๑๗๔
การบริหารการศึกษา
การบริหารการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ อยู่ภายใต้คณะรัฐบาล(Parliament
Government) โดยการบรหิ ารของกระทรวงการศกึ ษาและวฒั นธรรม (Ministry of Education and
Culture) คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติฟินแลนด์ (National Board of Education เรียกย่อว่า
(NBE) ซ่ึงจะมีหน่วยงานบริหารในระดับภูมิภาครองรับ เรียกว่า StateRegional Organizations ใช้
หลกั การกระจายอํานาจ ไปยงั ผูจ้ ัดการศึกษาในระดบั ทอ้ งถ่ินหรอื องคก์ รเอกชน ซึ่งเป็นผู้จัดการศึกษา
โดยโรงเรียนหรือสถาบนั ทเี่ รียกชื่ออย่างอน่ื ในสงั กัด
๑๗๕
๒. มาตรฐานการศึกษาของชาติ
ฟนิ แลนด์ไมม่ ีมาตรฐานการศึกษาของชาติเปน็ การเฉพาะ แต่มีหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
เป็นภาคบังคับซึ่งกําหนดโดยระดับชาติ การปฏิรูปการศึกษาตามทิศทางนี้ เริ่มดําเนินการมาต้ังแต่ปี
ค.ศ.๑ ๙๖๘ เพ่ือเน้นการเตรียมเด็กให้สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจฐานความรู้ ตามกรอบแนวคิด
"CommonComprehensive Education System" ไดเ้ ร่ิมประกาศใชท้ ั่วประเทศต้ังแต่ปีพ.ศ.๑๙๗๗
คุณลักษณะสําคัญของมาตรฐานการศึกษาแนวใหม่ มี ๓ ประการ(Porter-Magee. ๒๐๑๒) คือ ๑)
การพัฒนาและนําหลกั สูตรแห่งชาตมิ าใช้๒) มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการพัฒนาคุณภาพครูและ
๓) มกี ารตรวจตดิ ตามผลโดยส่วนกลางเพื่อทาํ ใหเ้ กดิ การยกระดับคุณภาพการเรยี นการสอนได้จรงิ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานของฟินแลนด์ มี ๒ ระดบั คอื หลกั สตู รแกนกลางก่อน
ประถมศึกษา (National Core Curriculum forPre-Primary Education) และหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขนั้ พื้นฐาน(National Core Curriculum for Basic Education) มีจุดเด่น คอื
๑. หลักสตู รแกนกลางก่อนประถมศึกษาปัจจุบันใช้ฉบับ ค.ศ.๒๐๐๔ปรับปรุงปี ค.ศ.๒๐ ๑๐
ให้การศึกษาก่อนประถมเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัย ให้จัดแบบไม่แยกหรือ
แยกกลุ่มอายุก็ได้ แต่ต้องคํานึงถึงวัตถุประสงค์การศึกษาเป็นสําคัญ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม
พฒั นาการของเด็กให้เป็นบุคคลที่มีมนุษยธรรม (Humane Individual)และเป็นสมาชิกที่มีจริยธรรม
และรับผิดชอบต่อสังคม ให้เป็นหลักสูตรแบบบูรณาการ ประกอบด้วย ๗ สาระการเรียนรู้ (Core
Content Areas)ผสมผสานกัน ได้แก่ (๑) ภาษาและปฏิสัมพันธ์ (Language and Interaction)(๒)
คณิตศาสตร์ (Mathematics) (๓) จริยธรรมและศาสนา (Ethics and Religion) (๔)สิงแวตล้อม
ศึกษาและธรรมชาติศึกษา (Environmentaland Natural Studies) (๕) สุขศึกษา (Health) (๖)
การพัฒนาร่างกายและการเคลื่อนไหว (Physical and Motor Development) (๗) ศิลปะและ
วัฒนธรรม (Arts and Culture) และเพ่ือจะสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมกันสําหรับเด็กที่มีความ
ตอ้ งการพิเศษ หรือพิการ หรือเจ็บปุวยได้กําหนดระบบการสนับสนุนช่วยเหลือที่มีมาตรฐานสูง บาง
คนจะไดเ้ ข้าเรยี นตง้ั แต่ ๕ ขวบ เพือ่ เตรียมความพร้อมก่อนเดก็ ปกติ ๑ ปี การเรยี นในระดบั นี้เป็นแบบ
ให้เปลา่ เหมอื นการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
๑๗๖
๒. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (National CoreCurriculum for Basic
Education) ปจั จบุ นั ใช้หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ค.ศ.๒๐๐๔ และกําลังแก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อใช้ในปี ค.ศ.๒๐๑๖มุ่งให้มีแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ดียิ่งขึ้น (Vitikka, Eja.
FinnishNational Board of Education. ๑๒.๑๑.๒๐๑๕. powerpoint) มีการกําหนดแนวทางการ
บริหารหลักสูตรที่ชัดเจน ๑๐ เร่ือง คือ๑) รายละเอียดต่าง ๆ ท่ีจะต้องปรากฎในหลักสูตร ๒)
จดุ เริม่ ต้นสําหรับการจัดการศึกษา ๓) การสอนตามหลักสูตร ๔) การสนับสนุนท่ัวไปสําหรับการศึกษา
ของนกั เรยี น ๕) การสอนนกั เรียนท่ีต้องการได้การสนบั สนุนพเิ ศษ๖) การสอนกลมุ่ วฒั นธรรมและกลุ่ม
ภาษาต่าง ๆ ๗) วัตถุประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาวิชาแกน การบูรณาการและหัวข้อการสอนข้าม
หลักสตู ร การเรยี นการสอนภาษาแม่และภาษาประจําชาติในฐานะภาษาท่ี ๒ ภาษาแม่และวรรณคดี
ภาษาประจาํ ชาติในฐานะภาษาที่ ๒ ภาษาต่างประเทศคณิตศาสตร์ ส่ิงแวดล้อมศึกษาและธรรมชาติ
ศกึ ษา ชวี วทิ ยาและภมู ิศาสตรฟ์ สิ ิกสแ์ ละเคมี สขุ ศึกษา ศาสนา จรยิ ศึกษา ประวัติศาสตร์ สังคมศึกษา
ดนตรี ทัศนศลิ ป์ การฝมี ือ พลศกึ ษา คหกรรม วชิ าเลอื ก ๘) การแนะแนวการศึกษาและอาชีพ ๙) การ
ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๑๐) ระบบหรอื หลกั การสอนการศึกษาพิเศษหรือวิธีสอนแบบพิเศษ ท้ังนี้ เน้น
กระบวนการเรียนรู้ตามระดับชั้นเรียน วิธีสอนใหม่ และการจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่การเรียนรู้
จากการทํางาน และการประเมินผลการเรียนรู้ท่ีถูกต้องให้พัฒนาสมรรถนะแนวขวาง (Transversal
Competences) ๗ สมรรถนะ โดยให้เรียนร้เู นอื้ หาจากการลงมอื ทํางาน การได้เรียนรู้วิธีทํางาน และ
การได้มีปฏิสมั พันธก์ ับสิ่งแวดล้อมขณะที่ทํางาน สมรรถณะแนวขวางท่ีพึงประสงค์ได้แก่ การคิดและ
การเรียนเพื่อเรียนรู้ การดูแลตนเองและผู้อ่ืน การจัดการกิจกรรมในชีวิตประจําวัน และความ
๑๗๗
ปลอดภัย สมรรถนะทางวัฒนธรรมการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน และการแสดงออก ความสามารถในการ
อา่ นออกเขยี นได้หลายภาษา สมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สมรรถนะในการดําเนินชีวิตขณะ
ทํางานและความเป็นนักประกอบการ และการมีส่วนร่วมและมีอิทธิพลต่อกลุ่ม การสร้างอนาคตท่ี
ยง่ั ยืน
๓) จัดการเรียนรู้สหวิทยาการแบบโมดูลในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นให้จัดการเรียนรู้แบบ
โมดลู สหวิทยาการปลี ะอยา่ งนอ้ ย ๑ โมดลู โดยใหเ้ ขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษากาํ หนดวัตถปุ ระสงค์ เนื้อหา และ
แนวการจดั การเรียนรู้โมดูลสหวิทยาการในหลักสูตรท้องถิ่น และให้แต่ละโรงเรียนระบุวัตถุประสงค์
เฉพาะ และเนื้อหาเฉพาะของโมดูลในแผนประจําปีของโรงเรียน (School's Annual Plans) โดยครู
ทุกคนตอ้ งร่วมมอื กันวางแผนแบบขา้ มรายวชิ าและต้องนําโมดูลการเรียนรู้แบบสหวิทยาการไปใช้ ดัง
แผนภาพ
๑๗๘
โดยสรุป ประเทศฟินแลนด์มุ่งปฏิรูปการศึกษาขั้นพ้ืนฐานเพ่ือยกระดับมาตรฐานของ
การศึกษาท้ังระบบ เป็นการศึกษาแบบเบ็ดเสร็จ (Comprehensive)ไม่มีหลายมาตรฐาน (Non-
selective) รัฐบาลกลางเป็นผู้ชี้นํา (Central Steering) ท้องถ่ินเป็นฝุายนํานโยบายการศึกษาไป
ปฏบิ ตั แิ ละสรา้ งสรรค์นวัตกรรมการเรียนการสอน ในวัฒนธรรมการเรียนรู้และความศรัทธาท่ีเอื้อให้
ทุกคนมีการศึกษามาตรฐานสูง มีครูมืออาชีพเป็นผู้สอน มีการสนับสนุนท่ีทันเวลา ( Early
Intervention) เป็นรายบุคคล และเน้นการแสดงบทบาทของผู้เรียน ฐานคิดใหม่ของการศึกษาขั้น
พน้ื ฐานในฟินแลนด์ คอื การศึกษาคุณภาพสงู เปน็ สทิ ธิข้ันพน้ื ฐานของนักเรียนทกุ คน วิถชี วี ติ แบบยั่งยืน
เป็นสง่ิ จําเป็น ความหลากหลายทางวัฒนธรรมคือความร่าํ รวย และจะตอ้ งมมี นุษยธรรม วัฒธรรมและ
อารยธรรม เสมอภาคและประชาธิปไตย กรอบแนวคิดการปฏิรูปการศึกษาในฟินแลนด์ ดังแสดงใน
แผนภาพต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้
๑๗๙
แนวคดิ ใหม่เก่ยี วกบั พ้ืนฐานการศกึ ษา
แนวคิดเรอ่ื งคา่ นิยมพ้ืนฐานของการศกึ ษาภาคบงั คับของฟินแลนดื ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษา
ขน้ั พืน้ ฐาน ปี ค.ศ.๒๐๑๔
ส่งิ ที่ต้องการจะเห็นในการจัดการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน
๑๘๐
๙.๑๑ การพฒั นามาตรฐานการศกึ ษาของนิวซีแลนด์
๕.๑ มีระบบมาตรฐานการศึกษาของชาติ (National Standards System) ทํา
หน้าที่กํากับ ดูแลการบริหารการศึกษาแบบกระจายอานาจ โดยโรงเรียนต้องบริหารตาม The
National Administration Guidelines (NAGs) ซึ่งกําหนด ๖ แนวทางสําหรับการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนา ยุทธศาสตร์สถานศึกษา การพัฒนานโยบายบริหารบุคคลและธุรกิจของสถานศึกษา การ
ดําเนินงาน ตามระเบียบการเงินและสินทรัพย์ การจัดส่ิงแวดล้อมท่ีปลอดภัยต่อเด็ก และการ
ดําเนินงานตาม ระเบียบว่าดว้ ยการมาเรียน ภายใตค้ ณะกรรมการสถานศึกษา (Board of Trustee)
๕.๒ ใช้ระบบ NQF (The National Qualification Framework) ในการวัด
มาตรฐานผู้จบ มัธยม ศึกษาตอนปลายโดยให้สอบ NCEA (The National Certificate of
Educational Achievement) มาใชส้ มัครเขา้ มหาวิทยาลัย
๑๘๑
นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีใกล้เคียงกับประเทศในยุโรป
ตอนใต้ มีการค้าระหว่างประเทศเป็นฐานเศรษฐกิจ มีดัชนีการพัฒนามนุษย์เป็นอันดับ ๒๐ ของโลก
(ค.ศ.๒๐๐๙)รายได้สําคัญมาจากภาคธุรกิจบริการประมาณร้อยละ ๗๐ ตามด้วยผลผลิตจาก
อุตสาหกรรมและการก่อสร้างและผลผลิตจากฟาร์มและวัตถุดิบต่างๆสินค้าส่งออกสําคัญคือสินค้า
เกษตรประมงและปุาไม้
๑. ระบบการศึกษา และการบรหิ ารการศกึ ษา
ระบบการศกึ ษาในประเทศนิวซแี ลนด์ มุ่งเน้นให้นักศึกษามคี วามพร้อมทัง้ ทักษะและความรู้ที่
จําเป็นตอ่ การประกอบอาชีพและด้านอ่ืน ๆนิวซีแลนด์เป็นประเทศท่ีได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
ว่ามีระบบการศึกษาท่ีมีคุณภาพ แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ การศึกษาปฐมวัย การศึกษาระดับ
โรงเรยี น (ประถมและมัธยมศกึ ษา) และการอุดมศึกษา
การศึกษาปฐมวัย (Early Childhood Education เรียกย่อว่า ECE)เป็นการศึกษาและการ
ดแู ลเดก็ ตั้งแต่เปน็ ทารกแรกเกิดจนถงึ อายุ ๖ ขวบกระทรวงศึกษาธิการมีอํานาจหน้าที่อนุมัติให้จัดตั้ง
สถานศึกษา สนับสนุนการดําเนินงาน จัดสรรงบประมาณอุดหนุน และกํากับดูแลการจัดการศึกษา
ปฐมวัยของผู้รบั ใบอนุญาต (Providers) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ซงึ่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันท่ี ๒๙
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. การจัดการศกึ ษาปฐมวยั โดยครเู ปน็ ผ้นู ํา แบง่ ออกเป็น ๓ ประเภทคอื
(๑) ศนู ยก์ ารศกึ ษาและการดแู ลเดก็ (Education and care Centres)
(๒) โรงเรยี นอนุบาล (Kindergarten) จัดโดยสมาคมโรงเรยี นอนุบาล
(๓) บริการการศึกษาและดูแลในครอบครัว (Home-based educationand care
services) เปน็ บรกิ ารในครอบครัว
๒. การจัดการศกึ ษาปฐมวยั โดยพ่อแมเ่ ด็กเป็นผู้นาํ แบ่งออกเป็น ๒
ประเภท
(๑) ศูนย์การเลน่ (Playcen tres) ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการให้จัดบริการแก่
เดก็ ปฐมวัย โดยผู้บริหารและจัดการศกึ ษา คือพ่อแม่ กลุ่มครอบครัวในระบบครอบครัวขยายของเต็ก
เมารี (Whanau)และผูด้ ูแลเดก็ (Caregivers)
(๒) กลุ่มการเล่น (Playgroups)เป็นบริการการศึกษาปฐมวัยท่ีมีความเป็นทางการน้อยที่สุด
เมื่อเทยี บกับประเภทอ่ืน ๆ จัดโดยพ่อแม่ครอบครัวเด็ก และผู้ดูแลเด็ก เพื่อให้เด็ก ๆ มีโอกาสพบกัน
และเลน่ ดว้ ยกนั ในโปรแกรมการเล่นทกี่ ลุ่มจดั ให้
๑๘๒
การประถมและมัธยมศกึ ษา
ประเทศนิวซีแลนด์ เรียกการประถมและมัธยมศึกษาสายสามัญว่า"การศึกษาในระบบ
โรงเรียน" (Schooling) ซึ่งช่วงอายุ ๖-๑๖ ปี เป็นการศึกษาภาคบังคับ (Compulsory) แต่เด็กส่วน
ใหญ่ในประเทศนี้มักจะเร่ิมเข้าเรียนตั้งแต่อายุ ๕ ปี โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา มีหลาย
ประเภท ดังน้ี
(๑)โรงเรียนประถมศึกษา (Primary Schools) จัดการศึกษาตั้งแต่ช้ันปีที่ ๑ ถึง ๘ (Year ๑-
๘)
(๒) โรงเรียนมัธยมศึกษา จัดการเรียนการสอนชั้นปีท่ี ๙-๑๕ หรือช้ันปีท่ี ๗-๑๕ ซึ่งมีท้ัง
โรงเรียนมธั ยมของรฐั และเอกชน
(๓)โรงเรยี นการศึกษาพิเศษ รวมถึงการจัดการศึกษาพิเศษในค่ายสุขภาพ (Health Camps)
โรงเรียนในโรงพยาบาล (Hospital schools)แตไ่ ม่รวมการจัดให้เดก็ พิเศษที่เรียนรวมในโรงเรียนปกติ
โรงเรยี นการศึกษาพเิ ศษสาํ หรบั ผู้มีสิทธิออกเสียงเลอื กตงั้ อน่ื ๆ
(๔) โฮมสกูล (Home Schooling) เป็นการจัดการศึกษาในครอบครัวตามที่
กระทรวงศึกษาธกิ ารอนญุ าต
การศึกษาระดับท่ีสาม/อุดมศกึ ษา (Tertiary Education) แบ่งออกเป็นหลายประเภท คือ
๑ มหาวิทยาลัย (Universities) จัดการอุดมศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า เน้นภาคทฤษฎี ๒)
วานงั กะ (Wananga) คือสถาบนั อดุ มศึกษาของรฐั ทจี่ ัดในบรบิ ทวฒั นธรรมเมารี ๓) สถาบันเทคโนโลยี
หรือวทิ ยาลัยโปลเิ ทคนคิ (Institutes of Technology / Polytechnics) คอื สถาบนั อดุ มศึกษาของรัฐ
หรือเอกชน ๔) วิทยาลัยวิชาการศึกษา (College of Education) คือ สถาบันการศึกษาท่ีรัฐจัดข้ึน
เพอ่ื การเตรียมบุคคลเป็นครูระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ๕) สถาบันฝึกอบรมอาชีพ
ของเอกชน (Private Training Establishments)
การบรหิ ารการศกึ ษา
การบรหิ ารการศึกษาของนวิ ซีแลนด์ เป็นแบบกระจายอํานาจ ควบคู่กับการประกันคุณภาพ
