The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การประกันคุณภาพการศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aoraboonchuay, 2021-11-23 17:40:16

การประกันคุณภาพการศึกษา

การประกันคุณภาพการศึกษา

๒๒๔

๒๓ การศกึ ษาภาคบงั คบั เพือ่ ยกระดับมาตรฐานการศึกษาของปวงชน
รฐั บาลของสาธารณรฐั ประชาชนจีน ได้ประกาศใช้กฎหมายการศึกษาภาคบังคับ (The L aw

on Compulsory Education) เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายนค.ศ. ๑๙๘๖ ต่อมาได้แก้ไขเพ่ิมเติม เมื่อวันท่ี
๒๙ มถิ นุ ายน ค.ศ. ๒๐๐๖ กฎหมายนกี้ าํ หนดใหก้ ารศกึ ษาภาคบังคับ ๙ ปี ประกอบด้วย ๒ ระดับ คือ
ระดับประถมศกึ ษา๖ ปี และระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ๓ ปี โดยใหเ้ ด็กทุกคนเข้าเรียนเมอ่ื อายุ

๖ ปี แต่ในบางพ้นื ทีท่ ีไ่ มม่ ีความพร้อม อาจจะใหเ้ ข้าเรียนเมื่ออายุ ๗ ปี ทัง้ น้ใี ห้ทุกคนมีโอกาสเข้าเรียน
โดยไม่จํากัดด้านเพศ ศาสนา เชื้อชาติ ภาษา และให้เป็นการศึกษาแบบให้เปล่า ไม่เสียค่าเล่าเรียน
และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ(No tuition or miscellaneous fee may be charged.) สภา
แหง่ ชาติ(State Council มีอาํ นาจหนา้ ทีใ่ นการแนะนาํ การจัดการศึกษาภาคบังคับและให้รัฐบาลของ
ประชาชนในระดบั ทอ้ งถิ่นทําหน้าที่บริหารการศึกษาภาคบังคับตามแผนของระดับจังหวัด ระดับเขต
และระดับเทศบาล โดยได้ทําการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ และได้นําร่องเม่ือปี ค.ศ.
๒๐๐๑เพ่ือให้มีมาตรฐานหลักสูตรสําหรับรายวิชาต่าง ๆ ในระดับการศึกษาภาคบังคับ และมีระบบ
มาตรฐานหลักสูตรสําหรับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เปูาหมายหลักของการปฏิรูปหลักสูตร คือ เพ่ือนํา
การศึกษาทีม่ ่งุ คุณภาพไปสู่การปฏบิ ัติ และเพอ่ื ยกระดบั คุณภาพของการศึกษา หลักสูตรใหม่เน้นเรื่อง
การสร้งนวตั กรรมและความสามารถในการลงมือปฏิบัติ (InnovativeSpirit and Practical Abilities)
ปลกู ฝงั ความคดิ รเิ รมิ่ และเน้นเรอื่ งความคิดสร้างสรรค์มากข้ึน รวมทั้งสํารวจความสนใจและศักยภาพ
ของผู้เยาว์และเด็กวัยรุ่น และส่งเสริมให้เยาวชนมีความใฝุรู้และมีแรงบันดาลใจที่จะแสวงหาความรู้
(UNESCO, Ibid.)

๒๒๕

๙.๑๕ การพัฒนามาตรฐานการศกึ ษาของสารารณรัฐสิงคโปร์

สาธารณรัฐสิงคโปร์ ไดเชือ่ ว่าเปน็ ประเทศที่ประชากรมีคณุ ภาพชีวิตดีที่สุดใี นเอเชยี และอันดับ
ท่ี ๑๑ ของโลก (จัดฮันดับโดย าธารณรัฐสิงคโปร์ ได้ช่ือว่าเป็นประเทศท่ีประชากรมีคุณภาพThe
Economist Intelligence Unit's "Quality-Of-Life Index")สิงคโปร์มีทุนสํารองเป็นเงินตรา
ตา่ งประเทศมากเปน็ อันดบั ๙ ของโลกมีกองทพั ที่เพยี บพรอ้ มและมคี วามก้าวหน้ามากด้านเทคโนโลยี
ประชากรมีประมาณ ๕ ลา้ นคน (พ.ศ.๒๕๕๓) ประกอบด้วยคนเช้ือขาตจิ ีน มาเลย์ อินเดียและชาว
ยุรป ร้อยละ ๔๒ เป็นชาวต่างประเทศท่ีเข้ามาเรียนและทํางานร้อยละ ๕๐ ของผู้ทํางานภาคบริการ
เปน็ ชาวต่างชาตจิ ากจนี มาเลเซียฟิลปิ ปนิ ส์ อเมริกาเหนือตะวันออกกลาง ยุโรป ออสเตรเสีย บังคลา
เทศและอนิ เดีย สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีประซากรหนาแน่นเป็นอันดับ ๒ของโลกรองจากโมนโคร้อย
ละ ๗๔.๒ ของประชากรสิงคโปร์เป็นชาวจีนซ่ึงพูดภาษาถิ่นต่างๆ หลายภาษาร้อยละ ๑๓.๔ เป็นซาว
มาเลย์รอ้ ยละ ๙.๒เปน็ ชาวอนิ เดียร้อยละ ๓.๒ เป็นซาวยุโรปอาหรับและอื่นๆ รัฐบาลสิงคโปร์รับรอง
ภาษาราชการ ๔ ภาษาคือ ภาษาอังกฤษมาเลย์ จีน (แมนดาริน) และทมิฬ ภาษาอังกฤษเป็นภาษา
หลักของประเทศสิงคโปร์ (http://ww.singstat.gov.sg/)

๑. ระบบการศึกษา และการบริหารการศกึ ษา
เด็กในประเทศสิงคโปร์เข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาต้ังแต่อายุ๗ ปี ใช้เวลาเรียน ๖ ปี

และจะต้องสอบผ่านการสอบไล่ "The PrimarySchool Leaving Examination (PSLE)" หลักสูตร
ระดบั ประถมศึกษาเน้นวิชาแกน ๔ วิชาคือภาษาอังกฤษคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาแม่ทุก
วิชามีการเรยี นการสอนและการสอบเป็นภาษาอังกฤษยกเว้นภาษาแม่ซึ่งสอนและสอบเป็นภาษาแม่
ตามเชื้อชาติของผู้เรียน เช่นภาษามาเลย์หรือภาษาจีนแมนดารินหรือภาษาทมิฬ โรงเรียน
ประถมศึกษาของรัฐไม่เก็บคเ่ ลา่ เรยี นแต่อาจมีคา่ ใช้จ่ายอืน่ ๆ ได้

๒๒๖

ระบบการศึกษาแบง่ ตามระดบั ข้นั การศกึ ษาของประเทศสิงคโปร์

การบรหิ ารการศึกษา
ประเทศสงิ คโปร์ มีกระทรวงศึกษาธกิ าร(Ministry of Education)ทําหน้าที่บริหารการศึกษา

ทุกระดับ โดยมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด และมีรองปลัดกระทรวง ๓ ฝุาย
คือ ฝุายสามัญศึกษาฝุายนโยบาย ฝุายบริการ (Deputy General Education, DeputySecretary
of Policy, Deputy Secretary of Services)

๒๒๗

๒. มาตรฐานการศึกษาของชาติ
๒.๑ มาตรฐานการดแู ลสขุ ภาพและผลลัพธท์ ่ีคาดหวงั จากหลักสตู รระดบั อนบุ าล

การศึกษาระดับปฐมวัย (Pre school education) ในประเทศสิงคโปร์เป็นความร่วมมีอ
ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงพัฒนาชุมชนเยาวชนและกีฬา
(Ministry of CommunityDevelopment, Youth and Sports-MCYS) นกั เรียนจะได้รับคําแนะนํา
ตามมาตรการดแู ลสุขอนามัยและได้รับการตรวจเพ่ือคัดกรองด้านสุขภาพก่อนวัยเรียนหลักสูตร ๓ ปี
สําหรับเดก็ อายุ ๓- ๖ ขวบ โปรแกรมการเรียนแต่ละช้นั ประกอบดว้ ยกิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาและ
การรหู้ นงั สือ(Literacy) ความเขา้ ใจพื้นฐานเก่ียวกับตัวเลข ความเข้าใจวิทยาศาสตร์อย่างง่าย ทักษะ
ทางสงั คม ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดสร้างสรรค์ ความซาบซึ้งในดนตรี การเคล่ือนไหวและการ
เล่นกลางแจ้ง จะเรียน ๒ ภาษาคือภาษาอังกฤษในฐานะเป็นภาษาที่หนึ่ง (English as the first
language) และภาษาจนี หรือภาษามาลย์หรือภาษาทมิฬในฐานะเป็นภาษาแม่กระทรวงศึกษาธิการ
สิงคโปร์ใหค้ วามสําคญั อย่างย่ิงตอ่ การศึกษาปฐมวัยเพราะเป็นช่วงวางรากฐานทักษะและอุปนิสัย ซึ่ง
จะมีผลตอ่ เดก็ ไปตลอดชีวิตได้กาํ หนด "ผลลพั ธทคี่ าดหวังสําหรับการศึกษาระดับปฐมวัย"ไว้เป็นกรอบ
สําหรับการออกแบบหลักสูตรอนุบาลศึกษา คือ เมื่อสําเร็จการศึกษาระดับอนุบาล จะมีคุณลักษณะ
และความสามารถ (๑) รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด (๒) เต็มใจแบ่งปันและผลัดเปลี่ยนกันกับผู้อื่น (๓)
สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น (๔) อยากรู้อยากเห็นและสามารถสืบคัน(๕)สามารถฟังและพูด
ด้วยความเข้าใจ (๖) รู้จักทําตัวสบายและมีความสุข(๗) มีพัฒนาการทางกายและสุขนิสัยท่ีดี (๘) รัก
ครอบครวั เพือ่ นครแู ละโรงเรยี น

ผลลัพธท์ ี่คาดหวงั ดังกลา่ วเปน็ กรอบแนวคิดท่ีช่วยให้พ่อแม่และครูช่วยกันออกแบบหลักสูตร
ท่ีจะปลูกฝังใหเ้ ด็กมที ักษะและค่านิยมท่ีพึงประสงค์ได้แก่ ค่านิยมท่ีดีด้านคุณธรรมและสังคมนิสัยที่ดี
ในการทํางานและการเล่นกับผอู้ ่นื แนวคดิ เก๋ยี วกับตัวเองในทางบวกและความมั่นใจความอยากรู้อยาก
เห็นอย่างยิ่งเก่ยี วกบั สรรพสิง่ รอบตัวความสามารถในการส่อื สารเป็นภาษาองั กฤษและภาษาแม่อย่างมี
ประสิทธิภาพการควบคุมร่างกายและใช้ทักษะต่งๆ ค่านิยมทางบวกเก่ียวกับครอบครัวและ
ความสมั พันธท์ ่ีใกลช้ ิดกับชมุ ชน

๒.๒ หลักสูตรแห่งชาติระดับประถมศึกษาและการสอบ PSLE การประถมศึกษาของ
สิงคโปร์ประกอบด้วยขั้นวางพื้นฐาน (FoundationStage) ๔ ปีในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึง ๔ และ
ข้ันกําหนดทิศทาง(Orientation Stage) ๒ ปีในช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕ ถึง ๖ เปูาประสงค์ทั่วไปของ
การประถมศกึ ษาคือ เพ่ือให้มีความรู้และทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษภาษาแม่และคณิตศาสตร์เป็น
การศกึ ษาภาคบงั คับไมเ่ กบ็ คา่ เล่าเรยี นหลกั สตู รประถมศึกษาของสิงคโปร์มุ่งเพื่อสร้างทักษะชีวิต โดย
ใช้กิจกรรมเสริมหลักสูตร (Co curricular Activities - CCA) การศึกษาเพ่ือสร้างลักษณะนิสัยและ

๒๒๘

ความเป็นพลเมืองดี (Character and Citizenship Education -CCE) การศึกษาเพื่อความเป็นชาติ
(National Education NE) โปรแกรมเพ่ือการเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติ (Program for
ActiveLearning - PAL) wลศึกษา (Physical Education - PE) โครงงาน (ProjectWork - PW)
การปฏิบัตติ ามค่นิยมตา่ ง ๆ ทีพ่ ึงประสงค์ (Values in ActionVA) และรายวิชาท่ีจะสอบ PSLE ได้แก่
(๑) วิชามาตรฐาน (Standardsubjects) คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาแม่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ (๒)
วิชาพ้ืนฐาน (Foundation subjects) ได้แก่ ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ภาษาแม่พื้นฐานภาษาอังกฤษ
พ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์พน้ื ฐาน (๓) วิซาเลอื ก (Optionalsubject) ได้แก่ ภาษาแม่ระดับสูงขึ้น (Higher
Mother Tongue) ท้ังนี้วิชาวิทยาศาสตร์ เรมิ่ สอนต้งั แต่ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๓ และการเรียนการสอน
ตามหลกั สตู รประถมศกึ ษาของสงิ คโปร์ จะสมั พันธก์ ันเหมือนภาพวงกลมท่ีซ้อนกันอยู่สามช้ันวงในสุด
ฝึกทกั ษะชีวิต (Life Skills) ประกันว่านักเรียนจะได้รับการปลูกฝังค่านิยมและทักษะชีวิตที่ดีในฐานะ
พลเมืองผู้มีความรับผิดชอบและแข็งขันโดยใช้กิจกรรมที่ไม่ใช่รายวิชาวงกลางเน้นทักษะความรู้
(Knowledge Skills) มุ่งพัฒนาผ้เู รยี นเรื่องทักษะกระบวนการคดิ และการสือ่ สารช่วยให้รู้จักวิเคราะห์
และใช้ข้อมูลและสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิผลใช้โครงงาน ( Project
Work - PW)วงนอกสุดเน้นเนื้อหาของสาขาวิชาต่าง ๆ (Content-basedSubject Disciplines)
ไดแ้ ก่ ภาษามานษุ ยวิทยา ศลิ ปะ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ดังภาพต่อไป

๒๒๙

กระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์กําหนดเปูาหมายด้านผลผลิตของการประถมศึกษาไว้
ใกล้เคียงกับผลิตของการศึกษาระดับอนุบาล คือ (๑) แยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด (๒) รู้จักการ
แบ่งปนั และการใหผ้ ู้อ่ืนลงมือทาํ กอ่ น (๓) สามารถสร้างมติ รภาพกับผ้อู ่ืน (๔) มีความอยากรู้อยากเห็น
เกย่ี วกับสิ่งต่าง ๆ (๕) สามารถคดิ ด้วยตนเองและแสดงความคดิ เห็นได้ (๖) ภูมิใจในผลงานตนเอง (๗)
ไดบ้ ม่ เพาะสขุ นสิ ัยท่ดี ี (๘) รกั ประเทศสงิ คโปร์

๒.๓ มาตรฐานหลักสูตรระดบั มธั ยมศกึ ษา ๓ เส้นทาง
ระดับมัธยมศึกษาหลักสูตรแบ่งออกเป็น ๓ สาย คือ สายพิเศษหรือเร่งรัด

(Special/Express) สายวิซาการปกติ (Normal Academic) และสายเทคนิค (Normal Technical)
ซึ่งจะเข้าเรียนสายใด ขึ้นอยู่กับผลการทดสอบ PSLE เม่ือจบประถมศึกษาปีท่ี หลักสูตรมัธยมศึกษา
แตล่ ะสายมจี ุดเน้นต่างกันสายพิเศษหรือเร่งรัด (Special and Express Courses)เป็นหลักสูตร ๔ ปี
เม่ือเรียนจบต้องเข้ารับการทดสอบ GCE 'O' Levelและจะเรียนภาษาแม่ในระดับสูง (Higher
Chinese/ Higher Malay/Higher Tamil) สายสามัญ (Normal Courses) ท้ังสายสามัญวิซาการ
(Academic) และสายเทคนิค (Technical) เป็นหลักสูตร ๔ ปีเมื่อจบแล้วต้องสอบ GCE 'N' Level
ถา้ มีผลการสอบ GCE'N' Level ในระดับดี ก็จะมีโอกาสเรียนปีที่ ๕ เพื่อสอบ GCE 'O' Level ได้ด้วย
ท้ังน้ีนักเรียนอาจเปลยี่ นสายได้ ข้นึ อยู่กบั ผลการสอบและการประเมนิ โดยครูและผู้บริหารสถานศึกษา
ตามภาพขา้ งล่าง

