The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-10-18 09:20:14

ปรัชญาการศึกษาและการพัฒนาหลักสูตร

ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

เอกสารประกอบการสอน
วชิ า ๒๐๐ ๒๐๔

ปรัชญาการศึกษาและการพฒั นาหลักสูตร

Educational Philosophy and Curriculum Development

โดย
ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช

น.ธ.เอก,ป.ธ.๔,ค.บ..ศษ.ม.(หลักสูตรและการสอน)

สาขาวิชาสังคมศกึ ษา

มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
๒๕๖๓

เอกสารประกอบการสอน
วิชา ๒๐๐ ๒๐๓

ปรชั ญาการศกึ ษาและการพัฒนาหลกั สตู ร

Educational Philosophy and Curriculum Development

โดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนสุ รณ์ นามทะราช

น.ธ.เอก,ป.ธ.๔,ค.บ.,ศษ.ม.(หลกั สูตรและการสอน)
สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษา

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น

คำนำ

การศึกษาหาความรู้เปน็ วิธกี ารพัฒนาตัวเองอย่างหน่งึ ไม่วา่ การศึกษานัน้ จะอยู่ในรูปแบบใดก็
ตาม ในขณะเดียวกนั ขอ้ ความรู้ที่จะศึกษาทุกอย่างก็มีทม่ี าและผ่านการจดั การมาอย่างดี กอ่ นทจ่ี ะมาเป็น
สง่ิ ท่ใี ห้ได้ศึกษาคน้ ควา้

การศกึ ษาการพฒั นาหลักสตู รเปน็ บรบิ ทเดยี วกันกับการศึกษาศาสตร์ความรู้อน่ื ๆ การศึกษา
การพัฒนาหลักสูตรเพ่ือต้องการใหผ้ ู้เรียนหรือผ้ทู ่สี นใจ ได้เข้าใจในกระบวนการของหลักสตู รไม่วา่ หลกั สูตร
ระดบั ไหนก็ตาม เน่ืองการจัดการศกึ ษาจะมีหลักสูตรเปน็ ตัวกาหนดเสน้ ทางและอนาคตของผู้เรียนและ
ผเู้ กี่ยวข้องท้งั หมด ให้มแี นวทางในการดาเนนิ การและวธิ ีการจดั การศกึ ษา

ดงั นน้ั หนงั สอื ท่มี ีอย่ใู นมอื ขณะน้ี เป็นเอกสารอานวยความสะดวกใหผ้ เู้ รียนในการศึกษาคน้ คว้า
หวงั วา่ ท่านท่ีอ่านเอกสารนีแ้ ล้วคงได้เข้าใจในขบวนหลักสตู รบ้าง แต่ไม่ได้หมายถึงข้อความรู้ของหลักสตู ร
ทั้งหมด ยงั มสี ิ่งทตี่ อ้ งศกึ ษาค้นคว้าอกี มาก จึงขอฝากผูท้ ี่เรียนการพฒั นาหลักสูตรและผู้ทส่ี นใจ ไดศ้ ึกษา
คน้ ควา้ ใหม้ าก ๆ จะได้ข้อมูลความรทู้ ี่หลากหลาย เอกสารฉบบั นี้ เปน็ เอกสารเพื่ออานความสะดวกแก่
นิสิตช้ันปที ี่ ๒ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ ทีศ่ กึ ษาในหลักสตู รครศุ าสตร
บณั ฑติ และเป็นรายวชิ ามาตรฐานวชิ าชพี ครู เนอื้ หาอาจยังไมส่ มบรู ณแ์ ละตอ้ งใชเ้ วลาในการเพิม่ เติมอีก
มากและรอโอกาสปรบั ปรงุ ต่อไป จงึ ขอออกตัวมา ณ ทนี่ ี้ ขอรับคาตชิ ม จะนาไปปรับปรุงต่อไปและ
ขอขอบพระคณุ เจ้าของเอกสารข้อความรู้ต่าง ๆ ท่ีผ้เู ขยี นได้ยกมา ถา้ คุณงามความดีจะพงึ บงั เกิดมีขอให้
เปน็ อานสิ งสแ์ ก่เจ้าของเอกสารและเจา้ กรรมนายเวร พร้อมท้ังผูม้ ีพระคุณทกุ ท่าน

อนสุ รณ์ นามทะราช
๒๘ พค. ๖๓

สารบญั หน้า

เรอื่ ง ข
คำนำ ค
สำรบญั ๑
แผนบริหำรรำยวชิ ำ ๒
บทท่ี ๑ ปรชั ญาการศกึ ษาและพัฒนาหลกั สตู ร ๓

๑. ควำมหมำยของปรชั ญำกำรศกึ ษำกบั หลกั สตู ร ๖
๒. ควำมหมำยของปรัชญำกำรศึกษำ ๑๔
๓. แนวคิดทฤษฎกี ำรพัฒนำหลกั สูตร ๑๙
๔. ประเภทของปรชั ญำกำรศึกษำ ๒๐
๕. จิตวิทยำเก่ียวกับหลักสตู ร ๒๓
๖. สรุปปรชั ญำกำรศกึ ษำกบั กำรพฒั นำหลักสตู ร
คำถำมทำ้ ยบท ๒๕
อ้ำงองิ ประจำบท ๒๘
บทที่ ๒ ความรเู้ ก่ยี วกบั หลกั สูตร ๒๙
๑. ควำมรู้เกี่ยวกบั หลักสตู ร ๓๑
๒. ควำมมุง่ หมำยของหลักสูตร ๓๕
๓ องค์ประกอบของหลกั สูตร ๓๗
๔. ควำมสำคญั และประโยชนข์ องหลกั สูตร ๓๘
๕. คณุ สมบัตขิ องหลักสตู ร ๓๙
๖. ลกั ษณะหลักสูตรทด่ี ี ๔๐
๗. ควำมเป็นมำววิ ฒั นำกำรของหลกั สูตร ๔๕
๘. สรปุ
คำถำมทำ้ ยบท ๔๗
อ้ำงองิ ประจำบท ๕๙
บทท่ี ๓ พ้นื ฐานทางหลักสตู ร ๖๑
๑. ควำมเป็นมำระบบกำรศกึ ษำไทย ๖๓
๒ พนื้ ฐำนทำงสังคมและวฒั นธรรม
๓. พ้นื ฐำนทำงเศรษฐกจิ ๖๓
๔. พ้ืนฐำนทำงกำรเมืองกำรปกครอง ๖๕
๕. พืน้ ฐำนทำงปรชั ญำกับหลักสตู ร
๖. พนื้ ฐำนทำงจติ วทิ ยำ
๗. ววิ ัฒนำกำรของหลกั สูตร
๘. ววิ ัฒนำกำรหลักสูตรในประเทศไทย
๙. สรุป
คำถำมท้ำยบท

อำ้ งอิงประจำบท ๖๘
บทที่ ๔ วิสยั ทศั น์และการบรหิ ารการศึกษาไทย
๗๐
๑. กำรบรหิ ำรจดั กำรหลกั สูตรปัจจบุ ัน ๗๘
๒. หลักสตู รกำรศกึ ษำขน้ั พนื้ ฐำน ๘๔
๓. แนวโน้มกำรบรหิ ำรจดั กำรหลักสูตร ๘๙
๔. กำรพฒั นำหลักสตู รไทยในอนำคต ๙๒
๕. ปัญหำอุปสรรคในกำรจัดกำรหลกั สตู รไทย ๙๔
๖. สรปุ ๙๕
คำถำมทำ้ ยบท ๙๘
อำ้ งองิ ประจำบท
บทที่ ๕ หลกั การพัฒนาหลักสูตร ๑๐๐
๑. ควำมหมำยของกำรพฒั นำหลกั สูตร ๑๐๑
๒. ทฤษฎีกำรพัฒนำหลักสตู ร ๑๐๓
๓. กระบวนกำรพัฒนำหลกั สูตร ๑๑๐
๔. หลักของกำรพฒั นำหลักสูตร ๑๑๐
๕. ผลท่ไี ด้จำกกำรพฒั นำหลักสตู ร ๑๑๒
๖. ขอ้ คดิ ในกำรพัฒนำหลักสตู ร ๑๑๔
๗. รปู แบบของกำรพฒั นำหลกั สตู ร ๑๒๔
๘. กำรพฒั นำหลกั สูตรโดยกำรปรบั กจิ จกรมกำรเรียนกำรสอน ๑๒๕
๙. กำรพัฒนำหลกั สูตรโดยกำรปรบั รำยละเอยี ดของเนอื้ หำ ๑๓๔
๑๐. สรุป ๑๓๕
๑๓๙
คำถำมท้ำยบท
อ้ำงอิงประจำบท ๑๔๑
บทท่ี ๖ รูปแบบประเภทหลักสตู ร ๑๔๘
๑. รปู แบบของหลักสตู ร ๑๔๙
๒. แนวคิดในกำรจัดรูปแบบหลกั สูตร ๑๕๒
๓. หลกั สตู รรำยวชิ ำ ๑๕๓
๔. หลกั สูตรเนื้อหำวชิ ำ ๑๕๓
๕. หลักสูตรแบบสัมพนั ธว์ ิชำ ๑๕๔
๖. หลกั สตู รหมวดวิชำ ๑๕๔
๗. หลกั สูตรแบบแกน ๑๕๕
๘. หลักสูตรแบบเพื่อชีวิตและสงั คม ๑๕๗
๙. หลักสูตรแบบกิจกรรมหรือประสบกำรณ์ ๑๕๘
๑๐. หลกั สูตรแบบเอกกตั บุคคล ๑๕๙
๑๑. หลกั สูตจรแบบผสมผสำน ๑๖๒
๑๒. หลักสตู รแบบบรู ณำกำร
๑๓. สรุป

คำถำมทำ้ ยบท ๑๖๓
อ้ำงองิ ประจำบท ๑๖๖
บทท่ี ๗ มาตรฐานและมาตรฐานระดับชนั้
1. ความหมายของมาตรการจดั ระดบั ช้ันหลกั สูตร ๑๖๘
2. การกาหนดมาตรการและระดบั ช้ัน ๑๖๙
๓. หลักสูตรการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน ๑๗๐
๔. มาตรฐานและการจัดระดบั ช้ันหลกั สตู ร ๑๗๑
5. การจดั สาระการเรียนรู้หลักสูตร ๑๗๒
6. การจัดเวลาเรียนตามระดับช้ัน ๑๗๔
๗. สรปุ ๑๗๔
คาถามท้ายบท ๑๗๕
อา้ งอิงประจาบท ๑๗๘
บทที่ ๘ หลกั การพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษา
๑. ความหมายการพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษา ๑๘๐
๒. หลักการจดุ ม่งุ หมายและโครงสรา้ ง ๑๘๒
๓. กระบวนการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา ๑๘๓
๔. หลักสตู รเดมิ กับหลักสตู รปัจจุบนั ๑๘๖
๕. ความหมายของการพัฒนาหลกั สตู ร ๑๘๖
๖. ความสาคัญของการพัฒนาหลกั สตู ร ๑๘๙
๗. องค์ประกอบของการพัฒนาหลักสูตร ๑๙๐
๘. ลกั ษณะของการพฒั นาลกั สูตรทดี่ ี ๑๙๒
๙. การบรหิ ารจดั การหลกั สตู รสถานศึกษา ๑๙๒
๑๐. สรุป ๑๙๘
คาถามทา้ ยบท ๒๐๐
อ้างอิงประจาบท ๒๐๓
บทท่ี ๙ การนาหลักสูตรไปใช้
๑. ควำมหมำยกำรนำหลกั สตู รไปใช้ ๒๐๕
๒. แนวคดิ เก่ียวกบั กำรนำหลกั สตู รไปใช้ ๒๐๖
๓. หลักกำรสำคญั ในกำรนำหลกั สูตรไปใช้ ๒๐๘
๔. กกิ รนรมทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั กำรนำหลกั สตู รมำใช้ ๒๐๙
๕. ขนั้ ตอนกำรนำหลกั สูตรไปใช้ ๒๑๐
๖. ขนั้ ดำเนนิ กำรใช้หลกั สตู ร ๒๑๒
๗. ผูเ้ กยี่ วข้องกบั กำรนำหลักสตู รไปใช้ ๒๑๘
๘. สรปุ ๒๒๑
คำถำมทำ้ ยบท ๒๒๒
อ้ำงอิงประจำบท ๒๒๕

บทที่ ๑๐ การประเมินและเปลยี่ นแปลงหลกั สูตร ๒๒๖
๑. ควำมหมำยของกำรประเมนิ หลกั สูตร ๒๒๗
๒. จุดมงุ่ หมำยของกำรประเมินหลกั สตู ร ๒๒๘
๓. ระยะเวลำและขอบเขตกำรประเมินหลกั สูตร ๒๒๙
๔. ขน้ั ตอนในกำรประเมนิ หลักสตู ร ๒๓๓
๕. รปู แบบของกำรประเมนิ หลักสตู ร ๒๓๔
๖. ปัญหำแนวโนม้ กำรเปลยี่ นแปลงหลักสูตร ๒๓๙
๗. สรปุ กำรประเมนิ เปลีย่ นแปลงหลกั สูตร ๒๔๐
คำถำมทำ้ ยบท ๒๔๐
อ้ำงอิงประจำบท ๒๔๕
๒๔๖
บรรณานุกรม

รายละเอียดการบริหารจัดการรายวิชา มคอ.๓

วชิ าปรชั ญาการศกึ ษาและการพฒั นาหลักสตู ร

ประจาภาคเรยี นท่ี ๑/๒๕๖๓

ชือ่ สถาบนั อุดมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขต/คณะ/ภาควิชา วทิ ยาเขตขอนแกน่ /คณะครุศาสตร์/สาขาวิชาสังคมศึกษา

หมวดท่ี ๑ ข้อมลู โดยทว่ั ไป

๑. รหสั และชือ่ รายวชิ า

๒๐๐ ๒๐๔ ปรชั ญาการศกึ ษาและการพัฒนาหลักสูตร ๓ (๒-๒-๕)

(Educational Philosophy and Curriculum Development)

๒. จานวนหน่วยกติ

๓ หนว่ ยกิต (๒-๒-๕)

๓. หลักสูตรและประเภทของรายวชิ า

หลกั สูตรครศุ าสตรบัณฑติ สาขาวชิ าสงั คมศึกษา

ประเภทรายวชิ า รายวชิ ามาตรฐานวิชาชพี ครู

๔. อาจารยผ์ รู้ บั ผิดชอบรายวชิ าและอาจารย์ผ้สู อน

ผรู้ บั ผดิ ชอบหลกั สูตร - ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช ประธานหลักสตู รสาขาวชิ าสังคมศกึ ษา

- อาจารยส์ ทิ ธิพล เวียงธรรม กรรมการ

- อาจารยบ์ ญุ สง่ นาแสวง กรรมการ

- อาจารย์วิรัตน์ ทองภู กรรมการ

- อาจารยพ์ ันทิวา ทับภมู ี กรรมการและเลขานกุ ารหลักสูตร

อาจารยผ์ รู้ บั ผิดชอบรายวชิ า ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อนสุ รณ์ นามทะราช

อาจารยผ์ สู้ อน - ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนสุ รณ์ นามทะราช

น.ธ.เอก,ป.ธ.๔,ค.บ.(การประถมศึกษา),ศษ.ม(หลักสูตรและการสอน)

โทร.๐๙๓๓๕๗๙๔๓๑,๐๙๐๓๔๓๗๔๙๕,๐๘๑๖๐๑๐๕๒๙

Email. [email protected], [email protected]

๕. ภาคการศึกษา / ช้นั ปที ่ีเรียน
ภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๖๓/ชั้นปีท่ี ๒

๖. รายวชิ าทต่ี ้องเรยี นมาก่อน (Pre-requisite) (ถ้ามี) ไมม่ ี

๗. รายวชิ าท่ตี อ้ งเรยี นพร้อมกนั (Co-requisites) (ถ้าม)ี ไม่มี

๘. สถานทเี่ รียน
สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่

๙. วนั ที่จดั ทาหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครั้งล่าสุด
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓

วิชาปรัชญาการศกึ ษาและการพัฒนาหลกั สตู ร ๒

หมวดที่ ๒ จดุ มงุ่ หมายและวตั ถปุ ระสงค์

๑. จุดมุ่งหมายของรายวิชา
๑.๑ เพอ่ื ให้เกิดความตระหนกั ถึงความสาคญั ของการพฒั นาหลักสตู ร
๑.๒ เพื่อให้มคี วามเข้าใจถงึ การพฒั นาหลักสตู รและการใชห้ ลกั สูตร
๑.๓ เพอื่ ให้รู้และเขา้ ใจถึงปัจจัยต่าง ๆ ทางดา้ นหลักสูตร
๑.๔ เพื่อให้รู้วิธีการจดั ทาหลกั สตู รสถานศกึ ษา

๒. วตั ถุประสงค์ในการพฒั นา/ปรบั ปรุงรายวิชา
หลงั จากการเรียนการสอนจบในรายวิชาน้ีแลว้ นิสติ สามารถแสดงพฤติกรรมดังตอ่ ไปน้ี
๒.๑ อธิบายความหมาย การพัฒนาหลักสตู รได้
๒.๒ เล่า/บอกถงึ การพัฒนาหลักสตู รและความเป็นมาของหลักสูตรได้
๒.๓ สรา้ งหลักสูตรและใช้หลักสตู รในสถานศกึ ษาได้
๒.๔ นาหลกั การเกย่ี วกบั หลกั สตู รไปใชใ้ นสภาพจริงตอ่ ได้
๒.๕ วิเคราะห์ปญั หาและสรปุ แนวโน้มของปัญหาเก่ียวกบั หลกั สูตรได้

หมวดท่ี ๓ ลักษณะและการดาเนินการ

๑. คาอธิบายรายวิชา

รู้และเข้าใจ แนวคิดทฤษฏีทางปรัชญาการศึกษา วิเคราะห์ความเชื่อมโยงของปรัชญาการศึกษา พุทธ

ปรัชญา ทฤษฏีหลักสูตร แนวคิดทางศาสนา เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ที่มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาไทย และ

สามารถบูรณาการเพ่ือใช้ในการออกแบบและพัฒนานวัตกรรมหลักสูตร รวมท้ังสามารถนาหลักสูตรไปใช้ การประเมิน

หลักสูตร และนาผลการประเมินไปปรบั ปรงุ หลักสูตรและจดั การศกึ ษาเพื่อเสริมสร้างการพัฒนาทยี่ ่ังยนื

๒. จานวนช่วั โมงทีใ่ ช้ตอ่ ภาคการศึกษา

บรรยาย สอนเสริม การฝึกปฏิบตั ิ/งาน การศึกษาดว้ ยตนเอง
ภาคสนาม/การฝึกงาน

บรรยาย ๓๒ ชวั่ โมงต่อ สอนเสริมตามความ -มีการปฏบิ ัตใิ นเวลาเรียน การศกึ ษาดว้ ยตนเอง ๕ ชว่ั โมง

ภาคการศึกษา ตอ้ งการของนสิ ิตเฉพาะ ๓๒ ชว่ั โมง ต่อสัปดาห์

รายบุคคล

๓. จานวนชั่วโมงต่อสปั ดาห์ทอ่ี าจารย์ใหค้ าปรึกษาและแนะนาทางวิชาการแก่นสิ ิตเป็นรายบคุ คล

- อาจารย์ประจารายวชิ า ประกาศเวลาใหค้ าปรึกษาผา่ นเวปไซต์สาขาวิชาและสรา้ งไลน์กลุ่มเป็นทีส่ ่งงานและติดต่อ

- อาจารยจ์ ดั เวลาใหค้ าปรึกษาเปน็ รายบคุ คล หรือ รายกลมุ่ ตามความตอ้ งการ ๑ ช่วั โมงตอ่ สปั ดาห์ (เฉพาะรายที่

ต้องการ)

- อาจารยเ์ ปิดและแจง้ เบอรโ์ ทรศัพทใ์ ห้ทุกคนสามารถติดต่อปรกึ ษาไดต้ ลอดเวลา

- ใหน้ สิ ติ สามารถเขา้ ศกึ ษาเพ่ิมเติมไดต้ ลอดเวลา โดยโต๊ะกลางรองรบั การศกึ ษางานและขอ้ ความรทู้ ี่นิสติ เขา้ มาหา

วชิ าปรชั ญาการศกึ ษาและการพฒั นาหลักสตู ร ๓

หมวดที่ ๔ การพัฒนาการเรียนรู้ของนสิ ิต

๑. การพัฒนาคุณลกั ษณะพเิ ศษของนสิ ิต

คณุ ลกั ษณะพิเศษ กลยุทธห์ รือกิจกรรมของนิสิต

ด้านบุคลกิ ภาพ การฝึกปฏบิ ัตกิ ารแสดงออกถึงภาวะความเปน็ ครูท้งั การปฏิบตั ิเป็น
แบบ อย่าง การแตง่ กาย การมมี นษุ ยสมั พันธท์ ่ดี ี และการวางตัวที่

เหมาะสม พฤติกรรมรว่ มในการทางาน

ดา้ นภาวะผ้นู า และความรบั ผิดชอบ ๑. กาหนดใหม้ รี ายวิชาซง่ึ นสิ ิตต้องทางานเปน็ กลมุ่ และมกี ารกาหนด
ตลอดจนมวี ินยั ในตนเอง หัวหน้ากลมุ่ ในการทารายงานตลอดจน กาหนดให้ทกุ คนมสี ่วนรว่ ม
ในการนาเสนอรายงาน เพ่ือเปน็ การฝึกใหน้ สิ ติ ไดส้ รา้ งภาวะผูน้ าและ
การเปน็ สมาชิกกลุม่ ท่ดี ี
๒. มอบหมายให้นิสิตหมนุ เวียนกนั เปน็ หวั หน้าในการทากิจกรรมใน
หอ้ งเรยี นหรอื นอกห้องเรียน เพื่อฝึกความรับผดชอบ
๓. มกี ติกาที่จะสร้างความมวี ินยั ในตนเอง เช่นการเขา้ เรยี นตรงต่อ
เวลา อย่างสม่าเสมอ การมีส่วนร่วมในชน้ั เรยี น เสริมสร้างกล้าในการ

แสดงออก กลา้ แสดงแสดงความคดิ เหน็

จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ มกี ารให้ความรแู้ กน่ สิ ติ เกี่ยวกับวชิ าชพี ครู จรรยาบรรณวิชาชพี
ความเป็นครตู ามหลักพระพุทธศาสนา และกฎหมายทีเ่ กย่ี วข้องกับ
ความเป็นครู

๒. การกระจายความรับผิดชอบมาตรฐานการเรยี นรูจ้ ากหลักสตู รสรู่ ายวชิ า(Curriculum mapping)

๑.คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ๒.ความรู้ ๓.ทกั ษะทาง ๔.ทกั ษะความ ๕.ทักษะการ ๖.ทักษะการเรียนรู้
ปัญญา สมั พนั ธ์ระหว่าง วิเคราะห์ตวั
เลขการสื่อ
บคุ คลและความ สาร และการ
รับผิดชอบ ใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศ

๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒๓ ๔ ๕

                      

๒.๑ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม

๒.๑.๑ คณุ ธรรม จริยธรรมท่ีต้อง ๒.๑.๒ กลยุทธ์วธิ ีการสอน ๒.๑.๓ กลยุทธ์วิธกี ารประเมินผล

พัฒนา ๑) ใชก้ ารสอนแบบบรรยายดว้ ย ๑) พฤติกรรมการเข้าเรียน และ

พฒั นาให้ผู้เรียนมคี วามรับผดิ ชอบ การส่อื สารสองทาง เปดิ โอกาสให้ ส่งงาน ท่ี ได้รับ มอบ ห มายตาม

มวี ินัย มจี รรยาบรรณในวิชาชีพ นาหลกั นิสติ มีการต้ังคาถามและตอบคาถาม ขอบเขตทใ่ี ห้และตรงเวลา

ทางธรรมไป ประยกุ ต์ใช้อย่าง ถูกต้อง หรือแสดงความคิดเหน็ ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ๒) มกี ารอ้างองิ เอกสารท่ีได้
เหมาะสมโดยมีคุณธรรม จริยธรรมตาม คุณธรรม จรยิ ธรรมในชัน้ เรยี น นามาทารายงาน อยา่ งถูกต้องและ
คุณสมบตั ิของหลักสตู ร ดงั นี้ ลักษณะการสอด แทรกในเน้ือหาวชิ า เหมาะสม

ความรับผดิ ชอบหลกั ๒) ยกตัวอยา่ งกรณีศึกษาบคุ คล ๓) ประเมนิ ผลการวิเคราะห์
๑) ตระหนกั ในคณุ ค่าและคุณธรรม ทีข่ าดความรับผดิ ชอบต่อหน้าทีแ่ ละ กรณีศึกษาประเมนิ ผลการนาเสนอ
จริยธรรม เสียสละ ซอื่ สตั ย์ สจุ รติ การประพฤติท่ีผดิ จรรยาบรรณใน รายงานที่มอบหมาย

วชิ าปรชั ญาการศึกษาและการพัฒนาหลกั สูตร ๔

๖) มจี รรยาบรรณวชิ าชพี ครู ท่ี วิชาชีพ ๔) ประเมินผลจากพฤติกรรมท่ี

กาหนดโดยองค์กรวิชาชพี คือคุรุสภา ๓) อาจารยป์ ฏบิ ตั เิ ป็นตัวอย่าง แสดงออกในช้นั เรียนและในโอกาส

ความรบั ผิดชอบรอง ทางศีลธรรม จรยิ ธรรมและคุณธรรม ทส่ี าขาวชิ าหรือ มหาวิทยาลัยจัด

๒) มวี ินัย ตรงตอ่ เวลา และมีความ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้องกับ

รบั ผดิ ชอบต่อตนเอง วชิ าชพี และสงั คม คุณธรรม จรยิ ธรรม กรสัมมา

๓) มีภาวะผู้นาและผู้ตาม สามารถ คารวะต่อผู้อาวุโสหรอื คณาจารย์

ทางานเป็นทีมและสามารถแก้ไขข้อขดั ๕) การตรวจสอบการมีวินัยตอ่

แยง้ ทเ่ี กดิ ขึ้นอย่างเหมาะสมกับ การเรยี น การตรงต่อเวลาในช้ัน

สถานการณ์ เรยี นและการส่งงานมอบหมาย

๔) เคารพสิทธแิ์ ละรับฟงั ความ ๖) ประเมนิ รบั ฟงั ความคิดเหน็

คิดเห็นของผอู้ น่ื รวมทั้งเคารพในคุณคา่ ของผู้อ่นื โดยนิสิตอ่ืน ๆ ในรายวชิ า

และศักดิ์ศรขี องความเป็นมนุษย์ ๗) การใช้ระบบนิสิตประเมิน

๕) เคารพกฎระเบยี บและข้อบังคับ ตนเอง เพ่ือพฒั นาและร้ตู นเอง

ต่างๆ ขององค์กรและสังคม

๒.๒ ความรู้

๒.๒.๑ ความรทู้ ตี่ ้องได้รับ ๒.๒.๒ กลยุทธ์วธิ ีการสอน ๒.๒.๓ กลยุทธ์วิธกี ารประเมินผล

