เดินที่ระเบียงแล้วล้มลง เจษฎาจารย์ที่นอนอยู่ชั้นบนได้ยินเสียง จึงได้ไปช่วยกันแก้ไข ส่งโรงพยาบาลคามิลเลียนในเช้าวันรุ่งขึ้น แพทย์ พิธีมอบและประดับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ (Ordre National de la Légion D’honneur) จากรัฐบาลฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1952 ที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์


132 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ลงความเห็นว่าเส้นโลหิตฝอยแตกจะต้องรักษาอยู่นาน จึงได้ย้ายไป รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ถนนสีลม อาการมีแต่ ทรงกับทรุดเรื่อยมา แล้วก็สิ้นชีวิตลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ท่านอยู่เมืองไทยเป็นเวลานานถึง 67 ปี ศพของท่านได้เชิญมาตั้ง ณ ห้องประชุมตึกสุวรรณสมโภช ท่าน อัครสังฆราชได้ท�ำพิธีมหาบูชามิสชา ณ ที่นั้น เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ศิษยานุศิษย์และแขกผู้มีเกียรติได้มาร่วมในพิธีศพของท่าน และ เชิญศพท่านเดินเวียนรอบบริเวณโรงเรียน และเคลื่อนขบวนไปฝัง ณ สุสานของเจษฎาจารย์ ณ บริเวณยุวนิสิตสถาน อ�ำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ฟ.ฮีแลร์ได้จากอัสสัมชัญและลูกศิษย์ลูกหาไปโดยไม่มีวันกลับ แต่ คุณงามความดีที่ท่านสร้างไว้นั้นมีมากมายจนเกินกว่าจะจดจารึกไว้ ได้ทั้งหมด ตลอดชีวิตของท่าน ท่านรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความ ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ยึดมั่นอยู่ในความนบนอบ ความบริสุทธิ์ และความ ยากจน ซึ่งเป็นกฎของคณะโดยเคร่งครัด ท่านเป็นผู้มีความอดทน ต่อความยากล�ำบากในภารกิจทั้งมวลเพื่อที่จะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า ดวงใจท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อศิษยานุศิษย์และผู้ใกล้ชิด ทุกท่าน ชีวิตท่านเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ดวงวิญญาณ ของท่านคงสถิตอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าบนสรวงสวรรค์นิรันดร แม้นว่าท่านจะจากพวกเราไปนานกว่า 50 ปีแล้ว แต่กิตติศัพท์และ ผลงานของท่านก็ยังปรากฏคู่กับโรงเรียนอัสสัมชัญตลอดมา ความส�ำเร็จของ ฟ.ฮีแลร์ และปณิธานอันแน่วแน่ของท่านนี้เองที่ บันดาลให้เป็นที่รักและเคารพของศิษยานุศิษย์ตลอดจนผู้ปกครอง นักเรียน และพ่อค้าวาณิชทั้งปวง ท่านไม่เคยเป็น “อธิการ” ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนใดของคณะเซนต์คาเบรียล ท่านเป็น “ครูฝ่าย ปกครอง” ของโรงเรียนอัสสัมชัญเพียงอย่างเดียว คอยตรวจตรา นักเรียนมาสาย มาสายหลายครั้งก็จะถูกลงโทษให้อยู่เย็น ให้ยืนเสา ท่องหนังสือ ส่วนนักเรียนที่ขาดเรียนโดยยังไม่ได้ส่งใบลา ท่านก็จะมี จดหมายแจ้งไปยังผู้ปกครองทันที และเมื่อนักเรียนกลับมาเรียนตาม ปกติ ก็ต้องมีจดหมายผู้ปกครองมา บางครั้งผู้ปกครองต้องมาอธิบาย การขาดเรียนของลูกหลานของตนเองเป็นพิเศษ ล้วนมีส่วนสร้าง ชื่อเสียงให้อัสสัมชัญเป็นสถานที่มีวินัยเคร่งครัด บทความจากเอก วีสกุล


UNSEEN ASSUMPTION UNSEEN ASSUMPTION 133


134 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น บรรดาครู ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน ผลัดกันเชิญหีบศพท่าน เดินเวียนรอบโรงเรียน ก่อนจะเคลื่อนขบวน ไปฝังที่สุสาน โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น


