UNSEEN ASSUMPTION 147 “ดรุณศึกษา” จึงเป็นต�ำราเรียนที่ล�้ำสมัยส�ำหรับเยาวชนไทยสมัยก่อน ทว่าได้ทดสอบให้เห็นศักยภาพของเด็กไทยในอนาคตไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนที่ระบบการศึกษาแผนใหม่จะตามทัน อาจกล่าวได้ว่า เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์มิได้มีคุณูปการต่อโรงเรียน อัสสัมชัญเท่านั้น แต่ท่านยังได้ปูทางเพื่อทางเจริญก้าวหน้าของระบบ การศึกษาในประเทศไทย ก่อนที่ผู้ใหญ่ในสมัยนั้นจะเห็นความจ�ำเป็น ด้วยซ�้ำไป ท่านจึงเป็นที่ยอมรับนับถือโดยนักวิชาการไทยว่าเป็นนักปราชญ์และ ปรมาจารย์ด้านการศึกษาที่ส�ำคัญที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย แม้จนทุกวันนี้ ‘ดรุณศึกษา’ จึงเป็นต�ำราเรียน ที่ล�้ำสมัยส�ำหรับเยาวชนไทย อาจกล่าวได้ว่า เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ มิได้มีคุณูปการต่อโรงเรียนอัสสัมชัญเท่านั้น แต่ท่านยังได้ปูทางเพื่อทางเจริญก้าวหน้า ของระบบการศึกษาในประเทศไทย ก่อนที่ผู้ใหญ่ในสมัยนั้น จะเห็นความจ�ำเป็นด้วยซ�้ำไป บรรณานุกรม (1) อนุสรณ์ เปิดอนุสาวรีย์ ฟ.ฮีแลร์. กรุงเทพฯ : จันวาณิชย์, 2519. (2) อุโฆษสาร 2000 อัสสัมชัญประวัติ 115 ปี. กรุงเทพฯ : อุดมศึกษา, 2546. ชีวิตและผลงาน ฟ.ฮีแลร์ QR CODE #19
148 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น มรดกแห่ง “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” หากเราจะมองหามรดกของ ฟ.ฮีแลร์ที่ยังคง วนเวียนอยู่ในอัสสัมชัญ กาลเวลาคงพัดพา หลายสิ่งหลายอย่างให้กลายเป็นอื่นไปเสีย ส่วนมากแล้ว มีเรื่องราวค�ำสอนของท่านเยอะแยะ มากมายที่เราอาจจะมองข้ามไป หนึ่งในมรดก ที่ดีที่สุดที่ท่านให้ไว้ คงหนีไม่พ้นภารกิจแรก ที่ท่านพยายามสั่งสอนเราตั้งแต่เราเริ่มหัด อ่านหนังสือให้ออก เขียนหนังสือให้เป็น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนสถิตอยู่ใน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” แทบทั้งสิ้น ฟ.ฮีแลร์จงใจจะแต่งแบบเรียนนี้ออกมาทั้งหมด 2 เล่มด้วยกัน เล่มแรก “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ” ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1910 แต่ต่อมา ก็ได้แบ่งพิมพ์ “เล่มที่สอง” เป็นอีก “สองเล่ม” สันนิษฐานได้ว่า เนื้อหาที่ ฟ.ฮีแลร์ได้รวบรวม จัดท�ำไว้มีความหนามาก จึงต้องแบ่งเนื้อหา ออกมาจัดพิมพ์เป็นอีกเล่ม เพื่อลดภาระ ให้กับนักเรียน ผลคือ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กลาง” ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1921 และ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน ปลาย” ตีพิมพ์ ใน ค.ศ. 1922 วัฒภูมิ ทวีกุล อสช. 47985 หน้าปกต้นฉบับอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กลาง ต้นฉบับอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอนกลาง ต้นฉบับอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอนปลาย QR CODE #20 QR CODE #21
