๔๔
โดยมเี ปูาหมายในการพัฒนาของแผนการพฒั นาฯ ฉบบั ที่ ๑๒ ดังน้ี
๑. คนไทยมคี ุณลกั ษณะเปน็ คนไทยทส่ี มบรู ณ์ มีวินยั มีทัศนคติ และพฤติกรรม ตามบรรทัด
ฐานที่ดีของสังคม มีความเป็นพลเมืองที่มีความรู้ มีความสามารถในการปรับตัวได้ อย่างรู้เท่าทัน
สถานการณ์ มีความรับผิดชอบและทําประโยชน์ต่อส่วนรวม มีสุขภาพกายและใจ ที่ดี มีความเจริญ
งอกงามทางจติ วญิ ญาณ มวี ถิ ีชีวติ ทพ่ี อเพียงและมีความเปน็ ไทย
๒. ความเหล่ือมล้าทางด้านรายได้และความยากจนลดลง เศรษฐกิจฐานรากมีความ
เขม้ แข็ง ประชาชนทุกคนมีโอกาสในการเขา้ ถึงทรัพยากร การประกอบอาชีพและบริการ ทางสังคมที่
มีคุณภาพอย่างท่ัว ถึงและเป็นธรรม กลุ่มท่ีมีรายได้ตํ่าสุดร้อยละ ๔๐ มีรายได้เพ่ิมขึ้นอย่างน้อย
รอ้ ยละ ๑๕
๓. ระบบเศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและแขง่ ขันได้ โครงสร้างเศรษฐกิจปรับสู่ เศรษฐกิจฐาน
บรกิ ารและดิจทิ ัล มผี ปู้ ระกอบการรุน่ ใหม่และเปน็ สังคมผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการขนาดกลางและ
ขนาดเล็กท่ีเข้มแข็งสามารถใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ในการสร้างสรรค์คุณค่าสินค้าและ
บริการ มรี ะบบการผลติ และใหบ้ รกิ ารจากฐานรายได้เดิมท่ีมี มูลค่าเพ่ิมสูงขึ้น และมีการลงทุนในการ
ผลติ และบริการฐานความรู้ชั้นสงู ใหม่ ๆ ที่เป็นมติ รกบั ส่ิงแวดลอ้ มและชุมชน รวมทั้งกระจายฐานการ
ผลิตและการให้บริการสู่ภูมิภาคเพ่ือลดความ เหลื่อมล้า โดยเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและมีอัตรา
การขยายตัวเฉล่ียร้อยละ ๕ ต่อปี และมี ปัจจัยสนับสนุน อาทิ ระบบโลจิสติกส์ พลังงานและการ
ลงทนุ วิจัยและพฒั นาท่ีเอ้ือต่อการ ขยายตัวของภาคการผลิตและบริการ
๔. ทนุ ทางธรรมชาติและคณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ มสามารถสนับสนุนการเติบโตที่เป็น มิตรกับ
ส่ิงแวดล้อม มีความม่ันคงทางอาหาร พลังงาน และน้า โดยเพ่ิมพื้นท่ีปุาไม้ให้ได้ ร้อยละ ๔๐ ของ
พื้นที่ประเทศเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกในภาคพลังงาน
และขนส่งไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗ ภายในปี ๒๕๖๓ เทียบกับการปล่อย ในกรณีปกติ มีปริมาณหรือ
สดั สว่ นของขยะมูลฝอยท่ไี ด้รับการจัดการอย่างถูกหลักสุขาภิบาล เพ่ิมขึ้น และรักษาคุณภาพน้าและ
คณุ ภาพอากาศในพื้นท่วี ิกฤตใหอ้ ยู่ในเกณฑม์ าตรฐาน
๕. มีความมันคงในเอกราชและอธปิ ไตย สังคมปลอดภยั สามัคคี สรา้ งภาพ ลักษณ์ดี และ
เพิม่ ความเช่ือมน่ั ของนานาชาติต่อประเทศไทย ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ และความคิดในสังคม
ลดลง ปัญหาอาชญากรรมลดลง ปริมาณความสูญเสียจากภัยโจรสลัด และการลักลอบขนส่งสินค้า
และคา้ มนษุ ยล์ ดลง มีความพร้อมท่ีปกปูองประชาชน จากการก่อการร้ายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ประเทศไทย มสี ่วนรว่ มในการกาํ หนดบรรทดั ฐาน ระหว่างประเทศ เกิดความเชื่อมโยงการขนส่ง โลจิ
สติกส์ ห่วงโซ่มูลค่า เป็นหุ้นส่วนการพัฒนาท่ีสําคัญในอนุภูมิภาค ภูมิภาค และโลก และอัตราการ
เตบิ โตของมูลค่าการลงทนุ และ การสง่ ออกของไทยในอนภุ มู ิภาค ภมู ิภาค และอาเซียนสงู ข้ัน
๔๕
๖. มรี ะบบบรหิ ารจัดการภาครัฐ ทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ ทนั สมยั โปร่งใส ตรวจสอบได้ กระจาย
อํานาจและมสี ่วนร่วมจากประชาชน บทบาทภาครัฐในการให้บริการซ่ึง ภาคเอกชนดําเนินการแทน
ไดด้ ีกวา่ ลดลง เพิ่มการใชร้ ะบบดจิ ิทลั ในการใหบ้ ริการ ปัญหา คอร์รัปช่ันลดลงและการบริหารจัดการ
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอิสระมากข้ึน โดยอันดับประสิทธิภาพภาครัฐที่จัดทาโดยสถาบัน
การจดั การนานาชาติ และอันดับความ ยากงา่ ยในการดาเนินธุรกิจในประเทศดีข้ึน การใช้จ่ายภาครัฐ
และระบบงบประมาณมี ประสทิ ธิภาพสูง ฐานภาษีกว้างข้ึนและดัชนีการรับรู้การทุจริตดีข้ัน รวมถึงมี
บุคลากรภาครัฐทมี่ ี ความรู้ ความสามารถและปรบั ตวั ไดท้ นั กับยคุ ดจิ ทิ ัลเพม่ิ ขน้ึ
๓.๔ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับ ที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕ และ(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ สนับสนุนให้มีการกระจายอํานาจ บริหาร
การศึกษาไปยังคณะกรรมการและสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในเขต พ้ืนที่
การศกึ ษาโดยตรง จงึ มีความจาเปน็ ตอ้ งมรี ะบบประกันคุณภาพเพ่ือให้เกิดความมั่นใจว่า ผู้เรียนไม่ว่า
จะอย่ใู นทอ้ งถนิ่ ใดกต็ าม จะได้รับการศกึ ษาท่ีมคี ณุ ภาพใกล้เคียงกัน โดยมีความม่งุ หมายและหลักการ
ดงั นี้
มาตรา ๖ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกาย
จติ ใจ สตปิ ญั ญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวฒั นธรรมในการดํารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับ
ผอู้ น่ื ได้อยา่ งมคี วามสุข
มาตรา ๗ ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสํานึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขรู้จักรักษาและ ส่งเสริมสิทธิ
หนา้ ท่ี เสรภี าพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดศิ์ รคี วามเป็น มนุษย์ มีความภาคภูมิใจ
ในความเป็นคนไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ
วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจน
อนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถ ในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มี
ความรเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ ใฝุรู้และเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองอยา่ ง ตอ่ เนือ่ ง
มาตรา ๘ การจัดการศึกษาใหย้ ึดหลกั ดังน้ี
๑. เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสําหรบั ประชาชน
๒. ให้สังคมมสี ว่ นร่วมในการจดั การศกึ ษา
๓. การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรใู้ หเ้ ป็นไปอย่างต่อเนื่อง
๔๖
มาตรา ๙ การจดั ระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ใหย้ ึดหลักดงั นี้
๑. มเี อกภาพดา้ นนโยบายและมคี วามหลากหลายในการปฏิบัติ
๒. มีการกระจายอํานาจไปสู่เขตพ้ืน ท่ีการศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วน
ทอ้ งถิ่น
๓. มีการกําหนดมาตรฐานการศึกษาและจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับ และ
ประเภทการศกึ ษา
๔. มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาและ การ
พัฒนาครู คณาจารยแ์ ละบุคลากรทางการศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนื่อง
๕. ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ในการจดั การศกึ ษา
๖. การมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ิน
เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบัน สังคมอื่น การ
กําหนดให้มีมาตรฐานการศึกษาเป็นแนวคดิ ทดี่ ที ีส่ ถานศกึ ษาแต่ละแห่งจะตอ้ งมี แต่จุดสําคัญที่สุดอยู่ที่
ผลผลิต คือ ผู้ เรียนได้รับการพัฒนาให้ดีข้ึน เก่งขึ้นและมีความรับผิดชอบ มากขึ้น สําหรับส่วนที่เป็น
ปัจจยั ตวั ปูอนในด้านทรัพยากร กระบวนการบริหารจัดการและ กระบวนการเรียนการสอน ถึงแม้มี
ความสําคญั แต่สามารถจดั ให้หลากหลายได้ ซ่ึงความ หลากหลายจะต้องคํานึงถึงผู้รับ การศึกษาเป็น
สําคัญ ต่อมาไดม้ กี ารจัดทํารา่ ง พ.ร.บ. การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ทุกฝุายก็เห็น ตรงกันว่า ถ้าจะ
ยกระดบั มาตรฐานการศึกษาไทย จําเป็นต้องนาเร่ืองมาตรฐานและ การประกันคุณภาพการศึกษาที่
คณะรฐั มนตรีอนุมัติให้เป็นนโยบาย มาบญั ญตั เิ ปน็ กฎหมาย ด้วย จึง ได้กําหนดไว้ในหมวด ๖ มาตรา
๔๗ ถึงมาตรา ๕๑ ดงั น้ี
มาตรา ๔๗ ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและ มาตรฐาน
การศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วยระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการ ประกันคุณภาพ
ภายนอก
มาตรา ๔๘ ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกัน คุณภาพ
ภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร
การศึกษาทตี่ ้องดาํ เนินการอย่างต่อเนอ่ื ง โดยมีการจัดทาํ รายงานประจาํ ปี เสนอต่อหนว่ ยงานต้นสังกัด
หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อนาไปสู่การ พัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน
การศกึ ษาและเพื่อรองรบั การประกนั คุณภาพภายนอก
มาตรา ๔๙ ให้มีสํานักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มี ฐานะเป็น
องค์การมหาชนทําหนา้ ที่พฒั นาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทําการ ประเมินผลการ
๔๗
จดั การศกึ ษาเพือ่ ใหม้ ีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคาํ นึงถึงความ มุ่งหมายและหลักการ
และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ ตามท่ีกําหนดไว้ใน พระราชบัญญัตินี้ให้มีการประเมิ น
คุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่ง อย่างน้อยหน่ึงคร้ัง ในทุกห้าปีนับตั้งแต่การประกันคร้ัง
สดุ ท้าย และเสนอผลการประเมนิ ตอ่ หนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วข้อง และสาธารณชน
มาตรา ๕๐ ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมเอกสารหลักฐาน ต่างๆ ที่มี
ข้อมูลเกี่ยวข้องกับสถานศึกษา รวมท้ังผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องกับ สถานศึกษาให้ข้อมูล
เพ่ิมเติมในส่วนที่พิจารณาเห็นว่าเก่ียวข้องกับการปฏิบัติภารกิจของ สถานศึกษาตามคําร้องขอของ
สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือ บุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่
สํานักงานดงั กล่าวรบั รอง ที่ทาการประเมินคุณภาพภายนอก ของสถานศึกษานัน้
มาตรา ๕๑ ในกรณีท่ีผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้ตาม มาตรฐานท่ี
กําหนด ใหส้ ํานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา จัดทําข้อเสนอแนะการปรับปรุง
แก้ไขต่อหน่วยงานต้นสังกัด เพ่ือให้สถานศึกษาปรับปรุงแก้ไขภายใน ระยะเวลาท่ีกําหนด หากมิได้
ดําเนินการดังกล่าวให้สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษารายงานต่อ
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือคณะกรรมการอุดมศึกษาเพ่ือดําเนินการให้มีการปรับ ปรุง
แก้ไข หลังจากมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติเป็นเวลา ๑ ปี ๒ เดือน การจัดทําพระราช
กฤษฎกี าจดั ต้ังสาํ นกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) จึงสําเร็จ
โดยมีผลบังคับใช้ในวันท่ี ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ส่งผลให้ระบบการศึกษาไทยมีระบบ การประกัน
คุณภาพการศึกษาเกิดขึ้น และนําไปสู่การประเมินเพ่ือรับรองมาตรฐานอย่างจริงจัง โดยทําหน้าที่
พฒั นาเกณฑ์ วธิ กี ารประเมินคุณภาพภายนอกและทําการประเมินผลการจัด การศึกษา เพ่ือให้มีการ
ตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษาโดยคาํ นึงถึงความมุง่ หมาย หลกั การ และแนวทางการจัดการศึกษา
ในแต่ละระดับ การดําเนนิ การ สมศ. ไดด้ ําเนินการ ประเมินคุณภาพภายนอกรอบแรก (พ.ศ. ๒๕๔๔ -
พ.ศ.๒๕๔๘) ซึ่งเปน็ การประเมินคณุ ภาพ
ภายนอกโดยไม่มีการตดั สนิ ผลการประเมิน แต่เป็นการประเมินเพื่อยืนยันสภาพจริงของ
สถานศึกษา ขณะเดียวกันถือเป็นการสร้างความเข้าใจกับสถานศึกษาเพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ตาม
หลักการประกันคุณภาพการศึกษา และรอบสอง (พ.ศ.๒๕๔๙-พ.ศ.๒๕๕๓) เป็นประเมิน ตาม
วตั ถปุ ระสงค์ของสมศ. ทร่ี ะบุไว้ในพระราชกฤษฎกี าของการจัดตง้ั สาํ นกั งานโดยให้นาผล การประเมิน
คณุ ภาพภายนอกรอบแรกมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมท้ังประเมิน ผลสัมฤทธ์ิท่ีเกิดข้ึน
เพือ่ การรับรองมาตรฐานคุณภาพการศึกษาและสมศ. ประเมินภายนอกรอบ สาม (พ.ศ.๒๕๕๔-พ.ศ.
๒๕๕๘) ซ่ึงเป็นการประเมินเพ่ือยกระดับมาตรฐานคุณภาพการศึกษา โดยพิจารณาจากผลผลิต
ผลลพั ธ์ และผลกระทบมากกวา่ กระบวนการ โดยคํานงึ ถงึ ความ แตกตา่ งของแตล่ ะสถานศึกษา
๔๘
๓.๕ กฏกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพ การศึกษา
พ.ศ. ๒๕๕๓
กฏกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๓
กําหนดโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตราขึ้น โดยอาศัยอํานาจตาม บทบัญญัติแห่ง
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๔๕) เพ่ือเป็น
หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษา โดยแบ่ง ออกเป็น ๓ กลุ่ม ตาม
สังกัดดงั น้ี
ตาราง ๓.๑ สรุปกฏกระทรวงวา่ ด้วยระบบ หลกั เกณฑ์ และวิธีการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา
พ.ศ. ๒๕๕๓ จําแนกตามประเภทการจัดการศึกษา
การศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน การอาชวี ศึกษา การอดุ มศกึ ษา
๑. กําหนดมาตรฐาน ๑. กําหนดมาตรฐานการศกึ ษา ระบบและกดไกควบคุม คุณภาพ
ระบบและกลไกควบคมุ การศึกษา องค์ประกอบตา่ ง ๆ ท่ใี ชใ้ นการ
ของสถานศึกษาของสถาน ผลิตบัณฑิต
๒.จัดทาํ แผนพัฒนาการจดั ๒.จัดทําแผนพฒั นาการจดั ๆ ท่ใี ช้ ก. หลกั สตู รการศกึ ษาใน มงุ่
ในการผลติ บณั ฑิตการศึกษาของ คุณภาพตามมาตรฐาน คุณภาพ
สถานศกึ ษาท่ี การศึกษาของ ตามมาตรฐาน สาขาวิชาต่าง ๆ
สถานศกี ษาทมี การศกึ ษาของสถานศกึ ษา
๓.ดําเนินง านตามแผ นพัฒนา ๓.จัดระบบบรหิ ารและ การจัดการ ค.สื่อการศึกษาและเทคนิค การ
พัฒนาคณาจารย์ สารสนเทศ ศกึ ษาของ สอน
๔.ดําเนนิ งานตามแผนพฒั นา ๔.จดั ใหม้ กี ารตดิ ตาม ง. ห้องสมุดและแหล่งการ
สถานศกึ ษา ตรวจสอบคุณภาพ
การศกึ ษาเรียนรอู้ น่ื
๕.จัดให้มีการตดิ ตาม ๕.จัดให้มีการประเมินคณุ ภาพ จ. อปุ กรณก์ ารศึกษา ตรวจสอบ
คณุ ภาพการศึกษา ภายในตาม
มาตรฐานการศกึ ษา
๖.จดั ใหม้ ีการประเมิน ของ ๖.จัดทํารายงานประจําปที ี่เปน็ ฉ. สภาพแวดลอ้ มในการเรียนรู้
สถานศึกษา และบริหารการศกึ ษา
คุณภาพภายในตาม
๗.จดั ทํารายงานประจาํ ปที ่ี ๗.จัดใ ห้ มีก าร พัฒ นาคุ ณภ า พ ช. การวดั ผลการศึกษาและ
เปน็ รายงานประเมนิ คณุ ภาพ
การศึกษาอย่างตอ่ เนอ่ื ง มาตรฐานการศึกษาของ รายงาน
๘.จัดใ ห้ มีก าร พัฒ นาคุ ณภ า พ ๔๙
การศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
ประเมินคุณภาพ การเรยี นรู้ และ
บริหาร สถานศึกษา ภายใน
การศึกษา
๓.๖ ประกาศสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา
(ก.ค.ศ.) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพัฒนาข้าราชการ ครูและบุคลากรสายการสอน
พ.ศ. ๒๕๖๐
๕.๑ ว.๒๐ การปรับปรุงมาตรฐานตําแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะของ ข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอน สานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ ประกาศการปรบั ปรงุ มาตรฐานตําแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะของข้าราชการครู
และ บุคลากรทางการศกึ ษาสายงานการสอน ลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ มรี ายละเอียดดงั นี้
๑. มาตรฐานตาํ แหน่งครู ประกอบดว้ ย ๓ องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่
๑) หน้าที่และความ รับผิดชอบ (ด้านการจัดการเรียนการสอน , ด้านการบริหาร
จัดการชน้ั เรียน และด้านการ พัฒนาตนเอง)
๒) วนิ ยั คุณธรรมและจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวชิ าชีพ
๓) คุณสมบตั ิเฉพาะ ของ ผดู้ าํ รงตาํ แหน่ง โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้
๑ หนา้ ทแี่ ละความรับผิดชอบ การจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมการเรียนรู้ บริหารจัดการ
ชั้นเรียน อบรมบ่มนิสัยให้ผู้เรียนมีวินัย คุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ปฏบิ ตั งิ านทางวิชาการของสถานศึกษาเพ่ือประสานความร่วมมือกับผู้ปกครอง บุคคลในชุมชนและ/
หรือสถานประกอบการ เพ่ือร่วมกันพัฒนาผู้เรียน การบริการด้าน วิชาการ การพัฒนาตนเองและ
วชิ าชพี และปฏิบตั ิงานอนื่ ตามทไี่ ดร้ บั มอบหมาย โดยมลี ักษณะ งานที่ปฏบิ ตั ิในด้านตา่ ง ๆ ดังน้ี
๑.๑.๑) ด้านการจัดการเรียนการสอน
๑) สร้างและ/หรือพัฒนาหลักสูตร โดยจัดทํารายวิชาและหน่วย การเรียนรู้ให้
สอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นรู้ และตัวชวี้ ดั หรอื ผลการเรียนรูต้ ามหลักสตู ร
๒) ออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ เพ่ือให้ผู้เรียน มีความรู้
ทักษะ คุณลกั ษณะประจาํ วิชา คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะท่สี ําคัญ ตามหลกั สตู ร
๕๐
๓) จัดกิจกรรมการเรยี นรู้ อํานวยความสะดวกในการเรยี นรู้ และ ส่งเสริมการเรียนรู้
ดว้ ยวธิ กี ารท่ีหลากหลายโดยเน้นผ้เู รียนเปน็ สําคัญ
๔) สรา้ งและ/หรือพัฒนาสื่อนวัตกรรม เทคโนโลยี และแหล่งเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับ
กจิ กรรมการเรยี นรู้
๕) วดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสม และสอดคล้อง
กบั มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วดั และจุดประสงค์การเรยี นรู้
๖) ศกึ ษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ และ/หรือวจิ ยั เพ่ือแกป้ ัญหาหรือ พัฒนาการเรียนรู้ที่
สง่ ผลตอ่ คณุ ภาพ ๑.๑.