UNSEEN ASSUMPTION 135 ผมไม่ประสงค์จะกล่าวถึงความส�ำคัญของท่าน ฟ.ฮีแลร์ ที่รักของเรา ให้เกินความจริงไป มิฉะนั้นท่านเองแหละจะจับหูบิดไปบิดมา แม้จะโตถึงปานนี้แล้ว แท้จริงควรจะสดุดีท่านเจษฎาจารย์ทั้งคณะ คือ มาร์แตงเดอตูรส์ มิแชล เฟรเดริค หลุยส์ คาเบรียล อัลลีร์ โอฌซ จังหลุยส์ โรกาเซียง ฮูแบร์โต อามาโด เอเม หลุยส์ดังจู รวมทั้ง ฮีแลร์ ฐานที่ท่านเป็นครูน่าเคารพ น่ากตัญญู และน่าภาคภูมิใจ แต่ ฟ.ฮีแลร์ ส�ำหรับพวกเราและส�ำหรับประเทศไทยมีลักษณะพิเศษ เมื่อ สิ้นปี 2487 ผมได้มีวาสนาไปเยี่ยมท่านที่อินเดียสัก 4 - 5 วัน ผม สังเกตเห็นท่านเศร้าสลดใจนักเพราะคิดถึงเมืองไทย และท่านรู้สึก โทมนัสโดยรู้ตัวว่าจะท�ำงานที่ไหน ๆ ก็ไม่ได้ดีเท่ากับที่กรุงเทพฯ ฟ.ฮีแลร์ เกิดที่เมืองปัวตีเอ ที่เมืองนี้มีนักบุญคนหนึ่งแล้วชื่อ นักบุญฮีแลร์ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 ท่านเป็นใหญ่ในศาสนาและเป็น นักบุญคุ้มกันเมืองปัวตีเอ เมืองปัวตีเอนี้เองได้ส่งฮีแลร์อีกท่านหนึ่ง มาให้ประเทศไทย ฮีแลร์คนนี้เป็นเชอวาลีเอ (อัศวิน - อิสริยาภรณ์ ชั้นหนึ่ง) แห่งเลจีอองดอนเนอร์ เป็นกรรมการแห่งสมาคมวรรณคดี ของไทย และเป็นครูของคนไทยจ�ำนวนมากซึ่งเป็นข้าราชการและ พลเมืองที่กล้า ที่ซื่อสัตย์สุจริตและมีความสามารถ ขอให้ท่าน ฟ.ฮีแลร์ ของเราคงสงบสุขอยู่ในประวัติศาสตร์ของไทย ตลอดกัลปาวสาน ขอให้ท่านคงด�ำรงอยู่เป็นที่รักที่เคารพอยู่ใน ดวงใจแห่งอัสสัมชนิก ขอให้ท่านได้รับความสงบในสันติสุขเทอญ. ค�ำสดุดีจากป๋วย อึ๊งภากรณ์ (แปลเป็นไทยจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส 9 ตุลาคม ค.ศ. 1968)


136 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ความเป็นปราชญ์อีกอย่างหนึ่งที่น่าพิศวงของ ฟ.ฮีแลร์ นั่นคือ ความ เป็นปราชญ์ในทางอักษรศาสตร์ ท่านมีความเป็นปราชญ์ในทาง ศาสนาก็เนื่องมาจากเป็นผู้มีอุปนิสัยน�ำไปหาพระเจ้ามาตั้งแต่ปฐมวัย จึงได้เล่าเรียนวิชาลัทธิทางศาสนาและปรัชญา ส่วนความเป็นปราชญ์ ในทางอักษรศาสตร์เป็นพรที่สวรรค์ได้ประทานมาให้โดยเฉพาะ ใน เมื่อท่านเป็นชาวฝรั่งเศสโดยก�ำเนิด เจริญเติบโตและศึกษาเล่าเรียนอยู่ใน ประเทศฝรั่งเศส หากท่านมีความสามารถเฉพาะแต่ภาษาฝรั่งเศสแล้ว ไซร้ เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะประหลาดใจ แต่นี่ท่านเป็นชาวฝรั่งเศสเข้ามาอยู่ ในเมืองไทย แล้วแต่งต�ำราภาษาไทยให้คนไทยซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของภาษาน�ำไปใช้นั้น ข้อนี้นับว่าเป็นมหัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อท่านได้ฟังเด็กไทยท่องมูลบทบรรพกิจแล้ว ท่านเล่าว่าจังหวะจะโคน และลีลาแห่งการใช้ภาษาน่าพิสมัยมาก ข้อนี้ได้กลายเป็นเหตุจูงใจ ให้ท่านแต่งหนังสือแบบเรียนดรุณศึกษาทั้ง 5 เล่มขึ้นมา หนังสือ ชุดนี้เป็นที่นิยมของครูและนักเรียน และนับวันแต่จะแพร่หลายออกไป นั่นคือเกียรติยศอันสูงส่งที่ชาวไทยได้มอบหมายให้ท่าน ข่าวการมรณภาพ ของ ฟ.ฮีแลร์


