The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-10-18 09:27:30

การออกแบบการจัดการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้

ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

๔๕

๔. การออกแบบการเรียนรู้ตามสภาพจริงให้สอดคล้องกับมาตรฐานหลักสูตรและ
เชือ่ มโยง บรู ณาการระหวา่ งกลุม่ วิชาโดยใช้ผลการเรยี นรทู้ ี่กาหนดเป็นหลัก และใช้กระบวนการวิจัยเป็น
สว่ นหน่ึง ของการจัดการเรยี นรู้ เพ่อื มุ่งพฒั นาการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน

๕. การออกแบบการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงโดยใช้เคร่ืองมือวัดที่หลากหลาย
เพื่อสะท้อนภาพได้ชัดเจนและแน่นอนว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้านต่างๆ อย่างไร ทาให้ได้ข้อมูล ของ
ผู้เรียนรอบด้านท่ีสอดคล้องกับความเป็นจริง เพื่อประกอบการตัดสินผู้เรียนได้อย่างถูกต้องและ มี
ประสิทธภิ าพ

ในสถานการณ์ปัจจุบันของสังคมไทย กระแสการเปล่ียนแปลงด้านต่างๆ เกิดข้ึนอย่าง
รวดเร็วส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์หลายรูปแบบขึ้นในสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองวัฒนธรรม
และส่ิงแวดล้อม สภาพการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องการปฏิรูปการศึกษาขึ้นเพื่อให้
การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมืองของประเทศอย่าง
แท้จริง เป้าหมายของการจัดการศึกษาจะต้องมุ่งสร้างสรรค์สังคมให้มีลักษณะท่ีเอื้อต่อการพัฒนา
ประเทศชาติโดนรวม และมุ่งสร้าง “คน” หรือ “ผู้เรียน” ซ่ึงเป็นผลผลิตโดยตรง ให้มีคุณลักษณะมี
ศักยภาพและความสามารถทจี่ ะพฒั นาตนเองและสงั คมไปสู่ความสาเรจ็ ได้

เปน็ ที่ยอมรบั กนั วา่ การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ วิธีการ
สาคัญที่สามารถสร้างและพัฒนา “ผู้เรียน” ให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ ที่ต้องการในยุคโลกาภิวัตน์
เนอ่ื งจากเปน็ การจัดการเรียนการสอนท่ีใหค้ วามสาคัญกับผู้เรียน สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นรู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง
เรียนในเร่ืองที่สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของตนเอง และได้พัฒนาศักยภาพของ
ตนเองอย่างเตม็ ที่ ซ่ึงแนวคิดการจัดการศึกษาที่เป็นแนวคิดท่ีมีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและทฤษฎี
การเรียนรู้ต่างๆ ที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเน่ืองยาวนาน และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถ
พัฒนาผเู้ รยี นให้มีคณุ ลกั ษณะที่ตอ้ งการอย่างไดผ้ ล

๖.๒ ความเป็นมาของแนวคดิ
Carl R. Rogers คือผู้คิดค้นและใช้คาว่า “เด็กเป็นศูนย์กลาง (Child-centred)” เป็นครั้ง

แรก ในวิธีการน้ผี ้เู รยี นจะไดร้ บั การสง่ เสรมิ ให้มีความรับผดิ ชอบและมีส่วนรว่ มเต็มทต่ี ่อการเรียนรู้ของตน
ผู้เรียนแต่ละคนมีคุณค่าสมควรสมควรได้รับการเช่ือถือไววางใจ แนวทางนี้จึงเป็นแนวทางท่ีจะผลักดัน
ผู้เรียนไปสู่การบรรลุศักยภาพของตน โดยส่งเสริมความคิดของผู้เรียนและอานวยความสะดวกให้เขาได้
พฒั นาศักยภาพของตนเองอยา่ งเต็มท๒ี่ ๕

๒๕ วฒั นาพร ระงับทุกข.์ แผนการสอนทเ่ี น้นผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง.(กรงุ เทพ.บรษิ ัทแอล ที เพรส จากัด.
๒๕๔๒) .หนา้ ๔

๔๖

๖.๓ หลักการพ้นื ฐานของแนวคิด “ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง”๒๖

๑. ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้ บทบาทของ
ครูคือผู้สนับสนุน (supporter) และเป็นแหล่งความรู้ (resource person) ของผู้เรียน ผู้เรียนจะ
รับผิดชอบตั้งแต่เลือกและวางแผนส่ิงท่ีตนจะเรียน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือก และจะเริ่มต้นการ
เรียนรดู้ ้วยตนเอง ดว้ ยการศึกษาค้นควา้ รบั ผดิ ชอบการเรียนตลอดจนประเมินผลการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง

๒. เนื้อหาวิชามีความสาคัญและมีความหมายต่อการเรียนรู้ ในการออกแบบกิจกรรม
การเรียนรู้ ปัจจัยสาคัญที่จะต้องนามาพิจารณาประกอบด้วย เนื้อหาวิชา ประสบการณ์เดิม และความ
ต้องการของผ้เู รยี น การเรยี นรทู้ ส่ี าคญั และมคี วามหมายจึงขึ้นอยู่กับ “สิ่งท่ีสอน (เน้ือหา) และวิธีใช้สอน
(เทคนคิ การสอน)”

๓. การเรียนรู้จะประสบผลสาเร็จหากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้เรียนจะไดร้ บั ความสนกุ สนานจากผเู้ รยี น หากได้เข้าไปมีสว่ นรว่ มในการเรียนรู้ ไดท้ างานร่วมกับเพื่อนๆ
ได้ค้นพบข้อความถามและคาตอบใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ประเด็นที่ท้าทายและความสามารถในเรื่องใหม่ๆ ท่ี
เกิดขึน้ รวมทงั้ การบรรลผุ ลสาเร็จของงานท่ีพวกเข้ารเิ ร่มิ ดว้ ยต้นเอง

๔. สัมพันธภาพท่ีดีระหว่างผู้เรียน การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่มจะช่วยส่งเสริมความ
เจริญงอกงาม การพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ การปรับปรุงการทางาน และการจัดการกับชีวิตของแต่ละ
บุคคล สัมพันธภาพที่เท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม จึงเป็นสิ่งสาคัญท่ีจะช่วยส่งเสริมการ
แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ซงึ่ กนั และกนั ของผเู้ รยี น

๕. ครูคือผู้อานวยการความสะดวกและเป็นแหล่งเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอน
แบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ครูจะมีความสามารถที่จะค้นพบความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน เป็น
แหล่งความรู้ทีท่ รงคณุ ค่าของผู้เรยี นและสามารถค้นคว้าสอื่ วัสดอุ ุปกรณ์ทเี่ หมาะสมกับผู้เรียน สิ่งที่สาคัญ
ที่สุดก็คือ ความเต็มใจของครูท่ีจะช่วยเหลือโดยไม่มีเง่ือนไข ครูจะให้ทุกอย่างแก่ผู้เรียนไม่ว่าจะเป็น
ความเชีย่ วชาญ ความรู้ เจตคติ และการฝึกฝน โดยผ้เู รียนมีอสิ ระทจี่ ะรบั หรอื ไม่รบั การใหน้ น้ั กไ็ ด้

๖. ผู้เรียนมีโอกาสเห็นตนเองในแง่มุมท่ีแตกต่างจากเดิม การจัดการเรียนการสอนท่ี
เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นตนเองในแง่มุมท่ีแตกต่างออกไป ผู้เรียนจะมีความม่ันใจ
ในตนเองและควบคุมตนเองได้มากขึ้น สามารถเป็นในส่ิงที่อยากเป็นมีวุฒิภาวะสูงมากขึ้น ปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมตนใหส้ อดคล้องกบั ส่ิงแวดล้อม และมีส่วนรว่ มกบั เหตุการณ์ๆ มากข้นึ

๗. การศกึ ษา คอื การพฒั นาประสบการณก์ ารเรยี นรู้ของผเู้ รียนหลายๆ ดา้ นพร้อมกัน
การเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาผู้เรียนหลายๆ
ด้านคุณลักษณะด้านความรู้ความคิด ด้านการปฏิบัติ และด้านอารมณ์ความรู้สึกจะได้รับการพัฒนาไป
พรอ้ มๆ กัน

๒๖ วัฒนาพร ระงบั ทุกข.์ แผนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลาง. (กรุงเทพ.บรษิ ัทแอล ที เพรส จากดั .
๒๕๔๒) .หน้า ๖

๔๗

๖.๔ หลกั การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ทีเ่ น้นผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง ๒๗

เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างได้ผล การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ควรยึดหลัก

ดงั ต่อไปนี้

๑. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา ดังนั้น ผู้เรียนจึงควรมีบทบาท
รับผดิ ชอบตอ่ หนา้ ที่การเรียนร้ขู องตน และมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นการสอน

๒. การเรียนรู้เกิดข้ึนได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน มิใช่จากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเพียงแหล่ง
เดยี วประสบการณค์ วามรูส้ ึกนึกคดิ ของแตล่ ะบุคคลถือว่าเปน็ แหล่งการเรยี นรู้ทสี่ าคัญ

๓. การเรียนรู้ที่ดี จะต้องเป็นการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการสร้างความรู้ความเข้าใจด้วย
ตนเองจึงจะให้ผู้เรียนจดจาและสามารถใช้การเรียนรู้น้ันให้เป็นประโยชน์ได้ การเรียนท่ีผู้เรียนเป็นผู้
คน้ พบดว้ ยตนเอง มีสว่ นช่วยใหเ้ กดิ ความเข้าใจลกึ ซึง้ และจดจาไดด้ ี

๔. การเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้มีความสาคัญ หากผู้เรียนเข้าใจและมีทักษะในเรื่อง
กระบวนการเรียนรู้แล้ว จะสามารถใช้เป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ และคาตอบต่างๆ ท่ีตน
ต้องการ

๕. การเรียนรู้ท่ีมีความหมายแก่ผู้เรียน คือ การเรียนรู้ท่ีสามารถนาไปใช้ใน
ชวี ิตประจาวนั

๒ ความสาคัญของการยึดผ้เู รยี นเป็นสาคัญ
การปฏริ ปู การศกึ ษามีผลตอ่ การพฒั นาคนให้เปน็ คนเก่ง คนดีไดน้ ้ัน หวั ใจของการปฏริ ูป

การศึกษาจะต้องปฏิรูปการเรียนการสอนหรือปฏิรูปการเรียนรู้เป็นอันดับแรก โดยครูอาจารย์ในทุก
สถานศกึ ษาจะต้องเลิกการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง เปล่ียนเป็นยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือ
เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญ สาระสาคัญของการปฏิรูปการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือเน้นผู้เรียน
เป็นสาคัญน้ัน เป็นการปรับเปล่ียนวัฒนธรรมการเรียนรู้ โดยเน้นประโยชน์ท่ีผู้เรียนจะได้รับพร้อมทั้ง
คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มี
นิสัยรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังน้ันการปฏิรูปการเรียนรู้จึงควรเริ่มที่สถานศึกษาทุกแห่ง ดาเนินการ
พัฒนากระบวนการเรยี นรูแ้ ละจดั การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ มีการประกันคุณภาพภายใน
ผสมผสานอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ และการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่าง
ต่อเน่อื งตลอดเวลา ถ้าหากจะกล่าวโดยสรปุ ของหลกั สาคัญของการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือ
เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญน้ัน การจัดกิจกรรมหรือออกแบบการเรียนรู้อาจทาได้หลายวิธีการและหลาย
เทคนิค แต่มีข้อควรคานึงว่า ในการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้ง แต่ละเรื่อง ได้เปิดโอกาสให้กับผู้เรียนได้
เรียนในเรือ่ งต่อไปน้ีหรอื ไม่

๒๗ วัฒนาพร ระงับทุกข.์ แผนการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง. (กรงุ เทพ.บรษิ ทั แอล ที เพรส จากัด.
๒๕๔๒) .หนา้ ๗

๔๘

๑.เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนเปน็ ผู้เลอื กหรือตดั สินใจในเนอื้ หาสาระทสี่ นใจเป็นประโยชน์ต่อ
ตัวผเู้ รยี นหรือไม่

๒. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ โดยได้คิดได้รวบรวมความรู้
และลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองหรอื ไม่๒๘

๓. วิธกี ารจัดการเรยี นการสอนทีย่ ดึ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ
๘.๑ วิธสี อนทีเ่ น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
จากรายงานการวิจัยของทักษิณา เครือหงส์ (๒๕๕๑) ไต้เสนอแนวทางสาหรับผู้สอนที่

ใช้หลักการสอนโดยเนน้ ผ้เู รยี นเป็นสาคัญไว้ดงั น้ี
๑. ครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจ รู้เป้าหมายของการจัดการศึกษาและหลักสูตร

การศึกษาอุดมศึกษา โดยการศึกษาข้อมูล พระราชบัญญัติการศึกษา ตาราเอกสารหลักสูตร หลักสูตร
สาขาวชิ าลกั ษณะรายวชิ าจัดทาแผน การสอนและเอกสารประกอบการสอน

๒. ครูผู้สอนมีการวิเคราะห์ศักยภาพของผู้เรียนและเข้าใจผู้เรียนเป็นรายบุคคล ใช้
หลักการวิเคราะห์ผู้เรียน เช่น วิเคราะห์จากรูปแบบการเรียนรู้ ความภูมิใจตนเอง เจตคติต่อวิชา ความ
คาดหวังในการเรียน ใช้แบบวัดความรู้พ้ืนฐานของผู้เรียน (Pretest) ก่อนเรียน วัดผลการเรียน ของ
ผ้เู รยี นเป็นรายหนว่ ยและมีการมอบหมายงานใหผ้ เู้ รียนในระหวา่ งการเรยี นการสอน

๓. ครูผู้สอนมีความสามารถในการจัดประสบการณ์ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยการ
จัดทาแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เช่น การบูรณาการเน้ือหา การจัดการเรียนรู้เพ่ือชี้แนะการรู้
คดิ

๔. ครูผสู้ อนมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการเรียนเของตนเองและ
ผเู้ รียนเช่น ใชค้ อมพิวเตอร์ในการหาความจากเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต มอบหมายให้นักศึกษา ค้นคว้าและ
นามาอภปิ รายในชัน้ เรียน ฝึกการใช้โปรแกรมสาเร็จรูปในการประมวลข้อมูล และจัดทารายงาน พัฒนา
และใชส้ ื่อการสอนโดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ

๕. ครผู ้สู อนมีการประเมินผลการเรยี นการสอนที่สอดคล้องกับสภาพการเรียนรู้ที่จัดให้
ผู้เรียนและอิงพัฒนาการของผู้เรียน เช่น มอบหมายงานเด่ียวและงานกลุ่ม ประเมินผลการเรียนรู้ จาก
ผลงานทีม่ อบหมายในระหวา่ งเรียน และทดสอบหลงั เรียน

๖. ครูผู้สอนมกี ารนาผลประเมินมาปรับเปล่ียนการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้
เต็ม ตามศักยภาพ ในการนาผลการประเมินการเรียนรู้มาเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนการเรียนการ
สอน อาจทาไดโ้ ดย

• ใหน้ ักศกึ ษาศึกษาบทเรียนนอกเวลาแล้วนาเสนอรายงานหน้าชั้น
• มอบหมายงานใหน้ กั ศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเองแล้วทารายงาน (Report)
• ใหน้ ักศึกษาอภิปรายแลกเปล่ยี นความคิดเห็นแทนการถาม – ตอบ

๒๘ สมใจ ฤทธิสนธี. กลยุทธ์ในการสอนทเ่ี นน้ ผูเ้ รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง. (กรงุ เทพ.บคุ๊ พอยท.์ ๒๕๔๗) .หนา้ ๑๒

๔๙

๗. ครผู สู้ อนมีการวิจัยเพื่อพัฒนาสอื่ การเรียนรู้ของผู้เรียนและนาผลไปใช้พัฒนาผู้เรียน
วฒั นาพร ระงับทุกข์ (๒๕๔๒) ได้รวบรวมวิธีสอนแบบตา่ งๆ ท่ีสามารถเลือกนามาใช้ให้สัมพันธ์กับเนื้อหา
ประสบการณ์การพัฒนาทักษะตามวัตถุประสงค์ของหน่วยเรียนน้ันๆ ซึ่งมีอยู่ มากมายหลายแบบ
ดังตอ่ ไปน้ี ๒๙

• วธิ สี อนแบบเนน้ ปัญหา (Problem-Based Teaching and Learning)
• วิธีสอนแบบเนน้ โครงการ (Project-Based Teaching and Learning)
• วิธสี อนแบบเนน้ ทกั ษะปฏิบตั ิ (Skill- Based Teaching and Learning)
• วิธีสอนแบบเน้นกระบวนการสบื สวน (Inquiry-Based)
• วิธีสอนแบบเน้นกระบวนการคิด (Thinking-Based)
• วธิ สี อนแบบเน้นความคิดรวบยอด (Concept-Based)
• วธิ สี อนแบบเน้นกระบวนการกลุ่ม (Group Process-Based)
• วิธสี อนแบบตั้งคาถาม (Questioning - Based)
• วิธสี อนแบบโตว้ าที (Debate)
• วิธสี อนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing)
• วธิ สี อนแบบกรณตี วั อยา่ ง (Case)
• วิธีสอนแบบใชบ้ ทเรียนแบบเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง (Self-Learning Module)
๘.๒ ลักษณะของการจดั การเรียนการสอนโดยยดึ ผ้เู รยี นเปน็ สาคัญ
๑. จัดตามความสนใจ ความสามารถ ตั้งแต่การร่วมกาหนดวัตถุประสงค์ เน้ือหา
กิจกรรมการเรียนการสอน ส่อื และการประเมนิ ผล
๒. จัดให้ผู้เรียนได้ลงมือทากิจกรรม ปฏิบัติ แก้ปัญหาหรือศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
จากสื่อเพอ่ื น และครู
๓. จัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกทักษะต่างๆ เช่น ทักษะทางการคิดวิเคราะห์ การสังเกต
การทดลองคน้ คว้า การจดบันทึกตลอดจนการสงั เคราะหก์ ารสรุปข้อความรู้ตา่ งๆของตนเอง
๔. จดั ใหผ้ ู้เรียนได้มีโอกาสนาความร้ทู ีไ่ ด้ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน
๕. จัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ แลกเปล่ียนความรู้ ความคิดกับเพ่ือนๆ
จากการทากิจกรรมตา่ ง ๆ๓๐

๘.๓ ข้ันตอนการสอนมีดงั น้ี
๑. ครนู าเสนอปัญหาซ่ึงเป็นคาถามที่เร้าให้ผู้เรียนเกิดความคิด ผู้เรียนตอบคาถามของ

ครโู ดยใหค้ าตอบท่ีหลากหลาย

๒๙ วฒั นาพร ระงบั ทุกข.์ แผนการสอนท่ีเน้นผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง. (กรุงเทพ.บรษิ ัทแอล ที เพรส จากัด.
๒๕๔๒). หน้า ๑๕

๓๐ อาภรณ์ ใจเท่ยี ง. การจัดกิจกรรมเรยี นการสอนท่ี เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคญั . (กรุงเทพ.บุ๊คพอ้ ยท์ จากัด.
๒๕๔๖). หนา้ ๒๓

๕๐

๒. ครใู หผ้ ้เู รียนช่วยกันหาคาตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดโดยการอภิปรายร่วมกัน หรือให้
คน้ ควา้ จากแหลง่ ความรูเ้ ทา่ ที่มีอยู่

๓. ครูให้ผูเ้ รียนช่วยกนั คดั เลือกคาตอบทีต่ รงกับประเด็นปัญหา
๔. ครูใหผ้ ู้เรียนสรปุ คาตอบทเี่ ด่นชัดทส่ี ดุ ๓๑
๘.๔ ขอ้ ดีของการสอนโดยเนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคญั
๑. ผเู้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการเรียนการสอนมากข้นึ
๒. ผเู้ รียนไดพ้ ัฒนาความสามารถตา่ งๆ ตามความสามารถของตน
๓. ผเู้ รยี นไดเ้ รียนร้จู ากการลงมอื กระทา ปฏิบตั ิหรือศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง
๔. ผู้เรยี นได้เรียนตามความสนใจความสามารถของตนเอง
๕. ผู้เรยี นไดเ้ ชอื่ มโยงการเรยี นรู้กับสภาพชวี ิตประจาวนั
๖. ผเู้ รียนได้แลกเปล่ยี นความคดิ ความรู้กับเพื่อนๆ
๘.๕ การจัดประสบการณ์ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ จากการศึกษาวิจัยของทักษิณา เครือหงส์
(๒๕๕๑) ไดส้ รุปแนวคิดเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์
การเรยี นในการจัดการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคัญไวด้ ังน้ี๓๒
๑. ดา้ นหลกั สตู ร

• พฒั นาผเู้ รียนตามความสามารถของแตล่ ะบคุ คล
• เรยี นจากประสบการณท์ ีไ่ ด้จากการกระทา
• มคี วามสามารถในการแกป้ ญั หาและมคี วามคิดริเร่ิมสร้างสรรค์
• เนน้ การเสนอทางเลอื กให้ผู้เรยี น
๒. ดา้ นเนือ้ หาสาระ
• เช่ือมโยงความสมั พันธภ์ ายในเนอ้ื หาวชิ าและรวมเนือ้ หาวิชาอื่นๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง
• กาหนดหวั ขอ้ หนว่ ยเนื้อหาใหม้ คี วามหมายยืดหยุ่นและสมดุล
๓. การจดั ประสบการณ์การเรยี น
จัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีช้ีแนะการรู้คิด (Cognitive Guided
Instruction) ซงึ่ เปน็ นวตั กรรมการจัดการเรียนการสอน รูปแบบหน่ึงที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้
ได้ดว้ ยตนเอง อาศยั ความรู้ของผเู้ รียนแตล่ ะคนเปน็ ฐานในการจดั การเรียนรู้ ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้
๘.๖ ตวั บ่งช้ขี องการจดั การเรียนการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ
ทิมพันธ์ เดชะคุปต์ (๒๕๕๑) ๓๓ ได้ให้แนวทางในการพิจารณา การจัดการเรียนสอนที่
เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยพิจารณาจากตัวบ่งชี้ต่างๆ ดังต่อไปนี้ (ทิมพันธ์ เดชะคุปต์ อ้างในคู่มือการจัด
การเรียนการสอนทีเ่ น้นผู้เรียนเปน็ สาคัญมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลอีสาน, ๒๕๕๑ : ๒๖-๒๙)

๓๑ อาภรณ์ ใจเทีย่ ง.การจัดกจิ กรรมเรียนการสอนท่ี เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั . (กรุงเทพ.บ๊คุ พอ้ ยท์ จากดั .
๒๕๔๖) .หนา้ ๒๔

๓๒ ทักษิณา เครอื หงส.์ เอกสารตัวอยา่ งการสังเกตพฤตกิ รรมผูเ้ รียน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
สุวรรณภมู .ิ ๒๕๔๙

๕๑

ตวั บง่ ชี้ของการจดั การเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเป็นศูนยก์ ลาง
วิธีสอนท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางผู้สอนสามารถใช้

วธิ ีการใดๆ ก็ได้ท่ีเป็นวิธีสอนที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนอาจใช้วิธีใดวิธีหน่ึงหรือหลายๆ วิธีในการ
สอน ในครั้งหน่ึงๆ ดังเช่น วิธีการอภิปราย วิธีการค้นพบ วิธีสืบสอบแบบแนะนา วิธีสอนแบบสตอริไลน์
วธิ ีสอนแบบเน้นปัญหา วธิ สี อนแบบแกป้ ัญหา วธิ ีสอนแบบเน้นการเรียนดว้ ยตนเอง วิธีสืบสอบ แบบไม่มี
การแนะนา วิธีอริยสัจสี่ กรณีศึกษาทักษะกระบวนการ ๙ ขั้น วิธีใช้สถานการณ์จาลอง วิธีการเชื่อมโยง
มโนทศั นว์ ธิ สี อนกล่มุ สัมพันธ์วธิ กี ารเรียนแบบรว่ มมอื เป็นตน้

การเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีตัวบ่งชี้ท่ีจะใช้เป็นแนวทางในการ
ประเมิน ได้ว่าได้มีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือไม่ โดยประเมินจากผู้สอน
เมือ่ เขียนแผนการสอน และเมอ่ื นาแผนการสอนไปใช้ในห้องเรียนและประเมินจากผู้เรียนจากพฤติกรรม
การเรยี นท้งั ในห้องเรยี นและนอกหอ้ งเรียน การเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางน้ัน ยังมี ระดับ
จากต่าสดุ ไปหาสงู สุด เกณฑ์ที่ใชป้ ระเมินคือ สังเกตว่านักเรียนมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม
ถ้านักเรียนมีส่วนร่วมสร้างความรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง จากสิ่งท่ีผู้เรียนต้องการรู้ ด้วยตนเอง ผู้เรียน
จะมีบทบาทมากที่สุด แต่ผู้สอนมีบทบาทน้อยลง ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้สอนมีบทบาท กาหนดหัวเรื่อง
กิจกรรม รวมทิ้งส่ือเพื่อจัดประสบการณ์การเรียนให้ผู้เรียนสร้างความรู้เอง ในลักษณะนี้ผู้สอนและ
ผู้เรียนอาจมีบทบาทเท่าๆกัน ซ่ึง ก็ยังจัดเป็น การเรียน การสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเช่น กันแต่
อยู่ในระดับปานกลาง เพ่ือให้การเรียน การสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผูส้ อนจงึ อาจเรม่ิ ต้นฝึกใหผ้ ้เู รียนเร่ิมมีบทบาทในการเรียนรู้ จากระดับน้อยจนมากขึ้นตามลาดับ ซึ่งจะทา
ใหผ้ สู้ อนมบี ทบาทในการสอนน้อยลงตามลาดับไปด้วย

ตัวบ่งชี้ของ การจัดการเรียน การสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยพิจารณาทั้ง
ผสู้ อนและผู้เรยี นมีดังต่อไปนี้๓๔

เมื่อพจิ ารณาผสู้ อน
๑. ผู้สอนจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่เอง (Construction of

the NewKnowledge)
๒. ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการ (Process Skills) คือ กระบวนการคิด

(ThinkingProcess) กระบวนการกลุม่ (Group Process) และสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง
๓. ผู้สอนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน (Participation) คือ มีส่วนทั้งด้านปัญญา

กาย อารมณ์และสังคม รวมทั้งให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับทั้งสิ่งมีชีวิตและกับสิ่งที่ไม่มี
ชีวติ เชน่ หนงั สือสถานทีต่ ่างๆ คอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้

๔. ผู้สอนสร้างบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้ ท้ิงบรรยากาศทางกายภาพและจิตใจ
เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเรียนอยา่ งมีความสุข (Happy Learning)

๓๓ ทิมพันธ์ เดชะคุปต.์ คมู่ ือการจดั การเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผ้เู รียนเปน็ สาคัญ. (นครราชสมี า.สมบรู ณ์การ
พิมพ์. ๒๕๕๑). หนา้ ๒๖

๓๔ ทิมพันธ์ เดชะคุปต์. คมู่ ือการจัดการเรียนการสอนท่ีเนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญ. (นครราชสมี า.สมบูรณ์การ
พมิ พ์.๒๕๕๑). หนา้ ๒๗

๕๒

๕. ผู้สอนมีการวัดและประเมินผลท้ังทักษะ กระบวนการ ขีดความสามารถศักยภาพ
ของ ผู้เรยี นและผลผลติ จากการเรียนรู้ ซึ่งเปน็ การประเมินตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment)

๖. ผ้สู อนพัฒนาให้ผูเ้ รยี นสามารถนาความรู้ไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ (Application)
๗. ผู้สอนเปล่ียนบทบาทเป็นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) คือ เป็นผู้จัด
ประสบการณร์ วมทั้งสื่อการเรยี นการสอน เพอ่ื ให้ผู้เรียนใช้เปน็ แนวทางสร้างความรู้ด้วยตนเอง คือผู้สอน
ท่ีเปน็ ผอู้ านวยความสะดวกน้ันมีบทบาทดังน้ี ๓๕

๗.๑ เป็นผ้นู าเสนอ (Presenter)
๗.๒ เป็นผ้สู ังเกต (Observer)
๗.๓ เปน็ ผถู้ าม (Asker)
๗.๔ เปน็ ผใู้ หก้ ารเสริมแรง (Reinforce)
๗.๕ เป็นผู้แนะนา (Director)
๗.๖ เป็นผสู้ ะทอ้ นความคิด (Reflector)
๗.๗ เป็นผูจ้ ดั บรรยากาศ (Atmosphere Organizer)
๗.๘ เปน็ ผู้จดั ระเบยี บ (Organizer)
๗.๙ เปน็ ผแู้ นะแนว (Guide)
๗.๑๐ เปน็ ผู้ประเมนิ (Evaluator)
๗.๑๑ เป็นผู้ไหค้ าช่นื ชม (Appraiser)
๗.๑๒ เปน็ ผู้กากับ (Coacher)
เมอื่ พิจารณาผู้เรียน
๑. ผู้เรยี นสร้างความรู้ (Construction) รวมท้งั สรา้ งส่งิ ประดษิ ฐ์ดว้ ยตนเอง
๒. ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการ (Process Skills) คือ กระบวนการคิด และ
กระบวนการ กลมุ่ สร้างความรดู้ ้วยตนเอง
๓. ผู้เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี น (Participation) และมีปฏสิ มั พนั ธ์ (Interaction)
๔. ผเู้ รยี นเรียนรู้อย่างมคี วามสขุ (Happy Learning)
๕. ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปใช้ได้ (Application) ตัวบ่งช้ีสาคัญในการจัดการเรียน
การสอนท่ีเน้นผูเ้ รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง คอื การให้ผูเ้ รยี นใช้ กระบวนการสรา้ งความรใู้ หมแ่ ละ

๓๕ ทมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต.์ คมู่ ือการจดั การเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผ้เู รยี นเป็นสาคญั . (นครราชสมี า.สมบรู ณก์ าร
พิมพ.์ ๒๕๕๑). หนา้ ๒๘

ส่งิ ประดิษฐ์ใหมด่ ้วยตนเองดังแผนภาพต่อไปน้ี ๕๓

ผูเ้ รยี นใช้กระบวนการ ผลผลติ ความรู้ใหม่
สิง่ ประดิษฐ์ใหม่

กระบวนการผลิต กระบวนการกลุ่ม

แผนภาพการใช้กระบวนการสรา้ งความรู้ใหมแ่ ละส่ิงประดษิ ฐใ์ หม่ (พมิ พันธ์ เดชะคุปต์, ๒๕๕๑: ๒๘)๓๖

๔. การจัดกจิ กรรมการเรียนท่ียึดผ้เู รียนเปน็ สาคญั
อาภรณ์ ใจเที่ยง ไดก้ ล่าวถึงการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนท่เี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั ไว้ว่า การ

จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่าง ๆ อย่าง
หลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและส่ังสมคุณลักษณะท่ีจาเป็น
สาหรับการเป็นฯสมาชกิ ที่ดขี องสงั คมของประเทศชาตติ ่อไป๓๗

การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนท่มี ุ่งพัฒนาผู้เรียน จึงต้องใช้เทคนิควิธีสอนวิธีการเรียนรู้
รปู แบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวิธซี งึ่ จาแนกได้ดังนี้

๑. การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรียนรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบ แบบ
แก้ปัญหา แบบ สรา้ งแผนผงั ความคิดแบบใชก้ รณีศึกษา แบบตัง้ คาถามแบบใชก้ ารตดั สนิ ใจ

๒. เทคนคิ การศึกษาเปน็ รายบคุ คล ได้แก่ วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน แบบการเรียนรู้
ด้วยตนเอง แบบชุดกิจกรรมดารเรยี นรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน

๓. เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ประกอบการเรียน เช่น การใช้
ส่ิงพิมพ์ ตาราเรียน และแบบฝึกหัดการใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน ศูนย์การเรียนชุดการสอน
คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน บทเรียนสาเรจ็ รูป

๔. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วย การโต้วาทีกลุ่ม
Buzz การ อภิปราย การระดมพลังสมอง กลุ่มแก้ปัญหา กลุ่มของการประชุมต่าง ๆ การแสดงบทบาท
สมมติ กลุ่มสบื คน้ คคู่ ิดการฝกึ ปฏิบัติ เป็นตน้

๓๖ ทิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต.์ คมู่ อื การจัดการเรียนการสอนทเี่ น้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั . (นครราชสมี า.สมบูรณ์การ
พิมพ.์ ๒๕๕๑). หนา้ ๒๘

๓๗ อาภรณ์ ใจเท่ียง. การจดั กจิ กรรมเรยี นการสอนท่ี เนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคัญ . (กรุงเทพ.บุ๊คพอ้ ยท์ จากดั .
๒๕๔๖). หน้า ๓๖

๕๔

๕. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เช่น การจัดการเรียนรู้แบบมี
ส่วนร่วม เกม กรณีตัวอย่างสถานการณ์จาลองละคร เกม กรณีตัวอย่างสถานการณ์จาลอง ละคร
บทบาท สมมติ

๖. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่ ปริศนาความคิดร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้น
กล่มุ เรยี นรู้ ร่วมกัน รว่ มกนั คดิ กล่มุ ร่วมมือ

๗. เทคนคิ การเรยี นการสอนแบบบูรณาการ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบใช้เว้นเล่าเร่ือง
(Story line) และการเรยี นการสอนแบบ แก้ปัญหา (Problem-Solving)

เทคนิควิธีการเหล่าน้ีล้วนเป็นวิธีที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้คิดค้นคว้าศึกษาทดลอง
ซ่ึงทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้สอนจึงมีบทบาทเป็นผู้อานวยความสะดวกในหลาย ๆ
ลกั ษณะ ดังนี้

๑. เป็นผู้จัดการ (Manager) เป็นผู้กาหนดบทบาทให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนเข้าร่วมทา
กิจกรรม แบ่งกลุ่ม หรือจับคู่ เป็นผู้มอบหมายงานหน้าที่ความรับผิดชอบแก่ นักเรียนทุกคน จัดการให้
ทกุ คนไดท้ างานที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของตน

๒. เป็นผู้ร่วมทากิจกรรม (An active participant) เข้าร่วมทากิจกรรมในกลุ่มจริง ๆ
พร้อมท้งั ให้ ความคดิ และความเหน็ หรือเชอ่ื มโยงประสบการณ์สว่ นตวั ของนกั เรียนขณะทากิจกรรม

๓. เป็นผู้ช่วยเหลือและแหล่งวิทยาการ (Helper and resource) คอยให้คาตอบเมื่อ
นักเรียน ต้องการความช่วยเหลือทางวิชาการ ตัวอย่าง เช่น คาศัพท์หรือไวยากรณ์การให้ข้อมูลหรือ
ความรู้ ในขณะทนี่ ักเรยี นต้องการ ซึ่งจะช่วยทาใหก้ ารเรียนร้มู ปี ระสิทธภิ าพเพิ่มข้นึ

๔. เป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (Supporter and encourager) ช่วยสนับสนุนด้านสื่อ
อุปกรณ์ หรือให้คาแนะนาท่ีช่วยกระตุ้นให้นกั เรยี นสนใจเข้าร่วมกจิ กรรมหรือฝกึ ปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเอง

๕. เปน็ ผ้ตู ิดตามตรวจสอบ (Monitor) คอยตรวจสอบงานท่ีนักเรียนผลิตข้ึนมาก่นที่จะส่ง
ต่อไปให้ นักเรียนผลิตข้ึนมาก่อนท่ีจะส่งต่อไปให้นักเรียนคนอ่ืน ๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านความถูกต้อง
ของคาศัพท์ ไวยากรณ์ การแกค้ าผดิ อาจจะทาได้ท้ังก่อนทากิจกรรม หรือบางกิจกรรมอาจจะ แก้ทีหลัง
ได้

ลกั ษณะของการจัดกจิ กรรมทเี่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ จากท่กี ลา่ วมาทั้งหมด สามารถสรุปลักษณะ
ของการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคัญได้ดังน้ี๓๘

๑. Active Learning เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนเป็นผู้กระทา หรือปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วย
ความ กระตือรือร้น เช่น ได้คิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทาโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้
ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทาให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทาหน้าที่ เตรียมการจัด
บรรยากาศการเรียนรู้ จัดสอื่ สง่ิ เร้าเสรมิ แรงให้คาปรกึ ษาและสรุปสาระการเรยี นรู้ร่วมกัน

๒. Construct เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสาคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วย
ตนเอง อันเกดิ จากการได้ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ทาให้ ผู้เรียนรัก

๓๘ อาภรณ์ ใจเทย่ี ง. การจดั กจิ กรรมเรยี นการสอนที่ เน้นผู้เรยี นเป็นสาคญั . (กรงุ เทพ.บุ๊คพอ้ ยท์ จากดั .
๒๕๔๖). หนา้ ๓๘

๕๕

การอา่ น รกั การศกึ ษาคน้ คว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็นความสาคัญของการเรียนรู้ ซ่ึงนาไปสู่
การเปน็ บคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Man) ท่พี ึงประสงค์

๓. Resource เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ท่ีหลากหลายทั้ง
บุคคลและ เครอ่ื งมอื ท้ังในห้องเรยี น และนอกหอ้ งเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่
เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว องค์กรต่าง ๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการท่ีว่า “การ
เรียนรู้เกิดขึ้นไดท้ ุกท่ที กุ เวลาและทกุ สถานการณ์)

๔. Thinking เป็นกจิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ กระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ
เช่น คิดคล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซ้ึง คิดไกล คิดอย่างมี
เหตผุ ล เป็นต้น (ทศิ นา แขมมณี และคณะ, ๒๕๔๓ : ๕๕-๕๙) การฝึกให้ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะ
ตา่ ง ๆ จะทาใหผ้ ้เู รยี นเป็นคนคิดเปน็ แก้ปัญหาเป็น คิดอยา่ งรอบคอบมเี หตผุ ล มีวิจารณญาณ ในการคิด
มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ
ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิด เห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี เหตุผลอันเป็น
ประโยชน์ตอ่ การดารงชีวิตประจาวนั ๓๙

๕. Happiness เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนได้เรียนอย่างมีความสุข เป็นความสุขท่ีเกิดจาก
ประการท่ีหน่ึง ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตนสนใจสาระการเรียนรู้ ชวนให้สนใจใฝ่ค้นคว้าศึกษาท้าทาย ให้
แสดง ความสามารถและให้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ ประการท่ีสองปฏิสัมพันธ์ (Interaction)
ระหว่างผู้เรยี นกับผู้สอนและระหวา่ งผู้เรยี นกบั ผเู้ รียน มลี กั ษณะเปน็ กัลยาณมติ ร มีการช่วยเหลือ เก้ือกูล
ซงึ่ กนั และกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยชว่ ยกนั ทาใหผ้ ้เู รยี นรสู้ ึกมคี วามสขุ และสนกุ กบั การเรยี น

๖. Participation เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนกาหนดงาน
วางเป้าหมายร่วมกัน และมีโอกาสเลือกทางานหรือศึกษาค้นคว้าในเร่ืองท่ีตรง กับความถนัด
ความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทาให้ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของส่ิงท่ี
เรยี นและสามารถ ประยกุ ตค์ วามรู้นาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ จรงิ

๗. Individualization เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนให้ความสาคัญแก่ผู้เรียน ผู้สอนยอมรับใน
ความสามารถ ความคดิ เหน็ ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็ม
ศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการ
เรียนรไู้ ด้ และมวี ธิ กี ารเรยี นรทู้ ่ีแตกต่างกัน

๘. Good Habit เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนไดพัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น ความ
รับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้าใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ
ลักษณะนสิ ัยในการทางานอย่างเป็นกระบวนการการทางานร่วมกับผู้อ่ืน การยอมรับผู้อื่น และ การเห็น
คณุ ค่าของงาน เป็นตน้

๓๙ ทิศนา แขมมณ.ี ศาสตรก์ ารสอน:องคค์ วามรเู้ พ่ือการจัดการกระบวนการเรยี นรทู้ ีมปี ระสทิ ธภิ าพ. (กรุง
เทพ.สานักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.๒๕๔๓). หน้า ๕๕-๕๙

๕๖

๕. การจัดการศกึ ษากบั การยึดผเู้ รียนเปน็ สาคญั
การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการ

เรียนรู้ โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข ซ่ึงจาเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ
ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการ ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน มีรายละเอียด
ดังตอ่ ไปนี้๔๐

๑๐.๑ การบรหิ ารจดั การ
การบรหิ ารจัดการนบั ว่าเปน็ องคป์ ระกอบทสี่ นับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่สาคัญ

โดยเฉพาะการบรหิ ารจดั การของโรงเรียนทเ่ี น้นการพฒั นาทั้งระบบของโรงเรียน
การพัฒนาท้ังระบบของโรงเรียน หมายถึง การดาเนินงานในทุกองค์ประกอบของ

โรงเรียนใหไ้ ปสเู่ ปา้ หมายเดยี วกนั คอื คณุ ภาพของนกั เรียนตามวิสยั ทศั นท์ ีโ่ รงเรยี นกาหนด ดังนั้นตัวบ่งช้ี
ทแ่ี สดงถงึ การพฒั นาทง้ั ระบบของโรงเรยี นประกอบด้วย

๑. การกาหนดเป้าหมายในการพัฒนาที่มีจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพนักเรียนอย่าง
ชดั เจน

๒. การกาหนดแผนยุทธศาสตร์สอดคลอ้ งกบั เป้าหมาย
๓. การกาหนดแผนการดาเนินงานในทุกองค์ประกอบของโรงเรียนสอดคล้องกับ
เปา้ หมายและเปน็ ไปตามแผนยทุ ธศาสตร์
๔. การจดั ใหม้ รี ะบบประกนั คุณภาพภายใน
๕. การจัดทารายงานประจาปีเพื่อรายงานผู้เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับแนวทางการ
ประกนั คณุ ภาพจากภายนอก
อยา่ งไรกต็ าม การดาเนนิ งานของโรงเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๔๒ เน้นถึงการมีส่วนร่วมของผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาของโรงเรียน ดังนั้น ในการ
ดาเนินการของโรงเรียนจึงเปิดโอกาส ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ ร่วมในการกาหนด
เป้าหมายและการจัดทาแผนยุทธศาสตร์ ร่วมในการสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ ร่วมในการประเมินผล
เป็นตน้
๑๐.๒ การจัดการเรยี นรู้
องค์ประกอบด้าน “การจัดการเรียนรู้” นับว่าเป็นองค์ประกอบหลักที่แสดงถึงการ
เรียนรูอ้ ย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย ความเข้าใจเก่ียวกับความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ บทบาท
ของครู และบทบาทของผู้เรียน

๔๐ คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ สานักงาน. แนวทางการปฏริ ปู การศึกษาระดับอุดมศกึ ษาตาม
พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.๒๕๔๒. (กรุงเทพ.วีทีซคี อมมวิ นเิ คชน่ั .๒๕๔๔) .หนา้ ๑๗

๕๗

การจดั การเรยี นการสอนโดยใหผ้ เู้ รยี นเป็นสาคัญจะทาไดส้ าเรจ็ เมอ่ื ผทู้ ี่เกย่ี วข้องกับการ
จัดการเรียนการสอน ได้แก่ ครู และผู้เรียน มีความเข้าใจตรงกันเก่ียวกับความหมายของการเรียนรู้ ดัง
สาระที่ ทศิ นา แขมมณี ไดก้ ล่าวไว้ดังน้ี ๔๑

๑. การเรียนรู้เป็นงานเฉพาะบุคคล ทาแทนกันไม่ได้ ครูท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการ
เรยี นรตู้ ้องเปดิ โอกาสให้เขาไดม้ ีประสบการณก์ ารเรยี นรูด้ ว้ ยตวั ของเขาเอง

๒. การเรยี นรูเ้ ป็นกระบวนการทางสตปิ ญั ญาท่ตี ้องมกี ารใช้กระบวนการคิด สร้างความ
เข้าใจ ความหมายของส่ิงต่างๆ ดังน้ันครูจึงควรกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดทาความเข้าใจสิ่ง
ต่างๆ

๓. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม เพราะในเรื่องเดียวกัน อาจคิดได้หลายแง่
หลายมุมทาให้เกิดการขยาย เติมเต็มข้อความรู้ ตรวจสอบความถูกต้องของการเรียนรู้ตามท่ีสังคม
ยอมรับด้วย ดังนั้นครูที่ปรารถนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทาง
สังคมกับบคุ คลอืน่ หรือแหล่งข้อมูลอืน่ ๆ

๔. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เป็นความรู้สึกเบิกบาน เพราะหลุดพ้นจาก
ความไมร่ ู้ นาไปสคู่ วามใฝ่รู้ อยากรู้อกี เพราะเปน็ เร่อื งน่าสนุก ครูจึงควรสร้างภาวะท่ีกระตุ้นให้เกิดความ
อยากรู้หรือคับข้องใจบ้าง ผู้เรียนจะหาคาตอบเพ่ือให้หลุดพ้นจากความข้องใจ และเกิดความสุขขึ้นจาก
การไดเ้ รยี นรู้ เมือ่ พบคาตอบด้วยตนเอง

๕. การเรียนรู้เป็นงานต่อเนื่องตลอดชีวิต ขยายพรมแดนความรู้ได้ไม่มีท่ีส้ินสุด ครูจึง
ควรสร้างกจิ กรรมที่กระตนุ้ ใหเ้ กิดการแสวงหาความรู้ไมร่ ู้จบ

๖. การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลง เพราะได้รู้มากขึ้นทาให้เกิดการนาความรู้ไปใช้ใน
การเปล่ียนแปลงสิ่งต่างๆ เป็นการพัฒนาไปสู่การเปล่ียนแปลงที่ดีขึ้น ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับรู้
ผลการพัฒนาของตวั เขาเองด้วย

จากความหมายของการเรียนรู้ที่กล่าวมา ครูจึงต้องคานึงถึงประเด็นต่างๆ ในการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน ดงั น้ี

๑. ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลของผเู้ รยี น
๒. การเนน้ ความตอ้ งการของผูเ้ รยี นเปน็ หลัก
๓. การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของผู้เรยี น
๔. การจดั กจิ กรรมใหน้ ่าสนใจ ไมท่ าให้ผู้เรยี นรู้สึกเบื่อหน่าย
๕. ความเมตตากรณุ าต่อผ้เู รยี น
๖. การทา้ ทายใหผ้ เู้ รียนอยากรู้
๗. การตระหนกั ถึงเวลาทเี่ หมาะสมทผ่ี เู้ รยี นจะเกิดการเรียนรู้
๘. การสรา้ งบรรยากาศหรือสถานการณใ์ ห้ผ้เู รยี นไดเ้ รยี นรโู้ ดยการปฏบิ ัตจิ ริง

๔๑ ทศิ นา แขมมณ.ี ศาสตร์การสอน:องคค์ วามร้เู พ่อื การจัดการกระบวนการเรียนรู้ทมี ีประสิทธิภาพ.(กรุง
เทพ.สานักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.๒๕๔๓) .หนา้ ๑๒๐-๑๒๓

