The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การประกันคุณภาพการศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aoraboonchuay, 2021-11-23 17:40:16

การประกันคุณภาพการศึกษา

การประกันคุณภาพการศึกษา

การประกันคณุ ภาพการศกึ ษา

Quality Management in Education

พระครปู ลัดบุญช่วย โชตวิ โํ ส (อุ้ยวงค์), ดร.

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
วิทยาเขตขอนแกน่



การประกนั คุณภาพการศึกษา

Quality Management in Education

ขอ้ มลู ทางบรรณานุกรมของสํานกั หอสมุดแห่งชาติ

ISBN: 978-616-300-735-3

ผู้เรยี บเรียง : พระครปู ลดั บญุ ชว่ ย โชติวโํ ส (อุ้ยวงค)์ , ดร.

ผู้ทรงคณุ วฒุ ติ รวจสอบ : พระโสภณพัฒนบณั ฑิต, รศ.ดร.

: รศ.ดร.สําเรจ็ ยรุ ชยั

: ผศ.ดร.นาคพล เกนิ ชัย

ทปี่ รึกษา : พระโสภณพัฒนบณั ฑติ , รศ.ดร.

: ผศ.ดร.วิทยา ทองดี

: ผศ.ดร.นเิ ทศ สน่ันนารี

: รศ.ดร.ประจิตร มหาหิง

: ศ.ดร.กนกอร สมปราชญ์

รูปเลม่ /พิสจู นอ์ กั ษร : นางนภัสนนั ท์ วงศค์ าํ จนั ทร์

พมิ พ์คร้งั ท่ี ๑ : ๒๕๖๔

ราคา : ๓๕๐ บาท

จาํ นวน : ๓๐๐ เลม่

จัดพิมพ์โดย : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั

วิทยาเขตขอนแกน่ ๓๐ หมู่ที่ ๑ ถนนขอนแก่น-นํ้าพอง

ตาํ บลโคกสี อําเภอเมอื ง จงั หวัดขอนแกน่ ๔๐๐๐

โทร. ๐๔๓-๒๘๓๕๔๖-๗

พิมพ์ท่ี : เอมี่ กอ๊ ปปี้ เซน็ เตอร์

๘๘/๒๗ ถนนเหลา่ นาดี ตําบลในเมือง อาํ เภอเมือง

จังหวดั ขอนแก่น ๔๐๐๐๐

โทร. ๐๔๓-๓๐๖๘๔๕ มือถือ ๐๘๕-๐๑๐๑๓๙๕

Email : [email protected]

ลขิ สิทธ์ิตาํ ราเรยี นเล่มนี้เป็นของผู้เขียน ห้ามลอกเลยี นแบบใดๆ ทั้งสนิ้

นอกจากมหี นังสือขออนุญาตเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรเทา่ น้นั



สารบญั

เรอื่ ง หน้า

สารบญั ข

บทท่ี ๑ ความหมายของการประกนั คุณภาพการศกึ ษา ๑
๑.๑ ความนาํ ๑
๑.๒ ความหมายของการประกันคณุ ภาพการศกึ ษา ๑
๑.๓ ความเป็นมาของการประกันคุณภาพการศกึ ษา ๓
๑.๔ ความสาํ คญั ของการประกนั คุณภาพการศึกษา ๗
๑.๕ หลักการประกันคุณภาพการศกึ ษา ๗
๑.๖ ประโยชนข์ องการประกนั คุณภาพการศึกษา ๙
๑.๗ สรปุ ท้ายบท ๑๐

บทที่ ๒ แนวคดิ ทฤษฎี หลักการ รูปแบบการคุณภาพในสถานศกึ ษา ๑๑

๒.๑ ความนํา ๑๑

๒.๒ ระบบคุณภาพและการบรหิ ารคุณภาพ ๑๑

๒.๓ องค์ประกอบของระบบคุณภาพ ๑๒

๒.๔ การบรหิ ารคุณภาพ ๑๒

๒.๓ แนวคิด ทฤษฏี หลักการบริหารคุณภาพภายในสถานศกึ ษา ๑๓

๒.๓.๑ แนวคดิ Balanced Scorecard Balanced Scorecard ๑๔

๒.๓.๑ ระบบ ISO ๑๔

๒.๓.๓ ระบบ Total Quality Management (TQM) ๑๙

๒.๓.๔ ระบบ The Malcom Baldrige National Quality Award (MBNQA) ๒๐

๒.๓.๕ ระบบ CIPOI ๒๓

๒.๓.๖ ระบบ Six sigma (๖) ๒๔

๒.๓.๗ ๕ ส ๒๖

๒.๓.๘ Utumporn’s QA Model ๒๙

๒.๓..๙ SBM (School Based Management) ๓๕

๒.๓.๑๐ การรีเอนจีเนยี ริ่ง (Reengineering) ๓๗

๒.๓.๑๑ รูปแบบการพฒั นาขา้ ราชการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร (๔Ps Development

Model) องค์ประกอบของรูปแบบ ประกอบดว้ ย ๓๘



๒.๕ สรปุ ทา้ ยบท ๓๘

บทที่ ๓ กฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บังคบั เกย่ี วกับ การประกนั คณุ ภาพการศึกษา ๓๙
๓.๑ ความนํา ๓๙
๓.๒ สาระสาํ คัญของรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐
ที่เกี่ยวขอ้ งกับการศึกษา ๓๙
๓.๓ สาระสาํ คญั ของแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี ๑๒ ทางดา้ นการพฒั นาคุณภาพการศึกษา ๔๐
๓.๔ พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบับ ท่ี ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕ และ(ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ๔๕
๓.๖ กฏกระทรวงวา่ ดว้ ยระบบ หลกั เกณฑ์และวธิ ีการประกันคุณภาพ การศึกษา
พ.ศ. ๒๕๕๓ ๔๘
๓.๗ ประกาศสาํ นักงานคณะกรรมการข้าราชการครแู ละบุคลากร ทางการศกึ ษา
(ก.ค.ศ.) เร่ือง หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารพัฒนาข้าราชการ ครแู ละบคุ ลากร ๔๙
สายการสอน พ.ศ. ๒๕๖๐ ๕๖
๓.๘ สรุปท้ายบท

บทที่ ๔ สภาพปัจจบุ นั ปญั หาและแนวทางการพฒั นาระบบประกนั คุณภาพการศึกษา

ภายใสถานศกึ ษา ๕๗
๔.๑ ความนํา ๕๗
๔.๒ สภาพปัจจบุ นั ปัญหา และแนวโนม้ บรบิ ทการเปล่ยี นแปลงสังคม
๕๘
โลกและสงั คมไทยภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ัฒน์ ๖๖
๔.๕ สรปุ ทา้ ยบท

บทท่ี ๕ การประกนั คณุ ภาพการศึกษาภายใน ๖๘
๕.๑ ความนาํ ๖๘
๕.๒ ความหมายของมาตรฐาน ตวั บ่งช้ี และเกณฑ์ ๖๘
๑.๕ สรปุ ทา้ ยบท ๑๐๐

บทที่ ๖ การประเมนิ คณุ ภาพการศึกษาภายนอก ๑๐๑
๖.๑ ความนาํ ๑๐๑
๖.๒ วัตถุประสงค์ของการประกันคณุ ภาพภายนอก ๑๐๑
๑.๓ วตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ ได้ ๑๐๒
๖.๔ ความสาํ คญั ของการประเมนิ คุณภาพภายนอก ๑๐๒
๖.๕ แนวคดิ และทศิ ทางการประเมินรอบ ๓ และรอบ ๔ ๑๐๓

๑.๖ ความแตกต่างระหวา่ งการประเมินคณุ ภาพภายนอก ง
๑.๘ สรปุ
๑๐๔
บทที่ ๗ แนวโน้มเกี่ยวกับการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาไทย ๑๑๔
๗.๑ ความนํา
๗.๒ แนวโน้มบรบิ ทการเปลีย่ นแปลงสงั คมไทยภายใต้กระแสโลกาภวิ ัตน์ ๑๑๕
๗.๓ แนวโนม้ เกี่ยวกับการประกนั คุณภาพการศกึ ษาไทย ๑๑๕
๗.๔ การสร้างวฒั นธรรมคณุ ภาพ ๑๑๕
๗.๕ แนวทางในการสร้างวัฒนธรรมคณุ ภาพ ๑๑๗
๗.๕ สรุปทา้ ยบท ๑๒๑
๑๒๓
บทท่ี ๘ การวเิ คราะห์ความสอดคล้องของมาตรฐานการศึกษาการประกันคุณภาพ ๑๒๖

ภายในกบั ภายนอก ๑๒๗
๘.๑ ความนาํ ๑๒๗
๘.๒ ความสมั พันธร์ ะหว่างการประกนั คุณภาพภายในและการประเมนิ ภายนอก ๑๒๗

บทที่ ๙ การพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศกึ ษาของตา่ งประเทศ ๑๕๔
๙.๑. ความนาํ ๑๕๔
๙.๒ ระบบประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาของต่างประเทศ ๑๕๔
๙.๓ ระบบการประกันคุณภาพการอดุ มศึกษาของประเทศองั กฤษ ๑๕๕
๙.๔ ระบบการประกันคุณภาพการอดุ มศกึ ษาของประเทศออสเตรเลยี ๑๕๗
๙.๕ ระบบการประกนั คุณภาพการอุดมศึกษาของประเทศญยีป่ ุน ๑๕๗
๙.๖ การพฒั นามาตรฐานการศึกษาของตา่ งประเทศ ๑๕๘
๙.๕ สรปุ ท้ายบท ๒๒๕

บทท่ี ๑๐ หลักธรรมมาภิบาลกบั การประกันคุณภาพการศึกษา ๒๔๑
๑๐.๑ ความนาํ ๒๔๑
๑๐.๒ หลักพทุ ธธรรมาภบิ าลสาํ หรบั ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๒๔๑
๑๐.๓ แนวคดิ เก่ยี วกับหลักธรรมาภบิ าล ๒๔๒
๑๐.๔ องคป์ ระกอบของหลักธรรมาภบิ าล ๒๔๖
๑๐.๕ ธรรมาภบิ าลในพระไตรปิฎก ๒๔๘
๑๐.๔ การบรู ณาการหลกั ธรรมาภบิ าลไปใช้ในการบรหิ ารสถานศกึ ษา ๒๕๑
๑๐.๕ สรุปทา้ ยบท ๒๕๓

บทท่ี ๑๑ หลักการพัฒนาคณุ ภาพตามกระบวนการเชงิ ระบบ (CIPP MODEL) จ
๑๑.๑. ความนาํ
๑๑.๒ ความหมายของการประเมินผลโครงการ ๒๕๔
๑๑.๓ รปู แบบการประเมนิ ผลแบบ CIPP ๒๕๔
๑๑.๔ ประเดน็ การประเมนิ ตามรปู แบบ CIPP Model ๒๕๔
๑๑.๕ หลกั การสรา้ งตวั ชวี้ ัดที่ดี ๒๕๕
๒๕๖
บรรณานกุ รม ๒๕๘

ประวตั ผิ ู้เขียน ๒๖๑

๒๖๗



บทท่ี ๑

ความหมายของการประกันคุณภาพการศึกษา

๑.๑ ความนํา

การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาเป็นการสร้างความเชื่อม่ันให้แก่เจ้าของเงิน หรือผู้รับ บริหาร
ว่า ทุกคนในหน่วยงานทางานดีมีประสิทธิภาพ เพื่อผลผลิตของหน่วยงานที่ได้มีคุณภาพ มากข้ึนซึ่ง
หมายถึง คุณภาพของนักเรียน คุณภาพบัณฑิต คุณภาพงานวิจัย งานบริหารงาน วิชาการสู่สังคม
ตลอดจนงานทํานบุ ํารงุ ศลิ ปวฒั นธรรม โดยคุณภาพเกิดจากการที่หน่วยงาน ต้องระบุเปูาหมายคุณภาพ
ของผลผลิตภายใต้กระบวนการควบคุม กระบวนการติดตาม ตรวจสอบและกระบวนการประเมินผลที่
ชดั เจน เพือ่ ให้ประเทศไทยมีคนท่ีมีความรู้ ความสามารถ เป็นคนดีและคนเก่ง มีศักยภาพในการพัฒนา
และแขง่ ขนั กบั นานาอารยประเทศ

๑.๒ ความหมายของการประกนั คุณภาพการศึกษา

การประกันคุณภาพการศึกษา ได้มีองค์กรภาครัฐและนักวิชาการให้ความหมายไว้ หลาย
ทา่ นดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปนี้

พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของการประกัน คุณภาพ
การศึกษา หมายถงึ การประเมนิ ผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐาน การศึกษาของ
สถานศึกษา ประกอบดว้ ย การประกันคณุ ภาพภายในและการประกันคณุ ภาพ ภายนอก

สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (๒๕๕๓:
๑๘) ได้ให้ความหมายของการประกันคุณภาพการศึกษา (Educational Quality Assurance)
หมายถึง การสร้างมาตรฐานคุณภาพของการบริหารจัดการและดําเนินกิจกรรมตามภารกิจ ของ
สถานศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง สร้างความม่ันใจให้ผู้รับบริการ ทาง
การศึกษาท้ังผู้รับบริการโดยตรง ได้แก่ ผู้เรียน ผู้ปกครอง และผู้รับบริการทางอ้อม ได้แก่ สถาน
ประกอบการ ประชาชน และสงั คมโดยรวมอันประกอบดว้ ย



๑.๑) การประกันคุณภาพภายใน (Internal Quality Assurance) ห มายถึง การ
ประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจาก ภายใน
โดยบคุ ลากรของสถานศกึ ษานัน้

๑.๒) การประกันคุณภาพภายนอก (External Quality Assurance) หมายถึง การ
ประเมินผล และติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายนอก
โดยสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) บุคคล หรือ
หน่วยงานภายนอกที่สํานักงานดังกล่าวรับรอง เพ่ือเป็นการประกันคุณภาพและให้ มีการพัฒนา
คุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา

๑.๓) การประเมินคุณภาพภายใน (Internal Quality Assessment) หมายถึง การ
ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษา การติดตามและการตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐาน การศึกษา
ของสถานศกึ ษาทกี่ ระทรวงศึกษาธิการประกาศกําหนดสาํ หรับการประกันคุณภาพ ภายใน ซึ่งกระทํา
โดยบคุ ลากรของสถานศกึ ษานั้น หรอื โดยหนว่ ยงานตน้ สังกัดท่ีมหี นา้ ทกี่ ํากบั ดแู ลสถานศกึ ษา

๑.๔) การประเมินคุณภาพภายนอก (External Quality Assessment) หมายถึง การ
ประเมินคุณภาพ การจัดการศึกษา การติดตามและการตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐาน การศึกษา
ของสถานศกึ ษา ซ่ึงกระทําโดยสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศึกษา (องค์การ
มหาชน) หรือ ผปู้ ระเมินภายนอก

Oxford Advanced Learner’s Dictionary (๒๐๐๕, p. ๑๒๓๓) ได้ให้ความหมาย
ของคาํ ว่า “Quality Assurance” หมายถึง กระบวนการการจัดการซึ่งแสดงให้เห็นว่าการผลิตสินค้า
หรอื การบริการทีส่ รา้ งความมน่ั ใจว่ามีการรักษามาตรฐานในระดับสูง (The practice of managing
the way goods are produced of services are provided to make sure they are kept at a
high standard)

Macmilian English Dictionay (๒๐๐๗, p. ๑๒๓๓) ได้ให้ความหมายของคําว่า
“Quality Assurance” หมายถึง วิธีการซ่ึงบริษัทใช้ในการตรวจสอบว่ามาตรฐานการบริการหรือ
มาตรฐานสินค้ามีคุณภาพที่ดีพอ (The methods that a company uses to check that the
standard of its services or goods is high enough)

รงุ่ แก้วแดง (๒๕๔๕: ๙) ได้ให้ความหมายไว้ว่า คือ การสร้างความเชื่อมั่นต่อ ผู้ปกครอง
ชุมชน สงั คม วา่ การดําเนินงานของสถานศกึ ษาไดเ้ ป็นไปตามพนั ธกิจทไี่ ด้รว่ มกนั กําหนดไว้

สุภทั รา เอ้อวงค์ (๒๕๖๐: ๗) ไดใ้ ห้ความหมายไว้ว่า การวางแผนและการปฏบิ ัตขิ องหน่วย
ผลิตที่มุ่งจะผลิตส่ิงท่ีมีคุณภาพตรงกับความต้องการของผู้ใช้ผลผลิต ซึ่งการดําเนินการประกัน



คณุ ภาพเป็นกระบวนการทตี่ อ่ เน่ือง เนน้ การปอู งกนั และการตรวจสอบ หลักการสําคัญในการ นําไปสู่
การประกันคุณภาพเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงคุณภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะการเน้นการ ปรับปรุง
กระบวนการ เพ่อื จะนาํ ไปสคู่ วามพงึ พอใจของผูร้ ับบรกิ าร

จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า การประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง กระบวนการ
ในการควบคุม ติดตามตรวจสอบและประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาว่าเป็นไป ตามมาตรฐานท่ี
กําหนดไว้เพียงใด โดยสถานศึกษาเองและจากองค์กรภายนอก โดยมี เปูาประสงค์หลักเพื่อสร้าง
ผสู้ าํ เร็จการศึกษาใหม้ ีความร้คู วามสามารถและมีคณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงค์ตามทีห่ ลกั สูตรกําหนดและ
ตามความมุ่งหวังของสังคม ตลอดจนสรา้ งความเช่อื มนั่ ตอ่ ผ้ปู กครอง ชุมชน สังคม ว่าการดําเนินงาน
ของสถานศึกษาไดเ้ ป็นไปตามพนั ธกจิ ท่ีได้ร่วมกนั กําหนดไวม้ ากน้อยเพยี งใด