โดยมีกระ ทร วง ศึกษาธิการ ทําหน้าท่ีและรั บผิดชอบ ใน การพั ฒน าน โยบายเชิง ยุทธศาสตร์ ให้การ
สนับสนุน และจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษาสําหรับการศึกษาปฐมวัย ประถมศึกษา และ
มธั ยมศกึ ษา
๑๘๓
จัดการทรัพย์สินของโรงเรียนท่ีจัดตั้งโดยงบประมาณของรัฐ จัดทําแฟูมสะสมรายการ
ทรัพย์สิน จัดซื้อและก่อสร้างอาคารสถานที่ท่ีจําเป็นตรวจสอบและจําหน่ายทรัพย์สินท่ีหมดสภาพ
และการดแู ลบา้ นพกั ครูและบา้ นพกั ภารโรงจดั ทําแนวทางการปฏิบัตงิ านดา้ นการเรียนการสอน
จัดทําหลักสูตรระดับชาตแิ ละกําหนดมาตรฐานหลักสูตร จัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการ
เรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้ และจัดหลักสูตรพัฒนาวิชาชีพครู ทุนการศึกษาและ
รางวลั ต่าง ๆ สาํ หรับครแู ละผูบ้ รหิ ารสถานศึกษารวมท้ังบริหารบัญชีเงินเดือนสําหรับครูจัดการศึกษา
สาํ หรับกลมุ่ เปูาหมายพิเศษซ่งึ รวมถึงบรกิ ารการศกึ ษาพิเศษสาํ หรับเด็กพิการ ให้บริการช่วยเหลือโดย
ผมู้ คี วามรู้เฉพาะทาง สนบั สนนุ งบประมาณและทรัพยากรอืน่ ๆ นอกจากนี้ ยังมหี น้าท่ีพัฒนานโยบาย
เชิงกลยุทธ์อุดมศึกษาและการศึกษานานาชาติทําวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับอุดมศึกษากํากับ
ติ ด ต า ม ผ ล ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น แ ล ะ ขี ด ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง ส ถ า บั น อุ ต ม ศึ ก ษ า
(http:/www.minedu.govt.nz/theMinistry/ AboutUs/AboutTheMinistry.aspx)
๑๘๔
แนวทางการบหารกรศึกษา ของประเทศนวซแลนดโด่ษญญตวในกฎหมายการศึกษา
(Education Act ๑๙๘๙) และนโยบายของรฐั ช่อื Achicvement ๒๐๐๑ และมีหน่วยงานเพื่อกํากับ
ดูแลและประเมนิ ผลการศึกษาตามกรอบคุณสมบัติแห่งชาติทางการศึกษา ซึ่งเรียกว่า NcwZealand
Qualifcation Authority (NZQA) จัดต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.๑๙๙๐ แนวทางการบริหารการศึกษาระดับ
ตา่ ง ๆ สรปุ ไดด้ งั น้ี
การบริหารการศกึ ษาปฐมวัย บคุ คลหรือองค์กรตา่ ง ๆ ที่มีคุณสมบัติตามท่ีกฎหมายกําหนด
สามารถจะขออนญุ าตเป็นผู้จัด (Providers) ยกเว้นในการจัด "กลุ่มการเล่น" ต้องมีใบประกาศนียบัต
(Certificate) ด้วยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดสรรเงินอุดหนุนให้ผู้จัดตามระเบียบพ่อแม่ของเด็กต้อง
จ่ายค่าใชจ้ า่ ยบางส่วน การสนับสนุนมี ๕ รูปแบบ๑) การอุดหนุนท่ัวไป พิจารณาจากรายชั่วโมงและ
รายหัว สัปดาห์ละไม่เกนิ ๓๐ ชัว่ โมง เรยี กวา่ ECE Funding Subsidy ๒) การอุดหนนุ สาํ หรับบรกิ าร
ท่มี มี าตรฐานสงู กว่าท่ัวไป อุดหนุนสูงกว่าทั่วไปสําหรับ ๒๐ ชั่วโมงแรกเรียกว่า ๒๐ Hours ECE แล้ว
อุดหนุนอัตราปกติ ในส่วนท่ีเหลือไม่เกิน ๑๐ ช่ัวโมง ๓) การอุดหนุนเพื่อความเสมอภาคทางโอกาส
สาํ หรบั ช่มุ ชนที่มีปญั หาทางเศรษฐกิจและสงั คม เรียกว่า Equity Funding ๔) การอุดหนุนเพิ่มเติมไม่
ต่ํากว่า ๑.๖๕ เท่า ของเงินอุดหนุนทั่วไปสําหรับในพ้ืนท่ีชนบทห่างไกลขนาดเล็กซ่ึงได้เงินอุดหนุน
ท่ัวไปไม่เกินปีละ ๒๐,๐๐๐ เหรียญเรียกว่า Annual Top-up Isolated Service หรือ ATIS ๕) การ
อุ ด ห นุ น ก า ร จ้ า ง ค รู ที่ มี ใ บ ป ร ะ ก อ บ วิ ช า ชี พ ( http://www.lead.ece.govt.nz/
ManagementInformation/RegulatoryFrameworkForECES)
การบริหารการศึกษาระดบั โรงเรียน การศกึ ษาระดับประถมและมัธยมศึกษาเป็นภาคบังคับ
ที่ไม่เสียค่าเล่าเรียนจนกว่าเด็กจะอายุครบ ๑๖ ปีการบริหารตามแนวทาง The National
Administration Guidelines(เรียกย่อว่า NAGร) มีคณะกรรมการสถานศึกษา ทําหน้าท่ีบริหาร
คุ ณ ภ า พ ก า ร ศึ ก ษ า ร่ ว ม กั บ ผู้ บ ริ ห า ร ส ถ า น ศึ ก ษ า แ ล ะ ค รู เ ช่ น
(www.minedu.govt.nz/NZEducation/EducationPolicies/Schools/Policy AndStrateg...)
๑) พัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนทุกคนในชั้นปีท่ี ๑-๑๐ บรรลุผล
สําเร็จตามหลกั สตู รแห่งชาติ สมั พันธก์ ับความต้องการและความสนใจของเด็ก บอกได้ว่าคนใดกลุ่มใด
ตอ้ งการความช่วยเหลอื เป็นพเิ ศษ และพัฒนายทุ ธศาสตรก์ ารเรียนการสอนและใช้คน้ หาความต้องการ
และแก้ไขปญั หาของเด็กเหล่านี้
๒) พัฒนายุทธศาสตร์สถานศึกษา เป็นลายลักษณ์อักษร ซ่ึงสะท้อนนโยบาย แผนงาน
โครงการหลกั สตู รสถานศกึ ษาการม่งุ บรรลุมาตรฐานระดับชาติ การประเมินผล การพัฒนาวิชาชีพครู
และผู้บริหารสถานศึกษาการทบทวนผลงานของสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง การรายงานผลการเรียน
เป็นรายบุคคลให้เด็กและผู้ปกครองทราบ การรายงานให้ชุมชนทราบทั้งผลสมฤทธ์ิในภาพรวมและ
๑๘๕
จําแนกตามกลุ่มเสียง ต้องรายงานความก้าวหน้าการจัดการศึกษาชั้นปีที่ ๑-๘ โดยอิงมาตรฐาน
ระดบั ชาติ (National Standards) ใหเ้ ด็กและผู้ปกครองทราบ อย่างน้อยปีละ ๒ ครงั้
๓) พัฒนานโยบายด้านบุคลากรและการจัดการธุรกิจของสถานศึกษาภายใต้กรอบนโยบาย
และกระบวนการที่รัฐกําหนด เพื่อยกระดับคุณภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ใช้ทรัพยากรอย่างมี
ประสทิ ธิผล และสนองความตอ้ งการจาํ เปน็ ของนกั เรยี น และเปน็ ผู้จา้ งที่ดี
๔) จัดให้มีสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อร่างกายและจิตใจของเด็ก ส่งเสริมให้ทุกคนได้
รับประทานอาหารสุขภาพ ถูกหลักโภชนาการและปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับท่ี
เกีย่ วข้องหรอื กาํ หนดขอ้ บังคบั เพ่มิ เติมเพือ่ ประกันวา่ นกั เรียนและพนักงานของโรงเรียนจะปลอดภยั
การบริหารอดุ มศกึ ษา
การบริหารอุตมศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ ถูกควบคุมคุณภาพโดย New Zealand
Qualifcations Authority (NZQA) เช่นเดียวกับระดับปฐมวัย และระดับโรงเรียน โดยมีกรอบ
คุณสมบัติระดับชาติ (NationalQualifications Framework หรือ NOF) ซ่ึงมีหลักการและจุดหมาย
๕ ประการ คือ
๑) การเรียนรู้ท่ีชัดเจนและมีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน (Clear Learningand Career
Pathways)
๒) การเรยี นร้ทู ถี่ ูกตอ้ งและยืดหยุ่นได้ (Relevant and FlexibleLearning)
๓) การเข้าถึงการเรียนรู้และยอมรับผลการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์
(Access to Learning and Portability of Recognition)
๔) การจัดการศึกษาที่ประกันและประเมินคุณภาพ (Quality Assured Provision and
Assessment)
๕) การเป็นชาวนิวซีแลนด์ที่มีทักษะและมุ่งเรียนรู้ตลอดชีวิต (Skilled New Zealanders
Equipped and Committed to Life Long Learning)
ท้งั น้ี มีหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการบรหิ ารและควบคมุ คุณภาพ
อุดมศึกษา ได้แก่ กระทรวงศกึ ษาธิการ (Ministry of Education) มีหน้าท่ีกําหนดนโยบาย วิเคราะห์
นโยบายให้คําแนะนําและติดตามผลการดําเนินงานของสถาบันอุตมศึกษา รับผิดชอบโดยตรงต่อ
รัฐมนตรีว่าการและเป็นตัวแทนรัฐมนตรีในการเจรจาต่อรองกับสํานักงานคุณสมบัติทางการศึกษา
แห่งชาติ (NZQA) เกี่ยวกับเร่ืองที่มอบให้ NZQA ดําเนินการ ทั้งนี้ มีสํานักงานตรวจสอบทบทวน
ทางการศึกษา (Education Office Review ชื่อย่อว่า ERO) รับผิดชอบการประเมินผลและรายงาน
ผล เ ก่ี ยว กั บ กา ร ศึ ก ษา ใ น ทุก โ ร ง เรี ย น แล ะ ส ถ าน ศึ ก ษา ป ฐ มวั ย แ ล ะ มี ค ณ ะ ก ร ร ม กา ร อุ ดม ศึ ก ษ า
๑๘๖
(TertiaryEducation Commission: TEC) เป็นหน่วยงานถาวรท่ีให้คําปรึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศกึ ษาธกิ ารด้านการอดุ มศึกษา
๒. มาตรฐานการศกึ ษาของชาติ
ประเทศนิวซีแลนด์ มีระบบมาตรฐานการศึกษาของชาติ (NationalStandards System)
ซ่ึงใช้เพื่อกํากับดูแลการบริหารการศึกษาแบบกระจายอํานาจ ให้บรรลุเปูาหมายด้านคุณภาพ
การศึกษา ดังน้ีมาตรฐานการศกึ ษาปฐมวัย หลักสตู รการศึกษาปฐมวัยของประเทศนิวซีแลนด์ มุ่งเน้น
การเสริมพลัง (Empowerment) การพัฒนาทุกด้านแบบองค์รวม (Holistic Development) การ
เรียนรู้เก่ียวกับครอบครัวและชุมชน (Family and Community) และความสัมพันธ์กับผู้อื่น
(Relationships) หลกั สูตรระดับปฐมวัย ประกอบด้วยสาระหลักสูตร เรียกว่า Curriculum strands
มี ๕ สาระ คือการค้นคว้าหาคําตอบเก่ียวกับเรื่องที่เด็กอยากรู้ (Exploration) การสื่อสาร
(Communication) การเป็นอยู่ท่ีดี (Well-being) การบําเพ็ญประโยชน์ (Contribution) การมีส่วน
ร่วมและเป็นสมาชกิ ของกลมุ่ (Belonging)
มาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานของประเทศ
นิวซีแลนด์เรียกว่า The New Zealand Curriculumเป็นหลักสูตรแกนกลางซึ่งกําหนดทิศทางการ
เรียนรู้ ประกอบดว้ ยวิสยั ทัศน์ค่านิยมท่ีพงึ ประสงค์ สมรรถนะหลกั สาระการเรียนรู้ (Learning Areas)
ซึ่งมุ่งสู่จุดมุ่งหมายเชิงผลสัมฤทธิ์ (Achievement Objcctives) มีหลักการและแนวทางการบริหาร
หลักสูตรแกนกลางเกี่ยวกับ จุดประสงค์และขอบเขตวิธีจัดการรียนการสอนท่ีมีประสิทธิผลการ
ออกแบบและทบทวนหลักสูตรสถานศึกษาฉันทนา จันทร์บรรจง และคณะ (๒๕๕๔) ได้วิเคราะห์จุด
เน้ันของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของนิวซีแลนด์ พบว่า วิสัยทัศน์หลักสูตร คือมุ่งให้ผู้เยาว์มี
คณุ สมบตั ิ ๔ ประการไดแ้ ก่ มั่นใจ สามารถอย่รู ่วมกบั ผู้อ่นื มสี ว่ นร่วมทาํ ประโยชน์ต่อสังคม และเป็นผู้
เรยี นรตู้ ลอดชีวติ
- คณุ สมบตั ิดา้ นความมน่ั ใจ คอื การคดิ เชงิ บวกเกี่ยวกับอัตลักษณข์ องตนเอง มีแรงจูงใจ และ
ช่อื ถือได้ มีข้อมลู เพยี งพอมคี วามสามารถในการประกอบกิจการมคี วามสามารถในการปรับตัว
- คณุ สมบตั ิดา้ นความสามารถอยู่รว่ มกบั ผ้อู นื่ คอื มีสัมพนั ธภาพท่ีดีกบั ผู้อ่นื ใชเ้ ครื่องมือส่ือสาร
ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างมีประสิทธิผลผกู พันกับแผ่นดนิ และสิ่งแวดล้อมเป็นสมาชิกของชุมชนเป็นพลเมืองของ
นานาชาติ
- คุณสมบัติด้านการมีส่วนร่วมทําประโยชน์ต่อสังคม คือ มีส่วนร่วมในบริบทของชีวิต และ
อทุ ิศตนเพอ่ื ความผาสกุ ของนวิ ซีแลนด์ทัง้ ในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และส่ิงแวดลอ้ ม
๑๘๗
- คุณสมบัติด้านการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต คืออ่านออกเขียนได้คิดเลขเป็น มีความคิดเชิง
วิพากษ์และคิดเชิงสร้างสรรค์ ค้นคว้าหาความรู้คิดเลขเป็น มีความคิดเชิงวิพากษ์และคิดเชิง
สร้างสรรค์ ค้นคว้าหาความรู้ใช้ความรู้และสร้างสรรค์ความรู้อย่างแข็งขัน และเป็นผู้ตัดสินใจโดยใช้
ข้อมูลสารสนเทศ
จุดมุง่ หมายของหลักสูตร คอื บรรลวุ ิสัยทศั น์ของหลักสตู รมอี งคป์ ระกอบหลกั ๓ ประการ
๑) ค่านิยมที่พึงประสงค์ (Values) ได้แก่ (๑) มีความเป็นเลิศโดยคาดหวังสูงและอดทนต่อ
ความยากลําบาก (๒) มนี วัตกรรม ใฝุรู้ ช่างสงสัยคิดวิพากษ์ คิดสร้างสรรค์ และสะท้อนผลเป็นระยะ
ๆ (๓) โดยคิดเชิงวิพากษ์คิดริเร่ิมสร้างสรรค์และคิดสะท้อนผลเป็นระยะ ๆ (๑) พึงพอใจในความ
หลากหลายซึง่ พบในวัฒนธรรมภาษาและมรตกทางวัฒนธรรมของชาวนิวซีแลนด์(๕) ความเสมอภาค
ยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคม (๖) ชุมชนและการมีส่วนร่วมเพ่ือผลดีต่อทุกคนโดยรวม (๗)
ความย่ังยืนของระบบนิเวศและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (๘) ความยึดมั่นในคุณธรรมซื่อสัตย์
รับผดิ ชอบโปร่งใสตรวจสอบได้และประพฤติตนอย่างมีจริยธรรม (๙) มีคารวธรรมเคารพตนเองผู้อ่ืน
และสทิ ธมิ นุษยชน
๒) สมรรถนะหลัก (Key Competencies) ได้แก่ (๑) การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดเชิงวิพากษ์
และใช้ความรู้ที่ผ่านการวิเคราะห์-สังเคราะห์แล้วทําความเข้าใจกับข้อมูลประสบการณ์และแนวคิด
ต่าง ๆ (๒) การใช้ภาษาสัญลักษณ์และข้อความต่าง ๆ ได้อย่างม่ันใจ (๓) สามารถจัดการตนเองจูงใจ
ตนเองคิดวา่ "ทําได้" ประเมินตนเองได้ มีความสามารถในการจดั การมีข้อมูลมีความน่าเชื่อถือยืดหยุ่น
และปรบั ตวั ได้ (๔) มีปฏิสัมพนั ธท์ ่ดี ีกับผู้อ่ืนคือสามารถฟังอย่างต้ังใจยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างมี
ความสามารถในการเจรจาต่อรองและรู้จักแลกเปล่ียนความคิดเห็น (๕) ความสามารถมีส่วนร่วมและ
บาํ เพญ็ ประโยชน์ตอ่ สว่ นรวมท้ังในชมุ ชนครอบครัวกลุ่มชนและโรงเรียนบําเพ็ญตนเหมาะสมในฐานะ
สมาชิกกลุ่มทังในระดับท้องถ่ินชาติและโลกสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อ่ืนและสร้างสรรค์
โอกาสให้กับคนอ่นื ๆ ในกล่มุ
๓) จุดมุ่งหมายเชิงผลสัมฤทธ์ิ (Achievement Objectives) เป็นความคาดหวังท่ีเขียนไว้
ชัดเจนสาํ หรบั แตล่ ะสาระการเรยี นรู้ ทง้ั ดา้ นความรู้ความเข้าใจและทักษะต่าง ๆ ซึ่งโรงเรียนสามารถ
จะเลอื กใชอ้ อกแบบหลกั สูตรสถานศึกษาให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละกลุ่มแต่ละช้ันเรียนกําหนดเส้นทาง
การพัฒนาการเรียนรู้ ๕ ช่วง เรียกว่า Learning Pathways คือ ช่วงประถมศึกษา(ปีที่ ๑-๖) ช่วง
มัธยมศกึ ษาตอนต้น (ปีท่ี ๗-๑๐) ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย(ปีที่ ๑๑-๑๓) และระดับอุดมศึกษาและ
การจ้างงาน (Tertiary Educationand Employment
๑๘๘
แนวการจัดการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการน่วซีแลนด้แนะแนวการจัดการเรียนรู้ เรียกว่า