๕๘

๙. การสนบั สนนุ และสง่ เสรมิ การเรียนรู้
๑๐. การมจี ุดมงุ่ หมายของการสอน
๑๑. ความเข้าใจผเู้ รยี น
๑๒. ภูมิหลงั ของผู้เรียน
๑๓. การไม่ยดึ วิธีการใดวธิ กี ารหนงึ่ เทา่ น้นั
๑๔. การเรียนการสอนที่ดีเป็นพลวัตร (dynamic) กล่าวคือ มีการเคล่ือนไหว
เปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งในด้านการจัดกิจกรรม การสร้างบรรยากาศ รูปแบบเน้ือหาสาระ เทคนิค
วิธีการ
๑๕. การสอนในสง่ิ ทไี่ มไ่ กลตัวผเู้ รียนมากเกินไป
๑๖. การวางแผนการเรียนการสอนอยา่ งเปน็ ระบบ
๑๐.๓ การเรียนรขู้ องผู้เรยี น
องค์ประกอบสุดท้ายท่ีสาคัญและนับว่าเป็นเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ที่เน้น
ผเู้ รียนเป็นสาคัญ คือ องค์ประกอบด้านการเรียนรู้ซ่ึงมีลักษณะท่ีแตกต่างจากเดิมท่ีเน้นเนื้อหาสาระเป็น
สาคญั และสอดคลอ้ งกบั องค์ประกอบด้านการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้เพราะการจัดการเรียนรู้ก็เพื่อเน้นให้มี
ผลต่อการเรยี นรู้ ดงั นน้ั ตัวบ่งช้ที บี่ อกถึงลักษณะการเรยี นรขู้ องผ้เู รียน ประกอบดว้ ย๔๒
๑. การเรียนรู้อย่างมีความสุข อันเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ที่คานึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคล คานึงถึงการทางานของสมองท่ีส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์
ของผู้เรียน ผู้เรียนได้เรียนรู้เร่ืองท่ีต้องการเรียนรู้ในบรรยากาศท่ีเป็นธรรมชาติ บรรยากาศของการเอื้อ
อาทรและเปน็ มติ ร ตลอดจนแหล่งเรยี นรทู้ ่ีหลากหลาย นาผลการเรยี นร้ไู ปใชใ้ นชีวิตจรงิ ได้
๒. การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง หรือกล่าวอีกลักษณะหนึ่งคือ “เรียน
ด้วยสมองและสองมือ” เป็นผลจากการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้คิด ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์หรือ
คาถามกต็ าม และได้ลงมือปฏิบัติจรงิ ซงึ่ เปน็ การฝกึ ทกั ษะท่สี าคัญคอื การแกป้ ญั หา ความมีเหตุผล
๓. การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย และเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่น เป้าหมาย
สาคัญดา้ นหน่งึ ในการจดั การเรยี นรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญคือ ผู้เรียนแสวงหาความรู้ท่ีหลากหลายท้ังใน
และนอกโรงเรยี น ทั้งทเี่ ปน็ เอกสาร วัสดุ สถานที่ สถานประกอบการ บุคคลซึ่งประกอบด้วย เพื่อน กลุ่ม
เพอื่ น วิทยากร หรอื ผูเ้ ปน็ ภมู ปิ ญั ญาของชมุ ชน
๔. การเรียนร้แู บบองคร์ วมหรือบูรณาการ เปน็ การเรียนรู้ท่ีผสมผสานสาระความรู้ด้าน
ต่างๆ ได้สัดส่วนกัน รวมท้ังปลูกฝังคุณธรรม ความดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชาท่ีจัด
ใหเ้ รยี นรู้
๕. การเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเข้าใจ
ของผู้จัดการเรยี นรู้ท่ีเน้นผูเ้ รยี นเป็น สาคญั ว่า ทกุ คนเรียนรู้ได้และเป้าหมายที่สาคัญคือ พัฒนาผู้เรียนให้
มีความสามารถที่จะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้จัดการเรียนรู้จึงควรสังเกตและศึกษาธรรมชาติของ

๔๒ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,สานักงาน. แนวทางการปฏริ ูปการศกึ ษาระดับอุดมศึกษาตาม
พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒. (กรุงเทพ.วที ีซีคอมมวิ นิเคช่ัน.๒๕๔๔) .หนา้ ๒๑

๕๙

การเรียนรู้ของผู้เรียน ว่าถนัดท่ีจะเรียนรู้แบบใดมากที่สุด ในขณะเดียวกันกิจกรรมการเรียนรู้จะเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนได้วางแผนการเรียน รู้ด้วยตนเอง (ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดอีกครั้งในการเรียนรู้โดย
โครงงาน) การสนบั สนุนให้ผูเ้ รยี นได้เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรยี นรูข้ องตนเอง ผู้เรียนจะได้รับการฝึกด้าน
การจัดการแลว้ ยงั ฝึกด้านสมาธิ ความมีวนิ ยั ในตนเอง และการรู้จักตนเองมากข้ึน

เม่ือครจู ดั การเรียนการสอนและการประเมินผลแล้ว และมีความประสงค์จะตรวจสอบ
ว่าได้ดาเนินการถูกต้องตามหลักการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญหรือไม่ ครูสามารถ
ตรวจสอบด้วยตนเอง โดยใชเ้ กณฑ์มาตรฐานด้านกระบวนการ มาตรฐานท่ี ๑๘ ซง่ึ มตี ัวบง่ ชีด้ ังต่อไปน้ี๔๓

๑. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติและ
สนองความตอ้ งการของผเู้ รียน

๒. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิด
สงั เคราะห์ คดิ สรา้ งสรรค์ คดิ แก้ปัญหาและตดั สนิ ใจ

๓. มกี ารจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาหาความรู้ แสวงหา
คาตอบและสรา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเอง

๔. มีการนาภูมิปัญญาท้องถ่ิน เทคโนโลยีและส่ือที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการ
จัดการเรียนการสอน

๕. มีการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกและสง่ เสรมิ คุณธรรมและจริยธรรมของผเู้ รียน
๖. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาสุนทรียภาพอย่าง
ครบถ้วน ท้ังดา้ นดนตรี ศลิ ปะและกฬี า
๗. ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย การทางานร่วมกับผู้อ่ืนและความรับผิดชอบต่อ
กลมุ่ ร่วมกัน
๘. มีการประเมนิ พฒั นาการของผูเ้ รียนดว้ ยวิธกี ารหลากหลายและตอ่ เนื่อง
๙. มกี ารจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนรักสถานศึกษาของตนและมีความกระตือรือร้นในการไป
เรยี น
สรปุ วา่ การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผ้เู รียนเป็นสาคัญ คือ การจัดการให้ผู้เรียนสร้าง
ความรู้ใหม่โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเอง ทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เกิดความ
เขา้ ใจ และสามารถนาความร้ไู ปบูรณาการใช้ในชีวติ ประจาวัน และมีคุณสมบัติตามกับเป้าหมายของการ
จัดการศึกษาทีต่ อ้ งการให้ผเู้ รยี นเปน็ คนเกง่ คนดี และมีความสุข

๑๑. สรุป

การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นตัวตั้ง
โดยคานึงถึงความเหมาะสมกับผู้เรียนและประโยชน์สูงสุดที่ผู้เรียนควรจะได้รับ และมีการจัดกิจกรรม

๔๓ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,สานกั งาน. แนวทางการปฏริ ปู การศกึ ษาระดบั อุดมศกึ ษาตาม
พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒. (กรุงเทพ.วีทซี คี อมมิวนเิ คชน่ั .๒๕๔๔) .หนา้ ๒๓

๖๐

การเรียนรู้ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่าง
ต่ืนตัวและได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ อันจะนาผู้เรียนไปสูการเกิดการเรียนรู้ท่ีแท้จริง ซ่ึงในการจัด
กจิ กรรมโดยวธิ ีตา่ ง ๆ อยา่ งหลากหลายท่ีมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงจะทาให้ผู้เรียนเกิดการ
พฒั นาตนและส่งั สมคณุ ลักษณะท่ีจาเป็นสาหรบั การเปน็ ฯสมาชกิ ทดี่ ขี องสังคมของประเทศชาติต่อไป อีก
ท้ังการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ผูเ้ รียนเป็นศูนย์กลางถือเป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียน
ใช้กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมีส่วนร่วม
ในการทากิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉงเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายเป็นวิธีการท่ีให้อานาจแก่ผู้เรียน
ซง่ึ จะนาไปสู่การเรยี นรู้ตลอดชวี ิต

๖๑

ข้อสอบอตั นัย

๑.“การศึกษา” มีความหมายว่าอย่าไร ?
ก. การมีปฏสิ มั พนั ธ์กบั ผู้อน่ื หรือส่งิ แวดลอ้ มรอบตวั
ข. เปน็ กจิ กรรมทช่ี ว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเคลอ่ื นไหวทางสติปัญญา
ค. การปฏิบตั ิงานเกยี่ วเนื่องกบั การจัดกระบวนการเรียนการสอน
ง. กระบวนการเรยี นรู้เพอ่ื ความเจริญงอกงามของบคุ คล

๒. ตวั บง่ ชีท้ ่บี อกถึงลกั ษณะการเรยี นรู้ของผู้เรยี น ประกอบดว้ ยขอ้ ต่อไปน้ี ยกเวน้ ข้อใด ?
ก. การเรยี นรู้อยา่ งมคี วามสุข
ข. การเรียนรู้ด้วยกระบวนการคาดคะเน
ค. การเรียนรดู้ ว้ ยกระบวนการเรยี นรูข้ องตนเอง
ง. การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏบิ ัติจรงิ

๓. เทคนคิ การจดั การเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญมีความหมายวา่ อย่าไร ?
ก. การจดั การเรียนการสอนใหผ้ เู้ รยี นมีบทบาทสาคญั ในการเรยี นรู้
ข. การจดั การศึกษาใหผ้ ู้เรียน ให้มคี วามเป็นอสิ ระ
ค. ครูตอ้ งคอยอานวยความสะดวก คอยชว่ ยเหลือแนะนาผ้เู รยี นอยตู่ ลอดเวลา
ง. การจดั การเรยี นการสอนโดยคานึงถงึ ประโยชน์ของครูผสู้ อนเป็นประการสาคญั

๔. . การจดั การเรยี นการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ กล่าวไว้ในกฎหมายใด ?
ก.รฐั ธรรมนญู ๒๕๕๐
ข.พระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
ค.พระราชบญั ญัติระเบยี บบริหารราชการกระทรวงศึกษาธกิ าร พ.ศ. ๒๕๔๖
ง.พระราชบัญญตั ิระเบยี บข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗

๕. จุดม่งุ หมายของการเรยี นรู้แต่ละบทเรยี น สิ่งทีผ่ ู้เรยี นจะได้รับหลังจากบทเรยี นคือ ?
ก.แนวคดิ รวบยอด
ข.ทักษะและความสามารถ
ค.เนื้อหาของบทเรยี น
ง.เทคโนโลยี

๖. การจดั การเรียนรจู้ ากแหล่งเรียนร้ขู ้ันตอนใดทีเ่ กิดประโยชนส์ ูงสดุ ต่อผเู้ รยี น ?
ก. ข้ันสารวจ ข. ขนั้ เรยี นรู้
ค.ขนั้ นาไปใช้ ง.ขน้ั เผยแพร่ผลงาน

๗. ครผู ้สู อนมีบทบาทสาคัญต่อการจัดการเรียนรูจ้ ากแหลง่ เรยี นรู้ดา้ นใดมากที่สดุ ?
ก. ใหค้ าปรกึ ษา
ข. จดั หาอุปกรณก์ ารเรยี น
ค. ติดตามชว่ ยเหลอื
ง.สรปุ ผลและประเมินผล

๖๒

๘. ขอ้ ใดคอื ไมใ่ ชบ่ ทบาทของครผู สู้ อนในการจดั การเรยี นรแู้ บบสรา้ งองค์ความรู้ ?
ก.สรา้ งแรงจูงใจ
ข.มปี ฏิสัมพันธ์กับผูเ้ รยี น
ค.ช้ีทางการเรยี นรู้
ง.เปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นสังเกต

๙.ขอ้ ใดคือการบูรณาการแบบสอดแทรก ?
ก.Infusion
ข.Parallel Instruction
ค.Multidisciplinary Instruction
ง.Tran disciplinary Instruction

๑๐. ขอ้ ใดถกู ต้องท่ีสุด เมื่อกลา่ วถึงการจดั การเรียนรูแ้ บบบูรณาการในรูปแบบขนาน ?
ก. ครูคนเดยี วสอนหลายวชิ า
ข. ครูหลายวชิ าสอนในหัวเร่อื งเดยี วกนั
ค. ครหู ลายคนตา่ งคนต่างสอนในวิชาของตนเอง
ง. ครหู ลายคนชว่ ยกันสอนในวชิ าเดียวกนั

ตอนที่ ๒

๑. ตัวบ่งชี้ท่ีแสดงถึงการพัฒนาทั้งระบบของโรงเรียน สถานศึกษา สถานฝึกอบรม
ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง

ตอบ......................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
๒. เทคนิคการจดั กิจกรรมท่สี ่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสรา้ งความรู้ด้วยตัวเองคืออะไร
ตอบ ---------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------- --------
--------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------
----------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------
-------------------------------------------------------------------------------
๓. ประเภทของการบูรณามีอะไรบ้าง พร้อมยกตวั อย่างประกอบ
ตอบ---------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

๖๓

๔. การประเมินผลตามสภาพจริง เป็นการประเมินผลผู้เรียนรอบด้านตามสภาพจริงของผู้เรียน มี
ลักษณะสาคญั อะไรบา้ ง

ตอบ------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๕. จงใหค้ วามหมายของคาว่า “การศึกษา” มาใหช้ ดั เจน

ตอบ------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อสอบเตมิ คา

๑. สถานพฒั นาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่วยงาน

การศึกษาหรือหน่วยงานอื่นของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอานาจหน้าที่หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัด
การศกึ ษา เรียกวา่ ………………………………..

๒. การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
จากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือโดยหน่วยงานต้นสังกัดท่ีมีหน้าที่กากับดูแล
สถานศกึ ษานั้น
เรียกวา่ ………………………………

๓. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …………… เป็นกฎหมายท่ีกาหนดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือ
แก้ปัญหาทางการศึกษาและถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสาคัญในการปฏิรูปการศึกษาสรุปหลักการสาคัญ
ได…้ …….ดา้ น

๔. การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการ
เรยี นรู้ โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเป็น…………………………..

๕. ผู้ที่มีบทบาทสาคัญที่สุดในการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
คอื …………………………….

๖. ข้อกาหนดเก่ียวกับคุณลักษณะ คุณภาพ ท่ีพึงประสงค์และมาตรฐานท่ีต้องการให้เกิดขึ้นใน
สถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสาหรับการส่งเสริมและกากับดูแล การ
ตรวจสอบ การประเมนิ ผล และการประกันคณุ ภาพทางการศึกษา เรียกวา่ ………………………………

๖๔

๗. ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา รวมท้ังผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทาหน้าท่ี
ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเน่ืองกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหาร
การศึกษาในหนว่ ยงานการศึกษาต่าง ๆ เรียกวา่ ……………………………..

๘. ………………………………………………คือ การจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นตัวต้ัง โดย
คานึงถึงความเหมาะสมกับผู้เรียนและประโยชน์สูงสุดที่ผู้เรียนควรจะได้รับ และมีการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรทู้ ี่เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นมีบทบาทสาคญั ในการเรียนรู้

๙. ………………………หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพ่ือความเจริญงอกงามของบุคคลและ
สังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง
ความกา้ วหนา้ ทาง………………………..

๑๐. การประเมนิ ผลและการตดิ ตามตรวจสอบคณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
จากภายนอก โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงาน
ภายนอกท่ีสานักงานดังกล่าวรับรอง เพื่อเป็นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและ
มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษาเรียกว่า…………………………………………….

เฉลย
ตอนที่ ๑

๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐

งขกขขง งคกก

ตอนท่ี ๒

๑. ตัวบ่งชี้ท่ีแสดงถึงการพัฒนาท้ังระบบของโรงเรียน สถานศึกษา สถานฝึกอบรม
ประกอบด้วยอะไรบ้าง

๑. การกาหนดเป้าหมายในการพฒั นาทมี่ ีจดุ เนน้ การพฒั นาคณุ ภาพนักเรียนอย่างชดั เจน
๒. การกาหนดแผนยทุ ธศาสตร์สอดคลอ้ งกับเปา้ หมาย
๓. การกาหนดแผนการดาเนินงานในทุกองค์ประกอบของโรงเรียน สถานศึกษา สถาน
ฝึกอบรม สอดคล้องกบั เป้าหมาย และเป็นไปตามแผนยทุ ธศาสตร์
๔. การจัดใหม้ ีระบบประกันคณุ ภาพภายใน
๒. เทคนคิ การจัดกิจกรรมท่ีสง่ เสริมให้ผู้เรียนสรา้ งความร้ดู ว้ ยตวั เองคอื อะไร
ความเขา้ ใจด้านจิตวิทยาและปรัชญา เชื่อว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้จากส่ิงท่ีเขาเรียนรู้
และเข้าใจ ในสมองของผเู้ รียนมีโครงสรา้ งความรู้ซ่ึงเป็นประสบการณ์เดิมอยู่ เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ผู้เรียน

๖๕

จะพยายามนาข้อมูลนั้นมาต่อเติมกับโครงสร้างความรู้เดิมท่ีมีอยู่ อาจทาโครงสร้างความรู้น้ันให้มีแขนง
เพิ่มข้นึ โดยโครงสรา้ งเดมิ ไม่เปล่ยี นแปลง หรอื อาจปรบั เปลยี่ นโครงสร้างเดิมเพ่ือให้สามารถรับข้อมูลใหม่
เพมิ่ ขน้ึ ได้

๓. ประเภทของการบูรณามีอะไรบ้าง พรอ้ มยกตัวอย่างประกอบ
๑. บูรณาการภายในวิชา เช่น ภาษาไทย จัดการเรียนรู้โดยบูรณาการทักษะฟัง ดู พูด อ่าน

เขียนหลักภาษา และการใชภ้ าษา
๒. บูรณาการเช่อื มโยงกบั กลมุ่ ประสบการณ์หรือวชิ าอื่น ๆ ทาได้ ๒ ลักษณะคือ
ก. ผสู้ อนคนเดยี วกันสอนหลายเร่ือง สามารถนาเนื้อหาสาระที่คล้ายกันหรือเหมือนกัน

มาบูรณาการดว้ ยกัน
ข. ผู้สอนหลายคนสอนในเน้ือหาวิชาท่ีสัมพันธ์กัน แต่มีชั่วโมงสอนต่างกัน สามารถ

ชว่ ยกันจัดทาหนว่ ยการสอนโดยการบูรณาการเนื้อหาเข้าดว้ ยกัน
๓. บรู ณาการเชื่อมโยงและสอนเป็นคณะ คือ การทีค่ รผู สู้ อนในวิชาหรอื กลมุ่ ต่าง ๆ ร่วมกนั

กาหนดเร่ืองเป็นหน่วย กาหนดหัวเร่ืองใหญ่ (theme) หัวเร่ืองย่อย (topic) ประเด็นในการสอน (sub
topic) กาหนดกจิ กรรม และรว่ มกันจัดกจิ กรรม ตลอดจนร่วมกันประเมนิ ผล
๔. การประเมินผลตามสภาพจริง เป็นการประเมินผลผู้เรียนรอบด้านตามสภาพจริงของผู้เรียน มี
ลักษณะสาคญั อะไรบา้ ง

๑. เน้นการประเมินท่ีดาเนินการไปพร้อม ๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึง
สามารถทาไดต้ ลอดเวลา ทุกสภาพการณ์

๒. เนน้ การประเมนิ ที่ยดึ พฤตกิ รรมการแสดงออกของผ้เู รยี นจรงิ ๆ
๓. เนน้ การพัฒนาจุดเด่นของผเู้ รียน
๔. ใช้ข้อมูลที่หลากหลาย ด้วยเคร่ืองมือที่หลากหลายและสอดคล้องกับวิธีการประเมิน
ตลอดจนจดุ ประสงคใ์ นการประเมิน
๕. เน้นคุณภาพผลงานของผู้เรียนท่ีเกิดจากการบูรณาการความรู้ ความสามารถหลาย ๆ
ดา้ น
๖. ประเมนิ ดา้ นความคดิ เนน้ ความคิดเชงิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์
๗. เน้นให้ผู้เรียนประเมินตนเอง และการมีส่วนร่วมในการประเมินของผู้เรียน ผู้ปกครอง
และครู
๕. จงให้ความหมายของคาวา่ “การศึกษา” มาใหช้ ัดเจน
กระบวนการเรียนรู้เพ่ือความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้
การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การ
สร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้
อย่างตอ่ เน่ืองตลอดชวี ิต

๖๖

ขอ้ สอบเติมคา

๑. สถานพัฒนาเดก็ ปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่วยงาน

การศึกษาหรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอานาจหน้าที่หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัด
การศกึ ษา เรียกว่า สถานศกึ ษา

๒. การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
จากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือโดยหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กากับดูแล
สถานศกึ ษาน้ันเรียกวา่ ประกันคุณภาพภายใน

๓. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นกฎหมายที่กาหนดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือ
แก้ปัญหาทางการศกึ ษาและถอื ได้ว่าเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการปฏิรูปการศึกษาสรุปหลักการสาคัญได้๗.
ดา้ น

๔. การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มุ่งให้ผู้เรียน
เกิดการเรยี นรู้ โดยมีเปา้ หมายใหผ้ ้เู รียนเปน็ คนเกง่ ดี มสี ุข
๕. ผู้ทมี่ ีบทบาทสาคัญที่สดุ ในการจัดการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคัญ คอื ครูผู้สอน

๖. ข้อกาหนดเก่ียวกับคุณลักษณะ คุณภาพ ท่ีพึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นใน
สถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสาหรับการส่งเสริมและกากับดูแล การ
ตรวจสอบ การประเมนิ ผล และการประกันคณุ ภาพทางการศกึ ษา เรยี กว่า มาตรฐานการศึกษา

๗. ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา รวมท้ังผู้สนับสนุนการศึกษาซ่ึงเป็นผู้ทาหน้าท่ี
ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเน่ืองกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหาร
การศกึ ษาในหนว่ ยงานการศกึ ษาต่าง ๆ เรยี กวา่ บคุ ลากรทางการศกึ ษา

๘.การจดั การเรยี นรทู้ เี่ น้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ การจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นตัว
ต้งั โดยคานงึ ถึงความเหมาะสมกับผู้เรยี นและประโยชน์สูงสุดทผี่ เู้ รียนควรจะไดร้ ับ และมีการจัดกิจกรรม
การเรียนรทู้ เ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนมบี ทบาทสาคัญในการเรยี นรู้

๙. การศกึ ษา หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม
โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้ างสรรค์จรรโลง
ความกา้ วหนา้ ทาง วชิ าการ

๑๐. การประเมินผลและการตดิ ตามตรวจสอบคณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
จากภายนอก โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงาน
ภายนอกที่สานักงานดังกล่าวรับรอง เพื่อเป็นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและ
มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษาเรยี กวา่ การประกนั คณุ ภาพภายนอก

บทที่ ๓

ทฤษฎแี ละรปู แบบการจัดการเรียนรู้

หลกั การและเหตุผล

ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นเร่ืองทสี่ าคญั อีกเรือ่ งหนง่ึ ที่ครูจะต้องศึกษาก่อนการเขียนแผนการจัดการ
เรยี นรู้ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ต่าง ๆ จะทาให้ครูเข้าใจกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงจะสง่ ผลโดยตรงกับ
ผ้เู รยี น ในการจดั การเรยี นรู้ถ้าครูศึกษาทฤษฎกี ารเรียนรู้กอ่ นแล้วนาแนวคดิ จากทฤษฎีไปส่กู ารปฏบิ ัติคอื
การจดั การเรยี นรู้ จะทาให้การจดั การเรียนรบู้ รรลุวัตถปุ ระสงคอ์ ย่างรวดเร็ว ซ่งึ จะดกี วา่ การท่เี ราจัดการ
เรียนรู้โดยไมม่ ที ฤษฎรี องรบั เพราะทฤษฎตี ่างๆ นัน้ ได้มกี ารค้นควา้ ทดลองจนเปน็ ทยี่ อมรับ พูดงา่ ย ๆ ก็
คือไดผ้ ่านการพสิ จู นม์ าแล้ว สามารถนาไปประยุกต์ใช้ไดเ้ ลย แนวคดิ และแนวปฏบิ ัตขิ องทฤษฎีการ
เรียนรู้ไว้ตั้งแต่แนวคิดเก่ียวกับการกระทาหรือพฤติกรรมของมนุษย์ ซ่งึ มี ๓ แนวคดิ แนวท่ี ๑ เชือ่ วา่
พฤติกรรมหรือการกระทาของมนุษย์ เกิดข้ึนจากแรงกระตุ้นภายในตนเอง แนวที่ ๒ เชอื่ ว่าพฤติกรรม
หรอื การกระทาของมนษุ ย์ เกิดขน้ึ จากอิทธพิ ลของส่ิงแวดล้อม มใิ ชม่ าจากแรงกระตุ้นภายใน แนวท่ี ๓
เชื่อว่าพฤติกรรมหรือการกระทาของมนษุ ย์ เกิดขึ้นท้ังจากส่ิงแวดล้อมและจากแรงกระตุ้นภายในดว้ ย

