๙๖
๓. เพสลอสซมี ีความเชื่อวา่ …………………………………….
๔. เพสตาลอสซเี ชื่อว่าการใช้ของจรงิ เปน็ ส่ือในการสอน………………………..
๕. ฟรอเบลเชื่อวา่ ………………………………………
๖. จอหน์ ล็อค เชือ่ วา่ คนเราเกิดมาพร้อมกบั จติ หรือสมองที่ว่างเปล่าเพราะ…………………………..
๗. ทิชเชเนอรม์ คี วามเหน็ เช่นเดียวกบั วนุ ด์ วา่ ………………………….
๘. กฏแห่งสมรรถภาพในการตอบสนองคอื ………………………………..
๙. กฏแหง่ การลาดบั นิสยั คือ…………………………..
๑๐. ทฤษฎีการเรียนรู้ของรอเจอร์ส คอื …………………………………
เฉลย
ปรนัย ๑๐ ขอ้
๑. ข
๒. ก
๓. ข
๔. ง
๕. ข
๖. ค
๗. ค
๘. ก
๙. ค
๑๐. ก
๙๗
เฉลยอตั นยั ๕ ข้อ
๑. ตอบ ๑. กลุม่ ท่ีเช่ือในพระเจ้านักคดิ ท่สี าคัญของกลุ่มน้ันคือ เซนต์ออลุสติน จอห์น คาลวินและ
ครสิ เตียน โรลน์ ๒. กลุ่มที่เช่ือในความมีเหตุผลของมนุษย์นักคิดคนสาคัญในกลุ่มนี้คือพลาโต
อรศิ โต เตลิ
๒. ตอบ ๑. เกี่ยวกับความดีการกระทาการกระตุ้นในตัวมนุษย์เอง ๒. ธรรมชาติของมนุษย์มีความ
กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ๓. เชื่อว่าเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ ๔. ธรรมชาติคือแหล่งความรู้
สาคัญเด็กควรจะไดเ้ รยี นร้ไู ปตามธรรมชาติ
๓. ตอบ กลุ่มน้ีมองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะท่ีเน้นกลางคือไม่ดีไม่เลวการกระทาต่างๆของ
มนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอกพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อ
ส่ิงเรา้
๔. ตอบ ๑. การเรยี นรจู้ ะเกิดขึ้นไดด้ ถี ้าผู้เรียนมีความพร้อมท้ังร่างกายและจิตใจ ๒. กฏแห่งการ
ฝึดหัดหรือกระทาบ่อยๆ
๕. ตอบ การพฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ต่อสิ่งเร้าที่เช่ือมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติจะ
ลดลงและหยดุ ไปเมื่อไมไ่ ด้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ
เฉลยเติมคา ๑๐ ขอ้
๑. รสุ โซ ฟรอเบล
๒. เดก็ มสี ภาวะของเดก็ ซงึ่ แตกตา่ งไปจากวยั อ่ืน
๓. คนมีธรรมชาตปิ ระกนั 3 ลกั ษณะ
๔. จะชว่ ยใหเ้ ดก็ เรยี นรู้ไดด้ ี
๕. การเล่นเป็นการเรียนรู้ของเด็ก
๖. การเรยี นรเู้ กิดจากการที่บุคคลได้รับประสบการณ์
๗. สว่ นประกอบของจติ อีก1สว่ นไดแ้ ก่จติ นาการ
๘. ถ้ารา่ งกายเม่ือยลา้ การเรียนรู้จะลดลง
๙. เม่ือมสี ่งิ เร้ามากระตุ้นแตล่ ะคนจะมีการตอบสนอง
๑๐. การจดั บรรยากาศการเรียนทีผ่ อ่ นคลายและเอ้ือต่อการเรียนรู้
บทที่ ๔
การจัดการเรียนรูแ้ ละสง่ิ แวดล้อมเพ่อื การเรียนรู้
หลักการและเหตผุ ล
การจัดการเรยี นรู้ คือ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมท่ีค่อนขา้ งถาวร สืบเนื่องมาจากประสบการณ์และ
การฝึกหัด เปน็ กระบวนการเกิดขึน้ อย่างต่อเนือ่ งและมคี วามสมั พนั ธก์ นั แบง่ เป็น ๕ ข้ันตอนคือ สิ่งเรา้ การ
สมั ผสั การรบั รู้ มโนราห์และการตอบสนอง องคป์ ระกอบที่สาคญั ต่อการรบั รมู้ ีทางกาย ทางจติ ใจ และด้าน
สงั คม การจัดการเรยี นรูเปรยี บเสมอื นเครื่องมือทส่ี งเสริมใหผูเรียนรกั การเรยี น ตงั้ ใจเรียน และเกดิ การเรียน
รขู ้ึน การเรียนของผูเรยี นจะไปสูจดุ หมายปลายทาง คือ ความสาเรจ็ ในชวี ิต หรือไมเพียงใดน้ัน ยอมข้นึ อยูกับ
การจัดการเรียนรูที่ดขี องผูสอน หรอื ผูสอนดวยเชนกัน หากผูสอนรูจักเลือกใชวธิ กี ารจัดการเรยี นรูท่ีดแี ละ
เหมาะสมแลว ยอมจะมผี ลดีตอการเรียน ของผูเรียนดงั น้ีคอื มีความรูและความเขาใจในเน้ือหาวิชา หรือ
กจิ กรรมทเี่ รียนรู เกิดทักษะหรอื มีความชานาญในเนื้อหาวิชาหรอื กจิ กรรมท่ีเรียนรู เกิดทัศนคตทิ ี่ดีตอสิง่ ท่ี
เรยี น สามารถนาความรูที่ไดไปประยุกตใชในชีวติ ประจาวันได สามารถนาความรูไปศกึ ษาหาความรูเพิ่ม
เติมตอไปอีกได อนึ่ง การท่ผี ูสอนจะสงเสริมใหผูเรียนมคี วามเจริญงอกงามในทุกๆ ดานท้ังทางดาน รางกาย
อารมณสงั คม และสติปญญานน้ั การสงเสริมทดี่ ีทส่ี ดุ ก็คือการใหการศึกษา ซ่ึงจากที่กลาวมาจะเห็นไดวาการ
จดั การเรยี นรูเปนสง่ิ สาคัญในการใหการศึกษาแกผูเรยี นเปนอยางมาก
ส่ิงแวดลอ้ ม หมายถึง สิ่งแวดลอ้ มทงั้ กายภาพและไม่ใช่การภาพในสถานศึกษา และในห้องเรียน ซึ่ง
หมายรวมถึง เงื่อนไข สถานการณ์ หรือสภาพการท่ีมีผลต่อการเรียนรู้ แหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เอ้ือต่อการ
สนับสนนุ การเรียนรู้ และการนาาวิทยาการไปใช้ในการเรยี นการสอน ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
ผ้สู อน ผบู้ ริหาร การจดั สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (LearningEnvironment) มีความหมายวา่ ส่ิงต่างๆสภาวะ
แวดล้อมท่ีอยู่ รอบ ๆ ตัวผูเ้ รยี น ท้งั ที่เป็นรปู ธรรมและนามธรรม ส่งผลตอ่ ผู้เรียนทัง้ ทางบวกและทางลบ และ
มีผลกระทบต่อ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ห้องเรียนที่ถูกสุขลักษณะ มีสิ่ง
อานวยความสะดวกท่ีมี คุณภาพเหมาะสมและสนับสนุนการเรียนรู้มีบรรยากาศในการเรียนที่ดีก็จะส่งผล
ทางบวกต่อผู้เรียนทาาให้ผเู้ รียนเรยี นรู้อย่างมีความสุขมคี วามต้ังใจและกระตือรอื ร้นในการเรียน
เนือ้ หายอ่ ย
๑. การใชศ้ าสตรแ์ ละศลิ ปใ์ นการสอน
๑.๑. ความร้หู รือสง่ิ ท่จี ะจัดเป็นศาสตร์
๑.๒. ประเภทของศาสตร์
๑.๓. เปาู หมายของศาสตร์
๑.๔. ความหมายของศาสตร์
๑.๕. ลกั ษณะของศาสตร์
๑.๖. ศิลป์
๑.๗. ความหมาย ความสาคญั ขององคป์ ระกอบศลิ ป์
๑.๘. องค์ประกอบพืน้ ฐานดา้ นนามธรรมของศลิ ปะ
๑๐๑
๑.๙. องคป์ ระกอบพ้ืนฐานดา้ นรปู ธรรมของศลิ ปะองค์ประกอบพน้ื ฐาน
๑.๑๐. สรปุ
๒. วธิ กี ารเลือกรปู แบบการสอน
๒.๑. ระบบการสอนของคลอสเมยี ร์และรปิ เปลิ
๒.๒. ระบบการสอนของเคมพ์
๒.๓. ระบบการสอนของบราวน์ และคณะ
๒.๔. ระบบการสอนของเกอร์ลคั และอีไล
๒.๕. ระบบการสอนของสงดั อทุ รานันท์
๓. ลกั ษณะการสอนทดี่ ี
๓.๑. คุณลักษณะการสอนท่ดี ี
๔. รูปแบบและวิธีการสอนแบบต่างๆ
๔.๑. ความหมายของวธิ สี อน
๔.๒. ประเภทของวิธีสอน
๔.๓. วธิ ีสอนแบบครเู ปน็ ศนู ย์กลาง
๔.๔. วธิ สี อนแบบนักเรยี นเป็นศูนยก์ ลาง
๕. หลักการ ความหมายของส่ิงแวดลอ้ มเพื่อการเรียนรู้
๕.๑. การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method)
๕.๒. การจัดการเรยี นรู้แบบแบง่ กลุ่มทางาน(Committee Work Method)
๕.๓. การจดั การเรียนรู้แบบอุปนยั (Inductive Method)
๕.๔. สิง่ แวดล้อมเพ่อื การเรียนรู้
๕.๕. สาหรบั แนวทางการจดั การเรียนรู้
๖. การจัดสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้
๖.๑. ความนา
๖.๒. ความสาคัญของสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
๖.๓. กระบวนการจดั สภาพแวดลอ้ มเพื่อการเรยี นร้ทู มี่ ปี ระสิทธภิ าพ
๖.๔. การจัดชัน้ เรียนเพ่อื ให้ส่งเสรมิ บรรยากาศในหอ้ งเรยี น
๖.๕. บรรยากาศที่พึงปรารถนาในหอ้ งเรียน
๖.๖ วธิ ีการจัดช้นั เรียนเพอื่ สง่ เสรมิ บรรยากาศท่ดี ี
๖.๗. แนวทางการสรา้ งชนั้ เรยี นแบบมีสว่ นรว่ ม
๖.๘. การแก้พฤตกิ รรมท่ีเป็นปัญหาในชน้ั เรยี น
จุดประสงค์
๑. อธิบายการใช้ศาสตร์และศิลป์ในการสอนได้
๒. อธิบายวิธกี ารเลอื กรูปแบบการสอนทด่ี ีได้
๓. บอกลักษณะของการสอนทดี่ ไี ด้
๔. อธบิ ายรูปแบบและวธิ กี ารสอนแบบต่างๆได้
๑๐๒
๕. สามารถเข้าใจหลกั การ ความหมายของสิง่ แวดล้อมเพ่ือการเรียนรไู้ ด้
๖. บอกลักษณะการจดั สภาพแวดลอ้ มเพ่ือการเรยี นรูไ้ ด้
๑. การใช้ศาสตร์และศลิ ป์ในการสอน
ศาสตร์ หมายถงึ กระบวนการและกิจกรรมที่ทาให้ได้ความรู้ท่ีสามารถทดสอบได้ประกอบด้วย การ
สังเกตปรากฏการณ์ การตง้ั สมมตุ ิฐาน การรวบรวมข้อมูลการวิเคราะหข์ ้อมูลและการสรุปผล ศาสตร์ เป็นได้
ทั้งท่ีเป็นสาขาวิชา และตัวความรู้ซึ่งเป็นกิจกรรมท่ีทาให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ตามกระบวนการขั้นตอนการ
เรียนรู้ ทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเพราะเป็นการเรียนรู้จากกระบวนการเรียนรู้ซ่ึงแท้ที่จริงแล้วเป็นการ
บวนการเดยี วกบั การวจิ ัย Research process นั้นเอง๖๒
๑.๑.ความรูห้ รอื ส่งิ ทจ่ี ะจัดเปน็ ศาสตร์ มลี ักษณะดงั นี้
๑. มอี งค์ความรู้ Body of knowledge เปน็ เรอ่ื งเฉพาะตัวซ่ึงองค์ความรู้คือมวลสาระที่จัด
ไว้เป็นระบบ หมวดหมู่ จากรูปธรรมไปสู่นามธรรมและจัดอย่าง่ายๆไม่ซับซ้อน ประกอบด้วยข้อเท็จจริง
(Fact) มโนทัศน์(Concept) ขอ้ เสนอ (Proposition) สัจพจน์ (Axiom or Postulate) ทฤษฎี Theory และ
กฎ Law มวลสาระต่างๆ เหลา่ นี้ไม่ไดห้ มายความว่าทุกศาสตร์จะมีครบถ้วนขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าและการ
สง่ั สมองคค์ วามรหู้ รือการทดลองทดสอบขอ้ ค้นพบของศาสตร์นั้นๆ ในศาสตร์ที่มีความก้าวหน้ามากจะมีมวล
สาระความรู้ในระดับสงู ๆ มากคือในสว่ นที่เป็นทฤษฎีและเป็นกฎที่ค้นพบ และในขณะเดียวกันในศาสตร์ใดที่
มีความล้าหลังจะมีมวลสาระความรู้ในระดับต่า เป็นเพียงข้อเท็จจริง และมโนทัศน์ ซ่ึงมวลสาระที่เป็นองค์
ความรู้นี้ต้องสามารถตรวจสอบความถูกผิดได้ ไม่ว่าจะโดยเชิงประจักษ์ Empiricalหรือเชิงวิตรรก
Rational๖๓
๒. มีศัพท์เฉพาะตัว (Technical term ) ซ่ึงคาศัพท์เฉพาะในแต่ละศาสตร์เป็นสิ่งที่มี
ลักษณะเด่นและจาแนกศาสตร์ออกจากกัน เปน็ ประโยชน์ในการใช้ส่ือความรู้ให้มีความเข้าใจตรงกัน ศาสตร์
ใดมีการคิดค้นบัญญัติศัพท์เฉพาะของตนมากเท่าใดจะแสดงถึงความความรู้ความก้าวหน้าของศาสตร์
ดงั กล่าวดว้ ย
๓. มีวิธีการค้นคว้าความรู้เฉพาะตัว (Method of inquiry knowledge)ในแต่ละศาสตร์
ต้องมีวิธีการนาความรู้มาใช้เพราะลักษณะมวลสาระความรู้ของแต่ละศาสตร์มีความแตกต่างกันท้ังลักษณะ
ความรู้ และประโยชนใ์ นการนาไปใช้เพอ่ื ค้นคว้าเพื่อใหค้ วามรใู้ นศาสตร์ของตนเองพอกพูนอยู่เสมอ วิธีการที่
นามาใช้อาจก่อให้เกิดความน่านเช่ือถือของความรู้ท่ีค้นคว้ามาได้มีความแตกต่างกัน กล่าวคือบางวิธีอาจ
กอ่ ให้เกดิ ความน่าเชือ่ ถอื ต่า มกั เรียกกันว่าทาให้ได้ความรู้ที่มีความเป็นอัตวิสัยหรือเป็นอัตนัย(Subjectivity)
ขาดความตรง (Invalidity) ขาดความเที่ยง (Unreliability)แต่ในขณะที่อีกวิธีหน่ึงทาให้ความรู้มีความเป็น
วัตถุวิสัยหรือเป็นปรนัย (Objectivity)มีความตรง (validity) มีความเที่ยง (reliability) สูง ซ่ึงศาสตร์ใดใช้
วิธีการสั่งสมความรู้ในลักษณะแรกมักมีความก้าวหน้าน้อย ซึ่งเรียกว่าศาสตร์อ่อน (Weak science)ในทาง
๖๒ จนั ทนี อินทรสูต. ค่มู ือการอบรมเชิงปฏิบตั ิการเรอ่ื งรปู แบบการสอนแบบตา่ งๆ, ปทุมธานี : วิทยาลัยครู
เพชรบุรวี ทิ ยาลงกรณ,์ หน้า ๗๔
๖๓ ชาญ ธญั พิทยากุล. หนังสอื ชุดประสบการณ์วชิ าชพี ครูประถมศึกษา ตอนเทคนคิ การเขียนแผนการสอน
ย่อย. (กรงุ เทพมหานคร : กรงุ สยามการพิมพ,์ ๒๕๒๔) หน้า ๓๒-๓๔
๑๐๓
ตรงกันข้ามถ้าศาสตร์ใดใช้วิธีการส่ังสมความรู้ตามลักษณะหลังจะมีความก้าวหน้ามาก ซ่ึงจะเรียกว่าศาสตร์
แข็ง (Strong science)การส่ังสมความรู้ของแต่ละศาสตร์จะได้จากการสังเกต สารวจ สัมภาษณ์ตรวจสอบ
เอกสาร ซาก หลกั ฐาน การทดลอง เป็นต้น
จากทีเ่ ราพบเห็นวา่ มคี าว่า ศาสตร์ ต่อท้ายในสาขาวิชาต่างๆ นั้นท้ังนี้เป็นเพราะวิชาการแต่
ละสาขามีคุณลักษณ์แห่งความเป็นศาสตร์ครบถ้วนทั้งสามประการ ส่วนประกอบขององค์ความรู้ในศาสตร์
ล้วนแต่ได้มาจากการสั่งสมความรู้จากสองวิธีคือ วิธีการเชิงประจักษ์ (Empirical) หรือวิธีการเชิงวิตรรก
(Rational) จากรายละเอียดการศึกษาท่ีกล่าวมาท้ังนั้นถือได้ว่าเป็นพ้ืนฐานท่ีก่อเกิดระเบียบวิธีวิจัยเชิง
ประจักษ์ Empirical หรือเชิงวิตรรก Rational และระเบียบวิธีวิจัยคือกระบวนการนามาซึ่งความรู้ของ
ศาสตร์ หรอื ศาสตร์เป็นผลผลติ ของการวิจัยนนั้ เอง
๑.๒. ประเภทของศาสตร์
จดั ตามลาดับความเกี่ยวเนื่องในการพฒั นามนษุ ยช์ าตจิ าแนกเปน็ ๔ ระดบั ได้แก่๖๔
๑. ศาสตร์หรือวิธกี ารเชงิ ประจักษ์ (Empirical level)
๒. ศาสตรร์ ะดบั ปฏิบตั ิ (pragmatic level)
๓. ศาสตร์ระดบั ปทัสถาน (Normative level)
๔. ศาสตรร์ ะดับคณุ คา่ (Meaning or purposive level)
การจดั กลมุ่ ศาสตร์โดยพิจารณาจากปรากฏการณท์ ศี่ าสตรน์ น้ั ๆ ม่งุ ศึกษาโดยจาแนกเป็น ๓
กลมุ่ ใหญๆ่ คอื
กลุ่มที่ ๑ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติหรือธรรมชาติศาสตร์ (Natural science) มุ่งศึกษา
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ในส่วนท่ีเกี่ยวกับสรรพสิ่งต่างๆ ยกเว้นปรากฏการณ์ทางพฤติกรรมมนุษย์ ตัวอย่าง
ของศาสตร์น้ีได้แก่ ชีววทิ ยา เคมี ฟิสกิ ส์ และดาราศาสตร์ เปน็ ตน้
กลมุ่ ท่ี ๒ สงั คมศาสตร์ (Social science) มุ่งศึกษาพฤติกรรมระหว่างมนุษย์กับมนุษย์หรือ
ปรากฏการณเ์ กยี่ วกับการอยู่รว่ มกนั ของมนุษย์ ตวั อย่างเชน่ สงั คมศาสตร์ นิตศิ าสตร์รัฐศาสตร์ ศึกษาศาสตร์
เปน็ ต้น
กลุ่มท่ี ๓ มนุษย์ศาสตร์ (Humanities science) ศึกษาปรากฏการณ์ของมนุษย์ในส่วนที่
เป็นปัจเจกบุคคล ในเร่ืองของคุณค่า ความงาม ความสุนทรีย์ การใช้เหตุผลทานองนี้เป็นต้น เช่น ภาษา
วรรณกรรม ศิลปะ ดนตรี
จะเห็นได้ว่าในแต่ละศาสตร์จะจัดตามลักษณะของปรากฏการณ์ที่มุ่งศึกษาและในแต่ละ
ศาสตร์อาจจะมีความเก่ียวข้องเก่ียวพันกันอยู่ไม่แยกจากกันโดยยังต้องอาศัยความ รู้ทั้งสองหรือสามศาสตร์
ประกอบกัน แต่ในบางคร้ังเราจะพบว่ามีการแบ่งศาสตร์ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ศาสตร์บริสุทธ์ิ (pure
science) และศาสตร์ประยุกต์(Applied science) โดยศาสตร์บริสุทธิ์มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ในธรรมชาติ
๖๔ บุญเก้อื ควรหาเวช. นวัตกรรมการศึกษา (ปรบั ปรุงใหม่). พมิ พค์ รง้ั ที่ ๔ กรงุ เทพฯ : ศูนยห์ นงั สอื จฬุ าฯ,
๒๕๔๒. หน้า ๔๕
๑๐๔
เพ่ือให้เกิดความรู้เป็นหลัก ในขณะท่ีศาสตร์ประยุกต์ มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ในธรรมชาติและนาความรู้ที่
ได้รบั มาใชต้ อบสนองประโยชน์สขุ ของมนษุ ยเ์ ป็นสาคัญ๖๕
๑.๓. เป้าหมายของศาสตร์
ศาสตร์มีเปาู หมาย ๔ ประการ เรยี งลาดบั จากเปูาหมายต่าจนกระทั่งถึงระดับสูงได้แก่ เพื่อ
บรรยาย เพ่ืออธิบาย เพื่อทานาย และเพื่อควบคุมปรากฏการณ์ในธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ท่ีมุ่งศึกษา
โดยแต่ละเปาู หมายมลี ักษณะดังนี้๖๖
๑. เพ่ือบรรยายหรือพรรณนา Description ปรากฏการณ์หมายถึงการบอกเล่าคาถามว่า
ใครหรือส่ิงใด Who What Where When How ซ่ึงการตอคาถามดังกล่าวน้ีได้จากการสังเกตปรากฏการณ์
อยา่ งรอบครอบ แล้วนาส่งิ ท่ีได้จากการสังเกตมาเรยี บเรียงอย่างตรงไปตรงมา ตามทส่ี ัมผัสและรับรู้
๒. เพอื่ อธิบาย Explanation ปรากฏการณ์ หมายถึง การบอกว่าปรากฏการณ์น้ันๆเกิดขึ้น
เพราะเหตุใด นั้นคือคาถาม Why หรือการบอกเชิงสาเหตุ และผลของปรากฏการณ์น้ันๆการอธิบายเชิง
สาเหตแุ ละผลทมี่ คี วามสัมพันธ์ระหวา่ งปรากฏการณใ์ ดนนั้ ตอ้ งมีปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างสม่าเสมอ
ทาใหส้ ังเกตเห็นและพรรณนาได้ในระดบั หน่งึ จงึ สามารถตอบคาถามอธบิ ายเชิงสาเหตแุ ละผลนั้นได้
๓. เพื่อทานาย Prediction หมายความว่าการบอกหรือคาดคะเนได้ว่าถ้ามีปรากฏการณ์นี้
เกิดขึ้นแล้วจะมีปรากฏการณ์ใดตามมา น้ันคือการบอกในลักษณะว่าถ้า If..แล้ว Then..ปรากฏการณ์ท่ี
เกิดขึ้นก่อนคือส่ิงท่ีเป็นสาเหตุส่วนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามหลังคือสิ่งท่ีเป็นผล การที่จะทานายสิ่งใดได้
อยา่ งแมน่ ยาต้องข้ึนอยู่กับการค้นพบอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ที่เป็นเหตุและปรากฏการณ์
ท่เี ปน็ ผลไดก้ ่อนแล้วมคี วามเข้าใจในเหตุและผลทีเ่ กิดขน้ึ อย่างชดั เจนจงึ อธบิ ายและทานายได้แมน่ ยา
๔. เพ่ือการควบคุม Control หมายถึง การทาให้เกิดหรือไม่เกิดปรากฏการณ์ใดๆ ตามที่
มนุษย์ นักวิจัย หรือนักทดลอง ต้องการเปูาหมายนี้จะเกิดได้ต่อเม่ือสามารถอธิบายและทานายได้ว่า
ปรากฏการณใ์ ดจะทาให้เกิดปรากฏการณ์ใด กล่าวโดยสรุปว่าการที่ได้ผลส่ิงใดมาน้ันต้องข้ึนอยู่กับเหตุ และ
ถ้าเมื่อใดไม่ต้องการให้เกิดผลใดขึ้นก็ต้องดับเหตุน้ันเสียเพ่ือไม่ให้เกิดผลตามมา ซึ่งเหตุและผลจะเป็นตัว
Control ซึ่งกนั และกันเปูาหมายของศาสตร์น้ีคือศูนย์รวมของศาสตร์ต่างๆ เพราะในเปูาหมายนี้ส่ิงท่ีตามมา
คือ การตอบสนองประโยชน์สุขของมวลมนุษย์และสังคมโดยรวมนั้นเองศาสตร์ใดมีความก้าวหน้ามากจะมี
องค์ความรู้ท่ีบรรลุเปูาหมายสูงๆ ได้แก่การทานายและควบคุม ได้มาก ในทานองเดียวกัน ศาสตร์ใดมีองค์
ความรู้แค่การพรรณนาอธิบาย หรืได้เฉพาะการพรรณนาปรากฏการณ์ซ่ึงเป็นเปูาหมายแรกๆ ของศาสตร์
แสดงว่าศาสตรน์ ้ันยังมีความกา้ วหนา้ ไมม่ ากนัก
จะเห็นว่าศาสตร์ด้านธรรมชาติหรือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ จึงมีความก้าวหน้ากว่าศาสตร์
อ่ืนๆ เพราะมีองค์ความรู้ขั้นควบคุมปรากฏการณ์ในธรรมชาติได้มาก มีการนาความรู้ไปใช้สนองความ
ต้องการมนุษย์ในนามของเทคโนโลยี หรือที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ในขณะท่ีศาสตร์ด้าน
๖๕ บารงุ กลัดเจรญิ และ ฉวีวรรณ กนิ าวงศ์, วิธสี อนทัว่ ไป. พิษณุโลก : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒพิษณุโลก,
๒๕๒๓. หนา้ ๙๘
๖๖ ไพจติ ร ฝกึ เจรญิ ผล. จติ วิทยาการเรียนการสอน. นครปฐม : ภาควชิ าจติ วทิ ยาและการแนะแนว คณะวิชาครุ
ศาสตร์ วทิ ยาลยั ครนู ครปฐม, ๒๕๓๔. หน้า ๑๐๕
๑๐๕
สังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ มีความก้าวหน้าถึงเปูาหมายสูงสุดค่อนข้างยากศาสตร์ด้านมนุษย์ถูกจัดว่ามี