UNSEEN ASSUMPTION UNSEEN ASSUMPTION 137


138 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น พิธีเปิดอนุสาวรีย์ ฟ.ฮีแลร์ โดย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1976 “ข้าพเจ้าขอประทานกราบเรียน รายงานการก่อสร้างอนุสาวรีย์ ฟ.ฮีแลร์ พอเป็นสังเขป ด้วย อนุสาวรีย์บังเกิดขึ้นโดยผู้มีจิตศรัทธาอันแรงกล้า คือ นายมงคล วังตาล อัสสัมชนิกอาวุโส เลขที่ 2968 บัดนี้ได้วายชนม์ไปแล้ว ได้บริจาคไว้เป็นจ�ำนวนเงิน แปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน และ สถาปนิกผู้ปั้นรูปท่าน ฟ.ฮีแลร์ ก็คือ อาจารย์สนั่น ศิลากรณ์ ศิษย์เอกของท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี การปั้นได้เสร็จเรียบร้อยในเดือนสิงหาคมศกนี้ ได้เร่งรัดจัดตกแต่งสถานที่ ปริมณฑลอนุสาวรีย์สมบูรณ์เมื่อวันที่ 30 กันยายน เพื่อจะเปิดอนุสาวรีย์ให้ทันก�ำหนด คือ วันมรณภาพของท่านเจษฎาจารย์ ซึ่งต่อไปเราจะถือวันมรณภาพ วันที่ 3 ตุลาคม เป็นวัน สักการบูชาปูชนียาจารย์ทุกปีไป" ค�ำรายงานของท่านภราดาวิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย อธิการโรงเรียนอัสสัมชัญ ต่อหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเปิดอนุสาวรีย์ ฟ.ฮีแลร์ วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1976 138 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น บทความ ฟ.ฮีแลร์ที่ข้าพเจ้ารู้จัก โดย ส.ศิวรักษ์ QR CODE #18