๒๓๐

การทดสอบระดับชาติคือ Singapore Cambridge General Certificateof Education
(GCE) 'O' Level เรียกย่อว่า GCE 'O' Level สําหรับสายพิเศษและเร่งรัด (Special/Express) และ
GCE 'N' Level สาํ หรับสายสามญั นกั เรียนทุกคนต้องมหี ลกั ฐานการเข้าร่วมในกิจกรรมเสริมหลักสูตร
(Co Curricular Activities -CCAs) อยา่ งน้อย ๑ กจิ กรรม ผลการเรียนรู้ในกิจกรรมเสริมหลักสูตรจะ
เป็นสว่ นหนงึ่ ท่ีนําไปพิจารณารับเข้าเรียนในวิทยาลัยด้วย ผลผลิตของการมัธยมศึกษาท่ีคาดหวัง คือ
คุณลักษณะต่าง ๆได้แก่ (๑) มีคุณธรรมความซ่ือสัตย์ สุจริต (๒) มีความเอาใจใส่และห่วงใยต่อผู้อ่ืน
(๓) สามารถทํางนเป็นทิ่มและเห็นคุณค่าของการอุทิศของทุกคนเพ่ือทีม (๑) เป็นผู้ประกอบการที่ดี
และรเิ รมิ่ ส่ิงใหม่ๆ (๕) มีพนื้ ฐานความรกู้ ว้างเพือ่ การศกึ ษาต่อ (๖) เชื่อม่ันในความสามารถของตนเอง
(๗) ชื่นชมสง่ิ ที่มสี นุ ทรยี ภาพ (๘) รู้จกั สิงคโปร์ และเช่ือมั่นในประเทศสิงคโปร์ ซ่ึงจะนําไปสู่การผลิตผู้
จบมหาวิทยาลัยทม่ี คี ุณภาพ คอื มีความยืดหยุ่นแต่ทนทานและเด็ดเดี่ยว มีความรับผิดชอบสูง เข้าใจ
ว่าจะใช้อะไรในการสร้างแรงดลใจและจูงใจผู้อ่ืน มีจิตใจเป็นนักจัดการท่ีดีและมีความคิดริเร่ิม
สามารถคดิ ได้เองอย่างอิสระและคิดเชงิ สร้างสรรค์ มุ่งม่ันสู่ความเป็นเลิศ และเข้าใจว่าใช้อะไรบ้างใน
การนําประเทศสิงคโปร์ ดังตารางเปรียบเทียบผลผลิตทพ่ี ึงประสงคข์ องการศึกษาสิงคโปร์

ตารางแสดงเปูาประสงค์ในการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั ในแต่ละระดบั การศกึ ษาของประเทศสงิ คโปร์

ระดบั ประถมศกึ ษา ระดับมธั ยมศกึ ษา ระดับเตรยี มอดุ มศึกษา

สามารถแยกแยะความ มีคณุ ธรรมและความ มคี วามคุณธรรมและ

ถกู ผิด ซอื่ สัตย์ กลา้ หาญท่จี ะยนื หยดั เพ่อื
ความถูกตอ้ ง

รู้จดุ แข็งและสาขาที่ เชือ่ มั่นในความสามารถ สงบนง่ิ รับฟงั ตอ่ ความ

สามารถพฒั นาไดข้ อง ของตนเองที่จะพฒั นา เหน็ ท่ีแตกตา่ ง

ตนเอง เปล่ียนแปลง

รู้จักสรา้ งความเป็นมิตร สามารถทํางานรว่ มกับ มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม

และแบง่ ปันกบั ผอู้ น่ื ผ้อู ืน่ และเหน็ คณุ คา่ และสามารถอยู่ในสังคม
ของผอู้ ืน่ พหวุ ัฒนธรรมได้อยา่ งมี

ความสุข

ระดับประถมศกึ ษา ระดับมัธยมศึกษา ๒๓๑
มคี วามสนใจใคร่รู้ในสิง่ ตา่ ง ๆ มีความสรา้ งสรรคแ์ ละ
ระดับเตรียมอุดมศกึ ษา
สนใจใคร่รู้ มคี วามคดิ สร้างสรรคใ์ นเชงิ
นวัตกรรมและจติ วญิ ญาณ
มีความสามารถในการ รูค้ ุณคา่ ของความคิด ของผปู้ ระกอบการ
คดิ และแสดงออกอยา่ ง เห็นทีแ่ ตกต่างและ มคี วามสามารถในการคิด
เชื่อม่ัน สามารถสือ่ สารได้อย่าง วเิ คราะห์และการส่ือสาร
มปี ระสทิ ธภิ าพ ที่โนม้ น้าวเชิญชวนให้
ภาคภมู ใิ จในงานของ มคี วามรับผดิ ชอบตอ่ เหน็ ตาม
ตนเอง การเรยี นรขู้ องตนเอง มีความต้ังม่ันในการ
มสี ุขนิสัยที่ดีและรัก สนุกกับการออกกําลงั แสวงหาความเปน็ เลิศ
ศิลปะ กายและสนุ ทรีย์กับงาน มีรูปแบบการใช้ชีวติ เพื่อ
สขุ ภาพท่ีดีและเห็นคุณคา่
รู้จักและรักสงิ คโปร์ ศิลปะ ของการกฬี า
เช่ือม่ันในสิงคโปร์และ
เข้าใจว่าอะไรสาํ คญั มีความภาคภูมิใจในความ
เปน็ ชาวสงิ คโปร์และ
สําหรับสิงคโปร์ เข้าใจในความสมั พนั ธ์ของ
สิงคโปรก์ บั ต่างประเทศ

๒๓๒

๙.๑๖ การพัฒนามตรฐานการศึกษา : สหพนั ธรัฐมาเลเซยี

ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย ตั้งอยใู่ นภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ใช้ระบอบประชาธิปไตย
แบบสหพน้ ธรัฐ มีพระมหากษัตรยิ ์เปน็ ประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ เน้นนโยบายเศรษฐกิจเน้นพ่ึงตนเอง
นโยบายทางสั่งคม คอื การสรา้ งคา่ นยิ มอสิ ลาม แตไ่ ม่ถึงระดับสุดขั้วเพราะประกอบด้วยคนหลายเชื้อ
ชาติ มกี ารดําเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกมาตลอดและพยายามสร้างอํานาจต่อรองกับประเทศท่ี
พัฒนาแล้ว

๑. ระบบการศึกษา และการบรหิ ารการศึกษา
ระบบการศึกษาของมาเลเซียได้รับอิทธิพลจากระบบการศึกษาของอังกฤษ ข้อมูลของกอง

วางแผนและวิจัย กระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย (๒๐๐๑) ระบุว่า ระบบการศึกษาของมาเลเซีย
จําแนกได้ ดงั นี้

๑. การศึกษาก่อนวัยเรียน (Pre-School) สําหรับเด็กอายุ ๔ ๖ ปีจัดในโรงเรียนอนุบาล
(kinder garten) ท้ังของรัฐบาลและเอกชนตามแนวการจัดการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกําหนด
อย่างกว้าง ๆ

๒. การประถมศึกษา (Primary Education) รับนักเรียนตั้งแต่อายุ๗ ปี ใช้เวลา ๕-๗ ปี แบ่ง
ออกเปน็ ๒ ประเภท

(๑) โรงเรียนประถมแห่งชาติ (National Schools) จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษามลายู
และสอนภาษาองั กฤษเปน็ วชิ าบังคบั

(๒)โรงเรียนลักษณะเด่ียวกับประถมศึกษาแห่งชาติ (National type school) จัดการเรียน
การสอนโดยใชภ้ าษาจนี หรอื ภาษาทมิฬ ส่วนภาษามลายแู ละภาษาอังกฤษจดั สอนเปน็ วชิ าบงั คบั

๒๓๓

หลักสูตรประถมศึกษา แบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ ประถมศึกษาตอนต้นปีท่ี ๑-๓ เน้นการสอน
ทักษะการอ่าน การเขียน และเลขคณิต และระดับประถมศึกษาตอนปลายปีที่ ๔ ๖ เน้นการอ่าน
คล่อง เขยี นคลอ่ ง คดิ เลขคลอ่ ง (Mastery) และการวางพนื้ ฐานความรู้วิทยาศาสตร์เบื้องตนั

๓. การมัธยมศึกษา (Secondary Education) แบ่งเป็น ๒ ระดับคือ มัธยมศึกษาตอนต้น
และตอนปลาย

(๑) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น จัดการเรยี นการสอน ๓ ปี ในฟอรม์ ๑-๓ รบั นักเรียนท่ีจบจาก
โรงเรียนประถมแห่งชาติ โดยไม่ต้องเรียนช้ันเตรียมมัธยมต้น (Remove C(lass) แต่ถ้าจบจาก
ประถมศกึ ษาแบบnational-type school ตอ้ งเรียนใน Remove C(ass กอ่ น ๑ ปี จึงจะเข้าเรียนใน
ฟอร์ม ๑ วิซาในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น ของโรงเรียนมัธยมบูรณาการ (Integrated Lower-
Secondary School) ประกอบด้วย๑) วิชาแกน (Core Subjects) ได้แก่ ภาษามลายู ภาษาอังกฤษ
มุสลิมศึกษาหรือจริยศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ๒) วิชาบังคับ
(Compulsory Subjects) ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ทักษะการใช้ชีวิตศิลปศึกษา ดนตรีศึกษา สุขศึกษา พล
ศึกษา และ ๓) วิซาเพ่ิมเติม (AdditionalSubjects) ได้แก่ ภาษาจีน ภาษาทมิฬ ภาษาอารบิก (เพื่อ
การสอ่ื สาร)

(๒) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แบ่งเป็น ๒ สาย สายแรก คือ สายวิชาการ (Academic
Schools) ใช้หลักสูตรบูรณาการ เรียกว่า IntegratedSecondary School Curriculum ซึ่งจัดให้
เรยี นวิชาแกน และวิซาเพมิ่ เติมเหมอื นระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น แต่วิชาบังคับมีเพียง ๒ วิชา คือ พล
ศึกษาและสุขศึกษา นอกจากน้ีเป็นวิชาเลือก แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ วิชาเลือกทั่วไป
(Electives) และวิชาอาชีพเลือก (Vocational Electives)ให้เลือกเรียนอย่างกว้างขวาง สายท่ีสอง
เปน็ สายเทคนิคและอาชีวศึกษา(Technical and Vocational Education) ซ่ึงมีโรงเรียนเทคนิค ๘๐
โรงเรียน และโรงเรียนอาชีวศึกษา ๔ โรงเรียน โรงเรียนเทคนิคส่วนมากเตรียมนักเรียนให้เรียนต่อ
อุดมศึกษา ส่วนโรงเรียนอาชีวศึกษา เตรียมให้เข้าสู่งานแต่อาจเรียนต่ออุดมศึกษาได้ หลักสูตร
มธั ยมศกึ ษาตอนปลายสายวิซาการใช้เวลาเรียน ๒ ปี ในฟอรม์ ๔-๕

นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่จัดตั้งโดยรัฐบาล เรียกว่าNational Religious
Secondary Schools มีวิซาแกน คือ อิสลามศึกษาและอารบิกศึกษา เตรียมนักเรียนไปทํางาน
เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ครูและกฎหมาย ปัจจุบันมีการสอนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวิชาเลือกท่ี
หลากหลายมากข้นึ ทั้งวิชาวิทยาศาสตร์บรสิ ทุ ธ์ ประยุกต์ศสิ ป์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และภาษาต่าง ๆ

๔. การศึกษาหลังระดับมัธยม (Post-Secondary Education) มีหลายประเภท เช่น
ฟอร์ม ๖ (Form Sx) เป็นหลักสูตรต่อเนื่องจากมัธยมศึกษาตอนปลาย เรียน ๑ ปี ถึง ๑ ปีคร่ึง ก่อน

๒๓๔

สอบเพือ่ ขอรับประกาศนียบัตรGeneral Certificate of Secondary Education (GCSE) "A" Level
เพื่อนาํ ไปสมัครสอบเข้าเรยี นตอ่ มหาวิทยาลยั ของรฐั

- Matriculation Programme เป็นหลักสูตรเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย (Pre-University
Programme) ระยะเวลาเรยี น ๑-๒ ปี

- Polytechnics จัดสอนวชิ าเทคนิคสาขาวศิ วกรรมศาสตร์ระดับสูงกวา่ มธั ยมศึกษา
-สถาบันอดุ มศกึ ษาที่จดั ตงั้ โดยกระทรวงต่าง ๆ
-วทิ ยาสัยตวนกู อับดุล ราห์มาน (Tunku Abdul Rahman College)
-มหาวิทยาลัย
-สถาบันอุดมศึกษาที่เกิดจากการร่วมมือระหว่างรัฐบาลมาเลเซียกับต่างประเทศ เช่น The
German-Malaysian Institute (GMI), TheBritish-Malaysian Institute (BMI), The Malaysia
France Institute(MFI)
-สถาบนั การศึกษาหลังมธั ยมในวทิ ยาลัยเอกชน
- สถาบันครุศึกษา (Teacher Education) ได้แก่ วิทยาลัยวิซาการศึกษ๒๗ แห่ง และคณะ
วชิ าในมหาวิทยาลัยตา่ ง ๆ ที่ได้รบั อนุมัตใิ ห้จัดการศกึ ษาสําหรบั ผลติ หรอื พฒั นาครู มีหลักสูตรต่อเน่ือง
สําหรับครูประจําการท่ียังไม่จบปริญญาตรีหลักสูตรปริญญาตรี หลักสูตรปริญญา หลักสูตรพัฒนา
ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาเป็นต้น

การบริหารการศกึ ษา
ระบบการบริหารการศึกษามีกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษามีหน้าท่ี

บริหารการศึกษาของมาเลเซีย โดยกระทรวงศึกษาธิการมีหน้าท่ีบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วน
กระทรวงอุดมศกึ ษามหี น้าท่ีบริหารการอดุ มศกึ ษา ตามแผนผงั โครงสร้างองคก์ าร ดง่ั นี้

ภายในกระทรวงศกึ ษาธิการ มีสว่ นนโยบายและพฒั นาการศึกษาทําหน้าที่วางแผนและจัดทํา
นโยบายการศึกษาของชาติ นําแผนยุทธศาสตร์เพ่ือพัฒนาการศึกษาไปสู่การปฏิบัติตามนโยบายของ
รฐั บาล และพระราชบญั ญตั ิการศึกษา จัดทําและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาแห่งซาติโดยมุ่งสู่การเป็น
หลกั สตู รระดบั สากล จัดทํานโยบายเพือ่ การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษาตามปรัชญาการศึกษาของซา
ติ และตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร จัดการกับความต้องการเชิงนโยบายด้านการศึกษาเกี่ยวกับ
บทบาทของเทคโนโลยกี ารศึกษาและสื่อต่าง ๆ เพื่อเสรมิ สร้างความแข็งแกร่งให้กับกระบวนการเรียน
การสอน วเิ คราะห์ความตอ้ งการ และพฒั นาโปรแกรมต่าง ๆ เพือ่ การพิมพ์ตาํ ราเรียนสําหรับโรงเรียน
ประถมและมัธยมศึกษา พัฒนาและรับประกันการมีหนังสือภาษามลาซ่ึงมีบทบาทเป็นเครื่องมือที่มี

๒๓๕

ประสทิ ธผิ ลต่อการพัฒนาแนวคิดสังคมและวฒั นธรรมทสี่ อดคลอ้ งกับแรงบันดาลใจและความต้องการ
ของประเทศ

๒. มาตรฐานการศึกษาของชาติ
ประเทศมาเลเซีย มีการจดั การศกึ ษาโดยการกาํ หนดกรอบมาตรฐานไวใ้ นมาตรฐานการศึกษา

ของชาตแิ ละมกี ารปรบั ปรุงหลกั สูตรการศึกษาการสอบวัดความรู้ ดังน้ี
๒.๑ มาตรฐานหลักสูตรแห่งชาติ กฎหมายการศึกษา ปีค.ศ. ๑๙๖๖ ได้กําหนดกรอบ

มาตรฐานสาํ หรับระบบการศึกษาแห่งชาติมาเลเซียไว้ต้ังแต่ระดับก่อนประถมศึกษจนถึงมัธยมศึกษา
และกําหนดให้มีหลักสูตรระดับชาติโดย ให้เป็นอํานาจหน้าท่ีของกระทรวงศึกษาธิการหลักสูตร
ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ฉบับปี ค.ศ. ๑๙๙๗ มีโครงสร้างเน้ือหา ประกอบด้วย (๑) วิชาบังคับ
(Compulsory Subjects) คือวิชาท่ีทุกโรงเรียนต้องสอน ทั้งในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนท่ีรัฐ
สนับสนุน(government - aided schools) (๒) วิซาเลือก (Elective Subjects) ให้นักเรียนเลือก
เรยี นไดใ้ นโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนท่ีรัฐสนับสนุน (๓) วิชาแกน (Core Subjects) เป็นวิชาที่ต้อง
เรียนทุกคน ทั้งในโรงเรียนรัฐบาลโรงเรียนที่รัฐอุดหนุน และโรงเรียนเอกชน (๔๑) วิซาเพิ่มเติม
(AddionalSubjects) ให้สอนตามท่ีได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาค.ศ. ๑๙๖ ในโรงเรียน
รฐั บาลและโรงเรียนท่ีรัฐสนับสนุน หลักสูตรการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานของประเทศมาเลเซียเน้นเนื้อหาและ
ทักษะ แบบท่ีเรียกว่า Contents and skills Based Curriculum โดยเนื้อหาแต่ละวิซาจะเอื้อให้
พัฒนาทักษะพ้ืนฐานต่าง ๆ ได้ความรู้ และทักษะการคิด ทุกวิชามีการสอดแทรกปลูกฝังคํานิยม
คุณธรรมและเจตคตติ ่าง ๆ และการใช้ภาษามาเสยแ์ ละภาษาอน่ื ๆ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง เช่น ภาษาอังกฤษ
ภาษาจนี และภาษาทมฬิ เพื่อพัฒนาทั้งสติปัญญา จิตวิญญาณ อารมณ์ และร่างกายระบบการศึกษา
และการฝึกอบรมของมาเลเซียมุง่ สรา้ งคนให้เป็นพลเมืองมาเลเซียทดี่ ีกวา่ เดมิ มีเจตคติที่ถูกต้อง และมี
ความรู้และทักษะต่าง ๆท่ีจําเป็นสําหรับศตวรรษที่ ๒๑ เพื่อจะทําให้มาเลเซียเป็นประเทศท่ีพัฒนา
แล้วระบบการศกึ ษาและการฝึกอบรมของมาเลเซียมุ่งสร้างคนให้เป็นพลเมืองมาเลเซียท่ีดีกว่าเดิม มี
เจตคติทีถ่ กู ตอ้ ง และมคี วามรู้และทกั ษะต่าง ๆ ที่จําเป็นสําหรับศตวรรษที่ ๒๑ เพ่ือจะทําให้มาเลเซีย
เป็นประเทศท่ีพัฒนาแล้วภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ จึงเปลี่ยนวัฒนธรรมโรงเรียนจากเน้นการจําสู่การ
กระตุน้ ใหค้ ิดและสรา้ งสรรค์ มีนวัตกรรม ใส่ใจดูแลผลประโยชน์ส่วนรวม เข้าถึงข้อมูลเปูาหมายและ
วตั ถุประสงคข์ องการศึกษา คือ