Effective Pedagogy โดยเน้นให้ครูส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ๗ ประการ คือ (๑) สร้าง
สงิ่ แวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้ (๒) สนับสนุนให้เด็กคิดทบทวนไปมาและปฏิบัติหลังจากคิดดีแล้ว
(๓) ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้แบบใหม่ซ่ึงได้ค้นข้อมูลที่ทันสมัยและตรงกับความต้องการเข้าใจว่าเรียน
อะไรทําไมจะใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งไร (๔)เอ้ือให้เกดิ การเรยี นรูร้ ว่ มกัน (๕) เชอื่ มโยงกบั ส่ิงที่ได้เรียนรู้มา
ก่อนหรือจากประสบการณ์เดิม (๖)จัดโอกาสให้เด็กมีเวลาปฏิบัติจริงอย่างเพียงพอเพ่ือให้เกิดการ
เรียนรู้มากขึ้นจากการลงมือทําและมีส่วนร่วม (๗) สอนแบบต้ังคําถามหรือแบบสืบสวนสอบสวน
(Teaching as Inquiry)
แนวการวัดผลและประเมินผล เน้นการวัดและประเมินผลระหว่างการเรียนการสอน เพื่อ
พฒั นาการเรยี นรูข้ องนักเรยี นและพัฒนาการสอนของครูหน้าท่ีสําคัญของโรงเรียน คือ ต้องพิจารณา
ว่าจะเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรและใช้ข้อมูลจากการประเมินผลการเรียนรู้ให้ เกิด
ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาผู้เรียนวธิ ีวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ท่มี ปี ระสิทธิผลตามคําแนะนําของ
กระทรวงศกึ ษาธิการนิวซีแลนด์ มีลักษณะสําคัญ คือ (๑) เกิดประโยชน์แก่นักเรียน (๒) ให้นักเรียนมี
ส่วนรว่ มในการประเมนิ ผล (๓) สนับสนุนจุดหมายของการสอนและการเรียน (๔) มีการวางแผนและ
ส่ือสารให้ผู้เรียนและผู้เก่ียวข้องรู้ (๕) สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้และจุดมุ่งหมายการ
ประเมิน (๖) มีความตรงเชิงเนื้อหาและยุติธรรมมีการประเมินผลการเรียนรู้กับนักเรียนแต่ละคน
โรงเรียนยังอาจจัดให้มีการประเมินทั้งโรงเรียนเรียกว่า School-Wide Assessment เพ่ือนําไปใช้
ปรับปรุงนโยบายการพัฒนาโรงเรียน พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาพัฒนาวิธีสอนหรือเพื่อรายงานต่อ
คณะกรรมการสถานศกึ ษาผูป้ กครองและกระทรวงศึกษาธกิ าร
มาตรฐานระดบั ชาตสิ าํ หรับผู้จบชน้ั ปีท่ี ๘
มาตรฐานระดับชาติ (National Standards) ถูกนํามาใช้ต้ังแต่ปลายปี ค.ศ.๒๐๐๙ เพื่อ
ยกระดับคณุ ภาพการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานของนวิ ซีแลนด์ โดยวัดมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีเรียนในชั้นปีท่ี ๑-
๘ ดา้ นคณิตศาสตร์ (Mathematics Standards) และด้านการอ่านการเขียน(Reading and Writing
Standards) (http://nzcurriculum.tki.org.nz/National-Standards) ซึ่งฉันทนา จันทร์บรรจง
และคณะ (๒๕๕๔.หน้า ๒ - ๔๓) ไดส้ รปุ ไว้ดงั แสดงในตารางต่อไปนี้
๑๘๙
มาตรฐานการศึกษาแห่งชาตนิ วิ ซีแลนด์คณิตศาสตร์ ตามกรอบเวลาเรียนแต่ละปี
กรอบเวลา มาตรฐานการศกึ ษาแหง่ ชาตินิวซีแลนด์คณิตศาสตร์
หลงั จากเรยี น นักเรียนจะบรรลุเปูาหมายตอนตนั ของระดบั ๑ ของกลมุ่ สาระการเรียนรู้
มาแล้ว ๑ ปี คณิตศาสตรแ์ ละสถิตติ ามหลักสตู รแหง่ ชาติ
หลังจากเรียน นักเรียนจะบรรลุเปูาหมายของระดบั ๑ ของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้
มาแล้ว ๒ ปี คณิตศาสตร์และสถิตติ ามหลักสตู รแหง่ ชาติ
หลงั จากเรียน นกั เรยี นจะบรรลเุ ปาู หมายตอนต้นของระดับ ๒ ของกล่มุ สาระการเรยี นรู้
มาแล้ว ๓ ปี คณติ ศาสตร์และสถิติตามหลักสูตรแหง่ ชาติ
ภายในส้ินปีที่ ๔ นกั เรียนจะบรรลเุ ปาู หมายของระดบั ๒ ของกล่มุ สาระการเรยี นรู้
คณติ ศาสตรแ์ ละสถิตติ ามหลักสูตรแหง่ ชาติ
ภายในส้นิ ปีท่ี ๕
นักเรยี นจะบรรลเุ ปูาหมายตอนตันของระดับ ๓ ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
ภายในสน้ิ ปีท่ี ๖ คณิตศาสตรแ์ ละสถิตติ ามหลักสูตรแห่งชาติ
ภายในส้ินปีที่ 7 นักเรียนจะบรรลุเปาู หมายของระดบั ๓ ของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้
คณิตศาสตร์และสถิติตามหลักสูตรแหง่ ชาติ
ภายในสน้ิ ปที ี่ 8
นกั เรียนจะบรรลเุ ปูาหมายตอนตนั ของระดบั ๔ ของกลุม่ สาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์และสถิตติ ามหลกั สูตรแห่งชาติ
นกั เรยี นจะบรรลเุ ปาู หมายของระดับ ๔ ของกลมุ่ สาระการเรียนรู้
คณติ ศาสตร์และสถิติตามหลกั สูตรแหง่ ชาติ
๑๙๐
มาตรฐานการศกึ ษาแหง่ ชาตนิ วิ ซแี ลนดด์ ้านการอา่ นและเขียน ตามกรอบเวลาเรียนแต่ละปี
กรอบเวลา มาตรฐานการศึกษาแหง่ ชาตนิ ิวซแี ลนดด์ า้ นการอา่ นและเขียน
หลังจากเรยี น
มาแลว้ ๑ ปี ดา้ นการอา่ น ด้านการเขียน
อา่ นตอบโต้และคิดเชิง เขียนข้อความเองไดจ้ ากเรื่องที่เคย
หลงั จากเรยี น วพิ ากษ์ไดเ้ ก่ียวกบั เรอ่ื ง เรียนจะใชก้ ารเขียนชว่ ยในการคดิ
มาแลว้ ๒ ปี ท่ีอา่ นจากตาราง ทงั้ เรือ่ ง บนั ทกึ และสือ่ สารประสบการณ์
จรงิ และไมใ่ ชเ่ ร่ืองจรงิ ซง่ึ ความคิดและข้อมูลเพือ่ บรรสุจุด
หลงั จากเรียน อยูใ่ นระดบั สเี ขยี วของชุด ประสงค์การเรียนรเู้ ฉพาะท่กี ําหนด
มาแลว้ ๓ ปี หนังสอื Ready to Read ไนระดบั ๑ ของหลักสูตร
ตามหลกั สูตร
อ่านตอบโตแ้ ละคิดเชิง เขยี นขอ้ ความเองได้ตามทีก่ าํ หนด
วพิ ากษไ์ ดเ้ กี่ยวกับเรื่อง ในระดับ ๒ ของหลกั สูตรจะใชก้ าร
ที่อา่ นจากข้อความตา่ งๆ เขยี นช่วยในการคดิ บันทึกและ
ทง้ั ท่ีเป็นเร่ืองจริงและไมใช่ สอื่ สารประสบการณค์ วามคิดและ
เรอ่ื งจรงิ ซงึ่ อย่ใู นระดับที่ ๒ ข้อมลู เพ่ือบรรลจุ ุดประสงคก์ าร
ตามหลักสูตร
เรียนรู้ทห่ี ลกั สตู รกาํ หนด
อา่ นตอบโตแ้ ละคดิ เชงิ เขยี นข้อความข้นึ เองได้ในระดับ
วิพากษ์ได้เกย่ี วกบั เรอื่ งที่ ท่ียากข้นึ เพ่ือมงุ่ ไปสรู่ ะดบั ๒ ของ
อ่านจากข้อความทงั้ ท่ีเป็น หลักสตู รจะใช้การเขยี นช่วยในการ
เรือ่ งจรงิ และไม่ใชเ่ รื่องจรงิ คิดบันทึกและสอื่ สารประสบการณ์
ซงึ่ อยู่ในระดับสีทองของชดุ ความคดิ และข้อมลู เพอ่ื บรรลุจดุ
หนงั สือ Ready to Read ประสงค์การเรียนรู้เฉพาะที่กาํ หนด
ตามหลักสตู ร ไว้ในหลกั สูตร
๑๙๑
กรอบเวลา มาตรฐานการศึกษาแห่งชาตนิ ิวซีแลนด์ดา้ นการอา่ นและเขียน
ภายในสิน้ ปีท่ี ๔
ดา้ นการอ่าน ด้านการเขยี น
ภายในสิ้นท่ปี ี๕
อ่านตอบโต้และคิดเชิงวิพากษ์ได้ เขียนข้อความเองได้ตามท่ีกําหนดใน
เก่ียวกับเรื่องที่อ่านจากข้อความ ระดับ ๒ ของหลักสูตรจะใช้การเขียน
ต่าง ๆ ท้ังท่ีเป็นเร่ืองจริงและไมใช่ ช่ว ยใน ก าร คิดบัน ทึก และ สื่อสาร
เร่ืองจริงซึ่งอยู่ในระดับที่ ๒ ตาม ประสบการณ์ความคิดและข้อมูลเพ่ือ
หลกั สตู ร บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีหลักสูตร
กาํ หนด
อ่านตอบโต้และคิดเชิงวิพากษ์ได้ เขียนข้อความข้นึ เองได้ในระดับยากข้ึน
เก่ียวกับเร่ืองที่อ่านจากข้อความซึ่ง เพื่อก้าวสู่ระดับ ๕ ตามหลักสูตรจะใช้
ยากขึ้นเพ่ือก้าวสู่ระดับ ๓ ตาม การเขียนช่วยในการคิดบันทึกและ
หลักสูตรจะระบุประเมินและบูรณา สื่อสารประสบการณ์ความคิดและ
การสารสนเทศและแนวคิดใน ข้อมลู ต่าง ๆ เพื่อบรรลุจุดประสงค์การ
ข้อความหรือระหว่างข้อความที่ เรียนรู้เฉพาะท่ีกําหนดไว้ในหลักสูตร
ใกล้เคียงกันได้ สร้างข้อสรุปอย่าง ข้อความและงานจะคล้ายกับในช้ันปีท่ี
กว้างและตอบคําถามเพื่อบรรสุ ๖ แต่ช้ันปีที่ ๖ มีมาตรฐานสูงกว่าคือ
จุดมุ่งหมายการเรียนรู้เฉพาะตาม ความถูกต้องและความเร็วในการเขียน
หลักสูตรได้ข้อความและงานจะ ข้อความท่ีหลากหลายข้ึนระดับการ
คล้ายกบั ชั้นปีท่ี ๓ แต่มาตรฐานช้ัน ควบคุมสดลงมีความเป็นอิสระมากขึ้น
ปีท่ี ๖ จะสูงกว่าคือถูกต้องและเร็ว ใ น ก า ร เ ลื อ ก ก ร ะ บ ว น ก า ร แ ล ะ
กวา่ การควบคุมลดลงเปน็ อสิ ระมาก ยทุ ธศาสตรใ์ นการเขียนความกว้างขวาง
ขน้ึ ในการเลือกยทุ ธศาสตร์ท่ีใช้อ่าน ของขอ้ ความท่ีเขยี นจะซับซ้อนกว่าและ
เพ่อื การเรยี นรูแ้ ละความกว้างขวาง มีประสิทธิผลมากกว่าในการเลือก
ของข้อความปลายปีท่ี ๖ จะอ่าน ยทุ ธศาสตร์เพอื่ จดุ ประสงค์ตา่ ง ๆ
ข้อความยากขึ้นใช้เวลาเร็วขึ้นใช้
ยุทธ ธศาสตร์ที่มีประสิทธิผลมาก
ข้นึ
๑๙๒
กรอบเวลา มาตรฐานการศึกษาแห่งชาตินิวซีแลนดด์ า้ นการอา่ นและเขยี น
ภายในสนิ้ ปีท่ี ๖
ดา้ นการอ่าน ดา้ นการเขยี น
อ่านตอบโต้และคิดเชิงวิพากษ์ได้ เขียนข้อความขึ้นเองได้ตามความ
เกี่ยวกับเร่ืองที่อ่านซ่ึงมีข้อความ ต้องการระดับ ๓ ของหลักสูตรจะใช้
ตามความต้องการของระดับ ๓ การเขียนช่วยในการคิดบันทึกและ
ของหลักสูตรแห่งชาติระบุประเมิน ส่ือสารประสบการณ์ความคิดและ
และบูร ณการสารสนเทศและ ข้อมูลเพ่ือบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้
แนวคิดในข้อความหรือระหว่าง เฉพาะท่ีกําหนดในหลักสูตรข้อความ
ข้อความใก ล้เคียง กัน ได้สร้าง และงานจะคล้ายกับชั้นปีที่ ๕ แต่
ข้อสรุปอย่างกว้างและตอบคําถาม มาตรฐานสูงกว่าคือความถูกต้องและ
เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของการ ความเร็วข้อความหลากหลายข้ึน การ
เรียนรู้เฉพาะด้านตามหลักสูตรได้ ควบคุมลดลงเป็นอิสระมากข้ึนในการ
ข้อความและงานจะคล้ายกับในชั้น เลือกกระบวนการและยุทธศาสตร์
ปีท่ี ๕ แต่มาตรฐานของชั้นปีท่ี ๖ ความกว้างขวางของข้อความมากกว่า
สู ง ก ว่ า คื อ ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง แ ล ะ ซบั ซอ้ นกวา่ ละมปี ระสิทธิผลมากกว่า
ความเรว็ ระดบั การควบคมุ ลดลง มี
อิ ส ร ะ ม า ก ข้ึ น ใ น ก า ร เ ลื อ ก
ยุทธศาสตร์การอ่านเพื่อเรียนรู้มี
ค ว า ม ก ว้ า ง ข ว า ง ข อ ง ข้ อ ค ว า ม
มากกว่าโดยเฉพาะในปลายปีท่ี ๖
จะอ่านข้อความที่ยากขึ้นใช้เวลา
เร็วข้ึนและเลือกใช้ยุทธศาสตร์ท่ีมี
ประสทิ ธิผลมากข้ึน
๑๙๓
กรอบเวลา มาตรฐานการศึกษาแหง่ ชาตินิวซแี ลนด์ด้านการอ่านและเขยี น
ภายในส้ินปที ่ี ๗
ด้านการอ่าน ด้านการเขียน
อ่านตอบโต้และคิดเชิงวิพากษ์ได้ เขยี นข้อความข้ึนเองได้ในระดับยากขึ้น
เก่ียวกับเรื่องท่ีอ่านซึ่งมีข้อความท่ี เพอื่ มงุ่ สรู่ ะดับ ๔ ของหลกั สูตรแห่งชาติ
ยากข้ึนเพ่ือก้าวสู่ระดับ ๔ ของ จะใชก้ ารเขียนชว่ ยในการคดิ บันทกึ และ
ห ลั ก สู ต ร ร ะ บุ ป ร ะ เ มิ น แ ล ะ สื่อสารประสบการณ์ความคิดและ
สังเคราะห์สารสนเทศและแนวคิด ขอ้ มลู ต่าง ๆ เพ่ือบรรลุจุดประสงค์การ
ต่างๆในข้อความหรือระหว่าง เรียนรู้เฉพาะที่กําหนดไว้ในหลักสูตร
ข้อความท่ีเหมาะสมกับระดับนี้ได้ ข้อความและงานจะคล้ายกับในช้ันปีท่ี
สร้างข้อสรุปอย่างกว้างและตอบ ๘ แต่มาตรฐานของชั้นปีที่ ๘ จะสูงกว่า
คําถามเพ่ือบรรลุจุดมุ่งหมายการ คือความถูกต้องและฉับไวในการเขียน
เรียนร้เู ฉพาะตามหลักสูตรข้อความ ข้อความที่หลากหลายขึ้น การควบคุม
และงานจะคล้ายกับช้ันปีที่ ๘ แต่ ลดลงและเป็นอิสระมากขึ้น ในการ
มาตรฐาของช้ันปีท่ี ๘ จะสูงกว่าคือ เลือกกระบวนการและยุทธศาสตร์ใน
ความถูกต้องและความเร็วข้อความ การ เขียน ข้อ คว ามก ว้างขวางขึ้น
จากวิซาต่าง ๆ ในหลักสูตร ซึ่ง โดยเฉพาะปลายปีที่ ๘ ต้องสามารถ
หลากหลายกว่าระดับการควบคุม เลือกอย่างมั่นใจและระมัดระวังในการ
ลดลงและเป็นอิสระที่มากข้ึนใน ใช้กระบวนการและยุทธศาสตร์ที่
การเลือกยุทธศาสตร์ในการอ่าน เหมาะสมท่ีสุดสําหรับสาระการเรียนรู้
เ พ่ื อ เ รี ย น รู้ แ ล ะ มั่ น ใ จ แ ล ะ ตา่ ง ๆ
ระมัดระวังในการเลือกยุทธศาสตร์
ที่เหมาะสมท่ีสุดในการอ่านสาระ
การเรียนรตู้ ่าง ๆ ในชั้นปีที่ ๘
๑๙๔
กรอบเวลา มาตรฐานการศึกษาแหง่ ชาตินิวซีแลนดด์ า้ นการอ่านและเขียน
ภายในสน้ิ ปีที่ ๘
ดา้ นการอ่าน ดา้ นการเขียน
อ่านตอบโต้และคิดเชิงวิพากษ์ได้ เขียนข้อความต่าง ๆ เองได้ในระดับ ๔
เก่ียวกับเรื่องท่ีอ่านซึ่งมีข้อความที่ ของหลักสูตรแห่งชาติจะใช้การเขียน
กําหนดในระดับ ๔ ของหลักสูตร ช่ว ยใน ก าร คิดบัน ทึก และ สื่อสาร
แห่งชาติจะ ระ บุปร ะเมินและ ประสบการณค์ วามคิดและข้อมูลต่าง ๆ
สังเคราะห์สารสนเทศและแนวคิด เพื่อ บรร ลุจุดปร ะสง ค์การเรี ยน รู้
ต่าง ๆ ในข้อความหรือระหว่าง เฉพาะที่กําหนดไว้ในหลักสูตรข้อความ
ข้อความท่ีเหมาะสมกับระดับนี้ได้ และงานจะคล้ายกับในช้ันปีท่ี ๗ แต่
สร้างข้อสรุปอย่างกว้างและตอบ มาตรฐานชั้นปีที่ ๘ จะสูงกว่าคือความ
คําถามเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของ ถกู ต้องและฉับไวในการเขียนข้อความที่
การเรียนรู้เฉพาะตามหลักสูตร หลากหลายขึ้นการควบคุมลดลงเป็น
ข้อความและงานจะคล้ายกับในช้ัน อิสระมากขึ้นในการเลือกกระบวนการ
ปีท่ี ๗ แต่มาตรฐานของช้ันปีที่ ๘ แล ะ ยุ ทธ ศา สต ร์ ก าร เขี ยน คว า ม
จะสงู กว่า คอื ความถูกต้องความเร็ว ก ว้ า ง ข ว า ง ข อ ง ข้ อ ค ว า ม ที่ เ ขี ย น
ข้อความหลากหลายจากวิชาใน โดยเฉพาะปลายปีที่ ๘ ต้องสามารถ
หลักสูตรควบคุมน้อยลงอิสระมาก เลือกได้อย่างมั่นใจและระมัดระวังใน
ขน้ึ ในการเลือกยุทธศาสตร์การอ่าน การใชก้ ระบวนการและยทุ ธศาสตร์การ
เพื่อการเรียนรู้มน่ั ใจและระมัดระวัง เขียนท่ีเหมาะสมที่สุดสําหรับสาระการ
ในการเลอื กยุทธศาสตร์ท่ีเหมาะสม เรียนรตู้ ่าง ๆ
ท่ีสุดในการอ่านสาระการเรียนรู้
ตา่ ง ๆ
๑๙๕
มาตรฐานการศกึ ษาแห่งชาติสาํ หรับช้ันปที ี่ ๑-๘ ด้านคณติ ศาสตร์ และด้านการอ่านการเขียน
ได้เร่ิมนาํ มาใช้กับเดก็ ทเ่ี รียนในหลักสตู รภาษาอังกฤษทว่ั ประเทศนวิ ซีแลนด์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๑๐
การประเมนิ มาตรฐานคณิตศาสตร์และการอ่าน-การเขยี น ชัน้ ปีที่ ๑-๘
ข้อมลู ใน The New Zealand Curriculum Online (http://nzcurriculum.
