วธิ ีสอนตามข้ันท้ัง 4 ของอริยสจั ซ่ึง สาโรช บวั ศรี (2526 : 5-7) ได้กล่าวไวด้ ังต่อไปนี้
ด้านพุทธประวตั ิได้ปรากฏชัดว่าในการแกป้ ัญหาชวี ิตของพระพทุ ธองค์นนั้ ได้ทรงคดิ แกป้ ัญหา
ด้วยพระองค์เองทรงทดลองและทรงปฏิบตั หิ รือกระทาด้วยพระองคเ์ องทงั้ ส้ินผลก็คือทรงตรสั รู้ไดเ้ รียนรู้
อยา่ งแจ่มชัด หรือรูแ้ จ้งซ่งึ เป็นการยืนยันวา่ การคดิ หรือคิดแก้ปัญหาด้วยตนเองนั้นทาให้ร้แู จง้ หรือเกดิ
การเรียนรขู้ ้ึนเป็นอยา่ งดี
การคดิ แกป้ ญั หาและการกระทาควบกนั ไปนนั้ ได้ปราฏอยา่ งชัดเจนในขัน้ ตอนของอรยิ สจั 4
โดยเฉพาะใน “กิจของอริยสัจ” ซ่งึ เปน็ หนา้ ท่ที ี่จะพ่ึงทาต่ออรยิ สัจ 4 แตล่ ะอย่าง ท่ีจะตอ้ งปฏบิ ัตใิ ห้
ถูกต้องและเสร็จสิ้นในอรยิ สจั 4 แต่ละอย่างดว้ ยจงึ จะได้ชือ่ วา่ รู้อรยิ สจั หรอื เปน็ ผตู้ รสั ร้แู ล้ว (พระราชวร
มุณี, 2520 : 121)
จากตารางข้างล่างนี้แสดงเกีย่ วกับขน้ั ตอนทง้ั 4 ของอรยิ สจั และกจิ ในอริยสจั 4 เพื่อท่จี ะนามา
ประยุกตใ์ ช้เป็นวธิ ีสอนต่อไป
ข้นั ตอนท้ัง 4 ของอรยิ สัจ กจิ ในอริยสจั 4
1.ทุกข์ (ความทุกข์ สภาวะที่บีบค้นั บกพร่อง
ความปรารถนา ไมส่ มหวัง) 1.ปริญญา การศึกษาใหร้ ูจ้ ักใหเ้ ขา้ ใจชดั ตามสภาพ
ท่ีเป็นจรงิ ได้แก่ การทาความเขา้ ใจและกาหนด
2. สมุทยั (สาเหตใุ หเ้ กดิ ทุกข์ ไดแ้ ก่ ตัณหาท้งั 3 ) ขอบเขตของปัญหาหรือความทกุ ข์
3. นิโรธ (ภาวะที่ตัณหาดบั สิ้นไปหลดุ พ้น เปน็ 2. ปหานะ กาจัด ทาให้หมดสิ้นไป ไดแ้ ก่ การ
อิสระ คือ นิพพาน) แก้ไขกาจดั ต้นตอของปัญหาคือ กาจดั ตัณหาให้ส้นิ
ไป
4. มรรค (ข้อปฏิบัติใหถ้ ึงความดับทุกข์ เรยี กอีก
อย่างวา่ ทางสายกลาง หรอื มัชฌมิ าปฏปิ ทา 3. สัจฉกิ ิรยิ า การทาให้แจง้ คือเขา้ ถงึ หรือบรรลุ
การบรรลจุ ดุ หมายทีต่ ้องการ ไดแ้ ก่การเข้าถึง
ภาวะที่ปราศจากปญั หาแจ้งในวิธกี ารทีจ่ ะกาจัด
ปัญหาหรอื ทุกข์
2. ภาวนา กระทาตามวธิ ีการที่จะนาส่จู ุดหมาย
ไดแ้ ก่ การลงมือแก้ไขปัญหาตามแนวทางของข้อ
ปฏบิ ตั ิเพือ่ จะได้บรรลุถงึ ความดบั ทุกข์
วิธกี ารสอนนน้ั เป็นการกระทาอยา่ งหน่ึงท่จี ะทาอยา่ งไร ผเู้ รียนจงึ จะเกดิ ความเข้าใจหรือเกิด
การเรยี นรู้ข้นึ มาได้ดังนน้ั วธิ ีการสอนจะต้องประยุกตจ์ ากกิจในอริยสัจ 4 เปน็ ส่วนใหญ่เพราะเป็นเรื่อง
ของการปฏบิ ัติหรอื การกระทามไิ ดป้ ระยกุ ตจ์ ากตวั อรยิ สจั 4 โดยตรงจึงเป็นวธิ ีการสอนท่ีเรียกวา่
“วธิ กี ารสอนตามขนั้ ทง้ั 4 ของอริยสจั ” ซึง่ มีวิธีการตามขัน้ ตอนต่อไปนี้
ขนั้ ที่ 1 ขน้ั กาหนดปัญหา (หรือข้ันทุกข์)
ครชู ว่ ยนกั เรยี นให้ไดศ้ ึกษาพจิ ารณาดปู ญั หาท่ีเกิดขน้ึ ดว้ ยตนเองดว้ ยความรอบคอบ
และพยายามกาหนดขอบเขตของปัญหาซงึ่ นักเรยี นจะต้องคดิ แก้ไขใหจ้ งได้
ข้ันที่ 2 ขนั้ ต้งั สมมุติฐาน (หรือขน้ั สมทุ ัย)
1. ครูช่วยนกั เรียนใหไ้ ดพ้ จิ ารณาดว้ ยตนเองวา่ สาเหตุของปัญหาทีย่ กข้ึนมากลา่ วในขั้น
ท่ี 1 มีอะไรบา้ ง
2. ครชู ว่ ยนักเรียนใหไ้ ด้เกดิ ความเขา้ ใจว่าในการแกป้ ัญหาใดๆนั้นจะต้องกาจัดหรอื ดบั
ที่ตน้ ตอหรือแก้ที่สาเหตุของปัญหาเหลา่ นัน้
3. ครูชว่ ยนกั เรียนให้คิดว่า ในการแก้ทส่ี าเหตนุ ้ันอาจจะกระทาอะไรได้บา้ งคอื ให้
กาหนดสิ่งท่ีจะกระทานีเ้ ปน็ ข้อๆไป
ขัน้ ท่ี 3 ขัน้ การทดลองและเก็บขอ้ มลู (หรือขนั้ นิโรธ)
1.สจั ฉกิ ิรยิ า หมายถึง การทาใหแ้ จ้งหรือใหบ้ รรลจุ ดุ หมายที่ต้องการทาอย่างไรจึงจะ
ทาให้แจง้ ได้ถา้ เจรญิ ตามรอยของพระพุทธองค์กต็ อ้ งกระทาดว้ ยตนเองจะเห็นว่าพระพุทธองคท์ รงลอง
วธิ กี ารต่างๆ ด้วยพระองค์เอง เชน่ โยคะ ตบะ และทรงอดพระกระยาหาร เปน็ ตน้ เมอ่ื ทรงเหน็ วา่ ไม่
อาจบรรลจุ ดุ หมายท่ตี ้องการได้จึงใช้วิธกี ารสมถะและวปิ ัสสนากรรมฐาน ดงั นน้ั ในการสอนข้นั นคี้ รตู อ้ ง
ชว่ ยใหน้ ักเรียนไดก้ ระทาหรือทาการทดลองดว้ ยตนเองตามหวั ข้อต่างๆ ที่ได้กาหนดไวว้ า่ จะกระทากนั ดัง
ในขนั้ ที่ 2 ข้อ 3
2. เม่อื ทดลองไดผ้ ลประการใด ตอ้ งบันทึกผลของการทดลองแต่ละอย่างหรอื ทีเ่ รยี กวา่
“ขอ้ มลู ” ไว้เพื่อพิจารณาในข้ันตอ่ ไป
ขั้นท่ี 4 ข้ันวิเคราะหข์ ้อมูลและสรปุ ผล (หรอื ข้นั มรรค)
1.จากการทดลองกระทาดว้ ยตวั เองหลายๆอย่างน้ันยอ่ มจะได้ผลออกมาใหเ้ หน็ ชดั ผล
บางประการชใ้ี ห้เหน็ ว่าแกป้ ญั หาได้แนน่ อนแล้วและไดบ้ รรลุจุดหมายแล้วได้แนวทางหรือข้อปฏบิ ัติที่เรา
ต้องการแล้วเหล่านี้หมายความว่าจะตอ้ งวิเคราะห์และเปรยี บเทยี บข้อมลู ท่ีได้บนั ทึกไวใ้ นขนั้ ท่ี 3 ขอ้ 2
นน้ั จนเหน็ แจม่ แจ้งวา่ ทาอย่างไรจงึ จะแกป้ ัญหาทีก่ าหนดในขัน้ ท่ี 1 ได้สาเร็จ
2. จากการวเิ คราะห์ดังกล่าวน้นั จะทาใหเ้ ห็นวา่ สิ่งใดแก้ปัญหาไดจ้ รงิ ต่อไปกใ็ หส้ รปุ
การกระทาท่ีได้ผลน้ันไวเ้ ปน็ ข้อๆหรอื เปน็ ระบบหรือเปน็ แนวทางปฏบิ ตั แิ ลว้ ใหล้ งมอื กระทาหรือปฏิบตั ิ
อยา่ งเต็มท่ีตามแนวทางนัน้ โดยทว่ั ไปกัน
วิธีสอนตามข้นั ท้ัง 4 ของอริยสจั นน้ั ถือว่าเปน็ วิธสี อนแมบ่ ทแต่โดยแทจ้ ริงแล้วเป็น
วธิ กี ารแก้ปัญหาน้ันเองจงึ กล่าวไดว้ ่าเป็นวิธีสอนทส่ี าคัญยงิ่ และเป็นเคร่ืองมือท่ีมีศกั ยภาพสงู ในวิชาชพี ครู
ด้วยสมควรทีค่ รูไทยทง้ั หลายจงได้ตระหนักและภาคภมู ิใจว่าเรามีวธิ สี อนแม่บทของเราเองและเป็นวธิ ี
สอนทีไ่ ดย้ ึดแนวคิดและวธิ กี ารสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก
วิธสี อนโดยสรา้ งศรทั ธาและโยนโิ สมนสกิ าร
พระราชวรมุนไี ด้อธบิ ายความหมายของโยนิโสมนสกิ ารไวด้ ังน้ี “โดยรปู ศพั ท์ โยนิโสมนสิการ
ประกอบดว้ ย โยนิ ซ่ึงแปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหลง่ เกิดปัญญา อุบาย วธิ ี ทาง ส่วน มนสกิ าร แปลวา่ การ
ทาในใจ การคดิ คานงึ นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา เมื่อรวมเข้าเป็นโยนโิ สมนสิการ แปลว่า การทาในใจโดย
แยบคาย หมายถงึ การคิดอย่างถกู วิธี คิดอย่างมรี ะเบยี บ คิดวิเคราะห์อย่างลกึ ซ้ึงซึง่ เปน็ ขั้นตอนทสี่ าคัญ
ในการสรา้ งปญั ญาท่ีบริสทุ ธเ์ิ ป็นอสิ ระทาให้ทุกคนช่วยตนเองได้และนาไปส่จู ุดหมายของพทุ ธธรรมอย่าง
แทจ้ รงิ ”
สุมน อมรววิ ฒั น์ (2530 : 64-80) กล่าวว่าการศึกษาโดยการสร้างศรทั ธาและโยนโิ สมนสกิ าร
เป็นวิธีการเรยี นรูแ้ นวหนึง่ จากหลายๆแนวทพ่ี ระพุทธเจา้ ได้ทรงวางแนวไว้ ซ่งึ มลี ักษณะบูรณาการของ
หลักจิตวิทยาการเรยี นรู้ หลักการแนะแนว และหลักการสอนไวอ้ ยา่ งเหมาะสมสามารถนามาประยุกต์ใช้
ในการเรียนการสอนในปจั จบุ ันได้
การสอนโดยสรา้ งศรทั ธามหี ลกั การของพระพทุ ธศาสนาที่ว่ามนุษย์จะทางานได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพต้องมีความมนั่ ใจในตนเองมีสติปญั ญาและความสามารถพทุ ธศาสนิกชนจะปฏิบัติตนตาม
พุทธธรรมไดด้ ตี ้องมีความเชอ่ื ม่นั ด้วยเหตผุ ลและปญั ญาต่อพระรตั นตรยั และพระธรรมคาสอนของพระ
พทุ ธองค์ศรัทธาหรือความเช่ือม่ันนี้จะเป็นบ่อเกดิ ของฉนั ทะความใฝรุ ้ใู ฝุเรียนทาให้พากเพียรฝกึ หดั อบรม
ตนทง้ั กาย วาจา ใจ เพื่อความเป็นมนุษย์ทส่ี มบรู ณ์
ศรัทธาหมายถึงความเช่ือและความร้สู กึ ซาบซ้ึงซ่ึงเกดิ จากความมนั่ ใจในเหตุผลเทา่ ท่ีตนมองเห็น
เปน็ ความมั่นใจใน 3 องค์ประกอบ คือ
1.มัน่ ใจวา่ เปน็ ไปได้
2. มั่นใจวา่ มคี ุณค่า
3. ม่นั ใจว่าสามารถพิสจู นใ์ หเ้ หน็ ได้
ศรทั ธาท่ีแท้ตามนยั แห่งพระพุทธศาสนาจงึ มใิ ชศ่ รัทธาที่ใชอ้ ารมณ์จนลืมเหตผุ ลแต่ศรัทธาตอ้ งมี
ปญั ญาเป็นตวั ควบคุมส่งเสริมความคิดวเิ คราะห์ และได้ทดลองปฏิบัติจนประจักษค์ วามรู้จริงดว้ ยตนเอง
สนิ้ ความสงสยั และเกิดศรัทธา กระบวนการของการศึกษาอบรม ศรทั ธาเกดิ ข้นึ จากปัจจยั ภายนอก
ได้แก่
1.บุคคลผูส้ ง่ั สอน แนะนา อบรมนน้ั พรอ้ มด้วยคณุ สมบตั ิของกัลยาณมิตร
2. ผู้สง่ั สอนอบรม มคี วามรจู้ ริงสามารถสง่ั สอนอบรมด้วยวธิ ตี า่ งๆ อย่างไดผ้ ล
3. ผู้สั่งสอนอบรม จดั สภาพแวดลอ้ ม อปุ กรณ์ และตัวอยา่ งท่ีน่าสนใจเรา้ ใหเ้ กิดการใฝรุ ู้ใฝุเรยี น
ศรทั ธาเปน็ ปัจจยั ภายนอกทมี่ ีอิทธิพลต่อการพัฒนาประสบการณ์ทางการศกึ ษาซ่งึ ในสมัย
พทุ ธกาลไดก้ ลา่ ววา่ เปน็ ปรโตโฆสะ คือเสียงจากผู้อืน่ หรือคาส่ังสอน หมายถงึ การเรยี นรู้และส่ิงแวดลอ้ ม
น้นั เอง คาสงั่ สอนหรอื ปรโตโฆสะ ท่นี าไปสูก่ ารพฒั นาปญั ญาความรู้ให้เกดิ ขนึ้ แกบ่ ุคคลน้ันต้องมีคาส่งั
สอนทมี่ คี วามถูกต้อง มีเหตุผลและเปน็ ประโยชน์ คาส่ังสอนในพระพุทธศาสนาจึงเป็นตัวอยา่ งทีด่ ขี อง
สาระความร้ทู ่ีมีความสจั จริงมีเหตุผลพิสจู น์ได้และเกดิ ประโยชน์แกผ่ ฝู้ กึ หดั อบรมตัวเองสมดงั ที่ได้มีการ
สวดมนต์สรรเสรญิ พระธรรมคุณอยู่เน่ืองนิจ ดงั นั้น ก่อนที่จะเร่ิมตน้ กระบวนการสอนทั้งครูและศิษย์ต้อง
มคี วามเชื่อม่นั ในสาระความรู้ทจ่ี ะศึกษาและมีความคดิ เหน็ วา่ สาระความรูน้ ้นั จะช่วยนาไปส่คู วามเจรญิ
พระพทุ ธเจ้าทรงเนน้ ว่าสาระความรทู้ ด่ี ีมปี ระโยชน์และเปน็ ความสจั จรงิ นั้นจะช่วยสร้างศรทั ธา
และสมั มาทฎิ ฐเิ ม่ือคาสง่ั สอนหรอื ความรูน้ ้ันเกิดขึน้ จากพน้ื ฐานท่ดี ีและได้รบั การเผยแพร่สง่ั สอนโดยครู
อาจารย์ที่ดีมีความรักเมตตากรุณาตอ่ ศิษย์ และศิษย์กม็ ีความพงึ พอใจใฝเุ รียนพระพุทธเจ้าทรงวาง
แนวทางของการประพฤติปฏิบัตใิ หส้ าเรจ็ โดยชีว้ า่ ตอ้ งเร่มิ ที่ฉันทะ คือแรงพอใจ ใฝรุ ู้ วิริยะ ความ
พากเพียรพยายามจิตตะ ความเอาใจใส่ และวิมงั สา การตริตรองใคร่ครวญเหตผุ ล ฉะน้ันในขั้นของ
ศรทั ธาจงึ มีองคป์ ระกอบคือ
1.คาสงั่ สอนที่ดี
2.สงั่ สอนโดยครผู เู้ ปน็ กัลยาณมติ ร
3. ศษิ ยม์ ฉี ันทะ พึงใจใฝรุ ู้ในคาสง่ั สอนนัน้ (เกดิ แรงจงู ใจ)
4. บรรยากาศและส่งิ แวดลอ้ มส่งเสริมการเรียนรู้
5. ครมู วี ิธีสอนทีด่ ี
สรปุ ได้วา่ การสรา้ งศรัทธามพี ื้นฐานจากองค์ประกอบ 2 ประการของปัจจยั ภายนอก ไดแ้ ก่
สงิ่ แวดลอ้ มท่ีก่อให้เกดิ แรง๗งใจและครผู ู้เปน็ กลั ยาณมิตรเมื่อศรทั ธาเกดิ ข้นึ แล้วย่อมสนบั สนนุ ให้ปัจจยั
ภายในคอื วธิ กี ารแหง่ ปัญญา (โยนิโสมนสิการ) มีกาลงั แรงและพฒั นาขึน้ โดยลาดับ
เมอ่ื พ.ศ. 2526 สุมน อมรววิ ัฒน์ ได้นาแนวคดิ จากหนังสือพุทธธรรมของพระราชวรมุนี ซ่งึ ได้
เขยี นเกี่ยวกับการสรา้ งศรัทธาและโยนิโสมนสกิ ารมาสร้างเป็นหลกั การและข้ันตอนการสอนตามแนว
พทุ ธวธิ ขี น้ึ เรียกหลกั การและขั้นตอนการสอนนว้ี ่า การสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสกิ ารมีวธิ ีการ
ดงั ตอ่ ไปนี้ (สุมน อมรววิ ฒั น์, 2533 : 161-166)
หลกั การ
ครูเป็นบุคคลสาคญั ทสี่ ามารถจดั สภาพแวดล้อม แรงจูงใจและวิธีการสอนให้ศิษยเ์ กิดศรทั ธาที่
จะเรียนรู้และไดฝ้ กึ ฝนวิธีการคดิ โดยแยบคายนาไปสู่การปฏิบตั จิ นประจกั ษจ์ ริงการสอนโดยสร้างศรัทธา
และโยนิโสมนสิการนใ้ี ช้สอนไดท้ ุกระดับการศึกษามุ่งเน้นให้ครูเปน็ กลั ยาณมิตรของศิษยค์ รแู ละศษิ ย์มี
ความสมั พนั ธ์อนั ดตี ่อกนั และศษิ ยไ์ ด้มโี อกาสคดิ แสดงออกปฏิบัตอิ ยา่ งถูกวิธจี นสามารถใช้ปญั ญา
แกป้ ัญหาไดอ้ ย่างเหมาะสม
ขั้นตอนการสอน
1.ข้นั นา การสร้างเจตคตทิ ี่ดีตอ่ ครู วธิ ีการเรียนและบทเรียน
1.1 การจดั บรรยากาศในชั้นเรยี นใหเ้ หมาะสม
1.1.1 เหมาะกับระดับชน้ั เรียน
1.1.2 เหมาะกับวยั และภมู หิ ลังของผ้เู รียน
1.1.3 เหมาะกับวธิ ีการเรียนการสอน
1.1.4 เหมาะกบั บทเรยี นท่ีสอนและเน้ือหาวชิ า
1.2 บุคลกิ ภาพของครแู ละการสร้างความสมั พันธท์ ด่ี รี ะหว่าครูกบั ศิษย์ ในการสอนแบบสรา้ ง
ศรัทธานค้ี รูควรคงบุคลกิ ภาพทดี่ ขี องการเป็นครไู วซ้ ึง่ พอจะสรุปเปน็ ข้อๆ ดังต่อไปน้ี
1.2.1 บุคลกิ ภาพทางกาย มีความสะอาด แจ่มใส สงบ และสารวม
1.2.2 เปน็ ผู้ท่ีมสี ุขภาพจิตดี กล่าวคือ มจี ิตใจเปน็ อสิ ระไมต่ กเป็นทาสของปัญหาและ
อามิสเพราะผ้ทู ี่มจี ิตใจเป็นอสิ ระปลอดโปร่งจากปัญหาเท่าน้ันที่จะช้แี นะชว่ ยเหลอื ผู้อ่นื ได้
1.2.3 มีความม่ันใจในตนเองเนือ่ งจากเปน็ ผู้ทร่ี จู้ รงิ และปฏิบัติจริงในสิ่งทส่ี อนผู้อน่ื ครทู ี่
ดีจงึ ไมม่ ีปมด้อยหรอื ปมเด่นเปน็ ผู้ทีม่ ีความเรยี บง่ายฉันคนธรรมดาสามัญ
1.3 การเสนอสงิ่ เร้าและแรงจูงใจ
พระพุทธเจ้าได้ทรงใชว้ ธิ ีการตรวจสอบความคิดและความสามารถของผูเ้ รียนก่อนทจี่ ะ
สอนใหเ้ หมาะกับบุคคลทรงใชเ้ ทคนิควิธอี ุปกรณ์จากธรรมชาตแิ ละเหตุการณต์ า่ งๆมาเร้าให้เกดิ ความ
มานะพากเพียรฝึกหัดอบรมตน การสอนโดยสร้างศรัทธาได้จัดขัน้ ตอนในการเสนอสง่ิ เรา้ และสร้าง
แรงจงู ใจดังนี้
1.3.1 ใช้ส่ือการเรยี นการสอนหรืออปุ กรณ์และวิธีการต่างๆ เพ่อื เร้าความสนใจ
1.3.2 จดั กิจกรรมขน้ั นาทส่ี นุกนา่ สนใจ
1.3.3 ใหน้ ักศึกษาไดต้ รวจสอบความรคู้ วามสามารถของตนและไดร้ บั ทราบผล
ทันทว่ งทีเป็นการเสรมิ สรา้ งแรง
2. ขนั้ สอน
2.1 ครูเสนอปัญหาท่เี ป็นสาระสาคัญของบทเรียนหรือเสนอหวั ข้อเรื่องประเด็นสาคญั ของ