UNSEEN ASSUMPTION 149 ในขณะที่ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ” ต่อมาก็ได้รับการ แบ่งตีพิมพ์เป็นอีกสองเล่มด้วยเช่นกัน เนื่องจากขนาดของรูปเล่ม ที่หนาเกินไปส�ำหรับเด็กเล็ก กว่าจะใช้เรียนจบหนังสืออาจช�ำรุด เสียหายไปมาก จึงได้แบ่งพิมพ์ออกเป็น “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ” และ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน ต้น” จึงกล่าวได้ว่า ตั้งแต่ ค.ศ. 1922 นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญมีแบบเรียน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ให้ใช้ด้วยกันทั้งหมด 4 เล่ม จวบจนกระทั่งลิขสิทธิ์ของ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ได้ตกเป็นของส�ำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช ในภายหลัง และแบ่งพิมพ์เป็น 5 เล่ม เพื่อให้สอดคล้องกับการจัด หลักสูตรการสอนในเวลาต่อมา จึงตัดค�ำว่า “อัสสัมชัญ” ออกไป คงไว้แต่นาม “ดรุณศึกษา” ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นในที่นี้จึงเรียกขานแบบเรียนชุดนี้ว่า “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” เนื่องจากผู้เขียนได้ศึกษาจากฉบับที่ตีพิมพ์จากโรงพิมพ์อัสสัมชัญ อันกลมกล่อมไปด้วยรสชาติแท้จริงจากปลายปากกาของ ฟ.ฮีแลร์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้อธิบายไว้ถึงเหตุที่ ฟ.ฮีแลร์ได้แต่งแบบเรียน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ขึ้นมา ก็เพราะว่าเมื่อ ฟ.ฮีแลร์แตกฉาน ในภาษาไทยแล้ว ก็ได้ทราบความหมายของกลอนที่เด็กนักเรียนใช้ ท่องกันในแบบเรียนมูลบทบรรพกิจ ท�ำให้ท่านเกิดความละอายใจ เพราะเห็นว่าความหมายในกลอนนั้นไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชนไทย เนื่องจากมีบทอัศจรรย์ ดังที่สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ยกตัวอย่างกลอนไว้ว่า หน้าปก ต้นฉบับอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน ปลาย หน้าปก ต้นฉบับอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก หน้าปก ต้นฉบับอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 6
150 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น อย่างไรก็ตาม โรงเรียนอัสสัมชัญและ ฟ.ฮีแลร์เองก็สามารถหยิบสรร แบบเรียนอื่นที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นมาใช้ท�ำการเรียนการสอนได้ เช่น แบบเรียนเร็วของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ, แบบสอน อ่านใหม่ของกรมศึกษาธิการแต่งโดยพระยาปริยัติธรรมธาดา, แบบเรียนใหม่ของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี และแบบเรียน ธรรมจริยาของพระยาไพศาลศิลปสาสตร เป็นต้น การจะลงแรง ลงเวลา ลงทุนแต่งแบบเรียนขึ้นมาใหม่ดูจะเกินตัวเกินไป หาก ฟ.ฮีแลร์ ไม่ต้องการให้มีบทอัศจรรย์อยู่ในแบบเรียน ในเรื่องนี้น้อยคนนักที่จะตั้งค�ำถามเพื่อหาค�ำอธิบายเพิ่มเติม แต่สังคม อัสสัมชัญก็พึงพอใจต่อค�ำอธิบายที่สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้ให้ไว้เมื่อ 50 ปีก่อน เพราะเป็นการเน้นย�้ำถึงคุณธรรม จริยธรรมที่ ฟ.ฮีแลร์ มี ตามคุณสมบัติของ ฟ.ฮีแลร์ที่เราเข้าใจกัน ฟ.ฮีแลร์เขียนวัตถุประสงค์ในการแต่งไว้อย่างชัดเจนในค�ำน�ำ ของ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน ค.