๒) ดา้ นการบรหิ ารจดั การชนั้ เรยี น
๑) สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ กระบวนการคิด ทักษะ ชีวิต และพัฒนา
ผู้เรียน เสริมแรงให้ผู้เรียนมีความม่ันใจในการพัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพ เกิดแรงบันดาลใจ มี
ความสขุ มคี วามปลอดภยั และมีการเปล่ียนแปลงในทางทีด่ ี โดยมุ่งเน้น การมีส่วนรว่ มของผู้เรียนและ
ผู้ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง
๒) ดําเนินการตามระบบดูแลช่วยเหลือผู้เรียนโดยใช้ข้อมูล สารสนเทศเกี่ยวกับ
ผู้เรียนรายบคุ คล และประสานความรว่ มมือกบั ผู้มสี ่วนเกี่ยวขอ้ ง เพอ่ื แกป้ ญั หาและพฒั นาผเู้ รียน
๓) อบรมบ่มนิสัยให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ และ
ค่านยิ มที่ดีงาม
๔) จดั ทําข้อมูลสารสนเทศ เอกสารประจําชั้นเรียนหรือเอกสาร ประจําวิชา เพื่อใช้
ในการสง่ เสริมสนับสนุนการเรยี นร้แู ละพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น
๑.๑.๓) ด้านการพฒั นาตนเองและวิชาชีพ
๑) จัดทาํ แผนพัฒนาตนเอง และดาํ เนนิ การตามแผนอย่างเป็น ระบบและ
ต่อเน่ือง
๒) มีส่วนร่วมและ/หรือเป็นผู้นําทางวิชาการในชุมชนการเรียนรู้ทาง
วชิ าชพี
๓) นาํ ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะที่ไดจ้ ากการพฒั นาตนเองและ วิชาชีพ
มาพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรูท้ ่ีส่ง ผลต่อคุณภาพผู้เรียน
๑.๒ วินยั คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชพี
๕๑
๑.๓ คณุ สมบตั เิ ฉพาะสําหรับ ผดู้ ํารงตาํ แหนง่
ว ๒๒ หลักเกณฑ์และวธิ ีการพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา สายงาน
การสอน
หลกั เกณฑ์
๑. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องได้รับการพัฒนาต่อเนื่องทุกปีโดย ให้
ประเมินตนเองตามที่ ก.ค.ศ. กําหนดพร้อมจัดทําแผนการพัฒนาตนเองเป็นรายปีตามแนบที่ ส่วน
ราชการกาํ หนดและเขา้ รับการพฒั นาตามแผนอย่างเปน็ ระบบและต่อเน่ือง
๒. ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาท่ีผ่านการพัฒนาหลักเกณฑ์นี้ สามารถ นําผลที่
ผา่ นพัฒนาไปใช้เพือ่ ขอมีและเลอ่ื นวทิ ยฐานะได้ทกุ วิทยฐานะและให้ถอื วา่ การพัฒนา ตามหลักเกณฑ์นี้
เปน็ การพัฒนาก่อนแต่งต้ังให้มีและเล่ือนวิทยฐานะตามมาตรา ๘๐ แห่ง พระราชบัญญัติระเบียบว่า
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
๓. หลักสูตรการพัฒนาต้องมีองค์ประกอบด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านความเป็นครู และ
คณุ ลักษณะทค่ี าดหวังโดยมเี งอื่ นไขดงั ตอ่ ไปนี้
๓.๑. หลักสตู รท่สี ถาบนั ครุ พุ ฒั นาตามรองรับมาตรฐานวิทยฐานะหรือตามท่ี ก.ค.ศ. กําหนด
๓.๒. พัฒนาอย่างต่อเน่ืองทุกปี ในแต่ละปีไม่น้อยกว่า ๑๒ ชั่วโมงแต่ไม่เกิน ๒๐ ชั่วโมงและ
ภายในระยะเวลา ๕ ปี ต้องมีชั่วโมงการพัฒนา จํานวน ๑๐๐ ชั่วโมง หากภายในระยะเวลา ๕ ปี
มีจาํ นวนช่ัวโมงการพัฒนาไม่ครบ ๑๐๐ ชั่วโมงสามารถนา จํานวนช่ัวโมงการมีส่วนร่วมในชุมชนการ
เรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning community : PLC) ส่วนที่เกิน ๕๐ ชั่วโมงในแต่ละปี
สามารถนาํ มานับรวมเป็นจาํ นวนชวั่ โมงการพัฒนาได้
วธิ กี าร
๑. ให้ส่วนราชการและผู้บังคับบัญชามีหน้าท่ีส่งเสริม สนับสนุน และประสานให้ ข้าราชการ
ครู
และบุคลากรทางการศึกษาเข้ารบั การพฒั นาอย่างเปน็ ระบบและต่อเนอื่ ง
๒. ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประเมินตนเองตามท่ี ก.ค.ศ. กําหนดและ
จัดทําแผนการพัฒนาตนเองเปน็ รายปี ตามแบบทีส่ ว่ นราชการกําหนดเสนอ ผู้อํานวยการสถานศึกษา
พร้อมแนบเอกสารหลักฐานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
๕๒
๓. ใหผ้ ้อู ํานวยการสถานศกึ ษาตรวจสอบและพจิ ารณาอนญุ าตให้ข้าราชการครูและ บุคลากร
ทางการศึกษาเขา้ รับ การพฒั นา
๔. ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เข้ารับการพัฒนาแล้วนาผลสําเร็จ ของการ
พัฒนาตามหลักสูตรพัฒนาที่สถาบันคุรุพัฒนารับรอง หรือตามท่ี ก.ค.ศ.กําหนดพร้อม เอกสาร
หลกั ฐานลงในบันทกึ ประวัติการปฏบิ ัตงิ านเสนอผ้อู ํานวยการสถานศกึ ษาทกุ ครัง้
๕. ให้ผู้อํานวยการสถานศึกษาตรวจสอบเอกสารหลักฐานเก่ียวกับหลักสูตรท่ี สถาบันคุรุ
พัฒนารับรองตามมาตรฐานวิทยฐานะหรือตามที่ ก.ค.ศ.กําหนดแล้วรับรอง ผลสําเร็จการพัฒนาน้ัน
ในใบบันทึกประวัติการปฏิบัติงานกรณีท่ีมีจานวนชั่วโมงการพัฒนาไม่ ครบ ๑๐๐ ช่ัวโมงภายใน
ระยะเวลา ๕ ปีให้นาจํานวนช่ัวโมงการมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพ (Professional
Learning community : PLC) ส่วนที่เกิน ๕๐ ชั่วโมง ในแต่ละปีมานับรวม เป็นจํานวนชั่วโมงการ
พัฒนาใหค้ รบจานวน ๑๐๐ ชว่ั โมงไดโ้ ดยให้ผอู้ ํานวยการสถานศกึ ษา ตรวจสอบจากบันทึกประวัติการ
ปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้วรับรองผล
เปน็ หลกั ฐาน
๖. กรณีที่ไม่เปน็ ไปตามเกณฑ์และวธิ นี ี้ใหเ้ สนอ ก.ค.ศ. พจิ ารณา
ขอบขา่ ยของหลกั สูตรการพฒั นา
หลักสูตรทีส่ ามารถเข้ารบั การพฒั นารบั รอง ตอ้ งมีองค์ประกอบด้านความรู้ ด้าน ทักษะ ด้าน
ความเป็นครแู ละคุณลกั ษณะท่คี าดหวงั ในแต่ละวิทยฐานะ ดังนี้
องคป์ ระกอบที่ ๑ ประกอบด้วย
๑. ด้านความรู้ประกอบดว้ ยเนื้อหาวิชาที่สอน ความสามารถในรายวชิ ากลุ่มสาระ การเรียนรู้
๒. วธิ ีสอนถ่ายทอดความรู้เชิงเน้ือหา กิจกรรม บริบท เปูาหมายการเรียนรู้ ความรู้ พื้นฐาน
การปรบั พ้นื ฐาน และอปุ สรรคการเรียนรู้ของผ้เู รยี น
๓. หลักการสอนและกระบวนการการจัดเรยี นรู้
๔. หลกั สตู ร การออกแบบ วางแผนการใช้ ประเมิน และแนวทางการเรียนรู้ในแตล่ ะ เนอื้ หา
๕. พ้นื ฐานการศกึ ษา หลกั การศึกษา ปรชั ญาการศึกษา จิตวทิ ยาสงั คมนโยบาย การศึกษาจุด
มุ่ง หมาย และเปาู หมายการจัดการศกึ ษาตัง้ แตร่ ะดบั ชาตจิ นถงึ ระดบั หลกั สูตร
๖. การจัดการศึกษาแบบรวมและการตอบสนองต่อความหลากหลายของผเู้ รียน
๗. ทฤษฎกี ารเรยี นรแู้ ละจิตวิทยาการเรียนรู้
๕๓
๘. การใชเ้ ทคโนโลยสี อนวตั กรรมเพ่อื การเรยี นรู้
๙. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
องค์ประกอบท่ี ๒ ดา้ นทกั ษะประกอบด้วย
๑. หลักสูตรวเิ คราะหอ์ อกแบบจัดทําและประเมินหลกั สตู ร
๒. การจัดการเรียนรู้
๒.๑ การออกแบบและการจัดทําแผนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัย พัฒนาการและ
ความแตกต่างของผู้เรียน รวมถงึ การส่งเสรมิ คุณธรรม จริยธรรมและ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้าน
ตา่ ง ๆ แกผ่ ู้เรยี นโดยเน้นกระบวนการคิดการลงมอื ปฏบิ ัตแิ ละ การสร้างวนิ ยั ในตนเอง
๒.๒ การวางแผน จัดการและประสานงานเพ่อื บูรณาการจดั การเรียนรู้แก่ ผู้เรียน
๒.๓ การบริการการจัดการเรียนรู้การกับติดตาม ประเมินและสะท้อนผล การจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้
๒.๔ เนื้อหาสาระในรายวชิ าทส่ี อน
๓. การจัดบรรยากาศการเรียน จัดบรรยากาศการเรียนรู้ที่เสริมสร้างผู้เรียนใน ด้านการ
แสดงออกอยา่ งสร้างสรรค์ ปฏสิ มั พันธ์ทางสงั คมเชิงบวก เรียนร้ใู นสิ่งใหม่ที่เปิดกว้าง ลงมือปฏิบัติจริง
กระตุ้นด้วยคาถามและปัญหาทางการเรียนรู้ การดูแลช่วยเหลือผู้เรียน การแนะแนวการศึกษาและ
การสรา้ งแรงจงู ใจให้ผ้เู รยี นทาการเรียนรดู้ ้วยตนเอง
๔. การใช้สื่อการเรียนรู้ เลือกพัฒนาประยุกต์สื่อการเรียนรู้เทคโนโลยี สารสนเทศและ
ทรัพยากรทางการศึกษาต่างๆ เพื่อการเสรมิ สรา้ งการเรยี นรู้ การคิดคน้ ท้าทาย และกระตุ้น ความรู้แก่
ผเู้ รยี น
๕. การวัดและประเมินผลผู้เรียน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ท้ังแบบเป็น
กลุ่มและรายบคุ คล โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื และวิธีการทเี่ หมาะสมและหลากหลาย กํากับ ติดตามและนําผล
การประเมนิ มาปรับปรงุ วธิ กี ารจดั การเรยี นรู้และพฒั นาผูเ้ รยี นอยา่ งต่อเน่ือง
๖. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้รวบรวมวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เพ่ือใช้ในการ
ตัดสินใจปรับปรงุ พัฒนาการจัดการเรยี นรูแ้ กป้ ญั หาการเรียนรู้ของผู้เรียน พัฒนาและสร้างความรู้จาก
วจิ ยั ลงสกู่ ารปฏบิ ัติได้
๗. ทํางานร่วมกับผูอ้ ื่น เจรจาจูงใจร่วมทํางานกับผู้อ่ืนได้อย่างสร้างสรรค์และ เป็นประโยชน์
ต่อผู้ เรยี น
๕๔
๘. การเรยี นร้เู ชิงวิชาชพี ทบทวนและสะท้อนผลการเรียนรู้ของตนเอง สร้างปฏิสัมพันธ์และ
ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพ่ือนร่วมวิชาชีพ เพ่ือปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ และปฏิบัติงานอย่าง
ตอ่ เนื่อง
๙. ภาษาองั กฤษ เรยี นรเู้ พอ่ื เพิม่ ทักษะการใช้ภาษาทถ่ี ูกต้อง
องคป์ ระกอบที่ ๓ ด้านความเปน็ ครูประกอบด้วย
๑. ยึดมนั่ ผกู พัน ศรทั ธาในวชิ าชพี และทุ่มเทเพ่อื การเรียนรู้ของผู้เรียน
๒. มีคุณธรรม จริยธรรมและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ผู้เรียนทั้งกาย วาจาและ จิต ใจ
ดารงตนใหเ้ ป็น ท่เี คารพศรทั ธาและนา่ เช่ือ ถือท้ังในและนอกสถานศึกษา
๓. ปฏบิ ัตติ นตามจรรยาบรรณวิชาชีพครู
๔. มวี นิ ัย และรักษาวินัย
๕. เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ปรับปรุงและพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองให้มีความรู้ความ
ชาํ นาญในวิชาชีพเพิม่ ขึ้น
๖. ปฏิบตั ติ นโดยนาํ หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใช้
๗. มีทศั นคตทิ ด่ี ตี อ่ บ้านเมือง
ตาราง ๓.๔ คุณลกั ษณะท่คี าดหวงั
วิทยฐานะ ความรู้ ทักษะ ความเปน็ ครู
ครชู ํานาญการ
เรียนร้เู พ่อื บูรณาการความรู้ พฒั นาผู้เรียนได้เต็ม
ครูชํานาญการพเิ ศษ เปลยี่ นแปลงตนเอง ปฏบิ ัติโดยมุง่ เนน้ การ ความเปน็ ครทู ด่ี ี
ครเู ชี่ยวชาญ
พัฒนาตนเองเพ่อื ใหม้ ี
ตามศักยภาพ
นาํ ผลการพัฒนาการ สร้างนวัตกรรมจาก เป็น แบบอย่าง การ
เปลีย่ นแปลงส่ผู เู้ รยี น การปฏิบัติที่ส่งผลต่อ พัฒนาความเป็นครูท่ดี ี
คณุ ภาพของผ้เู รียน
บริหารจัดการให้เกิด พัฒนานวัตกรรมให้ สง่ เสริมการพฒั นา
ครูเช่ยี วชาญพเิ ศษ ๕๕
การ เปล่ียนแปลง สู่ เป็นต้นแบบการเรยี นรู้ ความเป็นครูท่ดี ี แก่
ผู้เรียน แก่เพ่ือนร่วม แก่ เพ่ือรว่ มวชิ าชพี เพ่อื รว่ มวิชาชพี
วชิ าชีพ
เป็นผู้นําการเปลี่ยน เป็นผู้นําการพัฒนา เป็นผู้นําการพัฒนา
แ ป ล ง เ พ่ื อ ส ร้ า ง น วั ต ก ร ร ม ที่ ส ร้ า ง ความเป็นครูท่ีดีในวง
ความก้าวหน้าทาง ผลกระทบทางวชิ าชพี วชิ าชพี
วชิ าชีพ
การดาํ เนนิ การในชว่ งระยะเวลาเปล่ียนผ่าน
๑. ผลการพัฒนาตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา
ก่อนแต่งต้ังให้มีและเลื่อนเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและวิทยฐานะ เชี่ยวชาญตามหนังสือ
สํานกั งาน ก.ค.ศ. ท่ี ศธ ๐๒๐๖.๗ /ว ๓ ลงวนั ท่ี ๗ เมษายน ๒๕๕๔ ที่ยังอยู่ ภายในเวลา ๓ ปี นับแต่
วันท่ีสําเร็จหลักสูตรการพัฒนาให้สามารถนํามาใช้เป็นคุณสมบัติใน การขอวิทยฐานะและเล่ือนวิทย
ฐานะ และการแต่งตัง้ ใหม้ วี ิทยฐานะและเล่ือนวทิ ยฐานะตาม หลักเกณฑ์และวธิ ีการใช้ และข้าราชการ
ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาตาํ แหนง่ ครมู วี ทิ ยฐานะ และเลื่อนท่ีใช้ได้ ๑ ครั้ง ผู้ดํารงตําแหน่งครู
หรอื ดํารงวิทยฐานะมาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ ๕ ปีที่มีผล การพัฒนาตามหลักเกณฑ์และวิธีพัฒนาข้าราชการ
ครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งต้ัง ให้มีการเลื่อนเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและวิทย
ฐานะเช่ียวชาญตามหนังสือสํานักงาน ก.ค.ศ. ที่ศธ ๐๒๐๖.๗ /ว ๓ ลงวัน ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๔ แต่
พ้นกาหนดเวลา ๓ ปี นับ แต่วันที่สําเร็จ หลักสูตรการพัฒนาแล้วหรือไม่เคยมีผลการพัฒนาตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว ให้เข้า รับการพัฒนาตามหลักเกณฑ์และวิธีการน้ี โดยให้เข้ารับการ
พัฒนาหลักสูตรท่ีสถาบันคุรุ พัฒนารับรองจานวน ๒๐ ชั่วโมง เพ่ือใช้เป็นคุณสมบัติในการขอวิทย
ฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ และการแต่งตั้งให้มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์และ
วิธกี ารให้ขา้ ราชการครู และบุคลากรการศึกษาตําแหน่งครูมีวิทยฐานะและการเลื่อนวิทยฐานะได้ ๑
ครงั้
๕๖
๓.๗ สรปุ ท้ายบท
ภายใต้กฎหมายในการปกครองประเทศที่เป็นแม่บทหลักได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กําหนดกรอบและแนวทางในการพัฒนาประเทศด้าน
การศึกษา โดยมีกฎหมายลูกได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ แก้ไขเพ่ิมเติม
(ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้นากรอบข้างต้นมากําหนดขอบเขตและ
เปูาหมายของการปฏริ ูปการศึกษาเพื่อการพัฒนาการศึกษาของประเทศไว้ในรายละเอียดและมี การ
กําหนดขั้นตอนโดยกว้างไว้ในกฎหมายลูกอีกระดับคือ กฏกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์และ
วิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๓ และมีการกําหนดเป็นประกาศต่าง ๆ เพ่ือเป็นการ
กําหนดแนวปฏิบัติในรายละเอียด โดยในท่ีน้ีได้แก่ ประกาศสานักงาน คณะกรรมการข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เร่ืองหลักเกณฑ์และวิธีการ พัฒนาข้าราชการครูและบุคลากร