วตั ถุประสงค์

๑.เพือ่ ศึกษาทฤษฎกี ารจัดการเรยี นรู้ ทง้ั ในอดตี และปัจจุบัน รวมถงึ ทฤษฎีการจดั การเรียนรู้ใน
อนาคต เพอ่ื ใหส้ ามารถทราบถงึ ทฤษฎกี ารจดั การเรียนร้ตู ่างๆและสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการ
จดั การเรียนการสอนและการเขยี นแผนการสอน

๒.เพ่ือศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ท้ังในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงรูปแบบการจัดการเรียนรู้
ในอนาคต เพ่ือให้สามารถทราบถึงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ต่างๆและสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการ
จัดการเรยี นการสอนและการเขียนแผนการสอน

๓.เพื่อศึกษาทฤษฎีและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ท้ังในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงทฤษฎีและ
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในอนาคต เพ่ือให้สามารถทราบถึงทฤษฎีและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ต่างๆ
และสามารถนาไปประยุกต์ใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนและการเขยี นแผนการสอน

๓.๑ ความหมายทฤษฎกี ารจัดการเรียนรู้

๓.๑.๑ ความหมายของทฤษฎี
ทฤษฎี หมายถึง กลุ่มความสัมพันธ์ของแนวคิดคานิยาม และองค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีใช้อธิบาย
ลกั ษณะของปรากฏการณห์ น่ึง และช้ใี ห้เหน็ ถึงความสัมพันธร์ ะหวา่ งตวั แปรตา่ ง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะ
อธิบายหรอื คาดเดาปรากฏการณ์นั้น
จากคาจากัดความขา้ งต้น สามารถแยกแยะความหมายของทฤษฎีได้ ๓ ประเด็น คอื
- ทฤษฎี คือ กลมุ่ ของขอ้ ความที่มคี วามเกย่ี วข้องกบั การทางานของส่งิ ตา่ ง ๆ
- ทฤษฎชี ว่ ยสร้างความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกลุ่มตัวแปรต่าง ๆ และเม่ือได้ปฏิบัติตามทฤษฎีแล้ว จะ
แสดงให้เห็นถึงลกั ษณะของปรากฏการณ์หนงึ่
- ทฤษฎีอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ โดยเจาะจงไปว่าตัวแปรใดสัมพันธ์กับตัวแปรใด และมี
ความสมั พันธก์ นั อย่างไร

๖๙

- คาอธิบายในทฤษฎีจะสะท้อนให้เห็นแนวคิด ซึ่งทฤษฎีแต่ละทฤษฎีจะมีความแตกต่างกันไป
เน่ืองจากคาอธิบายนั้นตั้งอยู่บนหลักปรัชญาที่ต่างกัน ดังนั้นจึงมีการแบ่งประเภทของทฤษฎีตามรูป
คาอธบิ ายของหลกั ปรชั ญาตา่ งๆ

- ทฤษฎีทางนิเทศศาสตร์ จะมุ่งอธิบายถึงพฤติกรรมการส่ือสารของมนุษย์ทุกรูปแบบ ซึ่งแต่ละ
ทฤษฎีจะอธิบายถึงพฤติกรรมการส่ือสารของมนุษย์ในลักษณะใดน้ัน ขึ้นอยู่กับความเช่ือหรือหลัก
ปรัชญาของผสู้ รา้ งทฤษฎีวา่ ตวั แปรอะไรที่สามารถนามาอธบิ ายพฤตกิ รรมน้ันได้

๓.๑.๒ ความหมายของการเรียนรู้
การเรียนรู (Learning)๕๔หมายถึง กระบวนการท่ีบุคคลเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม การ
พฒั นาความคิดและความสามารถ โดยอาศยั ประสบการณและปฏสิ ัมพันธระหวางผูเรยี นและสิ่งแวดล้อม
บลมู (Bloom) ไดจาแนกการเรยี นรูไวเปน ๓ ดาน คอื
๑) ดานพุทธิพิสยั (Cognitive Domain) หมายถึง พัฒนาการดานสตปิ ญญาและความคดิ
๒) ดานจิตพิสัย (Affective Domain) หมายถึงพัฒนาการทางดานคามรูสึกนึกคิด ความสนใจ
ค่านยิ ม ความซาบซงึ้ การปรบั ตวและเจตคตติ างๆ
๓) ดานทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) หมายถึง การพัฒนาทักษะในทางปฏิบัติ ไดแก
ทักษะในการใชอวัยวะตางๆ เชน การเคลือ่ นไหว การลงมอื ทางาน การทาการทดลอง
กาจเย่ (Gagne) ไดเสนอเงื่อนไขของการเรยี นรูไว ๘ ประการคือ
๑) การเรียนรูเมื่อไดรับสญั ญาณ (Signal Learning)
๒) การเรยี นรูในลกั ษณะของการกระตุน-ตอบสนอง(Stimulus-Response Learning)
๓) การเรยี นรูโดยการเชอื่ มโยงการกระตุน-ตอบสนอง (Chaining)
๔) การเรยี นรูโดยสรางความสมพนั ธกระตุน-ตอบสนองดวยภาษา (Verbal Association)
๕) การเรียนรูแบบแยกแยะ (Discrimination Learning)
๖) การเรียนรูในแนวความคดิ หลกั (Concept Learning)
๗) การเรยี นรูในกฎเกณฑ (Rule Learning)
๘) การเรียนรูเชงิ แกปญหา (Problem Solving)
สมุ น อมรววิ ฒั น์ ได้ใหค้ วามหมายของการจัดการเรียนรู้คือสถานการณ์อย่างหน่ึงที่มีส่ิงต่อไปนี้
เกิดข้ึน ได้แก่มีความสัมพันธ์และมีปฏิสัมพันธ์เกิดข้ึน ระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน
ผู้เรียนกับส่ิงแวดล้อม และผู้สอนกับสิ่งแวดล้อมความสัมพันธ์และการมีปฏิสัมพันธ์ก่อให้เกิดการเรียนรู้
และประสบการณ์ใหมผ่ ู้เรยี นสามารถนาประสบการณ์ใหม่นน้ั ไปใชไ้ ด้
วิชยั ประสิทธ์วฒุ เิ วชช์ ไดก้ ล่าวว่า การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่มีระบบระเบียบคลอบ
คลมุ การคาเนินการ ตั้งแตก่ ารวางแผน การจดั การเรยี นรู้ จนถึงการประเมินผล
ฮู และ ดันแคน อธิบายความหมายของการจัดการเรียนรู้ว่าหมายถึง กิจกรรมที่บุคคลได้ใช้
ความรู้ของตนเองอย่างสร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนให้ผู้อื่นเกิดการเรียนรู้ และมีความผาสุขดังนั้นการ
จดั การเรยี นรู้จงึ เปน็ กิจกรรมในแง่มุมต่างๆ ๔ ด้านดงั นี้
๑) การจดั การหลกั สตู ร (Curriculum)

๕๔สุคนธ์ สินธพานนท์, การจดั การเรียนรู้ของครูยคุ ใหมเ่ พื่อพัฒนาทักษะผเู้ รียนในศตวรรษท่ี ๒๑,(กรงุ เทพมหานคร :

ไทยวฒั นาการพิมพ์, ๒๕๕๖), หน้า ๑๙-๒๑.

๗๐

๒) การจัดการเรยี นการสอน (Instruction)
๓) การวัดผล (Measuring)
๔) การประเมินผลการเรียนรู้ (Evaluation) หลังการเรยี นการสอน
ดังนั้นจึงสามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า ทฤษฎีการจัดการเรียนรู้หมายถึง กลุ่มความสัมพันธ์
องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์เกี่ยวกับกระบวนการท่ีบุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม การพัฒนาความคิดและความสามารถ โดยอาศัย ประสบการณ และปฏิสัมพันธ์ระหวาง
ผเู รยี นและสงิ่ แวดล้อม

๓.๒ ความสมั พันธห์ ลกั สูตรกับการเรยี นรู้

๓.๒.๑ ความสัมพันธข์ องหลักสตู รและการออกแบบการเรยี นการสอน
ส่ิงท่ีต้องดาเนินการก่อนการออกแบบการเรียนการสอน คือการวิเคราะห์หลักสูตร เพราะ
หลักสูตรเป็นแหล่งข้อมูลท่ีสาคัญซึ่งจะบอกให้เราทราบว่า ผู้เรียนควรรู้อะไรและทาอะไรได้ หรือ บอก
ผลการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียน ซ่ึงเป็นเปูาหมายที่ต้องยึดถือในการออกแบบการเรียนการ
สอน สาหรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ซ่ึงโรงเรียนยึดถือเป็นกรอบ
แนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนในปัจจุบันน้ัน ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้และ
ตัวช้ีวัดในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ไว้ ๘ กลุ่มสาระ การวิเคราะห์ตัวชี้วัดเหล่านี้จะทาให้ทราบว่า
ผู้เรียนควรจะมีความรู้อะไรและสามารถปฏิบัติส่ิงใดได้ ซึ่งนามาใช้ในการกาหนดผลการเรียนรู้และ
เน้ือหาการเรียนรู้ ซึ่งนามาจัดทาเป็นหน่วยการเรียนรู้ ที่ประกอบด้วยโครงสร้างของเน้ือหา และเวลาท่ี
กาหนดไว้สาหรับการจัดการเรียนการสอน จากหน่วยการเรียนรู้พัฒนาต่อไปเป็นบทเรียนและแผนการ
เรียนการสอนประจาบทเรียน ท่ีมีจุดประสงค์การเรียนรู้แตกรายละเอียดย่อยออกมาจากผลการเรียนรู้
เปน็ เปาู หมายในการจดั การเรียนการสอน จะเหน็ ว่าการพัฒนาหลักสูตรเปน็ กิจกรรมท่ีมีความสัมพันธ์กับ
การออกแบบการเรียนการสอน
๓.๒.๒ การออกแบบการเรยี นการสอน
มีขอบเขตของการดาเนินการแตกต่างกัน ต้ังแต่การออกแบบการเรียนการสอนเป็นรายแผน
ไปจนถงึ การออกแบบการเรียนการสอนท้ังหน่วยการเรียนรู้ และทั้งรายวิชาขอบเขตในการดาเนินงานที่
แตกต่างกันอย่างชัดเจนนี้ ทาให้มีความซับซ้อน และยุ่งยากในการดาเนินงานแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
อยา่ งไรก็ตามรูปแบบในการออกแบบการเรียนการสอนท่ัวไปยังคงนามาประยุกต์ใช้ได้กับการดาเนินงาน
ส่ิงสาคัญที่ต้องยึดเป็นหลักในการดาเนินการออกแบบการเรียนการสอน คือการยึดผลการเรียนรู้/
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เป็นเปาู หมายในการดาเนินงาน
ขัน้ ตอนในการนาหลักสตู รไปสกู่ ารออกแบบการเรยี นการสอน มดี ังนี้
๑) การวิเคราะหม์ าตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดเปน็ ผลการเรยี นรู้ท่ีคาดหวงั
๒) การกาหนดหนว่ ยการเรียนรหู้ รอื หัวขอ้ การเรยี นรู้ และกาหนดผลการเรียนร้ขู องแตล่ ะ
หน่วยการเรียนรูแ้ ละเวลาทจ่ี ะตอ้ งใช้
๓) การกาหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ของหนว่ ยการเรยี นรู้แตล่ ะหน่วย
๔) การแตกหน่วยการเรียนรู้เป็นบทเรียนย่อยและกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ของ
บทเรียน

๗๑

๕) วางแผนการเรยี นการสอนโดยใช้กระบวนการออกแบบการเรยี นการสอนตามรูปแบบ
การออกแบบการเรียนการสอนท่ียึดถือนับจากข้ันน้ีไป หลักสูตรก็พร้อมท่ีจะนาไปใช้สาหรับการเรียน
การสอนในห้องเรียน โดยครูใช้กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนในการพัฒนาแผนการเรียนการ
สอน กิจกรรมการเรียนการสอนสื่อการเรียนการสอน และการประเมินผลผู้เรียน ซ่ึงเป็นองค์ประกอบ
การเรยี นการสอนท่ีนาไปใช้ในการพัฒนาการเรยี นรู้ของผเู้ รียน

๓.๓ กระบวนการจัดการเรียนรู้

กระบวนการที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการกับความรู้ท่ีจะเกิดขึ้น
ภายในองคก์ รซึ่งมีดงั น้ี

๑) การบ่งช้ีความรู้ เป็นการพิจารณาว่าจะทาอย่างไรให้องค์กรบรรลุเปูาหมาย โดยจะคัดเลือก
ว่าจะใช้เครื่องมืออะไร และขณะน้ีเรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร โดยอาจจะพิจารณา
ว่าองค์กรมีวสิ ัยทศั น์ พนั ธกจิ ยทุ ธศาสตร์ เปูาหมายคืออะไร

๒) การสรา้ งและแสวงหาความรู้ ซงึ่ สามารถทาได้หลายทาง เช่น การสร้างความรู้ใหม่ แสวงหา
ความรจู้ ากภายนอก รักษาความรู้เกา่ กาจัดความรทู้ ี่ใช้ไม่ไดแ้ ลว้

๓) การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสาหรับการเก็บ
ความรอู้ ยา่ งเป็นระบบเพื่อการเรียกใช้งานได้อยา่ งรวดเร็วและถูกต้องในอนาคต

๔) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น การปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้
ภาษาเดยี วกนั และปรับปรุงเนื้อหาใหส้ มบูรณ์และเหมาะสม

๕) การเข้าถึงความรู้ เป็นการทาให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ท่ีต้องการได้ง่ายและสะดวก โดย
การใช้พวกระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ(IT) หรอื การประชาสัมพนั ธ์บน Web board

การจัดการความรู้ในองค์กรการแบ่งปันแลกเปล่ียนความรู้ ทาได้หลายวิธีการซ่ึงจะแบ่งได้สอง
กรณีไดแ้ ก่ Explicit Knowledge อาจจะจัดทาเป็นเอกสาร ฐานความรู้ และเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ
หรือ Tacit Knowledge จัดทาเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม ชุมชน
แหง่ การเรยี นรู้ ระบบพ่เี ล้ียง การสับเปล่ยี นงาน การยืมตวั และเวทกี ารแลกเปลีย่ นความรู้ เปน็ ต้น

การเรียนรู้ ควรทาให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่น การเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การ
นาความรู้ไปใช้ให้เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ และนาความรู้ที่ได้ไปหมุนเวียนต่อไปอย่าง
ตอ่ เนอ่ื ง

๓.๔ การจัดระบบการจดั การเรียนรู้

ทิศนา แขมมณี๕๕ ได้กล่าวถึงทฤษฎีเก่ียวกับการเรียนรู้ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ และ
หลักการจัดการศกึ ษาและการสอนไว้ดังน้ี

๓.๔.๑.ทฤษฎีทเี่ นน้ การฝกึ จติ หรือสมอง (Mental Discipline)
นกั คดิ กลุ่มนี้มคี วามเชือ่ ว่าจติ หรอื สมองหรือสติปัญญา (Mind) สามารถพัฒนาให้ปราดเปร่ืองได้
โดยการฝึก เช่นเดียวกับกลา้ มเนือ้ ซึ่งจะแข็งแรงได้ดว้ ยการฝึกออกกาลังกาย ในการฝึกจิตหรือสมองน้ีทา

๕๕สุคนธ์ สนิ ธพานนท์,การจัดการเรียนรูข้ องครยู ุคใหม่ เพือ่ พัฒนาทักษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ ๒๑, (กรุงเทพมหานคร :

ไทยวัฒนาการพมิ พ์, ๒๕๕๖), หน้า๑๒.

๗๒

ได้โดยการใหบ้ คุ คลเรียนรเู้ รอ่ื ง ที่ยาก ๆ ย่งิ ยากมากเท่าไรจติ ก็จะได้รับการฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นเท่าน้ัน นัก
คิดกลุม่ นม้ี แี นวคดิ แยกออกเป็น ๒ กลมุ่ ยอ่ ย คือ

๑.กลมุ่ ท่ีเชื่อในพระเจา้ (Theistic Mental Discipline)
นักคิดท่ีสาคัญของกลุ่มนี้คือ เซนต์ออกุสติน (St. Augustine) จอห์น คาลวิน (John Calvin)
และครสิ เตียน โวลฟ์ (Christian Wolff) นักคิดกลุม่ น้มี ีความเชอื่ ดงั นี้
๑) มนษุ ย์เกิดมาพร้อมกับความช่วั และการกระทาใด ๆ ของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้นภายในตัว
มนษุ ย์เอง (Bad-active)
๒) มนษุ ย์พรอ้ ทีจ่ ะทาความช่วั หากไม่ไดร้ บั การสงั่ สอนอบรม
๓) สมองของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นส่วน ๆ (Faculties) ซึ่งหากได้รับการฝึกอย่างเหมาะสมจะ
ช่วยทาใหเ้ กดิ ความเข้มแขง็ สามารถแกไ้ ขปญั หาต่าง ๆ ได้
๔) การฝึกสมองหรือฝึกระเบียบวินัยของจิตเป็นสิ่งจาเป็นต่อการพัฒนาให้มนุษย์เป็นคนดีและ
ฉลาด
๕) การฝึกฝนสมองให้รู้จักคิด ต้องใช้วิชาท่ียาก เช่นวิชาคณิตศาสตร์ ปรัชญา ภาษาลาติน
ภาษากรีกและคัมภีร์ใบเบลิ เป็นตน้
หลักการจดั การศึกษา/การสอน
๑) การฝึกสมองหรือการฝึกระเบียบของจิตอย่างเข้มงวด เป็นสิ่งสาคัญในการฝึกให้บุคคลเป็น
คนฉลาดและคนดี
๒) การฝึกจิตจะต้องทาอย่างเข้มงวด เพ่ือให้จิตเข้มแข็ง การบังคับ ลงโทษเป็นสิ่งจาเป็นถ้า
ผเู้ รียนไมเ่ ช่อื ฟัง
๓) การจัดให้ผู้เรียนได้เรียนเน้ือหาวิชาที่ยาก ได้แก่ คณิตศาสตร์ ปรัชญา ภาษาลาตินและ
ภาษากรกี จะชว่ ยฝกึ ฝนสมองให้เข้มแขง็ ได้เปน็ อย่างดี
๔) การจัดให้ผูเ้ รียนไดศ้ ึกษาคมั ภีร์ใบเบิลและยดึ ถือในพระเจ้า จะช่วยให้ผู้เรยี นเปน็ คนดี
๒.ทฤษฎีของกลุ่มที่เช่ือในความมีเหตุผลของมนุษย์ (Humanistic Mental Discipline)
นักคิดคนสาคัญในกลุ่มน้ีคือ พลาโต (Plato) และอริสโตเติล (Aristotle) นักคิดกลุ่มน้ีมีความ
เชอื่ ดงั นี้
๑) พัฒนาการในเร่ืองต่าง ๆ เป็นความสามารถของมนุษย์ มิใชพ่ ระเจ้าบนั ดาลให้เกิด
๒) มนุษย์เกิดมามีลักษณะไม่ดีไม่เลวและการกระทาของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้นภายใน
(Neutral - active)
๓) มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง มนุษย์มีอิสระท่ีจะเลือกทาตามความเข้าใจ
และเหตผุ ลของตน หากได้รับการฝกึ ฝนอบรมกจ็ ะสามารถพัฒนาศักยภาพท่ีติดตวั มา
๔) มนษุ ยม์ ีความรตู้ ดิ ตวั มาต้งั แต่เกดิ แต่ถา้ ขาดการกระตุน้ ความรจู้ ะไม่แสดงออกมา
หลักการจดั การศกึ ษา/การสอน
๑) การพัฒนาใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนร้คู ือการกระตุน้ ความรู้ในตัวผเู้ รยี นให้แสดงออกมา
๒) การพัฒนาผเู้ รยี นไม่จาเป็นต้องใช้การบังคับ เค่ียวเข็ญ แต่ควรใช้เหตุผลเพราะมนุษย์เกิดมา
พร้อมกับความสามารถในการใช้เหตผุ ล

๗๓

๓) การใช้วิธีสอนแบบโสเครตีส (Socratic Method) คือการใช้คาถามเพื่อดึงความรู้ในตัว
ผูเ้ รยี นออกมาใหเ้ หน็ กระจ่างชัด เปน็ วิธสี อนทจี่ ะชว่ ยให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรไู้ ดด้ ี

๔) การใช้วิธีสอนแบบบรรยาย (Didactic Method) คือการสอนที่ใช้คาถามฟื้นความจาของ
ผ้เู รยี นแล้วเพิม่ เติมประสบการณ์ใหแ้ กผ่ ้เู รียน เป็นวิธีสอนท่ีจะช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรไู้ ด้ดีอีกวธิ หี น่งึ

กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการฝึกจิตหรือสมอง เป็นกลุ่มท่ีพูดถึงจิต สมอง และ
สติปัญญาของบุคคลว่ามีความแตกต่างกัน โดยสามารถที่จะฝึกและพัฒนาให้ปราดเปร่ืองขึ้นได้ ซึ่งฝึก
โดยการคดิ เรยี นรใู้ นสงิ่ ยากๆ ซ้าๆ จะทาใหจ้ ติ แขง็ แรงมากข้ึน หลักการในการจัดการเรียนการสอนตาม
ทฤษฏีน้ีเน้นการพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการกระตุ้นความรู้ในตัวผู้เรียนให้แสดงออกมา หาก
บุคคลไดร้ ับการเรยี นรแู้ ละฝึกฝนเป็นอย่างดี และเม่ือบุคคลเรียนรู้สิ่งท่ียากมากข้ึนเท่าไร จิตและสมองก็
จะแขง็ แกรง่ มากขึ้นเท่านัน้

๓.๔.๒ทฤษฎขี องกลมุ่ ทเ่ี น้นการพฒั นาตามธรรมชาติ (Natural Unfoldment)
นักคิดคนสาคัญในกลุ่มนี้คือรุสโซ (Rousseau) ฟรอเบล (Froebel) และเพสตาลอสซี
(Pestalozzi) นกั คิดกลุ่มนีม้ คี วามเชื่อดังนี้
๑) มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความดีและการกระทาใด ๆ เกิดขึ้นจากแรงกระตุ้นภายในตัวมนุษย์
เอง (Good - active)
๒) ธรรมชาติของมนุษย์มีความกระตือรือร้นท่ีจะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง หากได้รับเสรีภาพใน
การเรยี นรู้ มนษุ ยก์ ็จะสามารถพัฒนาตนเองไปตามธรรมชาติ
๓) รุสโซมีความเช่ือว่าเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ เด็กมีสภาวะของเด็ก ซ่ึงแตกต่างไปจากวัยอ่ืน
การจัดการศึกษาให้เดก็ จึงควรพิจารณาระดบั อายุเป็นหลกั
๔) รุสโซเช่ือว่าธรรมชาติคือแหล่งความรู้สาคัญเด็กควรจะได้เรียนรู้ไปตามธรรมชาติ คือการ
เรยี นรู้จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จากผลของการกระทาของตน มิใช่การเรียนจากหนังสือหรือจาก
คาพูดบรรยาย
๕) เพสตาลอสซีมีความเช่ือว่า คนมีธรรมชาติปนกันใน ๓ ลักษณะ คือ คนสัตว์ ซึ่งมีลักษณะ
เปิดเผย เป็นทาสของกิเลส คนสังคม มีลักษณะที่จะเข้ากับสังคม คล้อยตามสังคม และคนธรรม ซึ่งมี
ลกั ษณะของการรู้จักผดิ ชอบช่วั ดี คนจะตอ้ งมีการพัฒนาใน ๓ ลักษณะ ดงั กลา่ ว
๖) เพสตาลอสซีเชอ่ื วา่ การใชข้ องจริงเป็นสอ่ื ในการสอน จะชว่ ยให้เด็กเรยี นรไู้ ด้ดี
๗) ฟรอเบลเชอื่ วา่ ควรจะให้การศกึ ษาชัน้ อนบุ าลแกเ่ ดก็ เล็ก อายุ ๓ – ๕ ขวบ โดยให้เด็กเรียนรู้
จากประสบการณต์ รง
๘) ฟรอเบลเชอ่ื วา่ การเลน่ เปน็ การเรียนรู้ทส่ี าคญั ของเด็ก
หลกั การจดั การศึกษา/การสอน
๑) การจดั ประสบการณเ์ รยี นรใู้ ห้แกเ่ ดก็ จะตอ้ งมีความแตกต่างไปจากการจัดให้ผู้ใหญ่ เน่ืองจาก
เด็กมีสภาวะที่ต่างไปจากวัยอื่น ๆ
๒) การจดั การศึกษาให้แก่เดก็ ควรยดึ เด็กเป็นศูนย์กลาง ให้เสรีภาพแก่เด็กที่จะเรียนรู้ตามความ
ต้องการและความสนใจของตน เพื่อให้เด็กไดเ้ รยี นรอู้ ย่างอสิ ระ
๓) ลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมสาหรับเด็ก คือการจัดให้เด็กได้เรียนรู้จากธรรมชาติ
และเป็นไปตามธรรมชาติ ได้แก่