ศ. 1910 ว่า “หนังสือ ‘อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา’ ตอน กอ ขอ เล่มนี้ โรงเรียน อัสสัมชัญได้แต่งขึ้น เพื่อจะแนะน�ำให้นักเรียนย่อม ๆ รู้จักอ่านภาษาไทย เบื้องต้นได้ง่าย, จึงได้คิดแบ่งสระและพยัญชะนะออกเปนตอน ๆ ผสมกันเรียบเรียงเปนมาตรขึ้น บทละน้อย ๆ เด็กเรียนวันเดียว ก็พอจะเข้าใจเปนบท ๆ ไปได้, ครั้นอ่านรวบรวมมาตรา สระ และพยัญชะนะตลอดเล่มแล้ว ก็คงเต็มบริบูรณ์อยู่ตามวิธีที่ใช้มาแต่ โบราณนั้นเอง; ขอบรรดากุลบุตรจงมีความสมัครรักใคร่ต่อภาษาไทย ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ได้เปนผลส�ำเร็จตามความประสงค์นี้ เทอญ” อยู่มาเหล่าข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี หน้าตาดีๆ ท�ำมโหรีที่เคหา ค�่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา ได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ ค�ำน�ำ อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก บทอ่านตอนเจ้าเสงี่ยม ที่ ฟ.ฮีแลร์ให้ตัวละคร “เจ้าเสงี่ยม” มีความรู้ พอจะเป็นเสมียนอย่างเขาได้ แต่ก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น อยู่กับแม่ ท�ำร้าน กว้างขวางกว่าเก่า
UNSEEN ASSUMPTION 151 เมื่อหันมามองบริบททางสังคมในช่วงเวลานั้น ก็จะได้ความชัดเจน ยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากแบบเรียนหลวงในสมัยนั้น ทั้งมูลบทบรรพกิจ และแบบเรียนเร็วของทางราชการมุ่งเน้นให้ผู้ที่ส�ำเร็จการศึกษาแล้ว ออกไปรับราชการ แต่บริบทของโรงเรียนอัสสัมชัญในสมัยนั้นเต็มไปด้วย สถานะของนักเรียนที่ไม่อ�ำนวยให้เรียนจบออกไปรับราชการได้ เพราะบ้างก็เป็นเด็กก�ำพร้า บ้างก็เป็นลูกหลานคนในบังคับต่างชาติ ส่วนหนึ่งที่บ้านก็เป็นพ่อค้า คหบดี เอกชน ไม่สันทัดจะให้ลูกหลาน เข้ารับราชการอยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นโรงเรียนไม่จ�ำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ท�ำให้เหลือลูกไทยแท้มาเรียนในโรงเรียนน้อยเต็มที จริงอยู่ ที่ปรากฏลูกหลานขุนนางมาเข้าเรียน จนกลายเป็นที่ภาคภูมิใจของ โรงเรียน แต่ก็มีจ�ำนวนไม่เยอะนักเมื่อเทียบกับนักเรียนทั้งโรงเรียน ฟ.ฮีแลร์จึงแต่ง “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ออกมาให้เปลี่ยนค่านิยม ที่ตัวนักเรียนจะได้รับ สอนให้นักเรียนน�ำความรู้ที่ได้ไปช่วยพัฒนา กิจการที่บ้านของตน โดยชี้ให้เห็นว่าไม่จ�ำเป็นต้องไปรับราชการ หรือไปเป็นเสมียนกับหน่วยงานรัฐ ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีและน่าเชิดชูเช่นกัน ซึ่งสวนทางกับค่านิยมในแบบเรียนหลวงอย่างชัดเจน ฟ.ฮีแลร์พยายามต่อสู้กับคติความเชื่อทางสังคมไทย พยายาม ใส่ตรรกะ เหตุผล และค�ำอธิบายแบบสมัยใหม่เข้าไป เช่น เรื่อง พระร่วงใช้ชะลอมตักน�้ำ แล้วน�้ำไม่รั่ว เพราะสานชะลอมตาถี่ ๆ จน ชิดกัน เรื่องจันทรุปราคาที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายแทน อ�ำนาจลี้ลับของราหู ฯลฯ
152 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 153
154 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 155 ขณะเดียวกัน คติในสังคมไทยที่ ฟ.ฮีแลร์เล็งเห็นว่าดีงาม ท่านก็เก็บ เอาไว้ใช้สั่งสอนนักเรียนด้วย ไม่ได้ละทิ้งอะไรไทย ๆ ไปเสียหมด เช่น คติเรื่องการเคารพนับถือผู้ใหญ่ การตอบแทนบุญคุณ ความรับผิดชอบ ต่อหน้าที่ การประมาณตนรู้จักที่ต�่ำที่สูง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีความคิดพื้นฐานบนหลักการของประชาธิปไตยปะปน ลงไปอยู่ด้วย เช่น ความคิดด้านการรับผิดชอบต่อสังคม ให้เสียสละ เพื่อส่วนรวม เพื่อความก้าวหน้าของชุมชน บทบาทหน้าที่ที่ตนมี ต่อประเทศชาติ ซึ่งเขียนได้อย่างแนบเนียนทั้ง ๆ ที่ในสมัยที่ ฟ.