The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-10-18 09:27:30

การออกแบบการจัดการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้

ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

๑๔๘

ส่งเสริมบรรยากาศในห้องเรียน บรรยาก ที่พึงปรารถนาในห้องเรียนวิธีการจัดช้ันเรียนเพ่ือส่งเสริม
บรรยากาศทีด่ ี แนวทางการสร้างชั้นเรียน แบบมีส่วนร่วม และการแก้พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในช้ันเรียน ดัง
รายละเอียดตอ่ ไปน้ี

๖.๒. ความสาคญั ของสภาพแวดลอ้ มเพ่ือการเรียนรู้
สภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้เป็นปัจจัยหน่ึงในหลายปัจจัยท่ีส่งเสริมให้นักเรียนใช้เวลา

และสถานที่เพอื่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรไู้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี จึงกลา่ วได้ว่าสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้มีความ สาคัญต่อ
ผเู้ รียนและผ้สู อนมากมายหลายประการซ่ึงผเู้ ขยี นไดร้ วบรวมมาเป็นแนวทางสาหรบั คร หรือผู้สอนนาไปใช้ใน
การจดั การเรียนรู้ดังต่อไปน้ี

๑. สภาพแวดล้อมการเรียนรู้จะสนับสนุนและอานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ท่ี
เหมาะสม เช่น หอ้ งเรียนมคี วามสะดวกสบาย มีอุปกรณ์และสอ่ื การเรียนรู้ทสี่ ง่ เสรมิ สนับสนุนให้ ผู้เรียนได้ลง
มือกระทาด้วยตัวเอง ทาให้มีความสนุกและมีความสุขในการเรียน นอกจากนี้อุปกรณ์และ ส่ือการเรียนรู้ยัง
ช่วยให้ผู้เรียนฝึกวินัยในการจัดเก็บฝึกคิดวิเคราะห์ว่าควรจะเก็บอย่างไรจึงจะทาให้ ดูเรียบร้อยและง่ายต่อ
การนามาใชใ้ นโอกาสตอ่ ไป

๒. สภาพแวดลอ้ มการเรียนรสู้ นบั สนนุ การเรยี นรู้หลายด้าน ตัวอย่างเช่น ทาให้ผู้เรียน เกิด
ความตื่นตัว กระตือรือร้น และให้ความสนใจ เกิดแรงจูงใจในการเรียนในการศึกษาค้นคว้า และในการ
ทดลอง ทาใหเ้ กิดเจตคตทิ ่ดี ีในการเรยี น ซ่งึ จะสง่ ผลใหม้ ีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนท่ดี ไี ด้ อีกดว้ ย

๓. สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ช่วยจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่พึงประสงค์ให้แก่ผู้เรียน
เน่ืองจากการเรียนรู้ข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ โดยปกติแล้วการรับรู้และการเรียนรู้ท่ี ผู้เรียน
ได้รบั หลังจากท่ีไดส้ มั ผสั กบั สภาวะภายนอกที่มากระตุ้นประสาทสัมผัสของผเู้ รยี น จนมีการ ตอบสนองหรือมี
พฤติกรรมต่อสภาพแวดล้อมน้ัน ๆ ทาใหก้ อ่ ตวั เปน็ ประสบการณแ์ ละความรูข้ องผูเ้ รยี น

๔. สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรียน ซ่ึงจุดมุ่งหมายที่สาคัญ
ของการจัดการเรียนรู้คือมุ่งให้ผู้เรียนมีบุคลิกลักษณะดีคือ มีพัฒนาการด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์
สงั คม และคณุ ธรรมจริยธรรม สามารถประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ ประพฤตปิ ฏบิ ัติตนใหเ้ ป็น

๖.๓. กระบวนการจดั สภาพแวดลอ้ มเพ่ือการเรียนรทู้ ่มี ีประสทิ ธิภาพ๑๓๐
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ อันเป็นยุคสมัยแห่งความก้าวหน้าในด้าน

ข่าวสาร ข้อมูลอันไร้พรมแดนเนื่องจากเทคโนโลยีท่ีล้าสมัยสามารถสร้างการเรียนรู้ได้ทุกท่ี ทุกเวลา และใน
ทุกๆ คน ทุกเพศทุกวัยที่มีความสามารถในการเรียนรู้ ซ่ึงการเรียนรู้ในยุคแห่งข่าวสารข้อมลง ลักษณะดังนี้
(LouckS-Horsley and Roody. ๑๙๙๐)

๑. เป็นวิธีที่สนับสนุนความต้องการของบุคคลในสังคมและสภาพแวดล้อมทางกายภาพท่ี
สง่ เสรมิ การเรยี นการสอนและการเรียนรู้ด้วยการเน้นที่การลงมอื ปฏิบัตหิ รอื เน้นทักษะความชานาญ

๒. สนับสนุนการเรียนรู้ชุมชนมืออาชีพ หรือภูมิปัญญาชาวบ้านที่ช่วยให้มีการศึกษาและ

๑๓๐ สุชาติ วงศส์ ุวรรณ. การเรยี นรสู้ าหรับศตวรรษท่ี ๒๑ การเรียนร้ทู ่ีผ้เู รยี นเป็นผูส้ ร้างความรู้ด้วยตนเอง
โครงงาน. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทสารมวลชน, ๒๕๔๒. หน้า ๓๒๐

๑๔๙

การทางานร่วมกัน อันเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ดี และบูรณาการทักษะต่าง ๆ ในศตวรรษที่ ๒๑ ในการ
ปฏบิ ัติในช้นั เรียน

๓. ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับงานท่ีเก่ียวข้องในโลกแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งเน้นการ
ปฏิบัติจรงิ เช่น ปฏิบัติการทางานในสถานท่ีจริงตามโครงการหรอื อน่ื ๆ ทาใหเ้ กดิ ทกั ษะวิชาชพี

๔. เรียนรู้การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีและทรัพยากรอย่างมีคุณภาพรู้จักการทางานสาหรับ
การเรียนรเู้ ปน็ กลุ่ม หรอื การทางานเป็นทมี (Team Work) และรายบุคคล

๕. สนับสนุนการติดต่อกับชุมชนและการมีส่วนร่วมระหว่างชาติต่าง ๆ ด้วยการเรียนรู้
โดยตรงและเรียนรทู้ างออนไลน์

ดว้ ยลกั ษณะสภาพแวดล้อมการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ ๒๑ ดังกล่าวจึงต้องมีการเตรียม ความ
พร้อมใหแ้ กน่ ักเรียนเพอ่ื ให้นักเรียนได้ฝึกการทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ และ
เปูาหมายทช่ี ัดเจน ผเู้ รียนจะต้องมีความรทู้ จี่ าเป็นในการใชช้ ีวิตและทางานอย่างมี ประสิทธิภาพ มีความรู้ มี
ทักษะเพอื่ ให้สามารถดารงชีวิตด้วยการทางานอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ในสังคมเช่นปัจจุบันได้อย่างมีความสุข
สาหรับกระบวนการจัดสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้ท่ีมี ประสิทธิภาพ ประกอบด้วยกระบวนการต่าง ๆ
ดังต่อไปน้ี (Messick. ๑๙๘๔)๑๓๑

๑. มีการวางแผนการจัดการชั้นเรียนก่อนเปิดภาคเรียนแรกในการวางแผนการจัดการ ช้ัน
เรียนนัน้ ครอู าจแบ่งการดาเนนิ การสอนเป็น ๓ ขัน้ ตอน ดงั นี้

ขน้ั ท่ี ๑ : ระบุพฤติกรรมของเดก็ นักเรยี นตามท่ีครคาดหวัง สิ่งสาคัญของวันนี้ก็คือ
ครูต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ต้องการให้ชั้นเรียนมีลักษณะอย่างไร ครูอาจย้อนกลับไปดูว่าชั้นเรียนที่มี
ประสิทธิภาพตามประสบการณ์ของตนน้ันเป็นเช่นไร แล้วนาสิ่งท่ีประทับใจมาเป็นการคาดหวังของ ตน
ตัวอย่างพฤติกรรมของเด็กที่ครูคาดหวัง เช่น พฤติกรรมการใช้โต๊ะเรียนของเด็ก การใช้ห้องน้า และการด่ืม
น้า ซ่ึงครูก็จะคาดหวังว่าโต๊ะเรียนต้องสะอาดและถูกจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเด็กทาธุระส่วนตัวใน
ห้องนา้ ดมื่ น้าใหเ้ สร็จเรยี บรอ้ ยกอ่ นเขา้ ห้อง

ข้ันท่ี ๒ : การแปลความคาดหวังของครูไปสู่ระเบียบและกฎเกณฑ์ ภายหลังที่ครู
ได้ คติกรรมของเด็กนักเรียนตามที่ครูคาดหวังแล้วข้ันต่อไป คือ การกาหนดกฎระเบียบในชั้นเรียน จะ
เสนอแนะว่าครูควรสรา้ งกฎระเบียบให้ครอบคลมุ ในเรื่องตา่ ง ๆ เชน่

๑. ระเบียบเกย่ี วกับการปกครองนักเรยี น เช่น การเข้าหอ้ งเรียน
๒. การเคลื่อนย้ายของนักเรียน เช่น การเขา้ ห้อง การออกไปจากห้องเรียน
๓. การดแู ลห้องเรียน ได้แก่ การทาความสะอาด การจัดระเบียบห้องเรยี น
๔. ระเบยี บเกยี่ วกับการส่งงาน เช่น การรวบรวมงานสง่ ครู
๕. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน นักเรียนปฏิบัติต่อครูอย่างไรเม่ือต้อง การ
ใหค้ รูชว่ ยเหลือ
๖. การพูดคุยกันระหว่างนักเรียนด้วยกัน เช่น การพูดขอร้อง หรือการพูด

๑๓๑ Messick, S. “Assessment in context : Appraising performance in relation to instructional
quality, Educational Researcher. ๑๓(๓),๕; ๑๙๘๔. หนา้ ๙-๑๒

๑๕๐

ขอบคณุ และการพดู ขอโทษ หรอื เสนอความช่วยเหลอื กนั และกนั
ข้ันท่ี ๓ : ระบุผลท่ีเด็กนักเรียนจะได้รับ ในข้ันนี้ครูต้องคิดไว้ก่อนที่จะพูดกับเด็ก

วา่ หากใครปฏบิ ัติตามหรอื ใครฝุาฝนื กฎระเบียบแล้วจะได้รับผลทางบวกหรือลบอย่างไร การให้เด็ก ได้รับผล
การกระทาน้ันจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กดังทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของ สกินเนอร์
ตัวอย่างผลการกระทาทางลบที่เด็กนกั เรียนได้รับจากครู เช่น การตัดสิทธิพิเศษ ได้แก่ไม่ ให้พักกลางวันหลัง
รับประทานอาหารกลางวันแล้ว หรือแยกเดก็ ท่ีรบกวนเพอื่ นออกจากกลมุ่ จนกว่า จะสานึกผดิ และยอมรับผิด

๒. จัดกิจกรรมในระยะเริ่มต้นของภาคเรียนแรก ระยะเร่ิมต้นของปีการศึกษามีความ
สาคัญมากเพราะเปน็ ระยะเวลาท่ีครตู อ้ งดาเนินการกาหนดกฎเกณฑ์และระเบียบต่าง ๆ เพ่ือให้เด็ก นักเรียน
มีพฤตกิ รรมตามที่ครคู าดหวัง มีข้อเสนอแนะในการดาเนินการเพ่อื กาหนดกฎระเบียบใน ช้ันเรียนดังน้ี คือวัน
แรกท่ีเปิดเรียนครคู วรหาเวลาพบกับเด็กนักเรียนท้ังหมด เพื่อชี้แจงกฎระเบียบ ต่าง ๆ ของห้องเรียนและให้
เดก็ อภิปรายถงึ กฎระเบยี บแต่ละขอ้ ครูควรอธิบายแนวทางการปฏบิ ตั ิ ตามกฎระเบียบดังกล่าวในขณะท่ีเด็ก
นกั เรียนเรยี นวชิ าต่าง ๆ ครไู มค่ วรกาหนดกฎระเบียบที่ ยุ่งยากหรือปฏิบัติไม่ได้แต่ต้องเร่ิมด้วยกฎระเบียบที่
เด็กนักเรียนปฏิบัติได้โดยให้เด็กรู้สึกว่าเป็นส่ิงท่ี ทาได้ไม่ลาบาก ในสัปดาห์แรกครูควรให้เด็กนักเรียนทา
กิจกรรมที่เน้นความเป็นระเบียบ ไม่ควรให้ ทากิจกรรมท่ีนาไปสู่ความไม่มีระเบียบไม่ควรทึกทักว่าเด็ก
นกั เรียนร้วู ิธีหรอื รู้แนวปฏิบัตหิ ลังจากครู ได้ช้ีแจงหรืออธิบายในห้องเรียน เพราะเด็กบางคนอาจต้องใช้เวลา
ในการทาความเข้าใจ ดงั น้นั อาจ แสดงให้เห็นวา่ ท่เี ขาจะเข้าใจได้น้นั ต้องให้เวลาคดิ สกั ระยะหน่งึ ก่อน

๖.๔. การจดั ชนั้ เรียนเพ่ือให้ส่งเสรมิ บรรยากาศในหอ้ งเรียน๑๓๒
ส่งเสริมความรู้ มีการตกแต่งห้องให้สดใส มีอุปกรณ์การสอนจัดไว้ตามมุมห้องให้น่าใช้น่า

จับต้อง เป็นปัจจัยสาคัญท่ีส่งผลให้นักเรียนอยากมาโรงเรียนอยากอยู่ในห้องเรียน และพร้อมที่จะมีส่วน ใน
กจิ กรรมการเรยี นการสอน ดงั นั้นครผู้สอนจงึ ตอ้ งมคี วามรูค้ วามเข้าใจเกย่ี วกับความหมาย ค สาคัญ ประเภท
ของบรรยากาศ หลักการจดั บรรยากาศในช้นั เรยี น และการจัดการเรียนรู้อย่าง ความสุขเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้
มีคณุ ลักษณะตา่ ง ๆ ตามทีห่ ลกั สตู รไดก้ าหนดไว้

การจัดบรรยากาศในช้ันเรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมในช้ันเรียนให้เอ้ืออานวย
การเรยี นการสอนเพอ่ื ช่วยสง่ เสรมิ ให้กระบวนการเรยี นการสอนดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและ ช่วยสร้าง
ความสนใจใฝุรู้ ตลอดจนชว่ ยสรา้ งเสรมิ ความมีคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน

การจัดบรรยากาศในช้ันเรียนมีความสาคัญในหลาย ๆ ประการ มีการสารวจและการ วิจัย
ตามข้อมูลจากสานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (๒๕๕๑) ได้พบว่าบรรยากาศนชั้นเรียนเป็นส่วน
หนึ่งท่ีส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียน และเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้เพ่ิมมาก ข้ึน การสร้าง
บรรยากาศท่ีอบอุ่นของครูทาให้เกิดความเอื้ออาทรต่อนักเรียน นักเรียนมีความรู้สึกถึง ความสัมพันธ์ฉัน ท์
มิตรต่อกันมีความผูกพันกันรักและสามัคคีกัน นักเรียนมีความสุขท่ีได้มาโรงเรียน และได้เรียนร่วมกับเพ่ือน
ๆ สาหรบั ความสาคัญของการจัดบรรยากาศในชน้ั เรียนประมวลได้ ดังนี้ (Sprinthall and Blum. ๑๙๘๐)

๑๓๒ องคก์ าร อินทรัมพรรย.์ "หนว่ ยที่ ๓ แผนการสอนกลมุ่ สรา้ งเสริมประสบการณช์ วี ิต : เอกสารประกอบการ
สอนชดุ วชิ าการสอนกล่มุ สร้างเสริมประสบการณช์ วี ติ หน่วยที่ ๑-๒. พิมพ์ครง้ั ที่ ๒. กรงุ เทพมหานคร : ยูไนเต็ดโปรดักชั่น
จากัด, ๒๕๒๖. หนา้ ๘๙-๑๐๐

๑๕๑

๑. การจัดช้ันเรียนที่ไม่คับแคบช่วยสนับสนุนให้การเรียนการสอนดาเนินไปได้
อย่างราบร่ืน เช่น สามารถปรับเปลี่ยนการจัดกลุ่มเรียนของนักเรียนเป็นวงกลมได้สะดวก ทาให้มีความ
คล่องตัว ในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ได้อย่างหลากลาย ครูสามารถดูแลไดอ้ ยา่ งท่ัวถึงทกุ ๆ กลุ่ม

๒. ชั้นเรียนที่มีความเป็นระเบียบ มีการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นระบบระเบียบ จะช่วย
สง่ เสรมิ ลักษณะนสิ ยั ทดี่ ีงามและความมีระเบียบวนิ ยั ให้แก่ผู้เรยี น และทาให้นกั เรียนเกิดความรับผิดชอบ ไป
ในตวั โดยอตั โนมัติ

๓. ช้ันเรียนท่ีมีหน้าต่างหลาย ๆ บานให้ความสว่างในห้องท่ีมีความกว้างขวางจะ
ทาใหร้ ูส้ ึก ปลอดโปร่ง ไม่อดึ อดั มลี มถ่ายเทสะดวก ทาให้นักเรยี นมีสุขภาพแขง็ แรง และมีสุขภาพจติ ดี

๔. ชั้นเรียนท่ีมีบรรยากาศดีและช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น มีมุมวิชาการ มีปูาย
นิเทศ และมีการตกแต่งห้องเรียนด้วยตัวของนักเรียนเอง จะช่วยกระตุ้นความสนใจของนักเรียนทาให้รู้สึก
อยากศกึ ษาค้นคว้าและเรยี นรใู้ นบทเรียนเพ่ิมมากขึ้น

๕. ชนั้ เรียนยงั ส่งเสรมิ สนับสนุนการเปน็ สมาชิกท่ดี ีของกล่มุ และสังคมของนักเรียน
เพราะได้มีปฏิสัมพันธ์และช่วยเหลือกันในการดูแลรักษา การร่วมมือกันจัดตกแต่งห้อง ท้าเทล มนุษย
สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฝึกให้มีน้าใจและอัธยาศัยไมตรีในการอยู่ร่วมกัน เห็นความสาคัญของเพ่ือน ทุกคนท่ีต้อง
อยรู่ ว่ มกันแบบพึง่ พาอาศยั กนั

๖. ชั้นเรียนท่ีมีบรรยากาศอบอุ่นช่วยสร้างเจตคติท่ีดีต่อการเรียนและเห้นความ
สาคญั ของชน้ั เรียน เนือ่ งจากครูและเพ่อื นนักเรียนตา่ งก็เข้าใจกนั และมีความสมั พันธ์ที่ดตี ่อกัน

สรุปว่าการจัดบรรยากาศในชั้นเรียนช่วยส่งเสริมสนับสนุนและจูงใจให้นักเรียนเกิดการ
พัฒนาท้ังด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจริยธรรมได้เป็นอย่างดี ทาให้นักเรียนเรียนด้วย
ความสุข และมคี วามรักการเรียนก่อให้เกิดนิสัยใฝุเรียนรู้อันเป็นคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของครอบครัวและ
สงั คมได้ในที่สุด๑๓๓

๖.๕. บรรยากาศที่พงึ ปรารถนาในห้องเรยี น๑๓๔
การจดั การเรยี นรใู้ ห้นักเรียนเกิดพัฒนาการท้ังด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และ

คุณธรรมจริยธรรม รวมท้ังพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่แสดงออกถึงความรู้ ความสามารถ และทักษะวิชาชีพ
ต่าง ๆ ตามความมุ่งหมายของการศึกษาน้ัน ครูผู้สอนต่างก็ปรารถนาให้การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน
ดาเนินไปอย่างราบรื่นและประสบผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์ อย่างไรก็ตามมีปัจจัย ท่ีสาคัญปัจจัยหนึ่งช่วย
สง่ เสริมให้เกดิ พัฒนาการตา่ ง ๆ ดังกลา่ วในตวั นักเรยี นได้เป็นอย่างดี และปจั จัยนน้ั คือ บรรยากาศในชั้นเรียน
ซึ่งเป็นท่ียอมรับกันแล้วว่ามีส่วนสาคัญในการสร้างเสริมให้ความ ปรารถนาน้ันเป็นจริงได้ ซึ่งพรรณี เจนจิต
(๒๕๔๕) ได้อธิบายถึงบรรยากาศในชน้ั เรยี นที่จะนาไปสู่ ความสาเรจ็ ในการสอนแบ่งออกได้ ๖ ลักษณะ ดงั นี้

๑. บรรยากาศที่ท้าทาย (Challenge) เป็นบรรยากาศท่ีครูกระตุ้นให้นักเรียนรู้สึกต้องการ
เรยี นรู้ อยากรู้อยากเห็น อยากค้นหา และให้กาลังใจนักเรียนเพ่ือให้ประสบผลสาเร็จในการทางาน ส่งเสริม

๑๓๓ สมุ น อมรวิวฒั น.์ “การเรยี นการสอนทเ่ี นน้ กระบวนการ” ใน เอกสารการสอนกลมุ่ สรา้ งเสรมิ ประสบการณ์
ชวี ติ หนว่ ยที่ ๑ – ๗. กรงุ เทพมหานคร : ป.สัมพนั ๒๕๒๘. หน้า ๔๓

๑๓๔ สกุ ญั ญา ธารีวรรณ. หลกั การสอนและเตรียมประสบการณภ์ าคปฏบิ ัติ. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าหลกั สตู ร
และการสอน วิทยาลยั ครสู วนสนุ นั ทา, ๒๕๒๑. หน้า ๔๓-๘๙

๑๕๒

ใหม้ ีความม่ันใจในตนเองและมีมานะพยายามให้งานทท่ี าน้ันสาเรจ็
๒. บรรยากาศที่มีอิสระ (Freedom) เป็นบรรยากาศที่นักเรียนมีโอกาสได้คิด ตัดสินใจ

เลือก กระทาในส่ิงท่ีมีความหมายและมีคุณค่า รวมถึงโอกาสท่ีทาผิดได้แต่ต้องยอมรับผิดโดยปราศจาก
ความกลัวและความวิตกกังวล บรรยากาศเช่นน้ีจะส่งเสริมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย
ความตงั้ ใจโดยไม่ร้สู กึ เครยี ด

๓. บรรยากาศท่ีมีการยอมรับนับถือ (Respect) เป็นบรรยากาศที่ครูรู้สึกว่านักเรียนเป็น
บุคคลท่ีสาคัญและมีคุณค่า มีความสามารถเรียนรู้ได้ ความคิดความรู้สึกน้ีจะส่งผลให้นักเรียนเกิด ความ
เชือ่ ม่ันในตนเองและเกิดการยอมรบั นบั ถือตนเอง

๔. บรรยากาศทม่ี ีความอบอุน่ (Warmth) เป็นบรรยากาศทางด้านจิตใจท่ีมีผลต่อความ กา
เร็จในการเรียน การท่ีครมีความเข้าใจนักเรียน เป็นมิตร ยอมรับ และให้ความช่วยเหลือนักเรียน "วยความ
จรงิ ใจ จะทาใหน้ ักเรียนเกิดความรสู้ ึกอบอุน่ สบายใจ รักครู รักโรงเรยี น และรกั การมาโรงเรียน

๕. บรรยากาศแห่งการควบคุม (Control) การควบคุมในที่น้ี หมายถึง การฝึกให้น้อง มี
ระเบียบวนิ ัย จึงต้องอย่ใู นการดแู ลของครอยา่ งใกลช้ ิด มิฉะนั้นเด็กอาจมีความประพฤติออ ลู่นอกทางได้ด้วย
ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ไม่ใช่การควบคุมแบบไม่ให้มีอิสระ ครูจึงต้องมีระ ปกครองชั้นเรียนและฝึกให้
นกั เรยี นร้จู กั ใช้สิทธิหนา้ ที่ของตนทม่ี อี ยู่อยา่ งมขี อบเขต

๖. บรรยากาศแห่งความสาเร็จ (Success) เป็นบรรยากาศที่ผู้เรียนเกิดความรู้สึกว่า
ประสบความสาเร็จในกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีทาอยู่ ซึ่งส่งผลให้พวกเขาเกิดความภาคภูมิใจและเกิดการ เรียนรู้
ได้มากข้ึน ครูผู้สอนจึงควรพูดถึงส่ิงที่ผู้เรียนประสบความสาเร็จให้มากกว่าการพูดถึงความ ล้มเหลว เพราะ
การทีค่ ดิ ถงึ แต่ความลม้ เหลวจะส่งผลให้เกดิ ความคาดหวงั วา่ และจะไม่ส่งผลให้ นักเรยี นเรยี นรไู้ ด้ดีขึ้น

สรปุ ว่าบรรยากาศทพี่ ึงปรารถนาในหอ้ งเรยี นท่นี าไปสกู่ ารเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ัน
ประกอบไปด้วย บรรยากาศท้าทาย บรรยากาศที่มีอิสระ บรรยากาศที่มีการยอมรับนับถือ บรรยากาศที่มี
ความอบอ่นุ บรรยากาศแหง่ การควบคุม และบรรยากาศแห่งความสาเรจ็

๖.๖. วธิ กี ารจดั ชัน้ เรียนเพอ่ื ส่งเสรมิ บรรยากาศที่ดี๑๓๕
การจัดการเรยี นร้ทู ่ีทาใหน้ กั เรยี นเกดิ ความสนใจและอยากศึกษาค้นคว้านั้นสามารถจัดการ

ได้ในหลายลักษณะขึ้นอยู่กับครูผู้สอนและนักเรียนที่ควรร่วมด้วยช่วยกันดาเนินการจะดีที่สุด เพราะ ถูกใจ
ด้วยกันทุกฝุาย ซึ่งวิธีการต่อไปน้ีจัดว่าเป็นแนวทางหน่ึงที่ผู้เขียนได้รวบรวมมาเสนอให้เป็น ตัวอย่างดังนี้
(Sprinthall and Blum ๑๙๘๐)

