The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phatthanaporn, 2019-03-24 22:24:25

แฟ้มสะสมผลงานครู2/2561

๑๕

ขนั้ สอน
๒. ครอู ธบิ ายองคป์ ระกอบของการจดั ระเบยี บทางสงั คม
๓. ครอู ธบิ ายถงึ การขดั เกลาทางสงั คม
ขนั้ สรปุ และการประยกุ ต์
๔. ครใู หน้ กั เรยี นทาใบงาน ทาแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และบนั ทกึ ความดี

สื่อและแหล่งการเรียนรู้

๑. หนงั สอื เรยี น วชิ าพลเมอื งและศลี ธรรม ของบรษิ ทั สานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ จากดั
๒. สอ่ื PowerPoint วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม

หลกั ฐาน

๑. การตรวจใบงาน กจิ กรรม คาถาม
๒. การเชค็ ช่อื เขา้ เรยี นในรายวชิ า
๓. บนั ทกึ ความดี

การวดั ผลและการประเมินผล

วิธีวดั ผล
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล
๒. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๔. ตรวจคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน
๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๗. ตรวจบนั ทกึ ความดี

เครอื่ งมือวดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยคร)ู
๓. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุม่ (โดยนกั เรยี น)
๔. คาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน จากหนงั สอื เรยี นวชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ โดยครูและนักเรยี น

ร่วมกนั ประเมนิ
๗. บนั ทกึ ความดี

๑๖

เกณฑก์ ารประเมินผล
๑. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ตอ้ งไมม่ ชี ่องปรบั ปรงุ
๒. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๓. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๔. ตอบคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นรแู้ ละทาใบงานไดท้ กุ ใบงานจงึ จะถอื ว่าผ่านการประเมนิ
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑผ์ ่าน คอื พอใช้ (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๖. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อยกู่ บั การประเมนิ

ตามสภาพจรงิ
๗. การบนั ทกึ ความดีไม่มเี กณฑ์ ให้นักเรยี นบนั ทึกตามสภาพจรงิ แต่นักเรยี นจะสามารถทราบ

ผลการบนั ทกึ ความดดี ว้ ยการนาขอ้ มลู บนั ทกึ ความดใี นแต่ละครงั้ มาเขยี นกราฟแสดงจะเหน็
พฒั นาการความดขี องตนเองลงในแบบพฒั นาความดที อ่ี ยดู่ า้ นหลงั ของหน้าปกหนงั สอื เรยี น

กิจกรรมเสนอแนะ

ใหน้ กั เรยี นทาบนั ทกึ ความดแี ละนาผลไปลงในแผนพฒั นาการความดี

๑๗

แบบประเมินผลการเรียนร้กู ่อนเรียน/หลงั เรียน

จงเลือกคาตอบท่ีถกู ต้องท่ีสดุ

๑. ขอ้ ใดคอื สงิ่ ทต่ี อ้ งคานงึ ถงึ ในการจดั ระเบยี บสงั คม

ก. เพศ ข. อายุ

ค. อาชพี ง. ทรพั ยส์ นิ

จ. ถกู ทกุ ขอ้

๒. ขอ้ ใดจดั เรยี งลกั ษณะสงั คมตามววิ ฒั นาการกอ่ น-หลงั ไดถ้ ูกตอ้ ง

ก. สงั คมเกษตรกรรม สงั คมเทคโนโลยสี ารสนเทศ สงั คมอตุ สาหกรรม

ข. สงั คมเกษตรกรรม สงั คมอุตสาหกรรม สงั คมเทคโนโลยสี ารสนเทศ

ค. สงั คมอตุ สาหกรรม สงั คมเกษตรกรรม สงั คมเทคโนโลยสี ารสนเทศ

ง. สงั คมอุตสาหกรรม สงั คมเทคโนโลยสี ารสนเทศ สงั คมเกษตรกรรม

จ. สงั คมเทคโนโลยสี ารสนเทศ สงั คมอตุ สาหกรรม สงั คมเกษตรกรรม

๓. ขอ้ ใดเป็นสาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ การจดั ระเบยี บทางสงั คม

ก. สมาชกิ ในสงั คมมคี วามแตกต่างกนั ทางกายภาพ

ข. สมาชกิ ในสงั คมตอ้ งการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสมานฉนั ท์

ค. สมาชกิ ในสงั คมมวี ตั ถุประสงคแ์ ละความตอ้ งการต่างกนั

ง. สมาชกิ ในสงั คมมกี ารขดั แยง้ กนั

จ. ถูกทกุ ขอ้

๔. “แบบแผนทส่ี งั คมกาหนดไวเ้ พอ่ื เป็นแนวทางสาหรบั ใหส้ มาชกิ ในสงั คมยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ” เป็นคาจากดั ความของ

ขอ้ ใด

ก. บรรทดั ฐานสงั คม ข. โครงสรา้ งทางสงั คม

ค. สมาชกิ ของสงั คม ง. การจดั ระเบยี บสงั คม

จ. กลมุ่ ทางสงั คม

๕. ขอ้ ใดจดั เป็นวถิ ชี าวบา้ น ข. ใชช้ อ้ นสอ้ มรบั ประทานอาหาร
ก. ไมจ่ อดรถในทห่ี า้ มจอด

ค. กตญั ญตู ่อบดิ ามารดา ง. ชว่ ยเหลอื ผตู้ กทุกขไ์ ดย้ าก
จ. ไมข่ บั รถฝา่ ไฟแดง

๖. การขบั ออกจากสงั คมหรอื ไม่ยอมคบคา้ สมาคมดว้ ย เป็นบทลงโทษผทู้ ฝ่ี า่ ฝืนบรรทดั ฐานทางสงั คมแบบใด

ก. วถิ ปี ระชา ข. จารตี

ค. กฎหมาย ง. ค่านิยม

จ. การขดั เกลาทางสงั คม

๑๘

๗. ขอ้ ใดทท่ี าใหก้ ฎหมายแตกตา่ งจากวถิ ปี ระชาและจารตี มากทส่ี ดุ

ก. กฎหมายเป็นบรรทดั ฐานทางสงั คม ข. กฎหมายเกย่ี วขอ้ งกบั ศลี ธรรม

ค. กฎหมายใชบ้ งั คบั กบั คนในสงั คม ง. กฎหมายมบี ทลงโทษทช่ี ดั เจน
จ. กฎหมายมผี ลรา้ ยจากการฝา่ ฝืน

๘. ขอ้ ใดเป็นสถานภาพทแ่ี ตกต่างจากขอ้ อ่นื ข. ครู
ก. เพศชาย

ค. ผจู้ ดั การ ง. พ่อ

จ. หวั หน้า

๙. บทบาทเกย่ี วขอ้ งกบั ขอ้ ใดมากทส่ี ดุ ข. หน้าท่ี
ก. สทิ ธิ

ค. เสรภี าพ ง. เสมอภาค

จ. คา่ นิยม

๑๐. ขอ้ ใดจดั เป็นการขดั เกลาทางตรง ข. เขยี วอยากเป็นฮโี รเ่ หมอื นในโทรทศั น์
ก. ดาอา่ นหนงั สอื พมิ พ์ ง. สม้ เดนิ ตวั ตรงตามแบบพ่ี

ค. ฟ้าสอนลกู ทาอาหาร

จ. ครามพยายามฝึกสาเนยี งใหเ้ หมอื นคนองั กฤษ

เฉลยแบบประเมินผลการเรยี นรู้ ก่อนเรียน/หลงั เรยี น

๑ จ๓ จ ๕ข๗จ ๙ข
๒ ข ๔ ก ๖ ข ๘ ก ๑๐ ค

๑๙

๒๐

๒๑

บนั ทึกหลงั การสอน

ขอ้ สรปุ หลงั การสอน
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
ปัญหาที่พบ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
แนวทางแก้ปัญหา
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

๒๒

แผนการจดั การเรียนรูแ้ บบบูรณาการท่ี ๔ หน่วยท่ี ๓
สอนครง้ั ที่ ๗-๘
รหสั วิชา ๒๐๐๐–๑๕๐๑ วิชา หนา้ ที่พลเมอื งและศีลธรรม จานวน ๒ ชวั ่ โมง
ชื่อหน่วย/เรื่อง สงั คมไทย วฒั นธรรมไทย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม
และ ภมู ิปัญญาไทย

จุดประสงคร์ ายวิชา

๑. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทข่ี องพลเมอื งดแี ละ
หลกั ธรรมของศาสนา

๒. ปฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดตี ามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
๔. ตระหนกั ถงึ การดารงชวี ติ ทถ่ี กู ตอ้ งดงี ามในฐานะศาสนกิ ชนและพลเมอื งดี

สมรรถนะรายวิชา

๑. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทพ่ี ลเมอื งดี และหลกั ธรรม
ของศาสนา

๓. นาหลกั ศาสนา หลกั ธรรม และหลกั กฎหมาย มาประยุกตใ์ ชเ้ พอ่ื การเป็นพลเมอื งดี

สาระสาคญั

สงั คมไทยมพี น้ื ฐานมาจากสงั คมเกษตร สงั คมพระพทุ ธศาสนา สงั คมทเ่ี ทดิ ทนู สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
สงั คมทเ่ี ป็นสงั คมชนชนั้ ทม่ี โี ครงสรา้ งแบบหลวมๆ และยงั ยดึ ขนบธรรมเนยี มประเพณเี ป็นหลกั และไมน่ ิยม
ความเปลย่ี นแปลง แต่ความเจรญิ ทางเทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารในปจั จุบนั เป็นผลใหส้ งั คมไทยมกี ารเปลย่ี นแปลง
อยา่ งรวดเรว็ อยา่ งไรกต็ าม บรรพบุรุษไทยไดส้ ง่ ต่อความเจรญิ งอกงาม วถิ กี ารปฏบิ ตั ติ นเป็นวฒั นธรรมไทย
เป็นมรดกของสงั คมสบื ต่อมาจนถงึ ปจั จุบนั สงั คมไทยไดม้ กี ารปรบั เปลย่ี นตามสภาพสงิ่ แวดลอ้ ม ทาใหเ้ กดิ
ค่านยิ มไทยซง่ึ เป็นรากฐานสาคญั ในการพฒั นาตนเอง สงั คม และประเทศ ซง่ึ มที งั้ สงิ่ ดงี ามทค่ี นไทยควรปฏบิ ตั ิ
และคา่ นยิ มทางประเพณี คนไทยควรปรบั เปลย่ี นแกไ้ ขและร่วมกนั สรา้ งค่านยิ มทส่ี าคญั เพอ่ื รว่ มกนั สรา้ ง
ความเจรญิ ใหแ้ กป่ ระเทศชาตติ ่อไป