บทเรยี นดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ
2.2 ครูแนะแหล่งวทิ ยาการและแหล่งข้อมลู
2.3 ให้นกั ศกึ ษาฝึกรวบรวมขอ้ มูล ข้อเทจ็ จรงิ ความรู้ และหลกั การ
2.4 จดั กจิ กรรมทเี่ ร้าใหเ้ กิดการคดิ วิธีต่างๆ ต้องเปน็ กจิ กรรมท่นี ักศึกษาได้มสี ่วนร่วมได้ลงมอื
คน้ ควา้ ได้พบสิ่งเรา้ สนใจท่จี ะคิดตอ่ ไปจนสามารถสรปุ ความคิดได้
2.5 ฝึกการสรปุ ประเด็นของข้อมูลความร้แู ละเปรียบเทยี บประเมนิ ค่าโดยวิธีการแลกเปล่ียน
ความคิดเหน็ ทดลอง ทดสอบ จดั เปน็ ทางเลือกและทางออกของการแกป้ ัญหา
2.6 ดาเนินการเลือกและตัดสนิ ใจ
2.7 กจิ กรรมฝึกปฏบิ ตั เิ พ่ือพสิ จู นผ์ ลการเลอื กและตัดสินใจนน้ั ให้ประจกั ษ์จรงิ
3. ข้นั สรุป
3.1 ครูและนักศึกษาสงั เกตวธิ กี ารปฏบิ ัติ ตรวจสอบ และปรบั ปรุงแก้ไชใหป้ ฏิบัตถิ ูกต้อง
3.2 อภิปรายและสอบถามข้อสงสยั
3.3 สรุปผลการปฏิบัติ
3.4 สรปุ บทเรียน
3.5 วัดและประเมนิ ผล
วธิ สี อนของพระพทุ ธเจา้ ไม่วา่ จะเป็นการแก้ปญั หาตามข้ันตอนของอรยิ สจั 4 การใช้หลักการคดิ
อยา่ งแยบคายท่ีเรียกวา่ โยนโิ สมนสิการ และการใชล้ ีลาการสอนของพระพุทธเจ้าน้ัน พระเทพเวที
(ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต, 2523) ได้อธิบายว่ามีคณุ ลักษณะ 4 อย่างดังน้ี
1. สันทัสสนา อธบิ ายใหเ้ หน็ ชดั เจนแจ่มแจ้งเหมือนจูงมอื ไปดูให้เห็นกบั ตา
2. สมาทปนา ชกั จงู ใจให้เห็นจริงดว้ ยชวนให้คล้อยตามจนต้องยอมรบั และนาไปปฏิบตั ิ
3. สมตุ เดชนา เร้าใจให้แกลว้ กล้าบงั เกิดกาลงั ใจปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจ จะทาให้สาเร็จ
ได้ไมห่ ว่นั ระย่อท้อต่อความเหนอ่ื ยยาก
4. สัมปหงั สนา ชโลมใจใหแ้ ช่มชืน่ ร่าเรงิ เบิกบาน ฟังไม่เบ่ือและเป่ยี มด้วยความหวังเพราะ
มองเหน็ คณุ ประโยชน์ท่ตี นจะพึงไดร้ บั จากการปฏิบตั ิ
ดังนั้นวิธีการสอนตามทไ่ี ด้นาเสนอมานั้นเม่ือกล่าวโดยรวมแล้วเปน็ วธิ กี ารสอนตามหลกั การของ
พระพทุ ธองค์ที่ไดท้ รงสอนโดยพยายามถ่ายทอดจากสิง่ ทเ่ี ปน็ นามธรรมใหเ้ ป็นรูปธรรมและผลจากการ
สอนการอบรมก็คือ ได้ความรู้จรงิ ร้แู จง้ จนสามารถชว่ ยให้บุคคลดารงชวี ิตได้อยา่ งสงบสขุ และมีอิสรภาพ
ทาใหส้ ามารถพฒั นาตนเองไปในวถิ ีทางที่ถูกต้องและสามารถกาหนดบทบาทของตนเองได้อยา่ ง
เหมาะสมดว้ ย
สื่อการศึกษา (อุปกรณ์ประกอบการสอน)
พระพุทธองคท์ รงเปน็ บรมครูทร่ี ้ลู กึ ซงึ้ เกีย่ วกบั ผ้เู รียนมากท่ีสุดในการถา่ ยทอดพระธรรมเทศนา
นนั้ นอกจากจะคานึงถึงหลักการทางพฤติกรรมศาสตร์แล้วยังทรงใชส้ อ่ื การศึกษาหรอื อุปกรณ์
ประกอบการสอนอีกดว้ ยส่อื การศึกษาท่ีพระพุทธองค์ทรงใช้ในการโปรดเวไนยสัตว์นัน้ ได้แก่ การอุปมา
อปุ มัย การเลา่ ชาดก การเลา่ นทิ าน การสาธิตใหด้ เู ป็นตัวอย่างถ้าเป็นวิธีการจาลองสถานการณ์ก็จะตัง้
คาถามให้ครุ่นคิดหาคาตอบบางครั้งทรงใชว้ ิธกี ารฉายภาพให้ปรากฏโดยมุ่งให้ผู้รับมองเห็น เป็นต้น
การใช้สอ่ื หรอื อปุ กรณป์ ระกอบการสอนน้มี ปี ระโยชนม์ ากเพราะจะทาให้ผรู้ ับเข้าใจได้งา่ ยและ
จดจาไดด้ สี าหรบั อุปกรณ์ทพี่ ระองค์ได้ทรงคิดคน้ และได้ทรงนามาใชป้ ระกอบการสอนท่คี วรกลา่ วถึงมีอยู่
3 วธิ ี คือ
1.การใช้เหตุการณ์ท่ีเกดิ ข้ึนเป็นอุปกรณ์เป็นวิธกี ารนาเรอ่ื งท่ีเกดิ ข้ึนจรงิ ๆ มาสอนซงึ่ ทาให้ได้ผล
แนน่ อนเพราะเมื่อนาเร่ืองจรงิ ที่เกิดขึ้นกับคนอืน่ มาเลา่ เปน็ เชงิ นทิ านเปรียบเทียบกจ็ ะช่วยให้ผ้ฟู ังเขา้ ใจ
ไดด้ ีแต่ถ้านาเรอ่ื งทีเ่ กิดขึน้ ในชีวติ จริงๆของคนนน้ั มาเล่ายา้ แล้วชี้ใหเ้ ห็นแงค่ วามจริงที่แอบแฝงอยู่ก็ยิ่งทา
ใหผ้ ู้ฟังเห็นจรงิ และเขา้ ใจซาบซงึ้ ยง่ิ ขึน้ เนื่องจากเป็นประสบการณ์ของตัวเขาเองวิธกี ารเช่นน้ีพระพทุ ธ
องค์ได้ทรงใช้อยู่เสมอและได้ผลสาเรจ็ เปน็ อย่างดีทุกครงั้
2. การใชภ้ าพนมิ ติ เหมือนภาพยนตรเ์ พราะในสมยั พทุ ธเจ้าน้นั ไม่มีภาพยนตร์แตว่ ิธกี ารของ
พระองค์ทก่ี ล่าวถงึ น้ีเปน็ วธิ คี ลา้ ยกบั ภาพยนตร์เป็นวิธที ที่ าใหผ้ ู้ฟังคาสอนได้มองเห็นภาพจรงิ ประกอบคา
สอนโดยที่พระพุทธองค์ทรงใชว้ ิธีการฉายภาพให้เป็นคลื่นผ่านเข้าไปในกระแสจติ ของผู้รับฟงั เรียกว่า
การเนรมติ ภาพท่ปี รากฏนนั้ จะเปน็ ภาพ 3 มิติ ซง่ึ อาจจะมุ่งให้ผู้รับเห็นไดค้ นเดียวหรอื ให้ทุกคนสามารถ
เหน็ และสมั ผัสได้
3. การใชว้ ิธที ดลองด้วยตนเอง หมายถึง วิธกี ารสอนท่ีให้หลกั ความรู้ดา้ นทฤษฎกี ่อนแล้วให้ผูร้ บั
คาสอนไปศกึ ษาคน้ ควา้ และทดลองทาดว้ ยตนเองซึง่ เปน็ หลกั การที่ตรงกับการศึกษาทางวทิ ยาศาสตร์มี
การทดลองเปน็ หัวใจสาคญั ในการท่จี ะเขา้ ใจปัญหาต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง วธิ กี ารของพระพุทธองคใ์ น
ลกั ษณะที่ให้ทดลองด้วยตัวเองนเ้ี ปน็ วธิ หี นง่ึ ที่ไดผ้ ลดเี ช่นเดียวกนั และได้ทรงใชว้ ธิ นี ี้ตามลักษณะจรติ ของ
ผู้เรียนและผฟู้ งั ท่ีไดแ้ สดงออกมาจากหลกั ฐานท่ีอาจศึกษาได้นน้ั แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงสอน
โดยใชอ้ ุปกรณ์ประกอบการสอนมาตั้งแต่พุทธกาลและอุปกรณ์น้นั ไม่ต้องลงทนุ ทาข้นึ ใหม่เพราะมอี ยู่แลว้
ท่วั ทกุ หนทุกแหง่ นอกจากนีย้ ังทรงใช้ในลักษณะของการสื่อความมากที่สดุ โดยคานึงถึงประเภทของ
ผู้เรียนและผฟู้ งั อนั ได้แก่ รปู สัญญา และจิตใจ เปน็ หลกั นับวา่ พระพุทธองคท์ รงเป็นผู้ที่มีวธิ กี ารให้
การศึกษาไดอ้ ย่างยอดเยีย่ มท่ีสุด
การวดั ผลการศึกษา
การวดั ผล หมายถึง การตรวจคุณสมบตั ิของผเู้ รยี นวา่ มีความเจริญงอกงามในการเรียนรูใ้ น
ระดบั ใดมากน้อยเพียงใด ผลที่ได้จากการวัดผลคือข้อมลู หรือรายละเอียดเกยี่ วกบั ตัวผูเ้ รียนการวดั ผล
ต้องมีท้งั ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบตั ภิ าคทฤษฎนี ้ันต้องการทดสอบวา่ รู้จรงิ หรือไม่ สว่ นภาคปฏิบตั ิก็
ต้องการทดสอบว่าทาได้จริงหรอื ไม่และทาได้ในระดบั ใดสว่ นเครือ่ งมือที่ใชใ้ นการวดั ผลน้ันสว่ นใหญจ่ ะ
เปน็ ขอ้ สอบหรือแบบทดสอบชนิดต่างๆ
การวัดผลการศึกษาทางพุทธศาสนาไดม้ ีมาช้านานแลว้ มีการวดั ผลทง้ั ด้านปรยิ ตั ิและด้านปฏบิ ัติ
ในการศึกษาดา้ นปรยิ ตั นิ ้นั มุ่งใหจ้ าและเขา้ ใจมคี วามคิดเห็นอันถกู ตอ้ งตามความเปน็ จริงที่เรยี กว่า ร้จู รงิ
ในขนั้ ปริยตั ิ หรอื เรียกว่า พหูสูต (ผ้สู ดบั รับฟังมาก รู้มาก) เม่ือต้องการจะวัดผลการศึกษาในขน้ั นจ้ี ะต้อง
ทดสอบความรู้หรือประสบการณใ์ นดา้ นการอา่ นหนังสือหรือตาราทดสอบความจา ความเข้าใจ
ตลอดจนความคิดเหน็ ของผูเ้ รียนถา้ ทดสอบทกุ อยา่ งแล้วปรากฏว่าผเู้ รียนสามารถจดจา เข้าใจดี และมี
ความคดิ เหน็ เฉียบแหลมก็ถอื ว่าบรรลเุ ปาู หมายในด้านวชิ าการ
ส่วนการวดั ผลทางด้านปฏิบตั นิ น้ั กค็ อื ส่ิงใดทรี่ ู้และเขา้ ใจดีแล้วต้องนาไปปฏิบัตใิ หเ้ หน็ ผลและ
ได้ข้อมลู ที่ชัดเจนจนเช่ือมั่นในตนเองสามารถทาใหเ้ กิดความรู้ข้ึนมาเองและเห็นจรงิ ดว้ ยตนเอง ไม่
เพียงแต่ท่ไี ด้ความร้จู ากครหู รือจากตาราเท่านนั้ จึงเหน็ ได้ว่าคนท่ีรู้จรงิ กับคนที่รู้จากครแู ละจากตารานั้น
มลี กั ษณะทา่ ทีท่ีไมเ่ หมือนกันความเช่ือมน่ั ในตัวเองและในความรกู้ ็แตกตา่ งกันหลักของพทุ ธศาสนาเน้น
ให้คนรู้ด้วยตนเองและเกดิ ขนึ้ ในตวั เองความรู้จริงเชน่ นี้ตอ้ งผา่ นการปฏบิ ัติเม่อื ไดบ้ รรลผุ ลตามข้ันแห่ง
การปฏิบัตนิ ั้นๆ เรียกวา่ ปฏเิ วธ (การบรรลผุ ล) ดังนั้นเมอื่ ปฏิบัตธิ รรมในข้ันสามญั กย็ ่อมจะบรรลใุ นขัน้
สามญั เชน่ การใหท้ าน รกั ษาศลี กม็ ีผลทาใหเ้ ปน็ ทรี่ กั และเปน็ ทีพ่ อใจของผูอ้ ่นื ทาให้อยู่ได้อยา่ งสบาย
ปราศจากภัยพบิ ัติ เป็นต้น
ปัจจบุ ันนร้ี ะบบการเรียนการสอนมีการวัดผลหรอื วิธที ดสอบในด้านวิชาการเทา่ นั้นแตไ่ ม่มกี าร
วดั ผลในด้านคุณธรรมจงึ ทาใหไ้ ดค้ นท่ีมคี วามรู้แตจ่ ะไดค้ นท่ีมคี ุณธรรมด้วยหรือไมน่ ั้นยังไมม่ ีข้อกาหนด
ดังนั้นครูไมค่ วรเปน็ ผู้ประสาทวิชาความรู้แกศ่ ษิ ย์เท่านน้ั แต่ควรสร้างความดีให้แกศ่ ิษยด์ ว้ ยการสงั่ สอนถึง
คุณงามความดแี ละปลกู ฝงั คุณธรรมต่างๆ ให้แกศ่ ิษยด์ ว้ ยเพอื่ ชว่ ยใหเ้ ขาเปน็ คนท่ีมีการศึกษาสมบรู ณ์มี
ความรูท้ ้ังทางโลกและทางธรรมสามารถนาความรู้ไปใชใ้ นการประกอบอาชีพและเป็นผมู้ ีศีลธรรมดรี ู้จัก
ปฏบิ ตั ิตนเปน็ คนดมี ีโอกาสช่วยเหลอื สังคมไดต้ ามสถานภาพ
จากกระบวนการเรยี นการสอนตามแนวพุทธศาสตรน์ ีจ้ ะเห็นได้วา่ มีส่วนสาคัญอย่างหนงึ่ คอื ทา
ใหผ้ ู้ท่ีรับการอบรมสัง่ สอนรูจ้ ักสอนตนเองใหฉ้ ลาดข้นึ และรู้จักแกป้ ญั หาชีวติ คือความทกุ ข์ทงั้ มวลวธิ กี าร
สอนของพระพุทธเจา้ นนั้ เน้นหนกั ไปในทางท่ีจะใหท้ ุกคนเปน็ ครูตัวเองได้ สอนตนเองได้ และเป็น
ตวั อย่างที่ดีของผู้อ่นื ด้วย สาหรบั พระธรรมคาสอนของพระพุทธองคน์ ัน้ จะสาเรจ็ ผลได้จริงๆนัน้ อยทู่ ่ีผู้
รบั คาสอนหรือผเู้ รยี นจะต้องลงมือปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง โดยมีพระองค์เป็นผู้ทรงชแ้ี นวทางให้เทา่ น้ันซ่ึงหลกั
สาคัญของระบบการเรียนการสอนของพระพุทธเจา้ กบั ความมงุ่ หมายทส่ี าคัญของการศึกษาในปจั จบุ นั นี้
เป็นเรื่องท่ีสอดคล้องเปน็ ไปในทานองเดยี วกันคือมุ่งใหบ้ ุคคลคดิ เป็น ทาเป็น และแกป้ ญั หาเปน็ ดว้ ย
แบบฝึกหดั
บทท่ี ๑๐
สอ่ื การสอน การวดั และการประเมนิ ผลการจดั การเรียนรู้
หลกั การและเหตุผล
ความหมายของส่ือการเรียนการสอน (Instructional Media) สื่อ (Media) หมายถึง ตวั กลางที่
ใชถ่ า่ ยทอดหรอื นาความรู้ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ จากผู้สง่ ไปยังผูร้ ับให้เขา้ ใจ ความหมายได้ตรงกันในการเรียน
การสอนสือ่ ที่ใชเ้ ปน็ ตัวกลางนาความรู้ในกระบวนการสื่อความหมายระหวา่ งผู้สอนกับผู้เรียนเรยี กว่าส่อื
การสอน (Instruction Media)
ในทางการศึกษามีคาท่มี ีความหมายแนวเดยี วกนั กบั ส่ือการเรยี นการสอน เช่น สอ่ื การสอน
(Instructional Media or Teaclning Media) สอ่ื การสอน (Educational media) อุปกรณ์ช่วยสอน
(Teaching Aids) เป็นต้น ในปจั จุบนั นักการศึกษามกั จะเรียกการนาสื่อการเรยี นการสอนชนิดต่าง ๆ มา
รวมกันวา่ เทคโนโลยที างการศึกษา(Educational) ซ่ึงหมายถึงการนาเอาวสั ดุอปุ กรณแ์ ละวธิ ีการมาใช้
ร่วมกนั อยา่ งมรี ะบบในการเรียนการสอน เพ่ือเพิ่มประสทิ ธภิ าพในการสอน
สื่อการเรียนการสอน หมายถงึ สิ่งต่าง ๆ ทเี่ ปน็ บคุ คล วสั ดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเทคนิควิธีการ ซง่ึ
เป็นตัวกลางทาให้ผ้เู รยี นเกิดการเรยี นรู้ตามจดุ ประสงค์ของการเรยี นการสอนที่กาหนดไว้ได้อย่างง่ายและ
รวดเรว็ เป็นเครอ่ื งมือและตัวกลางซ่งึ มีความสาคัญในกระบวนการเรยี นการสอนมหี นา้ ท่ีเป็นตัวนาความ
ต้องการของครูไปสตู่ วั นักเรียนอย่างถูกต้องและรวดเรว็ เป็นผลให้นักเรียนเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมไปตาม
จดุ มงุ่ หมายการเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสม นักการศึกษาเรียกช่ือการสอนดว้ ยชือ่ ต่าง ๆ
เช่น อุปกรณก์ ารสอน โสตทัศนปู กรณ์ เทคโนโลยีการศึกษา สอื่ การเรยี นการสอนส่ือการศกึ ษา
การวัดผลและการประเมินผล การวดั ผล (Measurement) การกาหนดจานวนหรอื คา่ ตา่ ง ๆ
ให้กบั ส่ิงของหรอื ปรากฏการณ์ใด ๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ตามทไ่ี ด้ตกลงและยอมรับร่วมกนั
การวัดผลการศกึ ษา ( Educational Measurement )กระบวนการในการกาหนดหรอื หาจานวน
ปริมาณ อนั ดบั หรือลายละเอียดของคุณลักษณะหรอื พฤติกรรมความสามารถของบคุ คล ดาเนินการอย่าง
มีข้ันมีตอนเป็นระเบยี บแบบแผนจะทาให้ไดต้ วั เลขหรือข้อมูลท่ี จะนาไปบรรยาย บอกจานวนหรอื ระดับ
ของสิ่งทีถ่ กู วัด
การประเมินผล (Evaluation) การตคี า่ หรือกาหนดระดบั คุณค่าของผลจากการวัดตามเกณฑ์หรือ
จดุ มุ่งหมายท่ีกาหนดการประเมนิ ผลที่เทย่ี งธรรมยอ่ มมาจากการวดั ท่ีดี
การประเมนิ ผลทางการศกึ ษา ( Educational Evaluation ) กระบวนการในการตดั สนิ ใจลงสรปุ
คณุ ลักษณะหรือพฤติกรรมของนักเรียนวา่ มี คณุ ภาพดีระดับใดโดยอาศยั เกณฑ์อย่างใดอยา่ งหน่งึ ในการ
เปรียบเทียบ
เนอื้ หาย่อย
๑.ความหมายและความสาคญั ของสื่อการสอน
๑.๑ ความหมายของสอื่ การสอน
๑.๒ คณุ คา่ ของสอื่ การสอน
๑.๓ สอื่ กับผู้สอน
๑.๔ หลักการเลือกสือ่ การสอน
๒๘๗
๑.๕ ความสาคัญของส่ือการสอน และลกั ษณะของส่ือที่ดี
๑.๖ ความสาคัญของสื่อการสอน
๑.๗ ลกั ษณะของส่อื ทีด่ ี
๒. การเลือกและการเตรียมใช้สื่อ
๒.๑ หลักการเลอื กส่ือ
๒.๒ หลกั การใช้สอื่ การสอน
๒.๓ ขั้นตอนการใช้ส่ือการสอน
๓. ส่ือการสอนกับนวตั กรรมสมัยใหม่
๓.๑ สือ่ การสอน
๓.๒ ความหมายของสื่อการสอน
๓.๓ นวตั กรรมสมัยใหม่