tki.org.nz/National-Standards/Key-information/Questions-and-answers) ร ะ บุ ว่ า ก า ร
ประเมินมาตรฐานแห่งชาติด้านคณิตศาสตร์และด้านการอ่านการเขียนของนักเรียนช้ันปีท่ี ๑-๘ เน้น
การประเมินระหว่างเรียนโดยครู ผู้สอนซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแนวทางการประเมินและเน้ือหาที่
กาํ หนดไวใ้ นมาตรฐานแหง่ ชาติ และใหค้ รรู ายงานผลการประเมินแกผ่ ู้ปกครองนักเรียนปีละอย่างน้อย
๒ คร้ัง และต่อคณะกรรมการเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาปีละ ๑ ครงั้ และไม่นําข้อสอบมาตรฐานระดับชาติมา
ใช้ (The implementation ofNational Standards in year ๑ to ๘ will not involve the
Introductionof nationally-standardised testing.) เครื่องมือท่ีสําคัญ คือ รายงานผลการเยน
คณิตศาสตและการอ่านเขียน ซังเรยกว่า Overall Teachers Judgment หรือ OT! ซึ่งโรงเรียนจะ
กาํ หนดใหค้ รทู าํ เพ่ือรายงานผ้ปู กครองและนกั เรียนแต่ละคน ปลี ะไมน่ ้อยกว่า ๒ ครั้ง ในการเรียนการ
สอนชัน้ ปที ่ี ๑-๘และจะต้องรายงานสรุปต่อคณะกรรมการการศกึ ษาของเขตพ้ืนท่ีปีละ ๑ คร้ัง และถ้า
ครูหรือโรงเรยี นตอ้ งการจะทดสอบความรคู้ วามเข้าใจของนักเรียนว่าเป็นไป ตามมาตรฐานระดับชาติ
หรอื ไม่ ก็สามารถเลือกแบบทดสอบตา่ ง ๆ ไดจ้ ากเวบ็ ไซต์ของกระทรวงศึกษาธกิ าร
รปู แบบใหมใ่ นการประเมนิ คณุ สมบตั ิผู้สาํ เรจ็ มัธยมศึกษา
เพื่อยกระดับผลสัมฤทธขิ์ องนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หน่วยงานประกันคุณภาพ
คอื New Zealand Qualifications Authority (NZOA) ไดป้ รับปรงุ ระบบประเมินคุณสมบัติผู้สําเร็จ
การศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษา เรียกว่า The National Certificateนักเรียนระดับมัธยมปลาย
(ช้ันปีที่ ๑๑-๑๓) จะได้รับการรับรองจากระดับชาติหรือไม่ข้ึนอยู่กับผลการสอบวัดมาตรฐาน
ระดับชาติตามกรอบคุณสมบัติแห่งชาติ เรียกว่า The National Qualification Framework (NQF)
โตยสมัครสอบผ่านทางโรงเรียนและเข้าสอบที่สนามสอบต่าง ๆซ่ึงส่วนกลางเป็นผู้จัดสอบเรียกการ
สอบน้ีว่า The National Certificate of Educational Achievement (NCEA) ประกาศนียบัตรใน
รูปแบบใหม่น้ีใช้แทนประกาศนียบัตรที่เคยออกให้โดยโรงเรียน (School Certificate)การสอบเข้า
มหาวิทยาลัย (University Entrance) ประกาศนียบัตรฟอร์ม ๖ (Sixth Form Certification) และ
การสอบเพอ่ื ขอรับทนุ การศึกษาจากมหาวทยาลย (University Bursary)
๑๙๖
นักเรียนช้ันปีที่ ๑๑-๑๓ สามารถย่ืนขอรับการประเมินเพ่ือขอประกาศนียบัตร NCEA โดย
สมัครผ่านโรงเรียนที่กําลังศึกษาอยู่ ค่าสมัครปีละ ๗๕ เหรียญต่อคน สมัครแล้วจะได้รหัสประจําตัว
เรียกว่า NSN (National Student Number) เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ NZOA ซึ่งจะแจ้งข้อมูลให้ทราบ
กาํ หนดการวธิ กี าร และผลการประเมินเปน็ ระยะ ๆ บางมาตรฐานพิจารณาได้จากผลการประเมินโดย
โรงเรียน บางมาตรฐานต้องสอบวัดความรู้เมื่อส้ินปีการศึกษาและการจัดสอบของศูนย์สอบ NZQA
บางมาตรฐานประเมนิ จากแฟมู สะสมผลงานเช่น มาตรฐานของวชิ าเทคโนโลยี และวิชาทัศนศิลป์ เป็น
ต้นระดับผลสมั ฤทธิท์ างการศกึ ษาระดับชาติ (NCEA) มี ๓ ระดับ ระดับที่ ๑เทียบเท่ามาตรฐานความรู้
ตามหลักสูตรช้ันปีที่ ๑๑ ระดับที่ ๒ เทียบเท่ามาตรฐานหลักสูตรชั้นปีท่ี ๑๒ และระดับที่ ๓ เทียบเท่า
มาตรฐานหลักสูตรชั้นปีท่ี ๑๓ (Under-standing NCEA, NZQA Booklet.)
ระบบคณุ สมบตั แิ ห่งชาตริ ะดบั อุดมศึกษา อาชวี ศกึ ษา และวิชาชีพครู
ประเทศนิวซีแลนด์มีระบบคุณสมบัติระตับชาติ (National Qualification System) ซึ่งรับ
แนวคิดมาจากระบบสภาอาชวี ศกึ ษาของสก็อตแลนดเ์ นน้ ๓ ดา้ น คือ การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
การประเมินแบบองิ เกณฑ์และการเนน้ ผลลัพธ์การเรียนรู้ สถาบันอดุ มศกึ ษา จะต้องจดั ทาํ รายละเอียด
หลักสูตรและคุณสมบัติของผู้จบการศึกษา เสนอต่อองค์กรท่ี NZOAมอบหมาย คือ Quality
Assurance Body (QAB) และหลังจากได้รับการรับรอง จึงจะสามารถจัดการศึกษาได้ และจะถูก
ตรวจสอบโดยหน่วยงานผู้ประเมิน ทั้งนี้ โรงเรียนมัธยมศึกษา องค์กร์ฝึกอบรมทางอุตสาหกรรม
วานังกะ องค์กรฝึกอบรมของรัฐสถาบันฝึกอบรมของเอกชน โปลีเทคนิคระดับปริญญาตรี และ
วทิ ยาลัยวิชาการศึกษาระดับปรญิ ญาตรหี รอื สงู กวา่
๑๙๗
มาตรฐานการศกึ ษาของประเทศในภมู ภิ าคเอเชยี
ในบทน้ี เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาระดับชาติของประเทศใน
ภูมิภาคเอเชีย ที่มีมาตรฐานสูงจํานวน ๕ ประเทศ ได้แก่ ญ่ีปุน สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐ
ประชาชนจีน สาธารณรัฐสิงคโปร์ และสหพันธรัฐมาเลเซียในประเด็นเก่ียวกับ (๑) ระบบการศึกษา
(๒) โครงสรา้ งการบริหารการศกึ ษา (๓) มาตรฐานการศึกษาของชาติ
๑๙๘
๙.๑๒ การพัฒนามาตรฐานการศกึ ษาของญีป่ ่นุ
ประเทศญ่ปี ุนเปน็ หมเู่ กาะท่มี ีจาํ นวนมากกวา่ ๓,๐๐๐ เกาะ ประชากรอายุยืนยาวทสี่ ุประเทศ
หน่งึ ในโลกสัดส่วนของประชากรอายุสูงกว่า ๖๕ ปี มีมากถึง ๑ ใน ๔ ถึงแม้จะได้รับความบอชํ้าเป็น
อย่างมากจากสงครามโลกครั้งท่ี ๒ แตป่ ระเทศญป่ี นุ ก็สามารถฟ้นื ตวั ได้อยา่ งรวดเร็วเพราะปจั จัยหลาย
ประการ อาจกล่าวได้ว่า ระบบการศึกษาเป็นตัวแปรสําคัญอย่างย่ิงต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ
การเมอื ง และสงั คมของญ่ปี ุน
๑๙๙
๑. ระบบการศึกษาและการบริหารการศกึ ษา
ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ประเทศญี่ปุนได้ปฏิรูปการศึกษาเพ่ือเตรียมสู่ศตวรรษท่ี ๒๑ โดยมองว่า
ผลิตผลของการศึกษายังขาดความคิดริเร่มิ สรา้ งสรรคแ์ ละขาดความเปน็ ตัวของตัวเอง ไม่เป็นสากล ไม่
ยืดหยุ่น มีการแข่งขันที่รุนแรงในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยช้ันนํา การเตรียมคนเข้าสู่สังคมยุค
ขอ้ มูลข่าวสารตอ้ งให้รจู้ ักเลือกสรรข้อมลู และมคี วามสามารถในการใช้เทคโนโลยีจึงมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น
รายบุคคล ให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและสามารถปรับตัวสู่ศตวรรษท่ี ๒๑ ตามมาตรการที่กําหนด
อย่างเป็นรูปธรรมเพ่ือปฏิรูปการศึกษาและในปี พ.ศ.๒๕๔๙ (๒๐๐๖) กฎหมายแม่บทการศึกษาถูก
ปรับปรุงแก้ไข (มาตรา ๒) ให้ยึดหลักการ ๕ ประการ คือ ๑) เสริมสร้างความใฝุรู้ความมีวัฒนธรรม
รจู้ กั แสวงหาความจริง มีความรู้สึกไวต่อสิ่งต่างมีจริยธรรม และมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ๒) พัฒนา
ความสามารถทุกดา้ นให้เห็นคณุ ค่าของคนแต่ละคน ปลูกฝังความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ เสริมสร้างความ
เป็นตัวของตัวเองและความสามารถพ่ึงตนเอง เสริมสร้างเจตคติเชิงบวกต่อการทํางาน และ
ความสัมพันธ์ของงานกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต ๓) เสริมสร้างค่านิยมเรื่องความยุติธรรม ความ
รบั ผิดชอบ ความเสมอภาคระหว่างเพศชายหญิง ความเคารพและร่วมมือกัน มุ่งม่ันทํางานและมีจิต
สาธารณะ เพ่อื สรา้ งสรรคแ์ ละพัฒนาสงั คม ๔) :เสรมิ สร้างความรกั ชวี ิต
นอกจากนี้ กฎหมายแม่บทการศกึ ษา ไดบ้ ญั ญตั ิจดุ มุ่งหมายการศึกษาของประเทศญี่ปุนไว้ ๓
ประการ คอื ๑)เพือ่ พฒั นาคนให้มีความเฉลยี วฉลาดมคี ุณธรรม และมีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่แข็งแรง
อย่างสมดุล สามารถพ่งึ ตนเอง และรู้จักแสวงหาสัจการแห่งตนได้ตลอดชีวิต ๒) เพื่อพัฒนาพลเมืองท่ี
เคารพและรับผิดชอบต่อหน้าท่ีทางสังคม และมีจิตอาสาท่ีจะร่วมสร้างสรรค์สังคมและประเทศชาติ
และ ๓) เพื่อพัฒนาคนญี่ปุนที่มีส่วนร่วมในสังคมนานาชาติ มีความเคารพ รัก ประเพณี และ
วฒั นธรรมญี่ปุนเช่นเดยี วกับประเพณีและวัฒนธรรมของประเทศอนื่ ๆ
ระบบการศึกษาในปัจจุบัน ประกอบด้วยการศึกษาระดับประถม ๖ ปีมัธยมศึกษาตอนต้น ๓
ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย ๓ ปี และอุดมศึกษา ระดับปริญญาตรี ๔ ปี และระดับบัณฑิตศึกษา มี
โรงเรียนการศกึ ษาพเิ ศษสําหรบั เดก็ พกิ ารการศกึ ษาภาคบงั คับ ๙ ปี ต้งั แตป่ ระถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา
ตอนตนั
ระดับปฐมวัย จัดในศูนย์ดูแลเด็ก และโรงเรียนอนุบาล โดยการศึกษาในศูนย์ดูแลเด็ก เป็น
สวัสดกิ ารทางสังคม รบั เดก็ ตง้ั แต่ ๐ ถงึ ๖ ปี อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ส่วน
โรงเรียนอนุบาลอาจจะจัดแบบ ๑, ๒ หรือ ๓ ปี ตั้งแต่เด็กมีอายุ ๓ ถึง ๖ ขวบ ใช้หลักสูตร ของ
กระทรวงศกึ ษาธิการ
โรงเรยี นประถมศึกษา และโรงเรยี นมัธยมศึกษาตอนตน้ เป็นการศึกษาภาคบังคับ กําหนดให้
รัฐบาลท้องถ่ินมีอํานาจในการบริหารจัดการโดยใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ จัดการด้านบุ
๒๐๐
คลาก อ๓คาร สถานท่ี ส่ือและอุปกรณ์การศึกษาตามเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายแสะกฎกระทรวง
กําหนดเป็นการศกึ ษาแบบใหเ้ ปลา่ ใหต้ าํ ราเรยี นฟรที ง้ั เด็กในโรงเรยี นของรฐั บาลและโรงเรียน สําหรับ
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แบ่งออกเป็นสายสามัญสายอาชีพและแบบผสม (Comprehensive
Courses) นอกจากน้ี มีวทิ ยาลัยเทคนคิ มีโรงเรียนฝกึ อบรมเฉพาะด้าน (Special Training Schools)
และโรงเรียนเบ็ดเตลด็ (Miscellaneous Schools) ฝกึ อาชีพหรอื สอนวิซาการระดับมัธยมศึกษาตอน
ปลาย ในระดับอุดมศึกษา มีมหาวทิ ยาลยั วทิ ยาลยั ทั่วไป วทิ ยาลยั เทคนิค นอกจากนั้น ยังมีการศึกษา
พิเศษเริ่มจากประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย สําหรับเด็กพิการทงสายตา ทางหู เป็นภา ค
บังคับในชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ถึงมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ มาต้งั แต่หลงั สงู ครามโลกครั้งที่สอง
ระบบบริหารการศกึ ษา
โครงสร้างระบบบริหารการศึกษาของญ่ีปุน แบ่งเป็นส่วนกลาง และส่วนท้องถ่ิน ในส่วน
ทอ้ งถนิ่ แบง่ ออกเปน็ ระดบั จังหวดั (สงู กว่าเทศบาล)และระดับเทศบาล สรุปได้ดังน้ี
๑. ระบบบริหารการศึกษาโดยส่วนกลาง มกี ระทรวงการศึกษาวัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี (Ministry of Education,Culture, Sports, Science and Technology (MEXT)
รับผิดชอบการดําเนินงานตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง อํานาจหน้าท่ีที่สําคัญ