ความออน่ หรอื มคี วามก้าวหนา้ น้อยทีส่ ดุ ซึง่ ตรงกันขา้ มกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ๖๗
๑.๔. ความหมายของศาสตร์
ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง (Fact) และกฎ (Law) สาขาวิชา เช่นเคมี ฟิสิกส์ วิธีการ
แสวงหาความรู้ ประกอบด้วย การสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้วกาหนดปัญหา การตั้งสมมติฐาน การ
เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปผลสรุปความหมายของศาสตร์ เม่ือนามารวมกันได้ดังน้ี มี
กระบวนการค้นหาความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความจริง (Reality) เม่ือได้หลายๆคร้ังซ้าๆกันจะนามาสู่
สาขาวชิ าใหมๆ่ (discipline) หรอื กล่าววา่ สาสตร์เกิดจากการส่งั สมความรู้มาเรอ่ื ยๆ๖๘
๑.๕. ลักษณะของศาสตร์๖๙
๑. มีองค์ความรู้ (Body of Knowledge) เป็นมวลเน้ือสาระที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ
หมวดหมู่ จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม จากง่ายไปสู่ซับซ้อน ประกอบด้วย ข้อเท็จจริง(fact) มโนทัศน์
(conception) ข้อเสนอ (Proposition) สัจพจน์ (Axiom or Postulate) ทฤษฎี (Theory) และกฎ (Law)
ศาสตร์ท่กี ้าวหนา้ จะมที ฤษฎหี รือกฎ ในขณะทศี่ าสตรต์ ่ากว่าจะมีขอ้ เทจ็ จรงิ มโนทศั น์ องค์ความรู้เหล่านี้ต้อง
สามารถทดสอบความถกู ผิดจากวิธีการเชิงประจกั ษห์ รือเชงิ วติ รรก (Rational)
๒. มีศัพท์เฉพาะตัว (Technical term) มีประโยชน์ที่ใช้สื่อสารในหมู่นักวิชาการและ
สามารถนาไปแสดงตัวตน
๓. วธิ ีการศึกษาค้นคว้าความรู้เฉพาะตัว (Method of inquiry knowledge) จะทาให้เกิด
ความน่าเชื่อถือ ถ้าศาสตร์ที่มีความเป็นปรนัยสูง (Objectivity) จะมีความตรง (Validity) ความเที่ยง
(Reliability) มักมีความก้าวหน้ามากทาให้เป็นศาสตร์แข็ง แตกต่างจากศาสตร์ที่มีความเป็นอัตนัย
(Subjectivity) มักเปน็ ศาสตร์ออ่ น
วธิ กี ารศึกษาค้นควา้ ความรเู้ ฉพาะตัว มี ๒ ลกั ษณะ
๑. Materialism or Empiricalism จะเช่ือในข้อมูลเชิงประจักษ์ จะมีความ
เชอ่ื ถือเมือ่ วิธีการศกึ ษามีความเป็นปรนัย ท่ีมีความตรง ความเที่ยงซ่ึงมักพัฒนาเป็นศาสตร์แข็งจนกลายเป็น
ทฤษฎี
๒. Idealism ใช้ Subjectivity บางคร้ังทาให้เกดิ ขาดความตรง ความเท่ยี ง
๑.๖. ศิลป๗์ ๐
ศิลป์ หรือ ศิลปะ หมายถึง การสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการและความคิด
สร้างสรรค์ วิเคราะห์ วพิ ากษ์วจิ ารณ์คุณคา่ งานทางทศั นศิลป์ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่าง
อิสระชื่นชม และประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ดงั นี้
๖๗ ฟืน้ เหมทานนท์. การสอนกล่มุ สร้างเสรมิ ประสบการณ์ชวี ิต. นครราชสมี า : ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน
วทิ ยาลยั ครนู ครราชสมี า, ๒๕๒๘. หนา้ ๒๓๓
๖๘ ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น.์ หลักและวธิ สี อนระดบั อดุ มศึกษา. กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๒๔. หน้า ๙๘
๖๙ ประเวศ วะส.ี ปฏิรปู การศึกษา-ยกเครอ่ื งทางปัญญา : ทางรอดจากความหายนะ, พมิ พ์ครั้งที่ ๒
กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ สิ ดศร-ี สฤษดิ์วงศ,์ ๒๕๔๑. หน้า ๓๖๗-๔๐๐
๗๐ ปรีชา คัมภีรปกรณ.์ "หนว่ ยท่ี ๔ จุดม่งุ หมายกบั วัตถุประสงค์การเรยี นการสอน". เอกสารการสอนชดุ วชิ า
วทิ ยาการการสอน หนว่ ยที่ ๘-๑๕. กรุงเทพมหานคร : รงุ่ ศิลป์การพิมพ์, ๒๕๒๕. หนา้ ๗๘-๘๙
๑๐๖
ข้อที่ ๑ เข้าใจวิธีสื่อความคิดจินตนาการ ความรู้สึก ความประทับใจด้วยวัสดุอุปกรณ์
เทคนคิ วิธกี ารทางศิลปะ และสือ่ ความหมายได้
ข้อท่ี ๒ คิดริเริ่ม ดัดแปลง ยืดหยุ่น ใช้ทัศนธาตุและหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์เทคนิค
วธิ กี ารรูปแบบใหม่ๆในการพัฒนางานทศั นศลิ ป์ตามความถนัด และความสนใจ
ข้อที่ ๓ ใช้กระบวนการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ ประยุกต์ใช้สื่อ วัสดุอุปกรณ์และ
เทคโนโลยีไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพและมคี วามรับผดิ ชอบ
ข้อท่ี ๔ แสดงออกถึงความรู้สึกในการรับรู้ความงามจากประสบการณ์จินตนาการโดยใช้
หลักและความงามของศิลปะ ตามความถนัดและความสนใจ
ข้อท่ี ๕ แสดงความคิดเห็นต่อผลงานทัศนศิลป์ โดยวิเคราะห์ทัศนธาตุและความงามของ
ศิลปะ
ข้อท่ี ๖ นาความรู้ เทคนิคและวิธีการทางทัศนศิลป์ที่ตนถนัดและสนใจมาใช้กับกลุ่มสาระ
การเรยี นรอู้ ่นื ๆ และชีวติ ประจาวันได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
๑.๗. ความหมาย ความสาคัญขององค์ประกอบศิลป์๗๑
มนุษย์เรารับรู้ถึงความสวยความงาม ความพอใจ ของสิ่งต่างๆได้แตกต่างกับระดับความ
พอใจของแต่ละบุคคล ก็แตกต่างกันออกไปทั้งน้ีอาจขึ้นกับรสนิยมสภาพสังคม ศาสนา ความเชื่อและ
ส่ิงแวดล้อมท่ีผู้รับรู้น้ันดารงชีวิตอยู่หากแต่ว่าผู้รับรู้น้ันได้เข้าใจถึงกระบวนการ องค์ประกอบและพ้ืนฐานท่ี
สาคัญของส่ิงที่ได้สัมผัส ก็ย่อมทาให้รับรู้ถึงความงาม ความพอใจน้ันๆเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงศิลปะน้ันดู
เหมอื นวา่ จะไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก เพราะอาศยั แต่ความสนุ ทรยี ะทางอารมณเ์ พียงประการเดียว แต่หาก
วา่ ได้ศึกษาถงึ ความสุนทรยี ะอยา่ งลึกซ้ึงแล้ว จะเห็นว่ามันมีกฎเกณฑ์ในตัวของมันเอง ซ่ึงผู้เรียนจะต้องศึกษา
ถึงองค์ประกอบตา่ งๆเหล่านั้นท่ีประกอบกันข้ึนเป็นงานศิลปะ หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงคือผู้เรียนจะต้องเข้าใจ
ในหลัก องค์ประกอบของศิลปะ เป็นพืน้ ฐานเสียกอ่ นจึงจะสามารถสรา้ งสรรค์งานศลิ ปะที่มีคุณค่าและรับรู้ถึง
ความงามทางศิลปะ ไดอ้ ย่างถกู ต้อง
๑. ความหมายขององค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบของศิลปะหรือ( Composition )นั้นมาจากภาษาละติน โดยคา
ว่า Post น้ันหมายถึง การจัดวาง และคาว่า Comp หมายถึง เข้าด้วยกัน ซ่ึงเม่ือนามารวมกันแล้วในทาง
ศลิ ปะ Composition จึงหมายความถึง องคป์ ระกอบของศลิ ปะการจะเกดิ องค์ประกอบศิลป์ได้น้ัน ต้องเกิด
จากการเอาส่วน ประกอบของศิลปะ( Element of Art) มาสร้างสรรค์งานศิลปะเข้าด้วยหลักการจัด
องค์ประกอบศลิ ป์( Principle of Art) จึงจะเปน็ ผลงานองคป์ ระกอบศลิ ป์๗๒
องค์ประกอบศิลป์ หมายถึงศิลปะที่มนุษย์สร้างข้ึนเพ่ือแสดงออกทางอารมณ์
ความรู้สกึ ความคดิ หรือความงาม ซ่งึ ประกอบดว้ ย สว่ นท่มี นษุ ยส์ รา้ งขน้ึ และส่วนท่เี ป็นการแสดงออกอันเป็น
๗๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต). พทุ ธศาสนากบั การพัฒนามนุษย์. กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๓๖. หน้า
๙๘-๑๐๕
๗๒ พันทิพา อุทยั สุข. "หน่วยที่ ๑๐ การเขยี นแผนการเรียนการสอน. เอกสารการระบบการสอน หนว่ ยที่ ๖-๑๐.
กรุงเทพมหานคร : บริษทั สารมวลชน, ๒๕๒๓. หนา้ ๔๓๒-๔๙๘
๑๐๗
ผลที่เกิดจากโครงสร้างทางวัตถุองค์ประกอบศิลป์หมายถึง ส่วนประกอบต่างๆของศิลปะ เช่น จุด เส้น
รูปรา่ งขนาด สัดส่วน น้าหนัก แสง เงา ลักษณะพืน้ ผวิ ทีว่ ่างและสี๗๓
องค์ประกอบศิลป์คือความงาม ความพอดี ลงตัว อันเป็นรากฐานเน้ือหาของ
ศิลปะอีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่สาคัญ ทางศิลปะให้ผู้สร้างสรรค์ได้ส่ือสารความคิดของตนเองไปสู่บุคคลอ่ืน
จากความหมายตา่ งๆข้างต้น พอสรปุ ไดว้ า่ องคป์ ระกอบศลิ ป์ หมายถึงส่ิงทม่ี นุษยใ์ ชเ้ ปน็ สื่อ ในการแสดงออก
อยา่ งสรา้ งสรรค์ โดยนาส่วนประกอบของศิลปะมาจัดวางรวมกันอย่างสอดคล้องกลมกลืนและมีความหมาย
เกิดรูปร่างหรือรูปแบบต่างๆอันเด่นชัดซึ่งจากความหมายข้างต้น จะเห็นได้ว่าการท่ีจะเกิดผลงานศิลปะดีๆ
สักช้ินน้ันผู้สร้างสรรค์จะต้องใช้กระบวนการ ที่หลากหลายมาประกอบกันได้แก่องค์ประกอบพ้ืนฐานทาง
ศลิ ปะ องคป์ ระกอบของศลิ ปะ และการจัดองค์ประกอบของศิลปะ มาถ่ายทอดลงในชิ้นงานหรือผลงานนั้นๆ
เพ่ือให้ได้ผลงานที่มีคุณค่าท้ังด้านความงามและมีคุณค่าทางจิตใจ อันเป็นจุดหมายสาคัญที่ศิลปินทุกคน
มุ่งหวงั ให้เกดิ แกผ่ ู้ชมทง้ั หลาย
๒. ความสาคญั ขององคป์ ระกอบศลิ ป์๗๔
ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในสาขาต่างๆไม่ว่าจะเป็นสาขาวิจิตรศิลป์หรือ
ประยุกต์ศิลป์ ผู้สร้างสรรค์น้ันต้องมีความรู้เบ้ืองต้นด้านศิลปะมาก่อนและศึกษาถึงหลักการองค์ประกอบ
พื้นฐาน องคป์ ระกอบทส่ี าคัญการจดั วางองคป์ ระกอบเหลา่ น้ัน รวมถึงการกาหนดสี ในลักษณะต่างๆเพิ่มเติม
ให้เกิดความเข้าใจ เพื่อเวลาที่สร้างผลงานศิลปะ จะได้ผลงานที่มีคุณค่า ความหมายและความงามเป็นที่
น่าสนใจแก่ผู้พบเห็นหากสร้างสรรค์ผลงานโดยขาดองค์ประกอบศิลป์ ผลงานนั้นอาจดูด้อยค่า หมด
ความหมายหรือไม่น่าสนใจไปเลย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบศิลป์นั้นมีความสาคัญอย่างมากในการ
สรา้ งงานศลิ ปะ มนี ักการศึกษาดา้ นศิลปะหลายทา่ นไดใ้ ห้ทรรศนะในด้านความสาคัญขององค์ประกอบศิลป์
ที่มีต่อการสร้างงานศิลปะไว้ พอจะสรุปได้ดังนี้การสร้างสรรค์งานศิลปะให้ได้ดีนั้น ผู้สร้างสรรค์จะต้องทา
ความเข้าใจกับองค์ประกอบศิลป์เป็นพื้นฐานเสียก่อนไม่เช่นน้ันแล้วผลงานท่ีออกมามักไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก
ซึ่งองค์ประกอบหลักของศิลปะก็คือรูปทรงกับเนื้อหาองค์ประกอบศิลป์เป็นเสมือนหัวใจดวงหน่ึงของการ
ทางานศลิ ปะเพราะในงานองคป์ ระกอบศลิ ปห์ น่ึงชนิ้ จะประกอบไปด้วยการร่างภาพ(วาดเส้น) การจัดวางให้
เกิดความงาม (จัดภาพ) และการใช้สี (ทฤษฎีสี) ซ่ึงแต่ละอย่างจะต้องเรียนรู้สู่รายละเอียดลึกลงไปอีก
องคป์ ระกอบศิลปจ์ งึ เป็นพน้ื ฐานสาคญั ที่รวบรวมความรหู้ ลายๆอย่างไว้ด้วยกัน จึงต้องเรียนรู้ก่อนท่ีจะศึกษา
ในเรอ่ื งอนื่ ๆ๗๕
องค์ประกอบศิลป์ การจัดองค์ประกอบและการใช้สี เป็นหลักการที่สาคัญในการ
สรา้ งสรรค์ใหง้ านศลิ ปะเกดิ ความงาม ไม่ว่าจะเปน็ จติ รกรรม วาดเขยี น ประติมากรรมสถาปัตยกรรมและการ
พิมพ์ภาพ หากปราศจากความรู้ความเข้าใจเสียแล้วผลงานนั้นๆก็จะไม่มีค่าหรือความหมายใดๆเลย
องค์ประกอบศิลปจ์ ดั เป็นวชิ าทม่ี ีความสาคญั สาหรับผู้ศึกษางานศิลปะหากว่าขาดความรู้ความเข้าใจในวิชานี้
แล้ว ผลงานท่ีสร้างขึ้นมาก็ยากท่ีประสบความสาเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานศิลปะสมัยใหม่ท่ีมีการแสดง
๗๓ สพุ ิน บญุ ชวู งศ์. หลกั การสอน. กรงุ เทพมหานคร : แสวงสทุ ธิการพมิ พ,์ ๒๕๓๑. หนา้ ๙๘-๑๔๐
๗๔ สมุ ิตร คณุ านกุ ร. หลกั สูตรและการสอน. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พช์ วนพมิ พ์, ๒๕๑๘. หนา้ ๖๗-๘๓
๗๕ สวุ ัฒน์ มุทธเมธา. การเรยี นการสอนปจั จบุ ัน. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์ ๒๕๒๓. หนา้ ๕๔-๗๖
๑๐๘
เฉพาะเส้น สี แสง เงา น้าหนัก พ้ืนผิว จังหวะ และบริเวณที่ว่างมีความจาเป็นอย่างย่ิงต้องนาหลักการ
องค์ประกอบศิลป์มาใช้หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์มีความสาคัญและเกี่ยวข้องกับงานทัศนศิล ป์โดยตรง
ท้ังวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์การจัดภาพหรือออกแบบสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ให้เกิดคุณค่าความงาม
นั้น การจัดองค์ประกอบศิลป์จะมีบทบาทสาคัญ มากท่ีสุดจากทรรศนะต่างๆ สรุปได้ว่า องค์ประกอบศิลป์
เป็นหัวใจสาคัญของงานศิลปะทุกสาขา เพราะงานศิลปะใดหากขาด การนาองค์ประกอบศิลป์ไปใช้ก็จะทา
ให้งานนั้นดูไม่มีคุณค่า ท้ังด้านทางกายและทางจิตใจของผู้ดูหรือพบเห็นขณะเดียวกัน ก็จะบ่งบอกถึงภูมิ
ความรู้ความสามารถของผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้นด้วยการที่จะเข้าถึงศิลปะ ( Appreciation) นั้นจะต้องผ่าน
การฝกึ ฝนและหาทางดูเพ่ือให้เกิดความเข้าใจท้ังจะต้องมี รสนิยมที่ดีพอสมควร การฝึกฝน การทาซ้าๆอย่าง
สนใจเม่ือนานเข้าก็จะเกิดความเข้าใจ ทาด้วยความคุ้นเคยกับส่ิงเหล่านั้นจึงจะเข้าใจ รู้เห็นในคุณค่าของ
ศิลปะนน้ั ๆได้ดี
๑.๘. องคป์ ระกอบพ้ืนฐานดา้ นนามธรรมของศิลปะ๗๖
องค์ประกอบพื้นฐานด้านนามธรรมของศิลปะ เป็นแนวคิดหรือจุดกาเนิดแรกท่ีศิลปินใช้
เป็นสง่ิ กาหนดทิศทาง ในการสรา้ งสรรค์ก่อนทจี่ ะมกี ารสรา้ งผลงานศิลปะ ประกอบด้วย เนื้อหากับเร่ืองราว
๑. เนอ้ื หาในทางศิลปะ คอื ความคิดที่เป็นนามธรรมที่แสดงให้เห็นได้โดยผ่านกระบวนการ
ทางศิลปะ เช่น ศิลปินต้องการเขียนภาพที่มีเนื้อหาเก่ียวกับชนบท ก็จะแสดงออกโดยการเขียนภาพทิวทัศน์
ของชนบทหรือภาพวิถชี วี ติ ของคนในชนบทเปน็ ต้น
๒. เรื่องราวในทางศิลปะ คือส่วนที่แสดงความคิดท้ังหมดของศิลปินออกมาเป็นรูปธรรม
ด้วยกระบวนการทางศลิ ปะ เช่นศิลปินเขียนภาพชื่อชาวเขา ก็มักแสดงรูปเกี่ยวกับวิถีชีวิต หรือกิจกรรมส่วน
หน่ึงของชาวเขาน่ันคือเรื่องราว ที่ปรากฏออกมาให้เห็นประเภทของความสัมพันธ์ของเนื้อหากับเร่ืองราวใน
งานทัศนศิลป์น้ันเน้ือหากับเร่ืองราวจะมีความสัมพันธ์กัน น้อยหรือมาก หรืออาจไม่สัมพันธ์กันเลยหรืออาจ
ไม่มีเรื่องเลยก็เป็นไปได้ทั้งนั้น โดยขึ้นกับลักษณะของงานและเจตนา ในการแสดงออกของศิลปิน ซ่ึงเรา
สามารถแยกได้ดังต่อไปน้ีคือ การเน้นเนื้อหาด้วยเรื่อง เนื้อหาที่เป็นผลจากการผสมผสานกันของศิลปินกับ
เรือ่ ง เนอ้ื หาท่ีเป็นอสิ ระจากเรื่อง และเนื้อหาไมม่ ีเร่อื ง
๑.๙. องคป์ ระกอบพน้ื ฐานด้านรูปธรรมของศลิ ปะองคป์ ระกอบพน้ื ฐาน๗๗
ด้านรูปธรรมของศลิ ปะ คอื สง่ิ ทแ่ี สดงแนวคิดเก่ยี วกบั เนือ้ หาและเรอื่ งราวของศิลปินให้เห็น
หรือรบั ร้ผู า่ นผลงานศลิ ปะ ประกอบด้วย เอกภาพ ดุลยภาพ และจุดเดน่
๑. เอกภาพ หมายถึงการนาองค์ประกอบของศิลปะมาจัดเข้าด้วยกันให้แต่ละหน่วยมี
ความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องซ่ึงกันและกันประสานกลมกลืนเกิดเป็นผลรวมที่แบ่งแยกไม่ได้โดยถ่ายทอดเป็น
ผลงานศลิ ปะดว้ ยกระบวนการศิลปะ
๒. ดุลยภาพ คือการนาองค์ประกอบของศิลปะมาจัดเข้าด้วยกันให้เกิดความเท่ากันหรือ
สมดุล โดยมีเส้นแกนสมมุติ ๒ เส้นเป็นตัวกาหนดดุลยภาพเส้นแกนสมมุติจะทาหน้าที่แบ่งภาพออกเป็น
๗๖ สวุ ทิ ย์ มลู คา และอรทยั มลู คา. การเรยี นร้สู ่คู รูมืออาชพี . กรงุ เทพมหานคร : บริษัท ดวงกมลสมยั จากดั ,
๒๕๔๓. หนา้ ๔๓-๖๗
๗๗ สมใจ ชูเนตร. การประถมศึกษา. คณะวิชาครศุ าสตร์ วทิ ยาลยั ครสู วนดสุ ิต. ๒๕๕๓. หนา้ ๒๕๙
๑๐๙
ด้านซ้ายและด้านขวา หรือด้านบนและด้านล่างเพื่อให้ผลงานศิลปะท่ีปรากฏเกิดความสมดุลในลักษณะใด
ลักษณะหนงึ่ เชน่ แบบซา้ ยขวาเหมือนกันและแบบซา้ ย ขวา ไม่ เหมอื นกนั
๓. จดุ เดน่ คอื สว่ นทส่ี าคญั ในภาพ มีความชัดเจนสะดุดตาเปน็ แหง่ แรกรับรู้ได้ด้วยการมอง
ผลงานทสี่ าเร็จแลว้ จุดเดน่ จะมลี ักษณะการมีอานาจ ชัดเจนกว่าส่วนอื่นท้ังหมด โดยเกิดจากการเน้นให้เด่น
ในลกั ษณะใดลกั ษณะนึ่ง เชน่ จดุ เด่นทีม่ ีความเด่นชัดหรือจดุ เดน่ ทแี่ ยกตัวออกไปใหเ้ ดน่
๑.๑๐. สรุป๗๘
ศาสตร์ หมายถึงระบบวิชาความรู้ , มักใช้ประกอบหลังคาอื่น เช่นวิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์มนุษยศาสตร์. ศิลป์ ฝีมือ ฝีมือทางการช่างการทาให้วิจิตรพิสดาร เช่น เขาทาดอกไม้
ประดิดประดอยอย่างมีศิลปะผู้หญิงสมัยนี้มีศิลปะในการแต่งตัว รูปสลักวีนัสเป็นรูปศิลป์การแสดงออกซึ่ง
อารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์ด้วยส่ือต่าง ๆ อย่างเสียง เส้น สี ผิว รูปทรง เป็นต้น เช่น ศิลปะการดนตรี
ศิลปะการวาดภาพ ศิลปะการละคร วิจติ รศิลป์ การบริหารเป็นศาสตร์ คือการบริหารเป็นวิชาการแขนงหน่ึง
ท่ีมีแนวคิดและทฤษฎีท่ีสามารถอธิบายปรากฏการณ์การบริหารได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (ไม่ใช่เร่ือง
ลึกลับหรือไสยศาสตร์)เป็นสาขาวชิ าทม่ี กี ารจัดการระเบียบอย่างเป็นระบบ กล่าวคือ มีหลักเกณฑ์และทฤษฎี
ท่ีพึงเช่ือถือได้ อันเกิดจาการค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์ในการบริหาร เป็นศาสตร์สังคม ซึ่งอยู่
กลุ่มเดียวกบั วชิ าจิตวทิ ยา
๒.วิธีการเลือกรปู แบบการสอน๗๙
รปู แบบระบบการสอนของนักการศึกษามีหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถนามาใช้เป็นหลักใน การจัดการ
เรียนการสอน หรือใช้ในการแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นได้ ในท่ีน้ีจะขอกล่าวถึงรูปแบบและ ระบบการสอน ๕
รูปแบบ ไดแ้ ก่
๒.๑. ระบบการสอนของคลอสเมยี ร์และริปเปิล (Klausmeier and Ripple. ๑๙๗๑)
๒.๒. ระบบการสอนของเคมพ์ (Kemp. ๑๙๗๗)
๒.๓. ระบบการสอนของบราวน์ และคณะ (Brown and others. ๑๙๗๗)
๒.๔. ระบบการสอนของเกอร์ลคั และอีไล (Gerlach and Ely. ๑๙๘๐)
๒.๕. ระบบการสอนของสงดั อทุ รานนั ท์ (๒๕๒๕)
๒.๑. ระบบการสอนของคลอสเมียร์และรปิ เปลิ (Klausmeier and Ripple. ๑๙๗๑)
คลอสเมียร์และริปเปิล (Klausmeier and Ripple. ๑๙๗๑ : ๑๑) ได้กาหนด
องค์ประกอบของระบบการเรยี นการสอนไว้ ๗ ส่วน คือ
๑. การกาหนดจดุ มุง่ หมายของการเรียนการสอน
๒. การพิจารณาความพร้อมของผ้เู รยี น
๓. การจดั เนือ้ หาวชิ า วสั ดุ อุปกรณ์และเคร่อื งมือตา่ งๆ
๔. การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน
๗๘ ไสว สคุ นธา. "การเตรยี มการสอนสาคัญไฉน" มติ รครู ๑๖. (๓๑ สงิ หาคม ๒๕๒), หนา้ ๑๔-๑๕.