๓.๔ นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่
๓.๕ ความหมายของนวตั กรรม
๓.๖ ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
๔. ความหมายและความสาคญั การประเมนิ
๔.๑ การประเมินผล
๕. การวดั และการประเมนิ ผลตามสภาพจริง
๕.๑ ความหมาย
๕.๒ ลักษณะสาคญั ของการประเมินผลตามสภาพที่เปน็ จรงิ
๕.๓ แนวทางการนาวธิ กี ารประเมินผลตามสภาพท่เี ปน็ จรงิ ไปใช้ในการเรยี นการสอน
๕.๔ ส่งิ ท่คี วรคานงึ ถึงเกย่ี วกบั การประเมินผลตามสภาพท่เี ป็นจริง
๖. การสรุปกิจกรรมการเรยี นการสอน
๖.๑ การสรปุ กจิ กรรมการเรยี นการสอน
๖.๒ ประโยชนข์ องการสรุปบทเรยี น
จุดประสงค์
๑. อธิบายการใช้สื่อในการสอนได้
๒. อธิบายวิธีการเลือกใชส้ ่อื การสอนที่ดีได้
๓. บอกลักษณะของการสอนและลักษณะของสอื่ ได้ที่ดีได้
๔. อธบิ ายนวตั กรรมและเทคโนโลยเี กย่ี วกบั การศึกษาได้
๕. สามารถเข้าใจหลกั การประเมินผลตามสภาพจริง และความหมายของการประเมินผล
๑.ความหมายและความสาคญั ของสือ่ การสอน
ส่อื การเรยี นร้เู ปน็ เครอื่ งมือชว่ ยถา่ ยถอดความรู้ ความเขา้ ใจ ความร้สู กึ เพ่ิมพนู ทักษะ และ
ประสบการณ์ สร้างสถานการณ์การเรียนรู้ กระตุน้ ใหเ้ กิดการพัฒนาศกั ยภาพการคดิ เสริมสรา้ งคุณธรรม
จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มแกผ่ ้เู รียน สอื่ การเรียนรู้มีหลากหลายประเภทและมคี ุณลกั ษณะแตกตา่ งกนั
โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงส่อื การเรยี นรู้ในปจั จบุ นั มีอิทธิพลสูงในการให้ผู้เรยี นเปน็ ผู้แสวงหาความรดู้ ้วย
๒๐๘ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ค่มู ือพฒั นาสื่อการเรยี นรู้. เอกสารพฒั นาตนเอง ชุดการจดั ทาหลกั สูตรสถานศกึ ษา.
(ม.ป.ท : กระทรวง, ม.ป.ป.) หนา้ ๑
๒๘๘
๑.๑ ความหมายของส่ือการสอน
สื่อ (Media) หมายถึง เคร่ืองมือท่ีช่วยเป็นทางให้สารอาศัยผ่าน หรืออาจหมายถึงวัตถุท่ี
นาสารไปผา่ นเครือ่ งมอื น้นั เช่น ฟิล์มภาพยนตรแ์ ต่ไม่ใชสาร ๒๐๙
สือ่ การสอน (Instructional Media) หมายถงึ สิ่งตา่ ง ๆ ท่ีใชเ้ ป็นเคร่อื งมือ หรือช่องทาง
สาหรบั ทาใหก้ ารสอนของครูไปถึงผู้เรยี น และทาใหผ้ ้เู รียนเรียนรู้ตามจดุ ประสงค์ หรือจุดมงุ่ หมายทว่ี างไว้
เปน็ อย่างดี สอื่ ทีใ่ ชใ้ นการสอนนี้ อาจจะเปน็ วัตถสุ ่ิงของท่ีมีตัวตน หรอื ไมม่ ีตวั ตนกไ็ ด้ เช่น - วัตถสุ ิง่ ของ
ตามธรรมชาติ - ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ - วตั ถุส่งิ ของท่ีคิดประดิษฐห์ รือสร้างขึน้ สาหรับการสอน -
คาพดู ทา่ ทาง - วัสดุ และเครอ่ื งมือส่อื สาร - กจิ กรรมหรือกระบวนการถา่ ยทอดความรูต้ า่ ง ๆ๒๑๐
ความหมาย ความสาคัญของสื่อการสอน และประเภทของสื่อการสอน นักวิชาการใน
วงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได้ให้คาจากัดความของ “ส่ือการ
สอน” ไวอ้ ย่างหลากหลาย เช่น
ชอร์ส กล่าววา่ เคร่ืองมือทช่ี ่วยส่ือความหมายจดั ขึน้ โดยครูและนกั เรียน เพื่อสง่ เสริมการ
เรียนรู้ เคร่ืองมือการสอนทุกชนดิ จดั เปน็ สือ่ การสอน เชน่ หนงั สือในห้องสมุด โสตทัศนวสั ดุต่าง ๆ เช่น
โทรทศั น์ วิทยุ สไลด์ ฟิลม์ สตรปิ รูปภาพ แผนท่ี ของจริง และทรัพยากรจากแหลง่ ชมุ ชน
บราวน์ และคณะ กล่าวว่า จาพวกอปุ กรณ์ท้งั หลายทส่ี ามารถชว่ ยเสนอความรใู้ หแ้ ก่
ผู้เรียนจนเกดิ ผลการเรยี นทด่ี ี ท้งั น้ีรวมถึง กจิ กรรมต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะแตส่ ่ิงทีเ่ ปน็ วัตถหุ รอื เครอ่ื งมือเทา่ นั้น
เชน่ การศึกษานอกสถานท่ี การแสดง บทบาทนาฏการ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์
และการสารวจ เป็นต้น
เปรอื่ ง กมุ ุท กล่าวว่า ส่ือการสอน หมายถงึ สิง่ ต่าง ๆ ท่ีใชเ้ ป็นเครอ่ื งมือหรือช่องทาง
สาหรับทาให้การสอนของครถู ึงผู้เรียนและทาใหผ้ ูเ้ รียนเรียนรูต้ ามวัตถปุ ระสงค์หรือจดุ มุ่งหมายทค่ี รูวางไว้
ได้เปน็ อย่างดี
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมาย สือ่ การสอนวา่ วัสดุอปุ กรณ์และวิธีการประกอบการ
สอนเพ่ือใชเ้ ป็นสื่อกลางในการสือ่ ความหมายทผี่ สู้ อนประสงคจ์ ะส่ง หรอื ถ่ายทอดไปยงั ผูเ้ รยี นได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีคาอน่ื ๆ ท่ีมีความหมายใกล้เคยี งกบั สื่อการสอน เป็นตน้ วา่
ส่อื การเรยี น หมายถงึ เคร่ืองมือ ตลอดจนเทคนิคตา่ ง ๆ ที่จะมาสนบั สนนุ การเรยี นการ
สอน เร้าความสนใจผ้เู รียนร้ใู ห้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเขา้ ใจดีขึ้น อย่างรวดเร็ว
ส่อื การศึกษา คอื ระบบการนาวสั ดุ และวิธกี ารมาเปน็ ตัวกลางในการให้การศึกษา
ความรู้แกผ่ เู้ รยี นโดยทวั่ ไป โสตทัศนปู กรณ์ หมายถึง วสั ดุทง้ั หลายท่ีนามาใช้ในห้องเรยี น หรอื นามา
ประกอบการสอนใด ๆ ก็ตาม เพอื่ ชว่ ยให้การเขียน การพูด การอภปิ รายนัน้ เข้าใจแจม่ แจ้งยง่ิ ขน้ึ
๑.๒ คณุ ค่าของส่ือการสอน
ส่ือกบั ผ้เู รียน๒๑๑
๒๐๙ เอกวิทย์ แก้วประดษิ ฐ.์ การวิจยั เทคโนโลยีการศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี ๓, (กรงุ เทพ ฯ : สุวรี ิยาสาสน์ ,๒๕๓๗).
หน้า ๑๗-๗๘
๒๑๐ ไพฑูรย์ มะณู (ค.ศ.๒๐๐๘). ความหมายของส่ือการสอน (ออนไลน์). สืบค้นจาก :
https://www.gotoknow.org/posts/๒๓๑๔๑๕ (๒๐ มกราคม ๒๕๖๑)
๒๑๑ วรวทิ ย์ นิเทศศลิ ป์. ส่อื และนวัตกรรมแห่งการเรียนรู.้ (ปทุมธานี : สกายบกุ๊ ส,์ ๒๕๕๑).หนา้ ๑๙
๒๘๙
๑.เป็นสิ่งทีช่ ่วยใหก้ ารเรียนรอู้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เพราะจะชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดความเข้าใจ
เนื้อหาบทเรียนทย่ี งุ่ ยากซับซ้อนไดง้ ่ายขึน้ ในระยะเวลาอนั ส้นั และสามารถชว่ ยใหเ้ กิดความคดิ รวบยอดใน
เร่ืองน้ันได้อย่างถกู ต้องและรวดเร็ว
๒.ส่อื จะช่วยกระตนุ้ และสร้างความสนใจให้กับผู้เรยี น ทาให้เกดิ ความสนกุ สนานและไม่
รสู้ กึ เบื่อหน่ายการเรียน
๓.การใช้สือ่ จะทาใหผ้ เู้ รียนมีความเข้าใจตรงกนั และเกิดประสบการณ์รว่ มกนั ในวชิ าท่ี
เรียนน้ัน
๔.ช่วยให้ผู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมการเรยี นการสอนมากขน้ึ ทาให้เกดิ มนุษยสมั พันธ์
อันดใี นระหวา่ งผู้เรียนด้วยกันเองและกับผูส้ อนด้วย
๕.ชว่ ยสร้างเสรมิ ลกั ษณะทด่ี ีในการศึกษาค้นควา้ หาความรู้ ช่วยใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความคดิ
สร้างสรรคจ์ ากการใชส้ ่ือเหลา่ นน้ั
๖.ช่วยแก้ปญั หาเร่อื งของความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยการจัดใหม้ ีการใชส้ ่ือใน
การศึกษารายบุคคล
๑.๓ สอื่ กบั ผสู้ อน๒๑๒
๑.การใชส้ ่อื วสั ดุอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ประกอบการเรียนการสอน เป็นการชว่ ยใหบ้ รรยากาศใน
การสอนนา่ สนใจยง่ิ ขึน้ ทาให้ผ้สู อนมีความสนุกสนานในการสอนมากกว่าวิธกี ารทีเ่ คยใช้การบรรยายแต่
เพยี งอย่างเดียว และเป็นการสร้างความเชื่อม่นั ในตวั เองใหเ้ พ่ิมขึ้นดว้ ย
๒.ส่ือจะช่วยแบ่งเบาภาระของผูส้ อนในดา้ นการเตรียมเนื้อหา เพราะบางคร้ังอาจให้
ผู้เรียนศึกษาเน้ือหาจากส่ือได้เอง
๓.เป็นการกระตุ้นใหผ้ ้สู อนตน่ื ตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลิตวัสดุใหม่ๆ เพ่ือใช้เป็นสื่อ
การสอน ตลอดจนคดิ ค้นเทคนิควธิ ีการตา่ ง ๆ เพือ่ ใหก้ ารเรยี นรู้น่าสนใจยิ่งขนึ้
อย่างไรก็ตามส่ือการสอนจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อผู้สอนได้นาไปใช้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี
ดงั นั้น กอ่ นทีจ่ ะนาสื่อแต่ละอย่างไปใช้ ผู้สอนจึงควรจะได้ศึกษาถึงลักษณะและคุณสมบัติของสื่อการสอน
ข้อดีและข้อจากัดอันเกี่ยวเน่ืองกับตัวสื่อและการใช้ส่ือแต่ละอย่าง ตลอดจนการผลิตและใช้สื่อให้
เหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอนด้วย ทั้งนี้เพ่ือให้การจัดกิจกรรมการสอนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย
และวตั ถุประสงค์ทีว่ างไว้
๑.๔ หลกั การเลอื กสอ่ื การสอน
การเลือกสื่อการสอนเพื่อนามาใช้ประกอบการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธิภาพน้ันเป็นสิ่งสาคัญย่ิง โดยในการเลือกสื่อ ผู้สอนจะต้องตั้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในการ
เรยี นใหแ้ น่นอนเสยี ก่อน เพ่ือใชว้ ตั ถปุ ระสงค์น้ันเปน็ ตัวชน้ี าในการเลือกส่ือการสอนท่ีเหมาะสม นอกจากน้ี
ยังมีหลักการอื่น ๆ เพอื่ ประกอบการพจิ ารณา คอื
๑.สื่อนั้นต้องสัมพนั ธ์กับเน้อื หาบทเรยี นและจดุ มงุ่ หมายท่จี ะสอน
๒.เลอื กสือ่ ทมี่ เี นอื้ หาถูกตอ้ งทนั สมยั น่าสนใจ และเปน็ ส่ือทสี่ ่งผลตอ่ การเรียนรมู้ ากท่สี ุด
๓.เปน็ สื่อที่เหมาะกับวยั ระดับชน้ั ความรู้ และประสบการณข์ องผู้เรียน
๔.สื่อนน้ั ควรสะดวกในการใช้ วิธีใช้ไม่ย่งุ ยากซบั ซ้อนเกินไป
๕.เป็นสอื่ ท่มี คี ณุ ภาพเทคนิคการผลติ ท่ีดี มคี วามชดั เจนเป็นจรงิ
๒๑๒ กดิ านันท์ มลทิ อง. เทคโนโลยแี ละการสือ่ สารเพอ่ื การศกึ ษา. (กรุงเทพ ฯ : อรณุ การพิมพ์, ๒๕๔๘) หนา้
๑๐๙
๒๙๐
๖.มรี าคาไมแ่ พงเกนิ ไป หรือถา้ จะผลิตควรคมุ้ กับเวลาและการลงทุน
๑.๕ ความสาคญั ของสื่อการสอนและลักษณะของส่ือท่ีดี มีดงั นี้
สื่อการสอนแตล่ ะชนิดน้นั มีคณุ ค่าต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง ผู้สอนสามารถที่จะ
เอาส่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนได้ทุกระดับช้ัน ตั้งแต่การศึกษาระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับปฐมวัยน้ัน การใช้สื่อการเรียนการสอนกับวัยเด็กย่ิงมีความจาเป็นและมี
ความสาคัญเป็นอย่างยง่ิ เพราะเป็นวยั แรกเรมิ่ แหง่ การพฒั นาการในทุก ๆ ดา้ น๒๑๓
๑.๖ ความสาคญั ของสื่อการสอน
๑.ช่วยใหน้ ักเรียนเกิดความสนใจในการทจี่ ะเรยี นรู้
๒.ช่วยให้นักเรียนมปี ระสบการณท์ ่ีกวา้ งไกลมากขน้ึ
๓. ช่วยแก้ปัญหาในการเรยี นการสอน
๔.ชว่ ยให้เข้าใจความหมายส่ิงท่ตี อ้ งการจะสอื่ ไดต้ รงกัน
๕.ชว่ ยลดเวลาการเรียน ช่วยลดเวลาการสอน เพม่ิ เนอื้ หาวชิ ามากขนึ้
๑.๗ ลกั ษณะของส่อื ที่ดี
๑. เหมาะกับวัตถุประสงค์
๒. เหมาะกับวยั ของผ้เู รียน
๓. เหมาะกับกิจกรรมการเรยี นการสอน
๔.ใชง้ านงา่ ย ปลอดภัย และสะดวก มีขนาดพอเหมาะ เหมาะสม
๕.ไมส่ ้นิ เปลือง ประหยดั ค้มุ คา่
๒. การเลือกและการเตรียมใช้ส่ือ
๒.๑หลกั การเลือกส่ือ๒๑๔
๑.เลือกส่ือการสอนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนควรศึกษาถึง
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่หลักสูตรกาหนดไว้ วัตถุประสงค์ในที่นี้หมายถึงวัตถุประสงค์เฉพาะในแต่ละส่วน
ของเนอื้ หายอ่ ย ไมใ่ ช่วตั ถุประสงคใ์ นภาพรวมของหลกั สตู ร
๒.เลอื กส่ือการสอนทตี่ รงกับลักษณะของเน้ือหาของบทเรียน เน้ือหาของบทเรียนอาจมี
ลักษณะแตกตา่ งกนั ไป เชน่ เปน็ ข้อความ เปน็ แนวคดิ เป็นภาพน่ิงภาพเคลื่อนไหว เป็นเสียง เป็นสี ซึ่งการ
เลือกส่อื การสอนควรเลอื กใหเ้ หมาะสมกับลักษณะของเนื้อหา
๓.เลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน ลักษณะเฉพาะตัวต่างๆ ของ
ผู้เรียนเป็นส่ิงท่ีมีอิทธิพลต่อการรับรู้ส่ือการสอน ในการเลือกสื่อการสอนต้องพิจารณาลักษณะต่างๆ ของ
ผู้เรียน เช่น อายุ เพศ ความถนัด ความสนใจ ระดับสติปัญญา วัฒนธรรม และประสบการณ์เดิม
ตวั อยา่ งเช่น การสอนผ้เู รียนทเี่ ป็นนักเรยี นระดบั ประถมศกึ ษาควรใชเ้ ป็นภาพการต์ ูนมสี สี ันสดใส
๔.เลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับจานวนของผู้เรียน และกิจกรรมการเรียนการ
สอน ในการสอนแต่ละครั้งจานวนของผู้เรียนและกิจกรรมที่ใช้ในการเรียนสอน ในห้องก็เป็นสิ่งสาคัญที่
ต้องนามาพิจารณาควบคู่กันในการใช้สื่อการสอน เช่น การสอนผู้เรียนจานวนมาก จาเป็นต้องใช้วิธีการ
สอนแบบบรรยาย ซึ่งสื่อการสอนท่ีนามาใช้อาจเป็นเครื่องฉายต่าง ๆ และเคร่ืองเสียง เพ่ือให้ผู้เรียน
๒๑๓ จินตวรี ์ คล้ายสงั ข.์ การผลิตละใช้สอื่ อย่างเป็นระบบ เพื่อการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑. (กรงุ เทพ ฯ :
จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยายาลยั , ๒๕๖๐). หน้า ๑
๒๑๔ วรวิทย์ นิเทศศิลป.์ สอื่ และนวตั กรรมแหง่ การเรียนรู้. (ปทมุ ธานี : สกายบ๊กุ ส,์ ๒๕๕๑.) หน้า ๒๖
๒๙๑
มองเห็นและไดย้ ินอย่างทวั่ ถึง ส่วนการสอนผู้เรียนเป็นรายบุคคล อาจเลือกใช้วิธีการสอนแบบค้นคว้า สื่อ
การสอนอาจเป็นหนังสือบทเรียนแบบโปรแกรม หรอื บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน เป็นต้น
๕.เลือกส่ือการสอนท่ีเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมในที่นี้อาจได้แก่
อาคาร สถานท่ี ขนาดพ้ืนท่ี แสง ไฟฟ้า เสียงรบกวน อุปกรณ์อานวยความสะดวก หรือ บรรยากาศ ส่ิง