(๑) พัฒนาผูเ้ รียนอย่างสมดุลทุกดา้ นตามความสามารถของแต่ละบคุ คล
(๒) พัฒนาท้ังสติปัญญา อารมณ์ จิตวิญญาณ และร่างกาย (๓) ผลิตแรงงานที่มีความรู้
พื้นฐานท่ีดีพอด้านเทคโนโลยี (๔) การศึกษาเพ่ือความเป็นประชาธิปไตย วิสัยทัศน์ของหลักสูตร

๒๓๖

แหง่ ชาติระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของมาเลเซีย คือ ประกันว่านักเรียนจะได้รับทักษะจําเป็นต่าง ๆ

อยา่ งเปน็ องค์รวมทัง้ ทงสติปัญญา เจตคติ และการปฏิบัติหลักสูตรการศึกษาช้ันพื้นฐานของประเทศ

มาเลเซีย ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้นําแนวคิดเร่ือง ๔ เสาหลักของการเรียนรู้ ขององค์การ

ยูเนสโก (learn to Know,Lean to Do, Learn to Be, Learn to Live Together) เข้ามา

ผสมผสาน ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองมากขึ้น เช่น การสอนภาษาต่าง ๆ(มาเลย์ อังกฤษ จีน

ทมิฬ) ก็มงุ่ การสอ่ื สารสัมพันธร์ ะหว่างบุคคล รับรู้ข้อมลู ขา่ วสาร และเพื่อสุนทรียภาพ (ทกั ษ์ อุดมรัตน์.

๒๕๕๔. หนา้ ๓๐)ทง้ั น้ี การกําหนดมาตรฐานการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานของมาเลเซีย สอดคล้องกับปรัชญา

การศกึ ษา ซ้ึงระบุว่า "การศึกษาในมาเลเซียกาลังพยายามจะพัฒนาต่อไปเพ่ือให้ศักยภาพของแต่ละ

บคุ คลมีความสมบรู ณ์แบบองคร์ วมและบรู ณาการกันอยา่ งสมดุลท้ังดา้ นสติปญั ญา จิตใจ อารมณ์ และ

ร่างกายบนฐานของความเช่ือและศรัทธาในพระเจ้า ความพยายามนี้ถูกออกแบบเพ่ือผลิตพลเมือง

มาเลเชียที่มีความรู้และมีความสามารถในการแข่งชันมีมาตรฐานสูงด้านคุณธรรม รับผิดชอบและ

สามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีตลอดจนสามารถทาความสุขและความเจริญยิ่งขึ้นให้แก่ครอบครัว

สั่ ง ค ม แ ล ะ ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ โ ด ย ร ว ม " (ฉั น ท น า จั น ท ร์ บ ร ร จ ง - แ ป ล . จ า ก

http://www.moe.gov.my/en/falsafah-pendidikan-kebangsaan)

๒.๒ มาตรฐานตามหลักสูตรใหม่ และการสอบวัดความรู้ระดับชาติเม่ือปี พ.ศ.๒๕๕๔ (ค.ศ.

๒๐๑ ๑) กระทรวงศึกษาธกิ ารมาเลเซีย ไดป้ รบั ปรุงหลกั สตู รประถมศึกษาและนําหลักสตู รแบบมุ่งเน้น

มาตรฐานมาใช้ เรียกว่าThe Primary School Standard Curiculum/หรือ KSSR ซึ่งในปีนี้หลักสูตร

ใหม่จะใช้ครบทุกช้ันเรียน ต้ังแต่ประถมศึกษาปีท่ี ๑ ถึง ๖ และปลายปีการศึกษานี้ นักเรียนช้ัน

ประถมศึกษาปีท่ี ๖ จะเข้าสอบโดยใช้ข้อสอบระดับชาติ ซึ่งเรียกว่า UjianPenilaian Sekolah

Rendah หรือ The PrimarySchool Assessment Test (เรียกย่อว่า UPSR หรือ PSAT) แต่ผลการ

สอบน้ีไม่กระทบการเรยี นต่อในช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑ (ฟอร์ม ๑) ในระดับประถมศึกษาไม่มีการเรียน

ซํ้าช้ัน และในปีพ.ศ. ๒๕๖๐ (ค.ศ. ๒๐๑๗) จะใช้หลักสูตรใหม่ระดับมัธยมศึกษาช่ือ

KurikulumBersepaduSekolahMenengah/Secondary School intesrated Curriculum

(KBSM/SSIC) เพื่อพัฒนาทักษะและสมรรถนะต่าง ๆ ของศตวรรษที่ ๒๑ มัธยมศึกษาของมาเลเซีย

แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และหลังระดับมัธยมปลายหรือ

เตรียมมหาวิทยาลัย มัธยมศึกษาตอนต้นมุ่งพัฒนาทักษะจําเป็นในชีวิตและความเป็นพลเมืองดี เมื่อ

เ รี ย น จ บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ที่ ๓ จ ะ ต้ อ ง ส อ บ ข้ อ ส อ บ ร ะ ดั บ ช า ติ เ รี ย ก ว่ า

PenilaianMenengahRendah/Lower Secondary Assessment (เรียกย่อว่า PMR หรือ LSA) ซึ่ง

มีผลต่อการเรียนต่อในมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีการแยกสายเป็นสายวิทยาศาสตร์ศิลปศาสตร์

เทคนิค หรอื อาชีวศกึ ษา การคัดเลือกเข้าศึกษาเป็นไปตามข้อกําหนดของกระทรวงศกึ ษาธิการ เม่ือจบ

๒๓๗

มัธยมศึกษาตอนปลาย (หลักสูตร๒ ปี) จะต้องสอบข้อสอบระดับซาติ เรียกว่า SjilPelojaran

Malaysia/Malaysian Certificate of Examination (เรียกย่อว่า SPM หรือ MCE).ซึ่งเทียบเท่า

ข้อสอบ O level Cambridge University Examinationsและเมื่อไม่นานมาน้ี ได้ให้ผู้ที่จะเข้าเรียน

มัธยมศึกษาสายอาชีพสอบข้อสอบระดับชาติ ชื่อ SjilPelojaran Malaysia Vokasional

NocationalMalaysian Certificate of Examination (เรียกย่อว่า SPMV หรือVMCE) ซ่ึงเทียบเท่า

กั บ ข้ อ ส อ บ ป ร ะ ก า ศ นี ย บั ต ร ม า เ ล เ ซี ย ( The MalaysianCertificate of

Examination)(http://www.seameo.org/index.php?option=comcontent&view=article&id

= ๑๑๑&ltemid=๕๒๓)

๒.๓ มาตรฐานการศึกษาตามพิมพเ์ ขียว ปี ค.ศ.๒๐๑๓-๒๐๒๕

ผลการสอบวัดความรู้มาตรฐานสากลด้านการอ่าน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของ PISA

เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๙ ประเทศมาเลเซียได้คะแนนด้านการอ่านเป็นอันดับท่ี ๕๔ ด้านคณิตศาสตร์อยู่

อันดับที่ ๕๗ และด้านวิทยาศาสตร์ อยู่อันดับท่ี ๕๒ ซ่ึงตํ่ากว่าคะแนนเฉล่ียนานาซาติ

(InternationalAverage) ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ค.ศ.๒๐๑ ๑) กระทรวงศึกษาธิการ

มาเลเซีย ได้ทบทวนระบบการศึกษาของประเทศท้ังระบบ เพ่ือออกแบบพิมพ์เขียวของชาติ เพ่ือ

ยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล และเพื่อให้สอดคล้องกับนโบายของรัฐในการพัฒนา

ประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในศตวรรษท่ี ๒๑ และได้ใช้เวลา ๑๕ เดือน ในการทบทวนระบบ

การศึกษาและได้ประกาศใช้พิมพ์เขียว เรียกว่า Malaysia Education Blueprint๒๐๑๓ -๒๐๒๕

ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ ๑๑ ประการ เพื่อปฏิรูปการศึกษาภายในระยะเวลา ๑๓ ปี แบ่งเป็น ๓

ระยะ เรียกว่า "Wave" (Exhibit ๙.http://www.moe.gov.my/cms/upload_files/articlefile/

๒๐๑๓/articlefile file ๐๐๓๑๑๔.pdf)

ระยะท่ี ๑ (Wave ๑) ดําเนินการในช่วงปี ค.ศ.๒๐๑๓- ๒๐๑๕ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านโดย

สนับสนุนการพัฒนาครูและการทักษะแกนกลาง (Turnaround system by supporting teachers

and focusing on core skills)โดยยกระดับคุณภาพครูผ่านกระบวนการ on the ground

teachercoaching ปรับการออกข้อสอบให้ถามวิธีคิดมากข้ึน ยกระดับคุณภาพSTEM Education

ปรบั ปรุงมาตรฐานหลกั สูตรประถมศึกษาสําหรับเด็กที่ใช้ภาษาแม่อื่น ๆ ท่ีไม่ใช่ภาษามาเลย์ ปรับปรุง

มาตรฐานการสอนภาษาอังกฤษโดยการทดสอบ ฝึกอบรมครูใช้โปรแกรม LINUS และสื่อผสมอ่ืน ๆ

เขา้ มาเสริม ใชร้ ะบบ ๑๘ StartNet เข้าช่วยให้เด็กเรียนรู้ผ่าน ICT ปฏิรปู หลักสูตรท้องถิ่นของเขตต่าง

ๆ และปรับปรงุ โรงเรียนให้สนองความตอ้ งการของเด็กพิเศษ ปรับปรุงคุณภาพการฝึกหัดครูและปรับ

มาตรฐานการรับเข้าครูใหม่ ปรับปรุงคุณภาพผู้ บริหารโรงเรียน โดยใช้กระบวนการ

DedicatedPincipal Coaches ปฏิรปู กระทรวงศึกษาธิการโดยแต่งต้ังผู้นําท่ีดีท่ีสุด(bestleades) ใน

๒๓๘

ตาํ แหน่งสําคัญท่ีดูแลเร่ือง JPN และ PPD เพิ่มอัตราการเข้าเรียนก่อนประถมโดยการผลักดันต่าง ๆ
และให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมส่งเสริมการปฏิบัติจริงในโปรแกรมอาชีวศึกษา โดยให้ภาคเอกชนมีส่วน
รว่ มมากยง่ิ ชั้น โดยมีเปูาหมายผลผลติ คือ นักเรียนร้อยละ ๑๐๐อ่านเขียนภาษามาเลย์ได้และคิดเลข
เป็นหลังจากผ่านชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๓และให้มีอัตราการเข้าเรียนระดับก่อนประถม ร้อยละ ๙๒,
ระดับประถมศึกษาร้อยละ ๙๘, ระดับมัธยมศึกษา ร้อยละ ๙๕ รวมทั้งลดช่องว่างของการศึกษาใน
เมืองและชนบทลง รอ้ ยละ ๒๕

ระยะที่ ๒ (Wave ๒) ดําเนินการในช่วงปี ค.ศ.๒๐๑๖-๒๐๒๐ เป็นช่วงเร่งการปรับปรุง
(Accelerate system improvement) โดยปรับปรุงหลักสูตรมัธยมศึกษาและประถมศึกษาให้เพิ่ม
เนื้อหายกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ โดยการเทียบเคียงกับสากล กระตุ้นให้ผู้คนทั่วไปสนใจเร่ื อง
STEM โดยการรณรงค์ และให้มีหุ้นส่วน นําร่องการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือเป็น
ทางเลือกสําหรับการปรับปรุงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษโดยรวมของนักเรียน ส่งเสริม
โปรแกรมการศึกษาสําหรับกลุ่มพิเศษ เช่น ชาวฟ้ืนเมือง เด็กปัญญาเลิศ เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ
ฯลฯเรง่ ปรบั ปรงุ นวตั กรรม ICT เพื่อการเรียนรู้ ทางไกลและการเรียนรู้ตามความสามารถของตนเอง
(Self Pace Learning) ส่งเสริมการสอนงานและให้การสนับสนุนแก่ครู (Teacher Coaching and
Support) เพื่อปรับปรุงวีธีให้ความรู้ ทักษะ และค่านิยมทั้งในการสอนรายวิชาและไม่ใช่รายวิชา
เสริมสร้างความเป็นวิชาชีพทางการศึกษาของครูโดยให้มีสมรรถนะและปฏิบัติได้จริง ตามเส้นทาง
ความก้าวหน้าของวิชาชีพ เพ่ิมความแข็งแกร่งในบทบาทหน้าที่ขององค์กร หลักในการบริหาร
การศึกษาทั้งในระดับชาติ รัฐและเขตการศึกษา และปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการให้มีขีด
ความสามาร ถสูงข้ึนในการจัดการศึกษาได้วิทยฐานะเทียบเท่าสากลและปรับปรุง Matriculation
Programme สําหรับการศึกษาต่อมหาวิทยาลัย และขยายทางเลือกในการอาชีวศึกษาโดยใช้วิธี
ร่วมมือกับผู้ประกอบการ ด้วยวิธีทําความตกลงแบบ off take Agreements ทั้งน้ี มีเปูาหมายด้าน
ผลผลิต คอื ประเทศมาเลเซยี ได้คะแนนในการสอบ PISA และ TIMSS ครั้งต่อไป เท่ากับคะแนนเฉลี่ย
ของนานาประเทศ (Par with InternationalAverage) มีอัตราการเข้าเรียนระดับก่อนประถมศึกษา
และระดับมัธยมศึกษา๑๐๐% ลดช่องว่างระหว่างการศึกษาในเมืองกับซนบท ๕๐๙ และลดช่องว่าง
ทางการศึกษาของชายหญิง ๒๕%

ระยะที่ ๓ (Wave ๓) ดําเนินการในช่วงปี ค.ศ.๒๐๒๑-๒๐๒๕ เป็นระยะก้าวต่อไปสู่ความ
เป็นเลศิ โดยมีความยืดหยุ่นในการดําเนินงานมากข้ึน (MoveForward Excellence with Increased
Operat-ional Flexibility)ยกระดับนวัตกรรมและเพิ่มทางเลือกให้มากข้ึน เพื่อเพิ่มความสามารถใน
การใชภ้ าษามาเลยแ์ ละภาษาองั กฤษของผู้เรียน และมีทางเลือกที่จะเรียนภาษาอ่ืน ๆ ได้มากขึ้นด้วย
ยกระดับมาตรฐานการศึกษาของชาติให้สูงย่ิงขึ้นอีก โดยการใช้นวัตกรรม ICT และโปรแกรมต่าง ๆ

๒๓๙

สําหรับกลุ่มผูเ้ รยี นทีม่ ีความต้องการพิเศษ บ่มเพาะวัฒนธรรมการสร้างความเป็นเลิศทางวิชาชีพโดย
ให้เพ่ือนครูเป็นผู้นําครูด้วยกัน แบบ Peer Led Culture ofProfessional Excellence ให้ครูและ
ผู้บริหารโรงเรียนเป็นพ่ีเล้ียงของกันและกัน แลกเปล่ียนความเป็นเลิศ และตรวจสอบกันเองอย่าง
โปร่งใส เพื่อให้บรรลุมาตรฐานของวิชาชีพ สร้างสรรค์ให้เกิดการจัดการที่ใช้โรงเรียนเป็นฐานอย่าง
กวา้ งขวางมากขึ้นและให้โรงเรียนมีอิสระในการบริหารจัดการย่ิงข้ึนในเรื่องการบริหารหลักสูตรและ
การจัดสรรงบประมาณ เพ่ิมความเข้มแข็งของการปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการด้วยการส่งเสริม
ความก้าวหน้าของข้าราชการในกระทรวงฯ และทบทวนโครงสร้างการบริหารโรงเรียนว่าจําเป็นต้อง
ปรบั ปรงุ อะไรหรอื ไม่ เพ่อื นําไปสู่ความสาํ เรจ็ ตามเปูาหมายของการปฏิรูปการศึกษา ท้ังนี้ มีเปูาหมาย
ด้านผลผลิต คือ ประเทศมาเลเซียอยู่ในสามอันดับแรก ในการสอบ PISA และ TIMSS แข่งกับนานา
ประเทศและอตั ราการเขา้ เรยี น ๑๐๐๙ ยังคงอยู่ ลดช่องวา่ งทางการศกึ ษาในเมืองและซนบทได้ ๕๐%
๖ หรือมากกว่า และลดช่องว่างทางสังคมและระหว่างเพศชายหญิงในการได้รับ การศึกษา ได้ถึง
๕๐%