สายการสอน พ.ศ. ๒๕๖๐
๕๗
บทที่ ๔
สภาพปจั จบุ ันปญั หาและแนวทางการพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพการศึกษา
ภายใสถานศกึ ษา
๔.๑ ความนาํ
ความจําเป็นในการปฏิรูปการศึกษาต้ังแต่รอบแรก (พ.ศ. ๒๕๔๒- ๒๕๕๑) – รอบสอง
(พ.ศ. ๒๕๕๒- ๒๕๖๑) เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
๑) การเปลยี่ นแปลงสภาพเศรษฐกจิ และ สังคม
๒) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซ่ึงมีเจตนาให้การศึกษาเป็น
เคร่ืองมือสําคัญในการพัฒนาคน คุ้มครองสิทธิ สร้างความเสมอภาค ให้โอกาสคนทุกคนได้รับ
การศึกษาอย่างทวั่ ถงึ และใหโ้ อกาสแกท่ กุ ฝาุ ยไดม้ สี ่วนรว่ มจัดการศกึ ษา
๓) ความล้มเหลวของ การจัดการศึกษา ที่ไม่สามารถสร้างคนให้มีจิตใจท่ีดี มีศักยภาพอย่าง
เพียงพอในการท่ีจะ ดารงชีวิตในสังคม ประกอบอาชีพอย่างพอเหมาะและสามารถพัฒนาชีวิตให้ดี
ยง่ิ ขน้ึ
๔) ความ เจรญิ ก้าวหนา้ ทางวิทยาการและเทคโนโลยี
๕) ความเปน็ สังคมที่ ไปสู่ความเป็นสากล
๕๘
๔.๒ สภาพปัจจุบัน ปัญหา และแนวโน้มบริบทการเปล่ียนแปลงสังคม โลกและ
สังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวฒั น์
๑.๑ สภาพปจั จุบัน ปัญหาการศึกษาประเทศไทย
สภาพการณ์ปัจจุบันของการศึกษาไทยภายหลังจากการปฏิรูปการศึกษารอบท่ี ๑ พบว่าผล
การปฏิรูปยงั ไมส่ ามารถแก้ไขวิกฤตการศกึ ษาของไทยได้สําเร็จ จึงได้ดาเนินการ ปฏิรูปต่อในช่วงที่ ๒
ซึ่งปรากฏผลสภาพปัจจุบันของปัญหาการศึกษาประเทศไทยตามผลการ วิเคราะห์ของ
กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๖) ดังนี้
๑) คณุ ภาพการศกึ ษาพนื้ ฐานตกตาํ่
สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (๒๕๕๓:
๑๘) ในการจดั การทดสอบการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (Ordinary National Educational Test : O-Net) ในทุกๆ ปีนั้น
ผลท่ีออกมามักจะเป็นไปในทิศทาง เดียวกันในทุกๆ ปี น้ันก็คือ เด็กไทยมีความรู้ต่ํากว่ามาตรฐานอยู่เสมอๆ หรือ
แม้แต่การศึกษา ขององค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economics Co-
operation and Development, OECD) ท่ี รู้กัน ในชื่อของ PISA (Program for International Students
Assessment) พบว่านกั เรียนไทยทจ่ี ัดได้ว่ามีความร้วู ิทยาศาสตร์อยใู่ นระดบั สงู มีเพยี ง ๑% เท่านัน้ ทั้งท่ีเราใช้เวลาใน
การเรยี นการสอนมากกว่า ๘ ชม .ต่อวัน PISA ยังพบว่า เด็กไทย ๗๔% อ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง คือมีตั้งแต่อ่านไม่
ออก อ่านแล้วตีความ ไมไ่ ด้ วิเคราะหค์ วามหมายไมถ่ ูก หรอื แม้แต่ใชภ้ าษาให้เปน็ ประโยชน์ในการศกึ ษาวิชาอื่นๆ แต่
เรากลับมองสภาพเหล่านี้ด้วยความเคยชิน และยังคงเชื่อว่าลูกหลานของเราจะต้องได้รับการ พัฒนาโดยการจัด
การศกึ ษาแบบเดมิ ๆ อยา่ งทกุ วนั นี้
๒. ปัญหาของครู ประเทศไทยมีการผลิตครูมากถึงปีละประมาณ ๑๒,๐๐๐ คน ในขณะท่ี
อัตราการบรรจุครใู หม่ในแตล่ ะปีมีเพียง ๓-๔ พันคนเท่าน้ัน ซ่ึงหมายความว่าในแต่ละ ปี บัณฑิตครูที่
จบออกมาใหม่จะมีการตกงานเบื้องต้นเกือบหนึ่งหมื่น คน แต่ในภาพรวมประเทศ ไทยยังนับว่าขาด
แคลนครู โดยเฉพาะครูในสาขาวิชาสําคัญๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา เป็นต้น ยังพบอีก
ว่า ไม่มีความชัดเจนทางนโยบายในการที่จะสนับสนุนให้ผู้สําเร็จ การศึกษาในสาขาวิชาที่ตรงกับ
เน้อื หาสาระ
๓. ขาดแคลนบัณฑิตแต่บัณฑิตก็ยังตกงาน การผลิตกาลังคนยังไม่สอดคล้องกับ ความ
ตอ้ งการของประเทศ ผู้สําเร็จการศึกษาในบางสาขามีมากมายจนล้นงาน แต่บาง สาขาวิชากลับขาด
แคลนกาลังคน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในภาคอุตสาหกรรม และทางด้าน การแพทย์ โดยตามแผนประเทศ
ไทยต้องการให้มีผู้เข้าศึกษาสายอาชีวะประมาณร้อยละ ๕๐ แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า มีผู้เข้า
เรยี นอาชีวะเพียงร้อยละ ๒๗ ทงั้ นี้ นับรวมถึงผู้ที่ไม่ได้เรียน สายอาชีวะแท้ แต่ไปเรียนอยู่ในวิทยาลัย
อาชีวะดว้ ย เช่น สาขาด้านการบริหาร ซง่ึ หมายความ วา่ หากนบั สายชา่ งจรงิ ๆ จะมีจานวนน้อยกว่าท่ี
๕๙
ระบุข้างต้น แสดงว่าในปัจจุบัน เด็กท่ีเข้าเรียนใน การจัดการศึกษาในระบบนั้นมีอนาคตที่ค่อนข้าง
ชดั เจนว่าจะต้องตกงาน และปัญหานย้ี ังไมไ่ ด้ รับการแก้ไขอยา่ งจรงิ จงั
๔. คุณภาพอุดมศึกษา/ปริญญาเฟ้อ มหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มมีปัญหาเรื่องหา คนเข้า
เรียน ทําให้ประสบปัญหาเรื่องความคุ้มทุน นําไปสู่ความจาเป็นท่ีต้องดําเนินการด้าน การตลาดทุก
วิถีทาง และมุ่งเปิดสอนแต่สาขาวิชาที่ทาได้ง่าย ต้นทุนตํ่า และได้เงินเร็ว ซึ่ง ระบาดไปทุกระดับช้ัน
ปรญิ ญา เรามีบณั ฑติ ลน้ งานในหลายสาขา แตข่ ณะเดยี วกันกม็ ีการขาด
แคลนในสาขาวชิ าท่ยี ากๆ มหาวิทยาลยั จํานวนมากมุ่งหาเงินจนเป็นระบบการศึกษาเชิง
ปริมาณ ความจําเปน็ ทตี่ อ้ งดนิ้ รนเพ่ือความอย่รู อดเช่นนี้ อาจพอเข้าใจได้สําหรับมหาวิทยาลัย เอกชน
ซ่ึง ต้องแบกภาระค่าดําเนินการต่างๆ ด้วยรายได้ที่ต้องหามาเองซ่ึงสถานการณ์เช่นนี้ได้กระจายเข้า
ไปสู่มหาวิทยาลัยของรัฐด้วย ในรูปแบบของการเพ่ิมจํานวนผู้เรียนโดยตรง หรือการจัดทํา เป็น
โครงการพิเศษในลกั ษณะตา่ งๆ รวมท้งั เปดิ สอนนอกสถานทตี่ ้งั ซึ่งหากวเิ คราะห์การเงิน ของโครงการ
เหล่าน้ีแล้วจะพบว่าส่วนใหญ่กลายเป็นค่าสอนของอาจารย์ สถานการณ์เช่นน้ี ลุกลามไปจนถึงขั้นที่
เรียกได้ว่า ปริญญาเฟูอ ทุกระดับช้ันปริญญา กลายเป็นค่านิยมของสังคม ที่ต้องเรียนอย่างน้อยถึง
ปริญญาโท และกาลงั จะคุกคามตอ่ ไปถงึ ปรญิ ญาเอก
๕. การขาดวิจัยและพฒั นา ขาดนวตั กรรม และปัญหาความร่วมมือกับ ภาคอุตสาหกรรม ใน
ปี ๒๕๔๘ อาจารย์อุดมศึกษาไทยรวมประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน ตีพิมพ์ผลงานวิจัยเพียง ประมาณ
๒,๐๐๐ ฉบบั ในจาํ นวนน้ี ๙๐% มาจากมหาวิทยาลัยเพียง ๘ แห่ง ซึ่งหมายความว่า มหาวิทยาลัยท่ี
เหลืออีกร้อยกว่ามหาวิทยาลัยตีพิมพ์เพียง ๑๐% เท่านั้นเอง แต่ถ้าดูใน รายละเอียด ยังพบว่าแม้ใน
มหาวิทยาลยั ที่ตพี มิ พม์ ากท่ีสดุ รวม ๘ แหง่ น้ี เม่ือเฉลี่ยตามจานวน อาจารย์แล้ว มีการตีพิมพ์เพียงคน
ละ ๐.๑๒ บทความเท่านัน้ เอง ถา้ เปรียบเทียบกับประเทศอ่ืนๆ อาจารย์ของเขาจะตีพิมพ์คนละไม่ตํ่า
กว่า ๒ ฉบับต่อปี มากกว่าท่ีดีท่ีสุดของเราถึง ๒๐ เท่า ข้อมูลเช่นน้ีช้ีช้ดเจนว่ามหาวิทยาลัยของเรา
อ่อนดอ้ ยในดา้ นการวิจัย ซึง่ เปน็ เรือ่ งท่สี ําคญั อย่างย่ิง ตอ่ การพฒั นาประเทศ หากเราไม่มีการวิจัย เรา
ก็จะขาดทุนทางปัญญา ในโลกยุคเศรษฐกิจ ฐานความรู้ ส่งผลต่อความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
เมื่อประเทศเราขาดงานวิจัย เราจึง เสียเปรียบทางเศรษฐกิจอย่างเล่ียงไม่ได้ ท้ังหมดนี้เกิดมาจาก
ระบบการศึกษาที่มีความอ่อนแอ ดา้ นการวจิ ยั
๖๐
๔.๓ ผลการวิเคราะห์สภาพ ปัญหา แนวทางการพัฒนาระบบประกัน คุณภาพ
การศกึ ษาของไทย จากการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ตั้งแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๒ – พ.ศ. ๒๕๖๐
การประกันคุณภาพการศึกษาเป็นกลไกหลักกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา
ของประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการศึกษาตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการศึกษา
พุทธศกั ราช ๒๕๔๒ เป็นต้นมา ผลจากการดําเนินการช่วงท่ีผ่านมาพบว่ามีนักการศึกษาจํานวน หน่ึง
ได้ติดตามและศึกษาถึงผลการประกันคุณภาพการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ มากมาย และมี การ
นาํ เสนอผลการศึกษาในทศั นะของตนเองไว้อยา่ งหลากหลายและค่อนข้างแตกต่างกัน ดังน้ันเพื่อเป็น
ความรู้ใหม่ ซึ่งเป็นขอ้ สรปุ จากการศกึ ษาของนักวชิ าการการศกึ ษาเหล่านั้น ผูส้ อนได้ทําการสังเคราะห์
ข้อค้นพบจากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการที่ได้ทาการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการประกันคุณภาพ
การศึกษาในประเด็นต่างๆ ที่สนใจ โดยแบ่งการสังเคราะห์ ผลงานวิจัยเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงท่ี ๑
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๒ – ๒๕๕๕ จานวน ๑๕๓ เร่ือง โดย เยาว ทิวา นามคุณ (๒๕๕๕) และช่วงที่ ๒
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ – ๒๕๖๐ จานวน ๙๙ เร่ือง โดย เยาว ทิวา นามคุณ (๒๕๖๐) ซ่ึงได้ทาการ
รวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูล Thailist และ Google scholar ได้ข้อ สรุปความรู้ใม่จากผลการ
วิเคราะหด์ ังนี้
๑. ข้อมูลพื้นฐานของผลงานวิจัยทั้งหมด ๒๕๒ เร่ืองพบว่า ผลงานวิจัยท้ังหมดมาจาก
มหาวิทยาลัยรวมท้งั หมด ๕๒ แหง่ ท่วั ประเทศ โดยเป็นผลการวิจัยระดับปริญญาโท ปริญญา เอกและ
ผลงานวจิ ยั อาจารย์ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้
ตาราง ๔.๑ จาํ นวนและร้อยละของงานวิจัย ตามระดับงานวจิ ยั
ระดับงานวจิ ยั ปี ๒๕๔๒-๒๕๕๕ ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐
จํานวน (เร่ือง) จาํ นวน (เรือ่ ง)
ปรญิ ญานพิ นธ์ระดบั ปริญญาโท ๑๔๕ ๕๘
ปรญิ ญานพิ นธร์ ะดบั ปรญิ ญาเอก ๗ ๑๗
งานวจิ ยั ทุน อาจารย์ ๑ ๒๔
รวม ๑๕๓ ๙๙
จากตารางพบว่า ผลงานวิจัยสว่ นใหญ่เปน็ ผลงานวิจยั ระดับปริญญาโท โดยมี วัตถุประสงค์ใน
การศกึ ษาท่ีสาํ คัญ ตามลําดับ ดังน้ี
๑) สภาพการดาํ เนนิ งานการประกันคณุ ภาพ การศกึ ษา และปัญหาในการดําเนินการประกัน
คณุ ภาพการศึกษา (รอ้ ยละ ๓๙.๔)
๖๑
๒) ปจั จัยท่ี ส่งผลต่อความสาํ เร็จในการประกันคณุ ภาพภายใน (รอ้ ยละ ๒๐.๒)
๓) ภาวะผนู้ าํ ทส่ี ่งผลตอ่ คณุ ภาพในการประกนั คณุ ภาพภายใน (รอ้ ยละ ๒๐.๒)
๔) รูปแบบ มาตรฐานและตัวบ่งช้ีในการ ประกันคุณภาพการศึกษาภายใน (ร้อยละ ๑๔.๑)
๕) กลยุทธ์ วิธีการ บริหารระบบประกัน คุณภาพภายในสถานศึกษา (ร้อยละ ๙.๑) ๖) การพัฒนา
ระบบสารสนเทศเพื่อการประกันคุณภาพ (รอ้ ยละ ๕.๑)
ตาราง ๔.๒ จํานวนและร้อยละของงานกลมุ่ เปา้ หมายในการวิจยั
กลุ่มเปา้ หมาย ปี ๒๕๔๒-๒๕๕๕ ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐
จาํ นวน (เร่อื ง) จํานวน (เรอ่ื ง)
๑. ขั้นพนื้ ฐาน ๑๒๗ ๖๐
๒. อาชีวะ/เทคโน ๑๗ ๗
๓. ปฐมวยั ๔๓
๔. อดุ มศกึ ษา ๒ - ๒๘
๕. การศึกษาตามอัธยาศัย ๒-
๖. การศกึ ษานอกระบบ ๑๑
รวม ๑๕๓ ๙๙
นอกจากนีย้ ังพบวา่ ผลการศกึ ษาสว่ นใหญ่มีกลมุ่ เปาู หมายในการศึกษาคอื ระดับ การศึกษาข้ัน
พื้นฐาน รองลงมาคือ ระดับอาชีวศึกษาและระดับปฐมวัย โดยมีการวิจัยค่อนข้าง น้อยมากในระดับ
การศกึ ษาอดุ มศกึ ษาและการศกึ ษาตามอัธยาศัยและการศึกษานอกระบบ โดยการศึกษาส่วนใหญ่จะ
ใช้เคร่ืองมือในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต และวิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้สถิติพ้ืนฐาน ประกอบด้วย ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและการ
วิเคราะห์เปรียบเทียบ t-test ข้อค้นพบจากการสังเคราะห์ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยส่วนใหญ่มี
ความ สอดคลอ้ งกนั ทัง้ สองชว่ งของผลการสงั เคราะหย์ กเว้นในประเดน็ ปัญหาของการประกันคุณภาพ
การศกึ ษาซึ่งเปล่ียนไปในประเด็นสาํ คญั โดยมีรายละเอยี ดดังนี้
๖๒
ตาราง ๔.๓ ผลการศกึ ษากลยทุ ธ์ วธิ ีการ บริหารระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานการ
กลยุทธ์/วิธีการ บริหารระบบประกันคุณภาพ พัฒนพงษ์ สาโรจน์ จนั ทรค์ วง จวน
ภายในสถานศึกษา ไพฑรยู ์ จันทร์ แจ่มพนั ธ์ เพชรบรู ณ์
(๒๕๕๘) (๒๕๕๖)
(๒๕๕๘) (๒๕๕๘)
กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนา บุคลากรทุก ระดับ ให้ มีความรู้
ความสามารถในการ เพื่อใหส้ ามารถปฏบิ ัติงาน ตามภารกิจ
ท่ีรับผดิ ชอบได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
กลยุทธ์ท่ี ๒ การพัฒนาความรู้ ด้านการวัดผลสําหรับครู
และบคุ ลากรทางการ
กลยุทธ์ท่ี ๓ การพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพมาตรฐาน มี
พัฒนาการทุกดา้ น ตามความคาดหวัง ของผู้มีส่วนได้ ส่วน
เสยี
กลยุทธ์ท่ี ๔ การส่งเสริมครูให้มีส่วนร่วม และ จัดทํา
แผนปฏิบัติการประจําปี ชัดเจนเป็นรูปธรรมที่มุ่งคุณภาพ
ตามมาตรฐาน การศึกษาของสถานศึกษา
กลยุทธ์ที่ ๕ การกําหนดแผนในการกากับติดตามและ
ประเมินผลแผนปฏิบัติ ปรับปรุง แผนปฏิบัติการประจําปี
ในปีตอ่ ไป
กลยุทธ์ท่ี ๖ การนําผลการ ประเมินตนเองไปใช้ในการ
ปรับปรุงการจัดการเรียน
กลยุทธ์ท่ี ๗ บูรณาการทุกพันธกิจของมหาวิทยาลัยเข้าสู่
ระบบและกลไกการ
กลยุทธท์ ่ี ๘ พัฒนาและระดมทรัพยากร เพื่อสนับสนุน การ
จัดการศกึ ษาอย่าง
กลยุทธ์ท่ี ๙ ส่งเสริมและ สนับสนุนวัฒนธรรมองค์การให้
เปน็ วัฒนธรรมคุณภาพ
๖๓
ตาราง ๔.๔ ผลการสงั เคราะหม์ าตรฐานและตัวบ่งช้ใี นการประกนั คุณภาพการศึกษา
มาตรฐาน/ตวั ชีว้ ัด ณัฐตะวนั เยาวทิวา วรีวชิญ์ เอกพิชัย ยุพาพรรณ สพฐ
(๒๕๖๐) (๒๕๕๙) วงศโ์ รจน์ ชัยทอง พวงพัวเพชร (๒๕๖๐)
(๒๕๕๙) (๒๕๕๙) (๒๕๕๘)
มาตรฐานด้านผลการจดั
การศกึ ษา
มาตรฐานด้านการ
บรหิ ารจดั การศกึ ษา
๑.การจดั โครงสรา้ ง
องค์กร
๒. ภาวะผนู้ าํ
๓. การใชเ้ ทคโนโลยี
๔. การบรหิ ารบคุ ลากร
๕. ดา้ นวชิ าการ
มาตรฐานด้านการจัด
การเรียนการสอนทเ่ี น้น
ผเู้ รยี นเป็นสาํ คัญ
ม า ต ร ฐ า น ด้ า น ก า ร
ประกันคณุ ภาพภายใน