เหลา่ น้ีควรนามาประกอบการพิจารณาเลือกใชส้ ่อื การสอน ตัวอย่างเช่นการสอนผู้เรียนจานวนมากซึ่งควร
จะใช้เครอื่ งฉายและเครอื่ งเสียง
๖.เลือกส่ือการสอนทีม่ ลี ักษณะนา่ สนใจและดึงดูดความสนใจ ควรเลือกใช้สื่อการสอนท่ี
มีลักษณะน่าสนใจและดึงดูดความสนใจผู้เรียนได้ ซ่ึงอาจจะเป็นเรื่องของ เสียง สีสัน รูปทรง ขนาด
ตลอดจนการออกแบบและการผลิตด้วยความประณีต สิ่งเหล่านี้จะช่วยทาให้ส่ือการสอนมีความน่าสนใจ
และดึงดดู ความสนใจของผเู้ รียนได้
๗.เลือกส่ือการสอนที่มีวิธีการใช้งาน เก็บรักษา และบารุงรักษาได้สะดวก ในประเด็น
สุดท้ายของการพิจารณา ควรเลือกสื่อการสอนที่มีวิธีการใช้งานได้สะดวก ไม่ยุ่งยาก และหลังใช้งานควร
เก็บรักษาได้งา่ ยตลอดจนไม่ต้องใช้วธิ ีการบารงุ รกั ษาทีส่ ลับซับซ้อนหรอื มีค่าใชจ้ า่ ยในการบารงุ รักษาสูง
๒.๒ หลกั การใช้สอ่ื การสอน๒๑๕
๑.เตรียมตัวผู้สอน เป็นการเตรียมความพร้อมของตัวผู้สอนในการใช้สื่อการสอน โดย
การทาความเขา้ ใจในเน้ือหาทม่ี ใี นสอ่ื ข้ันตอน และวิธีการใชส้ ือ่ เปน็ ตน้
๒.เตรียมจัดสภาพแวดล้อม เช่น สถานที่ ห้องเรียน ห้อง Lab วัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองไม้
เคร่อื งมอื และสิง่ อานวยความสะดวกตา่ ง ๆ
๓.เตรียมตัวผู้เรียน เพื่อให้มีความพร้อมท่ีจะเรียน อาจมีการทดสอบ มีการอธิบาย
วิธีการใชส้ ื่อ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื ต่าง ๆบอกวัตถุประสงค์ แนะนาหรือให้ความคิดรวบยอดของเนื้อหาในสื่อ
นนั้ ๆ เป็นตน้
๔.การใช้ส่ือให้เหมาะกับข้ันตอนและวิธีการตามที่ได้เตรียมไว้แล้ว และควบคุมการ
นาเสนอสอื่ เพ่ือใหก้ ารเรยี นการสอนเป็นไปอย่างราบร่นื
๕.การติดตามผล ( Follow Up ) หลังจากการใช้สื่อการสอนแล้ว ควรมีการติดตามผล
เพื่อเป็นการทดสอบว่า ผูเ้ รียนเขา้ ใจบทเรียน และเรียนรู้ จากส่ือที่นาเสนอไปน้ันอย่างถูกต้องหรือไม่ เช่น
การให้ผูเ้ รียนตอบคาถาม อภปิ ราย ทารายงาน เป็นต้น เพ่ือผู้สอนจะได้ทราบจุดบกพร่อง สามารถ นามา
แกไ้ ขปรับปรุงสาหรบั การสอนในคร้งั ต่อไป
๒.๓ ขนั้ ตอนการใชส้ ื่อการสอน๒๑๖
การใช้ส่ือการสอนนั้นอาจจะใช้เฉพาะขั้นตอนใดข้ันตอนหน่ึงของการสอน หรือจะใช้ทุก
ข้นั ตอนกไ็ ด้ ดงั นี้
ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเน้ือหาท่ีกาลังจะเรียนนั้น
สอ่ื ทีใ่ ชใ้ นข้ันนีจ้ ึงเป็นสอ่ื ทแ่ี สดงเน้ือหากวา้ งๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในคร้ังก่อน ยังมิใช่สื่อที่
เน้นเนอ้ื หาเจาะลึกอยา่ งแทจ้ ริง และควรเป็นสื่อที่ง่ายต่อการนาเสนอในระยะเวลาอันสั้น เช่น ภาพ บัตร
คา เปน็ ตน้
๒๑๕ วรวทิ ย์ นิเทศศลิ ป.์ สอ่ื และนวตั กรรมแหง่ การเรียนรู.้ (ปทมุ ธานี : สกายบกุ๊ ส,์ ๒๕๕๑.) หนา้ ๒๗
๒๑๖ ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ การเลือกใช้สอ่ื การเรยี นการสอน (ค.ศ.๒๐๑๖).
https://nattarikablog.wordpress.com. สืบค้นเมือ่ วนั ท่ี ๒๐ มกราคม ๒๕๖๑
๒๙๒
ขั้นดาเนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นขั้นท่ีจะให้ความรู้ เนื้อหาอย่าง
ละเอียดเพ่ือสนองวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ ผู้สอนควรเลือกส่ือให้ตรงกับเน้ือหา และวิธีการสอน ต้องมีการ
จดั ลาดบั ขน้ั ตอนการใช้สอ่ื ใหเ้ หมาะและสอดคล้องกับกิจกรรมการเรยี น การใช้สื่อในขั้นน้ี จะต้องเป็นสื่อที่
เสนอความรอู้ ย่างละเอยี ดถกู ต้องและชัดเจนแก่ผู้เรียน เชน่ สไลด์ แผนภมู ิ วดี ีทศั น์ เป็นต้น
ขั้นวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ตรงแก่ ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียน
ได้ทดลองนาความรู้ท่ีเรียนมาแล้วไปใช้แก้ปัญหาในขั้นฝึกหัด โดยการลงมือ ฝึกปฏิบัติเอง สื่อในข้ันนี้จึง
เป็นสื่อท่ีเป็นประเด็นปัญหาให้ผู้เรียนได้ขบคิด โดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้ส่ือเองมากท่ีสุด เช่น ภาพ บัตรปัญหา
สมุดแบบฝึกหดั เปน็ ต้น
ข้ันสรุปบทเรียน เป็นการย้าเนื้อหาบทเรียนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ ท่ีถูกต้อง และตรง
ตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ ขั้นสรุปควรใช้เวลาเพียงสั้นๆ สื่อที่สรุปจึงควร ครอบคลุมเนื้อหาสาคัญท้ังหมด
เช่น แผนภมู ิ แผน่ โปรง่ ใส เป็นตน้
ข้ันประเมินผู้เรียน เป็นการทดสอบว่าผู้เรียนเข้าใจในส่ิงท่ีเรียนไปถูกต้องมากน้อย
เพียงใด และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้หรือไม่ สื่อในข้ันการประเมินน้ีมักจะเป็นคาถามจากเนื้อหา
บทเรียนโดยอาจมภี าพประกอบดว้ ยก็ได้
๓. สื่อการสอนกับนวตั กรรมสมยั ใหม่
๓.๑ สื่อการสอน
ส่ือการสอนคืออะไร? ส่ือการสอน (Instruction Media) หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ หรือ
วิธกี ารใด ๆ ก็ตามท่ีเป็นตัวกลางหรือพาหะ ในการถ่ายทอดความรู้ ทัศนคติ ทักษะและประสบการณ์ไปสู่
ผู้เรียน๒๑๗ ส่ือการสอนแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติพิเศษและมีคุณค่าในตัวของมันเอง ในการเก็บและแสดง
ความหมายท่ี เหมาะสมกับเนือ้ หาและเทคนิควิธีการใชอ้ ยา่ งมรี ะบบ
๓.๒ ความหมายของสื่อการสอน
สือ่ การสอน (Instructional Media) หมายถึงส่ิงต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเคร่ืองมือ หรือช่องทาง
สาหรับทาให้ การสอนของครูไปถึงผู้เรียน และทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ ตามจุดประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายท่ีวาง
ไว้เป็นอย่างดี ส่ือที่ใช้ในการสอนนี้ อาจจะเป็นวัตถุสิ่งของท่ีมีตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ จากการที่นัก
เทคโนโลยกี ารศึกษาไดแ้ บ่งประเภท ของสอื่ การสอนไวน้ ้นั พอจะสรปุ ได้เป็น ๓ ประเภท๒๑๘ ดงั นี้
๑. ประเภทวัสดุ ( Material or Software ) เป็นสื่ออยู่ในรูปของ ภาพ เสียง หรือ
ตวั อักษร แยกได้เปน็ ๒ ชนดิ คอื
๑.๑ ชนิดท่ีสามารถส่ือความหมายได้ด้วยตัวของมันเอง เช่น รูปภาพ แผนภูมิ ภาพวาด
หนงั สือ เปน็ ตน้
๑.๒ ชนดิ ทีต่ อ้ งอาศยั เครอ่ื งมือเสนอเรอื่ งราวไปสู่ ผู้เรยี น เช่น ภาพโปร่งแสง สไลด์ แถบ
บันทกึ เสยี ง ฟิลม์ ภาพยนตร์
๒. ประเภทเครื่องมือ (Hardware or Equipment) หมายถึง เครื่องมือท่ีเป็นตัวกลาง
ส่งผ่านความรู้ไปสู่ ผู้เรียน เช่น เคร่ืองฉายชนิดต่าง ๆ เครื่องเสียงชนิดต่าง ๆ เคร่ือง รับและส่งวิทยุและ
โทรทศั น์ ซง่ึ ต้องอาศัยวสั ดุประกอบเช่น ฟิล์ม แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ เป็นตน้
๒๑๗ วรวิทย์ นิเทศศิลป.์ ส่อื และนวัตกรรมแหง่ การเรยี นร้.ู (ปทุมธานี : สกายบกุ๊ ส,์ ๒๕๕๑.) หน้า ๑๒
๒๑๘ เร่อื งเดียวกัน. หน้า ๑๒
๒๙๓
๓.ประเภทเทคนคิ หรอื วิธีการ (Technique or Method) หมายถึง เทคนิคหรือวิธีการท่ี
จะใช้ร่วมกบั วัสดแุ ละ เครือ่ งมือ หรอื ใชเ้ พยี งลาพงั ในการจัดการเรยี นการสอนได้แก่ การสาธิต การทดลอง
การแสดงละคร การจดั นิทรรศการ เปน็ ตน้
๔.สอ่ื ประสบการตรง สือ่ ประสบการจาลอง เป็นประสบการณท์ ่เี ป็นรากฐานของ
ประสบการณ์ทงั้ ปวง เพราะไดเ้ รียนรู้ จากประสบการณจ์ ริง ไดย้ ิน ไดเ้ หน็ ได้สมั ผสั ดว้ ยตนเอง เชน่ การ
เรียนจาก ของจริง การเรียนด้วยการลงมือทา จากข้อจากดั ที่ไมส่ ามารถจดั การ เรียนการสอนจาก
ประสบการณ์จริง ใหแ้ ก่ผู้เรียนได้ เชน่ ของจริงมขี นาด ใหญห่ รอื เล็กเกินไป มีความซับซ้อน มีอันตรายจงึ
ใชป้ ระสบการณจ์ าลอง แทน เช่น การใช้หนุ่ จาลอง
๕. สือ่ ประสบการณน์ าฏการ จะจดั ขึ้นแทนประสบการณจ์ ริงที่เป็น อดีตไปแล้วหรือเป็น
นามธรรมท่ยี าก เกนิ กว่าจะเข้าใจสามารถใช้ ประสบการณ์จาลองได้ เชน่ การละเล่น ประเพณี สือ่ สาธิต
คือ การอธบิ ายข้อเทจ็ จริง และกระบวนการทส่ี าคัญด้วยการ แสดงให้เหน็ ลาดับข้นั อาจใช้ ภาพยนต์
สไลด์ แสดงการสาธติ ในเนื้อหาท่ีต้องการสาธิต
๖. ทศั นศึกษานอกสถานที่ การพานกั เรยี นไปศึกษายงั แหลง่ ความรูน้ อกห้องเรยี น เพ่ือ
เปิดโอกาส ใหน้ ักเรยี นรู้หลายๆด้าน เช่น โบราณสถาน โรงงาน ฯลฯ
๗. สื่อนทิ รรศการ การจดั แสดงสิ่งต่างๆ รวมทัง้ มีการ สาธิตและการฉายภาพยนต์
ประกอบ เพื่อใหป้ ระสบการณใ์ นการเรยี นรูแ้ ก่ ผู้เรยี นหลายด้าน ได้แก่ การจัดปา้ ย นทิ รรศการ การจดั
แสดงผลงาน นักเรยี น สอื่ กจิ กรรม กิจกรรมท่ีใช้ในการเรยี นการ สอนมักจดั ขึ้นเพือ่ ร่วมกระทา ทรัพยากร
อืน่ ๆหรือเทคนคิ วธิ กี าร พเิ ศษเพ่ือการเรียนการสอน เชน่ เกม การสมั มนา การจัดทศั นศึกษา โดยมกี ารใช้
วัสดุ การเรยี นเฉพาะแต่ละวชิ า
๘. สอื่ คน ตามความหมายของการประยุกต์ใช้ ได้แก่คนทีท่ างานหรอื มีความชานาญ ใน
งานคนเหล่าน้เี ป็นผู"้ เชยี่ วชาญ" เชน่ ศลิ ปิน นกั การเมอื ง นกั ธุรกจิ ฯลฯ สอื่ อาคารสถานที่ ห้องสมดุ
หอประชุม โรงงาน ตลาด สถานทท่ี างประวตั ิศาสตร์ฯลฯ
๙. หลักการใชส้ ื่อการสอน การวางแผน (Planning) การใช้ส่อื การสอนต้องมี การ
วางแผน โดยในข้นั ของการวางแผนคือการพิจารณาว่าจะเลือก ใชส้ ือ่ ใดในการเรยี นการสอน
๑๐. การเตรยี มการ (Preparation) เมื่อได้วางแผนเลือกใช้ส่ือ การสอนแลว้ ข้ันต่อมา
คอื การเตรียมการสงิ่ ต่าง ๆ เพื่อให้การใชส้ อ่ื การ สอนเป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพและตรงตาม
วัตถปุ ระสงค์ ก่อนใช้สอ่ื การ สอน ผใู้ ช้ควรเตรียมความพร้อมในสงิ่ ต่าง ๆ ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมของผ้สู อน
๒. การเตรียมความพร้อมให้ผู้เรยี น
๓. การเตรียมความพร้อมของสอ่ื และอุปกรณ์หรอื เครอ่ื งมอื ท่ี ใช้รว่ มกนั
๔. การเตรียมความพร้อมของสภาพแวดล้อมและห้องสอน
๑๑. ชว่ ง ได้แก่ ชว่ งนาเขา้ สู่บทเรียน ชว่ งสอนเน้ือหาบทเรียน และ ช่วงสรปุ ในทุก
ชว่ งเวลาสามารถนาส่ือการสอนเขา้ มาใช้อานวยความ สะดวกใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การรับรหู้ รือการเรียนรู้ไดอ้ ย่าง
มปี ระสิทธภิ าพ ผเู้ ลอื ก ใช้ส่อื การสอนควรมีความเขา้ ใจวา่ ส่ือการสอนท่นี ามาใช้ในแตล่ ะช่วงเวลา ใชเ้ พ่ือ
วัตถุประสงคใ์ ด
๑. ชว่ งนาเข้าส่บู ทเรียน
๒. ช่วงสอนเนื้อหาบทเรียน
๓. ชว่ งสรปุ บทเรยี น
๒๙๔
๔. ทากิจกรรมต่าง ๆ ประกอบการใช้สื่อการสอนตาม ขน้ั ตอนที่วางแผนไว้
๕. การนาเสนอควรมจี ดุ เน้นและอธิบายรายละเอยี ด ในสว่ นทสี่ าคญั ในขณะนาเสนอ
๑๒. การติดตามผล (Follow - up) ภายหลงั การใช้ส่ือการ สอนแลว้ ผสู้ อนควรทาการ
ซกั ถาม ตอบคาถามผเู้ รยี น หรืออภิปรายเก่ียว กับเนอ้ื หาของสอื่ ทีไ่ ดน้ าเสนอไปแล้ว เพ่อื สรปุ ถึง
ประสบการณ์ท่ผี เู้ รยี น ได้รบั และเพื่อทาการประเมินผูเ้ รียนวา่ มีความเขา้ ใจบทเรียนเพยี งใด และ เพอ่ื
ประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของสอ่ื การสอน ตลอดจนวธิ ีการใช้ส่อื การสอน ของครวู า่ มขี ้อดี ข้อบกพรอ่ ง หรือ
สง่ิ ทค่ี วรแก้ไขต่อไปอย่างไรบ้าง
๑๓. ประโยชนข์ องสื่อการเรียนการสอน๒๑๙
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ไดแ้ ก่
๑. เรียนรู้ได้ดขี น้ึ จากประสบการณ์ที่มีความหมายในรูปแบบตา่ ง ๆ
๒. เรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
๓. เรียนรู้ไดง้ ่ายและเข้าใจได้ชดั เจน
๔. เรยี นรไู้ ดม้ ากขนึ้
๕. เรยี นรู้ไดใ้ นเวลาที่จากัด
ช่วยใหส้ ามารถเอาชนะข้อจากดั ต่าง ๆ ในการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่
๑. ทาสง่ิ นามธรรมใหเ้ ปน็ รปู ธรรมมากขึ้น
๒. ทาสิ่งซบั ซ้อนให้ง่ายข้นึ
๓. ทาส่ิงเคลอื่ นไหวชา้ ให้เร็วข้ึน
๔. ทาส่งิ เคล่อื นไหวเรว็ ให้ชา้ ลง
๕. ทาส่งิ เล็กใหใ้ หญ่ข้นึ
๖. ทาสง่ิ ใหญ่ให้เล็กลง
๗. นาสิ่งท่ีอยู่ไกลมาศึกษาได้
๘. นาสง่ิ ทเ่ี กิดในอดีตมาศึกษาไดช้ ่วยกระตนุ้ ความสนใจ ของผเู้ รยี น
๙. ชว่ ยให้จดจาได้นาน เกิดความประทับใจและมัน่ ใจใน. การเรียน
๑๐. ชว่ ยให้ผูเ้ รียนไดค้ ิดและแก้ปัญหา
๑๔. คณุ สมบัตขิ องสอื่ การสอน สอื่ การสอนมีคณุ สมบตั ิพิเศษ ๓ ประการ คือ
๑. สามารถจัดยึดประสบการณก์ จิ กรรมและการกระทาต่าง ๆ ไว้ไดอ้ ย่างคงทนถาวร ไม่
ว่าจะเป็นเหตกุ ารณใ์ นอดีตหรือปัจจุบนั ทง้ั ใน ลกั ษณะของรปู ภาพ เสียง และสญั ลักษณ์ต่าง ๆ สามารถ
นาไปใชไ้ ดต้ าม ความต้องการ
๒. สามารถจัดแจงจัดการและปรุงแต่งประสบการณ์ต่าง ๆ ให้ใช้ได้สอดคล้องกับ
วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน เพราะส่ือ การสอนบางชนิด สามารถใช้เทคนิคพิเศษเพ่ือเอาชนะ
ข้อจากัดในด้าน ขนาด ระยะทาง เวลา และความเป็นนามธรรมของประสบการณ์ตาม ธรรมชาติได้
คณุ สมบตั ิของส่ือการสอน
๒๑๙ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. การเลอื กใช้สอื่ การเรยี นการสอน (ค.ศ.๒๐๑๖).