๑.๓ ความเปน็ มาของการประกนั คณุ ภาพการศึกษา

รุง่ แกว้ แดง (๒๕๔๕: ๒๘) ได้นําเสนอความเป็นมาของการประกันคุณภาพ การศึกษาว่า
เร่ิมต้นจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมความคิดเร่ืองการประกันคุณภาพและ การกําหนดมาตรฐาน
สินค้าและบริการนนั้ ไดเ้ ริ่มตน้ ในวงการอตุ สาหกรรมเม่ือประมาณเกือบ ร้อยปที ่ผี า่ นมา เนื่องจากเมื่อ
มกี ารผลิต สนิ คา้ จํานวนมาก ปญั หากค็ ือทําอย่างไรจงึ จะใหส้ ินค้า แตล่ ะหน่วยหรือแต่ละชิ้นมีคุณภาพ
ท่ีใกลเ้ คยี งกนั เพื่อใหเ้ กิดความเชื่อมัน่ ในทางธรุ กิจว่าสินค้า ทุกชิ้น ที่คนซื้อ ไปน้ันมีคุณภาพเท่าเทียม
กัน และได้คุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานท่ีกําหนด หรือ ตามที่ได้โฆษณาเอาไว้ การประกันคุณภาพ
เร่ิมต้นในประเทศสหรัฐอเมริกาในยุคก่อน สงครามโลกคร้ังท่ีสอง โดยในตอนแรกนั้นเน้นเฉพาะการ
ประกนั ผลผลติ ทางอุตสาหกรรม (Industrial Products) และเน้นการควบคุมทางสถิติ เช่น เลือกสุ่ม
ตรวจสินค้าชิน้ ที่ ๕๐๐ หรือช้นิ ที่ ๑,๐๐๐ เป็นต้น การควบคุมคณุ ภาพสินคา้ ทําให้ระบบอุตสาหกรรม
ของสหรฐั อเมรกิ าไดร้ ับ ความเช่ือถอื ว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสามารถส่งออกขายได้ท่ัวโลก เม่ือญี่ปุน
แพส้ งครามโลก ครัง้ ทสี่ องใหม่ๆ สินคา้ อตุ สาหกรรมของญ่ปี ุนมคี ณุ ภาพตา่ งมาก ส่งไปขายให้ใครก็เป็น
ที่ดูถูกดู แคลนดังท่คี นไทยในยคุ นน้ั กท็ ราบดี สหรฐั อเมริกาจงึ ได้ให้ความชว่ ยเหลือแก่ญปี่ ุนใน

การพัฒนาคณุ ภาพสินค้าอตุ สาหกรรม โดยส่งศาสตราจารย์ ดร.เดม่ิง (Edwards Deming)
มาเป็น ทีป่ รกึ ษาและให้คาแนะนาํ เรือ่ งการประกันคุณภาพสินค้าของญ่ีปุน ซึ่งท่านได้นําเรื่อง “วงจร
คุณ ภาพ” (Quality Control Circles - QCC) ซง่ึ เน้นกระบวนการวางแผน กระบวนการ ดําเนินงาน
กระบวนการประเมิน และกระบวนการปรับแผน (PDCA) เข้าไปแนะนําและวาง ระบบให้กับ
อตุ สาหกรรมของญ่ีปุนจนประสบความสําเร็จอย่างงดงาม สามารถพัฒนาจากการประกันคุณภาพท่ี
เน้นเฉพาะสินค้าไปสู่การประกันคุณภาพทั้งระบบ ตั้งแต่เรื่มกระบวนการผลิต จนเป็นสินค้า ซึ่ง
เรียกวา่ “กระบวนการบรหิ ารคุณภาพท้ังระบบ” (Total Quality Management – TQM) โดยญ่ีปุน
ได้ประยุกต์รวมเอาวัฒนธรรมการประกันคุณภาพทุกจุดอย่างต่อเนื่องแบบ “ไคเซ็น” (KAIZEN) ซ่ึง



เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุนเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนทําให้ อุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุน
ประสบความสาํ เรจ็ อยา่ งสูง ภายใต้เครอื่ งหมายการดําเนนิ งาน ผลิตท่ีมีคุณภาพ สามารถขายสินค้าได้
มากกว่ายโุ รปและสหรฐั อเมริกา ต่อมากลุ่มประเทศใน ยุโรปก็ได้เร่ิมนาระบบการประกันคุณภาพมา
ใช้เรียกว่า International Standard Organization (ISO) ซึ่งแตกต่างกับของญี่ปุนตรงท่ีญี่ปุนเน้น
เร่ืองการประเมินภายในแต่กระบวนการของ ISO นั้นเน้นเร่ืองการประเมินภายนอก จากน้ันหลาย
ประเทศได้จดั ให้มรี ะบบการประกันคณุ ภาพ การศกึ ษา เพ่อื ให้ม่นั ใจว่าสถานศึกษาแต่ละระดับของเขา
สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมี คุณภาพและมาตรฐาน เพราะท่ัวโลกมีความเช่ืออย่างเดียวกันว่า
การศึกษา คือ “การลงทุน สําหรับอนาคตของประเทศ” โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจใหม่ (New
Economy–NE) และอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้ (Knowledge Based Economy – KBE) สํานักงาน
คณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ได้ทําการศึกษาประเทศท่ีมีรูปแบบการดําเนินงานประกัน
คุณภาพ การศึกษาท่ีน่าสนใจ สําหรับนํามาประกอบการพิจารณาในเร่ืองการประกั นคุณภาพ
การศึกษา ของประเทศไทย มี ๒ ประเทศ คือ ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศอังกฤษในปี พ.ศ.
๒๕๓๙ ตามมาตรา ๕ ของ พ.ร.บ. คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ กําหนดให้
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (กกศ.) มีหน้าท่ีในการกําหนดนโยบาย แผนการศึกษา และ
แผนพัฒนาการศกึ ษา ตลอดจนให้อํานาจหน้าที่ในเร่ืองของการประสานและการติดตาม ประเมินผล
โดยสํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ (สกศ.) ใช้วิธีขอให้ส่วนราชการ ต่าง ๆ รายงานถึง
แผนงานและโครงการดาํ เนนิ งาน โดยไมไ่ ด้ลงลึกไปถงึ การดําเนนิ งาน สถานศกึ ษา สรุป ได้ว่า ประเทศ
ไทยไมไ่ ด้ดาํ เนนิ การในเรอ่ื งคุณภาพการศกึ ษาอย่างจริงจัง ทั้งใน ดา้ นการวางแผน การปฏบิ ัตติ ามแผน
การประเมินผล ย่ิงกว่าน้ันการศึกษาเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กไทยได้ช้ีให้เห็นว่า
การศึกษาของไทยกาลังประสบภาวะวิกฤต ด้านคุณภาพอย่างหนัก สํานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแหง่ ชาตจิ งึ ไดเ้ ริม่ ตงั้ คณะทาํ งาน ภายในขึน้ มาชุดหนึ่งเพ่ือพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพ
และการกําหนดมาตรฐานการศึกษา ของชาติ ตามที่กฎหมายกาํ หนดไว้ให้เปน็ อํานาจหน้าท่ีของ สกศ.
และได้ทําการศกึ ษาในเรอ่ื งน้ี อย่างจริงจัง โดยไดศ้ กึ ษาวเิ คราะหส์ ถานภาพการศึกษาไทยเปรียบเทียบ
กับต่างประเทศ และได้ ออกรายงานทส่ี ําคญั มากซึง่ เป็นจุดเร่มิ ต้นของระบบการประเมินคุณภาพและ
มาตรฐาน การศึกษาของไทยคือ “ระบบการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ”
พร้อมกัน นั้น สกศ. ได้ทําการศึกษาระบบการประเมินคุณภาพและมาตรฐานของภาคเอกชน เช่น
การบริหารคุณภาพท้ังองค์กร (TQM) มาตรฐานระบบคุณภาพ (ISO) มาตรฐานคุณภาพหน่วยงาน
ระดับชาติของสหรัฐอเมริกา (Malcolm Baldrige National Quality Award) เป็นต้น นอกจากนี้
เอกสารดังกล่าว ยัง ได้นําเสนอเร่ืองการประเมินคุณภาพ และมาตรฐานการศึกษาของต่างประเทศ
เช่น นิวซีแลนด์ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น หลังจากการศึกษาโดยละเอียดอย่างเป็นระบบ
แลว้ สกศ. จงึ ได้นาํ เสนอในเชงิ



หลกั การของการจดั ระบบการประเมนิ คณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษาต่อคณะกรรมการ
การศึกษาแห่งชาติ (กกศ.) และคณะรัฐมนตรี พร้อมกับขออนุมัติจัดต้ังสถาบันส่งเสริมการ ประเมิน
คุณ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาแหง่ ชาติ (สคม.) ไปในคราวเดยี วกัน มติ คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ
ให้มีระบบการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาแห่ง ชาติ และให้จัดตั้งสถาบันส่งเสริมการ
ประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ (สคม .) เป็นหน่วยงานภายในสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติข้ึนเมื่อวันท่ี ๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐ ทําหน้าที่เป็นหน่วยงาน
กลางในการสง่ เสริมการประเมินคณุ ภาพและมาตรฐาน

การศึกษาทุกระดับ จึงกล่าวได้ว่า สคม. เป็นหน่วยงานเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพและ
มาตรฐานการศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย มีบทบาทสําคัญในการศึกษาวิจัยและพัฒนา
แนวความคิดเรื่องระบบการประเมินคณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษา ปฏิบัติภารกิจหลัก ๓ ประการ
คือ ๑) พัฒนาร่างมาตรฐานการศึกษาโดยเฉพาะระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ๒) ส่งเสริม และพัฒนา
ระบบการประเมินผลภายใน เพอื่ ใหม้ กี ารพฒั นาอย่างตอ่ เน่ืองและเตรียมรับ การประกันภายนอก ๓)
พัฒนาระบบการประเมินผลภายนอก เพื่อเป็นกลไกให้สถานศึกษา พัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน
การศกึ ษา นอกจากนีย้ ังได้ศึกษาวิจยั รปู แบบการดาํ เนินงานใน ต่างประเทศ ได้ส่งบุคคลไปรว่ มประชุม
และศึกษาดูงานของ Ofsted ในประเทศอังกฤษ และ ของ ERO ในประเทศนิวซีแลนด์ ซ่ึงท้ังสอง
หน่วยงานก็ได้ส่งบุคลากรระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์สูงเข้ามาให้คําปรึกษา
แนะแนวทางการดาํ เนนิ งานแก่สถาบนั ฯ

เพื่อให้การดําเนินงานของสถาบันส่งเสริมการประเมินคุณ ภาพและมาตรฐาน การศึกษา
แห่งชาติบรรลุผลสําเร็จ จึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการอํานวยการขึ้นมาชุดหน่ึง มี ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และกรรมการการศึกษาแห่งชาติเป็นประธานอนุกรรมการ
คณะกรรมการประกอบด้วยบุคคลที่หลากหลาย รวมทั้งกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการโดย
ตําแหน่งคณะกรรมการชุดนี้ได้ดําเนินงานเตรียมการเพ่ือ ประเมินคุณภาพการศึกษาของไทยให้
คืบหน้าไปได้หลายเรื่อง โดยทางานคู่ขนานไปกับการร่าง สาระบัญญัติที่ปรากฏในพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ ผลงานที่สําคัญของคณะกรรมการ ชุดน้ีได้แก่ “มาตรฐานการศึกษาเพื่อการ
ประเมินคุณภาพภายนอก: ระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน” ซึ่งจัดทําข้ึนเพ่ือให้เป็นเปูาหมายและ
แนวทางทชี่ ัดเจนสําหรบั การจัดการศึกษาของ สถานศึกษาในทุกระดับ โดยวันท่ี ๔ มกราคม ๒๕๔๓
คณะรัฐมนตรมี มี ตอิ นมุ ัติในหลักการร่าง มาตรฐานการศึกษา ทั้ง ๒๗ มาตรฐาน ให้ใช้เป็นแนวทางใน
การพัฒนาคุณภาพการจัด การศึกษาขั้นพื้นฐานและมาตรฐานเพ่ือการประเมินคุณภาพภายนอกได้
โดยในการประเมนิ รอบแรกจะใชเ้ พยี ง ๑๔ มาตรฐาน และ ๕๓ ตัวบ่งช้ี ซ่ึงสํานักงานได้จัดพิมพ์ไว้ใน
เอกสารช่ือ “มาตรฐานการศึกษาเพ่ือการประเมินคุณภาพภายนอก : ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน”
และ หนังสอื “แนวทางการประเมนิ คณุ ภาพภายในสถานศึกษา”



ในขณะที่กําลังรอพระราชกฤษฎีกาจัดต้ังสํานักงานรับรองคุณภาพและมาตรฐาน
การศกึ ษาอยู่นน้ั เพอื่ ให้การดําเนนิ งานในเรอื่ งการประกนั คณุ ภาพสถานศกึ ษาก้าวหน้าไปได้ สกศ. จึง
ไดจ้ ัดทําหนงั สอื ขึน้ มาอกี เลม่ หนง่ึ ช่ือ “แนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เพ่ือพร้อมรับ
การประเมินภายนอก” ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๔๓ หนังสือเล่มนี้ได้รับ การตีพิมพ์เป็น
จํานวนถึง ๖๐,๐๐๐ เล่ม เพื่อแจกจ่ายให้สถานศึกษาใช้เป็นแนวทางสําหรับการ ประกันคุณภาพ
ภายใน

หลังจากมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เป็น เวลา ๑ ปี ๒ เดือน การจัดทําพระราช
กฤษฎีกาจัดตั้งสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การ มหาชน) ช่ือย่อ
สมศ. จงึ สาํ เรจ็ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ สง่ ผลให้ระบบ การศึกษาไทยมีระบบ
การประกนั คณุ ภาพการศึกษาเกดิ ข้นึ และนําไปสู่การประเมินเพื่อรับรอง มาตรฐานอย่างจริงจัง โดย
สมศ. มีหน้าท่พี ัฒนาเกณฑ์ วธิ กี ารประเมนิ คุณภาพภายนอก และ ทําการประเมินผลการจัดการศึกษา
เพือ่ ใหม้ ีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษาโดย คาํ นึงถงึ ความมุ่งหมาย หลักการ และแนวทางการ
จัดการศึกษาในแต่ละระดับ โดยการ ดําเนินการ สมศ. ได้ดําเนินการประเมินคุณภาพภายนอกรอบ
แรก (พ.ศ. ๒๕๔๔ -พ.ศ.๒๕๔๘) ซ่ึงเป็นการประเมินคุณภาพภายนอกโดยไม่มีการตัดสินผลการ
ประเมนิ แต่เป็นการประเมนิ เพ่อื ยืนยันสภาพจริงของสถานศกึ ษา ขณะเดยี วกนั ถือเป็นการสร้างความ
เข้าใจกับสถานศึกษา เพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักการประกันคุณภาพการศึกษา และรอบสอง
(พ.ศ.๒๕๔๙- พ.ศ.๒๕๕๓) เปน็ ประเมินตามวัตถุประสงค์ของสมศ. ท่ีระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาของ
การจัดตัง้ สาํ นักงานโดยใหน้ าํ ผลการประเมินคุณภาพภาย นอกรอบแรกมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพ
การศกึ ษา รวมทั้งประเมินผลสัมฤทธ์ิท่ีเกิดข้ึนเพื่อการรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาและ สมศ.
ประเมนิ ภายนอกรอบสาม (พ.ศ.๒๕๕๔-พ.ศ.๒๕๕๘)

ซ่ึงเป็นการประเมินเพ่ือยกระดับ มาตรฐานคุณภาพการศึกษา โดยพิจารณาจากผลผลิต
ผลลัพธ์ และผลกระทบมากกว่า กระบวนการ ภายใต้ข้อ คํานึง ถึงความแตกต่างของแต่ละ
สถานศึกษา สรุปได้ว่าการก่อเกิดระบบประกันคุณภาพการศึกษาในประเทศไทยน้ัน เกิดจากการ
ตระหนักถึงความจําเป็นและสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ของ นักวิชาการ
ศึกษาไทยและทุกภาคส่วนท่เี ก่ียวขอ้ ง โดยมีเปูาหมายเพือ่ พัฒนาและยกระดับ คุณภาพการศึกษาไทย
โดยใช้แนวคิดการประเมินเพื่อการพัฒนา ซ่ึงมีการดําเนินการประกัน คุณภาพมาอย่างต่อเน่ือง ๓
รอบ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๔ - พ.ศ.๒๕๕๘ และเข้าสู่การประเมิน ภายนอกรอบส่ี (พ.ศ.๒๕๕๙-พ.ศ.
๒๕๖๓) โดยมีแนวโนม้ ของการประกันคุณภาพในยุคดิจิตอล ด้วยการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ใน
การพัฒนาระบบการประกนั คณุ ภาพทางการศึกษามาก ยิ่งขน้ึ เพื่อให้สามารถนําผลการประเมินมาใช้
เพ่ือการพัฒนา สามารถดาํ เนินการได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้องและตอบสนองความต้องการของทุกภาค
สว่ นไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพและเกิด ประสิทธิผลอย่างแทจ้ รงิ