ตาราง ๔.๗ ปัญหาในการดําเนนิ การประกันคุณภาพการศกึ ษา ๖๔
ปัญหาในการดาํ เนนิ การประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ปี ๒๕๔๒- ปี ๒๕๕๖-
๒๕๕๕ ๒๕๖๐
อนั ดับท่ี ๑
๑. การจัดระบบบริหารและสารสนเทศท่ีไม่เอ้ือ ต่อการ อนั ดับที่ ๔
ดําเนินงานตามประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา อันดบั ท่ี ๒
(ขาดระบบการเชื่อมโยงสารสนเทศ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง , อนั ดับ ที่ ๓
การเก็บรวบรวมข้อมูลไม่เป็นหมวดหม)ู่ อันดับที่ ๔
อนั ดบั ท่ี ๕
๒. ขาดแคลนงบประมาณ อนั ดบั ท่ี ๓ อันดับ ท่ี ๖
๓. ความรว่ มมอื ในการพัฒนาคุณภาพของผู้ปกครอง ชุมชน อนั ดับที่ ๒
น้อย
๔. การโยกย้ายของผ้บู รหิ าร ทําให้ขาดความตอ่ เนอื่ งใน อนั ดับที่ ๕
นโยบายบริหาร
๕. การประเมนิ และติดตามผลไมช่ ัดเจนและไม่มีการนําผลไป อันดบั ท่ี ๔
ใชจ้ ริง
๖. ครูและบุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจในระบบประกัน อันดับที่ ๑
คณุ ภาพ
ตาราง ๔.๘ ข้อเสนอแนะแนวทางในการพฒั นาระบบประกันคณุ ภาพการศกึ ษา
แนวทางการพฒั นา จไุ รรตั น์ กานต์เลศิ มสุ ลาม สายใจ วันทนา สมจิต ดนพุ ล
จรุณทรรศน์ กอ้ นหนิ เละสัน ใฝุจิต เนอ้ื นอ้ ย นนทะวงษา มหิพันธ์
(๒๕๖๐) (๒๕๕๗) (๒๕๖๐)
(๒๕๕๙) (๒๕๕๖) (๒๕๕๙) (๒๕๖๐)
๑. สง่ เสรมิ การมีส่วน
ร่วมของผมู้ ีสว่ นได้ส่วน
เสียในการประกัน
คุณภาพการศกึ ษาใน
ก และดาํ เนนิ การ
ประกันคุณภาพ
การศกึ ษา
๒. ควรมีการกําหนด ๖๕
ผู้รับผิดชอบแต่ละ
โครงการและกจิ กรรม
ใหช้ ดั เจนตาม
โครงสรา้ ง
๓. ควรกําหนดมาตร
ฐานให้สอดคลอ้ งกับ
เปาู หมายตามหลกั สตู ร
และแนวทางการจดั
๔. ควรมีการจดั ระบบ
สารสนเทศเพือ่ การ
ประกนั ฯ ตลอดจน
ค่มู ือในการประกัน
คุณภาพ
๕. สรา้ งความ
ตระหนกั ใน
ความสําคัญ ของการ
กําหนดมาตรฐาน
การศึกษาของสถาน
๖. ส่งเสรมิ การนาผล
ผลการประเมนิ
คณุ ภาพภายในไปใช้ใน
การพัฒนาอยา่ ง
ตอ่ เนือ่ ง ประเมนิ มา
วเิ คราะห์ สังเคราะห์
เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทางใน
การพัฒนา)
๗. ส่งเสริมด้าน
งบประมาณอยา่ ง
ตอ่ เนื่อง ๖๖
๘. ควรมกี ารจัด
ประชุม สมั มนาเร่ือง
การประกันคุณภาพ
เพ่อื แลกเปลี่ยนและรับ
ฟงั ปญั หาทางแก้ไข
๙. วางแผน การ
ดําเนนิ งาน (ทาปฏิทนิ )
และดาํ เนนิ งานตาม
แผน (การนเิ ทศ ติด
ตาม
๔.๔ ปัญหาในการดาํ เนนิ การประกันคณุ ภาพการศึกษา
๖๗
๔.๕ ข้อเสนอแนะแนวทางในการพฒั นาระบบประกันคุณภาพการศกึ ษา
๔.๖ สรปุ ทา้ ยบท
ภายใตส้ ภาพการณข์ องโลกท่ีเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ทําให้ประเทศไทยท่ีต้อง ประสบกับ
ปัญหาเดิมต้องปรับตัว เพ่ือให้ทันการเปลี่ยนแปลงโดยการที่เราจะรอให้ภาครัฐ มา ดูแลรับผิดชอบ
แก้ไขให้ทางเดียวปัญหาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม โดยเราสามารถวิเคราะห์ได้จาก ผลการสังเคราะห์
สภาพปญั หาด้านงบประมาณท่ยี ังเปน็ ปัญหาเรื้อรัง หากแต่บุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดต้องปรับเปล่ียน
ทัศนคติในการแก้ปัญหาและการพัฒนา โดยพยายามใช้การมีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาโดยอาศัย
ทรัพยากรที่อยู่รอบตัวให้มากท่ีสุด ปัจจัยสําคัญคือศักยภาพใน การบริหารจัดการและความร่วมมือ
ของชุมชนสังคม เพ่ือช่วยกันในการวางแผน กําหนด เปูาหมาย โครงการ/กิจกรรม วางระบบในการ
ติดตามตรวจสอบ ตลอดจนการประเมินผล อย่างหลากหลายและครอบคลุม และมีการนําผลการ
ประเมนิ ไปใชใ้ นการพฒั นาอย่างจริงจงั
๖๘
บทที่ ๕
การประกนั คุณภาพการศกึ ษาภายใน
๕.๑ ความนาํ
การประกนั คุณ ภาพการศึกษาเปน็ ระบบในการกํากับ ติดตาม ตรวจสอบ การดําเนินงาน
ภายใตแ้ ผนการกระจายอาํ นาจตาม พรบ. การศกึ ษาปี พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อให้ การดําเนินงานของแต่
ละหน่วยงานมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเปูาหมายของการปฏิรูป การศึกษาอย่างแท้จริง
ซ่ึงต้องพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามมาตรฐานและ ตัว บ่งชี้คุณภาพที่กําหนดไว้
หรือไม่มากน้อยเพยี งใด
๕.๒ ความหมายของมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และเกณฑ์
๑.๑ ความหมายของคาว่า “มาตรฐานการศึกษา” พบว่ามีความหมายดังนี้
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของ มาตรฐาน หมายถึง ส่ิงที่
ถือเอาเป็นเกณฑ์ที่รับรองกันทั่วไป รัตนะ บัวสนธ์ (๒๕๕๐ : ๓๑) ได้ให้ความหมายของคําว่า
มาตรฐาน หมายถงึ เงอ่ื นไขหรอื ระดับคุณภาพท่คี วรจะเปน็ ของสรรพส่ิง ซึ่งเปน็ ทย่ี อมรบั โดยทั่วกัน
ของกลุ่มคนท่ี เกี่ยวข้องในวงวิชาชีพนั้น ๆ สํานัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๙ : ๑๖) ได้ให้ความหมายของคําว่า มาตรฐานการศึกษา
หมายถงึ มาตรฐานการศึกษาเปน็ ข้อกาํ หนดเก่ยี วกับคุณลักษณะ คณุ ภาพท่ีพึงประสงค์เพื่อใช้ เป็น
หลักในการเทียบเคียงสําหรับส่งเสริม กํากับดูแล ตรวจสอบ ประเมินผล และเพื่อการประกัน
คุณภาพการศึกษา
สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (๒๕๕๓ : ๗๑) ได้ให้
ความหมายของคําว่า มาตรฐานการศึกษา หมายถึง ข้อกําหนดในการจัดการศึกษาของ
สถานศึกษา เพอ่ื เป็นเกณฑ์ในการกากับ ดูแล ตรวจสอบ ประเมินผลและประกันคุณภาพการ จัด
การศึกษา โดยใช้เป็นกรอบแนวทางในการดาเนินงานของสถานศึกษาอันเป็น กลไกสําคัญในการ
ประกันคณุ ภาพการจัดการศึกษาใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและบรรลผุ ลตามทต่ี อ้ งการ
๖๙
สรุปได้ว่า มาตรฐานการศึกษา หมายถึง ข้อกําหนดหรือระดับคุณภาพในการจัด
การศึกษาเกย่ี วกับคุณลกั ษณะคณุ ภาพท่พี ึงประสงค์ เพ่อื เปน็ เกณฑ์ในการประเมินผลและ ประกัน
คุณภาพการศึกษา
ในการศึกษาเกี่ยวกับมาตรฐานการศึกษาผู้เรียน ควรมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับ
“เกณฑ์” และ“ตวั บ่งช้ี” ซึ่งพบว่านักการศึกษาทัง้ ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้ให้ ความหมาย
ไว้หลายทา่ นดงั นี้
๑.๒ ความหมายของคาํ ว่า “เกณฑ์” พบวา่ มีความหมายดงั น้ี
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๒๓) ได้ให้ความหมาย ของ
“เกณฑ์” หมายถึง หลักท่ีกําหนดไว้
ภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Criteria” ซ่ึงใน Collins Dictionary (๑๙๙๔, p. ๓๓๖)
ได้อธบิ าย คาํ วา่ “เกณฑ์” ไวว้ ่าหมายถงึ มาตรฐานหนง่ึ ในการตดั สนิ หรอื ประเมนิ ส่งิ ใดสิง่ หนง่ึ
รัตนะ บัวสนธ์ (๒๕๕๐ : ๘๐) ได้กล่าวว่า เกณฑ์ (Criteria) หมายถึง สิ่งที่เราใช้ ตัดสิน
คณุ ภาพของผลลัพธ์ท่ีได้หรอื สว่ นประกอบการ (Performance) ซึ่งอาจแสดงออกในรูป ของระดับ
พฤติกรรมที่ รายอมรับ
ศิริชัย กาญจนวาสี (๒๕๕๐ : ๘๒) ได้กล่าวว่า เกณฑ์ (Criteria) หมายถึง คุณลักษณะ
หรือระดับทถ่ี ือว่าเป็นคุณภาพ ความสาํ เร็จหรือความเหมาะสมของทรัพยากร การดําเนินงานหรือ
ผลการดาํ เนินงานสรปุ ไดว้ า่ เกณฑ์ หมายถึง หลักทีก่ ําหนดไว้ เพ่ือตดั สนิ คุณภาพของสง่ิ ใดสงิ่ หน่งึ
๑.๓ ความหมายของคําว่า “ตัวบ่งชี้ พบว่ามีความหมายดังนี้ สําหรับคําว่าตัวบ่งชี้
ภาษาองั กฤษ “ตัวบ่งช้ี” ใชค้ าํ ว่า “indicator” ซึ่งใน Oxford Dictionary (๒๐๐๕, ๘๕๐) ได้ให้
ความหมายของตัวบ่งชี้ว่า ตัวบ่งชี้เป็นสิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นสิ่งใดสิ่ง หน่ึงได้อย่างถูกต้องแม่นยําไม่มาก
น้อย Johnstone (๑๙๙๑, p. ๒-๓, อ้างใน เกียรติ
สุดา ศรีสุข, (๒๕๔๕, หน้า ๔๐) กล่าวว่า ตัวบ่งชี้ คือ ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่บ่งบอก
สภาพทีช่ ัดเจนแต่อาจสะทอ้ นใหเ้ ห็นทางทจี่ ะบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ ตัวบ่งชี้เป็นสิ่ง บ่งชี้อย่างกว้าง ๆ
ถงึ สภาพที่เราสนใจเข้าไปตรวจสอบ
ศิรีชัย กาญจนวาสี (๒๕๕๐ : ๘๒) ตัวบ่งชี้ หมายถึง ตัวประกอบ ตัวแปร หรือ ค่าที่
สังเกตได้ ซึ่งใช้บ่งบอกสถานภาพหรือสะท้อนลักษณะของทรัพยากรการดาเนินงานหรือ ผลการ
๗๐
ดําเนินงาน สรุปได้ว่า ตัวบ่งช้ี หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่บ่งบอกสภาพที่ชัดเจน ทั้งเชิง
ปรมิ าณและคุณภาพของลักษณะการดาเนนิ งาน ซึง่ จะสะทอ้ นให้เห็นทางที่จะบรรลุ วัตถุประสงค์
รตั นะ บัวสนธ์ (๒๕๕๐ : ๒๐๓) ได้กลา่ วถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมาตรฐานและ ตัวบ่งชี้
ว่ามาตรฐานและตัวบ่งช้ีมีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่ตัวบ่งช้ีเป็นส่วนประกอบย่อย ของ
มาตรฐาน กล่าวคือ ในมาตรฐานหนึ่งๆ จะประกอบไปด้วยตัวบ่งช้ีตั้งแต่ ๑ ตัวข้ึนไป ตัวบ่งชี้
จะเปน็ สง่ิ บง่ บอกถงึ การบรรลุตามมาตรฐานนั้น ดังนั้นในการพัฒนามาตรฐานและตัวบ่งชี้จึง เป็น
ส่ิงที่จะต้องดําเนินการไปพร้อมๆ กันกล่าวคือ หากปราศจากตัวบ่งชี้ท่ีชัดเจน แม้จะมี มาตรฐาน
กําหนดไว้ก็แทบจะเปล่าประโยชน์หรือนาไปใช้ในการประเมินได้ยากเพราะเหตุว่า มาตรฐานนั้น
ค่อนข้างจะเป็นข้อความกว้างๆ มีลักษณะเป็นนามธรรม การประเมินเพ่ือบ่งบอก ถึงการบรรลุ
มาตรฐานจําเป็นจะตอ้ งกาํ หนดจาํ แนกตวั บง่ ชใี้ หช้ ัดเจน
ลักษณะทีสําคญั ของตัวบง่ ช้ี
ศริชัย กาญจนวาสี (๒๕๔๔ : ๓๖) กลา่ วถงึ คุณสมบตั ิของตวั บง่ ชี้ทด่ี ีดงั น้ี
๑. ความตรง (Validity) ตัวบ่งช้ีท่ีดีจะต้องบ่งช้ีได้ตามคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้ อย่าง
ถูกต้องแมน่ ยา ซ่งึ มีลกั ษณะสําคัญดงั น้ี
๑.๑ มีความตรงประเด็น (Relevant) ตัวบ่งช้ีต้องชี้วัดได้ตรงประเด็นมีความ
เชอื่ มโยงสัมพนั ธ์หรอื เก่ียวขอ้ งโดยตรงกับคุณลักษณะท่ีมุ่งวัด เช่น GPA ใช้เป็นตัวบ่งชี้ ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนโดยท่ัว ไป
๑.๒ มีความเป็นตัวแทน (Representative) ตัวบ่งช้ีจะต้องมีความเป็นตัวแทน
คุณลักษณะที่มีวัดหรือมีมุมมองที่ครอบคลุมองค์ประกอบที่สําคัญของคุณลักษณะท่ีม่งวัด อย่าง
ครบถ้วน เชน่ อุณหภมู ริ า่ งกายเป็น ตวั บ่งชีส้ ภาวการณม์ ไี ขข้ องผู้ปุวย
๒. ความเที่ยง (Reliability) ตัวบ่งชที้ ด่ี ีจะตอ้ งบ่งช้ีคณุ ลักษณะท่มี องวดั ได้อย่าง น่าเชื่อถือ
คงเส้นคงวาหรือ บ่งช้ไี ดค้ งที่เมือ่ ทาํ การวดั ซาํ้ ในชว่ งเวลาเดียวกนั ซึ่งมีลักษณะสาํ คญั ดงั นี้
๒.๑ มีความเป็นปรนัย (Objectivity) ตัวบ่งช้ีต้องช้ีวัดได้อย่างเป็นปรนัย การ
ตดั สินใจเก่ียวกบั ค่าของตวั บ่งชีค้ วรขึน้ อยู่กับสภาวะที่เป็นอย่หู รอื คุณสมบัติของสิ่งนน้ั มากกว่าท่ีจะ
ข้นึ อยูก่ บั ความรู้สึกตามอัตวสิ ัย
๗๑
๒.๒ มีความคลาดเคล่ือนต่ํา (Minimum Error) ตัวบ่งช้ีต้องช้ีวัดได้อย่างมีความ
คลาดเคลื่อนตา คา่ ทไี่ ดจ้ ะต้องมาจากแหลง่ ข้อมูล ทนี่ า่ เชอื่ ถือ
๓. ความเป็นกลาง (Neutrality) ตัวบ่งช้ีท่ีดีจะต้องบ่งชี้ด้วยความเป็นกลาง ปราศจาก
ความลาํ เอียง (bias) ไม่โน้มเอยี งเข้าหาฝาุ ยใดฝุายหน่ึง ไมช่ ี้นาํ โดยการเนน้ การบ่งชี้ เฉพาะลักษณะ
ความสาํ เรจ็ หรือ ความลม้ เหลวหรือความไมย่ ุติธรรม
๔. ความไว (Sensitivity) ตัวบ่งชี้ท่ีดีจะต้องมีความไวต่อคุณลักษณะที่มุ่งวัด สามารถ
แสดงความผันแปรหรือความแตกตา่ งระหวา่ งหนว่ ยวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน โดยตัว บ่งช้ีจะต้องมี
มาตรและหนว่ ยวดั ท่มี คี วามละเอียดเพยี งพอ
๕. สะดวกในการนําไปใช้ (Practicality) ตัวบ่งช้ีที่ดีจะต้องสะดวกในการนําไปใช้ ซ่ึง มี
ลกั ษณะสําคัญ ดงั นี้
๕.๑ เก็บขอ้ มูลงา่ ย (Availability) ตวั บ่งช้ีที่ดีจะต้องสามารถนาไปใช้วัดหรือเก็บ
ข้อมูลได้สะดวก สามารถเกบ็ รวบรวมข้อมูล จากการตรวจนบั วดั หรอื สงั เกตไดง้ า่ ย
๕.๒ แปลความหมายง่าย (Interpretability) ตัวบ่งช้ีท่ีดีควรให้ค่าการวัดที่มี จุด
ส่ิง สุด และตา่ํ สุด เข้าใจงา่ ยและสามารถสร้างเกณฑต์ ดั สินคณุ ภาพไดง้ ่าย
สรุปได้ว่า ตัวบ่งชี้ท่ีดีควรจะมีคุณลักษณะ คือ ต้องชี้วัดได้ตรงประเด็น มีความ เป็นตัว
แทนคุณลักษณะท่ีม่งวัดหรือมีมุมมองที่ครอบคลุมองค์ประกอบท่ีสําคัญของคุณลักษณะ ที่มุ่งวัด
อย่างครบถ้วน บ่งชี้คุณลักษณะท่ีมุ่งวัดได้อย่างน่าเชื่อถือ คงเส้นคงว่า ชี้วัดได้อย่างเป็น ปรนัย
มีความคลาดเคลอื่ นตํา่ บ่งช้ีด้วยความเป็นกลางปราศจากความลาเอยี ง มคี วามไวต่อ คุณลักษณะที่
มีวัด สามารถแสดงความผันแปรหรือความแตกต่างระหว่างหน่วยวิเคราะห์ได้ อย่างชั ดเจน
สามารถนําไปใช้วัดหรือเก็บข้อมูลได้สะดวก แปลความหมายง่ายและมีความ ถูกต้องตลอดจน
สามารถพสิ ูจน์ไดใ้ นเชงิ ประจักษต์ ามท่ปี รากฏ
ประเภทของตัวบง่ ชี้
ตัวบ่งชี้แบ่งได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง อาทิ แบ่งโดย อาศัยเกณฑ์
วธิ ีการสร้าง เกณฑต์ ามลักษณะสเกลการวัด หรือเกณฑ์วิเคราะห์เชิงระบบ เป็น ต้น Johnstone,
๑๙๘๑ อา้ งใน รตั นะ บัวสนธ์ (๒๕๕๐ : ๒๐๔-๒๐๘) ไดแ้ บง่ ตัวบง่ ช้อี อกเปน็ ๗ กลุ่ม ดังตอ่ ไปนี้
๑. จาํ แนกตามวิธกี ารสร้าง ประกอบดว้ ยตวั บ่งช้ี ๓ ประเภท ได้แก่
๗๒
๑.๑ ตัวบ่งชี้ตัวแทน (Representative indicators) เป็นตัวบ่งช้ีที่นิยมใช้กันมากใน
ระยะแรก ๆ สาํ หรับการทําวิจัย การบริหาร และการวางแผน ตัวบ่งช้ีประเภทนี้จะ เลือกใช้เพียง
ตวั แปรใดตัวแปรหนึ่ง เพื่อสะท้อนหรือ บ่งชี้ถึงระบบการศึกษา เช่น อัตราส่วนการ เข้าศึกษาต่อ
เปอรเ์ ซ็นต์คา่ ใชจ้ ่ายของผลิตภัณฑ์รวมของชาติต่อการศึกษา อัตราส่วนการรู้ หนังสือ เป็นต้น แต่