ความรับผิดชอบหลัก ๑) บรรยาย/อภิปราย/การทางาน ๑) มีการทาแบบฝึกหัด ท้าย

๑) มอี งค์ความรู้ในสาขาวชิ าชีพครู กลุ่มการนาเสนอรายงาน การจดั ทา ช่วั โมง การสอบยอ่ ย สอบระหว่าง

อยา่ งกว้างขวางและเปน็ ระบบสามารถ หลักสตู รในสถานศึกษา โดยการมอบ ภาค และสอบปลายภาค

วิเคราะหป์ ัญหา หมายงานให้ คน้ ควา้ แบบหลักสตู ร ๒) การตรวจผลงานรายบุคคล

ความรับผดิ ชอบรอง ตา่ ง ๆ งานการเรยี นรู้แบบบูรณาการ จากงานที่มอบหมายคุณภาพและ

๒) ตระหนกั รู้หลักการและทฤษฎี เนน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั (ศูนย์กลาง) ผลของช้ินงาน

ในองค์ความรูท้ ่ีเกีย่ วกบั วชิ าชพี ครแู ละ ๒) มีการศกึ ษานอกสถานทท่ี เี่ กย่ี ว ๓) การเข้าชนั้ เรียน สังเกตการ

ความก้าวหน้าของวชิ าชพี ครู กับเรื่องท่เี รยี นการสอนรายวชิ าการ ทางานเป็นกลุ่มและรายบุคคล การ

๓) มีความรู้ความเขา้ ใจในกระบวน พัฒนาหลักสตู ร มสี ว่ นร่วมในงานที่มอบหมาย

การวิจยั และใชเ้ ป็นเครื่องมือในการแสวง ๓) มกี ารให้ศึกษาจากหลกั สตู รท่ี

หาวทิ ยาการใหม่ ๆ ทางด้านการเรยี นการ เปน็ หลักสูตรจรงิ เพ่ือนาไปสู่การใช้

สอน เพื่อแก้ไขปัญหาและการตอ่ ยอดองค์ หลกั สูตรในอนาคต

ความรู้ ๓) มกี ารศกึ ษานอกสถานที่ทเี่ กยี่ ว

๔) ความรแู้ ละเข้าใจในกระบวนการ กับเร่ืองการใชห้ ลักสูตร ในโรงเรยี น

ทางหลักสูตรทัง้ แนวปฏิบัตแิ ละทฤษฏี ตา่ ง ๆ

ของหลกั สตู ร ๔) มีการเขา้ กลมุ่ เพ่ือการศึกษา

ค้นคว้าและแลกเปลย่ี นเรยี นซึ่งกัน

และกนั

๕) การศึกษาโดยใชป้ ัญหา

Problem base learning และ

Student Canter เนน้ ผูเ้ รยี นเปน็

ศนู ย์กลาง

วชิ าปรชั ญาการศึกษาและการพัฒนาหลกั สตู ร ๕

๒.๓ ทกั ษะทางปญั ญา

๒.๓.๑ ทักษะทางปัญญาท่ีตอ้ ง ๒.๓.๒ กลยุทธ์วธิ กี ารสอน ๒.๓.๓ กลยุทธ์วธิ ีการประเมินผล

พฒั นา ๑) การมอบหมายให้นสิ ิตฝึกการทา ๑) มกี ารทาแบบฝกึ หัด ท้ายช่วั โมง

ความรบั ผิดชอบหลกั หลักสูตร ในชั้นเรียนและนอกหอ้ ง การสอบย่อย สอบระหว่างภาค และ

๓) สามารถวเิ คราะห์และใช้วจิ าร เรยี น โดยการให้ออกแบบหลักสตู ร สอบปลายภาค

ญาณในการตัดสินเกีย่ วกบั การจดั การ ๒) การอภิปรายกล่มุ ใหน้ ิสติ เข้า ๒) การตรวจผลงานรายบุคคลจาก

เรียนการสอนและการ พัฒนาผเู้ รยี นและ กลมุ่ โดยแบง่ หัวข้อให้ศึกษาสาระเปน็ งานท่มี อบหมายคุณภาพและผลของ

สรา้ งสรรคอ์ งค์ความร้หู รือนวัตกรรมไปใช้ รายในชั้น เพ่ือได้แสดงความคิด เหน็ ชิ้นงาน

ในการพฒั นาตนเอง การจดั การเรียนการ ในกลมุ่ ๓) การเขา้ ชั้นเรยี น สังเกตการ

สอนและ ผู้เรยี นอยา่ งมีประสิทธิภาพ ๓) การวิเคราะห์กรณีศึกษาใน ทางานเป็นกลุ่มและรายบุคคล การมี

ความรับผิดชอบรอง การใชห้ ลักสูตรและการแก้ไขปัญหา ส่วนรว่ มในงานที่

๑) พฒั นาความสามารถตัวอย่าง การสอน ๔) การตอบคาถามจากปัญหาและ

ให้เปน็ ระบบ มีการวิเคราะห์หาสาเหตุที่ ๔) มีการศกึ ษานอกสถานท่ีทีเ่ ก่ยี ว การแสดงความคิดเห็นวเิ คราะหป์ ัญหา

ผู้เรียนประสบความสาเร็จในการศึกษา กบั วชิ า เช่น หลักสูตรแกนกลาง และการศกึ ษา

และการนาตัวอยา่ งมาเป็นบทวิเคราะห์ ๒๕๕๑ และแผนการจัดการเรียนรู้ที่มี

ใหแ้ ยกประเดน็ ดว้ ยการเขยี น อยู่ทว่ั ไปโดยนามาให้ศึกษาและจัด

๒) ฝึกการสรา้ งสรรคจ์ ดั ให้มีการ เวลาใหไ้ ดไ้ ปศึกษาเพิ่มเติม

แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ด้วยการให้แสดง ๕) เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ

ความคดิ เหน็ โดยการแสดงออกหน้าช้นั บรรยายเสริมความร้แู ละทักษะเพิ่ม

เรยี นและการนาเสนองานทีเ่ ปน็ รูปเล่ม เติมในรายวิชาทเ่ี รยี น

๔) สามารถประยกุ ต์ใช้ความรู้ ๖) ฝกึ การนาเสนอเพื่อการสอน

ทางด้านสงั คมศึกษา จัดกิจกรรมการ

เรียน การสอนสงั คมศึกษา และวชิ าชีพ

ครไู ด้อย่างเหมาะสม

๒.๔ ทักษะความสัมพันธ์ระหวา่ งบคุ คลและความรบั ผิดชอบ

๒.๔.๑ ทกั ษะความสัมพันธ์ ๒.๔.๒ กลยุทธ์วธิ ีการสอน ๒.๔.๓ กลยุทธ์วธิ กี ารประเมินผล

ระหว่างบคุ คลและความรับผิดชอบที่ ๑) จัดกิจกรรมกลมุ่ ในการวิเคราะห์ ๑) มีการทาแบบฝึกหดั ท้ายช่ัวโมง

ต้องพัฒนา ปัญหาการเรียน ด้วยการใหเ้ สนอกลมุ่ การสอบย่อย สอบระหว่างภาค และ

ความรับผิดชอบหลัก ด้วยตวั นสิ ิตเอง สอบปลายภาค

๑) พัฒนาทกั ษะในการสร้าง ๒) มอบหมายงานเป็นรายกลมุ่ ๒) การตรวจผลงานรายบคุ คลจาก

สมั พนั ธภาพระหว่างผเู้ รียนกับผู้มีสว่ น ศึกษาค้นควา้ ในรปู แบบ Project งานทม่ี อบหมายคุณภาพและผลของ

เกี่ยวขอ้ งอย่างเป็นกัลยาณมติ ร work ชิ้นงาน

ความรับผิดชอบรอง ๓) การนาเสนองานดว้ ยการพดู ๓) การเข้าช้ันเรยี น สงั เกตการ

๒) มคี วามเป็นผนู้ าและผตู้ ิดตาม อธิบายและอภิปราย พร้อมท้ังรปู เลม่ ทางานเป็นกลุ่มและรายบุคคล การมี

ในการทางานเปน็ ทมี รวมทัง้ มีสว่ นชว่ ย รายงานวชิ าชพี ครู สว่ นรว่ มในงานท่ี

และเอื้อต่อการแกป้ ัญหาในกลมุ่ ได้อย่าง ๔) การตอบคาถามจากปัญหาและ

สรา้ งสรรค์ การแสดงความคิดเห็นวเิ คราะหป์ ัญหา

๓) มีความคดิ รเิ รมิ่ สร้างสรรคใ์ น และการศึกษา

วิชาปรัชญาการศกึ ษาและการพัฒนาหลักสูตร ๖

การวเิ คราะหป์ ัญหาได้อย่างเหมาะสม

บนพน้ื ฐานของตนเองและของกลมุ่

๔) รับผิดชอบในการเรียนอยา่ ง

ต่อเน่อื ง รวมท้ังพฒั นาตนเองและ

๒.๕ ทกั ษะการวิเคราะห์เชงิ ตวั เลข การสื่อสาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ

๒.๕.๑ ทักษะการวิเคราะห์เชงิ ๒.๕.๒ กลยุทธ์วธิ กี ารสอน ๒.๕.๓ กลยุทธ์วธิ ีการประเมินผล

ตวั เลขการสอ่ื สาร และการใชเ้ ทคโนโลยี ๑) การสอนทฤษฎี ๑) การจดั ทารายงาน และนา

สารสนเทศทต่ี อ้ งพัฒนา - ด้วยวิธบี รรยาย เน้ือหาสาระ เสนอดว้ ยสื่อเทคโนโลยี

ความรบั ผิดชอบหลัก ประกอบสื่อการสอน PowerPoint ๒) การมีสว่ นรว่ มในการอภิปราย

๓) มที ักษะในการนาเสนอขอ้ มูล - การสมั มนากลุ่มย่อย โดยการ และวิธกี ารอภิปราย

โดยใช้รูปแบบ เครื่องมือ และเทคโนโลยี ให้หนั หนา้ เข้าหากันปรึกษาและลง

ท่เี หมาะสม ความเห็นในตอบ

ความรบั ผิดชอบรอง - การเสนอรายงานรปู เล่ม ทงั้

๑) มีทักษะในการส่ือสารทั้งการ รายกล่มุ และรายบุคคล

พูด การฟัง การอ่าน การแปล และการ - การเชญิ วทิ ยากรผทู้ รงคณุ วุฒิ

เขยี น โดยการทารายงานและนาเสนอใน บรรยายเสริม

ชนั้ เรยี น ๒) การสอนภาคปฏบิ ตั ิ

๒) มีทักษะในการสืบค้นข้อมูล - ให้นิสิตไดล้ งมือเขียนหรือ

โดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ สรา้ งหลักสตู รดว้ ยตนเองโดนเสนอ

๔) สามารถเลือกใชข้ ้อมลู งานเปน็ รูปเล่ม

เทคโนโลยสี ารสนเทศ ในสาระสังคม - การศึกษาเอกสาร

ศกึ ษาอย่างเหมาะสม ประกอบการเรยี นต่าง ๆ

- นิสติ ได้สมั พนั ธ์กับแนว

ค้นคว้า การลงมือจริงของการ

แสวงหาความรู้

- มอบหมายงานให้ศึกษา

ค้นคว้าด้วยตนเอง จาก website สือ่

การสอน e-learning และทารายงาน

โดยเน้นการนาตัวเลข หรือมสี ถิติ

อ้างองิ จากแหล่งท่มี าข้อมลู ท่ี

น่าเชื่อถือ

- นาเสนอโดยใช้รูปแบบและ

เทคโนโลยที ีเ่ หมาะสม

- การศึกษาเอกสารหลักสตู ร

สถานของโรงเรียนตา่ ง ๆ

- นสิ ิตได้สมั พันธก์ ับหลักสูตร

จริงของโรงเรียนและแนวทางการใช้

หลักสูตร

วชิ าปรชั ญาการศึกษาและการพฒั นาหลักสูตร ๗

๒.๖. ทักษะวธิ ีวิทยาการการจดั การเรียนรู้

๒.๖.๑ ทักษะวธิ ีวิทยาการการ ๒.๖.๒ กลยุทธ์วิธกี ารสอน ๒.๖.๓ กลยุทธ์วิธกี ารประเมินผล

จัดการเรยี นรู้ ๑) ใช้วธิ กี ารบรรยายเชิงวิชาการ ๑) ตรวจผลงานจากการศึกษา

ในทักษะการจัดการเรยี นรู้ น้ี เป็น กบั นสิ ติ โดยใชส้ อื่ การสอนท่มี ี ค้นคว้าทั้งที่เป็นงานรายกลุ่มและงาน

ทกั ษะทางด้านความสามารถการเรียนรู้ คอมพวิ เตอร์คอื โปรแกรม PowerPointรายบคุ คล ท่นี าส่งภายในช้วั โมง

ของผเู้ รียนเก่ียวกับความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ๒) ใหน้ ิสิตแบ่งกลมุ่ ๆ ละ ๕ คน ๒) สังเกตการทางานทั้งที่เปน็

หลักสูตร การจดั ทาหลักสูตรสถานศกึ ษา ศึกษาเอกสารวชิ าการที่นามาให้ตาม รายบคุ คลและงานกลมุ่ ความเขา้ ใจ ใน

และการใชห้ ลกั สตู ร ทั้งหมดนี้หมายถึง เนอื้ หา แลว้ ชว่ ยกนั ตอบคาถามลงใน การจดั การเรยี นรู้

หลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน เอกสารคาตอบทแี่ จกให้ ๓) ตรวจแบบฝกึ หัด ทสี่ ่งท้าย

ความรบั ผดิ ชอบหลัก ๓) นสิ ติ คน้ ควา้ ขอ้ มูลทางหลกั สูตร ช่ัวโมง

๓) เข้าใจถงึ ความแตกต่างระหวา่ ง ในหัวขอ้ ท่ีกาหนดให้ ทางเว็ปไซต์จาก

บุคคลของผ้เู รียน มอื ถือ และบันทกึ ในกระดาษ โดย

๔) ตระหนกั ถงึ ความสาคญั ของ กาหนดหวั เรอื่ งให้

หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎีทเี่ ก่ียวข้องกับ ๔) นสิ ติ เขียนองคป์ ระกอบของ

การศึกษา การ จดั การเรียนรู้ การวดั ผล หลกั สูตรที่เขา้ ใจมา จากท่ีได้เรยี นมา

ประเมนิ ผล การวิจัยในช้ันเรียน การ สว่ นใดทส่ี ามารถเขียนได้

บริหารจดั การช้นั เรียนการบนั ทกึ และ

การรายงาน ผลการเรยี นรู้

ความรบั ผิดชอบรอง

๑) มีความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับ

หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎีที่เกยี่ วข้องกับ

การศึกษา การจัดการเรยี นรู้ การวดั ผล

ประเมินผล การวจิ ัยในช้นั เรยี นการ

บริหารจัดการช้นั เรียน การบันทกึ และ

การรายงาน ผลการเรยี นรู้

๒) สามารถบูรณาการหลักการ

แนวคดิ ทฤษฎที ี่เกยี่ วข้องเพอ่ื พฒั นา

หลกั สูตร การวางแผน การเรียนรู้ การ

บริหารจดั การชั้นเรียน การวดั ผล

ประเมินผล การวิจยั ในชัน้ เรยี น เพ่ือ

พัฒนาผเู้ รยี นให้มคี วามรู้ ความสามารถ

อยา่ งเตม็ ศักยภาพ และมคี ุณลักษณะอนั

พงึ ประสงค์ตามท่ีสังคมต้องการ

วชิ าปรัชญาการศกึ ษาและการพัฒนาหลักสูตร ๘

หมวดท่ี ๕ แผนการสอนและการประเมินผล

๑. แผนการจัดการเรยี นรู้

สปั ดาห์ หัวข้อ/รายละเอียด ชว่ั โมง ช่วั โมง กิจกรรมการเรยี นการสอน/ ผสู้ อน/บรรยาย
ที่
บรรยายปฏิบตั ิ สอ่ื ที่ใช้ (ถ้ามี)

-คาชี้แจง -แนะนาการเรยี น

- แนะนาตวั ผสู้ อนและนสิ ิตแนะนา -ซักถามขอ้ สงสัยและแนว

๑ - ชีแ้ จงแนวการเรยี นการสอน ทางการเรียน ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
- แจ้งจุดประสงค์รายวิชาและการเรยี น -บรรยาย/สื่อ PowerPoint ผศ.ดร.ประยูร แสงใส
- แนะนาแหลง่ คน้ ควา้ และเอกสารวิชาการ ๓ ๑ -ทดสอบก่อนเรยี น

บทที่ ๑ ปรชั ญา แนวคดิ ทฤษฎหี ลักสตู ร -ใหศ้ กึ ษารายละเอียดวิชา

- ปรชั ญาการศกึ ษากับการพฒั นาหลักสตู ร - ใช้การสอนออนไลน์

- ความหมายของปรชั ญาการศึกษา -บรรยาย/สอ่ื PowerPoint
๒ - แนวคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกับหลักสูตร -ใบกจิ กรรมและใบงาน ผศ.ดร.ประยูร แสงใส

- ประเภทของปรัชญาการศึกษา ๒ ๒ -นิสติ ตอบแบบฝึกหัด

- พุทธปรัชญาการศึกษา -คน้ คว้าเอกสารวชิ า

- จติ วิทยาเก่ียวกับหลกั สตู ร - ใชก้ ารสอนออนไลน์

บทที่ ๒ ความรเู้ กย่ี วกับหลักสูตร -บรรยายประกอบส่อื การ

- หลักการและความหมายของหลักสูตร สอน PowerPoint
๓ - ความมงุ่ หมายของหลักสูตร ๒ ๒ -เข้ากล่มุ ค้นคว้าเอกสาร ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช

- องคป์ ระกอบของหลักสูตร -ศึกษาเอกสารรายวชิ า

-ตอบแบบฝกึ หดั

- ความสาคัญและประโยชน์ของหลกั สูตร -บรรยายประกอบPowerPoint
๒ ๒ -ศึกษาค้นจากเวปไซต์ ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช
๔ - คุณสมบตั ิของหลักสูตร

- ลักษณะหลักสตู รที่ดี -นิสิตค้นคว้าเอกสาร

- ววิ ฒั นาการของหลกั สูตร -ตอบคาถาม

บทที่ ๓ ปจั จยั พนื้ ฐานทางหลักสตู ร -บรรยายประกอบสอื่

- ความเป็นมาและระบบไทยการศึกษา -ศกึ ษาเอกสารรายวิชาด้วย ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช
๕ - พื้นฐานทางสังคมและวัฒนาธรรม
อา่ นแล้วหาคาตอบ

- พ้ืนฐานทางเศรษฐกจิ ๒ ๒ -นาปญั หามาอภิปราย

- พื้นฐานทางการเมืองการปกครอง -ศกึ ษาจากปญั หา Problem

- พื้นฐานทางดา้ นสภาพสงั คมในอนาคต base learning ในปัจจุบนั

- พื้นฐานเกยี่ วกบั ธรรมชาติของการเรยี นรู้ ดว้ ยมอื ถือแตล่ ะคน

บทท่ี ๔ วิสยั ทศั นแ์ ละแผนพัฒนาการศึกษาไทย -บรรยายประกอบสือ่ ผศ.ดร.ประยรู แสงใส
- การบรหิ ารจัดการหลกั สตู รปจั จบุ ัน PowerPoint

๖ - หลักสูตรการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน ๒ ๒ -ศกึ ษาคน้ คว้าจากเอกสาร

- แนวโน้มการบริหารจัดหลกั สตู ร -ช่วยกันตอบคาถาม

- การพัฒนาหลักสตู รไทยในอนาคต -ใบกิจกรรม My mapping

วิชาปรัชญาการศึกษาและการพฒั นาหลกั สตู ร ๙

สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด ช่ัวโมง ชัว่ โมง กิจกรรมการเรียนการสอน/ ผู้สอน/บรรยาย
ที่ บรรยายปฏิบตั ิ ส่อื ทีใ่ ช้ (ถ้าม)ี
๗ - ปัญหาอุปสรรคในการจดั หลกั สูตรไทย
๘ บทท่ี ๕ หลกั การพัฒนาหลักสูตร ๒๒ -แบบฝึกหัด
๙ ๒๒
- ความหมายของการพัฒนาหลกั สตู ร ๒๒ -บรรยาย/PowerPoint
๑๐ - ทฤษฎีการพฒั นาหลักสูตร
- กระบวนการพัฒนาหลักสูตร ๒๒ -ศึกษาเอกสารรายวชิ า
๑๑ - การพัฒนาหลักสูตรในระดบั ต่าง ๆ -ยกตวั อยา่ งระบบสนเทศ ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
- หลกั ของการพฒั นาหลักสูตร ๒๒
๑๒ - ผลท่ไี ด้จากการพัฒนาหลักสูตร -ศกึ ษาจากเวปไซต์ของสกอ.
- ข้อคิดในการพัฒนาหลกั สูตร ๒๒
- รปู แบบของการพฒั นาหลักสูตร -บรรยาย/PowerPoint
บทท่ี ๖ ประเภทของหลกั สูตร -ศกึ ษาเอกสารรายวชิ า ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช
- รปู แบบหลกั สูตร(Curriculum Design)
- แนวคิดในการจัดรูปแบบหลักสตู ร -อภิปรายหาคาตอบร่วมกนั
- หลกั สูตรสัมพนั ธ์วิชา
- หลักสูตรหมวดรายวชิ า -ตวั อย่างระบบสนเทศ
- หลักสูตรแบบแกนกลาง
- หลักสูตรเพื่อชวี ติ และสงั คม -บรรยายประกอบสื่อ
- หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์
- หลกั สูตรเอกตั ภาพ PowerPoint ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
- หลักสูตรแบบเกณฑค์ วามหมาย -ศกึ ษาเอกสารรายวชิ า
- หลักสูตรแบบผสมผสาน
- หลักสูตรการบูรณาการ -ใหค้ ้นหาขอ้ มลู จากมือถอื
บทที่ ๗ มาตรฐานการเรียนรู้และมาตรฐาน
ประเภทของหลักสูตร
ระดบั ช้นั หลักสูตร
- ความหมายของมาตรฐานการจัดระดบั ช้ัน -ใบกิจกรรม My Mapping
- การกาหนดมาตรฐานและระดับชนั้
- มาตรฐานและมาตรฐานระดบั ช้ันปัจจุบัน -บรรยายแนะนาการเรียน
- ปัญหาและแนวโนม้ ในการพัฒนาหลกั สตู ร
- สาระการเรียนรู้หลกั สูตร -แบ่งกลุ่ม (ด้วยการนบั )
- การจดั เวลาเรยี นตามระดับช้นั -แจกแบบคาถาม แตล่ ะกลุ่ม ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
บทท่ี ๘ การพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษา
- ความหมายพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษา -ชว่ ยกนั หาคาตอบ ประเภท
- หลกั การ จุดหมายและโครงสรา้ ง
- กระบวนการจัดทาหลกั สูตรสถานศกึ ษา ของหลกั สูตรเพ่ือการ
- หลักสตู รเดมิ กับหลกั สูตรปัจจุบัน
- การบริหารจัดการหลักสตู รสถานศกึ ษา ตัดสนิ ใจ

-บรรยาย ประกอบสื่อ

PowerPoint

-ศกึ ษาหลกั สตู รแกนกลาง อ.อนุสรณ์ นามทะราช
-ตอบคาถามข้อที่ตอ้ งศึกษา

-การวิเคราะห์ระบบจาก

สถานการณจ์ ริง

-บรรยาย/ประกอบส่ือ
-ศกึ ษากรณีศึกษา
-อภิปรายหาคาตอบร่วมกัน ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช
-การวิเคราะห์ระบบจาก
สถานการณจ์ รงิ
-PowerPoint

วชิ าปรชั ญาการศึกษาและการพัฒนาหลกั สูตร ๑๐

สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอียด ช่วั โมง ชว่ั โมง กจิ กรรมการเรียนการสอน/ ผูส้ อน/บรรยาย
ท่ี
บรรยายปฏิบตั ิ สอื่ ท่ีใช้ (ถา้ ม)ี

บทที่ ๙ การนาหลักสตู รไปใช้ -บรรยายประกอบสอ่ื การ

- ความหมายการนาหลักสตู รไปใช้ สอน PowerPoint ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช
๑๓ - แนวคดิ เก่ียวกับการนาหลกั สตู รไปใช้ -ศึกษาเอกสารรายวิชา

- หลกั สาคญั ในการนาหลักสูตรไปใช้ ๒ ๒ -กาหนดใหต้ ้งั ประเดน็ การใช้

- งานทเี่ กย่ี วกบั การใช้หลักสูตร -ให้เขยี นปญั หาในปจั จบุ ัน

- ผเู้ ก่ยี วข้องกับการใชห้ ลักสตู ร -ตอบแบบฝกึ หดั

บทท่ี ๑๐ การประเมนิ และเปล่ยี นแปลง -บรรยาย ประกอบ

หลกั สูตร PowerPoint
๑๔ - ความหมายของการประเมินหลักสตู ร ๒ ๒ -ศกึ ษาขอ้ มลู ประเมนิ จาก ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช

- จดุ มงุ่ หมายของประเมินหลักสูตร วจิ ยั

- ระยะเวลาและขอบเขตการประเมิน -ใหศ้ ึกษาหาข้อสงสัย

- หลักเกณฑ์และข้ันตอนในการประเมนิ -ศกึ ษาเอกสารและตอบ

- รูปแบบการประเมินหลกั สูตร -บรรยายประกอบ

- สาเหตกุ ารเปลีย่ นแปลงหลักสตู ร PowerPoint
- วธิ กี ารกระบวนการเปล่ียนแปลงหลักสูตร ๒ ๒ - อภิปรายรว่ มกันและซักถาม ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช

๑๕ - ปญั หาและแนวโน้มการเปล่ยี นแปลง -แสดงความคิดเหน็

- การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง -ตรวจสอบการสง่ แบบฝึก

-สรปุ เนือ้ หารว่ มกัน

๑. สรปุ ผลกจิ กรรมการเรยี น/เน้ือหา ๓ ๑ -อภิปรายรว่ มกันและซักถาม ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช

๑๖ ๒. แนะแนวขอ้ สอบและการเตรียมตัวสอบ -แสดงความคดิ เห็น

-ตรวจสอบการส่งแบบฝึก

-สรุปเนอื้ หารว่ มกนั

๒. แผนการประเมินผลการเรยี นรู้

กจิ กรรม ผลการเรียนรู้ กจิ กรรมการประเมิน กาหนดการ สดั ส่วนการ
ประเมนิ ประเมนิ
๑ ความร้แู ละทักษะการวิเคราะห์หลักสูตรและ -นาเสนอรายงานรปู เลม่
๘/๑๕ ๒๐

การใชห้ ลักสตู ร พร้อมการจัดสาระรายวิชา

๒ ความรู้ ความเข้าใจ การทดสอบ/แบบฝึกหดั ๙ ๒๐
๑๑-๑๔ ๒๐
๓ ความรกู้ ารจดั สาระและการเขียนแผนการ -การสอบภาคทฤษฎีและ

จดั การเรยี นร/ู้ การใช้ส่ือประกอบการสอน ภาคปฏิบตั ิ

๔ ความรบั ผดิ ชอบต่อการเรียน การเขา้ ชั้นเรยี น/แบบฝึกหดั ทุกช่วั โมง ๑๐
๑๐
๕ ทักษะความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลและ การสงั เกต/การทางานกลุ่ม ทกุ สปั ดาห์ที่
มีการเรยี น ๒๐
ความรบั ผดิ ชอบ
๑๕
๖ วทิ ยาการการจดั การเรยี นรู้ แบบฝึกหดั /ข้อสอบ

วชิ าปรัชญาการศกึ ษาและการพฒั นาหลักสูตร ๑๑

หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน

๑. เอกสารและตาราหลัก
บญุ ชม ศรสี ะอาด. การพฒั นาหลกั สูตรและการวจิ ัยเกยี่ วกบั หลกั สตู ร. กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยาสาส์น , ๒๕๔๖.
อนสุ รณ์ นางทะราช,ผ.ศ.. การพฒั นาหลกั สูตร. ขอนแก่น. มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น; ๒๕๖๒.