๑. การเริ่มต้นจัดการช้ันเรียนเพื่อส่งเสริมบรรยากาศท่ีดีและมีประสิทธิภาพใน
ระดบั ประถม ศึกษานั้นนับวา่ มคี วามสาคญั เป็นอย่างยิ่งเพราะถ้าครูได้เร่ิมต้นจัดชั้นเรียนได้ดีก็จะจัดช้ันเรียน
ได้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพตลอดไป โดยเรมิ่ ในสัปดาห์แรกของภาคเรียนครูจัดระเบียบของห้องเรียน เป็นอย่าง
ดี มีรายช่ือนักเรียน มีข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคลในมือ มีการเตรียมวัสดุอุปกรณ์การ สอนให้ครบตาม
กจิ กรรมทีจ่ ะใช้ มีการปฐมนิเทศนักเรยี นดว้ ยการช้ีแนะให้รู้จักสถานท่ีต่าง ๆ ท่ีจะ เข้าไปเก่ียวข้องให้ครบทุก

๑๓๕ สวนดุสติ , วทิ ยาลยั ครู. ฝาุ ยประสบการณว์ ิชาชพี ครู. เอกสารประกอบการฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครูเตม็
เวลาข้นั ทดลองสอน. กรุงเทพมหานคร : คณะวิชาครศุ าสตร์ วิทยาลัยครสู วนดสุ ิต, ๒๕๓๑. หน้า ๔๓-๔๕

๑๕๓

แห่ง และครูสามารถอธิบายชแี้ จงกฎระเบยี บให้เด็กเขา้ ใจได้โดยไม่สบั สน รวมทงั้ มกี ารยกตัวอย่างแนวปฏิบัติ
ให้นักเรียนเห็นได้อย่างชัดเจน ก็ทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ ประทับใจในเริ่มแรกในชั้นเรียน นับว่าเป็น
แรงจงู ใจอยา่ งหน่งึ ทก่ี ่อใหเ้ กดิ ความชอบและร้สู ึกท่ีดตี ่อ ช้ันเรียน

๒. การเร่ิมต้นจัดการชั้นเรียนท่ีมีประสิทธิภาพในระดับมัธยมศึกษา ครูที่จัดการขั้นเลย
อย่างมีประสิทธิภาพในระดับมัธยมศึกษาจะไม่แตกต่างจากระดับประถมศึกษา คือ มีการดาเนิน การให้ช้ัน
เรยี นมกี ฎระเบียบตั้งแต่เร่มิ ต้นสัปดาหแ์ รก โดยครมกี ารตดิ ต่อสอ่ื สารได้อยา่ งชัด ให้นักเรียนได้รับรู้ในผลจาก
การกระทาของตนอย่างสม่าเสมอท้ังผลบวกและผลลบ มีความสนใจและกากับดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อมีการ
ละเมดิ กฎระเบียบตอ้ งจัดการให้เด็กได้รับทราบผลนัน้ โดยทันที นอกจากน้คี รตู ้องไมบ่ ังคับให้เด็กทางานหรือ
เรยี นในช่วงเวลานานเกินไป แตค่ วรแยกเปน็ ช่วง ๆ เช่น สอนทฤษฎีให้เด็กได้รับรู้จากการบรรยายสรุปให้ฟัง
หลังจากน้ันจึงฝึกปฏิบัติตามหลักการของทฤษฎีนั้นๆ วิธีน้ีจะให้เด็กได้เปล่ียนอิริยาบถจากการน่ังฟังมาเป็น
การลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ครูจึงต้องเตรียมกิจกรรมให้หลากหลายและเหมาะสมกับเด็กในระดับ
มัธยมศึกษาที่มีความต้องการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นกิจกรรมจึงควรเป็นการให้ความร่วมมือกันในการ
แกป้ ัญหาดว้ ยการคดิ วเิ คราะห์และคดิ สร้างสรรค์ในแต่ละคาบเรยี น การจัดห้องเรียนจึงเป็นลักษณะการเน้น
งานวิชาการ มากขนึ้

๓. การจดั การชน้ั เรยี นทีม่ ปี ระสิทธิภาพเพ่ือคงสภาพพฤติกรรมที่เหมาะสมของนักเรียน ไว้
ตลอดปกี ารศึกษา เทคนิคในการจัดช้ันเรียนท่ีมีประสิทธิภาพมีหลายรูปแบบ ซ่ึงส่วนใหญ่จะมี ความสัมพันธ์
กับพฤติกรรมการสอนของครู สาหรับวิธีที่ทาให้การจัดการชั้นเรียนดาเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพนั้น
ดาเนนิ การได้ดงั ต่อไปน้ี๑๓๖

๓.๑ การรเู้ ทา่ ทันเดก็ หมายถงึ การส่ือให้เด็กได้รู้ว่าครูรู้ทันในทุกสิ่งที่กาลังเกิดข้ึน
ในห้องเรียน ใครทาอะไรทั้ง ๆ ที่น่ังอยู่ข้างหลังครู และครูก็รู้สึกได้โดยมีการตอบสนองทันทีต่อ พฤติกรรมที่
ไม่เหมาะสมของเด็กน้ัน ซึ่งครูต้องไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเน่ินนาน เพื่อจะเป็นการ ตัดไฟแต่ต้นลม
ดังน้ันปัญหาเล็กก็จะไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่ในเวลาต่อมา การปรามเด็กไว้ก่อนจึง เป็นการปูองกันปัญหาดี
ที่สุด

๓.๒ การอานวยกิจกรรม ๒ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน หมายถึง การที่ครูสามารถ
ควบคุม ดูแลเด็กด้วยกิจกรรมต้ังแต่ ๒ อย่างขึ้นไปในขณะเดียวกันโดยไม่ทาให้การเรียนการสอนหยุดชะงัก
เช่น เด็กนักเรียน ๒ คนคุยกันในขณะท่ีครูกาลังสอนครู จึงเดินไปหาพวกเขาอย่างช้า ๆ โดยพูด อธิบายไป
ด้วยเม่ือเด็กเห็นเช่นน้ันจึงหยุดคุย ครูจึงเดินผ่านไปโดยการเรียนการสอนยังคงดาเนินต่อไป ดังนั้นครูต้อง
ดูแลเด็กนกั เรียนในห้องเรียนท้ังหมดอย่างทั่วถึง ด้วยการเดินช้า ๆ ให้ทั่วห้องไม่ใช่ยืน อยู่แต่ที่หน้าห้องหรือ
ยนื เฉพาะจุด

๓.๓ การเปล่ียนกิจกรรมและความต่อเนื่องของบทเรียน หมายถึง การที่ครู
ดาเนินการ ส่ือนอย่างมีประสิทธิภาพและราบร่ืนอย่างต่อเนื่องน้ัน ครูจะเสียเวลาน้อยมากในการเปลี่ยน
กิจกรรม หนึ่งไปสู่อีกกิจกรรมหนึ่ง มีการศึกษาพบว่า ห้องเรียนท่ีเด็กนักเรียนไม่ใส่ใจบทเรียนและปัญหา

๑๓๖ สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ คู่มอื อบรมครูแนวการใช้หลักสตู รประถมศกึ ษา
พุทธศกั ราช ๒๕๒๑ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓). กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๓๔. หนา้ ๙๘

๑๕๔

เกีย่ วกับระเบียบวินยั ในหอ้ งเรียนจะมีความสมั พันธ์กับการทค่ี รูสอนอย่างไม่ต่อเนื่อง หรือครูเตรียม การสอน
มาไม่ดีน่ันเอง ปัญหาวินัยในชั้นเรียนจะรุนแรงมากข้ึนเมื่อครูดาเนินการสอนได้ไม่ดี พูดซ้าซาก ในสิ่งที่เด็ก
เขา้ ใจแลว้ หรือเมอื่ สอนกห็ ยดุ คิดว่าจะสอนอะไรตอ่ หรือจะใชอ้ ุปกรณอ์ ะไร เปน็ ต้น

๓.๔ การให้เด็กนักเรียนทากิจกรรมท่ีหลากหลายและท้าทาย จากการศึกษาพ
สาคัญท่ีจะทาให้เด็กทางานตามลาพังบนโต๊ะเรียนได้นาน ๆ ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น
ความสัมพันธ์กับความหลากหลาย และความยากง่ายที่ท้าทายความสามารถของเด็กถ้าครคาด ท่ีจะให้เด็ก
น่งั ทางานกนั เป็นเวลานาน ๆ งานนน้ั ควรจะมคี วามยากทีพ่ อเหมาะกบั เขา

๓.๕ การให้เด็กนักเรียนใช้เวลาในการเรียนรู้บทเรียนให้มากท่ีสุด หากพิจารณา
การ เวลาในโรงเรียนอาจแบง่ เวลาทง้ั หมดออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑) เวลาที่ใช้ในการเรียนเนื้อหาวิชาการ เช่น
การเรียนฟัง พูด อา่ น เขียนในวิชาเกี่ยวกับภาษา ๒) เวลาที่ใช้ในการเรียนเน้ือหาท่ีเสริมวิชาการ เช่น ศิลปะ
ดนตรี กีฬา กิจกรรมแนะแนว เป็นต้น และ ๓) เวลาที่ใช้ในกิจกรรมอ่ืน ๆ ที่ไม่ใช่วิชาก เช่น การเปลี่ยน
ห้องเรียน การรอครเข้าสอน เป็นต้น เวลาท้ัง ๓ ส่วนนี้จะเห็นว่าเป็นเวลาท่ีใช้ในกา เรียนเน้ือหาวิชาการซึ่ง
จะได้รับการกาหนดไว้มากท่ีสุด แต่เด็กไม่ได้ใช้ในการเรียนรู้ทั้งหมด มีบาง ช่วงของการเรียนการสอนที่เด็ก
ลกุ จากท่นี ่ังหรอื นัง่ คดิ จนิ ตนาการในเรือ่ งตา่ ง ๆ เป็นต้น

สรุปวิธีการจัดช้ันเรียนเพ่ือส่งเสริมบรรยากาศที่ดีประกอบด้วยการเตรียมการต้ังแต่การ
เร่มิ ตน้ จดั บรรยากาศท่ดี ีมปี ระสทิ ธภิ าพท้งั ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และมีเทคนิคต่างๆ ในการจัด
ชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ การรู้เท่าทันเด็ก การอานวยกิจกรรม ๒ อย่างได้ในเวลา เดียวกัน การ
เปลี่ยนกิจกรรมและความต่อเน่ืองของบทเรียน การให้เด็กนักเรียนทากิจกรรมที่ หลากหลายและท้าทาย
และการใหเ้ ดก็ นกั เรียนใช้เวลาในการเรยี นรู้บทเรียนให้มากที่สดุ ๑๓๗

๖.๗. แนวทางการสร้างชนั้ เรยี นแบบมีส่วนร่วม
การสร้างช้ันเรียนแบบมีส่วนร่วม (Engaged Classroom) เกิดจากแนวคิดของการเรียน

โดยการร่วมมอื กันระหวา่ งนกั เรยี นเป็นกลุ่มย่อยบนพื้นฐานความเช่ือว่านักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนดี
ข้ึน มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน บรรยากาศในการเรียนดีกว่าการเรียนแบบอื่น นักเรียนท่ีเรียน อ่อนมีความ
ม่ันใจในตัวเองมากขึ้น นักเรียนรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นักเรียนรู้จักยอมรับฟังความ คิดเห็นของผู้อ่ืน
รวมถงึ นกั เรียนได้รูจ้ ักปรบั ตัวและสามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้เป็นการเตรียมตัว เพ่ือทางานในสังคมต่อไป
สาหรบั แนวทางการสรา้ งชัน้ เรยี นจาแนกเป็นประเดน็ สาคัญ ดงั ตอ่ ไปน้ี (Slavin, ๑๙๙๐)๑๓๘

๑. การสร้างห้องเรียนแบบการเรียนโดยร่วมมือกัน ห้องเรียนแบบการเรียนโดยร่วมมือกัน
จะเกดิ ขึ้นไดต้ อ้ งไดร้ ับความรว่ มมือจากนักเรียน ครู ผ้ปู กครอง และชุมชน โดยทุกฝุายมีเปูาหมาย ร่วมกันใน
การพัฒนานักเรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข โดยท่ีบทบาทของแต่ละกลุ่มบุคคล ข้างล่างต่อไปนี้
เปน็ ส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างบรรยากาศการเรยี นแบบมีสว่ นร่วม

๑.๑ บทบาทของนักเรียน

๑๓๗ สามัญศึกษา, กรม. คูม่ อื นิเทศการศกึ ษาสงั คมศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร : คุรุสภา, ๒๕๑๓. หนา้ ๒๑-๓๔
๑๓๘ Slavin, R.E. Cooperative Learning : Theory, Research and Practice. Eaglewood Cliffs, NJ. :
Prentice Hall, ๑๙๙๐. หน้า ๔๕-๑๒๐

๑๕๕

๑.๑.๑ นักเรียนต้องไว้ใจซ่ึงกันและกัน และพัฒนาทักษะการส่ือ
ความหมายของตนไดด้ ี

๑.๑.๒ ในการทากิจกรรมการเรียนแต่ละกิจกรรม สมาชิกของกลุ่มคน
หนึ่งจะทาหนา้ ท่ปี ระสานงาน คนหนงึ่ ทาหน้าทเ่ี ลขานุการกล่มุ ทุกคนในกลมุ่ ตอ้ งเขา้ ใจเรื่องที่กาลังเรียนและ
สามารถตอบคาถามได้เหมือนกันทุกคน จะไม่มีสมาชิกคนใดของกลุ่มถูกทอดท้ิง ผู้ประสานงานกลุ่มต้องกระ
ตน้ ให้สมาชกิ ทกุ คนมีสว่ นเสรมิ สรา้ งความสาเร็จของกลมุ่

๑.๑.๓ นกั เรยี นควรให้เกยี รติและรับฟงั ความคิดเห็นของเพ่ือนสมาชิกทุก
คน มาชิกในกลุ่มอาจวิจารณ์ความคิดเห็นของเพ่ือนได้ แต่จะไม่วิจารณ์ตัวบุคคลและควรเป็นไปเพ่ือ ความ
ชดั เจนในความคิดเห็น

๑.๑.๔ นักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเองและเพ่ือน ๆ ใน
กลุ่ม นักเรียน จะร่วมมือกันทากิจกรรม การกาหนดเปูาหมายของกลุ่ม และแลกเปลี่ยนความรู้และอุปกรณ์
ประสบการณ์ การให้กาลังใจซ่ึงกันและกัน และการดูแลให้ทุกคนได้ปฏิบัติตามบทบาทและหน้าที่ และการ
ชว่ ยกันควบคุมเวลาในการทางาน

๑.๒ บทบาทครู
๑.๒.๑ ครคู วรแบง่ นกั เรียนในห้องออกเป็นกลุ่มย่อย ซ่ึงอาจประกอบด้วยสมาชิก

กลุ่มละ ๒-๖คน แต่ละกลุ่มควรประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถ เพศ ฐานะ ครอบครัว และ เชื้อชาติ
คละปะปนกนั

๑.๒.๒ ควรเลือกใช้เก้าอ้ีที่มํีน้าหนักเบาเพ่ือความสะดวกในการจัดกลุ่มการเลื่อน
เข้าหากนั เพ่ือการแลกเปลี่ยนความคดิ เห็น อปุ กรณ์ และวัสดุกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่ม นอกจาก นั้นการ
จัดเก้าอ้ีของกลุ่มก็ควรให้ครูสะดวกในการท่ีจะสังเกตและติดตามความก้าวหน้าของการ ทางานของแต่ ละ
กลมุ่ ดว้ ย

๑.๒.๓ ครูควรช้ีแจงกรอบกิจกรรมให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม และช่วยอธิบายให้
นักเรยี นทุกคนเขา้ ใจ

๑.๒.๔ ครูตอ้ งสร้างบรรยากาศทเี่ สริมสร้างการแลกเปล่ยี นความคิดเห็น
๑.๒.๕ ครูควรทาหน้าท่ีเป็นท่ีปรึกษาของทุกกลุ่มย่อย และคอยติดตาม
ความก้าวหน้าการเรียนรูข้ องแต่ละกล่มุ
๑.๒.๖ ครควรยกย่องเมื่อเห็นนักเรียนทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม รางวัลและคอ ท่ี
ใหแ้ ก่นกั เรยี นควรตงั้ อยูบ่ นพื้นฐานของความสาเรจ็ ของกล่มุ
๑.๒.๗ ครเู ปน็ ผูก้ าหนดวา่ นกั เรียนควรทางานรว่ มกนั เป็นกลุม่ นานเพียงใด
๑.๒.๘ ครคู วรร่วมมือกนั เปน็ ทีมในการนาเทคนคิ การเรียนโดยรว่ มมือกนั โรงเรยี น
๑.๒.๙ ครูที่ใช้เทคนิคการเรียนโดยร่วมมือกัน ต้องตระหนักเสมอว่าเราสามาร
สร้างบรรยากาศทสี่ ่งเสริมใหน้ ักเรยี นรไู้ ดแ้ ตไ่ มส่ ามารถเรียนแทนนักเรียน๑๓๙
๑.๓ บทบาทของผูป้ กครองและชุมชน

๑๓๙ สมพร สุทัศนยี .์ การประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๒๕. หนา้ ๔-๑๒

๑๕๖

ผู้ปกครองควรช่วยเหลือนักเรียนโดยการให้กาลังใจและคาปรึกษาตามโอกาส อัน
ควรหรอื เมือ่ นกั เรียนต้องการ และควรแสดงความสนใจต่องานที่นักเรียนทา และชมเชยเมื่อ นักเรียนทางาน
กลุ่มได้สาเร็จ หรือเมื่อนักเรียนเล่าถึงประสบการณ์ที่ดีเกี่ยวกับการทากิจกรรมกลุ่ม ผู้ปกครองควรร่วม
กิจกรรมหรือเป็นกรรมการการศึกษาของโรงเรียน เช่น เข้าร่วมกิจกรรมวิชาการ และการพัฒนาโรงเรียน
เสมอ ๆ เพือ่ เป็นการสร้างจิตสานึกให้เกิดแกผ่ ปู้ กครองว่าตนตอ้ งรับผดิ ชอบ ตอ่ การพัฒนานักเรียนให้เป็นคน
เก่ง ดี และมีสขุ

ในการเรียนโดยร่วมมือกันนักเรียนเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการทากิจกรรมการ
เรียน เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองและของเพ่ือน ครูมีบทบาทในการวางแผนการ
เตรียมการและเป็นผู้สนับสนุนการทากิจกรรมของนักเรียน ผู้ปกครองมีบทบาทในการให้กาลังใจ และ
ช่วยเหลอื บตุ รหลานและโรงเรยี นตามโอกาสอันควร

๒. สาระสาคัญของการเรียนแบบมีสว่ นร่วม๑๔๐
๒.๑ สมาชกิ ทุกคนพงึ่ พาอาศัยซ่ึงกันและกันในเชิงบวก มีหน้าที่และความสาคัญ

เท่าเทียมกัน (Positive Interdependence) แต่ละคนรู้หน้าที่ของตัวเองว่า จะต้องทากิจกรรมอะไรบ้างใน
การเรียนครั้งน้ันและจะต้องรับผิดชอบในกิจกรรมนั้นๆ เสมอ สมาชิกทุกคนตระหนักดีว่าความสาเร็จของ
กลุ่มขน้ึ อยู่กับสมาชิกทกุ คนภายในกลมุ่

๒.๒ นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มย่อย (Face-to-Face Interaction) สมาชิกใน
กลุ่ม 2.4 คน หนั หนา้ เขา้ หากันเพ่ือท่จี ะได้ซกั ถามตอบปัญหา อธิบาย โต้ตอบซ่ึงกันและกันให้สมาชิก ทุกคน
มสี ว่ นรว่ มในการทางาน

๒.๓ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมีความรับผิดชอบต่อหน้าท่ีของตน (Individual
Accountability) ทุกคนมีความเชื่อถือได้มีหน้าที่ท่ีต้องรับผิดชอบแะจะต้องทางานท่ีได้รับ มอบหมายอย่าง
เตม็ ความสามารถเสมอ

๒.๔ ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะทางสังคม (Social Skils) ครควรพัฒนาให้
นกั เรยี น มที กั ษะในการทางานกลมุ่ เช่น
จิตวทิ ยาสหรัพครู

๒.๔.๑ ทักษะเบ้ืองต้นในการทางานร่วมกัน (Forming Skills)
๒.๔.๒ ทักษะท่ีนามาใช้ประโยชน์ในการทางานเป็นกลุ่ม (Functioning
Skills)
๒.๔.๓ ทักษะในการสรุปความรู้และความคิดเห็น และองค์ความรู้ความ
คดิ เหน็ ของกล่มุ และเลอื กสรรสาระสาคญั เพื่อนามาเสนอ (Formulation)
๒.๕ กระบวนการทางานของกลุ่ม (Group Processing) หลังจากท่ีมีการทางาน
เป็นกลุ่มในระยะหน่ึงสมาชิกแต่ละคนจะประเมินผลการทางานของตนเองและผลงานกลุ่ม ท่ีจะรู้ถึง
ข้อบกพรอ่ งและสิง่ ทีค่ วรปรับปรงุ แกไ้ ข และวางเปูาหมายในการทางานเปน็ กลมุ่ คร้งั ตอ่ ไปให้ดี

๑๔๐ สวุ รรณี ศรคี ณุ . ทักษะและเทคนคิ การสอน. นครราชสีมา : คณะวชิ าวทิ ยาลัยครนู ครราชสมี า, ๒๕๒๒. หนา้
๓๔-๔๒

๑๕๗

๓. การประเมนิ ผลการทางานของสมาชิกและกลมุ่ ทาได้ดังนี้
๓.๑ สังเกตและสอบถามโดยครูผูส้ อน
๓.๒ สารวจตัวเองโดยใช้แบบสารวจ
๓.๓ สารวจกลุม่ โดยใช้แบบสารวจ

สรุปแนวทางการสร้างช้ันเรียนแบบมีส่วนร่วมนั้นคานึงถึงหลักการต่าง ๆ ได้แก่ การสร้าง
ห้องเรียนแบบการเรียนโดยร่วมมือกัน สาระสาคัญของการเรียนแบบมีส่วนร่วมและการประเมินผล การ
ทางานของสมาชกิ และกลุ่ม

๖.๘. การแก้พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในช้ันเรยี น๑๔๑
พฤตกิ รรมทีเ่ ป็นปัญหาในช้ันเรยี นเกดิ ขึ้นโดยที่ไมม่ ีใครตอ้ งการมีวิธีการต่าง ๆ ที่ครูสามารถ

เลือกใช้ได้ และวิธีการส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานแนวคิดที่แตกต่างกันไปตามบทบาทของครูและ ความเชื่อ
เกี่ยวกับตัวเด็กวิธีการแก้พฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาในช้ันเรียนที่เห็นว่าได้ผลน้ันได้แก่วิธีการ ตามแนวคิดของ
นักจิตวิทยา ๒กลุ่ม คือ แนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Approach) และแนวคิดของกลุ่ม
มนุษยนิยม (Humanistic Approach) ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้ (Perry and Krebs. ๑๙๘๐)

๑. การแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นปัญหาตามแนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral
Approach) พฤติกรรมที่เป็นปัญหาหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็กนักเรียนในช้ันเรียน จาแนกได้ 2
กลุ่มใหญ่ ๆ คือการแสดงพฤติกรรมที่พึงปรารถนา เช่น ความใส่ใจในบทเรียน การ ทาการบ้านด้วยตนเอง
เป็นต้น และอีกกลุ่มหนึ่ง ได้แก่ การแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา เช่น การแอบทานขนมในห้องเรียน
การลุกเดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ซึ่งเป็นพฤติกรรมท่ีควรได้รับ การแก้ไข อย่างไรก็ตามการแก้ไข
พฤติกรรมจาแนกออกเป็น ๒กรณี คือ การเพิ่มพฤติกรรมท่ีพ่ึง ปรารถนา และการลดพฤติกรรมท่ีไม่พึง
ประสงค์

๑.๑ การเพ่ิมพฤติกรรมท่ีพึงปรารถนา โดยมีเทคนิคในการเพ่ิมพฤติกร ปรารถนา
หลายประการ ที่สาคญั ได้แก่

๑.๑.๑ การใช้เบ้ียอรรถกร (Token Economy) คาว่าเบียอรรถกร คือ
แรงแผ่ขยาย (Generalized Reinforcer) ท่ีอาจเป็นดาว หรือเบีย หรือส่ิงต่าง ๆ ท่ีนาไป หรือรางวัลที่
กาหนดไว้ได้ ตามแนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยมท่ีได้ให้ทรรศนะว่า เม่ือบคต ใดแล้วได้รับผลการกระทา
ทางบวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะกระทาส่ิงน้ันํซ้าอีก แต่ถ้ากระทา ได้รับผลบวกทันทีหรือทาแล้วได้รับแรง
เสริมทางสังคม เช่น การชมเชยเพียงอย่างเดียวผลข กระทาที่ได้รับจะไม่เพียงพอที่จะรักษาหรือเพิ่ม
พฤติกรรมที่เหมาะสมให้เกิดขึ้นในห้องเรียนได้ กรณีนี้พบว่า เทคนิคการใช้เบ้ียอรรถกรจะเป็นวิธีการที่ใช้ได้
อย่างมีประสิทธิภาพในการเพ่ิมพฤติก วูล์โฟล์ค (Woolfolk 2009) ได้เสนอแนวทางการใช้เบ้ียอรรถกรใน
การเพิม่ พฤตกิ รรมของเด็กนักเรียนดังต่อไปน้ี

๑) ระบุใหช้ ดั เจนวา่ พฤติกรรมท่พี งึ ประสงค์ในหอ้ งเรยี นคืออะไร

๑๔๑ โสภณ รน่ื เวทย.์ "สภาพการในการจดั กจิ กรรมสรา้ งเสริมวินยั ในโรงเรียนประถม สงั กดั กทม." วทิ ยานิพนธ์
ปรญิ ญาครุศาสตร์มหาบณั ฑติ ภาควิชาประถมศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๒๘. หน้า ๙๔-๑๒๙

๑๕๘

๒) อภิปรายร่วมกับเด็กท่ีมีพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการ
ปฏิบัติ

๓) เลือกเบ้ียอรรถกรที่เหมาะสมกับเด็ก เช่น ใช้แสตมป์เก่า ๆ ท่ีใช้แล้วโดย ให้
คะแนนตามราคาแสตมป์

๔) กาหนดกฎระเบียบข้ึนเป็นข้อ ๆ แล้วให้เร่ิมปฏิบัติด้วยกฎง่าย ๆ ก่อน แล้ว
คอ่ ย ๆ เพมิ่ กฎที่ซบั ซ้อนหรอื ยากขึน้ ตามลาดบั