อย่างไรกด็ ี ปัจจบุ ันนีต้ วั บง่ ชี้ประเภทน้ีไมค่ ่อยนยิ มนาํ มาใชม้ ากนักเน่ืองจาก มปี ัญหาเก่ียวกับความ
ตรงและความเทยี่ ง เพราะเหตุว่าการเลอื กใชเ้ พียงตัวบ่งชี้ตัวเดยี วไม่ สามารถสะทอ้ นหรอื บ่งชี้ถึงส่ิง
นน้ั ๆ ได้อยา่ งแท้จริง
๑.๒ ตัวบ่งชี้เดียว (Disaggreative indicators) เป็นตัวบ่งชี้ท่ีอาศัยการนิยาม ตัวท่ี
เปน็ อสิ ระจากกัน และแต่ละตัวก็บ่งชี้ลักษณะของส่ิงท่ีต้องการศึกษาเพียงเฉพาะด้านใด ด้านหน่ึง
การจะใช้ตวั แปรเหลา่ นี้บ่งชถ้ี ึงสง่ิ ใดนนั้ ก็จะต้องใชต้ วั แปรยอ่ ย ๆ เหล่านร่วมกันทั้งชุด เพ่ือบ่งชี้ถึง
ส่ิงดังกล่าว ดังนั้น การวิเคราะห์และนําเสนอตัวบ่งช้ีประเภทน้ีจึงค่อนข้างยุ่งยาก เน่ืองจากมี
จํานวนตัวแปรย่อยมาก นอกจากนั้นการนิยามตัวแปรย่อยเหล่านี้ก็มักจะมีปัญหา เกี่ยวกับการ
นิยามที่ไม่เป็นอิสระจากกันหรือมีความสัมพันธ์กันน่ันเอง ซึ่งก็ทาให้เกิดความ ซํ้าซ้อนกันในการ
บ่งช้สี ่งิ ใดส่ิงหน่งึ
๑.๓ ตัวบง่ ชี้ประกอบ (Composit indicators) ตัวบง่ ช้ลี ักษณะนี้เปน็ การรวม ตัวแปร
ทางการศึกษาหลายๆ ตัวเข้าดว้ ยกนั เพ่อื ใชบ้ ่งชส้ี ภาพการศกึ ษาเรื่องใดเรื่องหน่ึง การ รวมตัวแปร
เข้าด้วยกันจะทําการรวมตามนํ้าหนักความสําคัญที่เป็นจริงของตัวแปรเหล่าน้ัน ทั้งน้ีในการ
ตีความหมายของตวั บ่งชี้ประเภทน้ี จะตคี วามในลักษณะเปน็ ภาพเฉลยี่ หรือเปน็ กลางๆ ของตัวแปร
ดังกล่าว ตัวบง่ ชี้ประเภทนี้ค่อนข้างนยิ มใช้กันมากในปจั จุบัน เพราะมีความ ตรงและความเท่ียงสูง
นอกจากนั้นยังให้สารสนเทศที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากในการวางแผน กากับ และประเมินทาง
การศกึ ษา
๒. จําแนกตามการตีความหมายค่าตัวบ่งชี้ การจําแนกเช่นนี้พิจารณาจาก การ
ตคี วามหมายของคา่ ตัวบ่งช้ีในระบบการศกึ ษาท่เี ฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่งซ่ึง แบ่งได้ เป็น ๓
ประเภทเชน่ กนั ไดแ้ ก่
๒.๑ ตัวบ่งช้ีแบบอิงกลุ่ม (Norm-referenced indicators) หมายถึง ตัวบ่งชี้ในระบบ
การศึกษาหน่ึงที่ตีความหมาย โดยการนําไปใช้เปรียบเทียบกับ ระบบการศึกษา ในช่วงเวลา
เดียวกัน
๗๓
๒.๒ ตัวบ่งช้ีแบบอิงตนเอง (Self-referenced indicators) หมายถึง ตัวบ่งชี้ในระบบ
การศกึ ษาเดยี วกันท่ดี คี วามหมายโดยนามาเปรียบเทยี บในช่วงเวลาทแี่ ตกต่างกนั
๒.๓ ตัวบ่งชี้แบบอิงเกณฑ์ (Cnterion-referenced indicators) หมายถึง ตัวบ่งชี้ทม
ความหมาย โดยเปรียบเทยี บกบั เกณฑห์ รอื เปาู หมายในอดุ มคตทิ กี าํ หนดไว้แลว้
๓. จําแนกตามลักษณะนิยามของตัวบ่งช้ี ลักษณะการนิยามตัวบ่งชี้ที่ แตกต่างกันทําให้
สามารถแบง่ ตัวบ่งชี้ ได้เป็น ๒ ประเภทคือ
๓.๑ ตัวบ่งชี้แบบอัตนัย (Subjective indicators) เป็นตัวบ่งชี้ที่มีการนิยาม ไว้ไม่
ชดั เจน เนื่องจากยงั ขาดการศึกษาหรอื มคี วามรูใ้ นเรอ่ื งดังกล่าวน้ันไม่มากนัก การให้ นิยามตัวบ่งชี้
จงึ เปน็ การใหน้ ยิ ามในการศกึ ษาเฉพาะเรอ่ื งหนงึ่ เพอ่ื สื่อความกันในเรื่องนัน้ โดยตรง การใช้ตัวบ่งชี้
ประเภทน้จี ําเป็นตอ้ งพจิ ารณาใหร้ อบคอบ
๓.๒ ตัวบ่งชีแ้ บบปรนยั (Objective indicators) เป็นตัวบ่งชี้ท่ีได้รับการ นิยามไว้แล้ว
โดยชดั เจนและมักเป็นตัวบ่งช้ีที่ใช้ในระดับนานาชาติเก่ียวกับการเปรียบเทียบหรือ ติดตามระบบ
การศึกษาของประเทศตา่ งๆ
๔. จาํ แนกตามลกั ษณะค่าของตวั บ่งช้ี แบง่ เป็น
๔.๑ ตัวบ่งชี้สมบูรณ์ (Absoulute indicators) หมายถึง ตัวบ่งช้ีท่ีค่าของ มันบอก
ปริมาณทีแ่ ท้จรงิ และมคี วามหมายในตัวเอง เชน่ จํานวนโรงเรียน จาํ นวนนกั เรียน เป็นตน้
๔.๒ ตัวบ่งชส้ี ัมพันธห์ รืออตั ราส่วน (Relative or Ratio indicators) หมายถึง ตัวบ่งช้ี
ที่คา่ เป็นปรมิ าณเทยี บเคียงกับค่าอ่นื ๆ เชน่ จํานวนนกั เรียนต่อครูหนึ่งคน หรือ จํานวนนิสิตระดับ
บัณฑิตศึกษาต่ออาจารย์หน่ึงคนจะเห็นว่าตัวบ่งช้ีสัมพัทธ์หรือตัวบ่งชี้ อัตราส่วนก็คือตัวบ่งช้ี
สมั บูรณ์สองตัวนามาเทียบเคยี งกนั เพือ่ บง่ ชถ้ี งึ ลกั ษณะบางอย่างน่นั เอง
เช่น จํานวนนักเรียนต่อครูหนึ่งคน นั้นก็เป็นตัวบ่งชี้เพื่อบ่งบอกถึงลักษณะความ
เหมาะสมของ อัตรากําลัง ข้า ราชการครู เปน็ ตน้
๕. จําแนกตามลักษณะของตัวแปรท่ีใชส้ รา้ งตัวบ่งช้ี การจําแนกตัวบ่งชี้โดย พิจารณาจาก
ลกั ษณะของตัวแปรที่นาํ มาสร้างสามารถแบ่งเป็นตัวบ่งช้ี โดยพิจารณาจาก ลักษณะของตัวแปรท่ี
นามาสร้างนน้ั สามารถแบง่ เป็น ๓ ประเภทใหญๆ่ และในแต่ละประเภทก็ แบ่งเปน็ ประเภทย่อยๆ
ของตัวบ่งช้ีได้ดังตอ่ ไปนี้
๗๔
๕.๑ จําแนกตามระดับการวัดตัวแปร หากจําแนกเช่นน้ีตัวบ่งชี้ก็จะ ประกอบด้วย ๔
ประเภท คือ ๑) ตัวบ่งช้ีนามบัญญัติ (Nominal indicators) ๒) ตัวบ่งช้ีเรียง อันดับ (Ordinal
indicators) ๓) ตัวบ่งช้ีมาตราช่วงหรืออันตรภาคชั้น (Interval indicators) และ ๔) ตัวบ่งช้ี
อัตราส่วน (Ratio indicators) โดยทั่วไปแล้วตัวบ่งช้ีตามระดับการวัดที่นิยมใช้ก็ ได้แก่ ตัว บ่งช้ี
อนั ตรภาคชัน้ ตัวบ่งชตี้ ราส่วน และตวั บ่งชเ้ี รียงอันดับ
๕.๒ จําแนกตามประเภทของตัวแปร ประกอบด้วย ๑) ตัวบ่งช้ีสต๊อก (Stock
indicators) หมายถงึ ตวั บ่งช้ีแสดงถงึ สภาวะหรือปรมิ าณของสิง่ ใดส่ิงหน่ึง (เช่น ระบบ การศึกษา)
ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง ๒) ตัวบ่งช้ีการเล่ือนไหล (Flows indicators) หมายถึง ตัว บ่งช้ีที่แสดงถึง
สภาวะหรือปริมาณของส่ิงใดสิ่งหนึ่งในลักษณะเป็นพลวัต ณ ชว่ งเวลาใด ช่วงเวลาหนง่ึ
๕.๓ จําแนกตามคุณสมบัติค่าสถิติของตัวแปร ถ้าจําแนกตามเกณฑ์นี้ ตัวบ่งชี้จะแบ่ง
ออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) ตัวบ่งชี้ที่แจกแจง (Distribute indicators) ซึ่ง หมายถึง ตัวบ่งชี้ที่
แสดงดว้ ยคา่ สถิตปิ ระเภททีม่ กี ารแจกแจงหรือการกระจาย เช่น สัมประสิทธิ์การกระจายหรือพิสัย
เปน็ ต้น ๒) ตัวบ่งชี้ที่ไม่แจกแจง (Non-distribute indicators) ได้แก่ ตัวบ่งชี้ท่ีแสดงด้วยค่าสถิติท่ี
ไม่กระจายหรอื เปน็ คา่ กลาง เช่น คา่ เฉลี่ย มัธยฐาน หรือรอ้ ยละ เปน็ ต้น
๖. จําแนกตามทฤษฎีระบบ ถ้าใชท้ ฤษฎรี ะบบเป็นเกณฑจ์ ําแนกตวั บ่งชี้ก็จะประกอบด้วย
๖.๑ ตัวบ่งช้ีด้านปัจจัยนาเข้า (Input indicators) ได้แก่ ตัวบ่งช้ีที่เกี่ยวกับ ทรัพยากร
ในการดําเนินงานใดงานหนึ่ง เช่น การดําเนินงานทางการศึกษา ตัวบ่งชี้แบบน้ีได้แก่ ร้อยละ
นักเรียนท่ีบิดามารดาประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละงบประมาณ ด้าน สาธารณปู โภคของ
โรงเรียน เป็นตน้
๖.๒ ตัวบ่งชี้ด้านกระบวนการ (Process indicators) คือ ตัวบ่งชี้ที่แสดงถึง กิจกรรม
หรือวธิ กี ารดาํ เนินงานในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษา การจัด
ประชมุ กรรมการสถานศกึ ษา เป็นต้น
๖.๓ ตัวบ่งช้ีด้านผลผลิต (Output indicators) เป็นตัวบ่งชี้ท่ีแสดงถึง ผลสําเร็จของ
การดําเนินงานหรือดาเนินกิจกรรมใดๆ ซ่ึงหมายรวมถึงผลกระทบและผลลัพธ์ ด้วย เช่น
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ร้อยละของนักเรียนที่ศึกษาต่อในสถานบัน การศึกษา
ระดับสงู ความพึงพอใจของชมุ ชนผู้ปกครองทม่ี ีต่อโรงเรยี น เป็นตน้
๗. จําแนกตามลักษณะการใช้ตัวบ่งช้ี การใช้ตัวบ่งช้ีเพ่ือประโยชน์ในการ ดําเนินงานน้ัน
สามารถนําไปใช้ได้สองลักษณะ ได้แก่ ใช้เพื่อบรรยายหรือแสดงให้เห็นถึง สภาพหรือระบบใน
๗๕
ปจั จุบันของสิง่ นัน้ และใชเ้ พื่อทาํ นายปรากฏการณ์ทจ่ี ะเกิดของสง่ิ น้นั ถ้าเป็นกรณีแรกก็เรียกว่าตัว
บ่งชี้แสดงความหมาย (Expressive indicators) ในขณะท่ีกรณีหลังก็ เรียกว่าตัวบ่งช้ีทํานาย
(Predictive indicators)
สรุปได้ว่า การจําแนกประเภทตวั บง่ ช้ีไม่มกี ฎเกณฑท์ ี่แนน่ อน ทงั้ นข้ี ึ้น อยกู่ ับ วัตถปุ ระสงค์
และรูปแบบของการนําไปใช้ดําเนินการวัด ซ่ึงในการประเมินคุณภาพของ การศึกษาไทยน้ัน
วิเคราะหไ์ ด้ว่าไดใ้ ชแ้ นวคิดการจําแนกตัวบ่งชี้ตามการตีความหมายคา่ ตวั บง่ ช้ี เป็นสาํ คญั
การพฒั นามาตรฐานและตวั บง่ ใช้
รตั นะ บัวสนธ์ (๒๕๕๐ : ๒๐๘-๒๑๘) ได้สรุปขั้นตอนการพัฒนาตัวบ่งชี้ว่าแบ่ง ออกเป็น
๓ ขน้ั ตอนใหญ่ๆ ไดแ้ ก่
๑. ขั้นการสร้างตวั บ่งช้ี
๒. ขั้นการตรวจสอบคุณภาพตัวบ่งชี้ และ
๓. ข้ันการจัดเข้าบริบทและนําเสนอรายงาน ซึ่งในแต่ละข้ันตอนก็จะยังประกอบด้วย
ข้นั ตอนยอ่ ยๆ ดังนี้
๑. ข้ันการสร้างตวั บง่ ช้ี ในขน้ั ตอนการสร้างตวั บ่งช้มี ที ัง้ สน้ิ ๕ ขนั้ ตอน ได้แก่
๑.๑ การกาํ หนดวตั ถปุ ระสงค์ กอ่ นทจี่ ะสรา้ งตวั บง่ ใช้ดีๆ
ผู้สรา้ งตวั บ่งชี้ต้องตอบตนเองใหไ้ ดเ้ ป็นเบื้องแรกว่าจะนาตัวบ่งช้ีท่ีจะสร้างนี้ ไปใช้
ประโยชน์ในเร่ืองใดและนําไปใช้อย่างไร โดยเฉพาะตัวบ่งช้ีทางการศึกษานั้นก็มักจะนําไปใช้
ประโยชน์เกย่ี วกบั การบรรยายสภาพของระบบการศกึ ษา การแสดงแนวโน้มการ เปล่ียนแปลงของ
ระบบการศึกษาและการเปรียบเทยี บระบบการศึกษากับเกณฑ์ ตลอดจนการ เปรียบเทียบระหว่าง
ระบบการศึกษา การนําตัวบ่งช้ีไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันน้ีย่อม ทําให้ลักษณะตัวบ่งชี้ที่
จะสร้างข้ึนแตกต่างกันไปด้วย กล่าวคือหากต้องการตัวบ่งชี้ไปใช้เพ่ือ ประเมินแผนพัฒนา
การศึกษาแห่งชาติก็ควรจะเป็นตัวบ่งชี้แบบอิงตนเองและให้สารสนเทศที่มี ความเฉพาะเจาะจง
ณ ช่วงเวลาใดเวลาหน่งึ ในขณะท่ีถ้าต้องการใช้เพื่อจัดจําแนกระบบ การศึกษาของประเทศต่างๆ
ตวั บง่ ชที้ ีเ่ หมาะสมก็ควรจะเป็น ตัวบ่งช้ีแบบอิงกลุ่มและมีความเป็น กลางสูงเพื่อท่ีแต่ละประเทศ
สามารถจะนําไปใช้เปรยี บเทยี บซึ่งกนั และกันได้
๑.๒ กําหนดนิยามของตัวบ่งช้ี การนิยามหรือให้ความหมายตัวบ่งช้ีก็มีลักษณะ คล้ายกัน
กบั การใหค้ านยิ ามคําตา่ งๆ ในการวจิ ยั นั้นเองซงึ่ โดยท่วั ไปแลว้ กจ็ ะใหน้ ิยามได้ ๓ แบบ ไดแ้ ก่
๗๖
ก. การใหน้ ิยามเชงิ ทฤษฎี (Theoretical definition)
การให้นิยามตัวบ่งช้ีในลักษณะเป็นการนิยามเชิงทฤษฎีน้ันจะอาศัยทฤษฎีและ ข้อมูล
แนวคิดต่างๆ จากเอกสารและงานวิจัยมาประกอบการให้นิยาม โดยท่ีผู้สร้างตัวบ่งช้ีจะไม่
ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวหรือ ความคิดเห็นมานิยาม หรือ ถ้าใช้ก็น้อยมาก การนิยามเชิงทฤษฎีจะ
เร่ิมต้ังแต่การใช้ทฤษฎีและเอกสารงานวิจัยทําการคัดเลือกตัวแปรย่อย การรวมตัวแปรย่อย
ประกอบกันเขา้ เปน็ ตัวบ่งชแี้ ละการกําหนดน้าหนักตวั แปรย่อยโดยอาศัยสูตรหรือโมเดลการ สร้าง
ตัวบ่งชตี้ ามท่ีมีผ้พู ฒั นาไวแ้ ล้ว
ข. การให้นิยามเชิงประจักษ์ (Empirical definition) การให้นิยามแบบน้ี ก็คล้ายคลึงกัน
กบั การใหค้ วามหมายแบบแรก กล่าวคอื เป็นการนยิ ามทีต่ ้องอาศัยทฤษฎีและ เอกสารงานวิจัยเป็น
พนื้ ฐาน กําหนดนยิ ามวา่ ตวั บ่งชดี้ ังกลา่ วประกอบดว้ ยตวั แปรยอ่ ยอะไร และวิธกี ารรวมตัวแปรย่อย
ใหเ้ ปน็ ตวั บ่งช้ี แต่จุดตา่ งอย่ทู กี่ ารกําหนดนา้ หนักของตวั แปรแตล่ ะ ตวั ท่จี ะนํามารวมเป็นตัวบ่งช้ีจะ
อาศยั การวิเคราะหข์ ้อมูลเชงิ ประจักษ์ ซ่งึ การให้นยิ ามแบบน้ี นิยมใชก้ นั มาก
ค. การใหน้ ยิ ามเชิงปฏิบัติการ (Pragmatic definition) การนิยามแบบนี้จะใช้ในกรณีที่มี
การเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับตัวแปรย่อย และตัวบ่งชี้ไว้แล้ว มีฐานข้อมูลหรือสร้างตัวแปร
ประกอบจากตัวแปรเหล่านี้ขึ้นมาจํานวนหน่ึง แล้วรวมเข้าด้วยกันเป็นตัวบ่งช้ี โดยอาศัย
วิจารณญาณของผู้สรา้ งตวั บ่งชเี้ ป็นสาํ คัญ วิธนี ยิ าม ตัวบ่งชแ้ี บบนไ้ี ม่ค่อยจะนิยมใช้ เพราะค่อนข้าง
จะมีจุดอ่อนมาก แต่หากจาเป็นต้องใช้ก็ควรจะ เลือกตัวแปรย่อย ๆ โดยอาศัยการตรวจสอบ
ความสมั พันธร์ ะหวา่ งตัวแปรเป็นหลัก ประกอบการพิจารณาคดั เลือก
๑.๓ การคัดเลือกตวั แปรที่เป็นองค์ประกอบของสง่ ที่มุ่งศึกษา ในข้ันตอนน้ีจะต้องเร่ิมด้วย
การกําหนดคุณลักษณะของส่งที่มุ่งศึกษาให้ชัดเจน โดยอาศัยความรู้จากเอกสารงานวิจัยและ
ทฤษฎที เี่ ก่ียวขอ้ งแลว้ ทาการคัดเลือกตัวแปรท่ี เกี่ยวข้องทั้งหมดหรือที่ครอบคลุมคุณลักษณะของ
สง่ิ ทม่ี ุ่งศกึ ษามาร่วมสรา้ งเปน็ องค์ประกอบ หรอื ตวั บ่งชขี้ องสง่ิ ดงั กล่าว ซึ่งในการคัดเลือกตัวแปรนี้
ส่ิงท่ีจักต้องพึงระวังก็คือ การคัดเลือก ตัวแปรหลายตัว ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันสูง หรือ ตัว
แปรท่ีมุ่ง วัดคุณลักษณะเดียวกัน ถ้าเป็น เช่นนี้ไม่ควรจะเลือกหลายตัว แต่ควรจะเลือกนามาใช้
เฉพาะตวั ใดตวั หน่ึงทม่ี ีความสัมพันธ์กับ สิ่งท่ีมุ่งศึกษาสูงกว่า หลังจากน้ันจึงคัดเลือกตัวแปรอ่ืน ๆ
ที่มีความสัมพันธ์กบั สิ่งทมี่ ่งุ ศึกษา รองลงมาตามลําดับ
๗๗
๑.๔ การกําหนดวิธีการรวมตัวแปร วิธีการที่ใช้รวมตัวแปรเพ่ือสร้างตัวบ่งช้ีหรือ
องค์ประกอบเข้าด้วยกันนิยมใช้ อยู่ ๒ วิธี ได้แก่ การรวมทางพีชคณิตแบบบวก (Additive) และ
การรวมแบบคูณ (Multiplicative)
๑.๕ การกําหนดนํ้าหนักความสําคัญของตัวแปร การกําหนดน้าหนักความสําคัญของตัว
แปรทําได้ ๒ วิธี คือ กําหนดน้ําหนัก ความสําคัญของตัวแปรให้เท่ากัน (Equal weight) และ
กาํ หนดให้แตกต่างกัน (Differential weight) ซง่ึ การกําหนดน้ําหนักให้แตกต่างกันน้ีอาจพิจารณา
ความสําคัญของตัวแปร โดยใช้เวลา (Time taken) และค่าใช้จ่าย (Cost) ที่เกี่ยวข้องกับตัวแปร
เปน็ เกณฑพ์ ิจารณา หรอื อาจใช้ วิธีการอืน่ ๆ ก็ได้ เช่น
๑) การตัดสนิ ใจโดยผเู้ ชี่ยวชาญ (Expert judgement) กลุ่มหน่ึงซ่ึงเก่ียวกับ เรื่องท่ี
ตอ้ งการศกึ ษานัน้ เสนอคา่ น้ําหนักของตัวแปรแต่ละตัวไดโ้ ดยอสิ ระ หลงั จากนั้นจึงหาค่า นํ้าหนักให้