อยา่ งไรกต็ าม สงั คมไทยไดส้ งั่ สมความรู้ ความสามารถและสตปิ ญั ญาในการแกไ้ ขปญั หาวกิ ฤตในการ
ดารงชวี ติ และการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของทอ้ งถนิ่ และชาติ เกดิ เป็นภูมปิ ญั ญาไทยในปจั จบุ นั น้ี

๒๓

ผลการเรียนรูท้ ีค่ าดหวงั

๑ รแู้ ละเขา้ ใจความหมาย และลกั ษณะของสงั คมไทย มที ศั นคตทิ ด่ี ใี นการอย่รู ่วมกบั ผอู้ น่ื ในสงั คม

๒. รแู้ ละเขา้ ใจความหมาย ความสาคญั ประเภทและองคป์ ระกอบของวฒั นธรรมไทย มแี นวทางการประพฤติ

ปฏบิ ตั ติ นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

๓. รแู้ ละเขา้ ใจความหมายและความสาคญั ของคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และภูมปิ ญั ญาไทย ไดแ้ นวทางใน

การพฒั นาตนเอง สงั คม และประเทศชาติ

๔. มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา

สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเรอ่ื ง

๑. ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ ๒. ความมวี นิ ยั

๓. ความรบั ผดิ ชอบ ๔. ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ
๕. ความเช่อื มนั่ ในตนเอง ๖. การประหยดั
๗. ความสนใจใฝร่ ู้ ๘. การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั
๙. ความรกั สามคั คี ๑๐. ความกตญั ญกู ตเวที

สาระการเรียนรู้
๑. สงั คมไทย

๒. วฒั นธรรมไทย

๓. คณุ ธรรม จรยิ ธรรม

๔. คา่ นิยม

๕. ภูมปิ ญั ญาไทย

กิจกรรมการเรียนรู้

ขนั้ นำเข้ำสบู่ ทเรียน (กำรสรำ้ งศรทั ธำ)
๑. ครูและนักเรยี นร่วมอภิปรายถึง ลกั ษณะของสงั คมไทย วฒั นธรรมไทย คุณธรรม จริยธรรม

ค่านยิ ม และภูมปิ ญั ญาไทย
ขนั้ สอน

๒. แบ่งผเู้ รยี นเป็น ๔ กลุ่ม แตล่ ะกล่มุ เลอื กศกึ ษาเน้อื หาดงั น้ี
กลมุ่ ท่ี ๑ สงั คมไทย
กลุ่มท่ี ๒ วฒั นธรรมไทย

๒๔

กลมุ่ ท่ี ๓ ค่านิยม
กลมุ่ ท่ี ๔ ภมู ปิ ญั ญาไทย

๓. แต่ละกลุม่ ไดร้ บั มอบหมายใหอ้ อกมานาเสนอหน้าชนั้ เรยี นตามหวั ขอ้ โดยใชเ้ วลากลมุ่ ละ ๑๕ นาที

ขนั้ สรปุ และกำรประยกุ ต์

๓. ตวั แทนกลมุ่ ออกมานาเสนอเน้อื หา โดยเปิดโอกาสใหก้ ลมุ่ อ่นื ซกั ถาม

๔. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ ความสาคญั

๕. ครใู หน้ กั เรยี นทาใบงาน และ แบบประเมนิ ผลการเรยี นรแู้ ละบนั ทกึ ความดี

สือ่ และแหล่งการเรียนรู้

๑. หนงั สอื เรยี น วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม ของบรษิ ทั สานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ จากดั
๒. ใบงาน
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. สอ่ื PowerPoint วชิ า หนา้ ท่ีพลเมืองและศีลธรรม

หลกั ฐาน

๑. การตรวจใบงาน กจิ กรรม คาถาม
๒. การเชค็ ช่อื เขา้ เรยี นในวชิ า
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. บนั ทกึ พฒั นาการความดี

การวดั ผลและการประเมินผล

วิธีวดั ผล
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๔. ตรวจคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน
๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๗. ตรวจบนั ทกึ ความดี

เครอื่ งมอื วดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยคร)ู
๓. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุม่ (โดยนกั เรยี น)
๔. คาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน จากหนงั สอื เรยี นวชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม

๒๕

๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ โดยครูและนักเรยี น

รว่ มกนั ประเมนิ
๗. บนั ทกึ ความดี

เกณฑก์ ำรประเมินผล
๑. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ตอ้ งไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรงุ
๒. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๓. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๔. ตอบคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นรแู้ ละทาใบงานไดท้ กุ ใบงานจงึ จะถอื วา่ ผ่านการประเมนิ
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑผ์ ่าน คอื พอใช้ (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๖. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อย่กู บั การประเมนิ

ตามสภาพจรงิ
๗. การบนั ทึกความดีไม่มเี กณฑ์ ให้นักเรยี นบนั ทกึ ตามสภาพจรงิ แต่นักเรยี นจะสามารถทราบ

ผลการบนั ทกึ ความดดี ว้ ยการนาขอ้ มลู บนั ทกึ ความดใี นแต่ละครงั้ มาเขยี นกราฟแสดงจะเหน็
พฒั นาการความดขี องตนเองลงในแบบพฒั นาความดที อ่ี ยดู่ า้ นหลงั ของหน้าปกหนงั สอื เรยี น

กิจกรรมเสนอแนะ

ใหน้ กั เรยี นทาบนั ทกึ ความดแี ละนาผลไปลงในแผนพฒั นาการความดี

๒๖

แบบประเมนิ ผลการเรียนรูก้ ่อนเรียน/หลงั เรียน

จงเลือกคำตอบที่ถกู ต้องที่สุด

๑. เพราะเหตุใดเราจงึ ตอ้ งมกี ารเรยี นรูว้ ฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ อน่ื ๆ

ก. เพราะวฒั นธรรมเป็นสงิ่ ทม่ี คี ุณคา่ ข. เพราะวฒั นธรรมแต่ละทม่ี คี วามแตกต่าง

ค. เพราะวฒั นธรรมเป็นสงิ่ ทม่ี นุษยส์ รา้ งขน้ึ ง. เพราะวฒั นธรรมเป็นสงิ่ ทแ่ี สดงถงึ

ความเจรญิ งอกงาม

จ. เพราะวฒั นธรรมทาใหม้ นุษยเ์ ป็นมนุษย์

อย่างแทจ้ รงิ

๒. ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ วามสาคญั ของวฒั นธรรม

ก. เป็นเครอ่ื งสรา้ งความสามคั คแี ละความเป็นอนั หน่งึ อนั เดยี วกนั

ข. เป็นกรอบในการดาเนนิ ชวี ติ ทเ่ี หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม

ค. เป็นเอกลกั ษณ์ประจาชาตหิ รอื หม่คู ณะ

ง. เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเปรยี บเทยี บความเป็นผเู้ จรญิ กบั ผทู้ ล่ี า้ หลงั

จ. เป็นเคร่อื งมอื ทท่ี าใหม้ นุษยม์ คี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ขี น้ึ

๓. ขอ้ ใดจดั เป็นคตธิ รรม

ก. คมั ภรี ์ ข. ศาสนา

ค. มารยาทบนโต๊ะอาหาร ง. การเคารพผอู้ าวุโส

จ. กฎหมาย

๔. การหยดุ ทส่ี ญั ญาณไฟจราจร เกย่ี วขอ้ งกบั ขอ้ ใดมากทส่ี ดุ

ก. คตธิ รรม ข. เนตธิ รรม

ค. วตั ถุธรรม ง. สหธรรม

จ. คา่ นยิ ม

๕. ขอ้ ใดคอื ความสาคญั ของสหธรรม

ก. เพอ่ื บง่ บอกถงึ ความเจรญิ ข. เพอ่ื ใหส้ งั คมเป็นระเบยี บ

ค. เพอ่ื ขดั เกลาจติ ใจของคนในสงั คม ง. เพอ่ื ใหอ้ ยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ

จ. เพอ่ื เป็นสง่ิ ยดึ เหน่ยี วจติ ใจ

๒๗

๖. บา้ นเรอื นไทยมใี ตถ้ ุนสงู และหลงั คาจวั่ สงู เพราะไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากขอ้ ใดมากทส่ี ดุ

ก. ปจั จยั ทางภูมศิ าสตร์ ข. อทิ ธพิ ลจากตะวนั ตก

ค. งบประมาณ ง. วฒั นธรรมจนี

จ. พระพุทธศาสนา

๗. ขอ้ ใดไมใ่ ช่เอกลกั ษณ์ของการแพทยแ์ ผนไทย

ก. ยาสมนุ ไพร ข. ยาตารบั ลบั

ค. การนวดประคบ ง. การฝงั เขม็

จ. ยาผบี อก

๘. คาว่า “ระบอบประชาธปิ ไตย” สะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่าคนไทยใหค้ วามสาคญั กบั คนกลุ่มใด

ก. มวลชน ข. ทหาร

ค. ผนู้ าทางศาสนา ง. นายทุน

จ. พระมหากษตั รยิ ์
๙. ขอ้ ใดไม่ใชค่ ่านิยมทเ่ี ป็นปญั หาสงั คมทเ่ี กดิ ขน้ึ ในปจั จบุ นั