แบ่งเป็น ๕ ด้าน คือ ๑) ดา้ นการบรหิ ารการศึกษาโดยภาพรวมสํารวจและวางแผนส่งเสริมการศึกษา
วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และจัดพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เชิงเทคนิคเก่ียวกับเรื่อง
เหล่านี้
๒) ด้านการศึกษาในระบบโรงเรียนวางแผน ลงเสริม และใหค้ าํ แนะนาํ ปรึกษาเพอ่ื การประถศึกษาและ
มัธยมศึกษากําหนดมาตรฐานการประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และกําหนดหลักสูตรระดับ
ประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษา(เป็นหลักสูตรแกนกลาง เรียกว่า Course of Study) อนุมัติตําราเรียน
แจกตําราเรียนแบบให้เปล่ากับโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น (ภาคบังคับ) ท้ัง
โรงเรียนของรัฐและเอกชน แนะแนวและนิเทศการจัดการของมหาวิทยาลัยและวิทยาสัยเทคนิค ๓)
ด้านการบรหิ ารการศึกษาในระดบั ทอ้ งถิน่ วางแผนที่เก่ยี วขอ้ งกับการบริหารการศึกษาในระดับท้องถิ่น
แนะแนว ให้คําแนะนํา และให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เก่ียวกับการจัดองค์การ และการจัดการของการ
บริหารการ ศึกษาในระดับท้องถ่ิน๔) ด้านการบริหารการศึกษานานาซาติการแลกเปล่ียนการศึกษา
ระหว่างประเทศ ความร่วมมือระหว่างประเทศการศึกษาของเด็กญ่ีปุนที่กลับจากต่างประเทศ
การศกึ ษาสําหรับชาวต่างชาตใิ นญีป่ ุนและ ๕) ดา้ นการจัดองคก์ ารภายในของกระทรวงการศกึ ษาฯ
๒๐๑
๒. ระบบบรหิ ารการศึกษาโดยสว่ นทอ้ งถิ่น แบ่งเปน็ ๒ ระดับ คือ
(๑)ในระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการและคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด เป็น
ผู้รบั ผิดชอบการบรหิ ารการศึกษา
(๒) ระดบั เทศบาลมนี ายกเทศมนตรีและคณะกรรมการการศึกษเทศบาลรับผิดชอบ
ในแต่ละระดับมีคณะกรรมการของท้องถ่ินหลายคณะ (local assemblies) เข้ามามีส่วนร่วมในการ
บรหิ ารจัดการศึกษา
๒. มาตรฐานการศกึ ษาของชาติ
๒.๑ มาตรฐานการเรยี นรกู้ ารศกึ ษาภาคบงั คับ
ประเทศญี่ปุนให้ความสําคัญกับมาตรฐานการเรียนรู้ของการศึกษาภาคบังคับมา
ตลอดเพราะตระหนักว่าเป็นการศึกษาสําหรับปวงชน พ่อแม่ต้องส่งลูกเข้าเรียนเม่ือถึงเกณฑ์ท่ี
กฎหมายบังคับและหลังสงครามโลกคร้ังที่สองจนปัจจุบัน การศึกษาภาคบังคับ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญหลักสูตรแกนกลาง (Course of Study) ของประเทศญี่ปุน ฉบับปี
ค.ศ.๒๐๐๘ แสดงว่า มีการกําหนดมาตรฐานไว้ในหลักสูตรหลายรูปแบบ เมื่อพิจารณาหลักสูตร
ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนตัน พบว่ามีรายละเอียดที่สะท้อนมาตรฐานการศึกษาของชาติ
สําหรับการศึกษาภาคบังคับ ดังนี้
๑) วิสยั ทัศน์ คอื มุ่งความสมบูรณท์ กุ ด้านของแต่ละบคุ คล มีความรู้คู่คุณธรรม และมีสุขภาพ
แข็งแรง ดํารงชีวิตอย่างเป็นสขุ ในสังคมประชาธิปไตยที่มีสนั ติภาพ
๒) ค่านิยมท่พี งึ ประสงค์ คอื ความยุติธรรมและรับผิดชอบ ความเสมอภาคระหว่างชายหญิง
รักบา้ นเกิด ร่วมมอื กับชุมชน มีจิตสาธารณะรักชีวิต รักธรรมชาติอนุรักษ์ส่ิงแวดส้อมเคารพประเพณี
ดงั้ เดิม รกั ชาตแิ ละถิน่ เกดิ ยอมรบั ประเทศอื่น อาสาสร้างสนั ตภิ าพและความเจรญิ ให้สังคมโลก
๓) สมรรถนะหลกั คือ มีความรูก้ ว้างขวาง พึง่ ตนเองไดแ้ ละสามารถพัฒนาตนเอง มีส่วนร่วม
สร้างสรรค์ชุมชน มสี มรรถนะพ้ืนฐานในการแสวงหาความรู้ มคี วามถนัดเฉพาะทาง มคี วามสามารถใน
การตัดสนิ ใจ ไฝรุ ู้ไผ่เรยี นมสี ขุ ภาพดีทง้ั ใจและกายมคี วามสามารถในการดูแลตนเอง
๔) โครงสร้างหลักสูตรและโครงสร้างเวลาเรียน ระดับประถมศึกษาแบ่งเป็นรายวิชา
(subjects) คือ ภาษาญ่ีปุน สังคมศึกษา เลขคณิตวิทยาศาสตร์ การดํารงชีวิต ดนตรี วาดเขียนและ
งานประดิษฐ์ คหกรรมสุขศึกษาและพลศึกษา และไม่ใช่รายวิชา (non subjects) ได้แก่ กิจกรรม
พิเศษจรยิ ศึกษา และชวั่ โมงการเรียนรู้แบบบูรณาการใช้เวลาเรียนโดยรวมปีละ ๘๕๐, ๙๑๐, ๙๔๕,
๙๘๐ , ๙๘๐ และ ๙๘๐ คา ตามลําดับค่าบละ๔๕ บาที วิชาสังคบศึกนาและวิชาวิทยาศสตร์ให้เรีง
แเสยี บใบช้บี ประถมศึกษาปีท่ี ๓ แทนวิชาการดํารงชีวิตที่ให้เรียนมาต้ังแต่ประถมศึกษาปีที่ ๑และ ๒
๒๐๒
สว่ นวิชาคหกรรมและกิจกรรมภาษาต่งประเทศ ให้เรมิ่ เรียนและทํากิจกรรม ในช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕
ถึงประถมศึกษาปีท่ี ๖ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นภาคบังคับตอนปลาย ให้เรียนรายวิชา
ภาษาญี่ปุน สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดนตรี วิจิตรศิลป์ สุขศึกษาและพลศึกษา
เทคโนโลยีและคหกรรม และ ภาษาต่างประเทศ และท่ีไม่ใช่รายวิชา คือ จริยศึกษา กิจกรรมพิเศษ
และช่วั โมงการเรยี นรู้แบบบูรณาการมีเวลาเรียนโดยรวม ปีละ ๑,๐๑๕ คาบ เท่ากันทั้ง ๓ ปี คาบละ
๕๐ นาทีกิจกรรมพิเศษ ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ให้จัดปีละ ๓๕ คาบ (ป.๑ จัด
๓๔ คาบ) ประกอบด้วย กิจกรรมชั้นเรียน กิจกรรมสภานักเรียน กิจกรรมชมรม (เฉพาะ ป.๔-๕)
กจิ กรรม/งาน/โครงการของโรงเรียน (School Events) ซึ่งมี ๕ ลักษณะ คือ ๑) งานพิธีการ ๒) งาน
วฒั นธรรม ๓) งานเสริมสขุ ภาพ ความปลอดภัย และการกีฬา ๔) การเดินทางไกลและเข้าค่ายพักแรม
๕) งานผลิตและบริการกิจกรรมภาษาต่างประเทศให้จัดเฉพาะในชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔, ๕และ ๖
ส่วนชั่วโมงการเรียนรแู้ บบบูรณาการ ใหจ้ ัดทกุ ชนั้ ปี เรม่ิ ต้ังแต่ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๓
๒.๒ มาตรฐานการเรียนรู้รายวิชาในระดับประถมศกึ ษาและมธั ยมศึกษาตอนต้น
วชิ าภาษาญีป่ นุ่ กาํ หนดจุดมุ่งหมาย ๖ ประการ ได้แก่ ๑) พัฒนาความสามารถในการแสดง
ความคิดและการเข้าใจความคิดของผู้อื่นอย่างละเอียดโดยใช้ภาษาญ่ีปุน ๒) พัฒนาความสามารถใน
กรสื่อสาร ๓) พัฒนาความสามารถในการคดิ และจินตนาการ ๔) ปรับปรุงความรู้สึกด้านภาษา๕) เพิ่ม
ความสนใจภาษาญ่ีปุนให้ลึกซึ้งมากข้ึน ๖) ปลูกฝังให้เคารพภาษาญี่ปุนเนื้อหามี ๓ ด้าน คือ ด้านการ
พูดและฟัง ด้านการเขียน และด้านการอ่าน ระดับประถมศึกษา เรียน ๑,๔๖๑ คาบ ระดับมัธยม
ตอนตน้ เรียน ๓๘๕ คาบ
วิชาสังคมศึกษา มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เข้าใจชีวิตสังคมญ่ีปุนและโลกเป็นพลเมืองดี เป็น
ประชาชนทสี่ รา้ งประเทศและสังคมท่ีมีสันติภาพและเป็นประชาธิปไตย ในระดับประถมศึกษา มุ่งให้
เขา้ ใจชีวิตในสังคม เขา้ ใจลึกซึ้งขน้ึ เกี่ยวกบั ประเทศญ่ีปุนและประวัติศาสตร์ญ่ีปุน ปลูกฝังพ้ืนฐานของ
การเป็นพลเมืองดี และเป็นประชาชนคุณภาพที่สร้างประเทศและสังคมแห่งสันติภาพและ
ประชาธิปไตย ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมุ่งให้สนใจสังคม เข้าใจสังคมมากข้ึน รักประเทศและ
ประวัติศาสตร์ญี่ปุนและได้รับการปลูกฝังต่อเพื่อให้เป็นพลเมืองดี เป็นประชาซนคุณภาพที่สร้าง
ประเทศและสังคมสนั ตภิ าพและสังคมประชาธิปไตย ใช้เวลาเรียนระดับประถมศึกษา ๓๗๕ คาบ ใน
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๓, ๔, ๕ และ ๖ ปีละ๗๐, ๙๐, ๑๐๐ และ ๑๐๕ คาบ ตามลําดับ ส่วนในระดับ
มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เรยี นปลี ะ ๑๐๕ คาบ ในช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑ และ ๒ แล้วให้เรียน ๑๔๐ คาบใน
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓
๒๐๓
วชิ าคณติ ศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและมีเจตคติที่ดีด้านคณิตศาสตร์
สามารถใช้ประโยชน์จากคณิตศาสตร์ท้ังในชีวิตประจําวัน การคิดและการตัดสินใจในระดับ
ประถมศึกษา มุ่งให้มีความรู้และทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตมี
ความสามารถด้านการคิด การตัดสินใจ การแสดงออก ซึ่งจําเป็นในการแก้ปัญหา พัฒนาเจตคติ
สําหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองรู้และมีทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเลข จํานวน รูปทรงเรขาคณิต รู้จักใช้
มุมมองท่ีดีมเี หตุผล สนุกกบั กจิ กรรมคณิตศาสตร์ ชืน่ ชมและเหน็ คุณค่าของวธิ ีการทางคณิตศาสตร์เต็ม
ใจใช้คณิตศาสตร์เพื่อประโยชน์ในชีวิตประจําวันและในการเรียนรู้ในหลักสูตรหลายรูปแบบ เมื่อ
พิจารณาหลักสูตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่ามีรายละเอียดท่ีสะท้อนมาตรฐาน
การศึกษาของชาตสิ ําหรบั การศึกษาภาคบังคบั ดังน้ี
๑) วิสยั ทศั น์ คอื ม่งุ ความสมบรู ณ์ทุกด้านของแตล่ ะบคุ คล มีความรู้คู่คุณธรรม และมีสุขภาพ
แข็งแรง ดาํ รงชวี ติ อย่างเปน็ สุขในสังคมประชาธปิ ไตยท่มี ีสันตภิ าพ
๒) ค่านยิ มทพ่ี งึ ประสงค์ คอื ความยุติธรรมและรับผิดชอบ ความเสมอภาคระหว่างชายหญิง
รักบา้ นเกิด รว่ มมอื กับชมุ ชน มีจิตสาธารณะรักชีวิต รักธรรมชาติอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมเคารพประเพณี
ด้ังเดมิ รกั ชาติและถิ่นเกิด ยอมรบั ประเทศอน่ื อาสาสรา้ งสันตภิ าพและความเจรญิ ใหส้ งั คมโลก
๓) สมรรถนะหลัก คือ มีความรูก้ ว้างขวาง พ่ึงตนเองได้และสามารถพัฒนาตนเอง มีส่วนร่วม
สร้างสรรค์ชุมชน มสี มรรถนะพ้ืนฐานในการแสวงหาความรู้ มคี วามฤนัดเฉพาะทาง มคี วามสามารถใน
การตดั สนิ ใจ ใฝุรไู้ ผเ่ รยี นมสี ขุ ภาพดีทงั้ ใจและกายมคี วามสามารถในการดูแลตนเอง
๔) โครงสร้างหลักสูตรและโครงสร้างเวลาเรียน ระดับประถมศึกษาแบ่งเป็นรายวิชา
(subjects) คือ ภาษาญ่ีปุน สังคมศึกษา เลขคณิตวิทยาศาสตร์ การดํารงชีวิต ดนตรี วาดเขียนและ
งานประดิษฐ์ คหกรรมสุขศึกษาและพลศึกษา และไม่ใช่รายวิชา (non subjects) ได้แก่ กิจกรรม
พิเศษจริย ศึกษา และชั่วโมงการเรียนรู้แบบบูรณากรใช้เวลาเรียนโดยรวม ทํากิจกรรม ในช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ ๕ ถึงประถมศึกษาปีท่ี ๖ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซ่ึเป็นภาคบังคับตอนปลาย
ใหเ้ รียนรายวชิ า ภาษาญ่ีปุน สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดนตรี วิจิตรศิลปั สุขศึกษาและ
พลศึกษา เทคโนโลยีและคหกรรม และ ภาษาต่างประเทศ และที่ไม่ใช่รายวิชา คือ จริยศึกษา
กิจกรรมพิเศษ และชว่ั โมงการเรยี นรู้แบบบูรณาการมีเวลาเรียนโดยรวม ปลี ะ ๑,๐๑๕ คาบ เท่ากันท้ัง
๓ ปี คาบละ ๕๐ นาทีกิจกรรมพเิ ศษ ระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ให้จัดปีละ ๓๕ คาบ
(ป.๑ จดั ๓๔ คาบ) ประกอบด้วย กิจกรรมชั้นเรียน กิจกรรมสภานักเรียน กิจกรรมชมรม (เฉพาะ ป.