๒. เอกสารและข้อมลู สาคัญ
กาญจนา คุณารักษ์ .หลักสตู รและการพัฒนา .นครปฐม: คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปกร
พระราชวงั สนามจันทร์ นครปฐม. ๒๕๔๐.
ใจทิพย์ เชือ้ รตั นพงษ์ .การพัฒนาหลักสตู ร : หลักการและแนวปฏิบตั ิ .กรุงเทพฯ: อลนี เพรส ,๒๕๓๙ .
ทิศนา แขมมณี .การประเมินหลักสูตร : เอกสารประกอบการสัมมนา เรอื่ ง แนว-ทางการประเมนิ และ
พฒั นาหลักสูตรระดับอุดมศึกษา .กรุงเทพฯ: กองวชิ าการ ทบวงมหาวิทยาลยั ,๒๕๒๖ .
ธีรชยั เนตรถนอมศกั ดิ์และคณะ .การพัฒนาหลกั สตู ร .ขอนแกน่ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น,
๒๕๕๐
ธารง บัวศรี. ทฤษฎีหลกั สตู ร การออกแบบและพฒั นา. กรงุ เทพฯ: พัฒนาศึกษา ,๒๕๔๒ .
นริ มล ศตวุฒแิ ละคณะ. หลักสตู รและวธิ ีสอนท่ัวไป. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคาแหง, ๒๕๔๒.
บรรพต สวุ รรณประเสริฐ .การพฒั นาหลักสูตร โดยเน้นผ้เู รียนเปน็ สาคญั . กรงุ เทพฯ : The Knowledge
Center, ๒๕๔๔.
ปทีป เมธาคณุ วุฒิ .หลกั สูตรอดุ มศึกษา : การประเมินและพฒั นา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ,๒๕๓๒.
พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ .2542 .กรุงเทพฯ: สกายบุก๊ ส .๒๕๔๒.
ไพฑูรย์ สินลารตั น์ .หลักและวิธีการสอนระดบั อดุ มศึกษา. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ ., ๒๕๔๒.
ภญิ โญ สาธร .หลกั บริหารการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: วฒั นาพาณิช ,๒๕๑๖ .
รบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา ,สานักงาน .กรอบแนวทางการประเมินคณุ ภาพภายนอก
ระดบั อุดมศกึ ษา .กรงุ เทพฯ: สานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศกึ ษา ,๒๕๔๖ .
รุจีร์ ภู่สาระ .การพฒั นาหลกั สตู ร:ตามแนวปฏริ ูปการศึกษา. กรุงเทพฯ : บุค๊ พอยท์ ,๒๕๔๕.
วิจยั พุทธศาสตร์ ,สถาบัน .การศกึ ษาตดิ ตามผลผู้สาเรจ็ การศกึ ษาพทุ ธศาสตรบัณฑิต ปี พ.ศ. ๒๕๒๖:
สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๓ .
วชิ ยั วงษ์ใหญ่ .พัฒนาหลักสตู รและการสอน-มิตใิ หม่ .พมิ พ์คร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: ธเนศวรพมิ พ์, ๒๕๒๕.
------------------. กระบวนการพฒั นาหลกั สูตรและการเรยี นการสอน-ภาคปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาสน์ พิมพ์,
๒๕๓๗.
วิชัย ดสิ สระ .การพฒั นาหลกั สตู รและการสอน .กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรนี ทรวิโรฒ ประสานมติ ร, ๒๕๓๕ .
สงดั อุทรานนั ท์ .พื้นฐานและหลกั การพัฒนาหลักสตู ร .พิมพ์คร้ังท่ี ๓. กรุงเทพฯ: ภาควิชาบริหารการศกึ ษา
คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,๒๕๓๒ .
สมหวัง พิธิยานวุ ฒั น์ .วิธวี ทิ ยาการประเมินทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๔๑.
สันต์ ธรรมบารงุ .หลกั สูตรและการบริหารหลักสูตร .กรงุ เทพฯ: ภาคพัฒนาตาราและเอกสารวิชาการ
กรมการฝึกหดั ครู กระทรวงศึกษาธกิ าร , ๒๕๓๗ .

วิชาปรชั ญาการศกึ ษาและการพฒั นาหลกั สตู ร ๑๒

สโุ ขทยั ธรรมาธิราช .มหาวทิ ยาลัย .แนวการศึกษาชดุ วชิ าการพฒั นาหลกั สตู รและวิทยวธิ ีทางการสอน
หน่วยที่ ๑-๗. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช ,๒๕๓๙.

สนุ ยี ์ ภู่พนั ธ์ .แนวคิดพนื้ ฐานการสร้างและพัฒนาหลักสูตร.เชยี งใหม่ : The Knowledge Center, ๒๕๔๖.
สุวทิ ย์ มลู คาและอรทัย มูลคา .เทคนิคแห่งความสาเรจ็ เรียนรู้สคู่ รูมอื อาชพี .กรุงเทพฯ : ดวงกมลสมัย, ๒๕๔๔.
สานกั คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ .แผนการพฒั นาการศกึ ษาแห่งชาติ ฉบบั ที่ ๘ พ.ศ .๒๕๔๐-๒๕๔๔.

กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์พฒั นาหลักสตู ร จากดั .[ม.ป.ป.].
สาลี รักสุทธี และคณะ .แนวทางการศึกษาจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษา. กรงุ เทพฯ: พ.ศ.พฒั นา, ๒๕๔๕.
อัญชลี สารรตั นะ .การประเมนิ หลักสตู ร. ขอนแกน่ : สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน คณะศึกษาศาสตร์

มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ,๒๕๔๗. (เอกสารอดั สาเนา).
๓. เอกสารและข้อมลู สาคัญ(ภาษาอังกฤษ)

Trmp J. and Delmas F. Miller. Secondary Curriculum Improvement : Proposals and
Procedures. Boston: Allyn and Bacon, 1968.

Taba, Hilda. Curriculum Development : Theory and Practice. New York: Harcourt Brace and
World, 1962.

Saylor. J.G. and AlexanderW.M. Planning Curriculum for Curriculum Development.
California:MeCutchan Publishing Corporation, Berkley,1957.

Good Carter V. Dictionary of Education. New York: McGraw Hill, 1973.
Trmp J. and Delmas F. Miller. Secondary Curriculum Improvement : Proposals and

Procedures.Boston: Allyn and Bacon, ๑๙๖๘.
Taba, Hilda. Curriculum Development : Theory and Practice. New York: Harcourt Brace and

World, ๑๙๖๒.
๔. เอกสารและขอ้ มูลแนะนา

เว็บไซด์ ท่เี กยี่ วกบั หวั ข้อในรายละเอียดรายวชิ า เช่น wikipedia คาอธบิ ายศพั ท์ และ Ebook จาก www.ru.com
และเวป็ มหาวิทยาลยั ไซเบอร์ ของสก.อ.

หมวดที่ ๗ การประเมนิ และปรบั ปรงุ การดาเนินการของรายวชิ า

๑. กลยุทธ์การประเมินประสทิ ธิผลของรายวิชาโดยนสิ ติ
๑.๑ ประเมนิ ผลการสอนโดยใชร้ ะบบออนไลน์
๑.๒ สอบถามความคิดเห็นนิสติ ในสปั ดาห์สุดท้ายของภาคเรยี น โดยมีแบบสอบถาม
๑.๓ ใหน้ ิสติ แสดงความคิดเหน็ ในการสอนในสัปดาห์สดุ ทา้ ย ดว้ ยการเขียนบทความสง่
๑.๔ นสิ ิตสามารถลงแสดงความคิดเหน็ ในคอมพิวเตอรไ์ ด้ คอื อเี มล ของอาจารย์

๒. กลยุทธก์ ารประเมินการสอน
ในการเก็บข้อมูลเพ่อื ประเมนิ การสอน ไดม้ ีกลยทุ ธ์ ดงั น้ี
- การสงั เกตการณก์ ารสอนของกจิ กรรมการสอนและการต้ังใจเรียนของผู้เรยี น
- การจดั การวดั ผลการสอนดว้ ยแบบประเมนิ ผลทน่ี ิสติ เปน็ ผ้ใู ห้ขอ้ มลู
- การทวนสอบผลประเมนิ การเรียนรู้
- จัดประชุมระดมความคดิ เห็นจากคณาจารย์ผู้สอนระดับวิทยาลัยสงฆ์ ในปลายภาคเรยี น
- จดั ประชุมยอ่ ยปรึกษาและเสนอแนะคณาจารย์ในระดับสาขาวชิ าในภาคการเรยี น
- ได้มกี ารทาวจิ ัย เกีย่ วกบั การใช้ PowerPoint

วชิ าปรชั ญาการศึกษาและการพฒั นาหลกั สูตร ๑๓

๓. การปรบั ปรงุ การสอน
หลังจากผลการประเมินการสอนในข้อ ๒ จึงมีการปรบั ปรงุ การสอน โดยการจดั กิจกรรมในการระดมสมอง และ

หาขอ้ มูลเพม่ิ เติมในการปรบั ปรุงการสอน ดังนี้
๓.๒ สมั มนาการจัดการเรยี นการสอน
๓.๑ การวจิ ัยในและนอกชั้นเรียน
๓.๓ นาผลการประเมินทกุ อย่างมาใช้ในการสะทอ้ นการสอนเพอ่ื การปรับปรุงการเรียนการสอนของรายวิชา
๓.๔ ศึกษาคน้ คว้าเพมิ่ เตมิ ความรู้ใหม่ ๆ เก่ยี วกับการจดั การศึกษาระดบั อุดมศึกษามาใชใ้ นการสอน
๓.๕ กล่มุ สายอาจารย์ไดม้ ีการจดั อบรมสมั มนา/อภิปราย/เสวนา เกี่ยวกับการพัฒนาการเรยี นการ

สอนทกุ ปีการศึกษา เพอื่ มาประกอบการพัฒนารายวชิ าให้มสี าระและการสอนให้เหมะสมและนา่ สนใจตลอดเวลา
๓.๖ ได้มีการปรับปรงุ วิธกี ารเรียนการสอน ด้วยการเตรยี มการเรียนทางไกลผา่ นระบบออนไลน์ ด้วยโปรแกรม

สาเร็จรูปทมี่ ีในระบบ Google ตา่ ง ๆ เชน่ Google Meed เปน็ ต้น ดว้ ยปัญหาจากเกิดโรคระบาดด้วย
๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธข์ิ องนิสติ ในรายวชิ า

ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสมั ฤทธใิ์ นรายหวั ข้อ ตามท่คี าดหวังจากการเรยี นรู้ใน
วิชา ไดจ้ าก การสอบถามนิสิต หรอื การสมุ่ ตรวจผลงานของนิสติ รวมถงึ พจิ ารณาจากผลการทดสอบย่อย และหลังการ
ออกผลการเรียนรายวิชา มกี ารทบทวนสอบผลสัมฤทธโ์ิ ดยรวมในวิชาได้ดังนี้

- การทวนสอบการให้คะแนนจากการสมุ่ ตรวจผลงานของนิสิตโดยอาจารยอ์ น่ื หรอื ผูท้ รงคณุ วุฒิ ที่ไม่ใช่
อาจารยป์ ระจาหลักสูตร

- มกี ารตัง้ คณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมินการเรยี นรขู้ องนิสิตโดยตรวจสอบขอ้ สอบ
รายงาน วธิ ีการให้คะแนนสอบ และการให้คะแนนพฤติกรรม

- ใหน้ ิสติ ไดม้ โี อกาสตรวจสอบการใหค้ ะแนนทกุ อยา่ งและการให้เกรดของรายวชิ าตรวจสอบความ
ถูกต้องก่อนการนาสง่ ฝา่ ยทะเบยี นของมหาวิทยาลัย
๕. การดาเนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรงุ ประสิทธิผลของรายวิชา

จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธิ์ประสิทธิผลรายวชิ า ได้มีการวางแผนการปรับปรงุ การสอน และ
รายละเอยี ดวชิ า เพ่อื ให้เกดิ คุณภาพมากขึน้ ดงั น้ี

- ปรบั ปรุงรายวิชาทกุ ๓ ปี หรือตามขอ้ เสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธ์ิตามขอ้ ๔
- เปล่ียนหรือสลับอาจารย์ผู้สอน เพื่อให้นิสิตมีมุมมองในเร่ืองการประยุกต์ความรู้นี้กับปัญหาที่มา จาก
งานวิจยั ของอาจารย์หรอื กระบวนการใชห้ ลักสูตร ตา่ ง ๆ
- นาผลทีไ่ ด้จากการสอบความความคดิ เห็นของนสิ ิต เกย่ี วกับคะแนน มาประชมุ สมั มนา และสรปุ ผลเพื่อ
พฒั นารายวิชากอ่ นการสอนในภาคการศึกษาหน้าต่อไป

ลงชื่อ…………………………..……………………….………….ผ้รู บั ผดิ ชอบรายวชิ า/บรรยาย
(ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ นสุ รณ์ นามทะราช)
วนั ที่ ๑๔ /…พฤษภาคม. /…๒๕๖๓.

ลงช่ือ……………………………….…………………………….ประธานหลกั สตู ร/พิจารณา
(ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช)

วนั ที่…๑๕. /…พฤษภาคม. /……๒๕๖๓….
****************



บทที่ ๑

ปรชั ญาการศึกษากับการพฒั นาหลกั สตู ร

สาระสาคญั
การพัฒนาหลักสตู รน้ันจาเปน็ ต้องอาศัยพ้ืนฐานในการพัฒนาทสี่ าคญั ซึ่งประกอบด้วยพน้ื ฐาน

อยา่ งนอ้ ย ๓ ดา้ น คือ พน้ื ฐานด้านปรชั ญา พืน้ ฐานดา้ นจติ วิทยา และพน้ื ฐานด้านสงั คม รวมไปถึง
พน้ื ฐานดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และดา้ นอน่ื ๆ ซง่ึ มคี วามสาคญั ดงั ตอ่ ไปนี้ ปรชั ญาการศึกษา
เป็น แนวความคิด หลักการ และเกณฑ์ ในการกาหนดแนวทางในการจดั การศึกษา ซึ่งนกั การศึกษา
ซึง่ นกั การศึกษาได้ยดึ ตดิ เปน็ หลกั ในการดาเนนิ ชีวิตทางการศึกษาเพ่ือบรรลเุ ปา้ หมาย และปรชั ญา
การศกึ ษายังพยายามทาการวิเคราะห์และทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การศึกษาทาใหเ้ ราสารถทาใหเ้ ห็น
ถึงปญั หาของการศึกษาไดอ้ ย่าชัดเจน ปรัชญาการศึกษาเปรยี บเหมอื นเข็มทิศนาทางให้นักการศึกษา
ทาใหก้ ารศกึ ษาดาเนินการทางการศกึ ษาอย่างเป็นระบบ ชัดเจนและสมเหตสุ มผล ปรชั ญาช่วยให้เกดิ
ความชัดเจนทางการศึกษาและทาให้นกั ศกึ ษาสามารถ ดาเนินการศึกษาไดอ้ ยา่ งถกู ต้องรัดกุม เพราะ
ไดผ้ ่านการพจิ ารณา วิเคราะห์ วิพากย์ อยา่ งละเอียดทุกแง่มุม และทาให้เกดิ ความชัดเจน ขจัดความ
ไมส่ อดคล้องและหาทางพัฒนาแนวคิดใหมใ่ ห้กบั การศกึ ษา ความเช่ือและแนวคิดของกลุ่มบุคคลและ
สังคมหนงึ่ ๆ ในสงั คม

ขอบเขตเนอื้ หา
๑. ปรชั ญาการศึกษากับการพฒั นาหลกั สูตร
๒. ความหมายของปรัชญาการศึกษา
๓. แนวคดิ ทฤษฏีเก่ียวกับหลักสตู ร
๔. ประเภทของปรัชญาการศกึ ษา
๕. จติ วิทยาเกีย่ วกับหลกั สตู ร

วัตถุประสงค์
๑. เพ่อื ศึกษาปรัชญาการศึกษากับการพฒั นาหลกั สตู ร
๒. เพือ่ ให้เกดิ ความตระหนกั ถึงความสาคัญของการพัฒนาหลกั สูตร
๓. เพือ่ ใหม้ ีความเขา้ ใจถงึ การพัฒนาหลักสตู รและการใชห้ ลกั สตู ร
๔. เพ่ือใหร้ ูแ้ ละเข้าใจถงึ ต่างๆทางดา้ นหลักสตู รปจั จัย

บทนา

การพัฒนาหลกั สูตรนน้ั จาเปน็ ต้องอาศยั พื้นฐานในการพัฒนาทส่ี าคัญ ซึ่งประกอบด้วยพื้นฐาน
อย่างน้อย ๓ ดา้ น คอื พ้ืนฐานด้านปรัชญา พนื้ ฐานด้านจิตวิทยา และพื้นฐานดา้ นสังคม รวมไปถงึ
พืน้ ฐานดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และด้านอน่ื ๆ ซ่ึงมีความสาคัญดงั ตอ่ ไปนี้ ปรชั ญาการศึกษา
เปน็ แนวความคดิ หลักการ และเกณฑ์ ในการกาหนดแนวทางในการจัดการศกึ ษา ซง่ึ นักการศึกษา
ซ่งึ นักการศึกษาไดย้ ึดตดิ เปน็ หลักในการดาเนินชวี ติ ทางการศึกษาเพอ่ื บรรลุเปา้ หมาย และปรชั ญา



การศกึ ษายังพยายามทาการวิเคราะหแ์ ละทาความเขา้ ใจเก่ยี วกบั การศกึ ษาทาใหเ้ ราสารถทาใหเ้ หน็
ถึงปญั หาของการศึกษาไดอ้ ย่าชัดเจน ปรชั ญาการศกึ ษาเปรียบเหมอื นเข็มทิศนาทางให้นกั การศึกษา
ทาใหก้ ารศึกษาดาเนินการทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ ชัดเจนและสมเหตสุ มผล ปรัชญาช่วยใหเ้ กิด
ความชดั เจนทางการศึกษาและทาใหน้ กั ศึกษาสามารถ ดาเนนิ การศกึ ษาได้อย่างถูกตอ้ งรัดกุม เพราะ
ไดผ้ ่านการพิจารณา วเิ คราะห์ วพิ ากย์ อย่างละเอียดทกุ แง่มมุ และทาใหเ้ กิดความชัดเจน ขจัดความ
ไม่สอดคล้องและหาทางพัฒนาแนวคดิ ใหมใ่ หก้ บั การศึกษา ความเช่อื และแนวคดิ ของกลมุ่ บุคคลและ
สังคมหนึ่งๆ มักมอี ิทธพิ ลต่อการดาเนนิ ชวี ิตของบคุ คลนัน่ ๆ ซ่ึงความเช่ือรว่ มกนั หนึ่งๆ ในสังคมความ
จะโยงใยคนในสงั คมนนั่ ๆใหเ้ ปน็ ไปในชุมชน และวฒั นธรรมรว่ มกนั ซ่งึ จะนาไปสคู่ วามกลมเกรี้ยวใน
สงั คม และความเชอื่ ดังกลา่ วกม็ กั ถกู ถ่ายทอดไปยังลูกหลานและคนรุน่ หลัง ตอ่ ๆไป หากเกิดความเชื่อ
นน่ั เปน็ ส่ิงทด่ี งี ามและไดพ้ สิ จู นว์ า่ เปน็ จรงิ สมเหตสุ มผลมกั จะไดร้ บั ความเช้ือถอื และปลกู ฝังถา่ ยทอด
ใหก้ ับเยาวชนในรุ่นตอ่ ๆไป สืบทดต่อวัฒนธรรมและแนวปฏบิ ตั ขิ องสงั คมน่นั ๆ ความเชอ่ื ดงั กลา่ วอาจ
จัดไดว้ า่ เปน็ ปรัชญาของชุมชนนั่น ๆ

๑. ปรชั ญาการศกึ ษากับการพฒั นาหลกั สตู ร

การพัฒนาหลักสูตรนั้นจาเป็นต้องอาศัยพื้นฐานในการพัฒนาท่สี าคญั ซึ่งประกอบด้วยพ้นื ฐาน
อยา่ งนอ้ ย ๓ ดา้ น คอื พ้นื ฐานดา้ นปรชั ญา พืน้ ฐานดา้ นจิตวทิ ยา และพนื้ ฐานด้านสงั คม รวมไปถึง
พ้นื ฐานด้านวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และดา้ นอื่นๆ ซ่ึงมคี วามสาคัญดงั ตอ่ ไปนี้

พ้ืนฐานการพฒั นาหลกั สูตรด้านปรชั ญา
ปรชั ญาการศกึ ษานน้ั มคี วามจาเปน็ อยา่ งยงิ่ ในการพัฒนาหลักสตู ร โดยใชก้ าหนดจดุ มงุ่ หมาย
เลือกเนอ้ื หาสาระและนามาจดั หลักสูตรไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ ทาให้หลกั สตู รนน้ั มีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน
ปรัชญากบั การศกึ ษามคี วามสมั พันธก์ นั คือ ปรัชญามงุ่ ศกึ ษาชีวติ และจักรวาล สว่ นการศึกษา
มุ่งศกึ ษาเรือ่ งราวเก่ยี วกบั มนุษย์ ปรัชญาและการศกึ ษามีจดุ สนใจรว่ มกนั อยอู่ ย่างหน่ึงคอื การจัดการ
ศึกษาต้องอาศัยปรัชญาในการกาหนดจุดมงุ่ หมายและหาคาตอบทางการศกึ ษา
ปรัชญาการศึกษา คอื แนวความคิด หลกั การ และกฎเกณฑ์ ในการกาหนดแนวทางในการ
จัดการศกึ ษา นอกจากนปี้ รชั ญาการศึกษายงั พยายามทาการวเิ คราะห์และทาความเขา้ ใจเก่ียวกับ
การศกึ ษา สามารถมองเหน็ ปัญหาของการศกึ ษาไดอ้ ยา่ งชดั เจน1

ความหมายของปรชั ญา

คาว่า ปรัชญา (มที มี่ าจากภาษาสนั ตกฤ ปรฺ ชฺญา) หมายถงึ "ความร"ู้ (ซึง่ เป็นคาเดียวกันใน
ภาษาบาลี คอื คาวา่ ปัญญา) เป็นศัพทบ์ ัญญตั แิ ทนคาวา่ philosophy ในภาษาองั กฤษ ( ท่มี ีรากศัพท์
มาจากคากรีกโบราณ:) ซ่ึงอาจเปน็ ไปได้ท่ีไพธากอรสั เป็นผบู้ ญั ญัติไว้ เมอ่ื ราวปี ๕๗๐ - ๔๙๕ ก่อน
ค.ศ. โดยเกิดจากการสมาสคาวา่ พลี อส แปลว่า ความรกั และ โซเฟีย แปลว่าความรู้ เม่ือรวมกนั จงึ มี
ความ หมายว่า ความรกั ในความรู้ หรือ ความปรารถนาจะเขา้ ถงึ ความร2ู้

1 กระทรวงศกึ ษาธิการ . การจัดการเรียนรู้ , (นโยบายเรง่ รดั การปฎริ ปู การศึกษา) ,2550.
2 อุดมพร อมรธรรม . ปรชั ญาการศกึ ษาพระเจา้ อยู่หัว . (กรุงเทพมหานคร:พมิ พ์ โสภณการพมิ พ์ ,
2558).