๗๔

๓.๑) ใหเ้ ดก็ ไดเ้ ลน่ อย่างอสิ ระ
๓.๒) ให้เด็กไดร้ บั ประสบการณ์ตรง
๓.๓) ใหเ้ ดก็ ได้เรียนจากของจริงและประสบการณ์จรงิ
๓.๔) ให้เดก็ ไดเ้ รียนรจู้ ากผลของการกระทาของตน
๔) การจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้เด็กจะต้องคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและความ
พร้อมของเดก็
๓ . ๔ . ๓ ท ฤ ษ ฎี ข อ ง ก ลุ่ ม ที่ เ น้ น ก า ร รั บ รู้ แ ล ะ ก า ร เ ชื่ อ ม โ ย ง ค ว า ม คิ ด ( Apperceptionห รื อ
Herbartianism)
นักคิดคนสาคัญในกลุ่มน้ีคือ จอห์น ล็อค (John Locke) วิลเฮล์ม วุนด์ (Wilhelm Wundt)
ทิชเชเนอร์ (Titchener) และแฮรบ์ ารต์ (Herbart) ซึ่งมีความเช่ือดงั นี้
๑) มนุษย์เกิดมาไม่มีท้ังความดีและความเลวในตัวเอง การเรียนรู้เกิดข้ึนได้จากแรงกระตุ้น
ภายนอกหรอื สงิ่ แวดลอ้ ม (Neutral - passive)
๒) จอหน์ ลอ็ ค เช่อื ว่าคนเราเกิดมาพรอ้ มกับจติ หรอื สมองท่วี ่างเปล่า (tabula rasa) การเรียนรู้
เกิดจากการที่บุคคลได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ การส่งเสริมให้บุคคลมี
ประสบการณม์ าก ๆ ในหลาย ๆ ทางจึงเป็นการช่วยใหบ้ ุคคลเกดิ การเรียนรู้
๓) วุนด์ เชื่อว่าจิตมีองค์ประกอบ ๒ ส่วน คือการสัมผัสทั้ง ๕ (Sensation) แลการรู้สึก
(feeling) คือการตีความหรือแปลความหมายจากการสมั ผสั
๔) ทิชเชเนอร์มีความเห็นเช่นเดียวกับวุนด์ แต่ได้เพ่ิมส่วนประกอบของจิตอีก ๑ ส่วน ได้แก่
จินตนาการ (Imagination) คอื การคิดวเิ คราะห์
๕) แฮรบ์ าร์ต เช่ือว่าการเรียนรู้มี ๓ ระดับคือขั้นการเรียนรู้โดยประสาทสัมผัส (sens activity)
ขั้นจาความคิดเดิม (memory characterized) และขั้นเกิดความคิดรวบยอดและเข้าใจ (conceptual
thinking or understanding) การเรียนรู้เกิดจากการท่ีบุคคลได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาท
สัมผัสทั้ง ๕ และส่ังสมประสบการณ์หรือความรู้เหล่านี้ไว้ การเรียนรู้นี้จะขยายขอบเขตออกไปเร่ือย ๆ
เมื่อบุคคลได้รับประสบการณ์หรือความรู้ใหม่เพิ่มข้ึน โดยผ่านกระบวนการเชื่อมโยงและการสร้าง
ความสัมพนั ธ์ระหว่างความรใู้ หมก่ บั ความรเู้ ดมิ เขา้ ดว้ ยกนั ( apperception)
๖) แฮรบ์ ารต์ เชอ่ื ว่าการสอนควรเรม่ิ จากการทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียนเสียก่อนแล้วจึงเสนอ
ความรูใ้ หม่ ตอ่ ไปควรจะชว่ ยให้ผูเ้ รยี นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดมิ กับความรู้ใหม่ จนได้ข้อสรุป
ท่ตี ้องการแลว้ จึงให้ผ้เู รียนนาข้อสรุปท่ีได้ไปประยุกต์ใช้กบั ปัญหาหรือสถานการณใ์ หม่ ๆ
หลักการจดั การศกึ ษา/การสอน
๑) การจัดให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ เป็นส่ิงจาเป็นอย่างมาก
ต่อการเรยี นรูข้ องผู้เรียน
๒) การชว่ ยใหผ้ ู้เรียนสร้างสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความ
เข้าใจได้อยา่ งดี
๓) การสอนโดยดาเนินการตาม ๕ ขั้นตอนของแฮร์บาร์ต จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
และรวดเร็ว ข้ันตอนดังกล่าวคอื

๗๕

๓.๑) ขัน้ เตรยี มการหรอื ข้ันนา (Preparation) ได้แก่การเร้าความสนใจของผู้เรียนและ
การทบทวนความรู้เดิม

๓.๒) ขั้นเสนอ (Presentation) ได้แก่ การเสนอความรใู้ หม่
๓.๓) ข้ันการสัมพันธ์ความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ (Comparison and abstraction)
ได้แก่การขยายความรู้เดิมให้กว้างออกไป โดยสัมพันธ์ความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น
การเปรียบเทยี บ การผสมผสาน ฯลฯ ทาใหไ้ ด้ขอ้ เทจ็ จรงิ ใหมท่ ี่สัมพนั ธก์ ับประสบการณเ์ ดมิ
๓.๔) ขั้นสรุป (Generalization) ได้แก่การสรุปการเรียนรู้เป็นหลักการหรือกฎต่าง ๆ
ทจ่ี ะสามารถจะนาไปประยุกตใ์ ชก้ ับปญั หาหรือสถานการณ์อน่ื ๆ ต่อไป
๓.๕) ข้ันประยุกต์ใช้ (Application) ได้แก่การให้ผู้เรียนนาข้อสรุปหรือการเรียนรู้ท่ีได้
ไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ ๆทไ่ี มเ่ หมอื นเดมิ
๓.๔.๔ ทฤษฎกี ารเรยี นรกู้ ลุ่มพฤตกิ รรมนิยม (Behaviorism)
นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลางคือไม่ดีไม่เลว (Neutral -
passive) การกระทาต่าง ๆ ของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของส่ิงแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์
เกดิ จากการตอบสนองตอ่ สิง่ เร้า (stimulus - response) การเรียนรู้เกิดจากการเช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้า
และการตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยมใหค้ วามสนใจกับพฤตกิ รรมมาก เพราะพฤติกรรมเป็นส่ิงที่เห็นได้
ชัด สามารถวัดได้และทดสอบได้ ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มน้ี ประกอบด้วยแนวคิด สาคัญ ๆ ๓ แนว
ดว้ ยกันคอื
๑.ทฤษฎีการเช่อื มโยงของธอร์นไดค์(Thorndike’sClassical Connectionism)
ธอร์นไดค์ เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซ่ึงมีหลาย
รูปแบบ บุคคลจะมีการลองผิดลองถูก (Trial and error) ปรับเปล่ียนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบรูปแบบ
การตอบสนองท่ีสามารถให้ผลท่ีพึงพอใจมากที่สุด เม่ือเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการ
ตอบสนองท่ีเหมาะสมเพียงรูปแบบเดียวและจะพยายามใช้รูปแบบน้ันเช่ือมโยงกับส่ิงเร้าในการเรียนรู้
ตอ่ ไปเร่อื ย ๆ
กฎการเรยี นรูข้ องธอรน์ ไดคส์ รุปไดด้ ังนี้๕๖
๑) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้ดีถ้าผู้เรียนมีความพร้อม
ทง้ั ทางร่างกายและจติ ใจ
๒) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การฝึกหัดหรือกระทาบ่อย ๆด้วยความเข้าใจจะทา
ให้การเรยี นร้นู นั้ คงทนถาวร ถ้าไมไ่ ดก้ ระทาซ้าบ่อย ๆ การเรียนรู้น้ันจะไม่คงทนถาวรและในที่สุดอาจลืม
ได้
๓) กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้เกิดจากการเช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้า
กับการตอบสนอง ความม่ันคงของการเรียนรู้จะเกิดข้ึน หากได้มีการนาไปใช้บ่อย ๆ หากไม่มีการ
นาไปใช้อาจมกี ารลืมเกดิ ขนึ้ ได้

๕๖สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ,การจัดการเรยี นรูข้ องครูยุคใหม่...สูป่ ระชาคมอาเซียน, (กรุงเทพฯ: กรุงเทพการพิมพ์.
๒๕๕๘), หน้า ๓๒-๓๔.

๗๖

๔) กฎแห่งผลท่ีพึงพอใจ (Law of Effect) เม่ือบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้
ตอ่ ไป แต่ถา้ ได้รบั ผลท่ีไม่พึงพอใจ จะไมอ่ ยากเรียนรู้ ดงั นั้นการได้รบั ผลท่ีพึงพอใจ จึงเป็นปัจจัยสาคัญใน
การเรยี นรู้

หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนแบบลองผิดลองถูกบ้าง (เมื่อพิจารณาแล้วว่าไม่ถึงกับ
เสียเวลามากเกินไปและไม่เป็นอันตราย) จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในวิธีการแก้ปัญหา จดจาการ
เรยี นรไู้ ด้ดีละเกิดความภาคภูมิใจในการกระทาสง่ิ ต่าง ๆ ด้วยตนเอง
๒) การสารวจความพร้อมหรือการสร้างความพร้อมของผู้เรียนเป็นส่ิงจาเป็นท่ีต้องกระทาก่อน
การสอนบทเรียน เช่น การสร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียน การเชื่อมโยงความรู้
เดิมมาสู่ความรู้ใหม่ การสารวจความรู้ใหม่ การสารวจความรู้พ้ืนฐานเพ่ือดูว่าผู้เรียนมีความพร้อมท่ีจะ
เรยี นบทเรยี นตอ่ ไปหรอื ไม่
๓) หากต้องการให้ผู้เรียนมีทักษะในเร่ืองใดจะต้องช่วยให้เขาเกิดความเข้าใจในเรื่องน้ันอย่าง
แทจ้ รงิ แลว้ ให้ฝึกฝนโดยกระทาส่งิ นน้ั บอ่ ย ๆ แต่ควรระวังอย่าให้ถึงกับซ้าซาก จะทาให้ผู้เรียนเกิดความ
เบื่อหน่าย
๔) เมือ่ ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรแู้ ล้วควรให้ผู้เรยี นฝึกการนาการเรยี นร้นู ้นั ไปใช้บ่อย ๆ
๕) การใหผ้ เู้ รยี นได้รับผลทตี่ นพึงพอใจ จะชว่ ยให้การเรียนการสอนประสบผลสาเร็จ การศึกษา
ว่าสิ่งใดเป็นส่งิ เร้าหรือรางวลั ทผี่ ู้เรยี นพงึ พอใจจงึ เป็นส่ิงสาคญั ทจ่ี ะช่วยให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้
๒. ทฤษฎีการวางเง่อื นไข (Conditioning Theory) ของพาฟลอฟ (Pavlov)
ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบอัตโนมัติ (Classical Conditioning)ของพาฟลอฟ (Pavlov) ได้ทา
การทดลองให้สุนัขน้าลายไหลด้วยเสียงกระดิ่ง โดยธรรมชาติแล้วสุนัขจะไม่มีน้าลายไหลเม่ือได้ยินเสียง
กระด่ิง แต่พาฟลอฟได้นาเอาผงเน้ือบดมาเป็นส่ิงเร้าคู่กับเสียงกระด่ิง ผงเน้ือบดถือว่าเป็นส่ิงเร้าตาม
ธรรมชาติ (unconditioned stimulus) ทาให้สุนัขน้าลายไหลได้ เขาใช้ส่ิงเร้าท้ังสองคู่กันหลาย ๆ คร้ัง
แล้วตัดสิ่งเร้าตามธรรมชาติออกเหลือแต่เสียงกระด่ิง ซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข ปรากฏว่าสุนัขน้าลาย
ไหลเมอื่ ได้ยนิ เสยี งกระดิ่งอย่างเดยี ว สรปุ ไดว้ ่าการเรยี นรูข้ องสุนขั เกิดจากการรู้จักเชื่อมโยงระหว่างเสียง
กระดง่ิ ผงเนอ้ื บดและพฤตกิ รรมนา้ ลายไหล
พาฟลอฟจึงสรุปว่าการเรียนรู้ของส่ิงมีชีวิตเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าท่ีวางเง่ือนไข
(Conditioned stimulus) การทดลองของพาฟลอฟ สรุปเปน็ กฎการเรียนรู้ได้ดังน้ี
๑) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์เกิดจากการวางเง่ือนไข ท่ีตอบสนองต่อความต้องการ
ทางธรรมชาติ (สนุ ัขน้าลายไหลเมอื่ ไดร้ บั ผงเน้อื )
๒) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งเร้าท่ีเช่ือมโยงกับสิ่งเร้าตาม
ธรรมชาติ (สุนัขนา้ ลายไหลเมอ่ื ได้ยนิ เสยี งกระด่งิ )
๓) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ท่ีเกิดจากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติจะ
ลดลงเร่ือย ๆ และหยุดลงในท่ีสุดหากไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ (เมื่อสั่นกระดิ่งโดยไม่ให้ผง
เน้อื ตดิ ๆ กนั หลายครั้งสนุ ขั จะหยุดน้าลายไหล)

๗๗

๔) พฤตกิ รรมการตอบสนองของมนษุ ย์ตอ่ ส่ิงเร้าที่เชื่อมโยงกับส่ิงเร้าตามธรรมชาติจะลดลงและ
หยุดไปเม่ือไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติและจะกลับปรากฏข้ึนได้อีกโดยไม่ต้องใช้ส่ิงเร้าตาม
ธรรมชาติ (เมือ่ ผา่ นไปชว่ งระยะเวลาหน่งึ สัน่ กระดิ่งใหม่โดยไมใ่ ห้ผงเนอ้ื เชน่ เดิม สนุ ขั จะน้าลายไหลอกี )

๕) มนุษย์มีแนวโน้มท่ีจะรับรู้สิ่งเร้าที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันและจะตอบสนองเหมือน ๆ กัน
(เม่ือสุนัขเรียนรู้โดยมีเสียงกระดิ่งเป็นเงื่อนไขแล้ว ถ้าใช้เสียงนกหวีดหรือระฆังที่คล้ายเสียงกระดิ่งแทน
เสยี งกระดง่ิ สุนขั กจ็ ะมนี า้ ลายไหลได้)

๖) บุคคลมแี นวโน้มทีจะจาแนกลักษณะของสิ่งเร้าให้แตกต่างกันและเลือกตอบสนองได้ถูกต้อง
(เม่ือใชเ้ สียงกระดง่ิ เสยี งฉ่ิง เสียงประทัด หรือเสียงอ่ืนเป็นสิ่งเร้า แต่ให้อาหารสุนัขพร้อมกับเสียงกระดิ่ง
เท่านั้น สุนขั จะน้าลายไหลเม่ือไดย้ นิ เสยี งกระด่ิง ส่วนเสียงอื่น ๆ จะไมท่ าให้สุนัขน้าลายไหล)

๗) กฎแห่งการลดภาวะ (Law of Extinction) พาฟลอฟ กล่าวว่า ความเข้มของการตอบสนอง
จะลดลงเรื่อย ๆ หากบคุ คลได้รบั แตส่ ิ่งเรา้ ท่วี างเงื่อนไขอย่างเดียว หรือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าที่วาง
เงอ่ื นไขกับสง่ิ เร้าทไ่ี มว่ างเง่ือนไขห่างกนั ออกไปมากขึน้

๘) กฎแห่งการฟ้ืนคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ (Law of Spontaneous Recovery) กล่าวคือ
การตอบสนองที่เกิดจากการวางเง่ือนไขลดลง สามารถเกิดขึ้นได้อีก โดยไม่ต้องใช้ส่ิงเร้าท่ีไม่วางเงื่อนไข
มาเขา้ คู่

๙) กฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้สู่สถานการณ์อ่ืน (Law of Generalization) กล่าวคือ เมื่อ
เกิดการเรียนรู้จากการวางเง่ือนไขแล้ว หากมีส่ิงเร้าที่คล้าย ๆ กับสิ่งเร้าที่วางเง่ือนไขมากระตุ้น อาจทา
ใหเ้ กิดการตอบสนองท่เี หมอื นกนั ได้

๑๐) กฎแห่งการจาแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination) กล่าวคือ หากมีการใช้สิ่งเร้า
ท่ีวางเง่ือนไขหลายแบบ แต่มีการใช้ส่ิงเร้าท่ีไม่วางเงื่อนไขเข้าคู่กับสิ่งเร้าที่วางเง่ือนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง
เทา่ นั้นกส็ ามารถช่วยใหเ้ กิดการเรยี นรไู้ ด้โดยสามารถแยกความแตกต่างและเลอื กตอบสนองเฉพาะสิ่งเร้า
ที่วางเงอื่ นไขเทา่ น้ันได้

หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) การนาความต้องการทางธรรมชาติของครูผู้สอนมาใช้เป็นส่ิงเร้า สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้ได้ดี ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กชอบเล่นตุ๊กตาสัตว์ ครูควรสอนให้เด็กอ่านและเขียนชื่อสัตว์ต่าง ๆ
โดยให้ตุ๊กตาสัตวเ์ ป็นรางวัล
๒) การสอนใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องใด อาจใช้วิธีเสนอสิ่งที่จะสอนไปพร้อม ๆ กัน กับส่ิง
เร้าที่ผู้เรียนชอบตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ครูรู้ว่าเด็กชอบฟังนิทาน ครูจึงให้เด็กเขียนคาศัพท์ท่ีใช้ใน
นทิ านไปพรอ้ ม ๆ กันกบั การเลา่ นทิ าน
๓) การนาเร่อื งทีเ่ คยสอนไปแล้วมาสอนใหม่ สามารถชว่ ยใหเ้ ดก็ เกดิ การเรียนรูต้ ามทีต่ ้องการได้
๔) การจัดกิจกรรมการเรียนให้ต่อเน่ืองและมีลักษณะคล้ายคลึงกัน สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิด
การเรยี นร้ไู ด้งา่ ยขึ้น เพราะมีการถา่ ยโยงประสบการณ์เดิมกบั ประสบการณใ์ หม่
๕.การเสนอส่ิงเร้าให้ชัดเจนในการสอน จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และตอบสนอง
ได้ชัดเจนขึน้
๖) หากตอ้ งการให้ผู้เรียนเกิดพฤตกิ รรมใด ควรมีการใช้ส่ิงเร้าหลายแบบ แต่ต้องมีส่ิงเร้าท่ีมีการ
ตอบสนองโดยไม่มีเง่ือนไขควบคู่อยู่ด้วย เช่น ถ้าครูต้องการให้ผู้เรียนเข้าห้องเรียนตรงเวลาและครูรู้ว่า

๗๘

ผู้เรียนต้องการรู้คะแนนสอบของตน ครูอาจต้ังเงื่อนไขว่าจะมีการบอกคะแนนสอบก่อนเรียนหรือจะมี
การสอบย่อยเร่ืองท่ีเรียนไปแล้วในตอนต้นช่ัวโมงทุกคร้ัง ผู้เรียนจะตอบสนองโดยเข้าเรียนตรงเวลา แต่
เงอื่ นไขนค้ี รตู อ้ งทาอย่างสม่าเสมอและมีเหตุผล ถา้ ไมท่ าสม่าเสมอ อาจเกดิ การลดภาวะได้คือ พฤติกรรม
การเข้าเรยี นตรงเวลาอาจลดลง อย่างไรก็ตาม ตามกฎแห่งการฟื้นคืนสภาพ พฤติกรรมการการเข้าเรียน
ตรงเวลาอาจลดลง สามารถเกิดข้ึนได้อีก นอกจากนั้นตามกฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้พฤติกรรม
ตอบสนองคือการเข้าเรียนตรงเวลา สามารถถ่ายโยงไปสู่สถานการณ์อื่นได้ เช่น ผู้เรียนอาจเข้าเรียนใน
วชิ าอ่ืนที่ครผู ู้น้สี อนดว้ ยกไ็ ด้

๓. ทฤษฎีการวางเง่อื นไขของวตั สนั (Watson)๕๗
วัตสัน (Watson) ได้ทาการทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่นกับหนูขาว ก็ทาเสียงดังจนเด็กตกใจ
ร้องไห้ หลังจากนนั้ เดก็ กจ็ ะกลวั และร้องไหเ้ มอื่ เห็นหนขู าว ต่อมาทดลองให้นาหนูขาวมาให้เด็กดู โดยแม่
จะกอดเด็กไว้จากนั้นเด็กก็จะค่อยๆหายกลัวหนูขาวจากการทดลองดังกล่าว วัตสันสรุปเป็นกฎการ
เรียนรู้ไดด้ ังน้ี
๑) พฤติกรรมเป็นสิ่งท่ีสามารถควบคุมให้เกิดได้ โดยการควบคุมส่ิงเร้าท่ีวางเงื่อนไขให้สัมพันธ์
กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และการเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้ส่ิงเร้าท่ีสัมพันธ์กันน้ันควบคู่กันไป
อยา่ งสมา่ เสมอ
๒) เมือ่ สามารถทาให้เกิดพฤตกิ รรมใดๆได้ก็สามารถลดพฤติกรรมนนั้ ใหห้ ายไปได้
หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) ในการสร้างพฤตกิ รรรมอย่างใดอย่างหนงึ่ ให้เกิดขึ้นในผู้เรียนควรพิจารณาสิ่งจูงใจหรือสิ่งเร้า
ที่เหมาะสมกับภูมิหลังและความต้องการของผู้เรียนมาใช้เป็นสิ่งเร้าควบคู่ไปกับส่ิงเร้าท่ีวางเงื่อนไข เช่น
ถ้าต้องการให้เด็กตอบคาถามครู ครูควรต้ังคาถามให้เด็กตอบโดยแสดงท่าทางท่ีให้ความอบอุ่นและให้
กาลังใจแก่เด็ก จะทาให้เด็กเกิดความมั่นใจในการตอบคาถามและถ้าครูใช้วิธีการนี้ซ้าๆอย่างสม่าเสมอ
เด็กจะเกิดการเรียนรแู้ ละมีความคงทนในการแสดงพฤติกรม
๒) การลบพฤติกรรรมท่ีไม่พึงปรารถนา สามารถทาได้โดยหาส่ิงเร้าตามธรรมชาติที่ไม่ได้วาง
เง่ือนไขมาช่วย เช่น หากผู้เรียนไม่ชอบทาการบ้านคณิตศาสตร์ครูอาจใช้ความเป็นมิตร เป็นกันเอง ให้
ความดูแล เอาใจใส่และให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดสิ่งเร้าเหล่านี้ตามธรรมชาติเหล่านี้สามารถช่วย
เปล่ียนพฤตกิ รรรมได้
๔.ทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขแบบตอ่ เนอื่ ง (Contiguous Condition-ing) ของกทั ธรี
กทั ธรี (Guthrie ค.ศ. ๑๘๘๖-๑๙๕๙)๕๘ ได้ทาการทดลองโดยปล่อยแมวท่ีหิวจัดเข้าไปในกล่อง
ปัญหา มีเสาเล็กๆตรงกลาง มีกระจกท่ีประตูทางออก มีปลาแซลมอนวางไว้นอกกล่อง เสาในกล่องเป็น
กลไกเปิดประตู แมวบางตัวใช้แบบแผนการกระทาหลายแบบเพ่ือจะออกจากกล่อง แมวบางตัวใช้วิธี
เดียว กัทธรีอธิบายว่า แมวใช้การกระทาคร้ังสุดท้ายที่ประสบผลสาเร็จเป็นแบบแผนยึดไว้สาหรับการ

๕๗ทศิ นา แขมมณ.ี ศาสตรก์ ารสอน องคค์ วามรเู้ พ่ือการจดั กระบวนการเรยี นรทู้ ่มี ีประสทิ ธภิ าพ.(กรงุ เทพฯ :สานกั พิมพ์

มหาจุฬาลงกรณ์วิทยาลยั . ๒๕๕๙), หน้า ๕๑.
๕๘ทศิ นา แขมมณ.ี ๑๔ วิธสี อนสาหรบั ครูมืออาชีพ. (กรุงเทพฯ : สานักพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .๒๕๕๗), หน้า ๔๓

– ๔๔.