UNSEEN ASSUMPTION 139 สมัยข้าพเจ้ายังเป็นนักเรียนชั้นประถม ภาพหนึ่งที่เห็นเป็นประจ�ำก็คือ บราเดอร์ชราท่านหนึ่งเดินส�ำรวจลานกรวดหรือทางเดินรอบตึก แล้ว ใช้ไม้เท้าชี้เศษกระดาษหรือห่อขนมบนพื้น เพื่อให้นักเรียนที่อยู่ใกล้ ๆ หยิบไปทิ้งถังขยะ อันที่จริงปกติบริเวณนั้นก็แทบไม่มีขยะให้เห็น อยู่แล้ว แต่ถึงแม้จะมีเศษกระดาษเล็ก ๆ แค่ชิ้นสองชิ้นอยู่บนพื้น นักบวชท่านนี้ก็ไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไป นี้คือกิจวัตรประจ�ำวันของบราเดอร์ฮีแลร์ แม้ท่านมีอายุล่วง ๘๐ แล้ว แต่ความใส่ใจในระเบียบวินัยของนักเรียนก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป จากส�ำนึกของท่านเลย อัสสัมชัญในสมัยนั้นให้ความส�ำคัญกับ ระเบียบวินัยมาก อาทิ ความตรงต่อเวลา การเข้าแถวเป็นระเบียบ รวมทั้งความรักสะอาด บราเดอร์และมาสเตอร์ทั้งหลายถือว่าการมี ระเบียบวินัยเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง มีความส�ำคัญพอ ๆ กับความ ซื่อสัตย์สุจริตเลยทีเดียว เป็นเพราะเห็นความส�ำคัญของระเบียบวินัย บราเดอร์ฮีแลร์จึงกวดขัน นักเรียนในเรื่องนี้ด้วยตนเอง สิ่งที่ตามมาก็คือเป็นที่รู้กันในหมู่ นักเรียนว่า หากท่านเดินผ่านมา นักเรียนต้องสอดส่ายสายตาเพื่อ ดูว่าแถวนั้นมีเศษขยะหรือไม่ หากเห็นก็เดินไปเก็บก่อนที่ท่านจะสั่ง พฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้มีนิสัยอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในตัวนักเรียนก็คือ ความใส่ใจในความสะอาด กล่าวคือ นอกจากจะไม่ทิ้งขยะตามใจชอบ แล้ว ยังไม่นิ่งดูดายเวลาเห็นขยะตามพื้น อัสสัมชนิกจ�ำนวนไม่น้อย หลังจากเรียนจบแล้ว เมื่อเห็นเศษกระดาษหรือขยะอยู่ต่อหน้าต่อตา แม้เป็นที่สาธารณะก็อดไม่ได้ที่จะหยิบไปทิ้งถังขยะ อันที่จริงสิ่งที่บราเดอร์ฮีแลร์บ่มเพาะให้แก่พวกเรานั้น ไม่ใช่แค่ความรัก สะอาด หรือความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบ หรือใส่ใจในส่วนรวม เมื่อเห็นสถานที่สาธารณะสกปรก ไม่เป็นระเบียบ แม้มีขยะไม่กี่ชิ้น เราไม่ควรนิ่งเฉย ไม่ควรผลักภาระให้แก่คนอื่น ไม่ว่านักการภารโรง พนักงานเก็บขยะ หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ ส�ำนึกเช่นนี้เป็นสิ่งส�ำคัญส�ำหรับสังคมทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะ ปัจจุบันซึ่งขยะก�ำลังล้นโลก อีกทั้งเต็มไปด้วยปัญหามากมาย ปัญหา เหล่านี้จะแก้ไขหรือบรรเทาได้ก็ต่อเมื่อผู้คนมีส�ำนึกต่อส่วนรวม ร่วมกันคนละไม้คนละมือ ไม่ผลักภาระให้แก่คนอื่นหรือรัฐบาล ภาพจากหนังสืออุโฆษสาร ค.ศ. 1968 - 1969 พระไพศาล วิสาโล อสช. 22517 (รุ่น 89) ร�ำลึกฟ.ฮีแลร์


140 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ความแตกฉานรอบรู้ในภาษาไทยของท่าน ฟ.ฮีแลร์ อยู่ในระดับสูงแค่ไหนจะทราบได้จากบทความต่าง ๆ ที่ลงในอัสสัมชัญ อุโฆษสมัย จากบทบรรณาธิการ เรื่อง ความสุขพระยาเลย ดูถูกแขวนกระดิ่งไว้ หน้าบ้าน พ่อขุนรามก�ำแหงว่ากระไร ขอเครื่องใน หรือเครื่องเส้นวักตั๊กแตน ไปศรีราชา อนิจจ์ ฯลฯ เรื่องนี้นอกจากให้ความรู้ ความสนุกสนาน และมีคติ แล้ว ยังสูงด้วยส�ำนวนโวหาร สมกับเป็นวรรณกรรม อันมีค่าของชาติ เนื่องจากความแตกฉานในภาษาดังกล่าวนี้เอง สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ จึงโปรด ให้ท่าน ฟ.ฮีแลร์ แปลจดหมายของมองซิเออร์ เดอ วีเซ ว่าด้วย เรื่องโกษาปานไปประเทศ ฝรั่งเศส เมื่อท่านแปลครั้งแรก ท่านได้น�ำลงใน อุโฆษสมัยเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ให้ชื่อเรื่องไว้ว่า “ทูตไทยไปเมืองฝรั่งเศส” จบลงใน ค.ศ. 1923 ต่อมาใน ค.ศ. 1972 ราชบัณฑิตสภาได้รวบรวม จัดพิมพ์เป็นเล่มเข้าในชุดประชุมพงศาวดาร โดยแบ่งเป็น 4 ภาค คือ ภาคที่ 57 ภาคที่ 58 ภาคที่ 59 และภาคที่ 60 และให้ชื่อใหม่ว่า “โกษาปานไปฝรั่งเศส” ท่าน ฟ.ฮีแลร์ได้แปลเรื่องนี้ ด้วยส�ำนวนภาษาที่ดีเยี่ยม นับว่าเป็นหนังสือเอกสาร ทางประวัติศาสตร์อันส�ำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งชาติไทย ได้รับบรรณาการจาก ฟ.ฮีแลร์ เกียรติประวัติอันนี้ จะเป็นของท่านตลอดไป 2. ก�ำเนิด “ดรุณศึกษา” หน้าปก “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1910 (ร.ศ. 129)