ก. ครอบครวั หย่ารา้ งมากขน้ึ

ข. พอ่ แม่ฝากบตุ รหลานไวก้ บั ปยู่ ่าตายาย

ค. เยาวชนเหน็ วา่ การสบู บหุ รเ่ี ป็นสงิ่ โกเ้ ก๋

ง. ผคู้ นมุ่งการเอาตวั รอดเป็นหลกั

จ. ทงั้ คนจนและคนรวย ผคู้ นใชช้ วี ติ แบบพอเพยี ง

๑๐. ขอ้ ใดไมจ่ ดั เป็นการเปลย่ี นแปลงทางดา้ นวฒั นธรรม

ก. เดก็ ไทยนิยมแตง่ ตวั แบบเกาหลี

ข. คนไทยจงรกั ภกั ดตี ่อสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์

ค. อนิ เทอรเ์ น็ตเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลในการคา้ ขายยคุ ปจั จบุ นั

ง. บา้ นคนไทยในปจั จบุ นั นิยมกอ่ อฐิ เป็นบา้ นสองชนั้

จ. การใชเ้ ครอ่ื งจกั รกลในการเกษตร

๑๑. ขอ้ ใดจดั เป็นค่านยิ มทเ่ี ยาวชนไทยควรยดึ ถอื

ก. เคารพกฎหมายบา้ นเมอื ง ข. รกั ษาวฒั นธรรมไทย

ค. เรยี นหนงั สอื ใหเ้ กง่ ง. เคารพผอู้ าวโุ ส

จ. ถูกทุกขอ้

๒๘

๑๒. จติ สาธารณะจะเกดิ ขน้ึ ไม่ได้ หากบคุ คลในสงั คมขาดคุณธรรมในขอ้ ใด

ก. ความโลภ ข. ความเหน็ แกต่ วั

ค. ความประมาท ง. ความพยายามผกู ใจเจบ็

จ. ความเกยี จครา้ น
๑๓. การปลกู ฝงั ใหบ้ คุ คลรกั การชว่ ยเหลอื สงั คม ควรใหค้ านึงถงึ สง่ิ ตอบแทนขอ้ ใดมากทส่ี ดุ

ก. รางวลั เป็นอามสิ สนิ จา้ ง ข. คาขอบคณุ

ค. ความภมู ใิ จทไ่ี ดช้ ว่ ยเหลอื ผูอ้ น่ื ง. การประกาศเกยี รตคิ ุณ

จ. ช่อื เสยี ง

๑๔. ขอ้ ใดไมจ่ ดั เป็นคณุ ค่าของการปลกู ฝงั ใหค้ นในชาตเิ ป็นผมู้ คี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม

ก. ประเทศชาตพิ ฒั นาไดอ้ ยา่ งมนั่ คง

ข. สงั คมมรี ะเบยี บเรยี บรอ้ ย

ค. สงั คมมคี วามสามคั คี

ง. สมาชกิ อย่รู ่วมกนั อย่างมคี วามสขุ

จ. ชว่ ยใหไ้ ทยเป็นผนู้ าในภมู ภิ าคอาเซยี น

๑๕. ขอ้ ใดไม่อย่ใู นค่านยิ มหลกั ของคนไทย ๑๒ ประการ

ก. รกั ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์

ข. มคี วามซ่อื สตั ยส์ จุ รติ

ค. กตญั ญตู ่อพอ่ แม่ ครบู าอาจารย์

ง. มรี ะเบยี บวนิ ยั เคารพกฎหมาย

จ. สนบั สนุนความชอบธรรมการปฏวิ ตั ริ ฐั ประหาร

เฉลยแบบประเมนิ ผลการเรียนรูก้ ่อนเรียน/หลงั เรียน

๑ ข ๔ ข ๗ ง ๑๐ ข ๑๓ ค
๒ ง ๕ ง ๘ ง ๑๑ จ ๑๔ จ
๓ ข ๖ ก ๙ จ ๑๒ ข ๑๕ จ

๒๙

๓๐

๓๑

๓๒

๓๓

บนั ทึกหลงั การสอน

ขอ้ สรปุ หลงั กำรสอน
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
ปัญหำท่ีพบ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
แนวทำงแกป้ ัญหำ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

๓๔

แผนการจดั การเรียนร้แู บบบูรณาการท่ี ๕ หน่วยที่ ๔
สอนครงั้ ท่ี ๙-๑๐
รหสั วิชา ๒๐๐๐–๑๕๐๑ วิชา หน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม จานวน ๒ ชวั่ โมง
ช่ือหน่วย/เรอ่ื ง การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์

ทรงเป็นประมุข

จดุ ประสงคร์ ายวิชา

๒. ปฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดตี ามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
๓. ปฏบิ ตั ติ นเป็นศาสนกิ ชนทด่ี ตี ามหลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถอื
๔. ตระหนกั ถงึ การดารงชวี ติ ทถ่ี กู ตอ้ งดงี ามในฐานะศาสนกิ ชนและพลเมอื งดี

สมรรถนะรายวิชา

๑. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทพ่ี ลเมอื งดี และหลกั ธรรม
ของศาสนา

๒. วเิ คราะหห์ ลกั การของวฒั นธรรม คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ
พอเพยี งเพอ่ื ใชใ้ นการดารงชวี ติ

๓. นาหลกั ศาสนา หลกั ธรรม และหลกั กฎหมาย มาประยุกตใ์ ชเ้ พอ่ื การเป็นพลเมอื งดี

สาระสาคญั

ประเทศไทยมกี ารปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุขมาตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๗๕
เป็นการปกครองโดยประชาชน เพ่อื ประชาชน อานาจอธปิ ไตยจงึ เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษตั รยิ ท์ รง
ใชอ้ านาจอธปิ ไตยผ่านทางรฐั สภา คณะรฐั มนตรี และศาลตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนูญ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
มคี วามสาคญั อย่างยงิ่ ต่อสงั คมไทย ทรงมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาประเทศ แกป้ ญั หาความทุกขแ์ ละเสรมิ สรา้ งความสุข
ใหแ้ ก่ประชาชนในทุกดา้ น คนไทยทุกคนจะตอ้ งร่วมกนั ธารงรกั ษาไวซ้ ง่ึ ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์
ทรงเป็นประมุขใหม้ คี วามมนั่ คงถาวรตลอดไป

ผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวงั

๑. อธบิ ายหลกั การสาคญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุขได้

๒. เปรยี บเทยี บรปู แบบของรฐั ได้

๓. สรุปฐานะและพระราชอานาจของพระมหากษตั รยิ ไ์ ด้

๔. มกี ารพฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา

สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเร่อื ง

๑. ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ ๒. ความมวี นิ ยั

๓. ความรบั ผดิ ชอบ ๔. ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

๕. ความเช่อื มนั่ ในตนเอง ๖. การประหยดั

๓๕

๗. ความสนใจใฝร่ ู้ ๘. การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั
๙. ความรกั สามคั คี ๑๐. ความกตญั ญกู ตเวที

สาระการเรยี นรู้

๑. การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
๒. รปู แบบของรฐั
๓. การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
๔. ฐานะและพระราชอานาจของพระมหากษตั รยิ ์

กิจกรรมการเรยี นรู้

ขนั้ นาเข้าส่บู ทเรียน
๑. ครูใช้ประเด็นคาถามว่า “นักเรียนมีความเห็นอย่างไรเก่ียวกบั สทิ ธิเสรีภาพ” เพ่ือให้นักเรยี น
อภปิ รายและแสดงความคดิ เหน็ ร่วมกนั ครเู ช่อื มโยงกบั หลกั การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย

ขนั้ สอน
๒. ครูอธิบายเร่ืองรูปแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ๓ แบบ ได้แก่ แบบรัฐสภา
แบบประธานาธบิ ดี และแบบกง่ึ รฐั สภากง่ึ ประธานาธบิ ดี โดยใชส้ อ่ื การสอนประเภทต่างๆ
๓. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อธบิ ายสรปุ รปู แบบการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยของไทย
๔. ครูฉายวีดิทัศน์เร่ืองพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนร่วมอภิปรายถึง
คุณธรรมความดขี องพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั

ขนั สรปุ และการประยกุ ต์
๕. ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปความรกั และความเสยี สละของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ท่ที รงมีต่อ
ประชาชน
๖. ใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น ทุกคนช่วยกนั เฉลย นกั เรยี นตรวจคาตอบของตนเอง บนั ทกึ ไว้
เพอ่ื วเิ คราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บกบั ผลคะแนนของแบบทดสอบก่อนเรยี น
๗. ใหน้ กั เรยี นทาใบงาน และแบบทดสอบทา้ ยหน่วยการเรยี นรู้

ส่ือและแหล่งการเรียนรู้

๑. หนงั สอื เรยี น วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม ของบรษิ ทั สานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ จากดั
๒ ใบงาน
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. แบบประเมนิ ตนเอง
๕. สอ่ื PowerPoint วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม

๓๖

หลกั ฐาน

๑. การตรวจใบงาน กจิ กรรม คาถาม
๒. การเชค็ ช่อื เขา้ เรยี น
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. บนั ทกึ พฒั นาการความดี

การวดั ผลและการประเมินผล

วิธีวดั ผล
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุม่
๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๔. ตรวจคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน
๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๗. ตรวจบนั ทกึ ความดี

เครอื่ งมอื วดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยคร)ู
๓. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุม่ (โดยนกั เรยี น)
๔. คาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน จากหนงั สอื เรยี นวชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ โดยครูและนักเรยี น

รว่ มกนั ประเมนิ
๗. บนั ทกึ ความดี

เกณฑก์ ารประเมินผล
๑. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ตอ้ งไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรุง
๒. เกณฑผ์ า่ นการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๓. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๔. ตอบคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นรแู้ ละทาใบงานไดท้ ุกใบงานจงึ จะถอื วา่ ผา่ นการประเมนิ
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑผ์ า่ น คอื พอใช้ (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๖. แบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อยกู่ บั การประเมนิ