๗๙ กาญจนา เกยี รตปิ ระวัติ. วธิ ีสอนทัว่ ไปและทกั ษะการสอน. กรงุ เทพมหานคร : วทิ ยาลัยศรีนครรนิ ทรวิโรฒ
ประสานมติ ร, ๒๕๒๔. หน้า ๖๐๐-๖๑๘
๑๑๐
๕. การดาเนินการสอน
๖. การวดั และประเมินผลการเรยี นการสอน
๗. สัมฤทธิผลของนักเรยี น
ระบบการเรียนการสอนของคลอสเมยี ร์และรปิ เปลิ แสดงได้ ดังแผนภูมิ
๑. การกาหนดจุดมุ่งหมายเฉพาะสาหรบั ๖. การวัดและประเมินผลการเรียน
การสอน การสอน
๒. การพิจารณาความพรอ้ มของผูเ้ รียน
-การวัดสมรรถภาพทางสติ
- ความสนใจ ปั ญ ญ า แ ล ะ ลั ก ษ ณ ะ อ่ื น ๆ ข อ ง
- สมรรถภาพของผ้เู รยี น นักเรียน
๓. การจดั เน้ือหาวิชา วสั ดุ และอปุ กรณ์ -การวัดความพร้อมก่อนที่
๔. การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน จะเรยี นวชิ าต่างๆ
๕. การดาเนินการสอนใหเ้ ป็นไปตามวันเวลา
และสถานที่กาหนดไว้ -การวัดและประเมินความ
กา้ วหน้าระหว่างเรยี น
๗. สมั ฤทธิผลของนักเรยี น
-การวัดและประเมินผลหลัง
จากกิจกรรมการเรียนการ สอนได้
ผา่ นไปแล้ว
-การวัดและประเมินผลการ
จัดการศึกษาทง้ั ระบบ
แผนภูมทิ ี่ ๘ แสดงระบบการสอนของคลอสเมยี รแ์ ละรปิ เปลิ ท่ีมา : ทศิ นา แขมมณี (๒๕๔๕ : ๒๐๗)๘๐
๒.๒. ระบบการสอนของเคมพ์ (Kemp. ๑๙๗๗)
เคมพ์ (Kemp. ๑๙๙๗ : ๙) ได้กาหนดองค์ประกอบของการเรียนการสอนไว้ ๙ ประการ
ประกอบดว้ ยขั้นตอนต่างๆ ดงั น้ี
๑. กาหนดหัวข้อทจี่ ะสอนและเขียนวตั ถุประสงค์ทัว่ ไป
๒. ศกึ ษาคณุ ลกั ษณะของผูเ้ รยี น
๓. ระบจุ ุดมุ่งหมายของการสอนในเชงิ พฤติกรรม
๔. กาหนดเนือ้ หาวิชาทส่ี นับสนนุ วตั ถุประสงค์ในแตล่ ะข้อ
๕. ทดสอบเพ่ือวัดความรู้ความสามารถก่อนที่จะทาการสอน
๖. เลือกกิจกรรมและแหล่งวิชาการสาหรับการเรียนการสอน เพื่อจะนาเน้ือหาวิชาไปสู่
จุดหมายปลายทางทว่ี างไว้
๘๐ ทศิ นา แขมมณ.ี “แนวคิดเก่ียวกบั ระบบการเรยี นการสอน” ใน เอกสารการสอน ชุด วชิ าการสอนกลุ่มสร้าง
เสรมิ ประสบการณช์ ีวติ หนว่ ยท่ี ๑ – ๗. กรงุ เทพมหานคร : ป.สมั พันธ์พาณิชย์, ๒๕๒๘. หนา้ ๙๒-๑๕๐
๑๑๑
๗. ประสานงานในเรื่องต่างๆ เช่น การเงิน บุคลากร อาคาร สถานที่ เคร่ืองมือเครื่อง ใช้
ต่างๆ และดาเนนิ การไปตามแผนการทกี่ าหนดไว้
๘. ประเมินผลการเรยี นของผเู้ รียนว่าบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ทต่ี ้ังไวเ้ พียงใด
๙. พิจารณาดวู ่าควรจะได้มกี ารแกไ้ ขปรบั ปรุงแผนการเรียนการสอนให้ดขี น้ึ อยา่ งไร
ระบบการจดั การเรียนการสอนของเคมพ์ แสดงได้ดงั แผนภูมิ
การ เปูาหมา คุณสมบั
ประเมินผ ย ติ ผูเ้ รยี น
ล จดุ หมาย วัตถุประสงค์
การเรยี นรู้
บรกิ าร ทบทวน
สนับสนุ ปรบั ปรุง
น
กจิ กรรม เนอ้ื หา
การเรียนรู้ ทดสอบ สาระ
แหลง่ ก่อน
เรียน
แผนภมู ิที่ ๙ แสดงระบบการสอนของเคมฟ ท่ีมา : ทิศนา แชมมณี (๒๕๔๕ : ๒๐๘)๘๑
๒.๓. ระบบการสอนของบราวน์ และคณะ (Brown and others. ๑๙๗๗)
ระบบการสอนของบราวน์ และคณะ เป็นระบบการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การ
เรียนการสอน โดยการพิจารณาถึงแนวทางและวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อท่ีผู้สอน จะได้จัดการ
เรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน บราวน์ และคณะ
กาหนดองคป์ ระกอบไว้ ๗ ข้นั ตอน ไดแ้ ก่
๑. วัตถุประสงค์และเนอ้ื หา
๘๑ ทศิ นา แขมมณ.ี “แนวคิดเกี่ยวกบั ระบบการเรียนการสอน” ใน เอกสารการสอน ชุด วชิ าการสอนกลมุ่ สร้าง
เสรมิ ประสบการณช์ ีวิต หน่วยท่ี ๑ – ๗. กรุงเทพมหานคร : ป.สมั พันธ์พาณชิ ย์, ๒๕๒๘. หน้า ๙๒-๑๕๐
๑๑๒
๒. การจัดประสบการณ์การเรียน
๓. การจัดรูปแบบการเรียนการสอน
๔. บุคลากร
๕. วัสดอุ ปุ กรณแ์ ละเคร่ืองมือ
๖. สถานทีแ่ ละสิง่ อานวยความสะดวก
๗. การประเมินผลและการปรับปรุง
ข้นั ตอนทง้ั ๗ นี้ แสดงได้ ดงั แผนภูมิ
ก. จดุ มุ่งหมาย ข. สภาพการณ์
๑. วัตถุประสงคแ์ ละเน้ือหา ๒. การจัดประสบการณ์การเรยี น
๓. การจดั รปู แบบการเรียนการสอน
ง. ผลลัพธ์ ผูเ้ รีย ค. ทรัพยากรหรือแหล่งวิชาการ
๗. การประเมนิ ผลและการปรับปรงุ น ๔. บคุ ลากร
๕. วัสดอุ ปุ กรณแ์ ละเคร่ืองมือ
๖. สถานทแี่ ละสงิ่ อานวยความสะดวก
แผนภูมิที่ ๑๐ แสดงระบบการสอนของบราวน์ และคณะ ๘๒
ก. จดุ มงุ่ หมาย ในการเรยี นการสอนน้ีมีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างท่ีจะต้องการให้บรรลย สาเร็จ
โดยผู้สอนต้องมีการกาหนดวตั ถุประสงค์และเน้อื หาใหส้ อดคล้องกับจุดม่งุ หมายทีต่ ง้ั ไว้
ข. สภาพการณ์ ผู้สอนควรจัดสภาพการณ์อย่างไร และควรมีอะไรบ้าง เพ่ือให้ เรียน
สามารถเรียนอย่างได้ผลดี เพ่ือบรรลุตามจุดมุ่งหมายท่ีต้ังไว้ ซึ่งในการนี้ต้องมีการเลือกประสบกา รณ์ที่
เหมาะสมแก่ผู้เรียน โดยเน้นถึงสภาพความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อการจัด รูปแบบหรือวิธีการเรียนที่
เหมาะสม
ค. ทรัพยากรหรือแหล่งวิชาการ ผู้สอนควรจะต้องทราบว่ามีแหล่งทรัพยากรหรือแหล่ง
วิชาการใดบ้างท่ีจัดว่าจาเป็นต่อการจัดประสบการณ์แก่ผู้เรียน ซ่ึงการจัดนี้มุ่งหมายถึงทางด้าน บุคลากร
การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือท่ีเหมาะสมในการสอน ตลอดจนการจัดสถานที่ และสิ่งอานวยความ
สะดวกต่างๆ ในการเรยี นการสอนด้วย
ง. ผลลพั ธ์ เป็นการพิจารณาดวู า่ ผลลัพธท์ ไี่ ด้มานั้นสาเร็จตามจุดมุ่งหมายมากน้อย เพียงใด
มีสิ่งใดบ้างที่จาเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง ซ่ึงทั้งนี้หมายถึง การประเมินผลและการพิจารณา เพื่อเสนอแนะใน
การปรับปรงุ ระบบการสอนให้ดขี นึ้
๘๒ กฤษณา ศกั ด์ศิ รี. จติ วิทยาการศึกษา, กรุงเทพมหานคร : บารุงสาส์น, ๒๕๓๐. หน้า ๒๓-๓๔
๑๑๓
องคป์ ระกอบทั้ง ๔ ขอ้ จดั แยกเป็นองคป์ ระกอบยอ่ ย ๗ ข้อ ได้ดังน๘้ี ๓
๑. วัตถุประสงค์และเนื้อหา เป็นสิ่งแรกที่ผู้สอนต้องกาหนดให้แน่นอนว่า เม่ือ
เรียนบท เรียนนั้นแล้วผู้เรียนจะบรรลุถึงวัตถุประสงค์อะไรบ้าง ซ่ึงจะต้องเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ี
สามารถวดั หรอื สงั เกตได้ เมือ่ มกี ารกาหนดวตั ถุประสงคข์ องการเรยี นแลว้ ต้องมีการเลือกเนื้อหา บทเรียนให้
สอดคล้องกบั วัตถุประสงคท์ ีต่ ั้งไว้นั้น เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนเรยี นแล้วสามารถเปลีย่ น พฤตกิ รรมเพื่อผลของการเรียนรู้
ท่กี าหนดไว้
๒. การจัดประสบการณก์ ารเรยี น เป็นการจัดประสบการณ์ในรูปลักษณะกิจกรรม
การ เรียนต่างๆ เพ่ือนาไปสู่การเรียนรู้ ในวันนี้ผู้สอนจึงต้องเลือกประสบการณ์การเรียนท่ีดีท่ีสุด สาหรับ
นักเรียนแต่ละคนหรือเพ่ือการเรียนรายบุคคล ซึ่งประสบการณ์ท่ีนาไปสู่การเรียนรู้นี้แบ่ง ออกได้เป็นหลาย
รปู แบบ เช่น การฝกึ ใหค้ ิด การอภิปราย การเขยี น การอา่ น การฟงั เป็นตน้
๓. การจัดรูปแบบการเรียนการสอนเป็นการจัดเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถได้รับ
ประสบการณ์ การเรียนรู้ท่ีดีท่ีสุด การจัดนี้ต้องคานึงถึงกลุ่มของผู้เรียน วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม และ
เนื้อหาบทเรียนด้วย การจัดรูปแบบการเรียนการสอนนี้สามารถจัดทาได้โดยการจัดห้องตามขนาด กลุ่ม
ผเู้ รยี น โดยถา้ เป็นผเู้ รียนกลุ่มใหญ่ ผสู้ อนมกั ใช้วิธีการบรรยายในห้องเรียนใหญ่ ถ้า กลุ่มผู้เรียนมีขนาดกลาง
หรือเล็กก็ใช้การบรรยายโดยมีการซักถามโต้ตอบกัน และควรมี การใช้ส่ือการสอนร่วมด้วย แต่ถ้ามีผู้เรียน
เพยี งคนเดยี วจะใชก้ ารศกึ ษารายบุคคลในลกั ษณะของ การใชส้ ่ือประสม
๔. บุคลากร ในกระบวนการของการจัดระบบการสอน บุคลากรมิได้หมายถึง
ผู้สอน หรือผู้เรียนเท่านั้น แต่จะหมายรวมถึงบุคคลทุกคนท่ีมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน ดังน้ัน
ผู้สอนจึงหมายถึง ครูหรือวิทยากรผู้ถ่ายทอดความรู้ไปยังผู้เรียน ผู้สอนจะต้องมีบทบาท ในการใช้ส่ือการ
สอน เป็นผู้จัดสภาพแวดล้อมและจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียน เป็นผู้นา การอภิปรายแนะน าสิ่ง
ต่างๆ ตลอดจนแก้ไขปัญหาแก่ผู้เรียน และต้องมีความสัมพันธ์กับผู้สอน คนอื่นๆ เพื่อปรึกษาหรือวาง
แผนการสอนและแก้ไขปัญหาต่างๆ ในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อการปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน ส่วน
บทบาทของผู้เรียนนั้นอาจเป็นผู้ช่วยในการต้ังจุดมุ่งหมาย การเรียนการสอน การเตรียมกิจกรรมต่างๆ การ
ใชส้ ่อื ตลอดจนการวดั และประเมนิ ผลการเรียน การสอนด้วย
๕. วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ เป็นส่ิงช่วยเก้ือกูลในการท่ีจะจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ
สามารถแยกไดเ้ ปน็ ประเภทอปุ กรณ์เพือ่ การเรยี นรู้ (equipment for learning) เช่นเครื่องแถบ บันทึกเสียง
เคร่ืองฉายภาพนิ่ง เคร่ืองฉายภาพยนตร์ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เหล่าน้ีเป็นต้นและ ประเภทส่ือ การศึกษาเพื่อ
การเรียนรู้ (educational media for learning) เช่น หนังสือแบบเรียน หนังสือพิมพ์ ฟิล์มภาพยนตร์ ของ
จาลอง การ์ตูน รายการวทิ ยุ เหล่านเ้ี ปน็ ต้น๘๔
๘๓ กันยา สวุ รรณแสง. จิตวิทยาทว่ั ไป. กรงุ เทพมหานคร : บารุงสาส์น, ๒๕๓๒. หนา้ ๑๒-๓๒
๘๔ สริ วิ รรณ สุวรรณอาภา, "หนว่ ยท่ี ๕ กิจกรรมการเรยี นการสอน. เอกสารการสอนชุดวิชาระบบการสอน
หน่วยท๑่ี -๕. กรุงเทพมหานคร : บริษัทสารมวลชน, ๒๕๒๓. หน้า ๘๖-๑๐๒
๑๑๔
๖. สถานท่ีและส่ิงอานวยความสะดวก หมายถึง การจัดสภาพห้องเรียนตามขนาดของ กลุ่มผู้เรียน
เพ่ือให้การจัดสภาพการณ์ในการเรียนรู้ดาเนินไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสม ตลอดจนการจัดวัสดุ
อุปกรณ์และส่ือการสอน เพ่ือความสะดวกในการใช้ด้วย ส่ิงอานวยความ สะดวก และสถานที่เรียนเหล่านี้
ได้แก่ หอ้ งเรยี น ห้องสมดุ ห้องส่อื การศึกษา ห้องปฏิบัติการ และห้องนนั ทนาการ เปน็ ตน้
๗. การประเมินผลและการปรับปรุง เป็นขั้นตอนสุดท้ายในระบบการสอน เพ่ือ
เป็น การประเมินผลว่าหลังจากการสอนแล้วผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้อะไรบ้าง และสามารถ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้หรือไม่ การประเมินผลจะทาให้ผู้สอนสามารถ ทราบได้ว่า
ระบบการสอนน้ันมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง เช่น แผนการสอน จุดมุ่งหมาย ส่ือการสอน เนื้อหา หรือแม้แต่
ความพร้อมของตัวผู้เรียนเอง ท้ังน้ีเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขข้อบก พร่องต่างๆ เหล่านั้นในการ
สอนครั้งตอ่ ไป
๒.๔. ระบบการสอนของเกอรล์ คั และอีไล (Gerlach and Ely)๘๕
ระบบการสอนของเกอร์ลัคและอีไล เป็นระบบการสอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายท่ัวไป ซ่ึงมี
๑๐ ขั้นตอน ได้แก่
๑. การกาหนดวัตถปุ ระสงค์ ๒. การกาหนดเนอื้ หา
๓. การประเมินผลพฤตกิ รรมเบอื้ งตน้ ๔. การกาหนดกลยทุ ธ์ของวธิ ีการสอน
๕. การจัดแบง่ กลุ่มผู้เรยี น ๖. การกาหนดเวลาเรียน
๗. การจดั สถานที่เรียน ๘. การเลือกสรรทรพั ยากร
๙. การประเมนิ ผล ๑๐. การวเิ คราะห์ข้อมูลยอ้ นกลับ
ขนั้ ตอนทงั้ ๑๐ แสดงได้ ดังแผนภมู ิ
๘๕ Gerlach and Ely. Educational Psychology. Columbia Ohio : Charles E. Merrill Publishing
Company, ๑๙๗๒. หน้า ๙๘-๑๒๐
๑๑๕
แผนภูมทิ ่ี ๑๑ แสดงระบบการสอนของเกอร์ลคั และอีไล
๑. การกาหนดวัตถุประสงค์ ระบบการสอนนี้จะเริ่มต้นการสอนด้วยการกาหนด
วัตถุประสงค์ของการเรียนขึ้นมาก่อน โดยควรเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะ หรือ “วัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม”
ทผี่ ู้เรยี นสามารถปฏิบตั ิและผสู้ อนสามารถวัดหรือสงั เกตได้
๒. การกาหนดเนื้อหา เปน็ การเลอื กเนือ้ หาทเ่ี หมาะสม เพ่อื กาหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และ
บรรลถุ ึงวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมท่ีต้ังไว้
๓. การประเมินผลพฤติกรรมเบ้ืองต้น เป็นการประเมินผลก่อนการเรียนเพื่อให้ทราบ ถึง
พฤติกรรมและภูมิหลังของผู้เรียนก่อนที่จะเรียนเนื้อหาน้ันๆ ว่า ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ในเรื่องท่ีจะ
สอนนน้ั มากน้อยเพยี งใด ท้งั น้เี พือ่ เปน็ แนวทางท่ีจะจดั การเรยี นการสอนไดอ้ ย่างเหมาะสม
๔. การกาหนดกลยุทธ์ของวิธีการสอน การกาหนดกลยุทธ์เป็นวิธีการของผู้สอนในการ ใช้
ความร้เู รอ่ื งราว เลือกทรัพยากร และกาหนดบทบาทของผู้เรียนในการเรียน ซ่ึงเป็นแนวทาง เฉพาะเพื่อช่วย
ให้สามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนนั้น วิธีการสอนตามกลยุทธ์น้ีแบ่งได้เป็น ๒ แบบ
คอื ๘๖
๔.๑ การสอนแบบเตรียมเนื้อหาความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยสมบูรณ์ท้ังหมด
(expository approach) เป็นการสอนท่ีผู้สอนปูอนความรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยการใช้สื่อต่างๆ และจาก
ประสบการณ์ของผู้สอน การสอนแบบน้ี ได้แก่ การสอนแบบบรรยายหรือแบบอภิปราย ซ่ึงผู้เรียนไม่
จาเป็นตอ้ งค้นคว้าหาความรูใ้ หม่ดว้ ยตนเองแต่อยา่ งใด
๔.๒ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (discovery หรือ inquiry approach)
เปน็ การสอนที่ผู้สอนมบี ทบาทเพียงเป็นผเู้ ตรียมสอ่ื และส่งิ อานวยความสะดวกต่างๆ ในการเรียน เป็นการจัด
สภาพการณ์เพ่ือใหก้ ารเรียนรูบ้ รรลตุ ามจุดมงุ่ หมายโดยทผ่ี ู้เรยี นตอ้ งค้นควา้ หาความรเู้ อาเอง
๕. การจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียน เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมกับวิธีสอนและเพ่ือให้ ได้
เรียนรู้ร่วมกันอย่างเหมาะสม การจัดกลุ่มจะต้องพิจารณาจากวัตถุประสงค์ เนื้อหา และวิธีการ สอนด้วย
สอนด้วย
๖. การกาหนดเวลาเรียน การกาหนดเวลาหรือการใช้เวลาในการเรียนการสอนจะข้ึน อยู่
กบั เน้ือหาที่จะเรียน วัตถปุ ระสงค์ สถานท่ี และความสนใจของผู้เรียน
๗. การจัดสถานที่เรียน การจัดสถานท่ีเรียนจะขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มผู้เรียน แต่ใน
บางครั้งสถานท่ีเรียนแต่ละแห่งอาจจะไม่เหมาะสมกับวิธีการสอนแต่ละอย่าง ดังน้ันจึงควรมี สถานท่ีเรียน
หรือห้องเรียนในลกั ษณะตา่ งกัน ๓ ขนาด คือ
๗.๑ ห้องเรยี นขนาดใหญ่ สามารถสอนไดค้ ร้ังละ ๕๐ – ๓๐๐ คน
๗.๒ ห้องเรียนขนาดเล็ก เพ่ือใช้ในการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อย หรือการจัด
กลมุ่ สัมมนาหรอื อภิปราย
๘๖ สจุ รติ เพยี รชอบ. "บทบาทของครูในการพัฒนาประเทศ”. วารสารครุศาสตร์ ๑. (มกราคม-กมุ ภาพันธ์
๒๕๒๒), หน้า ๕๐-๕๓ .
๑๑๖
๗.๓ ห้องเรียนแบบเสรีหรืออิสระ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนตามลาพัง ซ่ึงอาจเป็น
หอ้ ง ศูนยส์ ือ่ การสอนทม่ี คี หู าเรยี นรายบคุ คล
๘. การเลือกสรรทรัพยากรเป็นการท่ีผู้สอนเลือกส่ือการสอนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์
เนอื้ หา วิธกี ารสอน และขนาดของกลุ่มผูเ้ รียน เพื่อให้การสอนบรรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์ทีต่ ั้งไว้
๙. การประเมนิ ผล หมายถึง การประเมนิ ผลพฤติกรรมของผู้เรยี นอันเกิดจาก กระบวนการ
ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างผู้เรยี นกบั ผเู้ รียนด้วยกนั เอง ระหวา่ งผู้สอนกับผู้เรียน หรือ ระหว่างผู้เรียนกับสื่อการสอน
การประเมนิ ผลการเรียนเป็นสิง่ สาคญั มากในการเรียน และเป็น กระบวนการขั้นสุดท้ายของระบบการสอนท่ี
ยึดเอาวัตถุประสงค์ทตี่ ัง้ ไวเ้ ปน็ หลกั ในการดาเนินงาน
๑๐. การวิเคราะหข์ ้อมลู ย้อนกลบั เมื่อขั้นตอนของการประเมินผลเสร็จส้ินลงแล้ว ก็จะ ทา
ให้ทราบได้ว่า ผลที่เกิดขึ้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด ถ้าผลท่ีเกิดข้ึนนั้น ไม่เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ ก็ต้องทาการวิเคราะห์ผลหรือย้อนกลับมาพิจารณาว่า ในการดาเนินงาน ตั้งแต่ต้นน้ันมี
ขอ้ บกพรอ่ งอะไรบา้ งในระบบหรือมีปัญหาประการใดบ้าง ท้ังนี้เพื่อเป็นแนวทางใน การปรับปรุงแก้ไขระบบ
การสอนให้มปี ระสิทธิภาพดยี งิ่ ขึน้ ๘๗(กดิ านนั ท์ มลทิ อง, ๒๕๓๑ : ๗๑ – ๗๓)
๒.๕. ระบบการสอนของสงัด อุทรานนท์ (๒๕๒๕) ๘๘
สงดั อทรานนั ท์ ไดก้ าหนดองค์ประกอบของระบบการเรียนการสอนไว้ ๑๐ ประการ ไดแ้ ก่
๑. ลกั ษณะของผู้เรียน
๒. จดุ ประสงคข์ องการสอน
๓. เน้ือหาสาระทีจ่ ะสอน
๔. การเตรียมความพรอ้ ม
๕. การดาเนนิ การสอน
๖. กิจกรรมสร้างเสริมทกั ษะ
๗. กจิ กรรมสนบั สนุน
๘. การควบคุมและตรวจสอบ
๙. สมั ฤทธผิ ลของการสอน
๑๐. การปรับปรงุ แกไ้ ข
สงัด อทุ รานันท์ ไดก้ ลา่ วถึงรายละเอยี ดของแต่ละองคป์ ระกอบไว้ อธบิ ายโดยยอ่ ได้ดงั น้ี๘๙
๑. ลกั ษณะของผเู้ รยี น การรจู้ ักผู้เรียนจะให้ประโยชน์ต่อครูผู้สอน คือ ช่วยในการ กาหนด
จุดประสงค์การสอน ช่วยในการกาหนดเน้ือหาสาระ ช่วยในการแบ่งกลุ่มผู้เรียน และ ช่วยให้ผู้สอนรู้ว่าใน
๘๗ กาญจนา คุณารกั ษ์ หลกั สตู รและการพฒั นา, นครปฐม : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร, ๒๕๒๗.