เป็นที่ยุติด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ หาค่านํ้าหนักเฉล่ียของตัวแปรนั้นๆ หรือหาร้อยละ ของผู้ตอบที่
เห็นด้วยกับนํ้าหนักความสําคัญของตัวแปรแต่ละตัวจากการตอบแบบสอบถาม หรือจากการให้
ผ้เู ช่ยี วชาญอภิปรายลงความเห็นรว่ มกันก็ได้
๒) วิธีวัดความสําคัญของตัวแปร (Measurement effort required) วิธีการน้ี ให้
ค่านาํ้ หนักความสําคญั ของตัวแปร โดยพจิ ารณาจากเวลาและคา่ ใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการ ดําเนิน
กิจกรรมใดๆ ทเี่ กยี่ วข้องกับตวั แปรนัน้ ๆ กลา่ วคอื ถ้าตัวแปรใดใช้เวลาและค่าใช้จ่าย มากกว่าหรือ
น้อยกว่าอีกตวั แปรหนงึ่ ก็จะให้น้าหนกั ความสําคัญมากกว่าหรือน้อยกว่าตัวแปรนั้น ทั้งนี้ขี้นอยู่กับ
บรบิ ทของสูง ทีศ่ กึ ษาเปน็ สาํ คญั
๓) วิธีการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ (Empirical data) วิธีการนี้จะใช้เทคนิคทาง สถิติ
วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกําหนดนํ้าหนักความสําคัญของตัวแปรแต่ละตัว เช่น อาจใช้การ วิเคราะห์
องค์ประกอบ (Factor analysis) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression
analysis) การวิเคราะห์ การจําแนก (Discriminant analysis) และวิเคราะห์ สหสัมพันธ์คาโนนิ
คอล (Canonical correlation analysis) เป็นต้น
๒. ขน้ั การตรวจสอบคณุ ภาพตวั บง่ ช้ี การตรวจสอบคณุ ภาพตวั บ่งชี้นับว่าเป็นส่ิงที่สําคัญ
เพอื่ สรา้ งความมั่นใจใหก้ ับผู้ใช้ สารสนเทศเก่ียวกับตัวบ่งชท้ี ่พี ัฒนาข้ันน้ีว่าเป็นตัวบ่งชี้ที่มีคุณสมบัติ
ท่ีดี โดยเฉพาะการ ตรวจสอบความตรง (Validation) ของตวั บง่ ช้ี นอกจากนี้แล้ว หากเป็นตัวบ่งชี้
ทางการศึกษาก็ ควรจะต้องตรวจสอบคุณภาพที่สําคัญๆ ๔ ประการ ได้แก่ ประการแรก ความ
ทนั สมยั เหมาะสมในการนําไปใชไ้ ด้สอดคล้องกับสภาพปัญหาท่ีเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต นั่น
๗๘
คือตัวบ่งช้ีต้องสามารถนําไปใช้ได้อย่างทันเหตุการณ์ ประการที่สอง ตรงกับความต้องการหรือ
จุดมุ่งหมายในการใชง้ าน วัตถปุ ระสงค์การใช้งานท่ีแตกต่างกันย่อมต้องการลักษณะของ ตัวบ่งชี้ท่ี
แตกต่างกันไปดว้ ย เช่น ถา้ ต้องการกาํ หนดนโยบายทางการศกึ ษาและบรรยากาศ สภาพของระบบ
การศึกษา ตัวบ่งชี้ย่อมต่างกัน ประการที่สาม มีคุณสมบัติที่ดีตามเกณฑ์การวัด เช่น มีความตรง
ความเท่ียง ความเป็นปรนัย เป็นต้น และประการสุดท้าย มีกฎการวัดท่ี เป็นกลางมีความเป็น
นยั สาํ คัญทว่ั ไปไม่ลาํ เอยี ง การตรวจสอบคุณภาพตวั บ่งช้ีน้ันจะเป็นการตรวจสอบเกยี่ วกบั
๑) ตัวแปรและการ คัดเลือกตัวแปรว่าตัวแปรท่ีได้มาน้ันยืนอยู่บนทฤษฎีหรือ
เอกสารงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งมากนอ้ ย เพยี งไร การนิยามตัวแปรมีความชัดเจนและครอบคลุมในส่ิงท่ี
จะศึกษาหรือไม่อย่างไร
๒) การรวมตวั แปรใชว้ ธิ กี ารที่เหมาะสม สอดคล้องกับข้อตกลงหรือเง่ือนไขของตัว
แปรหรอื ไม่ตลอดจนสอดคล้องกบั ลกั ษณะของสง่ิ ทต่ี อ้ งการศกึ ษาเพียงไร และ
๓) การกําหนดนาํ้ หนักความสาํ คญั ของตัวแปรในการตรวจสอบว่าวิธีการได้มาซ่ึง
น้าํ หนกั ของตัวแปรแต่ละตัว นัน้ มคี วามเหตสุ มผล นา่ เชอื่ ถอื หรือไมแ่ ละสอดคลอ้ งกบั เปูาหมายของ
การนาคา่ ตัวบ่งชไ้ี ปใช้มากนอ้ ยเพียงไร
๓. ขนั้ การจัดเขา้ บริบทและการนําเสนอรายงาน ภายหลังจากตรวจสอบคุณภาพตัว
บ่งช้ีแล้ว นักวิจัยหรือผู้สร้างตัวบ่งช้ีจะต้องทาการวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้ค่าตัวบ่งช้ีท่ีเหมาะสม
กับบริบทในการนําไปใช้ เช่น ถ้าเป็นตัวบ่งชี้ทางการศึกษาก็อาจจะทาการวิเคราะห์จําแนก
ตีความหมายตัวบ่งชี้ตามระดับเขตการศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน หรือจํา แนกตาม
ประเภทบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนวิเคราะห์ตีความในระดับมหาภาคก็ได้หลังจากน้ันจึง
รายงานนาเสนอค่าตัวบ่งชี้ให้กับผู้เกี่ยวข้องหรือผู้ใช้ตัวบ่งชี้ได้ทราบเพ่ือจะได้นําไปใช้ประโยชน์
ได้ถูกต้องตามความต้องการต่อไป สรุปได้ว่า การสร้างมาตรฐานและตัวบ่งชี้น้ัน ประกอบด้วย ๒
ขน้ั ตอนหลกั ไดแ้ ก่
ข้ันท่ี ๑ การสร้างตัวบ่งช้ี ซึ่งประกอบด้วย ๕ ข้ันตอนย่อย ได้แก่ ๑) การกําหนด
วตั ถุประสงค์ ๒) กําหนดนิยามของตัวบ่งชี้ ๓) การคัดเลือกตัวแปรที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งท่ีมุ่ง
ศกึ ษา ๔) การกาํ หนดวธิ ีการรวมตัวแปร ๕) การกาํ หนดนํ้าหนักความสาํ คัญของตัวแปร
ข้ันที่ ๒ การตรวจสอบคุณภาพของตัวบ่งช้ี ซึ่งเทคนิควิธีการพัฒนาตัวบ่งช้ีนั้นมีหลาย
เทคนิค ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับ วัตถุประสงค์ รูปแบบของการศึกษาวิจัยและความเหมาะสมของผู้
ทําการศึกษาหรือวิจัยเอง สําหรับมาตรฐานและตัวบ่งช้ีในการประกันคุณภาพการศึกษาของ
๗๙
ประเทศไทยที่ผ่านมาในรอ บทที่ ๑-๓ นั้นมีกระบวนการกําหนดมาตรฐานและตัวบ่งชี้โดยใช้
ผเู้ ชย่ี วชาญเปน็ หลกั สว่ นการ ใช้สถิติขั้นสูงในการวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลเชิงประจักษ์เพ่ือกําหนด
มาตรฐานและตัวบ่งช้ีนนั้ มี ปรากฏในผลงานวจิ ัยทางการประกนั คณุ ภาพเท่านัน้
๕.๓ ความหมายของการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน
ความหมายของการประกันคณุ ภาพภายใน
คําว่า “การประกันคณุ ภาพภายใน” มีนกั การศึกษาทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้ นิยาม
ทเี่ หมอื นและแตกตา่ งกนั ออกไป รวบรวมได้ดังนี้
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของการประกัน
คุณภาพภายในหมายความว่าการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐาน
การศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษาน้ันเองหรือ โดยหน่วยงานต้น
สงั กดั ท่หี นา้ ท่ีกํากบั ดแู ลสถานศึกษานัน้
สาํ นักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องค์การมหาชน) (๒๕๕๓ :
๑๘) ได้ให้ความหมายของการประกันคุณภาพภายใน (Internal Quality Assurance) หมายถึง
การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษาของสถานศึกษาจาก
ภายใน โดยบุคลากรของสถานศกึ ษานนั้
รัตนะ บัวสนธ์ (๒๕๕๐ : ๔๖-๔๗) ได้อธิบายถึงการประกันคุณภาพภายในไว้ว่า
สถานศึกษาหรือหน่วยงานทางการศึกษาจักต้องดําาเนินการเองภายใต้การนําของผู้บริหารของ
สถานศกึ ษาท่ีมีความรู้ความเข้าใจ ตระหนักและมีความมุ่งมั่นกับเรื่องนี้ผ่านกระบวนการ บริหาร
จัดการสถานศึกษาอย่างเป็น ระบบท่ีประกอบด้วย การวางแผนในการปฏิบัติงาน (Plan) การ
ดําเนินงานตามแผนท่ีกําหนดไว้ (Do) การตรวจสอบการดําเนินงาน (Check) และการ ปรับปรุง
(Action) หรือท่ีเรียกว่าการบริหารจัดการตามระบบ PDCA น่ันเองซึ่งจะเห็นว่าการ ประกัน
คุณภาพการ ศึกษาภายในน้ัน ก็คือการปฏิบัติงานตามภารกิจปกติของสถานศึกษ าเพื่อพัฒนา
คุณภาพการเรียนการสอนและผู้เรียนอยา่ งตอ่ เนอื่ ง (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ,
๒๕๔๖) และเมื่อส้ินปีหรือครบรอบปีการดําเนินงานบริหารจัดการศึกษาทาง สถานศึกษาน้ันๆ
ก็จะตอ้ งทํารายงานการประเมนิ ตนเอง (SAR : Self - Assessment Report) โดยมกี ารรายงานผล
การประเมินตนเองตามมาตรฐานและตัวบ่งช้ีท่ีครอบคลุมสะท้อนภารกิจ และจุดเด่นของ
สถานศึกษานั้นๆ (ซ่ึงในปัจจุบันน้ีมักจะรายงานตามมาตรฐานและ ตัวบ่งช้ีกลาง ที่กําหนดโดย
๘๐
สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา: สมศ.) หลังจากน้ัน สถานศึกษา
นํารายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษาแต่ละแห่งพร้อมคําขอรับการ ประเมินภายนอก
จัดส่งไปยังหน่วยงานที่ทําหน้าท่ีรับผิดชอบเก่ียวกับ การดําเนินงานประกันคุณภาพภายนอก ซ่ึง
หน่วยงานดังกล่าวน้ีก็ได้แก่สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การ
มหาชน) หรอื ทีร่ ู้จักเรยี กกันง่ายๆ ว่า สมศ. นน่ั เอง
สรุปได้ว่าการประกันคุณภาพภายใน เป็นกระบวนการประเมินผลการดําเนินงาน ของ
หน่วยงานทกี่ ระทาโดยบคุ ลากรในหนว่ ยงานหรือผู้เก่ียวข้องอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ช่วยใน
การปรบั ปรงุ พัฒนาการดาํ เนนิ งานใหบ้ รรลุเปูาหมายตามที่กําหนดถือเป็นกระบวนการ ตรวจสอบ
การทาํ งานของตนเอง (self-evaluation) และควรทําเป็นกิจกรรมหนึ่งในข้ันตอนการ ปฏิบัติงาน
อยา่ งต่อเน่ือง โดยมีลักษณะสําคัญคือสถานศึกษาประเมินตนเองอย่างต่อเน่ือง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่
นําไปสูก่ ารพัฒนาปรับปรุงตนเอง และพร้อมท่จี ะไดร้ บั ตรวจสอบจากการ ประเมนิ ภายนอกอกี รอบ
๕.๔ หลักการและกระบวนการระบบการประกนั คณุ ภาพการศึกษา
การประกันคุณภาพการศึกษา (Quality Assurance) เป็นกลไกสําคัญประการหนึ่งท่ี
จะขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดําเนินไปอย่างต่อเน่ือง และสร้างความม่ันใจ
(assure) ได้ว่า สถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาให้มีคุณภาพได้ตามมาตรฐานที่กําหนด ผู้สําเร็จ
การศึกษามีความรู้ความสามารถและมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ตามที่หลักสูตร กําหนดและที่
สังคมตอ้ งการ หลกั การในการดาํ เนินการประกันคุณภาพการศกึ ษามี ๓ ประการ คอื
๑. การกระจายอํานาจ (Decentralization) โดยให้สถานศึกษามีอิสระและมี ความ
คล่องตัวในการบรหิ าร รวมถึงการตัดสนิ ใจดําเนนิ งาน ทง้ั ด้านการบรหิ ารงานวิชาการ งบประมาณ
บคุ ลากร และทรพั ยากร การจัดส่ิงอํานวยความสะดวก และให้อิสระแก่ผู้สอน ในการจัดกิจกรรม
เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ให้บรรลุผลตามจุดหมายของหลักสูตร ตลอดจนให้ สถานศึกษาสามารถ
ปรับปรงุ ตนเอง รับผดิ ชอบ และจดั การศึกษาไดส้ อดคลอ้ งกับสภาพพนื้ ทคี่ วามต้องการของชุมชน
และสังคมให้มากท่สี ุด
๒. การเปิดโอกาสมีส่วนร่วมในการทํางาน (Participation) โดยให้หน่วยงาน ท้ังภาครัฐ
ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ผู้ประกอบการ ปูชนียบุคคล ภูมิปัญญา ท้องถ่ินหรือ
ปราชญ์ชาวบ้าน เข้ามีส่วนรว่ มในการเปน็ คณะกรรมการ /คณะทางานของ สถานศึกษาร่วมกันคิด
๘๑
ตดั สนิ ใจ สนบั สนุน ส่งเสรมิ และติดตามตรวจสอบการดําเนินงาน ของสถานศึกษา ตลอดจนร่วม
ภาคภมู ิใจในความสาํ เร็จของสถานศกึ ษา ทั้งนี้เพือ่ ประโยชนต์ อ่ การจดั การศึกษาโดยรวม
๓. การแสดงภาระรับผิดชอบท่ีตรวจสอบได้ (Accountability) โดยสถานศึกษา และ
คณะกรรมการสถานศึกษาร่วมกันกําหนดเปาู หมาย (Goals) และจุดเน้นท่ีต้องการพัฒนา (Focus
Areas) เช่น ภายใน ๒ ปี สถานศึกษาจะต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ท่ีได้รับการ ยอมรับเรื่อง
การรักษาระบบนิเวศ เป็นต้น จากเปูาหมายและจุด เน้นการพัฒนาดัง กล่าวมีการร่วมกันจัดทํา
แผนพัฒนาสถานศึกษา (School Improvement Plan) เลือกยุทธศาสตร์การพัฒนาให้เหมาะสม
และสามารถทาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สถานศึกษาจะต้อง ประชาสัมพันธ์ เปูาหมายและ
จุดเน้นที่ต้องการพัฒนาตลอดจนแผนพัฒนาสถานศึกษาให้ ทุกฝุายได้รับรู้ เพื่อเป็นสัญญา
ประชาคม และเพือ่ ให้ทุกฝาุ ยท่เี กี่ยวขอ้ งมีทศิ ทางการทาํ งานที่ ชดั เจนสเู่ ปาู หมายเดียวกนั
ระบบการประกันคณุ ภาพการศึกษามกี ระบวนการที่สมั พนั ธ์กัน ๓ ประการ ดงั นี้
๑. พัฒนาคุณภาพ เป็นการดําเนินงานเพ่ือพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาให้ บรรลุถึง
มาตรฐานการศึกษาที่กําหนดไว้ (ท้งั ระดับชาติ ระดับการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน/ปฐมวัย ระดับเขตพื้นท่ี
การศึกษา หรือ ระดับ สถานศึกษาที่กําหนดข้ันเพิ่มเติมตามบริบทหรือเอกลักษณ์ ของ
สถานศึกษา) หัวใจสาํ คัญในการพัฒนาคุณภาพ คือ การสร้างจิตสํานึกให้ทุกคนตระหนัก ถึงความ
จําเป็น ของการทาํ งานเปน็ กลุ่ม ทํางานอย่างมีระบบ และทุก คนต้องถือเป็นหน้าที่ ที่จะปรับปรุง
การทํางานอย่างต่อเนื่อง จัดทาข้อมูลสารสนเทศในส่วนท่ีรับผิดชอบ ใช้ข้อมูล สารสนเทศน้ันให้
เป็นประโยชน์ในการพัฒนางานเป็นประจําปี มีการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดหมวดหมู่ข้อมูล
สารสนเทศอย่างเป็นระบบ การพัฒนาคุณภาพสถานศกึ ษาใหบ้ รรลุถงึ มาตรฐานทีก่ ําหนดน้ัน ต้องมี
การ จัดทาํ แผนยุทธศาสตร์ (Strategic Plan) ที่ทุกกิจกรรม/โครงการ/งานมีเปูาหมายเดียวกัน คือ
การยกระดบั คุณภาพผู้เรียนทุกด้าน มีการพัฒนาด้านปัจจัยให้สามารถใช้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
สรรหาให้เพยี งพอ ดูแลรักษาให้ใช้ได้อยู่เสมอและปลอดภัยในการใช้ ประการ สําคัญต้องมีระบบ
และกลไกการปฏิบตั งิ านตามแผน รวมทั้งติดตามกาํ กบั การดําเนนิ งานอย่าง จรงิ จงั และต่อเนื่องดัง
ภาพที่ ๕
๘๒
กําหนดสาเหตุ
หาสาเหตุ
วางแผนร่วมกนั
ปรบั ปรุง Plan
ระบบ/
Act Check ลงมือ
ปรบั ปฏบิ ตั ิ
มาตรฐาน Do
มาตรการ
เก็บขอ้ มลู
ยืนยัน
บันทกึ ผล
แผนภาพที่ ๕.๑ กระบวนการปฏิบัติงานอย่างตอ่ เนื่องตามวงจร PDCA ทีม่ า : สาํ นกั
วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา (๒๕๔๙, หน้า ๔)
๒. การตดิ ตามตรวจสอบคุณภาพ เป็นการดําเนินงานเพ่ือช่วยเหลือ สนับสนุน กํากับ
ติดตามความก้าวหน้าและยืนยันการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาให้ เป็นไป
ตามเปูาหมายและบรรลุตามมาตรฐานท่ีกําหนด โดยการติดตามตรวจสอบคุณภาพ สามารถ