ตามสภาพจรงิ
๗. การบนั ทึกความดีไม่มเี กณฑ์ ให้นักเรียนบนั ทึกตามสภาพจรงิ แต่นักเรียนจะสามารถทราบ

ผลการบนั ทกึ ความดดี ว้ ยการนาขอ้ มลู บนั ทกึ ความดใี นแต่ละครงั้ มาเขยี นกราฟแสดงจะเหน็
พฒั นาการความดขี องตนเองลงในแบบพฒั นาความดที อ่ี ย่ดู า้ นหลงั ของหน้าปกหนงั สอื เรยี น

๓๗

กิจกรรมเสนอแนะ

ใหน้ กั เรยี นทาบนั ทกึ ความดแี ละนาผลไปลงในแผนพฒั นาการความดี

๓๘

แบบประเมินผลการเรยี นร้กู ่อนเรียน/หลงั เรียน

จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ต้องที่สดุ

๑. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลกั การสาคญั ในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ

ก. พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นผนู้ าในการบรหิ ารประเทศ

ข. พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นกลางทางการเมอื ง
ค. ผใู้ ดจะกลา่ วโทษฟ้องรอ้ งพระมหากษตั รยิ ใ์ นทางใดๆ มไิ ด้

ง. ผสู้ นองพระบรมราชโองการเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบภารกจิ ต่างๆ

จ. ไมม่ ขี อ้ ใดถูก

๒. พระมหากษตั รยิ ท์ รงใชอ้ านาจนติ บิ ญั ญตั ผิ ่านทางใด

ก. รฐั สภา ข. รฐั บาล

ค. ศาล ง. คณะรฐั มนตรี

จ. นายกรฐั มนตรี

๓. พระมหากษตั รยิ ท์ รงใชอ้ านาจบรหิ ารผ่านทางใด

ก. รฐั สภา ข. รฐั บาล

ค. ศาล ง. คณะรฐั มนตรี

จ. องคมนตรี

๔. ขอ้ ใดเป็นฐานะของพระมหากษตั รยิ ต์ ามรฐั ธรรมนูญ

ก. ทรงเป็นประธานการประชมุ รฐั สภา ข. ทรงเป็นศนู ยร์ วมจติ ใจของคนไทยทงั้ ประเทศ

ค. ทรงเป็นทป่ี รกึ ษาของรฐั บาล ง. ทรงดารงตาแหน่งจอมทพั ไทย

จ. ทรงเป็นพุทธมามกะและอคั รศาสนูปถมั ภก

๕. ขอ้ ใดเป็นพระราชอานาจของพระมหากษตั รยิ ต์ ามรฐั ธรรมนูญ

ก. การพระราชทานปรญิ ญาบตั ร ข. ทรงกอ่ ตงั้ โครงการตามแนวพระราชดาริ

ค. ทรงแตง่ ตงั้ องคมนตรี ง. ทรงเป็นพุทธมามกะ

จ. ทรงเป็นศนู ยร์ วมแหง่ ความสามคั คี

๖. ขอ้ ใดเป็นฐานะของพระมหากษตั รยิ ต์ ามโบราณราชประเพณี

ก. พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นศนู ยร์ วมจติ ใจของคนไทยทงั้ ชาติ

ข. พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นจอมทพั ไทย

ค. พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นองคอ์ คั รศาสนูปถมั ภก

ง. พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นพทุ ธมามกะ

จ. พระมหากษตั รยิ ม์ พี ระราชอานาจทจ่ี ะตกั เตอื นแกร่ ฐั บาล

๓๙

๗. ขอ้ ใดเป็นพระปฐมบรมราชโองการ
ก. เราจกั ครองแผ่นดนิ ดว้ ยความยตุ ธิ รรมเพ่อื ความสขุ ของประชาราษฎร
ข. เพอ่ื ประโยชน์สขุ แหง่ มหาชนชาวสยาม เราจกั ครองแผ่นดนิ โดยธรรม
ค. เราจกั ครองแผ่นดนิ โดยธรรม เพอ่ื ประโยชน์สขุ แหง่ มหาชนชาวสยาม
ง. เราจกั ครองแผ่นดนิ โดยธรรม เพอ่ื ยงั ประโยชนใ์ หก้ บั ประชาชน
จ. เราจกั ครองแผน่ ดนิ โดยยตุ ธิ รรม เพอ่ื ประโยชน์สขุ แห่งสยามประเทศ

๘. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลกั การสาคญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
ก. อานาจอธปิ ไตยเป็นของประชาชน
ข. การยดึ ถอื กฎหมเู่ ป็นกตกิ าในการอยรู่ ว่ มกนั
ค. การอย่รู ว่ มกนั ของประชาชนโดยเท่าเทยี มกนั
ง. การยอมรบั เสยี งสว่ นใหญ่ของคนในสงั คม
จ. ถูกทุกขอ้

๙. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยแบบรฐั สภา
ก. รฐั สภาตรากฎหมายดว้ ยความเหน็ ชอบของนายกรฐั มนตรี
ข. ประมุขของรฐั อาจเป็นประธานาธบิ ดหี รอื กษตั รยิ แ์ ต่ไมไ่ ดร้ บั ผดิ ชอบบรหิ ารประเทศ
ค. การแยกอานาจระหวา่ งอานาจนติ บิ ญั ญตั ิ อานาจบรหิ าร อานาจตุลาการเป็นไปโดยเดด็ ขาด
ง. ฝา่ ยบรหิ ารไมส่ ามารถยบุ สภาได้
จ. ถกู ทกุ ขอ้

๑๐. ประเทศใดปกครองระบอบประชาธปิ ไตยแบบรฐั สภา
ก. องั กฤษ ฝรงั่ เศส ญป่ี นุ่
ข. สหรฐั อเมรกิ า องั กฤษ ฝรงั่ เศส
ค. สหรฐั อเมรกิ า อนิ โดนีเซยี ไทย
ง. ไทย องั กฤษ ญป่ี ุน่
จ. ญป่ี นุ่ ฝรงั่ เศส สหรฐั อเมรกิ า

เฉลยแบบประเมินผลการเรยี นรู้ ก่อนเรียน/หลงั เรียน

๑ ก๓ ข ๕ค๗ค ๙ข
๒ ก ๔ ง ๖ ก ๘ ข ๑๐ ง

๔๐

๔๑

๔๒

บนั ทึกหลงั การสอน

ขอ้ สรปุ หลงั การสอน
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
ปัญหาท่ีพบ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
แนวทางแกป้ ัญหา
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

๔๓

แผนการจดั การเรียนร้แู บบบรู ณาการท่ี ๖ หน่วยท่ี ๕
สอนครงั้ ท่ี ๑๑-๑๒
รหสั วิชา ๒๐๐๐–๑๕๐๑ วิชา หน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม จานวน ๒ ชวั่ โมง
ช่ือหน่วย/เรอ่ื ง สทิ ธแิ ละหน้าทข่ี องพลเมอื งดตี ามระบอบประชาธปิ ไตย

จดุ ประสงคร์ ายวิชา

๑. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทข่ี องพลเมอื งดแี ละ
หลกั ธรรมของศาสนา

๒. ปฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดตี ามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
๓. ปฏบิ ตั ติ นเป็นศาสนิกชนทด่ี ตี ามหลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถอื
๔. ตระหนกั ถงึ การดารงชวี ติ ทถ่ี กู ตอ้ งดงี ามในฐานะศาสนกิ ชนและพลเมอื งดี

สมรรถนะรายวิชา

๑. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทพ่ี ลเมอื งดี และหลกั ธรรม
ของศาสนา

๓. นาหลกั ศาสนา หลกั ธรรม และหลกั กฎหมาย มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื การเป็นพลเมอื งดี

สาระสาคญั

การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดตี ามวถิ ปี ระชาธปิ ไตย ประกอบดว้ ยการปฏบิ ตั ติ นตามสถานภาพ
บทบาท สทิ ธิ เสรภี าพ และหน้าท่ี โดยยดึ หลกั กฎหมาย ไม่ละเมดิ สทิ ธเิ สรภี าพของบคุ คลอ่นื เป็นการปฏบิ ตั ติ น
อย่างถูกต้องในฐานะของพลเมอื งดี อกี ทงั้ ต้องสนับสนุน ส่งเสรมิ ใหบ้ ุคคลอ่นื มคี ่านิยม คุณธรรม จรยิ ธรรม ท่ี
ถูกตอ้ งดงี ามซง่ึ ถอื ปฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดดี ว้ ย จงึ จะนาสนั ตสิ ขุ มาสสู่ งั คมได้

ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวงั

๑. รแู้ ละเขา้ ใจสทิ ธขิ องพลเมอื ง

๒. อธบิ ายแนวทางการคมุ้ ครองสทิ ธขิ องพลเมอื ง

๓. บอกบทบาทหน้าทข่ี องเยาวชนในฐานะพลเมอื งของประเทศ

๔. มกี ารพฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา

สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเร่อื ง

๑. ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ ๒. ความมวี นิ ยั

๓. ความรบั ผดิ ชอบ ๔. ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

๕. ความเช่อื มนั่ ในตนเอง ๖. การประหยดั
๗. ความสนใจใฝร่ ู้ ๘. การละเวน้ สง่ิ เสพตดิ และการพนนั

๙. ความรกั สามคั คี ๑๐. ความกตญั ญกู ตเวที

๔๔

สาระการเรยี นรู้

๑. สทิ ธขิ องพลเมอื ง
๒. เสรภี าพของพลเมอื ง
๓. บทบาท หน้าทข่ี องเยาวชนในฐานะพลเมอื งของประเทศ

กิจกรรมการเรียนรู้

ขนั้ นาเข้าส่บู ทเรียน
๑. ใหน้ ักเรยี นดูภาพ บุคคลสาคญั และใหน้ ักเรยี นช่วยกนั บอกสทิ ธิ และสถานภาพต่างๆ ของบุคคล
ดงั กล่าว