๕) กาหนดตัวเสริมแรงซึ่งอาจได้มาจากการสอบถามเด็กว่าชอบอะไร หรือ โดย
การสังเกตวา่ เด็กชอบทานอะไร ชอบของเลน่ อะไร หรือชอบทาอะไรในเวลาวา่ ง

๖) กาหนดเมนูรางวัล โดยทาเป็นรายการแสดงว่าเบี้ยอรรถกรรวมคะแนน
สามารถนาไปแลกสง่ิ ของอะไรไดบ้ ้าง เชน่ ดาวทอง ๕ ดวงแลกดินสอได้ ๑ แห่ง แต่ถ้าเป็นดาวเงิน ต้องใช้ ๘
ดวงจงึ แลกดินสอได้ ๑ แหง่ เป็นต้น

๗) ดาเนินการให้เบี้ยอรรถกรเมื่อเด็กปฏิบัติในส่ิงท่ีพึงประสงค์ เช่น ให้ตัว
เสรมิ แรงทันทีเมอื่ เด็กสง่ การบ้านตามกาหนด หรอื เมอ่ื นง่ั นานเกิน ๑๐ นาที เปน็ ตน้

๘) เมอ่ื ดาเนินการให้การเสริมแรงไประยะหนึ่ง ครควรเปลีย่ นตารางการ เสริมแรง
จากแบบให้ตัวเสรมิ แรงทุกครงั้ (Contimนous Reinforcement) เป็นแบบให้ตัวเสวน แรงบางคร้ัง (Partial
Reinforcement)

๙) จดั เวลาเพ่อื ให้เด็กเอาเบย้ี อรรถกรไปแลกรางวลั
๑๐) ควรปรับปรงุ เมนรู างวัลบอ่ ย ๆ เพ่ือไมใ่ ห้เด็กเบอ่ื รางวลั ท่ชี า้ ๆ๑๔๒

๑.๑.๒ การทาสัญญาเง่ือนไข (Contingency Contracting) กลวิธีเพิ่ม
พฤติกรรม ด้วยการทาสัญญาเง่ือนไขนี้จะเป็นไปตามกฎพรีแม็ค (Premack's Principle) ซ่ึงพรีแม็ค
(Premack. ๒๐๐๗)๑๔๓ ได้ทาการทดลองการเพ่ิมพฤติกรรมที่พึงประสงค์และสรุปไว้ว่า “ถ้ากิจกรรมท่ีเด็ก
ชอบกระทาถูกนาไปเข้าคู่กับกิจกรรมที่เด็กไม่ชอบ ต่อมาเด็กจะสามารถกระทากิจกรรมท่ีไม่ชอบนั้นได้บ่อย
ข้ึน” สรุปได้ว่าถ้าใช้กิจกรรมที่เด็กชอบกระทาเป็นตัวเสริมแรงกิจกรรมท่ีเด็กไม่ชอบกระทาอาสท่ีเด็กจะ
กระทากิจกรรมบางประการหลังก็จะเพ่ิมขึ้น ซึ่งโดยปกติพ่อแม่มักจะใช้หลักการน้ีอยู่เสมอและได้ผลดีด้วย
เช่น ถ้าลูกไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ถ้าอ่านหนังสือแล้วจะได้เล่นเกมใหม่ ๆ เรื่อย ๆ ลักษณะนี้ก็คือการเพ่ิม
พฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ด้วยการทาสัญญาเง่ือนไขน่ันเอง ในการทาสัญญากับเด็กต้องมีสาระสาคัญของ
สญั ญาซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมของเดก็ และตัวเสรมิ แรง หรอื ผลการกระทาที่เด็กได้จะรับ ในสัญญาจึงต้อง
ระบุคูส่ ญั ญาวันเรมิ่ สัญญาให้ชดั เจนและยนิ ยอม ดว้ ยการรับเงือ่ นไขในสัญญาน้ันทง้ั ๒ ฝาุ ย ดงั ตัวอย่าง
ตัวอย่างสัญญาเงื่อนไข

๑๔๒ หน่วยศึกษานเิ ทศก,์ กรมการฝกึ หดั ครู กระบวนการฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชีพครู พุทธศกั ราช ๒๕๓๑.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๓๐. หน้า ๕๔-๑๒๙

๑๔๓ Premack, D. “Human and animal cognition : Continuity and disContinuity,” Proc Nat Aca
Science. ๑๐๔, ๑๓๘๖๑-๑๓๘๖๗, ๒๐๐๗. หนา้ ๑-๒๐

๑๕๙

วนั ที่.......... เดือน……… พ.ศ.................
สญั ญาฉบับน้เี ปน็ ขอ้ ตกลงระหวา่ …………………(เดก็ นักเรยี น).....................และ...............(คร)ู .....…….

วันเร่มิ ตน้ ของสญั ญา……..และวนั สน้ิ สดุ สัญญา……………..สญั ญานจี้ ะได้รบั การทบทวนในวนั ที่…………………
…………….ขอ้ ความในสัญญามดี งั น้ี

นักเรยี นจะ........................................(พฤติกรรม)……………………………………………
ครจู ะ…………………………………….(ตัวเสริมแรง)..............................................
ถา้ หากนักเรียนทาตามทกี่ าหนดตามข้อตกลงน้แี ลว้ ก็จะได้รับรางวัลจากครูโดยไมม่ ีข้อแม้ใดๆ

ลงชอ่ื ....................(เดก็ )……………………
ลงชอื่ .....................(ครู)………………………

๑ . ๑ . ๓ ก า ร ก า ห น ด เ ง่ื อ น ไ ข ส า ห รั บ ก ลุ่ ม ( Group-based

Contingencies) การกาหนดเงื่อนไขสาหรับกลุ่ม หมายถึง การกาหนดว่าถ้าหากกลุ่มปฏิบัติตามข้อความท่ี

ระบุไว้แล้ว ผลการกระทาทางบวกท่ีกลุ่มจะได้รับคืออะไร เช่น ถ้าเด็กนักเรียนในห้องน้ีช่วยกันทางานกลุ่ม

และ เมส่งเสียงดังขณะที่ครูไม่อยู่จะได้รับการเสริมแรง เช่น ได้เล่นเกม เป็นต้น สาหรับการกาหนดเงื่อนไข

สาหรบั กลมุ่ อาจทาไดใ้ นรูปการแข่งขันก็ได้ ตัวอย่างเช่น ครูแบ่งเด็กเป็น ๒ ทีม เม่ือทีมไหนฝุาฝืนกฎ เป็นลุก

ออกจากกลุ่มหรอื พูดเสียงดงั ครูจะขดี เคร่ืองหมาย ๑ขีด บนกระดาน ถ้าทั้ง ๒ ทีมมีขีดเกิน ๕ ขีดขึ้นไปถือว่า

ไม่มีทีมใดชนะ และถ้าทีมใดมีขีดน้อยกว่าทีมน้ันก็จะชนะ ดังน้ันทั้ง ๒ ทีมไม่ฝุาฝืน กฏโดยมีพฤติกรรมตาม

เงื่อนไขซง่ึ กรณนี ี้ทงั้ ๒ ทีมจะชนะท้งั คู่ การใชอ้ ิทธพิ ลของกล่มุ ในการรกั ษา

๑.๑.๔ การกาหนดเงื่อนไขทางบ้าน (Home-based Contingencies)

สาจะ การเพ่มิ พฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีหน่ึงก็คือ เมื่อเด็กนักเรียนมีพฤติกรรมท่ีดีในขณะอ โรงเรียน

เขาจะได้รับการเสริมแรงจากผู้ปกครอง การกาหนดเง่ือนไขเช่นนี้ครูจะต้องทางานประ กับผู้ปกครองท่ีบ้าน

อย่างสม่าเสมอ คงเส้นคงวา จึงจะทาให้เง่ือนไขนี้มีผลและมีประสิทธิภาพการ พ่อแม่จะให้การเสริมแรงแก่

เด็กของตนหลังจากมีพฤติกรรมที่ดีแล้วน้ัน จาเป็นต้องได้รับทราบข้อ เก่ียวกับพฤติกรรมของเด็กท่ีโรงเรียน

ตลอดเวลา และวิธีหน่ึงท่ีจะช่วยให้ทางบ้านได้รับข้อมูลเหล่าน้ี คือ บันทึกของครูท่ีจะส่งถึงผู้ปกครอง ดัง

ตวั อยา่ งรปู แบบบนั ทึกของครูถึงผปู้ กครอง

ตัวอย่างรูปแบบบันทกึ ของครถู ึงผู้ปกครอง ช่ือนกั เรียน

ชื่อนกั เรียน……………………………………………………วัน…………เดอื น..................ปี……….

วิชา.................................................................

พฤตกิ รรมของนกั เรยี น ความเหน็ ของครู

ดี ตอ้ งปรับปรุง

๑. การเตรยี มอปุ กรณก์ ารเรยี น
๒. การสง่ การบ้าน
๓. การใหค้ วามร่วมมือในการทางานกลุ่ม
๔. ฯลฯ

๑๖๐

ขอ้ เสนอแนะอืน่ ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

(ลงชอ่ื )……………………
(ครู .....................)

๒. การแก้ไขพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาตามแนวคิดของกลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic ก
roach) นักมนุษยนิยมมีมุมมองว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่า มีความต้องการเป็นคนดี และต้องการ จะรอยภาพ
ของตนที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ตนเองและผู้อ่ืน ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องดาเนินการเป็นระบบและเป็น
กระบวนการ และเป็นการแก้ปัญหาแบบที่สมัยใหม่เขาเรียกกันว่า บูรณาการ และเป็นองค์รวม (Holistic)
โดยมอี งคป์ ระกอบท่ีประสานครบถ้วนและสมั พนั ธ์กัน ครบถ้วนถูกตอ้ งพอดี ตลอดทั้งองค์รวมจึงจะทาให้เกิด
ภาวะสมดุล หรือดุลยภาพได้วิธีแก้ปัญหาใน ข้ันต่อไปก็คือการกาหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาบุคคลด้วย
การปรับเปล่ียนพฤติกรรมหรือท่าที ต่อธรรมชาติ พฤติกรรมทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมการใช้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทาง สร้างสรรค์ ซ่ึงมีรายละเอียดดังต่อไปน้ี (พระธรรมปิฎก ป.อ. ปยุตโต ,
๒๕๓๖)๑๔๔

๒.๑ พฤติกรรมหรือท่าทีต่อธรรมชาติ เม่ือใดที่มนุษย์มีความเข้าใจ มีท่าทีต่อ
ธรรมชาติ ถูกต้องไปในทางที่ดีแล้วก็จะพลิกผันพฤติกรรมให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยหลักการสาคัญ
ทัศนะ ของพระพุทธศาสนามองธรรมชาติใน ๓ ลักษณะ คือ

๒.๑.๑ มองธรรมชาตวิ ่าเป็นทรี่ ่ืนรมยท์ าใหม้ นษุ ย์มีความสุขกับธรรมชาติ
๒.๑.๒ มองเห็นพืชพันธุ์ มนุษย์ และสัตว์ท้ังหลายในธรรมชาติเป็นเพ่ือน
ร่วมกฏธรรม อันเดียวกันกับตน ดังนน้ั จะต้องมเี มตตา มีไมตรีตอ่ กัน
๒.๑.๓ พุทธศาสนามองธรรมชาติว่า เป็นสภาพที่มีคุณค่า เกื้อกูลต่อการ
พฒั นา ตนของมนุษย์ด้วยกัน การมองเห็นธรรมชาติและสรรพส่ิงท้ังหลายว่าเป็นเพื่อนร่วมกฎธรรมชาติ อัน
เดียวกัน ทาให้จิตใจของมนุษย์เป็นจิตใจที่ขยายปริมณฑลกว้างออก และเป็นจิตใจที่เป่ียมด้วย เมตตาเป็น
จติ ใจท่ีถงึ พร้อมด้วยความรักอนั ไมม่ ีขอบเขต และพรอ้ มทจ่ี ะทาสงิ่ ท่ดี งี ามเพอ่ื มนุษยชาติ
๒.๒ พฤติกรรมทางเศรษฐกิจ เม่ือมนุษย์มีท่าทีท่ีถูกต้องต่อธรรมชาติแล้ว ขั้น
ต่อไปจะ ต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ หลักของพระพุทธศาสนาที่เป็นจุดเร่ิมต้นข้อนี้คือ
การรู้จักความพอดีในการบริโภค หรือที่เรียกกันว่ามัตตัญญตาโดยมีจุดเร่ิมต้นอยู่ท่ีมนุษย์ จะต้องรู้จัก
ประมาณก่อนวิธีการประมาณก็คือ การฝึกใช้ปัญญารู้จักแยกแยะระหว่างคุณค่าแท้กับคุณค่าเทียม เพราะ
มนุษย์เราสัมผัสกับส่ิงแวดล้อม เช่น วัตถุ สิ่งของ บุคคล สถานที่ เกิดความต้องการต่าง ๆ ข้ึน เนื่องจาก
มนุษย์มีความต้องการหลากหลาย และมีความกว้างไร้ขอบเขต ถ้ารู้จักใช้ปัญญามาแยกแยะ ระหว่างคุณค่า
แท้คุณค่าเทียม ทาให้ลดความต้องการลงจนถึงจุดท่ีพอดีจริง ๆ ผลท่ีเกิดข้ึนก็คือ คนจะมัธยัสถ์ ตัดความ
ฟุงู เฟอู ลดการเบียดเบยี นกนั ในสังคม และเอ้ือประโยชน์ตอ่ สภาพแวดล้อมไปตัวดว้ ย

๑๔๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) “กระบวนการเรียนรู้เพือ่ พฒั นาคนสปู่ ระชาธิปไตย” สาระความรูท้ ่ีได้จากการ
สัมมนาทางวิชาการ เรอื่ ง กระบวนการเรยี นรู้. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพค์ รุ สุ ภา, ๒๕๔๑. หน้า ๑-๒๐

๑๖๑

๒.๓ การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ การรู้จักพอดีในการ
บริโภค มีความหมายรวมไปถึงการสร้างสรรค์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปในแนวทางใหม่เพื่อสนองท่าที
ตอ่ ธรรมชาตแิ ละพฤติกรรมทางเศรษฐกิจอย่างที่กลา่ วมาแลว้

สรุปการแก้ไขพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาตามแนวมนุษยนิยมเน้นการพัฒนาบุคคลหรือ
นักเรียนให้มีพฤติกรรมหรือท่าทีที่ดีต่อธรรมชาติ เห็นคุณค่าของธรรมชาติ อยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่าง
สร้างสรรค์ รักษาธรรมชาติ และไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีธรรมชาติ คานึงถึงความพอเพียง พอประมาณ ใช้
ปญั ญาในการตดั สินใจแกไ้ ขปญั หา และใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ประโยชน์ต่อตนเองและผู้อ่ืน ทีพึ่งพา
ตนเองได้ และเปน็ ท่ีพ่งึ ของครอบครัวรวมทั้งสังคมได้มีพฤติกรรม สงค์ของสังคมประเทศชาติ ได้แก่ รักชาติ
ศาสน์ กษัตรยิ ์ ซ่ือสัตยส์ จุ ริต มีวนิ ัย ใฝุเรยี นรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทางาน รักความเป็นไทย และมี
จิตสาธารณะ

๕. สภาพแวดล้อมการเรียนรู้มีส่วนช่วยในการควบคุมชั้นเรียน ผู้เรียนมีระเบียบวินัย เพราะ
สภาพแวดลอ้ มในการเรยี นรู้เป็นตัวกาหนดอาณาเขตของการเรียน ทาให้มีบรรยากาศที่ ต่างไปจากกิจกรรม
อื่น ๆ ตัวอย่างเช่น การจัดห้องเรียนต้องจัดโต๊ะเก้าอ้ีให้เป็นคู่ ๆ ง่ายต่อการ และใช้ และเม่ือต้องการ
เปล่ียนเป็นแถวหรือจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ก็จัดได้สะดวก ดังนั้นผู้เรียนต้องมีรับผิดชอบและใช้ความระมัดระวัง
ในการเคล่ือนย้ายโต๊ะเก้าอี้ โดยวิธีการยกไม่ใช่ลากบนพ้ืน เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังและพื้นห้องรวมท้ังตัวโต๊ะ
เกา้ อ้ีเสียหาย

๖. สภาพแวดลอ้ มการเรยี นรู้เปน็ แหล่งทรพั ยากรทางการเรียน การจัดสภาพแวดล้อม การ
เรยี นรใู้ นปจั จบุ นั เปน็ ไปได้หลายรูปแบบ ขึ้นอย่กู ับระดับ วัย และวัตถุประสงค์ของการจัดการ เรียนรู้ที่ทาให้
ผู้เรียนและผู้สอนสามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลาท่ีต้องการ สอดคล้องกับ
หลกั การจัดการเรียนรูท้ เ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาคัญไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ทาให้ผูเ้ รยี นฝกึ ให้คดิ แก้ ปญั หาต่างๆ ด้วยตนเอง
ดว้ ย

๗. สภาพแวดล้อมการเรยี นรู้ชว่ ยเสรมิ สรา้ งบรรยากาศในการเรียน สภาพแวดล้อมที่ดีย่อม
ส่งผลให้บรรยากาศในการเรียนเอ้ืออานวยให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจาก นี้ยัง
ช่วยให้มีความสะดวกสบาย สงบ ปราศจากส่ิงรบกวน เป็นบรรยากาศทางวิชาการส่งผลให้ ผู้เรียนมีความ
กระตือรือร้นที่จะศึกษาหาความรู้หรือกระทากิจกรรมทางการเรียนต่าง ๆ อย่างต้ังใจ และมีสมาธิทาให้เกิด
พฤติกรรมที่พึงประสงค์ทงั้ ของผู้สอนและผู้เรยี นมากข้ึน

๘. สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนและ
ผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกัน การจัดสถานท่ี โต๊ะ เก้าอ้ี อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย เพราะ การ
จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญจะจัดให้ผู้เรียนเรียนเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อให้ร่วมด้วยช่วยกัน ค้นหา
คาตอบ แสดงความคดิ เหน็ และแลกเปลย่ี นความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทาให้รู้จักกันเห็นอก เห็นใจกัน และมี
ความผูกพันกัน รักใคร่และมีความรักสามัคคีกัน ช่วยเหลือกันแทนท่ีจะแข่งขันกัน เพราะผู้เรียนเกิดความ

๑๖๒

เขา้ ใจดีวา่ งานสาเร็จด้วยการร่วมแรงรว่ มใจของสมาชกิ ในกลุม่ ทกุ คน ไมใ่ ช่ ใครคนใดคนหน่ึง๑๔๕
๙. สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสมจะช่วยให้ความเมื่อยล้า หรือความเหนื่อยหน่าย

คดลง เน่ืองจากสรีระของผู้เรียนน่ังเป็นเวลานานจะเกิดความเบื่อ หากได้โยกย้ายร่างกายและมีการ
เคลื่อนไหวก็จะช่วยให้ไม่เบื่อหน่ายแต่จะรู้สึกสนุก ท้ังยังเป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายและ
สตปิ ัญญาอกี ดว้ ย

๑๔๕ พนสั หนั นาคินทร,์ "หนว่ ยท่ี ๘ การบริหารอาคารสถานท่ใี นโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา" เอกสารการสอนชดุ
วชิ าการจัดการโรงเรยี นมัธยมศกึ ษา หนว่ ยท่ี ๘-๑๕. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พย์ ไู นเตด็ โปรดักชั่น, ๒๕๒๖. หนา้ ๔๓-
๘๐

๑๖๓

คาถามทา้ ยบทเรียน

ตอนที่ ๑ คาสง่ั ใหท้ าเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงใน ก ข ค ง เลอื กคาตอบที่ถูกต้องเพียงขอ้ เดียว

๑. ส่งิ ใดท่คี รผู สู้ อนควรยึดเปน็ หลักสาคญั ทส่ี ดุ ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ก. หลักสูตร
ข. แผนการสอน
ค. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
ง. สือ่ การเรียนการสอน

๒. การจัดการเรียนการสอนตอ้ งมีคณุ ภาพ หมายถงึ ข้อใด
ก. มกี จิ กรรมเน้นผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ
ข. มกี ารใช้สื่อประกอบการสอน
ค. มกี ารนาหลักสตู รใช้
ง. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของผู้เรียนสูง

๓. ลกั ษณะการสอนท่ดี ขี อ้ แรก ครคู วรปฏบิ ตั ิเช่นไร
ก. การสอนท่ีดีครูตอ้ งสอนทาให้ผู้เรยี นเกิดการพฒั นาทั้งดา้ นความ รู้ความคดิ
ข. การสอนทด่ี ีครตู ้องมกี ารเตรียมการสอน
ค. การสอนทด่ี ีครูต้องยึดผ้เู รยี นเป็นสาคญั
ง. การสอนที่ดีครตู อ้ งสอนตามแผนการสอน

๔. ข้อใดกล่าวถูกต้องเก่ียวกบั ระบบการสอนของบราวน์ (Brown)
ก. เป็นระบบการสอนท่ยี ึดผูเ้ รยี นเป็นศูนย์กลาง
ข. เป็นระบบการสอนแบบ Playing by doing
ค. เป็นระบบการสอนแบบยดึ ตามวัตถุประสงค์
ง. เป็นระบบการสอนแบบยึดจดุ มุง่ หมายของหลักสูตร

๕. ข้อใดกลา่ วถูกต้องเกี่ยวกับการสอนแบบศาสตร์และศิลป์
ก. เป็นการสอนทมี่ ีระบบ ระเบียบมากขน้ึ
ข. พฤติกรรมการถา่ ยทอดความรู้ของครไู ปสู่นักเรียน
ค. ครูเปน็ ศนู ยก์ ลางในการจัดประสบการณ์ให้แกผ่ เู้ รยี น
ง. เปน็ การปรบั เปล่ยี นจากการสอน มาสู่การเรียนการสอน

๖. วธิ ีการสอนแบบ Lecture Method มลี ักษณะอยา่ งไร
ก. สอนใหน้ กั เรยี นรูจ้ กั วางแผน
ข. สอนให้นกั เรียนรจู้ กั วิเคราะห์ และแก้ปัญหา
ค. สอนโดยการบรรยายเนอื้ หา
ง. สอนโดยการจดั กจิ กรรมในหอ้ งเรยี น

๑๖๔

๗. คุณลักษณะการจดั สภาพแวดล้อมทางการเรียนด้านสงั คมมลี กั ษณะอยา่ งไร
ก. ความสัมพันธ์ระหวา่ งครกู บั นกั เรยี น
ข. บคุ ลกิ ภาพของครผู ู้สอน
ค. สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน
ง. สภาพแวดล้อมนอกห้องเรยี น

๘. หลักการของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบเปิด ( Open Learning Environments (OLEs))
ประกอบดว้ ยองค์ประกอบกี่ประการ

ก. ๓ ประการ
ข. ๔ ประการ
ค. ๕ ประการ
ง. ๖ ประการ
๙. การจัดสภาพแวดลอ้ มการเรยี นรู้ (Learning Environment) หมายถึงข้อใด
ก. สิ่งแวดลอ้ มท้ังกายภาพและไมใ่ ชก่ ายภาพในสถานศกึ ษา
ข. วธิ ีการเรยี นของผู้เรยี นแต่ละคนที่ไดร้ บั การยอมรับ รวมท้ังวิธกี ารแก้ปญั หา การ สร้างสรรค์
ค. สภาวะแวดลอ้ มทีอ่ ยู่รอบๆ ตัวผู้เรยี น ทัง้ ทีเ่ ป็นรปู ธรรมและนามธรรม
ง. สภาพทางกายภาพในห้องเรียนหรือศนู ย์การเรยี น ครูสามารถควบคุมทกุ อยา่ งได้
๑๐. การสอนนักเรียนให้เกิดประสิทธิภาพ ถือเป็นภาระหน้าที่ของครูผู้สอน สามารถสอนได้ ๒ ประเภท
ใหญ่ๆ คือข้อใด
ก. วิธสี อนแบบครเู ปน็ ศนู ย์กลาง วิธสี อนแบบกลุม่
ข. วธิ ีสอนแบบครเู ป็นศูนย์กลาง วธิ ีสอนแบบนักเรียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง
ค. วิธสี อนแบบนกั เรยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง วธิ สี อนแบบยึดตามหลกั สูตร
ง. วธิ ีสอนแบบยดึ ตามหลกั สูตรแกนกลาง วิธีสอนแบบนกั เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง

๑๖๕

ตอนท่ี ๒ ใหเ้ ตมิ คาลงในชอ่ งว่างให้ขอ้ ความสมบรู ณ์และไดใ้ จความ
๑. การจัดสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้ หมายถึง การจัดการส่ิงต่างๆ…………………………….ในลักษณะ

รูปธรรมและนามธรรม
๒. สภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ ม…ี ….ลกั ษณะ………………………………………………………….
๓. ลักษณะการสอนทด่ี ี เปน็ การสอนทพี่ ฒั นา…………………………………………………………………………………
๔. วิธกี ารสอนตามลกั ษณะเฉพาะแบง่ ได้ …………. แบบ……………………………………………………………………

๕. หลักการของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบเปิด(OLEs) ประกอบด้วยองค์ประกอบ………ประการ
คือ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

๖. การท่ีครูมอบหมายให้นักเรยี นทางานร่วมกนั เป็นหม่คู ณะ เรยี กว่า…………………………………………………
๗. กิจรรมการเรียนรูท้ ไ่ี ม่มีโครงสร้าง เรยี กว่า…………………………………………………………………………………..
๘. Situated Learing Environment …………………………………………………………………………………………..
๙. Pupill-Centerd Method………………………………………………………………………………………………………..
๑๐. Learing Environment ………………………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ ๓ จงตอบคาถามต่อไปน้ี ให้เข้าใจและไดค้ วามหมาย ๕ ขอ้
๑. จงบอกความหมายของวิธสี อน มาพอเขา้ ใจ
๒. วธิ กี ารสอนแบบศาสตร์และศิลป์แตกตา่ งกันอยา่ งไร
๓. การจดั สิ่งแวดล้อมทางการเรยี นรู้ OLEs ประกอบด้วยองค์ประกอบก่ีประการ อะไรบ้าง
๔. การสอนท่ดี มี ีลกั ษณะอยา่ งไร
๕. การจัดสภาพแวดลอ้ มทางการเรียน แบ่งได้กล่ี กั ษณะ มอี ะไรบา้ ง