หน้า ๘๐-๑๒๖
๘๘ สงดั อุทรานนั ท์. การจดั การเรยี นการสอนอย่างเปน็ ระบบ. พมิ พค์ ร้ังท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาบรหิ าร
การศึกษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๙. หน้า ๘-๑๒
๘๙ สงดั อทุ รานันท์.การจดั การเรียนการสอนอยา่ งเป็นระบบ. พิมพ์ครั้งที่ ๕ กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรุสภา
ลาดพร้าว, ๒๕๓๕. หนา้ ๕๕-๗๘
๑๑๗
ระหว่างการเรียนการสอนสมควรจะได้ช่วยเหลือผู้เรียนกลุ่มใด หรือคนใดเป็นพิเศษ เพื่อจะทาให้สามารถ
เรียนรไู้ ดท้ นั ผ้อู นื่ ดังนน้ั ผู้สอนจงึ จาเป็นต้องรู้พื้นฐานของผู้เรยี นใน
ดา้ นตอ่ ไปน้ี
๑.๑ ความสามารถทางสติปัญญา ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความสามารถทาง
สติปัญญา ไม่เหมือนกนั บางคนมีความสามารถในการคิดคานวณ บางคนมีความสามารถในด้านภาษา สังคม
ศิลปะ ดนตรี ฯลฯ คนไหนมีความสามารถในวิชาใดก็ย่อมจะสามารถเรียนได้ดีในวิชานั้นๆ ผู้สอน จะทราบ
ความสามารถทางการเรียนของผู้เรียนได้จากการใช้แบบทดสอบความสามารถทางการเรียน และจาก
การศึกษาข้อมลู จากระเบยี นสะสมหรอื ผลการเรียนท่ีผ่านมาในปีก่อนๆ
๑.๒ อัตราการเรียน หมายถึง ลักษณะส่วนบุคคลของผู้เรียนที่สามารถเรียนรู้หรือ
เข้าใจในส่ิงท่ีเรียนได้มากน้อยและรวดเร็วเพียงใด วิธีการที่จะทราบอัตราการเรียนหรือทักษะใน การเรียน
ของผู้เรียน อาจทาได้โดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะในการเรียน เช่น ทักษะการอ่าน ทักษะการทางานต่างๆ
โดยจากดั เวลาการทา และใช้วิธกี ารประเมินผลจากการสังเกตพฤติกรรม ในการเรียนของผู้เรียนว่าแต่ละคน
มีอัตราการเรยี นอยา่ งไร
๑.๓ ลักษณะการเรียน ลักษณะการเรียนเป็นส่วนที่เก่ียวข้องกับความสนใจ
ความ เอาใจใส่ ความมานะอดทน และความขยันขันแข็งในการเรียน ซ่ึงอาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น
“ความพยายามในการเรียน” ของผู้เรียนก็ได้ ผู้สอนจาเป็นจะต้องรู้ลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ละคน
ว่า คนไหนพอจะเรียนด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องมีการควบคุม และคนไหนจาเป็นต้องช่วย เหลือเอาใจใส่เป็น
พิเศษ ถ้าหากผู้สอนทราบข้อมูลเหล่าน้ีก็ย่อมจะสะดวกในการแบ่งกลุ่มผู้เรียน หรือช่วยเหลือผู้เรียนท่ีไม่
สามารถเรยี นดว้ ยตนเองได้ถกู ต้อง การท่จี ะทราบว่าผู้เรียนคนไหนมี ลักษณะการเรียนอย่างไร อาจจะศึกษา
และเก็บข้อมูลได้โดยการสังเกตพฤติกรรมในการเรียน หรือ ศึกษาจากระเบียนสะสม หรือสอบถามจากผู้ท่ี
เคยสอนมาในปีก่อนๆ เพื่อประกอบการพจิ ารณาได้
๑.๔ ประสบการณ์เดิม เป็นส่วนสาคัญท่ีจะทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีและรวดเร็วข้ึน
ถ้าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานดีก็จะสามารถเข้าใจได้รวดเร็ว และเกิดความเข้าใจได้แจ่มแจ้ง เนื่องจากเห็น
ความสัมพันธ์ของความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ การที่จะทราบว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐาน คมเป็นอย่างไร จะ
ดาเนนิ การได้โดยดจากผลการเรียนในชั่วโมงกอ่ นๆ และจากการทดสอบ ความรู้กอ่ นสอน
๒. จุดประสงค์ของการสอน การกาหนดจุดมุ่งหมายเป็นงานท่ีมีความสาคัญย่ิงในจัด
การศึกษา จุดมุ่งหมายเปรียบเสมือนหลักชัยท่ีผู้เรียนจะต้องเดินไปถึงจุดน้ัน และขณะเดียวก็จะเป็นเครื่อง
กาหนดทิศทางในการสอนของครูว่าจะสอนให้นักเรียนบรรลุผลในสิ่งใดบ้าง ดังนี้ ในการสอนจึงต้องกาหนด
จุดประสงค์ของการสอนให้ครอบคลุมพฤติกรรมท้ัง ๓ ด้าน อันได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านทักษะ
และด้านเจตคติและค่านิยม ในการเขียนจุดประสงค์ควรได้เขียนออกมาในลักษณะของจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม เพราะทาใหผ้ ้สู อนสังเกตและวดั พฤตกิ รรมการเรียนรู้ของผู้เรยี นได้ละเอียดชัดเจนยง่ิ ข้ึน๙๐
๓. เน้ือหาสาระท่ีจะนามาสอน ในการเลือกเนื้อหาสาระท่ีจะนามาสอนนั้นจาเป็นต้อง
๙๐ สงดั อุทรานันท์.การจดั การเรยี นการสอนอย่างเปน็ ระบบ. พมิ พ์คร้ังที่ ๕ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา
ลาดพร้าว, ๒๕๓๕. หนา้ ๕๕-๗๘
๑๑๘
คานงึ ถึงความยากง่ายให้พอเหมาะกับความสามารถของผู้เรยี น และใหม้ คี วามต่อเนื่องกับความรู้ พื้นฐานเดิม
ของผู้เรียน ถ้าหากเน้ือหาสาระที่นามาสอนมีความง่ายเกินไป ผู้เรียนก็จะไม่เกิดการ เรียนรู้แต่อย่างใด แต่
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากเน้ือหาท่ีนามาสอนมีความยากเกินไป ก็ทาให้การ เรียนรู้เกิดขึ้นด้ วยความ
ยากลาบาก ดังน้ัน ผู้สอนต้องพิจารณาเน้ือหาสาระที่นามาสอนให้มีความ เหมาะสม และพิจารณาว่าเป็น
เน้ือหาประเภทใดในประเภทเหล่าน้ี ๑) ข้อเท็จจริงและความรู้ธรรมดา ๒) ความคิดรวบยอดและหลักการ
๓) การแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ ๔) ทักษะทางกาย ๕) เจตคติและค่านิยม ในการสอนแต่ละคร้ัง
ผู้สอนจาเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดต่างๆ ของ ประเภทความรู้ท่ีจะนามาสอนว่าจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
อะไรบา้ ง
๔. การเตรียมความพรอ้ ม เป็นกจิ กรรมทช่ี ่วยชักนาให้ผู้เรียนพร้อมที่จะเรียนรู้ในส่ิงท่ี สอน
ผู้สอนไมค่ วรใช้เวลาในการเตรยี มความพร้อมนาน คอื อาจใชเ้ วลาประมาณ ๓ – ๕ นาที และไม่ควรเกิน ๑๐
นาที กจิ กรรมในสว่ นของการเตรียมความพร้อมอาจประกอบด้วย
๔.๑ การเตรียมสภาพแวดล้อมในการเรียน เช่น การตรวจดูความพร้อมของ
ผู้เรยี น หรือตรวจดสู ภาพแวดล้อมอ่นื ๆ ในห้องเรียน เพ่ือจะได้ช่วยให้การดาเนินกิจกรรมการ เรียนการสอน
เปน็ ไปด้วยความราบรื่น
๔.๒ การเร้าความสนใจ เช่น การสนทนา ซักถาม เล่าเร่ือง ทายปัญหา ตลอดจน
การใช้อุปกรณ์การสอนเป็นส่ือ ใช้เพลงและเกมเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เป็นต้น การเร้าความ สนใจมี
วัตถุประสงค์ท่ีสาคัญก็เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความตื่นเต้น มีความกระตือรือร้น อยากเรียนรู้ ในส่ิงท่ีครูจะนามา
สอน
๕. การดาเนินการสอน ถือเป็นกิจกรรมหลักที่มีความสาคัญยิ่ง ซ่ึงจะใช้เวลามากกว่า
กิจกรรมอน่ื ๆ คอื ควรใชป้ ระมาณรอ้ ยละ ๖๕ ของเวลาทั้งหมด เชน่ ถ้ามีเวลาสอนทั้งหมด ๑ ชั่วโมง จะเป็น
เวลาการดาเนนิ การสอนประมาณ ๔๐ นาที การจดั ดาเนินการสอนนผ้ี ้สู อนจะต้อง มีความรู้เกี่ยวกบั
๕.๑ การเลือกเทคนิควธิ ีการสอน ผสู้ อนจาเปน็ ตอ้ งเลือกเทคนคิ และวิธีการสอนให้
เหมาะสมกับธรรมชาติของเน้อื หาวชิ าตา่ งๆ และเหมาะสมกับวัยของผ้เู รียนด้วย ดังนัน้ ผสู้ อนควร
จะได้ศึกษาถึงเทคนิควิธีการสอนแบบต่างๆ ให้รู้ถึงข้อดีและข้อจากัดของวิธีสอนเหล่าน้ัน ให้รู้ว่าสมกับ
เนอ้ื หาวิชาประเภทใดหรอื เหมาะสมกบั ผูเ้ รยี นในวัยใด
๕.๒ การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอน การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อเป็นส่ือ การ
เรยี นการสอน ควรจะได้คานึงถงึ ความประหยดั และสะดวกในการจัดหาเป็นประการสาคัญ สือ การเรียนการ
สอนทด่ี ีไม่จาเป็นจะต้องมีราคาแพง แต่ควรจะคานงึ ถงึ คณุ คา่ ท่จี ะให้เกดิ ความเข้าใจแก่ ผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ
๕.๓ การเลือกใช้แหล่งวิทยาการในชุมชน ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
บาง ครั้งอาจจาเป็นจะต้องใช้แหล่งวิชาการจากภายนอกโรงเรียนด้วย อาจจะเป็นการเชิญบุคคลภาย นอก
มาเป็นวทิ ยากรให้ความรู้ หรอื อาจจะพาผู้เรียนออกไปทัศนศึกษายังสถานท่ีสาคัญท่ีเกี่ยวข้อง กับการเรียนก็
ได้ โดยคานงึ ถึงประโยชน์ท่ีผเู้ รยี นจะไดร้ ับเป็นประการสาคัญ
๖. การสร้างเสริมทักษะเป็นการให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนเพ่ือสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียน
มาแล้วให้ดียิ่งขึ้น เช่น อาจเป็นการให้ทาแบบฝึกหัด หรือทางานอ่ืนๆ กิจกรรมสร้างเสริมทักษะ นี้อาจเป็น
กิจกรรมที่ทุกคนทาเหมือนกัน หรือเป็นกิจกรรมสร้างเสริมทักษะเป็นรายบุคคล โดยจัด ให้แก่ผู้ท่ีเรียนช้า
๑๑๙
และผูท้ ีเ่ รยี นเก่ง ซ่งึ ควรเป็นกิจกรรมทสี่ นองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล
๗. การจัดกิจกรรมสนบั สนนุ กิจกรรมสนับสนุนการเรียนการสอน หมายถึง กิจกรรม ที่จะ
ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจแจ่มแจ้งย่ิงขึ้น ช่วยให้จดจาได้นานยิ่งข้ึน หรือช่วยให้การเรียน การสอนที่จะ
ดาเนนิ การในครัง้ ตอ่ ไปเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กิจกรรมสนับสนุน ได้แก่ การสรุปทบทวนและการ
ส่ังงาน๙๑
๗.๑ การสรุปทบทวน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเน้ือหาที่ได้เรียนมาและ
เป็นการย้ายให้ผู้เรียนเกิดความจดจาได้ดียิ่งข้ึน การสรุปหรือการทบทวนควรเป็นการสรุปของ ผู้เรียนเอง
หรือผูส้ อนอาจถามคาถามเพ่ือนาไปสูก่ ารสรุปน้นั ๆ
๗.๒ การส่ังงาน การสั่งงานมี ๒ ลักษณะ คือ การส่ังงานเพื่อให้ผู้เรียนไปศึกษา
ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือให้ทาแบบฝึกหัดเป็นการบ้าน และการส่ังงานเพ่ือเป็นการเตรียมการเรียน การสอน
ล่วงหน้า เช่น การสั่งให้ผู้เรียนได้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ หรือส่ังให้ไปศึกษาค้นคว้าเร่ืองใด เร่ืองหนึ่งเป็นการ
ลว่ งหนา้ ซ่งึ การสัง่ งานนจ้ี ะช่วยใหก้ ารเรยี นการสอนมปี ระสิทธภิ าพยิ่งขน้ึ
๘. การควบคุมและตรวจสอบ เป็นองค์ประกอบท่ีดาเนินการควบคู่ไปกับกิจกรรม การ
เรียนการสอนต้ังแต่ต้นจนจบชั่วโมงสอน ทาให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ช่วย
ทาให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้น มีความสนใจและเอาใจจดจ่อต่อการเรียนมากข้ึน และช่วยให้ผู้สอนได้
จดั การเรยี นการสอนใหพ้ อเหมาะกับสภาพความตอ้ งการและความสามารถ ของผู้เรียน กิจกรรมการควบคุม
และตรวจสอบพฤติกรรมการเรยี นการสอนประกอบด้วย
๘.๑ การวดั ความรกู้ ่อนสอน มีวัตถุประสงค์ที่สาคัญเพ่ือตรวจสอบความรู้พ้ืน เดิม
ของผู้เรียนว่ามีความรู้ความเข้าใจเพียงพอที่จะเรียนเน้ือหาใหม่ได้หรือไม่ ถ้าหากพบว่าผู้ ยังมีพ้ืนฐานไม่
เพยี งพอ ผ้สู อนก็จาเปน็ ตอ้ งทบทวนหรือสอนเพ่ิมเติมก่อนท่ีจะเรียนเนื้อหาใหม่ ที่ได้กาหนดไว้ การรู้พื้นฐาน
เดิมของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้สอนได้เร่ิมสอนให้ต่อเนื่องกับความร้เดิน มีอยู่แล้ว การปฏิบัติเช่นนี้จะทาให้การ
เรียนการสอนสมั ฤทธิผลไดง้ า่ ย การวดั ความรกู้ ่อนสอน ดาเนินการอยา่ งง่ายๆ และใช้เวลาให้นอ้ ยทีส่ ุด
๘.๒ การใช้คาถาม การใช้คาถามเพ่ือประโยชน์ในการควบคุมและตรวจสอบ
พฤตกิ รรมการเรยี นมีจดุ ประสงค์สาคัญ ๒ ประการ คือ
ก. เพ่ือเป็นการควบคุมความสนใจของผู้เรียน ท้ังนี้เพราะการซักถามจะทาให้
ผู้เรียน เอาใจจดจอ่ ตอ่ การเรยี นการสอนอย่างสม่าเสมอ
ข. เพ่ือเป็นการตรวจสอบการเรียนรู้ระหว่างการเรียนการสอนว่า ผู้เรียนมีความ
เข้าใจหรือไม่เพียงใดเน่ืองจากคาถามมีหลายประเภท เช่น คาถามประเภทความรู้ ความจา ประเภท ความ
เขา้ ใจ ประเภทความคิด ฯลฯ ผู้สอนควรใชค้ าถามประเภทให้ผู้เรียนได้คิด ควรเป็นคาถาม ท่ีสามารถตอบได้
หลายคาตอบ เพราะคาถามชนิดนี้จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถคิดแก้ปัญหา และ ส่งเสริมให้เกิดความคิด
สร้างสรรค์ไดเ้ ปน็ อย่างดี
๘.๓ การเสริมกาลังใจ การเสริมกาลังใจมีทั้งทางบวกและทางลบ การเสริมกาลัง
ใจทางบวก เช่น การใหร้ างวลั การยกยอ่ งชมเชย การให้ส่ิงของตอบแทน ส่วนการเสริมกาลังใจ "ทางลบ เช่น
๙๑ สงัด อุทรานันท์. การจัดการเรียนการสอนอยา่ งเปน็ ระบบ. พิมพค์ รัง้ ที่ ๕. กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาบริหาร
การศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๙. หนา้ ๘-๑๒
๑๒๐
การตาหนติ ิเตียน ดดุ า่ ว่ากลา่ ว หรอื การทาโทษดว้ ยวิธีการต่างๆ ผู้สอนควรเสริม กาลังใจให้ถูกต้องกับสภาพ
ความต้องการของผู้รับในแต่ละวัย ควรให้ด้วยความจริงใจและใช้ หลายๆ วิธีแตกต่างกันไป เช่น การให้คา
ชมเชย การแสดงออกทางสหี นา้ ทา่ ทาง การสมั ผัส ทางกาย การให้เครอื่ งหมายหรือรางวัล เปน็ ต้น
๘.๔ การวัดผลหลังการสอน หลังจากการเรียนการสอนได้ผ่านไปแล้ว ควรจะได้
ทาการตรวจสอบดูว่า ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและมีเจตคติต่อสิ่งท่ีเรียนมาแล้วเป็น อย่างใด
โดยอาจใช้วิธีการต่างๆ เช่น การตรวจสอบผลงานจากการทาแบบฝึกหัด การให้ทาข้อ ทดสอบสันๆ การให้
ผเู้ รียนสรุปสาระสาคญั การซกั ถามและสมั ภาษณ์ เป็นตน้ ๙๒
๙. สัมฤทธิผลของการสอน การประเมินผลการเรียนการสอน เป็นการตรวจสอบ ผลผลิต
(Output) ว่าผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามจุดประสงค์ที่ได้กาหนดไว้เพียงใด โดย ประเมินผลจากการ
ทากจิ กรรม จากการทดสอบความร้หู ลงั การสอน หรอื จากการสรปุ ความ เข้าใจของผู้เรียน ผู้สอนควรแจ้งผล
การประเมินให้ผู้เรียนทราบ ถ้าผู้เรียนคนใดยังไม่บรรลุกิจกรรมการเรียนการสาหรับการเรียนการการเรียน
การจุดประสงค์ก็ควรได้มีการสอนซ่อมเสริมให้ ข้อมูลท่ีได้จากการประเมินผลสัมฤทธ์ิของการสอน จะเป็น
ข้อเสนอแนะสาหรับการปรับปรุงแก้ไขการเรียนการสอนในคร้ังต่อไปให้ดีย่ิงขึ้น และ ขณะเดียวกันข้อมูล
เหลา่ นจี้ ะแสดงให้ทราบถงึ พ้นื ฐานของผู้เรยี นสาหรับการเตรยี มการเรียน การสอนในคร้งั ตอ่ ไปอีกดว้ ย
๑๐. การปรับปรุงแก้ไข จากการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียน ถ้าพบว่า
ผูเ้ รียนส่วนใหญ่ยังไม่บรรลุผลตามจุดประสงค์ท่ีได้กาหนดไว้ ก็ควรจะทาการวิเคราะห์ดูว่า การ จัดกิจกรรม
การเรียนการสอนในคร้ังนั้นบกพร่องท่ีส่วนใด ซึ่งอาจเน่ืองมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น พ้ืนฐานของผู้เรียนไม่ดี
พอสาหรับการเรยี นการสอนในหน่วยนั้น จุดประสงค์ที่ตั้งไว้สูงเกินไป เนื้อหาสาระยากเกินไปสาหรับผู้เรียน
กิจกรรมการเรียนการสอนไม่น่าสนใจ เครื่องมือการวัด และประเมินผลไม่เหมาะสม ฯลฯ ถ้าทาการ
ตรวจสอบดูแล้วเห็นว่า การเรียนการสอนไม่ได้เป็น ไปตามจุดประสงค์และมีจุดบกพร่องอยู่ก็สมควรได้
ปรับปรงุ แก้ไขตามสาเหตขุ องขอ้ บกพร่องนัน้
จากรูปแบบระบบการสอนตามทรรศนะของนักการศึกษาท่ีกล่าวมาท้ังหมด จะเห็นได้ว่า มี
รายละเอียดมากน้อยแตกต่างกัน ผู้สอนควรได้วิเคราะห์พิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความ ถนัด
ความสามารถของตนและของผู้เรียน และให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม หรือผู้สอนอาจพัฒนาออกแบบ
ระบบการสอนใหม่เป็นของตนเอง โดยคานึงถงึ จดุ หมายของหลักสูตรเป็น ประการสาคัญ
๙๒ สงัด อุทรานนั ท์. การจดั การเรยี นการสอนอยา่ งเป็นระบบ. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าบรหิ าร
การศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๒๙. หน้า ๘-๑๒
๑๒๑
๓. ลกั ษณะการสอนทด่ี ี๙๓
๓.๑. คุณลกั ษณะการสอนท่ดี ี๙๔
ลักษณะใดกต็ ามท่ที าใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรไู้ ด้ดี จัดเป็นการสอนที่ดีทง้ั สน้ิ ถ้าจะกล่าวโดย
ละเอยี ดแยกยอ่ ยแลว้ จะมลี ักษณะดังนี้
๑. เปน็ การสอนทมี่ กี ารเตรยี มการสอนเปน็ อยา่ งดี ครบองคป์ ระกอบของการสอน อันได้แก่
การต้ังจุดประสงค์การสอน การจัดเน้ือหาสาระ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และ
การวดั ผลประเมินผล
๒. เป็นการสอนทท่ี าให้ผูเ้ รียนเกิดการพฒั นา ทั้งดา้ นความรู้ความคิด ด้านเจตคติ และด้าน
ทักษะ ทาให้ผู้เรียนเกิดความรู้แจ้ง คิดชอบ และปฏิบัติดี เกิดการเจริญเติบโตทุกด้าน อย่างช่ืนบานและ
แจม่ ใส
๓. เป็นการสอนท่ีผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ได้สอดคล้องกับจุดประสงค์กับ
เนอ้ื หาและกับผูเ้ รียน โดยใช้กิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสม
๔. เป็นการสอนท่ีผู้เรียนได้ลงมือกระทากิจกรรมด้วยตนเองหรือได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม
การเรยี นการสอน ทาให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรไู้ ด้ดี และเกดิ ความกระตอื รือร้นในการเรียน
๕. เป็นการสอนท่ีสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักสูตร เช่น หลักสูตรการศึกษาข้ัน
พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข และมี
ความเป็นไทย มีศกั ยภาพในการศึกษาตอ่ และประกอบอาชีพ ผู้สอนก็ตอ้ ง จดั การเรยี นการสอนให้ผู้เรียนเกิด
คุณลกั ษณะดงั ทหี่ ลักสูตรท่ีกาหนดไว้
๖. เปน็ การสอนทค่ี านึงถงึ ประโยชนท์ ่ผี ู้เรียนจะนาไปใช้ในชีวิตประจาวันและตลอดไป เช่น