๗๙

แกป้ ัญหาคร้ังต่อไป และการเรียนรู้เม่ือเกิดข้ึนแล้วแม้เพียงครั้งเดียวก็นับได้ว่าเรียนรู้แล้ว ไม่จาเป็นต้อง
ทาซา้ อกี กฎการเรียนรู้ของกัทธรี สรุปได้ดังนี้

๑) กฎแหง่ ความตอ่ เน่ือง (Law of Contiguity)
เม่ือมีกลุ่มสิ่งเร้ากลุ่มใดกลุ่มหน่ึงมากระตุ้นจะก่อให้เกิดการเคล่ือนไหวของร่างกายอย่างใด

อย่างหนึ่งข้ึน และเม่ือกลุ่มส่ิงเร้าเดิมกลับมาปรากฎอีกอาการเคล่ือนไหวอย่างเก่าก็จะเกิดข้ึนอีก
พฤติกรรมที่กระทาซ้านั้นไม่ใช่เกิดจากการเช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง แต่เกิดจากการที่
กลมุ่ ส่ิงเร้าท่ีก่อให้เกิดพฤติกรรมแบบเกา่ น้ันกลบั มาอีก

๒) การเรียนร้เู กิดขึน้ ไดแ้ มเ้ พยี งครัง้ เดยี ว (One trial learning) สนองออกมา ถ้าเกิดการเรียนรู้
ขน้ึ แลว้ แมเ้ พียงครงั้ เดยี ว กน็ ับว่าไดเ้ รียนรู้แลว้ ไมจ่ าเปน็ ต้องทาซา้ อีก หรอื ไมจ่ าเปน็ ต้องฝึกซ้าอีก

๓) กฎของการกระทาคร้ังสุดท้าย (Low of Recency ) หากการเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
แล้ว ในสภาพการณ์ใดสภาพการณ์หน่ึง เมื่อมีสภาพการณ์ใหม่เกิดขึ้น บุคคคลจะกระทาเหมือนท่ีเคยได้
กระทาในคร้ังสุดท้ายทก่ี ่อให้เกดิ การเรียนรูน้ น้ั ไม่วา่ จะผดิ หรือถูกกต็ าม

๔) หลักการจูงใจ (Motivation) การเรียนรูเ้ กดิ จาการจูงใจมากกวา่ การเสรมิ แรง
หลกั การจัดการศึกษา/การสอน

๑) ขณะสอนครูควรสังเกตการกระทาหรือการเคลื่อนไหวของนักเรียนว่ากาลังเกี่ยวพันกับ
สิ่งเร้าใด ถ้าครูให้สิ่งเร้าท่ีเก่ียวพันกับการเคล่ือนไหวนั้นน้อยกว่าก็จะไม่สามารถเปล่ียนการกระทาของ
เด็กได้ เชน่ ถ้าเดก็ กาลงั เอะอะวนุ่ วายไร้ระเบยี บ ครูจะพดู หรอื สอนขณะนั้นก็ไม่มีผล ต้องคอยให้เขาสงบ
เสียก่อน

๒) ในการสอน ควรวิเคราะห์งานอกเปน็ สว่ นย่อยๆ และสอนส่วนย่อยเหล่าน้ันให้เด็กสามารถ
ตอบสนองอย่างถูกตอ้ งจริงๆ หรือได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้องในทุกๆหน่วย เช่น การสอนให้นักเรียนกรอง
สร ต้องวิเคราะห์วา่ การกรองสรจะต้องมที กั ษะยอ่ ยๆอะไรบา้ ง แต่ละทักษะต่อเนื่องกันอย่างไร และสอน
หรอื ฝกึ จนนักเรียนทาได้ถูกตอ้ ง

๓) ในการจบบทเรียน ไม่ควรปล่อยให้นักเรียนจบการเรียนโดยได้รับคาตอบผิดๆหรือแสดง
อาการตอบสนองผดิ ๆ เพราะเขาจะเก็บการกระทาคร้ังสุดท้ายไว้ในความทรงจา ใช้เป็นแบบแผนในการ
ทาจนเป็นนสิ ัย

๔) การสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้เรียนเป็นส่ิงสาคัญช่วยให้ผู้เรียนประสบความสาเร็จในการ
เรียนรู้ ในการสอนจงึ ควรมกี ารจูงใจผเู้ รียน

๕.ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบโอเปอร์แรนต์ (Operant Condition-ing) ของสกินเนอร์
(Skinner)

สกินเนอร์ (Skinner) ได้ทาการทดลอง ซง่ึ สามารถสรปุ เป็นกฎการเรียนร้ไู ดด้ งั นี้
๑) การกระทาใดๆ ถ้าไดร้ ับการเสริมแรง จะมแี นวโน้มที่จะเกดิ ขนึ้ อีก ส่วนการกระทาท่ีไม่มีการ
เสรมิ แรง แนวโนม้ ท่คี วามถขี่ องการกระทานนั้ จะลดลงและหายไปในท่ีสุด (จาการทดลองโดยนาหนูที่หิว
จัดใส่กล่อง ภายใจมีคานบังคับให้อาหารตกลงไปในกล่องได้ ตอนแรกหนูจะวิ่งชนโน่นชนนี่ เม่ือชนคาน
จะมีอาหารตกมาใหก้ นิ ทาหลายๆคร้งั พบว่าหนูจะกดคานทาให้อาหารตกลงไปได้เรว็ ขึ้น)
๒) การเสริมแรงที่แปรเลี่ยนทาให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแงท่ีตายตัว (จากการ
ทดลองโดยเปรียบเทียบหนูท่หี วิ จดั ๒ ตัว ตวั หนง่ึ กดคานจะได้อาหารทุกครั้ง อีกตัวหน่ึงเม่ือกดคาน บาง

๘๐

ทีก็ไดอ้ าหาร บางทกี ็ไม่ได้อาหารแล้วหยุดใหอ้ าหารตัวแรกจะเลิกกดคานทันที ตัวที่ ๒ จะยังกดต่อไปอีก
นานกวา่ ตัวแรก )

๓) การลงโทษทาให้เรียนรู้ได้เร็วและลืมเร็ว (จากการทดลองโดยนาหนูที่หิวจัดใส่กรงแล้วช็อต
ดว้ ยไฟฟาู หนูจะว่ิงพล่านจนออกมาได้ เม่ือจับหนูใส่เข้าไปใหม่มันจะว่ิงพล่านอีก จาไม่ได้ว่าทางไหนคือ
ทางอออก )

๔) การให้แรงเสริมหรือให้รางวัลเม่ืออินทรีย์กระทาพฤติกรรมท่ีต้องการ สมารถช่วยปรับหรือ
ปลกู ฝงั นิสยั ที่ต้องการได้ (จาการทดลองโดยสอนให้หนุเล่นบาสเกตบอล เร่ิมจาการให้อาหารเมื่อหนูจับ
ลูกบาสเกตบอล จากน้นั เม่อื มันโยนจึงให้อาหารตอ่ มาเม่ือโยนสูงขึ้นจึงให้อาหาร ในที่สุดต้องโยนเข้าห่วง
จึงให้อาหาร การทดลองน้ีเป็นการกาหนดให้หนูแสดงพฤติกรรมตามท่ีต้องการก่อนจึงให้แรงเสริม วิธีน้ี
สามารถดัดนิสัยหรือปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมได้ )

หลักการจดั การศกึ ษา/การสอน
๑) ในการสอนการให้เสริมแรงหลังการตอบสนอง ท่ีเหมาะสมของเด็กจะช่วยเพิ่มอัตราการ
ตอบสนองทเี่ หมาะสมนนั้
๒) การเวน้ ระยะการเสริมแรงอยา่ งไม่เป็นระบบ หรือเปลี่ยนรูปแบบการเสริมแรงจะช่วยให้การ
ตอบสนองของผู้เรียนคงทนถาวร เช่น ถ้าครูชมว่า “ดี” ทุกคร้ังท่ีนักเรียนตอบถูกอย่างสม่าเสมอ
นกั เรียนจะเห็นความสาคญั ของแรงเสรมิ น้อยลง ครคู วรเปลีย่ นแปลงแรงเสริมแบบอ่ืนบ้าง เช่น ย้ิม พยัก
หนา้ หรือบางครงั้ อาจไมใ่ หแ้ รงเสรมิ
๓) การลงโทษที่รุนแรงเกินไปมีผลเสียมาก ผู้เรียนอาจไม่ได้เรียนรู้หรือจาส่ิงท่ีเรียนได้เลย ควร
ใช้วีการงดการเสริมแรงเม่ือนักเรียนมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เช่น เมื่อนักเรียนใช้ถ้อยคาไม่สุภาพ แม้
ได้บอกและตักเตือนแล้วก็ยังใช้อีก ครูควรงดการตอบสนองต่อพฤติกรรมนั้น เม่ือไม่มีใครตอบสนอง
ผ้เู รยี นจะหยุดพฤติกรมนน้ั ในที่สุด
๔) หากต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือปลูกฝังนิสัยให้แก่ผู้เรียน การแยกแยะข้ันตอนของ
ปฏิกริ ิยาตอบสนองออกเปน็ ลาดับข้ัน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับความสามารถของผูเ้ รียน เช่น
หากต้องการปลูกฝังนิสัยในการรักษาความสะอาดห้องปฏิบัติการและเคร่ืองมือ สิ่งสาคัญประการแรก
คือ ต้องนาพฤติกรรมที่ต้องการจาแนกเป็นพฤติกรรมย่อยให้ชัดเจน เช่น การเก็บ การกวาด การเช็ดถู
การล้าง การจัดเรยี ง เป็นต้น ต่อไปจึงพิจารณาแรงเสริมทจ่ี ะใหแ้ ก่ผู้เรยี น เชน่ คะแนน คาชมเชย การให้
เกียรติ การให้โอกาสแสดงตัว เป็นต้น เม่ือนักเรียนแสดงพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ก็ให้การเสริมแรงท่ี
เหมาะสมในทันที
๖. ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory)
ฮัลล์ (Hull) ได้ทาการทดลองโดยฝึกหนูให้กดคาน โดยแบ่งหนูเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มอด
อาหาร ๒๔ ชั่วโมงและแตล่ ะกลมุ่ มีแบบแผนในการเสริมแรงแบบตายตัวต่างกัน บางกลุ่มกดคาน ๕ คร้ัง
จงึ ได้อาหาร ไปจนถงึ กลุ่มทกี่ ด ๙๐ ครั้ง จงึ ได้อาหารและอีกพวกหน่ึงทดลองแบบเดียวกัน แต่อดอาหาร
เพียง ๓ ชว่ั โมง ผลปรากฏว่ายิ่งอดอาหารมากคือมีแรงขับมาก จะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเข้ม
ของนิสัย กล่าวคือจะทาให้การเชื่อมโยงระหว่างอวัยวะรับสัมผัส (receptor) กับอวัยวะแสดงออก
(effector)เขม้ แข็งขน้ึ ดงั นัน้ เม่ือหนหู ิวมากจึงมพี ฤติกรรมกดคานเร็วขึ้น ดงั น้ี

๘๑

๑) กฎแห่งสมรรถภาพในการตอบสนอง (Law of Reactive in Hibition) กล่าวคือถ้าร่างกาย
เมอื่ ยลา้ การเรยี นรู้จะลดลง

๒) กฎแห่งการลาดบั กลุ่มนสิ ยั (Law of Habit Hierachy) เมือ่ มีสิง่ เลา้ มากระตุ้น แต่ละคนจะมี
การตอบสนองต่าง ๆ กัน ในระยะแรกการแสดงออกมีลักษณะง่าย ๆ ต่อเม่ือเรียนรู้มากข้ึน ก็สามารถ
เลอื กแสดงการตอบสนองในระดับที่สูงขน้ึ หรอื ถกู ต้องตามมาตรฐานของสังคม

๓) กฎแห่งการใกล้บรรลุเปูาหมาย (Goal Gradient Hypothesis) เม่ือผู้เรียนยิ่งใกล้บรรลุ
เปูาหมายมากเท่าใดจะมีสมรรถภาพในการตอบสนองมากขึ้นเท่าน้ัน การเสริมแรงท่ีให้ในเวลาใกล้
เปาู หมายจะชว่ ยทาใหเ้ กิดการเรยี นรู้ได้ดที สี่ ดุ

หลกั การจัดการศึกษา/การสอน
๑) ในการจัดการเรียนการสอน ควรคานึงถึงความพร้อม ความสามารถและเวลาท่ีผู้เรียน
จะเรียนได้ดีท่ีสดุ
๒) ผเู้ รยี นมีระดบั ของการแสดงออกไม่เทา่ กัน ในการจัดการเรยี นการสอน ควรใหท้ างเลอื ก
ท่หี ลากหลาย เพอ่ื ผู้เรยี นจะได้ตอบสนองตามระดบั ความสามารถของตน
๓) การให้เสริมแรงในช่วงท่ีใกล้เคียงกับเปูาหมายมากท่ีสุด จะช่วยทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ได้ดี
๓.๔.๕.ทฤษฎีการเรยี นรูก้ ล่มุ พุทธนิ ิยม (Cognitivism)
กลุ่มพุทธนิยมหรือกลุ่มความรู้ความเข้าใจหรือกลุ่มที่เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด
นักคิดกลุ่มน้ีเร่ิมขยายขอบเขตของความคิดท่ีเน้นทางด้านพฤติกรรมออกไปสู่กระบวนการทางความคิด
ซง่ึ เป็นกระบวนการภายในของสมอง นักคิดกลุ่มนี้เช่ือว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เร่ืองของพฤติกรรมท่ี
เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อส่ิงเร้าเพียงเท่าน้ัน การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่าน้ัน
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจาการสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย และ
ความสัมพันธข์ องขอ้ มูลและการดึงขอ้ มูลออกมาใช้ในการกระทาและการแก้ปัญหาต่างๆ การเรียนรู้เป็น
กระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ตนเองทฤษฎีในกลุ่มนี้ที่
สาคญั ๆ มี ๕ ทฤษฎี คือ๕๙
๑) ทฤษฎีเกสตัลท์(Gestalt Theory) นักจิตวิทยาคนสาคัญของทฤษฎีนี้ คือ แมกซ์ เวอร์ไท
เมอร์(Max Wertheimer) วุล์แกงค์ โคห์เลอร์ (Wolfgang Kohler) เคริ์ท คอฟฟ์กา (Kurt Koffka)
และเคริ์ท เลวนิ (Kurt Lewin)
๒) ทฤษฎีสนาม(Field Theory) นักจิตวิทยาคนสาคัญ คือ เคริ์ท เลวินซ่ึงได้แยกตัวจากกลุ่ม
ทฤษฎีเกสตลั ท์ ในระยะหลงั
๓) ทฤษฎเี ครอื่ งหมาย (Sign Theory) ของ ทอลแมน (Tolman)
๔) ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) นักจิตวิทยาคน
สาคญั คือ เพยี เจต์ (Piaget) และบรุนเนอร์ (Bruner)

๕๙จตุ มิ า รตั นพลแสนย์ และคณะ. การจัดการการเรยี นรู้ในชัน้ เรยี น. (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พส์ หธรรมมิก จากัด, ๒๕๕๘).
หนา้ ๒๓ – ๒๕.

๘๒

๕) ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ( A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของ
ออซเู บล (Ausubel)

๑.ทฤษฎีเกสตลั ท์ (Gestalt Theory)
เกสตัลท์ เป็นศัพท์ในภาษาเยอรมันมีความหมายว่า “แบบแผน” หรือ “รูปร่าง” (Form or
pattern) ซ่งึ ในความหมายของทฤษฎี หมายถึง”สว่ นรวม” (Whole-ness) แนวความคดิ หลักของทฤษฎี
นี้ก็คือ ส่วนรวมมิใช่เป็นเพียงผลรวมของส่วนย่อย ส่วนรวมเป็นส่ิงท่ีมากกว่าผลรวมของส่วนย่อย (The
whole is more than the sum of the parts) กฎการเรยี นรขู้ องทฤษฎนี ส้ี รปุ ได้ดงั น้ี
๑) การเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการทางความคดิ ซึง่ เป็นกระบวนภายในตัวของมนุษย์
๒) บุคคลจะเรยี นรจู้ ากสง่ิ เรา้ ทเ่ี ปน็ สว่ นรวมไดด้ กี วา่ สว่ นยอ่ ย
๓) การเรียนรู้เกดิ ข้นึ ได้ ๒ ลกั ษณะ คอื

๓.๑) การรับรู้ (Perception) การรับรเู้ ป็นกระบวนการท่ีบุคคลใช้ประสาทสมั ผัสรบั ส่ิง
เรา้ แล้วโยนเข้าสูส่ มองเพอื่ ผา่ นเข้าสูก่ ระบวนความคิด สมองหรอื จติ จะใช้ประสบการณเ์ ดิมตคี วามหมาย
ของส่งิ เรา้ และแสดงปฏกิ ิริยาตอบสนองออกไปตามทสี่ มอง/จติ ตคี วามหมาย

๓.๒) การหยั่งเห็น (Insight) เปน็ การค้นพบหรือการเกิดความเข้าใจในชอ่ งทาง
แก้ปัญหาอยา่ งเฉียบพลันทันที อนั เนอื่ งมาจากผลการพิจารณาปญั หาโดยส่วนรวม และการใช้
กระบวนการทางความคดิ และสติปัญญาของบุคคลนัน้

๔) กฎการจัดระเบยี บการเรียนรู้ (Perception) ของทฤษฎีเกสตลั ท์มีดงั น้ี
๔.๑) กฎการรับรู้สว่ นรวมและส่วนย่อย (Law of Pragnanz) ประสบการณ์เดิมมีอทิ ธิ

หลตอ่ การรับรู้ของบุคคล การรบั ร้ขู องบุคคลต่อสงิ่ เร้าเดยี วกันอาจแตกตา่ งกันได้เพราะการใช้
ประสบการณเ์ ดิมมารบั รู้สว่ นรวมและสว่ นย่อยต่างกัน

๔.๒) กฎแห่งความคล้ายคลึง ( Law of Similarity) ส่ิงเร้าใดที่มีลักษณะเหมือนกัน
หรอื คล้ายคลึงกัน บุคคลมกั รับรเู้ ป็นพวกเดียวกัน

๔.๓) กฎแห่งความใกล้เคียง (Law of Proximity) แม้สิ่งเร้าท่ีมีความใกล้เคียงกัน
บุคคลมักรบั รู้เปน็ พวกเดียวกนั

๔.๔) กฎแหง่ ความสมบรู ณ์ (Law of Closure) แมส้ ิ่งเร้าทบี่ ุคคลรับรู้ยังไม่สมบูรณ์ แต่
บคุ คลสามารถรับรู้ในลักษณะสมบูรณไ์ ดถ้ า้ ทุกคนมีประสบการณ์เดมิ ในสิ่งเรา้ นน้ั

๔.๕) กฎแหง่ ความต่อเนื่อง ส่ิงเร้าท่ีมีความต่อเน่ืองกันหรือมีทิศทางไปในแนวเดียวกัน
บุคคลมกั รับร้เู ปน็ พวกเดียวกนั หรือเร่ืองเดียวกันหรอื เป็นเหตุผลกนั

๔.๖) บคุ คลมักมีความคงท่ใี นความหมายของสิ่งที่รับรู้ตามความเป็นจริง กล่าวคือ เม่ือ
บุคคลรับรู้ส่ิงเร้าในภาพรวมแล้วจะมีความคงท่ีในการรับรู้สิ่งนั้นในลักษณะเป็นภาพรวมดังกล่าว
ถึงแม้วา่ สิง่ เรา้ น้ันจะได้เปล่ียนแปรไปเมื่อรับรู้ในแง่มุมอื่น เช่น เมื่อเห็นปากขวดกลมเรามักจะเห็นว่ามัน
กลมเสมอ ถงึ แมว้ ่าในการมองบางมมุ ภาพที่เห็นจะเป็นรูปวงรกี ็ตาม

๔.๗) การรับรู้ของบุคคลอาจผิดพลาด บิดเบือน ไปจากความเป็นจริงได้ เน่ืองมาจาก
ลักษณะของการจดั กลุ่มสิง่ เร้าทีท่ าให้เกดิ การลวงตา

๕) การเรียนรู้แบบหย่ังเห็น (insight) โคห์เลอร์ (kohler) ได้สังเกตการณ์เรียนรู้ของลิงในการ
ทดลอง ลิงพยายามหาวิธีท่ีจะเอากล้วยซ่ึงแขวนอยู่สูงเกินกว่าท่ีจะเอื้อมถึงได้ ในที่สุดลิงเกิดความคิดท่ี

๘๓

จะเอาไม้ไปสอยกล้วยที่แขวนเอามากินได้ สรุปได้ว่า ลิงมีการเรียนรู้แบบหยั่งเห็น การหย่ังเห็นเป็นการ
คน้ พบ หรอื เกิดความเขใ้ จในช่องทางแกป้ ญั หาอยา่ งฉับพลันทันที อนั เนื่องมาจากผลการพิจารณาปัญหา
โดยส่วนรวมและการใช้กระบวนการทางความคิดและสติปัญญาของบุคคลนั้นในการเชื่อมโยง
ประสบการณเ์ ดมิ กับปัญหาหรอื สถานการณท์ เ่ี ผชญิ ดังนน้ั ปจั จยั สาคญั ของการเรียนรู้แบบหยั่งเห็นก็คือ
ประสบการณ์ หากมีประสบการณ์สะสมไว้มาก การเรียนรู้แบบหยั่งเห็นก็จะสะสมไว้มาก การเรียนรู้
แบบหยัง่ เหน็ ก็จะเกิดข้ึนไดม้ ากเชน่ กัน

หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) กระบวนการคิดเป็นกระบวนการสาคัญในการเรียนรู้ การส่งเสริมกระบวนการคิดจึงเป็น
ส่งิ จาเปน็ และเปน็ สิ่งสาคัญในการชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้
๒) การสอนโดยการเสนอภาพรวมเพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นเห็นและเข้าใจก่อนการเสนอส่วนย่อยจะช่วยให้
ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรไู้ ด้ดี
๓) การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีประสบการณ์มาก ได้รับประสบการณ์ท่ีหลากหลายจะช่วยให้ผู้เรียน
สามารถคิดแกป้ ญั หาและคดิ ริเรม่ิ ได้มากข้ึน
๔) การจัดประสบการณ์ใหม่ ให้มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิม ของผู้เรียนจะช่วยให้
ผู้เรยี นสามารถเรยี นรไู้ ด้ดีและงา่ ยขึ้น
๕) การจัดระเบียบส่ิงเร้าท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี คือการจัดกลุ่มส่ิงเร้าท่ี
เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกนั ไวเ้ ป็นกล่มุ เดียวกัน
๖) ในการสอน ครูไม่จาเป็นต้องเสยี เวลาเสนอเน้ือหาทั้งหมดท่ีสมบูรณ์ ครูสามารถเสนอเน้ือหา
แต่เพยงบางส่วนได้ หากผูเ้ รยี นสามารถใชป้ ระสบการณเ์ ดิมมาเตมิ ใหส้ มบรู ณ
๗) การเสนอบทเรยี นหรือเนอ้ หาควรจัดให้มีความตอ่ เนอ่ื งกัน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้
ดแี ละรวดเร็ว
๘) การส่งเสริมให้ผเู้ รยี นไดร้ ับประสบการณท์ ห่ี ลากหลาย จะชว่ ยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้แบบ
หย่ังเห็นได้มากข้นึ
๒. ทฤษฎีสนาม (Field Theory)
เคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin) เป็นผู้เร่ิมทฤษฎีน้ี คาว่า “field”มาจากแนวคิดเรื่อง “field of
force” มแี นวคิดทางทฤษฎดี ังนี้
๑) พฤติกรรมของคนมีพลังและทิศทาง สิ่งใดที่อยู่ในความสนใจและความต้องการของตนจะมี
พลังเป็นบวก ส่ิงที่นอกเหนือจากความสนใจจะมีพลังเป็นลบ ในขณะใดขณะหนึ่งคนทุกคนจะมี “โลก”
หรือ “อวกาศชีวิต” (life space) ของตน ซ่ึงจะประกอบไปด้วยส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ (physical
environment) อันได้แก่ คน สัตว์ ส่ิงของ สถานที่ ส่ิงแวดล้อม อ่ืน ๆและสิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา
(psychological environment) ซ่ึงได้แก่แรงขับ (drive) แรงจูงใจ (motivation) เปูาหมายหรือ
จุดหมายปลายทาง (goal) รวมทงั้ วามสนใจ (interest)
๒) การเรียนรู้เกิดข้ึนเมื่อบุคคลแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทาไปสู่จุดหมายปลายทางท่ีตน
ต้องการ