ปรัชญา ตามพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน แปลวา่ วชิ าว่าด้วยหลักแห่งความรูแ้ ละหลกั
แหง่ ความจริง โดยในบรรดาความรทู้ ง้ั หลายของมนุษยชาติน้นั อาจแบ่งไดเ้ ป็นสองเรือ่ งใหญ่ ๆ เร่อื ง ที่
หนงึ่ คอื เรือ่ งเกยี่ วกบั ธรรมชาติ เช่น ฟิสกิ ส์ มเี ปา้ หมายในการศกึ ษาเพ่ือหาความจรงิ ต่าง ๆ และเขา้ ใจใน
ธรรมชาติมากกวา่ สิง่ รอบตวั เพราะรวมไปถงึ จกั รวาลท้ังหมดอยา่ งลกึ ซ้งึ ชวี วิทยามีเป้าหมายในการศึกษา
เกยี่ วกับสิง่ ทม่ี ชี วี ิตทัง้ หลาย เคมี มเี ปา้ หมายในการศึกษาเกีย่ วกบั ธาตแุ ละองค์ประกอบของธาตุ เป็น
ตน้ นับแตส่ มัยกรีกโบราณมาจนถึงศตวรรษท่ี ๑๙ การศกึ ษาวชิ าดาราศาสตร์ การแพทย์ และฟสิ ิกส์
เคยถูกรวมอยสู่ าขาปรชั ญาธรรมชาติ (Natural philosophy) จนกระทั่งการเติบโตของมหาวทิ ยาลยั
สมยั ใหม่ สง่ ผลให้นกั วิชาการหันไปพฒั นาศาสตรเ์ ฉพาะทางขนึ้ มา

ปรัชญาการศกึ ษา
ปรัชญาการศกึ ษา เปน็ แนวความคิด หลกั การ และเกณฑ์ ในการกาหนดแนวทางในการจดั
การศึกษา ซงึ่ นักการศึกษา ซง่ึ นักการศึกษาได้ยึดตดิ เปน็ หลักในการดาเนินชวี ติ ทางการศกึ ษาเพ่อื
บรรลุเป้าหมาย และปรชั ญาการศึกษายงั พยายามทาการวเิ คราะหแ์ ละทาความเขา้ ใจเกย่ี วกับ การศกึ ษา
ทาให้เราสารถทาให้เหน็ ถงึ ปญั หาของการศกึ ษาได้อย่าชัดเจน ปรัชญาการศกึ ษาเปรียบเหมือนเข็มทิศ
นาทางให้นกั การศึกษาทาใหก้ ารศกึ ษาดาเนนิ การทางการศกึ ษาอยา่ งเปน็ ระบบ ชัดเจนและสมเหตสุ มผล
ปรัชญาช่วยใหเ้ กดิ ความชัดเจนทางการศึกษาและทาให้นกั ศกึ ษาสามารถ ดาเนินการศกึ ษาได้อยา่ งถกู
ตอ้ งรัดกุม เพราะได้ผา่ นการพจิ ารณา วเิ คราะห์ วพิ ากย์ อยา่ งละเอยี ดทุกแงม่ มุ และทาให้เกิดความ
ชัดเจน ขจดั ความไม่สอดคลอ้ งและหาทางพฒั นาแนวคดิ ใหม่ให้กบั การศึกษา ความเชือ่ และแนวคิด
ของกลมุ่ บคุ คลและสังคมหนงึ่ ๆ มักมอี ทิ ธิพลตอ่ การดาเนนิ ชีวิตของบคุ คลน่ันๆ ซึง่ ความเชอื่ รว่ มกัน
หน่งึ ๆ ในสังคมความจะโยงใยคนในสงั คมนนั่ ๆให้เป็นไปในชุมชน และวัฒนธรรมรว่ มกนั ซ่ึงจะนาไปสู่
ความกลมเกรย้ี วในสงั คม และความเชือ่ ดงั กล่าวก็มักถกู ถา่ ยทอดไปยังลูกหลานและคนรุ่นหลงั ตอ่ ๆไป
หากเกิดความเช่อื นัน่ เป็นสง่ิ ท่ีดงี ามและไดพ้ สิ ูจนว์ า่ เป็นจรงิ สมเหตุสมผลมักจะได้รบั ความเชอ้ื ถอื และ
ปลกู ฝงั ถา่ ยทอดให้กับเยาวชนในรนุ่ ตอ่ ๆไป สบื ทดต่อวฒั นธรรมและแนวปฏบิ ตั ขิ องสงั คมน่นั ๆ ความ
เชอื่ ดังกลา่ วอาจจดั ไดว้ า่ เป็นปรัชญาของชุมชนน่ันๆ

๒. ความหมายของปรัชญาการศึกษา

ปรัชญาการศกึ ษา (องั กฤษ Philosophy of education; educational philosophy) เป็น
สาขาหนึง่ ของปรชั ญา ศกึ ษาศาสตร์ และจติ วิทยาประยกุ ต์ ท่ีใชใ้ นการพจิ ารณาวตั ถปุ ระสงค์ รูปแบบ
วิธกี ารและผลทางการศึกษา โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก ๒ ดา้ นท่สี าคัญ ด้านแรกคือทางด้านปรัชญา โดย
เฉพาะอย่างย่งิ ในส่วนของจริยธรรมและญาณวิทยา อีกด้านหนง่ึ คือปญั หาที่เกดิ ขึน้ จากการเรยี นการ
สอน การเรียนการสอนทางด้านปรชั ญาการศกึ ษาน้ันจดั การเรยี นในคณะทางดา้ นศกึ ษาศาสตร์ มากกวา่
ท่จี ะจดั การเรยี นการสอนในคณะจติ วทิ ยาสาหรบั ปรัชญาการศกึ ษา นน้ั สบื ย้อนไปถึงในสมัยโสกราตสี แต่
ไดร้ ับการยอมรับในฐานะศาสตร์ ๆ หนง่ึ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เน่ืองจากศาสตร์น้ยี งั ขาดการเชอ่ื มต่อ
กบั ศาสตรอ์ น่ื ๆทางดา้ นจิตวทิ ยา ส่งผลใหป้ รชั ญาการศึกษายงั คงเปดิ รับแนวความคิดใหม่ 3

ปรชั ญาการศกึ ษา หมายถึง ความเชอ่ื หรอื แนวความคดิ ท่รี วบรวมรายละเอียดต่างๆของโลก
และสงิ่ มชี วี ติ ท้งั หมด พยายามหาคาตอบทเี่ ป็นจริงทีเป็นนิรันดร์ สามารถอธบิ ายส่ิงต่างๆท่เี กิดข้ึนได้

3 กระทรวงศกึ ษาธิการ. หลักสตู รการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 . (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ ุ
สภา ลาดพร้าว. 2544). หน้า 45



โดยใชว้ ธิ ีทางตรรกวทิ ยาในการคน้ หาความจริง ซึ่งเป็นวธิ ีคดิ อยา่ งมเี หตุมผี ล เนอื้ หาของปรชั ญา
เปลย่ี นแปลงไดต้ ามยคุ ตามสมัยแล้วแตจ่ ะสนใจเร่อื งใดหรอื ปญั หาใดอันจะกอ่ ให้เกิดต่อมนษุ ยชาติ

ปรชั ญาการศึกษา หมายถงึ แนวความคิด หลกั การ และกฎเกณฑ์ ในการกาหนด แนวทางใน
การจัดการศกึ ษา ซึ่งนักการศกึ ษาไดย้ ึดเปน็ หลักในการดาเนนิ การทางการศกึ ษาเพอื่ ให้ บรรลุ เปา้ หมาย
และปรชั ญาการศกึ ษายังพยายามทาการวเิ คราะหแ์ ละทาความเข้าใจเก่ียวกบั การศึกษาทาให้สามารถ
มองเหน็ ปญั หาของการศึกษาได้อยา่ งชดั เจน ปรัชญาการศกึ ษาเปรียบ เหมือนเข็มทิศนาทางใหน้ ักการ
ศึกษาดาเนินการทางศึกษาอยา่ งเป็นระบบ ชดั เจนและสมเหตุสมผล

ปรัชญาการศึกษา หมายถึง ช่วยใหเ้ กดิ ความชัดเจน ทางการศึกษาและทาใหน้ ักศึกษา
สามารถดาเนนิ การทางการศึกษาได้อยา่ งถูกต้องรัดกุม เพราะได้ผ่านการพิจารณา วพิ ากยว์ เิ คราะห์
อยา่ งละเอียดทุกแงท่ กุ มมุ ทาให้เกดิ ความเข้าใจอย่าง ชัดเจน ขจัดความไมส่ อดคล้อง และหาทาง
พัฒนาแนวคิดใหม่ให้กับการศกึ ษา4

๓. แนวคดิ ทฤษฎีการพฒั นาหลกั สตู ร

ไทเลอร์ เสนอแนวคดิ พ้ืนฐานในการพฒั นาหลักสูตรว่าควรจะตอบ คาถามพ้ืนฐาน ๔ ประการ
คือ

๑. มคี วามม่งุ หมายทางการศึกษาอะไรบา้ งท่ีโรงเรียนควรจะแสวงหา
๒. มีประสบการณ์ทางการศึกษา อะไรบ้างท่ีโรงเรียนควรจดั ขึน้ เพ่อื ชว่ ยให้บรรลุ จุดประสงค์
ท่ีกาหนดไว้
๓. จะจัดประสบการณ์ทางการศกึ ษาอย่างไร จงึ จะทาให้การสอนมปี ระสิทธิภาพ
๔. จะประเมนิ ประสทิ ธผิ ลของประสบการณ์ในการเรยี นอยา่ งไร จงึ จะตดั สินได้วา่ บรรลุถึง
จดุ ประสงคท์ กี่ าหนดไว้
กระบวนการพัฒนาหลกั สูตรของไทเลอร์ประกอบด้วย ๓ ขน้ั ตอน คอื
๑. การกาหนดจดุ ประสงคห์ รอื จดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู ร
๒. การเลอื กและจัดประสบการณก์ ารเรียน
๓. การประเมินผล
ข้ันท่ี๑ การกาหนดจดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร
เริม่ ดว้ ยการกาหนดจุดประสงค์ชัว่ คราวโดยอาศัยข้อมลู จาก การศกึ ษาสงั คมศึกษาผเู้ รียนและข้อเสนอ
แนะของผู้เช่ียวชาญ มาชว่ ยกาหนดจุดประสงคอ์ ยา่ งคราวๆ ซึ่งอาจมีมากเกินกวา่ ทจี่ ะจัดเขา้ ไว้ใน
หลักสตู รได้ทง้ั หมด จากนน้ั จงึ ควรกล่ันกรองให้เหลือเฉพาะจุดทส่ี าคญั และสอดคล้องกนั จนกระท่งั
เหลอื จุดประสงค์ที่ใชจ้ ริงโดยอาศยั หลักจิตวิทยาการเรียนรแู้ ละหลักปรชั ญาการศึกษาตลอดจนปรชั ญา
ทางสังคม5
ขัน้ ท่ี ๒ การเลือกประสบการณก์ ารเรียน
ไทเลอรเ์ สนอเกณฑก์ ารพจิ ารณาเลอื กประสบการณ์การเรยี นรดู้ งั นี้
๑. ผู้เรียนควรมโี อกาสฝกึ พฤตกิ รรม ตามทรี่ ะบไุ วใ้ นจุดประสงค์

4 อุดม บัวศรี. ปรชั ญาการศึกษา. (ขอนแกน่ : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต
ขอนแก่น. 2544). หนา้ 56

5 พทิ กั ษ์ รกั ษาพลเดช. ปรัชญาการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์. (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ ไทยวัฒนา
พานชิ , 2523). หน้า 90



๒. ทาใหผ้ ูเ้ รยี นพึงพอใจ
๓. อยูใ่ นขอบขา่ ยความพอใจท่ีพงึ ปฏิบัตไิ ด้
๔. นาไปสจู่ ดุ ประสงค์ที่กาหนดไว้เพียงขอ้ เดียว
๕. ตอบสนองจดุ ประสงคห์ ลาย ๆ ข้อได้
ไทเลอรเ์ น้นเกีย่ วกับการพจิ ารณาการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นร้วู ่า ตอ้ งคานงึ ถงึ
ความสมั พนั ธ์ในดา้ นเวลาตอ่ เวลา และเนอื้ หาตอ่ เน้ือหา เรียกวา่ เปน็ ความสมั พันธ์แบบแนวต้งั
(Vertical) กบั แนวนอน (Horizontal) ซ่ึงเกณฑใ์ นการจัดคือ
๑. ความตอ่ เนอ่ื ง (Continuity)
๒. การจดั ชว่ งลาดับ (Sequence)
๓. บูรณาการ (Integration)
ข้ันที่ ๓ การประเมนิ ผล ควรพิจารณาจากส่ิงตอ่ ไปน้ี
๑. กาหนดจดุ ประสงคท์ จี่ ะวัดและพฤตกิ รรมทคี่ าดหวัง
๒. วดั และวิเคราะห์สถานการณท์ จ่ี ะทาใหเ้ กิดพฤตกิ รรมเหลา่ นนั้
๓. ศกึ ษาสารวจข้อมลู เพอื่ เสรา้ งเครือ่ งมือที่จะวัดพฤตกิ รรมเหลา่ น้นั ได้อยา่ งเหมาะสม
๔. ตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมอื
๕. การพจิ ารณาผลการประเมนิ ใหเ้ ปน็ ประโยชนเ์ พอ่ื อธิบายผลการเรียนรูเ้ ปน็ รายบคุ คลหรอื
เป็นกล่มุ
แนวคดิ พฒั นาหลักสูตรของ ทาบา6
แนวคิดเกย่ี วกบั การสรา้ งหรือพัฒนาหลกั สตู รของทาบาซ่ึงมขี ้ันตอนคล้าย
รปู แบบของไทเลอร์ ประกอบดว้ ย ๗ ขน้ั ตอน ได้แก่
๑. ศึกษาวเิ คราะหค์ วามต้องการ (Diagnosis of Needs)
๒. กาหนดจดุ มุ่งหมาย (Formulation of Objectives)
๓. เลอื กเนอื้ หาสาระ (Selection of Content)
๔.จดั รวบรวมเนือ้ หาสาระ (Organization of Content)
๕. คดั เลือกประสบการณ์เรยี นรู(้ Selection of Learning Experiences)
๖. จดั ประสบการณก์ ารเรียนร้(ู Organization ๐f Learning Experiences)
๗. กาหนดสิ่งทีจ่ ะประเมินและวธิ กี ารประเมินผล (Determination of What to Evaluate
and of the Ways and Means of Doing it)
แนวคิดพฒั นาหลักสูตรของเซเลอรแ์ ละอเลก็ ซานเดอร์ เซเลอร์และอเลก็ ซานเดอร์ ศึกษา
แนวคดิ และรูปแบบการพัฒนาหลกั สตู ร ของไทเลอรแ์ ละ ทาบา แล้วนามาปรบั ขยายให้มคี วาม
สมบูรณ์ย่งิ ขน้ึ เพ่ือสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลมากขึ้น โดยมขี ัน้ ตอน ดังน้ี
๑. กาหนดเปา้ หมาย จดุ มุ่งหมาย และขอบเขต (Goals,Objectives, and Domains)
๒. การออกแบบหลกั สตู ร (Curriculum Design)
๓. การใชห้ ลักสูตร (Curriculum Implementation)
๔. การประเมินผลหลักสูตร (Curriculum Evaluation)
แนวคดิ พัฒนาหลักสูตรของกดู๊ แลค็ และริชเทอร์

6 กรีติ บุญเจือ. สารานุกรมปรัชญา. (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ ไทยวัฒนาพานิช, 2533).หนา้ 70 -
89



ก๊ดู แลค็ และรชิ เทอร์ ไดเ้ สนอแนวคดิ เกยี่ วกับรปู แบบการสรา้ งหรือพัฒนาหลักสตู รไว้ว่า
คา่ นิยมต่างๆของสังคมจะเป็นตัวกาหนดจุดหมายทางการศกึ ษาและจดุ หมายทางการศกึ ษาเหลา่ น้จี ะ
ถูกแปลงเปน็ จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมทว่ั ไปทางการศึกษา ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ ๒ สว่ นคือ

๑. เนอื้ หาสาระหรือเรอ่ื งราวที่จะใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ในตัวผูเ้ รียน
(Substantive Element)

๒. พฤตกิ รรมทตี่ อ้ งการจะปลกู ฝงั แกผ่ เู้ รยี น (Behavioral Element)7
แนวคดิ พัฒนาหลักสูตรของเคอร์
จุดมงุ่ หมายของหลักสูตรได้มาจากแหล่งขอ้ มูล ๓ แหล่ง ไดแ้ ก่
๑. ระดบั พฒั นาการ ความตอ้ งการและความสนใจของนกั เรียน
๒. สภาพปญั หาและความตอ้ งการของสงั คมทน่ี กั เรียนต้องเผชญิ
๓. ธรรมชาตขิ องเนอื้ หาวชิ าและชนิดของการเรียนรู้
นาจดุ มุ่งหมายมาคัดเลือกและจัดอนั ดบั
ขน้ั ต่อไปไดแ้ ก่ การจดั ประสบการณก์ ารเรยี น
ขน้ั สดุ ท้ายได้แก่ การประเมนิ ผล
แนวคดิ พฒั นาหลกั สตู รของเสวี
เสวี แบง่ ขน้ั ตอนในการพฒั นาหลกั สตู รออกเปน็ ๓ ข้ันตอน
๑. ข้ันเตรียมโครงร่างหลกั สตู ร
๒. ขั้นเตรยี มวัสดอุ ุปกรณป์ ระกอบการสอน
๓. ขน้ั ดาเนนิ การ
แนวคิดพฒั นาหลกั สตู รของ สมิธ สแตรเลย์ และ ชอร์
สมิธ ได้กลา่ ววา่ งานของการพฒั นาหลกั สตู ร มสี ่ิงสาคญั อย่างนอ้ ย ๔ อยา่ ง คอื
๑. การตกลงใจเกี่ยวกบั ทิศทางของการศกึ ษา
๒. การเลือกหลักการและระเบียบวธิ กี ารเพ่ือเลือกและเรยี งลาดับศักย
ประสบการณ์ซ่ึงประกอบด้วยโปรแกรมการเรยี นการสอน
๓. การเลือกรปู แบบของหลกั สูตร
๔. การตัดสนิ ใจเกย่ี วกบั หลกั การและวธิ กี ารท่ีจะประเมินว่าอะไรได้ เกดิ ขึ้นได้

๔. ประเภทของปรชั ญาการศึกษา

ปรัชญาการศกึ ษาท่สี าคัญ
๑. ปรชั ญาสารนิยม หรือสารตั ถนิยม (Essentialism)
๒. ปรัชญาสาขาสจั วิทยานิยม หรอื สจั นิยมวิทยา หรือนิรันตรนิยม (Perenialism)
๓. ปรัชญาพพิ ฒั นาการนยิ ม หรือพพิ ัฒนนิยม หรอื ววิ ฒั นาการนยิ ม (Progressivism)
๔. ปรัชญาสาขาปฏิรปู นยิ ม (Reconstructionism)
๕. ปรชั ญาสาขาอตั ถิภาวนยิ ม หรอื อัตนิยม หรอื สวภาพนิยม (Existentialism)

ปรชั ญาสารนยิ ม หรอื สารตั ถนิยม (Essentialism)

7 ไพฑูรย์. ปรัชญาการศึกษาเบื้องตน้ . กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, 2556.



สารนิยม เป็นชือ่ ของปรชั ญาการศกึ ษาทกี่ าหนดขนึ้ มาโดย วลิ เลียม ซี แบกเลย์
(Bagley) ผนวกความเชือ่ ตามหลกั ปรัชญาของจติ นยิ ม (Idealism) และสจั นิยม (Realism) ซ่งึ เป็น
ปรัชญาทัว่ ไป

ปรชั ญาสารนยิ มหรอื สารตั ถนยิ มตามแนวจิตนยิ ม
มคี วามเช่อื วา่ การศึกษาคอื เครอ่ื งมอื ในการสืบทอดมรดก ทางสงั คม ซงึ่ ก็คือวฒั นธรรมและ
อดุ มการณท์ ้ังหลายอันเป็นแก่นสาระสาคัญ (essence) ของสงั คมให้ดารงอยตู่ อ่ ๆ ไป ดงั น้นั หลักสตู ร
การศกึ ษาจึงควรประกอบไปดว้ ย ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ คา่ นิยม และวัฒนธรรม อนั เป็นแกน่ สาคญั ซง่ึ
สงั คมนัน้ เห็นวา่ เป็นสง่ิ ทถ่ี ูกตอ้ ง ดงี าม สมควรทจ่ี ะรักษาและสบื ทอดใหอ้ นชุ นรุ่นตอ่ ๆ ไป การจดั การ
เรยี นการสอนจะเนน้ บทบาทของครูในการถา่ ยทอดความรู้และสาระตา่ ง ๆ รวมทงั้ คุณธรรมและ
คา่ นยิ มทีส่ ังคมเหน็ ว่าเปน็ สง่ิ ที่ดงี ามแกผ่ ู้เรยี น ผเู้ รยี นในฐานะผรู้ ับสืบทอดมรดกทางสงั คม กจ็ ะต้องอยู่
เป็นระเบยี บวินยั และพยายามเรียนร้สู ิง่ ทค่ี รูถ่ายทอดให้อยา่ งต้ังใจ8
ปรัชญาสารนยิ มหรือสารตั ถนยิ มตามแนวสัจนิยม
การศกึ ษาเป็นเคร่อื งมอื ในการถ่ายทอดความรูแ้ ละ ความจริงทางธรรมชาติเกีย่ วกับการ
ดารงชีวิตของมนษุ ย์ ดังนนั้ หลักสูตรการศกึ ษาจงึ ควรประกอบไปด้วย ความรู้ ความจรงิ และการ
แสวงหาความรู้เก่ยี วกบั กฎเกณฑแ์ ละปรากฏการณท์ างธรรมชาติต่าง ๆ การจัดการเรียนการสอนตาม
ความเช่อื น้ีจึงเน้นการใหผ้ ้เู รียนแสวงหาข้อมลู ข้อเทจ็ จริง และการสรปุ กฎเกณฑ์จากข้อมลู ขอ้ เทจ็ จรงิ
เหล่านน้ั จะเห็นไดว้ ่า ปรัชญาสารนิยมจะสนบั สนนุ The Three R’s (๓R’s) คอื การอา่ นออก เขียนได้
คิดเลขเป็น ความเช่อื ตามปรชั ญานี้ ผ้เู รียนก็คือดวงจติ เล็ก ๆ และประกอบด้วยระบบประสาทสมั ผัส
ครคู อื ต้นแบบท่ดี ีท่มี ีความรู้จงึ จาเปน็ ต้องทาหนา้ ทอี่ บรมส่งั สอนนกั เรยี นโดยการแสดงการสาธติ หรอื
เปน็ นกั สาธติ ให้ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรู้และเห็นอย่างจริงจัง ในด้านการสอนนน้ั มุ่งให้นกั เรียนรบั รแู้ ละเขา้ ใจ ผู้
สอน จะพยายามช้แี จงและใหเ้ หตุผลต่าง ๆ นา ๆ เพื่อใหผ้ เู้ รยี นคลอ้ ยตามและยอมรับหลักการ ความ
คดิ และคา่ นิยมทคี่ รนู ามาให้ การเรยี นจึงไม่เป็นการสรา้ งสรรค์ความคดิ ใหม่ ๆ แต่เปน็ การยอมรบั สงิ่ ท่ี
คนในสงั คมเคยเช่ือและเคยปฏิบตั ิมากอ่ นรายละเอียดเกย่ี วกบั การจดั การเรียนการสอนน้นั ยดึ หลัก
ส่งเสริมให้นักเรยี นไดเ้ กดิ ความร้คู วามเขา้ ใจในความร้อู ันสงู สดุ ใหม้ ากท่ีสดุ เท่าท่ีนกั เรียนแตล่ ะคนจะทา
ได้ วิธที ่ีครูส่งเสริมมากคอื การรบั ร้แู ละการจา การจัดนักเรยี นเขา้ ชน้ั จะยึดหลกั การจดั แบบแยกตาม
ลักษณะและระดบั ความสามารถท่ใี กล้เคยี งกันของผู้เรยี น (Homogeneous Grouping) เพ่ือมิให้ผู้ที่
เรียนช้าถว่ งผู้ทีส่ ามารถเรียนเรว็ ในการสอนจะคานงึ ถึงมาตรฐานทางวชิ าการมากกวา่ คานึงถึงความ
แตกตา่ งระหว่างบคุ คล ตารางสอนแบบ Block Schedule คือ ทกุ ๆ คาบควรมีช่วงเวลาเทา่ กัน
หมด และเพ่อื ให้การถ่ายทอดและการรับรู้ของนกั เรยี นบังเกดิ ผลสูงสุด จงึ เนน้ การบรรยาย หรือการ
พูดของครมู ากเป็นพเิ ศษ การประเมินผลจะเน้นเรอ่ื งเนือ้ หาสาระหรือความรมู้ ากทส่ี ดุ ในการปฏิบัติ
จรงิ จะออกมาในรปู ของการทดสอบความสามารถในการจามากกวา่ การทดสอบความสามารถในการ
คิด การใช้เหตุผล หรือความเข้าใจในหลักการ ไมม่ กี ารวัดพฒั นาการทางดา้ นทศั นคตใิ นการบริการ
หรือปรับปรุงสังคม แต่เนน้ พัฒนาการทางดา้ นสติปัญญา
ขอ้ สงั เกตของปรชั ญาการศึกษาสารนิยมหรือสารตั ถนยิ มมีดงั นี้
๑. กระบวนการเรยี นร้ตู อ้ งผ่านจติ โดยญาณและแรงบนั ดาลใจ
๒. จิตของผเู้ รียนพฒั นาขึ้นมากเทา่ ใดก็มีโอกาสท่จี ะเป็นจิตท่ีสมบรู ณ์มากข้ึนเทา่ นัน้

8 สมบรู ณ์ พรรณนาภพ. ปรชั ญาการศึกษาไทย. ( กรุงเทพมหานคร : พมิ พท์ โ่ี รงพิมพโ์ อเดียนสโตร์
,2524). หน้า 90



๓. สาระสาคญั ของความรู้ คอื วชิ าทเ่ี กีย่ วกบั ประวัติศาสตร์ และความรปู้ จั จุบนั ซ่งึ เน้น
ปริมาณความรู้เปน็ สาคัญ