การสอนโดยให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ ได้รู้จักวิธีแสวงหาความรู้ ได้ฝึกคิดแก้ ปัญหา ย่อมดีกว่าวิธี
สอนโดยบอกความรู้ให้ หรือกระทาให้ดูแต่เพียงอย่างเดียว การให้ผู้เรียนได้ นาประสบการณ์ท้ังความรู้
ความคดิ ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ปจั จุบันและอนาคตได้ ย่อมเปน็ การสอนท่มี คี ุณค่าแกผ่ ู้เรยี น
๗. เป็นการสอนท่ีเร้าความสนใจผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนสนใจเรียนตลอดจนจบ กระบวนการ
สอน เชน่ ผูส้ อนใชส้ ่ือการสอนท่ีน่าสนใจ ใช้คาถามกระตนุ้ ใหค้ ดิ ใช้วิธกี ารสอนหลาย รูปแบบท่ีเหมาะสม ให้
ผู้เรียนได้ลงมือกระทา (Learning by doing) ได้ทดลอง ได้คิดค้นคว้า เป็นต้น ย่อมทาให้ผู้เรียนเรียนด้วย
ความสนใจ
๘. เป็นการสอนท่ีมีบรรยากาศส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งบรรยากาศด้านวัตถุและด้าน จิตใจ
บรรยากาศด้านวัตถุ หมายถึง การมีสภาพห้องเรียน อุปกรณ์การเรียน และส่ิงแวดล้อม ท่ีดี เอ้ืออานวยให้
เกิดความสบายตาสบายใจในการเรียน ส่วนด้านจิตใจ หมายถึง การที่ครูมี ปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนด้วยดี ให้
ความเป็นกันเอง ให้ความเมตตา ความรัก ความอบอุ่นแก่ นักเรียน ทาให้นักเรียนเรียนด้วยความสุข มี
๙๓ กรมวชิ าการ, การจัดกระทรวงศึกษาธิการ. แนวกิจกรรมเพอ่ื สรา้ งเสรมิ คุณลกั ษณะ ดี เกง่ มีสขุ . กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พ์การศาสนา, ๒๕๔๓. หนา้ ๗๘-๙๒
๙๔ ชชู าติ เชิงฉลาด. หลักการสอน. กรุงเทพมหานคร : ธีรพงษ์การพมิ พ์, ๒๕๒๔. หนา้ ๗๐-๙๒
๑๒๒
ชีวติ ชวี า และไมต่ ึงเครยี ด๙๕
๙. เป็นการสอนท่ีผู้สอนรู้จักใช้จิตวิทยาการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม เช่น การให้รางวัล
และการลงโทษที่พอดี การให้คาชม การจูงใจ เร้าใจให้ผู้เรียนเกิดแรงกระตุ้นภายใน การให้ ผู้เรียนได้
รับทราบผลงานของตนโดยทันที การให้ผู้เรียนเกิดความภูมิใจในความสาเร็จของตน การคานึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบคุ คล การใหเ้ รียนจากสง่ิ ท่งี ่ายไปยาก ฯลฯ เหลา่ น้ีเปน็ ปจั จยั ชว่ ยส่งเสรมิ การเรยี นร้ไู ดด้ ี
๑๐. เป็นการสอนท่ีส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น ให้ผู้เรียนมีอิสระ ใน
การแสดงความคิดเห็น ผู้เรียนได้ฝึกการทางานกลุ่มร่วมกัน ได้ฝึกการเป็นผู้นาผู้ตาม ฝึกการ ทาตาม
ข้อกาหนดของกลุ่ม และฝึกระเบียบวินัยในตนเอง ส่ิงเหล่าน้ีจะเป็นการปูพ้ืนฐานการเป็น สมาชิกท่ีดีของ
สงั คม และการเป็นพลเมอื งท่ีดขี องประเทศชาติตอ่ ไป๙๖
๑๑. เป็นการสอนที่มีกระบวนการ หมายถึง มีลาดับขั้นตอนการสอนที่ไม่สับสน ในการ
สอนจาเป็นต้องมกี ารเตรยี มการสอน เตรยี มจดั ลาดบั การสอนให้สอดคล้องต่อเน่ืองกันอย่าง เหมาะสมตั้งแต่
ขนั้ นา ขัน้ สอน และข้ันสรุป กระบวนการสอนจะมีขั้นตอนแตกต่างกันไปตาม ลักษณะของวิธีสอนท่ีนามาใช้
เช่น วิธีสอนแบบสาธติ ย่อมมขี นั้ ตอนการสอนแตกต่างจาก วิธีสอนแบบทดลอง ผู้สอนต้องวางแผนจัดลาดับ
ข้นั ตอนการสอนให้ถูกตอ้ ง
๑๒. เป็นการสอนท่ีมีการวัดผลประเมินผลทั้งก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังการเรียน
โดยอาจใช้วธิ ีตา่ งๆ เชน่ การสังเกต การซักถาม การทดสอบ การให้ค้นคว้ารายงาน การทาแบบ ฝึกหัด ฯลฯ
การวดั ผลประเมนิ ผลจะชว่ ยวัดผลสัมฤทธ์ขิ องผู้เรียน และวดั ผลสาเรจ็ ของผู้สอน ผ้สู อนจะนาผลการประเมิน
มาเป็นข้อมูลย้อนกลับพิจารณาการสอนของตนว่า มีข้อบกพร่องที่ องค์ประกอบการสอนข้อใด ทาให้แก้ไข
ได้ตรงจุด เพ่อื ความสมบรู ณข์ องการสอนครงั้ ตอ่ ไป
. ๑๓. เปน็ การสอนทผี่ สู้ อนสอนด้วยวิญญาณความเป็นครู สอนด้วยความกระตือรือร้น สอน
ด้วยความตั้งใจ ความเต็มใจ และความม่ันใจ บุคลิกภาพท่าทีการแสดงออกของผู้สอน จะสะท้อนให้ผู้เรียน
เข้าใจความรู้สึกของผู้สอนได้ดี ถ้าผู้สอนมีความรู้สึกที่ดีทั้งต่อผู้เรียนและต่อ อาชีพ ผู้เรียนส่วนใหญ่จะเรียน
ดว้ ยความศรัทธา ดว้ ยความสขุ ดว้ ยความต้ังใจ และด้วยความ เต็มใจเช่นกัน
จากท่ีกล่าวมาทั้งหมด สรุปได้ว่า ลักษณะการสอนที่ดีเป็นการสอนท่ีพัฒนาผู้เรียนให้ เกิดการ
เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมในทางสรา้ งสรรค์ และร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยความสขุ
๙๕ ชาญชยั อินทรประวตั ิ. สอนดตี ้องมหี ลกั : บัญญัติ ๒๐ ประการของการสอน. กรุงเทพฯ : แสงสว่างการพิมพ์
๒๕๔๒. หน้า ๓๒๐-๓๔๒
๙๖ ชศู รี สนทิ ประชากร. การประถมศกึ ษา, กรงุ เทพมหานคร : วชั ระการพิมพ์ ๒๕๒๒. หนา้ ๓๒-๓๔
๑๒๓
๔. รูปแบบและวิธีการสอนแบบตา่ งๆ๙๗
ถ้าจะพิจารณาถึงลักษณะการเรียนการสอนในปัจจุบัน จะเน้นเร่ืองการเปล่ียน แปลงพฤติกรรมใน
ดา้ นความรู้ ดา้ นเจตคติ และดา้ นทกั ษะ ฉะนน้ั พฤตกิ รรมด้านใดจะ เปล่ยี นไปมากน้อยยอ่ มข้ึนอยู่กับนักเรียน
ว่ามีพฤติกรรมแต่ละด้านเพียงใด และประสบ การณ์ใหม่ที่ครูจะให้นั้นจัดเป็นพฤติกรรมด้านใด ดังน้ัน ครู
จะต้องใช้เทคนิควิธีสอนแบบ ต่าง ๆ หลายวิธีให้เหมาะสมกับนักเรียน จึงจะทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
และเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมด้านตา่ ง ๆ ได้ครบซง่ึ จะเป็นไปตามจุดมุ่งหมายทตี่ ั้งไว้
๔.๑. ความหมายของวิธสี อน๙๘
วิธีสอนของครูถือว่าเป็นองค์ประกอบสาคัญประการหน่ึงท่ีจะทาให้ความมุ่ง หมายของ
การศกึ ษากลายเปน็ ความจรงิ ขึ้นมาได้ ดังท่มี ีผูก้ ล่าวถึงความสาคัญและความหมายของวธิ ีสอนไว้ดงั นี้
วธิ ีสอนเปน็ กระบวนการท่ที าใหจ้ ุดประสงคห์ รือความมุ่งหมายของการศึกษา ปรากฏผลข้ึน
ได้ ฉะน้ันวิธีสอนจึงเปรียบเสมือนที่เช่ือมโยงวัตถุประสงค์กับผลให้ต่อเนื่อง กัน (หน่วยศึกษานิเทศก์กรม
สามญั ศึกษา ๒๕๑๓ : ๒๘)
จากข้อความดงั กล่าวจะเหน็ ไดว้ ่า จุดประสงค์ตา่ ง ๆ ท่วี างไว้จะบรรลุผลไม่ได้ ถ้าปราศจาก
วิธสี อน
วารี ถิระจิตร ให้ความหมายของวิธีสอนว่า วิธีสอนคือการจัดกิจกรรมแบบ ต่าง ๆ ท่ี
เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้เกิดความเจริญงอกงามและพัฒนาไปในทางท่ีพึ่ง ปรารถนา (วารี ถิระจิตร
๒๕๓๐ : ๕๐)
คล้าค และ สตาร์ (Clark and Starr) ได้อธิบายความหมายของวิธีสอนว่า หมายถึงวิธีการ
ที่ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอน รวมทั้งการใช้เทคนิคการสอน เน้ือหาวิชา และส่ือการสอน เพ่ือให้บรรลุ
ถงึ จดุ ประสงค์ของการสอน
จงึ อาจสรปุ ไดว้ ่า วิธสี อนหมายถงึ กระบวนการตา่ ง ๆ ท่คี รูนามาใช้สอนนักเรียน เพื่อให้การ
เรยี นการสอนมปี ระสิทธิภาพในดา้ นความรู้ ความเข้าใจ ด้านเจตคติ และดา้ นทกั ษะ๙๙
๔.๒. ประเภทของวธิ สี อน
วธิ ีสอนมหี ลายรปู แบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็ย่อมมีลักษณะและวิธีการสอนแตก นางกัน ฉน้ัน
เมอื่ นาวธิ ีสอนแบบต่าง ๆ มาจดั ประเภทตามลักษณะเฉพาะจะได้ ๒ แบบ คือ
๑. วิธีสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered Method) ได้แก วิธีตอนที่ครูเป็น
ผู้สอน ครูเป็นผู้ดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่ เช่น ครูจะ เป็นผู้ตั้งจุดมุ่งหมาย ควบคุม
เน้อื หา จัดกิจกรรม และวดั ผล เปน็ ตน้ วธิ ีสอนแบบนไี้ ดแ้ ก่ สอนแบบบรรยาย วธิ สี อนแบบสาธิต วิธีสอนโดย
การทบทวน
๙๗ กาญจนา เกียรติประวัต.ิ วธิ ีสอนทวั่ ไปและทกั ษะการสอน. กรงุ เทพมหานคร : วัฒนาพานิช, ๒๕๓๔. หน้า
๖๐๐-๖๑๘
๙๘ จิตรา วสวุ านิช. จติ วิทยาการศึกษา, พิมพ์ครง้ั ที่ ๔. กรงุ เทพมหานคร : แสงจันทรก์ ารพิมพ,์ ๒๕๓๑. หน้า
๖๐-๖๑
๙๙ กาญจนา เกียรตปิ ระวัต.ิ วิธสี อนทวั่ ไปและทักษะการสอน. กรุงเทพมหานคร : วิทยาลัยศรนี ครรินทรวิโรฒ
ประสานมิตร, ๒๕๒๔. หนา้ ๖๐๐-๖๑๘
๑๒๔
๒. วิธีสอนแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Pupil-Centered Method) ได้แก่ วิธีสอนที่ให้
นักเรียนได้มีโอกาสเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้วางแผนบทเรียน ดาเนินการค้นคว้าหาความรู้
ครูเป็นเพียงผู้แนะแนวไปสู่การค้นคว้า และนาส่ือการเรียนจน นักเรียนได้ความรู้ด้วยตนเอง ได้แก่วิธีสอน
แบบทดลอง วิธีสอนแบบโครงการ วิธีสอน แบบศูนย์การเรียน วิธีสอนแบบสืบสวนสอบสวน วิธีสอน
แบ่งกลุ่มทางาน วิธีสอนแบบ อภิปราย วิธีสอนแบบหน่วย วิธีสอนแบบอุปนัย วิธีสอนแบบนิรนัย วิธีสอน
แบบแสดงบทบาท วธิ ีสอนแบบวิทยาศาสตร์
๔.๓. วิธีสอนแบบครเู ปน็ ศนู ยก์ ลาง๑๐๐
๑. วิธีสอนแบบบรรยาย (Lecture Method)
ความหมาย วิธีสอนท่ีครูพูด บอกเล่า หรืออธิบายเน้ือหาหรือเร่ืองราวต่าง ๆ ให้
นักเรียนฟัง ไม่ว่าจะเป็นเวลาสั้นยาวเพียงใด โดยที่ครูเป็นฝุายเตรียมการศึกษาค้นคว้าเร่ือง ราวต่าง ๆ
มาแล้วนักเรียนเป็นฝุายมารับผลการศึกษาค้นคว้านั้น โดยท่ัวไปมักจะเป็นการ ส่ือความหมายทางเดียว คือ
จากครูไปสู่นกั เรียนโดยนักเรียนจะมโี อกาสมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนการสอนนอ้ ย
ความมุ่งหมาย
๑. เพ่อื ช่วยนาทางในการอ่านหนงั สือของนกั เรียน
๒. เพือ่ ใชใ้ นการตอบคาถามหรือปญั หาที่เกดิ ขนึ้ ในห้องเรยี น
๓. เพื่อชว่ ยประหยัดเวลาในการคน้ ควา้ และทดลองบางเรื่อง
๔. เพอ่ื ใชอ้ ธบิ ายบทเรยี นท่ียาก เพอ่ื นาทางใหเ้ ดก็ เขา้ ใจและย่วั ยใุ หเ้ ดก็ สนใจ
๕. เพ่ือต้องการสรุปบทเรยี น หรอื ทบทวน
ขั้นตอนในการสอน๑๐๑
๑. การเตรียมการบรรยาย ต้องกาหนดจดมุ่งหมายในการสอนเน้ือหาวิชานั้น ให้
ชัดเจน หาวิธีเร้าความสนใจของนักเรียนโดยเตรียมอุปกรณ์การสอนต่าง ๆ ให้เหมาะสม หรืออาจใช้วิธีการ
สอนอื่น ๆ ร่วมด้วยกไ็ ด้ เชน่ วิธสี อนแบบอุปนยั วิธีสอนแบบนิรนัย หรอื วธิ ีสอนแบบอภิปราย เป็นตน้
๒. การดาเนินการสอน การบรรยายอาจเร่ิมจากการเสนอปัญหาหรือต้ังคาถาม
เพื่อนาไปสู่การบรรยายในขณะบรรยายต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ซักถาม และครูต้องใช้ คาถามอยู่เสมอ
เพือ่ ให้นักเรยี นสนใจ ตลอดเวลาสอนตอ้ งใชส้ ือ่ การสอนเพอื่ เพิม่ ความสนใจ ให้นักเรียน การเสนอเนื้อหาควร
เร่มิ จากสาคัญมากไปหาสาคญั นอ้ ย และควรมีลลี าในการ พูดทน่ี ่าสนใจด้วย
ขอ้ ดีและข้อจากัด
ข้อดี
๑. สอนได้รวดเร็ว
๒. สอนนกั เรียนไมจ่ ากดั จานวนใช้สอนตัง้ แตก่ ลุ่มเลก็ จนถึงกล่มุ ใหญ่
๓. เหมาะสาหรบั เน้อื หาท่ียากทาให้ง่ายข้ึนง่ายแก่การเข้าใจ
๑๐๐ การฝกึ หดั คร,ู กทม. หน่วยศึกษานเิ ทศก. กระบวนการฝึกประสบการณว์ ิชาชีพครู. กรงุ เทพมหานคร : โรง
พมิ พ์ศาสนา, ๒๕๓๐. หนา้ ๒๐-๔๔
๑๐๑ กรมวชิ าการ สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร, ค่มู อื การจดั การ
เรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลย,ี กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ร.ส.พ., ๒๕๔๔. หนา้ ๒๐๐
๑๒๕
๔. สง่ เสริมทักษะการยอ่ และเขยี น
ขอ้ จากดั
๑. นักเรยี นมสี ่วนรว่ มในการเรียนนอ้ ย ทาให้หมดความสนใจถ้านง่ั ฟังมากเกนิ ไป
๒. นักเรียนบางกลมุ่ อาจตามไมค่ อ่ ยทนั จะทาให้ไมเ่ ข้าใจและเกิดความเบือ่ หนา่ ย
๓. ไม่ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่เหมาะสาหรับการสอนระดับ
ประถมศกึ ษา
๒. วธิ สี อนแบบสาธิต (Demonstration Method)๑๐๒
ความหมาย วิธีสอนที่ครูมีหน้าท่ีในการวางแผนการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่
โดยมกี ารแสดงหรอื การกระทาให้ดเู ป็นตัวอย่าง นกั เรยี นจะเกิดการเรยี นรจู้ ากการสังเกต การฟัง การกระทา
หรอื การแสดง และอาจเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มบ้าง
ความมงุ่ หมาย
๑. เพอ่ื กระตุ้นความสนใจใหน้ กั เรียนมีความสนใจในบทเรยี นย่งิ ขึ้น
๒. เพอ่ื ช่วยในการอธบิ ายเนอ้ื หาทยี่ าก ซงึ่ ตอ้ งใช้เวลามาก ให้เขา้ ใจงา่ ยข้ึนยัดเวลา
บางเนือ้ หาอาจจะอธบิ ายใหน้ กั เรียนเข้าใจได้ยาก การสาธิตจะทาให้ รียนได้เห็นขั้นตอนและเกิดความเข้าใจ
ง่าย
๓. เพื่อพัฒนาการฟังการสังเกตและการสรุปทาความเข้าใจในการสอน โดยใช้
สาธติ นกั เรียนจะฟังคาอธิบายควบคู่ไปดว้ ย และตอ้ งสงั เกตขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดจนผลที่ได้จากการสาธิตแล้ว
จงึ สรุปผลของการสาธติ นั้น
๔. เพ่ือแสดงวิธีการหรือกลวิธีในการปฏิบัติงาน ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วย พด
เชน่ การทากจิ กรรมในวิชาคหกรรม ศิลป ฯลฯ
๕. เพ่ือสรุปประเมนิ ผลความเขา้ ใจในบทเรยี น
๖. เพือ่ ใช้ทบทวนบทเรยี น
ข้ันตอนในการสอน ๑๐๓
๑. กาหนดจุดมุ่งหมายของการสาธิตให้ชัดเจน และต้องสาธิตให้เหมาะสมกับเนื้อ
เรื่อง
๒. เตรียมอุปกรณ์ในการสาธิตให้พร้อม และตรวจสอบความสมบรู ณข์ องอปุ กรณ์
๓. เตรียมกระบวนการสาธิต เช่น กาหนดเวลาและข้ันตอน จะเร่ิมต้นดาเนิน การ
และจบลงอยา่ งไร ผูส้ าธติ ตอ้ งเขา้ ใจในข้นั ตอนตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีอย่างละเอยี ดแจม่ แจ้ง
๔. ทดลองสาธิตก่อนสอน ควรทดลองสาธิตเพ่ือตรวจสอบความพร้อมตลอด จน
ผลท่จี ะเกิดขึน้ เพอื่ ปูองกันข้อผิดพลาดในเวลาสอน
๕. ต้องจัดทาคู่มือคาแนะนาหรือข้อสังเกตในการสาธิต เพื่อท่ีนักเรียนจะใช้
๑๐๒ ชนาธิป พรกลุ แคทส์. รปู แบบการจัดการเรียนการสอนทีผ่ เู้ รยี นเปน็ ศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๔. หนา้ ๒-๔
๑๐๓ ทองคณู หงสพ์ ันธ์ุ. สอนดีตอ้ งมหี ลัก. กรุงเทพมหานคร : แสงสว่างการพมิ พ,์ ๕๕๔๒. หนา้ ๙๒-๙๔
๑๒๖
ประกอบในขณะท่ีมีการสาธิต
๖. เม่ือการสาธิตเสร็จสิ้นแล้ว นักเรียนควรได้ทาการสาธิตซ้าอีก เพ่ือเน้นให้ เกิด
ความเขา้ ใจดขี ึ้น
๗. จัดเตรียมกิจกรรมหลังจากการสาธิตเพ่ือให้นักเรียนเห็นคุณค่าหรือ ประโยชน์
ของการสาธติ น้ัน ๆ
๘. ประเมนิ ผลการสาธิต โดยพจิ ารณาจากพฤตกิ รรมของนักเรียนและผลของ การ
เรียนรู้ การประเมินผลควรมีกิจกรรมหรือเครื่องมือ เช่น การทดสอบ การให้แสดง ความคิดเห็น หรือการ
อภิปรายประกอบ
๓. วิธสี อนโดยการทบทวน (Reviewing) ๑๐๔
ความหมาย วิธีสอนท่ีครูทบทวนเน้ือหาที่เรียนไปแล้วให้แก่นักเรียน นักเรียนเกิด
ความมนั่ ใจวา่ เข้าใจเน้ือหาอยา่ งชดั เจนและแม่นยาพอทจ่ี ะสามารถระลึกไดเ้ ม่ือตอ้ งการ
ความมุง่ หมาย
๑. เพื่อทบทวนบทเรยี นใหเ้ ข้าใจง่าย
๒. เพือ่ สรปุ ประเมินผลความเขา้ ใจในบทเรยี น
ข้นั ตอนของการสอน
๑. ครกู ลา่ วถงึ เนื้อหาของบทเรยี นทน่ี กั เรียนเรยี นแลว้
๒. ครูตง้ั คาถามเกีย่ วกับเน้ือหาบทเรยี นที่ต้องการใหน้ ักเรยี นทบทวน
๓. ครูนานักเรียนให้อภิปรายเพื่อค้นหาคาตอบสาหรับคาถามของเน้ือหาที่
ตอ้ งการใหน้ ักเรยี นทบทวน
๔. ครูนานักเรียนสรุปเพ่ือตัดสินคาตอบของนักเรียนเกี่ยวกับเน้ือหาที่ต้องการ ให้
นักเรียนทบทวน
ขอ้ ดแี ละข้อจากดั ของการสอนโดยการทบทวน
ขอ้ ดี
๑. ช่วยใหน้ ักเรยี นได้เห็นถึงความสมั พนั ธแ์ ละความเกยี่ วข้องกันของเน้ือหาอยา่ ง
ชดั เจน
๒. ทาให้นักเรยี นมคี วามคงทนมากขึน้
๓. เปน็ การเตรยี มความพรอ้ มสาหรับกจิ กรรมในแตล่ ะวนั
๔. เปน็ เครื่องช่วยวดั จุดสาคญั ของบทเรียน
๕. เปน็ การเช่อื มโยงเนือ้ หาให้เกิดขนึ้ ในจิตใจของนักเรยี น
๖. ทาให้นักเรียนตระหนักถงึ ความตอ้ งการทจี่ ะต้องศึกษามากย่งิ ข้ึน
๑๐๔ นาตยา ภทั รแสงไทย. ยทุ ธวธิ ีการสอนสังคม. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๕. หนา้ ๔๒-๙๐
๑๒๗
ขอ้ จากดั
๑. เป็นการยากท่ีจะทาใหน้ กั เรียนทุกคนเขา้ ร่วมกจิ กรรมได้
๒. ครูต้องมีความชานาญในการใช้เทคนคิ หลาย ๆ อย่าง
๔.๔. วธิ ีสอนแบบนักเรยี นเป็นศูนยก์ ลาง๑๐๕
๑. วธิ ีสอนแบบทดลอง (Laboratory Method)
ความหมาย วิธีสอนที่ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความ
เขา้ เพอื่ พสิ ูจนข์ ้อเท็จจริง พสิ ูจน์สมมุติฐาน หรือคน้ พบข้อความต่าง ๆ
ความมุ่งหมาย
๑. เพื่อใหน้ กั เรียนได้รับความรู้จากประสบการณต์ รงโดยการสงั เกตและทดลอง
๒. เพ่ือให้นักเรียนมีประสบการณ์ในการทดลอง ซ่ึงจะช่วยให้นักเรียนสนใจใน
บทเรยี นมากยิ่งขึน้
๓. เพอื่ พฒั นาทกั ษะในการใชเ้ ครือ่ งมือตา่ ง ๆ ในการทดลอง
ขั้นตอนในการสอน
๑. ข้ันทาให้เกิดความเข้าใจและแรงจูงใจ ครูเสนอแนะสิ่งท่ีจะทาการทดลอง
อธิบายให้นักเรียนเข้าใจในวิธีการทดลอง แจกคาแนะนาหรือค่มู ือในการทดลอง
๒. ข้ันทาการทดลอง นักเรียนทุกคนอาจทาการทดลองในปัญหาเดียวหรือ
แตกต่างกันกไ็ ด้ การทดลองจะกินเวลาเทา่ ไรย่อมแล้วแต่ลกั ษณะของการทดลองน้ัน ๆ
๓. ขนั้ เสนอผลการทดลอง หลังจากทดลองหรือเม่ือการทดลองใกล้เสร็จ นักเรียน
ต้องมารวมกันเพอื่ อธบิ ายถึงวธิ กี ารทีจ่ ะเสนอผลของการทดลองวา่ จะทาอยา่ งไรซ่ึง อาจทาไดโ้ ดยวธิ กี ารดังนี้
๓.๑ อธบิ ายถงึ ธรรมชาติและความสาคัญของปัญหาแต่ละกลุ่มหรือแต่ละ
คนทีท่ าการทดลอง