๑.๔ ความสาํ คญั ของการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา

ในอดีตมักจะมีหน่วยงานประเมินภายในอย่างเดียว หรือแม้แต่การให้ศึกษานิเทศก์เป็นผู้
ประเมนิ ซงึ่ ปรากฏวา่ ไม่ได้มีการนําผลการนเิ ทศไปใชป้ รบั ปรงุ การจัดการศกึ ษาเท่าท่ีควร จึงสมควรให้
มีการประเมินภายนอกโดยองค์กรอิสระ ซ่ึงองค์กรอิสระในที่นี้ หมายความว่า ไม่ถูกครอบงําโดยฝุาย
รฐั หรอื ฝาุ ยราชการ กรณตี ัวอย่างเช่น การประเมินรฐั วิสาหกิจเปน็ หน้าที่ ของกระทรวงการคลัง โดยมี
กรมบัญชีกลางเป็นเจ้าของเร่ือง ซึ่งได้ขอให้บริษัทเอกชนเป็น ผู้ดําเนินการ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิของ
กระทรวงการคลังเป็นกรรมการเพ่ือกํากับบริษัทเอกชนที่ทําหน้าท่ีประเมินอีกช้ันหน่ึง เป็นการ
ตรวจสอบแบบถ่วงดุลเพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นธรรม เพราะการประกันคุณภาพการศึกษา
เปน็ กระบวนการวางแผน และกระบวนการจัดการของผู้รบั ผดิ ชอบการจัดการศกึ ษาท่ีจะรับประกันให้
สังคมเชื่อม่ันว่า จะพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ครบถ้วนตามมาตรฐานคุณภาพที่ระบุไว้ใน
หลักสูตร และตรงตามความมุ่งหวังของสังคม เนื่องจากพ่อแม่มีสิทธ์ิเรียกร้องให้สถาบันการศึกษา
และหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษา จัดการศึกษาให้แก่ลูกอย่างมีประสิทธิภาพมากท่ีสุด
เพื่อให้ลูกมีความรู้ความสามารถ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะต่างๆ ได้เต็มศักยภาพของแต่ละ
บคุ คล ตอบสนองต่อความต้องการ ความสนใจ และความถนดั ท่ีแตกตา่ งกนั

๑.๕ หลักการประกันคุณภาพการศกึ ษา

แนวคิดและหลักการในการประกันคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วยแนวคิดเชิงระบบ ๓
แนวคิดที่สําคัญ ได้แก่ ระบบควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ระบบติดตาม ตรวจสอบ คุณภาพ
(Quality Auditing) และระบบประเมินคณุ ภาพ (Quality Assessment)

ระบบควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เป็นกระบวนการดําเนินการของหน่วยงาน
ต้นสังกัดและสถาบันการศึกษา ในการกําหนดมาตรฐานการศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐาน
การศึกษาของชาติ หลังจากนั้นหน่วยงานต้นสังกัดและสถาบันการศึกษาจัดทําแผน เพ่ือใช้เป็น
แนวทางในการดาํ เนินงานพัฒนาคุณภาพเข้าสู่มาตรฐานที่กําหนดไว้ ในด้านการพัฒนา หลักสูตร สื่อ
การพัฒนาครแู ละบคุ ลากร ธรรมนญู สถานศึกษา ระเบยี บการสอน การแนะแนว การจัดการเรียนการ
สอน และการประเมินผล ท้ังน้ีจะเน้นระบบและกลไกการปฏิบัติงาน ตามแผน ติดตาม กํากับการ
ดําเนินงานอยา่ งจรงิ จงั และต่อเนอื่ ง

ระบบติดตาม ตรวจสอบคุณ ภาพ (Quality Auditing) เป็นการดําเนินการของ
สถาบนั การศกึ ษาและหน่วยงานต้นสงั กดั ในการยนื ยันเปูาหมายที่กาํ หนด มงุ่ ไปสู่มาตรฐานที่ ต้องการ
โดยการดําเนนิ การดังน้ี



๑) การตรวจสอบและทบทวนการดําเนินงานทั้งระบบด้วย ตนเองของสถาบันการศึกษา
เพ่ือนําข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาการจัดการศึกษาอย่าง ต่อเน่ืองสมํ่าเสมอ และรายงานผลต่อ
ผู้ปกครองและผ้รู ับผดิ ชอบการจัดการศกึ ษา

๒) การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาของสถาบันการศึกษา โดยหน่วยงานต้น
สังกดั เพอ่ื สง่ เสรมิ สนบั สนุนและ / หรอื ใช้มาตรการในการสง่ เสริมพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาให้เป็นไป
ตาม มาตรฐานการศึกษาท่กี าํ หนดไว้

ระบบประเมินคุณภาพ (Quality Assessment) เป็นการประเมินค่าระดับคุณภาพของ
กิจกรรมเฉพาะอย่างในหน่วยงาน เช่น คุณภาพการจัดการศึกษา คุณภาพของงานวิจัย คุณภาพของ
การสอน เป็นต้น ซ่ึงประกอบด้วย ๑) การประเมินคุณภาพภายในจะใช้วิธี การศึกษาตนเอง (Self
Study) และการประเมินตนเอง (Self Assessment) ๒) การประเมิน คุณภาพภายนอกเป็นการ
ดาํ เนนิ งานโดยสาํ นกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศกึ ษา เพ่ือประเมินผลและรับรอง
วา่ สถาบนั การศกึ ษาจดั การศกึ ษาได้คณุ ภาพตาม มาตรฐานการศกึ ษาท่ีกาํ หนดไว้

ในการจดั ระบบประกนั คณุ ภาพการศกึ ษามหี ลกั การทตี่ ้องพจิ ารณา ดงั นี้

๑. ระบบประกนั คณุ ภาพ ไมใ่ ช่เรือ่ งของการชถ้ี กู ชีผ้ ิด หรือการตรวจสอบ แต่เป็น เครื่องมือ
ท่ีตอ้ งใชค้ วบคู่กบั การกระจายอํานาจบรหิ ารการศกึ ษา

๒. มาตรฐานการศึกษาจะต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ การศึกษา
แห่งชาติ ท่ีเน้นกระบวนการเรียนรู้ใหมค่ วามหลากหลายและยดึ ผเู้ รยี นเป็นสําคัญ

๓. การประกนั คณุ ภาพมีภารกจิ หลกั ๔ ส่วน ซ่งึ ต้องแยกบทบาทหน้าทใี่ หช้ ัดเจน

๓.๑ การกําหนดมาตรฐาน หรือหลักเกณฑ์ของระบบการประกันคุณภาพเป็น
หน้า ที่ของสว่ นกลาง

๓.๒ การประเมินภายใน เป็นหน้าที่ของสถานศึกษาและต้นสังกัดในการพัฒนา
ระบบการประเมิน ภายใน โดยควรมีชมุ ชนและผู้มีสว่ นเก่ยี วขอ้ งเข้ามามีส่วนร่วม

๓.๓ การประเมินภายนอกให้องค์กรอิสระในรูปองค์การมหาชนทําหน้าท่ีในการ
ประเมินภายนอก การที่ให้องค์กรอิสระทําหน้าท่ีน้ีเพราะต้องการให้เป็นอิสระจากฝุายราชการ
เน่ืองจากตอ้ งทาหนา้ ทปี่ ระเมินทัง้ สถานศึกษาของรัฐและเอกชน

๓.๔ การนําผลการประเมินไปใช้เพื่อการปรับปรุง เป็นหน้าท่ีของฝุายบริหาร

การศึกษา



๑.๖ ประโยชน์ของการประกันคุณภาพการศกึ ษา

๑. ทาํ ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ขอ้ มูลคุณภาพการศึกษาที่เชื่อถือได้เกิดความเช่ือม่ันและสามารถ
ตดั สินใจเลือกใช้บรกิ ารทีม่ ีคุณภาพมาตรฐาน

๒. ปอู งกนั การจัดการศึกษาท่ีไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและเกิด ความ
เสมอภาคในโอกาสท่จี ะได้รับการบรกิ ารการศึกษาท่มี ีคุณภาพอยา่ งทวั่ ถึง

๓. ทาํ ให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษามุ่งบริหารจัดการศึกษาสู่คุณภาพและ มาตรฐาน
อย่างจริงจัง ซ่ึงมีผลให้การศึกษามีพลังท่ีจะพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพอย่างเป็น รูปธรรมและ
ต่อเน่ือง

จกั รปรฬุ ห์ วิชาอัครวิทย์ (๒๕๖๐: ๒๓) ได้นําเสนอประโยชน์ของการประกันคุณภาพไว้
๕ ประการ ได้แก่

๑. ผูเ้ รียนและผปู้ กครองมหี ลักประกันและความมั่นใจว่า สถานศึกษาจะจัด การศึกษาท่ีมี
คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานท่ีกาํ หนด

๒. ครูได้ทํางานอย่างมืออาชีพ ได้ทํางานท่ีเป็นระบบที่ดี มีประสิทธิภาพ มีความ
รับผดิ ชอบท่ีตรวจสอบได้ และเน้นวฒั นธรรมคุณภาพ ได้พัฒนาตนเองและผู้เรียนอย่างต่อเน่ืองทําให้
เปน็ ทย่ี อมรับของผูป้ กครองและชมุ ชน

๓. ผู้บริหารได้ใช้ภาวะผู้นําและความรู้ความสามารถในการบริหารงานอย่างเป็น ระบบ
และมคี วามโปรง่ ใส เพือ่ พัฒนาสถานศกึ ษาใหม้ ีคุณภาพ เป็นทยี่ อมรบั และนยิ มชมชอบ ของผู้ปกครอง
และชมุ ชน ตลอดจนหน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้อง กอ่ ใหเ้ กดิ ความภาคภมู ิใจและเปน็ ประโยชน์ต่อสงั คม

๔. หนว่ ยงานทกี่ ํากบั ดแู ลได้สถานศกึ ษาที่มคี ุณภาพและศักยภาพในการพัฒนา ตนเอง ซึ่ง
จะช่วยแบง่ เบาภาระในการกํากบั ดแู ลสถานศกึ ษา และกอ่ ให้เกดิ ความมั่นใจใน คณุ ภาพทางการศึกษา
และคุณภาพของสถานศกึ ษา

๕. ผู้ประกอบการ ชุมชน สังคม และประเทศชาติได้เยาวชนและคนท่ีดีมีคุณภาพ และ
ศักยภาพทจ่ี ะชว่ ยทางานพฒั นาองค์กร ชุมชน สังคมและประเทศชาตติ ่อไป

๑๐

๑.๗ สรุปทา้ ยบท

จะเห็นได้ว่าบนเส้นทางแห่งการพัฒนาคุณภาพและการศึกษาไทยท่ีผ่านมาสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ ส่วนราชการต่างๆ และนักวชิ าการจํานวนมาก ได้ดําเนินงานต่าง ๆ
มาอย่างเปน็ ระบบ เร่ิมตั้งแต่การศึกษาเพื่อสร้างองค์ความรู้เร่ืองคุณภาพและ มาตรฐานการศึกษา มี
การเตรียมความพร้อมบุคลากร การให้การความรู้ การจัดทําโครงการ นําร่องและการเผยแพร่
ประชาสมั พันธ์ เพอ่ื ทจ่ี ะใหค้ นในวงการศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจ เห็นความสําคัญและพร้อมที่จะ
นําระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย การประกันคุณภาพการศึกษา
(Quality Assurance) เป็นกิจกรรมหรือการปฏิบัติภาระกิจหลักของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ
ภายใต้ ๓ ระบบหลัก ได้แก่ ระบบควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ระบบติดตาม ตรวจสอบ
คณุ ภาพ (Quality Auditing) และระบบประเมินคณุ ภาพ (Quality Assessment) จนทาํ ให้เกิดความ
มน่ั ใจแกผ่ ูบ้ รโิ ภคในคณุ ภาพของการจัดการศกึ ษาของ สถานศกึ ษา

๑๑

บทท่ี ๒

แนวคดิ ทฤษฎี หลกั การ รปู แบบการคณุ ภาพในสถานศกึ ษา

๒.๑ ความนาํ

หลักการบริหารในการกําหนด แนวทางในการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาระบบการ
บริหารภายในสถานศึกษาหรือการจัดการศึกษาได้ ในการประกันคุณภาพสิ่งสําคัญท่ีหน่วยงานหรือ
องค์การตา่ ง ๆ ตอ้ งแสดงให้ผู้กบั ใช้บรกิ าร ไดร้ บั ร้เู พอ่ื เป็นการยืนยันและนําไปสู่การประกันคุณภาพ คือ
ระบบคุณภาพ (Quality system) ซ่ึง เป็นระบบที่ทําให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติที่จะนําไปสู่ผลผลิตที่มี
คุณภาพ

๒.๒ ระบบคณุ ภาพและการบรหิ ารคณุ ภาพ

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของ ระบบ (System)
หมายถึง ระเบียบเกี่ยวกบั การรวมสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะซับซ้อนให้ประสานเป็นหน่ึงเดียวตาม หลัก
เหตผุ ลทางวิชาการ หรือระบบ หมายถึง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งมีความสัมพันธ์ ประสานเข้า
กัน โดยกาํ หนดรวมเป็นอนั หน่ึงอันเดยี วกนั

รอบบนิ ส์ และคณะ (Robbins & others, ๒๐๐๖ อ้างใน สภุ ัทรา เออ้ื วงศ์) ให้นิยามคําว่า
ระบบ คือ สิ่งท่เี ก่ียวพนั และสัมพันธ์ซงึ่ กันและกัน ซง่ึ กาํ หนดวิธีการปฏิบัติให้เป็นเอกภาพ หรือ บรรลุ
วัตถุประสงค์

สุภัทรา เอ้ือวงศ์ (๒๕๖๐: ๔๕) ให้ความหมายของระบบคุณภาพหมายถึง ระบบท่ีทําให้
เห็น ถึงแนวทางปฏบิ ตั ิ ทีจ่ ะนําไปสูผ่ ลผลิตที่มีคุณภาพ เป็นการรวมสิ่งต่าง ๆ ซ่ึงมีลักษณะซับซ้อนให้
ประสานเปน็ หนง่ึ เดยี ว โดยมีองคป์ ระกอบทีส่ าํ คัญ คอื การวางแผนคุณภาพ การควบคุม คุณภาพและ
การปรบั ปรุงคณุ ภาพ และผลการปฏิบัติจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานหรือ ข้อกําหนด การสร้างความ
พอใจให้กบั ลูกค้าและการมตี น้ ทนุ การดาํ เนนิ งานท่ีเหมาะสม

๑๒

๒.๓ องค์ประกอบของระบบคุณภาพ

ระบบคุณภาพมีองค์ประกอบหลัก ๓ ประการ Juran (๒๐๐๐: ๒๕-๒๖) โดยมี
สาระสําคญั ดงั นี้

๑. การวางแผนคุณภาพ (Quality planning) หมายถึง การกําหนดเปูาหมายคุณภาพที่
ชดั เจน มีการระบุ กลมุ่ เปูาหมายและกําหนดความตอ้ งการของกลมุ่ เปูาหมาย มแี นวทางการพัฒนาผล
ผลติ ใหม้ คี ณุ ลกั ษณะตามความต้องการของกลุ่มเปูาหมาย และพฒั นากระบวนการท่ี สามารถผลิตผล
ผลติ ใหเ้ ปน็ คุณลักษณะท่ีต้องการอีกทัง้ มกี ารกาหนดกระบวนการควบคุมและ การถ่ายทอดแผนไปสู่
การปฏิบัตใิ ห้เกดิ ผลตามทก่ี ําหนด

๒. การควบคุมคุณภาพ (Quality control) หมายถึง การควบคุมการดําเนินงานให้ เกิด
ผลผลิตทีม่ คี ณุ ภาพ ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลการดําเนินงานตามที่ ปฏิบัติจริงเพ่ือ เปรียบเทียบผล
การปฏิบตั ดิ ังกล่าวกับเปูาหมายคณุ ภาพทีก่ าํ หนดเพ่อื จัดการกบั ส่ิงทไี่ ม่ สามารถบรรลเุ ปูาหมายได้

๓. การปรับปรุงคุณภาพ (Quality improvement) หมายถึง การดําเนินการเพ่ือเพิ่ม
ผลผลติ ซงึ่ ประกอบด้วยการกระทํา อาทเิ ชน่ การปฏบิ ัตเิ พ่ือการพัฒนาผลผลิตให้เกิดลักษณะ ใหม่ ๆ
เพอ่ื ก่อใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจแกผ่ ู้ใช้บริการ (Juran & Riley, ๑๙๙๙) การปรับปรุงคุณภาพ จะช่วยลด
ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ซ่ึงการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพจะครอบคลุมถึงการพัฒนา ผลผลิต การ
พฒั นากระบวนการและบคุ ลากรท่เี ป็นพื้นฐานของการพัฒนา