๔-๕) กิจกรรม/งาน/โครงการของโรงเรียน (School Events) ซ่ึงมี ๕ ลักษณะ คือ ๑) งานพิธีการ ๒)
งานวัฒนธรรม ๓) งานเสรมิ สุขภาพ ความปลอดภัย และการกฬี า ๔) การเดินทางไกลและเข้าค่ายพัก
๒๐๔
แรม ๕) งานผลติ และบริการกจิ กรรมภาษาต่างประเทศให้จัดเฉพาะในช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔, ๕และ
๖ ส่วนช่วั โมงการเรยี นรูแ้ บบบรู ณาการ ใหจ้ ดั ทุกช้นั ปี เริ่มตัง้ แต่ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๓
๒.๒ มาตรฐานการเรียนรรู้ ายวชิ าในระดับประถมศึกษาและมธั ยมศึกษาตอนตน้
วิชาภาษาญ่ปี ุน่ กําหนดจดุ มุ่งหมาย ๖ ประการ ได้แก่ ๑) พัฒนาความสามารถในการแสดง
ความคดิ และการเข้าใจความคิดของผู้อื่นอย่างละเอียดโดยใช้ภาษาญี่ปุน ๒) พัฒนาความสามารถใน
การสื่อสาร ๓) พัฒนาความสามารถในการคิดและจินตนาการ ๔) ปรับปรุงความรู้สึกด้านภาษา๕)
เพิ่มความสนใจภาษาญปี่ นุ ใหล้ ึกซ้ึงมากขึ้น ๖) ปลูกฝังให้เคารพภาษาญี่ปุนเนื้อหามี ๓ ด้าน คือ ด้าน
การพูดและฟงั ด้านการเขียน และด้านการอ่าน ระดับประถมศึกษา เรียน ๑,๔๖๑ คาบ ระดับมัธยม
ตอนต้นเรียน ๓๘๕ คาบ
วิชาสังคมศึกษา มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้เข้าใจชีวิตสังคมญ่ีปุนและโลกเป็นพลเมืองดี เป็น
ประชาชนทส่ี ร้างประเทศและสังคมที่มีสันติภาพและเป็นประชาธิปไตย ในระดับประถมศึกษา มุ่งให้
เขา้ ใจชีวิตในสังคม เขา้ ใจลกึ ซึ้งขึ้นเก่ียวกบั ประเทศญี่ปุนและประวัติศาสตร์ญี่ปุน ปลูกฝังพ้ืนฐานของ
การเป็นพลเมืองดี และเป็นประชาชนคุณภาพท่ีสร้างประเทศและสังคมแห่งสันติภาพและ
ประชาธิปไตย ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมุ่งให้สนใจสังคม เข้าใจสังคมมากขึ้น รักประเทศและ
ประวัติศาสตร์ญ่ีปุนและได้รับการปลูกฝังต่อเพื่อให้เป็นพลเมืองดี เป็นประซาซนคุณภาพที่สร้าง
ประเทศและสังคมสนั ตภิ าพและสังคมประชาธิปไตย ใช้เวลาเรียนระดับประถมศึกษา ๓๗๕ คาบ ใน
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๓, ๔, ๕ และ ๖ ปีละ๗๐, ๙๐, ๑๐๐ และ ๑๐๕ คาบ ตามลําดับ ส่วนในระดับ
มัธยมศึกษาตอนตน้ เรยี นปลี ะ ๑๐๕ คาบ ในช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ และ ๒ แล้วให้เรียน ๑๔๐ คาบใน
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓
วชิ าคณติ ศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและมีเจตคติที่ดีด้านคณิตศาสตร์
สามารถใช้ประโยชน์จากคณิตศาสตร์ทั้งในชีวิตประจําวัน การคิดและการตัดสินใจในระดับ
ประถมศึกษา มุ่งให้มีความรู้และทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ เพ่ือพัฒนาสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตมี
ความสามารถด้านการคิด การตัดสินใจ การแสดงออก ซึ่งจําเป็นในการแก้ปัญหา พัฒนาเจตคติ
สําหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองรู้และมีทักษะพ้ืนฐานเกี่ยวกับตัวเลข จํานวน รูปทรงเรขาคณิต รู้จักใช้
มมุ มองท่ดี มี ีเหตุผล สนกุ กับกิจกรรมคณิตศาสตร์ ชน่ื ชมและเหน็ คุณคา่ ของวิธีการทางคณิตศาสตร์เต็ม
ใจใชค้ ณติ ศาสตร์เพ่ือประโยชน์ในชีวิตประจําวันและในการเรียนรู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมุ่งใช้
กจิ กรรมคณติ ศาสตร์ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจลึกซ้งึ ข้ึนเกี่ยวกับความคดิ รวบยอด หลักการ และกฎเกณฑ์เก่ียวกับ
ตัวเลข ปริมาณและไดอะแกรม รู้วิธีนําเสนอและจัดการทางคณิตศาสตร์ สามารถคิดและแสดงออก
ด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์ได้ดีข้ึน ชื่นชมวิธีมองและวิธีคิดด้วยมุมมองทางคณิตศาสตร์เต็มใจ
๒๐๕
ประยกุ ตช์ ว้ ธิ กี ารทางคณติ ศาสตรใ์ นการคดิ และตดั สนิ ใจกาํ หนดมาตรฐานเวลาเรยี นคณิตศาสตร์ระดับ
ประถมศกึ ษา คือช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๑ ไมน่ อ้ ยกว่า ๑๓๖ คาบ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๒๖ ปีละ๑๗๕ คาบ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑, ๒, ๓ ปีละ ๑๔๐, ๑๐๕ และ ๑๔๐ คาบตามลําดับ รวมเวลาเรียนเลขคณิต/
คณติ ศาสตร์ ในการศึกษาภาคบังคับอย่างน้อย ๑,๓๙๖ คาบ
วิชาวิทยาศาสตร์ มีจุดม่งุ หมายเพอื่ ให้ผู้เรียนเกดิ ความใกล้ชิดธรรมชาติรู้จักสังเกตธรรมชาติ
มีความสามารถในการแก้ปัญหา มีวิธีคิดสังเกตและทดลองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในระดับ
ประถมศึกษา มุ่งให้ใกล้ชิดธรรมชาติสังเกตและทดลองหลังจากทํานายสมมติฐาน ได้รับการพัฒนา
ความสามารถในการแกป้ ัญหาและความรักธรรมชาติ เพิ่มความเข้าใจส่ิงต่าง ๆและปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติ และปลูกฝังวิธีการพิจารณาและวิธีคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ส่วนในระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้น มุ่งให้เกิดความเต็มใจห่วงใยส่ิงต่าง ๆ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สังเกตและทดลอง
อย่างมีจุดประสงค์ พัฒนาความสามารถและเจตคติที่จําเป็นในการสืบสวนสอบสวน ความเข้าใจส่ิง
ต่าง ๆ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ รวมทั้งปลูญฝังวิธีพิจารณาและวิธีคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
เร่ิมสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ในชนั ประถมศึกษาปีท่ี ๓ มีมาตรฐานเวลาขันตํ่า ในชันประถมศึกษาปีที๓,
๔, ๕ และ ๖ คือ ๙๐, ๑๐๕, ๑๐๕ และ ๑๐๕ คาบ ตามลําดับและในช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๑, ๒, ๓ ปี
ละ ๑๐๕, ๑๔๐ และ ๑๔๐ คาบ ตามสาํ ดับรวมเวลาเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ ในหลักสูตรการศึกษาภาค
บงั คับอยา่ งนอ้ ย ๗๙๐ คาบ
วิชาการดํารงชีวิต เป็นรายวิชาท่ีนํามาสอนแทนวิทยาศาสตร์และสังคมศึกษา ในช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ ๑ และ ๒ เพื่อพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ คือ ความคิดและการกระทําที่ไม่
แยกกันของเด็กชื่อวิชาน้ีในภาษาญ่ีปุน คือ Seikatsu แปลว่า "ชีวิต" ช่ือภาษาอังกฤษ คือ Life
Environment เร่ิมทดลองนําเข้ามาในหลักสูตรเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ และเร่ิมสอนวิชาน้ีมาต้ังแต่
ปรับปรุงหลักสูตรเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๕ คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ที่พัฒนโดยรายวิชาน้ี คือ ๑)
ความสามารถในการเข้าร่วมกิจกรรมกับผูอ้ ื่นในกลมุ่ หรือในสังคมได้อย่างราบร่ืน ๒) ความสามารถใน
การดแู ลตนเอง ๓) ความสามารถในการนําเสนอความคิดของตนเองด้วยวิธีท่ีเหมาะสม ๔) การเข้าถึง
ความมอี สิ รภาพดา้ นอารมณ์โดยสังเกตจดุ แข็งของตนเองความเป็นไปได้ และการสร้างความม่ันใจและ
แรงจูงใจมเี น้ือหาวิชา เรื่อง ๑) โรงเรียนกับรปู แบบชีวิต ๒) บ้านกับรูปแบบชีวิต ๓) ชุมซนกับรูปแบบ
ชีวติ ๔) การใช้สาธารณสมบัตแิ ละสาธารณสถาน ๕) การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลกับรูปแบบชีวิต ๖)
การเล่นโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติและวัสดุท่ีไม่ได้มาจากธรรมชาติ ๗) การดูแลพืชและสัตว์ ๘) การ
สือ่ สารกับคนรอบตวั และคนในชุมชน ๙) การพัฒนาตนเองท้ังนี้ มีมาตรฐานเวลาเรียน ๒๐๗ คาบให้
เรียนในชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ และ ๒ จํานวน ๑๐๒ และ ๑๐๕ คาบตามลําดับ
๒๐๖
วชิ าดนตรี มจี ุดมุ่งหมายเพ่ือให้มีสุนทรียภาพ รักดนตรี ยอมรับว่าการเรียนรู้ดนตรีเป็นส่ิงท่ี
ควรจะทาํ ตลอดชีวติ ขา้ ใจวฒั นธรรมของดนตรีและให้เน้นดนตรแี บบด้ังเดิมของญ่ีปุนและของชนชาติ
ต่าง ๆ มากข้ึนเพื่อให้มีโอกาสพัฒนาความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้ เพิ่ม
ความสําคัญของตนตรีเชิงสร้างสรรค์เพ่ือส่งเสริมให้เด็กรู้จักฟังเสียงที่อยู่รอบตัว นําเ ครื่องใช้ใน
ครัวเรือนและส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมาเปน็ เครอื่ งดนตรแี ละได้กาํ หนดมาตรฐานด้านเน้ือหา คือ วิชา
ขับร้อง (Singing) ระดับประถมศึกษามีเพลงบังคับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ คือ เพลงทะเล เพลงหอย
ทากเพลงอาทิตย์อุทัย เพลงดอกไม้บาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ คือ เพลงซ่อนหาเพลงฤดูใบไม้ผลิ
มาถึงแล้ว เพลงเสยี งแมลง เพลงอาทติ ย์อัสดง ชัน้ ประถศึกษาปที ่ี ๓ คือ เพลงกระต่าย เพลงเก็บใบซา
เพลงสําธารในฤดใู บไม้ผลิเพลงเขาฟจู ิ ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๔ คือ เพลงซากรุ ะ เพลงว่าวสีดําเพลงยาม
เชา้ ท่ีทุง่ เลี้ยงสตั ว์ เพลงต้นเมเปลิ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๕ คือเพลงยกธงปลาคาร์ป เพลงไกวเปล เพลง
แหง่ สกี เพลงทิวทศั นใ์ นฤดูหนาว ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ คือ เพลงเอเทนระขุ เพลงอิมะโยะเพลงคืน
พระจันทร์หมอง เพลงประเทศบ้านเกิด วิชาขับร้องชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีเพลงบังคับ คือ เพลง
แมลงปอสีแดง เพลงพระจันทร์ท่ีปราสาทร้างเพลงเริ่มฤดูใบไม้ผลิ เพลงความจําแห่งฤดูร้อน เพลง
ดอกไม้ เพลงเมืองแห่งดอกไม้ เพลงแห่งชายทะเล ในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น สอนขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์
เสยี งทุ้ม (alto recorder) และเม่ือมีการปรบั หลกั สูตรปพี .ศ.๒๕๔๑ ได้นําการสอนดนตรีญ่ีปุนโบราณ
เข้ามา เช่น กลอง โคโตะซามิเซน ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้นําเพลงญ่ีปุนแบบด้ังเดิมมาสอนด้วย
มาตรฐานด้านเวลาเรียน คือ ในระดับประถมศึกษา เรียนวิชาดนตรีรวม ๓๕๘ คาบ ปีละ ๖๘, ๗๐,
๖๐, ๖๐, ๕๐ แล ๕๐ คาบ ตามฮําดับส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ให้เรียนรวม ๑๐๕ อาม:ปีละ
๔๕, ๓๕ และ ๓๕ คาบ ตามลาํ ดบั
วชิ าศิลปะ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถในการแสดงออกและการชื่นชมศิลปะเชิง
สรา้ งสรรคใ์ นระดบั ประถมศึกษาเนน้ การพัฒนาพ่ืนฐานการปันเชิงสร้างสรรค์ ส่วนระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้น เน้นความรู้สึกและการพัฒนาความสามารถพื้นฐานของศิลปะโดยการแสดงออกและการ
แสดงความช่ืนชม ระดับประถมศึกษาเรียกวิชาน้ีว่า "ศิลปะและงานประดิษฐ์" (Arts and
Handicrafis) ให้เล่นป้ันของ (Molding play)และแสดงออกว่าต้องการจะบอกอะไร ในรูปภาพ รูป
ลกู เตํา่ และงานฝมี ือสอนใหช้ น่ื ชมความงามของธรรมชาติ และความงามของสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ข้ึนมา
รอบ ๆ ตวั เดก็ ท้ังงานของตนเองและงานของผ้อู ืน่ เพื่อให้เริ่มสนใจผลงาน สร้างสรรค์วัฒนธรรมทาง
ศิลปะ เรียนรศู้ ลิ ปะและวฒั นธรรมจากธรรมชาติ ส่วนระดับมธั ยมศึกษาตอนตัน เรียกวิชานี้ว่า "วิจิตร
ศิลป์" (Fine Arts) เน้ือหาใกล้เคียงกับศิลปะระดับประถมศึกษา แต่เพิ่ม "แนวคิดและความคิดรวบ
ยอด" และ "ทักษะ" มีการสอนสเก็ตช์ภาพ ภาพสีนํ้า ภาพพิมพ์จากแบบพิมพ์ไม้ การสังเกตและ
จนิ ตนาการจากสิ่งท่ีปั้นหรือแกะสลักการแกะสลักไม้หรือหินอ่อน เชื่อมโยงกับความเข้าใจธรรมชาติ
๒๐๗
และความรู้สึกที่เกิดจากองค์ประกอบของสิ่งของ หลักการป้ันหรือแกะสลัก การนําเสนออย่างอิสระ
เป็นตัวของตัวเอง และมีประสิทธิผล การออกแบบและการผลิตงานฝีมือโดยรู้องค์ประกอบของสี
รปู รา่ ง การทําของใช้จากไม้ไม้ไผ่ โลหะ เรซิน ดินเหนียว การนําเสนอด้วยการ์ตูน การ์ตูนแอนิเมช่ัน
รูปภาพ วิดโี อ แสง และการเคลือ่ นไหว โดยเช่อื มโยงความสัมพันธข์ องสงิ่ ทน่ี ําเสนอกับชีวิต สังคมและ
ธรรมชาติ มาตรฐานด้านเวลาเรียน เท่ากบั วิชาดนตรี
วิชาคหกรรม มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาให้เกิดความเข้าใจและมีทักษะพ้ืนฐานเก่ียวกับ
ครอบครัวและบทบาทของครอบครัว มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาโดยใช้ความเข้าใจ และ
ทักษะต่าง ๆ และสามารถปรับปรุงชีวิตและอนาคตของตนในระดับประถมศึกษาเรียนการเรือน
เรียกว่า"Homemaking" และเร่ิมสอนในช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๕ เพ่ือเตรียมชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์
เนน้ เพ่ิมขึ้นเกย่ี วกับทักษะชีวิตสําหรับศตวรรษท่ี ๒๑คือ ให้ตระหนักว่าชายและหญิงต้องเรียนรู้ท่ีจะ
ชว่ ยเหลอื กันและกนั ในครอบครวั มคี วามรทู้ ี่จาํ เปน็ สาํ หรับชีวิตประจําวันและปฏิบัติได้จริงเรื่องอาหาร
เส้อื ผา้ บ้านเรอื น สารสนเทศ และอตุ สาหกรรม มีความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ก้ปัญหาโดยใช้ความเข้าใจและ
ทักษะเหล่านี้ มีเจตคติเชิงบวกเก่ียวกับการปรับปรุงชีวิตครอบครัวในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในระดับ
มัธยมศึกษาตอนตันเรียน "อุตสาหกรรมศิลป์และคหกรรม" เพ่ือให้มีความรู้และทักษะสําคัญในชีวิต
เข้าใจความสมั พันธ์ของชีวิตครอบครัวและทักษะทางสังคม รู้และมีทักษะเก่ียวกับวัสดุ กระบวนการ
ทํางาน การเปลี่ยนแปลงพลังงาน การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ สารสนเทศ ชีวิตแบบพอเพียง (self
sufficient life)โดยผ่านกิจกรรมเก่ียวกับเส้ือผ้า อาหาร งานบ้านมีความเข้าใจหน้าท่ีของครอบครัว
มากข้ึน สามารถปรับปรุงชีวิตโดยตระหนักว่าเป็นหน้าท่ีที่จะต้องมองอนาคตด้วย กําหนดมาตรฐาน
เวลาเรยี น ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ ๕, ๖จํานวน ๖๐ และ ๕๕ คาบ ส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑, ๒ และ ๓
คือ ๗๐, ๗๐และ ๓๕ คาบ ตามลําดับ
วิชาสุขศึกษาและพลศึกษาในระดับประถมศึกษา วิชาพลศึกษา มุ่งเพื่อให้คิดว่าจิตใจและ
ร่างกายเปน็ หน่วยเดยี วกนั ใหอ้ อกกาํ ลังกายจนเป็นนิสัยและคุ้นเคยกับการออกกําลังกายที่เหมาะสม
นําวธิ ีการออกกาํ ลงั กายไปใช้กับชีวิตอย่างปลอดภัย วิชาสุขศึกษามุ่งให้เข้าใจความสําคัญของชีวิตที่มี
สขุ ภาพ วิธใี ชช้ ีวิตที่มีสุขภาพ พฒั นาการของร่างกาย การปูองกันไมใ่ ห้เกดิ บาดแผล การรักษาแผล วิธี
ดแู ลตนเองเม่อื กงั วลและเครยี ด การปูองกันโรคในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น วิซาพลศึกษามุ่งพัฒนา
พ้ืนฐานกีฬาความสามารถและความสนใจกีฬาผ่านการออกกําลังกาย เข้าใจเรื่องสุขภาพและความ
ปลอดภยั การอกกําลังกายอย่างเข้าใจเหตุผลการคิดว่ากายและใจเป็นหน่วยเดียวกัน รู้วิธีออกกําลัง
กายวชิ าสขุ ศกึ ษาม่งุ ให้รูเ้ ขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ ่อเน่ืองจากระดับประถมศึกษา มมี าตรฐานด้านเวลาเรียนใน
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑-๖ คือ ๑๐๒, ๑๐๕, ๑๐๕, ๑๐๕, ๙๐ และ ๙๐ คาบ ตามสําดับและในช้ัน
มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ คอื ปลี ะ ๑๐๕ คาบ รวมเวลาเรียนในภาคบงั คบั อย่างน้อย ๙๐๒ คาบ
๒๐๘
วิชาภาษาตา่ งประเทศ เร่มิ สอนในระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สว่ นเด็กประถมศึกษาให้ปฏิบัติ
"กิจกรรมภาษาต่างประเทศ" ในชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๕ และ ๖ เพ่ือพฒั นาความสามารถในการส่ือสาร
ดว้ ยภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) คอื ฟัง พูด อ่าน และเขียน และเพื่อเพ่ิมพูนความเข้าใจภาษา
และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา เสริมสร้างเจตคติท่ีดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสาร ใน
ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ มีเนอื้ หา เชน่ การแนะนําตัว การทกั ทาย การพูดโทรศัพท์ ซื้อของ ถามทาง
ทอ่ งเท่ียว ซอ้ื อาหาร ฯลฯ สถานการณท์ ่ีมักเกิดที่บ้านและท่ีโรงเรียนการถามที่อยู่ การถามเพื่อให้พูด
ซ้ํา การพูดซ้าํ การแสดงความขอบคุณ การบ่นว่าเม่ือไม่พอใจ การแสดงความคิดเห็น ความเห็นด้วย