https://nattarikablog.wordpress.com. สบื ค้นเม่ือวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๑
๒๙๕
๓. สามารถแจกจ่ายและขยายของข่าวสารออกเป็น หลาย ๆ ฉบับเพ่ือเผยแพร่สู่คน
จานวนมาก และสามารถใช้ซ้า ๆ ได้ หลาย ๆ คร้ัง ทาให้สามารถแก้ปัญหาในด้านการเรียนการสอน ต่าง
ๆ ท้งั การศึกษาในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน คณุ สมบตั ิของส่อื การสอน (ต่อ)
๓.๓ นวัตกรรมสมัยใหม่๒๒๐
นวตั กรรม (Innovation)
เปน็ คาที่คณะกรรมการพิจารณาศัพทว์ ชิ าการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ ารบัญญัติขึน้
เดมิ ใช้ นวกรรม มาจากคากริยาวา่ Innovate มาจากรากศัพท์ภาษาองั กฤษวา่ Inovare (in (=
in)+novare= to renew, to modify) และ novare มาจากคาวา่ novus (=new)
Innovate แปลตามรูปศัพท์ได้ว่า "ทาใหม่ , เปลีย่ นแปลงโดยนาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา "
Innovation = การทาส่งิ ใหม่ ๆ หรอื สงิ่ ใหม่ ๆ ทท่ี าข้ึนมา (International Dictionary)
นวตั กรรม (Innovation)
หมายถงึ การนาส่ิงใหม่ ๆ อาจเปน็ แนวความคดิ หรือ ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้
มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้ทันสมัย และได้ผลดีมีประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผลสูงกว่าเดิม ทัง้ ยงั ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานไดด้ ้วย๒๒๑
นวตั กรรมทางการศึกษา (Educational Innovation)
หมายถึง การนาเอาส่ิงใหม่ซ่ึงอาจจะอยู่ในรูปของความคิด หรือการกระทา รวมท้ัง
ส่ิงประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพ่ือมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิม ให้ระบบการจัด
การศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ทาให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการ
เรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ
(Interactive Video) สอ่ื หลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอรเ์ นต็ เหลา่ นีเ้ ป็นตน้
นวัตกรรม แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ คือ
- ระยะที่ ๑ มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับ
กาลสมยั
- ระยะท่ี ๒ พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทาอยู่ในลักษณะของ
โครงการทดลองปฏิบตั กิ อ่ น (Pilot Project)
- ระยะท่ี ๓ การนาเอาไปปฏบิ ัตใิ นสถานการณ์ทว่ั ไป ซ่งึ จัดว่าเป็นนวตั กรรมขน้ั สมบรู ณ์
หลักเกณฑป์ ระกอบการพิจารณาวา่ สง่ิ ใดคือ นวัตกรรม
๑. เปน็ ส่ิงใหมท่ ้งั หมดหรือบางส่วน
๒. มีการนาวิธีการจัดระบบ (System Approach) มาใช้พิจารณาองค์ประกอบทั้งส่วนข้อมูลที่
ใชเ้ ข้าไปในกระบวนการและผลลัพธ์ให้เหมาะสมก่อนทจี่ ะทาการเปลย่ี นแปลง
๓. มีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยหรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่าจะช่วยให้ดาเนินงานบางอย่างมี
ประสิทธิภาพสงู ข้ึน
๒๒๐ ธานนิ ทร์ ระหารนอก. นวัตกรรมสมยั ใหม่(ออนไลน)์ . http://thanin๑๖.blogspot.com/๒๐๑๕/๑๑/
innovation-innovate-inovare-in-innovare.html สืบค้นเมื่อ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑.
๒๒๑ ถวัลย์ มาศจรสิ และเชาวฤทธ์ิ จงเกษกรณ์. นวตั กรรมการศกึ ษาชดุ . การนิเทศเพ่อื การปฏริ ปู การศกึ ษา
และพฒั นาการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาการเรยี นรผู้ เู้ รียนและการจดั ทาผงานทางวิชาการของข้าราชการครู และบุคลากร
ทางการศกึ ษา ฯ . กรุงเทพ ฯ : ธารอกั ษา, ๒๕๔๗. หน้า ๕
๒๙๖
๔. ยังไมเ่ ป็นสว่ นหนึ่งในระบบงานปัจจบุ ัน
๓.๔ นวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศสมยั ใหม่
เทคโนโลยีสมัยใหม่มีบทบาทสาคัญในการช่วยการศึกษาให้บรรลุอุดมการณ์ทาง
การศึกษานโยบายการจัดการศึกษาของรัฐจะต้องจัดการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับทุกคนหรือที่เรียกว่า
การศึกษาเพ่ือปวงชนทุกคนอันเป็นการลดความเหล่ือมล้าโอกาสทางการศึกษาสร้างความเท่าเทียมด้าน
การศึกษา เทคโนโลยีทางด้านการศึกษา ในปัจจุบันไม่ว่าเป็นเทคโนโลยีด้านการศึกษาเทคโนโลยีด้าน
ส่ือสารมวลชนเทคโนโลยทางดา้ นคมนาคม ซงึ่ เปน็ ประโยชนใ์ นดา้ นการจดั การศกึ ษาทง้ั สิน้ เชน่ การศึกษา
ทางไกลผ่านดาวเทียม นักเรียนชนบททุรกันดารสามารถเรียนรู้ได้เท่าเทียมกับนักเรียนท่ีอยู่ในเมือง หรือ
อยู่บ้าน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเสียงบประมาณในการที่ จัดซื้อหาหนังสือมากมายเหมือนสมัยก่อน
นอกจากนนั้ ผู้เรยี นสามารถเรียนรดู้ ้วยตนเองได้อย่าง อิสระ นอกจากนั้นยังมีส่ือท่ีเป็น วิทยุ โทรทัศน์ ซีดี
คอม สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ท่ีทาให้ประชาชนทุกคนได้เรียนรู้ตลอดชีวิต แต่แนวโน้มในการนาเทคโนโลยี
สมัยใหม่หรือคอมพิวเตอร์มาใช้ในการศึกษาในปัจจุบันและอนาคตจะเป็นรูปแบบของการเรียนการสอน
โดยนาเอาเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์มาผสมผสานกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเนื่องจากเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต
มลี กั ษณะเฉพาะ คือ มีความสามารถในการนาเสนอข้อมูลผ่านระบบ ในการใช้เพ่ือการเรียนการสอนผ่าน
เว็บซงึ่ วงการศกึ ษาคงจะหลีกเลย่ี งไดย้ ากยง่ิ
๓.๕ ความหมายของนวัตกรรม
นวัตกรรม (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทาส่ิง
ใหมข่ ึน้ มา ความสามารถในการใช้ความรู้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ทกั ษะและประสบการณ์ทางเทคโนโลยีหรือ
การจัดการ มา พัฒนาและผลิตสินค้าใหม่กระบวนการผลิตใหม่ หรือบริการใหม่ ซึ่งตอบสนองความ
ต้องการของตลาด๒๒๒
ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนาแนวความคิดใหม่หรือการใช้
ประโยชนจ์ ากสง่ิ ท่ีมอี ยู่ แล้วมาใชใ้ นรูปแบบใหม่ เพ่ือทาให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ “การทา
ในสิ่งท่ีแตกต่างจากคนอื่น โดยอาศัยการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดข้ึนรอบตัวเราให้กลายมา
เป็นโอกาส (Opportunity) และ ถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทาให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและ
สังคม” ซ่ึงแนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมา ในช่วงต้นศตวรรษที่ ๒๐ โดยเห็นได้จากแนวคิดของนัก
เศรษฐศาสตร์ อุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph Schumpeter ใน The Theory of Economic
Development,๑๙๓๔ โดยเน้นท่ีการสร้างสรรค์การวจิ ยั และ พัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อัน
นาไปสูก่ ารไดม้ าซ่ึงนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพ่ือประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
เป็นหลัก และทฤษฎีท่ีรู้จักกันมากก็น่าจะเป็น Thoery of Disruptive Innovation ของ Prof. Clayton
Christensen แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ Diffusion of Innovation Theory ของ Prof. Everett
Rogers ซ่งึ พฒั นามาต้ังแต่ปี๑๙๖๒ ทงั้ น้คี วามคดิ และทฤษฎเี รอื่ งนวัตกรรมมีวิวัฒนาการมาอย่างน้อย ๕๐
ปี แล้ว โดยช่วงทศวรรษท่ี ๑๙๕๐ บรรดานักวิชาการมองว่านวัตกรรมเป็นการพัฒนาอย่างหนึ่งที่แยก
ออกมาจากการศึกษาวิจัยต่างๆ แต่ใน ปัจจุบันน้ีนวัตกรรมไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงผลลัพธ์ของการ
ดาเนินงานของปัจเจกบุคคล หากแต่เป็นผลของ กระบวนการ (process) ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการแก้ไข
๒๒๒ กดิ านนั ท์ มลิทอง. เทคโนโลยีการศกึ ษาและนวตั กรรม. (กรงุ เทพ ฯ : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓)
หนา้ ๒๕๕
๒๙๗
ปัญหา (problem-solving process) ท่ีเกิดในองค์กร หรือกระบวนการปฏิสัมพันธ์ (interactive
process) ซ่ึงเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับผู้มีบทบาท สาคัญอื่น ๆ มีได้ทั้งแบบเป็นทางการ
และไม่เป็นทางการผ่านเครือข่ายความร่วมมือเชิงพาณิชย์ หรือ กระบวนการเรียนรู้แบบแปรผัน
(diversified learning process) ซึ่งเปน็ การเรยี นรู้ที่เกดิ จากปัจจัยแตกต่างกัน เช่น การเรียนรู้โดยการใช้
(learning by using) การเรียนรู้โดยการลงมือทา (learning by doing) การเรียนรู้ โดยการแลกเปล่ียน
(learning by sharing) ซึ่งมีได้ทั้งองค์ความรู้ภายในและภายนอกองค์กร ขึ้นอยู่กับ ประสิทธิภาพในการ
ดดู ซับความรู้ขององค์กร
๓.๖ ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
เทคโนโลยี ( Technology ) คือการประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิด
ประโยชน์ ท่ีเกี่ยวข้องการผลิต การสร้างวิธีการดาเนินงาน และรวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีในตาม
ธรรมชาติโลกแห่งเทคโนโลยียุคนี้ ทาให้มนุษย์ได้รับสิ่งอานวยความสะดวกจากเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
กบั การดาเนินชีวิตประจาวนั มากมายนบั ไม่ถ้วน๒๒๓
สารสนเทศ ( Information ) คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลข้อมูลดิบ (Rau
data ) ดว้ ยการรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ต่าง ๆ และนามาผ่านกระบวนการประเมินผล ไม่ว่าจะเป็นการ
จดั กลุม่ ข้อมูล การเรยี งลาดับข้อมูล การคานวณและสรปุ ผล จากน้ันก็นามาเสนอในรูปแบบของรายงาน
ทเี่ หมาะสมต่อการใช้งานทกี่ ่อเกดิ ประโยชนก์ ารดาเนินชวี ิตของมนุษย์ ไมว่ า่ จะเป็นด้านของชีวิตประจาวัน
ข่าวสาร ความรูด้ า้ นวชิ าการ ธรุ กจิ
เม่อื นาคาวา่ เทคโนโลยี และ สารสนเทศ รวมเข้าไว้ด้วยกันแล้ว จึงสรุปความหมาย
โดยรวมได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information technology ) คือการประยุกต์ความรู้ทางด้าน
วิทยาศาสตร์มาจัดการสารสนเทศท่ีต้องการ โดยอาศัยเคร่ืองมือทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยี
ด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีด้านเครือข่ายโทรคมนาคมและการสื่อสาร ตลอดจนอาศัยความรู้ใน
กระบวนการดาเนินงานสารสนเทศในขั้นตอนต่าง ๆ ต้ังแต่การแสวงหา การวิเคราะห์ การจัดเก็บ
รวมถึงการจัดการเผยแพร่และแลกเปล่ียนสารสนเทศด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความถูกต้องแม่นยา
และความรวดเร็วทนั ต่อการนามาใช้ประโยชน์ได้นนั่ เอง
๔. ความหมายและความสาคัญการประเมิน
๔.๑ การประเมินผล๒๒๔
๑. ความหมายและความสาคัญ
การประเมินผล หมายถึง การรวบรวมข้อมูลที่เก่ียวกับผลของการดาเนินงาน เพื่อนามา
เปรียบเทียบกบั วตั ถปุ ระสงค์ท่ีต้ังไว้ว่าได้ผลตามที่กาหนดไว้เพียงใด มีบทบาทความสาคัญในการให้ข้อมูล
ด้านความคืบหน้า ช้ีปัญหา และข้อขัดข้องด้านประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลกระทบที่เกิดจากการ
ดาเนินงานโครงการ เพอ่ื นาขอ้ มลู ไปใช้ประโยชน์ในด้านการจัดการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการจัดการหรือการ
๒๒๓ กหู ารง บซู าแล. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ(ออนไลน์).
https://sites.google.com/site/loryeng๒/khwam-hmay-khxng-thekhnoloyi-sarsnthes. (ม.ป.ป.). สบื ค้นเมอ่ื ๘
มนี าคม ๒๕๖๑.
๒๒๔ การประเมนิ ผล(ออนไลน์). http://www.plan.doae.go.th/myweb๒/Eva.htm สบื ค้นเมื่อ ๘ มีนาคม
๒๕๖๑.