๒.๔ การบริหารคณุ ภาพ

การบรหิ ารคุณภาพ (Quality management) เปน็ กระบวนการท่ีกาํ หนดและการ บริหาร
กจิ กรรมตา่ งๆ ที่มีความจําเป็นต่อการดําเนินการให้ได้มาซ่ึงจุดประสงค์ด้านคุณภาพ ขององค์การซ่ึง
ประกอบด้วย นโยบายคุณภาพ วัตถุประสงค์คุณภาพ การวางแผนงานคุณภาพ ระบบการบริหาร
จัดการเชิงคุณภาพ ระบบการตรวจสอบหรือการประเมินผลและการปรับปรุง อย่างต่อเน่ืองเพ่ือ
ตอบสนองความต้องการของลูกค้าของพนักงานและของสังคม (ศรัญยู พิสิฐอรรถกุล http://www.
๑๓nr.org/posts/๓๗๔๙๙๖) หรืออาจกล่าวได้ว่า การบริหารคุณภาพเป็น การจัดการระบบคุณภาพ
โดยทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกองค์การ รับผิดชอบต่องานท่ีตนเองกระทําอย่างเต็มที่
เพื่อให้สินค้าและบริการเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า โดยมีหลักการพื้นฐานเช่นเดียวกับการ
บริหารท่ัวไป คือ การดําเนินการโดยการวางแผนโดยใช้ ทรัพยากรทั้ง คน (man) งบประมาณ
(money) วัสดุอุปกรณ์ (material) และระบบบริหาร (management) เพื่อให้การดําเนินการบรรลุ
วตั ถปุ ระสงคเ์ ปาู หมาย และนโยบายขององค์การ ซึ่งในทน่ี ีจ้ ะเนน้ คุณภาพของผลผลิตที่เป็นท่ีพึงพอใจ

๑๓

ของ ผู้รับบริการ สาหรับแนวคิดเกี่ยวกับ การบริหารคุณภาพของจูรัน Juran (๑๙๕๑: ๑๒) ได้
อธิบายไว้ใน ๓ มิติ คอื

มิติท่ี ๑ การวางแผนคณุ ภาพประกอบดว้ ย ๑) การระบุว่าลูกค้าหรือผู้รับบริการคือใคร ๒)
การกําหนดความตอ้ งการของผู้ใช้บริการ ๓) การตีความและทําความเข้าใจให้ตรงกัน เก่ียวกับความ
ต้องการของผู้ใช้บริการ ๔) การพัฒนาผลผลิตให้สามารถตอบสนองความ ต้องการของผู้ใช้บริการ
และ ๕) ความพยายามทาให้ผลผลิตมีคุณลักษณะตอบสนองท้ังความ ต้องการของผู้ผลิตและ
ผใู้ ชบ้ ริการ

มติ ทิ ่ี ๒ การพฒั นาคณุ ภาพ ประกอบดว้ ย ๑) การพฒั นากระบวนการเพื่อสามารถ สร้างผล
ผลติ และ ๒) การสรา้ งกระบวนการทมี่ คี วามเหมาะสม

มติ ิท่ี ๓ การควบคุมคุณภาพ ประกอบด้วย ๑) การตรวจสอบกระบวนการว่าจะ สามารถ
ผลิตผลผลิตภายใต้เงอ่ื นไขการดําเนินการตรวจสอบติดตาม และ ๒) การทําให้ กระบวนการไปสู่การ
ปฏบิ ตั ิ

สรุประบบคุณภาพมีองค์ประกอบหลัก ๓ ประการ ประกอบด้วย การวางแผน คุณภาพ
การควบคุมคุณภาพและการปรบั ปรงุ คณุ ภาพ โดยการบริหารจัดการคุณภาพทั้ง องค์การเป็นแนวคิด
ผสมผสานทัง้ ทฤษฎีองค์การและการจัดการคุณภาพ การบรหิ ารจัดการ คุณภาพท่ีประสบความสําเร็จ
ย่อมทาให้ผลผลิตและการบริการมีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อ องค์การ คือ ๑) ทําให้ องค์การมี
ภาพลักษณ์ท่ีดี ช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพมากขึ้น องค์การที่ สร้างผลผลิตและบริการท่ีมีคุณภาพ
ย่อมไดร้ ับความเช่อื ถอื จากสังคมและผู้ใช้บริการ ๒) เพ่มิ ส่วนแบ่งการตลาด ผลผลิตเป็นที่นิยม เป็นที่
ยอมรับ มีผูม้ าใช้บรกิ ารมากขึ้น ๓) ลดภาระ ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการรวมท้ังลดข้อผิดพลาดท่ีอาจ
เกิดขึ้นในการดําเนนิ การและการ จัดการคุณภาพท่ีประสบความสาํ เรจ็ จะช่วยปูองกันความผิดพลาดท่ี
อาจเกดิ ขน้ึ

๒.๕ แนวคิด ทฤษฏี หลักการบริหารคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา

วิทูรย์ สิมะโชคดี (๒๕๔๑: ๓) ได้นําเสนอวิวัฒนาการของแนวความคิดเก่ียวกับคุณภาพ
โดยจําแนกออกเป็น ๔ ยุค ได้แก่ ๑) ตรงตามมาตรฐาน (Fitness to Standard) ๒) ตรงกับ
ประโยชน์ใช้สอย (Fitness to Use) ๓) เหมาะสมกับต้นทุน/ราคา (Fitness to Cost) ๔) ตรงตาม
ความต้องการทีแ่ ฝงเรน้ (Fitness to Latent Requirement) โดยมีนกั วชิ าการหลายท่านได้ นําเสนอ
แนวคิด ทฤษฏี หลักการ รูปแบบการบริหาร จัดการคุณภาพได้แก่ ชิวฮาร์ท (Schewhart) จูรัน
(Juran) เดมมิ่ง (Deming) การ์วิน (Garvin) ครอสบี้ (Crosby) อิชิกาว่า (Ishikawa) ไฟเกนบาวน์
(Feigenbaum) ทากชู ิ (Taguchi) เปน็ ต้น ในดา้ นการพฒั นาการศึกษา ได้มีนักวิชาการทางการศึกษา

๑๔

หลายท่านนําแนวคิด ทฤษฏีและหลักการเบื้องต้นมาประยุกต์ใช้ ในการยกระดับประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผลในการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาไวด้ ัง นี้

๒.๕.๑ แนวคิด Balanced Scorecard Balanced Scorecard

เปน็ เทคนคิ การบริหารท่ีคิดค้นข้ึนโดย Robert Kaplan (๑๙๘๗: ๑๙) สถานศึกษาหลาย
แห่ง ใชแ้ นวคดิ ในการกาํ หนดผลสาํ เรจ็ อย่างสมดุลรอบด้าน (Balanced Scorecard) เช่น โรงเรียนใน
ฝัน โดยใชก้ ารกาํ หนดมมุ มองท่ีเก่ยี วขอ้ งกับผลสาํ เรจ็ ของการ ดําเนนิ งาน ๔ ดา้ น คือ

๑. มุมมองด้านผู้เรียน (Student Perspective) โดยพิจารณาความต้องการเกี่ยวกับ
คณุ ลักษณะของผู้เรยี นทคี่ าดหวัง

๒. มุมมองด้านกระบวนการจัดการศึกษาภายใน (Internal Process Perspective) โดย
พิจารณาผลสําเร็จและแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของกระบวนการ บริหาร
จดั การ การจดั หลกั สตู รและกระบวนการเรยี นการสอน

๓. มุมมองด้านการเรียนรู้และการพัฒนา (Learning and Growth Perspective) โดย
พิจารณาปัจจยั ท่ใี ชข้ บั เคลื่อนให้ผเู้ รยี นไดร้ ับการพัฒนาคุณภาพตามที่คาดหวังได้แก่ การสร้าง ความ
เข้มแข็งให้สถานศึกษาเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้การพัฒนาศักยภาพและทักษะของครู ผู้บริหาร
สถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา การเพ่ิมสมรรถนะของสถานศึกษาในการใช้ นวัตกรรม
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร เพื่อการพัฒนาผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาและ บคุ ลากรทางการศกึ ษา

๔. มุมมองด้านงบประมาณและทรัพยากร (Budget and Resource Perspective) โดย
พิจารณาปัจจัยส่งเสริมให้การดาเนินงานบรรลุภาพความสําเร็จในด้านงบประมาณและ ทรัพยากร
โดยคาํ นงึ ถงึ แหล่งสนบั สนนุ อัตรากาลัง ค่าใชจ้ ่าย ประสทิ ธภิ าพในการใช้ ทรัพยากรและงบประมาณ

จากมุมมองท้ังส่ีด้านนํามากําหนดวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Objectives) ที่ จะ
นาํ ไปสคู่ วามสําเรจ็ โดยคํานึงถึงความครอบคลุมและสมดุล จัดทาแผนท่ีกลยุทธ์ (Strategy Map) เพ่ือ
ตรวจสอบลาดบั ความสําคัญและความเหมาะสมของวัตถุประสงคเ์ ชิงกลยุทธ์ที่ กําหนดไว้ ผ่านมุมมอง
ด้านต่างๆ วา่ มคี วามสมั พนั ธ์เปน็ เหตุเป็นผล เช่ือมโยงไปสู่ความสําเร็จ ได้อย่างไร แล้วจัดทํากรอบกล
ยุทธ์ (Strategy Framework) โดยการนาวัตถุประสงค์เชิงกล ยุทธ์มากําหนดตัว ช้ีวัด (Measures)
เปาู หมาย (Targets) และกลยทุ ธร์ ิเรม่ิ (Strategy Initiatives)

๒.๕.๒ ระบบ ISO

ISO ย่อมาจาก International Organization for Standardization หรือ International
Standard Organization องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน ก่อต้ังขึ้นครั้งแรกใน ปี ค.ศ.
๑๙๔๗ ทาํ หนา้ ทกี่ ากบั ดูแลมาตรฐานต่างๆ ทั่วโลก ต้องอยู่ ณ กรุง เจนีวา ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์

๑๕

ปจั จบุ นั มสี มาชกิ มากกว่า ๑๑๘ ประเทศ ระบบ ISO เป็นมาตรฐานท่ี เกิดข้ึนคร้ังแรกในกลุ่มประเทศ
ยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อควบคุมมาตรฐานของ สินค้าและอุตสาหกรรม ในด้านการศึกษา
ระบบ ISO เป็นมาตรฐานระบบคณุ ภาพทม่ี ี การเนน้ ในหลักการ เปาู หมายและจดุ ประสงค์ สามารถใช้
เป็นเครื่องมือในการปรับปรุง ประสิทธิภาพการผลิต หรืองานบริการที่รวมการประกันคุณภาพและ
การควบคุม คุณภาพ เพ่ือสร้างความเช่ือมั่นว่าผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตหรือบริการเป็นไปตามควา ม
ต้องการทางคุณภาพของลูกค้า โครงสร้าง ISO ๙๐๐๐ ประกอบด้วย ISO ๙๐๐๑, ISO ๙๐๐๒, ISO
๙๐๐๓ และ ISO ๙๐๐๔ การนํา ISO ๙๐๐๑ มาปรับใช้กบั ระบบการศึกษา ระดบั อุดมศึกษา สามารถ
จาํ แนกข้นั ตอนการดาเนนิ การได้ ดังแผนภมู ิต่อไปนี้ อุทุมพร จามรมาน (๒๕๔๕ : ๓๒)

ขัน้ ตอนการดําเนนิ การ

๑๖

อย่างไรกต็ าม การนํา ISO ๙๐๐๑ มาปรับใช้ สถาบันอุดมศึกษาจักต้องศึกษาถึง ข้อกําหนด
ของมาตรฐาน ๒๐ ข้อ แล้วอาจนามาปรับให้เข้ากับระบบการศึกษา ซ่ึงข้อกําหนด ดังกล่าว มีดังต่อ
ไปน้ี

๑. ความรบั ผิดชอบด้านการบริหาร
๒. ระบบคณุ ภาพ
๓. การทบทวนขอ้ ตกลง
๔. การควบคุมการออกแบบ
๕. การควบคมุ เอกสาร
๖. การจัดซอ้ื
๗. ผลิตภัณฑท์ ่ีส่งมอบโดยผู้ซ้ือ
๘. การบง่ ชแี้ ละการตอบกลับไดข้ องผลติ ภณั ฑ์
๙. การควบคมุ กระบวนการ
๑๐. การตรวจและการทดสอบ
๑๑. เคร่ืองตรวจ เคร่ืองวัด และการเครอ่ื งทดสอบ
๑๒. สถานการณต์ รวจ และการทดสอบ
๑๓. การควบคุมผลิตภัณฑท์ ีไ่ มเ่ ปน็ ไปตามขอ้ กาํ หนด
๑๔. การปฏบิ ตั ิการแก้ไข
๑๕. การเคลือ่ นยา้ ย การเกบ็ การบรรจุ และการสง่ มอบ
๑๖. บนั ทึกคุณภาพ
๑๗. การตรวจติดตามควบคุมภายใน
๑๘. การฝกึ อบรม
๑๙. การบริการ
๒๐. กลวธิ ีทางสถติ ิ ขอ้ มูลเพ่มิ เติม

ในจํานวน ๒๐ มาตรฐานของ ISO ๙๐๐๐ น้ันมีเพียง ๑๒ มาตรฐานเท่าน้ันที่นามาใช้กับ การศึกษา
(Freman, R. and Voehl, F., ISO ๙๐๐๐ in Training and Education : A View to the Future, ๑๙๙๒ :
๒๗๗) อา้ งถึงใน สภุ ทั รา เออ้ื วงศ์ (๒๕๖๐: ๒๒) คือ

๑๗

๑. Management Responsibility
๒. Quality System
๓. Contract Review
๔. Design Control
๕. Purchasing
๖. Purchaser Supplied Product
๗. Process Control
๙. Control of Non-Conforming Product
๑๓. Corrective Action
๑๔. Quality Records
๑๖. Quality Records
๑๗. Internal Quality Audits
๑๘. Training
ดงั แสดงในแผนภมู ติ อ่ ไปน้ี

๑๘

๑๙

๒.๕.๓ ระบบ Total Quality Management (TQM)

แนวคิด TQM ถูกคิดค้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดย W.Edwards Deming เพื่อ
ปรับปรุงคุณภาพการผลติ สินคา้ และบรกิ าร แต่ชาวอเมรกิ ายงั ไม่ได้มีการนํามาใช้อย่าง จริงจัง สําหรับ
การนําแนวคิดการบริหารงานโดยใช้ TQM มาใช้ในการบริหารงานอย่างจริงจัง น้ัน ได้เริ่มต้ังแต่
ปลายปี ๑๙๔๐ โดยความพยายามของบุคคลท่ีมีบทบาทในการบริหารคุณภาพ เช่น Juran,
Feigenbaum และ Deming ในปี ๑๙๕๑ Feigenbaum ได้แต่งหนังสือ เรื่อง Total Quality
Control และในปีเดียวกัน Joseph M. Juran เขียนหนังสือ เรื่อง Juran’s Quality Control
Handbook TQM ได้รับ ความนิยมและมีผลในทางปฏิบัตมิ ากในประเทศญี่ปุน

การบริหารคณุ ภาพแบบเบด็ เสร็จ (TQM) (องค์การมาตรฐานระหว่างประเทศตาม ISO / CD
๘๔๐๒-๑ อา้ งใน อทุ ุมพร จามรมาน, ๒๕๔๕)) หมายถงึ แนวทางในการบริหารขององค์กรท่ี มุ่งเน้น
คณุ ภาพ โดยสมาชิกทกุ คนขององค์กรมสี ่วนรว่ มและมุง่ หมายผลกาไรในระยะยาวด้วย การสร้างความ
พึงพอใจใหแ้ ก่ลูก ค้ารวมทง้ั การสร้างผลประโยชน์ตอบแทนแก่หม่สู มาชกิ

TQM มี หลักการทสี่ าํ คญั ๓ ประการ

๑. การมงุ่ เนน้ ที่คณุ ภาพ

๒. การปรบั ปรงุ กระบวนการ

๓. ทกุ คนในองค์กรมีส่วนร่วม

แกนสําคัญของระบบ TQM คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคส่วนสําคัญ ของ
กระบวนการอยทู่ ่ีการจดั การท่ีจําเปน็ สําหรับระบบ เคร่อื งมอื และทีมงาน ระบบนไ้ี ด้เตรียม ขอบข่าย
ความก้าวหนา้ ของงานไวเ้ พอื่ ความพร้อมสําหรับการตรวจสอบ แผนภูมิของ TQM น้ี อาจแสดงได้ดัง
ตอ่ ไปนี้

๒๐

๒.๕.๔ ระบบ The Malcom Baldrige National Quality Award (MBNQA)
การประกันคุณภาพการศึกษาระบบ มัลคอม บัลดริจ (The Malcolm Baldrige National

Quality Assurance Award, MBNQA) ท่ีใชก้ รอบเกณฑ์คณุ ภาพการศกึ ษาเพือ่ การดําเนินงานที่ เป็น
เลิศ (Baldrige Criteria for Education Performance Excellence Framework) ระบบ มัลคอม
บัลดริจ ได้ถูกนํามาใช้เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ.๑๙๘๗ รางวัลน้ีได้ถูกบริหารโดยองค์การ National
Institute of Standards and Technology (NIST) ในระยะแรกท่ีเริ่มก่อต้ังสถาบันรางวัลบัลดริจ
(Baldrige Award) ต่อมาในปี ค.ศ.๑๙๙๘ จึงได้ขยายขอบข่ายการดําเนินงานของระบบออกไปใน
ขอบขา่ ยด้านการศึกษา (Education Criteria) และด้านสุขภาพ (Health Care Criteria) ในองค์การ
ทั่วไป โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการศึกษา ได้เร่ิมโปรแกรมนําร่องในปี ค.ศ.๑๙๙๙ โดยออกแบบ
เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพ่ือการดําเนินงานที่เป็นเลิศ ท่ีมีการทบทวนและการปรับปรุงอย่าง
สม่ําเสมอเพ่อื สะท้อนการปฏบิ ัติทีด่ ที ี่สดุ (Best Practice) และมกี ารตีพิมพ์เพ่ือเป็น เอกสารอ้างอิงใน
การดาํ เนนิ งานดา้ นการศกึ ษาของการประกันคุณภาพระบบมลั คอม บัลดริจ ในปจั จบุ ันดําเนินการโดย
Baldrige National Quality Program ร่วมกับ National Institute of Standard and
Technology (NIST) ซึ่งเป็นสถาบันเกี่ยวกับมาตรฐานและเทคโนโลยีในการ ควบคุมคุณภาพ