ดาํ เนนิ งานในแตล่ ะระดับ ไดด้ งั น้ี
๘๓
๒.๑ การติดตามตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยสถานศึกษา
ตงั้ คณะทํางานข้ึน เพือ่ รวบรวมข้อมูล สารสนเทศ การดําเนินงาน/โครงการ ตลอดปีการศึกษาทั้ง
ด้านการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพการจัดการเรียนการสอน คุณภาพการบริหารและการจัด
การศกึ ษา และด้านการพฒั นาชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้จดั ทําเป็นระบบข้อมลู สารสนเทศที่ สามารถนํา
ผลไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาได้ทันท่วงที และเป็นข้อมูลสําหรับประเมินคุณภาพภายใน
สถานศึกษาได้
๒.๒ การติดตามตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยสานักงานเขต พ้ืนท่ี
การศกึ ษาหรอื หน่วยงานท่ีรับผิดชอบสถานศึกษา เพ่ือให้การส่งเสริม สนับสนุนและ ช่วยเหลือให้
สถานศึกษาสามารถดาํ เนินการพัฒนาคุณภาพจากเขตพื้นที่การศึกษาอย่างน้อย ๑ ครั้ง ภายใน ๓
ปี (ตามกฎกระทรวงวา่ ด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพ การศึกษา) สําหรับ
สถานศึกษาที่มีความเข้มแข็ง เขตพ้ืน ที่การศึกษาควรส่งเสริมให้พัฒนาอย่าง ต่อเน่ือง ยกย่อง
สถานศึกษาที่มีรปู แบบการพฒั นาทด่ี ใี หเ้ ป็นตัวอย่างแก่สถานศึกษาแห่งอื่นได้ ส่วนสถานศึกษาที่มี
คุณภาพผู้เรียนต่ําหรือ มีแนวโน้มต่ําลงอันเน่ืองมาจากปัญหาต่างๆ เขตพ้ืนที่ การศึกษาควรตั้ง
คณะทํางานเข้าไปช่วยเหลือสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง และติดตาม ความก้าวหน้าเป็นระยะ เขต
พ้ืนท่ีการศึกษาต้องทารายงานติดตามตรวจสอบคุณภาพ การศึกษาเสนอต่อสํานักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานเพ่ือทราบดว้ ย
๒.๓ การติดตามตรวจสอบ และประเมินผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ใน
ภาพรวมระดบั ประเทศ โดยหน่วยงานหลักทีร่ บั ผดิ ชอบ คือ สาํ นักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้น
พ้ืนฐานเพื่อนําข้อมูลท่ีได้มาประกอบการกําหนดนโยบาย เพ่ือส่งเสริม สนับสนุน และผลักดันให้
สถานศึกษาพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเน่ือง กําหนดมาตรฐานเพื่อยกระดับคุณภาพ
สถานศึกษาที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างสถานศึกษาเพื่อเพ่ิมพูนศักยภาพ
สถานศกึ ษาให้บริหารและจดั การศกึ ษาได้อยา่ งเตม็ ที่
๓. การประเมินและรับรองคุณภาพ เป็นการดําเนินงานเพื่อตรวจสอบผลการ จัด
การศึกษาของสถานศึกษา โดยแบง่ เป็น ๒ ส่วนท่เี ก่ยี วขอ้ งกัน ดังน้ี
๓.๑ การประเมนิ คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา จากการติดตามตรวจสอบ คุณภาพ
ของสถานศึกษาในข้อ ๒.๑ สถานศึกษานําข้อมูลสารสนเทศมาประเมินคุณภาพตาม มาตรฐาน
การศกึ ษาทกี่ าํ หนด (ตามระดับการศึกษาทจี่ ดั ซึ่งหมายถงึ มาตรฐานการศึกษา ปฐมวัย) จัดทําเป็น
รายงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาประจาปีของสถานศึกษา รายงานต่อ คณะกรรมการ
สถานศึกษา ผู้ปกครองชุมชน หนว่ ยงานตน้ สงั กดั และรายงานตอ่ สาธารณชน ๗
๘๔
๓.๒ การประเมินเพื่อรบั รองมาตรฐานการศึกษา การประเมินในส่วนนี้เป็น การ
ดําเนินงานโดยองค์กรภายนอกกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ สํานักงานรับรองมาตรฐาน และ
ประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (สมศ.) ซึง่ เปน็ องคก์ ารมหาชน ทําหน้าที่ประเมินและให้การ รับรองว่า
สถานศึกษาจัดการศึกษาได้ตามมาตรฐานการศึกษาท่ีกําหนดในทุก ๕ ปี ผลจาก การประเมินใน
ภาพรวมจะนําเสนอรฐั บาล เพื่อนําไปใชใ้ นการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ การกาํ หนดทิศทางการ
พฒั นาคณุ ภาพการจัดการศึกษาเพื่อใหท้ ัดเทยี มนานาอารยประเทศ
การดาํ เนนิ การท้งั ๓ ประการ เป็นกระบวนการที่มีความสัมพันธ์และส่งผลซ่ึง กันและกัน
โดยเฉพาะการติดตามตรวจสอบคุณภาพ สามารถดาํ เนินการได้ท้ังในส่วนการ พัฒนาคุณภาพและ
การประเมนิ คุณภาพดงั ภาพท่ี ๕.๒
การพฒั นาคณุ ภาพ
การประเมนิ คุณภาพ
ภายในของ
สถานศึกษา
คณุ ภาพการจัด
การศกึ ษา
การตดิ ตามตรวจสอบ การประเมิน
ของหน่วยงานต้น คุณภาพ
สังกดั ภายนอก
แผนภาพท่ี ๕.๒ ความสัมพนั ธ์ของกระบวนการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา ทม่ี า : สํานักวชิ าการ
และมาตรฐานการศึกษา (๒๕๔๙, หนา้ ๖)
๘๕
การดาํ เนนิ การของระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาระดับการศึกษาปฐมวยั
มาตรา ๔๗ ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ ที่กําหนดว่า ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาให้
เปน็ ไปตาม ที่กําหนดในกฎกระทรวงน้ันได้นําไปสู่การจัดทํากฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์
และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๖ และมีการปรับปรุงใหม่โดยรวม ระบบการ
ประกนั คุณภาพภายในขององค์กรหลักที่รับผิดชอบการศึกษาใน และนอกระบบเข้า ด้วยกัน โดย
ในส่วนของการศึกษาปฐมวัยน้นั ระบวุ ่าให้สถานศึกษาจัดให้มรี ะบบการประกัน คุณภาพการศึกษา
ภายในสถานศึกษาประกอบด้วย การดําเนินงานโดยยดึ หลกั การมีสว่ นรว่ ม ๘ ประการ ดงั น้ี
๑. การกําหนดมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา
๒. การจัดทําแผนพัฒนาสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคณุ ภาพการศกึ ษา
๓. การจดั ระบบบริหารและสารสนเทศ
๔. การดาํ เนนิ งานตามแผนพัฒนาสถานศกึ ษา
๕. การตรวจสอบและทบทวนคณุ ภาพการศึกษา
๖. การประเมินคุณภาพการศกึ ษาตามมาตรฐานทก่ี าํ หนด
๗. การรายงานคุณภาพการศึกษาประจาํ ปี
๘. การพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาอย่างตอ่ เนอื่ ง
โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้
๑. การกําหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศกึ ษา
มาตรฐานการศึกษามีความสําคัญและจําเป็นมากสําหรับ การจัดการศึกษาที่ใช้
หลักการกระจายอํานาจไปยังสถานศกึ ษาโดยที่ให้สถานศึกษาจัดทําหลักสูตรเอง และบริหาร การ
ใช้หลักสูตรให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของท้องถ่ิน รัฐจึง กําหนด
มาตรฐานการศึกษาของชาติ เพ่ือเป็นข้อกําหนดเก่ียวกับคุณลักษณะคุณภาพท่ีพึง ประสงค์และ
มาตรฐานทตี่ อ้ งการให้เกดิ ขึน้ ในสถานศึกษาทกุ แห่ง และใช้เป็นหลักในการ เทียบเคียงสําหรับการ
ส่งเสริมและกากับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผลและการประเมิน คุณภาพทางการศึกษา
โดยประกอบด้วยมาตรฐานการศึกษาของชาตินํามาสู่จัดทําเป็น มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย ประกาศให้สถานศึกษาทุกแห่ง ที่เปิดสอนระดับดังกล่าวใช้เป็น
๘๖
เปูาหมายการพัฒนา สถานศึกษาต้องนามาตรฐานการศึกษา ขั้นพ้ืนฐานและมาตรฐานการศึกษา
ปฐมวัย ทป่ี ระกาศไว้น้ี เป็นเปูาหมายการพฒั นาสถานศกึ ษา อย่างไรก็ตามเขตพ้ืนที่การศึกษาและ
สถานศึกษาเอง อาจต้องเพมิ่ เตมิ มาตรฐานการศึกษาท่ี กําหนดเฉพาะเจาะจงตามบริบทและความ
ต้องการของทอ้ งถิ่นอกี กไ็ ด้
๒. การจัดทาํ แผนพฒั นาสถานศึกษาทมี่ ุ่งเนน้ คุณภาพการศกึ ษา
เพื่อให้การจัดการศึกษาบรรลุตามมาตรฐานการศึกษา สถานศึกษาต้องมีการ
จดั ทําแผนพัฒนาสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพการศึกษา ในการจัดทาแผนดังกล่าวนี้ สถานศึกษา
ต้องคํานึงถึงหลักการกระจายอํานาจ การมีส่วนร่วม และการนําสู่การปฏิบัติได้จริง แผนพัฒนา
สถานศึกษาทีด่ คี วรคาํ นึง ถึงวธิ ดี าํ เนินการในเร่ืองต่อ ไปน้ี คอื
๑) มีการวิเคราะห์สภาพปัญหาและความจําเป็นอย่างเป็นระบบ และมี แผนปฏิบัติการ
ประจําปรี องรับท้งั แผนระยะสั้นและระยะยาว
๒) มกี ารกําหนดวิสยั ทศั น์ พันธกิจ เปูาหมายการพัฒนา และสภาพ ความสําเร็จของการ
พฒั นามาตรฐานการศึกษาท่ีกาํ หนดไวอ้ ย่างตอ่ เนอื่ ง ชดั เจน และเป็น รูปธรรม
๓) กําหนดวิธกี ารดําเนินงาน โดยอาศัยหลักวชิ า หรือผลการวิจัย หรือข้อมูล เชิงประจักษ์
ทีอ่ ้างองิ ได้ ครอบคลมุ การพัฒนาหลกั สูตร ดา้ นการจดั การเรียนการสอน/การจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ การส่งเสรมิ การเรยี นร้กู ารวัดและการ ประเมินผล การ พัฒนาบุคลากร
และการบริหารจัดการเพ่ือนาํ ไปสเู่ ปาู หมายทกี่ าํ หนดไว้
๔) เสาะหาและประสานสมั พันธก์ บั แหลง่ วทิ ยากรภายนอกที่ใหก้ ารสนบั สนนุ ทางวิชาการ
ได้ และระบุไว้ในแผนใหช้ ัดเจน
๕) กาํ หนดบทบาทหนา้ ท่ใี ห้บคุ ลากรของสถานศึกษาทุกคนรวมทั้งผู้เรียน รับผิดชอบและ
ดาํ เนิน งานตามที่กาํ หนดไว้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
๖) กําหนดบทบาทหน้าที่และแนวทางการมีส่วนร่วมของบิดา มารดา ผู้ปกครองและ
บคุ ลากรภายในชมชุ น เพอื่ การพฒั นาผู้เรยี นร่วมกนั
๗) กาํ หนดการใช้งบประมาณ และทรพั ยากรอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
๘) มีการประเมินผลการดําเนินงานตามแผนและการนําผลไปใช้ในการพัฒนา อย่าง
ต่อเน่อื ง
๘๗
๓. การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ
สถานศกึ ษาควรจัดโครงสรา้ งการบรหิ ารจดั การทเ่ี อ้อื ต่อการพัฒนางาน และ การ
สรา้ งระบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษาขนาดใหญ่และขนาดกลาง ควรมี คณะทางานทํา
หน้าที่วางแผนตดิ ตามตรวจสอบคณุ ภาพ และจดั ทาํ รายงานการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาประจําปี
ของสถานศึกษา โดยแตง่ ตง้ั คณะทาํ งานท่ีมีตัวแทนบุคลากรจากหลายฝุาย มาร่วมคิดร่วมวางแผน
และร่วมติดตามตรวจสอบ เก็บข้อมูล ส่วนสถานศึกษาขนาดเล็กท่ีมี จํานวนครูน้อยมาก ควร
ร่วมกันวางแผนจัดระบบการเก็บและรวบรวมข้อมูลเป็นหมวดหมู่ต้ังแต่ ต้นปีการศึกษา ทําให้ได้
ตามแผนท่ีวางไว้เพื่อไม่ไห้สะสมจนทําไม่สําเร็จเม่ือถึงส้ินปีการศึกษา สําหรับการจัดระบบ
สารสนเทศน้ัน สถานศึกษาย่อมทราบดีว่ามีอยู่มากมาย เช่น ข้อมูลผู้เรียน ครูและบุคลากร ข้อมูล
อาคารและสถานที่ ส่ิงอํานวยความสะดวก ข้อมูลการพัฒนาบุคลากร ข้อมูลทรัพยากร ข้อมูล
งบประมาณ ฯลฯ สถานศึกษาควรมีการจัดระบบสารสนเทศให้เป็น หมวดหมู่ให้ครอบคลุมและ
ข้อมูลมีความสมบูรณ์ ค้นหาได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว มีการนําข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์อยู่
เสมอ การจัดหมวดหมู่ข้อมูลสารสนเทศอาจแบ่งเป็นด้านก็ได้ เช่น ด้านคุณภาพผู้เรียน คุณภาพ
การเรียนการสอน คุณภาพการบริหารและการจัดการและ คุณภาพการพัฒนาชุมชนแห่งการ
เรยี นรู้ หรือจะจัดโดยวิธีอ่นื ท่ีสถานศกึ ษาเห็นว่าเหมาะสมก็ ได้
๔. การดาํ เนนิ งานตามแผนพัฒนาสถานศกึ ษา
ในแผนพัฒนาสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพการศึกษามีโครงการ/กิจกรรม ท่ีต้อง
ดําเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเกิดผลสําเร็จตามที่ระบุไว้ในตัวบ่งชี้ของ โครงการ การ
ดําเนินงานตามแผนนั้น สถานศึกษาต้องสร้างระบบการทํางานที่เข้มแข็ง เน้นการมีส่วนร่วมใช้
เทคนคิ การบรหิ ารและการจดั การทจ่ี ะทําให้ดาํ เนินงานตามแผนพฒั นา สถานศึกษาบรรลุเปูาหมาย
ตวั อยา่ งเทคนคิ การบริหารและการจดั การทีใ่ ชแ้ ลว้ ประสบ ผลสาํ เรจ็
๔.๑ วงจรการพัฒนาคุณภาพ PDCA ของเดม่ิง (Deming Cycle) เป็นเทคนิคท่ี ผู้บริหาร
ส่วนใหญ่ นิยมใช้กันแพร่หลายเพราะเป็นกระบวนการท่ี มีการตรวจสอบตนเองอยู่ ตลอดเวลา
ตั้งแต่ขั้นการวางแผน (Plan) การปฏิบัติตามแผนหรือขั้นตอนท่ีวางไว้ (Do) การ ตรวจสอบหรือ
การประเมิน (Check) และการนาผลการประเมินย้อนกลับไปทบทวน ปรับปรุง แก้ไข วาง
มาตรฐาน/มาตรการกาํ หนดขั้นตอนกันใหม่ (Act) เพ่ือการดําเนนิ งานต่อๆ ไป
๘๘
P
การ
สนับ P ก า ร พั ฒ น า
สนนุ
บคุ ลากร
P
P
โครงการ PD C A P D ผล คุณ
โครงการ สําเร็จ ภาพ
โครงการ ของ ผ้เู ขยี น
ระบบขอ้ มูลสารสนเทศ
แผนภาพท่ี ๕.๓ ทําแนวคิดตัวอย่างกระบวนการดําเนินงานตามวงจร PDCA ในแต่ละงานท่ีดําเนินไป
พร้อมๆ กันที่มาสํานัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (๒๕๔๙, หนา้ ๑๐)
สถานศึกษาหลายแห่งใช้แนวคิดในการกําหนดผลสําเร็จอย่างสมดุลรอบด้าน
(Balanced Scorecard) เป็นเทคนิคการบริหาร เช่น โรงเรียนในฝัน โดยใช้การกําหนดมุมมองที่
เก่ียวข้องกบั ผลสาํ เรจ็ ของการดาํ เนิน งาน ๔ ดา้ น คือ
๑) มุมมองด้านนักเรียน (Student Perspective) โดยพิจารณาความต้องการท่ี
เกย่ี วข้องเก่ยี วกับคณุ ลักษณะของผู้เรียนที่คาดหวงั
๘๙
๒) มุมมองด้านกระบวนการจัดการศึกษาภายใน (Internal Process Perspective)
โดยพิจารณาผลสําเร็จและแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของกระบวนการ
บรหิ ารจดั การและการจัดหลกั สูตรกระบวนการเรยี นการสอน
๓) มุมมองด้านการเรียนรู้และการพัฒนา (Learning and Growth Perspective)
โดยพิจารณาปัจจัยท่ีใช้ขับเคล่ือนให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาคุณภาพตามที่คาดหวัง ได้แก่ การ
สร้างความเขม้ แข็งให้สถานศกึ ษาเปน็ องคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ การพัฒนาศักยภาพและทกั ษะของ ครู
ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา การเพิ่มสมรรถนะของสถานศึกษาในการ ใช้
นวตั กรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพ่ือการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและ บุคลากร