๔. การเรียนการสอนมงุ่ ท่ีจะฝึก (The Three R’s) การอ่าน เขยี น คดิ เลข
๕. เป็นแนวความเชือ่ ท่ีมอี ทิ ธิพลต่อการจดั การศกึ ษาทง่ั โลก ต้ังแต่สมยั ก่อนจนถึงปจั จุบัน
ขอ้ วพิ ากษว์ ิจารณข์ องปรชั ญาการศึกษาสารนิยม หรือสารตั ถนยิ ม
การเรยี นการสอนเน้นเนือ้ หาวิชา การเช่ือฟังครู ทาใหผ้ ้เู รียนขาดความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์
ขาดความเป็นตัวของตัวเองซึ่งเปน็ สิง่ จาเปน็ ในการปกครองระบบประชาธิปไตย การสอนเนน้ ความจา
ทาใหน้ กั เรยี นไมม่ ีความคิดกา้ วหนา้ มีแต่ความร้ใู นทางทฤษฎีท่นี าไปปฏิบัติได้ยาก การยดึ ถอื มรดก
วฒั นธรรมเกนิ ไปทาให้ผเู้ รยี นขาดอสิ รภาพและความมเี หตุผล และการกาหนดจดุ มุง่ หมายของ
การศึกษาไว้แน่นอนตายตัวย่อมขดั กับหลักการวจิ ยั ท่วี า่ ความรูแ้ ละวิทยาการต่าง ๆ จะเพ่มิ ข้นึ
เปน็ ๒ เท่า ใน ๘ – ๑๐ ปี
ปรัชญาพพิ ฒั นาการนิยม หรอื พพิ ฒั นนิยม หรือววิ ฒั นาการนิยม (Progressivism)
เปน็ ปรัชญาการศกึ ษาท่ยี ดึ หลักการของปรชั ญาสากลสาขาปฏิบัติการนยิ ม โดย ชาลส์ เอส
เพยี ซ (Charles S. Pierce) โดยมีความเช่ือว่า นกั เรยี นเปน็ บคุ คลทีม่ ที กั ษะพรอ้ มท่ีปฏบิ ตั งิ านได้ ครู
นน้ั เปน็ ผู้นาทางในดา้ นการทดลองและวิจยั หลกั สตู รเป็นเนอื้ หาสาระทเ่ี กย่ี วกบั ประสบการณ์ต่าง ๆ
ของสงั คม เชน่ ปญั หาของสงั คม รวมท้งั แนวทางทจ่ี ะแก้ปญั หานั้น ๆ ปรชั ญาปฏบิ ัติการนยิ มใหค้ วาม
สนใจอย่างมากต่อการ “ปฏิบัต”ิ หรอื “การลงมือกระทา” ซงึ่ หลายคนอาจเข้าใจผดิ วา่ นกั ปรัชญา
กล่มุ น้ี ไมส่ นใจหรือไมเ่ ห็นความสาคญั ของ “การคดิ ” สนใจแต่การกระทาเปน็ หลกั แต่แท้ทจี่ ริงแล้ว
ความหมายของปรชั ญานกี้ ค็ อื “การนาความคิดใหไ้ ปสกู่ ารกระทา” เพราะเห็นวา่ ลาพงั แตเ่ พียงการ
คดิ ไมเ่ พยี งพอตอ่ การดารงชวี ติ การดารงชีวิตที่ดี ตอ้ งตัง้ อยบู่ นพ้นื ฐานของการคิดท่ีดี และการกระทา
ท่ีเหมาะสม
พพิ ัฒนาการนิยมเกิดจากทศั นะทางการศกึ ษาของ รุสโซ (Jean Jacques Rouseeau) ชาว
อเมรกิ า เขาเชอ่ื ว่า การศกึ ษาจะชว่ ยพัฒนาเด็กไปในทางที่ดี ต่อมามนี ักการศกึ ษาชาวสวเี ดน ชื่อ เพส
ตาโลสซี (Johann Heinrich Pestalozzi) มแี นวคิดวา่ การพฒั นาหมายถึงการเปลยี่ นแปลง ดังนัน้
การจะยดึ อะไรเปน็ หลกั ไมว่ ่าจะเป็นทางดา้ นความรู้ หรอื ความเชอื่ ย่อมเป็นการถ่วงพัฒนาการ หรือ
การเปลย่ี นแปลงของเด็ก เพสตาโลสซ่ีจงึ เปน็ อกี บุคคลหน่ึงทีเ่ น้นพฒั นาการของผ้เู รียนแตค่ วามคดิ ของ
นกั การศึกษาทง้ั สองมาแพรห่ ลายเม่ือ จอนหน์ ดิวอ้ี (John Dewey) ได้ทาการศกึ ษาค้นคว้าเพิ่มเติม
คือ แทนทีจ่ ะเน้นการศึกษาเพ่ือพัฒนาความเปน็ เลศิ ทางสติปญั ญาของผเู้ รยี น ดวิ อ้ื หนั มาเนน้ ใช้
การศกึ ษาเป็นเคร่อื งมือในการพฒั นาตวั ผู้เรยี นแทน โดยเน้นวา่ ผเู้ รยี นควรเขา้ ใจและตระหนักใน
ตนเอง (Self-realization) ในการที่คนเราจะไปได้นัน้ จาตอ้ งรเู้ สยี ก่อนวา่ ตนเองมีความสนใจอะไร
หรอื ตนเองมปี ัญหาอะไร ความสนใจและปญั หานเ้ี องทใ่ี ช้เปน็ หลกั ยดึ ในการจดั การศึกษา ซ่ึงการท่ีเด็ก
จะพัฒนาไดน้ ั้นตอ้ งเกิดจากการพยายามแก้ปัญหา และสนองความสนใจของตนเอง ลกั ษณะดังกลา่ ว
ทาให้เกดิ วธิ ีการในการพฒั นาหลกั สตู ร และการสอนแบบเน้นเดก็ เป็นศนู ยก์ ลาง ดิวอเ้ี ชื่อว่าใน
กระบวนการท่เี ดก็ พยายามแกป้ ญั หาหรือสนองความสนใจของตนเองนั้น เดก็ จะต้องลงมือ
กระทาการอยา่ งใดอย่างหนงึ่ และในกระบวนการนเี้ อง การเรียนรู้จะเกดิ ขน้ึ หลักการน้ที าใหเ้ กดิ
วธิ กี ารเรียนแบบแกป้ ญั หา (Problem Solving) หรอื เรยี นด้วยการปฏบิ ัติ (Learning by Doing) ซึ่ง
เขาได้ทดลองใหเ้ ดก็ เรยี นรูจ้ ากการกระทาในบรรยากาศทเี่ ออื้ ตอ่ การเรียนรู้ เดก็ ไดร้ บั อสิ ระในการริเรมิ่
ความคิดและลงมอื ทาตามทค่ี ิด ซงึ่ เป็นแนวคดิ ทกี่ อ่ ให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงอยา่ งกวา้ งขวางในการ



จัดการเรยี นการสอน และจากหลกั การทวี่ ่า การพัฒนาคอื การเปลี่ยนแปลง คนเราจะหยดุ พัฒนาไมไ่ ด้
ดังน้นั การเรยี นรขู้ องคนเราจงึ มไิ ด้หยดุ อยแู่ ต่ในโรงเรียนเทา่ นัน้ แตจ่ ะดาเนินไปตลอดชวี ิตของผเู้ รยี น
ทาใหเ้ กดิ ความเชื่อว่า การศกึ ษาคอื ชีวติ (Education is Life)นอกจากความมุ่งหมายของการศกึ ษาท่ี
จะพัฒนาตัวผู้เรียนตามที่กลา่ วมาแลว้ ปรชั ญานีย้ ังนาเรือ่ งของสงั คมเข้ามาเกยี่ วข้องด้วย โดยการ
เตรยี มผู้เรียนให้มคี วามสามารถในการดารงชีวติ ในสงั คมประชาธปิ ไตย จรยิ ธรรม ศาสนา และศลิ ปะ
อกี ดว้ ย แต่การเน้นทางด้านสงั คมของปรชั ญานไี้ ม่คอ่ ยหนักแน่นและชดั เจนเหมอื นกับปรชั ญาอน่ื ๆ ท่ี
จะกลา่ วถงึ ต่อไป

การพัฒนาหลักสตู รตามแนวปรชั ญานี้ จะเรมิ่ ด้วยคาถามท่วี า่ “ผเู้ รยี นตอ้ งการเรยี น
อะไร” จากน้นั ครผู ้สู อนจงึ จดั แนวทางในการเลือกเนือ้ หาวิชา และประสบการณท์ ี่เหมาะสมมาให้ เนน้
การปลกู ฝงั การฝกึ ฝนอบรมในเร่ืองดังกล่าวโดยการให้ผู้เรียนไดร้ บั
ประสบการณ์ (Experience) เน้อื หาวิชาเหลา่ นจ้ี ะเกีย่ วกับตัวผเู้ รียน และเกี่ยวกับสภาพและปัญหาใน
สังคมด้วยในการสอนครูจะไมเ่ น้นการถา่ ยทอดวชิ าความร้แู ตเ่ พียงประการเดียว แต่จะคอยเปน็ ผู้ดูแล
และให้ความช่วยเหลอื เด็กในการสารวจปัญหา ความตอ้ งการ และความสนใจของตนเอง คอยแนะนา
ชว่ ยเดก็ ในการแกป้ ัญหา แนะนาแหล่งตา่ ง ๆ ท่เี ดก็ จะไปค้นหาความรทู้ ีต่ อ้ งการจะเน้นให้เดก็ มโี อกาส
ปฏิบัติ ส่วนการการประเมินผลจะนาพฒั นาการของเดก็ ในด้านต่าง ๆ เข้ามาร่วมประมวลด้วย โดยไม่
เน้นการวัดความเปน็ เลศิ ทางสมองและวิชาการเหมอื นปรชั ญาเชน่ ทแี่ ล้วมาการศกึ ษาฝา่ ยพิพัฒนาการ
นยิ มจะจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ที่เน้นวิธีการทางวทิ ยาศาสตรม์ าจดั การเนอ้ื หาวิชาแบบเก่า วิธีการใน
การจัดหลักสตู รเชน่ นเี้ รยี กว่า “ยึดประสบการณเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลาง” หรอื “ยดึ นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” ผดิ
กับพวกสารนิยมและสัจวทิ ยานิยม ทจ่ี ัดหลกั สูตรโดยถอื “วชิ าเปน็ ศูนยก์ ลาง”กระบวนการเรยี นการ
สอนยดึ หลกั ความสนใจของผ้เู รียนทจ่ี ะแกป้ ัญหาสังคมตา่ ง ๆ เป็นประการสาคญั ดว้ ยเหตุนก้ี ารเรยี น
การสอน จงึ ส่งเสริมการฝกึ หดั ทาโครงการตา่ ง ๆ เพ่ือฝึกแกป้ ัญหาโดยอาศยั การอภิปรายซักถาม และ
การถกปญั หารว่ มกันซ่ึงเปน็ ลกั ษณะของการจดั การศึกษาทม่ี ุ่งใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วามสามารถท่จี ะพจิ ารณา
ตัดสินใจ โดยอาศัยประสบการณแ์ ละผลทเี่ กิดจากการทางานเปน็ กล่มุ ทงั้ น้ีโดยมเี ปา้ หมายใหผ้ เู้ รียนมี
ความสามารถท่จี ะควบคุมการเปล่ยี นแปลงและปรับปรุงตนเองใหอ้ ยูใ่ นสงั คมไดอ้ ย่างมีความสขุ

ขอ้ สังเกตปรัชญาการศกึ ษาสาขาพพิ ฒั นาการนิยม มดี งั น้ี
๑. ประสบการณ์ของมนุษย์เป็นพน้ื ฐานของความรู้
๒. สภาพการณข์ องทุกส่งิ ในโลกนก้ี าลงั เปล่ยี นแปลง
๓. กระบวนการเรยี นร้ทู างวทิ ยาศาสตรจ์ ะทาให้เดก็ ร้วู ่าจะคดิ อย่างไร
๔. กระบวนการเรียนรูแ้ บบมสี ่วนร่วมเน้นการคดิ อย่างไร มากกวา่ คดิ อะไร
๕. โรงเรยี นเป็นสถาบันทางสงั คม และเปน็ สถาบนั ตน้ แบบของประชาธิปไตย
๖. สรีภาพภายใตก้ ฎเกณฑ์เปน็ พ้ืนฐานของประชาธิปไตย
๗.กระบวนการศึกษาเนน้ กระบวนการกลุ่ม (Group Process) และมาตรฐานของ
กลมุ่ (Group Norms)9

9 อรุ วดี รจุ ิเกียรติกาจร. ปรชั ญาการศึกษาเบอ้ื งตน้ . ( ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , 2538). หนา้
75

๑๐

ขอ้ วพิ ากษว์ จิ ารณเ์ กยี่ วกบั ปรัชญาการศกึ ษาพพิ ฒั นาการนยิ ม
นักการศกึ ษาหลายคนกล่าววา่ ปรชั ญาสาขานีท้ าให้เด็กมคี วามรไู้ มเ่ ป็นช้ินเปน็ อนั ขาด
ระเบยี บวนิ ัย ขาดความรับผดิ ชอบต่อสงั คม และทาให้เดก็ ขาดทัศนคติทจ่ี ะอนุรกั ษ์สถาบันใด ๆ ของ
สงั คมไว้ตอ่ ไป ทาใหก้ ารศึกษาด้อยในคณุ ภาพ โดยเฉพาะการพฒั นาทางด้านสตปิ ัญญา การสอนที่เนน้
ความต้องการและความสนใจของเดก็ นั้น เด็กสว่ นมากยังขาดวุฒิภาวะพอที่จะรคู้ วามสนใจของตนเอง
ธรรมชาตขิ องเด็กชอบเลน่ มากกวา่ ชอบเรยี น การจดั หลกั สูตรใหส้ นองความตอ้ งการและความสนใจ
ของผ้เู รียนทัง้ หมดเปน็ สิ่งท่ีทาไดย้ าก ความสนใจและความตอ้ งการบางอยา่ งของผเู้ รยี นอาจจะไม่มี
ประโยชนใ์ นชวี ติ การเรียนการสอนที่เนน้ การปรบั ตัวของนักเรียนให้เข้ากับสงั คมและส่ิงแวดล้อมอาจ
ทาให้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
ปรชั ญาสาขาสจั วทิ ยานิยม หรอื สจั นยิ มวทิ ยา หรอื นริ ันตรนยิ ม หรือนิรันดร
นิยม (Perenialism)
แนวความคดิ หลักทางการศกึ ษาของสจั วทิ ยานยิ ม ได้แก่ ความเชือ่ ท่ีวา่ หลักการของความรู้
จะตอ้ งมลี ักษณะจีรงั ย่ังยืนอย่างแทจ้ ริง คงที่ ไม่เปลย่ี นแปลง ซึง่ เราควรอนุรักษแ์ ละถา่ ยทอดใหใ้ ช้ได้
ในปจั จุบันและอนาคต ซง่ึ มาจากทัศนะของ เซนต์ โทมสั อะไควนัส (St.Thomas Aquinas) ผู้ซึ่งยา้
วา่ พลงั แหง่ เหตผุ ลของมนุษย์ผนวกกับแรงศรทั ธา คือ เครอื่ งมอื ทางความรู้
สจั วิทยานยิ ม เปน็ ปรัชญาการศกึ ษาที่ยดึ แนวความเช่ือตามหลกั ปรชั ญาสากลสาขาเทวนยิ ม
โดยมคี วามเช่อื ว่า นักเรยี น คอื ดวงวญิ ญาณทม่ี เี หตุผล ครูคือดวงวิญญาณทีม่ ีลกั ษณะของการเปน็ ผนู้ า
และนักวชิ าการ สาหรบั หลักสูตรนน้ั กเ็ ป็นเนอ้ื หาสาระท่ีเกีย่ วกบั ดวงวญิ ญาณและสติปญั ญา เชน่
หลกั การของศาสนา กฎเกณฑ์ หลกั การตา่ ง ๆ ของภาษา คณติ ศาสตร์ เปน็ ตน้ ปรชั ญาสจั วิทยานยิ ม
เชอ่ื วา่ คนมธี รรมชาตเิ หมอื นทุกคน ดงั นั้น การศึกษาจงึ ควรเป็นแบบเดียวกนั สาหรบั ทกุ คน และ
เนือ่ งจากมนุษยม์ คี ุณสมบตั ทิ แี่ ตกตา่ งจากสัตว์อ่ืน ๆ คอื เปน็ ผู้สามารถใชเ้ หตผุ ล ดงั น้ันการศึกษาจงึ
ควรเน้นการพฒั นาความมเี หตผุ ล และการใช้เหตุผล มนุษย์จาเป็นต้องใช้เหตุผลในการดารงชวี ิตและ
ควบคุมกากบั ตนเอง มิใชน่ ึกจะทาอะไรกท็ าได้ตามใจชอบ การศกึ ษาเปน็ การเตรยี มตัวเพ่ือชีวิต เปน็ สิ่ง
ท่ชี ่วยให้มนุษยป์ รบั ตัวให้เขา้ กบั ความจริงแท้แน่นอน ถาวรไม่เปล่ียนแปลง มใิ ช่เป็นการปรบั ตวั ให้เขา้
กับโลกแห่งวตั ถุ ซ่งึ ไมใ่ ช่ความจริงแท้ ดงั นน้ั เด็ก ๆ ควรไดร้ ับการสอนวชิ าพ้นื ฐานต่าง ๆ ทสี่ ามารถชว่ ย
ใหเ้ ขาได้รูจ้ ักและเรียนร้คู วามเป็นจรงิ ทเี่ ป็นสจั ธรรมไม่เปลย่ี นแปลงทัง้ ทางด้านกายภาพ และจติ ใจ
และวชิ าหรือเน้ือหาสาระท่เี ป็นความจรงิ แท้ แนน่ อน ไม่เปล่ียนแปลง ทเ่ี ด็กควรจะไดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี น
คือ “Great Books” ซึง่ ประกอบด้วย ศาสนา วรรณคดี ปรชั ญา ประวัติศาสตร์ ตรรกศาสตร์
คณติ ศาสตร์ ภาษาและดนตรกี ารจัดการเรียนการสอนตามปรัชญานี้ จะมงุ่ เนน้ การสอนใหผ้ ้เู รียนจดจา
ใชเ้ หตุผล และต้ังใจกระทาส่งิ ต่าง ๆ โดยผ้สู อนใช้การบรรยาย ซักถามเปน็ หลกั รวมท้ังเปน็ ผู้ควบคมุ
ดแู ล ใหผ้ เู้ รยี นอยู่ในระเบยี บวินัย ส่วนการปล่อยใหผ้ ูเ้ รียนมีอิสระจนเกนิ ไปในการเรยี นตามใจชอบ
นน้ั แตเ่ ปน็ การขดั ขวางโอกาสทีผ่ ูเ้ รยี นจะไดพ้ ัฒนาความสามารถทแี่ ทจ้ ริงของเขา การคน้ พบตัวเอง
ต้องอาศัยระเบยี บวนิ ยั ในตนเอง ซ่งึ ไมใ่ ชม่ โี ดยไมต่ ้องอาศัยวินัยจากภายนอก ความสนใจในส่ิงที่เป็น
ความจริงแท้นั้นมอี ยู่ในตวั คนทุกคน แต่มนั จะไม่สามารถแสดงออกมาไดโ้ ดยงา่ ย ต้องอาศยั การศึกษาที่
ชว่ ยฝกึ ฝนและดงึ ความสามารถเหล่าน้ีออกมาในดา้ นการเรยี นการสอนน้ัน จุดเน้นอยทู่ ี่กจิ กรรมซึ่งจัด
เพื่อการฝึกและควบคมุ จติ เน้อื หาสาระทมี่ าจากธรรมชาติในรปู ของสาขาวชิ าการและความสามารถ
ทางจติ เชน่ เนื้อหาของคณิตศาสตร์ ภาษา ตรรกวทิ ยา วรรณกรรมช้นิ เอก และลทั ธิคาสอน จะต้อง
นามาศึกษาและเรียนรู้ ไมว่ ่ามนั จะถูกนาไปใชโ้ ดยตรงตามลักษณะวชิ าน้นั ๆ หรอื ไม่ ประเดน็ ท่สี าคัญ

๑๑

ก็คอื วา่ การศึกษาวิชาเหล่านัน้ ฝึกจติ เช่ือกันวา่ ผเู้ รยี นเป็นบคุ คลที่มเี หตผุ ลและมพี ลังจิต วิธีการสอน
จงึ ไดแ้ ก่ การฝกึ ฝนทางปญั ญา เชน่ การอ่าน การเขยี น การฝกึ ทักษะ การทอ่ งจา และการคานวณ
พวกสัจวทิ ยานิยมถือวา่ การเรยี นรู้เกี่ยวกบั การหาเหตุผลกม็ ีความสาคญั มาดว้ ยเช่นกนั และการจะได้
สิ่งเหลา่ น้มี า จาเป็นจะตอ้ งมีการฝึกฝนสติปญั ญาเพ่ิมเติม โดยการเรียนร้ไู วยากรณ์ ตรรกวทิ ยา และ
วาทศลิ ป์ ซ่งึ นกั การศกึ ษาได้ยืนยันความเช่ือเกยี่ วกับการสอนโดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาวา่ เราไม่
สามารถทาอะไรใหแ้ กเ่ ด็กไดด้ ไี ปกวา่ การเก็บความจาในส่ิงทีค่ วรแกก่ ารจา เขาจะรสู้ ึกยนิ ดีและพอใจ
เมือ่ เขาเตบิ โตเปน็ ผใู้ หญ่ นับถอื ลักษณะของการศกึ ษาทย่ี ึดหลักการฝึกอบรมให้เปน็ บคุ คลทีด่ ีมีเหตผุ ล
ทั้งนี้โดยมเี ป้าหมายทีจ่ ะใหผ้ ู้เรียนสามารถคน้ พบชีวติ ท่ีมีความสุขและมเี หตุผลตามหลกั ของศาสนาเปน็
ประการสาคญั 10

ข้อสังเกตเกี่ยวกบั ปรัชญาการศกึ ษาสาขาสัจวทิ ยานยิ มมดี ังนี้
๑. มีแนวความคดิ และความเชอื่ ใกล้เคียงกบั สาขาสารนยิ ม
๒. ถึงแม้จะมแี นวคดิ ใกลเ้ คียงกบั พวกสารนยิ ม แต่กย็ ึดหลกั ความศรัทธาเป็นหลักการเบือ้ งตน้
ของความมีเหตผุ ลของมนุษย์ และเป็นทมี่ าของความรู้ต่าง ๆ
๓. จดุ มงุ่ หมายของการจดั การศกึ ษามงุ่ ทจ่ี ะเตรียมเด็กใหเ้ ป็นผใู้ หญ่ทด่ี ีในอนาคต
๔. การอ่าน การเขียน คิดเลขจึงมคี วามสาคัญในระดับประถมศึกษา
๕. การศกึ ษาระดับมัธยมนั้น เหมาะสมกับพวกที่มั่งมีหรือมฐี านะดเี ป็นสาคัญ
๖. แนวความเชื่อของปรัชญาการศึกษา ทัง้ สารนิยม และสัจนิยมวทิ ยานนั้ มีผ้ใู ห้ความคิดว่า

๖.๑. ไมเ่ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของเดก็
๖.๒ ไม่เหมาะสมกับสังคมยุคใหม่
๖.๓ ไม่สง่ เสรมิ ความเป็นประชาธิปไตย
๖.๔ ทาใหเ้ กดิ การแบง่ ชนชน้ั
๖.๕ กระบวนการเรยี นรอู้ าศัยการขบู่ งั คบั เปน็ หลัก
ข้อวพิ ากษ์วจิ ารณเ์ ก่ยี วกบั ปรัชญาการศกึ ษาสจั วทิ ยานิยม มดี งั นี้
การทถ่ี อื วา่ นักเรยี นทุกคนเหมอื นกนั เปน็ การขดั กบั หลักจติ วทิ ยาในเรือ่ งความแตกต่าง
ระหวา่ งบคุ คล การเรียนท่ถี ือเอาครเู ปน็ ศนู ยก์ ลางจะทาให้ผ้เู รยี นขาดความคดิ ริเร่ิม ขาดลกั ษณะผนู้ า
เป็นการฝึกนักเรยี นให้เปน็ ผูต้ าม นักเรียนน่าจะได้เรียนตามความสามารถและความถนัดของตน ไมใ่ ช่
บังคับให้ทกุ คนเรียนเหมอื นกันหมด การวดั ผลทีเ่ น้นความจาจะนาความรไู้ ปใชไ้ ด้น้อย
ปรัชญาสาขาปฏริ ปู นิยม (Reconstructionism)
ปรชั ญาสาขานี้มคี วามเชอ่ื พืน้ ฐานเกยี่ วกบั ผเู้ รียน ครู หลักสตู ร กระบวนการเรยี นการสอน
ตลอดท้ังลกั ษณะของการจัดการศึกษา เหมอื นกับปรชั ญาการศกึ ษาสาขาพิพัฒนาการนยิ ม เวน้ แตใ่ น
เปา้ หมายของสงั คมเท่าน้ันทแ่ี ตกต่างกัน11
นักพิพฒั นาการนิยมหลายท่านมคี วามเห็นวา่ แนวความคิดของพพิ ฒั นาการนิยม มี
ลกั ษณะ “เป็นกลาง” มากเกนิ ไป จงึ ไม่สามารถนาไปใชใ้ นการปฏริ ปู การศึกษาในสว่ นทจี่ าเป็นได้ พวก
ทตี่ อ้ งการแสวงหาอุดมการณท์ จี่ ะสามารถแก้ไขปญั หาสงั คมไดต้ รงกวา่ นี้ และสร้างสงั คมท่ีดีข้นึ มาใหม่

10 สาโรจน์ บวั ศร.ี การวิจัยเพอื่ การเรียนร้.ู กรงุ เทพฯ: (กรงุ เทพฯ โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว.2551).หนา้
50

11 วทิ ย์ วศิ ทเวทย์. ปรชั ญาการศึกษาไทย. (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ฟนั น่พี ับลชิ ชิ่ง, 2526). หน้า 76

๑๒

จึงถกู จาแนกแยกออกมาจากพพิ ัฒนาการนิยม เปน็ แนวความคิดขึน้ มาใหม่อีกแนวความคิดหน่ึง
เรยี กวา่ “ปฏิรูปนิยม”

ธีโอดอร์ บราเมลด์ (Theodore Brameld) นกั ปรชั ญาการศกึ ษาชนั้ นาของอเมริกาได้รับ
เกียรตใิ ห้เป็นบดิ าของปฏริ ปู นิยม เนื่องจากปฏิรปู นยิ มแยกออกมาจากพิพัฒนาการนยิ ม บราเมลด์ จงึ
ไดพ้ ยายามเสนอแนวคิดของปฏิรูปนยิ มใหแ้ ตกตา่ งไปจากพพิ ัฒนาการนิยม

พวกปฏิรปู นิยมมองโรงเรียนว่า เปน็ เครื่องมอื ทีส่ าคญั ในการสร้างระเบยี บทางสงั คม
ขน้ึ มาใหม่ การจดั หลักสตู รตามแนวของปฏิรปู นิยม จงึ เน้นเน้ือหาสาระและวธิ ีการทจี่ ะเปิดโอกาสให้
ผเู้ รียนได้เรยี นรู้ถึงความรับผิดชอบที่จะปฏริ ูป และสรา้ งสังคมใหมท่ ดี่ ีกวา่ ข้นึ มา ท้ังในระดับชุมชน
ประเทศ และระดบั โลกในทสี่ ุด

ความม่งุ หมายของหลกั สตู รจะเน้นการพฒั นาผเู้ รยี นให้มีความรู้ ความสามารถและ
ทศั นคตทิ ีจ่ ะออกไปปฏริ ปู สังคมใหด้ ีข้นึ

และประสบการณ์ที่เลือกมาบรรจุในหลกั สตู รจะเกยี่ วกบั สภาพและปัญหาของสังคมเป็น
สว่ นใหญ่ เน้อื หาวชิ าเหล่านี้จะเน้นหนกั ในหมวดสงั คมศึกษา เพราะปรชั ญานเ้ี ชื่อวา่ การปฏิรูปสังคม
หรือการพฒั นาสงั คมให้ดขี ึ้น โดยกระบวนการชว่ ยกันแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ที่เกิดขึน้ ในสงั คม การจดั
ระเบียบของสงั คม การอยู่รว่ มกันของคนในสังคม และการส่งเสริมประชาธิปไตย เปน็ หน้าทขี่ อง
สมาชิกในสงั คม และการศึกษาเปน็ เครอื่ งมือสาคญั ท่ีสามารถทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในสงั คมได้