๒๑

หน่วยงาน/ องค์การระดับชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ท่ีก่อตั้งขึ้นเพ่ือ ผลักดันให้มีการปรับปรุง
ผลผลติ สินค้าดา้ นธรุ กจิ และอตุ สาหกรรมใหม้ ีคุณภาพ ทัดเทียมกับ ประเทศอื่น ๆ สามารถแข่งขันใน
ตลาดการค้าโลกได้ (National Institute of Standard and Technology (NIST). ๒๐๐๕c:
Online) โดยความร่วมมือกับโครงการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (The Malcolm Baldrige National
Quality Award, MBNQA) จนได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันได้มีการนาแนวคิดการ
ประกันคุณภาพระบบ มัลคอม บัลดริจ ไปใช้ในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ โดยขยายขอบข่าย
ออกไปอย่างกว้างขวางถึง ๖๙ ประเทศท่ีมีรางวัลคุณภาพ ระดับชาติโดยเป็นประเทศในเอเชีย-
แปซิฟิกถึง ๑๗ ประเทศ ในการตรวจสอบคุณภาพของ องค์กรทางด้านการศึกษา โดยกระบวนการ
ตรวจสอบอาจแสดงไดต้ ามแผนภูมิตอ่ ไปน้ี

๑. การ ระบบ ๗. สัมฤทธ์ิ เปาู หมาย
เปน็ ผนู้ าํ ผลในการ - ความพึง
(Leader- ๕. การบรหิ าร พอใจ ของผใู้ ช้
ship) กระบวนการผลติ ผลิตบัณฑิต บัณฑิตและ
บณั ฑติ วจิ ัย และ
บรหิ าร - วิชาการ

๔. การพัฒนาและการ
บริหารทรัพยากร
มนษุ ย์

๓. การทําแผน ๖. สมั ฤทธิ์ เกณฑว์ ัดความสําเรจ็
ยทุ ธศาสตร์ ผลทาง – คณุ ภาพของบณั ฑิต
วิชาการ
๒. สารสนเทศและ
การ วิเคราะห์

แผนภาพท่ี ๒.๖ การตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบทางด้านการศึกษา ๗ ดา้ น
(อุทุมพร จามรมาน, ๒๕๔๕)

๒๒

๑. การเป็นผ้นู าํ
๑.๑. ความเป็นผ้นู าของผบู้ ริหารองคก์ ร
๑.๒. ระบบการนําและความรว่ มมือในองคก์ ร
๑.๓. ความเชอื่ ถือของสงั คมและความสาํ คัญต่อสาธารณะ

๒. สารสนเทศและการวเิ คราะห์
๒.๑. การบริหารสารสนเทศและระบบข้อมลู
๒.๒. ระบบสารสนเทศและการสนับสนนุ ความเป็นผูน้ าํ ทางวชิ าการ
๒.๓. การวิเคราะหแ์ ละใหข้ อ้ มูลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

๓. การจัดทําแผนยุทธศาสตร์
๓.๑. กระบวนการจดั ทาํ แผนยทุ ธศาสตร์
๓.๒. กระบวนการถ่ายทอดแผนยุทธศาสตร์

๔. การพฒั นาและบรกิ ารทรพั ยากรมนษุ ย์
๔.๑. การวางแผนด้านทรัพยากรมนุษย์
๔.๒. การมีสว่ นรว่ มของบุคลากร
๔.๓. การศึกษา การฝกึ อบรม และการพฒั นาบคุ ลากร
๔.๔. ความพงึ พอใจของบคุ ลากร
๔.๕. การประเมินผลงานและการตอบแทน

๕. การบริหารกระบวนการผลิตบณั ฑติ วิจยั และบรกิ ารวชิ าการ
๕.๑. กระบวนการคดั เลอื กนกั เรียน/นักศกึ ษาที่มีคณุ ภาพ
๕.๒. กระบวนการบริหารวิชาการ
๕.๓. การบรหิ ารกระบวนการสนบั สนนุ
๕.๔. ปรับปรุง สมรรถนะของผผู้ ลิตบณั ฑิต

๒๓

๖. สัมฤทธิ์ผลทางวชิ าการ
๖.๑. สมั ฤทธิ์ผลทางวิชาการ
๖.๒. สัมฤทธิ์ผลทางการวิจัย
๖.๓. สมั ฤทธผิ์ ลทางบริการวชิ าการ
๖.๔. สัมฤทธผิ์ ลทางศลิ ปวัฒนธรรม

๗. สัมฤทธผิ์ ลในการผลิตบณั ฑติ
๗.๑. ความรู้เกย่ี วกบั ความตอ้ งการและความคาดหวังของสงั คมตอ่ บณั ฑติ
๗.๒. การบรกิ ารความสัมพันธ์ระหว่างองคก์ รกับสงั คม
๗.๓. ความพงึ พอใจของสงั คม กระบวนการประเมนิ
๗.๔. ความพงึ พอใจของสงั คม-ผลลัพธ์และการเปรยี บเทยี บ

๒.๕.๕ ระบบ CIPOI

ระบบ CIPOI มีช่ือเต็ม คือ Context, Input, Process, Output, Impact ซึ่งหมายถึง การ
ประเมนิ ตามดา้ นตา่ งๆ ทเี่ กีย่ วข้อง ๕ ดา้ น คือ ดา้ นบรบิ ท ด้านปัจจัยนําเข้า ด้านการดําเนินการ ด้าน
ผลผลติ และดา้ นผลกระทบ

Conte ปรัชญา นโยบาย วัตถุประสงค์ ปณิธาน และแผน
Input
สภาพแวดล้อม อาคารสถานที่ สภาพการบริหารจัดการ

คณาจารย์ บุคลากร นัก เรียน/นักศึกษา ผู้บริหารเงิน
และ งบประมาณ ส่อื และเครื่องมอื

Proces กระบวนการบริหารและจัดการ กระบวนการเรียนการ
สอน กระบวนการเงินงบประมาณ กระบวนการทํานุ
บํารุง ศิลปวัฒนธรรม กระบวนการวิจัยกระบวนการ
บรกิ ารทาง วชิ าการ กระบวนการประกันคณุ ภาพ

ปริมาณและคุณภาพ นักเรียน บัณฑิต งานวิจัย งาน

Outp บริการทางวิชาการ งานทํานุบํารุง ศิลปวฒั นธรรม

ศรัทธาของประชาชนต่อหน่วยงาน การสนองตอบด้าน

Impa กําลัง คนของประเทศ ผลกระทบต่อสังคม และ
ประเทศชาติ

แผนภาพท่ี ๒.๗ ระบบ Context Input Process Output

Impact

๒๔

๒.๕.๖ ระบบ Six sigma

Six sigma เป็นการบริหารท่ีเกิดขึ้นปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยกลุ่มวิศวกรของบริษัท Motorola
ภายใต้การนาํ ของ Dr.Mikel Harry ซง่ึ ไดเ้ ป็นผู้ริเรมิ่ แนวคิดน้ี และนาํ มาใช้กับการ ออกแบบผลิตภัณฑ์
ของบริษัทจนประสบความสําเร็จอย่างสูง ต่อมาบริษัทต่าง ๆ ใน สหรัฐอเมริกาจึงได้นาแนวคิดการ
บริหารจัดการแบบ Six sigma เข้ามาใช้ และประสบ ความสําเร็จสามารถลดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้
อยา่ งมาก Six sigma คือ ความพยายามในการ ลดความแปรผันของกระบวนการ โดยพยายามบีบให้
ความผันแปรทั้งหมดของกระบวนการตก อยู่ภายในขีดจากัดของข้อกําหนดด้านคุณภาพ (USL และ
LSL) และยอมใหม้ ขี องเสยี (หรือการ off Spec ของกระบวนการ) ได้ไม่เกิน ๓.๔ ครั้งใน ๑ ล้านครั้ง
(๓.๔ PPM)

Define

Contro Measur
l e

Improv AnalyZe
e

แผนภาพท่ี ๒.๘ กระบวนการซ่งึ จะมีวธิ ีการอยู่ ๕ ข้นั ตอน คือ DMAIC ( ด-ี เม-อกิ )

วิธี Six sigma คือ ความพยายามที่จะลดความคลาดเคล่ือนและการเปล่ียนแปลงแบบ
หลากหลาย (Variability) ในกระบวนการซง่ึ จะมวี ิธกี ารอยู่ ๕ ข้ันตอน คอื DMAIC ( ด-ี เม-อิก )

ขน้ั ท่ี ๑ การกําหนดปญั หา (D : Define)

เป็น การกําหนดขน้ั ตอนสาํ หรบั โครงการ ถือไดว้ ่าเป็น ความท้าทายที่ยากท่ีสุดของทีม ต้อง
คิดคาถามต่างๆ เช่น เราทาํ งานเก่ยี วกบั อะไร ทําไมเราจึงทํางานเกี่ยวกับปัญหาน้ี ใครคือ ผู้รับบริการ
อะไรคือความต้องการของผูร้ บั บรกิ าร ตอนนีง้ านถูกทาํ อย่างไร และอะไรคือ ประโยชนข์ องการทาการ
พฒั นา โดยหลัง จากวิเคราะหป์ ัญหาอยา่ งนแ้ี ล้ว Charter ของทมี จะถูกกําหนดขึน้ ได้

๒๕

ขั้น ที่ ๒ การจดั (M : Measurement)
การจัดการเป็นส่ิงท่ีตามมาเป็นตรรกะ (Logic) เพื่อกําหนดและเป็นสะพานไปสู่ข้ันตอน

ตอ่ ไป คอื การวิเคราะหโ์ ดยการวดั จะมวี ตั ถุประสงค์หลกั อยู่ ๒ ประการ คือ
๑. รวบรวมข้อมูลเพื่อสามารถนํามาใช้ตรวจสอบ (Validate) และวัดปริมาณ (Quantify)

ของปัญหาหรอื โอกาส ปกติส่ิงน้ี คือข้อมูลที่สําคัญต่อการปรับปรุงและทาให้ Charter ของ โครงการ
เสรจ็ สมบรูณ์

๒. เริ่มแยกแยะขอ้ เท็จจริงและตัวเลข ซึ่งอาจจะให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุของ ปัญหา
ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง

ข้ันท่ี ๓ วิเคราะห์ (A : Analysis)
ในข้ันน้ีทีมจะลงลึกในรายละเอียดและขยายความเข้าใจเก่ียวกับกระบวนการและปัญหา

ทัง้ นีจ้ ะวิเคราะห์ครอบคลุม ถงึ สง่ิ ต่างๆ ต่อไปนี้
๑. วธิ ีการ (Method) : กระบวนการหรือ เทคนคิ ทีใ่ ชใ้ นการทาํ งาน
๒. เคร่ืองจักร (Machines) : เทคโนโลยีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เคร่ืองถ่ายเอกสาร หรือ

เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการผลิตทถี่ กู ใช้ในกระบวนการ
๓. วตั ถุดบิ (Materials) : ข้อมลู วธิ กี ารทาํ จํานวนขอ้ เท็จจรงิ แบบฟอรม์ และแฟูมข้อมูล
๔. การวัด (Measures) : ข้อมูลท่ีคลาดเคล่ือนจะเกิดจากการวัดกระบวนการ หรือการ

เปล่ยี นการกระทาของบคุ คลโดยมอี คตเิ กีย่ วกับ ส่ิงท่ีวัดสูง รวมถงึ วธิ กี ารทใี ช้ในการนัน้ ๆ
๕. คน (People) : กุญแจที่หลากหลายในวิธีการท่ีองค์ประกอบอ่ืนๆ จะผสมผสานเพ่ือให้

เกิดผลลพั ธข์ ององค์กร

ข้ันที่ ๔ การปรับปรุง (I : Improve)
การนําไปปรบั ปรุงปฏิบตั ิจริงจะตอ้ งไดร้ ับการบริหารอย่างรอบคอบและได้รับการ ตรวจสอบ

โดยจะต้องมีการทาโครงการนาร่อง ทมี จะดําเนินการวิเคราะหป์ ัญหาอย่าง ระมัดระวงั เพือ่ พิจารณาว่า
สงิ่ ใดอาจเกิดความผดิ พลาด และเตรยี มทีจ่ ะปูองกนั หรอื จดั การกบั ความยงุ่ ยากที่อาจเกดิ ข้นึ

๒๖

ข้นั ที่ ๕ การควบคุม (C : Control)

งานท่เี กี่ยวกับการควบคมุ ท่ที ีมจะตอ้ งทาํ ใหส้ ําเร็จ คือ

๑. พฒั นากระบวนการติดตามเพอื่ รักษาการเปลี่ยนแปลงทดี่ ําเนินการไว้ให้คงอยู่

๒. สรา้ งแผนการตอบสนองสาํ หรบั รายละเอียดเกีย่ วกับปัญหาที่อาจจะเกิดข้นึ

๓. ทาํ การชว่ ยใหฝ้ ุายบริหารสนใจตวั ชว้ี ดั ท่ีสําคญั จํานวนหนึ่งซ่งึ จะทาํ ให้พวกเขาได้รับ ข้อมูล
เก่ยี วกบั ผลลัพธข์ องโครงการ และการวดั ปัจจยั ของกระบวนการ

๔. ถา่ ยทอดโครงการโดยการนาเสนอผลงานและการสาธิต

๕. ส่งมอบความรับผิดชอบในโครงการให้กับคนท่ีทางานตามปกติ เมื่อดําเนินการครบรอบ
ตามวงจรแล้วจึงหาค่า (Measure) ในทางสถิติ และใช้การ พิจารณาค่าการกระจาย (Standard
Deviation หรือ ) เป็นตัวแทนพิจารณากับค่าท่ีได้จาก ลูกค้าตามข้อกําหนด ถ้าสอดคล้องกันก็
นบั ว่าดี ถ้าไม่สอดคล้องกันก็ตอ้ งแก้ไขปรับปรุง ถ้า  ที่ดีจะตอ้ งมคี า่ ตา่ํ ซึ่งแสดงว่าผลการปฏิบัติงาน
เกาะกลุ่มกนั ดี โดยมกี ารกาํ หนด ความหมายของคา่  ไวด้ ้วย

๒.๕.๖ ๕ ส

๕ ส มาจากคาว่า “สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ สร้างนิสัย” (พลูพร แสง บางปลา
และคณะ ๒๕๔๔)

๑. สะสาง ได้แก่ การจดั ระเบียบของส่งของ วางไว้เปน็ พวกเดยี วกนั

๒. สะดวก ไดแ้ ก่ การจัดส่ิงท่ีไม่ใช้ออกไป เก็บส่ิงท่ีจะใช้ในอนาคตไว้ในอีกที่หน่ึง ส่ิงท่ีไม่ ใช้
บอ่ ยแยกออกไวต้ ่างหาก สิง่ ทีใ่ ชเ้ ป็นบางคร้ัง เกบ็ ไว้ทีท่ างาน สง่ิ ทใ่ี ช้บอ่ ยเก็บไว้ใกล้ตวั

๓. สะอาด ไดแ้ ก่ การทาความสะอาด ไมม่ ีของเสยี ไมม่ ีคราบ ไมม่ ีสิ่งแปลกปลอม และ ทุกส่ิง
สะอาด ซึ่ง สามารถตรวจสอบได้

๔. สุขลักษณะ เปน็ การปฏบิ ตั อิ ยา่ งสม่ําเสมอ ซ้ําแล้วซ้ําอีก เพ่ือรักษาสภาพ สะสาง สะดวก
สะอาด ใหค้ งสภาพอยู่เสมอ

๕. สร้างนสิ ัย เป็นข้ันสุดท้ายที่จะทาให้ ๔ ส ข้างต้นเกิดขึ้นอย่างถาวร ด้วยการให้แต่ละ คน
ปฏบิ ตั ิ ๔ ส จนเกิดเปน็ นสิ ัย

๒๗

ตาราง ๒.๑ สรปุ หลกั การบรหิ ารแบบ ๕ ส

๕ ส ความหมาย เป้าหมาย กจิ กรรม หลกั การ

สะสาง แยกแยะระหว่าง - สร้างแนวทางและ – กําหนดส่ิงท่ี จัดการวาง

สิง่ ทีไ่ ม่จัดการวาง วางระบบในการคัด จาํ เป็น กลยุทธเ์ พอ่ื

และไมจ่ ําเปน็ เลอื กสง่ิ ทไ่ี มจ่ าํ เป็น -สู้กับส่ิง ท่ีเลวรา้ ย จัดการกับผล
- ฝกึ ปฏิบัตติ ามกล
ยุทธ์เพื่อ จดั ลําดบั - พฒั นาอยา่ ง
ความสําคัญ - ต่อเนือ่ งและวาง
สามารถส้กู บั สง่ิ ที่ มาตรฐานบน
เลวรา้ ย พ้นื ฐานที่จาํ เป็น

สะดวก การจัดวางแนว - ความสะดวกใน -วางระบบจัดเกบ็ - วางระบบการ

ทางการจัด สถานทํางาน – โดยใช้วธิ ี ๕ W’s จัดเกบ็ เพ่ือไมใ่ ห้

สะดวก ประสทิ ธิภาพ (รวม และ ๑ H เสียเวลาในการ

เพื่อให้สามารถได้ คณุ ภาพ ความ -ฝกึ ฝนให้ใชง้ าน คน้ หา
ปลอดภัย) และจัดเก็บ ให้

แผนผงั และที่ทํางาน ถูกตอ้ ง

– เพม่ิ ผลผลติ โดยลด - ไมเ่ สียเวลาใน
เวลาในการคน้ สิง่ ที่ การ คน้ หาสิ่งที่
จาํ เป็น ตอ้ งการ