๓.๒ รายงานขอ้ มูลหรือข้อคน้ พบท่รี วบรวมได้
๓.๓ แสดงตวั อยา่ งที่เปน็ วสั ดุหรอื ในรูปอืน่ ๆ ที่ได้จากผลงาน
๓.๕ แสดงนิทรรศการผลงานดา้ นต่าง ๆ พรอ้ มท้งั การอธบิ ายประกอบ
ขอ้ ดีและขอ้ จากัด
ข้อดี
๑. เปน็ การเรียนรโู้ ดยการกระทา
๒. เป็นการเรยี นรโู้ ดยผ่านประสาทสมั ผัสหลายดา้ น
๓. ทาใหจ้ าไดน้ าน เนอ่ื งจากเรยี นร้จู ากของจริง
๑๐๕ พรรณี ชูทัย. จิตวิทยาการเรียนการสอน. พมิ พค์ ร้งั ที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : วรวฒุ ิการพิมพ,์ ๒๕๒๒. หนา้
๒๓-๓๔
๑๒๘
ข้อจากัด
๑. ส้ินเปลืองวัสดอุ ปุ กรณ์
๒. ใช้เวลาในการสอนมาก
๒. วธิ ีสอนแบบโครงการ (Project Method)
ความหมาย วิธสี อนแบบโครงการ เป็นการสอนที่ใหน้ กั เรยี นเปน็ หมหู่ รอื รายบุคคล
ไดว้ าง โครงการและดาเนินงานให้สาเร็จตามโครงการน้ัน นับว่าเป็นการสอนที่สอดคล้องกับสภาพ ชีวิตจริง
เด็กจะทางานนี้ด้วยการต้งั ปญั หา ดาเนนิ การแก้ปญั หาด้วยการลงมือทาจรงิ เช่น โครงการรกั ษาความสะอาด
ของหอ้ งเรียน
ความมุง่ หมาย
๑. เพอื่ ใหน้ ักเรียนไดฝ้ ึกทจี่ ะรบั ผิดชอบในการทางานต่าง ๆ
๒. เพื่อใหน้ ักเรียนฝกึ แกป้ ญั หาดว้ ยการใช้ความคิด
๓. เพอ่ื ฝึกดาเนนิ งานตามความมุ่งหมายทตี่ งั้ ไว้
ขน้ั ตอนในการสอน
๑. ขนั้ กาหนดความมุ่งหมาย เป็นขั้นกาหนดความมุ่งหมายและลักษณะ โครงการ
โดยตัวนักเรยี น ครจู ะเป็นผ้ชู ้ีแนะใหน้ ักเรียนตั้งความมงุ่ หมายของการเรียนวา่ เรา จะเรยี นเพือ่ อะไร
๒. ขั้นวางแผนหรือวางโครงการ เป็นขั้นท่ีมีคุณค่าต่อนักเรียนเป็นอย่างมาก คือ
นักเรียนจะช่วยกันวางแผนว่าทาอย่างไรจึงจะบรรลุถึงจุดมุ่งหมายจะใช้วิธีการใดในการ ทากิจกรรม แล้วจึง
ทากิจกรรมทีเ่ หมาะสม
๓. ข้ันดาเนินการ เป็นข้ันลงมือกระทากิจกรรมหรือลงมือแก้ปัญหา นักเรียน เร่ิม
งานตามแผนโดยทากิจกรรมตามที่ตกลงใจแล้ว ครูคอยส่งเสริมให้นักเรียนได้กระทาตาม ความมุ่งหมายท่ี
กาหนดไว้ ให้นกั เรยี นคิดและตัดสินใจด้วยตนเองใหม้ ากทส่ี ดุ และควรชี้แนะ ให้นักเรียนรู้จักวัดผลการทางาน
เป็นระยะ ๆ เพ่อื การทากจิ กรรมจะไดล้ ลุ ว่ งไปดว้ ยดี
๔. ข้ันประเมินผล หรืออาจเรียกว่า ขั้นสอบสวนพิจารณานักเรียน ทาการ
ประเมินผลว่ากิจกรรมหรือโครงการท่ีทาน้ันบรรลุผลตามความมุ่งหมายท่ีต้ังไว้หรือไม่มีข้อ บกพร่องอย่างไร
และควรแกไ้ ขใหด้ ีขนึ้ อยา่ งไร๑๐๖
ขอ้ ดีและข้อจากดั
ข้อดี
๑. นกั เรยี นมีความสนใจเพราะไดล้ งมอื ปฏิบัตจิ รงิ ๆ
๒. สง่ เสริมความคิดสรา้ งสรรค์ และการทางานอยา่ งมแี ผน และให้รู้จักประเมินผล
งานของตนเอง
๓. ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตามวิธีธรรมชาติ และให้มีประสบการณ์ในการทางาน
รว่ มกบั ผอู้ น่ื
๔. ฝึกให้นักเรียนได้รู้จกั แก้ปญั หา เพอื่ เตรียมพร้อมทีจ่ ะเผชิญสภาพสังคมจรงิ ๆ
๑๐๖ พรเพญ็ สุวรรณเดชา, “ปฏสิ มั พนั ธท์ างวาจากบั การเรียนการสอน” ใน วารสารศกึ ษาศาสตร์ (สิงหาคม
๒๕๓๒ - มนี าคม ๒๕๓๓) : หน้า ๑๓–๑๖
๑๒๙
ขอ้ จากดั
๑. เสียเวลามากและสน้ิ เปลอื งค่าใชจ้ า่ ยสงู
๒. ประสบการณ์ในชวี ติ จริงหลายอย่างไม่สามารถจะวางแผนและทากจิ กรรมได้
๓. ถา้ ครูไม่มคี วามร้เู พยี งพอ การสอนจะประสบความล้มเหลว
๔. อาจทาใหน้ ักเรียนได้รับความรู้ทเ่ี ปน็ หลกั วชิ าไม่เพียงพอ
๓. วิธีสอนแบบศนู ย์การเรียน (Learning Center)
ความหมาย เป็นวิธีสอนที่จัดบรรยากาศในช้ันเรียนเป็นแหล่งศึกษาให้นักเรียน
สามารถศึกษา หาความรู้ใส่ตนเองด้วยการเรียนจากโปรแกรมการสอน ซึ่งจัดไว้ในรูปของชุดการสอน
นกั เรียนจะหาประสบการณ์เรียนรู้โดยประกอบกิจกรรมให้ครบทุกศูนย์ ภายใต้การดูแลของ ครูซ่ึงทาหน้าที่
เปน็ ผ้ปู ระสานงาน ๑๐๗
ชดุ การสอน
ชดุ การสอน คอื ระบบการนาสื่อการเรียนท่ีสอดคล้องกับเน้ือหาวิชาท่ีสอนแต่ ละ
หน่วยมาใช้ อันประกอบด้วย จุดมุ่งหมายเน้ือหา และวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายตลอดถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่
รวบรวมไว้เปน็ ระเบยี บในกล่องการสอนเพือ่ ใหน้ กั เรยี นไดศ้ กึ ษาจาก ประสบการณ์ทัง้ หมดน้ีอย่างได้ผลยิ่งข้ึน
หลักการ และทฤษฎที ่สี าคัญในการผลิตชุดการ สอน คือ การใช้สอ่ื ประสม และการใช้วธิ วี ิเคราะห์ระบบ
สว่ นประกอบของชุดการสอน
๑. คู่มือครู ซ่ึงจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม เพ่ือหาผล งาน
ที่คาดหวังจากนักเรียน ส่ือการเรียน หนังสือประกอบการค้นคว้าสาหรับครู แนวการ ประเมินผล ขั้นการ
ดาเนินการสอน
๒. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น
๓. บัตรต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบกิจกรรม ได้แก่ บัตรคาส่ัง บัตรเน้ือหา บัตร
กจิ กรรม บตั รคาถาม และบตั รเฉลย
๔. สอ่ื การเรียนการสอนทเี่ ลอื กแล้วมคี วามเหมาะสมในดา้ นตา่ ง ๆ
ประเภทของชดุ การสอน
๑. ชุดการสอนแบบเรียนด้วยตัวเอง หรือชุดการสอนรายบุคคล ซึ่งประกอบ ด้วย
บทเรยี นโปรแกรม แบบประเมินผล และอุปกรณ์การเรยี น
๒. ชุดการสอนแบบเรียนเป็นกลุ่มย่อย ซึ่งจัดประสบการณ์ต่าง ๆ ท่ีนักเรียน
จะต้องประกอบกจิ กรรมเป็นหม่คู ณะ ตามบตั รคาส่ัง โดยจัดแบบศูนย์การเรียน
๓. ชุดการสอนประกอบการบรรยายของครู เป็นกล่องกิจกรรมสาหรับช่วยครู ใน
การสอนกลมุ่ ใหญ่ ให้นกั เรยี นได้ประสบการณ์ที่พรอ้ ม ๆ กนั ตามเวลาที่กาหนด
ความมุ่งหมาย
๑. เพ่อื ฝกึ นกั เรียนทางานเป็นหมู่
๑๐๗ อมุ า สุคนธมาน. "นวตั กรรมทางการประถมศึกษา". หลกั และแนวปฏบิ ัตใิ นโรงเรียนประถมศกึ ษา.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์วฒั นาพานชิ , ๒๕๒๖. หนา้ ๓๔-๕๔
๑๓๐
๒. เพือ่ ฝกึ ใหเ้ ป็นผนู้ าและผ้ตู ามที่ดี
๓. เพอื่ ฝกึ ปฏิบัตติ นภายในกรอบกฎเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้
๔. เพอ่ื ฝกึ รับผดิ ชอบต่อตนเองและหมคู่ ณะ
ลักษณะสาคญั ของวธิ ีสอนแบบศนู ยก์ ารเรียน
ลักษณะสาคญั ของการสอนวิธนี ค้ี อื ให้นกั เรียนได้ลงมอื ทากจิ กรรมและศึกษา ด้วย
ตนเองมากข้ึน รู้จักแสดงความคิดเห็น รู้จักตัดสินใจ มีความรับผิดชอบและรู้จักร่วมมือ การสอนแบบนี้เป็น
การนาเน้ือหาในบทเรียนมาแบ่งเป็นส่วน ๆ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ท่ี ละหน่วย ซึ่งถือว่าเป็นการจัด
บรรยากาศการเรียนร้ใู ห้เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ อันหมาย ถงึ สิง่ ตอ่ ไปน้ี
๑. เปน็ การจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
๒. เปน็ วิธีการทที่ าใหน้ ักเรียนมโี อกาสเรียนรไู้ ปทีละน้อยตามความเหมาะสม
๓. ครูให้คาปรกึ ษาและแนะนาหลกั และวิธกี ารต่าง ๆ ในการเรียนแบบศูนย์
การเรียน
๔. ครูจัดเตรียมเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอนตลอดจนการ
วัดผลให้พร้อมมูล เพื่อจะใช้สอนแบบศูนย์การเรียน ซ่ึงจะเป็นปัจจัยในการเรียนรู้มีประ สิทธิภาพตาม
วตั ถุประสงค์
๕. นักเรียนจะทราบผลการเรียนทันทีหลังจากท่ีเรียนจบศูนย์ ถ้าเป็นผลแห่ง
ความพึงพอใจกจ็ ะเกดิ ความมีกาลังใจ แตถ่ ้าเป็นผลท่ยี งั ไม่พอใจกจ็ ะปรับปรุงให้ดขี น้ึ
๖. เป็นการเรียนที่ไม่ก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายเพราะเด็กต้องเรียนรู้แข่งกับ
เวลา๑๐๘
ประเภทของศนู ยก์ ารเรยี น
๑. การจดั ศูนย์การเรียนในช้ันเรียน ไดแ้ ก่ การจัดมุมวิชาการต่าง ๆ ด้านข้าง หรือ
หลังช้ันเรยี นเหมอื นท่ีครเู คยทากนั มา ซึ่งมักจะทากันตามคาสงั่ ของผบู้ งั คบั บัญชาหรือ เพอ่ื ตกแต่งชนั้ เรยี น
๒. การจัดศูนย์การเรียนแบบเอกเทศ เป็นการจัดช้ันเรียนเพื่อแบ่งกลุ่มกิจ กรรม
เป็นหน่วย ๆ โดยเฉพาะสาหรบั การเรยี นโดยวิธนี ี้ ซึ่งเป็นศูนยก์ ารเรียนสาหรบั การ สอนทแ่ี ท้จริง
การใชเ้ วลาในการเรียนการสอน
การจัดตารางสอนควรเป็นแบบยืดหยุ่น เพ่ือให้การจัดวิธีสอนแบบนี้ใช้ได้คุ้ม ค่าควรจัด
ตารางสอนท่ีมีระยะเวลานานพอสมควรสาหรับหมวดวิชาหนึ่ง เช่น เดือนแรกเป็น ห้องศูนย์การเรียน
ภาษาไทย เดือนต่อมาเปน็ ศูนย์การเรยี นสังคมศกึ ษา เปน็ ต้น หรือเป็น สัปดาห์ต่อเนื่อง ถ้าจะให้ดีแล้วควรใช้
กบั การสอนเรือ่ งเดยี วกนั หลายหอ้ งเรียน เช่น ป.๗/๑ ป.๓/๒ ป.๒/๒ ป.๒๔ เปน็ ต้น
การจดั ศนู ยก์ ารเรยี น
การจัดเรียนช้ันแบบศูนย์การเรียนที่สามารถจะจัดได้ในชั้นเรียนธรรมดา ๆ การ
๑๐๘ อุมา สคุ นธมาน. "นวัตกรรมทางการประถมศกึ ษา". หลักและแนวปฏบิ ตั ิในโรงเรยี นประถมศกึ ษา.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วฒั นาพานิช, ๒๕๒๖. หน้า ๓๔-๕๔
๑๓๑
เปล่ียนแปลงชั้นเรียนธรรมดาให้เป็นศูนย์การเรียนให้นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมโดย โต๊ะออกเป็นกลุ่ม ๆ ท่ี
นิยมกันมักจัดประมาณ ๔-๖ กลุ่ม ทั้งน้ี ข้ึนอยู่กับเน้ือหาที่แบ่งฯ เป็นตอนๆ และจะต้องแบ่งเด็กให้เท่ากับ
จานวนตอนของเนอ้ื หา ในแต่ละกลมุ่ จะมเี นื้อหา ส่อื การสอนและกิจกรรมแตกตา่ งกนั ไป นกั เรียนในโรงเรียน
จะผลัดเปลี่ยนกันเรยี นรูแ้ ละ กิจกรรมในแตล่ ะศนู ย์จนครบทกุ ศูนย์ (จะมีอกี ศนู ย์หนึ่งเรียกว่าศูนย์พิเศษ หรือ
ศูนย์สาร สาหรับกลุ่มท่ีเรียนเร็วกว่ากลุ่มอ่ืน) นักเรียนจะเรียนโดยปรึกษากันเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมี
หวั หน้ากลุ่ม ๑ คน เพื่อทาหน้าที่ประสานงานระหว่างกลุ่มเพื่อนนักเรียนและคร (ดูแผนผังการจัดห้องเรียน
หนา้ ๕๕ ประกอบ)
ในการสอนแต่ละศนู ยจ์ ะมสี ง่ิ สาคญั ๓ ประการคือ
๑. เนอ้ื หา จัดเปน็ ศูนย์การเรยี นโดยใช้ชุดการสอน จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น เรื่อง ๆ
ซง่ึ แตล่ ะเร่ืองจะมสี ือ่ การสอน และกจิ กรรมไว้ให้นักเรียนได้ปฏบิ ตั ิ โดยจะแตกต่าง กันไปตามเนื้อหาในแต่ละ
เรอ่ื ง หรอื แตล่ ะหวั ขอ้
๒. สื่อการสอน จัดอยู่ในรูปของชุดการสอน ซ่ึงเป็นส่ิงสาคัญมากของศูนย์การ
เรียน ได้แก่ บัตรคา บัตรรูปภาพ บัตรอ่านประกอบรูปภาพ แผนภูมิ แบบเรียนสาเร็จรูป เทป สไลด์ และ
หนงั สอื ฯลฯ เปน็ ตน้
๓. บัตรคาส่ัง เป็นแผ่นกระดาษหรือพลาสติกแข็ง ขนาด ๖ x ๘ น้ิว มีคา อธิบาย
การดาเนินกิจกรรมให้นักเรยี นปฏิบัตติ าม๑๐๙
ข้ันตอนในการสอน
๑. ครูควรทาข้อตกลงกับนักเรียนทั้งชั้นก่อนในลักษณะของวิธีเรียน และการ
ปฏิบัติเกี่ยวกบั เวลา ความรบั ผิดชอบ
๒. แต่ละกลุ่มเข้าศึกษาประจาศูนย์ ฉะนั้นขั้นตอนน้ีจะมีกลุ่มนักเรียนทุกศูนย์ ให้
หวั หน้ากลมุ่ หยบิ บัตรคาสั่ง และนกั เรียนแต่ละคนหยบิ เครือ่ งเขยี น แล้วคอยปฏิบัตกิ จิ กรรมตามบัตรคาสงั่
๓. เม่ือครบหน่ึงหน่วยเวลาครูบอกให้สับเปล่ียนศูนย์ตามลาดับที่ไม่สับสน ซ่ึง ตก
ลงกันไว้แต่แรกแล้ว สาหรับพวกท่ีมีเวลาเหลืออาจเข้าศูนย์สารองก่อนโดยไม่ต้องคอยเพ่ือเพ่ิมพูนความรู้
พเิ ศษทไี่ ดจ้ ดั เตรียมไวใ้ ห้
เมื่อศึกษาจนครบศูนย์แล้วก็จัดการสอนโดยพบปะกันหมด เหมือนตอนแรกแล้วมีการ
อภิปรายซักถามหรือเสนอรายงาน แล้วแต่จะกาหนดใหเ้ หมาะสม
สาหรับเคร่ืองมือที่ใช้เขียนยกเว้นกระดาษท่ีแต่ละคนใช้จดบันทึก เม่ือเสร็จ บวนการเรียน
แล้ว ต้องเก็บเขา้ ที่ประจาศนู ย์
ข้อดีและข้อจากดั
ข้อดี
๑. ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนรูจ้ ักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
๑๐๙ อารี พนั ธม์ ณ.ี จติ วิทยาสร้างสรรค์การเรยี นการสอน. กรุงเทพมหานคร : ใยไหมเอดดเู คท, ๒๕๔๖. หนา้ ๓-
๙
๑๓๒
๒. ฝึกใหน้ ักเรยี นรูจ้ กั การทางานเปน็ หมู่คณะ
๓. ส่งเสริมให้นกั เรียนรูจ้ กั แสดงความคดิ เหน็ และวพิ ากษ์วิจารณ์
ข้อจากัด
๑. ตอ้ งเสียค่าใช้จา่ ย และเสียเวลาในการสร้างชุดการสอน
๒. ความรทู้ ่ีไดจ้ ากชดุ การสอนอย่ใู นวงจากดั
๓. ไม่เหมาะกับเน้ือหาบางวิชา เช่น วิชาที่ปฏิบัติแล้วอาจเกิดอันตรายเช่นการ
ทดลองทางวิทยาศาสตร์
๔. วธิ สี อนแบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method)
ความหมาย เป็นวธิ สี อนท่ีฝึกใหน้ กั เรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ โดยใช้กระบวนการ
ทางความ คิด หาเหตุผล จะค้นพบความรู้ หรือแนวทางแก้ปัญหาท่ีถูกต้องด้วยตนเองโดยผู้สอนตั้งคา ถาม
ประเภทกระตุ้นให้นักเรียนใช้ความคิด หาวิธีการแก้ปัญหาได้เองและสามารถนาการแก้ ปัญหาน้ันมาใช้
ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวันได้๑๑๐
ความม่งุ หมาย
๑. เพ่อื กระตนุ้ ให้นกั เรียนทาการสอบสวนคน้ คว้าความรดู้ ้วยตนเอง
๒. เพื่อฝึกให้นักเรยี นคดิ อยา่ งมเี หตุผล
๓. เพ่ือฝึกใหน้ กั เรียนใช้ความคดิ หาวธิ ีการแกป้ ัญหาได้เอง
บทบาทของครูในการสอนแบบสืบสวนสอบสวน
ในการสอนแบบน้ีครูคือผู้แนะแนวทาง คอยช่วยเหลือนักเรียน และสร้างสถาน
การณ์ เพือ่ ให้เกดิ การเรียนรู้ ฉะนั้นครูควรมบี ทบาท ๓ ประการ คอื
๑. ปอู นคาถามนักเรียนเพื่อนาไปสู่การค้นคว้า ครูจะต้องรู้จักปูอนคาถามจะ ต้อง
รู้วา่ ถามอย่างไรนักเรียนจึงจะเกดิ ความคิด
๒. เม่ือได้ตัวปัญหาแล้วให้นักเรียนทั้งชั้นอภิปรายวางแผนแก้ปัญหา กาหนดวิธี
แกป้ ญั หาเอง
๓. ถ้าปัญหาใดยากเกินไป นักเรียนไม่สามารถวางแผนแก้ปัญหาได้ ครกัน
นกั เรยี นอาจร่วมกนั หาทางแก้ปญั หาต่อไป
ข้นั ตอนในการสอน
วธิ สี อนแบบสืบสวนสอบสวนน้ี ดร.วีรยุทธ วิเชียรโชติ ได้พยายามนามา ปรับปรุง
เสียใหม่ ซ่งึ ประกอบดว้ ยข้ันต่าง ๆ ๔ ข้ัน
ขั้นท่ี ๑ การสังเกต (Observation) นักเรียนสังเกตสภาพการณ์หรือส่ิงแวด ล้อม
อันเปน็ ปญั หาพยายามนาความคิดรวบยอดเดิมมาแปลความหมาย ทาความเข้าใจจัด โครงสร้างความคิดใน
รปู แบบตา่ ง ๆ เพ่ือให้สอดคล้องสมั พนั ธก์ บั สภาพการณอ์ ันเปน็ ปัญหา
๑๑๐ อัจฉรา ชีวพันธ.์ คู่มือการสอนภาษาไทย : กิจกรรมการเล่นประกอบ. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช,
๒๕๒๓. หน้า ๓๓-๙๐
๑๓๓
ข้นั ที่ ๒ การอธบิ าย (Explanation) นกั เรยี นจดั โครงสร้างความคิด ต้ังสมมุติ ฐาน
เพ่อื อธิบาย คดิ ทบทวนหรือทาความเข้าใจปัญหาน้ัน ๆ ให้ชัดเจน เปลี่ยนแปลงโครง สร้างความคิดหลาย ๆ
รปู แบบเพอ่ื อธบิ ายทาความเขา้ ใจปญั หา
ข้ันท่ี ๓ การทานาย (Prediction) เมื่อจัดโครงสร้างความคิดหลาย ๆ รูปแบบ
หรอื อธบิ ายปัญหาแล้ว มองเหน็ แนวทาง มีความเข้าใจ สามารถทานายหรอื พยากรณ์ได้ว่า เม่ือเป็นเช่นนี้ ผล
จะเป็นอยา่ งไร อะไรจะเกดิ ขึน้
ขั้นท่ี ๔ ขั้นการนาไปใช้และสร้างสรรค์ (Control and Creativity) สามารถ ทา
ความเขา้ ใจได้ แก้ปัญหาได้ สามารถคิดกวา้ งไกลออกไปในการใช้ประโยชน์กว้างขวาง คิดสร้างสรรค์นาไปใช้
ในสภาพการณต์ า่ ง ๆ ไม่จากัดอยู่เพียงแต่การแก้ปญั หาได้ หรอื พอใจ เพียงแตก่ ารแกป้ ญั หาไดเ้ ท่าน้ัน๑๑๑
การสอนแบบสืบสวนสอบสวน ก้าวไกลกว่าการสอนแบบวิทยาศาสตร์ใน ลักษณะท่ีคิดไปไกลไปถึง
การใชป้ ระโยชนต์ ่อไปดว้ ย ไมจ่ ากัดเฉพาะแต่แกป้ ญั หาท่เี กิดขนึ้ เท่าน้ัน
ข้อดี
๑. ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นใช้ความคิดและสตปิ ัญญาของตัวเองอยา่ งมีอสิ ระ
๒. ทาให้นักเรียนเป็นคนช่างสังเกตุ มีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ โดยไม่ตรวจสอบ
เสียก่อน
๓. นักเรียนเกดิ ความเชื่อมั่น กลา้ แสดงความคิด
๕. วธิ ีสอนแบบแบง่ กล่มุ ทางาน (Committee Work Method)๑๑๒
วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทางาน คือ การที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทางานร่วมกัน
เป็นหมู่คณะ ช่วยกันค้นคว้าแก้ปัญหา หรือปฏิบัติกิจกรรมตามความสามารถ ตามความถนัดหรือตามความ
สนใจ เป็นการฝึกให้นักเรียนทางานร่วมกันตามวิธีแบบประชาธิปไตยทุกคนจะต้องดาเนินการตามท่ี
มอบหมายให้ เป็นวิธีที่จะช่วยฝึกฝนนักเรียนให้ได้รับ ประสบการณ์ตรงได้เรียนรู้เพื่อนร่วมงาน แต่ต้อง
ดาเนินการอยา่ งมีหลักเกณฑ์ ครจู ะตอ้ งวางแผนใหน้ ักเรียนทุกคนในแตล่ ะกลมุ่ ปฏิบัติอย่างเครง่ ครัด
ความมุ่งหมาย
๑. เพื่อให้นักเรียนมีความรับผิดชอบในการทางานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกัน และ
กัน ทางานอย่างมีระบบและระเบียบวินัย รู้จักทาหน้าท่ีเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดี ทุกคน ต้องทาหน้าท่ีท่ีได้รับ
มอบหมายมา ผู้ที่ทาหน้าที่หัวหน้ากลุม่ จะต้องคอยประสานงานระหว่าง สมาชิกในกลุ่ม และระหว่างกลุ่มกับ
ครู หนา้ ท่ีนคี้ วรจะหมุนเวยี นสับเปลีย่ นกนั ตามโอกาส เพือ่ ฝึกการเป็นผนู้ าของทกุ คน
๒. เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในการแก้ปัญหาตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการ
ศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง ทางานเฉพาะอยา่ ง ทง้ั เปน็ รายบุคคลและสว่ นรวม
๓. เพ่ือฝึกให้นักเรียนรู้จักเลือกทางานตามความสนใจ ความถนัด และ
ความสามารถ
๑๑๑ วารี ถิระจติ ร. “การจดั และปรับปรงุ สภาพหอ้ งเรยี น” ใน หลกั และแนวปฏบิ ัติในโรงเรยี น การประถมศึกษา.