ฮีแลร์ แต่ง “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” นั้น ประเทศไทยยังปกครองใน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเป็นแบบเรียนที่ไม่ปรากฏปัญหา ด้านการเมืองเลยแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองก็ตาม แต่ก็มี บางเรื่องที่ถูกตัดออกไปไม่ปรากฏอีกในปัจจุบันเช่น เรื่อง พระ ยา ตาก ในด้านศาสนาเอง ฟ.ฮีแลร์ก็ใส่ความคิดและเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา คริสต์จ�ำนวนมากลงไปเป็นบทสอนอ่าน เช่น เรื่อง สร้าง โบสถ์, นักบุญ เอลิซาเบ็ธ, กัณฑ์ มหาบุญลาภ แปด ประการ, บท ถวาย ตัว เป็น ข้า ไท ใน พระหฤทัย พระผู้เป็นเจ้า, เจ้าพระยา วิชเยนทร์, วิสาสา ปรมา ญาตี, ดาวิด ไม่ ประทุษร้าย ตอบ, และ ลุง อาบราฮ�ำ กับ หลาน ล็อต ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาคริสต์นี้มีเพิ่มมากขึ้นใน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กลาง” และ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน ปลาย”...อย่างไรก็ตาม ใน "อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา" เราสามารถพบการปฏิเสธความเชื่อในสังคม ไทยเอาไว้อย่างแนบเนียน เช่น ศาสนาพุทธ และการนับถือผีในสังคม ไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการสอนให้เด็กไทยเรียนรู้ค�ำเรียกขาน พยัญชนะใหม่ใน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ” เช่น ณ.เณร เป็น ณ.ธรณี, ษ.ฤาษี เป็น ษ.ภาษี, ฑ.มณโฑ เป็น ฑ.มณฑล อันเป็น ค�ำนอกรีตในสายตาชาวคริสต์ในสมัยนั้น"
156 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 157 ต้นฉบับรูปประกอบในอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา พร้อมค�ำอธิบายจากปลายดินสอ ฟ.ฮีแลร์
158 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ต้นฉบับรูปประกอบในอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา พร้อมค�ำอธิบายจากปลายดินสอ ฟ.ฮีแลร์
UNSEEN ASSUMPTION 159 เนื้อหาด้านประวัติศาสตร์ก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ฟ.ฮีแลร์ สามารถแต่งเรื่องราวจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ให้สอน จริยธรรมและคุณธรรมได้อย่างแนบเนียน แม้ว่าเนื้อหาด้าน ประวัติศาสตร์จะคล้อยตามประวัติศาสตร์ตามแบบฉบับของรัฐไทย ในยุคนั้นก็ตาม เช่น น�ำเรื่องเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาชนช้างกัน มาสอนเรื่องความอิจฉาริษยา, น�ำเรื่องประวัติศาสตร์การพิมพ์ ในประเทศไทยมาสอนให้นักเรียนรู้คุณค่าของหนังสือ, น�ำเรื่อง พระสุริโยทัยมาสอนเรื่องความเสียสละ, น�ำเรื่องสงครามพระเจ้าตะเบ็ง ชะเวตี้มาสอนให้อย่าคิดทรยศต่อชาติ ให้รักษาชื่อเสียง เกียรติยศ และความซื่อสัตย์, สอดแทรกอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ในเรื่อง เจ้าพระยา วิชเยนทร์, สอนเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่าง สงบ สันติสุข และมีเมตตา รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ร่วมกัน หากไทยและพม่าไม่ต้องท�ำสงครามกัน ในเรื่อง ศึก อะแซหวุ่นกี้, ชื่นชมในความกล้าหาญของพระเจ้าตากสินไว้ในเรื่อง ทุบ หม้อ แตก กลับ ได้ เมือง ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องราวใน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” นอกจากจะเป็น บทอ่านสนุก ๆ คอยล่อลวงให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน อยากติดตาม อ่านต่อไป ยังมีการสรุปท้ายด้วยข้อคิดดี ๆ เสมอ ซึ่งมักจะเป็นไปใน แง่ของคุณธรรม จริยธรรม เช่น การน�ำเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ไทยหลาย ๆ เหตุการณ์มาเล่าและสรุปท้ายว่า จากเหตุการณ์นี้ให้ ข้อคิดอะไรกับผู้อ่าน ด้วยกลวิธีน�ำเสนออย่างแยบยล อ่านแล้วไม่รู้สึก ผิดแผกว่าเป็นคนละเรื่องหรือตัดตอนมาอย่างลวก ๆ นอกจากนี้ยังมี รูปภาพประกอบสอดแทรกอยู่ต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ ทั้งภาพที่วาดขึ้นมา ประกอบใหม่ ภาพที่คัดลอกลายเส้นมาจากภาพถ่าย รวมไปถึงแผนที่ แสดงอาณาเขตด้วย ด้วยความเป็นนักศึกษาที่กว้างขวางของ ฟ.ฮีแลร์ ท�ำให้ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” มีเรื่องราวจากทั้งนิทานพื้นบ้านของไทยปะปนไปกับ นิทานของชาวยุโรป รวมทั้งเรื่องราวในพระคัมภีร์ทางคริสต์ศาสนา และสารพัดเรื่องราวจากพงศาวดารไทย ผู้เรียนจึงได้ความรู้รอบตัว อย่างกว้างขวาง เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวของกาพย์พระไชยสุริยา ในแบบเรียนชุดมูลบทบรรพกิจ ความรู้รอบตัวอย่างกว้างขวางนี้เอง ช่วยให้ผู้ที่เรียน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” มีความเข้าใจในความเป็นไป ของโลกมนุษย์ได้ดีกว่าแบบเรียนอื่น นอกจากนี้ ฟ.ฮีแลร์ ยังใส่ความทันสมัยลงไป ทั้งในแง่ของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เรื่องราว ของเรือไททานิก รถยนต์ เครื่องบิน โทรเลข ฯลฯ และความทันสมัย ในแง่สังคม เช่น การเสียภาษี การลงทุน หน้าที่พลเมือง ฯลฯ เรื่องราวต่าง ๆ ที่ ฟ.ฮีแลร์คัดสรรลงไปใน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” เป็นการคัดเลือกอย่างดี มีเรื่องราวที่หลากหลาย ไม่ปิดกั้นตัวผู้เรียน และใช้เรียนได้อย่างสนุก นี่เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายที่ท�ำให้ นักเรียนมีความเข้าใจโลกที่กว้างขวางได้มากกว่า จนน�ำมาซึ่ง โอกาสที่นักเรียนจะสามารถปรับตัวได้ในยุคสมัยที่ก�ำลังเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เฉพาะกับสังคมไทย แต่กับสังคมโลกด้วย หลังจากตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1910 โรงเรียนหลายโรงเรียน ทั่วประเทศไทย รวมทั้งโรงเรียนที่ไม่ได้เป็นโรงเรียนคริสต์ ก็ยังคง ใช้แบบเรียนนี้เรื่อยมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน น่าเสียดายหาก ผู้ที่ได้เคยเอ่ยปากไว้ว่าตัวเขาได้เรียน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” มา เมื่อยามเด็ก แต่กลับไม่สามารถน�ำอะไรจากแบบเรียนเล่มนี้มา ใช้ให้เป็นประโยชน์อีก ส�ำหรับท่านผู้ได้บรรลุอายุแห่งความเป็น ผู้ใหญ่แล้ว ก็ขอให้ท่านได้มีโอกาสย้อนกลับมาอ่าน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ใหม่อีกครั้ง หนังสือแบบเรียนส�ำหรับให้เด็กนักเรียนไทย อ่านออกเขียนได้เล่มนี้ อาจจะมีค่าเป็นหนังสือปรัชญาที่ดีที่สุด เล่มหนึ่งก็เป็นได้ นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความเป็นอัจฉริยะ และอิทธิพลที่ ฟ.ฮีแลร์มีต่อวงการการศึกษาไทยมายาวนานกว่าศตวรรษ