๒๙๘
บริหารโครงการ บทบาทท่กี ล่าวนี้จะให้ประโยชน์แก่ฝา่ ยบริหารได้ดีหากได้รับการสนับสนุนให้มีระบบการ
ติดตามและประเมนิ ผลข้นึ ในองคก์ รเพราะการประเมนิ ผลเปน็ ส่วนหนง่ึ ของกระบวนการด้านการจัดการ
๒. แนวทางในการประเมนิ ผล
การประเมนิ ผลโครงการ มีข้ันตอนทจี่ ะต้องปฏิบัติ ดังน้ี
๒.๑ การศกึ ษาและวเิ คราะหโ์ ครงการ เพื่อทาความเข้าใจโครงการอย่างน้อยใน
ดา้ นต่าง ๆ ดังน้ี
(๑) สถานการณท์ ว่ั ไป
(๒) วตั ถุประสงค์เปา้ หมายของโครงการ
(๓) แผนการปฏิบัตกิ ารงาน นอกจากนยี้ ังขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้
ประเมินโครงการที่ต้องการจะรู้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม โดยอาจศึกษาได้จากเอกสารโครงการ การพูดคุยกับ
เจ้าหนา้ ทโ่ี ครงการ รวมทั้งการออกไปดูการดาเนินโครงการในพ้ืนที่
๒.๒ วัตถปุ ระสงค์ในการประเมนิ ผล โดยทว่ั ไปจะเป็นผลท่ีสืบเนื่องมาจากความ
ต้องการของผู้ประเมินผลรวม ๒ นัย คือ (๑) โครงการมีความก้าวหน้าตามแผนท่ีกาหนดไว้หรือไม่ มี
ปัญหาและอุปสรรคในการดาเนนิ งานเพียงใด และมแี นวทางแก้ไขอย่างไร และ (๒) เมื่อโครงการสิ้นสุดลง
แล้ว โครงการประสบผลสาเรจ็ หรือไม่ เพียงใด และโครงการสมควรกระทาต่อเน่ืองหรอื ไม่
๒.๓ ข้อมูลที่จะต้องรวบรวม ต้องกาหนดว่าจะใช้ข้อมูลอะไรบ้าง ท่ีนามา
วิเคราะห์แล้วสามารถตอบ อธิบายหรือช้ีแจงวัตถุประสงค์ในการประเมินผลน้ันได้ การพิจารณาข้อมูลท่ี
ต้องการรวบรวมนนั้ ควรแยกพจิ ารณาไปตามวตั ถุประสงค์ในการประเมินผลแต่ละข้อ วิธีการท่ีผู้เขียนนิยม
ใช้ในการกาหนดข้อมูลที่จะต้องรวบรวม คือ การใช้ตัวชี้วัด (Indicators) มาช่วย เช่น เราต้องการ
ประเมนิ ผลในสว่ นผลกระทบระยะส้นั (Effect) ของโครงการ ในเรื่องเพ่ิมผลผลิตข้าวต่อไร่ ตัวช้ีวัดในเร่ือง
นี้ก็คือ ผลผลิตเฉล่ีย (กก./ไร่) เพิ่มข้ึน ซึ่งในการน้ีเราจะต้องเก็บข้อมูล ผลผลิตเฉลี่ย ๒ ข้อมูลมา
เปรยี บเทยี บกัน คือ ผลผลิตเฉลีย่ กอ่ นโครงการกับผลผลติ เฉล่ียหลงั โครงการ หรือผลผลิตเฉล่ียของกลุ่มใน
โครงการกบั ผลผลิตเฉลี่ยของกลมุ่ นอกโครงการ
๒.๔ แหล่งของข้อมูลและการสารวจข้อมูลด้วยกลุ่มตัวอย่าง พิจารณาว่าข้อมูล
เหล่านั้นสามารถหาได้จากใครหรือจากท่ีไหน จะใช้ข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลทุติยภูมิ ซ่ึงข้อมูลปฐมภูมิ
(Primary Data) คือข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมชั้นต้นหรือชั้นแรกด้วยตนเอง หรือจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น
ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ส่วนข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) คือข้อมูลท่ีผู้ใดผู้หนึ่ง หรือกลุ่มใด
กล่มุ หน่งึ ได้ทาการรวบรวมและเรยี บเรียงไวเ้ รยี บรอ้ ยแล้ว เชน่ ขอ้ มลู ท่ไี ด้จากรายงานต่าง ๆ
๒.๕ เครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล จะต้องกาหนดว่าจะเก็บรวบรวม
ขอ้ มูลเหลา่ น้นั ดว้ ยเคร่อื งมอื ชนิดใด และใช้วิธใี ดในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู การที่จะใช้เคร่ืองมือหรือวิธีการ
ใดน้ันจะต้องเลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ข้อมลู ท่ีจะรวบรวม และบุคคลที่จะเปน็ ผใู้ ห้ขอ้ มูล ซึ่งเคร่ืองมือที่เป็นท่ี
นิยมใช้กันแพร่หลาย ได้แก่ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสงั เกตการณ์
๒.๖ การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนสาคัญท่ีสุดท่ีจะทาให้ได้ข้อมูล เพื่อ
นามาใช้ในการวิเคราะห์และแปลความ ผู้ท่ีทาการรวบรวมข้อมูลจะต้องทาการรวบรวมข้อมูลให้ได้ตามท่ี
กาหนด และขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ะต้องมีความถกู ต้องและน่าเชอ่ื ถอื การเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นมีเทคนิคแตกต่างกัน
ออกไปตามชนิดของเครื่องมือ และวิธกี ารใช้เคร่อื งมือนั้น ๆ การสมั ภาษณ์ เป็นตน้
๒๙๙
๒.๗ การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลท่ีได้ยังไม่อยู่ในรูปที่จะ
นามาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ต้องนาข้อมูลเหล่าน้ันมาทาการตรวจสอบ เรียบเรียงหรือประมวล และทา
การวเิ คราะหเ์ สยี กอ่ นจึงจะไดข้ ้อมลู ทส่ี ามารถอ่านไดง้ า่ ย เพ่อื ทจี่ ะได้แปลความและนาเสนอต่อไป
๒.๘ การแปลความและการรายงาน การแปลความเป็นการนาข้อมูลที่ได้จาก
การประมวลผล และการวเิ คราะห์มาอธิบาย ให้ความหมายและชี้แนะ หรือต้ังข้อสังเกตในประเด็นต่างๆ
โดยแสดงให้ทราบถึงข้อเท็จจริงตามตวั เลขทีไ่ ดร้ บั และทาให้ออกมาเป็นภาษาสามัญท่ีบุคคลท่ัวไปสามารถ
เข้าใจได้ตรงกัน จุดสาคัญของการแปลความก็คือ จะต้องตอบ อธิบายหรือชี้แจงวัตถุประสงค์ของการ
ประเมินผลได้ชัดเจนและครบถ้วน จากน้ันนามาจัดทาเป็นรายงานซ่ึงในการเขียนรายงานนั้นผู้เขียน
จะตอ้ งคานึงถึง (๑) ผู้อา่ นว่าเป็นใคร มีพื้นความรู้ในเรื่องท่ีทาการประเมินผลแค่ไหน (๒) การนาผลของ
การประเมินไปใช้ประโยชน์ (๓) รูปแบบการรายงาน เช่น จัดทารายงานแบบย่อ แบบละเอียด หรือ
รูปแบบอ่ืนๆ นอกจากน้ีการเขียนรายงานผู้เขียนต้องพยายามเขียนให้ได้ความชัดเจน กะทัดรัด มีความ
สมบูรณ์ ถกู ตอ้ ง และท่สี าคัญคอื ต้องซ่อื ตรง
๓. การประเมินสภาวะเร่งด่วน
๓.๑ ความหมาย การประเมินสภาวะเร่งด่วน เปน็ เทคนิคและวิธีการในการประเมินผลที่
นามาใช้ในกรณที ่ีผูบ้ ริหารต้องการคาตอบอยา่ งเร่งดว่ น ซ่งึ ผู้ประเมินผลไม่สามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วจาก
ระบบมาทาเป็นคาตอบได้ เพราะข้อมูลจากระบบข้อมูลที่วางแผนไว้น้ัน จะได้มาตามขั้นตอนที่กาหนดไว้
ในแผน หรืออีกกรณีหน่ึง ผู้ประเมินไม่ได้วางแผนการเก็บข้อมูลประเภทที่จะนามาทาเป็นคาตอบให้
ผบู้ ริหาร
๓.๒ ประโยชนข์ องการประเมินสภาวะเร่งดว่ น ได้แก่ ไดค้ าตอบที่รวดเรว็ และคา่ ใช้จ่าย
ตา่
๓.๓ วิธีการท่ีทาให้การประเมินผลมีความรวดเร็ว วิธีการท่ีจะทาให้การประเมินผลมี
ความรวดเร็วได้นั้นมลี ักษณะ ดงั นี้
(๑) ขอบเขตของการประเมนิ ผลไม่กว้าง
(๒) คาถามทต่ี ้องการคาตอบมีไม่มาก
(๓) จานวนตวั อย่างตอ้ งจากดั ใหน้ ้อยลง
(๔) ถา้ มีความจาเปน็ ตอ้ งไปตรวจสอบพนื้ ท่ี ควรเลือกพื้นท่ใี หน้ ้อยลง
(๕) พยายามใชต้ วั บง่ ช้ีทางอ้อม
๓.๔. เทคนคิ ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
การประเมินสภาวะเร่งด่วน มเี ทคนคิ และวิธีการในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ได้หลายวิธี ดังน้ี
(๑) การเลอื กตรวจเยี่ยมสถานท่ีโครงการ
(๒) การสมั ภาษณ์หมู่
(๓) เลอื กสัมภาษณ์เฉพาะรายอย่างละเอยี ด
(๔) การสมุ่ สอบถามข้อมูลจากเกษตรกรเปน็ บางราย
(๕) ใช้ขอ้ มลู ทุติยภูมิ
(๖) ใช้ขอ้ มลู จากผูใ้ ห้ขอ้ มลู เกย่ี วกบั โครงการ
๓.๕ ขนั้ ตอนการประเมินสภาวะเรง่ ดว่ น
การประเมนิ สภาวะเรง่ ด่วน แบ่งข้นั ตอนการประเมินผลออกเป็นสองขน้ั ตอน ไดแ้ ก่
๓๐๐
๓.๕.๑ การวางแผน ในขั้นตอนการวางแผนน้ี ประกอบไปด้วยข้ันตอนย่อย ๆ
ดังนี้
(๑) ศึกษาคาถามใหช้ ัดเจน เพ่ือตอบใหต้ รงกบั คาถาม
(๒) กาหนดตัวบ่งช้ี (Indicators) ซ่ึงจะเป็นคาตอบ โดยคาตอบน้ีอาจอยู่ในรูป
ของ รอ้ ยละ จานวน หรอื อนื่ ๆ
(๓) กาหนดแหลง่ ที่มาของขอ้ มูล
(๔) ทาแบบสอบถามกรณีท่ีใช้ Information Survey และทา Check List ใน
กรณีทีจ่ ะสัมภาษณ์
(๕) กาหนดวิธกี ารประมวลผลและวิเคราะหข์ อ้ มูล
(๖) กาหนดรูปแบบรายงาน
(๗) กาหนดแผนปฏิบัติ ทาเป็น Implementation Schedule โดยใช้ Gantt
Chart หรือทาเป็นหมายกาหนดการ โดยการกาหนดกิจกรรมการประเมินผลและระยะเวลา ใน
แผนปฏิบัติจะประกอบด้วย การเก็บข้อมูลตามเทคนิคท่ีกาหนดไว้ ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล ทา
รายงาน เสนอรายงาน
๓.๕.๒ การปฏบิ ตั ิตามแผน เม่อื ไดว้ างแผนไว้อยา่ งดีแล้ว ผู้ประเมินผลจะต้องปฏิบัติตาม
แผนท่ีกาหนดไว้ คือ
(๑) เก็บรวบรวมข้อมลู ตามเทคนคิ ที่กาหนดไว้
(๒) ประมวลข้อมลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู
(๓) จดั ทาข้อเสนอแนะ
(๔) จัดทารายงานสรปุ
๕. การวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ
๕.๑ความหมาย
การประเมินผลตามสภาพทีเ่ ปน็ จรงิ (Authentic Assessment) หมายถึง กระบวนการ
สังเกต การบนั ทึก และรวบรวมข้อมูลจากงานและวิธกี ารที่ ผ้เู รียนทา เพื่อเป็นพืน้ ฐานของการตัดสนิ ใจใน
การศึกษาถึงผลกระทบตอ่ ผเู้ รียนเหล่านน้ั ๒๒๕ การประเมินจากสภาพจริงจะไมเ่ นน้ การประเมนิ เฉพาะ
ทักษะพืน้ ฐาน แต่จะเนน้ การประเมนิ ทักษะการคิดทีซ่ ับซอ้ นในการทางานของนักเรยี น ความสามารถใน
การแกป้ ัญหาและการแสดงออกทเี่ กดิ จากการปฏิบัตใิ นสภาพจริงในการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็
ศูนย์กลาง โดยท่ีผูเ้ รยี นจะเป็นผ้คู น้ พบ ผลติ ความรู้ และได้ฝึกปฏิบตั ิจริง รวมท้งั เนน้ พฒั นาการเรยี นรู้ของ
ผู้เรยี น เพอ่ื สนองจดุ ประสงค์ของหลักสตู รและความต้องการของสังคม การประเมินผลจากสภาพท่ีแท้จริง
จะ แตกต่างจากการประเมินผลการเรยี นหรอื การประเมนิ เพอื่ รับรองผลงาน เพราะเนน้ การใหค้ วามสาคญั
กับพฒั นาการและความต้องการชว่ ยเหลือและการประสบความสาเร็จของผเู้ รยี นแตล่ ะคน มากกวา่ การ
ประเมนิ ผลการเรียนทีม่ ุ่งการใหค้ ะแนนผลผลิตและจดั ลาดับท่ี แล้วเปรียบเทยี บกับกลุ่ม เนื่องจากจะ
วดั ผลโดยตรงในสภาพการแสดงออกจรงิ ๆ ในเนื้อหาวิชา ซ่งึ การทดสอบดว้ ยข้อสอบจะวัดได้เฉพาะ
ความรู้และทักษะบางส่วนและเปน็ การวัดโดยอ้อมเทา่ นน้ั นอกจากน้ี การประเมินผลจากสภาพทเ่ี ปน็ จริง
๒๒๕ เอกรินทร์ สม่ี หาศาล และ สุปรารถนา ยุกตะนนั ท.์ การออกแบบเครื่องมอื วัดผลและประเมนิ ผลตาม
สภาพจริง (กรุงเทพ ฯ : บรษิ ทั บ๊คุ พอยท์ จากัด, ๒๕๔๖) หนา้ ๑๒
๓๐๑
จะมคี วามตอ่ เนื่องในการให้ข้อมูลในเชงิ คุณภาพทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อผ้สู อนเพื่อใชเ้ ป็นแนวทางการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะกับแตล่ ะบุคคล
๕.๒ ลกั ษณะสาคญั ของการประเมนิ ผลตามสภาพท่เี ปน็ จรงิ
การประเมินผลในยุคใหม่จะมีลักษณะเด่นท่ีเน้นการประเมินพัฒนาการของนักเรียนและ
ประสิทธิภาพของการเรียนการสอนการวัดและทดสอบจะครอบคลุมสภาพจริงและสอดคล้องกับการ
แสดงออกของนักเรียนท้ังกระบวนการและผลผลิตซึ่งอาจจะประเมินจากการทาแฟ้มสะสม
ผลงาน (portfolio) การบนั ทึกความเห็น การจัดทารายงานผลงานท่ีทา นิทรรศการและโครงงานเก่ียวกับ
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ทักษะการใช้ภาษา และวิชาต่าง ๆ๒๒๖ รวมทั้งการทดสอบใน รูปแบบต่าง ๆ
การประเมินผลในยุคใหม่ จะเน้นการมีส่วนร่วมระหว่างผู้เรียน ครู และผู้ปกครอง โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ
พัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียนแต่ละคนให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพเหมาะสมกับสังคมในทศวรรษหน้า
โดยเฉพาะความสามารถในการสอ่ื สาร ความร่วมมือและการศกึ ษาอยา่ งมวี ิจารณญาณ
ลกั ษณะสาคญั ของการประเมนิ ผลตามสภาพท่ีเป็นจรงิ มีดังน้ี
๑. ตอ้ งเสรมิ สร้างพัฒนาการและการเรยี นรูข้ องผเู้ รียน
๒. เน้นใหเ้ ห็นพฒั นาการอย่างเด่นชดั
๓. ให้ความสาคัญกบั จุดเด่นของผู้เรยี น
๔. ตอ้ งตอบสนองกับหลักสูตรท่ีมุง่ เนน้ ผลการเรยี นรูต้ ามสภาพท่เี ป็นจริง
๕. มีพ้ืนฐานของสถานการณ์ท่ีเป็นชวี ิตจริง
๖. มพี น้ื ฐานบนการแสดงออกจริง
๗. สอดคล้องกับการเรียนการสอนเพ่ือการเรียนรู้ท่เี ปน็ จรงิ
๘. มกี ารจดั การเรียนการสอนโดยมกี ารวิจยั และพฒั นาที่สอดคล้องกับพฒั นาการเด็ก
๙. ตอ้ งเนน้ การเรียนรู้อย่างมีความหมาย
๑๐. ตอบสนองได้กับทุกบริบท และเน้ือหาสาระ
๑๑. ตอบสนองการเรยี นรู้และความสามารถของนักเรียนอย่างกว้างขวาง
๑๒. เกิดความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครอง ผ้สู อนและผเู้ รียน รวมทงั้ บุคคลในวชิ าชพี
อ่ืน ๆ
๕.๓ แนวทางการนาวิธีการประเมนิ ผลตามสภาพท่เี ป็นจริงไปใช้ในการเรียนการสอน
ในการนาวธิ ีการประเมินผลตามสภาพทเี่ ปน็ จรงิ ไปใช้ในการเรียนการสอน ผ้สู อนควร
ดาเนนิ การดงั นี้
๑.ศกึ ษาเกยี่ วกบั วิธกี ารประเมินผลตามสภาพทีเ่ ปน็ จรงิ ในการริเร่ิมแนวคิดใหม่ๆ ในการ
ประเมนิ ผลการเรียนรู้ อาจเร่ิมโดยการศกึ ษาเอกสาร เข้ารับการอบรม ดูวิดีทศั น์ ฟังเทปและศึกษาดงู าน
ในโรงเรียนทดี่ าเนนิ การแล้วจนเกดิ ความเข้าใจและชดั เจน จึงตดั สนิ ใจเร่ิมต้นดาเนนิ การ โดยทั่วไปครู
มักจะมองภาพการสอน และการเรยี นรขู้ องเด็กกับการประเมนิ ผลในลกั ษณะเป็นงานที่แยกออกจากกนั
โดยเร่ิมจากครูจะเปน็ ผู้ใหค้ วามรู้ขอ้ มลู ต่าง ๆ ให้นักเรียนได้เรียนรูแ้ ล้วจงึ ทาการประเมินผล แต่ใน
๒๒๖ เรอ่ื งเดียวกัน. หนา้ ๒๐
๓๐๒
กระบวนการประเมินผลตามสภาพทีเ่ ปน็ จรงิ ซ่งึ ช่วยพัฒนาการสอนและการเรยี นรู้นน้ั จะตอ้ งดาเนินการ
อยา่ งต่อเน่ืองอยูต่ ลอดเวลา มีความสมั พันธเ์ ก่ียวขอ้ งซง่ึ กันและกนั
๒.เร่มิ ใหผ้ ู้เรียนทาแฟ้มสะสมงานและใชว้ ิธปี ระเมนิ ผู้เรียนทห่ี ลากหลายในเนื้อหาสาระ
บางส่วนท่มี คี วามม่ันใจ การประเมินผลตามสภาพท่ีเปน็ จริงนนั้ ครสู ามารถนาไปใชไ้ ด้กับทุกวิชาในชั้น
เรยี นและใชไ้ ด้ตลอดเวลา เพ่ือพฒั นาความรู้ความสามารถของนักเรียนในทุกด้าน โดยครคู วรจะเรมิ่ ตน้
อยา่ งน้อยในบางเน้ือหาวิชาที่ตนเองรู้สึกสบายใจและมั่นใจ เมือ่ ค้นพบวา่ มีความชานาญและสามารถ
พัฒนาได้อย่างดีแล้ว จึงขยายกวา้ งออกไปสู่เนื้อหาอื่น ๆ ต่อไป
๓.ปรับปรงุ และพัฒนา เม่ือครูไดน้ าวธิ กี ารประเมนิ ตามสภาพท่เี ปน็ จรงิ มาใชส้ กั ระยะ
หนง่ึ ครูควรปรับปรงุ และพัฒนาใหเ้ ป็นระบบยงิ่ ข้นึ เพื่อเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการเรียนการสอน
๔.จดั ทาตารางกาหนดเวลาในการสะท้อนความคดิ เห็นเปน็ รายบุคคลและเปน็ รายกลุ่ม
และรายจุดประสงคโ์ ดยครตู ้องให้เวลาท่ีจะทบทวนชิน้ งานท่ีไดป้ ระเมนิ จาก การบันทกึ การสังเกต การ
สารวจรายการ รายงานการประชุม โครงการของนักเรียน ผลผลิต แฟม้ สะสมผลงาน (Portfolio)
๕.การนากระบวนการประเมินผลตามสภาพทเ่ี ปน็ จรงิ ไปใช้อยา่ งเปน็ รูปธรรมในขั้นน้ี ผู้
ประเมนิ ต้องมีความรใู้ นกระบวนการจัดการ โครงสร้างภายในของการประเมินผลจากสภาพท่เี ปน็ จริง
ความเข้าใจในข้อจากดั และรับทราบถงึ บทบาทของการประเมินผลตามสภาพท่ีเป็นจรงิ ในกระบวนการ
ประเมนิ โดยรวมทง้ั หมด
ในการนาวธิ กี ารประเมินผลตามสภาพท่เี ปน็ จรงิ ไปใช้ในการเรยี นการสอน ครคู วรจะ
เรม่ิ ตน้ อยา่ งชา้ ๆ ดว้ ยความพอใจในเน้ือหาทีต่ นรู้สึกว่าสบายใจและม่นั ใจ ครูต้องพฒั นาความรู้ แกไ้ ข
ผลงานหรอื วิธกี ารท่ีได้ทาไปแลว้ วธิ กี ารขา้ งตน้ จะช่วยให้ประสบความสาเร็จในการ เพ่ิมพูนทกั ษะได้มาก
ยิ่งข้ึน นอกจากนี้ต้องมีการกาหนดเวลาให้ครไู ด้สะทอ้ นความคิดเห็นของตนเอง รวมท้ังมีการสนทนา