UNSEEN ASSUMPTION 141 นอกจากท่านจะแปลหนังสือได้ดีแล้ว ยังสอนแปลได้เก่งอีกด้วย ท่านคล่องศัพท์ ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นราชาศัพท์ ศัพท์ในประวัติศาสตร์หรือวรรณคดีโดยเฉพาะในวิชา วรรณคดีไทย ท่านถึงกับสอนเวสสันดรชาดกแทนครูสอนภาษาไทยก็เคยมี ฟ.ฮีแลร์ ไม่ใช่เก่งแต่เพียงเท่านั้น ภาษาและส�ำนวนโวหารของไทย ท่านก็เข้าใจใช้ได้อย่าง ถูกต้องและลึกซึ้งอีกด้วย อาจารย์สุกิจ นิมมานเหมินท์ เคยเขียนถึงท่านไว้ใน อุโฆษสาร ค.ศ. 1953 ว่า “...ถ้าพูดโดยรสของภาษาแล้ว เชื่อว่าคุณครู ฟ.ฮีแลร์ช�ำนาญ ภาษาไทยมากเท่าๆ กับภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาแม่ของท่านหรือมากกว่า... รู้สึกว่าภาษาของคุณครั้นมีเค้ารูปคล้ายๆ กับภาษาที่พ่อขุนรามค�ำแหงนิยมใช้...” เนื่องจากท่านเป็นปราชญ์รอบรู้ในทางศาสนา ภาษา และวรรณคดีนี่เอง สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ จึงโปรดให้เชิญท่านเข้าไปเป็นสมาชิกของวรรณคดีสมาคม อันมีเกียรตินั้น เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ได้แถลงประวัติการเข้ามาสู่วงการกวีของท่านด้วยโคลง บทหนึ่งว่า ตูข้ามาร่วมด้วย ชาวสยาม หลายค�่ำคืนโมงยาม รุ่งเช้า เลยติดกลิ่นโคลงตาม เกือบเช่น ไทยนา ปลดโง่บ้างเพราะเข้า เสพชร้องศึกษา สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงคุ้นเคยกับ ฟ.ฮีแลร์ ตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 6 แล้วเมื่อครั้งท่านยังแต่งต�ำราดรุณศึกษาใหม่ๆ และยังได้ส่งต้นฉบับไปให้สมเด็จฯ ท่านแก้ไขตรวจทานความถูกต้อง “ด้วยเหตุนี้ เมื่อตั้ง ‘วรรณคดีสมาคม’ ขึ้นในรัชกาลที่ 7 สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรง ราชานุภาพ จึงโปรดให้เชิญท่านเจษฎาจารย์เข้าเป็นสมาชิกด้วย ดูเหมือนจะเป็นฝรั่ง คนเดียวที่เป็นสมาชิกแห่งสมาคมอันทรงเกียรติยิ่งนี้ ...” (ส.ศิวรักษ์ : หนังสืออัสสัมชัญ อุโฆษสมัย ฉบับที่ระลึกวันมรณภาพครบ 1 ปี ของท่านเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ พิมพ์ เมื่อ ค.ศ. 1969 ) นอกจากนี้ ท่านยังได้รับเชิญให้เป็นสมาชิก “สยามสมาคม” อีกด้วย บทความเรื่อง “ทูตไทย” ฟ.ฮีแลร์แปลจากจดหมาย ของมองซิเออร์ เดอ วีเซ และทยอยตีพิมพ์ เป็นบทความลงในอัสสัมชัญ อุโฆษสมัย