ในการน้ี ได้กําหนดคณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงค์สําหรับนักเรียนทุกคนเพ่ือให้สามารถแข่งขันใน
เวทีโลก เรียกว่า Six key attributesซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการศึกษาของชาติ ได้แก่ในการน้ี ได้
กําหนดคุณลักษณะที่พงึ ประสงคส์ ําหรับนักเรียนทุกคนเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวท่ีโลก เรียกว่า Six
key attributesซึง่ สอดคลอ้ งกับปรชั ญาการศกึ ษาของชาติ ไดแ้ ก่

(๑) knowledge มีความรู้
(๒) Thinking skills มีทกั ษะการคดิ แบบต่าง ๆ
(๓) Leadership skills มที ักษะการเปน็ ผู้นํา
(๔) Bilingual Proficiency มีความสามารถในการใชส้ องภาษา (มาเลย์ และอังกฤษ)
(๕) Ethics and Spirituality มจี รยิ ธรรมและจติ วญิ ญาณ (แบบมสุ ลมิ )

(๖) National Identify มีอัตลักษณ์ของชาติ

๒๔๐

๙.๑๗ สรปุ ทา้ ยบท
ผลจากการศกึ ษาวิเคราะหก์ ารพัฒนามาตรฐานการศกึ ษาของต่งประเทศในภมู ภิ าคเอเชียและ

ยุโรป ได้แก่ สหรัฐอเมริกาฟินแลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐเกาหลี จีน
ญ่ีปุน สิงคโปร์ มาเลเซีย พบว่า แต่ละประเทศ มีการกําหนดมาตรฐานการศึกษาโดยบัญญัติ
จุดมุ่งหมายของการศึกษาไว้ในกฎหมายแม่บทการศึกษาจากเปูาหมายหลักสูตร เปูาหมายความ
ตอ้ งการของประเทศท่ีตอ้ งการยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาสสู่ ากล สรุปได้ดงั นี้

๑) การพัฒนามาตรฐานการศึกษาของ ๑๐ ประเทศ พบว่ามี ๘ ประเทศกําหนดมาตรฐาน
หลกั สูตรแห่งชาติเพือ่ การพัฒนาพลเมืองที่มีพฒั นาการสมดุลทุกด้าน มีทักษะพ้ืนฐานที่จําเป็นสําหรับ
การเรียนรู้และการดํารงชีวิต ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์ และมีคุณลักษณะและ
ค่านิยมทพ่ี ึงประสงค์ของสังคมซึง่ มีความแตกตา่ งกนั ไปตามบริบท และประวัติความเป็นมาของแต่ละ
ประเทศ

๒) ทุกประเทศท่มี หี ลักสูตรแหง่ ชาติ ต่งเน้นทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ได้แก่ การคิ
ตรเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ การคดิ เชิงวพิ ากษ์ ความรว่ มมอื ความสามารถในการส่ือสาร ทักษะชีวิต ทักษะการ
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะภาษาท่ีหลากหลาย ทักษะการแก้ปัญหาและคณิตศาสตร์ความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ และเน้นคุณลักษณะด้านจริยธรรมทางสังคม ซ่ึงมีท้ังแบบอิงศาสนาและเป็นกลางทาง
ศาสนา รวมท้ังการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เพื่อความยั่งยืนของโลก เทียบเคียงกับผลการ
สอบวัดความรู้และทักษะการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ขององค์การความร่วมมือในการ
พฒั นาเศรษฐกิจ (OECD และสมาคมนานาชาติเพื่อการประเมินผสสัมฤทธ์ิทางการศึกษา (IEA) หรือ
ขอ้ สอบ PISA และ TIMSS

๓) ทําการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้
สอดคล้องกับแนวการสอบ PISA และ TIMSS ซ่ึงให้ความสําคัญกับทักษะจําเป็นซึ่งเป็นพื้นฐานของ
การเรียนรู้โดย ระดับการศึกษาภาคบังคับ มุ่งพัฒนามาตรฐานด้านการอ่าน และการเขียนภาษา
ประจําชาติการคิดเลขและคณิตศาสตร์ ส่วนระดับหลังภาคบังคับก่อนอุดมศึกษา(มัธยมศึกษาตอน
ปลาย) จะมุ่งพัฒนามาตรฐานด้านการอ่าน และการเขียนภาษาประจําชาติ การคิดเลขและ
คณิตศาสตร์ และดา้ นวิทยาศาสตร์ศึกษาดว้ ย และมีบางประเทศมุ่งพัฒนามาตรฐานด้านคอมพิวเตอร์
และสารสนเทศศึกษาในระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายดว้ ย เช่น ประเทศสหรฐั อเมรกิ า

๒๔๑

บทท่ี ๑๐

หลักธรรมมาภบิ าลกบั การประกันคณุ ภาพการศึกษา

๑๐.๑ ความนาํ

หลักการและแนวทางในการประกันคุณภาพการศกึ ษาของประเทศไทยในภาพรวมไปแล้วน้ัน
ในโอกาสต่อไปน้ีผู้เขียนในฐานท่ีเคนทํางานศึกษาวิจัยในเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับการประกันคุณภพ
การศึกษามาบ้างแล้ว จึงขอนําเสนอสาระคําสัญของการประกันคุณภพาระดับอุดมศึกษาของ
ตา่ งประเทศบ้าง เพื่อให้ท่านผสู้ นใจเร่อื งการประกันคณุ ภาพศึกษา เห็นภาพของการประกันคุณภาพ
การศกึ ษาท่ีกว้างขึน้ ไปอีกพอสังเวป

๑๐.๒ หลักพุทธธรรมาภบิ าลสําหรับผู้บริหารสถานศกึ ษา

ปัจจบุ ันสภาพบา้ นเมอื งเรยี กรอ้ งหาคุณธรรมในองค์กร ช้ีให้เห็นว่า มีเร่ืองที่น่าห่วงใย และ
น่าระมัดระวังไปเสีย เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีปรากฏและประจักษ์ล้วนเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า
“การเกิดภาวะบกพร่องทางคุณธรรม” ซ่ึงอาจมาจากสาเหตุไม่เข้าใจถึงรากเหง้าของศีลธรรม
จรยิ ธรรม และวัฒนธรรมอนั เป็นพน้ื ฐานของคณุ ภาพของคนในสังคม เพือ่ ให้กระบวนการสร้างระบบ
บรหิ ารกิจการบ้านเมอื งและสงั คมที่ดี เกดิ ผลอย่างจริงจัง รัฐบาลได้ออกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมท่ีดี พ.ศ. ๒๕๔๒ ใช้เป็นแนวทางในการจัด
ระเบยี บให้สงั คม ท้ังภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความรัก
สามัคคี และรว่ มกันเปน็ พลงั ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างย่ังยืน บนพ้ืนฐานของหลักสําคัญอย่างน้อย ๖
ประการ คือ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความ
รบั ผดิ ชอบ และหลักความคุ้มค่า

จากสภาพการดงั กล่าว รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร
บ้านเมืองทดี่ ี พ.ศ. ๒๕๔๖ กําหนดทกุ ส่วนราชการและขา้ ราชการ ปฏิบัติราชการตามหลักการบริหาร
กิจการบ้านเมอื งท่ีดี หรือธรรมาภิบาล (Good Governance) ซ่ึงมีเจตนารมณ์ในการบริหารราชการ
แผน่ ดนิ เพ่ือประโยชนส์ ขุ ของประชาชน เกดิ ผลสมั ฤทธต์ิ อ่ ภารกิจภาครัฐ มีประสิทธิภาพและเกิดความ
คมุ้ คา่ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ปรับปรุงภารกิจส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์ ประชาชนได้รับ
การอํานวยความสะดวก ได้รับการตอบสนองความต้องการและมีการประเมินผลการปฏิบัติราชการ
อย่างสมํ่าเสมอ คํานึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผย

๒๔๒

ข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานสมํ่าเสมอ เมื่อย้อนไปศึกษาหลัก
พระพุทธศาสนาพบว่า ได้ตระหนกั ถงึ การทํางานทดี่ ีท่ีสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลเป็นอย่างดี ด้วย
เหตุนี้หลักธรรมาภิบาลกับหลักพระพุทธศาสนาเช่ือมโยงกันอย่างเห็นได้ชัดเช่น หลักสุจริตกับหลัก
โปรง่ ใสตรวจสอบได้ เปน็ ตน้ ซ่งึ มะเอียดดังต่อไปน้ี

๑๐.๓ แนวคดิ เกยี่ วกับหลกั ธรรมาภบิ าล

จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาลของนักวิชาการหลากหลายท่าน ผู้เขียนได้
ประมวลแนวคิดเกีย่ วกับหลกั ธรรมาภิบาลมีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี

ความเปน็ มาของหลักธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาลเป็นแนวคิดที่มีมาแต่โบราณกาล นับแต่สมัยเพลโต (Plato) และอริสโตเติล
(Aristotle) นักปราชญ์หลายท่านได้พยายามค้นหารูปแบบการปกครองที่ดีแต่ก็ยังไม่ได้ความหมาย
และขอบเขตทช่ี ัดเจนอาจกล่าวได้ว่ารูปแบบและววิฒั นาการรูปแบบธรรมาภิบาลท่ีดีที่เกิดขึ้นในช่วง
หลงัสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ เมื่อมีการค้นหารูปแบบการปกครองที่สามารถนําประเทศไปสู่การปกครอง
แบบประ ชาธิปไตยตะวันตกของประเทศที่ไ ด้รับการปลดปล่อยจาก อาณานิคมและสามารถฟื้ น ฟู
ประเทศจากความเสียหายหลังสงคราม ซึ่งต่อมาระบบการปกครองดังกล่าว ผสมผสานกับระบบ
ราชการของเวบเบอร์ (Weber) ได้ถูกน าไปใช้ในประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลก ซ่ึงลกั ษณะของระบบดังกล่าว
เป็นการปกครองที่มีโครงสร้างเป็นลําดับขั้นมีการเมืองท่ีเป็นกลาง มีเปูาหมายที่ปฏิบัติได้และมีการ
ประสมประสานของระบบคุณธรรม อย่างไรก็ตามรูปแบบของเวบเบอร์ (Weber) ยากท่ีจะนําไป
ประยุกต์ใช้และสานต่อเนื่องจากการขยายตัวของระบบราชการทําให้ยากต่อการจัดการ ขาดความ
ยืดหยุ่นในการปรับตัวตามการเปล่ียนแปลงท่ีรวดเรว็ ของโลก นอกจากโครงสรา้ งระบบราชการ

ทําให้การปกครองบ้านเมืองขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลและยังก่อให้เกิดช่องทางการ
บิดเบือน การใชอ้า นาจและการคอรัปชั่น ในชว่ งตน้ พ.ศ. ๒๕๒๓ นกั วิชาการส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องว่า
แนวทาง การบริหารภาครัฐที่เป็นอยู่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมท่ีเปลี่ยนแปลง
ตลอดเวลา จงึ จําเป็นต้องมีการปฏิรปู และการปรบั ปรุงรูปแบบของการปกครองใหม่ ในช่วงดังกล่าวมี
องค์กร ระหวา่ งประเทศที่สาํ คัญ ๆ เชน่ ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนนานาชาติได้เข้ามามี
บทบาท ในการสนับสนุนพัฒนาแนวคิดเก่ียวกับการปกครองท่ีดีหรือท่ีเรียกกันว่า Good
Governance หรือ ธรรมาภิบาล ดังนั้น แนวคิดธรรมาภบิ าลจึงไม่ใชเ่ รอ่ื งใหมแ่ ตเ่ ปน็ การสะสมความรู้
ท่ีเป็นวัฒนธรรม ในการอยู่ร่วมกันในบ้านเมืองและสังคมอย่างมีความสงบสุข สามารถประสาน

๒๔๓

ประโยชน์และคล่ีคลาย ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีและสังคมที่มีการพัฒนาที่ยั่งยืน (สํานักงาน
คณะกรรมการราชการ พลเรอื น, ๒๕๔๒ : ๑)

สําหรับประเทศไทยเร่ิมมีการนําแนวคิดธรรมาภิบาลมาใช้แพร่หลายภายหลงัประกาศใช้
รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ และหลงั จากวกิ ฤตทางเศรษฐกิจและสงั คม ในปี พ.ศ.
๒๕๔๐ เปน็ ต้นมา ท้ังนี้เนื่องจากในหนังสือแสดงเจตจํานงกับเงินจากกองทุนระหว่างประเทศ (IMF)
ที่ระบุให้รัฐบาลไทยให้คําม่ันสัญญาว่าจะสร้าง Good Governance ให้เกิดข้ึนในการบริหารจัดการ
ภาครัฐโดยรัฐบาลในขณะนั้นได้พิจารณาเห็นความจําเป็นท่ีประชาชาติต้องมีการบริหารกิจการ
บ้านเมือง และสังคมท่ีดีเป็นองค์ประกอบสําคัญในการบูรณะสังคมและประเทศ เพื่อพลิกฟ้ืนภาวะ
วิกฤตทาง เศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ เพ่ือ
สามารถรองรับ กระแสการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ให้ทันสถานการณ์รัฐบาลได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๕
ธันวาคมพ.ศ. ๒๕๔๐ โดยขอความร่วมมือจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) ในการ
ดาํ เนินการคน้ ควา้ วจิ ยั เพอ่ื เสนอแนวทางท่ีเหมาะสม ได้มีการระดมแนวคิดเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนา
ประเทศในระยะสั้นและ ระยะยาวใหย้ ่ังยืน ซง่ึ คณะทาํ งานดังกล่าวได้จัดเอกสารข้อเสนอเพื่อส่งเสริม
ธรรมาภิบาลไทยและ เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งมูลนิธิสถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนา
ประเทศไทยได้ระดม แนวคดิ ในประเทศไทยหลายสาขาที่อาสาสมัครมารว่ มทํางานและคณะทํางานได้
จัดทําเอกสารข้อเสนอ เพ่ือเสริมสร้างธรรมาภิบาลไทย เมื่อวันท่ี๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒
นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ เลขาธกิ ารคณะกรรมการราชการพลเรือน จัดทําบันทึกข้อกําหนดเรื่อง
น้ีเปน็ วาระแห่งชาติโดยเสนอ ต่อคณะรัฐมนตรีและให้ความเห็นชอบ เม่ือวันท่ี ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๕๔๒ และวันที่๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ออกระเบียบสํานัก
นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบ บริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมท่ีดีพ.ศ. ๒๕๔๒ โดย
นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในระเบียบดังกล่าว เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ประกาศในราช
กิจจานุเบกษาฉบับประกาศทั่ว ไป เล่มที่ ๑๑๖ ตอนที่ ๖๓ ง เม่ือวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
มผี ลบงั คับใชต้ ้ังแตว่ ันถัดจากวัน ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา (พฤทธสิ าน ชุมพล, ๒๕๔๖)

แนวคิดการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลตามภาษาไทย เป็นแนวคิดท่ีได้มีการกล่าวถึง
อย่างกว้างขวางหลังจากมีเหตุการณ์วิกฤติทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออก โดย
แนวคดิ เรื่องการจัดการปกครองและการจดัการปกครองที่ดีน้ันได้รบั การรณรงค์อยา่ งมากโดย สถาบัน
ทางเศรษฐกิจและการเงนิ ระดับโลก (พฤทธสิ าน ชุมพล, ๒๕๔๖) และดังที่ทราบแลว้ว่าแนวคิดนี้ ได้มี
การค้นพบมาตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๒ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้มีการนําคําว่า Good governance มาใช้อย่าง
เป็นรปู ธรรม ซ่ึงกล่าวได้ว่าคําว่า Good governance เพิ่งมีการนา มาใช้อย่างเป็นจริงเป็นจังเม่ือไม่
นานนี้เอง ดังท่ีอรพินท์ สพโชคชัย (๒๕๔๑) กล่าวถึงการพัฒนาการของการใช้คํา Good

๒๔๔

governance ไว้ว่า คําว่า Good governance เพ่ิงปรากฏและมีการใช้ในวงการของนักวิชาการท่ี
สนใจการพัฒนากลไก การบรหิ ารและการปกครองของสังคมเม่ือไม่นานมานี้ส่วนคําว่า Governance
นั้นได้ปรากฏอยู่ใน