160 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น Frederick Langbridge ฟ.ฮีแลร์. (1929). “ดูถูก” ในหนังสืออัสสัมชัญ อุโฆษสมัย (ค.ศ. 1849 - 1922) เล่มที่ 65 ธันวาคม ศก 1929, หน้า 271-287
UNSEEN ASSUMPTION 161
162 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น (บน) ระเบียงทางเดินรอบตึกสุวรรณสมโภช จากตึกกอลมเบต์ไปยังตึกเก่า จะมีราวระเบียงที่ผิวด้านบนเป็นหินล้าง เวลาเดินไปแล้วหากเอามือลูบ ก็จะเป็น ความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย (ล่าง) ลานกรวด เวลาเข้าแถวก่อน เข้าเรียน ถ่ายจากระเบียงหอประชุม สุวรรณสมโภช ฝั่งตรงข้ามคือโรงอาหาร ด้านซ้ายของรูปคือสะพานเชื่อมจาก ตึกเก่าไปยังตึกกอลมเบต์ มุมด้าน ประตูใหญ่ของโรงเรียน ต่อมาถูก ตัดขาดเมื่อสร้างโรงโภชนาคาร ตึกเก่า และลานกรวด จากสนามเล็กถึงลานกรวด QR CODE #22
UNSEEN ASSUMPTION 163
164 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น โต๊ะเรียนไม้สักทำ จากไม้กระดานแผ่นเดียวขนาดใหญ่ หน้าโต๊ะมีขนาดใหญ่ จะเอียงทำ มุมรับกับสายตานักเรียน สามารถฟุบหลับได้อย่างสบายอารมณ์ ด้านบนสุดขอบโต๊ะ ฝั่งไกลตัวจะเป็นรางสำ หรับวางเครื่องเขียนไม่ให้กลิ้งไปมา หลายโรงเรียนทำ โต๊ะตามแบบโต๊ะเรียนอัสสัมชัญนี้ โต๊ะเรียน ไม ้สัก การประดับตกแต่งห้องเรียนในตึกกอลมเบต์ เนื่องในโอกาส “อัสสัมชัญ วชิรสมโภช” ครบรอบ 75 ปี โรงเรียนอัสสัมชัญ ตรงกลางจะมีลำ โพงตราโล่ AC ที่ผู้บริหารสามารถสื่อสาร ได้ทั้งสองทาง สำ หรับการตรวจฟังการเรียนการสอนภายใน ห้องเรียน ซึ่งถือว่าทันสมัยมาก ณ ค.ศ. 1959
UNSEEN ASSUMPTION 165 นักเรียนเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา ที่อยู่เหนือหอนาฬิกาตึกกอลมเบต์ ในเวลา 08.20 น.
166 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 167 ระเบียงทางเดินชั้นล่างของตึกเก่า ก่อนและหลังก่อสร้างที่นั่งริมระเบียง จะมีภาพถ่ายหมู่นักเรียนและนักเรียนเก่าที่มีชื่อเสียง แขวนอยู่ตามแนวกำแพง
168 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น มาสเตอร์บรรณา ชโนดม กับนักเรียนบนลานกรวด ในระหว่างรื้อตึกเก่าราว ค.ศ. 1970
UNSEEN ASSUMPTION 169 ตึกนี้ไม่มีการใช้เหล็กเป็นโครงสร้างเลยสักชิ้น แต่ใช้การวางอิฐ ให้รับน้ำ หนักอาคารผ่านผนังกำแพง การรื้อจึงใช้เชือกดึงผนังกำแพง ให้ล้มลงมาอย่างง่ายดาย บทสัมภาษณ์ บ.หลุยส์ ทุบตึกเก่า สร้างตึก ฟ.ฮีแลร์ QR CODE #23
170 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 171 ชุมชนรอบโรงเรียน (ซ้าย) เมื่อมองเลยตึกเก่าขึ้นไปทางด้านบนของภาพก็จะพบอาคารรูปร่าง หน้าตาคล้าย ๆ กัน เหมือนเป็นอาคารแฝด อาคารที่กล่าวถึงนี้คือ ห้างสิงห์โต หรือในปัจจุบันคือ O.P. Place ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกท่านเดียวกัน (ขวา) ชุมชนในย่านบางรักรอบๆ โรงเรียน ช่วงราวทศวรรษ 1960 - 70
172 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น (ซ้าย) โรงแรมโอเรียนเต็ล (ขวา) บริษัท อีสต์ เอเชียติก
UNSEEN ASSUMPTION 173