142 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ในสมัยแรกที่ท่านเข้ามาสู่สยาม ท่านทนอึดอัดใจไม่ได้ที่ต้องติดต่อกับคนไทยด้วย ภาษาต่างประเทศ ท่านจึงมุมานะเรียนภาษาไทยตั้งแต่นั้นมา ครั้นมาได้ครูดี และ ฝึกฝนตนเองจนอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ท่านก็เริ่มเขียนบทกวีนิพนธ์ กอปรด้วยท่านมี สติปัญญาเป็นเลิศ และมีแรงบันดาลใจตามนิสัยของกวี ท่านจึงโด่งดังขึ้นมาพร้อม กับอุโฆษสมัยและดรุณศึกษา กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ท่านประพันธ์ได้ทุกชนิด และยังอุตส่าห์แนะน�ำตักเตือนผู้ที่จะเป็นกวีไว้ในอุโฆษสมัยว่า “การเขียนหนังสือไม่ใช่การยาก ใคร ๆ ก็เขียนได้ แต่ที่จะเขียนจนมีชื่อเสียง ว่าเป็นจีนตกวีนั้นเป็นการยากมาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นจีนตกวีได้ บางคนเขียน หนังสือตั้งแต่เล่มเกวียน แต่ก็ยังไม่ได้เรียกว่าเป็นจีนตกวี การเขียนหนังสือมาก และเขียนน้อยนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวกับที่เรียกว่าจีนตกวีเลย บางคนเขียนไม่เก่งมาก เท่าไรก็ขึ้นชื่อว่าเป็นจีนตกวีได้ ตกลง นักประพันธ์คนใดได้มีชื่อเสียงในทางเขียน ก็มิใช่เพราะเขียนมาก เขียนคล่องเลย เป็นเพราะเรื่องที่เขาเขียน เป็นเรื่องดี มีสารและเขียนเป็นภาษาที่มีโวหารส�ำนวนน่าจับใจของผู้อ่าน ข้อส�ำคัญยิ่งอยู่ กับเนื้อเรื่องมากกว่าอะไรทั้งหมด ฝีปากยังเป็นที่สองรองความคิดอยู่เสมอ...” นอกจากบทร้อยแก้วข้างต้นนี้แล้วยังมีแนะน�ำด้วยค�ำกลอนที่ไพเราะดังนี้อีก ปราชญ์หนหลังแต่หนังสือมีชื่อเสียง ใช่แต่เพียงหยิบปากกาขึ้นมาเขียน ต้องหมั่นตรึกศึกษาต�ำราเรียน ทั้งพากเพียรถามครู, อ่าน, ดู, ฟัง โคลงศรีปราชญ์เชิงกลอนสุนทรภู่ ถ้าตรองดูของท่านเพราะเสนาขลัง ดูสมเรื่องแต่เบื้องต้นจนเอวัง ความไม่บังเค็มเด็ดดังเม็ดเกลือ ตอนเด็กพูดค�ำละม้ายคล้ายเด็กพูด ถ้าตนทูตสมองสง่ายิ่งกว่าเสือ ตอนละห้อยพลอยสมเพชรน�้ำเนตรเจือ ดูสมเนื้อสมตัวทั่วทุกนาย ถ้อยก็งามความไม่ลับกระชับชิด ตีสนิทหลับตาเห็นเหมือนเช่นหมาย ถูกระบอบชอบจริงทั้งหญิงชาย แสนเสียดายเราไม่เอาอย่างเขาเอย อัสสัมชัญ อุโฆษสมัย ที่ท่านเป็นบรรณาธิการอยู่นั้น นอกจากจะลงเรื่องที่เป็น สารความรู้เรื่องเบ็ดเตล็ดและข่าวสารแล้ว ภาคกวีได้รับการส่งเสริมมากที่สุด นักกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ต่างประชันฝีปากกันเต็มที่ มีตั้งแต่กวีรุ่นเยาว์ ไปจนถึงกวีรุ่นเอกของชาติ กวีรุ่นเยาว์ในสมัยนั้น หากเอ่ยนามแล้วก็คงเป็นที่รู้จัก กันในสมัยนี้ เช่น ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ อาจารย์สุกิจ นิมมานเหมินท์ คุณไถง สุวรรณทัต คุณถวิล ระวังภัย คุณจุธา วิริยศิริ ป.ทรวง คุณประยูร จรรยาวงษ์ และคนอื่น ๆ อีกมากมายหลายท่าน ที่ว่ากวีเอกของชาติมาลงสนามกวีร่วมกับ ฟ.ฮีแลร์ แ ล ะ บ ร ร ด า เ ย า ว ก วี ข อ ง อั ส สั ม ชั ญ นั้ น กวีเอกดังกล่าวได้แก่ นายชิต บุรทัต ผู้ประพันธ์ สามัคคีเภทค�ำฉันท์ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) เจ้าของวรรณคดี โคลงนิราศวัดรวก กฎา หกค�ำฉันท์ และประชุมล�ำน�ำนั่นเอง คราวหนึ่ง หนังสืออุโฆษสมัย ก�ำหนดให้แต่งอินทรวิเชียร ฉันท์ เรื่อง พระคุณของแม่ หลวงธรรมาภิมณฑ์ ท่านแต่งว่า