พจนานุกรมและมีผู้ใช้กันมานานแล้วโดยพจนานุกรมได้ให้ความหมายคําว่า Governance
ดังนี้ Governance means (๑) The act, process, or power of governing ; government, (๒)
The state of being governed ซ่ึงแปลกนั ตรง ๆ ก็หมายถึงการกระทาํ กระบวนการ หรืออํานาจใน
การบริหาร การปกครอง ซ่ึงเม่ือใช้กับรัฐก็น่าจะมีความหมายใกล้เคียงเก่ียวข้องกับคําว่าภาครัฐ
(State) ซ่ึงอาจจะ หมายถึงทั้งรัฐบาล (Government) และระบบราชการ (Civil service) (อรพินท์
สพโชคชยั , ๒๕๔๑) แนวคิดเรือ่ ง Good governance หรือหลกธั รรมาภบิ าลสากลน้ีจึงยังเป็นแนวคิด
ท่ีใหมแ่ ละ จากการอ้างอิงข้อมลู จากองคกร์ บางองคกร์ พบว่าเพิ่งมีการใช้คร้ังแรกของธนาคารโลกเมื่อ
ปี๑๙๘๙ ในรายงานเร่ือง Sub-Sahara Africa: From Crisis to Sustainable Growth ซึ่งเป็น
รายงานของธนาคารโลก ในยุคแรกท่ีได้กล่าวถึงความสําคัญของการมี Good governanceและการ
ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ถึงกระนั้น ก็ตาม ธนาคารโลกเองก็มิได้มีการพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับเท่าท่ีควรฝุา
ยองคก์รที่ได้นํา แนวคิดนี้มาใช้ อย่างจริงจังอีกทั้งได้เป็นแกนนํา ในการเป็นแนวคิดและสร้างความ
ยอมรับร่วมกันในระดับโลกว่า กลไกประชารัฐที่ดีและการพัฒนาคนท่ีย่ังยืนเป็นประเด็นสําคัญที่ไม่
สามารถจะแยกออกจากกันได้ กลไกประชารัฐเปน็ รากฐานท่ีทาํ ใหค้ นในสังคมโดยรวมอยู่ร่วมกันอย่าง
สันติสุข คือ องค์กรพัฒนา แห่งประชาชาติ (United Nations Development Programme
(UNDP)) โดยท่ี UNDP ได้นําแนวคิด ดังกล่าวไปศึกษาวิเคราะห์และได้อธิบายรายละเอียดไว้ใน
เอกสารนโยบายเร่ือง Governance for Sustainable Human Development ดังท่ีอรพินท์สพโชค
ชยั (๒๕๔๑ : ๒) อธิบายไวจ้ ากการไดศ้ กึ ษา ความเปน็ มาของหลกั ธรรมาภบิ าล

สรุปได้ว่าธรรมาภิบาลเป็นแนวทางการบริหารงานของภาครัฐเพ่ือพลิกฟื้นภาวะวิกฤตทาง
เศรษฐกิจและพัฒนาประเทศรวมถึงการพฒั นาคนท่ียงั่ ยืนนา ไปุสู่การแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
ของชาติ

๒๔๕

๑๐.๔ ความหมายของหลกั ธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาล (Good Governance) คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการ การ
ควบคุมดูแล กจิ การตา่ งๆ ใหเ้ ปน็ ไปในครรลองคลองธรรม นอกจากนยี้ ังหมายถึงการบรหิ ารจัดการที่ดี
ซ่ึงนําไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมาภิบาลเป็นหลักการท่ีนํามาใช้บริหารงานในปัจจุบันอย่าง
แพร่หลายด้วยเหตุเพราะ ช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ
พนักงานทํางานอย่างซื่อสัตย์สุจริตและขยันหม่ันเพียร ทําให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจน้ัน
ขยายตวั นอกจากนี้แล้วยังทําให้บุคคลภายนอกที่เก่ียวข้อง ศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์กรนั้นๆ อันจะ
ทําใหเ้ กดิ การพฒั นาอย่างต่อเนอ่ื ง เช่น องค์กรที่โปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจในการร่วมทําธุรกิจ
รัฐบาลโปร่งใสตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความเช่ือมั่นให้แก่ประชาชน ตลอดจนส่งผลดีต่อเสถียรภาพ
ของรฐั บาลและความเจริญกา้ วหน้าของประเทศ เป็นตน้

การบริหารจดั การบ้านเมืองและสงั คมทีด่ ีหรือธรรมาภิบาล มีหน่วยงาน องค์การ และบุคคล
ตา่ งๆ ได้ให้ความหมาย ดังนี้

ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคม ที่ดี
พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ระบหุ ลักการของคาํ นิยามการบรหิ ารกิจการบ้านเมอื งและสงั คมท่ีดีไว้ว่า “การบริหาร
กิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี เป็นแนวทางสําคัญในการจัดระเบียบให้สังคมทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ
เอกชน และภาคประชาชน ซ่ึงครอบคลุมถึงฝาุ ยวชิ าการและธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มี
ความรรู้ ักสามคั คี และร่วมกันเป็นพลงั ก่อใหเ้ กิดการพฒั นาอยา่ งยั่งยนื และเปน็ สว่ นเสริมความเข้มแข็ง
หรอื สร้างภูมิค้มุ กนั แก่ประเทศเพอื่ บรรเทา ปอู งกัน หรอื เยียวยาภาวะวิกฤตภิ ยนั ตรายทหี่ ากจะมีมาใน
อนาคต เพราะสังคมจะรูส้ กึ ถงึ ความยุติธรรม ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม อันเป็นคุณลักษณะสําคัญ
ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการปกครองแบบประชาธิปไตยอัน มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมขุ สอดคลอ้ งกับความเป็นไทย รัฐธรรมนญู และกระแสโลกยุคปจั จบุ ัน

ประเวศ วะสี ให้ความหมายของคําว่า ธรรมรัฐประกอบด้วยภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาค
สังคมท่ีมีความถูกตอ้ ง เปน็ ธรรม โดยรัฐและธุรกจิ ต้องมีความโปร่งใส มคี วามรับผดิ ชอบท่ีตรวจสอบได้
และภาคสังคมเข้มแข็ง ธรรมรัฐแห่งชาติ หมายถึง การที่ประเทศมีพลังขับเคล่ือนท่ีถูกต้องเป็นธรรม
โดยถักทอทางสังคม เพ่ือสร้างพลังงานทางสังคม (Social Energy) เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาของ
ชาตกิ ่อให้เกดิ ธรรมรัฐแห่งชาตขิ ึน้

๒๔๖

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้สรุปลักษณะสําคัญของธรรมาภิบาลแบบสากล ด้านเปูาหมาย
โครงสร้าง และกระบวนการ และสาระของธรรมาภิบาล ดังนี้

๑. เปูาหมายของธรรมาภิบาล (Objective) คือ การพัฒนาและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของ
ทุกภาคส่วนในสงั คม

๒. โครงการ และกระบวนการ ของธรรมาภิบาล (Structure and Process) ท่ีจะนําไปสู่
เปูาหมายได้ ต้องมีการวางกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมท่ีดีของ
ประเทศท้ังภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชนหรือ ภาคประชาสังคม ภาคปัจเจกชนและครอบครัว มีส่วน
ร่วมกัน ผนึกพลัง ขับเคล่ือน กระบวนการของธรรมาภิบาล มี ๓ ส่วนที่เชื่อมโยงกัน คือ การมีส่วน
ร่วมของทุกภาคในการบริหารจัดการ (Partrcipation) ความโปร่งใส (Accountability) ถูกวิจารณ์ได้
รวมท้ังความรบั ผิดชอบในผลการตัดสินใจ สาระของธรรมาภิบาล คือ การบริหารจัดการทางเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง ต้องสร้างความสมดุลระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ของสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่าง
สันติสขุ มีเสถยี รภาพ

สรุปได้ว่า หลักธรรมาภิบาลเป็นท้ังหลักการขั้นพ้ืนฐานและหลักยุทธศาสตร์ท่ีสังคมโลก
ต้องการให้เกดิ ขน้ึ และนาํ มาใช้ เพื่อลด และแก้ปัญหาตา่ งๆ โดยเฉพาะปญั หาการทุจริตคอรัปชั่น การ
ฉ้อราษฎร์บงั หลวง การเอารดั เอาเปรียบ ช่วยใหเ้ กดิ การสร้างคุณค่า จิตสํานึก ทางปัญญา วัฒนธรรม
และจริยธรรม ทง้ั ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม การเมือง เข้มแขง็ มคี วามมน่ั คง เกดิ ความเป็นธรรมในสังคม

๑๐.๕ องคป์ ระกอบของหลกั ธรรมาภบิ าล

ระเบียบสาํ นักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบการบรหิ ารกจิ การบ้านเมืองและสังคม
ท่ีดี พ.ศ. ๒๕๔๒ และต่อมาได้ตราพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการ
บา้ นเมืองท่ีดี พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้สอดคลอ้ งกับนโยบายการปฏิรปู ราชการ โดยกําหนดให้ส่วนราชการและ
ข้าราชการปฏบิ ตั ิราชการตามหลักการบริหารกจิ การบา้ นเมอื งท่ดี ี หรือธรรมาภิบาล ซ่ึงมีองค์ประกอบ
ของธรรมาภิบาล ด้วยหลักการ ๖ ด้าน ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลัก
ความมีส่วนรว่ ม หลกั ความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า สัญญา ชาวไร่ (๒๕๔๘ : ๒๙ – ๓๕) โดย
มสี าระสาํ คญั ดงั น้ี

๑. หลกั นิติธรรม (Rule of law) ได้แก่ การตรากฎหมาย กฎ ขอ้ บงั คับต่าง ๆ ให้ทันสมัย
และเป็นธรรม เป็นท่ียอมรับของสังคม และสังคมยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตามกฎหมายกฎข้อบังคับ
เหลา่ นนั้ โดยถอื วา่ เปน็ การปกครองภายใตก้ ฎหมาย มใิ ช่ตามอาํ เภอใจหรืออํานาจของตวั บุคคล

๒๔๗

๒. หลักคุณธรรม (Morality) ได้แก่ การยึดมั่นในความถูกต้องดีงามโดยรณรงค์ให้
เจ้าหน้าที่ของรัฐยึดถือหลักน้ีในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม และส่งเสริมสนับสนุนให้
ประชาชนพฒั นาตนเองไปพร้อมกัน เพ่ือให้คนไทยมีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย
ประกอบอาชพี สุจริตจนเป็นนสิ ัยประจาํ ชาติ

๓. หลกั ความโปรง่ ใส (Transparency) ได้แก่ การสร้างความไว้วางใจซ่ึงกันและกันของ
คนในชาติ โดยปรับปรุงกลไกการทํางานขององค์กรทุกวงการให้มีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูล
ข่าวสารท่ีเป็นประโยชน์อย่างตรงไปตรงมาด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้
สะดวก และมีกระบวนการใหป้ ระชาชนตรวจสอบความถูกตอ้ งชัดเจนได้

๔. หลักความมีส่วนร่วม (Participation) ได้แก่การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม
รับรแู้ ละเสนอความเห็นในการตดั สนิ ใจปัญหาสําคญั ของประเทศ ไมว่ ่าด้วยการแสดงความคิดเห็นการ
ไต่สวนสาธารณะ การประชาพิจารณ์ การแสดงประชามติหรืออนื่ ๆ

๕. หลกั ความรบั ผิดชอบ (Accountability) ไดแ้ ก่ การตระหนกั ในสิทธิหน้าท่ีความสํานึก
ในความรับผิดชอบต่อสังคม การใส่ใจปัญหาสาธารณะของบ้านเมือง และกระตือรือร้นในการ
แกป้ ญั หา ตลอดจนการเคารพในความคิดเหน็ ทแี่ ตกตา่ ง และความกล้าทีจ่ ะยอมรับผลจากการกระทํา
ของตนเอง

๖. หลกั ความคุ้มค่า (Utility) ได้แก่ การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจํากัดเพ่ือให้
เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้คนไทยมีความประหยัดใช้ของอย่างคุ้มค่าสร้างสรรค์
สินค้า และบริการท่ีมีคุณภาพสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และรักษาพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติให้
สมบูรณ์ยัง่ ยืน”

สรปุ องคป์ ระกอบของธรรมาภบิ าลเพอื่ ใหเ้ กดิ ระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคม
ท่ีดี คือการมีส่วนร่วมในการทํางานของบุคลากรในองค์กร มีการประสานระหว่างบุคลากรและ
ผู้บังคับบัญชา ต้องมีการเปิดเผยการดําเนินงานด้านนโยบายการบริหารแบบหลักธรรมาภิบาลแบบ
เบ็ดเสรจ็ ซง่ึ ในทางพระพทุ ธศาสนาเม่อื นาํ แนวคดิ ดงั กลา่ วมาศกึ ษาจะวา่ สาระทีแ่ ทจ้ ริงคือหลักการของ
พระพุทธศาสนา

๒๔๘

๑๐.๖ ธรรมาภบิ าลในพระไตรปิฎก

ในยุคโลกาภิวัตน์สังคมมีปัญหามากมาย นับตั้งแต่ปัญหาพ้ืนฐานไปจนถึงปัญหาระดับ
โครงสร้าง ตัวอยา่ งของปญั หาตา่ งๆ ได้แก่ปญั หาทางด้านเศรษฐกจิ การเกิดช่องวา่ งระหวา่ งความมีกับ
ความไม่มีขยายตัวไปในวงกว้าง ปัญหาด้านสังคมปัญหาด้านการเมืองปัญหาส่ิงแวดล้อมถูกทําลาย
ปัญหาข้อพิพาทระหว่างพรมแดน หลายประเทศประสบปัญหาเพราะไม่สามารถสร้างสันติภาพ
ภายในประเทศของตนได้ ปัญหาดังกล่าวกําลังรอแนวทางการแก้ไข ในแวดวงวิชาการปัจจุบันได้มี
ความพยายามท่ีจะนําพระพุทธศาสนาเข้าไปผูกพัน (Engage) เป็นอันหน่ึงอันเดียวกับสังคม มีความ
พยายามท่ีจะตีความพุทธธรรมให้ครอบคลุมปัญหาใหม่ๆ เน่ืองจากพุทธศาสนาแบบจารีตที่เน้นการ
แก้ปัญหาแบบปัจเจกบุคคลไม่เพียงพอต่อการตอบปัญหาของสังคมยุคใหม่ท่ีเต็มไปด้วยความ
สลับซบั ซอ้ นได้ การแก้ปญั หาความทุกขข์ องปจั เจกบุคคลและสังคมสามารถดําเนินควบคู่กันไปได้ ใน
ประวตั ศิ าสตร์ทีผ่ า่ นมากลา่ วได้วา่ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาที่มีความขัดแย้งน้อยท่ีสุด พระพุทธองค์
สามารถสร้างสังคมสงฆ์ข้ึนมาให้เป็นแบบอย่างของรูปแบบการปกครอง หรือรูปแบบการบริหาร
จัดการในยคุ ปจั จบุ ันได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามบัดน้ีพระพุทธศาสนาท่ีเคยรุ่งเรืองได้ล่วงเลยมาแล้ว
กว่า ๒๕๕๕ ปี หลายสิ่งหลายอย่างเปล่ียนแปลงไปตามกฎไตรลักษณ์ แต่พระธรรมของพระพุทธ
องคก์ ย็ ังคงอยู่ และมีความสาํ คัญเสมอมาสามารถนํามาปรับประยกุ ตใ์ ห้เขา้ กบั ยคุ สมัยได้ ดังความตอน
หน่งึ ท่ีพระพุทธองค์ได้ตรสั ไวว้ า่

ภิกษุท้ังหลาย เราไม่ขัดแย้งกับโลก แต่โลกขัดแย้งกับเราผู้กล่าวเป็นธรรมไม่ขัดแย้งกับ
ใครๆ ในโลก ส่ิงใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวส่ิงนั้นว่า ‘ไม่มี’ สิ่งใดท่ีบัณฑิตในโลก
สมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวส่ิงนั้นว่า ‘มี’ ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งท่ีบัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี เราก็กล่าวว่า
‘ไมม่ ี’ คอื รูปที่เทีย่ งแท้ ย่ังยืน คงทน ไม่ผันแปร ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มีแม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า
‘ไม่มี’ เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณที่เท่ียงแท้ ย่ังยืน คงทน ไม่ผันแปร ที่บัณฑิตในโลก
สมมติว่าไม่มีแม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า ‘ไม่มี’ นี้แลช่ือว่าสิ่งท่ีบัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็
กล่าวว่า ‘ไม่มี’ อะไรเล่าชื่อว่าส่ิงที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี เราก็กล่าวว่า ‘มี’ คือ รูปที่ไม่เท่ียง เป็น
ทุกข์ ผันแปร ท่ีบัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า ‘มี’ เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ...
วญิ ญาณทีไ่ ม่เที่ยง เปน็ ทกุ ข์ ผันแปร ทีบ่ ัณฑิตในโลกสมมตวิ ่ามี แมเ้ รากก็ ลา่ ววญิ ญาณนั้นว่า ‘มี’ นี้แล
ชื่อวา่ ส่งิ ท่ีบณั ฑติ ในโลกสมมตวิ า่ มี แม้เรากก็ ล่าววา่ ‘มี’ โลกธรรม มอี ยู่ในโลก ตถาคตตรัสรู้ รู้แจ้งโลก
ธรรมนั้นแล้ว จงึ บอก แสดง บัญญตั ิ กําหนด เปิดเผย จําแนก ทําให้ง่าย ก็อะไรเล่าช่ือว่าโลกธรรมใน
โลก ที่ตถาคตตรัสรู้ รู้แจ้งแล้ว จึงบอก แสดง บัญญัติ กําหนด เปิดเผย จําแนก ทําให้ง่าย คือ รูป
จัดเป็นโลกธรรมในโลก ท่ีตถาคตตรัสรู้ ฯลฯ ทําให้ง่าย บุคคลใด เมื่อตถาคตบอก แสดง บัญญัติ
กําหนด เปิดเผย จําแนก ทําให้ง่ายอยู่อย่างนี้ ยังไม่รู้ ไม่เห็น เราจะทําอะไรกับบุคคลผู้โง่เขลา เป็น