การสอนจะม่งุ เน้นกระบวนการประชาธปิ ไตยเพ่อื การเป็นสมาชกิ ที่ดีในสังคม การพัฒนา
ผู้เรยี นใหต้ ระหนกั ในบทบาทหนา้ ท่ขี องตนทม่ี ตี อ่ สงั คมและการปฏิรูปให้สงั คมดขี ึ้น และจะไมเ่ น้นการ
ถ่ายทอดวิชาความรูโ้ ดยการบรรยายของครมู ากเหมอื นหลกั สูตรในปรชั ญาสารนิยม แตม่ ุ่งส่งเสริมให้
ผู้เรยี นสารวจความสนใจ ความตอ้ งการของตนเองและสนองความสนใจด้วยการคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ย
ตนเอง เน้นการอภิปราย และแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั เรอ่ื งตา่ ง ๆ โดยเฉพาะเร่อื งท่ีเก่ยี วกับปัญหา
ของสงั คม พรอ้ มทง้ั หาข้อเสนอแนะและแนวทางในการปฏริ ปู ดว้ ย

การจัดตารางสอนไมอ่ อกมาในรูปของการแบง่ เวลาเรียนออกเปน็ ช่วง ๆ เท่า ๆ กนั ทุก
คาบดังทกี่ ระทากันอยทู่ ่วั ๆ ไป ในแบบตารางสอนตายตัว (Block Schedule) แตจ่ ะออกมาในรูปของ
ตารางสอนแบบยดื หย่นุ (Flexible Schedule) บางคาบเป็นช่วงเวลาสนั้ ๆ สาหรับการบรรยายนา
ของครู บางคาบเป็นชว่ งเวลาสาหรบั การศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง และทส่ี าคญั ทส่ี ุดจะมคี าบทมี่ ี
ช่วงเวลายาวสาหรบั การอภปิ ราย
การประเมินผลนอกจากจะวัดผลการเรียนทางด้านวิชาความรู้แลว้ ยังวัดผลทางดา้ นพัฒนาการของ
ผู้เรียนและทัศนคตเิ กย่ี วกับสังคมอกี ด้วย

ขอ้ วพิ ากษว์ ิจารณเ์ ก่ยี วกบั ปรัชญาการศกึ ษาปฏริ ปู นิยม
ปรัชญาการศกึ ษาสาขาปฏริ ปู นยิ มตามแนวความคิดของบราเมลดเ์ ป็นแนวความคดิ ท่ีนา่
ตื่นเต้น เป็นปรชั ญาทเี่ น้นใหใ้ ชช้ ีวิตทางพฤตกิ รรมศาสตรใ์ นการปฏริ ูปสังคม ปัญหาอยทู่ วี่ า่ คา่ นิยมทดี่ ี
ท่สี ุดทมี่ นุษย์ควรจะได้รับคืออะไร และสถาบันทางสังคมทีจ่ ะชว่ ยให้มนษุ ยร์ ู้จักตนเองควรมีลกั ษณะ
อยา่ งไร ซึง่ ทง้ั ๒ อย่างนี้ นักวิทยาศาสตร์และนกั จติ วทิ ยาต่างกใ็ ห้ทศั นะต่าง ๆ กนั และเป็นปัญหาที่
ยังไม่มขี ้อยุติ ถือเป็นการจัดการศึกษาทีเ่ ป็นอุดมคติมากกว่าความจริง การจัดการศกึ ษาเพอื่ เนน้
อนาคตเป็นเร่ืองท่ีต้องใชจ้ นิ ตนาการ การจดั หลักสูตรคงมปี ัญหาหลายด้าน การจะใชก้ ารศกึ ษาเปน็

๑๓

เครือ่ งมือในการปฏริ ูปสังคมจงึ เป็นงานที่ย่ิงใหญ่ เพราะการปฏิรูปสังคมต้องอาศัยปัจจัยอืน่ มากมาย
นอกเหนือการศกึ ษา12

ปรัชญาสาขาอตั ถภิ าวนิยม หรืออตั นิยม หรือสวภาพนยิ ม (Existentialism)
ปรัชญานเ้ี กดิ จากทศั นะเคอการด์ (Soren Kierkegard) และสาตร์ (Jean Paul
Sartre) ปรชั ญานี้ใหค้ วามสนใจทต่ี วั บุคคล หรอื ความเปน็ อยู่ มอี ยู่ของมนษุ ย์ ซึ่งมกั ถูกละเลย ซึ่งพวก
เขามีความคดิ เหน็ วา่ สภาวะโลกปัจจุบันน้มี สี รรพสิง่ ทางเลอื กมากมายเกนิ ความสามารถทีม่ นษุ ย์เราจะ
เรียนรู้ จะศึกษา และจะมปี ระสบการณ์ได้ทวั่ ถึง ฉะน้ันมนษุ ย์เราควรจะมีสทิ ธ์ิหรอื โอกาสที่จะเลอื ก
สรรพสง่ิ ต่าง ๆ ด้วยตัวของตัวเองมากกวา่ ท่จี ะใหใ้ ครมาป้อนหรือมอบให้ จากแนวความคดิ ดงั กลา่ ว
พวกอตั ถิภาวนิยมจึงมคี วามเชือ่ วา่ เป้าหมายของสังคมน้ันต้องมคี วามมงุ่ ม่ันทีจ่ ะพฒั นาใหค้ นเรามี
อสิ รภาพ และมีความรับผิดชอบ และส่งิ นีจ้ ะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเมอื่ เราพยายามเปดิ โอกาสหรือยอมให้
ผู้เรยี นมสี ิทธเิ สรภี าพท่ีจะเปน็ ผ้เู ลอื กเอง ครเู ปน็ เพยี งผูก้ ระตุ้น และปรชั ญานมี้ คี วามเชื่อว่า ธรรมชาติ
ของคนก็ดี สภาพแวดล้อมทางสังคมก็ดีเปน็ สง่ิ ทไี่ มต่ ายตวั คนแตล่ ะคนสามารถกาหนดชวี ิตของตนเอง
ได้ เพราะมอี สิ ระในการเลือกทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งไมอ่ ยู่คงท่ีแต่เปลีย่ นแปลงอย่เู สมอ เพราะเชอ่ื ว่าความ
จริง (Truth) เปน็ เรอ่ื งนามธรรมท่ไี ม่มคี าตอบสาเรจ็ รูปให้ สาระความจรงิ กค็ อื ความมีอยเู่ ปน็ อยขู่ อง
มนุษย์ (existence) ซึ่งมนุษยแ์ ต่ละคนจะต้องกาหนดหรอื แสวงหาสาระสาคัญ (essence) ดว้ ยตนเอง
โดยการเผชญิ กบั สถานการณท์ ีเ่ รียกว่า “existential situation” ซึ่งบุคคลแต่ละคนมเี สรภี าพท่ีจะ
เลอื กและตัดสินใจดว้ ยตนเอง
ปรัชญานม้ี รี ากฐานมาจากสภาวะวุน่ วายในสังคม โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองสงคราม และ
ความเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ว เรือ่ งของอนาคตไมอ่ ยู่ในความสนใจของนักปรัชญาสาขาน้ี เพราะตาม
สภาพแวดลอ้ มในสงั คม อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถจะคาดการณไ์ ด้ เป็นอนาคตที่ไม่แจม่ ใสนกั
ไมช่ วนให้คดิ ถึง พวกท่เี ชือ่ ในปรชั ญานจี้ ึงหนั มาเน้นการอยูเ่ พอื่ ปัจจบุ ัน คนเราจะอยูใ่ นสังคมเชน่ น้ีได้
จะต้องสามารถปรับตวั ใหอ้ ยู่ได้อยา่ งมคี วามสขุ สามารถเผชิญกบั ปญั หาต่าง ๆ ได้ กลา้ ตดั สินใจเลือกท่ี
จะทาสง่ิ หน่งึ สง่ิ ใดและยอมรับผดิ ชอบในสิ่งทต่ี นทา ปรชั ญานเี้ น้นความสาคัญของบุคคลแต่ละคน และ
เนน้ การดารงชีวติ อยู่ในปัจจบุ นั
การจัดการศกึ ษาตามปรัชญาน้ีจึงให้ความสาคัญกบั การใหเ้ สรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรยี นรู้ ให้
ผู้เรยี นเป็นตัวของตวั เองมากทีส่ ดุ และสนับสนนุ สง่ เสรมิ ผ้เู รียนในการค้นหาความหมายและ
สาระสาคัญของชีวิตของเขาเอง ผเู้ รียนมเี สรีภาพในการเลอื กสิง่ ที่เรยี นตามที่ตนตอ้ งการ มีเสรีภาพใน
การเลือกตดั สินใจเมอื่ เผชญิ กับปญั หาและสถานการณ์ตา่ ง ๆ และรบั ผดิ ชอบในการตดั สินใจหรือการ
กระทาของตน
กระบวนการเรยี นการสอนยึดหลกั ให้ผู้เรียนได้มโี อกาสรูจ้ ักตนเอง ชว่ ยใหเ้ ดก็ มคี วามเข้าใจ
ตนเองและเปน็ ตวั ของตัวเอง เช่น ศิลปะ ปรชั ญา การเขียน การอ่าน การละคร โดยมคี รูกระตุ้นใหแ้ ต่
ละบุคคลไดใ้ ชค้ าถามนาไปสูเ่ ป้าหมายที่ตนเองต้องการ ซ่งึ เปน็ การจดั การศึกษาท่ีเน้นใหผ้ เู้ รยี นมคี วาม
รับผดิ ชอบในหนา้ ที่ของตน มุ่งพฒั นาเดก็ เป็นรายบคุ คล13
ขอ้ สงั เกตเก่ียวกบั ปรชั ญาสาขาอตั ถภิ าวนยิ ม มดี ังนี้
๑. เน้นเอกัตบุคคลเป็นสาคญั

12 ไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน์. ปรัชญาการศกึ ษาเบอื้ งต้น. พมิ พ์ครง้ั ที่ 3.( กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, 2529). หน้า 54

13 ทศิ นา แขมมณี.ศาสตร์การสอน. ( กรงุ เทพมหานครฯ:จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,2545). หน้า 67

๑๔

๒. คานงึ ถงึ ความแตกตา่ งส่วนบุคคล จงึ ทาใหแ้ นวคดิ ท่จี ะสง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นมคี วามรสู้ ึกว่า
ตนเองประสบความสาเรจ็ เชน่ ระบบในโรงเรียนซัมเมอร์ฮลิ ล์ โรงเรียนไมม่ ีการแบง่ ชั้น (Non-
Grade) โรงเรียนไมม่ ีผนัง (School Without Wall)

๓. ปรัชญานี้มงุ่ ส่งเสริม ๔ ประการ คอื การพัฒนาตนเอง อิสรภาพ การเลอื กและความ
รบั ผิดชอบ

๕. จิตวทิ ยาเกยี่ วกบั หลกั สตู ร

ข้อมูลพื้นฐานเปน็ ข้อมูลในด้านต่างๆที่จาเปน็ ซ่งึ นักพัฒนาหลกั สตู รจะตอ้ งศกึ ษาวเิ คราะห์และ
ใช้ประกอบการพจิ ารณาในการสร้างหรือจัดทาหลักสตู รในทกุ องคป์ ระกอบของหลักสตู ร อัน
ไดแ้ ก่ ข้อมลู ทางสังคม วฒั นธรรม เศรษฐกิจ การเมอื งการปกครอง

การพัฒนาการทางเทคโนโลยี ประวัติศาสตรก์ ารศกึ ษา หลกั สตู รเดมิ ขอ้ มลู จาก
บุคลากร ไดแ้ กบ่ ุคคลภายนอก นกั วชิ าการแตล่ ะสาขา ขอ้ มลู ทางธรรมชาติของความรทู้ างปรัชญา
และจติ วทิ ยาการศึกษา การศกึ ษาขอ้ มูลพ้ืนฐานเป็นขนั้ ตอนแรกสดุ ของกระบวนการพฒั นาหลกั สตู ร ผล
จากการศกึ ษาวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั กล่าวจะนาไปใชใ้ นกระบวนการพฒั นาหลกั สตู รในข้นั ตอนตา่ งๆต้งั แต่
กระบวนการกาหนดจุดม่งุ หมายของหลักสตู ร กระบวนการกาหนดเน้ือหาและประสบการณ์การ
เรียนรู้ กระบวนการจดั การกิจกรรมการเรยี นการสอนวนและกระบวนการประเมินผล เพือ่ ให้ได้
หลักสตู รทสี่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผ้เู รยี นและสังคม เพราะฉะนัน้ ในการพัฒนาหลักสตู ร
ระดบั ต่างๆในอนาคตจะต้องศึกษาข้อมูลพน้ื ฐานในเร่ืองตา่ งๆจากหลายๆแห่งและจากบุคคลหลายๆ
ฝ่าย เพอ่ื ให้ได้ข้อมูลทีแ่ ทจ้ ริงมาพฒั นาหลกั สูตร สามารถพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ จรญิ เติบโตทงั้ ทางดา้ น
รา่ งกาย จติ ใจ สติปัญญา และอารมณ์ เปน็ พลเมอื งท่มี ีความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและประเทศชาติ
หรือกล่าวโดยสรปุ คอื สามารถใชห้ ลัดสตู รเป็นเคร่อื งมือในการสรา้ งสังคมใหมใ่ นทศิ ทางทีถ่ ูกต้องได้

การพัฒนาหลกั สตู รจาเปน็ ต้องศึกษา วิเคราะห์ สารวจ วจิ ยั สภาพพนื้ ฐานด้านต่างๆ
เพอื่ ให้ไดข้ อ้ มูลอยา่ งเพียงพอทีจ่ ะใชส้ นบั สนนุ อ้างองิ ในการตดั สินใจดาเนินการตา่ งๆเพ่ือให้ได้
หลักสูตรทดี่ ี สามารถพัฒนาใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ความสามารถ และทัศนะคตทิ จี่ ะนาไปใชใ้ ห้เป็น
ประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ การพฒั นาหลักสูตรเป็นงานทม่ี ขี อบเขตกว้างขวางมาก การที่จะจดั
หลักสตู รใหม้ คี ณุ ภาพนน้ั ผพู้ ฒั นาหลกั สตู รต้องศกึ ษาข้อมูลหลายๆด้านเพ่อทีจ่ ะได้ขอ้ มลู ทสี่ มจริงไมว่ า่
จะเป็นขอ้ มลู เกย่ี วกบั ตัวผเู้ รียน สงั คมหรือการเปลย่ี นแปลงในด้านต่างเพราะข้อมลู เหลา่ นี้จะชว่ ย
นกั พัฒนาหลกั สูตรในเรื่องตา่ งๆคอื

- ช่วยให้มองเห็นภาพรวมวา่ ในการจัดทาหลกั สูตรนน้ั จาเปน็ ตอ้ งคานึงถึงส่งิ ใดบ้างและสงิ่
ต่างๆเหลา่ นัน้ มีอิทธพิ ลตอ่ หลกั สูตรอยา่ งไร

- ช่วยใหส้ ามารถกาหนดองคป์ ระกอบของหลักสูตรไดอ้ ย่างเหมาะสม เช่น การกาหนด
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร และการกาหนดเนอื้ หาวชิ า ฯลฯ

- ชว่ ยให้สามารถกาหนดยุทธศาสตรก์ ารเรยี นกานสอนได้อยา่ งเหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพ
ขอ้ มูลตา่ งๆท่ีนามาเป็นขอ้ มูลพนื้ ฐานในการพัฒนาหลกั สตู รนน้ั นกั การศึกษาท้ังต่างประเทศและ
นกั การศึกษาไทย ได้แสดงแนวทางไว้ดังน้ี14

14 กรี ติ บุญเจือ. ปรัชญาหลงั นวยุคและความคิดเพื่อการศกึ ษาแผนใหม่. ( กรงุ เทพมหานคร : ดวงกมล,
2545). หนา้ 87

๑๕

๑. เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ กล่าวถงึ ขอ้ มลู พ้นื ฐานในกานพฒั นาหลักสูตรไวว้ ่า
๑. ขอ้ มลู เกยี่ วกับตัวผู้เรียน
๒. ข้อมูลเกย่ี วกับสังคมซ่งึ สนบั สนุนโรงเรียน
๓. ข้อมูลเกี่ยวกบั ธรรมชาตแิ ละลักษณะของกระบวนการเรียนรู้
๔. ความรู้ท่ไี ดส้ ะสมไว้และความรูท้ ่ีจาเปน็ อย่างย่งิ ท่ตี ้องให้แก่นกั เรียน

๒. ทาบา กลา่ ววา่ การพฒั นาหลักสูตรโดยใช้วธิ ีการทางวิทยาศาสตรจ์ ะต้องคานงึ ถึงสงิ่ ตอ่ ไปน้ี
๑. สังคมและวฒั นธรรม
๒. ผู้เรียนและกระบวนการเรียน
๓. ธรรมชาติของความรู้

๓. ไทเลอร์ กล่าวถงึ ส่งิ ท่ีควรพจิ ารณาในการสร้างจุดมงุ่ หมายของการศกึ ษาคอื
๑. ขอ้ มลู เกยี่ วกับตวั ผเู้ รยี น ซง่ึ ได้แกค่ วามตอ้ งการของผูเ้ รียนและความสนใจของผเู้ รยี น
๒. ข้อมูลจากการศึกษาชวี ติ ภายนอกโรงเรยี น
๓. ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากขอ้ เสนอแนะของผเู้ ชยี่ วชาญในสาขาต่างๆ
๔. ข้อมลู ทางด้านปรัชญา
๕. ขอ้ มลู ทางดา้ นจติ วิทยาการเรียนรู้
๔. จากการรายงานของคณะกรรมการวางพ้นื ฐานการปฏริ ปู การศึกษาไดก้ าหนดขอ้ มูลตา่ งๆ

ในการกาหนดจดุ ม่งหมายทางการศึกษาและในการจัดการศึกษาของประเทศดงั น้ี
๑. สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ
๒. สภาพแวดล้อมทางประชากร
๓. สภาพแวดลอ้ มทางสังคม
๔. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกจิ
๕. สภาพแวดล้อมทางการเมอื ง
๖. การปกครองและการบริหาร
๗. สภาพแวดล้อมทางศาสนาและวัฒนธรรม
๘. สภาพของสอ่ื มวลชนเพ่อื การศึกษา

๕. กาญจนา คุณารกั ษ์ กลา่ วถงึ ข้อมลู พื้นฐานในการพัฒนาหลกั สูตรไวด้ งั นี้
๑. ตวั ผู้เรยี น
๒. สงั คมและวฒั นธรรม
๓. ธรรมชาตแิ ละคุณสมบัติของการเรียนรู้
๔. การสะสมความรู้ที่เพยี งพอและเปน็ ไปได้เพือ่ การให้การศกึ ษา

๖. ธารง บวั ศรี กล่าวว่าพน้ื ฐานการพัฒนาหลักสูตรมีดงั น้ี
๑. พื้นฐานทางปรัชญา
๒. พน้ื ฐานทางสังคม
๓. พื้นฐานทางจติ วทิ ยา
๔. พน้ื ฐานทางความรูแ้ ละวิทยาการ
๕. พื้นฐานทางเทคโนโลยี

๑๖

๖. พน้ื ฐานทางประวัตศิ าสตร์15
๗. สงดั อทุ รานันท์ กล่าวถงึ พ้ืนฐานในการพัฒนาหลกั สตู รไวด้ งั นี้

๑. พื้นฐานทางปรัชญาการศกึ ษา
๒. ข้อมลู ทางสงั คมและวฒั นธรรม
๓. พื้นฐานเกยี่ วกับพฒั นาการของผเู้ รียน
๔. พน้ื ฐานเกย่ี วกับทฤษฎกี ารเรียนรู้
๕. ธรรมชาติของความรู้
๘. สมุ ิตร คุณานากร กลา่ วถงึ ขอ้ มลู ตา่ งๆในการพฒั นาหลักสูตรจาแนกตามแหล่งทมี่ า
ได้ ๖ ประการ คือ
๑. ขอ้ มูลทางปรชั ญา
๒. ข้อมูลที่ไดจ้ ากนกั วิชาการแต่ละสาขา
๓. ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากจิตวิทยาการเรยี นรู้
๔. ขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการศึกษาสงั คมของผู้เรียน
๕. ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาความตอ้ งการของผู้เรยี น
๖. ข้อมลู เกี่ยวกบั พัฒนาการทางเทคโนโลยี
๙. สาโรช บัวศรี ได้กล่าวว่า ในการจดั การศึกษาหรอื จัดหลกั สตู รต้องอาศยั พื้นฐาน ๕ ประการ
คือ
- พื้นฐานทางปรัชญา
- พืน้ ฐานทางจิตวิทยา
- พื้นฐานทางสงั คม
- พนื้ ฐานทางประวตั ศิ าสตร์
- พ้ืนฐานทางด้านเทคโนโลยี
จะเห็นไดว้ ่าข้อมูลพ้นื ฐานทน่ี ามาศึกษาเพ่ือพัฒนาหลกั สตู รมมี ากมายหลายด้าน สาหรบั
ประเทศไทยควรจดั ลาดบั ข้อมูลพื้นฐานทสี่ าคญั ในด้านตา่ งๆ ดังตอ่ ไปน้ี
- สังคมและวฒั นธรรม
- เศรษฐกจิ
- การเมืองการปกครอง
- สภาพปัญหาและแนวทางการแกไ้ ขปญั หาสงั คม
- พฒั นาการทางเทคโนโลยี
- สภาพสังคมในอนาคต
- บุคคลภายนอกและนกั วิชาการแต่ละสาขา
- โรงเรยี น ชุมชน หรอื สังคมที่โรงเรยี นต้ังอยู่
- ประวตั ศิ าสตรก์ ารศกึ ษาและหลักสูตรเดมิ
- ธรรมชาตขิ องความรู้
- ปรัชญาการศกึ ษา
- จติ วทิ ยา16

15 ศกั ดดิ์ า ปรางประทานพร.ปรัชญาพ้นื ฐานการศกึ ษา. ( กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์โอเดียนสโตร,์
2526). หน้า 54

๑๗

พน้ื ฐานทางดา้ นปรัชญาการศกึ ษา
ในวงการศกึ ษาปรัชญาไดเ้ ขา้ มามบี ทสาคัญต่อการจดั การศึกษา โดยเฉพาะปรชั ญาการศกึ ษา
ซึง่ หมายถงึ อุดมคติ อดุ มการณอ์ ันสงู สุดซ่งึ ยดึ เปน็ หลักในการจดั การศกึ ษามีบทบาทในการเปน็ แม่บท
เปน็ ตน้ กาเนิดความคิดในการกาหนดความมงุ่ หมายของการศึกษา และเป็นแนวทางในการจัด
การศกึ ษา ตลอดจนกระบวนการในการเรยี นการสอน ดังนัน้ ในการจัดการศกึ ษาโดยเฉพาะ
ระดบั ประเทศปรชั ญาการศึกษาจงึ มีความสาคญั มาก เพราะเปน็ สิ่งทีช่ ่วยกาหนดทิศทางในการจัด
การศึกษา ชว่ ยกาหนดหลักการและ จุดมุง่ หมายของหลกั สูตร รวมท้งั ส่ิงอื่นที่จะตามมาคือ การเลือก
เน้ือหาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ และการประเมินผลเปน็ ตน้ ปรชั ญาการศกึ ษาตา่ ง ๆ มดี ังน้ี17
- ปรัชญาสารตั ถนิยมหรอื สาระนิยม (essentialism) เป็นปรชั ญาท่ีได้รบั อทิ ธิพลจาก
ปรชั ญาทว่ั ไปสาขาจติ นยิ ม (idealism) และสจั นยิ ม (realism) ถือว่าบุคคลเป็นสว่ นหนึง่ ของสงั คม
และเป็นเครอ่ื งมือของสงั คม บุคคลต้องอทุ ศิ ตนเพอื่ สังคม สะสมมรดกของสงั คม และสืบทอด
วัฒนธรรมของสังคมใหค้ งอยตู่ ่อไป การจัดการศึกษาตามแนวคดิ น้ีจึงมลี ักษณะเปน็ การถา่ ยทอด และ
อนรุ ักษว์ ัฒนธรรมของสังคมเพราะเหน็ ว่า สง่ิ ที่นามาสอนน้ัน ดีงาม ถกู ต้อง และกลั่นกรองมาดีแล้ว
เนือ้ หาวิชาท่นี ามาสอนจะเปน็ การเตรียมผเู้ รียนให้มชี วี ิตทด่ี ี เช่น การอา่ น การเขียน เลขคณติ
ประวตั ศิ าสตร์วรรณคดี ปรัชญาศาสนา เปน็ ตน้ เน้ือหาเรยี งลาดับจากงา่ ยไปสสู่ ่ิงที่ซับซอ้ น จาก
รปู ธรรมไปสู่นามธรรม การจดั การเรยี นรยู้ ดึ ครผู สู้ อนเปน็ ศนู ยก์ ลาง เนน้ การถา่ ยทอดความรใู้ หผ้ ู้เรยี น
รบั รู้และจาคานึงถึง เนอ้ื หาสาระมากกว่าความแตกต่างระหว่างบคุ คล วิธีสอนทใี่ ชม้ ากคือการบรรยาย
หรือการพูดของครู ผู้เรยี นต้องอยใู่ นระเบียบวนิ ัยจนสามารถทาสิง่ ตา่ ง ๆ ได้ การประเมินผลเน้นดา้ น
ความรู้
- ปรัชญานิรนั ตรนยิ ม (parennialism) ปรชั ญาน้มี คี วามเช่ือว่า สงิ่ ท่มี คี วามคงทนถาวร
ย่อมเป็นสิ่งที่ดงี ามเปน็ จริงมากกวา่ ส่ิงท่ีเปลยี่ นแปลงได้ การจัดการศกึ ษาจงึ ควรใหเ้ รยี นในส่งิ ทด่ี ีงาม
มั่นคง มีเสถยี รภาพ เน้ือหาวิชาท่เี รยี นจะเปน็ วชิ าทีพ่ ัฒนาเชาวนป์ ัญญาและจิตใจ เช่น
วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ไวทยากรณศ์ ลิ ปะการพูด คณิตศาสตร์ ดารา
ศาสตร์ และดนตรี ถอื เปน็ ความสาคัญของมนษุ ย์และเตรยี มตวั เพือ่ การดารงชีวติ การจดั การเรยี นรูใ้ ห้
ผเู้ รียนทุกคนเรยี นเหมอื นกนั หมด วธิ สี อนใชก้ ารฝึกฝนทางปัญญา เช่น การอา่ น การเขยี น การฝกึ
ทักษะ การทอ่ งจา การคานวณ และการถามตอบ
- ปรชั ญาพพิ ฒั นาการนยิ ม หรอื ปรัชญาพพิ ฒั นนยิ ม หรือปรชั ญาววิ ัฒนาการนยิ ม
(progressivism)
ปรัชญาการศกึ ษานถ้ี อื ว่าการศึกษาเปน็ เครอื่ งมือของสงั คมในการถา่ ยทอดวฒั นธรรมแก่ชนรุ่นหลัง มี
ความเช่ือว่าการศึกษาเป็นชีวิตมากกว่าเปน็ การเตรยี มตัวเพื่อชวี ติ และส่งเสริมวธิ ีการแบบ
ประชาธปิ ไตย การจดั การศกึ ษาตามแนวนี้จะม่งุ ส่งเสรมิ พฒั นาการเดก็ ทกุ ดา้ น เน้นการปฏบิ ัตจิ รงิ
และความสัมพนั ธ์กบั สภาพจรงิ การจดั การเรียนรู้ยดึ ผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลาง ใหผ้ เู้ รียนได้รบั
ประสบการณต์ รง กระบวนการจัดการเรียนรม้ หี ลายลกั ษณะยึดหลกั ความสนใจของผูเ้ รยี นทีจ่ ะแก่
ปัญหาสังคมตา่ ง ๆ วิธีการใชม้ ากคือการทาโครงการการอภปิ รายกลุ่มและการแกป้ ัญหาเปน็ รายบคุ คล