แลกเปลยี่ นความคิดเห็นกบั เพอ่ื นรว่ มงานอยู่เสมอ
๕.๔ ส่งิ ที่ควรคานงึ ถึงเกยี่ วกับการประเมนิ ผลตามสภาพทเี่ ป็นจรงิ ๒๒๗
ในการประเมินผลตามสภาพท่เี ป็นจรงิ น้ัน มีขอ้ ควรคานงึ ถงึ ดังน้ี
๑.ส่งิ ท่ีตอ้ งการประเมนิ ควรประกอบด้วย การแสดงออกถึงผลของความรู้· ความคดิ
ความสามารถ ทักษะและเจตคติ กระบวนการเรยี นรู้ กระบวนการทางาน ผลผลิต ผลงาน
๒. ระยะเวลาท่ปี ระเมิน ควรประเมินอย่างต่อเน่ืองตลอดเวลาตามสภาพท่เี ป็นจรงิ
๓. เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ประเมิน ควรประกอบด้วย
- แบบประเมินผลงาน โครงการหรอื โครงงาน·
- แบบทดสอบในลักษณะต่าง ๆ·
- แบบบนั ทกึ ยอ่ ย แบบบันทึกแสดงความรู้สึก· แบบแสดงความคิดเหน็
- แบบบนั ทกึ การสังเกต
- แบบบนั ทึกการสัมภาษณ์
- แบบบันทกึ ของผเู้ รยี น ครู ผู้ปกครองและกลุ่มเพื่อน
- แฟ้มสะสมผลงาน
- หลกั ฐาน ทีแ่ สดงถึงร่องรอยจากการเรียน
๔.ผู้ประเมนิ ควรประกอบดว้ ย
๒๒๗ ลว้ น สายยศ. เทคนคิ การวดั ผลการเรยี นร.ู้ (กรุงเทพ: พมิ พค์ รั้งที่ ๒. ชมรมเดก็ ,๒๕๔๓) . หนา้ ๙-๒๐
๓๐๓
- นกั เรียนประเมินตนเอง
- เพ่อื น/กลุ่มเพ่ือน
- ผู้ปกครอง และผู้ท่เี กีย่ วข้องกับนกั เรยี น
-ครู
กล่าวโดยสรุปการประเมินผลตามสภาพท่ีเป็นจริงเป็นการประเมินผลการ
กระทา การแสดงออกของนักเรียนหลายๆ ด้านตามสภาพความเป็นจริง ทั้งในและนอกห้องเรียนหรือ
สถานที่อ่ืน ๆ นอกโรงเรียน มีลักษณะเป็นการประเมินแบบไม่เป็นทางการ สามารถกระทาได้ตลอดเวลา
กับทุกสถานการณ์ มีการใช้ข้อมูลและวิธีการท่ีหลากหลายในการประเมิน เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์
การตรวจงาน การรายงานตนเองของนักเรียน บันทึกจากผู้ที่เก่ียวข้องและการประเมินโดยใช้แฟ้มสะสม
ผลงาน เป็นตน้
๖. การสรปุ กิจกรรมการเรยี นการสอน
๑. ผู้สอนจะต้องรู้ว่าบทเรียนจะจบลงในลักษณะอย่างไร เพื่อจะได้สรุปบทเรียนได้ ถูกต้อง
ดว้ ยวิธกี ารทีเ่ หมาะสม
๒. ผู้สอนจะต้องรู้ว่าใจความสาคัญของเรื่องน้ันมีอะไรบ้าง เพ่ือจะได้สรุปบทเรียนได้ถูกต้อง
และครอบคลมุ
๓. ผู้สอนจะต้องครุ่นคิดว่าจะสรุปเร่ืองท่ีผู้เรียนได้เรียนมาแล้วกับส่ิงที่จะสอนให้ใหม่ให้เข้า
ดว้ ยกนั ได้อย่างไร
๔. การสรุปบทเรียนจะตอ้ งน่าสนใจ เช่น การใช้ความรู้ที่เรียนมาคิดเก่ียวกับการนาไปแก้ปัญหา
ทพี่ บใหม่
๕. พยายามชี้ให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิม ส่ิงท่ีเพ่ิงเรียนจบไป การนาไป
ประยุกตใ์ ช้ และส่งิ ท่จี ะเรยี นต่อไปในอนาคต
๖. ผู้สอนสรุปเรื่องหรือใจความสาคัญเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างถูกต้องและ
สมบรู ณ์ข้นึ (cognitive closure) ตลอดจนเปน็ การเช่ือมความรู้เก่ากับใหม่เขา้ ดว้ ยกัน
๗. สรุปแนวความคิดของผูเ้ รยี นเกี่ยวกบั การเรยี น (Social Closure) ในแง่ที่เก่ียวกบั ความสาเร็จ
ในการเรียน ตลอดจนปัญหาหรืออุปสรรคท่ีประสบในการเรียนเพ่ือจะได้เป็นแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษา
คน้ คว้าตอ่ ไป
๘. ผู้สอนอาจดงึ สิง่ ต่าง ๆ ทีด่ จู ะไมเ่ กย่ี วขอ้ งกันให้มาสัมพนั ธ์กัน
๙. ผู้สอนอาจจะให้ผู้เรียนแสดงหรือสาธิตสิ่งที่เรียนไปให้ดู เช่น ผู้สอนสอนเรื่องการต่อ
เซลล์ไฟฟ้า แลว้ ให้เกดิ การสรปุ ในส่งิ ที่เรยี นโดยใหผ้ ู้เรยี นตอ่ วงจรไฟฟา้ ใหด้ ู
๑๐. การสรปุ บทเรยี นไมจ่ าเป็นที่ผ้สู อนจะต้องรอจนสอนเสร็จทั้งหมดจึงค่อยสรุป แต่ผู้สอนอาจ
พิจารณาตามความเหมาะสม เช่น ถ้ามีสาระต่าง ๆ ท่ีค่อนข้างมากและซับซ้อนยากต่อการทาความเข้าใจ
ผู้สอนอาจค่อย ๆ แยกสรุปเป็นตอน ๆ ไป แล้วตอนท้ายจึงนามาสรุปรวมอีกครั้งหนึ่ง การสรุปบทเรียน
๓๐๔
แบบสืบเสาะหาความรู้ควรเป็นบทบาทร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียนในการช่วยกันอภิปรายสรุป
๖.๑ประโยชนข์ องการสรุปบทเรยี น๒๒๘
๑. ประมวลเร่อื งราวท่ีสาคัญ ท่ีได้เรียนไปแลว้ เข้าดว้ ยกัน
๒. เชือ่ มโยงกจิ กรรมการเรยี นการสอนเข้าด้วยกัน
๓. รวบรวมความสนใจของผเู้ รยี นเขา้ ดว้ ยกันอีกคร้งั หน่ึงก่อนทจ่ี ะจบบทเรยี น
๔. สร้างความเขา้ ใจในบทเรียนใหด้ ีข้ึน
๕. ชว่ ยสง่ เสริมความคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรคใ์ ห้กับผ้เู รียน ถ้าผสู้ อนรจู้ กั ให้ผเู้ รยี นคิดตอ่ ไปว่า
จะนาส่ิงทีเ่ รยี นไปประยุกต์ใช้ หรือนาไปใชแ้ ก้ปญั หาได้อยา่ งไรบ้าง
๖.๒ คุณลกั ษณะที่ประเมนิ
๑. ใช้วิธกี ารตา่ ง ๆ ในการสรุปบทเรยี น เช่น ยกตวั อยา่ ง ใช้การอธบิ าย ใชก้ ารถาม
คาถาม ใช้สื่อประกอบ
๒. สรุปบทเรียนโดยการเนน้ จุดสาคัญของเน้ือหา การใช้คาพูด ท่าทางทีช่ ว่ ยให้ผเู้ รยี น
เข้าใจเรอ่ื งราวต่าง ๆ ได้ชดั เจนขึน้
๓. วธิ กี ารจบบทเรยี นนา่ สนใจ
๔. วธิ กี ารสรุปบทเรยี นชว่ ยกระตนุ้ ให้ผ้เู รยี นกลบั มาสนใจในบทเรียนอีกครง้ั หนึง่
๕. มีการเวน้ ระยะเพือ่ ใหผ้ เู้ รียนคดิ และสรปุ บทเรียน
๖. มกี ารสง่ เสรมิ ให้กาลังใจ การใชว้ าจา ท่าทาง สนบั สนุนใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความร้สู กึ ว่า
ประสบความสาเรจ็ ในการสรุปบทเรยี น
๗. การกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นร่วมสรุปเน้ือหา สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นแสดงความคิดเหน็ เพ่ิมเติม
โดยการสนับสนุนหรือขัดแยง้
๘. สรปุ รวบยอดได้ตรงตามจุดมงุ่ หมายของบทเรียน และไดใ้ จความสาคัญของเน้ือหา
๒๒๘ สุวิทย์ มูลคา และอรทยั มูลคา. ๒๑ วิธีจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนากระบวนการคิด. (กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์
ภาพพมิ พ,์ ๒๕๔๓) หน้า ๖๔
๓๐๕
คาถามท้ายบทเรยี น
ตอนท่ี ๑ คาสงั่ ให้ทาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงใน ก ข ค ง เลอื กคาตอบทถี่ กู ตอ้ งเพียงข้อเดียว
๑. สือ่ การเรียนร้หู มายถงึ ข้อใด
ก. เครอื่ งมอื ช่วยถ่ายถอดความรู้
ข. หนงั สอื เรยี น
ค. แผนการเรยี นการสอน
ง. การสอนดา้ นตา่ ง ๆ
๒. สื่อการสอนท่ดี ีมลี ักษณะอย่างไร
ก. สามารถถ่ายทอดความรู้ ทัศนคติ ทักษะและประสบการณ์ไปสู่ผู้เรยี นได้
ข. สามารถช่วยผเู้ รียนเข้าใจเน้อื หา
ค. สามารถึงความสนใจของเรยี นได้
ง. ชว่ ยเพมิ่ ความคลอ่ งตวั ในการใชส้ อน
๓. ข้อใดกลา่ วถูกต้อง
ก. เครอื่ งมือการสอนทุกชนดิ ตอ้ งอยูใ่ นหอ้ งเรียน
ข. ส่ือการเรยี นร้บู างอยา่ งเปน็ เครอื่ งมือการสอน
ค. ส่อื การเรียนรเู้ ปน็ เครอ่ื งมอื ช่วยถ่ายถอดความรู้ ความเข้าใจ ความรูส้ ึก เพิ่มพนู ทักษะ
ง. วัตถุหรอื เครื่องมือการเรยี นการสอนต้องเปน็ ใบงาน
๔. Innovation หมายถึงข้อใด
ก. นวตั กรรม
ข. เศรษฐกจิ
ค. เกษตรกรรม
ง. อุตสาหกรรม
๓๐๖
๕. การประยกุ ตค์ วามรดู้ า้ นวิทยาศาสตรม์ าใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ หมายถึงข้อใด
ก. เทคโนโลยี
ข. สารสนเทศ
ค. ส่ือสารสนเทศ
ง. ส่อื การเรียนการสอน
๖. ลักษณะสาคัญของการประเมินผลตามสภาพท่เี ปน็ จรงิ มีก่ีอย่าง
ก. ๘ อย่าง
ข. ๑๐ อยา่ ง
ค. ๑๒ อยา่ ง
ง. ๑๔ อย่าง
๗. เคร่อื งมือหรือชอ่ งทางสาหรบั ทาใหก้ ารสอนของครูไปถึงผู้เรยี นทาใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ คือข้อใด
ก. สือ่ การสอน
ข. แผนการเรียนการสอน
ค. สือ่ สารสนเทศ
ง. เคร่ืองมือการสอน
๘. สือ่ ชว่ ยกระตนุ้ และสร้างความสนใจใหก้ บั นกั เรยี นได้อย่างไร
ก. ทาให้เกดิ ความสนุกสนาม ไมร่ ูส้ ึกเบื่อหนา่ ย
ข. ทาใหม้ ีส่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นการสอน
ค. ทาใหผ้ ู้เรียนมคี วามคดิ ศรา้ งสรรคจ์ ากการใชส้ ่อื
ง. เป็นสง่ิ แปลกใหม่
๙. การประเมินผลมคี วามสาคัญอยา่ งไร
ก. ทาให้รู้ถึงข้อด้อย ข้อเด่นของแต่ละบคุ คล
ข. การประเมนิ ผลให้ข้อมูลด้านความคืบหน้า ชป้ี ญั หา และข้อขดั ขอ้ งต่าง ๆ เพ่ือพฒั นาและแก้ไข
ค. การประเมินผลเป็นสว่ นหน่ึงของการเรยี นการสอน
ง. การประเมินผลชว่ ยกระตนุ้ ให้ผสู้ อน พัฒนาตนเองอยู่เสมอ
๑๐. ประโยชน์ของสอื่ การเรยี นการสอน คือข้อใด
ก. ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนร้อู ย่างมีประสิทธิภาพ
ข. ชว่ ยใหส้ ามารถเขา้ ใจเน้ือหา
ค. ชว่ ยใหส้ ามารถเอาชนะขอ้ จากดั ต่าง ๆ
ง. ชว่ ยใหก้ ารเรยี นการสอนไมเ่ กิดการเบ่ือหนา่ ย
๓๐๗
ตอนที่ ๒ ให้เติมคาลงในช่องว่างใหข้ ้อความสมบรู ณ์และได้ใจความ
๑.สื่อการเรยี นการสอนท่ีดีต้องคานงึ ถึง
................................................................................................................
๒. Authentic Assessment คือ
........................................................................................................................
๓.เคร่อื งมือ หรอื ช่องทางสาหรับทาให้การสอนของครูไปถงึ ผเู้ รยี น และทาใหผ้ ู้เรียนเรียนรูต้ ามจุดประสงค์
................................................................................................................... ...................................................
.......๔. Instruction Media คือ
............................................................................................................................. .........................................
.......
๕.สื่ออการสอนหมายถึง
............................................................................................................................. .........................................
.......
......................................................................................................................................................................
.......
๖. Educational Innovation คอื
................................................................................................................. ....
๗. การนาสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด หรือ ส่งิ ประดษิ ฐ์ใหม่ ๆ ทีย่ ังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรอื เปน็ การ
พฒั นาดัดแปลงจากของเดิมท่ีมอี ยูแ่ ล้วให้ทนั สมัย คือ
.....................................................................................................
๘. การรวบรวมข้อมลู ทเี่ กยี่ วกบั ผลของการดาเนินงาน เพ่ือนามาเปรียบเทยี บ กบั วตั ถปุ ระสงค์ท่ีต้ังไว้ว่า
ได้ผลตามท่ีกาหนดไว้ คือ
............................................................................................................................. .................๙.การทดสอบ
ว่าผเู้ รียนเขา้ ใจในสง่ิ ท่ีเรียนไปถกู ต้องมากนอ้ ยเพียงใด และบรรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์ท่ตี ั้งไวห้ รอื ไม่ เปน็ การ
ประเมินขน้ั
............................................................................................................................. .........................................
.......
๑๐.นวัตกรรมแบง่ ออกเป็น......................ระยะ คอื
.............................................................................................
๓๐๘
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................................
..............
ตอนที่ ๓ จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ใหเ้ ข้าใจและไดค้ วามหมาย ๕ ข้อ
๑.สื่อการสอนหมายถึงอะไร ? มคี วามสาคัญต่อผ้เู รียน อย่างไร จงอธบิ าย ?
๒.สื่อการเรียนการสอน มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร ?
๓.สือ่ การสอนมีคณุ สมบตั ิพิเศษก่ปี ระการ อะไรบ้าง จงอธบิ าย ?
๔.นวตั กรรมทางการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึงอะไร ? มีก่รี ะยะ ?
๕.ลักษณะสาคัญของการประเมนิ ผลตามสภาพที่เปน็ จรงิ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
เฉลย ๘.ก ๙.ข ๑๐.ก
๑.ก ๒.ก ๓.ค ๔.ก ๕.ก ๖.ค ๗.ก
เฉลย คาถามแบบเตมิ คา
๑. ส่อื การเรียนการสอนทดี่ ตี ้องคานึงถึง....................................จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
........................................
๒. Authentic Assessment คือ ....................................การประเมนิ ผลตามสภาพทีเ่ ป็นจรงิ
............................
๓.เครือ่ งมือ หรือชอ่ งทางสาหรับทาให้การสอนของครูไปถึงผู้เรยี น และทาใหผ้ ู้เรยี นเรยี นรูต้ ามจดุ ประสงค์
..............................................ส่อื การสอน
.............................................................................................................
๔. Instruction Media คอื ................................................ส่อื การสอน
..............................................................
๕.สื่อการสอน หมายถึง ............................เคร่ืองมือ หรอื ช่องทางสาหรบั ทาให้ การสอนของครูไปถงึ
ผเู้ รยี น และทาใหผ้ ู้เรียนเรียนรู้ตามจุดประสงค์ หรือ จดุ มุ่งหมายท่วี างไวเ้ ปน็ อย่างดี
......................................................
๖.Educational Innovation คือนวัตกรรมทางการศกึ ษา.......................................................
.........................
๗. การนาส่งิ ใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคดิ หรอื ส่ิงประดษิ ฐ์ใหม่ ๆ ทยี่ ังไม่เคยมใี ชม้ าก่อน หรอื เป็นการ
พัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยูแ่ ลว้ ใหท้ ันสมัย คอื ...........................นวตั กรรม
..............................................
๘.. การรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเก่ียวกับผลของการดาเนินงาน เพื่อนามาเปรียบเทียบ กับวตั ถุประสงค์ทต่ี ั้งไว้วา่
ไดผ้ ลตามท่ีกาหนด คือ................................................การประเมินผล
.........................................................................
๓๐๙
๙.การทดสอบว่าผู้เรยี นเขา้ ใจในสง่ิ ทเี่ รียนไปถูกต้องมากน้อยเพียงใด และบรรลตุ ามวัตถุประสงคท์ ตี่ ้ังไว้
หรือไม่ เป็นการประเมนิ ขั้น...........................................ประเมินผเู้ รียน
............................................................................
๑๐. นวตั กรรมแบ่งออกเปน็ ................. ๓ ระยะ..................... คือ ๑.ระยะประดิษฐ์คิดคน้ ๒.ระยะ
พัฒนาการ ๓.ระยะการนาเอาไปปฏบิ ตั ิในสถานการณท์ ่ัวไป
................................................................................................
เฉลยคาถามแบบอัตนยั
๑.ส่อื การสอนหมายถงึ อะไร ? มีความสาคัญต่อผู้เรยี น อย่างไร จงอธบิ าย ?