๘๔

หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) การชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ จาเป็นต้องอาศัยการทาความเข้าใจ .”โลก” ของผู้เรียนว่า
ผเู้ รยี นมีจุดมงุ่ หมายและความต้องการอะไร อะไรเป็นพลัง+และอะไรเป็นพลัง-ของเขา และพยายามจัด
ส่งิ แวดล้อมท่ีเหมาะสมท่ีจะช่วยใหผ้ เู้ รียนไปสจู่ ดุ หมาย
๒) การจัดการเรียนรู้ให้เข้าไปอยู่ใน”โลก”ของผู้เรียน โดยการจัดสิ่งแวดล้อมท้ังทางกายภาพ
และจิตวิทยาให้ดึงดูดความสนใจและสนองความต้องการของผู้เรียน เป็นส่ิงจาเป็นในการจัดการเรียน
การสอน
๓) การสร้างแรงจูงใจ และ/หรือแรงขับที่จะนาให้ผู้เรียนไปสู่ทิศทางหรือจุดหมายท่ีต้องการ
เป็นส่ิงจาเป็นในการชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรู้
๓. ทฤษฎเี ครอ่ื งหมาย (Sign Theory)
ทอลแมน (Tolman) กล่าวว่า “การเรียนรู้เกิดจากการใช้เคร่ืองหมายเป็นตัวช้ีทางให้แสดง
พฤติกรรมไปสู่จดุ หมายปลายทาง” ทฤษฎขี องทอลแมนสรุปได้ดังน้ี
๑) ในการเรียนรู้ต่างๆผู้เรียนมีการคาดหมายรางวัล (Reward expectancy) หากรางวัลที่คาด
ว่าจะได้รับไม่ตรงตามความพอใจและความต้องการ ผู้เรียนจะพยายามแสวงหารางวัลหรือสิ่งท่ีต้องการ
ต่อไป
๒) ขณะท่ีผู้เรียนพยายามจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางท่ีต้องการ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
เคร่อื งหมาย สัญลกั ษณ์ สถานท่(ี Place learning) และสงิ่ อนื่ ๆทเ่ี ปน็ เครือ่ งชท้ี างตามไปดว้ ย
๓) ผู้เรียนมีความสามารถที่จะปรับการเรียนรู้ของตนไปตามสถานการณ์ที่เปล่ียนไป จะไม่
กระทาซา้ ๆ ในทางทไ่ี มสามารถสนองความต้องการหรือวัตถุประสงค์ของตน
๔) การเรียนรู้ทเี่ กิดขน้ึ ในบุคคลใดบุคคลหนง่ึ นัน้ บางครง้ั จะไม่แสดงออกในทันที อาจจะแฝงอยู่
ในตวั ผ้เู รยี นไปก่อนจนกวา่ จะถึงเวลาทเี่ หมาะสมหรอื จาเป็นจึงจะแสดงออก (Talent learning)
หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) การสร้างแรงขับ และ/หรอื แรงจูงใจให้เกดิ ข้ึนกับผเู้ รียนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามไปให้ถึง
จดุ หมายท่ตี ้องการ
๒) ในการสอนให้ผู้เรียนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายใดๆน้ัน ครูควรให้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือสิ่ง
อ่นื ๆ ที่เป็นเคร่ืองช้ที างควบคไู่ ปด้วย
๓) การเปลย่ี นสถานการณก์ ารเรียนรู้ สามารถชว่ ยให้ผู้เรยี นปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรรมของตนได้
๔) การเรยี นรบู้ างอย่างยังไมส่ ามารถแสดงออกไดใ้ นทันที การใช้วธิ กี ารทดสอบหลาย ๆ วธิ ี
ทดสอบบ่อยๆ หรอื ติดตามผลระยะยาว จึงเปน็ ส่งิ จาเป็นในการวัดและประเมินผลการเรียนรใู้ นลกั ษณะ
นี้
๔. ทฤษฎีพัฒนาการทางสตปิ ญั ญา (Intellectual Development)
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์(Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้าน
ความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตาม
พัฒนาการทางสตปิ ัญญา ซง่ึ จะมีพัฒนาการไปตามวัยต่างๆเป็นลาดับข้ัน พัฒนาการเป็นส่ิงที่เป็นไปตาม
ธรรมชาติ ไม่ควรท่จี ะเรง่ ใหเ้ ด็กขา้ มจากพฒั นากรขัน้ หน่ึงไปสอู่ กี ขัน้ หนง่ึ เพราะจะทาให้เกิดผลเสียแก่เด็ก
แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกาลังจะพัฒนาไปสู่ข้ันที่สูงกว่า สามารถ

๘๕

ช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเพียเจต์เน้นความสาคัญของการเข้าใจธรรมชาติและ
พฒั นาการของเดก็ มากกวา่ การกระต้นุ เด็กใหม้ ีพฒั นาการเรว็ ขึ้น

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญั ญาของเพยี เจต์ มสี าระสรปุ ไดด้ ังน้ี
๑) พัฒนาการทางสตปิ ัญญาของบุคคลเปน็ ไปตามวยั ต่างๆเปน็ ลาดบั ข้ันดังนี้

๑.๑) ขั้นรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส (Sensorimotor Period) เป็นขั้นพัฒนาการในช่วง
๐-๒ ปี ความคิดของเด็กในวัยนี้ข้ึนกับการรับรู้และการกระทาเด็กยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และยังไม่
สามารถเข้าใจความคิดเหน็ ของผู้อ่นื

๑.๒) ข้ันก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Period) เป็นขั้นพัฒนาการในช่วงอายุ
๒-๗ ปี ความคิดของเด็กวัยนี้ยังข้ึนอยูก่ บั การับร้เู ปน็ ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถท่ีจะใช้เหตุผลอย่างลึกซ้ึง แต่
สามารถเรยี นรแู้ ละใชส้ ญั ลกั ษณไ์ ด้ การใช้ภาษาแบ่งเปน็ ขัน้ ยอ่ ยๆ ๒ ข้ันคือ

๑.๒.๑) ข้ันก่อนเกิดความคิดรวบยอด (Pre-Concep-utal Intellectual
Period) เปน็ ขั้นพัฒนากรในช่วง ๒-๔ ปี

๑.๒.๒) ขั้นการคิดด้วยความเข้าใจของตนเอง(Intuitive Thinking Period)
เปน็ พฒั นากรในชว่ ง ๔-๗ ปี

๑.๓) ข้ันการคิดแบบรูปธรรม (Comcrete Operational Pe-riod) เป็นขั้นพัฒนากร
ในช่วงอายุ ๗-๑๑ ปี เปน็ ข้ันท่ีการคิดของเด็กไม่ขึ้นกับการรับรู้จากรูปร่างเท่าน้ัน เด็กสามารถสร้างภาพ
ในใจ และสามารถคดิ ย้อนกลับได้ และมีความเข้าใจเกยี่ วกับความสัมพันธ์ของตัวเลขและส่ิงต่างๆได้มาก
ขน้ึ

๑.๔) ขั้นการคิดแบบนามธรรม (Formal Operation Pe-riod) เป็นพัฒนาการในช่วง
อายุ ๑๑-๑๕ ปี เด็กสามารถคิดส่ิงท่ีเป็นนามธรรมได้ และสามารถคิดต้ังสมมติฐานและใช้กระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ได้

๒) ภาษาและกระบวนการคิดของเดก็ แตกต่างจากผู้ใหญ่
๓) กระบวนการทางสติปัญญามีลกั ษณะดังนี้

๓.๑) การซึมซับหรือการดูดซึม (Assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองในการรับ
ประสบการณ์ เรอ่ื งราว และข้อมลู ตา่ งๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพ่อื ใช้ประโยชนต์ ่อไป

๓.๒) การปรับและจัดระบบ (Accommodation) คือ กระบวนการทางสมองในการ
ปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็นระบบหรือเครือข่ายทางปัญญาท่ีตนสามารถ
เข้าใจได้ เกิดเปน็ โครงสร้างทางปญั ญาใหมข่ น้ึ

๓.๓) การเกิดความสมดุล (Equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการ
ปรับตัว หารการปรับเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุลมากข้ึน หาก
บคุ คลไมส่ ามารถปรับประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์ เดิมให้เข้ากันได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุล
ขน้ึ ซ่งึ จะกอ่ ให้เกดิ ความขัดแยง้ ทางปัญญาขน้ึ ในตัวบุคคล

หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) ในการพัฒนาเด็ก ควรคานึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กและจัดประสบการณ์ให้เด็ก
อย่างเหมาะสมกับพัฒนาการเท่าน้ัน ไมค่ วรบงั คบั ใหเ้ ดก็ เรียนในสิ่งท่ียังไม่พร้อม หรือยากเกินพัฒนาการ
ตามวัยของตน เพราะจะกอ่ ให้เกดิ เจตคตทิ ี่ไม่ดีได้

๘๖

๑.๑) การจัดการสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามวัยของตนสามารถช่วย
ให้เดก็ พฒั นาไปสพู่ ัฒนาการข้นั สงู ได้

๑.๒) เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ถึงแม้อายุจะเท่ากัน แต่ระดับพัฒนาการ
อาจไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถ
ของเขาไปตามระดบั พัฒนาการของเขา

๑.๓) ในการสอนควรใช้ส่ิงที่เป็นรูปธรรม เพ่ือช่วยให้เด็กเข้าใจลักษณะต่างๆได้ดีขึ้น
แม้ในพัฒนาการช่วงการคิดแบบรูปธรรมเด็กจะสามารถสร้างภาพในใจได้แต่การสอนท่ีใช้อุปกรณ์ที่เป็น
รูปธรรมจะชว่ ยให้เดก็ เข้าใจแจ่มชดั ข้นึ

๒) การให้ความสนใจและสงั เกตเดก็ อยา่ งใกล้ชดิ จะช่วยให้ทราบลกั ษณะเฉพาะตวั ของเด็ก
๓) ในการสอนเด็กเล็กๆ เด็กจะรับรู้ส่วนรวม (Whole) ได้ดีกว่าส่วนย่อย (part) ดังน้ันครูจึง
ควรสอนภาพรวมกอ่ นแลว้ จงึ แยกสอนทีละสว่ น
๔) ในการสอนสิ่งใดให้กับเด็ก ควรเร่ิมจากส่ิงที่เด็กคุ้นเคยหรือมีประสบการณ์มาก่อนแล้วจึง
เสนอสิ่งใหม่ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งเก่า การทาเช่นนี้จะช่วยให้กระบวนการซึมซับและจัดระบบความรู้
ของเดก็ เปน็ ไปดว้ ยดี
๕) การเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมากๆ ช่วยให้เด็ก
ดูดซมึ ข้อมลู เขา้ สโู่ ครงสร้างทางสตปิ ญั ญาของเด็กอันเป็นการสง่ เสริมพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของเด็ก
๕.ทฤษฎพี ฒั นาการทางสติปญั ญาของบรุนเนอร์
บรนุ เนอร(์ Bruner) เป็นนักจิตวทิ ยาที่สนใจและศกึ ษาเร่อื งของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่อง
จากเพียเจต์ บรุนเนอร์เช่ือว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งท่ีตนเองสนใจและการเรียนรู้เกดจากกระบวนการ
ค้นพบด้วยตัวเอง (discovery learning) แนวคดิ ทีส่ าคญั ๆของบรนุ เนอร์มี ดงั นี้
๑) การจัดโครงสร้างของความรูให้มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญา
ของเด็ก มผี ลตอ่ การเรียนรขู้ องเด็ก
๒) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน และ
สอดคลอ้ งกับพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของผู้เรยี นจะช่วยใหก้ ารเรียนรูเ้ กิดประสิทธภิ าพ
๓) การคดิ แบบหย่งั รู(้ Intuition) เปน็ การคิดหาเหตผุ ลอย่างอิสระท่ีสามารถช่วยพัฒนาความคิด
ริเรม่ิ สร้างสรรคไ์ ด้
๔) แรงจูงใจภายในเป็นปจั จยั สาคญั ท่จี ะช่วยให้ผเู้ รียนประสบวามสาเรจ็ ในการเรียนรู้
๕) ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญาของมนษุ ย์แบ่งได้เปน็ ๓ขน้ั ใหญๆ่ คอื

๕.๑) ขน้ั การเรียนรู้จากการกระทา(Enactive Stage) คือขั้นของการเรียนรู้จากการใช้
ปะสารทสัมผัสรับรู้ส่ิงต่างๆ การลงมือกระทาช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้เกิดจากการ
กระทา

๕.๒) ขั้นการเรยี นรจู้ ากความคิด(Iconic Stage) เป็นข้ันทเ่ี ด็กสามารถสร้างมโนภาพใน
ใจได้ และสามารถเรยี นรจู้ ากภาพแทนของจรงิ ได้

๕.๓) ข้นั การเรียนรูส้ ัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเยนรู้สิ่งที่
ซบั ซ้อนและเปน็ นามธรรมได้

๘๗

๖) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรือสามารถจัด
ประเภทของสงิ่ ตา่ งๆได้อย่างเหมาะสม

๗) การเรียนร้ทู ีไ่ ดผ้ ลดีทส่ี ุดคือการให้ผ้เู รยี นคน้ พบการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง(Discovery learning)
หลกั การจัดการศึกษา/การสอน

๑) กระบวนการค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีดีมีความหมายสาหรับ
ผเู้ รียน

๒) การวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเน้ือหาสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสมเป็นสิ่งจาเป็นที่ต้องทา
ก่อนการสอน

๓) การจัดหลักสูตรแบบเกลียว(Spiral Curriculum) ช่วยให้สามารถสอนเน้ือหาหรือความคิด
รวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยได้ โดยต้องจัดเน้ือหาความคิดรวบยอดและวิธีสอนให้เหมาะสมกับ
พัฒนาการขงผูเ้ รียน

๔) ในการเรยี นการสอนตอ้ งสง่ เสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระ ให้มากเพ่ือช่วยส่งเสริมความคิด
สรา้ งสรรคใ์ หแ้ ก่ผ้เู รยี น

๕) การสร้างแรงจงู ใจภายในให้เกดิ ขนึ้ กับผู้เรยี นเป็นสง่ิ จาเป็นในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
แกผ่ ูเ้ รียน

๖การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับข้ันพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน จะช่วยให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรไู้ ด้ดี

๗) การสอนความคิดรวบยอดให้แกผ่ ู้เรยี นเปน็ ส่ิงทจี่ าเป็น
๘) การจดั ประสบการณ์ให้ผเู้ รียนไดค้ ้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรไู้ ด้ดี
ทฤษฎกี ารเรยี นรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของเดวิด
ออซูเบล(David Ausubel)
ออซูเบลเชื่อว่าการเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถเช่ือมโยงกับส่ิง
ใดส่งิ หนึ่งท่รี ูม้ าก่อน(Ausubel, ๑๙๖๓:๗๗-๙๗)
การนาเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทศั น์หรือกรอบความคิด(Advance Organizer) ใน
เรือ่ งใดเรื่องหนึ่งแกผ่ ู้เรยี นกอ่ นการสอนเนื้อหาสาระนั้นๆจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระน้ันอย่างมี
ความหมาย
๓.๔.๖ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (Humanism)๖๐
นักคิดกลุ่มมนุษยนิยม ให้ความสาคัญของการเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์ว่ามีคุณค่า มีความดี
งาม มคี วามสามารถ มคี วามต้องการ และมแี รงจงู ใจภายในทจี่ ะพฒั นาศกั ยภาพของตน หากบุคคลได้รับ
อิสรภาพและเสรีภาพ มนุษย์จะพยายามพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นักจิตวิทยาคน
สาคัญในกลุ่มนี้คือ มาสโลว์(Maslow) รอเจอร์ส(Rogers) โคมส์(Knowles) แฟร์(Faire) อิลลิช(illich)
และนลี (Neil)

๖๐ประภาษ ปานเจย้ี ง, การศึกษาเพ่ือการพัฒนาท่ยี ั่งยืน, (กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพโ์ พธิท์ อง จากดั , ๒๕๕๗), หนา้ ๑๖.

๘๘

๑. ทฤษฎีการเรยี นรู้ของมาสโลว์ (Maslow)
๑) มนุษย์ทกุ คนมีความต้องการพ้ืนฐานตามธรรมชาติเป็นลาดับขั้น คือ ขั้นความต้องการาง

ร่างกาย(Physical need) ข้ันความต้องการความม่ันคงปลอดภัย (safety need) ข้ันความต้องกาความ
รัก (love need) ข้ันความต้องการยอมรับของตนอย่างเต็มท่ี (self-actualization) หากความต้องการ
ขั้นพนื้ ฐานดรี บั การตอบสนองอย่างพอเพียงสาหรับตนในแต่ละขั้น มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนไปสู่ขั้นที่
สูงขนึ้

๒) มนุษย์มีความต้องการท่ีจะรู้จักตนเองและพัฒนาตนเอง ประสบการณ์ที่เรียกว่า “Peak
experience”เป็นประสบการณ์ของบุคคลที่อยู่ในภาวะด่ืมด่าจากการรู้จักตนเองตรงตามสภาพความ
เป็นจริง มีลักษะน่าตื่นเต้น เป็นความรู้สึกปีติ เป็นช่วงเวลาที่บุคคลเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างถ่องแท้ เป็น
สภาพที่สมบูรณ์ มีลักษณะผสมผสานกลมกลืน เป็นช่วงเวลาแห่งการรู้จักตนเองอย่างแม้จริง บุคคลท่ีมี
ประสบการณ์เชนนี้บอ่ ยๆจะสามารถพฒั นาตนไปสู่ความเปน็ มนุษยท์ สี่ มบรู ณ์

หลักการจัดการศึกษา/การสอน
๑) เข้าใจถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ สามารถช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของบุคคลได้
เนอื่ งจากพฤติกรรมเปน็ การแสดงออกของความตอ้ งการของบุคคล
๒) จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี จาเป็นต้องตอบสนองความต้องการพ้ืนฐานที่
เขาต้องการเสยี กอ่ น
๓) ในกระบวนการเรียนการสอน หากรูสามารถหาได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความต้องการอยู่ใน
ระดับใดขั้นใด ครูสามารถใช้ความต้องการพื้นฐานของผู้เรียนน้ันเป็นแรงจูงใจ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
เรยี นรไู้ ด้
๔.การช่วยให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการพ้ืนฐานของตนอย่างพอเพียง การให้
อิสรภาพและเสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรียนรู้ การจัดบรรยากาศท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้จะช่วยส่งเสริมให้
ผู้เรยี นเกิดประสบการณ์ในการรู้จักตนเองตรงตามสภาพความเป็นจรงิ
๒. ทฤษฎกี ารเรียนรูของรอเจอรส์ (Rogers)
มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้ดีหากอยู่ในสภาพการณ์ท่ีผ่อนคลายและเป็นอิสระ การจัด
บรรยากาศการเรียนท่ีผ่อนคลายและเอื้อต่อการเรียนรู้(Supportive atmosphere) และเน้นให้ผู้เรียน
เป็นศูนย์กลาง (student-centered teaching) โดยครูใช้วิธีการสอนแบบชี้แนะ (non-directive) และ
ทาหนา้ ท่อี านวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน (facilitator) และการเรียนรู้จะเน้นกระบวนการ
(process learning) เปน็ สาคัญ
หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน
๑) การจดั สภาพแวดล้อมทางการเรียนให้อบอุ่น ปลอดภัย ไม่น่าหวาดกลัว น่าไว้วางใจ จะช่วย
ให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรไู้ ดด้ ี
๒) ผูเ้ รียนแต่ละคนมีศักยภาพและแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว ครูจึงควรสอนแบบช้ีแนะ
(Non-directive) โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้นาทางในการเรียนรู้ของตน (self- directive) และคอยช่วยเหลือ
ผ้เู รยี นให้เรยี นอยา่ งสะดวกจนบรรลผุ ล
๓) ในการจัดการเรียนการสอนควรเน้นการเรียนรู้กระบวนการ(Process learning) เป็นสาคัญ
เนอ่ื งจากกระบวนการเรยี นรูเ้ ป็นเคร่ืองมอื สาคญั ท่บี ุคคลใชใ้ นการดารงชวี ิตและแสวงหาความรตู้ ่อไป

๘๙

๓. แนวคดิ เกี่ยวกบั การเรยี นร้ขู องโคมส์ (Combs)
ความรู้สึกของผู้เรียนมีความสาคัญต่อการเรียนรู้มาก เพราะความรู้สึกและเจตคติของผู้เรียนมี
อิทธิพลต่อกระบวนการเรยี นร้ขู องผู้เรียน
หลักการจัดการศึกษา/การสอน
การคานึงถึงความรู้สึกของผู้เรียน การสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้เป็นสิ่งสาคัญที่จะช่วยให้
ผูเ้ รียนเกดิ การเรยี นร้ไู ด้ดี
๔. แนวคดิ เก่ียวกับการเรยี นร้ขู อง โนลส์ (Knowles)
๑) ผ้เู รียนจะเรียนรู้ได้มากหากมีส่วนรว่ มในการเรียนรูด้ ้วยตนเอง
๒) การเรียนรู้ของมนุษย์เป็นกระบวนการภายใน อยู่ในความควบคุมของผู้เรียนแต่ละคน
ผเู้ รียนจะนาประสบการณ์ ความรู้ ทกั ษะและค่านิยมต่างๆเข้ามาสู่การเรียนรู้ของตน
๓) มนษุ ยจ์ ะเรยี นรไู้ ดด้ หี ากมอี สิ ระที่จะเรยี นในสิง่ ท่ีตนต้องการและดว้ ยวธิ กี ารทตี่ นพอใจ
๔) มนษุ ยท์ กุ คนมลี ักษณะเฉพาะตน ความเปน็ เอกัตบคุ คลเป็นส่งิ ทม่ี ีคณุ ค่า มนุษย์ควรได้รับการ
ส่งเสรมิ ในการพัฒนาความเป็นเอกัตบคุ คลของตน
๕) มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถและเสรีภาพท่ีจะตัดสินใจ และเลือกกระทาสิ่งต่างๆตามท่ีตน
พอใจ และรบั ผดิ ชอบในผลของการกระทาน้ัน

หลกั การจดั การศึกษา/การสอน

๑) การให้ผู้เรียนมีส่วนรวมในการเรียน รับผิดชอบร่วมกันในกระบวนการเรียนรู้ จะช่วยให้
ผู้เรียนเกิดการเรยี นรไู้ ด้ดี

๒) ในกระบวนการเรียนรู้ ควรเปิดโอกาสและส่งเสริมให้ผู้เรียนนาประสบการณ์ ความรู้ ทักษะ
เจตคติ และคา่ นิยมต่างๆของตน เข้ามาใช้ในการทาความเขา้ ใจส่งิ ใหม่ ประสบการณ์ใหม่

๓) ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้เลือกส่ิงท่ีเรียน
และและวิธีเรยี นดว้ ยตนเอง

๔) ในกระบวนการเรียนการสอน ครูควรเข้าใจและส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคล ควร
เปิดโอกาสและสง่ เสริมให้ผเู้ รยี นได้พัฒนาคุณสมบัติเฉพาะตน ไม่ควรปิดกั้นเพียงเพราะเขาไม่เหมือนคน
อนื่

๕) ในกระบวนการเรียนรู้ ควรเปิดโอกาสและส่งเสริมให้ผู้เรียนตัดสินใจด้วยตนเอง ลงมือ
กระทา และยอมรบั ผลของการตดั สิใจหรอื การกระทานัน้