ขนั้ สอน (วิธีสอนแบบ Jigsaw)
๒. ใหน้ กั เรยี นทาใบงาน จากนนั้ ครแู ละนกั เรยี นชว่ ยกนั เฉลยใบงาน นกั เรยี นแลกเปลย่ี นกนั ตรวจคาตอบ
ครอู ธบิ ายเรอ่ื ง สทิ ธขิ องพลเมอื ง และเสรภี าพของพลเมอื ง โดยใชส้ อ่ื การสอนประเภทต่างๆ
๓. ครูจัดการเรียนรู้เร่ือง สถานภาพและบทบาท โดยการศึกษาจากกรณีตัวอย่าง ตามขนั้ ตอน
ต่อไปน้ี

 แบ่งนักเรยี นเป็นกลุ่มย่อย กล่มุ ละ ๕-๖ คน คละความสามารถ เก่ง ปานกลาง ออ่ น เลอื กหวั หน้า
และเลขานุการกลมุ่

 ครใู หน้ กั เรยี นทุกกลมุ่ ทากจิ กรรมดงั น้ี

▪ ใหส้ มาชกิ ทุกคนในกลุ่มศกึ ษาคน้ ควา้ ตวั อย่างของบุคคลท่มี บี ทบาทสอดคลอ้ งกบั สถานภาพ

มากรณลี ะ ๑ ตวั อยา่ ง อาจเป็นบคุ คลใกลช้ ดิ หรอื บคุ คลในขา่ ว และสรปุ ไวเ้ ป็นขอ้ มลู เพอ่ื นามาอภปิ รายในกล่มุ

▪ สมาชิกแต่ละคนนาข้อสรุปของตนเองมาร่วมกนั อภิปรายและวิเคราะห์ตามประเด็น

ดงั ต่อไปน้ี
- การทบ่ี คุ คลมบี ทบาทสอดคลอ้ งกบั สถานภาพสง่ ผลต่อสงั คมอยา่ งไร
- ผลกระทบทางสงั คมต่อกรณที บ่ี คุ คลมบี ทบาทขดั แยง้ กบั สถานภาพเป็นอย่างไร

▪ หลงั จากนนั้ ใหบ้ นั ทกึ ไวเ้ ป็นขอ้ สรปุ ของกลมุ่

 ทุกกลุ่มนาข้อสรุปของกลุ่มตนเองมาอภิปรายร่วมกนั ในท่ีประชุมใหญ่ของชนั้ เรียน เพ่ือ
แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และหาขอ้ สรปุ ร่วมกนั

 ระดมสมองเพ่อื หาแนวทางในการส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นทุกคนปฏบิ ตั ติ นใหถ้ ูกต้องตามสถานภาพ
และบทบาทของตนเอง แลว้ ทาเป็นใบปลวิ เพ่อื เผยแพร่ไปยงั นกั เรยี นคนอ่นื ๆ ในโรงเรยี น

๔๕

ขนั้ สรปุ และการประยกุ ต์
๔. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ สาระสาคญั และแนวคดิ ทไ่ี ดจ้ ากการทากจิ กรรม
๕. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเพ่ือให้เกิดการตระหนักในการปฏิบัติหน้าท่ีตามบทบาทและ
สถานภาพของตนเองใหถ้ ูกตอ้ ง
๖. นดั หมายนกั เรยี นไปศกึ ษาคน้ ควา้ ทแ่ี หลง่ เรยี นรตู้ ่างๆ แลว้ สรปุ ในชวั่ โมงถดั ไป

สื่อและแหล่งการเรียนรู้

๑. หนงั สอื เรยี น วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม ของบรษิ ทั สานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ จากดั
๒ ใบงาน
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. แบบประเมนิ ตนเอง
๕. สอ่ื PowerPoint วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม

หลกั ฐาน

๑. การตรวจใบงาน กจิ กรรม คาถาม
๒. การเชค็ ชอ่ื เขา้ เรยี น
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. บนั ทกึ พฒั นาการความดี

การวดั ผลและการประเมินผล

วิธีวดั ผล
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล
๒. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม
๔. ตรวจคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน
๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๗. ตรวจบนั ทกึ ความดี

เครอ่ื งมือวดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยคร)ู
๓. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยนกั เรยี น)
๔. คาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน จากหนังสอื เรยี นวชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ โดยครูและนักเรยี น

ร่วมกนั ประเมนิ

๔๖

๗. บนั ทกึ ความดี

เกณฑก์ ารประเมินผล
๑. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ตอ้ งไมม่ ชี ่องปรบั ปรงุ
๒. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๓. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๔. ตอบคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นรแู้ ละทาใบงานไดท้ กุ ใบงานจงึ จะถอื ว่าผ่านการประเมนิ
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑผ์ า่ น คอื พอใช้ (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๖. แบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อย่กู บั การประเมนิ

ตามสภาพจรงิ
๗. การบนั ทึกความดีไม่มีเกณฑ์ ให้นักเรยี นบนั ทึกตามสภาพจรงิ แต่นักเรยี นจะสามารถทราบ

ผลการบนั ทกึ ความดดี ว้ ยการนาขอ้ มลู บนั ทกึ ความดใี นแต่ละครงั้ มาเขยี นกราฟแสดงจะเหน็
พฒั นาการความดขี องตนเองลงในแบบพฒั นาความดที อ่ี ยดู่ า้ นหลงั ของหน้าปกหนงั สอื เรยี น

กิจกรรมเสนอแนะ

ใหน้ กั เรยี นทาบนั ทกึ ความดแี ละนาผลไปลงในแผนพฒั นาการความดี

๔๗

แบบประเมินผลการเรยี นร้กู ่อนเรียน/หลงั เรียน

จงเลอื กคาตอบที่ถกู ต้องที่สดุ
๑. ขอ้ ใดคอื คณุ สมบตั พิ น้ื ฐานของการเป็นพลเมอื งดี

ก. ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นตามหน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบใหถ้ ูกตอ้ ง
ข. สนบั สนุนพรรคการเมอื งและกจิ กรรมทางการเมอื ง
ค. รกั ษาสทิ ธอิ นั ชอบธรรมของตนเองอยา่ งเครง่ ครดั
ง. ศกึ ษากฎหมายเพ่อื ใหร้ ถู้ งึ สทิ ธขิ องตนเอง
จ. ปฏบิ ตั ติ นเป็นคนดขี องครอบครวั
๒. การปฏบิ ตั หิ น้าทข่ี อ้ ใดไมถ่ กู ต้องตามสถานภาพ
ก. ตารวจคมุ้ ครองวนิ มอเตอรไ์ ซค์
ข. ครสู อนพเิ ศษใหน้ กั เรยี นหลงั เลกิ เรยี น
ค. พ่อแมง่ ดจา่ ยเงนิ ค่าขนมเพ่อื เป็นการลงโทษลกู
ง. หมอทางานโรงพยาบาลเอกชนหลงั เวลาราชการ
จ. นกั ศกึ ษาภาคบา่ ยทางานพเิ ศษช่วงเชา้
๓. “พลเมอื งด”ี หมายถงึ ขอ้ ใด
ก. บุคคลทร่ี กั ษาสทิ ธขิ องตนเอง
ข. บคุ คลทใ่ี ชเ้ สรภี าพของตนในขอบเขตของกฎหมาย
ค. บุคคลทท่ี าหน้าทด่ี ว้ ยความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและผอู้ น่ื
ง. บคุ คลทร่ี จู้ กั บทบาทและหน้าทข่ี องตนเองในสงั คม
จ. บคุ คลทม่ี ชี อ่ื เสยี งเป็นตวั อย่างของวยั รุ่น
๔. ลกั ษณะเดน่ ของพลเมอื งไทยคอื อะไร
ก. มรี ะเบยี บวนิ ยั
ข. มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คม
ค. มคี วามขยนั ขนั แขง็
ง. มคี วามรกั และเทดิ ทนู สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
จ. มคี วามหวงแหนในวฒั นธรรมประเพณี
๕. การขดู ขดี เขยี น บนโต๊ะและเกา้ อน้ี กั เรยี น แสดงว่าขาดความรบั ผดิ ชอบดา้ นใด
ก. การรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ ม
ข. การรกั ษาสาธารณสมบตั ิ
ค. การรกั ษาทรพั ยากร
ง. ดา้ นจรยิ ธรรม
จ. ขาดความรบั ผดิ ชอบทกุ ดา้ น

๔๘

๖. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบของผูเ้ รยี นต่อโรงเรยี นโดยตรง

ก. ปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บของโรงเรยี น

ข. สบื เสาะหาการเสพสารเสพตดิ ในโรงเรยี น

ค. ตงั้ ใจเรยี นและประพฤตติ นเป็นคนดี
ง. เช่อื ฟงั คาสงั่ สอนของครอู าจารย์

จ. เขา้ รว่ มกจิ กรรมต่างๆ ในโรงเรยี น

๗. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หน้าทข่ี องผเู้ รยี นต่อครอบครวั

ก. ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมทางศาสนาทต่ี นนบั ถอื
ข. เช่อื ฟงั และปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ สอนของพ่อแม่

ค. ประหยดั และเกบ็ ออมเงนิ

ง. ดแู ลชว่ ยเหลอื โดยการทารายงานใหน้ ้อง

จ. ดแู ลสวนหลงั บา้ นในวนั หยุด

๘. ตวั อย่างขอ้ ใดแสดงถงึ ความมนี ้าใจ

ก. จงู คนแกข่ า้ มถนน ข. ขอบคุณพอ่ แม่เมอ่ื ไดร้ บั เงนิ ค่าขนม

ค. ทาเวรทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ง. ทาการบา้ นใหเ้ พอ่ื น

จ. ชกั ชวนเพอ่ื นไปชมนิทรรศการตา่ งๆ

๙. ขอ้ ใดแสดงถงึ การมสี ว่ นรว่ มในการสบื ทอดวฒั นธรรมประเพณีอนั ดงี ามและรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ ม
ก. ลอยกระทงดว้ ยกระทงทท่ี าจากขนมปงั อดั