๕ ส ความหมาย เปา้ หมาย กจิ กรรม หลกั การ

สะอาด - จัด สะดวกทั้ง - วางมาตรฐานการทาํ - ทาํ ๕ ส อย่าง ความสะอาด ใน

คราบเป้ือน ส่ิงท่ี ความสะอาดตาม สมํา่ เสมอ รปู แบบของ

แปลกปลอมเพื่อ ระดับความตอ้ งการ -ทําความสะอาด ความสะอาด
ความสะอาดใน เปาู หมาย คือไม่มี อยา่ งมี
สถาน ที่ทําง าน คราบ ไมม่ ีฝุน ประสทิ ธิภาพ
และเข้าใจความ -ตรวจปัญหาเล็กๆ
ส ะ อ า ด คื ก า ร นอ้ ยๆ จากการทํา -ความสะอาด และ
ตรวจสภาพ การตรวจสภาพ

๒๘

ความสะอาดใน เคร่อื งจกั รและ

รูปแบบการตรวจสอบ เครื่องมอื

-เข้าใจรูปแบบการทาํ

ความสะอาดคือการ

ตรวจสภาพ

สุขลักษณะ รั ก ษ า รู ป แ บ บ -มาตรฐานการจัดการ -ระบบการจูงใจ การบรหิ าร และ
รกั ษามาตรฐาน
สะสาง สะดวก เพ่ือรักษาสภาพ ๕ ส -พบก่อนจดั การ ๕ส
ส ะ อ า ด ท้ั ง ตั ว -การคน้ หา นวัตกรรม ก่อน
บุ ค ค ล แ ล ะ ใหม่ๆ ในการจัดการ รปู แบบและ
สภาพแวดล้อม สิง่ ที่ผิดปกติ -เครอ่ื งมือสําหรับ พฤตกิ รรมและ
รักษามาตรฐาน วินยั ในสถานที่
ทํางาน
-ระบบสี

สรา้ งนสิ ัย ทําสิง่ ท่ถี ูกตอ้ ง -การมสี ่วนร่วมเปน็ -๑ นาท่ี ๕ ส

การสร้างนสิ ัยท่ีดี และ -สอื่ สารไป-กลบั
ชว่ ยให้สถานที่ทาํ งาน
ถกู ต้อง -ความรับผิดชอบ
ส่วนบุคคล
-การสื่อสาร และการ
ตอบรับเปน็ ประจําทกุ -ฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารที่
วัน ถูกตอ้ ง

ขั้นตอนการดาํ เนินกจิ กรรม ๕ ส
๑) ประกาศให้เปน็ นโยบายของหน่วยงาน
๒) ให้การศึกษา อบรม ดงู านแก่พนกั งานทุกคน
๓) จัดตง้ั คณะกรรมการ ๕ ส
๔) ติดตัง้ โปสเตอร์รณรงค์
๕) จัดแบ่งและทาผงั พนื้ ท่รี ับผิดชอบ
๖) ถ่ายภาพสี สไลด์กอ่ นทํากจิ กรรม

๒๙

๗) สํารวจพ้นื ท่รี บั ผิดชอบ ตอ้ งหัวขอ้ ในการปรบั ปรงุ
๘) ตรวจสอบ ประเมินผล ปรับปรุงแกไ้ ข
๙) ต้ังมาตรฐาน ๕ ส
๑๐) มีการตรวจเช็คพื้นทีโ่ ดยผบู้ รหิ ารอยเู่ สมอ
๑๑) ถ่ายรูป สี สไลด์ หลังทํากิจกรรม
๑๒) รายงานผลการดําเนินกิจกรรม
๑๓) การประชาสมั พันธอ์ ย่างตอ่ เนื่อง
๑๔) การประกวดพน้ื ท่ี
๑๕) การวดั ผล
๒.๕.๘ Utumporn’s QA Model
การทําประกันคณุ ภาพศึกษาของหนว่ ยงานตามแนวทางของ ศ. ดร. อุทุมพร จามรมาน มี ๙
ข้นั ตอน เป็นวงจรเชอื่ มกัน ดังน้ี

๑. สร้างความเขา้ ใจ

๙. ช้ีการเปลี่ยนแปลง ๒. สร้างจิตสานึก
ดว้ ย SAR 2,3,4….. ๓. รวมพลงั ทา SAR

๘. วางวิธีทางาน
อยา่ งมืออาชีพ

๗. วางระบบกากบั การ ๔. เปิดใจกวา้ งวเิ คราะห์
งานตนเอง

๖. ทาระบบ ๕. ทา

ฐานขอ้ มลู แผนพฒั นา

คน

แผนภาพที่ ๒.๙ ประกันคุณภาพศึกษาของหนว่ ยงานตามแนวทางของ

ศ.ดร. อทุ มุ พร จามรมาน มี ๙ ขั้นตอน

๓๐

แนวคิด เบือ้ งตน้

Utumporn’s QA Model เป็นผลมาจากการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย และผลการ
สมั มนาอบรมผู้ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาของโรงเรยี นและ สถาบันอุดมศกึ ษา ต้ังแต่
ปี ๒๕๓๙-๒๕๔๕ ซ่ึงสรุปได้ว่า มีวิธีทาให้เกิดวิธีแห่งคุณภาพในใจ ผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียนและ
สถาบันอุดมศกึ ษาของไทยตามวฒั นธรรมไทยได้ โดยวธิ ดี ังกลา่ ว น่าจะมาจากหลักการตอ่ ไปน้ี

๑. การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมใดๆ กต็ ามมาจากความคิด ความรู้สึกและสํานึก ภายในตัวคน
ดังนนั้ ถ้าสร้างความเข้าใจให้กับคนในโรงเรียนหรอื สถาบันอดุ มศกึ ษาว่า การประกนั คณุ ภาพการศึกษา
คืออะไร และทาํ ไมต้องทําตลอดจนให้ข้อมูลเกีย่ วกับวกิ ฤติการศกึ ษา คุณภาพของคนในชาติเม่ือเทียบ
กับ ต่างชาตติ ลอดจนถึงภัยคุกคามจากภายนอก

๒. การประยุกต์หลักธรรมทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธที่เน้นการประเมินตัวเอง โดย
ตัวเอง จะทาํ ให้คนเปดิ ใจกวา้ งและนาไปส่กู ารแก้ไข ปรบั ปรุงตนเอง

๓. การนําข้อมลู ท่เี ชื่อถอื ได้มาใชใ้ นการบริหารจัดการ จะทาํ ให้การตดั สนิ ใจถูกต้อง มากขึ้น

๔. การทําส่งิ ท่ีเป็นนามธรรมใหเ้ ป็น รูปธรรม เช่น การทาระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ การ
วางระบบกากับงาน การวางวิธีทางานอย่างมืออาชีพ การทาแผนพัฒนาคน เป็นการวาง ระบบและ
กลไกเพอ่ื ให้เกดิ คุณภาพแกผ่ ลผลิตของหน่วยงาน

๕. กระบวนการทํางานใด ๆ ก็ตาม ควรคํานึงถึงวิธีทางานท่ีดีคือ “คิดก่อนทํา ทําแล้วตรวจ
ตรวจแล้วแกไ้ ขปรบั ปรุง”

๖. ตัวเอกสาร/รายงานของหน่วยงาน จะเป็นหลักฐานท่ีทําให้ทุกคนได้อ่าน และ มองเห็น
ผลรวมของการปฏิบตั งิ านแตล่ ะคน จะทําให้เกดิ สํานึกว่าควรทํางานเพ่ืองาน เพื่อหน่วยงาน และเพ่ือ
สว่ นรวมแทนการทางานแบบตา่ งคนตา่ งทํา

จากแนวคิดเบ้ืองต้น ได้นามาสู่วิธีการทําประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ภาควิชา
คณะ สํานัก และมหาวิทยาลยั

แนวคิด เก่ียวกับระบบ ๙ ข้ันตอนของ Utumporn’s QA Model มาจากการนาระบบ
Context Input Process Output และ Impact มาประยุกต์กับ ๙ องค์ประกอบ/๑๔ มาตรฐาน

นอกจากนี้ ในกระบวนการปฏิบัติงานจะอาศัยหลักของ Plan Do Check Act (PDCA) เป็น
ตัวกากบั เช่น ถ้ามีแตก่ ารวางแผน (P) งานกจ็ ะไมเ่ กดิ ถ้าอยากให้งานดีเกดิ ขน้ึ ต้องทาท้งั PDCA

๓๑

ดังน้นั Utumporn’s QA Model จึงเป็นการประยกุ ต์แนวคดิ เชิงระบบและวิธีทางานท่ีดี มา
สผู่ ปู้ ฏบิ ตั งิ าน ซึ่งจะสง่ ผลใหเ้ กิดคุณภาพแก่ผลผลิตตามคาท่ีว่า “QA is the way you achieve, not
what you achieve”

๙ ขัน้ ตอนของการทําประกันคณุ ภาพหน่วยงาน
Utumporn’s QA Model ได้ระบุว่า ในการทําการประกันคุณภาพการศึกษา ควรมี ๙
ขั้นตอนทเี่ ช่อื มโยงกันเปน็ ระบบ คอื
๑) การสร้างความเข้าใจแก่ทกุ คนในหนว่ ยงาน
๒) การสรา้ งจติ สาํ นกึ ให้เกดิ ในใจทกุ คนในหน่วยงาน
๓) สรา้ งพลงั ทํา SAR
๔) เปดิ ใจกว้างพร้อมแกไ้ ขปรบั ปรงุ ตวั เอง
๕) ทาํ แผนพฒั นาคน
๖) ทาํ ระบบฐานข้อมลู (คอมพิวเตอร)์
๗) วางระบบกากบั งาน (หน่วยงาน)
๘) วางวิธที ํางานอยา่ งมืออาชีพ
๙) ช้ีการเปลี่ยนแปลงใน SAR ฉบับต่อไป และย้อนกลับไปทํา ข้อ ๑ ถึง ๙ อีก ไม่ รู้จบ
Utumporn’s QA Model ได้ระบุว่า ในการทําการประกันคุณภาพการศึกษาควรมี ๙ ขั้นตอนท่ี
เชื่อมโยงกันเป็นระบบ คือ
๑. การสรา้ งความเข้าใจแก่ทุกคนในหนว่ ยงาน

ได้แก่ การตอบคําถามหรือใหค้ วามรู้วา่ การประกันคณุ ภาพการศึกษาคืออะไร ใครทํา ทํา
อะไร ทาํ ไมต้องทาํ คุณภาพอะไรของใคร และเปูาหมายเชงิ คุณภาพของหน่วยงานอยู่ทไี่ หน

๒. การสร้างจติ สํานึกใหเ้ กดิ ในใจทกุ คนในหน่วยงาน
เป็นการให้ข้อมูลที่เก่ียวกับวิกฤติทางการศึกษาของประเทศ กฎหมายที่มีผลบังคับใช้กับ

คนในวงการศึกษา ภัยคุกคามจากการเปิดการศึกษาเสรี สถานะของประเทศไทยในการแข่งขัน กับ
ต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งถา้ ไมเ่ รง่ แก้ไขปรับปรงุ ประเทศไทยจะอยใู่ นสภาพถอยหลัง /ลา้ หลัง

๓๒

๓. รวมพลงั เพ่ือทํา SAR

เป็นการระดมพลังใช้ประสบการณ์ ความรู้สึก ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานมาประเมินผล
หนว่ ยงานของตน โดยใหแ้ ตล่ ะคนระบุผลการทางานตามตัวชี้วัด และตัดสินเทียบกับเกณฑ์ว่า งานใด
อย่สู ูงหรือต่าํ กว่าเกณฑ์ ถา้ สงู กวา่ แล้วทําอย่างไรจึงจะทาให้สูงมากขึ้น ถ้าตํ่ากว่าเกณฑ์ ทําอย่างไรจึง
จะแก้ไข/ปรับปรุงเป็นการวิเคราะห์สิ่งที่ทํามาแล้ว ว่าเป็นอย่างไรแล้วหาทางแก้ไข/ ปรับปรุงวิธี
ทํางาน เพื่อให้เกิดคุณภาพแก่ผลผลิต เป็นการรวมใจ รวมพลัง รวมความคิด เพ่ือ หาทางทําให้
หน่วยงานดีขน้ึ และเขยี นเป็นรายงานประเมนิ ตนเอง ฉบับที่ ๑ (SAR ๑) ซง่ึ ช้ีสภาพ ของหนว่ ยงาน

๔. เปดิ ใจกว้างพรอ้ มแก้ไขปรบั ปรุงตัวเอง

หลักศาสนาพุทธ เน้นให้แต่ละคนประเมินตนเอง แล้วแก้ไข/ปรับปรุงตนเองโดยตนเอง
การวิเคราะห์จุดอ่อน/แข็ง เป็นการร่วมกันเปิดใจด้วยว่า งานใดเป็นอย่างไร ใครทํา และจะ ช่วยกัน
แกไ้ ข/ปรบั ปรุงอยา่ งไร

การวิเคราะห์ประเมินมิใช่การติ ประจาน ลงโทษ หากแต่เป็นการหาสาเหตุเพื่อจะได้แก้ ท่ี
สาเหตุ โดยปรบั ปรงุ วธิ ที ํางานของแตล่ ะคน ซึ่งมใิ ช่แกไ้ ขบคุ ลิกลักษณะนิสัย

๕. ทาํ แผนพัฒนาคน

การวิเคราะห์ตนเอง จะเน้นสาเหตุที่ทาให้งานไม่ได้ตามเปูาหมาย ซ่ึงถ้าทุกงานมีผล
วเิ คราะห์ดงั กลา่ ว จะทําใหส้ รุปได้ทนั ทวี ่าใครควรปรบั ปรงุ เรอ่ื งอะไร ซ่ึงนามาจัดทําแผนพัฒนา คน ๓
กลุ่ม คอื

๑) กลุ่มผู้บริหารทกุ ระดบั ให้สามารถบริการจดั การไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ

๒) กลุ่มครู/อาจารย์ ให้สามารถสอนได้อย่างมืออาชีพ ในกรณีอุดมศึกษาอาจารย์เพิ่ม
บทบาทของการทาวิจัยบรกิ ารทางวชิ าการสสู่ งั คมดว้ ย

๓) กลุ่มบุคลากร/เจ้าหน้าท่ีสนับสนุน ให้สามารถทํางานของตนได้ตามวงจรที่ดี ทําให้
ผู้รับบริการพอใจ ดังน้ันแผนพัฒนาคน จึงเป็นการสรุป ให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นระบบว่า ใครควร
ถกู พัฒนา เรือ่ งอะไร เมือ่ ไร อย่างไร และจะเหน็ ผลโดยวธิ ใี ด

๖. การทําฐานข้อมูล คอมพิวเตอร์

หนว่ ยงานต้องยอมลงทุนสรา้ งโปรแกรมคอมพิวเตอร์บันทกึ ขอ้ มลู ดังน้ี

๑) ข้อมูลผลการปฏบิ ตั ิงานตามภาระงานของแตล่ ะคน ทุก ๆ ส้นิ ภาค/ปีการศึกษา

๒) ขอ้ มลู ผลงานของภาควชิ า/คณะ/โรงเรยี น/หนว่ ยงาน เช่น ผลการทํากจิ กรรม โครงการ

๓๓

๓) ขอ้ มูล หลกั ฐาน ผลการปฏิบตั งิ าน ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ขอ้ ๑ และ ๒

ระบบฐานขอ้ มลู นี้ ควรจัดเปน็ รายองคป์ ระกอบหรือ รายมาตรฐานของการจัดการศึกษา แต่
ละระดับ ได้แก่ ระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ระดับอาชีวศึกษา และ ระดับอุดมศึกษา
เพื่อช่วยในการจัดทาํ รายงานประเมินตนเอง

๗. การวางระบบกํากับงาน

หน่วยงานจะต้องระบุภาระหน้าที่ ว่าต้องมาให้ทําภาระงานอะไรบ้าง ภาระงานแต่ละงาน
ของหน่วยงานจะวางระบบกากับงานอย่างไร เช่น งานสอน จะมีงานอะไรบ้าง แต่ละงานจะ กําหนด
วิธที าํ /วงจร/วิธกี าํ กับทง้ั กิจกรรมและช่วงเวลาอย่างไร

๘. วางวธิ ที างานอย่างมอื อาชีพ

ควรมีการประชุมคนในแต่ละงานเพอื่ ระบุขั้นตอนการทํางานว่า เร่ิมอย่างไร และจบ อย่างไร
แตล่ ะชว่ งใช้เวลาเท่าไร และเชื่อมโยงกบั งานอ่นื อยา่ งไร เชน่ งานเตรยี มสอน (ของ อาจารย์แต่ละคน)
ได้แก่

๑) การอ่านหลกั สตู รและวิธจี ดั การเรียนการสอน

๒) การจัดทาํ ประมวลการสอนรายวิชา

๓) การจดั ทําแผนการสอนรายคร้งั

๔) การทาํ ส่ือต่างๆ

๕) การทาเอกสารประกอบการสอน/เอกสารคาํ สอน/ตํารา/บทความประกอบ

๖) การทําเคร่ืองมอื วัดผล

๗) การกําหนดเกณฑ์ตดั เกรด

ในกิจกรรมแต่ละอย่าง ต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะทําอย่างไร เช่น การอ่านหลักสูตร มี ๓
ขั้นตอน คอื