๑๖๖

เฉลยคาถามท้ายบท

ตอนท่ี ๑ คาส่งั ให้ทาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงใน ก ข ค ง เลอื กคาตอบท่ถี กู ต้องเพียงข้อเดียว
๑. ค ๖. ค
๒. ง ๗. ก
๓. ข ๘. ข
๔. ก ๙. ค
๕. ง ๑๐. ข

ตอนท่ี ๒ ใหเ้ ติมคาลงในช่องวา่ งใหข้ อ้ ความสมบรู ณแ์ ละไดใ้ จความ
๑. การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ หมายถึง การจัดการสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้เรียน
ท้ัง ในลักษณะรปู ธรรมและนามธรรม
๒. สภาพแวดลอ้ มการเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี ๒๑ มี ๕ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

๑. สนบั สนุนความตอ้ งการของบคุ คลในสังคม
๒ สนับสนนุ การเรยี นรชู้ มุ ชนมืออาชพี
๓. สนับสนุนนกั เรียนไดเ้ รยี นรู้เก่ยี วกับงานทเี่ กีย่ วในโลกศตวรรษท่ี ๒๑
๔. เรียนรู้การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีอยา่ งมีคณุ ภาพรู้จกั การทางานเป็นกลมุ่ เปน็ ทีม
๕. สนับสนุนการติดตอ่ กับชมุ ชนและมกี ารส่วนรว่ มระหว่างชาตติ า่ งๆด้วยการเรียนรู้
๓. ลกั ษณะการสอนท่ีดี เป็นการสอนทีพ่ ฒั นาผู้เรียนใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในทางสร้างสรรค์และ
ร่วมกิจกรรมการเรยี นการสอนด้วยความสุข
๔. วิธีการสอนตามลกั ษณะเฉพาะแบ่งได้ ๒ แบบ ได้แก่
๑. วิธกี ารสอนแบบครูเปน็ ศูนย์กลาง
๒. วธิ กี ารสอนแบบนกั เรียนศูนย์กลาง
๕. หลักการของสิง่ แวดลอ้ มทางการเรยี นรู้แบบเปิด(OLEs) ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๔ ประการ คอื
๑. การเข้าสู่บริบท ๒. แหล่งทรพั ยากร ๓. เครอื่ งมือสอื่ สารการช่วยเหลือ ๔. ฐานการชว่ ยเหลือ
๖. การทคี่ รมู อบหมายให้นกั เรยี นทางานรว่ มกันเป็นหมคู่ ณะ เรียกว่า กระบวนการทางานกลุ่ม
๗. กิจรรมการเรียนรู้ท่ไี ม่มโี ครงสรา้ ง เรียกว่า กจิ กรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริง
๘. Situated Learing Environment หลักการของส่งิ แวดล้อมทางการเรียนรู้
๙. Pupill-Centerd Meth วธิ สี อนแบบนกั เรียนเป็นศนู ย์กลาง
๑๐. Learing Environment การจดั สภาพแวดลอ้ มเพอ่ื การเรียนรู้

๑๖๗

ตอนที่ ๓ จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ใหเ้ ข้าใจและไดค้ วามหมาย ๕ ขอ้
๑. จงบอกความหมายของวิธีสอน มาพอเข้าใจ

ตอบ วิธีสอน หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ท่ีครูนามาใช้สอนนักเรียน เพื่อให้การเรียนการสอนมี
ประสิทธภิ าพในดา้ นความรู้ ความเข้าใจ ดา้ นเจตคติ และด้านทักษะ
๒. จงบอกความหมายวธิ ีการสอนแบบศาสตร์และศลิ ป์ มาพอเข้าใจ

ตอบ ศาสตร์ หมายถึง กระบวนการค้นหา องค์ความรู้ จากประสบการณ์เราได้เรียนรู้มา เรียกว่า
ศาสตร์แหง่ ความรู้ ซ่งึ ศาสตร์แต่ละอย่างย่อมตา่ งกนั

ศิลป์ หมายถึง การถ่ายทอดผลงาน ความคิด สร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ซึ่งแต่ละ
คนย่อมมีวิธกี ารและฝีมอื ถ่ายทอดแตกตา่ งกัน

ศาสตรแ์ ละศิลป์ คือ การนาองค์ความรู้ มาถ่ายทอดผลงานดว้ ยจติ รบรรจง ภายใต้เงื่อนไขดงั นี้
๑. ความคิดสร้างสรรค์ การหาวธิ ที า การสร้างเครอ่ื งมอื
๒. ความขยัน อดทน และซือ่ สัตย์หน้าที่
๓. ฝมี อื เที่ยงตรง มัง่ คงตลอดกาล

๓. การจดั สิ่งแวดลอ้ มทางการเรียนรู้ OLEs ประกอบด้วยองคป์ ระกอบกี่ประการ อะไรบา้ ง
ตอบ การจดั สิง่ แวดลอ้ มทางการเรียนรู้ OLEs ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๔ ประการ คอื
๑. การเขา้ สู่บรบิ ท (Enabling contexts)
๒. แหลง่ ทรพั ยากร (Resources)
๓. เคร่อื งมอื (Tools)
๔. ฐานการช่วยเหลือ (Scaffolding)

๔. การสอนท่ดี ีมลี ักษณะอย่างไร
ตอบ การสอนทด่ี จี ะมลี ักษณะ ดังนี้
๑. เป็นการสอนทม่ี กี ารเตรียมการสอนเป็นอยา่ งดี
๒. เปน็ การสอนที่ทาใหผ้ เู้ รียนเกิดการพฒั นา ทั้งด้านความรู้ความคิด ด้านเจตคติ และด้าน

ทกั ษะ
๓. เป็นการสอนท่ีผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ได้สอดคล้องกับจุดประสงค์กับ

เน้ือหาและกับผ้เู รียน โดยใช้กิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ทีเ่ หมาะสม
๔. เป็นการสอนท่ีผู้เรียนได้ลงมือกระทากิจกรรมด้วยตนเองหรือได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม

ทาให้ ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ได้ดี และเกิดความกระตือรอื ร้นในการเรยี น
๕. เปน็ การสอนทส่ี อดคล้องกับเจตนารมณข์ องหลกั สตู ร
๖. เปน็ การสอนที่คานงึ ถงึ ประโยชนท์ ีผ่ ู้เรยี นจะนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันและตลอดไป
๗. เป็นการสอนที่เร้าความสนใจผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนสนใจเรียนตลอดจนจบกระบวนการสอน เช่น

ผ้สู อนใชส้ ่ือการสอนท่นี า่ สนใจ ใช้คาถามกระตนุ้ ให้
๘. เป็นการสอนทม่ี ีบรรยากาศสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ ทัง้ บรรยากาศด้านวตั ถแุ ละด้าน จิตใจ บรรยากาศ

๑๖๘

ด้านวตั ถุ หมายถึง การมีสภาพหอ้ งเรียน อปุ กรณก์ ารเรียน และสงิ่ แวดล้อมทด่ี ี
๙. เป็นการสอนที่ผู้สอนรู้จักใช้จิตวิทยาการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม เช่น การให้รางวัล และการ

ลงโทษทพ่ี อดี การใหค้ าชม การจงู ใจ เรา้ ใจให้ผ้เู รียนเกดิ แรงกระตุ้นภายใน
๑๐. เป็นการสอนที่ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น ให้ผู้เรียนมีอิสระ ในการแสดง

ความคิดเหน็ ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ การทางานกลมุ่ รว่ มกนั ไดฝ้ กึ การเป็นผ้นู าผตู้ าม
๑๑. เป็นการสอนท่ีมีกระบวนการ หมายถึง มีลาดับขั้นตอนการสอนท่ีไม่สับสน จาเป็นต้องมีการ

เตรยี มการสอนเหมาะสมตั้งแต่ขั้นนา ขั้นสอน และขัน้ สรุป
๑๒. เป็นการสอนท่ีมีการวัดผลประเมนิ ผลทง้ั ก่อนเรยี น ระหวา่ งเรยี น และหลังการเรียน โดยอาจใช้

วธิ ีต่างๆ เช่น การสงั เกต การซกั ถาม การทดสอบ
๑๓. เป็นการสอนท่ีผู้สอนสอนด้วยวิญญาณความเป็นครู สอนด้วยความกระตือรือร้น สอนด้วย

ความต้งั ใจ ความเต็มใจ และความมนั่ ใจ

๕. การจดั สภาพแวดล้อมทางการเรียน แบ่งได้เป็นก่ลี กั ษณะ มอี ะไรบา้ ง
ตอบ การจัดสภาพแวดลอ้ มทางการเรยี น แบ่งได้เปน็ ๓ ลกั ษณะ คือ
๑. สภาพแวดล้อมทางด้านกายภาพ
๒. สภาพแวดล้อมทางด้านจิตภาพ
๓. สภาพแวดล้อมทางด้านสังคม

บทท่ี ๕

เทคนคิ วทิ ยาการจดั การเรียนรู้

หลักการและเหตุผล

เทคนิค หมายถึง พฤติกรรมการสอนของผู้สอน กลวิธีในการสอนอย่างแยบยล เพื่อให้การเรียนการสอนมี
ประสอทธิภาพ ผเู้ รียนเรียนอย่างมคี วามสุข เป็นทง้ั ศลิ ป์ และศาสตร์ เพราะครูตอ้ งเรยี นรู้ และมีประสบการณ์แล้ว
ยังตอ้ งมีความสามารถในเลอื กวิธีสอนและการใชส้ ื่อ

การจดั การเรียนรู้ เป็นกระบวนการทีส่ าคญั ในการศึกษาของทุกๆ ประเทศ การจักการเรียนรู้ จาเป็นต้อง
มีหลักการ แนวคดิ เทคนิคและวิทยาการจดั การเรียนรู้ ในการจัดเรยี นรู้

การจัดการเรียนรู้ท่ีดีต้องมีการจัดระบบ หรือแนวทาง ที่เป็นรูปเอกสารอย่างชัดเจน เป็นการกาหนด
กระบวนการและวิธีการจากเร่ิมต้นจนถึงสุดท้าย ตามวิธการ มาตรการท่ีเก่ียวกับการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนมี
สมรรถนะสาคญั และคุณลักษณะอนั พึงประสงคต์ ามท่กี าหนดไว้

หวั ข้อยอ่ ย

๑. ความหมายเทคนคิ วิทยาการจดั การเรยี นรู้
๒. เทคนคิ การสอนวธิ ตี า่ งๆ
๓. การนาเข้าสูบ่ ทเรยี น
๔. การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน
๕. การสรปุ บทเรียน
๖. การฝึกทักษะการสอนแบบจลุ ภาค

จุดประสงค์

๑.เพื่อให้ทราบถงึ หลกั การ แนวคิด เทคนิคและวทิ ยาการจัดการเรียนรู้ ตามวิธกี าร มาตรฐานการเรยี นรู้
๒. เพ่ือศึกษาถึงหลกั การ แนวคิด เทคนิคและวิทยาการจัดการเรยี นรู้ ให้เหมาะสมกบั ยคุ สมัย
๓. เพ่ือบูรณาการ การจัดการเรียนรู้ และสร้างเทคนิคแห่งการเรียนการสอน ของการศึกษาในศตวรรษ
ท่ี ๒๑

๑. ความหมายเทคนิควิทยาการจดั การเรยี นรู้

เทคนคิ และวิทยาการจัดการเรียนรู้หมายถึง วธิ กี าร มาตรการในการจัดการเก่ียวกับการเรียนการสอนซึ่งมี
หลากหลายวิธีด้วยกัน ผู้สอนสามารถคิดค้น พัฒนา สรรหา แลกเปลี่ยน เรียนรู้ สืบเสาะเทคนิคต่าง ๆ ซ่ึงมีอยู่
มากมายสามารถเลือกใชต้ ามความเหมาะสม๑๕๕

๑๕๕ orathai education, เทคนคิ และวิทยาการจัดการเรยี นรู้, https://sites.google.com, (สืบค้นเม่ือวนั ที่ ๑ มีนาคม
๒๕๖๑),

๑๖๙

การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคัญในการนาหลักสูตรสู่การปฏิบัติหลักสูตรโรงเรียน ฐานชีวา
พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐาน
การเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นเป้าหมายสาคัญสาหรับพัฒนาเด็กและ
เยาวชนผู้สอนต้องพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน
การเรยี นรทู้ ้งั ๘ กลุม่ สาระเรยี นรู้ รวมท้ังปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์พัฒนาทักษะต่าง ๆ อันเป็น
สมรรถนะสาคัญที่ตอ้ งการใหเ้ กิดแกผ่ ูเ้ รียน

๒. เทคนิคการสอนวิธีต่างๆ

๒.๑ การสอนแบบเน้นกระบวนการคดิ ดว้ ยเทคนิค KWL
แนวคิดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านโมเดล๑๕๖ KWL ได้รับการคิดค้นโดย Professor Dr. Donna Ogle

นักการศึกษาชาวอเมริกัน เมื่อปี ๑๙๘๖ ภายใต้แนวคิดในการเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งสามระยะ คือ
ประสบการณ์ระยะก่อนหน้า(Before)ระยะปัจจุบัน (During) และระยะส้ินสุด(After) ประมวลไว้ด้วยกันอย่าง
ชัดเจนเป็นรูปธรรมผ่านตาราง ๓ ช่อง เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถเช่ือมโยงประสบการณ์เดิมสู่ประสบการณ์ปัจจุบันได้
อย่างเป็นระบบและชัดเจนมากขึ้นจนเกิดเป็นการเรียนรู้ใหม่ขึ้นมา ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่าการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ผ่านโมเดลตาราง KWL เป็นรูปแบบการสอนที่เน้นการเชื่อมโยงประสบการณ์ระหว่างของเดิมและของใหม่
อย่างเป็นรปู ธรรมและเปน็ ระบบอกี รูปแบบหนง่ึ

๒.๑.๒ หลักการและแนวคดิ ของโมเดล KWL
มีความเชื่อที่ว่าการตั้งคาถามในลักษณะ “วันน้ีเราเรียนรู้อะไร” เป็นคาถามที่กระตุ้นกระบวนการคิด
ของผู้เรียน เพราะเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดทบทวน ประมวลข้อมูล และสะท้อนผลออกมาในสิ่งท่ีตนเองได้
เรยี นรูใ้ นแต่ละวัน แนวคิดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านโมเดล KWL จัดเป็นกิจกรรมท่ีมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของ
ผเู้ รียนอยา่ งแทจ้ ริง เพราะส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นไดว้ างแผนและลงมอื ปฏบิ ัติ สร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเองอย่างเป็นระบบ
และเป็นรปู ธรรม การค้นพบหรือการสรา้ งองคค์ วามรูข้ องผู้เรียนจะเกดิ ข้ึนอยา่ งมคี วามหมายและมีคุณค่า
นอกจากน้ี แนวคิดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านโมเดล KWL ยังเตรียมความพร้อมและส่งเสริมผู้เรียน
ในเร่ืองการเรียนรู้เป็นรายบุคคลรวมทั้งการส่งเสริมแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต(Lifelong Learning) อีกด้วย
โมเดล KWL เอื้อประโยชนห์ ลายอย่างตอ่ ผูเ้ รยี น เชน่
๑) เปน็ เคร่อื งมอื นาทางทเ่ี ป็นรปู ธรรมในการค้นควา้ หาความรู้ของผู้เรียน
๒) ชว่ ยระบแุ หลง่ ท่ีมาของขอ้ มลู หรือแหล่งเรยี นรทู้ ่ชี ัดเจน
๓) สามารถทาการตรวจสอบความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของข้อมูลได้ง่ายหลังจากเมื่อทราบ
แหลง่ ขอ้ มลู

๑๕๖ ทศิ นา แขมมณ,ี ศาสตรก์ ารสอน: องค์ความรเู้ พ่ือการจัดกระบวนการเรยี นรทู้ ่มี ีประสทิ ธภิ าพ, (กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๘),

๑๗๐

๔) ส่งเสรมิ การมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการสรา้ งองคค์ วามร้ดู ้วยตนเอง
๕) ชว่ ยพฒั นาทกั ษะกระบวนการเรยี นร้ใู หพ้ ร้อมในระดับทส่ี ูงขนึ้
๒.๑.๓ วตั ถุประสงค์หลักการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ผา่ นโมเดล KWL
๑) เป็นการกระตุ้นความอยากใคร่ใฝ่รู้ในส่ิงท่ีผู้เรียนสนใจจริงๆ กระตุ้นให้ค้นคว้าหาคาตอบในเรื่องท่ี
ตนเองสนใจและอยากรู้เพิ่มเติมผ่านการเช่ือมโยงข้อมูล/ประสบการณ์ระหว่างของเดิมและของใหม่จนก่อเกิดเป็น
การสรา้ งองค์ความรดู้ ้วยตนเอง
๒) สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นตัดสินใจ ตกลงใจ และตระหนักในส่ิงที่อยากจะเรียนรู้หรือสนใจจริงๆ และพัฒนา
จนกลายเปน็ ขอ้ คาถามและความสงสัยสว่ นตัว ซง่ึ จะกลายเป็นวัตถปุ ระสงค์ในการเรยี นรเู้ รอ่ื งนนั้ ตอ่ ไป
๓) ชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถตรวจสอบความกา้ วหน้าในการเรียน ความเขา้ ใจในบทเรยี นไดต้ ลอดเวลา
๔) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดนอกกรอบ ไม่ยึดติดกับการค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือแบบเรียนเพียง
อยา่ งเดียว
๒.๑.๔ รปู แบบแนวคิดโมเดล KWL
คุณลกั ษณะของการจดั กจิ กรรมภายใต้แนวคิด โมเดล KWL
แนวคิดโมเดล KWL เป็นกรอบความคิดท่ีเป็นรูปธรรมสาหรับผู้เรียนในการสร้างกระบวนการเรียนรู้
และในการเชื่อมโยงข้อมูล หรือประสบการณ์ระหว่างของเดิมและของใหม่ เป็นแนวคิดท่ีท้ังครูและผู้เรียนสามารถ
ตรวจสอบความก้าวหน้าทางการเรียน และความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาสาระตลอดเวลา ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้
ลึกซ้ึงมากย่ิงข้ึนผ่านโมเดล KWL ความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนจะถูกพัฒนาข้ึนทีละเล็กละน้อย จนมีความ
ซับซ้อนและเป็นระบบมากย่ิงข้ึน ผู้เรียนทุกคนโดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กเล็กน้ันต้องการการเรียนรู้ผ่านสื่อท่ีเป็น
รปู ธรรมและเปน็ ระบบ สามารถมองเห็นไดช้ ัดเจนและง่ายตอ่ การทาความเข้าใจ
แนวคิดโมเดล KWL ชว่ ยพัฒนาความสามารถในการสะท้อนผลความรู้ (Reflection) โมเดล KWL เอื้อ
ในการประเมินและตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ทุกระยะระหว่างดาเนินกิจกรรม แนวคิด
โมเดล KWL ช่วยระบุข้อมูลจากประสบการณ์เดิมของ ส่ิงที่ผู้เรียนอยากรู้หรืออยากเรียนเพิ่มเติม และการสะท้อน
การเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างชัดเจน ผู้เรียนจะถูกกระตุ้นให้มีส่วนร่วมและมีส่วนรับผิดชอบในกระบวนการสร้าง
องค์ความรู้ให้ตนเอง วางแผน ดาเนินการเก็บข้อมูล และประมวลข้อมูล เพ่ือหาคาตอบในสิ่งท่ีตนเองได้ต้ังคาถาม
ไว้
KWL ยังช่วยพัฒนาทักษะด้านต่างๆของผู้เรียน เช่น การเขียนส่ือความ แปลความสรุปความ ความ
สวยงามของภาษา เป็นต้น และสามารถนาไปประยุกต์ใช้กับผู้เรียนทุกระดับช้ัน ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม
โมเดล KWL กระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถวเิ คราะห์ความกา้ วหน้า
ทางการเรียนท้ังรายบุคคลและรายกลุ่ม รวมถึงกระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความสาคัญของข้อมูลหรือ
ประสบการณ์เดิมท่ีเป็นประโยชนอ์ ย่างยิง่ ในการตอ่ ยอดสรา้ งองค์ความรู้ใหมร่ ู้ผ่านโมเดล KWL

๑๗๑

นักการศึกษา Bryan ได้พัฒนาโมเดล KWL ข้ึนใหม่ในปี ๑๙๙๘ โดยเพิ่มคอลัมน์ “W” ข้ึนมาอีกหนึ่ง
ช่อง โดยเป็นการระบทุ ่ีมาของแหล่งค้นควา้ ขอ้ มูล (Where can I learn this) ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนมีความชัดเจนใน
เรื่องของแหล่งค้นคว้าข้อมูลหรือแหล่งเรียนรู้ท่ีสามารถช่วยหาคาตอบในช่อง “สงที่ฉันอยากจะรู้” (What I want
to know) บอ่ ยครง้ั ทพ่ี บว่าผู้เรยี นตอ้ งหยุดชะงักเนื่องจากมีอุปสรรคในเรื่องของแหล่งข้อมูล กล่าวคือผู้เรียนทราบ
ในส่ิงท่ีตนเองอยากจะเรียนรู้ แต่ไม่ทราบหรือไม่ได้รับความสะดวกในการค้นคว้าหาข้อมูล ดังนั้นการระบุ
แหล่งข้อมูลหรอื แหล่งเรยี นรูท้ ีช่ ดั เจนจะช่วยทาให้การเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านโมเดล KWL เกิดขึ้นได้ง่ายและสะดวก
มากขึ้น

ในช่อง “W” (ตัวที่ ๒) หรือ “Where” คอลัมน์ ผู้เรียนจะต้องวิเคราะห์ท่ีมาของข้อมูล หรือ
แหล่งข้อมูล ซึ่งในกระบวนการน้ีผู้เรียนและครูต้องคานึงถึงความน่าเช่ือถือ ความถูกต้อง และความเป็นปัจจุบัน
ของข้อมูลด้วย แหล่งข้อมูลที่ดีควรเป็นในลักษณะของสื่อปฐมภูมิ (ของจริง) เช่น ผู้เช่ียวชาญ สถานท่ีจริง การ
ปฏบิ ตั ิจริง เป็นตน้ แหล่งข้อมูลทเี่ หมาะสมตอ้ งมคี วามหลากหลาย เชน่ หนังสอื นติ ยสาร รายงานวิชาการ รายการ
สารคดีทางโทรทัศน์ บทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าเมื่อคานึงถึงความหลากหลายของ
แหล่งข้อมลู แล้วควรท่ีจะตอ้ งคานงึ ถงึ ความน่าเชอ่ื ถือ ความเพียงพอ และความถกู ต้องของแหลง่ ข้อมลู นนั้ ๆ ด้วย

โดยสรุปแล้วเม่ือภาวะในสมองของผู้เรียนเกิดความไม่สมดุล(Disequilibrium) การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ผ่านโมเดล KWL จะช่วยทาให้การเรียนรู้หรือการปรับสมดุลทางสมองของผู้เรียนเกิดข้ึนง่ายขึ้นและ
รวดเร็วมากขึ้น เพราะโมเดล KWL ถกู สะท้อนออกมาเปน็ กระบวนการเรยี นร้ทู ่ีเป็นระบบและเปน็ รปู ธรรม

๒.๑.๕ เทคนคิ การเรียนรแู้ บบ KWL
เทคนคิ การเรยี นรู้แบบ๑๕๗ KWL ประกอบดว้ ย ๓ ข้นั ตอน ดงั นี้

๑) ข้ันรู้ = K (Know)
ผสู้ อนจะต้องตง้ั ประเด็นผู้สอนจะต้ังประเด็น (หรอื หัวข้อบทเรียน) ให้ผู้เรยี นทกุ คนทราบ หลังจากน้ันจึง
ปล่อยให้ผู้เรียนแต่ละคนได้คิด และให้ผู้เรียนแต่ละคน (หรือแต่ละกลุ่ม) ได้เขียนสาระต่าง ๆ ที่ผู้เรียนมีความรู้อยู่
แลว้ เก่ยี วกับประเดน็ ทผี่ ู้สอนตงั้ ไว้ในกระดาษทผ่ี สู้ อนแจกให้
คอลัมน์ “K” เปน็ การระบขุ อ้ มลู จากประสบการณเ์ ดมิ ของผู้เรียน ซึ่งถือเป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิงในการต่อ
ยอดองค์ความรูส้ าหรับผเู้ รียน
ครเู ป็นบคุ คลสาคัญในการกระตุ้นใหผ้ ูเ้ รียนสะทอ้ นขอ้ มูลจากประสบการณ์เดิมออกมาให้มากท่ีสุด ท้ังน้ี
เพอ่ื เป็นการตรวจสอบว่าขอ้ มูลจากประสบการณเ์ ดิมทม่ี ีอยขู่ องผเู้ รยี นถูกตอ้ งและเป็นปจั จุบนั หรือไม่
ในกรณีที่ข้อมูลหรือประสบการณ์เดิมของผู้เรียนไม่ถูกต้อง ครูอาจจะนาประเด็นเหล่านี้ไปใช้เป็นข้อ
คาถามของช่อง “W คือสิ่งที่ฉันอยากจะรู้” ได้ ทั้งน้ีอาจจะใช้ในกรณีที่ต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของข้อมูลจาก
ประสบการณ์เดิม