ข. ไปรว่ มงานแหเ่ ทยี นพรรษา

ค. ใชน้ ้าอบไทยรดน้าดาหวั ผูใ้ หญ่ในวนั สงกรานต์

ง. ทาบญุ ตกั บาตรเพ่อื เป็นสริ มิ งคลในวนั ปีใหม่

จ. งดซอ้ื ดอกกุหลาบในวนั วาเลนไทน์
๑๐. คณุ ธรรมทส่ี าคญั ทส่ี ดุ ในการแกป้ ญั หาสงั คมไทยปจั จบุ นั คอื อะไร

ก. ความสนั โดษ ข. ความเพยี ร

ค. ความสามคั คี ง. ความประหยดั

จ. ความมสี ติ

เฉลยแบบประเมินผลการเรียนรกู้ ่อนเรียน/หลงั เรยี น

๑ ก๓ค ๕ ง ๗ ง ๙ก
๒ ก ๔ ง ๖ ข ๘ ก ๑๐ ค

๔๙

๕๐

๕๑

บนั ทึกหลงั การสอน

ขอ้ สรปุ หลงั การสอน
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
ปัญหาที่พบ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
แนวทางแก้ปัญหา
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

๕๒

แผนการจดั การเรียนรแู้ บบบรู ณาการท่ี ๗ หน่วยที่ ๖
สอนครงั้ ที่ ๑๓-๑๔
รหสั วิชา ๒๐๐๐–๑๕๐๑ วิชา หน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม จานวน ๒ ชวั่ โมง
ชื่อหน่วย/เรอ่ื ง พลเมอื งดตี ามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

จดุ ประสงคร์ ายวิชา

๑. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทข่ี องพลเมอื งดแี ละ
หลกั ธรรมของศาสนา

๒. ปฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดตี ามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
๓. ปฏบิ ตั ติ นเป็นศาสนกิ ชนทด่ี ตี ามหลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถอื
๔. ตระหนกั ถงึ การดารงชวี ติ ทถ่ี กู ตอ้ งดงี ามในฐานะศาสนกิ ชนและพลเมอื งดี

สมรรถนะรายวิชา

๑. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทพ่ี ลเมอื งดี และหลกั ธรรม
ของศาสนา

๒. วเิ คราะหห์ ลกั การของวฒั นธรรม คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ
พอเพยี งเพ่อื ใชใ้ นการดารงชวี ติ

๓. นาหลกั ศาสนา หลกั ธรรม และหลกั กฎหมาย มาประยุกตใ์ ชเ้ พ่อื การเป็นพลเมอื งดี

สาระสาคญั

พลเมอื งดี คอื พลเมอื งทม่ี คี ุณภาพ มคี วามรู้ ความสามารถ มสี ว่ นร่วมในการสรา้ งความเจรญิ กา้ วหน้า
ใหก้ บั บา้ นเมอื ง มคี วามรบั ผดิ ชอบ การปฏบิ ตั ติ ามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งคอื วธิ หี น่ึงของการปฏบิ ตั ติ น
เพ่อื ใหเ้ ป็นพลเมอื งดี

ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวงั

๑. บอกหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งได้

๒. ปฏบิ ตั หิ น้าทพ่ี ลเมอื งดตี ามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งได้

๓. มกี ารพฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา

สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเร่อื ง

๑. ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ ๒. ความมวี นิ ยั

๓. ความรบั ผดิ ชอบ ๔. ความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ

๕. ความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง ๖. การประหยดั
๗. ความสนใจใฝร่ ู้ ๘. การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั

๙. ความรกั สามคั คี ๑๐. ความกตญั ญกู ตเวที

๕๓

สาระการเรยี นรู้

๑. หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
๒. พลเมอื งดตี ามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

กิจกรรมการเรยี นรู้

ขนั้ นาเขา้ ส่บู ทเรยี น
๑. ครแู ละนักเรยี นสนทนาเก่ยี วกบั ปรชั ญาหรอื แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เป็นแนวพระราชดาริ
ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดชฯ ทพ่ี ระราชทานแก่พสกนิกรมาตงั้ แต่พุทธศกั ราช ๒๕๑๗
โดยทรงเน้นถึงแนวทางสาคญั ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ความตอนหน่ึงว่า “...การพฒั นาประเทศ จาเป็นต้องทา
ตามลาดบั ขนั้ ตอ้ งสรา้ งพน้ื ฐานคอื ความพอมี พอกนิ พอใช้ ของประชาชนสว่ นใหญ่เป็นเบอ้ื งตน้ ก่อน...” และทรง
ย้าอกี ครงั้ หน่งึ ซง่ึ เป็นครงั้ สาคญั ต่อจติ สานกึ ของคนทงั้ ประเทศ
๒. นกั เรยี นยกตวั อยา่ งคาวา่ “พอเพยี ง” ตามความเขา้ ใจของตนเอง
๓. ครอู ภปิ ราย “(คาว่าพอเพยี ง) ...ไมไ่ ดห้ มายความว่าทุกครอบครวั จะตอ้ งผลติ อาหารของตวั จะตอ้ ง
ทอผ้าใส่เอง อย่างนัน้ มนั เกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอาเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่ง
บางอย่างผลติ มากกว่าความต้องการ (ทจ่ี ะเอาไวบ้ รโิ ภคเอง) กข็ ายได้ แต่ขายในทไ่ี ม่ห่างไกลนกั ไม่ต้องเสยี ค่า
ขนสง่ มากนกั ...” “...ปจั จุบนั น้ีจะปฏบิ ตั เิ ศรษฐกจิ พอเพยี ง ๑๐๐ เปอรเ์ ซน็ ต์คงทาไม่ได้ ปฏบิ ตั เิ ศรษฐกจิ พอเพยี ง
พอเพยี งครอบครวั ละเศษหน่งึ ส่วนสก่ี น็ ่าจะพอ...” (ทาใหไ้ ดห้ น่ึงส่วนแลว้ ค่อยขยายเท่าทก่ี าลงั สามารถจะทาได้)
การปฏบิ ตั เิ ศรษฐกจิ พอเพยี งวธิ หี น่ึง คอื ผลติ ไวใ้ ช้ “...คนเราถ้าพอในความต้องการ กม็ คี วามโลภน้อย เม่อื มี
ความโลภน้อย กเ็ บยี ดเบยี นคนอ่นื น้อย...”
๔. นกั เรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี นประมาณ ๑๐ นาที แลว้ สลบั กนั ตรวจ

ขนั้ สอน
๕. ครอู ธบิ ายหลกั แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี งโดยเปิดวดี ทิ ศั น์ใหน้ กั เรยี นดู
๖. ครูบอกแนวการปฏบิ ตั ทิ เ่ี หน็ เป็นรูปธรรม เกดิ มาจากการยดึ มนั่ ในระบบพอเพยี งก่อน เม่อื ยดึ มนั่
หรือมีฐานท่ีมนั่ คงแล้ว การจะลงมือปฏิบัติก็ต้องให้สอดคล้องกับความตัง้ ใจ หรอื อุดมการณ์นัน้ จากแนว
พระราชดาริ สามารถแยกออกเป็นแนวปฏบิ ตั ไิ ด้ ดงั น้ี

๑) ผลติ ไว้ใช้ เม่ือจะผลิตบางส่งิ บางอย่างควรเร่ิมต้นจากการผลติ สาหรบั ครอบครวั ก่อน ให้
พอเพยี งต่อการดารงชพี ของคนในครอบครวั ตนเอง

๒) ผลติ ไว้ขาย เม่อื ผลติ เพยี งพอต่อความตอ้ งการในครอบครวั แล้ว หากผลผลติ ทไ่ี ด้เหลอื หรอื
เกนิ ความจาเป็นสามารถจดั สรรหรอื แปรใหเ้ ป็นรายได้ โดยการนาออกจาหน่าย ขายออก แต่ควรเรมิ่ ตน้ จากการ
ขายในบรเิ วณชุมชนของตนเอง ซง่ึ ไมต่ อ้ งใชต้ น้ ทุนเพมิ่ เชน่ คา่ ขนสง่ ค่าเสยี เวลา

๕๔

๓) ไม่โลภมากจนเบยี ดเบยี นผอู้ น่ื ผดู้ ารงชวี ติ แบบพอเพยี ง จะตงั้ อย่ใู นความไม่เบยี ดเบยี นแมม้ ี
ความปรารถนาต้องการกไ็ ม่เกนิ ประมาณมากนัก คอื ไม่โลภจนกลายเป็นลุ่มหลง ไม่จงใจทาใหผ้ ู้อ่นื เดอื ดรอ้ น
เพยี งเพราะเหน็ วา่ ตนจะไดก้ าไร

๗. ครูใช้เทคนิคการอภิปรายเป็นคณะ (Conference) เป็นการชุมนุมอภิปรายระหว่างนักเรยี นเพ่ือ
แลกเปล่ียนความคิดเห็นและประสบการณ์ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นวิทยากรผู้ดาเนินการอภิปรายเร่อื ง
เศรษฐกจิ พอเพยี งใหน้ กั เรยี นฟงั

๘. นกั เรยี นแบ่งกลุ่มจดั ทาแผ่นพบั และออกแบบประชาสมั พนั ธใ์ หค้ วามรเู้ ร่อื ง เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั
แนวทางการดาเนินชวี ติ ตามหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ให้ชุมชนเห็นความสาคญั และเกิดความร่วมมอื
ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมเศรษฐกจิ พอเพยี ง

๙. เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงขอ้ คดิ เหน็ ซกั ถามปญั หาต่างๆ เม่อื จบการอภปิ ราย อาจจะมปี ระเดน็
สาคญั เพอ่ื นาเสนอครู และเพ่อื นรว่ มชนั้ เรยี นซง่ึ อาจมกี ารแกป้ ญั หาต่อไป (ถา้ ม)ี