๒๔๙

ปุถชุ น คนบอด ไม่มีดวงตา ไม่รู้ ไม่เห็นนนั้ ได้ เวทนา ... สัญญา ... สงั ขาร ... วญิ ญาณจัดเปน็ โลกธรรม
ในโลกทตี่ ถาคตตรัสรู้ รู้แจ้งแล้ว จึงบอก แสดง บัญญัติ กําหนด เปิดเผย จําแนก ทําให้ง่าย บุคคลใด
เมือ่ ตถาคตบอก แสดง บัญญัติ กําหนด เปิดเผย จาํ แนก ทําใหง้ ่ายอยู่อย่างน้ี ยังไม่รู้ ไม่เห็น เราจะทํา
อะไรกับบคุ คลผ้โู ง่เขลา เปน็ ปถุ ุชน คนบอด ไม่มดี วงตา ไม่รู้ ไม่เห็นน้ันได้ ภิกษุทั้งหลาย ดอกอุบลก็ดี
ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในน้ํา เจริญในนํ้า โผล่พ้นนํ้าแล้วต้ังอยู่ แต่ไม่ติดน้ํา แม้ฉันใด
ตถาคตกฉ็ นั นัน้ เหมอื นกัน เกิดในโลก เจรญิ ในโลก ครอบงาํ โลกอยู่ แตไ่ ม่ติดโลก สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/
๑๗๘-๑๘๐

พุทธดาํ รสั ขา้ งต้นตีความได้ว่า คําวา่ “ตถาคต” หมาย ถงึ “ธรรม” หรือ “ธรรม” หมายถึง
“ตถาคต” ดงั พทุ ธพจนว์ ่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นช่ือว่าเห็นตถาคต” ดังน้ันพระธรรมของพระองค์หาก
รู้จักประยกุ ต์ใช้ย่อมสามารถแก้ปญั หาต่างๆ ในโลกได้อย่างแท้จรงิ

มีเพียงกิเลสของมนุษย์เท่านั้นท่ีเห็นว่าธรรมของพระพุทธองค์ล้าสมัย พุทธธรรมาภิบาล
หรือธรรมาภิบาลตามแนวพุทธเป็นกระบวนยุทธวิธีหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหาต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน
อยา่ งยิ่งดงั เช่นในปจั จุบัน ท้ังนี้แนวคิดธรรมาภิบาล หรือ Good Governance ตามแนวตะวันตกท่ีมี
การกล่าวถงึ อยา่ งแพร่หลายในปจั จุบันน้ันยังมีจุดอ่อน และความไม่ชัดเจนในหลายประเด็น ทั้งในแง่
ความหมาย เปูาประสงค์ รวมถึงกระบวนวิธีการปฏิบัติ หากจะทําให้สมบูรณ์ พระพุทธศาสนาจะมี
ทางออกของเรื่องน้ี ซ่ึงธรรมาภิบาลเชิงพุทธ (Buddhist Good Governance) ท่ีปรากฏข้ึนใน
พระไตรปิฎก ในจักกวัตตสิ ตู รวา่

ภิกษุทั้งหลาย เร่ืองเคยมีมาแล้ว ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าทัฬหเนมิ ผู้ทรง
ธรรม ครองราชยโ์ ดยธรรม ทรงเป็นใหญใ่ นแผ่นดินมีมหาสมุทรท้ังสี่เป็นขอบเขต ทรงได้รับชัยชนะ มี
ราชอาณาจักรม่ันคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ ได้แก่ (๑) จักรแก้ว (๒) ช้างแก้ว (๓) ม้าแก้ว (๔)
มณีแก้ว (๕) นางแกว้ (๖) คหบดีแก้ว (๗) ปริณายกแกว้ มพี ระราชโอรสมากกว่า ๑,๐๐๐ องค์ ซ่ึงล้วน
แตก่ ลา้ หาญ มีรูปทรงสมเปน็ วีรกษัตริย์ สามารถย่าํ ยีราชศตั รไู ด้ พระองค์ทรงชนะโดยธรรม ไม่ต้องใช้
อาชญา ไม่ต้องใชศ้ ัสตรา ครอบครองแผ่นดนิ น้มี ีสาครเปน็ ขอบเขต ที. ปา. (ไทย) ๑๑/๘๑/๖๐

ธรรมราชาในจกั กวตั ตสิ ตู รได้กล่าวถึงแนวคดิ การบรหิ ารจัดการโดยยึดธรรมเป็นใหญ่ โดย
การนําธรรมมาใช้คุ้มครอง ปูองกัน ประชาราษฎรในแว่นแคว้นตามฐานะ ในพระสูตรชี้ให้เห็นว่า
พระราชาจะทรงธรรมได้น้ันจะต้องมีท่ีปรึกษาท่ีทรงธรรมนั่นก็คือ สมณพราหมณ์ ซึ่งท่านไม่เจาะจง
นักบวชในศาสนาใดศาสนาหน่ึง ผู้เขียนจงึ ไดน้ าํ เสนอโครงสรา้ งการปกครองของพุทธจักรที่สามารถอยู่
ร่วมกันกับอาณาจักรได้เป็นอย่างดีมาเช่ือมต่อ เพ่ือให้เห็นความสอดคล้อง ซึ่งในประวัติศาสตร์พุทธ
ศาสนา พระพุทธเจา้ ไดท้ รงทําหนา้ ท่เี ปน็ ท่ีปรึกษาทางฝุายการเมืองโดยการแสดงธรรม คือหลักปฏิบัติ

๒๕๐

ตา่ งๆ ในหลายเหตกุ ารณ์เช่น การสนทนากับพระเจ้าพิมพิสารที่เวฬุวันสวนไผ่ การห้ามพระญาติมิให้
ทําสงครามแย่งน้ําเปน็ ต้น

พระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนแนวความคิดเก่ียวกับมนุษย์และจุดมุ่งหมายของมนุษย์จากแนว
เดิม ซ่งึ เป็นความคิดตามหลักศาสนาพราหมณ์และลัทธิอื่นๆ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า การยึดม่ันใน
ตัวตน (อัตตา) ทําให้เกิดความทุกข์ข้ึนในสังคม ทําให้คนเราคิดถึงตัวเองมากกว่าสังคม ส่วนการละ
ตัวตน จะทาํ ให้คนเรามีความสํานึกต่อสังคมได้มากขึ้น การละตัวตนจะต้องอาศัยการจัดระบบสังคม
เสียใหม่ แตก่ ารเสนอใหเ้ ปล่ียนแปลงสังคมยอ่ มติดขัดท่ีผู้ปกครองซ่ึงรักษาอํานาจของตนเน่ืองจากตน
มฐี านะทีด่ ีอยู่แล้ว ดงั นัน้ หลักธรรมมาภบิ าลกจ็ ะสอดคลอ้ งกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า
หลกั ทศพธิ ราชธรรม หรือธรรม ๑๐ ประการ คอื ๑) ทาน ๒) ศีล ๓) การบริจาค ๔) ความซ่ือตรง ๕)
ความออ่ นโยน ๖) ความเพยี ร ๗) ความไมโ่ กรธ ๘) ความไมเ่ บยี ดเบียน ๙) ความอดทน ๑๐) ความไม่
คลาดธรรม ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/๑๗๖/๑๑๒ ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี

หลกั ทศพิธราชธรรม หมายถึง หลกั ธรรมทใี่ ช้ในการปกครองประกอบด้วยหลักธรรม ๑๐
ประการ ไดแ้ ก่

๑) ทาน (การให)้ คอื สละทรัพย์ส่ิงของ บํารุงเลี้ยง ช่วยเหลือประชาราษฎร์และบําเพ็ญ
สาธารณประโยชน์

๒) ศีล (ความประพฤติดีงาม) คือ สํารวมกายและวจีทวาร ประกอบแต่การสุจริตรักษา
กิตตคิ ุณ ใหค้ วรเป็นตัวอย่าง และเป็นทเี่ คารพนบั ถอื ของประชาราษฎร์

๓) ปริจจาคะ (การบริจาค) คือ เสียสละความสุขสําราญ ตลอดจนชีวิตของตนเพื่อ
ประโยชนส์ ขุ ของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของบา้ นเมอื ง

๔) อาชชวะ (ความซื่อตรง) คือ ซื่อตรงทรงสัตย์ ไร้มารยา ปฏิบัติภารกิจโดยสุจริต
มีความจริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน

๕) มทั ทวะ (ความออ่ นโยน) คือ มีอัธยาศัย ไม่เย่อหย่ิงหยาบคายกระด้างถือองค์มีความ
งามสง่าเกดิ แตท่ ่วงทกี ริ ยิ าสุภาพนุม่ นวล ละมุนละไม ให้ไดค้ วามรักภักดี

๖) ตปะ (ความทรงเดช) คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิให้เข้ามาครอบงํายํ่ายีจิตระงับยับยั้ง
ข่มใจได้ มีความเป็นอยู่สมาํ่ เสมอ หรืออยา่ งสามัญ มงุ่ มน่ั แตจ่ ะบาํ เพญ็ เพียร

๗) อกั โกธะ (ความไม่โกรธ) คือ ไม่กริ้วกราด ลุอํานาจความโกรธ จนเป็นเหตุให้วินิจฉัย
ความและกระทํากรรมต่างๆ ผิดพลาดเสียธรรม มเี มตตาประจาํ ใจ

๒๕๑

๘) อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) คือ ไม่บีบค้ันกดขี่ เช่น เก็บภาษีขูดรีดหรือเกณฑ์
แรงงานเกินขนาด ไม่หลงระเริงอํานาจ ขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญาแก่
ประชาราษฎรผ์ ู้ใด เพราะอาศัยความอาฆาตเกลียดชงั

๙) ขันติ (ความอดทน) คือ อดทนต่องานที่ตรากตรํา ถึงจะลําบากกายน่าเหน่ือยหน่าย
เพยี งไร กไ็ มท่ อ้ ถอย ถึงจะถกู ย่ัวถกู หยนั ด้วยคาํ เสียดสีถากถางอย่างใด ก็ไม่หมดกําลังใจไม่ยอมละทิ้ง
กรณีย์ที่บาํ เพ็ญโดยชอบธรรม

๑๐) อวิโรธนะ (ความไม่คลาดธรรม) คือ วางองค์เป็นหลักหนักแน่นในธรรมคงท่ีไม่มี
ความเอนเอยี งหว่นั ไหวเพราะถ้อยคําท่ดี ีร้าย ลาภสกั การะ หรืออิฎฐารมณ์ อนิฎฐารมณ์ใดๆ สติม่ันใน
ธรรม ทั้งส่วนยุติธรรม คือ ความเที่ยงธรรม นิติธรรม คือ ระเบียบแบบแผน หลักการปกครอ ง
ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีอันดงี าม

จากแนวคดิ ดงั กล่าวพบวา่ หลกั ธรรมาภิบาลในความหมายของพระพุทธศาสนา คือการ
ใชห้ ลักธรรมในการบูรณาการไปใช้ในการบริหารสถานศึกษา องค์กร และหน่วยงานต่างๆท้ังภาครัฐ
และเอกชนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

๑๐.๗ การบูรณาการหลักธรรมาภบิ าลไปใชใ้ นการบริหารสถานศึกษา

การบูรณาการหลักธรรมาภิบาลเพื่อบริหารสถานศึกษาได้มีนักการศึกษาอย่าง เกษม
วัฒนชัย ได้กล่าวถึงการบริหารแบบธรรมาภิบาลในสถานศึกษา เกษม วัฒนชัย (๒๕๔๖: ๒๑) น้ันมี
ดงั นี้

๑. การบริหารการศึกษาต้องสอดคล้องและตอบสนองนโยบายและความต้องการของ
ระบบการศึกษาไทย ซึง่ ในหลักธรรมาภิบาล งบประมาณท่ีได้รับจะต้องนําไปใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า
และเพอื่ ส่วนร่วม ถ้าเอาไปใช้ในสง่ิ ท่ไี ม่มีประโยชนห์ รอื เป็นประโยชนเ์ ฉพาะตนเองหรือพวกพ้องตรงนี้
ตอ้ งรบั ผิดชอบในเชิงธรรมาภิบาล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ งบประมาณทุกบาทท่ีโรงเรียนสํานักงาน
เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือกระทรวงศึกษาธิการ ได้มาต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะคอรัปช่ันไม่ได้
ตรงนเ้ี ปน็ หลกั ธรรมาภิบาลทส่ี าํ คัญ

๒. กระบวนการบริหารต้องมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และได้ประสิทธิผล
(Effectiveness)

๓. ทุกข้ันตอนต้องโปร่งใส (Transparency) และมีเหตุผล (Reasonableness) เร่ือง
“ความมเี หตุผล” มาจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งมี ๓ เร่ือง
ใหญ่ๆ คือ

๒๕๒

(๑) ทางสายกลาง (Moderation) หรือมัชฌิมาปฏปิ ทา
(๒) ทําอะไรตอ้ งมเี หตุผล (Reasonableness)
(๓) มภี มู คิ ุม้ ภัย (Self immunity)
๔. ต้องมรี ะบบรับผิดชอบต่อผลการบริหารการศึกษา (Accountability) ต้องสร้างระบบ
ใหม้ ีคนรบั ผิดชอบ ครใู หญ่ หัวหน้าหมวด ผอู้ ํานวยการเขต เลขาธกิ าร ต้องรับผิดชอบถ้าสร้างตรงน้ีได้
เช่ือว่าระบบจะมีธรรมาภิบาลและสามารถขับเคล่ือนไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ซ่ึงสอ ดคล้องกับ
แนวคดิ ของกระทรวงศึกษาธิการ ได้สรุปภาพรวมการบริหารการศึกษาของสถานศึกษาข้ันพื้นฐานท่ี
เป็นนิติบุคคลตามแนวคิดหลักธรรมาภิบาล กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๖ : ๓๑) รายละเอียดดัง
แผนภมู ิท่ี ๑

หลักนติ ิธรรม

หลกั ความคมุ้ คา่ ดา้ นวชิ าการ ด้านงบประมาณ หลกั คณุ ธรรม
หลักความโปรง่ ใส
หลกั ความ นกั เรยี นดี เกง่ มสี ขุ
รบั ผดิ ชอบ
ด้านท่ัวไป ดา้ นบคุ ลากร

หลกั ความมสี ่วนร่วม

แผนภมู ทิ ี่ ๑ การบริหารสถานศึกษาตามหลกั ธรรมาภบิ าล

สรุปได้ว่า ผู้บริหารโรงเรียน จะต้องตระหนักถึงความสําคัญและความจําเป็น ในการนํา
หลักการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการบริหารงานของโรงเรียน เพ่ือให้เป็นไปตาม

๒๕๓

เจตนารมณ์ของพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ.
๒๕๔๖

๑๐.๘ สรปุ ทา้ ยบท

หลกั ธรรมาภบิ าลเป็นทง้ั หลักการข้ันพื้นฐานและหลักยุทธศาสตร์ที่สังคมโลกต้องการให้
เกดิ ขนึ้ และนํามาใช้ เพื่อลด และแก้ปญั หาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น การฉ้อราษฎร์
บังหลวง การเอารัดเอาเปรียบ ช่วยให้เกิดการสร้างคุณค่า จิตสํานึก ทางปัญญา วัฒนธรรมและ
จรยิ ธรรม ทงั้ ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง เขม้ แข็ง มีความม่นั คง เกดิ ความเปน็ ธรรมในสงั คม

องค์ประกอบของธรรมาภบิ าลเพอื่ ให้เกิดระบบการบรหิ ารกิจการบ้านเมืองและสังคมท่ีดี
คือการมีส่วนร่วมในการทํางานของบุคลากรในองค์กร มีการประสานระหว่างบุคลากรและ
ผู้บังคับบัญชา ต้องมีการเปิดเผยการดําเนินงานด้านนโยบายการบริหารแบบหลักธรรมาภิบาลแบบ
เบด็ เสรจ็ ซง่ึ ในทางพระพทุ ธศาสนาเม่ือนําแนวคิดดังกล่าวมาศึกษาจะวา่ สาระที่แทจ้ ริงคือหลักการของ
พระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าทรงเปล่ยี นแนวความคิดเก่ียวกับมนุษย์และจุดมุ่งหมายของมนุษย์จากแนว
เดมิ ซึง่ เป็นความคิดตามหลักศาสนาพราหมณ์และลัทธิอ่ืนๆ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า การยึดมั่นใน
ตัวตน (อัตตา) ทําให้เกิดความทุกข์ข้ึนในสังคม ทําให้คนเราคิดถึงตัวเองมากกว่าสังคม ส่วนการละ
ตัวตน จะทาํ ให้คนเรามีความสํานึกต่อสังคมได้มากข้ึน การละตัวตนจะต้องอาศัยการจัดระบบสังคม
เสียใหม่ แต่การเสนอให้เปลย่ี นแปลงสงั คมย่อมติดขัดท่ีผู้ปกครองซึ่งรักษาอํานาจของตนเน่ืองจากตน
มฐี านะทีด่ อี ยแู่ ลว้ ดงั นั้นหลักธรรมมาภิบาลกจ็ ะสอดคลอ้ งกบั หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า
หลักทศพิธราชธรรม หรอื ธรรม ๑๐ ประการ คอื ๑) ทาน ๒) ศีล ๓) การบริจาค ๔) ความซ่ือตรง ๕)
ความอ่อนโยน ๖) ความเพยี ร ๗) ความไมโ่ กรธ ๘) ความไมเ่ บียดเบยี น ๙) ความอดทน ๑๐) ความไม่
คลาดธรรม