๑) การอ่านวัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตรวา่ หลักสตู รตอ้ งการให้ผ้จู บมคี ณุ ลกั ษณะ อะไรบ้าง

๒) การอ่านโปรแกรมการจดั การเรียน ระบุให้ได้ว่า เป็นวิชาระดับใดเรียนในภาค ต้น/ปลาย
เรยี นวิชาใดมากอ่ น/หลัง เพ่ือให้เห็นความเช่อื มโยงของเนือ้ หา ผเู้ รยี น และวธิ ีสอน ตลอดหลกั สตู ร

๓) การจัดเนอื้ หาและวัตถุประสงค์ของวิชาท่ีสอน ให้มีความสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของ
หลักสตรู

๓๔

๙. ช้ีการเปลยี่ นแปลง

เม่อื ทาํ มาข้ันที่ ๙ ทุกหน่วยงานจะมีข้อมูลผลการปฏิบัติงานรายบุคคลและระดับ หน่วยงาน
ซึ่งจัดทําตามองค์ประกอบ/มาตรฐาน ซึ่งทาให้สามารถนามาเขียน SAR ฉบับท่ี ๒ ได้แล้ว แล้วเม่ือ
เขียน SAR๒ แล้ว จะเห็นการเปล่ียนแปลงเมื่อเทียบกับ SAR๑ และการวิเคราะห์ จุดอ่อน/แข็งจะ
นําไปสูก่ ารปรับ ข้อ ๕, ๗, ๘ เพราะ SAR๒ น่าจะชี้ความแตกต่างหรือการ เปล่ียนแปลงในผลงานอัน
เน่อื งมาจากวธิ ีทํางานทดี่ ขี ั้น นอกจากน้ี SAR๒ ยังนาไปสู่การปรับปรุง ประเด็นในแต่ละข้ันตอน เช่น
อาจยังมีคนไม่เข้าใจ หรือไม่สํานึก หรือไม่ร่วมมือ ก็จะได้หาแนวทางแก้ไขปรับปรุงต่อไป การช้ีการ
เปลี่ยนแปลงยังทาได้โดยการเชิญคณะผู้ประเมินนอก หน่วยงานให้ตรวจเยี่ยมและประเมินตาม
SAR ๒ เพอ่ื ยืนยันว่าหน่วยงานมีการเปล่ียนแปลงจรงิ หรือไม่ ดังน้ัน วงจร ๙ ข้อ จึงเป็นวงจรไม่รู้จบ
และถ้าทาจริงจังก็จะนาไปสู่เปูาหมายคุณภาพทสี่ ูงขน้ึ เรือ่ ย ๆ

โดยสรปุ กิจกรรมและเอกสาร Utumporn’s QA Model มีดังนี้

กจิ กรรม เอกสาร

ก. การสร้างความเขา้ ใจ ความสํานึก – ค่มู อื คุณภาพของหน่วยงาน

ข. ทํา SAR ๑ (เลือกดัชนีและเกณฑ์) และเปิด - SAR ๑
ใจกวา้ ง

ค. ทําแผนพฒั นาคน ทาํ ฐานข้อมูล - แผนพฒั นาคนและโปรแกรมระบบ MIS

ง. วางระบบกํากบั งาน และวิธที าํ งาน - คู่มือ วางระบบกํากับงาน คือ ปฏิบัติงาน
ของผ้บู ริหาร ครู/อาจารย์ เจา้ หนา้ ที่

จ. ทาํ SAR ๑ ชกี้ ารเปลี่ยนแปลงมีการประเมิน - SAR ๒,๓,๔,.. และคู่มือประเมินคุณภาพ
หน่วยงานโดยคนภายนอก หน่วยงานให้ ข้อมูล ของหน่วยงาน
ย้อนกลบั สู่ทุก คนถึงผลการประเมนิ

นอกจากน้ี โรงเรียน/สถาบนั อุดมศกึ ษาในประเทศไทยควรตัง้ ชอื่ ระบบประกันคุณภาพ ของ
ตน

๓๕

ตาราง ๒.๒ ตวั อย่างสถาบันอดุ มศึกษาในประเทศไทยควรต้ังชือ่ ระบบประกันคณุ ภาพของตน

มหาวทิ ยาลยั ช่อื ระบบ มาจาก
ม.ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ SUPREME Input Process Output
๒๐๐๐
ม.ทักษณิ CIPP Context Input Process Product
ม.มหาจฬุ าลงกรณ์ราช IPOI Input Process Output Impact
วิทยาลยั ม.ธรรมศาสตร์ TU ๔ ES Excellence Efficiency Equity และ Ethic
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั CU - QA - ๘๔ ISO

๒.๕.๙ หลกั การบรหิ ารแบบ SBM

SBM (School Based Management)

การบรหิ ารโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐานเปน็ แนวคิดใหมใ่ นการบริหารโรงเรียน ท่ีริเริ่ม ในประเทศ
สหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๘๐ แล้วแพร่หลายไปยังประเทศอ่ืน แนวคิดน้ีมี ความเช่ือมโยง
กับการปฏิรูปการศึกษาและการกระจายอํานาจทางการศึกษา ซ่ึงเกิดจากความ ไม่พอใจของ
ผูเ้ กยี่ วข้องกบั ระบบการบรหิ ารจัดการศึกษาของรัฐ มีการศึกษาและผลักดันให้เกิด นโยบายท่ีชัดเจน
และต่อเน่ือง ปัจจุบันมีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานครอบคลุม ท่ัวประเทศ สหรัฐอเมริกาและ
แพร่หลายไปยังประเทศอ่นื ๆ รวมทั้งในประเทศไทยตามสาระบัญญัติของ พระราชบัญญัติการศึกษา
แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔๐

หลักการสําคญั ในการบริหารแบบ School-Based Management โดยทัว่ ไป ไดแ้ ก่

๑. หลักการกระจายอํานาจ (Decentralization) ซึ่งเป็นการกระจายอํานาจการจัด
การศกึ ษาจากกระทรวงและสว่ นกลางไปยังสถานศึกษาให้มากที่สุด โดยมีความเชื่อว่า โรงเรียน เป็น
หนว่ ยสาํ คัญในการเปลย่ี นแปลงและพัฒนาการศึกษาของเดก็

๒. หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration or Involvement) เปิดโอกาสให้
ผู้เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มีส่วนร่วมในการบริหาร ตัดสินใจ และร่วมจัดการศึกษา ท้ังครู
ผู้ปกครอง ตัวแทนชุมชน ตัวแทนศิษย์เก่า และตัวแทนนักเรียน การที่บุคคลมีส่วนร่วมใน การจัด
การศึกษาจะเกดิ ความร้สู ึกเปน็ เจา้ ของและจะรบั ผิดชอบในการจัดการศึกษามากข้ึน

๓๖

๓. หลักการคนื อํานาจจัดการศึกษาให้ประชาชน (Return Power to People) ในอดีต การ
จดั การศึกษาจะทาํ กนั หลากหลาย บางแห่งกใ็ หว้ ัดหรือองค์กรในท้องถิ่นเป็นผู้ดําเนินการ ต่อมามีการ
รวมการจัดการศึกษาไปให้กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพื่อให้เกิดเอกภาพและมาตรฐาน ทางการศึกษา แต่
เม่ือประชากรเพิ่มมากข้ึน ความเจริญต่างๆ รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว การจัดการศึกษาโดยส่วนกลาง
เร่มิ มีขอ้ จากัด เกดิ ความล่าช้าและไม่ตอบสนองความต้องการ ของผู้เรียนและชุมชนอย่างแท้จริง จึง
ต้องมีการคืนอาํ นาจใหท้ อ้ งถนิ่ และประชาชนได้จัด การศึกษาเองอีกครง้ั

๔. หลักการบริหารตนเอง (Self-managing) ในระบบการศึกษาทั่วไป มักจะกําหนดให้
โรงเรียนเป็นหน่วยปฏิบัติตามนโยบายของส่วนกลาง โรงเรียนไม่มีอํานาจอย่างแท้จริง สําหรับ การ
บรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานนั้น ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการทํางานให้บรรลุเปูาหมาย และ นโยบายของ
สว่ นรวม แตม่ คี วามเชอ่ื ว่าวธิ ีการทํางานให้บรรลุเปูาหมายนั้นทําได้หลายวิธี การท่ี ส่วนกลางทําหน้า
ที่เพียงกําหนดนโยบายและเปูาหมาย แล้วปล่อยให้โรงเรียนมีระบบการบริหารด้วยตนเอง โดยให้
โรงเรียนมีอํานาจ หน้าท่ี และความรับผิดชอบในการดําเนินงาน ซึ่งอาจดําเนินการได้หลากหลาย
ด้วยวิธีการท่ีแตกต่างกัน แล้วแต่ความพร้อมและสถานการณ์ของ โรงเรียน ผลท่ีได้น่าจะมี
ประสิทธภิ าพสงู กว่าเดิมท่ที ุกอย่างถูกกาํ หนดมาจากสว่ นกลาง ไม่ว่าจะ โดยทางตรงหรือทางอ้อม

๕. หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) ส่วนกลางมีหน้าท่ีกําหนด
นโยบายและควบคุมมาตรฐาน มีองค์กรอิสระทาหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพการบริหารและการจัด
การศึกษา เพ่ือให้มคี ุณภาพและมาตรฐานเป็นไปตามกาํ หนดและเปน็ ไปตามนโยบายของชาติ

การนาไปประยุกต์ใช้ (การปฏบิ ัต)ิ

๑. การประชาสัมพนั ธ์

๒. กาํ หนดบทบาทหน้าทีข่ องคณะกรรมการสถานศกึ ษาให้ชดั เจน

๓. การสรรหาและการคัดเลือกคณะกรรมการสถานศึกษา

๔. การพัฒนาคณะกรรมการสถานศกึ ษา

๕. การสนับสนนุ ให้บุคลากรในสถานศกึ ษารว่ มปฏิบัตงิ านกับคณะกรรมการสถานศกึ ษา

๖. การสรา้ งเครือข่ายคณะกรรมการสถานศกึ ษา

๗. การกําหนดมาตรฐานการดาํ เนนิ งานของคณะกรรมการสถานศึกษา

๘. พจิ ารณาให้สวัสดิการบรกิ ารและสทิ ธิพิเศษแก่คณะกรรมการสถานศกึ ษา

๓๗

๒.๕.๑๐ การรเี อนจเี นยี ร่ิง (Reengineering)
แนวคิดของ Reengineering คือ การรอและรวมทั้งปรับระบบองค์การ เพ่ือให้ เกิดการ

ปรับปรงุ และพฒั นาองคก์ าร ให้เกดิ ประสทิ ธิภาพทั้ง ๔ ด้าน คอื
๑. การลดตน้ ทนุ
๒. การเพมิ่ คุณภาพของผลผลิต
๓. การบรกิ าร
๔. ความรวดเร็ว หลกั การรเี อนจเี นียร่งิ
๑. ตอ้ งไมย่ ดึ ตดิ กบั หลกั การเกา่ ๆ และแนวคิดเดิม
๒. ต้องใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงใหม่ทัง้ หมด
๓. ตอ้ งเปล่ยี นแปลงท่ียิ่งใหญม่ โหฬาร
๔. ต้องเน้นกระบวนการทํางานโดยใชบ้ ุคลากรน้อยที่สดุ
๕. ต้องนาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นกระบวนการทํางาน
๖. ต้องกําหนดตวั ชี้วัดให้ชัดเจน
๗. ต้องจดั สายบงั คับบัญชาให้สัน้ แบบแนวราบ
๘. ต้องเน้นการใหค้ วามสาํ คัญกบั เจา้ หนา้ ท่รี ะดับปฏบิ ตั ิงาน
กระบวนการ Reengineering ประกอบด้วย ๔ ข้ันตอน ไดแ้ ก่
ข้ันที่ ๑ ขั้นระดมพลัง ๑) สร้างรูปแบบใหม่ของกระบวนการธุรกิจ ๒) กําหนดทีมงาน

รับผิดชอบการ Reengineering ๓) กําหนดยุทธศาสตร์ ๔) ให้ความสําคัญในกระบวนการ
Reengineering

ขน้ั ท่ี ๒ ขนั้ วิเคราะห์ ๑) กําหนดขอบเขตและทิศทางของธุรกิจ ๒) ศึกษาความต้องการ ของ
ผรู้ ับ บรกิ าร ๓) ศึกษากระบวนการบริหารและจดั การในปัจจุบัน ๔) คน้ หาจุดอ่อนของระบบ ปัจจุบัน
๕) กาํ หนดเปูาหมายของระบบใหม่

ข้ันท่ี ๓ ขั้นออกแบบกระบวนการธุระกิจใหม่ ๑) กําหนดแนวคิดของกระบวนการบริหาร
และจัดการใหม่ ๒) ออกแบบระบบงานใหม่ ๓) พัฒนารายละเอียดของระบบงานใหม่ ๔) ทดสอบ
ระบบงานใหม่ ๕) ประเมิน ผลระบบงานใหม่

๓๘

ขั้นที่ ๔ ขั้นนําไป ใช้ ๑) ทดลองนําระบบงานใหม่ไปใช้โดยโครงการนําร่อง ๒) ประเมินผล
โดยการนาร่อง ๓) ปรับปรุงและพัฒนาระบบงานให้ดีย่ิงขึ้น ๔) ปรับปรุงและ พัฒนาระบบสนับสนุน
ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ ๕) นาระบบงานใหม่มาใชจ้ ริง

๒.๓.๑๑ รูปแบบการพัฒนาข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ (๔Ps Development
Model) องคป์ ระกอบของรปู แบบ ประกอบด้วย

๑. บุคคล (Personal) หมายถึง ความมีสมรรถนะ (Competency) ของข้าราชการ ซ่ึง
ประกอบด้วย คณุ ลักษณะ (Trail) และพฤติกรรม (Behavior) ในการปฏิบัติงาน

๒. การปฏิบัติงาน (Performance) หมายถึง กระบวนการทํางานท่ีมีประสิทธิภาพ
(Efficiency) และประสิทธผิ ล (Effectiveness)

๓. กระบวนการ (Process) หมายถึง การใช้วงจรการบริหารคุณภาพในการพัฒนา
ข้าราชการตามแนวคิดของเดมม่ิง (Deming’s Circle) ประกอบด้วย การวางแผน (plan) การ
ปฏิบัตกิ ารพฒั นา (do) การตรวจสอบการพัฒนา (check) และการปฏิบตั ิการปรับแก้ (act) อย่างเป็น
ระบบและตอ่ เน่ือง

๔. โปรแกรม (Program) หมายถึง หลักสูตรหรือวิธีการในการพัฒนาข้าราชการตาม
ประกาศสานกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เรื่อง หลักเกณฑ์
และวิธกี ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบุคลากร สายการสอน พ.ศ. ๒๕๖๐ เชน่ การเข้า รับการฝึกอบรม
ระหว่างปฏิบัตงิ าน (On the job training)

๒.๖ สรุปท้ายบท

การบริหารจัดการคุณภาพทงั้ องคก์ ารเปน็ แนวคิดผสมผสานทั้งในแง่ทฤษฎีองค์การ และการ
จดั การคุณภาพ การบริหารจัดการคุณภาพท่ีประสบความสําเร็จย่อมทาให้ผลผลิตและ การบริการมี
คุณภาพและมีประโยชนต์ อ่ องคก์ าร คือ ทําให้องค์การมีภาพลักษณ์ที่ดี ช่วยเพ่ิม ผลผลิตและคุณภาพ
มากข้ึน องค์การที่สร้างผลผลิตและบริการท่ีมีคุณภาพย่อมได้รับความ เชื่อถือจากสังคมและ
ผ้ใู ชบ้ รกิ าร เพม่ิ ส่วนแบ่งการตลาด ผลผลิตเปน็ ทนี่ ิยม เป็นที่ยอมรับ มีผู้มาใช้บริการมากข้ึน ลดภาระ
ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ รวมท้ังลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ในการดําเนินการ และการจัดการ
คุณภาพที่ประสบความสําเร็จจะชว่ ยปูองกนั ความผดิ พลาดท่ี อาจเกิดขึ้นได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

๓๙

บทท่ี ๓

กฎหมาย ระเบยี บ ข้อบงั คบั เกยี่ วกบั การประกันคณุ ภาพการศึกษา

๓.๑ ความนาํ

ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ส่งผลให้ทุกประเทศต้องพัฒนาตนเองเพ่ือให้มี
ศักยภาพในการแขง่ ขันและศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง โดยตัวบ่งชี้ถึงความสําเร็จและความ มั่น คง
ดังกลา่ วประเมินไดจ้ ากศักยภาพและคุณภาพของประชากรในประเทศนั้น ๆ นํามาสู่ความ จําเป็นใน
การปฏิรูปการศึกษาต้ังแต่รอบแรก (พ.ศ. ๒๕๔๒- ๒๕๕๑) – รอบสอง (พ.ศ. ๒๕๕๒- ๒๕๖๑) และ
เพื่อใหเ้ ปูาหมายในการพฒั นาบรรลุผลตามเปาู หมายภาครฐั ไดก้ ําหนดกฎหมาย กฏระเบียบ ข้อบังคับ
ตลอดจนแนวทางในการปฏบิ ัติงานของแตล่ ะภาคส่วนไว้ดงั นี้

๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพทุ ธศักราช ๒๕๖๐
๒. แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔)
๓. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
และ (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓
๔. กฏกระทรวงวา่ ดว้ ยระบบ หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการประกนั คณุ ภาพการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๓
๕. ประกาศสาํ นกั งานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา (ก.ค.ศ.) เร่ือง
หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรสายการสอน พ.ศ. ๒๕๖๐