๑๕๗ เรื่องเดยี วกนั ,

๑๗๒

๒) ขนั้ ต้องการเรียน = W (Want)
หลังจากท่ีผู้เรียนบันทึกสาระต่าง ๆ ที่ตนเองมีความรู้อยู่แล้วเก่ียวกับประเด็น (หรือหัวข้อบทเรียน) ที่
ผู้สอนตั้งไว้แล้ว ผู้สอนจะให้ผู้เรียนบันทึกถึงความต้องการที่เกี่ยวกับสาระหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้เรียนต้องการจะ
เรียนรู้เพ่ิมมากยิ่งข้ึน ซึ่งอาจจะบันทึกเป็นหัวข้อ ย่อย ๆ ก็ได้ ถ้าเป็นกิจกรรมกลุ่ม สามารถให้กลุ่มช่วยกันคิดว่า
ต้องการเรียนรู้ส่ิงใดเพ่ิมเติม ในหัวข้อที่ผู้สอนกาหนดไว้หลังจากน้ัน จะมีการจัดการเรียนรู้ตามปกติ ซึ่งอาจให้
ผู้สอนเป็นผู้นาช้ันเรียน หรือปล่อยให้ผู้เรียนศึกษาบทเรียนแต่เพียงลาพังจากส่ือ ต่าง ๆ ท่ีผู้สอนจัดไว้ให้ หรือ
อาจจะให้ผเู้ รยี นออกไปค้นคว้าหาความรู้เก่ยี วกบั หัวข้อยอ่ ย ๆ ท่ีผเู้ รียนบนั ทกึ ไวใ้ นกระดาษช่อง W
คอลัมน์ “W – สิ่งท่ีฉันอยากจะรู้” น้ีเป็นการระบุในส่ิงท่ีผู้เรียนสนใจและต้องการลงมือปฏิบัติจริงใน
การสรา้ งองค์ความรใู้ หมข่ ้นึ มา
การส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนรู้จักตั้งคาถามของตัวเองเก่ียวกับส่ิงที่เรียนทั้งก่อนลงมือทากิจกรรม
ระหว่างทากิจกรรม และหลังการทากิจกรรมการเรียนรู้ ถือเป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิง ทักษะเหล่านี้จะกลายเป็นแรง
กระตุ้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ทากิจกรรมอย่างจริงจัง และยังเป็นรากฐานในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างม่ันคงกับ
ผู้เรียนต่อไปอกี ด้วย
๓) ขน้ั เรยี นรู้แล้ว = L (Learned)
ในข้ันสุดท้ายน้ี จะให้ผู้เรียนบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้แล้วจากข้ันตอนท่ีผ่านมา ลงใน
กระดาษช่องทางขวามือท่ีเหลือ และให้ผู้เรียนช่วยกันสรุปว่า ส่ิงที่ผู้เรียนรู้แล้ว (K) ส่ิงที่ผู้เรียนต้องการเรียน (W)
และสิง่ ที่ผเู้ รียนเรียนรแู้ ล้ว (L) มีความสมั พันธ์กันหรือไม่ อย่างไร และสรปุ ผลความรูท้ ่ีได้
คอลัมน์นี้เป็นการสรุปสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ใหม่ ทั้งนี้ผู้เรียนสามารถใช้ข้อมูลในคอลัมน์นี้ในการ
ตรวจสอบ เปรียบเทียบปริมาณและระดับความลึกซึ้งขององค์ความรู้ใหม่ที่เกิดข้ึนมาโดยเปรียบเทียบกับคอลัมน์
แรก (K คือ สิง่ ที่ฉนั รแู้ ลว้ )
คอลมั นเ์ ปน็ ประโยชน์อย่างยิ่งในการตรวจสอบความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ของผู้เรียน และตรวจสอบ
ได้ว่าสง่ิ ท่ีผเู้ รยี นต้องการเรยี นรู้ ในคอลัมน์ “W คอื สิง่ ท่ีฉันอยากจะรู้” นนั้ บรรลผุ ลหมดทุกประการแลว้ หรือไม่

๒.๑.๖ การประยุกตใ์ ช้แนวคดิ โมเดล KWL
การประยุกต์ใช้แนวคิดโมเดล KWL โดยหลักการแล้ว การนาแนวคิดโมเดล KWL ไปประยุกต์ใช้
สามารถทาได้ ดงั น้ี
๑) ระดมสมองผู้เรียนและรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเกี่ยวกับหัวข้อของบทเรียน
(“K” หรือ “What I Already Knew” คอลมั น์)
๒) กระตุ้นผู้เรียน อภิปรายในส่ิงท่ีผู้เรียนอยากจะเรียนรู้เพ่ิมเติม (“W” หรือ “What I Want to
Know” คอลัมน์)
๓) วางแผนกจิ กรรมการเรียนรู้ (“W” หรือ “What I Want to Know” คอลมั น)์

(๓.๑) วางเปา้ หมาย

๑๗๓

(๓.๒) กาหนดแหล่งที่มาของข้อมูล หรอื แหลง่ ข้อมูล
(๓.๓) วางแผนวธิ เี กบ็ รวบรวมข้อมูล
(๓.๔) ระยะเวลาในการเก็บข้อมลู
๔) ประมวลขอ้ มูล สรุปผล ตรวจสอบเน้ือหา (“W” หรอื “What I Want to Know” คอลมั น)์
๕) สะทอ้ นการเรียนรู้ ระบสุ ่งิ ทผี่ ู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้ (“L” หรอื “What I Have Learned” คอลมั น์)
ดังน้ันสามารถสรปุ การจดั กจิ กรรมผ่านแนวคิดโมเดล KWL ไดด้ งั นี้
๑) สามารถจัดภายในระยะเวลาที่หลากหลาย บางคร้ังอาจจะจัดเพียง หน่ึงคาบ หนึ่งสัปดาห์ สาม
สปั ดาห์ หรอื หนึ่งเดอื น ขึน้ อยู่กับความลึกและปรมิ าณเน้ือหาทผี่ ู้เรยี นสนใจ
๒) การจัดเกบ็ ข้อมูลควรให้เกิดขน้ึ อย่างเป็นระบบ ชัดเจน ดแู ลว้ เข้าใจงา่ ย
๓) การเรยี นรผู้ า่ นแนวคิดโมเดล K-W-L จาเป็นอย่างยิ่งในการปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักยอมรับและเปิดใจ
รับฟังความคดิ เห็นของผู้อนื่ ภายใต้บรรยากาศของการเคารพและให้เกียรตซิ ง่ึ กันและกนั
๔) ใน “K” หรือ “What I Already Knew” คอลัมน์ หากข้อมูลจากประสบการณ์เดิมท่ีผู้เรียนระดม
สมองหรอื นาเสนอมามเี นื้อหาไมถ่ กู ต้อง ครยู ังคงต้องเขียนลงในตาราง ท้ังน้ีเพ่ือจะนาสิ่งเหล่านี้เป็นจุดตั้งต้นในการ
พิสจู น์ขอ้ เท็จจรงิ ใน “W” หรอื “What I Want to Know” คอลัมน์ได้
๕) ระหวา่ งดาเนินกจิ กรรม เปน็ หน้าท่ขี องครูท่ีจะคอยกระตนุ้ ผเู้ รยี นสังเกตและเก็บข้อมูล รายละเอียด
ต่างๆ ซ่งึ จะเปน็ ประโยชน์ต่อการสรปุ บทเรยี นและตดิ ตามความกา้ วหนา้ ของการสรา้ งองค์ความรู้
ขอ้ ดี ข้อด้อย
๑) ขอ้ ดี
(๑.๑) ผเู้ รียนเกิดองคค์ วามรูท้ ี่มากขน้ึ มคี วามหลากหลาย คงทน มคี ณุ ค่าและความหมายกับผู้เรียนมาก
ขน้ึ
(๑.๒) ผูเ้ รียนมีเจตคตทิ ี่ดีในการเรียน เพราะได้เรียนรู้ในสง่ิ ทตี่ นเองสงสัยใครร่ ู้อย่างแทจ้ รงิ
(๑.๓) สามารถขจดั ความรเู้ ดิมทผ่ี ดิ ของผเู้ รียน สรา้ งความเขา้ ใจในเน้ือหาใหม่ทีถ่ ูกต้อง
(๑.๔) ครแู ละผู้เรยี นสามารถตรวจสอบความกา้ วหนา้ ทางการเรยี นได้ตลอดเวลา
(๑.๕) ชว่ ยพฒั นาคุณลักษณะท่ีดแี ละทักษะดา้ นตา่ งๆแกผ่ ู้เรยี น เช่น การสอ่ื สาร การฟัง พูด อ่าน เขียน
การสืบค้นข้อมูล การทางานร่วมกับผู้อ่ืน การยอมรับความเห็นของเพ่ือน ความมั่นใจในตนเอง เจตคติท่ีดีในการ
เรยี น เป็นตน้
(๑.๖) พัฒนาและปลูกฝงั แนวคิดการเรียนรูต้ ลอดชวี ิต (Lifelong Learning) แกผ่ เู้ รยี น
๒) ขอ้ ด้อย
(๒.๑) ข้อจากัดของรูปแบบนี้คือ ครูท่ีจะคอยกระตุ้นผู้เรียนสังเกตและเก็บข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ซ่ึง
จะเป็นประโยชน์ต่อการสรปุ บทเรยี นและตดิ ตามความก้าวหนา้ ของการสรา้ งองค์ความรู้

๑๗๔

(๒.๒) ผู้เรียนต้องรู้จักยอมรับและเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ภายใต้บรรยากาศของการเคารพ
และใหเ้ กยี รติซง่ึ กันและกัน

(๒.๓) ผู้เรยี นตอ้ งมีประสบการณ์เดิมเพียงพอที่จะสามารถนาความรเู้ ดิมมาประยุกต์ใชก้ ับความร้ใู หม่
(๒.๔) การเรียนรู้ต้องอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเสมอ และความรู้เดิมของผู้มักมีความ
หลากหลายแตกตา่ งกันออกไป
๒.๒ การสอนแบบเน้นกระบวนการคิดดว้ ยเทคนคิ KWL Plus
ในปีค.ศ. ๑๙๘๖ Donna M. Ogle แห่ง National College of Education at Evanston,Illinois อ้าง
ถึงในสุพรรณีสุทธรินทร์ ได้พัฒนาการสอนแบบ KWL Know-Want-Learn (What do I know?, What do I
want to learn?, What did I learn?) เพื่อใช้ในการสอนอ่านแบบโครงสร้างความเรียงโดยจัดการสอนท่ีเน้น
กิจกรรมการอ่านที่เชื่อมโยงกับทฤษฎีโครงสร้างประสบการณ์เดิมบนพื้นฐานความเช่ือท่ีว่านักเรียนได้เรียนรู้อะไร
มาบ้างแล้วก่อนการอ่าน๑๕๘ (What do I know?) ด้วยวิธีการวิเคราะห์หัวเรื่องและทานายเหตุการณ์ของเร่ือง
กอ่ นท่ีจะอ่านโดยใหน้ ักเรียนระดมกาลังสมอง (Brainstorming) ช่วยกันคิดว่านักเรียนต้องการรู้อะไร (What do I
want to learn?) ต้งั คาถามตอบคาถามระหว่างการอ่านและถามตัวเองว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้อะไร (What did
I learn?) หลังการอ่านซึ่งเป็นวิธีการสอนท่ีจะช่วยให้ครูค้นหาพื้นฐานความรู้ของนักเรียนท่ีมีต่อเร่ืองท่ีจะอ่านและ
โดยสร้างแผนภาพตาราง KWL เพ่ือบันทึกรายการข้อมูลความรู้ข้อคาถามลงในแต่ละช่องโดยให้นักเรียนเขียนส่ิงที่
นักเรียนต้องการรู้ลงในช่อง W- What we want to know และผลการเรียนรู้ของนักเรียนในช่อง L-What we
have learned หลังจากทีน่ กั เรียนอ่านจบ
ต่อมาในปีค.ศ. ๑๙๘๗ Eileen Carr แห่งมหาวิทยาลัย Eastern Michigan University และ Donna M.
Ogle ได้พัฒนาการสอนอ่านแบบ KWL Plus ขึ้นด้วยการเพิ่มการทาแผนภูมิบทอ่าน (Mapping Text) และการ
สรุปข้อความ (Summarizing Information) ซ่ึงในส่วนที่เพิ่มน้ีเป็นสิ่งท่ีช่วยนักเรียนพัฒนาทักษะการถ่ายโอนการ
เรียนรูไ้ ด้มากขน้ึ

๒.๒.๑ ความหมายของการจัดการเรยี นรู้แบบ KWL Plus
ความหมายของการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้เทคนิค๑๕๙ KWL Plus ไวด้ ังนี้

๑๕๘ สุพรรณี สุทธรินทร์, ผลของการสอนแบบ KWL-Plus ที่มีต่อความเข้าใจในการอ่านและความสามารถในการ
เขียนสรุปความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม, วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์
มหาบณั ฑติ , (เชยี งราย : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชยี งราย, ๒๕๔๗),

๑๕๙ วชั รี แก้วสาระ, ผลของวธิ กี ารสอนแบบ KWL Plus ท่มี ีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการรับรู้ความสามารถใน
การเรียน วชิ าภาษาไทยของนกั เรียนสองภาษาช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๖, วทิ ยานิพนธ์ ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรม์ หาบณั ฑิต, (ปัตตานี :
มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์, ๒๕๕๕ ),

๑๗๕

K (What do I know?) เป็นขั้นตอนท่ีนักเรียนตรวจสอบหัวข้อเร่ืองว่าตนเองมีความรู้เก่ียวกับหัวข้อ
เร่ืองมากน้อยเพียงใด เป็นการนาความรู้เดิมมาใช้เพราะการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้พ้ืนฐาน และ
ประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นสิ่งสาคัญในการจัดกิจกรรมก่อนการอ่าน ซึ่งเป็นการเตรียมนักเรียนในการเรียนรู้
เน้ือหาใหม่ การบูรณาการระหว่างความรู้พื้นฐานและเรื่องท่ีนักเรียนจะอ่านช่วยให้นักเรียนสามารถสร้าง
ความหมายของบทอ่านได้ดีและผู้อ่านควรได้รับการกระตุ้นความรู้พื้นฐานให้เหมาะสม ดังนั้นในข้ันตอนน้ีทฤษฎี
ประสบการณ์เดิมซึ่งเปน็ ทฤษฎีวา่ ดว้ ยหลักการนาความรพู้ ้นื ฐาน ความรูเ้ ดมิ และประสบการณ์เดิมมาใช้ในการเรียน
การสอน จงึ เปน็ ทฤษฎที ่ีเกย่ี วข้องและมีความสาคญั มาก

W (What do I want to learn?) เป็นข้นั ตอนทีน่ ักเรียนจะตอ้ งถามตนเองวา่ ต้องการรู้อะไรในเนือ้
เร่ืองท่จี ะอ่านบ้าง ซ่งึ คาถามที่นักเรียนสรา้ งข้นึ ก่อนการอา่ นน้ี เป็นการต้ังเป้าหมายในการอา่ นและเปน็ การคาดหวัง
ว่าจะพบอะไรในบทอ่านบา้ ง

L๑ (What did I learn?) เป็นข้ันตอนที่นักเรียนสารวจว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้างจากบทอ่าน โดย
นกั เรยี นจะหาคาตอบให้กับคาถามที่ตนเองต้ังไว้ในขั้นตอน W และจดบันทึกส่ิงที่ตนเองเรียนรู้ พร้อมกับสารวจข้อ
คาถามทย่ี ังหาคาตอบไม่ได้ เพ่อื คน้ หาคาตอบต่อไป

L๒ (Mapping) เปน็ ขั้นตอนทีน่ ักเรียนนาความรู้ท่ีได้จากขั้นตอน K มาจัดกลุ่ม โดยเขียนความคิดหลัก
ไว้ตรงกลาง แลว้ แตกสาขาความคดิ รอง ความคดิ ย่อยเพอ่ื อธบิ ายเพมิ่ เตมิ

L๓ (Summarizing) เป็นขัน้ ตอนท่นี ักเรยี นสรปุ เร่อื งราวจากแผนผังความคิดอีกครงั้ หนง่ึ
จากความหมายข้างต้นจึงสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL Plus หมายถึง การจัดการ
เรียนรู้ท่ีเน้นทักษะกระบวนการอ่าน ทักษะการคิดอย่างรู้ตัว การนาประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาช่วยในการ
ตีความเนือ้ เรอื่ ง การมสี ่วนร่วมของนกั เรียนในการตั้งคาถาม โดยมขี น้ั ตอนในการสอน ดังนี้
๑) กิจกรรมนักเรียนร้อู ะไร K (What do I know)
๒) กจิ กรรมนักเรียนต้องการรอู้ ะไร W (What do I want to learn)
๓) กจิ กรรมนักเรียนได้เรียนรู้อะไร L๑ (What did I learn)
๔) กจิ กรรมสรา้ งเปน็ แผนภูมริ ูปภาพความคิด L๒ (Mapping)
๕) กิจกรรมการสรปุ เรอ่ื ง L๓ (Summarizing) เพือ่ สรุปเรอ่ื งราวต่าง ๆ ท่เี รียนอีกครง้ั หนง่ึ
๒.๒.๒ วตั ถุประสงค์ของการจัดการเรยี นรแู้ บบ KWL Plus
KWL Plus เปน็ เทคนิควิธีสอนหน่ึงท่มี ีเปา้ หมายในการนามาใช้ตามแนวคิดของนักการศึกษา
ดังต่อไปนี้
วัตถปุ ระสงคข์ องการจดั การเรียนร้โู ดยใช้เทคนคิ KWL Plus ดังนี้
๑) ส่งเสริมใหน้ ักเรียนได้เรียนรู้แบบรว่ มมอื และทางานเป็นทีม
๒) เพื่อเก็บช้ินงานจากแผนภาพตาราง KWL มาเป็นข้อมูลสาหรับครูในการช่วยเหลือการเรียนรู้ของ
นกั เรยี น

๑๗๖

๓) เพื่อให้นกั เรยี นเรยี นเป็นรายบคุ คลโดยใชช้ น้ิ งานในการประเมนิ พฒั นาการของนกั เรยี น
วตั ถุประสงคข์ องการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้เทคนิค KWL Plus ไว้สอดคล้องกนั ดังน้ี
๑) เพ่อื สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นร่วมในการอา่ นอยา่ งกระตือรอื รน้ เปน็ การอ่านที่ฝึกการถามตนเองและ
การใชค้ วามคดิ และคดิ ในเร่อื งทีอ่ า่ นเปน็ สาคัญ
๒) สามารถพฒั นาสมรรถภาพในการกาหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการอ่าน สรุปสาระสาคัญจาก
เร่ืองที่อ่าน จัดการกับสาระความรู้ขึ้นใหม่ตามความเข้าใจของตนเอง โดยการใช้แผนผังมโนทัศน์หรือแผนผัง
ความคิด และเขียนสรุปเรื่องทีอ่ ่านจากแผนผงั นั้น
๓) ส่งเสรมิ และพัฒนาทักษะการคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ให้กบั ผูเ้ รยี นได้
๔) ฝึกการระดมสมองโดยมีกรอบในการร่วมกนั คดิ
การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL Plus มีวัตถุประสงค์เพ่ือฝึกให้ผู้เรียนมีความตระหนักใน
กระบวนการเรยี นรขู้ องตนเอง โดยมีการวางแผน ตั้งจุดมุ่งหมาย ตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง ตลอดจนมีการ
จัดระบบข้อมูลความรูอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ
๒.๒.๓ ขนั้ ตอนของการจดั การเรียนรู้แบบ KWL Plus
ขัน้ ตอนของการจดั การเรียนรูแ้ บบ KWL Plusไว้ดังนี้
๑) ขัน้ K (What do I know)
ข้ันตอนนี้ก่อนที่นักเรียนจะอ่านเรื่อง ครูอธิบายความคิดรวบยอดของเร่ืองและกาหนดคาถามโดยครู
กระตุ้นหรือถามให้นักเรียนได้ระดมสมอง (Brainstorms) เก่ียวกับสิ่งที่นักเรียนรู้แล้วและนาข้อมูลท่ีได้มาจาแนก
แลว้ เขียนคาตอบของนักเรียนในแผนภูมิรูปภาพช่อง K (What do I know) หลังจากนั้นนักเรียนและครูร่วมกันจัด
ประเภทความรทู้ ค่ี าดการณว์ า่ อาจเกดิ ขึน้ ในเรื่องทจ่ี ะอา่ น
๒) ข้ัน W (What do I want to learn)
ในข้ันตอนนนี้ กั เรยี นค้นหาความจรงิ จากคาถามในสิ่งที่สนใจอยากรู้ หรือคาถามทีย่ งั ไมม่ ีคาตอบเกี่ยวกับ
ความคิดรวบยอดของเร่ือง พร้อมท้ังให้นักเรียนเขียนรายการคาถามที่ต้ังไว้ ในระหว่างอ่านนักเรียนสามารถเพ่ิม
คาถามและคาตอบในกลมุ่ ของตัวเองได้
๓) ขน้ั L๑ (What did I learn)
ในขั้นตอนนี้นักเรียนบนั ทกึ ความรูท้ ีไ่ ดร้ ะหว่างการอ่านและหลังการอ่าน ลงในช่อง L (What did I learn)
พร้อมท้ังตรวจสอบคาถามท่ยี ังไม่ได้ตอบ
๔) ขั้น L๒ (Mapping)
นักเรียนนาข้อมูลที่ได้จัดประเภทไว้ในข้ันตอน K(What do I know) เขียนชื่อเร่ืองไว้ในตาแหน่งตรง
กลางและเขียนองค์ประกอบหลกั ของแต่ละหวั ข้อ พร้อมทั้งเขียนอธิบายเพมิ่ เตมิ ในแต่ละประเดน็
๕) ขน้ั L๓ (Summarizing)

๑๗๗

ข้นั ตอนนี้นักเรียนช่วยกันสรุปและเขียนสรุปความคิดรวบยอดจากแผนภูมิความคิดซ่ึงการเขียนในขั้นนี้
จะเป็นประโยชน์ต่อครแู ละนักเรยี นในการประเมินความเข้าใจของนกั เรียน๑๖๐

๒.๒.๔ บทบาทของครใู นการจดั การเรยี นรู้แบบ KWL Plus
การนาเทคนิค KWL Plus มาใช้เป็นกลวิธีในการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดย
ผ่านการอ่าน ดงั ต่อไปน้ี
๑) เลือกเรื่องหรือบทความที่เหมาะสมกบั ระดบั ชนั้ และระดับความสามารถในการอ่านตามวัยของ
นักเรียน
๒) สร้างแผนภูมภิ าพ KWL (KWL- chart) บนกระดานและสรา้ งใบงานสาหรับนักเรียน
ในการดาเนินการสอนน้ันครูจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิด ระดมพลังสมอง (Brainstorm)
แลกเปล่ียนความรู้เพ่ือดึงดูดความรู้ทั้งหมดของนักเรียนเกี่ยวกับหัวข้อท่ีจะอ่าน โดยครูใช้คาถามตะล่อม
(Prompting) กระตุ้นนักเรียนเพ่อื ใหอ้ ธิบายเหตุผลที่นักเรยี นมีความคดิ เช่นนั้น บันทึกสิ่งท่ีนักเรียนเรียนรู้ในช่อง K
(What do I know?) และแนะนานักเรยี นเกย่ี วกับการจัดหมวดหมูข่ องข้อมูลที่คาดวา่ จะใช้
๓) แนะนานกั เรยี นเก่ยี วกับการตัง้ คาถามเพอื่ ให้ได้มาซึง่ คาตอบท่ีตอ้ งการจากการอ่าน นาคาถามท่ีตั้งไว้
ใส่ลงในช่อง W (What do I want to learn?) คาถามเหล่านี้อาจได้มาจากการอภิปรายหรือการระดมความคิด
คาถามควรมีหลากหลายเพ่ือพัฒนาการคิด การจัดประเภทองค์ประกอบหลักของข้อมูลท่ีคาดการณ์ไว้จะเป็นการ
ชว่ ยใหน้ ักเรยี นมวี ัตถุประสงค์ในการอ่าน
๔) ในขณะอ่านกระตุ้นนักเรียนให้แสวงหาคาตอบจากคาถามท่ีต้ังไว้ แสวงหาข้อมูลใหม่เพ่ิมเติมและ
เพม่ิ คาถาม
๕) หลังจากอ่านเร่ืองหรือบทความ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้อภิปรายผลการเรียนรู้ท่ีได้จากการอ่าน
และเขยี นลงในชอ่ ง L (What did I learn?) บนั ทกึ แนวคิด ความรูท้ พี่ บวา่ นา่ สนใจจากการอา่ น สาหรับคาถามบาง
คาถามทย่ี ังหาคาตอบท่ีไดจ้ ากการอา่ นครัง้ น้ี ครูควรแนะนาแหลง่ ค้นควา้ เพ่ิมเตมิ แก่นกั เรยี น
๖) สร้างแผนภาพความคิด ให้นักเรียนจัดประเภทของข้อมูลที่ได้บันทึกไว้ในช่อง L (What did I
learn?) และถามคาถามเพื่อให้นักเรียนได้บรรยายความคิด สร้างแผนภาพความคิดข้อมูลท่ีมีความสาคัญที่ได้จาก
เร่ืองทอี่ ่าน
๗) แนะนานักเรียนในการสรุป การเลอื กขอ้ มลู และการจดั ระบบขอ้ มลู ครคู วรแนะนานกั เรียนให้ใช้โครง
ร่างข้อมูลจากแผนภาพความคิด เพื่อช่วยให้นักเรียนสรุปข้อมูลได้เหมาะสมมากย่ิงขึ้นและให้ นักเรียนเขียน
รายละเอยี ดเฉพาะที่เปน็ ใจความหลักเพ่ือขยายหวั ข้อในแตล่ ะประเภท๑๖๑

๑๖๐ วิไลวรรณ สวสั ดิวงศ์, การพัฒนาทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่ีจัดการ
เรียนรู้ ด้วยเทคนิค KWL-Plus, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑติ , (นครปฐม: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๔๗),
หนา้ ๗๕.