กรุงเทพมหานคร : วฒั นาพานิช, ๒๕๒๖. หน้า ๓๐-๙๐
๑๑๒ วารินทร์ สายโอบเอื้อ และสุนีย์ ธรี ดากร. จติ วทิ ยาการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : วิทยาลยั ครูพระนคร,
๒๕๒๒. หนา้ ๒๙-๖๐
๑๓๔
ข้ันตอนในการสอน
๑. ขั้นกาหนดความมุ่งหมาย เป็นข้ันที่กาหนดความมุ่งหมายและวิธีการ ทางาน
อยา่ งละเอยี ด ถ้าเปน็ ครัง้ แรกครคู วรดแู ลอย่างใกลช้ ิด
๒. ขั้นเสนอแนะแหล่งวิทยาการท่ีจะใช้ค้นคว้าหาความรู้ เป็นข้ันท่ีครูผู้สอน บอก
รายละเอียดของหนังสือไว้ค้นคว้า
๓. ข้ันวางแผน เป็นขั้นท่ีนักเรียนวางแผนทางานร่วมกัน ทางานตามท่ีรับ
มอบหมาย
๔. ข้ันประเมินผล เป็นข้ันที่ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการร่วมมือกัน
ทางาน
ข้อดี
๑. เดก็ สามารถแสดงออกซง่ึ ความคิดเห็นของตนเองได้อยา่ งเต็มท่ี
๒. เปิดโอกาสให้เดก็ เลอื กทางานตามความถนดั ความสามารถ และความสนใจ
๖. วิธสี อนแบบอภิปราย (Discussion Method)๑๑๓
ความหมาย การอภปิ รายหมายถงึ การแลกเปลยี่ นความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน เพื่อ
ช่วยแก้ไข ปัญหาอย่างใดอย่างหน่ึงระหว่างครูกับนักเรียน หรือระหว่างนักเรียนด้วยกันโดยมีครูเป็นผู้
ประสานงานแทนทีค่ รจู ะเปน็ ฝาุ ยตั้งปัญหาคอยถามเด็ก ครูตอ้ งเปดิ โอกาสให้เด็กซักถามบ้าง และให้นักเรียน
มีส่วนช่วยตอบด้วย วิธีการสอนน้ีจะช่วยส่งเสริมให้เด็กคิดเป็น พูดเป็นและ ยังเป็นการส่งเสริมให้มีการอยู่
ร่วมกันแบบประชาธิปไตย
ความมุ่งหมาย
๑. เพอื่ สง่ เสรมิ การทางานร่วมกนั
๒. เพอ่ื ฝกึ ใหน้ ักเรยี นแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ ซ่ึงกนั และกนั
๓. เพอ่ื ส่งเสรมิ การทางานแบบประชาธปิ ไตย
ขั้นตอนในการสอน
๑. ขน้ั นาเข้าสู่หัวข้อการอภปิ ราย
๒. ขนั้ อภิปรายถกเถยี ง
การอภิปรายแบ่งคนออกเป็น ๒ ฝุาย คือ ฝุายผู้ทาการอภิปรายซ่ึงน่ังอยู่บนเวที หรือหน้า
ช้ันเรียน กับฝุายผู้ฟัง ในกลุ่มผู้ทาการอภิปรายจะประกอบด้วยประธานหนึ่งคนทา หน้าที่เป็นผู้นาการ
อภปิ ราย เป็นผู้เสนอปัญหา มอบให้ผู้ใดผู้หน่ึงเป็นผู้ตอบสรุปประเด็น สาคัญ นาการอภิปรายไม่ให้ออกนอก
ทาง โน้มน้าวตัดบทสมาชิกที่ถกเถียงกันรับฟังความ คิดเห็นจากกลุ่มผู้ฟังและสรุปผลการอภิปราย
นอกจากน้ียังมผี ูร้ ว่ มอภิปรายอีกจานวนหนง่ึ ๑๑๔
การนาเข้าสู่หัวข้อการอภิปราย ประธานจะต้องกล่าวแนะนาหัวข้อที่จะอภิปราย จากน้ัน
๑๑๓ วิชาการ, กรม. คมู่ อื การใชห้ ลกั สตู รประถมศกึ ษา พุทธศกั ราช ๒๕๒๑. กรุงเทพมหานคร : ยไู นเตด็ โปร
ดกั ชัน่ , ๒๕๒๑. หนา้ ๗๘-๘๐
๑๑๔ วนิ จิ เกตขา และชาญชัยศรีใสยเพชร. วชิ าการศึกษา ๑๓๑ หลกั การสอนและการเตรียมประสบการณ์
ภาคปฏิบตั .ิ กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพโ์ อเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๒. หนา้ ๙๘-๑๒๐
๑๓๕
แนะนาสมาชิกผ้ทู าการอภปิ รายแต่ละคน แล้วจึงดาเนนิ ข้นั ต่อไป
การอภิปรายถกเถียง ประธานเริ่มใช้คาถาม ถามให้เกิดปัญหาแล้วให้สมาชิก ออกความ
คิดเหน็ ประธานจะต้องคอยกากับการอภิปรายใหเ้ ป็นไปตามวัตถุประสงคแ์ ละ สรปุ ผลการอภปิ ราย
ขอ้ ดีและขอ้ จากดั
ขอ้ ดี
๑. สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นทุกคนมีโอกาสแสดงความคดิ เห็น
๒. พฒั นาสติปัญญาของนกั เรยี นด้านความคิด
๓. ส่งเสริมการคน้ คว้าหาความร้ขู องเด็กเพ่ือนามาใชใ้ นการอภิปราย
๔. ส่งเสริมการเคารพในเหตผุ ลของผอู้ ่ืน
ขอ้ จากดั
๑. ในบางหวั ข้อสิ้นเปลืองเวลาในการอภปิ รายมาก หากประธานไมค่ มุ สถานการณ์
ใหด้ ี
๒. หากการตั้งหวั ข้อไมด่ ีจะทาใหก้ ารอภปิ รายไมส่ ัมฤทธิผ์ ล
๗. วธิ ีสอนแบบหนว่ ย (Unit Teaching Method)๑๑๕
ความหมาย วิธีสอนแบบหน่วยเป็นการสอนที่นาเน้ือหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธ์
กนั สรา้ ง เป็นบทเรียนข้นึ เรยี กวา่ หนว่ ย โดยไม่ถอื ขอบเขตของวิชาแต่ละวิชาเป็นสาคัญ แต่จะยึด ความมุ่ง
หมายของหน่วยทส่ี อนนกั เรยี นซงึ่ อาจเรยี นหลาย ๆ วิชาพร้อม ๆ กันไป การเรียน เช่นน้ีจะเป็นไปตามความ
ต้องการและความสามารถของนักเรยี น
ความมุ่งหมาย
๑. เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะนักเรียนจะต้องปฏิบัติค้นคว้าหา
ความรแู้ ละแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง
๒. เพ่ือส่งเสริมความถนัดตามธรรมชาติของนักเรียน เพราะการสอนแบบน้ีมี
กิจกรรมหลายประเภทใหน้ ักเรียนได้ทาตามทถี่ นัดและความสนใจ
๓. สง่ เสริมการทางานแบบประชาธิปไตย คือนักเรียนรู้จักวางโครงการร่วมกัน เค
รว่ มกนั ปรึกษาหารือ แลกเปล่ยี นความคดิ เห็นเพอ่ื หาทางปฏบิ ัติและทางานรว่ มกัน
ขั้นตอนในการสอน แบง่ ออกเป็น ๕ ขั้นคอื
๑. ข้ึนนาเข้าสู่หน่วย เป็นขั้นเร้าความสนใจ ซ่ึงอาจทาได้โดยแนะนา
หนังสอื ที่ ใน สนทนาพดู คยุ เล่าเรื่องหรอื อภิปรายเกีย่ วกบั ปญั หาท่มี ีอย่ใู นปัจจุบัน การไปทัศนศึกษา การชม
นิทรรศการ การฉายสไลด์ภาพยนตร์ ฯลฯ
๒. ขันนักเรียนและครวางโครงการร่วมกัน ระหว่างนักเรียนกับครู ซึ่งจะ
ทาได้โดยกาหนดความมุ่งหมายทั่วไป ความมุ่งหมายเฉพาะ ช่วยกันต้ังปัญหาและแบ่งหัวข้อปัญหา กาหนด
กิจกรรมของแต่ละปัญหา กาหนดส่ือการ สอนท่ีจะนามาใช้ในการแก้ปัญหา การจัดแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม
๑๑๕ สงบ ลักษณะ. จากหลกั สูตร..สูแ่ ผนการสอน. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๓๔. หน้า
๙-๑๒
๑๓๖
ยอ่ ยเพ่ือทากจิ กรรม รายงานผลการประชุม
๓. พนั ลงมอื ทางาน สารวจและรวบรวมความร้ตู ่าง ๆ จากห้องสมุด พิพิธ
ภัณฑ์ หนังสือพิมพร์ ายวัน นิตยสาร เอกสาร แบบเรียน ตารา ร้านค้า ภาพยนตร์ ความ สัมพันธ์กับวิชาต่าง
ๆ เช่น ประวตั ิศาสตร์ ภมู ิศาสตร์ ศลิ ปะ ฯลฯ
๔. ข้ันเสนอกจิ กรรม ซึ่งได้แก่กิจกรรมที่แสดงออกในทางสร้างสรรค์ เช่น
รายงานด้วยวาจาหรอื ขอ้ เขียน การอภิปราย การแสดงละคร การจดั นทิ รรศการ
๕. ข้ันประเมินผล พิจารณาตามขั้นตอนและจุดประสงค์ของหน่วย โดย
พิจารณาความร้วู ิชาการ เจตคตแิ ละความเขา้ ใจในส่ิงต่าง ๆ คุณสมบัติส่วนตัว เช่น ด้าน การเป็นผู้นา ความ
รบั ผิดชอบ การรูจ้ กั วิจารณแ์ ละรบั คาวจิ ารณ์
ข้อดีและข้อจากัด
ขอ้ ดี
๑. นกั เรียนได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการเรยี นรว่ มกบั ครู
๒. นกั เรยี นได้ทางานเปน็ หมู่
๓. สง่ เสรมิ ความเปน็ ประชาธปิ ไตย
๔. สง่ เสริมความสมั พันธ์ระหวา่ งวชิ าในหลักสตู ร
ขอ้ จากัด
๑. วิธสี อนแบบนี้ตอ้ งใช้เวลามาก
๒. ตอ้ งมีแหลง่ ความรใู้ หผ้ ้เู รียนได้ศึกษาคน้ ควา้
๘. วธิ สี อนแบบอปุ นัย (Inductive Method)๑๑๖
ความหมาย วิธีสอนแบบอุปนัย เป็นการสอนจากรายละเอียดปลีกย่อยไปหา
กฎเกณฑ์ กล่าว คือเป็นการสอนจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวมหรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ หลักการ
ข้อเท็จจริง หรือข้อสรุป โดยการให้นักเรียนทาการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบแล้ว พิจารณาค้นหา
องคป์ ระกอบทเ่ี หมือนกันหรือคล้ายคลึงกนั จากตวั อย่างตา่ ง ๆ เพอื่ นามาเป็น ขอ้ สรุป
ความม่งุ หมายของวธิ ีสอนแบบอุปนยั
เพือ่ ช่วยใหน้ ักเรยี นได้ค้นพบกฎเกณฑ์หรือความจริงที่สาคัญ ๆ ด้วยตนเองกับ จะ
เข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของความคิดต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ตลอดจนกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักทา
การสอบสวนคน้ คว้าหาความรดู้ ้วยตนเอง
ข้ันตอนในการสอนแบบอปุ นัย
๑. ข้ันเตรียม คือการเตรียมตัวนักเรียน เป็นการทบทวนความรู้เดิม กาหนด
จุดมุ่งหมาย และอธิบายความมงุ่ หมายให้นักเรยี นไดเ้ ขา้ ใจอย่างแจ่มแจง้
๒. ขั้นสอนหรือข้ันแสดง คือการเสนอตัวอย่างหรือกรณีต่าง ๆ ให้นักเรียนได้
พิจารณา เพ่ือให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ สรุปกฎเกณฑ์ได้ การเสนอตัวอย่างควรเสนอ หลาย ๆ
๑๑๖ ศึกษาธิการ, กระทรวง, หน่วยศกึ ษานิเทศก,์ คมู่ อื อบรมครู แนวการใช้หลักสตู ร. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๓๔. หน้า ๙-๒๘
๑๓๗
ตวั อย่างให้มากพอท่จี ะสรปุ กฎเกณฑ์ได้ ไม่ควรเสนอเพียงตวั อย่างเดยี ว
๓. ข้นั เปรียบเทยี บและรวบรวม เปน็ ข้นั หาองค์ประกอบรวม คือการที่ นักเรียนได้
มีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุป กฎเกณฑ์ ไม่ควรรีบร้อน
หรอื เรง่ เร้าเด็กเกินไป
๔. ขั้นสรุป คือการนาข้อสังเกตต่าง ๆ จากตัวอย่างมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นิยาม
หลักการ หรอื สตู ร ด้วยตวั นักเรยี นเอง
๕. ข้ึนนาไปใช้ คือขั้นทดลองความเข้าใจของนักเรียนเก่ียวกับกฎเกณฑ์หรือ
ขอ้ สรุปท่ีได้ทามาแลว้ ว่าสามารถท่จี ะนาไปใชใ้ นปัญหาหรือแบบฝกึ หัดอ่ืน ๆ ได้หรือไม่
ขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั
ข้อดี
๑. จะทาใหน้ ักเรยี นเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งและจาได้นาน
๒. ฝกึ ให้นักเรียนร้จู กั คิดตามตรรกศาสตร์ และหลักวทิ ยาศาสตร์
๓. ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการในการแก้ปัญหา และรู้จักวิธีทางานท่ีถูกต้องตามหลัก
จิตวิทยา
ข้อจากัด
๑. ไมเ่ หมาะสมทจ่ี ะใช้สอนวชิ าทีม่ ีคุณค่าทางสนุ ทรยี ะ
๒. ใชเ้ วลามาก อาจทาใหเ้ ดก็ เกิดความเบอื่ หนา่ ย
๓. ทาให้บรรยากาศการเรยี นเปน็ ทางการเกนิ ไป
๔. ครตอ้ งเข้าใจในเทคนคิ วธิ สี อนแบบนีอ้ ยา่ งดี จึงจะได้ผลสมั ฤทธใ์ิ นการสอน
๙. วธิ สี อนแบบนริ นยั (Deductive Method)๑๑๗
วธิ ีสอนแบบนี้ เปน็ การสอนทีเ่ ร่ิมจากกฎ หรอื หลักการต่าง ๆ แล้วให้นักเรียน หา
หลกั ฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยนื ยนั วธิ ีสอนแบบน้ีฝึกหัดให้นักเรียนเป็นคนมีเหตุมีผลไม่เช่ือ อะไรง่าย ๆ จนกว่า
จะพสิ ูจนใ์ หเ้ หน็ จริงเสยี กอ่ น
ความมงุ่ หมายของวธิ สี อนแบบนริ นยั
ให้นักเรียนรู้จักใช้กฎ สูตรและหลักเกณฑ์ต่างๆมาช่วยในการแก้ปัญหาไม่
ตัดสนิ ใจในการทางานอยา่ งงา่ ย ๆ จนกว่าจะพสิ จู น์ใหท้ ราบข้อเท็จจรงิ เสียก่อน
ข้ันตอนในการสอนแบบนิรนยั
๑. ข้ันอธิบายปัญหา ระบุส่ิงท่ีจะสอนในแง่ของปัญหา เพ่ือย่ัวยุให้นักเรียนเกิด
ความสนใจท่ีจะหาคาตอบ (เช่น เราจะหาพ้ืนท่ีของวงกลมได้อย่างไร) ปัญหาจะต้องเกี่ยว ข้องกับ
สถานการณจ์ ริงของชีวติ และเหมาะสมกบั วุฒิภาวะของเดก็
๒. ข้นั อธิบายข้อสรุป ได้แก่ การนาเอาข้อสรุปกฎหรือนิยามมากกว่า ๑ อย่าง มา
อธบิ าย เพือ่ ใหน้ กั เรยี นได้เลอื กใชใ้ นการแก้ปญั หา
๑๑๗ สมบูรณ์ สงวนญาต.ิ เทคโนโลยที างการเรยี นการสอน. กรุงเทพฯ : ภาคพัฒนาตาราและเอกสารทางวชิ าการ
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหดั คร,ู ๒๕๓๔. หนา้ ๖๐-๖๘
๑๓๘
๓. ข้ันตกลงใจ เป็นขั้นท่ีนักเรียนจะเลือกข้อสรุป กฎหรือนิยามท่ีจะนามาใช้ ใน
การแกป้ ญั หา
๔. ขั้นพิสูจน์ หรืออาจเรียกว่าข้ันตรวจสอบ เป็นขั้นท่ีสรุปกฎ หรือ นิยามว่า เป็น
ความจริงหรือไม่ โดยการปรึกษาครู ค้นคว้าจากตาราต่าง ๆ และจากการทดลองข้อ สรุปท่ีได้พิสูจน์ว่าเป็น
ความจริงจึงจะเป็นความรทู้ ถ่ี ูกต้อง
ข้อดแี ละข้อจากดั
ขอ้ ดี
๑. วิธีสอนแบบนี้เหมาะท่ีจะใช้สอนเน้ือหาวิชาง่าย ๆ หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จะ
สามารถอธิบายให้นักเรียนเข้าใจความหมายไดด้ ี และเปน็ วิธสี อนที่ง่ายกวา่ สอนแบบอปุ นัย
๒. ฝกึ ให้เปน็ คนมเี หตผุ ล ไมเ่ ชื่ออะไรง่าย ๆ โดยไม่มกี ารพสิ จู น์ให้เห็นจรงิ
ข้อจากัด
๑. วิธีสอนแบบนิรนัยที่จะใช้สอนได้เฉพาะบางเนื้อหา ไม่ส่งเสริมคุณค่าในการ
แสวงหาความรแู้ ละคณุ คา่ ทางอารมณ์
๒. เป็นการสอนท่ีนกั เรยี นไมไ่ ด้เกิดความคิดรวบยอดด้วยตนเอง เพราะครูกาหนด
ความคดิ รวบยอดให้
๑๐. วธิ ีสอนแบบแสดงบทบาท (Role Playing)๑๑๘
ความหมาย วิธีสอนที่ใช้บทบาทสมมุติข้ึนจากความเป็นจริงมาเป็นเครื่องมือใน
การ สอนโดยที่ครสร้างสถานการณ์สมมุติและบทบาทขึ้นมาให้นักเรียนได้แสดงออกตามที่ตนคิด ว่าควรจะ
เป็น มีการนาการแสดงออกทั้งทางด้านความรู้ความคิด และพฤติกรรมของผู้ แสดงมาใช้เป็นพื้นฐานในการ
ให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจให้แก่นักเรียนในเรื่องความ รู้สึกและพฤติกรรม และปัญหาต่าง ๆ ได้อย่าง
เหมาะสม
ความม่งุ หมาย
๑. เพือ่ ฝกึ ให้นกั เรยี นทางานร่วมกนั
๒. เพื่อให้นักเรยี นกลา้ แสดงออกซง่ึ ความร้สู ึก
๓. เพอื่ ฝกึ การแกป้ ญั หา
ขน้ั ตอนในการสอน
๑. เลือกปัญหาท่ีนักเรียนส่วนมากในช้ันเรียนพบบ่อย ๆ หรือเป็นเร่ืองท่ีเข้าใจ
ยาก จายาก สบั สน กลา่ วตามสภาพจริงไม่ได้ หรือไดก้ ็ไม่เหมาะสม
๒. กาหนดตัวบุคคลให้เหมาะสมกับบทบาทนั้น ๆ เท่าท่ีลักษณะของบุคคล
เอ้ืออานวยใหก้ ับสภาพความเป็นจรงิ
ขอ้ ดีและขอ้ จากดั
ข้อดี
๑. สง่ เสรมิ บทเรยี นให้สนุกสนานเพลดิ เพลนิ
๑๑๘ สนั ต์ ธรรมบารุง. “การสอนสังคมศึกษา” ใน เอกสารการนเิ ทศการศึกษา ฉบับที่ ๒๒๑ หนว่ ย
ศกึ ษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหัดคร.ู กรงุ เทพมหานคร : บพิธการพมิ พ์, ๒๕๒๓. หน้า ๙-๑๐
๑๓๙
๒. ทาใหเ้ ข้าใจเรอื่ งราวรายละเอยี ดในเนอื้ เรือ่ งได้ดี
๓. ชว่ ยส่งเสริมพฒั นาการทางอารมณ์ สังคม มีความรับผิดชอบร่วมกนั
ข้อจากัด
การแสดงบทบาทบางคร้ังใช้เวลามาก และครูต้องมีภาระเพ่ิมข้ึน บางครั้งต้องมี
การฝกึ ซ้อม
๑๑. วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)๑๑๙
ความหมาย วิธสี อนแบบวิทยาศาสตร์หมายถงึ การสอนท่ีเปิดโอกาสให้นักเรียนพบ
ปญั หา และคดิ หาวิธแี กป้ ัญหาโดยขันทง้ั ๕ ของวิทยาศาสตร์
ข้นั ตอนในการสอน
ขั้นที่ ๑ กาหนดปัญหา และทาความเข้าใจถึงปัญหา เป็นข้ันทาให้นักเรียนเกิด
ปัญหา เพราะปญั หาจะทาใหน้ ักเรยี นเกิดความสนใจ ยากเหน็ และอยากกระทากิจกรรมในสิ่งท่ีเรียน ปัญหา
สาหรบั สอนนนั้ จะต้องเป็นปัญหาของนักเรียนเกี่ยวข้องกับตัวนักเรียน ไม่ใช่เป็นปัญหาที่ครูวางไว้ให้ ครูเป็น
แต่คอยแนะแนวทางให้เด็กเห็นว่าปัญหาอยู่ท่ีไหน ครูอาจทาได้หลายวิธีที่จะทาให้นักเรียนเกิด เช่น ของ
จาลองมาให้นักเรียนคู ทดลองให้ดู สนทนา ฯลฯ วิธีการดัง - ส่งปะของครแต่ละคนท่ีจะคัดแปลงให้
เหมาะสมแก่ความสามารถของนักเรยี นแต่ ละคน ฉะน้ันในขัน้ นี้ครมู ีหนา้ ท่ี
๑.๑ ชว่ ยแนะใหน้ กั เรียนเห็นปญั หา
๑.๒ จัดสิ่งแวดล้อมใหเ้ ขา้ ใจปัญหา โดยใช้อปุ กรณเ์ ขา้ ชว่ ย
๑.๓ ช่วยนักเรียนวางความมุ่งหมายในการแก้ปัญหาให้เป็นที่เข้าใจแก่
นกั เรียนทกุ คนในช้นั
ข้ันที่ ๒ ขั้นแยกปัญหา และวางแผนแก้ปัญหา ขั้นน้ีครูและนักเรียนช่วยกัน
แยกแยะปัญหาออกไปอย่างกว้างขวาง เพ่ือความ สะดวกแก่การแก้ปัญหา เนื่องจากปัญหามีมากมาย ครู
และนักเรียนจะต้องช่วยกันกาหนด ขอบข่ายของเร่ืองที่จะเรียนว่า อะไรก่อน อะไรหลัง และจาเป็นจะต้อง
วางแผนรว่ มกันว่าจะแกป้ ญั หาเหลา่ นอี้ ยา่ งไรอกี ดว้ ย อาจจะเป็นการอภิปรายรว่ มกนั ระหวา่ งครูและนักเรียน
ฉะน้ันขน้ั น้คี รมู ีหนา้ ทคี่ ือ
๒.๑ ช่วยนักเรยี นวางแผนการว่า จะแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ ีใด
๒.๒ แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มรับผิดชอบและทางานตาม
ความสามารถและสนใจ
๒.๓ แนะนาให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม รู้จักแหล่งความรู้ ไปค้นคว้าเพื่อ
ประโยชนใ์ นการแกป้ ัญหา
ข้ันท่ี ๓ ลงมือแก้ปัญหาหรือการทดลองและเก็บข้อมูล เป็นขั้นการเรียนรู้ของ
นักเรียนเองโดยการกระทาจริง ๆ เป็นส่วนใหญ่ จึง นี้ครูมีหน้าท่ี ดังต่อไปนี้ ได้มีความรู้ความสามารถท่ีจะ
นามาใชใ้ นชวี ิตประจาวันไดใ้ นขั้นน้ีครมู ีหน้าท่ี ดงั ต่อไปน้ี
๑๑๙ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. แนวทางการจดั การศกึ ษาตามพระราชบัญญัติการศึกษา
แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : บรษิ ัทพมิ พด์ ี จากดั , ๒๕๔๒. หน้า ๙๐-๑๐๖
๑๔๐
๓.๑ ช่วยนกั เรยี นแต่ละกลุ่มเข้าใจปัญหาและรบั ผดิ ชอบในงานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย
๓.๒ ช่วยแนะนาใหน้ ักเรยี นรจู้ กั วิธแี กป้ ัญหาและแหล่งความรู้สาหรบั แก้ปัญหาเพม่ิ ข้ึน
๓.๓ ช่วยแนะนาให้นกั เรยี นทางานท่ีได้รับมอบหมายอยา่ งมหี ลักเกณฑ์
ข้ันที่ ๔ ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมความรู้เข้าด้วยกันและแสดงผล เป็นขั้นท่ีรวบรวม
ความรู้ต่าง ๆ จากปัญหาท่ีแก้ตกไปแล้ว นักเรียนแต่ละกลุ่ม จะต้องแสดงผลงานของตน ซ่ึงทาได้หลายทาง
เช่น๑๒๐
๔.๑ ครูช่วยแนะนาใหเ้ ม่ือจาเป็นจรงิ ๆ
๔.๒ แสดงผลงานทางวัตถุ
๔.๓ รายงานหรอื อภปิ รายใหค้ รแู ละเพือ่ น ๆ ทราบ
๔.๔ แสดงวธิ กี ารแกป้ ัญหาใหเ้ พอื่ นเหน็
ข้ันที่ ๕ ขั้นสรุปและประเมินผลหรือข้ันสรุปและการนาไปใช้ เม่ือจบบทเรียนคร้ังหน่ึง ๆ
ครูและนักเรียนจาต้องสรุปเรียบเรียงให้มีระเบียบ บันทึกไว้เป็นหลักฐาน แล้ววัดผลงานบทเรียนท่ีเรียนไป
แล้วได้ผลดีและผลเสียอย่างไรและ วัดผลงานของนักเรียนแต่ละคน โดยการทดสอบกิจกรรมที่ครูและ
นักเรียนไดก้ ระทาในขน้ั น้ี
๕.๑ อภปิ รายกนั ทั้งช้นั เกย่ี วกบั ผลงานทไ่ี ดก้ ระทาไปแลว้
๕.๒ ดูผลงานของเพ่ือน ๆ ในกลมุ่ อืน่ เพอ่ื จะไดค้ วามรู้จากส่งิ เหลา่ น้นั
๕.๓ ครคู วรสงั เกตการทางานของนักเรียนทุกระยะว่าตง้ั ใจทาและหา
ความรู้ไดจ้ ริงหรอื ไม่
๕.๔ การทดสอบ เม่ือจบบทเรียนที่มกี ารทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจของ
นกั เรียน
ขอ้ ดี
๑. นกั เรียนไดศ้ ึกษาค้นควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเอง
๒. ส่งเสริมการทางานรว่ มกันเปน็ หมู่
๓. สง่ เสริมความเปน็ ประชาธปิ ไตย
๔. สง่ เสรมิ ใหม้ ีความรับผดิ ชอบ
๕. สง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นได้ใช้ความคดิ หาเหตผุ ล
เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกวิธีสอน
เนื่องจากวิธีสอนมีหลายวิธี ทุกวิธีมีประโยชน์ในการนามาใช้สอนทั้งส้ิน สาคัญใน
การนามาใชต้ อ้ งเลอื กให้เหมาะสมจงึ จะได้ผล การเลือกวิธีสอนจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ สาคัญของการสอน ผู้ใช้
ควรพิจารณาอยา่ งรอบคอบ
เกณฑใ์ นการพิจารณาเลอื กใช้วิธีสอนมีดังนี้๑๒๑
๑๒๐ สานกั การศึกษากรงุ เทพมหานคร, หนว่ ยศึกษานิเทศก.์ กาหนดการสอนชนั้ ประถมปีที่ ๔. กรงุ เทพมหานคร
: บรษิ ัทเวลโกจากัด, ๒๕๓๔. หน้า ๖๐-๖๘
๑๒๑ อบรม สนิ ภิบาล และกลุ ชลี องคศ์ ริ ิพร. ประสบการณว์ ิชาชพี ภาคปฏิบตั ิ ๑. กรงุ เทพมหานคร, โอเดียนส
โตร,์ ๒๕๒๔. หน้า ๔-๘
๑๔๑
๑. วธิ สี อนที่นามาใช้ เหมาะสมกบั ความสามารถ ความรู้ในเนื้อหาวิชา และ ความ
สนใจของครู วธิ ใี ดกต็ ามถา้ ครเู ห็นวา่ นามาใช้ได้ผล ครูมีความพอใจในการที่นามาใช้ ควรใช้วิธีน้ันถ้าครูยังไม่
มั่นใจ ไม่รู้สึกสนุก มองไม่เห็นแนวทางท่ีดีพอ ก็ไม่ควรนาวิธีน้ันมา ใช้สอน เพราะจะไม่เกิดผลดีทั้งนักเรียน
และครู และจะทาให้นักเรยี นเส่ือมศรทั ธาในครผู้ สอนไปดว้ ย
๒. วิธีสอนท่ีครูพิจารณาเลือกมาใช้น้ันต้องเหมาะสมกับความสามารถของ
นกั เรียน วิธสี อนบางวิธเี หมาะกับเดก็ บางวัยเท่านนั้ ครูจะตอ้ งพิจารณาดูว่า วิธีสอนท่ีคร พิจารณาเลือกมาใช้
สอนเหมาะสมกบั วัย วฒุ ภิ าวะของเด็กทีค่ รูจะสอนหรอื ไม่ เชน่ วธิ สี อน แบบบรรยายนาน ๆ ไม่เหมาะกับเด็ก
ช้นั ประถม เปน็ ตน้
๓. วิธีสอนท่ีนามาใช้ ต้องพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับจุดประสงค์ของ การ
สอน เช่น ครูกาหนดจุดประสงค์ให้นักเรียนสามารถทางานเป็นกลุ่มได้ รู้จักแก้ปัญหา ร่วมกัน ครูควรใช้วิธี
สอนแบบแก้ปัญหา ครูจะตอ้ งพิจารณาลักษณะวชิ า แต่ละตอนของ เน้ือหาวิชา มุ่งให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
ทางดา้ นพุทธิพิสัย จิตพิสัย หรือทักษะพิสัย ครูต้อง พิจารณาเลือกวิธีสอนต่าง ๆ ให้เหมาะสม ในอันท่ีจะให้
นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุด ประสงค์ท่ีกาหนด ครูจะกาหนดจุดประสงค์ไว้ดีเลิศเพียงใดก็ตาม ถ้าครูไม่มี
วธิ ีการท่ดี ใี นการท่ีจะ ให้บรรลุจดุ ประสงค์ จุดประสงค์ก็ไม่ได้ผลเท่าท่ีควร วิธีสอนจึงเป็นสิ่งสาคัญในอันท่ีจะ
ให้ บรรลตุ ามจุดประสงค์
๔. วิธีสอนต้องพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับวัน เวลา และสถานท่ีท่ีจะใช้ สอน