16 สงัด อทุ รานนั ท์. พื้นฐานและหลักการพฒั นาหลักสูตร. (กรงุ เทพ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , 2532).
หน้า 89

17 กรตี ิ บุญเจือ. ปรชั ญาอัตถภิ าวนยิ ม. (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ ไทยวฒั นาพานิช, 2522).หนา้ 98

๑๘

-ปรชั ญาอตั นิยมหรอื ปรัชญาอัตถภิ าวนิยม (existentialism) ปรัชญาน้ีมคี วามเชือ่ วา่
ธรรมชาติของคน สภาพแวดลอ้ มทางสังคมเปน็ ส่งิ ทเี่ ปล่ียนแปลงได้ ทุกคนสามารถกาหนดชีวติ ของ
ตนเองจงึ เนน้ การอยูเ่ พื่อปัจจุบนั การปรับตวั ใหเ้ ข้ากับสภาพของสังคม เผชิญกับปญั หาตา่ ง ๆ ไดอ้ ยู่
อย่างมคี วามสขุ การจดั การศกึ ษาจงึ ให้ ผ้เู รียนมีอิสระในการเรียนรู้ การตัดสนิ ใจ สอนให้เด็กเป็นตวั ของ
ตวั เอง มเี สรีภาพในการเรยี น และเลอื กเรยี นมคี วามรับผิดชอบในตนเอง ครผู ู้สอนเป็นเพยี งผูช้ ้ีแนะ
แนวทาง การจัดการเรียนรเู้ นน้ พัฒนาการของผู้เรียนแตล่ ะคน วชิ าทเี่ รยี นเป็นวิชาทีพ่ ัฒนา18
ความสามารถของบุคคลเฉพาะลงไปเชน่ ศิลปะปรัชญาวรรณคดกี ารเขียนการละครเปน็ ตน้

ปรชั ญาปฏิรปู นยิ ม (reconstructionism) ปรัชญานมี้ คี วามเชอ่ื ว่าการศึกษาควรจะเปน็
เครื่องมือในการเปลย่ี นแลงสงั คมโดยตรง เนน้ การจดั การศกึ ษาเพื่อสร้างสังคมให้ดี ร้จู ักการอยู่ร่วมกนั
ในสังคม ช่วยแกป้ ัญหาต่าง ๆ ท่เี กิดข้นึ ในสังคม อนาคตเปน็ ศูนย์กลาง มงุ่ พัฒนาผู้เรยี นใหม้ คี วามรู้
ความสามารถและทศั นคตทิ จี่ ะออกไปปฏิรูปสังคมใหด้ ขี นึ้ เนื้อหาวิชาเนน้ หนักในหมวดสังคมศกึ ษา
ดา้ นพฤติกรรมศาสตร์ อทิ ธิพลของชมุ ชนการจัดการเรยี นรู้ สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นสารวจความสนใจและ
ความต้องการของตนเองใช้วธิ สี อนแบบใหผ้ ู้เรียนค้นควา้ หาความรู้ด้วยตนเองเน้นการอภิปรายการ
แสดงความคิดเห็นในเรอ่ื งตา่ ง ๆ โดยเฉพาะเร่อื งปัญหาของสงั คม พรอ้ มใหข้ ้อเสนอแนะในการปฏริ ูป
สังคมด้วย ตารางสอนจดั แบบยดื หยุน่

พนื้ ฐานทางดา้ นจติ วทิ ยา
ในการจัดทาหลกั สตู รนั้นนักพัฒนาหลักสูตรต้องคานงึ อยู่เสมอว่าตอ้ งพยายามจดั หลกั สตู รให้
สนองความตอ้ งการและความสนใจของผ้เู รียนอยา่ งแทจ้ รงิ ดว้ ยการศกึ ษาขอ้ มูล พืน้ ฐานเก่ียวกบตัว
ผู้เรยี นวา่ ผ้เู รียนเป็นใคร มคี วามตอ้ งการและความสนใจอะไร มพี ฤตกิ รรมอยา่ งไร ซ่ึงเป็นเรอ่ื งท่ี
เกีย่ วกับจิตวทิ ยาทั้งสนิ้ ดังนนั้ ข้อมูลพืน้ ฐานทางดา้ นจติ วิทยาจึงเปน็ สว่ นสาคญั ท่นี ักพฒั นาหลักสูตรจะ
ละเลยมิไดใ้ นการนามาวางรากฐานหลกั สูตร เชน่ การกาหนดจดุ มุ่งหมายหลกั สตู ร การกาหนด
เนอื้ หาวชิ า และการจดั การเรยี นรู้
เพอื่ ให้ได้หลกั สตู รท่เี หมาะสม ท่สี ุดนกั พฒั นาหลกั สูตรจะตอ้ งมคี วามร้คู วามเข้าใจในเรอ่ื งของ
จิตวทิ ยา โดยเฉพาะ จติ วทิ ยาพัฒนาการ(developmental psychology) และจติ วิทยาการเรยี นรู้
(psychology of learning) ซงึ่ จติ วิทยาท้ัง ๒ สาขานจี้ ะเกยี่ วขอ้ งกบั การจดั ทาหลักสูตรโดยตรง
นอกจากน้ี นักพฒั นาหลกั สตู รยงั ให้ความสาคญั กบั จติ วิทยาท่ัวไป (generalpsychology)ในส่วนท่ี
เกย่ี วกับการส่งเสรมิ การเรียนรขู้ องมนุษยด์ ้วยเชน่ กัน จติ วิทยาพฒั นาการกบั การพัฒนาหลกั สูตร
จติ วทิ ยาพฒั นาการจะบอกถึงพัฒนาการของมนุษย์ทัง้ ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และเชาวน์ปัญญา
ทาใหท้ ราบถงึ ความสามารถ ความสนใจ ความต้องการ เจตคติ และศกั ยภาพดา้ นต่าง ๆ ทแี่ ตกต่างกนั
ของผู้เรียนแต่ละคนองคป์ ระกอบของพัฒนาการของมนุษยม์ ี ๒ ประการคอื
๑. วฒุ ภิ าวะ (maturity) หมายถึง กระบวนของความเจรญิ เติบโตสูงสุดของอินทรีย์ในร่างกาย
ทีท่ าให้เกิดความพรอ้ มทีจ่ ะทากิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ในขณะน้นั โดยไม่ต้องอาศยั การฝกึ ฝนหรือ
เรยี นรใู้ ด ๆ หรอื เปน็ ไปโดธรรมชาติ
๒. การเรยี นรู้ (learning) เป็นการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมอนั เป็นผลมาจาก ประสบการณ์
การเรียนรู้อาจเกดิ ขึน้ ด้วยการจงู ใจ หรอื อาจเกิดข้ึนโดยไมต่ ้งั ใจกไ็ ดพ้ ัฒนาการและการเจรญิ เตบิ โต
ของมนุษย์ แบง่ ออกเป็น ๒ ดา้ น คือ

18 คุณารักษ์ ศีรสวุ รรณ. เอกสารคาบรรยาย. วชิ า การศึกษาหลักสูตร ภาควิชาหลกั สูตรและวิธกี ารสอน
คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. ( กรงุ เทพฯ โรงพิมพ์จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2521 ). หน้า 69

๑๙

๑. พฒั นาการทางดา้ นรา่ งกาย (physical development) เป็นการเปล่ียนแปลงในดา้ น
โครงสร้างท้ังขนาดรปู รา่ ง และการทางานของอวยั วะต่าง ๆ ในรา่ งกาย

๒. พัฒนาการทางดา้ นสตปิ ิญญา (mental development) เปน็ ความเจริญงอกงามทีบ่ ่ง
บอกถึงการเพ่ิมพนู ความ สามารถในประกอบกิจกรรมอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และรวบรวมความรูค้ วาม
เข้าใจไว้เป็นหมวดหมู่ เปน็ พัฒนาการทางดา้ นความคดิ ความจา และความเขา้ ใจ19

๖. สรปุ ปรัชญาการศกึ ษากับการพฒั นาหลักสตู ร

ปรชั ญาการศึกษา เป็น แนวความคดิ หลักการ และเกณฑ์ ในการกาหนดแนวทางในการจัด
การศึกษา ซึ่งนกั การศึกษา ซ่ึงนกั การศึกษาได้ยึดติดเปน็ หลักในการดาเนินชีวติ ทางการศึกษาเพอื่
บรรลเุ ป้าหมาย และปรชั ญาการศึกษายังพยายามทาการวิเคราะห์และทาความเข้าใจเก่ียวกับ
การศึกษาทาให้เราสารถทาใหเ้ หน็ ถึงปญั หาของการศกึ ษาไดอ้ ยา่ ชัดเจน ปรชั ญาการศกึ ษาเปรียบ
เหมอื นเขม็ ทศิ นาทางใหน้ ักการศกึ ษาทาใหก้ ารศึกษาดาเนนิ การทางการศึกษาอย่างเปน็ ระบบ ชดั เจน
และสมเหตสุ มผล ปรัชญาช่วยใหเ้ กิดความชัดเจนทางการศกึ ษาและทาใหน้ กั ศกึ ษาสามารถ ดาเนิน
การศกึ ษาไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งรัดกุม เพราะไดผ้ า่ นการพจิ ารณา วเิ คราะห์ วิพากย์ อยา่ งละเอยี ดทุกแง่มุม
และทาใหเ้ กิดความชัดเจน ขจัดความไมส่ อดคลอ้ งและหาทางพฒั นาแนวคดิ ใหม่ให้กับการศกึ ษา
ความเชอ่ื และแนวคดิ ของกลมุ่ บคุ คลและสงั คมหน่งึ ๆ การศกึ ษาเปน็ เครื่องมือในการถา่ ยทอดความรู้
และ ความจริงทางธรรมชาตเิ ก่ียวกบั การดารงชวี ิตของมนษุ ย์ ดงั นนั้ หลกั สตู รการศกึ ษาจงึ ควร
ประกอบไปด้วย ความรู้ ความจรงิ และการแสวงหาความรู้เกีย่ วกับกฎเกณฑแ์ ละปรากฎการณ์ทาง
ธรรมชาติตา่ ง ๆ การจัดการเรยี นการสอนตามความเชื่อนจ้ี งึ เน้นการใหผ้ เู้ รยี นแสวงหาขอ้ มลู
ขอ้ เทจ็ จรงิ การอ่านออก เขียนได้ คดิ เลขเป็น ความเช่อื ตามปรชั ญาน้ี ผูเ้ รียนกค็ อื ดวงจิตเล็ก ๆ และ
ประกอบด้วยระบบประสาทสัมผสั ครูคือต้นแบบที่ดที ีม่ ีความรู้จงึ จาเป็นต้องทาหนา้ ทอ่ี บรมสัง่ สอน
นกั เรยี นโดยการแสดงการสาธติ หรือเปน็ นกั สาธติ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรแู้ ละเหน็ อยา่ งจรงิ จงั ในดา้ นการ
สอนนนั้ มุ่งใหน้ กั เรยี นรับรแู้ ละเข้าใจ ผสู้ อนจะพยายามช้แี จงและใหเ้ หตผุ ลต่าง ๆ นา ๆ เพือ่ ให้ผู้เรียน
คล้อยตามและยอมรบั หลกั การ ความคิดและคา่ นยิ มท่คี รูนามาให้ การเรยี นจงึ ไม่เปน็ การสรา้ งสรรค์
ความคิดใหม่ ๆ แต่เป็นการยอมรับสิง่ ท่ีคนในสังคมเคยเชอื่ และเคยปฏิบัตมิ าก่อนรายละเอยี ดเกี่ยวกบั
การจัดการเรยี นการสอนนั้น ยดึ หลักสง่ เสรมิ ให้นักเรียนไดเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจในความรู้อันสูงสุดให้
มากที่สดุ เท่าทน่ี ักเรียนแตล่ ะคนจะทาได้ วธิ ที ีค่ รสู ง่ เสริมมากคอื การรบั รแู้ ละการจา

19 สายนั ต์ คณุ สาร. หลกั สูตรและการพฒั นา พิมพ์ครง้ั ท่ี 3, ( นครปฐม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ศลิ ปากร, 2540 ). หนา้ 90

๒๐

คาถามทา้ ยบทที่ ๑

แบบฝกึ หัดท่ี ๑ คาชแ้ี จง ให้นิสิตเลอื กกากบาทข้อทถี่ กู ตอ้ งท่สี ุดเพยี งข้อเดียว

๑. ข้อใดกลา่ วถงึ ความหมายของหลักสตู รได้ถกู ตอ้ ง

ก. ความรู้ ทักษะ กระบวนการทจี่ ดั ให้ผูเ้ รยี น ข. ความรทู้ งั้ มวลทจี่ ัดให้ผู้เรยี น

ค. ประสบการณ์ทง้ั มวลท่จี ดั ใหผ้ เู้ รียน ง. ประสบการณ์จากครูผูส้ อนทถี่ ่ายทอดให้

ผู้เรียน

๒. ขั้นตอนแรกของการพฒั นาหลกั สตู รคอื

ก. การนาหลกั สูตรไปใช้ ข. การวเิ คราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน

ค. กาหนดจดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตร ง. การกาหนดเน้อื หาและประสบการณเ์ รยี นรู้

๓. บคุ คลในขอ้ ใดมบี ทบาทสาคัญในการพฒั นาหลกั สตู ร

ก. ผบู้ รหิ าร ข. ครู ค. ชมุ ชน ง. ถูกทุกขอ้

๔. ขนั้ ตอนทสี่ าคัญทีส่ ดุ ในการพัฒนาหลกั สตู รคือ

ก. การนาหลกั สตู รไปใช้ ข. กาหนดจดุ มุง่ หมาย

ค. การประชาสมั พันธห์ ลักสูตร ง. ประเมินหลักสูตร

๕. เน้นครเู ปน็ ศูนยก์ ลาง เน้นสอนแบบบรรยาย วิชาทเี่ น้นคอื อา่ นออก เขียนได้ คิดเลขเปน็

ก. สารัตถนยิ ม(Essentialism) ข. นิรนั ตรนยิ ม (Perenialism)

ค. อตั ถภิ าวนิยม (Existentialism) ง. ปฏริ ปู นิยม/บรูณาการ (Reconstructionism)

๖. หลักสตู รเน้นเนื้อหา เหตุผลและสติปญั ญา

ก. สารัตถนยิ ม(Essentialism) ข. นริ ันตรนยิ ม (Perenialism)

ค. อัตถภิ าวนยิ ม (Existentialism) ง. ปฏริ ปู นิยม/บรูณาการ (Reconstructionism)

๗. เนน้ การเรยี นรทู้ ่ลี งมือปฏบิ ัติจรงิ

ก. สารัตถนยิ ม(Essentialism) ข. พพิ ฒั นนยิ ม หรอื ววิ ัฒนาการนยิ ม

ค. นริ ันตรนิยม (Perenialism) ง. อตั ถภิ าวนิยม (Existentialism)

๘. ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้องเกีย่ วกับหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑

ก. วิสัยทศั น์ สมรรถนะ จดุ มงุ่ หมาย หลกั การ ข. วสิ ัยทัศน์ หลักการ จุดมุ่งหมาย สมรรถนะ

ค. จุดมุ่งหมาย หลกั การ สมรรถนะ วสิ ยั ทัศน์ ง. จดุ มุ่งหมาย หลักการ วสิ ัยทัศน์ สมรรถนะ

๙. ข้อใดอธบิ ายคาว่า”หลกั สตู รเปรยี บเสมือนเข็มทิศทใี่ ช้ในการจดั การศึกษา”ไดถ้ กู ต้องท่สี ดุ

ก. เพอ่ื ใหจ้ ัดกจิ กรรมการเรียนการสอนไดค้ รบกระบวนการและมีประสทิ ธิภาพ

ข. เพ่อื พฒั นาไปสู่ความมุง่ หมายของหลักสตู ร

ค. เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนไดพ้ ฒั นาทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตา่ งๆ อันพง่ึ ประสงค์

ง. เพอ่ื นใหผ้ เู้ รยี นบรรลุผลตามจดุ มุ่งหมายของแผนการศกึ ษาแห่งชาตทิ ต่ี ้องการให้หลกั สูตรชว่ ยพัฒนา

บุคคลต่างๆใหเ้ ป็นคนท่ีมคี วามรูค้ วามสามารถและพัฒนาการในทกุ ๆด้าน

๑๐. ทุกข้อคือการพัฒนาหลักสูตร แบ่งได้เปน็ ๔ ระดบั ยกเว้นขอ้ ใด

ก. การพฒั นาหลักสตู รระดับชาติ ข. การพฒั นาหลกั สูตรระดบั ท้องถ่นิ

ค. การพัฒนาหลกั สตู รระดบั เขตพนื้ ท่ี ง. การพฒั นาหลกั สูตรระดบั ห้องเรยี น

๒๑

แบบฝกึ หดั ที่ ๒ คาชแี้ จง ใหน้ ิสติ เติมสัญลักษณ์ ถกู หนา้ ข้อความที่ถกู ตอ้ ง ผิด หนา้ ขอ้ ความทีไ่ ม่

ถูกตอ้ ง
____๑. การพัฒนาหลักสูตร แบง่ ไดเ้ ป็น๔ ระดบั
____๒. หลักสตู รเปรียบเสมอื นเข็มทศิ ที่ใช้ในการจดั การศึกษาเพื่อใหจ้ ดั กจิ กรรมการเรียน

การสอนไดค้ รบกระบวนการและมปี ระสทิ ธิภาพ
____๓. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑
____๔. สารตั ถนิยม(Essentialism)เน้นการเรียนรูท้ ล่ี งมือปฏบิ ัติจริง
____๕. สารัตถนิยม(Essentialism)หลกั สูตรเนน้ เน้อื หา เหตุผลและสตปิ ัญญา
____๖. สารัตถนิยม(Essentialism) เนน้ ครูเปน็ ศนู ย์กลาง เนน้ สอนแบบบรรยาย วิชาทเ่ี น้น

คอื อา่ นออก เขียนได้ คิดเลขเปน็
____๗. ขน้ั ตอนท่สี าคญั ท่สี ุดในการพฒั นาหลักสตู รคือ การนาหลกั สตู รไปใช้
____๘. บคุ คลในขอ้ ใดมบี ทบาทสาคัญในการพฒั นาหลกั สตู ร คือ ผู้บริหาร
____๙. ขั้นตอนแรกของการพัฒนาหลักสตู รคือ การนาหลักสตู รไปใช้
____๑๐. ความหมายของหลกั สตู ร คอื ประสบการณ์ทัง้ มวลทีจ่ ดั ใหผ้ ูเ้ รียน

แบบฝกึ หัดที่ ๓ คาชแ้ี จง ให้นสิ ิตเติมคาลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง

_______๑. การพัฒนาหลักสูตร แบง่ ได้เปน็ ก่ีระดับ
_______๒. จติ วทิ ยาการเรียนรู้กลมุ่ แรงจูงใจ
_______๓. Insight
_______๔. จติ วทิ ยาการเรียนร้กู ลุ่มพฤตกิ รรมนิยม
_______๕. Cognitive Theories
_______๖. การรบั รู้
_______๗. กระบวนการพัฒนาหลกั สูตรของไทเลอร์ มีก่ีขน้ั
_______๘. กฎแห่งความคลา้ ยคลึง
_______๙. กฎแห่งความใกล้เคยี ง
_______๑๐. กฎแหง่ ความสมบรู ณ์

คาชแ้ี จง ให้นสิ ติ เลือกคาตอบด้านซ้ายไปใสใ่ นช่องวา่ งทางขวาให้ถูกตอ้ ง
ก. Behaviorism Theories
ข. ๔ ระดบั
ค. จติ วทิ ยาการเรยี นรกู้ ลุ่มพทุ ธินิยม
ง. Motivation Theories
จ. Perception
ฉ. การหยั่งเห็น
ช. ๓ ข้ันตอน
ซ. Law of Proximity
ฌ. Law of Closure

๒๒

ญ. Law of Similarity

แบบฝึกหดั ท่ี ๔ คาชแี้ จง จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้

๑. กระบวนการพัฒนาหลกั สตู รของไทเลอร์ มกี ี่ขนั้ อะไรบา้ ง
๒. จงอธิบายคุณสมบตั ทิ ส่ี าคญั ของการพฒั นาหลักสูตร
๓. จดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตรไดม้ าจากแหลง่ ข้อมูลกี่แหลง่ ได้แกบ่ า้ ง
๔. การนาทฤษฏีการเรยี นรู้ประยุกต์ใชใ้ นการพฒั นาหลกั สตู ร ผทู้ ี่ศกึ ษาเก่ยี วกบั การเรียนรู้
แบ่งเป็นกีก่ ลุม่ อะไรบ้าง
๕. หลักการเรยี นรู้ของทฤษฎี การรบั รู้ (Perception) มกี ขี่ ้นั

23

อา้ งองิ ประจาบท

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. หลักสูตรการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรุ
สภาลาดพรา้ ว. ๒๕๔๔.
. การวจิ ยั เพื่อการเรยี นรู้.กรุงเทพฯ: โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพร้าว.๒๕๕๑

กาญจนา คุณารักษ์. เอกสารคาบรรยาย. วชิ าศล.๓๑๙ หลกั สตู ร ภาควชิ าหลกั สตู รและวิธกี ารสอน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. ๒๕๒๑.
. หลกั สตู รและการพฒั นา พมิ พค์ รัง้ ที่ ๓, นครปฐม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ศลิ ปากร, ๒๕๔๐.

กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน กระทรวงศกึ ษาธิการ (๒๕๔๑ : ๒)ชดุ วิชาวิจัยทางการศกึ ษานอกโรงเรยี น
เล่มท่ี ๑๐ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพอ่ื การวิจัย. กรุงเทพฯ : บริษทั ประชาชนจากดั

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. ท้องถ่นิ กับการพฒั นาหลกั สตู ร. กรงุ เทพฯ : กรมวชิ าการ
กระทรวงศกึ ษาธิการ ๒๕๓๙.

กรมวชิ าการ. การปฏิรปู การเรยี นรทู้ ี่เนน้ ผเู้ รยี นสาคญั ทสี่ ดุ : แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพฯ : โรง
พมิ พค์ ุรสุ ภา, ๒๕๔๓.

ใจทพิ ย์ เชอื้ รัตนพงษ.์ การพฒั นาหลกั สตู ร : หลักการและแนวปฏบิ ตั .ิ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ อลนี
เพรส.๒๕๓๙

ชศู รี สุวรรณโชติ . หลักสูตรและการพฒั นาหลกั สูตร. กรงุ เทพฯ : อกั ษรไทย. ๒๕๔๒.
ธวชั ชัย ชัยจริ ฉายากุล. ประมวลสาระชุดวชิ า การพฒั นาหลักสูตรและวทิ ยวธิ ที างการสอนหน่วยที่ ๑-

๒ กรงุ เทพ : สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๓๖
. การพฒั นาหลกั สตู รจากแนวคิดสกู่ ารปฏิบตั ิ. กรงุ เทพฯ : อักษรบัณฑติ , หนา้ ๔. ๒๕๒๙.
ธารง บวั ศร.ี ทฤษฎหี ลักสูตรภาค ๒. พระนคร : มงคลการพิมพ์. ๒๕๑๔.
. ทฤษฎหี ลกั สูตร : การออกแบบและพฒั นา. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ครุ สุ ภา
ลาดพร้าว. ๒๕๓๒.