ความไม่เห็นดว้ ยการยอมรบั การปฏเิ สธ การอธิบาย การรายงาน การนําเสนอการพรรณนาการถาม
คําถาม การขอร้องการเชิญ และการใช้ภาษาท่ีถูกหลักไวยากรณ์เร่ือง Sentences, Sentence
Structure, Pronouns, Verb tenses, Comparative forms of adjectives and adyerbsy to
infinitives, Gerunds, Adjectival use of present and past participles, Passive voice
คําศัพท์อย่างน้อย ๑,๒๐๐ คํา วลีท่ีใช้บ่อย เช่น in front of, a lot of, get up, look for แสลง
idioms และคําพูด เช่น excuse me, I see. I'm sorry. You're welcome. เป็นต้น มาตรฐานด้าน
เวลาเรียนคือ ระดับประถมศึกษาทํากิจกรรมภาษาต่างประเทศ ปีละ ๓๕ คาบรวม ๗๐ คาบ ใน
ประถมศกึ ษาปที ่ี ๕ ๖ ชนั้ มัธยมศึกษาตอนต้น ใหเ้ รียนปลี ะ ๑๔๐ คาบ รวม ๔๒๐ คาบ
๒.๓ มาตรฐานสาํ หรับการวดั และประเมนิ ผลการจัดการศึกษา
โยคุโอะ มุระตะ (Murata, et.al. ๒๐๑๐. ใน A BilingualText - Education in Contem-
porary Japan) ได้อธบิ ายวา่ ประเทศญ่ีปุนรักษามาตรฐานการศกึ ษาโดยมีระบบประเมินหลายระดับ
คอื
๑) การประเมินโรงเรียน (School evaluation) เป็นการตรวจสอบตนเองแบบ Self
inspection และ Self-evaluation ของโรงเรียน เพอื่ ประเมินการบรรลุผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
นกั เรยี นและประสิทธิผลของการบรหิ ารจัดการโรงเรยี น
๒) การประเมินครู (Teacher evaluation) เป็นการประเมินความสําเร็จของครูในการจัด
กจิ กรรมทางการศกึ ษา รวมทั้งคณุ สมบตั ิและความสามารถของครู
๓) การประเมินหลักสูตร (Curriculum evaluation) เป็นการประเมินหลักสูตรหลักสูตร
สถานศกึ ษา และการวางแผนการเรียนการสอนประจําปี
๔) การประเมินช้ันเรียน (Class evaluation) เป็นการศึกษาและประเมินโดยสังเกตการ
จดั การเรียนการสอนในชนั้ เรียน นิยมใชเ้ ทคนคิ ที่เรยี กวา่ "การศึกษาชั้นเรียน" (Lesson Study) ซ้ึงใน
ภาษาญีป่ นุ เรียกว่า JukyouKenkyuu
๒๐๙
๕) การประเมินการแนะแนวนักเรียน (Student Guidance evaluation)เป็นการประเมิส
ภาพชีวติ นักเรยี นและผสสัมฤทธขิ์ องการแนะแนวขอ้ มูลจากการประเมินน้ี ต้องเกบ็ ไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ปี
๖) การประเมินสภาพการเรียนรู้และความสามารถทางวิซาการ(Evaluation of learning situation
and scholastic ability) เป็นการประเมินสภาพการเรียนรู้และความสามารถทางวิซาการของ
นกั เรยี น ซ่ึงเมอ่ื ประเมนิ แล้วจะต้องรักษาข้อมูลไว้ไม่น้อยกว่า ๒๐ ปีการประเมินความสามารถทางวิ
ซาการเพื่อตัดสินผลการเรียนมีท้ังแบบอิงเกณฑ์ การตัดเกรด การบันทึกผลกิจกรรมในชั่วโมงการ
เรียนรแู้ บบบรู ณาการ กิจกรรมพเิ ศษจริยธรรมและพฤตกิ รรมทัว่ ไป โดยประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้
ตามแนวคิด Bloom's Taxonomy
๒.๔ มาตรฐานตาํ ราเรยี นตําราเรียนเปน็ แนวการจดั กิจกรรมการเรียนรู้สําหรับครู ช่วยทํา
ให้มาตรฐานคุณภาพการศึกษาในญ่ีปุนใกล้เคียงกันมาก โดยเฉพาะในระดับการศึกษาภาคบังคับ
เนือ่ งจากมกี ารเปิดโอกาสให้เอกชนจัดทําตําราเรียนโดยการอนุมัติของสภา ชื่อว่า The Council for
Textbook Approvaland Rescarch เน้ือหาของตําราเรียนเนันการปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี แต่ละ
โรงเรียนมอี ิสระในการบริหารจัดการหลักสูตรและเลือกตําราเรียน ซึ่งเด็กทุกคนได้รับการแจกฟรีใน
ภาคบงั คบั ทั้งในโรงเรยี นรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน
๒.๕ การทดสอบความรู้คณิตศาสตร์และภาษาญ่ีปุนระดับชาติข้อมูลจาก Center on
International Benchmarkins. Learningfrom the World's High Performing Education
Systems (http://www.ncee.org/programs-affiliates/center-on-international-education-
benchmarking/top-performing-countries/japan-over-view/) แสดงว่า ประเทศญ่ีปุนลงทุน
เพื่อการศึกษาในระบบโรงเรียนน้อยกว่าประเทศอ่ืน ๆ อีกหลายประเทศ แตได้ผลดีกว่า ตําราเรียน
ของญี่ปุน เล่มไม่ใหญ่แต่ใช้รูปแบบท่ีง่ายมากและไม่แพง อาคารเรียนไม่หรูหราแต่ใช้ประโยชน์ได้ดี
มาก การบรหิ ารโรงเรียนไม่ส้นิ เปลือง ไม่มีโรงอาหารนักเรียนเสิร์ฟอาหารกันเอง ทําความสะอาดช้ัน
เรยี นเองนักเรียนท่ีเก่งกว่าจะช่วยสอนเพือ่ นทเ่ี รียนอ่อนกว่า และต้ังแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๗
มีแผนพัฒนาการศึกษา ตามนโยบาย "Japan Rise Again" ตามด้วยการพัฒนาระบบประเมิน
ความสามารถทางวิชาการระดับชาติ ด้านคณิตศาสตร์และภาษาญ่ีปุนซ่ึงเริ่มดําเนินการนําร่องในปี
พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ในชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ และมัธยมศึกษาปที ่ี ๓
๒.๖ การสอบมาตรฐานโดยส่วนกลางเพ่ือรับเข้ามหาวิทยาลัยนักเรียนท่ีจบมัธยมศึกษา
ตอนต้นซ่งึ เป็นการศกึ ษาภาคบงั คับจะเข้าเรยี นตอ่ มัธยมศกึ ษาตอนปลายโดยการสอบแข่งขันหรือสอบ
คดั เลอื กท่จี ดั สอบโดยโรงเรียนน้ัน ๆ แต่เม่ือจะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยจะมีศูนย์การสอบระดับซาติ
ช่ือ The National Center Test for UniversityAdmission ซ่ือย่อในภาษาญี่ปุน คือ Daigaku
Nyuushi Sentaa Shikenเพื่อนําผลการสอบไปสมคั รเขา้ เรียนต่อมหาวทิ ยาลัยของรัฐหรือของเอกชน
๒๑๐
บางแห่ง สถติ ิเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๕๗ แสดงว่า มีศูนย์สอบทั่วประเทศ ๖๙๓ แห่งมีผู้เข้าสอบ ๕๖๐,๖๗๒
คน และสถติ ิเม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ แสดงวา่ ๘๓๕มหาวิทยาลัย นําผลการสอบไปใช้รับนักศึกษาเข้าเรียน
ต่อ๒.๗ มาตรฐานคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่านและเขียนเทียบกับนานาชาติฉันทนา จันทร์
บรรจง (๒๕๕๔) ได้วเิ คราะหจ์ ดุ เน้นหลกั สูตรของญี่ปุนและประเมินความสําเร็จทางการศึกษา พบว่า
ญ่ีปุนอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีคะแนนสูงสุดด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เม่ือเปรียบเทียบโดย
ข้อสอบวัดแนวโน้มการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (TIMSS)ของ International Education
Assessment (IEA) และการวัดความรู้ความสามารถทางวิชากรโดยโปรแกรมการประเมินนักเรียน
ของนานาประเทศ ของกลมุ่ ประเทศท่ีพัฒนาแล้ว (PISA) ส่วนด้านการอ่านเด็กญ่ีปุนมีคะแนนตํ่ากว่า
ค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD เล็กน้อย ท้ังนี้เด็กญ่ีปุนใช้เวลาเรียนในโรงเรียนน้อยกว่าเด็กใน
อังกฤษ ฝร่ังเศส และเยอรมนั แต่ใกล้เคียงกบั เวลาเรียนของเดก็ ในเกาหลใี ต้และฟนิ แลนด์
๒๑๑
๙.๑๓ การพฒั นามาตรฐานการศกึ ษาของสารารณรัฐเกาหลี
สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นประเทศที่ให้
ความสําคัญกับการศึกษามากนักเรียนเรียนพิเศษนอกโรงเรียนถึงร้อยละ ๙๐ ซึ่งสูงท่ีสุดในประเทศ
กลมุ่ OECDและให้ความสําคัญกับการเรยี นภาษาอังกฤษมากควบคู่ไปกับการอนรุ กั ษ์
และเผยแพรภ่ าษาของตนเองไปสนู่ านาประเทศ เป็นประเทศที่มีปริมาณการส่งออกมากเป็น
อนั ดับ ๑ ในกลุม่ ประเทศ OECD สนิ คา้ ทส่ี ง่ ออกมากที่สุด คืออุปกรณ์และช้ืนส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ
เป็นท่ยี อมรบั ดา้ นศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีและการวางแผนงานตา่ ง ๆ (เกวสนิ ศรีมว่ ง. ๒๕๕๕)
๑. ระบบการศึกษา และการบริหารการศึกษาปัจจุบัน เด็กเกาหลีใต้จะต้องเข้าเรียนใน
ระบบโรงเรียนเม่ืออายุ๖ ขวบ ถึง ๑๕ ปี ในโรงเรียนประถมศึกษา ๖ ปี มัธยมศึกษาตอนต้น ๓ ปีซึ่ง
เป็นภาคบังคับ และจะเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย ๓ ปี โรงเรียนท่ีจัดการศึกษาภาคบังคับส่วน
ใหญ่สังกัดรฐั บาลทอ้ งถิน่ โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแบ่งออกเป็นสายสามัญและสายอาชีพ หรือ
การเรียนในสาขาวชิ าเฉพาะ
โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญจัดการศึกษาทั่วไปขั้นสูงและวิชาเลือกสําหรับ
เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย มีโรงเรียนประเภทพิเศษท่ีรัฐบาลเรียกว่า "โรงเรียนจุดประสงค์พิเศษ"
(Special Purpose Schools)ที่จัดสอนหลักสูตรเฉพาะ เช่น หลักสูตรวิทยาศาสตร์ หรือหลักสูตร
๒๑๒
ภาษาตา่ งประเทศ ในขณะที่โรงเรียนมัธยมศกึ ษาตอนปลายสายอาชีพเน้นการสอนวิชาชีพเฉพาะทาง
เช่น เกษตรกรรม เทคโนโลยี พณิชยกรรม และประมง รวมท้ังวิชาชีพหรือวิชาเทคนิคแบบผสม
เรียกว่า ComprehensiveVocational/ Technical Schools การเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
อาจจะมีการสอบเข้า หรือพิจารณาจากผลการเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ถ้าจบมัธยมศึกษา
ตอนปลายสายอาชีพจะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ นอกจากนี้ มีโรงเรียนเฉพาะทางเพ่ือบ่มเพาะ
ความสามารถพิเศษของนกั เรยี นกล่มุ เรียนดที ่จี ะเป็นผู้นําในสังคม เช่น โรงเรียนสอนศิลปะและดนตรี
กีฬาภาษาต่างประเทศ และวิทยาศาสตร์ การรับเข้าเรียนต้องผ่านการสอบท่ีมีการแข่งชันสูง สถิติ
การศึกษาของเกาหลีใต้รายงานว่าเด็กเรียนต่อจนจบมัธยมศึกษาตอนปลายถึงร้อยละ ๙๗ แต่ส่วน
ใหญจ่ ะเรียนมัธยมศึกษาสายสามัญ มีเพียงร้อยละ ๓๐ เท่านั้น ท่ีเรียนในสายอาชีพระบบการรับเข้า
มัธยมศึกษาตอนปลายแตกต่างกันไป บางระบบต้องการให้เกิดความเสมอภาคก็จะจับสลากทาง
คอมพิวเตอร์ (Computer LotterySystem) เชน่ ในเขตกรุงโซล ปูซาน แดกู และกวางจู ซ่ึงเป็นเขต
ท่ีเรียกว่า "Equalization Areas" ส่วนในเขตอื่น ๆ จะใช้ผลการเรียนและการสอบเข้าด้วยข้อสอบท่ี
โรงเรียนจัดการเอง (ใน http://www.ncee.org/programs affiliates/center-on international-
education-benchmarking/top-performing-countries/south-korea overview/south-korea
-instructional-systems/)
๒๑๓
การบริหารการศกึ ษา
อํานาจหน้าท่ีในการบริหารการศึกษาของประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เป็นของ
กระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (The Ministry of Education, Science and
Technology (MEST) ซ่ึงกระจายอํานาจการบริหารลงไปที่ระดับจังหวัดและเทศบาล
(provincial/Municipal Office of Education) และที่ระดับท้องถิ่น (Local Offices ofEducation)
โดยกระทรวงศึกษาธิการฯ ทําหน้าที่กํากับดูแล (Supervising) การศึกษาท้ังระบบ จัดทํานโยบาย
การศึกษาของชาติ ร่วมมอื กบั กระทรวงตา่ ง ๆ และแนะแนวการจัดการศึกษาของจังหวัดและท้องถิ่น
เปูาหมายและเน้ือหาของการศึกษาจะถูกกําหนดที่ระดับชาติ โดยให้โรงเรียนจัดทําหลักสูตร
๒๑๔
สถานศึกษาท่ีสอดคล้องกบั ระดบั ชาติเพื่อให้การศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต สาธารณรัฐ
เกาหลีมีคณะกรรมการการศึกษาตลอดชีวิตแห่งชาติ บริหารงานควบคู่ไปกับกระทรวงศึกษาธิการฯ
โดยมีคณะอนกุ รรมการในระดบั จังหวัด/เขตพื้นท่กี ารศึกษาอยู่ในระดับลา่ ง
๒. มาตรฐานการศึกษาของชาติ
๒.๑ มาตรฐานหลกั สตู รการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี จะปรับปรุงหลักสตู รการศึกษาชั้นพ้ืนฐาน
ทุก ๕ ปี ถึง ๑๐ ปี เพ่ือใช้เปน็ กรอบในการจัดการศึกษา ซึ่งนอกจากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาใน
หลักสูตร ยังอาจจะปรับปรงุ เร่ืองเวลาเรยี นในแต่ละปีการศึกษาด้วย ท้ังน้ี แต่ละโรงเรียนจะต้องสอน
ตามหลักสูตรท่ีกระทรวงศึกษาธิการฯ กําหนด แต่ศึกษาธิการจังหวัด (Superintendents) มีอํานาจ
ในการเพ่มิ เน้อื หาและมาตรฐานตา่ ง ๆ ของการศึกษาไดต้ ามความจําเปน็ ของโรงเรยี นิทอ่ี ยใู่ นควมดแู ล
ระดับประถศึกษา นักเรียนได้เรียนวิชาแกน คือ จริยธรรม ภาษาเกาหลี คณิตศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์ สังคมศึกษา พลศึกษา ดนตรี และศิลปะ (Ethics, Korean Language, Mathematics,
Science, Social Studies,PE, Music and the Arts) นอกจากนี้ จะไดร้ บั การพัฒนาและบ่มเพาะให้
มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาขันพื้นฐาน (basic problem-solvingabilities)ความพึงพอใจ
ประเพณีด้ังเดิมและวัฒนธรรมของเกาหลี(appreciation of tradition and culture) ความรักชาติ
และประเทศเพ่ือนบ้าน (love for neighbors and country) และนิสัยท่ีดีในการดําเนินชีวิต (basic
life habits)
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรจะจําแนกความสามารถของนักเรียน ( a
differentiated curriculum, or ability based grouping)สําหรับบางวิชา เช่น คณิตศาสตร์
ภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลี สังคมศึกษาและวิทยาศาสตร์ แต่ทุกคนจะได้เรียนบางวิชาท่ีเหมือนกัน
(Core subjects) คือ พลศึกษา ดนตรี วิจิตรศิลป์ และศิลปะปฏิบัติ (PE, music, finearts and
practical arts) นอกจากนี้ ให้มีหลักสูตรเสริมและวิซาเลือก (extracurricular and optional
courses) ซ่ึงรวมทั้ง วิซาคหกรรมและเทคโนโลยี ซ่ึงยังแยกตามเพศ (gender-based classes) จนถึง
เมื่อเร็ว ๆ นี้วิชาเลือก ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและ สิ่งแวดล้อม
ศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ วิชาแกนยังเหมือนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
แตจ่ ะถกู จดั ให้เรยี นแยกสาย เปน็ สายวทิ ยาศาสตร์
(Science) และสายสังคมศึกษา (social studies) โดยสายวิทยาศาสตร์ให้เรียนวิซา
ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโลก (physics,chemistry, biology and earth
๒๑๕
science) และในสายสงั คมศึกษาให้เรียนวชิ าภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ และ
วฒั นธรรมศกึ ษา (geography, history, politics, economics andcultural studies) ส่วนโรงเรียน
เฉพาะสาขาวิชาและโรงเรียนอาชีวศึกษาในระดับนี้ จะมีหลักสูตของตนเอง และจะต้องเรียนวิซา
สามัญบางวชิ าด้วย
การวัดผลและประเมินผลการศึกษาในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี มีระบบประเมินเพื่อ
วนิ ิจฉยั (diagnostic assessment) ๒ ประเภท คอื การทดสอบเพ่อื วินจิ ฉัยทกั ษะพ้ืนฐาน ในช้ันปีท่ี ๓
เรียกวา่ Diagnostic Testfor Basic Skills (DTBS) และการวัดผสสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในระดับซาติ
เรียกว่า The National Assessment of Educational Achievement เรียกยอ่ ว่า NAEA ซ่งึ สอบ ๒
วิชา คอื คณติ ศาสตร์ และวทิ ยาศาสตรใ์ นช้ันปที ่ี ๖ ปีที่ ๙ และปีท่ี ๑๐ (เทียบกับ ประถมศึกษาปีท่ี ๖
และมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และ ๔ ของไทย) เป็นการสอบเพื่อใช้เป็นสารสนเทศสําหรับการปรับปรุง
มาตรฐานการศึกษา (seve a purely informational purpose) ไมร่ ายงานแบบจําแนกรายคน (not
reported by individual student)นักเรียนในสาธารณรัฐเกาหลีทุกระดับ จะถูกประเมินโดย
ครผู สู้ อนด้วย และจะได้รับรายงานซ่ึงเรียกว่า "Student School Records" หรือ"Student Activity
Records" ซ่ึงมีรายละเอียดเก่ียวกับผลการเรียนเป็นรายวิชาการเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรและ
การบําเพ็ญประโยซน์หรือให้บริการ ความสามารถพิเศษ พัฒนาการด้านคุณธรรมจริยธรรมร่างกาย
รางวัลต่างๆ ท่ีได้รับ สมุดรายงานผลการเรียนน้ี ได้ถูกนํามาใช้วัดความสามารถของนักเรียนมากขึ้น
ในการคดั เลือกเข้าเรยี นต่อทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและมหาวิทยาลัย เพื่อลดความกดดันจาก
ระบบรบั เข้าศกึ ษาทว่ี ัดจากการสอบเข้า
๒.๒ การสอบวัดมาตรฐานการศกึ ษาระดับชาติ ชั้นปีท่ี ๓, ๖, ๙ และ ๑๐
ปาร์ค (Hyan-Jeong Park. ๒๐๐๘, pp.๑๗-๑๕) ในบทความซื่อ Korean Perspectives
on Assessment of Achievement (ในวารสารEducational Studies in Japan : International
Yearbook. No.๓.