๑๗๘

ขอ้ ดี ข้อด้อย
๑) ข้อดี

(๑.๑) การจัดการเรียนการสอนด้วย KWL Plus เป็นการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการอ่าน โดยนา
ความรู้เดิมมาเช่ือมโยงกับความรู้ใหม่ ทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนสูงขึ้น ครูผู้สอนจึงควรนาวิธีการสอนดังกล่าวไปใช้ในการจัดการเรียนสอน เพ่ือสลับปรับเปลี่ยนกับการสอน
แบบเดิมๆ และสามารถเปลยี่ นบรรยากาศในการเรยี นรู้ได้

(๑.๒) การจัดการเรียนรู้ด้วย KWL Plus ที่เน้นการทางานเป็นกลุ่ม ทาให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสเข้า
ร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึง ได้ฝึกความคิดอย่างอิสระ ส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มที่ประกอบไปด้วยนักเรียนท่ีมี
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสูง กลาง และต่า ได้ช่วยเหลือกัน และ ทาหน้าที่แทนครูผู้สอน อันเป็นการทบทวนความรู้
เดิมของตัวเอง การฝึกฝนซา้ ๆ ในแต่ละข้ันตอนช่วยให้นกั เรยี นมคี วามม่ันใจในการแสดงพฤติกรรม ทาให้การเรียนรู้
เป็นไปอย่างมีความหมาย และมีความสุขกับการเรียน เพราะผู้เรียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ที่ได้จากการ
อภิปรายเพอื่ ระดมความคิดนาเสนอผลงานให้เพื่อนๆ ในห้องเรียน ทาให้ผู้เรียนได้แสดงออกตามความสามารถ ได้
พัฒนาทกั ษะทางสมอง

๒) ขอ้ ด้อย
(๒.๑) ครูผู้สอนจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการเตรียมตัว เนื่องจากจะต้องทาการทดสอบผู้เรียน

ก่อนว่ามีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีประสบการณ์ในเร่ืองที่จะเรียนมากน้อยเพียงใด หากผู้เรียนไม่มีความรู้
ความเข้าใจ หรือมีประสบการณ์ในเร่ืองที่จะเรียนเลย ครูผู้สอนเองก็จาเป็นทาการสอนให้ผู้เรียนได้เข้าใจเนื้อหา
โดยคร่าวๆ กอ่ น

(๒.๒) การจัดการเรียนรู้ด้วย KWL Plus ที่เน้นกระบวนการทางานเป็นกลุ่ม ในห้องเรียนจะต้องมี
นักเรยี นอย่างน้อย ๒๐ คน จงึ จะสามารถทาให้การจดั การเรียนรูด้ ว้ ยวธิ ีนีม้ ีประสทิ ธิภาพ

๒.๓ การสอนแบบเน้นกระบวนการคดิ ดว้ ยเทคนคิ KWDL
การสอนแบบเทคนิค๑๖๒ KWDLหรือ เทคนิค เค ดับเบ้ิลยู ดี แอล ได้พัฒนาขึ้นโดย Ogle (๑๙๘๙) เพ่ือใช้
สอนและฝึกทักษะทางการอ่าน และต่อมาได้พัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้น โดย Carr และ Ogle ในปีถัดมา (๑๙๘๗) โดย
ยังคงสาระเดิมไว้ แต่เพิ่มการเขียนผังสัมพันธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) สรุปเร่ืองท่ีอ่าน และมีการ
นาเสนอเร่ืองจากผังอันเป็นการพัฒนาทักษะการเขียนและพูด นอกเหนือไปจากทักษะการฟัง และการอ่าน โดยมี
วัตถุประสงค์หลักคือการสอนทักษะภาษา แต่สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาอื่นๆท่ีมีการอ่านเพื่อทา

๑๖๑ เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ๗๗ – ๗๘.
๑๖๒ เลิศชาย ปานมุข, การสอนแบบ (KWDL), http://www.banprak- nfe.com webboard/index.php?topic
=3757.0;wap2, (สบื คน้ เม่อื วนั ท่ี ๑ มนี าคม ๒๕๖๑,)

๑๗๙

ความเขา้ ใจ เช่น วิชาสงั คมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เป็นตน้ เพราะว่าผู้เรียนจะได้รับการฝึกให้ตระหนักใน
กระบวนการการทาความเข้าใจตนเอง การวางแผนการ ตั้งจุดมุ่งหมาย ตรวจสอบความเข้าใจในตนเอง การ
จัดระบบข้อมูล เพื่อดึงมาใช้ภายหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีประโยชน์ในการฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์
เขียนสรปุ และนาเสนอ

๒.๓.๑ ขั้นตอนการเรยี นการสอน
๑) ขั้นท่ี ๑ K
K (What we know) นกั เรยี นรอู้ ะไรบา้ งในเรื่องที่จะเรียนหรือส่งิ ท่โี จทยบ์ อกให้ทราบมีอะไรบ้าง
๒) ขั้นท่ี ๒W
W (What we want to know) นกั เรยี นหาสิ่งทโ่ี จทย์ต้องการทราบหรอื ส่งิ ท่ีนักเรยี นตอ้ งการรู้
๓) ขั้นท่ี ๓ D
D (What we do to find out) นักเรียนจะต้องทาอะไรบ้างเพื่อหาคาตอบตามที่โจทย์ต้องการ หรือ
สิ่งท่ตี นเองตอ้ งการรู้
๔) ขนั้ ท่ี ๔ L
L (What we learned) นักเรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้
ตอ่ มา ซอและคณะ อาจารย์มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี้ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นาเทคนิค K-W-D-L มา
ใช้สอนในวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน (Cooperative Learning) มาผสมผสานใน
กิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากข้ึน ซึ่งการนามาประยุกต์ใช้ในการสอนแก้
โจทย์ปัญหาคณิตศาสตรไ์ ดโ้ ดยพัฒนาเปน็ การจดั การเรียนรู้เรียกว่าเทคนิค K-W-D-L มีการทดลองใช้การเรียนร่วม
กลุ่มในวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งครูในโปรแกรม PDS (Professional Development School) ซึ่งเป็นโปรแกรมพัฒนา
ครขู องมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปป้ีได้ขอให้ทางมหาวิทยาลัยริเริ่มจัดโครงการเรียนร่วมกลุ่ม (cooperative learning)
ผู้ร่วมโครงการ คือครูผู้สอนเกรด ๔ และนักเรียนของตน เป็นโรงเรียนท่ีอยู่ในชนบทห่างไกล ครูไม่เคยมี
ประสบการณใ์ นเรอ่ื งการจดั การเรยี นรว่ มกลมุ่ ใน วชิ าคณติ ศาสตรม์ ากอ่ น แต่ใคร่ที่จะเรียนรู้และทดลองใช้ กลวิธีนี้
อย่างมีประสทิ ธิภาพ กลุ่มทดลองมี ๒ ห้องเรียนใช้การเรียนร่วมกลุ่มในวิชาคณิตศาสตร์และวิชาอ่ืนๆด้วย ส่วนอีก
๒ ห้องเรียน นักเรียนทางานเป็นกลุ่มเป็นครั้งคราว ในกลุ่มทดลองน้ัน นักเรียนจะเรียนการแก้โจทย์ปัญหา
คณิตศาสตร์เป็นกลุ่ม ๒ – ๔ คาบ ต่อสัปดาห์และคาบที่เรียนร่วมกลุ่มนี้จะเรียนหลังจากท่ีได้เรียนหัวข้อต่างๆ อัน
เป็นพืน้ ฐานในกลุม่ ใหญ่แล้วในกลุ่มทดลองนี้นักเรียนแก้ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้หนังสือเรียนแบบฝึกสถานการณ์
จรงิ ท่ีครูแนะนา และส่ือสาเร็จท่ีบุคลากรของมหาวิทยาลัยจัดทาข้ึนครูได้รับการแนะนาและทบทวนเก่ียวกับกลวิธี
แก้ปญั หาเฉพาะเชน่ การเดา และการตรวจสอบ ทาแผนภมู ิ และภาพประกอบ
นอกจากนยี้ ังมาจากความคิดริเริ่มพัฒนาและการมีส่วนร่วมในกลวิธีคิดของนักเรียนอีกด้วย สาหรับตัว
นักเรียนที่ทางานเป็นกลุ่มๆ ในเรื่องโจทย์ ปัญหาโดยใช้กลวิธีแก้ปัญหานั้นพวกเขายิงคิดโจทย์ปัญหาและช่วยกัน
แก้ปัญหาของพวกเขาเองที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย โจทย์ปัญหาท่ีนักเรียนชอบคือ ประเภทตรรกศาสตร์ประเภท

๑๘๐

ปลายเปดิ ทีส่ รา้ งจากสถานการณใ์ นชวี ติ ประจาวัน เช่น การไปจ่ายตลาด เป็นต้นว่า ถ้าต้องการจะทาอาหาร ๒ มื้อ
สาหรับคน ๔ คน แต่ละม้ือจะต้องมีอาหารครบหมู่ให้นักเรียนใช้ใบโฆษณาสินค้าจากหนังสือพิมพ์วางแผนว่า ถ้ามี
เงิน ๕๐๐ บาทจะซ้อื อะไรได้บ้างใหช้ ว่ ยกันประมาณค่าของที่ต้องการซ้ือแล้วหาวิธีการคิดให้ได้จานวนเงินใกล้เคียง
๕๐๐ บาท ข้ันต่อไปจึงใช้เคร่ืองคิดเลขเพื่อตรวจสอบราคาจริง KWDL: เทคนิคในการจัดการและบันทึกผลงาน
การช้ีแนะการทางานของเด็กในการทดลองน้ี ได้นาเทคนิค K-W-L ของ Ogle มาใช้ K(What we know.) W
(What we want to know.) D (What we do to find out.) L (What we learned.)เป็นขั้นตอนที่เพิ่มข้ึน
สาหรับการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์เทคนิค K-W-L นี้ Ogle ได้พัฒนาขึ้นสาหรับช่วยการอ่านเพ่ือความเข้า
ในเปน็ เทคนคิ ที่ชแี้ นะให้ผู้อ่านใช้ข้ึนตอนเช่นเดียวกับผู้อ่านท่ีเชี่ยวชาญแล้ว ใช้อยู่เทคนิคนี้สามารถประยุกต์ใช้กับ
การคน้ หาวธิ ีการตา่ งๆทางคณิตศาสตร์ได้ K คือ รู้อะไรอยู่บ้างแล้ว ในขั้นตอนนี้ ผู้อ่านระดมความคิดเก่ียวกับเร่ือง
ท่อี ่านว่ารู้ อะไรอยูบ่ า้ งแล้วครูทาหน้าที่บันทกึ คาตอบและช่วยนักเรียนจัดหมวดหมู่ของข้อมูลเหล่านั้น ช่วยอธิบาย
ความเขา้ ใจที่อาจคลาดเคลือ่ นหรือช่วยอธบิ ายใหช้ ัดเจนย่ิงขน้ึ สาหรบั การแกโ้ จทย์ปัญหาเปน็ กลมุ่

ขั้นตอน K จะเกี่ยวข้องการการอ่านโจทย์ปัญหาตีความ ถกแถลงเก่ียวกับข้อมูลท่ีให้มาอาจรวม ทั้ง
กระบวนการวธิ ีอน่ื เชน่ ลงมอื ปฏิบตั ติ ามท่ปี ญั หากาหนด วาดรูป ทาแผนภมู ิ เพอื่ ว่านกั เรียนจะได้เข้าใจปัญหาและ
รวู้ ่าตนรอู้ ะไรบ้าง แล้วเก่ยี วกับปญั หานน้ั

ข้ันตอน W คือ ต้องการจะรู้อะไร ด้วยการช้ีแนะจากครู นักเรียนจะบอกส่ิงท่ีพวกเขาต้องการเรียน รู้
ได้บ่อยครั้งนักเรียนจะมีคาถามท่ียังไม่ได้ตอบในเร่ืองที่อ่าน หรือนักเรียนอาจยกหัวข้อที่ยังไม่ได้ถกแถลงกันขึ้นมา
และต้องค้นหา จากแหลง่ ความรู้อนื่ เพื่อท่ีจะหาคาตอบและข้อมูลเหล่าน้นั

สาหรับการแก้โจทย์ปัญหานั้น ขึ้นตอน ‘W’ จะเกี่ยวข้องกับข้อตกลงของกลุ่มในเร่ืองที่โจทย์ถามว่า
คาถามคืออะไร และคาถามน้ัน หมายความว่าอะไรส่วนขั้นตอนท่ีว่าต้องการรู้อะไรนั้นอาจเก่ียวข้อง กับการ
ตดั สนิ ใจของนักเรยี นในการวางแผนจะแก้ปญั หา พวกเขาอาจตกลงกันว่าจาเป็นต้องไปหาข้อมูล และต้องตัดสินใจ
ว่าจะไปหากแหล่งข้อมูลที่ไหนหรือบางครั้งอาจต้องทาโพลหรืออาจต้องไปคุยกับใครๆ หรืออาจต้องการทาการวัด
ทาการทดลองหรอื ต้องไปคน้ คว้าจากหนังสืออุเทศตา่ งๆ

ข้ันตอน L คือ ได้เรียนรู้อะไร ข้ันตอนน้ีของ Ogle ให้นักเรียนอ่านในใจละบันทึกว่าได้รู้อะไรบ้าง แล้ว
นามาเล่าสู่กันฟัง แล้วบันทึกไว้ข้ันตอนน้ีช่วยให้ ผู้เรียนได้ขัดเกลาและขยายความคิดเห็นท้ังกระบวนการอ่านและ
กระบวนการเขยี น ในการแก้โจทย์ปัญหา ขั้นตอน Lนี้ประสงคใ์ หผ้ เู้ รยี นบอก คาตอบรวมท้ังอธิบายและช้ีแจงถึงขึ้น
ตอนของการดาเนินการแก้ปัญหา พวกเขาอาจให้ผู้อ่ืนช่วยตรวจสอบเพ่ือความแน่ใจหรือพวกเขาอาจพูด กันถึง
ความสมเหตุสมผลของคาตอบของพวกเขาเองกลุ่มนักเรียนจะได้รับ การส่งเสริมให้เห็นผลสะท้อนและได้เขียน
เกี่ยวกับขอ้ มลู ท่ัวไปทไ่ี ด้ เรยี นรู้ ตัวอย่างเชน่ นักเรียนกลุ่มหนึ่งอาจเขียนและพูดเกี่ยวกับ เร่ืองวิธีการวาดภาพช่วย
ได้อย่างไร หรือการที่พวกเขาได้ใช้กระบวนวิธีเดาและตรวจสอบอย่างไร เป็นต้น ผลการทดลอง พบว่า
นอกเหนอื จากข้นั ตอนของ Ogle แลว้ ไดเ้ พม่ิ

๑๘๑

ขั้นตอน D อีก ๑ ขั้นตอน คือ ได้ทาอะไรไปบ้างสมาชิกของกลุ่มใช้แบบบันทึกขั้นตอนขณะท่ีช่วยกัน
วางแผนและกระบวนการดาเนินงานท่ีพวกเขาได้ใช้ในขณะท่ีทางานร่วมกันในการแก้ปัญหา ขั้นตอน D น้ีได้จัดไว้
ในลาดับที่ ๓ ก่อนขั้นตอน L มีการใช้โจทย์ปัญหาทดสอบนักเรียนทั้งสองกลุ่มท้ังก่อนและหลัง การให้คะแนนงาน
กลุ่มได้ใช้ของ Charles, Lester และ O’Daffer (๑๙๘๖) โดยใช้ระดับคะแนนรวม ๑ ๒ ๓ และ ๔ ผลปรากฏว่า
นักเรียนใน ๒ ห้องเรยี นทีใ่ ช้การเรยี นร่วมกลุ่มได้ระดบั คะแนนสูงกว่านักเรียนอกี ๒ ห้อง เรียนที่ไม่ได้ใช้ นอกจากนี้
เจตคติด้านบวกของการเรียนรว่ มกลมุ่ โดยใช้ KWDL เทคนิคการแก้โจทยป์ ญั หา ยังมีข้อสนับสนุนต่างๆเพ่ิมขึ้น เช่น
เด็กๆระบุว่าพวกเขามีความสนุกที่ได้ทางานร่วมกันมีความเช่ือมันมากข้ึนมีความสนใจเพิ่มข้ึนและมีความต่ืนเต้นดี
เดก็ ๆมีความภาคภมู ิใจในความ สามารถทีเ่ พม่ิ ขน้ึ ในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะข้อปัญหาที่ต้องการให้เหตุผล ๒ ด้าน
ขณะทีค่ ิดปัญหาเหล่าน้เี ด็กๆ จะใช้กลวธิ ตี ่างๆรวมทงั้ การวาดภาพ ทาแผนภูมิ และใช้วิธีเดาแล้วตรวจสอบ ขณะท่ี
เด็กๆ ทางานกลุ่ม พวกเขาจะคอยตรวจสอบตัวเองบ่อยครั้งเพ่ือใหแ้ น่ใจว่าคาตอบนัน้ ตรงกับคาถาม

ดงั นนั้ การจัดการเรียนรูท้ ีใ่ ช้เทคนิค KWDL จะชว่ ยทาให้ผ้เู รยี นมีระดับขึ้นตอนการคิดอย่างเป็นระบบ
ซ่ึงจะชว่ ยเปน็ แรงเสรมิ ท่ีทาให้ผเู้ รียนมกี ารถา่ ยทอดแนวความคิดไดอ้ ย่างเปน็ ระบบ

ขอ้ ดขี ้อดอ้ ย
๑) ขอ้ ดี
ในการสอนด้วยเทคนิคKWDL ช่วยให้นักเรียนคิดแก้โจทย์ปัญหาระคนอย่างมีแบบแผน และ เป็นฝึก
กระบวนการคิดวิเคราะห์โจทย์เป็นขั้นตอนเพ่ือนาไปสู่การคิดในการหาคาตอบให้กับโจทย์ท่ีเปรียบเสมือนการขึ้น
บันไดที่ต้องเริ่มจากขน้ั ท่ี ๑ กอ่ น ข้นึ ไปสู่บนั ไดข้ันต่อไป ซ่งึ จะข้ามขัน้ ใดขั้นหนึ่งไปไม่ได้ และเมื่อเรียนเสร็จแล้ว ผล
ทีเ่ กิดข้ึนคอื ก่อใหเ้ กิดความเข้าใจคงทนเกีย่ วกบั การแกโ้ จทยป์ ญั หาระคนทตี่ ิดตวั นกั เรยี นไปตลอดชวี ิต
๒) ข้อด้อย

(๒.๑) เทคนิคการสอนแบบ KWDL ไม่สามารถนาไปประยุกต์สอนได้อย่างหลากหลาย คือเป็น
เทคนคิ ทเี่ หมาะกบั วิชาคณติ ศาสตร์เทา่ นั้น

(๒.๒) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ KWDL เป็นการใช้กระบวนการกลุ่มในการดาเนิน
กิจกรรม ครผู สู้ อนควรเสรมิ แรงใหก้ ับนักเรียน โดยใช้วิธีการตา่ งๆ เช่น การบอกคะแนนของแต่ละกลุ่มให้รางวัล
หรือกล่าวชมเชยกับนักเรียนท่ีสามารถทาคะแนนได้ดี เป็นต้น หากครูผู้สอนไม่มีการเสริมแรงก็จะทาให้นักเรียน
ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรยี น

๒.๔ การสอนแบบเนน้ กระบวนการคดิ ด้วยเทคนิค KWLH
การอ่านเป็นส่ิงท่ีมีบทบาทสาคัญเป็นเคร่ืองมือในการศึกษาหาความรู้มีความสาคัญในกระบวนการเรียน
การสอนเป็นรากฐานในการเรยี นแตล่ ะวิชาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์และความสามารถของแต่ละคนแต่การ
อ่านเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพน้ันมิได้เกิดขึ้นเองตามธรรม ชาติการฝึกทักษะอย่างถูกวิธีเพ่ือเป็น
เครื่องมือในการศกึ ษาหาความรู้ตลอดชวี ิตจึงเป็นสง่ิ สาคัญในกระบวนการเรียนการสอน

๒.๔.๑ ความหมายของการสอนแบบเน้นกระบวนการคิดดว้ ยเทคนิค KWLH

๑๘๒

เทคนคิ การสอนแบบ๑๖๓ KWLH ดังน้ี

๑) เทคนิค K-W-L-H
เทคนิค K-W-L-H หมายถึง การใช้กระบวนการคิดเพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านโดยเน้นการใช้ความรู้เดิม
ของผู้อ่านในการตีความ ทาความเข้าใจเรื่องที่อ่าน และเพื่อความเข้าใจตรงจุดประสงค์ท่ีผู้เขียนต้องการจะส่ือให้
ผู้อ่านทราบ มีการวางแผน ต้ังจุดมุ่งหมาย ตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมก่อนอ่าน
กจิ กรรมระหว่างอ่าน และกิจกรรมหลงั อา่ น โดยเนน้ ทกั ษะกระบวนการเรียนการสอน ๔ ขน้ั ตอน ดังน้ี
(๑.๑) ขน้ั K
K หมายถงึ "What You Know"เป็นการตรวจสอบหวั ข้อเรือ่ งวา่ มีความรู้เกยี่ วกับเร่อื งนน้ั มากน้อย
เพียงใด ขัน้ "K" (What You Know) เปน็ ขน้ั ตอนทน่ี ักเรยี นตรวจสอบหัวข้อเรอ่ื งว่ามีความรู้เกยี่ วกับหวั ข้อเรอ่ื ง
มากน้อยเพียงใด เป็นการนาความรูเ้ ดมิ มาใช้เพราะการเชอื่ มโยงความรใู้ หม่กบั ความรู้พ้ืนฐานและประสบการณ์
ของผเู้ รยี นเป็นส่งิ สาคัญ การเตรียมการเรียนรูเ้ นื้อหาใหม่
(๑.๒) ข้ัน W
W หมายถึง "What You Want to Know" เป็นการถามตนเองว่าต้องการเรียนรู้อะไรในเนื้อเร่ืองที่จะ
อา่ นบ้าง
ข้ัน "W" (What You Want to Know)เป็นขั้นตอนท่ีนักเรียนจะต้องถามตนเองว่าต้องการรู้อะไรจาก
บทอ่านบา้ งชว่ ยให้นักเรียนกาหนดวตั ถุประสงค์ในการอ่าน และสร้างแรงจูงใจในการอ่านดว้ ย
(๑.๓) ขน้ั L
L หมายถงึ "What YouLearned" เป็นข้ันตอนการสารวจว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้างจากบทอ่าน
ขัน้ "L" (What You Learned) เป็นขนั้ ตอนทีน่ กั เรียนสารวจว่าตนเองได้เรียนรอู้ ะไร
บ้างจากบทอ่าน ได้รับความรู้ใหม่หรือส่ิงท่ีนักเรียนต้องการรู้ เป็นการหาคาตอบสาหรับคาถามที่
นักเรยี นต้งั ไวใ้ นข้นั ของ "W"เป็นการฝกึ ให้นกั เรยี นรู้จักคิดวเิ คราะห์ และจัดระบบความรู้ ความคิด ฝึกสรุปประเด็น
สาคัญ ซึ่งสง่ ผลให้นักเรยี นเกิดความเขา้ ใจในเนอ้ื หาท่ีอา่ นอย่างถูกต้อง
(๑.๔) ขั้น H
ในเทคนิค K-W-L-H หมายถึง "How You Can Learn More" เป็นการถามตนเองว่าต้องการจะเรียนรู้
เรือ่ งน้ีเพิม่ เติมอกี ไดอ้ ยา่ งไร
ขั้น "H" (How You Can Learn More)เป็นขั้นตอนที่นักเรียนตรวจสอบหรือค้นหาว่านักเรียนสามารถ
เรียนรเู้ พิม่ เติมไดอ้ ยา่ งไรเกี่ยวกบั หัวข้อเร่ืองท่ีอ่าน เพ่ือช่วยให้นักเรียนรจู้ กั คน้ ควา้ หาความรเู้ พ่ิมเติมจากแหล่งต่างๆ
และเป็นการสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นร้จู กั เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ซง่ึ เป็นการขยายความรคู้ วามคดิ ให้กว้างและลกึ ซ้ึงมากย่งิ ข้ึน

๑๖๓ วิลาวัลย์ ลูกสะเดา อัจฉรา ธรรมาภรณ์ และอรทิพย์ เพ็ชรอุไร, “ผลของการฝึกเทคนิค K-W-L-H ร่วมกับกิจกรรม
การเรียน แบบคู่คิดท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๒”.วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ปที ี่ ๑๙ (ฉบบั ที่ ๑), ๒๕๕๑ หนา้ ๓๒ - ๔๒.