๑๐. นกั เรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมดงั น้ี
๑) แบง่ กล่มุ กลมุ่ ละ ๕-๖ คน
๒) นักเรียนพิจารณาถึงปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงท่ีส่งผลท่ีดีต่อนักเรยี นและบุคคลใน

ครอบครวั
๑๑. นกั เรยี นทาใบงาน

ขนั้ สรปุ และการประยกุ ต์
๑๒. ครูและนกั เรยี นสรุปจากการพจิ ารณาแนวคดิ หรอื ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มหี ลกั การสาคญั
๒ ประการ ท่ที าให้เกดิ ผลเชงิ ประจกั ษ์ ได้แก่ (๑) ความพอประมาณ (๒) ความมเี หตุผล ซง่ึ เป็นหลกั อาศยั กนั
และกนั ทาใหเ้ กดิ ภาวะ “พอเพยี ง” ขน้ึ
๑๓. นกั เรยี นทาคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นรู้

ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้

๑. หนงั สอื เรยี น วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม ของบรษิ ทั สานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ จากดั
๒ ใบงาน
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. แบบประเมนิ ตนเอง
๕. สอ่ื PowerPoint วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม

หลกั ฐาน

๑. การตรวจใบงาน กจิ กรรม คาถาม
๒. การเชค็ ชอ่ื เขา้ เรยี น
๓. บนั ทกึ ความดี
๔. บนั ทกึ พฒั นาการความดี

๕๕

การวดั ผลและการประเมินผล

วิธีวดั ผล
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๔. ตรวจคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน
๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๗. ตรวจบนั ทกึ ความดี

เครอื่ งมอื วดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยคร)ู
๓. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ (โดยนกั เรยี น)
๔. คาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน จากหนังสอื เรยี นวชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ โดยครูและนักเรยี น

ร่วมกนั ประเมนิ
๗. บนั ทกึ ความดี

เกณฑก์ ารประเมินผล
๑. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ตอ้ งไมม่ ชี ่องปรบั ปรุง
๒. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๓. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๔. ตอบคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นรแู้ ละทาใบงานไดท้ กุ ใบงานจงึ จะถอื ว่าผา่ นการประเมนิ
๕. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑผ์ ่าน คอื พอใช้ (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๖. แบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อยกู่ บั การประเมนิ

ตามสภาพจรงิ
๗. การบนั ทกึ ความดีไม่มีเกณฑ์ ให้นักเรียนบนั ทกึ ตามสภาพจริง แต่นักเรียนจะสามารถทราบ

ผลการบนั ทกึ ความดดี ว้ ยการนาขอ้ มลู บนั ทกึ ความดใี นแต่ละครงั้ มาเขยี นกราฟแสดงจะเหน็
พฒั นาการความดขี องตนเองลงในแบบพฒั นาความดที อ่ี ย่ดู า้ นหลงั ของหน้าปกหนงั สอื เรยี น

กิจกรรมเสนอแนะ

ใหน้ กั เรยี นทาบนั ทกึ ความดแี ละนาผลไปลงในแผนพฒั นาการความดี

๕๖

แบบประเมินผลการเรยี นร้กู ่อนเรียน/หลงั เรียน

จงเลือกคาตอบที่ถกู ต้องที่สุด

๑. ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งขอ้ ใดทเ่ี น้นมากทส่ี ดุ

ก. การพง่ึ ตนเองได้ ข. การเดนิ ทางสายกลาง

ค. ความสนั โดษ ง. ความพอประมาณ

จ. ความมอี สิ ระ

๒. พลเมอื งดคี วรปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร จงึ จะสอดคลอ้ งกบั หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมากทส่ี ดุ

ก. ขยนั ซ่อื สตั ย์ ประหยดั

ข. ขยนั อดทน มคี วามเพยี รสงู

ค. มคี วามเพยี ร เมตตากรณุ า ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

ง. มคี วามกตญั ญู เมตตากรณุ า ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

จ. ประหยดั อดทน ขยนั

๓. เศรษฐกจิ พอเพยี งตามแนวพระราชดารมิ ลี กั ษณะอย่างไร

ก. พง่ึ ตนเองได้ ผลติ เพอ่ื พออย่พู อกนิ

ข. เป็นการแขง่ ขนั กนั ผลติ บรโิ ภค และซอ้ื ขาย

ค. อาศยั หลกั การสนั โดษ ไม่ยงุ่ เกย่ี วกบั ภายนอก

ง. ผลผลติ ทไ่ี ดเ้ ป็นของสว่ นกลาง โดยนามาแจกจ่ายอยา่ งทวั่ ถงึ กนั

จ. มคี วามประหยดั ผลผลติ สามารถขายได้

๔. พลเมอื งดคี วรปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ภาษติ ขอ้ ใดทส่ี อดคลอ้ งกบั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ข. มวี นิ ยั ใฝค่ วามรู้ เชดิ ชคู ณุ ธรรม
ก. ตวั ใครตวั มนั

ค. พง่ึ จมกู คนอ่นื หายใจ ง. ปลกู เรอื นพอตวั หวหี วั พอเกลา้

จ. ตนเป็นทพ่ี ง่ึ แหง่ ตน

๕. การใช้ “สต”ิ ไมต่ ่นื ตวั ตามกระแส แต่ตงั้ สติ รตู้ วั อย่เู สมอ เรยี กวา่ อะไร

ก. ความไมป่ ระมาท ข. มชั ฌมิ าปฏปิ ทา

ค. โภชเนมตั ตญั ญตุ า ง. อวหิ งิ สา

จ. การรจู้ กั ประมาณตน

๖. “การตดั สนิ ใจซอ้ื สง่ิ ของเพอ่ื ใชส้ อยโดยคานึงว่าตนมสี งิ่ ของทจ่ี ะซอ้ื นนั้ อย่แู ลว้ หรอื ยงั มเี งนิ พอทจ่ี ะซอ้ื หรอื ไม่”

สอดคลอ้ งกบั ขอ้ ใด

ก. รจู้ กั บรโิ ภค ข. รจู้ กั ประมาณ

ค. มธั ยสั ถ์ ง. รจู้ กั ใชท้ รพั ยากร

จ. เหน็ คณุ ค่าอาหารทร่ี บั ประทาน

๕๗

๗. “การไมเ่ ลอื กใชโ้ ฟมบรรจุสง่ิ ของทเ่ี ลอื กซอ้ื ” สอดคลอ้ งกบั ขอ้ ใด

ก. รจู้ กั ประมาณ ข. มธั ยสั ถ์

ค. รจู้ กั การจดั สรร ง. รจู้ กั บรโิ ภค

จ. ไม่เบยี ดเบยี นธรรมชาตสิ ง่ิ แวดลอ้ ม
๘. การรู้จักประหยัดคานึงถึงประโยชน์มากกว่าคานึงถึงความสะดวกสบาย ไม่ใช้ส่ิงของอย่างฟุ่มเฟือย

หมายถงึ ขอ้ ใด

ก. รจู้ กั ประมาณ ข. มธั ยสั ถ์

ค. รจู้ กั เลอื กบรโิ ภค ง. รจู้ กั การจดั สรร

จ. ไม่เบยี ดเบยี นธรรมชาตสิ งิ่ แวดลอ้ ม

๙. “เมอ่ื ซกั ผา้ แลว้ กน็ าน้าทซ่ี กั ผา้ ไปรดน้าตน้ ไม”้ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ ใด

ก. การรกั ษาสมดลุ ข. ไมท่ าลายสงิ่ แวดลอ้ ม

ค. ไม่ใชท้ รพั ยากรเกนิ ความจาเป็น ง. รจู้ กั ประมาณ

จ. เหน็ คณุ คา่ ของสง่ิ แวดลอ้ ม

๑๐. “การไม่ทง้ิ ขยะสงิ่ ปฏกิ ลู ลงในแม่น้าเพราะจะทาใหน้ ้าสะอาดมอี ากาศไหลเวยี น ทาใหส้ งิ่ มชี วี ติ ในน้าสามารถ

อาศยั อยไู่ ด”้ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ ใด

ก. รจู้ กั ประหยดั ข. ไม่ทาลายสง่ิ แวดลอ้ ม

ค. ไมใ่ ชท้ รพั ยากรเกนิ ความจาเป็น ง. รจู้ กั ประมาณ

จ. การไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ น่ื

แบบ เฉลยแบบประเมินผลการเรยี นรกู้ ่อนเรยี น/หลงั เรยี น ๙ก
๑๐ ข
๑ ง๓ ก ๕ก๗ ง
๒ ข๔ ง ๖ข ๘ ข

๕๘

๕๙

๖๐

บนั ทึกหลงั การสอน

ข้อสรปุ หลงั การสอน
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
ปัญหาที่พบ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
แนวทางแก้ปัญหา
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

๖๑

แผนการจดั การเรียนรแู้ บบบรู ณาการท่ี ๘ หน่วยที่ ๗
สอนครงั้ ที่ ๑๕-๑๖
รหสั วิชา ๒๐๐๐–๑๕๐๑ วิชา หน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม จานวน ๒ ชวั่ โมง
ช่ือหน่วย/เรอ่ื ง ศาสนากบั การดาเนนิ ชวี ติ

จดุ ประสงคร์ ายวิชา

๑. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทข่ี องพลเมอื งดี
และหลกั ธรรมของศาสนา

๓. ปฏบิ ตั ติ นเป็นศาสนกิ ชนทด่ี ตี ามหลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถอื
๔. ตระหนกั ถงึ การดารงชวี ติ ทถ่ี ูกตอ้ งดงี ามในฐานะศาสนิกชนและพลเมอื งดี

สมรรถนะรายวิชา

๑. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั สถาบนั ครอบครวั และสถาบนั ทางสงั คม สทิ ธหิ น้าทพ่ี ลเมอื งดี และหลกั ธรรม
ของศาสนา

๓. นาหลกั ศาสนา หลกั ธรรม และหลกั กฎหมาย มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื การเป็นพลเมอื งดี