174 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ประตูใหญ่โรงเรียนอัสสัมชัญเป็นสัญลักษณ์สำคัญในอดีต ตั้งอยู่ด้านหลัง โบสถ์อัสสัมชัญ เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก ในยุคแรกเป็น ประตูไม้มีลวดลายฉลุงดงาม มีประตูเล็กซ้อนอยู่ในประตูใหญ่ ยุคที่สอง เป็นประตูไม้บานใหญ่ทึบลายก้างปลา ด้านบนมีชื่อโรงเรียนเป็นภาษา ฝรั่งเศส Collège de l’Assomption ยุคที่สามเป็นตะแกรงเหล็ก ที่สร้างพร้อมตึก ฟ.ฮีแลร์ ปัจจุบันประตูใหญ่ได้ย้ายทางเข้าออกไปด้าน ถนนเจริญกรุงแทน ตำนานประตูใหญ่ ประตูใหญ่ยุคแรกสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก ประตูใหญ่ยุคแรก ประมาณ ค.ศ. 1890 ประตูใหญ่ยุคที่สอง ประมาณ ค.ศ. 1960
UNSEEN ASSUMPTION 175 ประตูบริเวณด้านตึกกอลมเบต์ สังเกตป้ายชื่อเป็นภาษาอังกฤษ
176 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น กายบริหารบนลานดินระหว่างเรือนไม้ชั่วคราว 3 ชั้นกับตึกเก่า ประมาณ ค.ศ. 1930 ชีวิตนอกห้องเรียน
UNSEEN ASSUMPTION 177 กายบริหารตอนเช้าหน้าโรงโภชนาคารก่อนเข้าเรียน ประมาณ ค.ศ. 1970
178 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น การก่อสร้างตึก ฟ.ฮีแลร์ หรืออนุสรณ์สถาน ฟ.ฮีแลร์ ระหว่างฝนตก ราว ค.ศ. 1970 - 1971 ด้านขวาจะเห็นรถซีตรองประจำตัวมาสเตอร์บรรณา ชโนดม (ครูใหญ่) ซึ่งนักเรียน มักจะแอบมาขย่มเล่นกันอย่างสนุกสนาน
UNSEEN ASSUMPTION 179 เมื่อเข้าประตูใหญ่ ด้านซ้ายคือตึกเก่า ส่วนด้านหน้ามีม้านั่ง สีเขียว (ม้าเขียว) ที่ใช้เป็นจุดนัดพบ ระหว่างรั้วไม้กับตัว อาคารจะมีสวนเล็กๆ เช่น ต้นเข็ม ซึ่งบรรดาทโมนทั้งหลาย จะเด็ดดอกเข็มมาดูดน้ำ หวานกัน กลุ่มเด็กสมบูรณ์
180 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น นักเรียนปีนกันไปนั่งถ่ายรูปบนโครงเหล็กหลังแป้น บาสเกตบอล ในวันสุดท้ายของการเรียนของ AC97 ราว ค.ศ.1980 ด้านหลังเป็นหอนาฬิกาตึกกอลมเบต์ ซึ่งเคยเป็นตำแหน่งที่ใช้อัญเชิญธงชาติ (บนขวา) ประติมากรรมนักบุญ หลุยส์ เคยตั้งอยู่เชิงบันไดทางขึ้น ชั้น 2 หอประชุมสุวรรณสมโภช ปัจจุบันตั้งอยู่หน้าห้อง Grand Hall ชั้น 6 อาคารนักบุญหลุยส์ - มารีย์ (ล่างขวา) หลากเชื้อชาติและศาสนา การละเล่นบนสนามเล็กหน้าตึกเก่า
UNSEEN ASSUMPTION 181 นักเรียนที่สอบได้ที่ 1 ของแต่ละห้อง จะได้ติดเหรียญทองเป็นเวลา 2 - 3 วัน ราว ค.ศ. 1960 ถังขยะยุคแรกบนลานกรวด
182 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น ประตูใหญ่ยุคที่ 3 พร้อมตึก ฟ.ฮีแลร์ ห้องสุขาหลักของโรงเรียน สถานที่สร้างวีรกรรมของหลายรุ่น ความมันส์บนลานกรวด
UNSEEN ASSUMPTION 183 ศาสนาซิกข์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ
184 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น (ล่างซ้าย) โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถมในยุคแรก ๆ ด้านหลังคือโรงอาหาร ปัจจุบัน คือตึกหิรัญสมโภช (ล่างขวา) เครื่องเล่นไม้ย้ายจากสนามเล็กด้านหลังตึกเก่าของโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก มาไว้ที่แผนกประถม
UNSEEN ASSUMPTION 185 ร้านสุวรรณเครื่องเทศในอดีต
186 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น (บน) งานแห่ฉลองแม่พระอัสสัมชัญ รับเกียรติขึ้นสวรรค์ องค์อุปถัมภ์ของโรงเรียน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปีของ ชาวอัสสัมชัญในทุก ๆ วันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันหยุด ประจำ ปีของโรงเรียนตั้งแต่อดีตถึงปัจจบุัน ด้านซ้ายคือ อาคาร ฟ.ฮีแลร์ และอาคารที่ทำ มุมตรงหน้าคือ หอประชุม สุวรรณสมโภช ประมาณ ค.ศ. 1970 (ล่าง) งานฉลองการขึ้นครองราชสมบัติของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ค.ศ. 1950