หลักธรรมาภิบาลในความหมายของพระพุทธศาสนา คือการใช้หลักธรรมในการบูรณา
การไปใช้ในการบริหารสถานศึกษา องค์กร และหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนได้เป็นอย่างดี
ผ้บู ริหารโรงเรยี น จะตอ้ งตระหนักถึงความสําคัญและความจําเป็น ในการนําหลักการบริหารงานตาม
หลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการบริหารงานของโรงเรียน เพ่ือให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราช
กฤษฎกี า ว่าดว้ ยหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารบรหิ ารกิจการบา้ นเมอื งทีด่ ี

๒๕๔

บทที่ ๑๑

หลกั การพฒั นาคณุ ภาพตามกระบวนการเชงิ ระบบ (CIPP Model)

๑๑.๑. ความนาํ

หลักการและแนวทางในการประกนั คณุ ภาพการศึกษาของประเทศไทยในภาพรวมไปแล้วนั้น
ในโอกาสต่อไปน้ีผู้เขียนในฐานที่เคนทํางานศึกษาวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภพ
การศึกษามาบ้างแล้ว จึงขอนําเสนอสาระคําสัญของการประกันคุณภพาระดับอุดมศึกษาของ
ตา่ งประเทศบ้าง เพื่อให้ทา่ นผ้สู นใจเรอื่ งการประกนั คณุ ภาพศึกษา เห็นภาพของการประกันคุณภาพ
การศกึ ษาทีก่ ว้างขน้ึ ไปอีกพอสังเวป

๑๑.๒ ความหมายของการประเมนิ ผลโครงการ

การประเมินผลโครงการ หมายถงึ กระบวนการทมี่ ุ่งแสวงหาคาํ ตอบวา่ นโยบาย/แผนงาน/
โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์และเปูาหมายที่กําหนดไว้หรือไม่เพียงใด โดยมีมาตรฐานและเคร่ือง
มือในการวัดท่ีแม่นตรงและเช่ือถือได้การประเมินผลจึงคล้ายกับการหาใครสักคนหน่ึงเอากระจกมา
ส่องให้เราเห็นหน้าตาตัวเองว่า สวยงามดีแล้วหรือยัง มีข้อบกพร่องอะไรบ้างจะได้ปรับปรุงแก้ไข
ตนเอง

๑๑.๓ จุดมุง่ หมายของการประเมนิ ผลโครงการ

มกั จะมคี าํ ถามอยตู่ ลอดเวลาว่า ประเมนิ ผลเพอ่ื อะไร หรือ ประเมินผลไปทําไม ปฏิบัติงาน
ตามโครงการแล้วไม่มีการประเมินผลไม่ได้หรือตอบได้เลยว่าการบริหารแนวใหม่หรือการบริหารใน
ระบบเปิด (Open System) นนั้ ถือว่าการประเมินผลเป็นข้ันตอนที่สําคัญมากซ่ึงจุดมุ่งหมายของการ
ประเมินผลโครงการมีดังนี้ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การ
มหาชน) (๒๕๕๓ : ๑๘)

๑. เพื่อสนับสนุนหรือยกเลิก การประเมินผลจะเป็นเคร่ืองมือช่วยตัดสินใจว่าควรจะ
ยกเลกิ โครงการหรือสนบั สนนุ ใหม้ ีการขยายผลต่อไป โดยเฉพาะการมโี ครงการใหม่ ๆ ยงั มไิ ด้จัดทําใน
รูปของ โครงการทดลอง (Experimental) ซ่ึงมีโอกาสจะผิดพลาดหรือล้มเหลวได้ง่าย ความล้มเหลว
ของโครงการจึง มิใช่ความล้มเหลวของผู้บริหารเสมอไป ดังนั้นถ้าเราประเมินผลแล้วโครงการนั้น

๒๕๕

สําเร็จตามท่ีกําหนด วัตถุประสงค์และเปูาหมายไว้ก็ควรดําเนินการต่อไป แต่ถ้าประเมินผลแล้ว
โครงการนัน้ มีปัญหา หรือมี ผลกระทบเชงิ ลบมากกว่า เราก็ควรยกเลิกไป

๒. เพ่ือทราบถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานตามโครงการ ว่าเป็นไปตามที่กําหนด
วัตถปุ ระสงคแ์ ละเปาู หมายหรือกฎเกณฑห์ รือมาตรฐานท่กี ําหนดไว้เพียงใด

๓. เพ่อื ปรบั ปรุงงาน ถา้ เรานําโครงการไปปฏิบัติแล้วพบว่าบางโครงการไม่ได้เสียทั้งหมด
แต่ก็ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ทุกข้อ เราควรนําโครงการนั้นมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีข้ึน โดย
พิจารณาว่าโครงการน้ันบกพร่องในเรื่องใด เช่น ขาดความร่วมมือของประชาชน ขัดต่อค่านิยมของ
ประชาชน ขาดการประชาสัมพันธ์ หรือสมรรถนะขององค์การท่ีรับผิดชอบตํ่าเมื่อเราทราบผลของ
การประเมินผล เราก็จะไดป้ รับปรุงแก้ไขใหต้ รงประเด็น

๔. เพือ่ ศกึ ษาทางเลือก (Alternative) โดยปกติในการนําโครงการไปปฏิบัติน้ัน ผู้บริหาร
โครง การจะพยายามแสวงหาทางเลือกท่ีดีที่สุด จากทางเลือกอย่างน้อย ๒ ทางเลือก ดังน้ันการ
ประเมินผลจะเป็นการเปรียบเทียบทางเลือกก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทางเลือกใดปฏิบัติ ทั้งน้ีเพื่อลด
ความเส่ียงใหน้ อ้ ยลง

๕. เพือ่ ขยายผล ในการนําโครงการไปปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีการติดตามและประเมินผลอย่าง
ต่อเนื่อง เราอาจจะไม่ทราบถึงความสําเร็จของโครงการ แต่ถ้าเราประเมินผลโครงการเป็นระยะ
สมํ่าเสมอ ผลปรากฏว่าโครงการนั้นบรรลุผลสําเร็จตามที่กําหนดวัตถุประสงค์ เราก็ควรจะขยายผล
โครงการน้ันต่อไป แต่การขยายผลน้ันมิได้หมายความว่าจะขยายไปได้ทุกพ้ืนที่ การขยายผลต้อง
คํานึงถึงมิตขิ อง ประชากร เวลา สถานท่ี สถานการณ์ต่างๆเช่น โครงการปลกู พืชเมืองหนาวจะประสบ
ความสําเร็จดีในพ้ืนที่ภาคเหนือ แต่ถ้าขยายผลไปยังภูมิภาคอ่ืนอาจจะไม่ได้ผลดีเสมอไป เพราะต้อง
คาํ นงึ ถึงลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ภมู ิอากาศ เชือ้ ชาติ ค่านยิ ม ฯลฯ ดังนน้ั สงิ่ ทีต่ ้องคํานึงถงึ คือ สิง่ ทน่ี ําไปใน
พ้ืนทห่ี นึ่งอาจ ได้ผลดี แต่นําไปขยายผลในพื้นท่ีหน่ึงอาจไม่ได้ผล หรือสิ่งท่ีเคยทําได้ผลดีในช่วงเวลา
หน่ึงอาจจะไม้ได้ผลดีในอกี ช่วงเวลาหนึ่ง

๑๑.๔ รปู แบบการประเมนิ ผลแบบ CIPP

คาํ วา่ รูปแบบหรอื แบบจําลอง ภาษาอังกฤษใช้คําว่า Model ซึ่งหมายถึง วิธีการท่ีบุคคล
ใดบุคคลหนงึ่ ไดถ้ ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ ตลอดจนจินตนาการท่ีมีต่อปรากฏการณ์หรือเรื่องราว
ใดๆ ให้ปรากฏโดยใช้การสื่อสารในลักษณะต่างๆเช่น ภาพวาด ภาพเหมือน แผนภูมิแผนผังฯลฯ
เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจได้งา่ ย และสามารถนาํ เสนอเรือ่ งราวไดอ้ ย่างมีระบบ เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (๒๕๔๒
: ๒๖) การประเมินโครงการแนวคิดและการปฏิบัติ. กรุงเทพ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.. ในการ

๒๕๖

ประเมนิ ผลโครงการน้ันมีแนวคดิ และโมเดลหลายอย่าง แต่ในที่นี้ใคร่ขอเสนอแนวคิดและ โมเดลการ
ประเมินแบบซิปหรือ CIPP Model ของสตัฟเฟิลบีม(Stufflebeam) เพราะเป็นโมเดลที่ได้รับการ
ยอมรบั กันทัว่ ไปในปัจจบุ ัน

แนวคดิ ของสตฟั เฟลบมี เน้นการแบ่งแยกบทบาทของการทํางานระหว่างฝุายประเมินกับ
ฝาุ ย บริหารออกจากกนั อย่างเดน่ ชดั กล่าวคือฝาุ ยประเมินมีหนา้ ทรี่ ะบจุ ดั หา และนําเสนอสารสนเทศ
ใหก้ ับฝาุ ยบรหิ าร สว่ นฝาุ ยบรหิ ารมหี น้าที่เรียกหาข้อมลู และนาํ ผลการประเมนิ ท่ีได้ไปใช้ประกอบการ
ตัดสนิ ใจ เพ่ือดาํ เนินกิจกรรมใดๆ ทีเ่ กี่ยวข้องแล้วแตก่ รณี ท้งั นเี้ พ่ือปูองกนั การมอี คตใิ นการประเมิน

๑๑.๕ ประเด็นการประเมินตามรปู แบบ CIPP Model

สตฟั เฟลบีม ได้กาํ หนดประเดน็ การประเมินออกเป็น ๔ ประเภท ตามอักษรภาษาอังกฤษ
ตวั แรก ของCIPP Model ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั น้ี

๑. การประเมินสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation : C) เป็นการประเมินก่อนการ
ดําเนินการโครงการ เพื่อพิจารณาหลักการและเหตุผลความ จําเป็นที่ต้องดําเนินโครงการ ประเด็น
ปญั หา และความเหมาะสมของเปาู หมายโครงการ เช่น โครงการ อาหารเสริมแก่เด็กวัยก่อนเรียน เรา
จะต้องวดั สว่ นสูง และช่ังนํ้าหนกั ตลอดจน ดูหิด เหา กลาก เกลอ้ื น ของเด็กก่อน

๒. การประเมินปัจจัยนําเข้า (Input Evaluation : I) เป็นการประเมินเพ่ือพิจารณาถึง
ความเป็นไปไดข้ องโครงการ ความเหมาะสม และความ พอเพียงของทรัพยากรที่จะใช้ในการดําเนิน
โครงการ เช่น งบประมาณ บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เวลา ฯลฯ รวมทั้งเทคโนโลยีและแผนการ
ดาํ เนนิ งาน

๓. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation : P) เป็นการประเมินเพื่อหา
ข้อบกพรอ่ งของการดําเนนิ โครงการ ท่ีจะใช้เปน็ ข้อมูลในการ พฒั นา แก้ไข ปรบั ปรงุ ให้การดําเนินการ
ช่วงต่อไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการตรวจสอบ กิจกรรม เวลา ทรัพยากรที่ใช้ในโครงการ
ภาวะผู้นําการมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการ โดยมีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานทุกขั้นตอน
การประเมินกระบวนการนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นหาจุดเด่นหรือจุดแข็ง (Strengths)
และจดุ ดอ้ ย (Weakness) ของนโยบาย/แผนงาน/โครงการ ซ่ึงมักจะไม่สามารถศึกษาได้ภายหลังจาก
ส้ินสุดโครงการแล้ว

๔. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation : P) เป็นการประเมินเพื่อเปรียบเทียบ
ผลผลิตท่ีเกิดขึ้นกับวัตถุประสงค์ของโครงการหรือมาตรฐานท่ีกําหนดไว้รวมทั้งการพิจารณาใน
ประเดน็ ของการยบุ เลกิ ขยาย หรอื ปรบั เปลีย่ นโครงการ แต่การประเมินผลแบบน้ีมิได้ให้ความสนใจ

๒๕๗

ต่อเร่ืองผลกระทบ(Impact) และผลลัพธ์( Outcomes )ของนโยบาย/แผนงาน/โครงการเท่าท่ีควร
นอกจากน้ี สตัฟเฟลบีมได้นาํ เสนอประเภทของการตดั สินใจทสี่ อดคลอ้ งกับประเด็นท่ปี ระเมนิ ดงั นี้

๑. การตัดสินใจเพื่อการวางแผน(Planning Decisions) เป็นการตัดสินใจท่ีใช้ข้อมูลจาก
การ ประเมินสภาพแวดล้อมท่ีได้นําไปใช้ในการกําหนดจุดประสงค์ของโครง การให้สอดคล้องกับ
แผนการ ดําเนินงาน

๒. การตัดสินใจเพ่ือกําหนดโครงสร้างของโครงการ(Structuring Decisions) เป็นการ
ตัดสินใจ ที่ใช้ข้อมูลจากปัจจัยนําเข้าท่ีได้นําไปใช้ในการกําหนดโครงสร้างของแผนงานและขั้นตอน
ของการดาํ เนนิ การของโครงการ

๓. การตัดสินใจเพ่ือนําโครงการไปปฏิบัติ (Implementation Decisions) เป็นการ
ตัดสินใจที่ใช้ข้อมูลจากการประเมินกระบวนการ เพ่ือพิจารณาควบคุมการดําเนินการให้เป็นไปตาม
แผน และ ปรับปรุงแกไ้ ขการดําเนินการให้มีประสิทธภิ าพมากทส่ี ดุ

๔. การตดั สินใจเพ่อื ทบทวนโครงการ (Recycling Decisions) เชน่ การตัดสินใจเพ่ือใช้ข้อมูล
จากการประเมินผลผลิต (Output) ท่ีเกิดข้ึน เพ่ือพิจารณาการยุติ/ล้มเลิก หรือขยายโครงการที่จะ
นําไปใช้ในโอกาสต่อเกณฑ์ และตัวช้ีวัดความสําเร็จ การประเมินผลโครงการนั้นต้องมีเกณฑ์และ
ตัวช้ีวัด (Indicator) ระดับความสําเร็จของโครงการให้ทราบซ่ึงโดยทั่วไปแล้วเกณฑ์ท่ีใช้ในการ
ประเมินผลโครงการ วรเดช จันทรศร และไพโรจน์ ภัทรนรากลุ (๒๕๔๑ : ๔๔) มดี ังน้ี

๑. เกณฑ์ประสิทธิภาพ (Efficiency) มีตัวชี้วัด เช่น สัดส่วนของผลผลิตต่อค่าใช้จ่ายผลิต
ภาพตอ่ หน่วยเวลา ผลติ ภาพตอ่ กาํ ลังคน ระยะเวลาในการใหบ้ รกิ ารผู้ปุวย

๒. เกณฑ์ประสิทธิผล (Effectiveness) มีตัวช้ีวัด เช่น ระดับการบรรลุเปูาหมาย ระดับ
การ บรรลุตามเกณฑม์ าตรฐาน ระดบั การมสี ่วนรว่ ม ระดับความเสี่ยงของโครงการ

๓. เกณฑ์ความพอเพยี ง (Adequacy) มีตัวชวี้ ัด เช่น ระดับความพอเพยี งของทรัพยากร

๔. เกณฑ์ความพงึ พอใจ (Satisfaction) มีตวั ชีว้ ัด เช่น ระดับความพึงพอใจ

๕. เกณฑ์ความเป็นธรรม (Equity) มีตัวช้ีวัดคือการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาส ความเป็น
ธรรมระหว่างเพศ ระหวา่ งกลมุ่ อาชีพ ฯลฯ

๖. เกณฑค์ วามก้าวหน้า (Progress) มีตัวชี้วัด เช่น ผลผลิตเปรียบเทียบกับเปูาหมายรวม
กิจกรรมที่ทําแล้วเสร็จ ทรพั ยากรและเวลาทใี่ ชไ้ ป

๒๕๘

๗. เกณฑ์ความยั่งยืน (Sustainability) ตัวชี้วัด เช่น ความอยู่รอดของโครงการด้าน
เศรษฐกิจ สมรรถนะด้านสถาบนั ความเปน็ ไปไดใ้ นดา้ นการขยายผลของโครงการ

๘. เกณฑ์ความเสียหายของโครงการ (Externalities) มีตัวชี้วัด เช่น ผลกระทบด้าน
สงิ่ แวดล้อม ผลกระทบดา้ นเศรษฐกิจ ผลกระทบด้านสังคมและวฒั นธรรม เป็นตน้