๕. แนวคิดเกย่ี วกับการเรยี นรู้ของแฟร์ (Faire)
เปาโล แฟร์(Faire) เชื่อในทฤษฎีของผู้ถูกกดข่ี (Pedagogy of the oppressed) เขากล่าวว่า
ผู้เรียนต้องถูกปลดปล่อยจาการขดขี่ของครูที่สอนแบบเก่า ผู้เรียนมีศักยภาพและมีความคิดริเร่ิม
สรา้ งสรรคท์ ี่จะกระทาสิ่งตา่ งๆด้วยตนเอง
หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน
ระบบการจัดการศึกษา ควรเป็นระบบท่ีใหอ้ ิสรภาพและเสรีภาพในการเรยี นรู้แกผ่ เู้ รียน
๖. แนวคิดเกี่ยวกับการเรยี นร้ขู องอลสิ (Illich)

๙๐

อิวาน อิลลิช (Ivan Illich) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการล้มเลิกระบบโรงเรียน (deschooling)
ไว้วา่ สังคมแหง่ การเรยี นรเู้ ปน็ สังคมท่ีต้องล้มเลิกระบบโรงเรียน การศึกษาควรเป็นการศึกษาตลอดชีวิต
แบบเปน็ ตามธรรมชาติ โดยให้โอกาสในการศกึ ษาเลา่ เรียนแก่บคุ คลอยา่ งเต็มท่ี

หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน
การจัดการศึกษาไม่จาเป็นต้องจัดทาในลักษณะระบบของโรงเรียนควรจัดในลักษณะที่เป็น
การศกึ ษาตอ่ เน่ืองไปตลอดชีวิตตามธรรมชาติ
๗. แนวคดิ เกย่ี วกบั การเรียนรขู้ องนีล (Neil)
นีล (Neil) กล่าวว่า มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี มีความดีโดยธรรมชาติหากมนุษย์อยู่ใน
สภาพแวดลอ้ มทีอ่ บอุ่น บริบูรณ์ไปด้วยความรัก มีอิสรภาพและเสรีภาพมนุษย์จะพัฒนาไปในทางท่ีดีต่อ
ตนเองและสังคม
หลักการจดั การศึกษา/การสอน
การให้เสรีภาพอย่างสมบูรณ์แก่ผู้เรียนในการเรียน เรียนเม่ือพร้อมที่จะเรียน จะช่วยให้ผู้เรียน
พฒั นาไปตามธรรมชาติ
๓.๔.๗ ทฤษฎกี ารเรยี นรูก้ ลุ่มผสมผสาน (Eclecticism)
กานเย (Gagne) เป็นนักจิตวทิ ยาและนกั การศึกษาในกลุ่มผสมผสานระหว่างพฤติกรรมนิยมกับ
พุทธนิยม (Behavior Cognitivist) เขาอาศัยทฤษฎีและหลักการท่ีหลากหลาย เน่ืองจากความรู้มีหลา
ประเภท บางประเภทสามารถเขา้ ใจได้อย่างรวดเรว็ ไมต่ ้องใชค้ วามคดิ ที่ลกึ ซึง้ บางประเภทมีความวับซ้อน
มาก จาเป็นต้องใช้ความสามารถในขั้นสูง กานเย่ได้จัดขั้นการเรียนรู้ซ่ึงเริ่มจากง่ายไปหายาก โดย
ผสมผสานทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของกลุ่มพฤติกรรมนยิ ม และพทุ ธนยิ มเขา้ ด้วยกนั
๑) การเรียนรู้ของกานเย (Gagne) หลักการท่ีสาคัญของกานเยได้จัดประเภทของการเรียนรู้
เป็นลาดับข้นั จากงา่ ยไปหายากไว้ ๘ ประเภท ดงั นี้

๑.๑) การเรียนรู้สญั ญาณ(signal-learning) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการตอบสนองต่อ
สิง่ เร้าท่เี ปน็ ไปโดย อัตโนมตั ิ อยู่นอกเหนืออานาจจิตใจ ผู้เรียนไม่สามารถบังคับพฤติกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น
ได้ การเรียนรแู้ บบน้ีเกดิ จากการทคี่ นเรานาเอาลกั ษณะการตอบสนองท่มี ีอยแู่ ลว้ มาสัมพนั ธ์กับสิ่งเร้าใหม่
ท่ีมีความใกล้ชิดกับสิ่งเร้าเดิม การเรียนรู้สัญญาณ เป็นลักษณะการเรียนรู้แบบการวางเง่ือนไขของ
พาฟลอฟ

๑.๒) การเรียนรู้สิ่งเร้า-การตอบสนอง(stimulus-response) เป็นการเรียนรู่ต่อเนื่อง
จากการเช่ือมโยงระหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนอง แตกต่างจากการเรียนรู้สัญญาณ เพราะผู้เรียน
สามารถควบคุมพฤติกรรมตนเองได้ ผู้เรียนแสดงพฤติกรรม เน่ืองจากได้รับแรงเสริม การเรียนรู้แบบนี้
เป็นการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบเช่ือมโยงของธอร์นไคด์ และการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข
(operant conditioning) ของ สกินเนอร์ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นส่ิงท่ีผู้เรียนเป็นผู้กระทาเองมิใช่รอให้
สงิ่ เรา้ ภายนอกมากระทาพฤตกิ รรมที่แสดงออกเกิดจากสง่ิ เรา้ ภายในของผเู้ รยี นเอง

๑.๓) การเรียนรู้การเชื่อมโยงแบบต่อเนื่อง (Chaining) เป็นการเรียนรู้ท่ีเช่ือมโยง
ระหว่างส่ิงเร้าและกาตอบสนองท่ีต่อเนื่องกันตามลาดับ เป็นพฤติกรรมที่เก่ียวข้องกับการกระทา การ
เคลือ่ นไหว

๙๑

๑.๔) การเชื่อมโยงทางภาษา (Verbal association) เป็นการเรียนรู้ในลักษณะคล้าย
กับการเรียนร้กู ารเช่อื มโยงแบบต่อเนื่อง แต่เปน็ การเรียนร้เู ก่ียวกับการใช้ภาษา การเรียนรู้การรับสิ่งเร้า-
การตอบสนอง เป็นพนื้ ฐานของกาเรยี นรูแ้ บบตอ่ เน่อื งและการเชื่อมโยงทางภาษา

๑.๕) การเรียนรู้ความแตกต่าง (Discrimination learning) เป็นการเรียนรู้ที
ผสมผสานสามารถมองเห็นความแตกตา่ งของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะความแตกตา่ งตามลกั ษณะของวัตถุ

๑.๖) การเรียนรู้ความคิดรวบยอด (Concept learning) เป็นการเรียนรู้ท่ีผู้เรียน
สามารถจัดกลุ่มส่ิงเร้าท่ีมีความเหมือนหรือแตกต่างกัน โดยสามารถระบุลักษณะที่เหมือนหรือแตกต่าง
กันได้ พร้อมทั้งสามารถขยายความรู้ไปยงั ส่งิ อน่ื ทีน่ อกเหนือจากทีเคยเห็นมาก่อนได้

๑.๗) การเรียนรู้กฎ (Rule learning) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการรวมหรือเช่ือมโยง
ความคิดรวบยอดตั้งแต่สองอยา่ งข้นึ ไป และตั้งเป็นกฎเกณฑ์ข้ึน การที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้กฎเกณฑ์จะ
ช่วยให้ผเู้ รยี นสามารถนาการเรยี นรู้น้นั ไปใช้ในสถานการณ์ตา่ งๆกนั ได้

๑.๘) การเรียนรู้การแก้ปัญหา (Problem solving) เป็นการเรียนรู้ท่ีจะแก้ปัญหา โดย
การนากฎเกณฑ์ต่างๆ มาใช้ การเรียนรู้แบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดภายในตัวผู้เรียน เป็นการใช้
กฎเกณฑ์ในขั้นสูงเพ่ือการแก้ปัญหาท่ีค่อนข้างซับซ้อน และสามารถนากฎเกณฑ์ในการแก้ปัญหานี้ไปใช้
กับสถานการณ์ทีค่ ลา้ ยคลงึ กันได้

๒) กานเยไดแ้ บ่งสมรรถภาพการเรยี นรู้ของมนุษย์ไว้ ๕ ประการ ดงั นี้๖๑
๒.๑) สมรรถภาพในการเรยี นรู้ข้อเท็จจริง (Verbal information) เป็นความสามรถใน

การเรียนรขู้ อ้ เทจ็ จริงต่างๆ โดยอาศยั ความจาและความสามารถระลกึ ได้
๒.๒) ทักษะเชาว์ปัญญา (intellectual skills) หรือทักษะทางสติปัญญา เป็น

ความสามารถในการใช้สมองคิดหาเหตุผล โดยใช้ข้อมูล ประสบการณ์ ความรู้ ความคิดในด้านต่างๆ
นับต้ังแต่การเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ซ่ึงเป็นทักษะง่ายๆไปสู่ทักษะที่ยากสลับซับซ้อนมากข้ึน ทักษะเชาว์
ปญั ญาทสี่ าคัญที่ควรไดร้ ับการฝึกคือ ความสามรถในการจาแนก (discrimination) ความสามารถในการ
คิดรวบยอกเป็นรูปธรรม (concrete concept) ความสามรถในการให้คาจากัดความของความคิดรวบ
ยอด (defined concept) ความสามารถในการเข้าใจกฎและใช้กฎ (rules) และความสามารถในการ
แก้ปัญหา (problem solving)

๒.๓)ยุทธศาสตร์ในการคิด (Cognitive strategies) เป็นความสามารถของ
กระบวนการทางานภายในสมองของมนุษย์ ซงึ่ ควบคมุ การเรียนรู้ การเลือกรับรู้ การแปลความ และการ
ดงึ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ และประสบการณ์เดมิ ออกมาใช้ ผูม้ ยี ทุ ธศาสตร์ในการคิดสูง จะมีเทคนิค
มีเคล็ดลับในการดึงความรู้ ความจา ความเข้าใจ และประสบการณ์เดิมออกมใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามรารถแก้ปัญหาท่ีมีสถานการณ์ท่แี ตกต่างได้อย่างดี รวมทงั้ สามารถแกป้ ญั หาต่างๆได้อย่างสรา้ งสรรค์

๒.๔) ทักษะการเคลื่อนไหว (Motor skills) เป็นความสามารถ ความชานาญในการ
ปฏิบัตหิ รอื การใช้อวยั วะสว่ นตา่ งๆของรา่ งกายในการทากิจกรรมต่างๆ ผู้ที่มีทักษะการเคล่ือนไหวท่ีดีนั้น
พฤติกรรมทแี่ สดงออกมาจะมีลกั ษณะรวดเร็ว คล่องแคลว่ และถูกต้องเหมาะสม

๖๑ วัชรา เลา่ เรียนดี และคณะ, กลยทุ ธ์การจัดการเรียนรู้เชงิ รุก เพอ่ื พัฒนาการคิดและยกระดับคุณภาพการศกึ ษา,
(กรงุ เทพฯ : โรงพิมพเ์ พชรเกษมการพิมพ,์ ๒๕๖๐) หน้า ๑๑ – ๑๓.

๙๒

๒.๕) เจตคติ(Attitudes) เปน็ ความร้สู กึ นึกคิดของบุคคลท่ีมีต่อส่ิงต่างๆ ซ่ึงมีผลต่อการ
ตดั สินใจของบคุ คลนนั้ ในการท่ีจะเลือกกระทาหรือไม่กระทาส่งิ ใดสงิ่ หนึง่

หลักการจัดการศึกษา/การสอน
๑) กานเย ได้เสนอรปู แบบการสอนอยา่ งเป็นระบบโดยพยายามเช่ือมโยงการจัดสภาพการเรียน
การสอนอันเป็นสภาวะภายนอกตัวผู้เรียนให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ภายใน ซึ่ง เป็น
กระบวนการที่เกดิ ข้นึ ภายในสมองของคนเรา กานเย่ อธบิ ายว่าการทางานของสมองคล้ายกับการทางาน
ของคอมพิวเตอร์
๒) ในระบบการจัดการเรียนการสอน เพ่ือให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้น้ัน กานเย่ได้
เสนอระบบการสอน ๙ ขั้น ดังน้ี

ขั้นที่ ๑ สร้างความสนใจ (Gaining attention) เป็นขั้นท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ
ในบทเรยี น เป็นแรงจูงใจทเ่ี กดิ ข้นึ ท้งั สิ่งยั่วยุภายนอกและแรงจูงใจที่เกิดจากตัวผู้เรียนเองด้วย ครูอาจใช้
วิธีการสนทนา ซักถา ทายปัญหา หรือมีวัสดุอุปกรณ์ต่างๆท่ีกระตุ้นให้ผู้เรียนต่ืนตัว และมีความสนใจที่
จะเรียนรู้

ข้นั ท่ี ๒ แจง้ จุดประสงค์ (Informing the leaner of the objective) เป็นการบอกให้
ผู้เรียนทราบถึงเปูาหมายหรือผลที่จะได้รับจาการเรียนบทเรียนนั้นโดยเฉพาะ เพ่ือให้ผู้เรียนเห็น
ประโยชนใ์ นการเรียน เหน็ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนทาให้ผู้เรียนวางแผนการเรียนของตนเองได้
นอกจากน้นั ยงั สามารถช่วยใหค้ รูดาเนินการสอนตามแนวทางที่จะนาไปสจู่ ดุ หมายไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

ข้ันท่ี ๓กระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมท่ีจาเป็น(Stimulating recall of
prerequisite learned capabilites) เป็นการทบทวนความรู้เดิมท่ีจาเป็นต่อการเชื่อมโยงให้เกิดการ
เรียนรู้ความรู้ใหม่ เนื่องจาการเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเน่ือง การเรียนรู้ความรู้ใหม่ต้องอาศัยความรู้
เก่าเปน็ พื้นฐาน

ข้ันที่ ๔ เสนอบทเรียนใหม่ (Presenting the stimulus) เป็นการเร่ิมกิจกรรมของ
บทเรยี นใหมโ่ ดยใช้วสั ดุ อปุ กรณต์ า่ งๆที่เหมาะสมมาประกอบการสอน

ขั้นท่ี ๕ ให้แนวทางการเรียนรู้ (Providing learning guidance) เป็นการช่วยให้
ผเู้ รยี นสามารถทากิจกรรมด้วยตนเอง ครอู าจแนะนาวิธีกิจการกิจกรรม แนะนาแหล่งค้นคว้าเป็นการนา
ทาง ให้แนวทางใหผ้ เู้ รียนไปคิดเอง เปน็ ต้น

ขัน้ ท่ี ๖ ให้ลงมือปฏิบัติ (Eliciting the performance) เป็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ
เพอื่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนสามารถแสดงพฤตกิ รรมตามจุดประสงค์

ขั้นท่ี ๗ ให้ข้อมูลแอนกลับ(Feedback) เป็นขั้นท่ีครูให้ข้อมูลเก่ียวกับผลการปฏิบัติ
กิจกรรมหรือพฤตกิ รรมที่ผเู้ รียนแสดงออกว่ามีความถูกต้องหรือไม่ อย่างไร และเพียงใด

ขน้ั ที่ ๘ ประเมินพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ตามจุดประสงค์(Assessing the performance)
เป็นขั้นการวัดและประเมินว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนเพียงใด ซึ่ง
อาจวัดโดยการใช้ข้อสอบ แบบสังเกต การตรวจผลงาน หรือการสัมภาษณ์ แล้วแต่วาจุดประสงค์น้ัน
ต้องการวัดด้านใด แต่สิ่งสาคัญ คือ เคร่ืองมือท่ีใช้วัดต้องมีคุณภาพ เชื่อถือได้ และมีความเท่ียงตรงใน
การวัด

๙๓

ขั้นที่ ๙ ส่งเสริมความแม่นยาและการถ่ายโอนการเรียนรู้ (Enhancing retention
and transfer) เป็นการสรุป การย้า ทบทวนการเรียนที่ผ่านมา เพ่ือให้มีพฤติกรรมการเรียนรู้เพิ่มข้ึน
กิจกรรมในข้ันนี้อาจเป็นแบบฝึกหัด การให้ทากิจกรรมเพิ่มพูนความรู้ รวมท้ังการให้ทาการบ้าน ทา
รายงาน หรอื หาความรู้เพิม่ เตมิ จากความรทู้ ไี่ ด้ในชั้นเรียน

๓.๕ สรุป

ทฤษฎีและรูปแบบการเรียนจัดการเรียนรู้ท่ีนาเสนอมาน้ีเป็นรูปแบบสากล ซึ่งได้รับความนิยม
โดยท่ัวไป ส่วนรูปแบบที่พัฒนาโดยนักการศึกษาไทยนั้น ผู้ที่คิดค้นรูปแบบได้ติดตามศึกษา
ความก้าวหน้าทางด้านวิชาการและนามาเผยแพร่ในวงการศึกษาไทยหรืออาจคิดค้นหรือพัฒนาจาก
ความรู้และประสบการณ์ในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ กระบวนการเรียนการสอนท่ีได้รับการ
พัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับการทดลองใช้เพื่อพิสูจน์และทดสอบประสิทธิภาพแล้ว ถือว่าเป็น
รูปแบบการจัดการเรียนรู้หรือเป็นแบบแผนของการจัดการเรียนการสอนท่ีผู้อ่ืนสามารถนามาใช้แล้วจะ
เกดิ ผลตามวัตถุประสงคข์ องรปู แบบนัน้ ได้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแบบที่แปลกใหม่
และนา่ สนใจท้งั ส้นิ สมควรท่ีครูผ้สู อนจะให้ความสนใจ ศึกษาให้เข้าใจแล้วนาไปทดลองใช้เพ่ือปรับปรุง
และเพิ่มประสทิ ธิภาพการจดั การเรียนการสอนของตน

ในการเลือกใช้รูปแบบการเรียนการสอนแต่ละรูปแบบนั้นท่านจะต้องคานึงถึงวัตถุประสงค์ ว่า
ต้องการพัฒนาผู้เรียนในด้านใดเป็นหลัก หรือต้องการเน้นด้านใด ส่วนการจัดการเรียนการสอนตาม
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบแต่ละข้ันตอนนั้น ท่านสามารถเลือกวิธีสอน และเทคนิคการ
สอนมาใช้ให้เหมาะสมโดยคานึงเน้ือหาสาระ เวลา และผู้เรียน สาหรับผู้เรียนนั้นท่านต้องคานึงถึง
หลายๆด้าน เชน่ การพฒั นาสมองซีกขวาและซา้ ย ทฤษฎีพหุปญั ญา วธิ ีเรียนของผู้เรียนแต่ละคน ความ
ถนดั และความสนใจเปน็ ตน้ ข้อสาคญั ทา่ นต้องใช้วิธีการสอนและเทคนิคการสอนที่หลากหลาย ซ่ึงท่าน
สามารถศึกษาได้จากเอกสารของฝุายวิชาการ และตาราเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนซึ่งมีอยู่
มากมาย ผู้สอนท่านใดศึกษามากก็ย่อมสามารถเลือกใช้ได้อย่างหลากหลายทาให้การจัดการเรียนการ
สอนมีประสิทธิภาพ

๙๔

ข้อสอบปรนัย ๑๐ ข้อ

๑. ทฤษฎีท่เี นน้ การฝกึ จติ หรือสมองคดิ แยกออกเปน็ ก่ีกลุ่ม

ก. ๑ กลุ่ม ข. ๒ กลุ่ม

ค. ๓ กลุ่ม ง. ๔ กลุ่ม

๒. ทฤษฎีท่ีเนน้ การพัฒนาตามธรรมชาติ สาคัญอยา่ งไร

ก. การจัดประสบการณเ์ รยี นรู้ให้แกเ่ ด็กจะต้องมีความแตกต่าง

ข. มนษย์เกดิ มาพร้อมกับความช่ัวและการกระทา

ค. การฝึกจิตจะต้องทาอย่างเขม้ งวด

ง. การจัดใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รียนเนอ้ื หา

๓. ทฤษฎีของกลมุ่ ทีเ่ นน้ การรับรู้และการเชื่อมโยงความคิดมนี ักคดิ คนสาคญั ใครบ้าง

ก. เพสตาลอส ข. จอหน์ ลอ็ ค

ค. ฟรอเบล ง. รุสโซ

๔. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขสาคัญอย่างไร

ก. สรปุ เปน็ กฎการเรียนรไู้ ดด้ ี ข. การสอนให้เกิดการเรียนรู้

ค. ความแตกต่างและเลือกตอบสนอง ง. สรุปการเรียนรขู้ องสงิ่ มชี วี ติ เกิดจากการตอบสนอง

๕. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวตั สนั คอื อะไร

ก. สามารถทาใหเ้ กิดพฤติกรรมใดๆกส็ ามารถลดพฤติกรรมนน้ั ยาก

ข. พฤติกรรมเปน็ สง่ิ ท่ีสามารถควบคุมใหเ้ กดิ ได้

ค. การเรียนรูจ้ ะคงทนถาวร

ง. เดก็ จะเกิดการเรียนรแู้ ละความทน

๖. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่องใครคือคนสาคญั ในทฤษฎีนี้

ก. ไอเปอร์แรนต์ ข. สกนิ เนอร์

ค. กทั ธรี ง. ฮัลล์

๗. ทฤษฎีการเรยี นรู้กลุ่มพทุ ธินิยมมที ฤษฎอี ยู่กท่ี ฤษฎี

ก. ๓ ทฤษฎี ข. ๔ ทฤษฎี

ค. ๕ ทฤษฎี ง. ๖ ทฤษฎี

๘. ทฤษฎีเกสตัลทส์ าคัญอยา่ งไร

ก. การเรียนรูเ้ ป็นกระบวนการทางคิดซ่งึ เปน็ กระบวนภายในตวั ของมนษุ ย์

ข. บุคคลจะเรียนรจู้ ากสือ่ เร้าทเ่ี ปน็ ส่วนรวมไดด้ กี ว่า

ค. เปน็ การค้นพบหรอื การเกิดความเขา้ ใจ

ง. ความคลา้ ยคลึงกนั

๙. ทอลแมนนกั คดิ กลา่ ววา่ อย่างไร

ก. ผเู้ รยี นจะเกดิ การเรยี นรู้

ข. ผ้เู รียนมคี วามคิดสรา้ งสรรค์

๙๕

ค. การเรียนรเู้ กดิ การใชเ้ คร่ืองหมายเป็นตัวชที้ างใหแ้ สดงพฤติกรรม

ง. ผู้เรียนจะพยายามแสวงหา

๑๐. ทฤษฎกี ารเรียนรู้กลุ่มผสมผสานคอื อะไร

ก. การเรียนรซู้ ึ่งเร่ิมจากง่ายไปยาก ข. การเรียนรู้จากยากไปงา่ ย

ค. การแบบเรียนความเขา้ ใจ ง. การเรยี นแบบงา่ ย

ตอนท่ี ๒ อัตนยั ๕ ข้อ

๑. ทฤษฎีท่เี นน้ การจติ หรอื สมองmental discipling ซง่ึ มีนักคิดกลมุ่ มีแนวคิดแยก
ออกเป็น ๒ กลุ่มยอ่ ยมอี ะไรบ้างอธบิ ายมาพอสังเขป
............................................................................................................................. .......................................
............................................................................................ ........................................................................
............................................................................................................................. .......................................

๒. ทฤษฎีของกลุ่มทเ่ี น้นการพฒั นาตามธรรมชาติมคี วามหมายวา่ อย่างไรอธิบายมาพอสังเขป
............................................................................................................................. .......................................
................................................................................................................................................................ ....
............................................................................................................................. .......................................

๓. ทฤษฎีการเรยี นรู้กลมุ่ พฤติกรรมนิยมนั้นมีความสาคัญอยา่ งไรอธบิ ายมาพอสงั เขป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..

๔. กฏการเรียนรูข้ องธอรน์ ไดค์ กฎแหง่ ความพรอ้ มสรปุ ว่าอย่างไรอธบิ ายมาพอสงั เขป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………....

๕. ทฤษฏีการวางเง่ือนไข หมายถงึ อะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
..................................................................................................................................................... ...............
.................................................................................................................... .................................

ตอนที่ ๓ ขอ้ สอบแบบเตมิ คา ๑๐ ขอ้

๑. ทฤษฎขี องกลมุ่ ท่เี นน้ การพัฒนาตามธรรมชาตินักคิดคนสาคญั ในกลุ่ม
คอื ………………………………………………………………………...
๒. รุสโซมีความเช่อื วา่ เด็กไม่ใช่ผู้ใหญต่ วั เล็กๆเพราะ…………………………


Click to View FlipBook Version