๑๘๓

๒) การเรยี นแบบคู่คดิ หมายถึง นักเรียนจับคู่กัน ร่วมกันอภิปราย แลกเปล่ียนความคิดเห็น ในสิ่งท่ีได้
ศึกษาจนได้ข้อสรปุ แลว้ ร่วมกนั ทาแบบฝึกหัด

๓) กิจกรรมการเรียนแบบปกติหมายถึง นักเรียนในช้ันเรียนทบทวนเนื้อหาสรุปคาตอบ และทา
แบบฝกึ หดั เปน็ รายบคุ คล

๔) ความคงทนในการเรยี นรู้ หมายถึงความสามารถของนักเรียนในการจาสง่ิ ที่ไดเ้ รียนผา่ นมาแลว้
ขอ้ ดี ข้อดอ้ ย
๑) ขอ้ ดี

(๑.๑) การทากิจกรรมตามกระบวนการ KWLH ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง
และสามารถควบคุมการอ่านของตนเองได้ เพราะนกั เรียนสามารถใชท้ ักษะการต้ังคาถาม การคาดคะเน และการใช้
ความรู้เดิมเพื่อช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียนให้ดีข้ึน การนาความรู้ใหม่มาผสมผสานเข้ากับ
ความรู้เดิม ซ่ึงสอดคล้องกับการฝึกทักษะการคิดอย่างรู้ตัวอย่างท่ีรู้จักกันในช่ืออภิปัญญา (Metacognition) ซ่ึง
นักเรียนจะได้รับการฝึกให้ตระหนักในกระบวนการทาความเข้าใจตนเอง มีการวางแผน ต้ังจุดมุ่งหมายตรวจสอบ
ความเข้าใจของตน มกี ารจัดระบบขอ้ มลู เพอ่ื การดงึ มาใช้ภายหลังได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

(๑.๒) นักเรียนได้ทากิจกรรมการเรียนแบบคู่คิด ซ่ึงเป็นกลวิธีการเรียนในลักษณะการอภิปราย ๒ กลุ่ม
ยอ่ ย (๒ คน )

๒) ข้อด้อย
(๒.๑) ครูผ้สู อนและผู้ที่เกี่ยวขอ้ งทางการจัดการศึกษาไม่สนับสนุนการฝึกกลวธิ ีการ

เรยี นเทคนคิ K-W-L-H เทา่ ทคี่ วร
(๒.๒) ครูหรือนักจัดการศึกษาไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ต้องการเน้นการจาเนื้อหาโดยใช้

เทคนิค K-W-L-H ร่วมกับกจิ กรรมการเรียนแบบคู่คิด ทีจ่ ะช่วยให้นกั เรียนมีความคงทนในการเรยี นรู้

๒.๕ การสอนแบบเนน้ กระบวนการคิดด้วยเทคนคิ KWLH Plus
เทคนิค KWLH Plus คอื การจดั กจิ กรรมของ KWLH แลว้ เพ่มิ เติมในส่วนของการสรุปสาระสาคัญ และให้
นักเรียนทาแผนผงั มโนทศั นห์ รือแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping) เพ่อื สรปุ ความคิดรวบยอดหลักของนกั เรียน

๒.๕.๑ แนวคดิ ทฤษฎี กรอบแนวคดิ
ทรรศนีย์ แก้วนก, นพเก้า ณ พัทลุงและอมลวรรณ วีระธรรมโม (๒๕๕๖ : ๕๐๔) กล่าวว่าการจัดการ
เรียนรู้ดว้ ยเทคนคิ KWLHเป็นแนวคดิ ของดอนนา่ โอเกิ้ล (Ogle, D.)ทพี่ ัฒนาขน้ึ ในปี ค.ศ. ๑๙๘๖ เพ่ือนามาใช้เป็น
ยุทธวิธีในการสอนอ่านควบคู่กับการส่งเสริมความคิดขณะท่ีอ่าน โดย มีพื้นฐานมาจากเทคนิค KWL และเทคนิค
KWL Plus ซ่ึงทรรศนีย์ แก้วนกและคณะ (๒๕๕๖ : ๕๐๔) อ้างถึง สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (๒๕๔๔ : ๗๕) ที่ได้
กล่าวถึงเทคนิค KWL ไว้ว่าเทคนิค KWL เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการอ่าน ซึ่ง
สอดคล้องกับทักษะการคิดอย่างรู้ตัวตนคิดอะไร มีวิธีคิดอย่างไร สามารถตรวจสอบความคิดของตนเองได้ และ

๑๘๔

สามารถปรับเปล่ยี นกลวิธีการคดิ ของตนเอง โดยผเู้ รียนจะไดร้ ับการฝึกใหต้ ระหนักในการบวนการทาความเข้าใจ มี
การจัดระบบข้อมูลเพื่อการดึงมาใช้ภายหลังอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเทคนิค KWL น้ัน เป็นตัวย่อท่ีได้จากข้ันการ
สอนคือ K (What we know) นักเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเร่ืองท่ีอ่าน W (What we want to know) นักเรียน
ต้องการ รูอ้ ะไรบ้างเกี่ยวกับเร่ืองท่ีอ่าน และ L (What we have learned) นักเรียนได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องท่ีอ่าน
หลังจากนั้นเทคนิค KWL ได้พัฒนาให้สมบูรณ์ข้ึนโดย คาร์ และโอเกิ้ล (Carr and Ogle) และใช้ชื่อว่า KWL plus
โดยคงสาระสาคัญและแนวทางการปฏบิ ตั ิเดมิ ของ KWL ไว้แล้ว เพม่ิ เตมิ การเขียนผังความคิด (Mapping) และการ
สรุปเร่ืองจากการอา่ น ( Summarizing) อนั เปน็ การพัฒนาทักษะการเขยี นและการพูด นอกเหนือไปจากทักษะการ
ฟังและการอ่าน สรุปได้ว่าเทคนิค KWL plus ก็คือการจัดกิจกรรมของ KWL แล้วเพิ่มเติมในส่วนของการสรุป
สาระสาคัญ และให้นักเรียนทาแผนผังมโนทัศน์หรือแผนผังความคิด (Mapping) เพื่อสรุปความคิดรวบยอดหลัก
ของนักเรียน ส่วนเทคนิคKWLH น้ันพัฒนามาจากเทคนิค KWL ตามแนวคิดของโอเก้ิล (Donna Ogle) ท่ีเน้นการ
พัฒนาความสามารถในการอ่าน และกระตุ้นความคิดขณะท่ีอ่าน จัดการทบทวนความรู้เดิมของตนเองได้และนา
ความรู้เดิมมาใช้ จากแนวคิดและหลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL plus และเทคนิค KWLH ท่ีได้กล่าวมา
ขา้ งต้นทรรศนีย์ แก้วนก และคณะ (๒๕๕๖ : ๕๐๕) อา้ งถึง ชลธิชา จันทร์แก้ว (๒๕๔๙ : ๖๔-๖๖) ไดส้ ังเคราะห์๑๖๔

ขั้นตอนการจดั การเรยี นรู้ขนึ้ มาใหมเ่ ปน็ เทคนิค KWLH Plus
๒.๕.๒ ข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูเ้ ทคนคิ KWLH Plus
๑) ข้นั ก่อนการอา่ น/ นาเขา้ สู่บทเรยี น
(๑.๑) ขนั้ K
K: What we know นักเรียนคดิ ตอบคาถาม ว่ามีความรู้อะไรบ้างแล้วเก่ียวกับหัวข้อท่ีครูกาหนด แล้ว

จับค่แู ลกเปล่ียนความคิด รว่ มกันบันทึกในช่อง K
ผู้สอนจะนาเสนอหัวข้อเร่ืองที่จะให้ผู้เรียนได้ศึกษา เพ่ือให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและสิ่งท่ีตนรู้

เกยี่ วกับเรอ่ื งท่ีจะเรยี น รวมถึงวธิ ีทีน่ กั เรียนได้รบั ความร้นู น้ั โดยเริม่ จาการระดมความคิดของผูเ้ รียนท้ังชั้นเรียน แล้ว
ใหผ้ ู้เรยี นแตล่ ะคู่หรอื กล่มุ ระดมสมองกันภายในกลุม่ ของตนเองอีกครั้งพร้อมท้งั เขียนส่งิ ท่ีตนเองรลู้ งในใบงานช่อง k

(๑.๒) ข้ัน w
W: What we want to know นักเรียนคิดตอบคาถาม ต้องการรู้อะไรบ้างจากเร่ืองที่กาหนด แล้ว
แลกเปลยี่ นความคดิ เห็นกบั คู่ รว่ มกนั บันทกึ ในช่อง W
ให้ผเู้ รยี นแต่ละคู่หรอื กลุ่มตงั้ คาถามถงึ สงิ่ ท่ตี อ้ งการทราบเกย่ี วกบั หัวข้อเร่ืองน้ันลงในใบงาน ชอ่ ง W
๒) ขนั้ ระหวา่ งอา่ น

๑๖๔ ทรรศนยี ์ แก้วนก, นพเก้า ณ พัทลุง และอมลวรรณ วีระธรรมโม. “ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWLH-Plus
ร่วมกับ นิทานพ้ืนบ้านท่ีมีต่อการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการเขียนสรุปความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒”,
ในการประชุมหาดใหญ่วิชาการ ครั้งที่ 4 การวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมไทย, วันที่ ๑๐ พฤษภาคม 2๒๕๕๖ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่.(
สงขลา : มหาวทิ ยาลัยหาดใหญ่, ๒๕๕๖).

๑๘๕

(๒.๑) จับค่หู รือกลมุ่
ผสู้ อนจะให้ผู้เรียนแต่ละคู่หรือกลุ่มศึกษา เน้ือเรื่องจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ของตนเอง โดยผู้เรียนสามารถ
ปรกึ ษากบั คู่หรอื กลุ่มของตนเองได้

๓) ขัน้ หลงั อ่าน
(๓.๑) ขน้ั L
L : What we have learned หลังจากอ่านหรือศึกษาเรื่องแล้ว นักเรียนคิดตอบคาถาม ว่าได้เรียนรู้
อะไรบา้ ง แลว้ แลกเปลย่ี นสิง่ ท่ีได้เรียนร้กู ับคู่ รว่ มกันบันทึกในชอ่ ง L
ในขณะท่ีอ่านเร่ืองให้เขียนคาตอบให้กับคาถามที่คู่หรือกลุ่มของตนเองได้ตั้งไว้และเขียนคาตอบหรือ
ความรู้ท่ีได้รับจากบทอ่านลงในช่อง L หากเกิดคาถามเพิ่มเติมระหว่างอ่านสามารถต้ังคาถามเพ่ิมเติมในส่วนท่ี
ต้องการทราบเพ่มิ เติมในชอ่ ง w
โดยผูเ้ รียนแต่ละคู่หรือกลุ่มอภิปรายผลของคาตอบที่ได้เขยี นลงในช่อง L
Mapping นักเรียนคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเรียนรู้ จาแนกจัดหมวดหมู่ หรือเชื่อมโยง
แลกเปลีย่ นความคิดกบั คู่ แล้วรว่ มกันจดั ทาเป็นแผนภาพความคดิ

(.๓.๒) ข้นั H
H : How can we learn more นักเรียนคิดตอบคาถามจะหาความรู้เพิ่มเติมได้อย่างไร แลกเปลี่ยน
ความคิดกับคู่ ร่วมกนั บนั ทึกในชอ่ ง H
ผู้สอนจะสอบถามถึงคาถามท่ผี เู้ รยี นแตล่ ะคหู่ รือกลมุ่ ได้ต้งั ขึน้ มาใหม่ พร้อมท้ังสอบถามถึงแนวทางและ
แหลง่ ในการสืบค้นข้อมูล เพ่ือตอบคาถามท่ีได้ตั้งข้ึน โดยให้เขียนวิธีการและแหล่งข้อมูลเหล่าน้ันลงในช่อง H และ
ดาเนนิ การสบื ค้นข้อมลู ตามทไ่ี ด้วางแผนไว้
(๓.๓) ขั้น Summarizing
นักเรียนคิดวิเคราะห์สรุปใจความสาคัญ แล้วแลกเปลี่ยนความคิดกับคู่ และร่วมกันบันทึกในช่องสรุป
แต่ละคู่นาผลงานแลกเปล่ียนเรียนรู้กับคู่อื่นร่วมกันสรุปเป็นความรู้ของทั้งช้ันนาไปสู่การประยุกต์ใช้ ซ่ึงจะเป็น
ขนั้ ตอนของการวัดและประเมินผล
ขอ้ ดี ข้อดอ้ ย
๑) ข้อดี
การทากจิ กรรมตามกระบวนการ KWLH Plus ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง และ
สามารถควบคมุ การอ่านของตนเองได้มากข้นึ เพราะนกั เรียนสามารถใช้ทกั ษะการตงั้ คาถาม การคาดคะเน และการ
ใชค้ วามรเู้ ดิมเพอื่ ช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรยี นใหด้ ขี น้ึ กวา่ KWLH
๒) ขอ้ ด้อย

๑๘๖

ครูผู้สอนและผู้ท่ีเกี่ยวข้องทางการจัดการศึกษาไม่สนับสนุนการฝึกกลวิธีการเรียนเทคนิค KWLH Plus
เทา่ ที่ควร เน่อื งจากเปน็ อีกข้นั หนง่ึ ของ KWLH

๓. การนาเขา้ ส่บู ทเรียน

๓.๑ ความหมาย
การนาเขา้ สูบ่ ทเรียนหรอื นาเรอ่ื ง เป้นกระบวนการที่จัดขึน้ เพ่ือเตรียมนักเรียน ผู้เรียน หรือผู้ฟังให้มีความ
พร้อม ที่จะเรยี นรูบ้ ทเรียนหรือเน้อื หาในลาดบั ชัน้ ตอ่ ไป
๓.๒ ความสาคัญท่ีตอ้ งใชท้ ักษะการนาเข้าสู่บทเรยี น
โดยสาเหตุท่ีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียนจะเกิดได้ดี เร็ว และถาวรมากน้อยเพียงใดนั้น
ยอ่ มขึ้นอยกู่ ับการมแี ละใช้ประสบการณ์เดิมมาผสมผสานสัมพันธ์เข้ากับประสบการณ์ใหม่ หรือเร่ืองเนื้อหาท่ีเรียน
อยู่ในขณะนั้น ดังน้ันตามหลักการทางจิตวิทยาการเรียนรู้และรับรู้ ครูผู้สอนจึงควรได้จัดส่ือ หรือกิจกรรม เพื่อเร้า
ผู้เรียนให้รู้จักดึงประสบการณ์เดิม หรือประยุกต์กับประสบการณ์เดิมให้มาสัมพันธ์ หรือเช่ือโยงกับประสบการณ์
ใหม่ เรยี กว่า การเตรียมพฤติกรรมของผเู้ รยี นใหม้ ีความพร้อมท่ีจะเรียนรู้หรือรับรู้ประสบการณ์ใหม่ เพื่อให้เกิดการ
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมไปตามแนวทางของจุดประสงค์การเรยี นการสอนทก่ี าหนดไว้
๓.๓ จุดมงุ่ หมายของการนาเข้าสบู่ ทเรยี น
๑) เพอ่ื สร้างความพรอ้ ม หรือเตรียมผเู้ รยี นใหม้ ีความพร้อมท่จี ะเรียนบทเรียน
๒) เพอ่ื เร้า หรือจงู ใจใหผ้ ู้เรยี นอยากรู้อยากเห็น
๓) เพ่ือเตรียมผู้เรียนให้มีฐานความรู้เข้าใจเพียงพอท่ีจะสร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงให้เกิดความ
ตอ่ เน่อื งเขา้ ไดก้ บั เนือ้ หาและประสบการณใ์ หม่
๔) เพ่ือเป็นการเรา้ ผเู้ รียนใหเ้ ห็นแนวทางในการเรียนรูป้ ระสบการณไ์ ด้อยา่ งรวดเร็วและมีประสทิ ธภิ าพ
๕) เพื่อพฒั นาผู้เรียนให้เกิด มโนทัศนแ์ ละหลกั การ ในการเรียนรู้ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
๓.๔ กิจกรรมการนาเขา้ สูบ่ ทเรยี นประเภทต่างๆ
๑) การดาเนินการให้นักเรียนผลัดกันแสดงความคิดเห็น โดยครูเป็นนาเสนอหัวข้อปัญหาหรือคาถามแล้ว
สรุปสมั พันธ์ใหส้ อดคลอ้ งกบั เนือ้ หา หรือเรือ่ งที่จะสอน
๒) กาหนด หรอื เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นเปน็ ผ้รู ายงาน หรอื นาเสนอ
๓) ต้ังคาถาม หรือใช้แบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดปัญหาและสนใจที่จะติดตามศึกษา
บทเรียนและกิจกรรม
๔) ใชพ้ ฤติกรรมท่าทางแสดงบทบาทสมมุติ เช่น เกมใบ้ เป็นต้น
๕) จัดส่ิงแวดล้อมภายในห้องเรียนเป็นส่ือนาไปสู่การเรียนรู้ อาจทาได้โดยการตกแต่งฉากจาลองแสดง
สิง่ ของประดบั รปู ภาพเพื่อเร้าความสนใจของผู้เรยี น
๖) ใช้สิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรียน หรือแหล่งความรู้ในชุมชน เช่น ปูชนียสถาน ถาวรวัตถุ เป็นส่ือการ
เรยี นรู้

๑๘๗

๗) ใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา ได้แก่ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการ เช่น รูปภาพ แผนภูมิ แผนที่
ภาพยนตร์ สไลด์ วีดิโอเทป เป็นตน้

๓.๕ องค์ประกอบสาคัญในการดาเนินกิจกรรมนาเขา้ สบู่ ทเรียน
๑) การใช้วาจา เป็นองค์ประกอบสาคัญ และโดยปกติเป็นพฤติกรรมท่ีนิยมใช้ เป็นสื่อความรู้ ความคิด
ความเหน็ ขยายความ สรุปทบทวน เปรยี บเทยี บ แสดงความสมั พนั ธ์ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมินค่า เพ่ือโยงไปสู่
การสอน และนาเสนอความรู้และประสบการณ์ใหมด่ ้วย
๒) การแสดงบทบาทท่าทาง เป็นพฤติกรรมที่ครูใช้เป็นส่วนประกอบกับการใช้พฤติกรรมแรก คือ การใช้
วาจา เพ่อื เรา้ ใหผ้ ู้เรยี นเกิดความเข้าใจชดั เจน ดสู มจรงิ และทัง้ เปน็ การกระตุ่นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและติดตาม
เนือ้ หา
๔) การใช้สถานการณ์จาลอง เป็นวิธีการเร้าความคิดและความสนใจของผู้เรียน โดยการจัดสิ่งแวดล้อม
ภายในหอ้ งเรยี น เป็นสอื่ ในการนาเข้าสบู่ ทเรียน
๕) การใชว้ ิธีประเมินผล ซ่ึงอาจกระทาโดยแบบทดสอบ หรือคาถามเพ่ือเร้าพฤติกรรมให้เกิดปัญหา อยาก
ร้อู ยากเหน็
๓.๖ ข้นั ตอนการเลอื กและใช้พฤตกิ รรมเพอ่ื นาเข้าสบู่ ทเรยี น
๑) ควรเลอื กใชพ้ ฤตกิ รรม องค์ประกอบ หรือกระบวนการท่ีเหมาะสมกับเนื้อหาที่สอนให้มากท่ีสุด และไม่
จาเป็นตอ้ งใชค้ รบทุกพฤตกิ รรม
๒) ควรมกี ารวางแผนเลือกใช้พฤติกรรมนาเข้าสบู่ ทเรยี นอย่างเหมาะสมเปน็ การลว่ งหน้า
๓) ศึกษาวิธกี ารนาเข้าส่บู ทเรียนโดยพฤติกรรมหรืวิธีการท่ีกาหนดไว้
๔) ทดลองฝกึ ทักษะตามแนวทางในข้อท่ี ๓
๕) ปฏบิ ัตกิ ารใช้ทกั ษะการนาเขา้ สู่บทเรยี นจรงิ
หลักและกระบวนการนาเขา้ สู่บทเรียนที่ดี
๑) วเิ คราะห์เน้ือหาทสี่ อน แล้วสรปุ Concepts
๒) เลอื กพฤติกรรมนาเข้าสู่บทเรียนใหส้ อดคล้องกบั Concepts และเนือ้ หา
๓) ใช้สื่อการเรยี นการสอนเร่ิมตน้ เรา้ ความสนใจและความพร้อมของผ้เู รยี น
๓.๗ ทกั ษะการนาเขา้ สบู่ ทเรียนควรใชเ้ ม่อื ใด
๑) ใช้เมอ่ื เรม่ิ ต้นบทเรยี น
๒) ใช้นากอ่ นอธิบายและซกั ถามเนื้อหา
๓) ใชน้ ากอ่ นการวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และสรปุ สมั พันธ์แนวความคิด
๔) ใช้เพ่ือเตรยี มอภปิ ราย
๕) ใช้นาเพอ่ื สื่อความหมาย จุดประสงค์ และวิธกี ารประกอบกจิ กรรมของนักเรียนที่ครูกาหนดให้ทา
๖) ใชน้ าเมอ่ื จะใชเ้ ทคนิคการสอนแบบศูนย์การเรยี นรู้

๑๘๘

๗) ใชน้ าเม่อื จะใชส้ ่ือการเรยี นการสอน

๘) ใช้ก่อนท่จี ะเสนอแนะให้นักเรียน

๙) ใชเ้ พ่ือส่ือแนวคดิ และวธิ กี ารทางานที่ได้รบั มอบหมายเป็นแบบฝกึ หัด
๑๐) ใช้เพื่อการนาแสดงบทบาท เล่าเร่ือง รายงาน หรือการสาธติ ประสบการณ์ของนักเรียน๑๖๕

๔. การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน

๔.๑ความหมายและความสาคญั
การจัดกิจกรรตมการเรียนการสอน มีความหมายและความสาคัญอย่างไร พิจารณาได้จากคาจากัดความ
หรอื นิยามต่อไปน้ี
๑) การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน หมายถงึ วิธสี อนแบบตา่ งๆ ท่ีผ้สู อนกับผู้เรียนร่วมกันกาหนดขน้ึ
๒) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง ขั้นตอนของการกระทาท่ีเป็นผลสืบเนื่องกันไปตั้งแต่ต้น
จนถงึ ตอนจบ
๓) การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน หมายถึง วิธกี ารทส่ี ามารถทาให้นักเรียนแสดงออก โดย ปฏิบัติอย่าง
ใช้ความคิด พูดและกระทาในขณะเรยี น จนบรรลุจดุ ประสงคไ์ ด้รเู้ ข้าใจภายหลงั ทากิจกรรมนน้ั ๆ จบลง
๔.๒ รปู แบบการจดั กิจกรรม
การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน เราอาจแบ่งกว้างได้ ๒ ประเภท คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
แบบท่ัวไป หรือแบบอิสระ และการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนแบบกระบวนการ อธิบายได้ดังน้ี
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบท่ัวไป หรือแบบอิสระ หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ท่ีแสดงถึงความ
พยายามที่จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องราวที่ได้กาหนดไว้แล้ว รวมท้ังการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ท่ี
เอื้ออานวยต่อการพฒั นาพฤตกิ รรมดา้ นพุทธิพสิ ัย เจตพสิ ัย และทกั ษะพิสยั
กจิ กรรมการเรียนการสอนเหลา่ นีช้ ่ือมีเรียก และรปู แบบต่างๆ กนั ไป ดังน้ี
๑) วิธกี ารสอนแบบบรรยาย
๒) วิธกี ารสอนแบบสาธติ
๓) วิธกี ารสอนแบบทดลอง
๔) วธิ ีการสอนแบบนิรนัย
๕) วธิ กี ารสอนแบบอุปนัย
๖) วธิ กี ารสอนแบบทัศนศึกษา
๗) วธิ ีการสอนแบบอภปิ รายกลมุ่ ยอ่ ย
๘) วิธีการสอนแบบแสดงละคร

๑๖๕ เฉลมิ มลิลา, ทักษะการสอนแบบจลุ ภาค, (กรุงเทพ ฯ : แสงจนั ทรก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๒๖), หน้า ๑๑ – ๑๕.

๑๘๙

๙) วิธีการสอนแบบบทบาทสมมติ
๑๐) วธิ ีการสอนแบบกรณีตัวอยา่ ง
๑๑) วธิ กี ารสอนแบบเกม
๑๒) วธิ ีการสอนแบบสถานการณจ์ าลอง
๑๓) วิธีการสอนแบบศูนยก์ ารเรยี น
๑๔) วธิ ีการสอนแบบโปรแกรม
๑๕) วธิ กี ารสอนแบบสมั ภาษณ์
๑๖) วิธกี ารสอนแบบค้นควา้
๑๗) วธิ กี ารสอนแบบต้ังประเด็นคาถาม
๑๘) วธิ ีการสอนแบบโตว้ าที
๑๙) วิธกี ารสอนแบบถาม – ตอบ
๒๐) วธิ ีการสอนแบบรายงาน
๒๑) วิธกี ารสอนแบบสบื สวนสอบสวน
๒๒) วธิ กี ารสอนแบบชดุ การสอน
๒๓) วิธีการสอนแบบคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน
๒๔) วิธกี ารสอนแบบโครงงาน
๒๕) วธิ ีการสอนแบบกลุม่ สมั พันธ์
๒๖) วิธกี ารสอนแบบร่วมมือ เป็นต้น
วธิ กี ารดาเนินการสอนด้วยวธิ ดี งั กล่าวมหี ลกั และวธิ ีการไมร่ ู้จบ โดยทผี่ ูส้ อนสามารถคดิ ค้นเอง แล้วคัดเลือก
มากาหนดเป็นกจิ กรรมตา่ งๆ ใหเ้ หมาะสมไดเ้ ลยเพอื่ ช่วยใหน้ ักเรยี นบรรลจุ ดุ ประสงค์ที่ได้กาหนดไว้
๔.๓ แบบยดึ ผสู้ อนเป็นสาคัญ/ศนู ย์กลาง
การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน “แบบยดึ ผสู้ อนเปน็ ศนู ย์กลาง” มกี รอบแนวคิดว่า
๑) ผู้เรียน คอื ผูไ้ ม่มีความรคู้ วามเขา้ ใจ
๒) ผู้สอน คือ ผรู้ ้แู ละมคี วามสามารถในสรรพวิชาต่างๆ
๓) วธิ ีสอน คอื บอกเล่า หรือถา่ ยโอนความรู้ จากผสู้ อนไปสผู่ ู้เรียน
๔) ผลการศึกษา คือ ผูเ้ รียนเปน็ ผฟู้ งั นกั จดบนั ทึกที่ดี คิด ทาและแก้ปญั หาไมเ่ ปน็
๕) สถานภาพของผูส้ อน คือ ผรู้ า้ ยในสายตาคนท่วั ไป
๔.๔วธิ ีสอนแบบยดึ ผู้สอนเป็นสาคญั
๑) ผสู้ อน คอื ผู้บอกองคค์ วามรแู้ กผ่ ้เู รียน เรียกวา่ บอกหนังสือ
๒) ผู้เรียนมีหนา้ ที่รับฟงั และซักถามเกีย่ วกบั องคค์ วามรู้ท่ผี ู้สอนบอกเลา่ ได้อย่างเดยี ว
๓) องค์ความรู้ หรือข้อมูลทีผ่ ู้สอนมีอยู่ เป็นสง่ิ สาคัญย่งิ

๑๙๐

๔) แหลง่ ขอ้ มูลทีอ่ ย่รู อบๆ ตัวผู้เรยี น ไมจ่ าเป็นตอ้ งนามาใช้ก็ได้
๔.๕ แบบยึดผเู้ รยี นเป็นสาคัญ/ศนู ยก์ ลาง
การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน “แบบยดึ ผู้เรยี นเปน็ ศูนย์กลาง” มกี รอบแนวคดิ ว่า
๑) ผู้เรยี น คือ ผู้มีศกั ยภาพ และพร้อมต่อการพัฒนาตนเองใหม้ ีความรู้ความสามารถ
๒) ผสู้ อน คือ ผู้จดั กจิ กรรมการเรียนการสอน หรือมกี จิ กรรมการเรียนการสอนร่วมกนั
๓) วิธีสอน คือ ช่องทางในการแสวงหา ท่ีจัดเก็บไว้ข้ันๆ เร่ิมต้นจัดเก็บข้อมูลศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์
ทาเป็นและแกป้ ญั หาเป็น
๔.๖ สรุปสาระสาคัญวธิ ีสอนแบบยดึ ผู้เรียนเป็นสาคัญ
๑) แหล่งเรียนรู้ ไดแ้ ก่ สื่อส่งิ พิมพ์ หอ้ งสมดุ วิถชี ีวิตสภาพแวดล้อมทางสังคม และธรรมชาติ เปน็
สาธารณะสมบัติ ผสู้ อนและผเู้ รียน มโี อกาสเข้าถงึ เทา่ กนั ๆ
๒) ผ้สู อน ได้แก่ กลั ยาณมิตร สาหรับคอยแนะนาให้ผ้เู รยี นสามารถเข้าถึงและเลือกแหล่งข้อมูล จดั เก็บ
ขอ้ มูลอยา่ งถูกวิธี อธบิ าย วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ข้อมลู แล้วสรา้ งองค์ความรู้ขน้ึ เอง๑๖๖

๕. การสรุปบทเรียน

๕.๑ ความหมาย
การสรุปบทเรียน หมายถึง กระบวนการท่ีกระทาเม่ือสิ้นสุดการสอนบทเรียน หรือเนื้อหา และกิจกรรม
ตอนใดตอนหน่ึงหรือท้ังหมด โดยการสรุปแนวคิดที่สาคัญ ประมวลเรื่องราวโดยสังเขปของบทเรียน และสรุป
ความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์เดิม และประสบการณ์ใหม่ของผู้เรียนเข้าด้วยกัน ซ่ึงจะช่วยทาให้ผู้เรียนเกิด
ความม่นั ใจในตนเองวา่ ไดเ้ กดิ การเรียนร้อู ย่างถูกต้องตรงตามจุดประสงคแ์ ล้ว
๕.๒ มโนทัศน์และหลกั การ
การประมวลเร่ืองและกิจกรรมที่เรียนโดยสังเขป การชี้ให้เห็นแนวความคิดท่ีสาคัญ และโยงความสัมพันธ์
ระหว่างประสบการณก์ ารเดิมและประสบการณใ์ หม่ให้กบั ผู้เรียน นบั เป็นการสรปุ บทเรยี นทด่ี ี
๕.๓ จุดมุ่งหมายของการสรุปบทเรยี น
๑) มงุ่ ให้ผ้เู รียนเกดิ ความเข้าใจในบทเรยี นในลกั ษณะรวมๆ และสมั พนั ธ์กนั
๒) เน้นให้ผู้เรียนรู้จักสรุปแนวคิด ประเด็นสาคัญ และแง่คิดบางประการท่ีได้จากการเรียนบทเรียน และ
การทากิจกรรม
๓) มงุ่ ให้ผู้เรียนรจู้ กั และสามารถสรปุ ความสมั พันธ์ประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เดิมของตน
๔) มงุ่ ใหผ้ ้เู รยี นได้รู้จักทบทวนสรุปความรู้ท่ีเรียน เพื่อให้เกิดความม่ันใจว่าตนได้เกิดการเรียนรู้เป็นอย่างดี
และถกู ต้องแลว้

๑๖๖ จิรภัทร แก้วก,ู่ หลักและวธิ กี ารเขียนแผนการจดั การเรียนรู้, (โรงพมิ พ์ศิรภิ ณั ฑ์ ออฟเซท็ ขอนแก่น, ๒๕๕๔), หนา้
๑๑๑ – ๑๑๗.