สําหรับตัวช้ีวัด (Indicators) ความสําเร็จของโครงการนั้น หมายถึงข้อความท่ีแสดงหรือ
ระบุ ประเด็นทตี่ อ้ งการจะวดั หรอื ประเมนิ หรือตัวแปรท่ีต้องการจะศึกษา โดยจะมีการระบุลักษณะที่
ค่อนขา้ งเป็นรปู ธรรม ทงั้ สว่ นท่ีมีลักษณะเชิงปริมาณ และส่วนที่แสดงลักษณะเชิงคุณภาพ สํานักงาน
สภาสถาบันราชภฎั (๒๕๔๕ : ๓๔)

๑๑.๖ หลกั การสรา้ งตวั ชีว้ ัดท่ดี ี

ในการสร้างตัวชว้ี ดั ทีด่ ี จาํ เปน็ จะตอ้ งมหี ลักการท่ีใชเ้ ป็นเปาู หมายในการดําเนินการดงั นี้
๑. เลือกใช/้ สรา้ งตัวชีว้ ดั ท่ีเป็นตัวแทนทส่ี ําคญั เทา่ นน้ั
๒. คําอธิบาย หรือการกาํ หนดตวั ชวี้ ดั ควรเป็นวลีทมี่ คี วามชัดเจน
๓. ตวั ช้ีวดั อาจจะกําหนดได้ท้ังเชงิ ปริมาณ และเชิงคุณภาพกไ็ ด้
๔. ควรนําจุดประสงคข์ องโครงการ หรอื ประเด็นการประเมินมากําหนดตัวช้วี ัด
๕. การเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกับตัวชว้ี ัดควรรวบรวมข้อมลู ทั้งจากแหลง่ ปฐมภมู ิและทุติย
ภมู ิ
ยกตัวอยา่ งการจําแนกประเภทของตัวชวี้ ัดตามลักษณะของส่งิ ทไ่ี ดร้ บั การประเมนิ เช่น
ตวั ชีว้ ดั ด้านบรบิ ท ( Context ) : ตวั ชวี้ ัดสามารพจิ ารณาได้จากส่ิงตา่ ง ๆ ดงั นี้
๑. สภาวะแวดล้อมของ ก่อนมโี ครงการ(ปญั หาวิกฤต)

๒. ความจําเปน็ หรอื ความตอ้ งการขณะน้ันและอนาคต
๓. ความเข้าใจร่วมกันของทุกฝาุ ยท่เี กีย่ วขอ้ งกบั โครงการ
ตัวชวี้ ัดดา้ นปจั จัยนําเขา้ ( Input ) : ตัวช้ีวัดสามารถพิจารณาได้จากสงิ่ ต่าง ๆ ดงั น้ี
๑. ความชัดเจนของวัตถุประสงค์ของโครงการ
๒. ความพรอ้ มของทรัพยากร เชน่ งบประมาณ คน วสั ดอุ ุปกรณ์ เวลา กฎระเบยี บ
๓. ความเหมาะสมของข้ันตอนระหวา่ งปญั หาสาเหตขุ องปญั หาและกิจกรรม

๒๕๙

ตัวชี้วัดด้านกระบวนการ ( Process ) : ตวั ช้ีวัดสามารถพจิ ารณาได้จากสิ่งตา่ ง ๆ ดังน้ี
๑. การตรวจสอบกจิ กรรม เวลา และทรัพยากรของโครงการ
๒. ความยอมรับของประชาชนและหนว่ ยงานทีเ่ ก่ยี วข้องกบั โครงการในพื้นที่
๓. การมสี ว่ นร่วมของประชาชน และหน่วยงานทีเ่ กี่ยวข้องกบั โครงการ
๔. ภาวะผนู้ ําในโครงการ

ตวั ชวี้ ดั ด้านผลผลิต ( Product ) : ตวั ชี้วดั สามารถพิจารณาได้จากสง่ิ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี
๑. อตั ราการมีงานทําของประชาชนที่ยากจน
๒. รายไดข้ องประชาชนที่เข้ารว่ มโครงการ
๓. ความพงึ พอใจของประชาชนทีเ่ ข้าร่วมโครงการ

ตัวชว้ี ดั ดา้ นผลลัพธ์ ( Outcomes ) : ตวั ชว้ี ัดสามารถพิจารณาได้จากสิ่งตา่ ง ๆ ดงั นี้
๑. คณุ ภาพชีวิตของตนเอง และครอบครวั ตามเกณฑ์มาตรฐาน
๒. การไมอ่ พยพยา้ ยถ่นิ
๓. การมสี ว่ นร่วมในการพฒั นาชมุ ชน

ตัวชีว้ ัดด้านผลกระทบ( Impact ) : ตวั ช้ีวัดสามารถพจิ ารณาได้จากสงิ่ ต่าง ๆ ดังนี้
๑. ผลกระทบทางบวก / เปน็ ผลท่ีคาดหวังจากการมโี ครงการ
๒. ผลกระทบทางลบ / เปน็ ผลท่ีไมค่ าดหวงั จากโครงการ

เกณฑ์และตัวชี้วัดดงั กล่าวน้ี สามารถใช้เปน็ เครื่องมือในการประเมินผลโครงการได้ดี
ซึ่งจะ ครอบคลุม มิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ด้านบริหารจัดการ ด้านทรัพยากร และด้านสิ่งแวดล้อม
เปน็ ต้น นอกจากน้ันยงั สามารถวดั ถึงความสําเร็จ และความล้มเหลวของโครงการพัฒนาต่างๆ ของรัฐ
ได้ซ่ึงใน ทางปฏิบัตินักประเมินผล จะต้องนําเกณฑ์และตัวช้ีวัดดังกล่าวมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับ
ลักษณะและบรบิ ทของโครงการด้วย

๒๖๐

๑๑.๗ สรปุ ทา้ ยบท

๒๖๑

บรรณานุกรม

๑. ภาษาไทย

ก. ข้อมลู ปฐมภูมิ

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าเตปฏิ กํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.

________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.

มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับสฺยามรฏฺ เตปิฏกํ ๒๕๒๕. กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๒๕.

________. พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา แปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏ
ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔.

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . ปกรณวิเสสภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าปกรณวเิ สโส. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พ์วิญญาณ, ๒๕๓๙.

________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฺ กถา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒.

________. ฎีกาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาฎีกา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.

ข. ข้อมูลทุติยภมู ิ

(๑) หนงั สอื :

ดร.กมล รอดคล้าย
ดร.วฒั นาพร ระงับทกุ ข์
ดร.สมศักด์ิ ดลประสิทธ์ิ
นางสาวสมรชั นีกร อ่องเอบิ
เลขาธิการสภาการศกึ ษา
รองเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา
รองเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา
ผอู้ าํ นวยการสาํ นักมาตรฐาน

๒๖๒

การศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้
ผทู้ รงคณุ วฒุ พิ จิ ารณาเอกสาร
รองศาสตราจารย์ ดร.ฉนั ทนา จันทรบ์ รรจง
ผรู้ ับผิดชอบโครงการ
นางสาวสมปอง สมญาติ นักวิชาการศกึ ษาชํานาญการพเิ ศษ
นางสาวมณรี ัตน์ กรงุ แสนเมอื ง นกั วชิ าการศึกษาชาํ นาญการ
นางสาวสกุ ัญญา นามแกว้ นักวิชาการศกึ ษาปฏบิ ัติการ
ผเู้ ขียนรายงาน
รองศาสตราจารย์ ดร.ฉนั ทนา จันทรบ์ รรจง
นางสาวสมปอง สมญาติ นกั วชิ าการศึกษาชาํ นาญการพเิ ศษ
นางพชั ราพรรณ กฤษฎาจนิ ดารุ่ง นักวซิ าการศึกษาชํานาญการพเิ ศษ
นางสาวกรกมล จงึ สําราญ นักวิชาการศึกษาชํานาญการ
นางสาวมณีรัตน์ กรงุ แสนเมือง นกั วชิ าการศกึ ษาชํานาญการ
นายวรี ะพงษ์ อู๋เจรญิ นกั วชิ าการศึกษาชาํ นาญการ
นางสาวสุกญั ญา นามแก้ว นกั วซิ าการศึกษาปฏบิ ตั ิการ

(๒) ดษุ ฎีนพิ นธ/์ วิทยานิพนธ/์ สารนิพนธ:์

(๓) รายงานวจิ ัย:

(๔) บทความ:

(๕) เอกสารทไ่ี ม่ได้ตีพิมพเ์ ผยแพร่และเอกสารอน่ื ๆ:

๒๖๓

(๖) สอื่ อเิ ล็กทรอนกิ ส:์

Vitikka, Eija. Finnish National Board of Education. 12.11.2015.
powerpointhttp://www.minedu.govt.nz/theMinistry/
AboutUs/AboutTheMinistry.aspx
http://www.lead.ece.govt.nz/ anagementinformation/Regu-
latory FrameworkForECES
www.minedu.govt.nz/NZEducation/EducationPolicies/Schools/
Policy AndStrateg.
http://nzcurriculum. tki.org.nz/ National-Standards
ฉนั ทนา จนั ทรบ์ รรจง และคณะ. 2554. หน้า 42 - 43.
http://nzcurriculum.tki.org.nz/National-Standards/Key-infor
mation/Questions-and-answers
Murata, et.al. 2010. ใน A Bilingual Text - Education in Conwtem-
porary Japan
http://www.ncee.org/programs-affiliates/center-on-international-
education-benchmarking/top-performing-countries/
japan-overview/
http://www.vijaichina.com/interviews/182
http://www.ncee.org/programs-affliates/center-on-international-
education-benchmarking/ top-performing-countries/
south-korea-overview/south-korea-instructional-systems/
Hyan-Jeong Park. 2008, หนา้ .17-15, ในบทความชื่อ Korean
Perspectives on Assessment of Achievement (ในวารสาร
Educational Studies in Japan : International Yearbook.
No.3. December 2008).
www.thaish anghai.com ระบบการศกึ ษาของสาธารณรฐั ประชาชนจีน
UNESCO. World Data on Education. 7th edition, 2010/2011
http://www.bbrtv.com/2010/0505/10097.htmlและ
http://thai.cri.cn/247/2010/07/30/63s177972.htm
http://www.singstat.gov.sg/

๒๖๔

http://www.moe.gov.se/education/desired-outcomes
ฉันทนา จนั ทรบ์ รรจง และมานิตย์ ไชยกิจ. 2554, หนา้ 6-9
ฉนั ทนา จนั ทรบ์ รรจง และมานติ ย์ ไชยกจิ . 2554, หนา้ 9-10
ฉันทนา จันทรบ์ รรจง - แปลจาก http://www.moe.gov.my/en/
falsafah-pendidikan-kebangsaan
http://www.seameo.org/index.php?option=com_content
view=article&id=111&ltemid=523Exhibit 9. http://www.moe.
gov.my/ cms/ upload files/ articlefile/ 2013/ articlefile_
fle_003114.pdf Activate Windows
สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา 2559. รายงานผลการศึกษาเพือ่ พัฒนา
มาตรฐานการศึกษาของชาติ

๑ สํานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศกึ ษา (องค์การมหาชน) (๒๕๕๓, หนา้ ๑๘)
๑ สาํ นกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน) (๒๕๕๓, หนา้ ๑๘)
๑ https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/NationalEducation.pdf สํานักงานรับรอง

มาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศกึ ษา (องค์กรมหาชน). (๒๕๕๕).
๑ https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/NationalEducation.pdf สํานักงานรับรอง

มาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน). (๒๕๕๕).
๑ คู่มือผู้ประเมินเพ่ือการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ. ๒๕๕๔-

๒๕๕๘). พมิ พท์ ี่ : บริษทั ออฟเซ็ท พลสั จาํ กดั .
๑ ค่มู อื ผปู้ ระเมนิ เพื่อการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกรอบสาม ระดับการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน (พ.ศ. ๒๕๕๔-

๒๕๕๘). พิมพ์ที่ : บริษทั ออฟเซ็ท พลัส จาํ กดั .
๑ https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/NationalEducation.pdf สํานักงานรับรอง

มาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา (องคก์ รมหาชน). (๒๕๕๕).
๑ https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/NationalEducation.pdf สํานักงานรับรอง

มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคก์ รมหาชน). (๒๕๕๕).
๑ https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/NationalEducation.pdf สํานักงานรับรอง

มาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ รมหาชน). (๒๕๕๕).
๑https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/NationalEducation.pdf สํานักงานรับรอง

มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน). (๒๕๕๕).
๑สัญญา ชาวไร่, “การศึกษาการรับรู้การบริหารจัดการโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร

สถานศกึ ษา สงั กดั สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด”, วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ นิ ทร์, ๒๕๔๘), หน้า ๒๙ – ๓๕.

๑ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/๙๔/๑๗๘-๑๘๐

๒๖๕

๑ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๘๑/๖๐
๑ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๑๗๖/๑๑๒.
๑เกษม วัฒนชัย, “ธรรมาภิบาลบทบาทสาํ คัญกรรมการสถานศกึ ษา”, รายงานการปฏริ ปู การศึกษา
ไทย, ปที ี่ ๕ ฉบับที่ ๖๔ (๒๕๔๖) : ๒๑.
๑กระทรวงศึกษาธกิ าร, พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบับ
ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕, (กรุงเทพมหานคร : กระทรวงฯ, ๒๕๔๖), หน้า ๓๑.
๑ สาํ นักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา (องคก์ ารมหาชน) (๒๕๕๓, หน้า ๑๘)
๑เยาวดี รางชัยกุล วบิ ูลย์ศร.ี (๒๕๔๒), การประเมินโครงการแนวคิดและการปฏบิ ัต.ิ กรงุ เทพ: จฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .

๑ วรเดช จันทรศร, และ ไพโรจน์ ภทั รนรากุล. (๒๕๔๑). การประเมินผลระบบเปิด. กรุงเทพ: สมาคมรัฐ
ประศาสนศาสตร.์

๑ สํานักงานสภาสถาบันราชภัฎ. (๒๕๔๕). ชุดวชิ าการประเมินเพ่ือการพัฒนา. กรุงเทพ : สํานักมาตรฐาน
การศกึ ษา.

(๗) สัมภาษณ/์ สนทนากลุม่ :

๒. ภาษาองั กฤษ

๑. Primary Sources

๒. Secondary Sources
(I) Books:

(II) Articles:

(IV) Electronics:

๒๖๖

๒๖๗

ประวตั ิผู้วจิ ัย

ชื่อ - นามสกลุ : พระครปู ลดั บญุ ชว่ ย โชตวิ โํ ส/อยุ้ วงค์,ดร.

วฒุ ิการศกึ ษา : พธ.บ. (พระพทุ ธศาสนา), ป.บัณฑติ (วชิ าชพี คร)ู

ศษ.ม. (การบริหารการศกึ ษา), พธ.ม. (สาขาวิชาพระพุทธศาสนา)

ปร.ด. (การบรหิ ารการศึกษา)

ประสบการณ์การทาํ งาน : อาจารยห์ ลักสูตร พธ.ม. (สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา)

อาจารยห์ ลักสตู ร ค.ม. (สาขาวิชาพุทธบรหิ ารการศกึ ษา)

คณะกรรมการบรหิ ารศนู ย์ฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี

คณะกรรมการบรหิ ารบัณฑิตศกึ ษา มจร.วทิ ยาเขตขอนแกน่

สถานท่ีทํางาน : ๓๐ หมู่ ๑ ตําบลโคกสี อําเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
๔๐๐๐๐

มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น

G-mail : [email protected]

ผลงานทางวิชาการ งานวิจยั : : กลยุทธใ์ นการปลกู ฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม สําหรับนักเรียนประถม
ในสถานศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาขอนแกน่ เขต ๑

: ยุทธศาสตร์และรูปแบบการเสริมสร้างเครือข่ายเมืองขอนแก่นสู่
การพฒั นาท่ยี ่งั ยนื

: การบริหารสถานศึกษายุค 4.0 ตามมหลักอิทธิบาท 4 สังกัด
สํานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต ๓๐

: รูปแบบการรักษาและปูองกันยาเสพติดตามแนวทาง
พระพุทธศาสนา : กรณศี กึ ษา วัดพทุ ธเกษม อําเภอนํ้าพอง จังหวัด
ขอนแกน่

: ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักอิทธิบาท
4 สังกดั สํานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาขอนแกน่ เขต ๒

: A Model of Transformational Leadership of Private

๒๖๘

Schools in Khon Kaen, Thailand. Multicultural Education

: The Administration Model of Private Schools under
KKPEO in 21st Century

: Buddhist Educational Administration Vision for
Monastic Schools under OBSN, Thailand

: A Model Development of Causal Structural
Relationship of Factors Influencing the Effectiveness of
Staff Knowledge Management in Basic Education
Schools, Primary Education Service Area Office No. 1

ผลงานทางวิชาการ หนังสือ : คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมสาํ หรับผูบ้ ริหารการศึกษา ๒๕๖๓

: ภาวะผูน้ ําทางการศกึ ษา ๒๕๖๓

: การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา ๒๕๖๔

: ศกึ ษาศาสตร์ในพระไตรปิฏก ๒๕๖๔


Click to View FlipBook Version