UNSEEN ASSUMPTION 143 พ่อแม่ก�ำเนิดเกล้า และพระเจ้าประกอบคุณ อีกครูประสิทธิ์สุน ทรวิทยาคม องค์ขัตติยาผู้ บริรักษ์วโรดม ทั้งสี่ประเสริฐสม อดิเรกคุณานันต์ ควรเราจะเคารพ บมิเว้นระหว่างกัน คุณท่านอนันต์สรร พฤสิ่งจะเปรียบมี เป็นเครื่องเจริญสุน ทรสิ่งสวัสดี นักเรียนบควรมิ จิตหมิ่นประมาทเมิน ส่วนส�ำนวนของ ฟ.ฮีแลร์เป็นดังนี้ พ่อแม่ประสาสน์สั่ง ดุจดังพระทรงสอน ควรบุตรประนมกร ปฏิบัติอุสาห์ทน ถ้าขืนพระบัญญัติ ฤวะขัดบิดาตน นับเนรคุณชน หินะชาติสมาญ ด้วยองค์พระทรงฤทธิ์ ธ ประสิทธิ์ประสารทปราณ พร้อมกายและวิญญาณ ปฏิสนธิ์ ณ แดนดิน ถัดมาก็สองท่าน อุปการสมาจิณ ยามหิว ธ ให้กิน สุปโภชนาหาร ยามป่วย ธ ช่วยปัด ปฏิบัติพยาบาล ยามเด็ก ธ สอนกราน อภิวาทน์พระทรงธรรม ยามดีและยามร้าย ธ สบายและโศกศัลย์ นับว่าคุณานันต์ บมิเปรียบประเทียบใด ล�้ำกว่าสุธาธาร พนสาณฑ์ชลาลัย ควรเราจะกราบไหว้ อนุโมทนาคุณ ฟ.ฮีแลร์ได้รังสรรค์ผลงานด้านกวีนิพนธ์ไว้มิใช่น้อยในดรุณศึกษา ส�ำนวนของท่านใครได้อ่านแล้ว ก็ต้องเชื่อว่าเป็นคนไทยที่ประพันธ์ไว้ หรือแม้แต่คนไทยเองก็อาจไม่สามารถแต่งได้ดีเท่า ภาพยนตร์ ฟ.ฮีแลร์ ในโอกาสที่โรงเรียนอัสสัมชัญครบรอบ 130 ปี แห่ง การสถาปนาโรงเรียน คณะกรรมการมูลนิธิบราเดอร์ ฮีแลร์ ได้จัดสร้างภาพยนตร์เรื่อง ฟ.ฮีแลร์ ก�ำกับโดย “แหม่ม” มาม่า บลูส์ (สุรัสวดี เชื้อชาติ) ก�ำกับศิลป์ โดย เอก เอี่ยมชื่น แสดงน�ำโดย เจสัน ยัง และ ภรัญยู โรจนวุฒิธรรม มีพิธีสักการะ ฟ.ฮีแลร์ และ เปิดกองถ่ายในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2014 ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น รับหน้าที่จัดจ�ำหน่ายภาพยนตร์ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ชั้นน�ำทั่วประเทศเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2015