๑๙๑

๕) มงุ่ ให้ผ้เู รียนร้จู ักและสามารถนาแนวคิด หลักวิธีการ และข้อทมี่ ปี ระโยชนไ์ ปประยุกตใ์ ช้ในการศึกษาต่อ
และเพ่ือการดารงชวี ิตที่ดีต่อไป

๖) มุ่งให้ผเู้ รียนมีความคิดรเิ ริ่มสรา้ งสรรค์
๗) มุ่งให้ผเู้ รยี นแสดงออกด้วยการมีสว่ นร่วมสรปุ บทเรยี น และแนวคดิ ต่างๆ
๘) มุ่งให้ผู้เรียนรู้จักการเรียนรู้ท่ีถูกวิธีอย่างหน่ึง น่ันคือการรับฟัง และแลกเปลี่ยนข้อสรุปความคิดเห็นซ่ึง
กันละกันอยา่ งมีเหตุผล
๙) มุ่งใหผ้ เู้ รียนผู้สอนมีความสัมพันธอ์ นั ดตี ่อกนั
๑๐) ม่งุ ใหก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนครบกระบวนการตามหลกั วิชา และบรรยากาศการเรยี นรู้ที่ดี
๕.๔ เทคนิควิธกี ารสรุปบทเรียน
วิธกี ารสรปุ บทเรยี นมีองคป์ ระกอบทส่ี าคญั แบ่งเปน็ ๓ ดงั น้ี
๑) การประมวลเรื่องและกิจกรรมท่ีเรียนโดยสังเขป หมายถึง การสรุปเร่ืองราวทั้งหมดของบทเรียนที่ได้
เรยี นไปแลว้ แต่ละตอน หรอื ทั้งหมดโดยสงั เขป ทั้งน้ีกเ็ พอื่ ชว่ ยให้ผู้เรียนได้สร้างจินตนาการการเรียนรู้แบบรูปรวมๆ
และสมั พันธ์ความคดิ และเร่อื งเข้าดว้ ยกนั
๒) การสรุปชี้ให้เห็นแนวความคิดท่ีสาคัญ หมายถึง ขั้นตอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักสรุปแนวความคิดท่ี
สาคัญจากบทเรยี น
๓) การผสมผสานสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ เป็นการสร้างการเรียนรู้และ
ความรูท้ ีถ่ ูกตอ้ ง เพ่อื ผู้เรียนจะได้เกิดความม่ันใจว่าตนเองเกิดการเรียนรู้ท่ีถูกต้องครบถ้วนตามจุดประสงค์ของการ
เรียนรู้ ท้ังเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ความสามารถ ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการนาไปใช้ในข้ันต่อไป
ดว้ ย
๕.๕ หลกั การสรปุ บทเรยี น
๑) ควรสรุปบทเรยี นทุกครั้ง และทกุ ตอนที่การเรียนการสอนจบตอนใดตอนหน่งึ หรือทง้ั หมดบทเรียน
๒) ควรสรุปให้ครบและครอบคลุมองค์ประกอบการเรียนการสอนน้ันๆ ได้แก่ การประมวลเร่ืองและ
กิจกรรมพอสังเขป การสรปุ แนวความคิดท่ีสาคัญ และการโยงความสัมพันธ์ประสบการณ์เดิมละประสบการณ์ใหม่
เขา้ ด้วยกนั
๓) ควรพิจารณาสรุปบทเรียนในกรณีอ่ืนๆ ที่มิใช่กิจกรรมการเรียนการสอนปกติ ซึ่งอาจกระทาโดยวิธีอื่น
เช่น การอภิปราย การรายงานกลุ่ม ภาพยนตร์ การจัดสถานการณ์จาลอง เป็นต้น ด้วยวิธการที่เหมาะสมและ
สมควรเทา่ ทจี่ ะทาไดแ้ ล้วแตก่ รณี
๔) ควรสรปุ หลายๆ แบบกล่าวคอื
(๔.๑) ผู้สอนเป็นผูส้ รปุ ท้งั หมด
(๔.๒) ผูส้ อนสรปุ บางสว่ นเปน็ การนาการสรปุ แล้วเรา้ ใหผ้ ู้เรียนสรุปเป็นรายบคุ คล
(๔.๓) ผู้สอนเรา้ ใหผ้ ู้เรยี นชว่ ยกนั สรปุ เปน็ กลุม่ หรือทง้ั ชนั้

๑๙๒

(๔.๔) ผสู้ อนและผเู้ รียนช่วยกันสรปุ ต้ังแตต่ น้ จนจบ
(๔.๕) ผู้เรียนช่วยกันสรปุ แก่ผูส้ อนวเิ คราะห์และสรุปเพ่มิ เติมในสว่ นทีย่ ังขาดใจความ
๕) มีการเชอื่ มโยงขอ้ สรปุ ใหส้ อดคล้อง สัมพันธ์ ละครอบคลุมตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ได้กาหนดไว้
รวมทง้ั เนอ้ื หา และประสบการณก์ ารเรยี นรู้ดว้ ย
๖) ควรมีการทดสอบและประเมินผลการสรุปบทเรียนเป็นคร้ังคราว หรือตามสมควร เช่น โดย
แบบทดสอบหลงั สรุป๑๖๗

๖. การฝกึ ทกั ษะการสอนแบบจุลภาค

๖.๑ ความหมาย
ทักษะการสอน หมายถึง พฤติกรรมความสามารถในทางหลักวิชาเชิงปฏิบัติ ซ่ึงกระทาหรือแสดงออกเพ่ือ
การปรุงแต่ง หรือเสริมกระบวนการเรยี นการสอนให้สมบูรณ์และมปี ระสิทธิภาพยิ่งขน้ึ
๖.๒ มโนทัศน์และหลกั การ
๑) ทักษะการสอน เป็นองคป์ ระกอบสาคัญสว่ นหนงึ่ ท่ีแสดง หรือบ่งช้ใี ห้เห็นถึง “สมรรถภาพของครู” และ
เป็นคณุ ลกั ษณะเชิงความชานิชานาญ หรอื สมรรถนะทางการสอน ซึ่งสามารถเรยี นรู้ฝึกฝนอบรม และครูทุกคนควร
มีการฝึกฝนสร้างเสริมให้มีในตัว จนกลายเป็นทักษะเฉพาะตนและสามารถนาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึง
เทา่ กบั เปน็ การพัฒนาประสิทธิภาพทางการสอนของครูไปในตวั
๒) แนวความคดิ และหลักการการกาหนดใหน้ กั ศกึ ษาศึกษาศาสตร์ ซ่ึงจะสาเร็จออกไปเป็นครูอาจารย์ต้อง
รับการฝึกทักษะการสอนที่สาคัญและจาเป็นนั้น ก็เพ่ือให้มีประสบการณ์ มีความสามารถ และมีความชานิชานาญ
เป็นอย่างดีในหลักการและกระบวนการนาไปใช้ประกอบการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ นับว่าเป็นสิงจาเป็นในการ
พัฒนาและเตรียมตวั ให้มคี วามพร้อมทางหน่งึ
๓) การฝึกปฏิบัติการสอนแบบจุลภาค เก่ียวกับทักษะการสอนท่ีสาคัญและจาเป็นแบบต่างๆ ในช้ันเรียน
หรือห้องปฏิบัติการ นับได้ว่าเป็นแนวทางและวิธีการหนึ่งที่สามารถสนองปรัชญาและอุดมการณ์ ตลอดจน
จุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันฝึกหัดครู ในอันที่จะเตรียมครูให้มีคุณภาพท้ังในแง่คุณลักษณะและ
ความพรอ้ มในการที่จะเปน็ ครูทด่ี อี อกไปรบั ใช้สงั คมและประเทศชาติได้ต่อไป
๖.๓ ความมุ่งหมาของการฝึกทกั ษะการสอน
๑) เพื่อให้นักศึกษามปี ระสบการณ์ในแง่ของหลักการ ความสาคญั และกระบวนการนาไปใช้
๒) เพอ่ื ให้นกั ศึกษามีความสามารถ ความคล่องแคล่ว และชานิชานาญในการใช้ทักษะการสอนแบบต่างๆ
ไปใช้ประกอบการสอนได้อย่างเหมาะสมและมปี ระสิทธิภาพ
๓) เพ่อื เปน็ ส่ือเรา้ ให้นักศึกษาร้จู กั พฒั นาแลกเปลยี่ นความรู้ ความคิด และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
๔) เพอ่ื ให้นักศึกษาไดเ้ รียนรู้วิธกี ารศกึ ษาหาความรแู้ ละประสบการณ์ดว้ ยตนเอง

๑๖๗ เฉลิม มลลิ า, ทกั ษะการสอนแบบจลุ ภาค, (กรงุ เทพ ฯ : แสงจันทรก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๒๖), หน้า ๑๐๑ – ๑๐๓.

๑๙๓

๕) เพอื่ ใหน้ กั ศึกษามีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั กระบวนการ และขั้นตอนการฝกึ ฝนทกั ษะแบบต่างๆ
๖) เพือ่ ให้นักศึกษาฝึกหัดและรู้จกั หลักการและวิธีการติชมผลงานการฝึกทักษะของเพ่ือนนักศึกษา ซึ่งเป็น
ขั้นตอนหนึ่งท่ีสาคัญ และจะนาไปสู่กระบวนการนิเทศการศกึ ษา หรอื การสอนได้
๗) เพื่อให้นักศึกรู้จักเปิดใจกว้าง รับฟังคาติชมผลการฝึกทักษะของตนเองจากอาจารย์ผู้สอน และจาก
เพ่ือนนกั ศกึ ษาด้วยกัน ซงึ่ เปน็ ประโยชนแ์ ละแนวทางในการปรับปรงุ แกไ้ ปและพฒั นาพฤตกิ รรมทีพ่ ึงประสงค์
๘) เพ่ือให้นักศึกษาได้มีความสามารถในการวินิจฉัย และแสดงความคิดเห็นติชมผลการฝึกทักษะอย่างมี
หลักการเหตผุ ล สจุ ริตใจ และเทย่ี งธรรม
๖.๔ บทบาทและกจิ กรรมการฝกึ ทักษะสาหรับนกั ศกึ ษา
๑) นักศึกษาจะต้องเข้าร่วมในกิจกรรมการฝึกทักษะแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นทักษะที่สาคัญและจาเป็น ดังที่
กาหนดไวใ้ นแผนการสอน
๒) นักศึกษาจะต้องทาการศึกษาทฤษฎี หลักการ วิธีการ และรายละเอียดในการประกอบกิจกรรมแต่ละ
ทักษะให้เข้าใจ และทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองล่วงหน้าเพ่ือให้เกิดความคุ้นเคย กล้าแสดงออก และไม่เคอะเขิน
ในขณะประกอบกจิ กรรมฝกึ ทักษะจรงิ ท่หี นา้ ช้นั เรยี น
๓) ขณะท่ีนักเรียนคนหนึ่งประกอบกิจกรรมฝกึ ทกั ษะทห่ี น้าช้นั เรยี น หรือหอ้ งปฏิบัติการ นักศึกษาคนอื่นๆ
จะไดร้ ับมอบหมายให้ทาหนา้ ท่ีสาคญั ๓ ประการ คอื
(๓.๑) สมมตติ วั เปน็ นกั เรียน
(๓.๒) สมมติตวั เปน็ ผ้นู เิ ทศ
(๓.๓) สมมตติ ัวเป็นผูส้ งั เกตการณ์
ทั้งน้ีแล้วแต่ความเหมาะสมและการกาหนดของอาจารย์ผู้สอนหรือเป็นไปตามข้อตกลงหลักการระหว่าง
อาจารย์ผูส้ อนและนักศึกษาเปน็ คราวๆ ไป
๔) เมื่อกิจกรรมการฝึกทักษะของนักศึกษาคนใดคนหน่ึงเสร็จสิ้นลง นักศึกษาจะได้รับการติชม จาก
อาจารย์ผู้สอน และจากนักศึกษาท่ีได้รับมอบหมายให้สมมุติเป็นตัวผู้นิเทศ ในแนวทางข้อบกพร่อง และวิธีการ
แก้ไขให้ดีขึ้นตามความเป็นจริง มีเหตุผล และเหมาะสม ซึ่งนักศึกษาผู้ทาการฝึกทักษะน้ันๆ จะต้องมีใจกว้างและ
ยอมรับการติชม และข้อเสนอแนะต่างๆ ด้วยความบริสุทธ์ิใจ และพร้อมท่ีจะนาไปเป็นแนวทางในการแก้ไข
ปรับปรงุ ข้อบกพร่อง และพัฒนาพฤตกิ รรมใหด้ แี ละเหมาะสมต่อไป
๕) กิจกรรมการฝึกทักษะบางอย่าง นักศึกษาอาจได้รับการฝึกและ Feedback จากเคร่ือง Video Tape
ท้ังนี้ก็เพ่ือการประเมินผลและฝึกพิจารณาค้นหาข้อบกพร่องและแนวทางการปรับปรุงแก้ไขการฝึกทักษะนั้นๆ ได้
ดว้ ยตนเอง
๖) นักศึกษาซ่ึงได้รับการสมมุติให้เป็นนักเรียน ควรจะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสม จริงจัง และแสดง
บทบาทให้ได้ใกลเ้ คียงกบั สภาพการณต์ ามความเปน็ จริงของนกั เรยี นตามเน้ือเรื่องและแนวทางที่ใช้ประกอบการฝึก
ทกั ษะ

๑๙๔

๗) นักศึกษาซ่ึงได้รับการสมมุติให้เป็นผู้นิเทศ ควรจะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสม จริงใจ ในการแสดง
บทบาทใหก้ ารนิเทศติชม และข้อเสนอแนะใดๆ ควรเป็นไปอย่างมีเหตุผล สุจิตใจ เท่ียงตรง และมุ่งหวังเพ่ือให้เกิด
การพัฒนากระบวนการฝกึ ทกั ษะน้นั ๆ อย่างแท้จรงิ ทัง้ ต้องปราศจากความลาเอียงหรอื ข้ออคติใดๆ โดยเดด็ ขาด

๘) นักศึกษาซึ่งได้รับการมอบหมายหรือกระทาโดยตนเองในฐานะผู้สังเกตการณ์ ก็จะต้องใช้ความ
พยายามตดิ ตาการประกอบกิจกรรมการฝกึ ทกั ษะนน้ั ๆ ดว้ ยความสนใจ ประกอบการใช้หลักวิชาและประสบการณ์
การเรยี นรู้ในทกุ แง่ทกุ มุม และทุกขน้ั ตอน เพื่อใหเ้ กดิ ประสบการณ์ แนวความคิด และแนวทางในการฝึกทักษะของ
แต่ละคนตอ่ ไป

๙) นักศึกษาพึงระลึกเสมอว่า กิจกรรมการฝกึ ทักษะการสอนแบบต่างๆ และการไดร้ ับเป็นส่ิงจาเป็น และมี
คุณค่าอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะความสามารถและความชานิชานาญในการนาไปประกอบการฝึกสอน และ
ปฏิบตั กิ ารสอนจริงเมอ่ื สาเสร็จการศึกษาไปแล้ว

๑๐) หลักการฝึกทักษะการสอนแบบต่างๆ ในชั้นเรียน หรือห้องปฏิบัติการโรงเรียน สาธิตแล้ว นักศึกษา
ทุกคนควร และจาเป็นอย่างจะต้องนาประสบการณ์ท่ีได้ไปทบทวนและดาเนินการฝึกทักษะต่างๆ ทุกทักษะโดย
เลือกเนอ้ื หาวชิ าทีเ่ กย่ี วขอ้ งประกอบการฝึกดว้ ยตนอง จนเกิดความชานิชานาญอย่างแท้จริงให้มากที่สุดเท่าท่ีจะทา
ได้

๖.๕ ความสาคญั และความจาเป็นที่ต้องใช้ทักษะประกอบการสอน
ด้วยเหตุท่วี า่ การเรยี นรู้ เปน็ กระบวนการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรียน กล่าวคือ มีการพัฒนาในด้าน
สติปัญญา ทัศนคติ และความรู้สึกนึกคิด และทักษะความสามารถในการทางานหรือประกอบกิจกรรมอย่างมี
ขนั้ ตอนไปตามแนวทางของจุดประสงค์ คอื มีพฤตกิ รรมทีพ่ งึ ประสงค์ หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้มาตรฐานตาม
เกณฑ์ ที่ยอมรับได้ ซ่ึงได้กาหนดไว้ในเบ้ืองต้น แต่การที่ผู้เรียนจะบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวได้ จาเป็นท่ีผู้สอน
จะต้องมี “ความสามารถเชิงปฏิบัติการ” ประกอบเข้ากับองค์ประกอบของกระบวนการเรียนการสอนหลัก ได้แก่
การใช้หลักการสอน วิธีการสอน และเทคนิคการสอน ซ่ึงในทางการศึกษาเรียกว่า ทักษะ หรือ ทักษะการสอน วิ่ง
หมายถึง พฤติกรรมความคล่องแคล่ว ชานิชานาญเกี่ยวกับหลักวิชาเชิงปฏิบัติในการแสดงออกซ่ึงกระบวนการใด
กระบวนการหนึ่งหรือหลากหลายกระบวนการ ท้ังเป็นการกระทาอย่างมีระบบ และมีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัด เช่น
ทกั ษะเก่ียวกับการสอน ก็เป็นไปเพ่อื ปรงุ แตง่ กระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพน่าเรียนรู้ สนุกสนานและ
ได้ผลดีย่งิ ข้ึน
๖.๖ ทักษะการสอนทส่ี าคัญและจาเปน็
โดยท่ัวไปไมอ่ าจกาหนดเป็นหลักแนน่ อนตายตวั ได้ ท้ังนี้ย่อมขน้ึ อยกู่ บั ความสาคัญและจาเป็นในทัศนะของ
ผู้ใช้ อย่างไรก็ตามอาจพิจารณาโดยยึดหลักความถ่ีของข้อเสนอแนะเก่ียวกับ “ทักษะการสอน” ท่ีจาเป็นในทัศนะ
ของนักศึกษา และผเู้ กีย่ วขอ้ งพอสรุปได้ เช่น
๑) ทักษะการนาเข้าส่บู ทเรยี น
๒) ทักษะการอธบิ าย

๑๙๕

๓) ทกั ษะการเรา้ และแปรเปลย่ี นความสนใจ
๔) ทกั ษะการใชค้ าถาม
๕) ทักษะการเสรมิ กาลังใจ
๖) ทักษะการสรุป
๗) ทักษะการใชบ้ ทบาทสมมุติในการเรียนการสอน
๘) ทกั ษะการใช้สอื่ การสอน
๙) ทักษะการควบคุมช้ันเรียน
๑๐) ทกั ษะการพฒั นาความคิดของนักเรยี น
และหมายรวมไปถึง “ทักษะการสอน” แบบอื่นๆ ว่ิงอยู่ในความสนใจร่วมกันระหว่างอาจารย์ผู้สอน และ
นกั ศึกษา จะพิจารณาเลอื กและกาหนดไว้ในโปรแกรมการฝึกทักษะแต่ละภาคเรียนตามความจาเป็นและเหมาะสม
ดว้ ย๑๖๘

๑๖๘ เฉลิม มลิลา, ทกั ษะการสอนแบบจลุ ภาค, (กรงุ เทพ ฯ : แสงจนั ทร์การพมิ พ,์ ๒๕๒๖), หนา้ ๑ – ๗.

๑๙๖

คาถามท้ายบทเรยี น

ตอนท่ี ๑ คาสั่ง ใหท้ าเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ลงใน ก ข ค ง เลือกคาตอบที่ถกู ตอ้ งเพียงข้อเดยี ว

๑. Mind mapping มีความหมายวา่ อย่างไร ๗. ข้อใด กล่าวถึงกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้น

ก. ผงั มโนทัศน์ ผังความคดิ ข. ความเข้าใจ ผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ
ก. ครใู หน้ ักเรียนศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้เอง ครู

ค. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ง. แผนการจักการเรยี นรู้ เพยี งคอยใหค้ าแนะนา
ข. ครูบรรยายเน้ือหาในบทเรียนให้นักเรียนฟัง
๒. Summarizing มคี วามหมายว่าอยา่ งไร จนจบคาบเรยี น

ก. ความเขา้ ใจ ข. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ค. ครูเอาส่อื การเรยี นการสอนท่ีเก่ียวกับเนื้อหา

ค. การผสมในเรื่องการอ่าน ง. แผนการจดั การเรียนรู้ มาสาธิตให้นกั เรยี นดู

ง. ครูสอนแบบยกตัวอยา่ งเพื่อให้นักเรียนเข้าใจ

๓. Mapping text มคี วามหมายว่าอยา่ งไร ในเน้อื หาการเรียนรชู้ ดั เจนขน้ึ
๘. ถ้านักศึกษาจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ควรเลือก
ก. การทาแผนการเรยี นรู้ ข. การทาแผนภูมกิ ารอา่ น หลกั การใดเพ่อื นาเขา้ สู่บทเรียน

ค. การนาเขา้ สู้บทเรียน ง. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ก. จัดตามแผนท่ีตนวางแผนเอาไวแ้ ตต่ น้
๔. กระบวนการคิดด้วยเทคนคิ KWL ใครเป็นผคู้ ดิ คน้ ข. เลือกใช้พฤติกรรมที่เหมาะสมกับเน้ือหาที่
สอนให้มากทส่ี ดุ
ก. professor Dr. Donna ogler ค. ใช้ตามกระบวนการที่โรงเรียนจดั ไวใ้ ห้
ข. Jon Diwe ง. ไมม่ ีข้อถูก
ค. Tom terner ๙. ข้อใด ไมใ่ ช่ การเรียนการสอนที่ยดึ ผ้เู รยี นเปน็ สาคญั
ง. ไมม่ ขี ้อถกู ก. ครูบรรยายเน้ือหาในบทเรียนให้นักเรียนฟัง
๕. การจัดกิจกรรมตามกระบวนการ KWLH Plus เน้น จนจบคาบเรียน
เรอื่ งใดเป็นสาคญั ข. ครพู านักเรยี นเลน่ เกมทเ่ี กย่ี วกบั เนือ้ หาสาระ
ก. สง่ เสริมการคิด การอา่ น ค. ครูให้นักเรียนสรูปเน้ือหา แล้วออกมา
ข. การเรียนรู้ดว้ ยต้อนเอง อภปิ รายหน้าช้นั เรียน
ค. การพฒั นาให้นกั เรยี นใชท้ ักษะในดา้ นต่างๆเป็น ง. ครูให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้เอง ครู
ง. ถกู ทกุ ขอ้ เพยี งคอยใหค้ าแนะนา
๖. ข้อใดกลา่ วถูกตอ้ ง ๑๐. ส่ิงแรกๆ ท่ีเราควรทาในการจัดกิจกรรมการเรียน
ก. พฤติกรรมความสามารถแสดงออกเพ่ือการปรุงแต่ง การสอนคือ ขอ้ ใด
ในทางหลกั วิชาเชิงปฏบิ ตั ิ คือ วธิ ีการสอน ก. ใหน้ ักเรียนออกมาอภปิ ราย
ข. การสอนแบบจุลภาค คอื การสอนโดยใชเ้ วลาสั้นๆ ข. วดั ผลประเมิลผล
ค. ท้ายการสอนครูไม่สรุปบทเรียน ค. เร้าความสนใจ
ง. การสอนแบบ CIPPA Model เป็นของนักการศึกษา ง. สงั่ งาน
ชาวอเมริกา


Click to View FlipBook Version