สาระสาคญั

ศาสนาเป็นสงิ่ จาเป็นแก่ชวี ิต ศาสนาทาให้มนุษย์สามารถอยู่ได้ตามลาพังโดยปราศจากความกลวั
คาสอนในศาสนาต่างๆ มคี วามสาคญั อย่างยงิ่ ในการพฒั นาบุคคลใหม้ ที ศั นคตทิ ด่ี งี าม มคี ุณธรรมประจาตนและ
แนวทางปฏบิ ตั ิอนั ถูกตอ้ ง ศาสนาจะช่วยพฒั นาปรบั ปรุงความคดิ และการกระทาต่างๆ ของบุคคลใหม้ คี ุณภาพ
มากยงิ่ ขน้ึ รวมถงึ การแกป้ ญั หาและขอ้ บกพร่องของตนเองได้ จนสามารถบรรลคุ วามสาเรจ็ ในชวี ติ และพน้ จาก
ความทุกข์ ผูท้ ่พี ฒั นาตนเองแล้วย่อมมศี กั ยภาพและคุณภาพมหี ลกั ปฏบิ ตั อิ นั ถูกต้องและมคี วามพร้อมในการ
สรา้ งประโยชน์สขุ แก่สงั คมส่วนรวม คาสอนของศาสนาจงึ มเี ป้าหมายใหผ้ ศู้ กึ ษาและปฏบิ ตั ติ ามสามารถพฒั นา
ตนเองและสงั คมได้

ผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวงั

๑. อธบิ ายความหมาย จดุ กาเนิด ความสาคญั ของศาสนากบั การดาเนินชวี ติ และลกั ษณะของศาสนาได้

๒. บอกศาสนาสาคญั ของโลกได้

๓. อธบิ ายประเภทของศาสนาได้

๔. มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา

สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเรอ่ื ง

๑. ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ ๒. ความมวี นิ ยั

๓. ความรบั ผดิ ชอบ ๔. ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

๕. ความเช่อื มนั่ ในตนเอง ๖. การประหยดั
๗. ความสนใจใฝร่ ู้ ๘. การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั

๙. ความรกั สามคั คี ๑๐. ความกตญั ญกู ตเวที

๖๒

สาระการเรียนรู้

๑. ความหมายของศาสนา
๒. จดุ กาเนิดของศาสนา
๓. ความสาคญั ของศาสนากบั การดาเนนิ ชวี ติ
๔. ลกั ษณะของศาสนา
๕. ศาสนาสาคญั ของโลก
๖. ประเภทของศาสนา

กิจกรรมการเรยี นรู้

ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรยี น (การสรา้ งศรทั ธา)
๑. ครพู ดู คยุ กบั นกั เรยี นเกย่ี วกบั เรอ่ื งศาสนาเพ่อื เป็นการสรา้ งศรทั ธาใหเ้ กดิ ขน้ึ แก่ผเู้ รยี นวา่ โดยทวั่ ไป
มนุษยไ์ ม่ว่าชาตใิ ดภาษาใด ลว้ นเป็นคนมศี าสนาแทบทงั้ สน้ิ และศาสนาท่ีตนนับถอื ย่อมกาหนดไวแ้ ลว้ ตงั้ แต่เกดิ
มา พ่อแม่ และปู่ย่า ตายาย เคยนับถือศาสนาอะไร ลูกท่เี กดิ มาในครอบครวั กน็ ับถือศาสนานัน้ ด้วย แม้ว่าคน
จานวนหน่ึงอาจไม่มศี าสนา หรอื นับถอื ศาสนาหน่ึงมาตงั้ แต่เกดิ อาจเปลย่ี นไปนับถอื อกี ศาสนาหน่ึงกไ็ ด้ แต่มี
น้อย คนจานวนมากเกดิ ในศาสนาใดกอ็ ยใู่ นศาสนานนั้ และตามปกตกิ ต็ ายอย่ใู นศาสนานนั้

๒. นักเรยี นแข่งขนั กนั ทายปญั หา โดยแบ่งกลุ่ม ๓-๔ กลุ่ม (ตามความเหมาะสม) ให้ตวั แทนเขยี น
ตอบในกระดาษ หรอื ออกมาเขยี นตอบบนกระดานหน้าชนั้ เรยี น โดยครอู ่านคาถามจากบตั รคาถาม ใหแ้ ต่ละกลุ่ม
สลบั กนั ภายในกลุ่มออกมาเขยี นตอบคนละหน่ึงขอ้ ครูกล่าวคายกย่องชมเชยกลุ่มทตี่ อบไดค้ ะแนนมากทส่ี ดุ
เม่อื เฉลยแต่ละขอ้ ใหเ้ ขยี นคะแนนแต่ละกลุม่ บนกระดาน

ขนั้ สอน
๓. นกั เรยี นทาแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๔. ครกู ลา่ วความนาเกย่ี วกบั พระพุทธศาสนา ซง่ึ ศาสนาเป็นเร่อื งของความเช่อื ไมว่ า่ จะเป็นศาสนาใด
ลว้ นมวี ตั ถุประสงคส์ ง่ เสรมิ ความเขา้ ใจดี มสี นั ตติ ่อกนั มุ่งขจดั ความแตกรา้ วระหวา่ งมนุษยชาติ ตอ้ งการใหม้ สี นั ติ
สขุ เกดิ ขน้ึ ในโลก ทุกศาสนาจงึ มพี ธิ ี ศลิ ปะและประเพณเี กย่ี วกบั ศาสนาทเ่ี ป็นการแสดงออกแหง่ ความเชอ่ื ตามแต่

๖๓

ศาสนาของตน จากนนั้ ครอู ธบิ ายความหมายของศาสนา ความสาคญั ของศาสนา ลกั ษณะของศาสนา ประเภท
ของศาสนาและศาสนากบั การดาเนินชวี ติ โดยนารปู ภาพพระพทุ ธศาสนามาแสดงใหน้ กั เรยี นดปู ระกอบ

การดาเนินชวี ติ ของประชาชนควรจะตอ้ งยดึ หลกั ธรรมะ ไม่ว่าจะอย่ใู นฐานะและบทบาทใด เพราะธรรมะ
จะทาให้งานท่ที าอยู่สาเรจ็ ตามความมุ่งหวงั ทงั้ ยงั ช่วยแกไ้ ขปญั หาและอุปสรรคต่างๆ ได้ การปฏบิ ตั ิตามหลกั
ธรรมะนนั้ มไิ ดม้ เี พยี งหลกั ธรรมคาสอนในพระพุทธศาสนาเท่านนั้ ทุกศาสนาต่างกม็ คี าสอนทต่ี อ้ งการใหป้ ระชาชน
ทกุ คนเป็นคนดี อย่ดู ว้ ยกนั อย่างมคี วามสขุ และมนุษยท์ กุ คนตอ้ งมที พ่ี ง่ึ ทางใจ เพอ่ื สรา้ งความมนั่ ใจใหก้ บั ชวี ติ

๕. นักเรียนตอบคาถามเก่ียวกับความหมายของศาสนา ความสาคัญของศาสนา และศาสนามี
ความสาคญั ต่อชวี ติ อย่างไรบา้ ง

ขนั้ สรปุ และการประยกุ ต์
๖. นกั เรยี นสลบั กนั ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หรอื ใหต้ รวจดว้ ยตนเองเพ่อื ทดสอบความซ่อื สตั ย์

โดยดเู ฉลยจากแผ่นใส เสรจ็ แลว้ สง่ ครู
๗. ใหน้ กั เรยี นทาใบงาน

สื่อและแหล่งการเรยี นรู้

๑. หนงั สอื เรยี น วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม ของบรษิ ทั สานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ จากดั
๒. บตั รคาถาม
๓. สอ่ื PowerPoint วชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม

หลกั ฐาน

๑. การตรวจใบงาน กจิ กรรม คาถาม
๒. การเชค็ ช่อื เขา้ เรยี นในวชิ า
๓. บนั ทกึ ความดี

การวดั ผลและการประเมินผล

วิธีวดั ผล
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่
๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกล่มุ
๔. ตรวจคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน
๕. ตรวจบตั รคาถาม/แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๗. ตรวจบนั ทกึ ความดี

เครอ่ื งมือวดั ผล
๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
๒. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยคร)ู
๓. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ (โดยนกั เรยี น)

๖๔

๔. คาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นร/ู้ ใบงาน จากหนังสอื เรยี นวชิ าหน้าทพ่ี ลเมอื งและศลี ธรรม
๕. บตั รคาถาม/แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๖. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ โดยครูและนักเรยี น

ร่วมกนั ประเมนิ
๗. บนั ทกึ ความดี

เกณฑก์ ารประเมินผล
๑. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ตอ้ งไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรงุ
๒. เกณฑผ์ า่ นการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๓. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (๕๐ % ขน้ึ ไป)
๔. ตอบคาถามทา้ ยหน่วยการเรยี นรแู้ ละทาใบงานไดท้ กุ ใบงานจงึ จะถอื ว่าผา่ นการประเมนิ
๕. ตอบคาถามจากบตั รคาถามได้ ๕ คาถาม/แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑผ์ า่ น คอื พอใช้

(๕๐ % ขน้ึ ไป)
๖. แบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อย่กู บั การประเมนิ

ตามสภาพจรงิ
๗. การบนั ทึกความดีไม่มีเกณฑ์ ให้นักเรยี นบนั ทกึ ตามสภาพจริง แต่นักเรียนจะสามารถทราบ

ผลการบนั ทกึ ความดดี ว้ ยการนาขอ้ มูลบนั ทกึ ความดใี นแต่ละครงั้ มาเขยี นกราฟแสดงจะเหน็
พฒั นาการความดขี องตนเองลงในแบบพฒั นาความดที อ่ี ย่ดู า้ นหลงั ของหน้าปกหนงั สอื เรยี น

กิจกรรมเสนอแนะ

ใหน้ กั เรยี นทาบนั ทกึ ความดแี ละนาผลไปลงในแผนพฒั นาการความดี


Click to View FlipBook Version