144 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น เพื่อจะได้หวนร�ำลึกถึงบรรยากาศของกวีอุโฆษสมัยเมื่อครั้งกระโน้น ขอน�ำกระทู้ ดอกสร้อย “สงเอ๋ย...ฟ.ฮีแลร์” ให้พิจารณาอีก 2-3 บท สงเอ๋ยสงสัย เอ๊ะ ท�ำไมต่างคิดจิตรมนุษย์ เขาเด็กๆ ชอบสงกรานต์การเล่นตรุษ เราสัปบุรุษชอบสงเคราะห์คนเคราะห์ขัด เขาหนุ่มๆ นึกสงครามยามณรงค์ เราใจสงฆ์นึกสงสารการวิบัติ เขาขรัวๆ กลัวเวียนวงสงสารวัฎ เราว่าสัตว์กับคนไม่วนเอย กลอนดอกสร้อยบทนี้ท่านพยายามเล่นค�ำตายและแทรกความคิดทางศาสนาไว้อย่าง น่าฟัง นอกจากนี้แล้วยังมีกลอนที่แต่งจากค�ำพังเพยไทยที่ไพเราะและให้คติอยู่บทหนึ่งคือ รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา คนรักดี รักงาม ได้หามจั่ว คนรักชั่ว รักทราม ต้องหามเสา คนฟังครู รู้หลัก หนักเป็นเบา คนโง่เขลา เบาเป็นหนัก หักก�ำลัง คนเพียร เรียนต�ำรา หาความรู้ จะเป็นผู้ เบาใจ เมื่อภายหลัง คนเกียจคร้าน อ่านไม่ออก บอกไม่ฟัง เป็นจับกัง หามเสา ทั้งเช้าเย็น และยังมีโคลงกระทู้ที่ประทับใจบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายอยู่ว่า ได้ไม่ดี ถี่ถ้วน ตามคาด มีไม่ได้ สัญชาติ ฉุดรั้ง ไทยใช่หรั่ง ยังฟาด ฟุตฟิต กันนอ หรั่งใช่ไทย ลองมั่ง แต่งกระทู้เทียมไทย


UNSEEN ASSUMPTION 145 ท่านที่เคยอ่านบทความเรื่อง “ดูถูก” ของ ฟ.ฮีแลร์ มาแล้ว คงจะ จ�ำบทกวีส�ำคัญบทหนึ่งในนั้นได้ Milton จินตกวีอังกฤษได้ประพันธ์ เป็นโคลงได้ว่า “Two folk looking through the same bars, One sees mud, the other - stars…” ฟ.ฮีแลร์ได้ถอดเป็นสยามพากย์ ได้ดังนี้ สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวแพรว การแปลนี้หากจะต้องการแต่เพียงความหมายของโคลง คงไม่เป็น ของยาก แต่ ฟ.ฮีแลร์ ท่านถอดทั้งความหมายและวิญญาณของโคลง ออกมาแล้วก็ร้อยกรองขึ้นด้วยภาษาที่หมดจดงดงามหาที่ต�ำหนิไม่ได้ นับเป็นบทกวีนิพนธ์ที่ไพเราะทั้งอรรถและรสที่หาตัวจับยาก จากการศึกษาอย่างถ่องแท้พบว่า นอกจาก “ดรุณศึกษา” จะเป็นต�ำรา ภาษาไทยแล้ว ยังมีบทเรียนทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี ศีลธรรม และหน้าที่พลเมืองสอดแทรกอยู่ในทุกเล่ม ตั้งแต่เล่มชั้น ป.มูล ถึง ประถมปีที่ 4 ซึ่งในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 เมื่อหนังสือถูกแต่งขึ้นนั้น ยังไม่มีบรรจุไว้ตามหลักสูตรของโรงเรียนไทยทั่วไป แล้วยังมีความรู้ทางภูมิศาสตร์ เป็นเรื่องน่าทึ่งส�ำหรับเด็กเล็กอายุ เพียง 7 - 8 ขวบ ถูกแนะน�ำให้รู้จักแผนที่ประเทศไทย (ในเล่ม กอ - ขอ) แล้ว ในยุคที่แม้แต่ผู้ใหญ่ทั่วไปก็ยังไม่คุ้นตากับขอบเขตของประเทศ ที่ตนอาศัยอยู่ แต่ดรุณศึกษาก็เปิดเผยให้เห็นภาพแล้วตั้งแต่ชั้น เตรียมประถม จึงพอจะอนุมานได้ว่า ฟ.ฮีแลร์ท่านก�ำลังประยุกต์แนวการเรียนการสอน ที่ใช้กันในทวีปยุโรปมาเป็นแนวทางการศึกษาของเด็กไทยตั้งแต่ เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยใช้ครูฝรั่งที่คุ้นเคยกับต�ำราเหล่านั้นเป็น ผู้สอนเอง คนฉลาดขาดเฉลียวประเดี๋ยวแย่ เหมือนเรือแพออกค้าสุดฟ้าเขียว แต่หากขาดเข็มทิศนิดเดียว อาจแล่นเลี้ยวเกยแก่งแล่งทลาย ถ้าแม้มีเข็มทิศติดไปแล้ว คงฉลาดแคล้วเกาะแก่งถึงที่หมาย เช้าเทียบท่าเปิดระวางอย่างสบาย เสร็จซื้อขายกลับบ้านส�ำราญรมย์


146 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น


Click to View FlipBook Version