ทางการศึกษา การเพิ่มสมรรถนะของสถานศึกษาในการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี สารสนเทศและ
การสอื่ สารเพอื่ การพัฒนา
๔) มุมมองด้านงบประมาณและทรัพยากร (Budget and Resource Perspective)
โดยพิจารณาปัจจัยส่งเสริมให้การดําเนินงานบรรลุภาพความสําเร็จในด้านงบประมาณและ
ทรพั ยากรโดยคาํ นึงถงึ แหลง่ สนับสนนุ อตั รากาลัง คา่ ใชจ้ ่าย ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและ
งบประมาณ จากมุมมองทัง้ สีด่ ้านนามากาํ หนดวตั ถปุ ระสงค์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Objectives) ที่
จะนําไปสู่ความสําเร็จโดยคํานึงถึงความครอบคลุมและสมดุล จัดทําแผนที่กลยุทธ์ ( Strategy
Map) เพือ่ ตรวจสอบลําดับความสําคัญและความเหมาะสมของวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ที่ กําหนด
ไว้ ผา่ นมุมมองดา้ นตา่ งๆ ว่ามีความสัมพันธ์ เป็นเหตุเป็นผล เช่ือมโยงไปสู่ความสําเร็จ ได้อย่างไร
แล้วจัดทํากรอบกลยุทธ์ (Strategy Framework) โดยการนาวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์มากําหนด
ตัวชี้วดั (Measures) เปาู หมาย (Targets) และกลยุทธ์ริเร่ิม (Strategy Initiatives)
๕. การตรวจสอบและทบทวนคณุ ภาพการศึกษา
การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพภายในสถานศึกษา ก็คือการติดตามตรวจสอบ
คณุ ภาพของสถานศึกษา สถานศึกษาควรตง้ั คณะทางานขึน้ เพ่ือวางแผนตดิ ตามและรวบรวม ข้อมูล
สารสนเทศการดาเนินงาน/โครงการตลอดปีการศึกษาโดยใช้มาตรฐานการศึกษาเป็น กรอบการ
ติดตามตรวจสอบ ทั้งนี้ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการจัดทํารายงานประจําปี ของ
สถานศกึ ษาอีกด้วย สถานศึกษาควรมกี ารตรวจสอบและทบทวนคุณภาพภายใน
สถานศึกษาทุกปีดําเนินการอย่างจริงจังต่อเน่ืองและเป็นระบบ สนับสนุน ให้ครู
ผู้ปกครองและ ผู้แทนชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากน้ีสถานศึกษาควรมีการตรวจสอบและ
ทบทวนคุณภาพ ภายใน เก่ียวกับเรื่องต่อไปน้ี เพ่อื ให้ก้าวทันสภาวการณ์ปัจจุบนั ดว้ ย คือ
๙๐
๑) วิสัยทัศน์และภารกิจของสถานศึกษา เช่น วิเคราะห์ดูว่าวิสัยทัศน์และภารกิจ
สอดคล้องกับมาตรฐานการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน/มาตรฐานการศึกษาปฐมวยั และสอดคล้องกับ สภาวะ
ปัจจุบันหรอื ไม่ ควรปรบั ปรงุ เปล่ยี นอะไรบา้ ง จัดกจิ กรรมอยา่ งไรจงึ จะเหมาะสม
๒) แผนพัฒนาสถานศกึ ษา เชน่ แผนพัฒนาสะท้อนความต้องการของชุมชนจริง หรือ ไม่
มกี ารรวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมลู ตลอดจนนําผลมาใชใ้ นการวางแผนครบถว้ นหรือไม่ กิจกรรมตาม
แผนสมั พันธ์กันและสอดรับกับวิสัยทัศน์และเปูาหมายหรือไม่ แผนพัฒนาโดยรวม มีความชัดเจน
เขา้ ใจงา่ ยและมที ิศทางการพฒั นาทีช่ ดั เจนหรอื ไม่
๓) การพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ เช่น บรรยากาศและ สภาพแวดล้อม
สนับสนุนการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด สะท้อนความสําเร็จของผู้เรียนอย่างไร ครู เลือกใช้
ยทุ ธศาสตรก์ ารสอนหลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนหรือไม่ ครู และผู้เรียน
มีปฏิสมั พันธ์ทีส่ ่งผลต่อการเรียนของผู้เรียนอย่างไร การจัดกระบวนการเรียนรู้เน้น ให้ผู้เรียนได้มี
โอกาสฝกึ แกป้ ัญหา ฝึกการคิดสร้างสรรค์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ตลอดจนพัฒนา นิสัยรักการเรียน
หรือผู้เรียนกล้าคิดกล้าแสดงออกหรือไม่ สถานศึกษามีกระบวนการพัฒนา หลักสูตรท่ีสอดคล้อง
กบั มาตรฐานการศึกษาชาตแิ ละมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน /ปฐมวัย หรือไม่
๔) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนประสบความสําเร็จจากการ เรียนรู้ท่ี
ผ้สู อนเปน็ ผจู้ ดั กิจกรรมการเรยี นการสอนหรอื ไม่ ผลงานของผู้เรียนมีความหมาย บ่งบอกถึงส่ิงที่ผู้
เรียนรู้เข้าใจ และทําได้หรือไม่ ผลงานแสดงความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ และ ผู้เรียนได้มีโอกาส
นําความรูไ้ ปใชม้ ากนอ้ ยเพยี งใด ผ้สู อนใช้วิธีการประเมินทห่ี ลากหลายและ สอดคล้องกับสภาพจริง
เพยี งใด มกี ารเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการ กําหนดเกณฑ์การประเมินหรือ
ไม่ สถานศกึ ษาจัดสิ่งอํานวยความสะดวกเพ่อื ให้ผู้เรยี นสามารถ ทํางานรว่ มกันได้อย่างดหี รือ ไม่
๕) การพัฒนาองค์กร เนื่องจากสถานศึกษาเป็นแหล่งหรือศูนย์การเรียนรู้ท่ีสําคัญ
ในชมุ ชน ฉะนั้นนอกเหนือจากการบริหารจัดการด้านการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการ สอน
การพัฒนาผู้สอนและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว สถานศึกษาต้องมุ่งเน้นการพัฒนาสถานศึกษา
โดยเฉพาะห้องสมุดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนได้เป็นอย่างดี ดังน้ี ประเด็นในการตรวจสอบ
และทบทวนคุณภาพภายในจึงควรวิเคราะห์ดูว่า ผู้บริหารอุทิศตนเพื่อองค์กร เพ่ือนร่วมงาน และ
เพือ่ การพัฒนาการศึกษาอย่างไร เป็นผู้นําในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และสามารถ แนะนํา
นวตั กรรมหรอื แหลง่ นวัตกรรมสําหรับผสู้ อนได้หรือไม่ มีการสร้างความสัมพันธท์ ่ีดกี บั
๙๑
ชุมชนและร่วมกิจกรรมต่างๆ กับชุมชนไม่มากน้อยเพียงใด มีการรวบรวมแหล่งภูมิ
ปัญญา ชาวบ้านและเชิญปราชญ์ชาวบ้านมาเป็นที่ปรึกษาหรือให้ความรู้หรือไม่มีการพบปะและ
เปลยี่ น ประสบการณก์ บั สถานศึกษาอนื่ ๆ เพ่อื เทยี บเคียงการพัฒนาหรอื ไมอ่ ยา่ งไร
๖) การพฒั นาวชิ าชีพครูเช่นมีการใช้แหล่งวิทยาการภายนอก (สถาบันอุดมศึกษาองค์กร
ธรุ กิจ ภาครฐั และเอกชน) ชว่ ยให้ครูเกิดการเรยี นรู้อย่างไรบ้าง มี การเปิดโอกาสให้ครูแลกเปล่ียน
ประสบการณ์ และความคิดในการพัฒนาวิชาชีพด้วยวิธีการ ใดบ้าง สนับสนุนให้ครูมีการ
วิจัยค้นคว้าความรู้ใหม่เก่ียวกับการเรียนการสอนและการ ประเมินผลบ้างหรือไม่ บ่อยเพียงใด
จัดหางบประมาณและสง่ิ สนบั สนุนมากน้อยเพียงใด ส่งเสริมให้มีการสัมมนาหรือพัฒนาวิชาชีพใน
รูปแบบอ่ืนใดหรือไม่ การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพภายในสถานศึกษาที่ดําเนินการอย่าง
จรงิ จงั จะช่วยใหส้ ถานศกึ ษามขี อ้ มลู ถกู ต้องและเพียงพอในการวางแผนพัฒนาสถานศึกษาท่ี เน้น
คุณภาพการศึกษาในรอบปีถัดไป นอกจากน้ี ผลจากการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพ ภายใน
สถานศกึ ษายังมสี ่วนช่วยกระตุ้นผู้ที่เก่ียวข้อง ทั้งนักการศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชนให้ ตระหนัก
ถึงการกําหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาการศึกษาในระดับท้องถิ่น หรือ ระดับชาติอีกทาง
หนึง่ ดว้ ย
๕.๕ การประเมนิ คณุ ภาพการศึกษาตามมาตรฐานที่กาํ หนด
จากการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพภายในสถานศึกษา จะมีข้อมูลสารสนเทศ
สําหรับประเมินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาที่กําหนดได้ด้วย
อยา่ งไรกต็ าม สถานศึกษาทีม่ ีความพรอ้ ม อาจตัง้ คณะทาํ งานขึ้นทําหน้าท่ีประเมินคุณภาพ ภายใน
สถานศกึ ษากไ็ ด้ ซง่ึ จะเป็นการสรา้ งระบบการประเมนิ ตนเองอีกทางหนง่ึ นําผลจากการประเมินไป
ระบุไว้ในรายงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาประจําปีต่อไป การประเมินคุณภาพ ภายในของ
สถานศึกษา ตอ้ งครอบคลมุ มาตรฐานการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน/ปฐมวยั ท่ีกาํ หนดไว้
๗. การรายงานคณุ ภาพการศกึ ษาประจําปี
การจัดทํารายงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาประจําปี เป็นหน้าที่ที่สถานศึกษา
ต้องปฏิบัติ เพราะการทํางานใดๆ ก็ตาม ต้องมีการรายงานผลและนาผลไปใช้ จึงจะเป็นการ
ทาํ งานที่มปี ระสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากในอดีตมีการละเลยกันมากจนทาให้เกิด จุดอ่อน
เร่ืองระบบฐานข้อมลู ที่จาเป็นต่อการพัฒนา จึงมีการตราไว้ในพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๔๘ ให้สถานศึกษาจัดทํารายงานประจาปี เสนอต่อ หน่วยงานต้นสังกัด
หนว่ ยงานทีเ่ กย่ี วข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชน และเพื่อรองรบั การ ประกันคุณภาพภายนอก
๙๒
ในการจัดทารายงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาประจําปีของสถานศึกษาหรือที่ เรียก
สน้ั ๆ ว่ารายงานประจําปีน้ัน สาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สพฐ) ได้ให้ แนวทาง
ไว้เป็นตัวอย่างในเอกสารช่ือ “แนวทางการเขียนรายงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ประจําปี
ของสถานศกึ ษา” โดยเสนอให้แบง่ รายงานเปน็ ๔ บทคือ
บทที่ ๑ สะท้อนภาพทวั่ ไปของ สถานศึกษา
บทที่ ๒ ระบุเปูาหมายการพัฒนาของสถานศึกษา
บทท่ี ๓ ระบุความสําเร็จของ การพัฒนาตามมาตรฐานการศึกษาท่ีกําหนดไว้ใน
แผนพฒั นาสถานศึกษา
บทท่ี ๔ ระบุจุดเด่น ด้อย และความต้องการการช่วยเหลือ นอกจากน้ีควรระบุหลักฐาน
ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของการ ประเมินตามแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาไว้ด้วย เมื่อจัดทํารายงาน
พัฒนาคุณภาพการศึกษาประจําปีเสร็จเรียบร้อยแล้ว สถานศึกษา ส่งรายงานต่อสํานักงานเขต
พืน้ ทีก่ ารศกึ ษาตน้ สังกดั ภายในเดือนพฤษภาคมของทกุ ๆ ปี และสง่ ให้สํานักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพสถานศึกษา (สมศ.) เฉพาะในปีท่ีเข้ารับการ ประเมินคุณภาพภายนอก
ซ่ึงสาํ นกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษา จะนํารายงานของสถานศึกษา ท้ังหมดมาสังเคราะห์เป็นภาพรวม
ระดบั เขตพน้ื ที่ และเสนอตอ่ สํานกั งานคณะกรรมการศกึ ษา ข้ันพน้ื ฐานภายในเดือนกรกฎาคมของ
ทุกๆ ปี จากนนั้ สํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ัน พ้ืนฐาน จะไดน้ ารายงานการพัฒนาคุณภาพ
การศึกษาระดบั เขตพนื้ ท่ีการศึกษามาสงั เคราะห์ เป็นภาพรวมระดับประเทศ นําผลท่ีได้มากําหนด
เป็นนโยบาย กลยุทธ์ และยุทธศาสตร์การ พัฒนาคณุ ภาพการศึกษาของประเทศต่อไป
๕.๖ การพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาอย่างต่อเนอื่ ง
ในการทําให้คุณภาพของสถานศึกษาดํารงอยู่อย่างยั่งยืนนั้น สถานศึกษาควร
ตรวจสอบและทบทวนการดําเนินงานตามโครงการ/กิจกรรมอยู่เสมอ โครงการ/กิจกรรมที่ทําต้อง
ค้มุ ค่า และเกดิ ประโยชน์ส่งผลถึงผูเ้ รียน การพิจารณาโครงการ/กิจกรรมท่ีจะทําต่อไป หรือ ไม่น้ัน
ควรพิจารณาดังนี้
๑. ถ้าเป็นโครงการท่ดี ี สมควรดาํ เนินตอ่ ไปการดาํ รงโครงการนั้น ไว้
๙๓
๒. ถ้าเป็นโครงการที่ดีแต่ยังดําเนินการไม่สําเร็จหรือไม่บรรลุเปูาหมายเพราะมี
จุดบกพรอ่ ง ถ้าปรบั ปรงุ แก้ไขสามารถบรรลุผลสาํ เร็จไดก้ ด็ าํ เนนิ การต่อไปและทาํ ได้ดียง่ิ ข้ึน
๓. ถ้าเป็นโครงการท่ีมีความก้าวหน้าในการดําเนินงานอยู่ตลอดเวลา ก็พัฒนา ดําเนิน
โครงการน้ันต่อไปอยา่ งไม่หยุดย้ัง
๔. หากมเี หตกุ ารณห์ รือ ส่ิงทีส่ ่อเคา้ วา่ จะเกิดปัญหาต้องหาทางปอู งกนั ไวก้ ่อน โดย การจัด
ทาโครงการใหม่ๆ ขึ้นเพ่ือปูองกันปัญหาเพ่ือให้คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาพัฒนาอย่าง
ตอ่ เนื่อง สถานศกึ ษาตอ้ ง คํานึง ถงึ สง่ ต่อ ไปนี้
(๑) สรา้ งจติ สานึกการพฒั นาให้เกิดขนึ้ ในหมู่ครแู ละบคุ ลากรทกุ คนใน สถานศึกษา
(๒) เน้นยํ้าหรอื กําหนดเปน็ นโยบายการทาํ งานอยา่ งมรี ะบบ รวมทัง้ ต้องทางาน อย่างมี
เปาู หมาย ทาํ งานเป็นหมคู่ ณะ และต้องทาํ อยา่ งตอ่ เนื่อง
(๓) พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) การ
จะทําให้สถานศึกษาเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้ต้องทําให้บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา เป็น
บคุ คลแหง่ การเรียนรู้ คือ รู้จักพัฒนาตนเอง ใฝุรู้ หมั่นแสวงหาความรู้อยู่เสมอ มีการ แลกเปลี่ยน
เรียนรู้แบ่งปันความรู้กัน ตลอดเวลา เกิดทีมผู้เช่ียวชาญในเรื่องต่างๆ หลากหลายจน ได้รับการ
ยอมรับจากผู้เก่ียวข้อง มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และแลกเปล่ียนความรู้กับ องค์กรอ่ืนๆ
สถานศึกษากจ็ ะเปน็ องค์กรแหง่ การเรยี นรู้ทมี่ คี วามเคลอ่ื นไหวในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาอยู่
ตลอดเวลา ผลผลิตขององคก์ รแหง่ การเรยี นร้เู หน็ ได้จาก
๑) ผลสัมฤทธขิ์ องงานสูงขน้ึ
๒) เกดิ การพฒั นาคน
๓) มกี ารพัฒนาความรู้ และ
๔) องค์กรมีศักยภาพสูงขึ้นสุภัทรา เอื้อวงศ์ (๒๕๖๐) ได้นาเสนอระดับ การพัฒนาอย่าง
ต่อ เนื่องไว้ ๓ ระดับ ได้แก่ ๑) การปรับปรุง (Improvement) ซึ่งเป็นการปรับสิ่งที่ทาอยู่ให้
ยกระดับสรู่ ะดับ มาตรฐานคณุ ภาพ โดยกระทาํ กับประเด็น ที่ยัง ไม่บรรลุมาตรฐาน ยังมีจุดอ่อนท่ี
ต้องปรับปรุง ๒) การรักษาสภาพท่ีดีอยู่ให้คงไว้ (Maintenance) ดําเนินการสาหรับประเด็นที่ส่ิง
น้ัน อยู่ในสภาพท่ีเป็นไปตามมาตรฐานอยู่แล้ว ซึ่ง จําเป็นจะต้องดําเนินการให้ส่ิงน้ัน คงสภาพ
ความมี มาตรฐานอยู่ ๓) การพัฒนา (Development) เป็นการดําเนินการยกระดับคุณ ภาพของ
การ ดําเนินการ ท้ังสิ่ง อีกและส่ิงที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้เกิดการพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นแนวคิด