๓.๒ สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
ทีเ่ กย่ี วข้องกับการศึกษา

สํานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษา (องคก์ ารมหาชน) (๒๕๕๓:๑๘)
หมวด ๔ มาตรา ๕๔ รฐั ตอ้ งดําเนนิ การใหเ้ ดก็ ทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปีต้ังแต่
ก่อนวยั เรียนจนจบการศึกษาภาคบงั คบั อยา่ งมคี ณุ ภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐ ต้องดําเนินการให้เด็ก
เล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหน่ึง เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย
อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและ สนับสนุน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

๔๐

และภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดําเนินการด้วย รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษา
ตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทง้ั ส่งเสริม ให้มกี ารเรียนรูต้ ลอดชวี ิต และจดั ให้มีการร่วมมือกัน
ระหว่างรัฐ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าท่ี
ดําเนินการ กํากับ ส่งเสริม และ สนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพและได้
มาตรฐานสากล ทง้ั น้ีตามกฎหมายวา่ ด้วยการศึกษาแห่งชาติซึ่ง อย่างน้อย ต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับ
การจัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดําเนินการและตรวจสอบการดําเนินการ ให้เป็นไปตาม
แผนการศึกษาแห่งชาติด้วย การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ
สามารถเชี่ยวชาญได้ ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และ
ประเทศชาติ ใน การดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามวรรคสอง หรือให้ประชาชน
ได้รับ การศึกษาตามวรรคสาม รัฐต้องดําเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุน
คา่ ใช้จ่าย ในการศกึ ษา ตามความถนัดของตน ใหจ้ ัดต้ังกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุน
ทรพั ย์ เพ่ือลดความเหลือ่ มลํา้ ในการศึกษา และเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและ ประสิทธิภาพ
ครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุน หรือ ใช้มาตรการหรือ กลไกทางภาษี รวมทั้งการให้ผู้
บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุนไดร้ บั ประโยชน์ในการลดหยอ่ น

๓.๓ สาระสาํ คญั ของแผนพัฒนาฯ ฉบบั ที่ ๑๒ ทางด้านการพฒั นาคณุ ภาพ การศึกษา

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ได้จัดทําข้ึน
ในช่วงเวลาของการปฏิรูปการศึกษาและปฏิรูปประเทศไทย ภายใต้สถานการณ์โลกท่ี เปล่ียนแปลง
อยา่ งรวดเร็วและเชอ่ื มโยงกันใกล้ชิดกันมากขนึ้ โดยไดน้ อ้ มนาหลัก “ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพียง”
มาเป็นปรชั ญานาทางในการพฒั นาประเทศอยา่ งต่อเน่ืองจากแผนพฒั นา ฯ ฉบับที่ ๙-๑๑ และเป็นจุด
เปลีย่ นท่ีสําคัญในการเช่ือมต่อกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ในลักษณะ การแปลงยุทธศาสตร์ระยะยาวสู่
การปฏิบัติ โดยในแต่ละยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาฯ ได้ กําหนดประเด็นก ารพัฒนา พร้อมทั้ง
แผนงาน/ โครงการสาํ คัญท่ีต้องดําเนินการใหเ้ ห็นผลเปน็ รปู ธรรมในช่วง ๕ ปีแรก ของการขับเคลื่อน
ยุทธศาสตร์ชาติ เพ่อื เตรยี มความพร้อมคน สงั คม และระบบเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถปรับตัว
รองรบั ผลกระทบจากการเปลยี่ นแปลงได้ อย่างเหมาะสมขณะเดียวกัน เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วย
ให้สงั คมไทยสามารถยนื หยดั อยูไ่ ด้ อยา่ งม่นั คงเกิดภูมิคมุ้ กัน และมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่าง
เหมาะสม สง่ ผลให้การพัฒนา ประเทศสูค่ วามสมดุลและยง่ั ยืน

หลักการพัฒนาประเทศที่สําคัญในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี ๑๒ ยึดหลัก “ปรัชญา ของ
เศรษฐกิจพอเพียง” “การพัฒนาที่ยังยืน” และ “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” ที่ต่อเน่ืองจาก
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙-๑๑ และยึดหลักการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจท่ีลดความเหล่ือมล้าและ
ขบั เคล่ือนการเจริญเตบิ โตจาการเพม่ิ ผลิตภาพการผลิตบนฐานการใชภ้ มู ิปัญญาและนวัตกรรม

๔๑

สําหรับการกาํ หนดวิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาฯ ฉบับนี้ยึดวิสัยทัศน์ของกรอบ ยุทธศาสตร์ชาติ
ท่ีกําหนดว่า “ประเทศไทยมีความม่ันคง มั่งค่ัง ย่ังยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตาม
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ในขณะที่การกําหนดเปูาหมายและ ตัวช้ีวัดในด้านต่างๆ ของ
แผนพัฒนาฯ ได้ยึดเปูาหมายอนาคตประเทศไทยปี ๒๕๗๙ ที่เป็น เปูาหมายยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
มาเปน็ กรอบในการกาํ หนดเปูาหมายทจี่ ะบรรลุใน ๕ ปี โดยท่ี เปูาหมายและตัวชี้วัดต้องสอดคล้องกับ
กรอบเปูาหมายการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม ที่องค์กรระหว่างประเทศกําหนดขึ้น
อาทิ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ท่ีองค์การสหประชาชาติ
กําหนดข้ึน เป็นต้น ส่วนแนวทางการ พัฒนาได้บูรณาการนโยบายหรือประเด็นพัฒนาที่สําคัญ ของ
ประเดน็ การปฏิรูปประเทศ ๓๗ วาระ และไทยแลนด์ ๔.๐

การจัดทําแผน ขับเคล่ือน และการติดตามประเมินผล เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม ท้ังจาก
ภาครฐั เอกชน ประชาชน และภาคการศึกษา ในทกุ พ้ืนท่ขี องประเทศ เป็นกลไกประชา รัฐท่ีรวมพลัง
ให้สามารถกําหนดเปูาหมาย แนวทางการพัฒนา รวมทั้งแผนงานโครงการสําคัญ ท่ีตอบสนองความ
ต้องการและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างสอดคล้องกับภูมิสังคมและ เกิดผลสัมฤทธิ์อย่าง
จรงิ จงั ใน ๕ ปี

ประเดน็ การพฒั นาหลกั ท่สี าํ คัญในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ ๑๒ ประเทศไทยแม้ว่าได้ ดําเนิน
มาตรการเพ่ือส่งเสริมการบริหารจัดการท่ีดี มีการขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ เป็นระบบ
โครงข่ายมากข้ึน และมีการเพิ่มการลงทุนเพ่ือการวิจัยและพัฒนา แต่อันดับ ความสามารถในการ
แข่งขันของไทยยังปรับตัวช้าเม่ือเทียบกับหลายประเทศ เนื่องจากคุณภาพ คนตํ่า การลงทุนในการ
วิจัยและพฒั นายงั มีน้อย คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ดี และ ปัญหาการบริหารจัดการภาครัฐ
และกฎระเบียบต่าง ๆ ล้าสมัย และขาดประสิทธิผลในการบังคับ ใช้เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤต
เศรษฐกจิ โลกและภยั พิบตั ธิ รรมชาติ ทําใหเ้ ศรษฐกิจไทยผนั ผวนได้ง่าย และเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัว
ในอตั ราท่ตี ่าํ กวา่ ศกั ยภาพมาตอ่ เน่อื งหลายปี นอกจากน้ปี ระเทศไทยต้องเผชญิ กับแรงกดดันและความ
เสี่ยงมากข้ึนภายใต้สถานการณ์ที่ กระแสโลกาภิวัตน์เข้มข้นมากข้ึน เป็นโลกไร้พรมแดน โดยมีการ
เคลอ่ื นย้ายคน เงินทุน องค์ความรู้ เทคโนโลยี ขา่ วสาร สินคา้ และบรกิ ารอย่างเสรี ทาํ ใหก้ ารแข่งขันใน
ตลาดโลก รุนแรงข้ัน ส่งผลให้มีการรวมตัวด้านเศรษฐกิจของกลุ่มต่าง ๆ ในโลกมีความเข้มข้นขึ้น
ประเทศ เศรษฐกิจใหม่มขี ีดความสามารถในการแข่งขันมากข้ึน เช่น จีน อินเดีย ละตินอเมริกา และ
เวียดนาม ซึ่งมีแรงงานราคาถกู และมีมาตรการอน่ื ๆ ประกอบในการดงึ ดูดการลงทุนจาก ต่างประเทศ
ไดเ้ พ่ิมขึน้ นอกจากนั้นการพัฒนาการสอื่ สารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทาให้สังคม โลกมีความเช่ือมโยง
กันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ทําให้เกิดภัยคุกคามและความเส่ียง อาทิ การก่อการร้าย โรคระบาด
อาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาแรงงานต่างด้าว ในขณะเดียวกันประเทศไทยมีความเส่ียงจากการ
เปลยี่ นแปลงโครงสร้างประชากร สู่สังคมสูงวัยมากขึ้น จานวนประชากรวัยแรงงานลดลง ผู้สูงอายุมี

๔๒

ปัญหาสุขภาพและมีแนวโน้ม อยู่คนเดียวสูงขึ้น ปัญหาความยากจนยังกระจุกตัวหนาแน่นในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือและ ภาคเหนือ รวมทั้งความแตกต่างของรายได้ระหว่างกลุ่มคนรวยท่ีสุดและ
กลุม่ คนจนท่ีสดุ สงู ถงึ ๓๔.๙ เท่า ในปี ๒๕๕๖ เนื่องจากการกระจายโอกาสการพัฒนาไม่ท่ัวถึง ย่ิงไป
กว่านนั้ ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมมีปัญหาความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ
ระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ เน่ืองจากการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติมีลักษณะรวมศูนย์ ขาดการเช่ือมโยงกับพ้ืนที่ ในขณะที่ปัญหาส่ิงแวดล้อม เพ่ิม
สูงขน้ึ ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและชุมชนเมือง ประกอบกบั สภาพภมู ิอากาศมีการ

เปล่ยี นแปลงผนั ผวนมากขึ้น ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงมากขึ้น
ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยมากกว่าในอดีต ภายใต้เง่ือนไขและสภาพแวดล้อมด้าน
เศรษฐกิจ สงั คม ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สิง่ แวดล้อมที่เกิดขึ้น ทั้งในและตา่ งประเทศดังกล่าว จะเป็น
แรงกดดนั ให้ประเทศไทยตอ้ งปรับตัว และมกี ารบรหิ ารความเส่ียงอย่างชาญฉลาดมากข้ึนต่อจากน้ีไป
ประเทศไทยตอ้ งปรับเปล่ยี น ครั้งใหญ่ เพอ่ื แก้ไขปัญหารากฐานสําคัญที่เป็นจุดอ่อนและข้อจากัดของ
ประเทศท่ีสัง่ สมมานาน ในขณะเดยี วกันต้องดําเนินยุทธศาสตรเ์ ชิงรุก เพอื่ ใชป้ ระโยชน์จากจุดแข็งและ
จุดเด่นของ ประเทศ ดังน้นั จงึ มคี วามจําเปน็ ทีจ่ ะต้องให้ความสําคัญกับประเด็นท่ีมีลักษณะการบูรณา
การ และใช้ประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเพื่อการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ ท่ีเกิด
ผลสมั ฤทธ์ไิ ดอ้ ย่างแทจ้ ริง ในประเดน็ ตา่ ง ๆ โดยมปี ระเด็นทเี่ ก่ียวข้องกับการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์
ของประเทศดังนี้

๑. การพัฒนานวัตกรรมและการนํามาใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกมิติเพื่อ ยกระดับ
ศักยภาพของประเทศ โดยจะม่งั เน้นการนําความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนา นวัตกรรม ทําให้เกิด
สิ่งใหม่ที่มมี ูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจ ท้ังในเร่ืองกระบวนการผลิตและรูปแบบ ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่
ๆ โดยการกําหนดวาระการวิจัยแห่งชาติ (National Research Agenda) ให้มีจุดเน้นที่ชัดเจน
เฉพาะเจาะจง และสอดคล้องกับสาขาเปูาหมายการพัฒนา ประเทศ และใช้กลยุทธ์ด้านนวัตกรรม
บูรณาการวจิ ัยและพฒั นากับการนาํ ไปใช้ประโยชน์ในเชิง พาณชิ ย์และการพัฒนานวตั กรรม

๒. การสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การวิจยั และพัฒนา วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
โดยสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การดัดแปลงและต่อยอดการพัฒนาเทคโนโลยี ไปสู่ความเป็นอัจฉริยะ
โดยใช้เทคโนโลยีขน้ั สูงและการผสมผสานเทคโนโลยี การพัฒนา ผู้ประกอบการให้เป็นผู้ประกอบการ
ทางเทคโนโลยี (Technopreneur) รวมท้ังการเชื่อมโยง ระหว่างภาคการผลิตที่เป็นกลุ่มใหญ่ของ
ประเทศ ได้แก่ เกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกับ
สถาบันวจิ ัยและสถาบนั การศึกษา รวมท้ังพัฒนาและ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ให้ตอบสนอง

๔๓

การเปล่ียนแปลงเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะเร่งสร้างและพัฒนาบุคลากรวิจัยในสาขา
STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) และสนับสนุนการดาเนินงาน
อย่างเป็นเครือข่ายระหว่างสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน/
ชุมชน รวมทั้งการปรับกลไกระบบ วิจยั และพฒั นาของประเทศท้งั ระบบ

๓. การเตรยี มพร้อมดา้ นกําลังคนและการเสริมสร้างศักยภาพของประชากรใน ทุกช่วงวัย
มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพทุนมนุษย์ของประเทศ โดยพัฒนาคนให้เหมาะสมตาม ช่วงวัย เพื่อให้
เตบิ โตอยา่ งมีคณุ ภาพ การหล่อหลอมให้คนไทยมคี า่ นิยมตามบรรทัดฐานท่ดี ี ทางสังคม เป็นคนดี มีสุข
ภาวะทด่ี มี คี ุณธรรมจริยธรรม มีระเบยี บวนิ ัย และมีจิตสานกึ ทด่ี ีตอ่ สังคมส่วนรวม การพัฒนาทักษะท่ี
สอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานและทักษะที่ จําเป็นต่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑
ของคนในแต่ละช่วงวัยตามความเหมาะสม การเตรียม ความพรอ้ มของกําลังคนด้านวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีท่ีจะเปล่ียนแปลงโลกในอนาคต ตลอดจนการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ
การสร้างเสริมให้คนมีสุขภาพดีท่ีเน้น การปรับเปล่ียนพฤติกรรมทางสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยง
ด้านสภาพแวดลอ้ มท่สี ง่ ผลต่อ สขุ ภาพ

๔. การสรา้ งความเปน็ ธรรมและลดความเหลอ่ื มลา้ ใหค้ วามสาํ คัญกับการ จดั บริการของรัฐ
ที่มีคุณภาพท้ังด้านการศึกษา สาธารณสุข ให้กับผู้ท่ีด้อยโอกาสและผู้ที่อาศัย ในพ้ืนที่ห่างไกลการ
จัดสรรที่ดินทํากิน สนับสนุนในเร่ืองการสร้างอาชีพ รายได้ และสนับสนุน การเพ่ิม ผลิตภาพ
ผูด้ ้อยโอกาส สตรี และผู้สูงอายุ รวมท้ังกระจายการจัดบริการภาครัฐ ให้มีความครอบคลุมและท่ัวถึง
ทัง้ ในเชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพตลอดจนสร้างชมุ ชนเข้มแข็งให้ เปน็ พลงั ร่วมทางสังคมเพอ่ื สนับสนุนการ
พัฒนาและพร้อมรับผลประโยชน์จากการพัฒนา โดยส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการ
ระดับชุมชน การสนับสนุน ศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ส่งเสริมให้ชุมชนจัดสวัสดิการและบริการในชุมชน
และผลักดัน กลไกการกระจายที่ดินทํากินและ การบริหารจัดการท่ีดินของชุม ชน โดยมุ่งบรรลุ
เปูาหมายสาํ คัญในการยกระดับรายไดป้ ระชากร กลุ่มรอ้ ยละ ๔๐ ท่มี รี ายไดต้ าํ่ สดุ

๕. การปรบั โครงสรา้ งการผลิตและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกจิ ในแต่ละช่วง ของห่วงโซ่
มูลค่า เนน้ สร้างความเขม้ แข็งใหก้ ับปจั จัยพนื้ ฐาน ทุนทางเศรษฐกิจให้สนบั สนนุ การเพมิ่ ศกั ยภาพของ
ฐานการผลติ และฐานรายได้เดิม และยกระดับห่วงโซ่มูลค่าด้วยการใช้ เทคโนโลยีวิจัยและพัฒนาเพ่ือ
สร้างนวตั กรรมการผลติ ทีเ่ ปน็ มติ รต่อสิ่ง แวดล้อม และสอดคล้อง กับความต้องการของตลาดรวมทั้ง
สร้างสงั คมผปู้ ระกอบการ ใหม้ ีทักษะการทําธุรกิจที่ทันต่อ การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ตลอดจน
พฒั นาพนื้ ทชี่ ายแดนที่มศี กั ยภาพและพ้ืนที่เศรษฐกิจ ใหม่ เพ่ือรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและ
ขบั เคลอ่ื นเศรษฐกจิ เขา้ สู่การเป็นประเทศรายได้ สงู ในอนาคต


Click to View FlipBook Version