เช่น วธิ ีสอนทต่ี ้องใชเ้ วลามาก แต่ครูมีเวลาจากัดก็ไม่เหมาะท่ีจะนามาใช้ หรือครูจะ ใช้วิธีสอนแบบสาธิตแต่
สถานท่สี อนไมเ่ หมาะ นกั เรียนไมส่ ามารถมองเหน็ การสาธิตได้อยา่ ง ทัว่ ถึง วิธีสอนแบบสาธติ กไ็ มเ่ หมาะ
๕. เลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสมกับอุปกรณ์และสภาพแวดล้อม นักเรียนจะ เรียน
ไดผ้ ลดจี ากอุปกรณท์ ี่มีอยใู่ นทอ้ งถิ่น หาไดง้ ่าย การสารวจค้นหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ ในโรงเรียนและชุมชน
จึงเป็นสิ่งสาคัญ ครต้องพิจารณาเลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสมกับ อปกรณ์ต่าง ๆ ให้เกิดผลการเรียนรู้อย่าง
เต็มที่ นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกและสังเกตสิ่งแวดล้อมของตนยิ่งขึ้นด้วย (สุวัฒน์ พุทธเมธา ๒๕๒๑ : ๒๑๕-
๒๒๑)
สรุป๑๒๒
บทน้ีได้กล่าวถึงวิธีสอนแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นกระบวนการท่ีครูจาเป็นต้องนามา ใช้สอน
นกั เรยี นใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพ และถือเป็นภาระหน้าท่ีของครูผู้สอนที่จักนาวิธีสอนทั้ง ๒ ประเภทใหญ่ คือ วิธี
สอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง และวิธีสอนแบบนักเรียนเป็นศูนย์ กลาง ตลอดจนวิธีสอนแบบต่าง ๆ ท่ีเอ้ือต่อ
หลักสูตรมาพิจารณาใช้ให้เหมาะสมกับสภาพ การเรียนการสอนในแต่ละกลุ่มวิชา และสนองความต้องการ
ของนกั เรียนแตล่ ะวัยแต่ละระดบั
๑๒๒ กาญจนา เกยี รติประวตั .ิ วิธสี อนท่วั ไปและทักษะการสอน. กรงุ เทพมหานคร : วิทยาลัยศรนี ครรินทรวิโรฒ
ประสานมิตร, ๒๕๒๔. หน้า ๖๐๐-๖๑๘
๑๔๒
๕. หลักการ ความหมายของส่ิงแวดล้อมเพื่อการเรยี นรู้๑๒๓
เทคนิคและวิทยาการจัดการเรียนรู้ หมายถึง วิธีการ มาตรการในการจัดการเก่ียวกับการเรียนการ
สอนซ่ึงมหี ลากหลายวิธีดว้ ยกัน ผสู้ อนสามารถคดิ ค้น พัฒนา สรรหา แลกเปลี่ยน เรียนรู้ สืบเสาะเทคนิคต่าง
ๆ ซง่ึ มอี ยูม่ ากมายสามารถเลอื กใช้ตามความเหมาะสม มีหลายรปู แบบดังนี้
๕.๑. การจดั การเรียนรแู้ บบสบื สวนสอบสวน (Inquiry Method)
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนเปน็ การฝึกใหน้ ักเรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วย
กระบวนการคิดหาเหตุผลหรือแนวทางแก้ปัญหาท่ีถูกต้องด้วยตนเองโดยผู้สอนต้งั คา ถามกระตุ้นให้ นกั เรียน
ใชค้ วามคิดหาวิธแี ก้ปัญหาไดเ้ องและสามารถนาการแกป้ ัญหาน้ันมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั ได้
ความม่งุ หมายของการจดั การเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
๑. เพอื่ กระตนุ้ ให้นกั เรียนสบื สวนสอบสวนความรู้หรือขอ้ เทจ็ จรงิ ดว้ ยตนเอง
๒. เพ่อื ฝึกใหน้ ักเรยี นรู้จกั คิดหาเหตผุ ล
๓. เพื่อฝึกให้นักเรียนรูจ้ กั คดิ เป็น ทาเปน็ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
ข้ันตอนของการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื สวนสอบสวน
ข้ันที่ ๑ การสังเกต(Observation)หลังจากที่กาหนดประเด็นปัญหาแล้ว ให้
นกั เรยี นสงั เกตสภาพการณ์หรือสิ่งแวดลอ้ มท่ีก่อให้เกิดปัญหา พยายามนาความคิดรวบยอดเดิมมาแก้ปัญหา
คดิ หาเหตุผล จัดลาดับความคดิ ในรปู แบบตา่ งๆ ให้สอดคลอ้ งสัมพนั ธก์ บั สภาพการณ์อันเปน็ ปัญหานัน้
ขั้นท่ี ๒ การอธิบาย(Explanation)นักเรียนจัดระบบความคิด ตั้งสมมุติฐานเพื่อ
อธิบายความคดิ รปู แบบตา่ ง ๆในการแก้ปญั หา ทบทวนความคดิ และทาความเขา้ ใจปญั หานั้นๆ ใหช้ ดั เจน
ขั้นท่ี ๓ การทานาย(Prediction)เมื่ออธิบายความคิดรูปแบบต่างๆ ในการ
แก้ปัญหาแล้วให้นักเรียนทานายหรือพยากรณ์ปัญหาท่ีอาจเกิดขึ้นได้อีกว่าเมื่อเกิดแล้วจะเกิดผล และแก้ไข
อยา่ งไร
ขั้นท่ี ๔ การนาไปใช้และสร้างสรรค์(Control and Creativity)นักเรียนสามารถ
นาเหตุผลและความเข้าใจในการแก้ปัญหาไปใช้ประโยชน์ให้กว้างไกลในชีวิตประจาวันได้ มีความคิด
สรา้ งสรรค์และนาไปใชใ้ นสภาพการณอ์ ่ืนๆ
ข้อดขี องการจดั การเรยี นรแู้ บบสืบสวนสอบสวน
๑.นักเรียนสามารถใชค้ วามคดิ สตปิ ญั ญาและประสบการณ์เดิมของตนเองอย่างมีอิสระ
๒.ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นเปน็ คนชา่ งสงั เกต มเี หตุผลไม่เชือ่ อะไรง่ายๆ โดยไมต่ รวจสอบ
๓.นกั เรยี นเกดิ ความเช่ือม่นั กลา้ แสดงความคิดเห็น
ข้อสงั เกตของการจดั การเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
๑๒๓ สมพงษ์ สงิ หะพล. “รูปแบบการสอนแบบซินเนคตกิ ส”์ ใน สารพัฒนาหลกั สตู ร อนั ดับท่ี ๑๐๒. (กนั ยายน
๒๕๓๓) : หน้า ๔-๘
๑๔๓
๑.ครูมีบทบาทสาคัญในการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน เน่ืองจากครูต้องปูอน
คาถามใหก้ บั นักเรยี นเพื่อนาไปสูก่ ารคิดคน้ ควา้
๒.ครูต้องใหโ้ อกาสนกั เรยี นทุกคนอภปิ ราย วางแผน และกาหนดวิธกี ารแกป้ ัญหาเอง
๓.ปัญหาท่ีกาหนดเพื่อสืบสวนสอบสวนไม่ควรยากเกินความสามารถของนักเรียน
ถ้าปัญหายากเกนิ ไป ครูตอ้ งเตรียมการสาหรับการรว่ มแก้ปญั หาไว้ดว้ ย
๕.๒.การจดั การเรยี นร้แู บบแบง่ กลมุ่ ทางาน(Committee Work Method)๑๒๔
การจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทางาน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ครูมอบหมายให้นักเรียน
ทางานร่วมกันเป็นกลุ่มร่วม มือกันศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหาหรือปฏิบัติกิจกรรมตามความสามารถ
ความถนัด หรอื ความสนใจ เปน็ การฝึกใหน้ ักเรยี นทางานร่วมกันตามวถิ แี ห่งประชาธิปไตย
ความมุ่งหมายของการจดั การเรียนรูแ้ บบแบง่ กลุ่มทางาน
๑.เพอื่ ใหน้ ักเรยี นมคี วามรบั ผิดชอบร่วมกนั ในการทางานน่ันคือส่งเสริมการทางาน
เป็นทมี
๒.เพ่ือสร้างวัฒนธรรมในการทางานร่วมกันอย่างมีระบบและมีระเบียบวินัย รู้จัก
ทาหนา้ ท่เี ปน็ ผู้นาและผตู้ ามทดี่ ี
๓.เพ่ือฝึกทักษะในการแก้ปัญหาตามวิธีการวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาค้นคว้าและ
แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง โดยปฏิบตั ิงานทัง้ เป็นรายบคุ คลและเป็นกลุ่ม
๔.เพือ่ ใหน้ ักเรยี นไดท้ างานตามความสนใจ ความถนดั และความสามารถ
๕.เพือ่ ให้นกั เรียนได้มปี ระสบการณ์ตรงในการทางาน
ขน้ั ตอนการจัดการเรียนร้แู บบแบ่งกลุ่มทางาน
๑.ครูและนักเรียนร่วมกันกาหนดความมุ่งหมายของการทางานในแต่ละกลุ่ม
ขั้นตอนนเ้ี ป็นข้ันที่กาหนดความมุ่งหมายและวิธีการทางานอยา่ งละเอยี ด
๒.ครูเสนอแนะแหล่งวิทยาการที่จะใช้ค้นคว้าหาความรู้ ได้แก่ บอกรายละเอียด
ของหนังสอื ทใี่ ช้ในการศึกษาคน้ คว้านักเรยี นร่วมกันวางแผนและปฏิบัตงิ านตามท่ีไดร้ บั มอบหมาย
๓.ครูและนกั เรียนประเมินผลการทางาน ในกรณีท่ีเป็นครูให้สังเกตพฤติกรรมของ
นกั เรียนในการปฏิบัติงานในกรณีท่ีเป็นนักเรียนให้ร่วมกันประเมินผลการปฏิบัติงานในกลุ่มตนเอง โดยบอก
ขัน้ ตอนการปฏิบตั ิงาน ผลทไ่ี ด้รับ และการพัฒนางานในโอกาสตอ่ ไป
ขอ้ ดขี องการจัดการเรยี นรู้แบบแบง่ กลมุ่ ทางาน
๑.นักเรยี นไดแ้ สดงความคดิ เห็นของตนเองอยา่ งเต็มท่ี
๒.นักเรียนไดท้ างานตามความถนัด ความสามารถ และความสนใจของตนเอง
ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรแู้ บบแบ่งกลมุ่ ทางาน
๑๒๔ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ชดุ ฝกึ อบรมดว้ ยตนเอง. กรุงเทพมหานคร
: ศรีเมืองการพมิ พ,์ ๒๕๓๑.
๑๔๔
๑.ถ้าครูเพิ่งเร่ิมจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทางานเป็นครั้งแรก ครูควรดูแล
นักเรยี นใกลช้ ดิ เชน่ ต้องดแู ลให้นักเรียนทุกคนทาหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย นักเรียนผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม
ทาหน้าท่ปี ระสานงานระหวา่ งสมาชิกในกลมุ่ และนอกกลมุ่ รวมทัง้ ประสานงานกบั ครู
๒.หนา้ ที่การเป็นหัวหน้ากลุ่ม ควรหมุนเวียนสับเปล่ียนกันตามโอกาส เพื่อฝึกการ
เปน็ ผู้นา และการเปน็ ผูต้ ามที่ดี
๓.การปฏิบัติกิจกรรมในกลมุ่ ควรปฏิบัตติ ามหลกั เกณฑอ์ ย่างเครง่ ครดั
๕.๓. การจดั การเรยี นรู้แบบอปุ นัย (Inductive Method)๑๒๕
การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยเป็นการจัดการเรียนรู้จากรายละเอียดปลีกย่อยไปหา
กฎเกณฑ์หรือจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ นั่นคือ นักเรียนได้เรียนรู้ในรายละเอียดก่อนแล้วจึงสรุป ตัวอย่าง
ของการจัดการเรียนรู้แบบน้ี ได้แก่ ให้โอกาสนักเรียนในการศึกษาค้นคว้า สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบแล้ว
พจิ ารณาคน้ หาองค์ประกอบทเี่ หมือนกันหรือคล้ายคลงึ กันจากตัวอย่างต่าง ๆ เพือ่ นามาเปน็ ข้อสรุป
ความมงุ่ หมายของการจัดการเรยี นรู้แบบอปุ นัย
๑.เพ่ือให้นักเรียนได้ค้นพบกฎเกณฑ์หรือความจริงที่สาคัญๆ ด้วยตนเอง โดยการ
ทาความเข้าใจความหมายแล้วจึงสร้างความสัมพันธ์ของความคิดให้แจ่มแจ้งก่อนท่ีจะนามาสรุปกฎเกณฑ์
ครูผสู้ อนมีหน้าที่ในการกระตุน้ และให้แนวทางการศึกษาค้นควา้ หาความร้ดู ้วยตนเองของนักเรยี น
๒.เพ่ือให้นักเรยี นมีทกั ษะในการสรุปหลกั เกณฑจ์ ากรายละเอียดอยา่ งมรี ะบบ
ขั้นตอนการจัดการเรียนรูแ้ บบอปุ นัย
๑.ข้นั เตรียมนกั เรยี น เป็นการเตรยี มความร้แู ละแนวทางในการปฏิบตั ิกจิ กรรมของ
นกั เรียนดว้ ยการทบทวนความร้เู ดมิ กาหนดจุดมุ่งหมาย และอธบิ ายความมงุ่ หมายใหเ้ ข้าใจ
๒.ขั้นเสนอตัวอย่างหรือกรณีศึกษาต่าง ๆ ให้นักเรียนพิจารณาเปรียบเทียบสรุป
กฎเกณฑ์ได้ การเสนอตวั อย่างควรเสนอหลาย ๆ ตวั อย่างให้มากพอท่จี ะสรุปกฎเกณฑ์ได้
๓.ข้นั หาองค์ประกอบรวม คอื การใหน้ ักเรียนมโี อกาสพจิ ารณาความคล้ายคลึงกัน
ขององค์ประกอบจากตัวอย่างเพ่ือเตรยี มสรุปกฎเกณฑ์
๔.ขั้นสรปุ ขอ้ สังเกตตา่ ง ๆ จากตัวอยา่ งเป็นกฎเกณฑ์ นิยาม หลักการ ด้วยตัวของ
นักเรียนเอง
๕.ข้ันนาข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์สิ่งที่ได้จากการทดลองหรือสิ่งที่เข้าใจไปใช้ใน
สถานการณ์อนื่
ขอ้ ดขี องการจดั การเรยี นรู้แบบอุปนัย
๑.นักเรียนสามารถเข้าใจรายละเอียดและหาข้อสรุปได้อย่างแจ่มแจ้ง ทาให้จดจา
ได้นาน
๒.นักเรียนได้รบั การฝึกทักษะการคดิ ตามหลกั การเหตผุ ล และหลกั วิทยาศาสตร์
๓.นักเรยี นเข้าใจวธิ ีการในการแกป้ ัญหาและสามารถนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ดี
๑๒๕ สวสั ดิ์ สวุ รรณอกั ษร "พัฒนาการดา้ นบุคลกิ ภาพและสงั คมของเดก็ ", ขา่ วครไู ทย. ๒๕, (กันยายน ๒๕๒๖),
หน้า ๓๓-๓๖.
๑๔๕
ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรแู้ บบอปุ นยั
๑.ในการสอนแต่ละข้ัน ครูไม่ควรเร่งรัดเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน
ควรให้โอกาสในการคิดอย่างอิสระ
๒.ครูควรสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนที่ไม่เป็นทางการบ้างเพื่อลด
ความเครยี ดและความเบอื่ หน่าย
๓.การจดั การเรียนรแู้ บบอปุ นยั จะให้ผลสมั ฤทธส์ิ งู ถ้าครูทาความเข้าใจทุกขั้นตอน
อย่างดีก่อนจัดการเรยี นรู้
๕.๔. สิง่ แวดล้อมเพ่อื การเรยี นรู้
ครูไม่สามารถขยายโครงสร้างทางปัญญาให้แก่ผู้เรียนได้ ผู้เรียนต้องเป็นผู้สร้างและขยาย
โครงสร้างทางปัญญาด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้หรือสร้างความรู้ของผู้เรียน
ด้วยการนาวิธีการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมหรือส่ือ ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถ่ินมาใช้ร่วมกันเพื่อ
ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ดังนั้น ในการจัดสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของ
ผเู้ รียน จงึ เป็นสงิ่ สาคัญในสภาพของสงั คมปจั จุบนั ๑๒๖
๕.๕. สาหรบั แนวทางการจัดการเรียนรู้๑๒๗
สาหรับแนวทางการจดั การเรียนรู้มีหลากหลายแนวทางในท่นี ้จี ะขอเสนอ ๓ แนวทาง ดงั นี้
๑. หลักการของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบเปิด ( Open Learning
Environments (OLEs)) หลักการของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบเปิด OLEs เน้นเก่ียวกับการคิดแบบ
อเนกนัย (Divergent Thinking) ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญาของมนุษย์ที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า
สามารถแสดงออกได้หลายวิธีและมีแนวคิดท่ีหลากหลาย (Multiple Perspective) ซ่ึงเหมาะสมกับการ
เรียนรู้แบบการแก้ปัญหา โดยเฉพาะเป็นปัญหาท่ีมีโครงสร้างซับซ้อน ออกแบบและพัฒนาโดย Michael
Hannafin (๑๙๙๙) การจัดสิ่งแวดลอ้ มทางการเรียนรู้ OLEs ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ ๔ ประการ คอื
๑.๑. การเข้าสู่บริบท (Enabling contexts) จะเป็นการแนะแนวผู้เรียน
หรือกาหนดปัญหาและสร้างกรอบความต้องการในการเรียนรู้ ผู้เรียนจะได้รับแนวคิดและบริบทที่เป็น
ทางเลือกท่จี ะช่วยกระตนุ้ ความรู้เดมิ ที่เกยี่ วข้อง ประสบการณ์ท่ีมีมาก่อนและทักษะที่เก่ียวข้องกับปัญหา ซ่ึง
ช่วยผเู้ รยี นในการสรา้ งกลยทุ ธท์ มี่ ศี ักยภาพ
๑.๒. แหล่งทรัพยากร (Resources) เป็นแหล่งรวมความรู้ที่จะช่วย
สนับสนนุ การเรียนรู้ แบง่ เป็นแหล่งทรัพยากรท่ีคงท่ี (Static) หมายถึง แหล่งความรูใ้ นด้านทฤษฎีที่ไม่มีความ
เปล่ียนแปลง และแหล่งทรัพยากรท่ีเป็นพลวัตร (Dynamic) หมายถึง แหล่งความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้ ซ่ึง
ผูส้ อนควรจัดแหลง่ ทรัพยากรเป็น Links เชอื่ มโยงไปยงั เวบ็ ไซตต์ า่ งๆ
๑๒๖ สานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา (องคก์ ารมหาชน). คมู่ อื การประเมินคุณภาพ
ภายนอกรอบสาม (๒๕๕๔-๒๕๕๘) ระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน ฉบบั สถานศกึ ษา. กรุงเทพฯ : สานกั งานรับรองมาตรฐาน
และประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา (องคก์ ารมหาชน),๒๕๕๔. หนา้ ๙๐-๑๕๙
๑๒๗ สุกญั ญา อารีวรรณ และคณะ. การศกึ ษา ๑๓๑ หลกั การสอนและเตรยี มประสบการณภ์ าคปฏบิ ัติ.
กรงุ เทพมหานคร : เฉลิมชยั การพมิ พ์, ๒๕๒๐. หน้า ๙-๑๕
๑๔๖
๑.๓. เครื่องมือ (Tools) ต้องมีเคร่ืองมือให้ผู้เรียนได้จัดหมวดหมู่ความรู้
และจัดทาเป็นแผนท่ีความคิด (Concept Map) ที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ท่ีซับซ้อน มีเคร่ืองมือสาหรับ
ค้นคว้า เช่น Search Engine สามารถติดต่อส่ือสารได้ผ่าน E-mail, Chat นอกจากนี้ ต้องมีเคร่ืองมือให้
ผเู้ รยี นสามารถสร้างชนิ้ งานได้
๑.๔. ฐานการช่วยเหลือ (Scaffolding) นาเสนอแผนท่ีโครงสร้างและ
ต้นไม้ความรู้อาจมีระบบการทางานแบบ Tutor และนาเสนอแบบ "Popup" ช่วยในการให้ความหมายและ
การอธิบายลักษณะของระบบ นอกจากน้ีต้องมีคาแนะนาในการวิเคราะห์และวิธีการเรียนรู้ภารกิจและ
ปัญหาจากผู้เชยี่ วชาญ
๒. หลักการของส่ิงแวดล้อมทางการเรียนรู้ (Constructivist Learning
Environments (CLEs)) หลักการของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ CLEs มุ่งส่งเสริมความสามารถในการ
แกป้ ญั หาและพัฒนาความคิดรวบยอดท่ีเกิดจากสถานการณ์ท่ีมีความยุ่งยากซับซ้อน โดยการเรียนรู้เกิดจาก
ปัญหา คาถาม กรณี หรือโครงงานท่ีมีความซับซ้อน ปัญหาหรือจุดประสงค์การเรียนรู้เกิดจากตัวผู้เรียนเอง
มงุ่ เน้นการพัฒนา การสร้างความรู้แต่ละบุคคลและความรจู้ ากการสรา้ งความรู้โดยการร่วมมือกันแก้ปญั หา
๒.๑ คาถาม กรณี ปัญหา หรือโครงงาน เป็นปัญหาท่ีไม่ได้ระบุ
จุดมุ่งหมายท่ีแน่นอนมีกระบวนการหาคาตอบที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนได้ทาการตัดสินปัญหาและยืนยัน
คาตอบของตนเองโดยการแสดงความคิดของ ตนเอง
๒.๒ จัดให้มีการเข้าถึงประสบการณ์ที่เก่ียวข้องกับปัญหา ซ่ึงผู้เรียน
สามารถนามาอ้างอิง เชือ่ มโยง นาประสบการณท์ เี่ กย่ี วขอ้ งมาใช้เพื่อคน้ หาคาตอบ
๒.๓ แหล่งข้อมูล ควรมีการจัดการกับข้อมูลที่สะดวกต่อการสืบค้น เพื่อ
ชว่ ยให้สนบั สนนุ การแก้ปญั หาของผูเ้ รยี น
๒.๔ เครื่องมือสนับสนุนการสร้างความรู้ ได้แก่ การนาเสนอปัญหาด้วย
สถานการณ์จาลอง และจัดให้มีแหล่งความรู้ในรูปแบบของฐานข้อมูลความรู้ Spreadsheet และมีตัวช่วย
สืบคน้ ข้อมูล
๒.๕ เครื่องมือในการสนทนาและการร่วมมือกันแก้ปัญหา ได้แก่ Chat,
Webboard, Blog และ Wiki
๓. หลกั การของส่ิงแวดล้อมทางการเรียนรู้ Situated Learning Environments
ส่วนสาคัญของ Situated Learning กับการสนับสนุนกิจกรรมแบบ On-Line มีองค์ประกอบการเรียนรู้
(Learning Elements) และลกั ษณะของระบบ (System Features) ดังน้ี
๓.๑ บริบทสภาพจริง (Authentic Contexts) ปัญหาจะต้องมีความ
เกี่ยวข้องและมคี วามหมายต่อการเรยี นวิชาน้นั ๆ
๓.๒ กจิ กรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Activities) นาเสนอ
ดว้ ยปญั หาทเ่ี ป็นจรงิ เปน็ กิจกรรมการเรยี นรทู้ ไ่ี ม่มโี ครงสรา้ ง
๑๔๗
๓.๓ การกระทาอย่างผู้เช่ียวชาญ (Expert Performances) โดยการ
เสนอตวั อยา่ งการแก้ปญั หาเพ่อื เปน็ แนวทางในกระบวนการแก้ปัญหาของผู้เรียน มีการเข้าสู่ Web Site ของ
ผเู้ ชี่ยวชาญ๑๒๘
๖. การจัดสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้๑๒๙
๖.๑. ความนา
การจัดสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้ (Learning Environment) หมายถึง การจัดสิ่งต่าง
ๆ ที่ ยใู่ นสภาพแวดล้อมรอบตวั ผูเ้ รียนทงั้ ในลักษณะรูปธรรมและนามธรรมทีส่ ่งผลตอ่ ผู้เรียนทั้งทางบวก และ
ทางลบ และมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ห้องเรียน ท่ีสะอาด
มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่อบอ้าว มีพัดลม มีการถ่ายเทอากาศ และมีสิ่งอานวยความสะดวก และสนับสนุนใน
การเรียนรู้การจัดห้องเรียนด้วยบรรยากาศท่ีดีเช่นน้ีย่อมส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความ รู้สึกที่ดีต่อการเรียน และ
ยังส่งผลถึงครูผู้สอนให้มีอารมณ์ความรู้สึกที่ดี สามารถจัดการเรียนการสอน ได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ถ้า
หอ้ งเรยี นไม่เออื้ ตอ่ การเรยี นการสอน เช่น หอ้ งมีแสงสลวั รอ้ นอบอ้าว ไม่มีระเบียบทาให้บรรยากาศไม่น่าอยู่
ท้ังผู้เรียนและผู้สอนต่างก็เกิดความรู้สึกอึดอัด อารมณ์ไม่ ดี ไม่อยากอยู่ในห้องที่มีบรรยากาศเช่นน้ัน ทาให้
การเรียนการสอนดาเนินไปด้วยความเครียดส่ง ผลให้การจัดการเรียนรู้ในคร้ังน้ันไม่บรรลุวัตถุประสงค์ได้
การจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพน้ัน จะต้องมีการวางแผนในการจัดชั้นเรียนท่ีดี เพราะนอกจากจะสร้าง
เสริมประสิทธิภาพในการเรียน การสอนแล้วยังทาให้สามารถปูองกันปัญหาของพฤติกรรมที่จะเกิดข้ึนได้อีก
ด้วย สภาพแวดล้อม เพ่ือการเรียนรู้นอกจากจะเกี่ยวกับการจัดห้องเรียนแล้วยังเก่ียวข้องกับตัวผู้เรียนอีก
ด้วย การที่ครู เขาใจนักเรียนโดยเฉพาะเข้าใจในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคลจัดได้ว่าเป็นการปูองกัน
ปัญหา หดท่ีสุดวิธีหนึ่ง แต่จะมีเพียงเด็กบางคนที่แสดงพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาด้วยการรบกวนเพ่ือนหรือ
“กถึงเพือ่ น อาจเปน็ เพราะเนือ้ หาท่ีครูสอนไมน่ า่ สนใจ ไม่เหมาะสมกบั ระดับความสามารถของเขาที่เรียนเก่ง
มักจะเบื่อเน้ือหาง่าย ๆ เกินไป ไม่น่าท้าทายความสามารถ ส่วนเด็กเรียนอ่อนก็จะไม่สนใจในสิ่งที่ครูกาลัง
สอนเพราะไม่เข้าใจและไม่รู้เร่ือง ปัญหาดังกล่าวจะพบเห็นเป็นปกติหากอง เข้าใจและไม่ได้วางแผนในการ
จัดการชั้นเรียนอย่างเหมาะสมสาหรับการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการ เรียนรู้ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระท่ี
สาคัญตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องหลายประการ ได้แก่ ความสาคัญของสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้กระบวนการจัด
สภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพด การจัดชั้นเรียนท่ีมีประสิทธิภาพการจัดช้ันเรียนเพ่ือให้
๑๒๘ สุนทร ศรรี ักษา. พื้นฐานการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : หัตถโกศลการพมิ พ,์ ๒๕๒๒. หนา้ ๓-๑๕
๑๒๙ สจุ ินต์ วศิ วธรี านนท.์ "หนว่ ยท่ี ๓ การกาหนดหน่วย มโนมติ และวตั ถุประสงค์ การเรียนการสอน”. เอกสาร
ประกอบการสอนชดุ วชิ าระบบการสอน หน่วยท่ี ๑-๕. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทสารมวลชน, ๒๕๒๓. หนา้ ๓๐-๔๒