ตอบ สื่อการสอน (Instructional Media) หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ท่ีใช้เป็นเคร่ืองมือ หรือช่องทาง
สาหรบั ทาให้การสอนของครูไปถงึ ผูเ้ รยี น และทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามจุดประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่วางไว้
เป็นอย่างดี สื่อที่ใช้ในการสอนน้ี อาจจะเป็นวัตถุส่ิงของท่ีมีตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ เช่น - วัตถุสิ่งของ
ตามธรรมชาติ - ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ - วัตถุสิ่งของที่คิดประดิษฐ์หรือสร้างข้ึนสาหรับการสอน -
คาพูดท่าทาง - วัสดุ และเคร่อื งมือส่ือสาร - กจิ กรรมหรอื กระบวนการถ่ายทอดความรูต้ ่าง ๆ
สอื่ มคี วามสาคญั กับผูเ้ รยี น ดังน้ี
๑.เป็นสิ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเนื้อหา
บทเรียนท่ียุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นในระยะเวลาอันส้ัน และสามารถช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดในเรื่อง
นนั้ ได้อย่างถกู ต้องและรวดเรว็
๒.ส่ือจะช่วยกระตุ้นและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน ทาให้เกิดความสนุกสนานและไม่รู้สึกเบ่ือ
หน่ายการเรยี น
๓.การใชส้ ื่อจะทาใหผ้ ูเ้ รียนมคี วามเขา้ ใจตรงกนั และเกิดประสบการณร์ ว่ มกันในวชิ าที่เรยี นน้ัน
๔.ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากข้ึน ทาให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีใน
ระหว่างผู้เรยี นด้วยกนั เองและกับผสู้ อนด้วย
๕.ชว่ ยสร้างเสริมลักษณะทดี่ ีในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
จากการใช้สื่อเหล่านน้ั
๖.ช่วยแก้ปัญหาเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยการจัดให้มีการใช้ส่ือในการศึกษา
รายบคุ คล
๒.สือ่ การเรียนการสอน มีประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ ช่วยให้ผูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรูอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ ได้แก่
๑. เรียนรไู้ ดด้ ขี ้ึนจากประสบการณท์ มี่ คี วามหมายในรปู แบบตา่ ง ๆ
๒. เรียนรู้ได้อยา่ งถูกตอ้ ง
๓. เรียนรู้ไดง้ ่ายและเข้าใจได้ชดั เจน
๓๑๐
๔. เรียนรไู้ ด้มากข้ึน
๕. เรียนรู้ไดใ้ นเวลาทจี่ ากัด
๓.สื่อการสอนมคี ณุ สมบตั ิพิเศษก่ีประการ อะไรบ้าง จงอธิบาย ?
ตอบ ส่ือการสอนมีคณุ สมบัตพิ เิ ศษ ๓ ประการ คือ
๑. สามารถจดั ยึดประสบการณก์ ิจกรรมและการกระทาต่าง ๆ ไว้ได้อย่างคงทนถาวร ไม่
ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในอดีตหรือปัจจุบัน ท้ังใน ลักษณะของรูปภาพ เสียง และสัญลักษณ์ต่าง ๆ สามารถ
นาไปใชไ้ ด้ตาม ความตอ้ งการ
๒. สามารถจัดแจงจัดการและปรุงแต่งประสบการณ์ต่าง ๆ ให้ใช้ได้สอดคล้องกับ
วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน เพราะส่ือ การสอนบางชนิด สามารถใช้เทคนิคพิเศษเพ่ือเอาชนะ
ข้อจากัดในด้าน ขนาด ระยะทาง เวลา และความเป็นนามธรรมของประสบการณ์ตาม ธรรมชาติได้
คณุ สมบัตขิ องสื่อการสอน
๓. สามารถแจกจ่ายและขยายของข่าวสารออกเป็น หลาย ๆ ฉบับเพ่ือเผยแพร่สู่คน
จานวนมาก และสามารถใช้ซ้า ๆ ได้ หลาย ๆ คร้ัง ทาให้สามารถแก้ปัญหาในด้านการเรียนการสอน ต่าง
ๆ ท้งั การศึกษาในระบบโรงเรยี นและนอกระบบโรงเรียน คุณสมบัตขิ องส่ือการสอน
๔.นวตั กรรมทางการศกึ ษา (Educational Innovation) หมายถงึ อะไร ? มกี รี่ ะยะ ?
ตอบ หมายถึง การนาเอาส่ิงใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิด หรือการกระทา รวมทั้ง
สิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิม ให้ระบบการจัด
การศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทาให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการ
เรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ
(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอนิ เตอร์เนต็ เหล่าน้เี ป็นตน้
นวตั กรรม แบง่ ออกเปน็ ๓ ระยะ คอื
- ระยะท่ี ๑ มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับ
กาลสมัย
- ระยะที่ ๒ พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทาอยู่ในลักษณะของ
โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)
- ระยะที่ ๓ การนาเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซงึ่ จดั วา่ เปน็ นวัตกรรมขั้นสมบูรณ์
หลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาว่าสิ่งใดคอื นวตั กรรม
๑. เป็นส่งิ ใหมท่ ้ังหมดหรอื บางส่วน
๒. มีการนาวิธีการจัดระบบ (System Approach) มาใช้พิจารณาองค์ประกอบท้ังส่วนข้อมูลที่
ใช้เขา้ ไปในกระบวนการและผลลพั ธ์ใหเ้ หมาะสมกอ่ นทีจ่ ะทาการเปล่ียนแปลง
๓. มีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยหรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่าจะช่วยให้ดาเนินงานบางอย่างมี
ประสิทธภิ าพสงู ข้นึ
๔. ยงั ไม่เป็นสว่ นหนึง่ ในระบบงานปจั จุบนั
๕.ลักษณะสาคัญของการประเมินผลตามสภาพที่เปน็ จริง มีก่ีอย่าง ? อะไรบา้ ง ?
ตอบ ลกั ษณะสาคญั ของการประเมนิ ผลตามสภาพทเ่ี ปน็ จริง มีดงั น้ี
๑. ตอ้ งเสรมิ สร้างพฒั นาการและการเรยี นรู้ของผูเ้ รียน
๒. เน้นให้เหน็ พฒั นาการอย่างเด่นชัด
๓๑๑
๓. ใหค้ วามสาคัญกับจุดเดน่ ของผ้เู รียน
๔. ตอ้ งตอบสนองกบั หลักสูตรทีม่ งุ่ เน้นผลการเรยี นรตู้ ามสภาพท่เี ป็นจริง
๕. มพี นื้ ฐานของสถานการณ์ทเี่ ป็นชีวติ จริง
๖. มีพนื้ ฐานบนการแสดงออกจรงิ
๗. สอดคล้องกับการเรยี นการสอนเพื่อการเรียนรู้ทีเ่ ปน็ จรงิ
๘. มกี ารจัดการเรียนการสอนโดยมีการวิจัยและพัฒนาทสี่ อดคลอ้ งกับพฒั นาการเด็ก
๙. ตอ้ งเนน้ การเรยี นรอู้ ย่างมีความหมาย
๑๐. ตอบสนองได้กบั ทุกบริบท และเน้อื หาสาระ
๑๑. ตอบสนองการเรียนรแู้ ละความสามารถของนักเรียนอย่างกวา้ งขวาง
๑๒. เกิดความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครอง ผ้สู อนและผู้เรียน รวมท้งั บคุ คลในวิชาชีพอื่น ๆ
บรรณานุกรม
๓๑๒
กระทรวงศึกษาธกิ าร, คู่มอื พัฒนาส่ือการเรยี นรู้. เอกสารพัฒนาตนเอง ชุดการจัดทาหลักสตู ร
สถานศึกษา. ม.ป.ท : กระทรวง, ม.ป.ป.
กิดานันท์ มลทิ อง. เทคโนโลยีและการส่ือสารเพื่อการศึกษา. กรงุ เทพ ฯ : อรุณการพมิ พ์, ๒๕๔๘
กหู ารง บซู าแล. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ(ออนไลน)์ .
https://sites.google.com/site/loryeng๒/khwam-hmay-khxng-thekhnoloyi-sarsnthes.
(ม.ป.ป.). สบื คน้ เม่ือ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑.
จนิ ตวีร์ คล้ายสังข.์ การผลติ ละใชส้ อื่ อยา่ งเป็นระบบ เพื่อการเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี ๒๑. กรุงเทพ ฯ : โรง
พิมพ์จฬุ าลงกรณมหาวิทยายาลยั , ๒๕๖๐.
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. การเลือกใชส้ ื่อการเรยี นการสอน (ค.ศ.๒๐๑๖).
https://nattarikablog.wordpress.com. สืบคน้ เมือ่ วนั ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๑
ถวลั ย์ มาศจรสิ และเชาวฤทธ์ิ จงเกษกรณ.์ นวัตกรรมการศึกษาชุด. การนเิ ทศเพอื่ การปฏริ ปู การศึกษา
และพัฒนาการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาการเรียนรผู้ ้เู รยี นและการจัดทาผงานทางวชิ าการของ
ขา้ ราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ฯ . กรงุ เทพ ฯ : ธารอักษา, ๒๕๔๗.
ธานนิ ทร์ ระหารนอก. นวตั กรรมสมัยใหม่(ออนไลน)์ . http://thanin๑๖.blogspot.com/๒๐๑๕/๑๑/
innovation-innovate-inovare-in-innovare.html สืบค้นเมือ่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑.
ไพฑรู ย์ มะณู . ความหมายของสื่อการสอน (ออนไลน)์ . สืบค้นจาก :
https://www.gotoknow.org/posts/๒๓๑๔๑๕ . ๒๐ มกราคม ๒๕๖๑
ล้วน สายยศ. เทคนคิ การวดั ผลการเรียนร้.ู กรงุ เทพ: พิมพ์ครง้ั ท่ี ๒. ชมรมเดก็ ,๒๕๔๓.
วรวทิ ย์ นิเทศศลิ ป์. สื่อและนวัตกรรมแห่งการเรียนร.ู้ ปทุมธานี : สกายบ๊กุ ส์, ๒๕๕๑.
สวุ ทิ ย์ มูลคา และอรทัย มูลคา. ๒๑ วิธจี ดั การเรยี นรู้ เพือ่ พฒั นากระบวนการคิด. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์
ภาพพมิ พ์, ๒๕๔๓.
เอกวทิ ย์ แกว้ ประดิษฐ์. การวจิ ยั เทคโนโลยีการศกึ ษา. พิมพค์ รง้ั ที่ ๓, กรงุ เทพ ฯ : สวุ รี ยิ าสาส์น,๒๕๓๗.
เอกรนิ ทร์ สมี่ หาศาล และ สุปรารถนา ยุกตะนันท์. การออกแบบเครื่องมือวดั ผลและประเมนิ ผลตาม
สภาพจริง. กรุงเทพ ฯ : บริษทั บ๊คุ พอยท์ จากดั , ๒๕๔๖.
บรรณานกุ รม
ชนาธปิ พรกลุ . การออกแบบการสอน. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑.
ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอน. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๗.
------------------. ๑๔ วธิ สี อนสาหรบั ครมู ืออาชีพ. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
นริ มล ศตวุฒิและคณะ. หลกั สตู รและวธิ สี อนทั่วไป. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง, ๒๕๔๒.
บรู ชยั ศริ ิมหาสาคร. แผนการจัดการเรียนรทู้ ่เี น้นผู้เรยี นเป็นศนู ยก์ ลาง. กรงุ เทพฯ: บุ๊คพอยท์,
๒๕๔๗.
พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: สกายบุ๊กส. ๒๕๔๒.
พิมพันธ์ เดชะคุปต์. การเรยี นการสอนที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั : แนวคดิ วิธแี ละเทคนคิ การสอน
๑- ๒.กรุงเทพฯ : เดอะมาสเตอรก์ รปุ๊ แมเนจเม้น, ๒๕๔๔.
ไพฑูรย์ สนิ ลารัตน.์ หลกั และวิธีการสอนระดบั อดุ มศึกษา. กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.,๒๕๒๔.
ภิญโญ สาธร. หลกั บรหิ ารการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: วัฒนาพาณิช, ๒๕๑๖.
รบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา, สานักงาน. กรอบแนวทางการประเมินคณุ ภาพ
ภายนอกระดับอดุ มศกึ ษา. กรุงเทพฯ: สานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ
คณุ ภาพการศึกษา, ๒๕๔๖.
วชิ ยั วงษ์ใหญ.่ พฒั นาหลกั สูตรและการสอน-มติ ิใหม.่ พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๓. กรงุ เทพฯ: ธเนศวรพิมพ์,
๒๕๒๕.
-----------------. กระบวนการพัฒนาหลกั สูตรและการเรียนการสอน-ภาคปฏบิ ัต.ิ กรุงเทพฯ:
สวุ รี ยิ าสาสน์ พิมพ์, ๒๕๓๗.
วิชยั ดิสสระ. การพฒั นาหลกั สตู รและการสอน. กรุงเทพฯ: ภาควชิ าหลักสตู รและการสอน
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรนี ทรวโิ รฒ ประสานมิตร, ๒๕๓๕.
วัฒนาพร ระงบั ทุกข์. แผนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเป็นสาคญั . กรุงเทพฯ : (มปท), ๒๕๔๒. (เอกสาร
อดั สาเนา)
สมหวัง พธิ ยิ านุวัฒน.์ วิธวี ิทยาการประเมนิ ทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย,
๒๕๔๑.
สนั ต์ ธรรมบารงุ . หลักสูตรและการบรหิ ารหลกั สูตร. กรงุ เทพฯ: ภาคพฒั นาตาราและเอกสาร
วชิ าการกรมการฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๒๗.
สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. มหาวิทยาลัย. แนวการศึกษาชุดวิชาการพฒั นาหลักสตู รและวทิ ยวธิ ีทางการ
สอนหนว่ ยท่ี ๑-๗. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๓๙.
สุวิทย์ มลู คาและอรทัย มลู คา. เทคนิคแหง่ ความสาเรจ็ เรยี นร้สู คู่ รูมอื อาชีพ. กรงุ เทพฯ : ดวงกมล
สมัย,๒๕๔๔.
--------------. ๒๑ วิธีการจดั การเรยี นรู้: เพื่อพัฒนากระบวนการคดิ . พิมพค์ ร้ังท่ี ๗. กรุงเทพฯ:
ภาพการพิมพ์, ๒๕๔๕.
สพุ นิ บุญชวู งศ์. หลักการสอน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาหลกั สูตรการสอน คณะครุศาสตร์ ราชภัฏ
ดสุ ิต, ๒๕๓๘.
สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต.ิ แผนการพฒั นาการศกึ ษาแห่งชาติ ฉบบั ที่ ๘ พ.ศ.
๒๕๔๐-๒๕๔๔. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์พัฒนาหลักสตู ร จากัด.[ม.ป.ป.].
สาลี รักสุทธี และคณะ. แนวทางการศกึ ษาจดั ทาหลกั สูตรสถานศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: พ.ศ.พฒั นา,
๒๕๔๕.,๒๕๔๗. (เอกสารอดั สาเนา).
อาภรณ์ ใจเท่ียง. หลักการสอน. พิมพ์คร้งั ท๔่ี . กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร,์ ๒๕๕๐.
Trmp J. and Delmas F. Miller. Secondary Curriculum Improvement : Proposals
and Procedures. Boston: Allyn and Bacon, ๑๙๖๘.
Taba, Hilda. Curriculum Development : Theory and Practice. New York: Harcourt
Brace and World, ๑๙๖๒.
***************************
ประวตั ิผู้รวบรวม
ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช
Asst.Prof.ANUSORN NANGTHARAT
วนั /เดอื น/ปี เกิด วันท่ี ๙ เดือน มถิ นุ ายน พ.ศ.๒๕๐๓ อายุ ๕๕ ปี
ภมู ิลาเนาเดมิ
ท่อี ยู่ปัจจบุ ัน บ้านหนองโน หม่ทู ี่ ๘ ต.นาหวา้ อ.ภเู วียง จ.ขอนแกน่ ๔๒๑๐๐
ประวัติการศกึ ษา
เลขที่ ๙ บ้านโคกเปีย้ หมู่ที่ ๙ ตาบลบา้ นค้อ อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ประสบการณ์การ
ทางาน ๔๐๐๐๐ โทรศัพท์มือถือ ๐๙๓๓๕๗๙๔๓๑, ๐๙๐๓๔๓๗๔๙๕
ประวตั กิ ารทางาน
- พ.ศ.๒๕๑๒ ประถมศึกษา ชน้ั ปีท่ี ๔ (ป.๔) โรงเรียนบ้านโนนอุดม ตาบลนาหว้า
ประสบการณ์
บรรยาย อาเภอภูเวยี ง จงั หวัดขอนแก่น
- พ.ศ.๒๕๑๘ นกั ธรรมช้นั เอก (น.ธ.เอก) สานักเรยี นวัดศรีบุญเรือง ตาบลบา้ นเรือ
อาเภอภเู วียง จงั หวดั ขอนแกน่
- พ.ศ.๒๕๒๐ เปรยี ญธรรม ๓ ประโยค (ป.ธ.๓) สานักเรียนวัดธาตุ เมอื งเกา่
อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น
- พ.ศ.๒๕๒๓ มธั ยมศกึ ษา ปีท่ี ๓ (ม.ศ.๓) โรงเรียนบาลีอบรมศกึ ษาวัดสระเกศ
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั กรงุ เทพมหานคร
- พ.ศ.๒๕๒๔ เปรยี ญธรรม ๔ ประโยค(ป.ธ.๔)วดั ยานนาวา กรุงเทพมหานคร
- พ.ศ.๒๕๒๗ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ (ม.๖) ศนู ย์การศึกษานอกโรงเรียนขอนแกน่
อาเภอเมอื ง จังหวัดขอนแก่น ๔๐๐๐๐
- พ.ศ.๒๕๓๗ ครุศาสตรบณั ฑิต ค.บ.(การประถมศึกษา)วิทยาลยั ครูเลย จังหวดั เลย
- พ.ศ.๒๕๔๘ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ ศษ.ม.(หลกั สตู รและการสอน)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ จังหวัดขอนแก่น
- พ.ศ.๒๕๒๕ พนกั งานเกบ็ เงิน/คนงาน โรงงานแกส็ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
- พ.ศ.๒๕๒๖ ครูโรงเรยี นสหกิจศึกษา ตาบลในเมืองอาเภอเมือง จงั หวัดอดุ รธานี
- ตาแหน่ง อาจารย์ ประจาสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
- ตาแหน่ง หัวหน้าสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน (วิทยาลัยสงฆ์เลย)
- ตาแหน่ง อาจารย์
- ตาแหน่ง หัวหน้าสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
- ตาแหน่ง อาจารย์
- ตาแหน่ง ปัจจุบัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์/ประธานหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาสังคมศึกษา
เคยบรรยายวิชา
- วิชาการศึกษาคณะสงฆ์ไทย - วิชาศาสตร์การสอน
- วิชาหลักสูตรและการจัดสาระวิชาพระพุทธศาสนา
- วิชาวิจัยสังคมศึกษา - วิชาเศรษฐศาสตร์สาหรับครู
- วิชาภาษาไทยเบ้ืองต้น(สาหรับนิสิตต่างประเทศ)
บรรยายประจาวิชา
- วิชาเทคนิคการศึกษาระดับอุดมศึกษา - วิชาการพัฒนาหลักสูตร
- วิชาการจัดการเรียนรู้ - วิชาความเป็นครูวิชาชีพ
- วิชาหลักสูตรสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม - วิชาการสอนสังคมศึกษา
การศึกษาดูงาน - ๒๕๔๖ ท่ี มหาวิทยาลัยปกั กิ่ง-โรงเรียนมัธยมมง่ิ เออ ประเทศจีน
- ๒๕๔๘ ท่ี มหาวทิ ยาลยั โดนดก(มหาวิทยาลัยแห่งชาต)ิ ประเทศลาว
- ๒๕๕๑ ที่ มหาวทิ ยาสงฆ์ พนมเปน,นครวัด-นครธม ประเทศกมั พชู า
- ๒๕๕๔ ท่ี วทิ ยาลัยองค์ตน้ื ,ม.สภุ าณวุ งษ์ หลวงพระบาง ประเทศลาว
- ๒๕๕๔ ที่ มหาวทิ ยาลยั ดองอา เมืองเว้-ดาดงั ประเทศเวยี ดนาม
- ๒๕๕๕ ท่ี มหาวทิ ยาเซกิ(SEGI UNIVERSITY) ประเทศมาเลเชีย
- ๒๕๕๖ ท่ี มหาวทิ ยาลัยแหง่ ชาตลิ าว,มหาวทิ ยาลัยสภุ าณุวงศ์ ประเทศลาว
- ๒๕๕๗ ที่ วดั ไปห๋ มา่ ซ่ือ ลว่ั หยาง มณฑลเหอหนาน ประเทศจนี
(ลงชื่อ)......................................................
(........................................................)
........./..................../..........