December ๒๐๐๘) ไดก้ ล่าวว่า รัฐบาลของสาธารณรัฐเกาหลี เริ่มนําการวัดผลสัมฤทธิ์ของ
นักเรียนโดยใชข้ ้อสอบระดับประเทศวัดผลกบั นกั เรียนทั้งประเทศต้ังแต่ปลายทศวรรษท่ี ๑๙๘๐ และ
ได้สร้างข้อสอบระดับชาติสําหรับวัดทักษะพื้นฐานของนักเรียนช้ันปีท่ี ๓ ขึ้นโดยเริ่มนํามาใช้ตั้งแต่ปี
ค.ศ. ๒๐๐๒ ตามด้วยข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ช้ันปีที่ ๖, ๙ และ ๑๐ ลักษณะของข้อสอบระดับชาติทั้ง
สองระดบั คอื
๑) ขอ้ สอบวินิจฉัยทักษะพนื้ ฐาน (DTBS) ออกขอ้ สอบตามเนอ้ื หาในหลกั สตู รแห่งซาติ โดยอิง
นโยบาย ท่ีเรียกว่า "the school educationnormalization policy" ซ่ึงประกาศใช้เมื่อเดือน
๒๑๖
มีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๒เพือ่ วัดผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่าเด็กได้รับทักษะพื้นฐานในการอ่านเขียน เลข
คณิต ถึงระดับที่ต้องการข้ันต่ําสุดแล้วหรือยัง โดยให้สถาบันหลักสูตรและประเมินผล (The Korea
Institute for Curriculum andEvaluation หรือ KCE) เป็นผู้จัดการสอบ ในเดือนตุลาคมของทุกปี
และแจง้ ผลใหโ้ รงเรยี นและนกั เรยี นทราบในเดอื นธันวาคมปเี ดยี่ วกัน
๒) ข้อสอบวัดผลสัมฤทธ์ิระดับชาติชั้นปีท่ี ๖, ๙, ๑๐ หรือ NAEA เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี
ค.ศ. ๒๐๐๐ เป็นตัวอย่างเพื่อเทยี บเคียงมาตรฐานการสอบ NAEP หรือ The National Assessment
of Educa-tionalProgress (NAEP) ในสหรัฐอเมริก มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อจะวัดผลสัมฤทธิ์ทาง
การศึกษาของเด็กประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย และเพ่ือวิเคราะห์
แนวโนม้ ของผลสมั ฤทธอิ์ ย่างเป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์และไดเ้ ร่มิ เกบ็ ข้อมูลเพือ่ การวิจัยมาตั้งแต่
ปี ค.ศ. ๒๐๐๓มีรายงานผลฉบับแรกเมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๖ นอกจากน้ี ยังนําผลไปใช้ในการปรับปรุง
หลักสูตรแห่งชาติ และเป็นข้อมูลสําหรับการปรับปรุงการเรียนการสอนในชั้นเรียน และสําหรับการ
ปรับปรุงนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนสิ่งต่าง ๆ เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วย
กระบวนการพัฒนาระบบการสอบ NAEA เริ่มจาก KCE สุ่มกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ ๐.๕ในเดือน
ตลุ าคม ค.ศ. ๒๐๐๐ และเพม่ิ เป็นรอ้ ยละ ๑ ในปี ค.ศ. ๒๐๐๑-๒๐๐๓ต่อมาในปี ค.ศ. ๒๐๐๔-๒๐๐๕
เพมิ่ กลุ่มตัวอย่างในช้ันปีที่ ๑๐ เป็น ร้อยละ๓ ต่อมาในปี ค.ศ. ๒๐๐๖ ๒๐๐๗ เพิ่มกลุ่มตัวอย่างเป็น
รอ้ ยละ ๓ ในชนั้ ปีท่ี๖. ๙ และ ๑๐
ข้อสอบวัดผลสัมฤทธ์ิระดับชาตินี้ สอบวัดความรู้ความเข้าใจ ๕ วิชาคือ ภาษาเกาหสี สังคม
ศึกษา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์โดยใช้เนื้อหาที่เรียนตามหลักสูตรชั้นปีท่ี ๖, ๙
และ ๑๐ ข้อสอบมีท้ังแบบเลือกตอบ และแบบให้ตอบตามโครงสร้าง ชนิดท่ีเรียกว่า constructed
response items ซ่ึงข้อสอบแบบหลังจะมีคะแนนประมาณร้อยละ ๒๐-๔๐ ของคะแนนสอบท้ังหมด
ข้อสอบวิซาภาษาเกาหลีและวิซาภาษาอังกฤษ มีการสอบความเข้าใจการฟัง ( listening
comprehension tests) ด้วย
KCE ได้จัดทําคําอธิบายมาตรฐานการบรรลุผลสัมฤทธ์ิของ ๕ รายวิชาน้ี โดยจําแนกระดับ
ของผลสัมฤทธิ์ เป็น ๔ ระดับ คือ ระดับก้าวหน้า(Advanced) ระดับมีความสามารถ (Proficient)
ระดบั พื้นฐาน (Basic)และระดับตา่ํ กวา่ มาตรฐาน (Below-Basic) แล้วออกแบบมาตรฐานการวัดและ
ประเมนิ ผลไว้เผื่อดว้ ย พรอ้ มแนวทางการพฒั นาการวดั และประเมินผล การแต่งต้ังและฝึกอบรมผ้อู อก
ข้อสอบ การวางแผนการเขียนข้อสอบ การพัฒนาข้อคําถามของผู้ออกข้อสอบ การตรวจทานข้อ
คําถามโดยผู้ตรวจทาน การเลือกข้อคําถามเพ่ือทดสอบภาคสนาม การดําเนินการสอบในภาคสนาม
การวิเคราะห์ผลการสอบภาคสนาม การปรับปรุงและเลือกข้อสอบเพื่อการสอบหลัก (main test)
และการตดั สนิ ใจเลือกเคร่อื งมือวดั ผลทจ่ี ะใช้สาํ หรับการสอบ NAEA
๒๑๗
๒.๓ การสอบวดั มาตรฐานการศึกษาระดับนานาชาติ
นักเรยี นเกาหลใี ตไ้ ดเ้ ขา้ ร่วมสอบวดั ความร้เู พ่อื เปรียบเทียบแนวโน้มในการทดสอบของ PISA
และ TIMSS ด้วย โดยข้อสอบของ PISA วัดและประเมินผลความรู้และทักษะการเรียนรู้ทาง
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนท่ีมีอายุ ๑๕ ปี โดยสอบทุกสามปี
ตัง้ แต่ ค.ศ. ๒๐๐๐ ในขณะท่ีข้อสอบ TIMSS สํารวจจากเด็กตามกลุ่มอายุผลการสอบ PISA แสดงว่า
เด็กเกาหลีใตท้ ําไดด้ ี เชน่ เป็นอันดับ ๑ ด้านการอา่ น อันดับ ๓ ด้านคณิตศาสตร์ และอันดับ ๑๐ ด้าน
วทิ ยาศาสตร์ จากจาํ นวน ๕๗ ประเทศ เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๖ แต่ผลการสอบน้ีแสดงว่ายังมีความไม่เท่า
เทยี มกันระหว่างเดก็ ในเมืองกับชนบท และยงั มีเจตคติเชิงลบต่อวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จึง
เป็นสิ่งท้าทายที่สาํ คัญประการหน่งึ ในปัจจบุ นั สาํ หรับนักการศึกษาในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี
๒.๔ การสอบวัดความสามารถทางวชิ าการเพื่อศกึ ษาต่อระดับอุดมศึกษา
นักเรียนท่ีจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว และต้องการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของ
สาธารณรัฐเกาหลื ต้องเข้าสอบโดยใช้ข้อสอบช่ือ College Scholastic Ability Test (CSAT) การ
สอบเข้ามหาวิทยาลัยน้มี ีผลกระทบตอ่ ชวี ติ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเกาหลีใต้มากเพราะ
ถึงแม้จะเรียนในโรงเรียนปีละประมาณ ๑,๐๒๐ ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าค่าเฉล่ียของนักเรียนในประเทศ
สมาซิก OECD ซึ่งเรียนเพียงปีละ ๙๒๐ ช่ัวโมง นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของเกาหลีใต้ยังต้อง
เรยี นพศิ ษในโรงเรียนกวดวิชาหรือกบั ครพู เิ ศษ อกี ประมาณวันละ ๓ ชวั่ โมงทาํ ใหร้ อ้ ยละ ๘๕ ได้ศึกษา
ต่อในระดบั อุดมศกึ ษาในรปู แบบตา่ ง ๆ
๒๑๘
๒๑๙
๙.๑๔ การพัฒนามาตรฐานการศกึ ษาของสาธารณรฐั ประชาชนจนี
สาธารณรัชประชาชนจีนเป็นประเทศท่ีใหญ่เป็นอันดับ ๔ ของโลก และใหญ่ท่ีสุดในภูมิภาค
เอเชียตะวันออก มีประชากรมากกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศท่ีใหญ่เป็นอันดับ ๔ ของ
โลก๑,๓๐๐ ลา้ นคน มุง่ ปฏิรูปประเทศใน ๓ ดา้ น คือ ๑) ปฏิรูประบบการเงิน๒) ปฏิรูประบบราชการ
และ ๓) ปฏิรูประบบรัฐวิสาห์กิจ (htp://www.vjaichina.com/inte views/ ๑๘๒ จีนมีความ
เจริญกา้ วหน้าทางเศรษฐกิจอยา่ งรวดเรว็ และมพี ลวัตสงู เป็นพลังขับเคล่ือนทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
และของโลก ปจั จุบนั สาธารณรฐั ประชาชนจนี มีขนาดเศรษฐกจิ ใหญเ่ ปน็
อันดบั ที่ ๓ ของโลก รองจากสหรัฐอเมรกิ าและญปี่ นุ และมที ุนสาํ รองมากทส่ี ดุ ในโลก
สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทําสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน(AC- FTA) ซ่ึงเร่ิมมีผล
บังคับใช้เมื่อวันท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๐) และคาดว่าจะเป็นตลาดใหญ่ที่ครอบคลุม
ประชากร ๑,๙๐๐ ล้านคน (๒ เท่าของประชากรในสหรัฐอเมริกา) เป็นเขตเสรีทางการค้าที่ใหญ่ที่สุด
ในโลก (ฉนั ทนา จนั ทรบ์ รรจง และมานิตย์ ไซยกิจ. ๒๕๕๔, หนา้ ๖-๙)
๒๒๐
๑. ระบบการศกึ ษาและการบริหารการศึกษา
๑.๑ ระบบการศกึ ษา
ระบบการศึกษาของสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นระบบการศึกษาท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลก
เน่ืองจากนักเรียนที่อยู่ในระบบการศึกษาของจีน คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของนักเรียนทั่วโลก (ฉันทนา
จันทร์บรรจง และมานิตย์ ไซยกิจ.๒๕๕๔, หน้า ๙-๑๐) รัฐบาลจีนให้ความสําคัญต่อการพัฒนาด้าน
การศกึ ษาเปน็ อยา่ งมากและได้ดําเนินการปฏริ ปู การศึกษาในแนวลกึ ต้งั แตพ่ .ศ. ๒๕๒๙ เป็นตน้ มา
การศกึ ษาในระบบโรงเรียน (Formal Education) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน แบ่งเป็น ๒
รูปแบบ คือ (๑) การศึกษาภาคบงั คบั ๙ ปเี ริ่มตั้งแต่ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดย
ไม่เก็บคา่ ใชจ้ า่ ย(๒) การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ๑๒ ปี เรมิ่ ตง้ั แต่ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ถึงมธั ยมศึกษาปีที่ ๖
ซงึ่ นกั เรยี นทเี่ รียนตอ่ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลายตอ้ งเสียคา่ ใช้จ่ายเองสามารถอธบิ ายระบบการศึกษา
ของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ดังนี้ (www.thaishanghai.com)
๒๒๑
ระดับก่อนประถมศึกษา (Pre School Education) มุ่งพัฒนาเด็กที่มีอายุ ๓ ๕ปี ในชั้น
อนุบาล ๑, ๒ และ ๓ ซ่งึ ไม่เปน็ การศึกษาข้ันพ้นื ฐานและไมใ่ ช่การศกึ ษาภาคบังคับ
การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน (Basic Education) ประกอบดว้ ย
๑) ระดบั ประถมศึกษา (Primary Education) สาํ หรบั นักเรยี นท่ีมีอายุ ๖-๑๑ ปี มีระยะเวลา
เรียน ๖ ปี ในชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๑ ๖ หรือเกรด ๑ - ๖ ซึ่งส่วนใหญ่เปิดสอนในโรงเรียนของรัฐบาล
ทอ้ งถ่ิน (LocalEducation Authorities)
๒) ระดับมธั ยมศกึ ษา (Secondary Education) สําหรับนักเรียนที่มีอายุ ๑๒-๑๗ ปี ใช้เวลา
๖ ปี ในช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑ - ๖ หรือ เกรด ๗-๑๒แบ่งเปน็ ๓ ประเภท คอื
ประเภทแรก คือ โรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไปหรือสายสามัญ(General Middle School)
แบ่งเปน็ โรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนต้น(Junior Middle School) ซง่ึ สอนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๑-๓ และ
โรงเรียนมัธยม ศึกษาตอนปลาย (Senior Middle School) สําหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔๖ ในสาย
สามัญ
ประเภทท่ีสอง คือ โรงเรียนมัธยมอาชีวศึกษา (Vocational HighSchool หรือ Vocational
School Education) และประเภทท่ีสาม คือ โรงเรียนวิชาชีพพิเศษ (SpecializedSecondary
School หรือ Secondary Professional Education)
๒๒๒
นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนสําหรับผู้ใหญ่ และโรงเรียนการช่าง (SkilledWorker School
โรงเรียนท่ีเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนของรัฐบาสท้องถ่ิน นักเรียนท่ีจบ
มัธยมศึกษาตอนตันส่วนใหญ่จะเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ ท่ีเหลือจะเข้าโรงเรียน
มธั ยมอาชวี ศกึ ษา และโรงเรยี นมธั ยมวชิ าชีพ ตามลําดับe Windows
๑.๒ การบรหิ ารการศึกษา
การบริหารการศึกษาของประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี มีกระทรวงศึกษาธิการ (Ministry
of Education - MOE) เป็นผู้กํากับดูแล โดยมีคณะกรรมาธิการการศึกษาแห่งมลรัฐ (State
Education Commission - SEC)เป็นผู้วางแผนการศึกษาตามนโยบายรัฐและควบคุมคุณภาพ
การศึกษาในมลรฐั มรี ัฐบาลท้องถิน่ รบั ผิดชอบการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาการศึกษาชั้น
พน้ื ฐาน การอดุ มศกึ ษา การอาชีวศกึ ษา และการศกึ ษาผู้ใหญ่
๒๒๓
๒. มาตรฐานการศึกษาของชาติ
๒.๑ อดุ มการณก์ ารศึกษาตามขอ้ บัญญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู
รัฐธรรมนูญของสาธารณรฐั ประชาชนจีน ค.ศ. ๑๙๘๒ แก้ไขปรับปรุงปี ค.ศ ๑๙๘๘ ๑๙๙๓,
๑๙๙๙ และ ๒๐๐๔ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔ ให้รัฐสร้างความแข็งแกร่งด้านอารยธรรมทางจิตใจ
ของนักสังคมนิยม (Socialist SpiritualCvilization) โดยการส่งเสริมการศึกษาในเร่ืองอุดมการณ์
ชัน้ สงู จรยิ ธรรมความรู้ทัว่ ไป ความมวี นิ ยั ความรูเ้ ร่ืองกฎหมาย และการส่งเสริมการสร้างกฎระเบียบ
และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกันท้ังในเมืองและชนบททั้งนี้ รัฐสนับสนุนให้ผู้เรียนมีคุณธรรม
ความเปน็ พลเมืองดี (Civic Virtue) คือรักแผ่นดินแม่ รักประซาชน รักแรงงาน รักวิทยาศาสตร์ และ
รักสังคมนิยม(love for motherland, for people, for labour, for science, andfor socialism)
(UNESCO. World Data on Education. ๗th edition,๒๐๑๐/๒๐๑๑) Go to Settings to
activate V
๒.๒ นโยบายการยกระดบั มาตรฐานการศึกษาของประเทศ
ประธานธิบดีเจียง เจ๋อ หมิน มีแนวคิดว่า ความแข็งแกร่งและการแข่งขันระหว่างประเทศ
ของจนี จะก้าวไปได้ดว้ ยการพัฒนาและสรา้ งสรรค์สิ่งให้ม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ความรู้ และ
การศกึ ษา ดงั น้ันกระทรวงศกึ ษาธกิ ารของสาธารณรฐั ประชาชนจีนจึงได้จัดทาํ แผนปฏบิ ตั ิการเสริมสร้ง
ระบบการศึกษาของชาติเพื่อเตรียมก้าวสู่ศตวรรษที่ ๒๑ เรียกว่าThe Action Scheme for
Invigorating Education Towards the ๒๑stCentury ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือ ค.ศ. ๑๙๙๘
เพอื่ ยกระดบั มาตรฐานการศึกษาของประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือ ค.ศ. ๒๐๑๐ ได้ประกาศ
แผนการปฏิรูปและพฒั นาการศึกษาระยะกลางและระยะยาว (ฉบบั รา่ ง)โดยเปูาหมายท่ีจะสร้างจีนให้
เป็นมหาประเทศด้านทรัพยากรบุคคลให้ได้ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ และจะประสบผลสําเร็จด้าน
การศึกษาท่ีทันสมัยภายในปีค.ศ. ๒๐๒๐ เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเข้าสู่กลุ่มมหา
ประเทศในดา้ นทรัพยากรบุคคล ประสบความสาํ เรจ็ ดา้ นการศกึ ษาภาคบงั คับ๙ ปี ท่ัวประเทศ มีอัตรา
การเข้าเรียนระดับมัธยมปลาย ร้อยละ ๙๐ อัตราการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ร้อยละ ๔๐ มีผู้สําเร็จ
ปริญญาตรี ๒๐๐ ล้านคนยกระดับคุณภาพการศึกษาสูงข้ึนโดยกําหนดมาตรฐานคุณภาพการศึกษา
อย่างชัดเจน และปรับปรุงระบบบริหารคณุ ภาพการศกึ ษาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น(http://www.bbrtv.com
/๒๐๑๐/๐๕๐๕/๑๐๐๙๗.html และhttp://thai.cri.cn/๒๔๗/๒๐๑๐/๐๗/๓๐/๖๓ s
๑๗๗๙๗๒.htm)