UNSEEN ASSUMPTION 187 มาสเตอร์ประถม โลจนานนท์ ผู้ดูแล ชมรมภาษาและวัฒนธรรมไทย ขณะพา นักเรียนชั้น ม.ศ.1 (รุ่น AC89) ไป ทัศนศึกษาที่เมืองโบราณ จังหวัด สมุทรปราการ เมื่อ ค.ศ. 1969 มาสเตอร์รังสรรค์ เรือนงาม พานักเรียน AC92 ไปทัศนศึกษา ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประมาณ ค.ศ. 1970
188 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น นักเรียน AC 89 ใต้ตึก ฟ.ฮีแลร์ ก่อนสร้างอนุสาวรีย์ ฟ.ฮีแลร์ ที่นั่งล้อมรอบต้นประดู่ในบริเวณลานกรวด มักจะใช้นั่งอ่านหนังสือกัน
UNSEEN ASSUMPTION 189 นักเรียน AC 93 ในวันสุดท้ายของการเรียน งาน AC Fair ช่วงวันคริสต์มาส รูปแบบการจัดงานคล้ายงานวัด มีการออกร้าน ขายของ สวนสนุกขนาดย่อม ชิงช้าสวรรค์ จัดนิทรรศการ ซุ้มเกมต่างๆ แต่เดิม นำ รายได้ไปช่วยเหลือโรงเรียนคาทอลิกที่ยากจนในต่างจังหวัด
190 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น
UNSEEN ASSUMPTION 191
192 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น (บนซ้าย) ภราดาสุรกิจ ศรีสราญกุลวงศ์ ภราดาวิริยะ ฉันทวโรดม (อธิการ) มาสเตอร์วีระชัย ฉันทดิสร (รองครูใหญ่) ประมาณ ค.ศ. 1970 ภราดาวิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย สนทนากับนักเรียน ภาพถ่ายครูอาวุโส 5 ท่าน ที่สอนมาครบ 50 ปี ทางโรงเรียนจัดงานสุวรรณสมโภช ให้ใน ค.ศ. 1967 ประกอบด้วย แถวบนจากซ้าย: มาสเตอร์ชิต นันทิทรรภ มาสเตอร์อำ พล วานิชชา แถวล่างจากซ้าย: มาสเตอร์เจริญ บุญมโหตม์ มาสเตอร์บรรณา ชโนดม มาสเตอร์บัณฑูร จูพงศ์เสรฐ อัคราธิการ ภราดายัง พลูโต จากศูนย์กลางที่กรุงโรม มาเยี่ยมชมกิจการของโรงเรียน ศิษย์มีครู
UNSEEN ASSUMPTION 193 หมอกวาง บุรุษพยาบาล ซับทั้งเลือดและน้ำตา ให้นักเรียนมาหลายสิบรุ่น มาสเตอร์บรรณา ชโนดม (ครูใหญ่) ขณะสวดมนต์ ตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ราว ค.ศ.1970 พบกันทุกเช้าหลังเคารพธงชาติกับมาสเตอร์โกสินทร์ แนวไทย หรือมาสเตอร์ยาก๊อบ ผู้กวดขันวินัยให้กับนักเรียนที่มาสาย
194 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น (บนซ้าย) พิธีประดับเข็มโรงเรียนให้กับ นักเรียนช่วงชั้นสูงสุดของโรงเรียน หลังแจกประกาศนียบัตรให้กับนักเรียน ที่สำ เร็จการศึกษา (บนขวา) งานแจกประกาศนียบัตรในอดีต (ล่าง) การอ่าน Compliment เป็นภาษา อังกฤษหรือฝรั่งเศสในวาระโอกาสต่างๆ เช่น งานฉลองอธิการ (ภราดาโดนาเชียง)
UNSEEN ASSUMPTION 195 (บน) มาสเตอร์ประถม โลจนานนท์ กับบรรดาครูในงานกีฬาสี (ล่าง) มาสเตอร์สว่าง โสวรรณาการ กับกิจกรรมของครู มาสเตอร์ยาก๊อบ ขณะเดินเคียงข้าง ฟ.ฮีแลร์ ราว ค.ศ. 1950
196 บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น เ เ ผ่ น ดิ น คณะลูกเสือสำ รอง โรงเรียนอัสสัมชัญ มาสเตอร์สุวรรณ ทรัพย์เจริญ เป็นผู้กำ กับดูแลกิจการลูกเสือ ลูกเสือแต่ละกองถือกำ เนิดขึ้นตามปีในวงเล็บดังนี้ 1. ลูกเสือสำ รอง (ค.ศ. 1968) 2. ลูกเสือสามัญ (ค.ศ. 1974) 3. ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ (ค.ศ. 1975) และ 4. ลูกเสือวิสามัญ (ค.ศ. 1975) นักศึกษาวิชาทหารในยุคต่างๆ