บทท่ี ๒

ความรเู้ ก่ียวกบั หลักสตู ร

สาระสาคญั

หลกั สูตรเป็นสง่ิ สำคญั ของกำรจดั กำรศกึ ษำ เพรำะเปน็ สง่ิ ท่กี ำหนดแนวทำงกำรปฏิบตั ิในกำร
จดั กำรเรยี นกำรสอนให้บรรลุจดุ ม่งุ หมำยทกี่ ำหนดไว้ หลักสตู รทีด่ ตี ้องมีกำรพัฒนำอยเู่ สมอ เพอื่ ให้มี
เนอ้ื หำสำระทนั กบั สภำพกำรเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกจิ เทคโนโลยี และกำรเมอื ง ซ่ึงมีนกั กำร
ศกึ ษำไดอ้ ธิบำย และใหค้ วำมหมำยกำรพฒั นำหลกั สูตร

ขอบเขตเนือ้ หา

1. ควำมรู้เกีย่ วกบั หลกั สูตร
2. ควำมมงุ่ หมำยของหลกั สตู ร
3. องคป์ ระกอบของหลักสตู ร
4. ควำมสำคญั และประโยชนข์ องหลกั สูตร
5. คณุ สมบตั ขิ องหลักสูตร
6. ลกั ษณะหลกั สูตรที่ดี
7. ควำมเปน็ มำและวิวัฒนำกำรของหลกั สูตร

วัตถปุ ระสงค์

๑. เพ่อื ศกึ ษำหำควำมร้ทู เี่ กยี่ วกับหลกั สูตรทสี่ ำมำรถนำไปใช้ในชวี ติ
๒. เพือ่ ให้เกดิ ควำมตระหนกั ถึงควำมสำคัญของกำรพฒั นำหลกั สตู ร
๓. เพือ่ ให้มีควำมเขำ้ ใจถึงกำรพัฒนำหลกั สูตรและกำรใช้หลกั สตู ร
๔. เพื่อให้รู้และเขำ้ ใจถึงต่ำงๆทำงด้ำนหลักสตู รปจั จยั

บทนา

หลกั สตู รเป็นสง่ิ สำคญั ของกำรจัดกำรศกึ ษำ เพรำะเป็นสิง่ ทีก่ ำหนดแนวทำงกำรปฏิบัตใิ นกำร
จดั กำรเรียนกำรสอนใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมำยทกี่ ำหนดไว้ หลกั สูตรที่ดีตอ้ งมกี ำรพฒั นำอยู่เสมอ เพื่อใหม้ ี
เนอ้ื หำสำระทนั กบั สภำพกำรเปลยี่ นแปลงของสังคม เศรษฐกจิ เทคโนโลยี และกำรเมือง ซ่งึ มีนกั กำร
ศกึ ษำไดอ้ ธบิ ำย และให้ควำมหมำยกำรพฒั นำหลกั สูตร ดงั น้ี

นกั กำรศกึ ษำ ได้ให้ควำมหมำยของหลักสูตรไว้อย่ำงหลำกหลำย ขึ้นอยกู่ บั ทศั นะ ควำมเชอ่ื
แนวคิด ปรชั ญำและประสบกำรณ์ ซ่ึงสำมำรถประมวลควำมหมำยของหลักสตู รท่ีสำคญั ได้ ดังนี้ หลกั
สตู รเปน็ เครื่องมอื อย่ำงหนง่ึ ท่ีทำให้ปรชั ญำหรือควำมมุ่งหมำยทำงกำรศกึ ษำ บรรลคุ วำมมงุ่ หมำย
เพรำะหลักสตู รเปน็ ตวั กำหนดทศิ ทำงกำรจัดกำรศกึ ษำของประเทศ อีกทั้งเป็นกำรกำหนดแนวทำงใน
กำรพฒั นำ ทง้ั ดำ้ นเศรษฐกิจ กำรเมือง สังคมและวัฒนธรรม เพือ่ ให้ผู้เรียนมคี วำมรู้ ทักษะ เจตคติและ
คำ่ นยิ มในอนั ทจี่ ะนำประเทศไปสู่ควำมเจรญิ ในทุกๆดำ้ น

25

๑. ความร้เู ก่ียวกับหลกั สูตร

หลักสูตรเปน็ สง่ิ สำคัญของกำรจัดกำรศึกษำ เพรำะเป็นส่ิงท่ีกำหนดแนวทำงกำรปฏบิ ัติในกำร
จัดกำรเรยี นกำรสอนให้บรรลุจดุ มงุ่ หมำยท่ีกำหนดไว้ หลักสตู รที่ดตี อ้ งมกี ำรพฒั นำอยู่เสมอ เพือ่ ใหม้ ี
เน้อื หำสำระทนั กับสภำพกำรเปลย่ี นแปลงของสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และกำรเมอื ง ซงึ่ มี
นกั กำรศึกษำไดอ้ ธิบำย และให้ควำมหมำยกำรพฒั นำหลกั สูตร ดงั นี้

ความหมายของหลักสูตร
นักกำรศกึ ษำ ได้ใหค้ วำมหมำยของหลักสูตรไว้อย่ำงหลำกหลำย ขนึ้ อยกู่ ับทศั นะ ควำมเชื่อ
แนวคิด ปรัชญำและประสบกำรณ์ ซงึ่ สำมำรถประมวลควำมหมำยของหลักสูตรท่ีสำคญั ได้ ดงั น้ี
หลกั สตู รเปน็ เครื่องมอื อยำ่ งหนึง่ ท่ีทำให้ปรัชญำหรือควำมมงุ่ หมำยทำงกำรศึกษำ บรรลุควำม
ม่งุ หมำยเพรำะหลักสตู รเป็นตัวกำหนดทศิ ทำงกำรจดั กำรศึกษำของประเทศ อกี ทั้งเปน็ กำรกำหนด
แนวทำงในกำรพัฒนำ ท้ังด้ำนเศรษฐกิจ กำรเมอื ง สังคมและวฒั นธรรม เพื่อใหผ้ ้เู รยี นมคี วำมรู้ ทกั ษะ
เจตคติและคำ่ นิยมในอนั ทจี่ ะนำประเทศไปสู่ควำมเจรญิ ในทกุ ๆดำ้ น
คำว่ำ “หลกั สตู ร” หรือในภำษำอังกฤษใชค้ ำวำ่ “ Curriculum ” ได้มนี ักวิชำกำรทำง
กำรศกึ ษำได้ให้คำนิยำมหรือควำมหมำยของหลกั สูตรไว้หลำยทัศนะดงั น้ี
รำชบัณฑติ ยสถำน กลำ่ วว่ำ หลักสตู ร หมำยถงึ ประมวลวชิ ำและกจิ กรรมตำ่ งๆทกี่ ำหนดไว้
ในสถำนศึกษำ เพ่ือวตั ถปุ ระสงค์อย่ำงใดอย่ำงหน่งึ
ส่วน เกลน็ แฮนส์ กล่ำว ว่ำ หลกั สตู รหมำยถึงมวลประสบกำรณท์ ีผ่ ู้เรยี นไดร้ บั จำก
โปรแกรมกำรศกึ ษำ ซ่งึ จดั ขน้ึ เพือ่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ที่กำหนดไว้ โดยอำศัยกรอบของทฤษฎแี ละกำร
วจิ ัยในอดตี และปจั จุบันเป็นพน้ื ฐำน
สำหรับ ธำรง บัวศรี ให้ควำมหมำยว่ำ หลกั สตู ร คือ แผนซ่งึ ได้ออกแบบจดั ทำข้นึ เพือ่ แสดง
ถงึ จุดหมำยกำรจดั เน้อื หำ กจิ กรรมและมวลประสบกำรณ์ ในแต่ละโปรแกรมกำรศึกษำ เพอื่ ผเู้ รยี นมี
พัฒนำกำรในด้ำนต่ำงๆตำมจุดหมำยทไ่ี ด้กำหนดไว้1

นอกจำกนน้ั ปรียำพร วงศ์อนตุ รโรจน์ ไดก้ ลำ่ วถึงควำมหมำยของหลกั สูตรไว้ ๓ ประกำร
คือ

๑. หลกั สูตรเป็นศำสตร์ทีม่ ีทฤษฎี หลักกำรและกำรนำไปใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำร
สอนทีม่ งุ่ หมำยไว้

๒. หลักสูตรเปน็ ระบบในกำรจัดกำรศึกษำโดยมีปัจจยั นำเข้ำ(Input) ไดแ้ ก่ครนู ักเรยี น
วสั ดุอุปกรณ์ อำคำรสถำนท่ี กระบวนกำร(Process)ผลผลติ (Output)ได้แก่ผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรยี น
ควำมสำเร็จทำงกำรศึกษำ เปน็ ต้น

๓. หลักสูตรเป็นแผนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน ทมี่ ่งุ ประสงค์จะอบรมฝึกฝน
ผู้เรยี นให้เป็นไปตำมเป้ำหมำยท่ตี ้องกำร

บ๊อบบทิ อำ้ งถงึ ในบรรพต สวุ รรณประเสริฐ, กลำ่ ว วำ่ หลักสตู ร คอื รำยกำรของสง่ิ ต่ำงๆ
ซง่ึ ผู้เรยี นและเยำวชนจะตอ้ งทำและประสบโดยกำรพฒั นำควำม สำมำรถเพ่อื จะทำสิ่งต่ำงๆให้ดีและ
เหมำะสมสำหรบั กำรดำรงชวี ิตในวยั ผู้ใหญ่

ธรี ะ รญุ เจริญ ไดใ้ หจ้ ำกัดควำมของคำว่ำหลักสูตรดังนี้

1 สงัด อทุ รำนันท.์ พ้ืนฐานและหลักการพฒั นาหลักสูตร. ( กรงุ เทพ : จฬุ ำลงกรณ์มหำวทิ ยำลัย, 2532 ).
หน้ำ 89

26

๑. หลัก สตู ร หมำยถึง ประสบกำรณท์ งั้ หมดทจี่ ัดใหน้ กั เรียนโดยกำรควบคมุ แนะนำ
ของสถำนศึกษำอนั เปน็ เครื่องมือท่ชี ่วยบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ หรอื ควำมคำดหวงั ทำงกำรศึกษำทต่ี งั้ ไว้

๒. หลกั สตู ร เปน็ ส่อื ในกำรสอนทีโ่ รงเรยี นเปิดโอกำสให้นักเรยี นได้รับประสบกำรณ์
ในกำร เรียนรูเ้ พอ่ื บรรลเุ ป้ำหมำยหรือวัตถุประสงค์ทตี่ ั้งไว้

ชุมศกั ดิ์ อนิ ทรร์ กั ษ์ ได้กลำ่ วสรปุ ว่ำ หลักสตู รเป็นเน้ือหำสำระสำคญั และกิจกรรมต่ำงๆ ท่ี
สนองวตั ถุประสงค์ เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนได้เกดิ กำรเรียนรแู้ ละเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมไปตำมทพ่ี ึง ประสงค์

จำก ควำมหมำยของหลกั สูตร ตำมทัศนะของนักวิชำกำรทำงกำรศึกษำ สรปุ ไดว้ ำ่ หลักสูตร
หมำยถึง มวลประสบกำรณ์ ทเี่ ป็นเนอ้ื หำ สำระสำคัญ กจิ กรรมต่ำงๆ ทอ่ี อกแบบขึ้นโดยมีจุดมงุ่ หมำย
ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ กำรเรยี นรู้ พัฒนำตนเองเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมตำมคณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ และใช้
ชีวิตอยใู่ นสงั คมอย่ำงปกติสขุ 2

เซยเลอร์ อเล็กซำนเดอร์ และเลวสิ ) ได้ใหค้ วำมหมำยของหลักสตู รไวว้ ่ำ หลกั สตู ร
หมำยถงึ แผนกำรเรียนกำรสอนทจี่ ัดโอกำสในกำรเรยี นรูใ้ ห้แก่บุคคลท่ีได้รับกำรศกึ ษำ

บีน และคนอืน่ ๆ สรุปควำมหมำยของหลักสูตรไวโ้ ดยใชเ้ กณฑ์ควำมเปน็ รปู ธรรม
(Concrete) ไปสู่นำมธรรม (Abstract) และจำกกำรยึดโรงเรียนเปน็ ศนู ย์กลำง (School -
centered) ไปสกู่ ำรยดึ ผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลำง (Learner - centered) โดยไดอ้ ธิบำยไว้ ดงั น้ี

๑. หลกั สตู ร คอื ผลผลิตที่เกิดขน้ึ จำกกระบวนกำรจดั กำรศกึ ษำ (Curriculum as
product)

๒. หลกั สตู ร คือ โครงกำรหรอื แผนกำรในกำรจดั กำรศกึ ษำ (Curriculum as program)
๓. หลักสูตร คอื กำรเรียนรทู้ ก่ี ำหนดไวอ้ ยำ่ งมคี วำมหมำย (Curriculum as intended
learning)
๔. หลกั สูตร คือ ประสบกำรณ์ของผู้เรียน (Curriculum as experience of the
learner)
โอลิวำ ได้ให้นิยำมควำมหมำยของหลกั สตู ร โดยแบ่งเป็น
๑. กำรให้นยิ ำมโดยยดึ จุดประสงค์ (Purpose) หลกั สตู ร จงึ มภี ำระหน้ำท่ีท่จี ะทำใหผ้ เู้ รยี น
ควรจะเปน็ อยำ่ งไรหรือมีลกั ษณะอยำ่ งไร หลักสูตรแนวคดิ นจ้ี งึ มีควำมหมำยในลักษณะท่เี ป็นวธิ กี ำร ท่ี
นำไปส่คู วำมสำเรจ็ ตำมจุดประสงคห์ รือจุดมุ่งหมำย เชน่ หลกั สูตร คอื กำรถำ่ ยทอด มรดกทำง
วฒั นธรรม หลักสูตร คอื กำรพัฒนำทักษะกำรคดิ ของผู้เรียน เปน็ ตน้
๒. กำรใหน้ ิยำมโดยยดึ บริบทหรือสภำพแวดล้อม (Contexts) นิยำมหลักสตู รในลักษณะนี้
เปน็ กำรอธบิ ำยถึงลกั ษณะทวั่ ไปของหลักสตู ร ซงึ่ แลว้ แตว่ ำ่ เนอื้ หำสำระของหลักสูตรมลี กั ษณะเปน็
อยำ่ งไร เช่น หลักสตู รทย่ี ึดเนอื้ หำวชิ ำ หลกั สูตรทีย่ ึดผเู้ รยี นเป็นศนู ย์กลำงหลกั สตู รเพือ่ กำรปฏริ ปู
สังคม เปน็ ต้น
๓. กำรใหน้ ิยำมโดยยดึ วิธีดำเนนิ กำรหรอื ยุทธศำสตร์ (Strategies) เปน็ กำรให้นิยำมหลกั สตู ร
ในเชงิ วิธีดำเนินกำรทีเ่ ป็นกระบวนกำร ยุทธศำสตรห์ รือเทคนิควิธกี ำรทีใ่ ช้ในกำรจดั กำรเรียนกำรสอน
เช่น หลกั สูตร คือ กระบวนกำรแก้ปัญหำ หลกั สูตร คือ กำรทำงำนกล่มุ หลกั สูตร คอื กำร
เรยี นร้รู ำยบุคคล หลกั สูตร คอื โครงกำรหรอื แผนกำรจดั กำรเรียนกำรสอน เปน็ ตน้

2 สงัด อุทรำนันท์. พนื้ ฐานและหลักการพฒั นาหลักสตู ร. (กรงุ เทพฯ : จฬุ ำลงกรณม์ หำวทิ ยำลัย, 2532
). หน้ำ 76

27

โอลิวำ ไดส้ รปุ ควำมหมำยของหลกั สตู รไวว้ ำ่ หลักสูตร คอื แผนงำนหรือโครงกำรทจี่ ดั
ประสบกำรณ์ทัง้ หมดใหแ้ กผ่ เู้ รียนโดยแผนงำนต่ำงๆ จะถูกกำหนดเปน็ ลำยลกั ษณอ์ กั ษร มี
ขอบเขตกว้ำงขวำง หลำกหลำย เพือ่ เป็นแนวทำงกำรจดั ประสบกำรณก์ ำรเรยี นร้ทู ตี่ อ้ งกำร ดังน้ัน
หลกั สูตรอำจเป็นหน่วย (Unit) เป็นรำยวชิ ำ (Course) หรอื เปน็ รำยวชิ ำยอ่ ย (Sequence of
courses) ทงั้ น้ี แผนงำนหรอื โครงกำรทำงกำรศึกษำดังกลำ่ ว อำจจัดขนึ้ ไดท้ ้งั ในและนอกช้ันเรียน
ภำยใตก้ ำรบรหิ ำรและดำเนนิ งำนของสถำนศกึ ษำ

โซเวลล์ ไดก้ ลำ่ ววำ่ มผี ู้อธิบำยควำมหมำยของหลักสตู รไว้อย่ำงมำกมำย เชน่ หลกั สตู รเป็น
กำรสะสมควำมรดู้ ้ังเดมิ เป็นวธิ กี ำรคดิ เป็นประสบกำรณท์ ถ่ี ูกกำหนดไว้ เปน็ แผนกำรจดั สภำพกำร
เรียนรู้ เป็นควำมร้แู ละคุณลกั ษณะของผเู้ รียน เป็นเนื้อหำและกระบวนกำร เปน็ แผนกำรเรยี นกำร
สอน เป็นจุดหมำยปลำยทำงและผลลัพธ์ของกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนและเปน็ ผลผลติ ของระบบ
เทคโนโลยี เปน็ ต้น

โซเวลล์ ไดอ้ ธิบำยว่ำ เป็นเร่ืองปกติที่นิยำมควำมหมำยของหลกั สตู รมีควำมแตกตำ่ งกนั ไป
เพรำะบำงคนให้ ควำมหมำยของหลกั สูตรในระดับทีแ่ ตกต่ำงกันหรือไมไ่ ดแ้ ยกหลักสูตรกบั กำรจดั กำร
เรยี นกำรสอน แตอ่ ย่ำงไรกต็ ำม โซเวลล์ ไดส้ รุปว่ำ หลกั สตู ร คอื กำรสอนอะไรให้กับผู้เรยี น ซงึ่ มี
ควำมหมำยท่กี ว้ำงขวำง ที่รวมท้ังข้อมลู ข่ำวสำร ทักษะ และ ทศั นคติ ทัง้ ทไี่ ด้กำหนดไว้และไม่ได้
กำหนดไว้ให้แก่ผู้เรยี นในสถำนศึกษำ

ชมพนั ธุ์ กุญชร ณ อยธุ ยำ ไดอ้ ธบิ ำยควำมหมำยของ หลกั สตู รว่ำ มีควำมแตกต่ำงกันไป
ตั้งแตค่ วำมหมำยทีแ่ คบสดุ จนถงึ กวำ้ งสดุ ซ่งึ สำมำรถจำแนกควำมคดิ เหน็ ของนักกำรศึกษำท่ีได้ให้
นยิ ำมควำมหมำยของหลกั สตู รแบง่ ออกเปน็ ๒ กลุม่ ใหญๆ่ ได้ดังน้ี

๑. หลกั สตู ร หมำยถงึ แผนประสบกำรณก์ ำรเรยี น นักกำรศึกษำทีม่ ีควำมคิดเห็นว่ำ
หลกั สตู ร หมำยถึง แผนประสบกำรณก์ ำรเรยี นนั้น มองหลกั สตู รทีเ่ ป็นเอกสำรหรือโครงกำรของ
กำรศึกษำทส่ี ถำบันกำรศกึ ษำไวว้ ำงแผนไว้ เพือ่ ให้ผู้เรียนได้ศึกษำตำมแผนหรอื โครงกำรท่กี ำหนดไว้
หลักสตู รตำมควำมหมำยนี้ หมำยรวมถึง แผนกำรเรยี นหรือรำยวชิ ำต่ำงๆ ทก่ี ำหนดให้เรยี นรวมท้ัง
เนอื้ หำวิชำของรำยวิชำตำ่ งๆ กจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน และกำรประเมินผล ซ่ึงได้กำหนดไว้ในแผน
ควำมคิดเห็นของนกั กำรศกึ ษำกลุม่ นี้ ไม่รวมถงึ กำรนำหลกั สูตรไปใชห้ รอื กำรเรยี นกำรสอนท่ีปฏิบัตจิ ริง

๒. หลักสูตร หมำยถงึ ประสบกำรณ์กำรเรียนของผู้เรยี น ที่สถำบนั กำรศึกษำจดั ใหแ้ กผ่ ู้เรยี น
ประกอบดว้ ย จุดมุ่งหมำย เน้ือหำ กำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอน กำรประเมินผล

รจุ ริ ์ ภ่สู ำระ ได้ อธบิ ำยควำมหมำยของหลกั สูตรว่ำ หมำยถงึ แผนกำรเรียน ประกอบดว้ ย
เป้ำหมำย และจุดประสงค์เฉพำะทจี่ ะนำเสนอและจัดกำรเน้ือหำ รวมถงึ แบบของกำรเรียนกำรสอน
ตำมจดุ ประสงค์ และท้ำยทสี่ ุดจะต้องมกี ำรประเมินผลของกำรเรยี น

นักกำรศึกษำหลำยทำ่ นได้ใหค้ วำมหมำยของคำว่ำ "หลกั สูตร" ด้วยอักษรยอ่ SOPEA ซงึ่
หมำยถงึ

หลักสตู ร คอื รำยวิชำหรือเนื้อหำวชิ ำทีเ่ รยี น- O (Curriculum as Objectives)
หลักสตู ร คอื จุดหมำยทผ่ี ู้เรยี นพงึ บรรลุ- P (Curriculum as Plans)
หลักสตู ร คือ แผนสำหรับจดั โอกำสกำรเรียนรหู้ รือประสบกำรณ์แก่นักเรยี น - E
(Curriculum as Learners, Experiences)
หลักสูตร คือ ประสบกำรณท์ ้ังปวงของผเู้ รียนทีจ่ ัดโดยโรงเรยี น - A (Curriculum as
Educational Activities)

28

หลักสตู ร คือ กิจกรรมทำงกำรศกึ ษำทจี่ ัดให้กับนักเรียน
หลักสตู รในควำมหมำยเดมิ จะหมำยถงึ รำยวชิ ำตำ่ ง ๆ ทน่ี กั เรียนจะต้องเรยี นส่วนควำมหมำยใหม่ จะ
หมำยถึง มวลประสบกำรณ์ทง้ั หมดทน่ี กั เรยี นจะได้ภำยใต้คำแนะนำ และควำมรบั ผดิ ชอบของโรงเรยี น
หำกจะสรปุ ควำมหมำยของหลักสตู รจำกนักกำรศึกษำหลำยท่ำนพอจะสรปุ ได้ดังน้ี

๑. หลักสูตรในฐำนะทเ่ี ป็นวชิ ำเน้ือหำสำระท่ีจัดให้แก่ผู้เรยี น
๒. หลักสูตรในฐำนะทเ่ี ปน็ เอกสำรหลักสูตร
๓. หลักสูตรในฐำนะท่เี ป็นกิจกรรมตำ่ ง ๆ ทีจ่ ะใหแ้ ก่นกั เรียน
๔. หลักสูตรในฐำนะแผนสำหรับจดั โอกำสกำรเรียนร้หู รือประสบกำรณท์ ่คี ำดหวังแกน่ กั เรยี น
๕. หลกั สตู รในฐำนะที่มวลประสบกำรณ์
๖. หลักสูตรในฐำนะที่เปน็ จดุ หมำยปลำยทำง
๗. หลกั สตู รในฐำนะที่เป็นระบบกำรเรียนกำรสอนและกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน
นอกจำกนัน้ ยงั มคี ำทม่ี คี วำมหมำยใกล้เคยี งกบั หลักสูตรอีก เป็นตน้ ว่ำ
๑. โปรแกรมกำรเรยี น (A Program of Studies) คำนใี้ ช้แทนควำมหมำยของหลกั สตู ร ซง่ึ คน
ทวั่ ๆไปใช้ คลำ้ ยกับรำยกำรเรยี งลำดับรำยวชิ ำ ปัจจุบนั ยงั มกี ำรใชค้ ำนี้ในกำร จดั กำรศกึ ษำอุดมศึกษำ
โดยกำรจดั ลำดบั รำยวชิ ำ
๒. เอกสำรกำรเรยี น (A Docment) เป็นกำรให้ควำมหมำยของหลักสตู ร ตำมจุดม่งุ หมำยที่
จะใหศ้ ึกษำ เพอื่ เสนอตอ่ ผู้มำติดตอ่ ที่สถำนศกึ ษำ
๓. แผนกำรจัดกิจกรรม (Planned Experiences) หมำยถงึ กจิ กรรมท้งั มวลทโ่ี รงเรียน จัดให้
นกั เรยี นและกำรวำงแผนหลกั สตู รเป็นกำรเตรยี มกำรให้โอกำสกบั ผูเ้ รียน3
๔. หลักสตู รแฝง (Hidden Curriculum) หมำยถงึ หลักสตู รทไี่ มไ่ ดม้ กี ำรกำหนดไว้ล่วงหนำ้
หลักสูตรถือวำ่ มบี ทบำทสำคญั ในกำรจัดกำรศกึ ษำทุกระดับ หลกั สตู รระบุสง่ิ ท่ีคำดหวงั ให้เกดิ ข้นึ กับ
ผ้เู รียนและแนวทำงจัดให้ผู้เรียนไดร้ ับประสบกำรณ์ หลักสตู รเปรียบเสมือนพมิ พเ์ ขียวในกำรสร้ำงบำ้ น
สว่ นกำรสอนเป็นกระบวนกำรหรอื วธิ กี ำร หลักสูตรจะระบสุ งิ่ ท่ีจะสอนในโรงเรียนระบุส่ิงทีผ่ ู้เรยี นควร
จะเรียนรู้ (เนอื้ หำ) จำกแนวคิดของนักกำรศึกษำหลำยท่ำนดงั กลำ่ วพบวำ่ มกี ำรใหน้ ิยำมแตกต่ำง
กนั ไป ทง้ั นเี้ พรำะแตล่ ะคนมีเกณฑท์ ่ีใช้ในกำรอธบิ ำยแตกต่ำงกนั ในกำรศกึ ษำคร้ังน้ี สรุปได้ว่ำ
หลกั สูตร หมำยถงึ แนวกำรจดั ประสบกำรณ์ และ/หรอื เอกสำร ทม่ี กี ำรจัดทำเปน็ แผนกำรจัดสภำพ
กำรเรียนรหู้ รอื โครงกำรจดั กำรศึกษำ โดยมกี ำรกำหนดวธิ กี ำรจดั กำรเรยี นรู้ เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นเกดิ ผลกำร
เรยี นรูต้ ำมจุดประสงคห์ รอื จุดมุ่งหมำยตำมทห่ี ลกั สตู รกำหนดไว้

๒. ความมงุ่ หมายของหลกั สตู ร

จุดมงุ่ หมำยของหลักสตู ร หมำยถึง ควำมต้งั ใจหรือควำมคำดหวงั ที่ต้องกำรให้เกดิ ขึ้นในตัวผู้
ท่จี ะผำ่ นหลกั สูตรจุดม่งุ หมำยของหลกั สูตรมีควำมสำคญั เพรำะเปน็ ตัวกำหนดทศิ ทำงและขอบเขตใน
กำรศึกษำแกเ่ ด็กช่วยในกำรเลอื กเน้ือหำและกจิ กรรม ตลอดจนใชเ้ ป็นมำตรกำรอยำ่ งหน่ึงในกำร
ประเมินผล จดุ มุ่งหมำยของกำรศึกษำมีหลำยของระดับ ไดแ้ ก่ จุดมงุ่ หมำยหลำยระดับหลักสูตรซ่ึง
เปน็ จุดมงุ่ หมำยที่บอกให้ผทู้ ีเ่ กย่ี วข้องรเู้ ป้ำหมำยของหลกั สูตรน้ันๆ จุดม่งุ หมำยของกลมุ่ วชิ ำ วิชำแต่

3 กรมกำรศึกษำนอกโรงเรยี น กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร ชุดวิชาวิจัยทางการศึกษานอกโรงเรียน เล่มที่ 10
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู เพ่อื การวิจยั .( กรงุ เทพฯ : บริษัทประชำชนจำกัด). หน้ำ 56

29

ละกลุม่ จะสรำ้ งคุณลักษณะทแี่ ตกตำ่ งกันใหก้ ับผ้เู รียนดั้งนนั้ แตล่ ะกลมุ่ วชิ ำจึงมจี ุดมงุ่ หมำยไวต้ ำ่ งกนั
จุดมุ่งหมำยรำยวิชำเปน็ จุดหมำยท่ลี ะเอียดจำเพำะเจำะจงกว่ำจุดมงุ่ หมำยกลุ่มวิชำ ผู้สอนกล่มุ
รำยวชิ ำจะกำหนดจดุ มุง่ หมำยในกำรสอนเนื้อหำแตล่ ะบทแตล่ ะตอนขน้ึ ในรปู ของจดุ มุ่งหมำยเชิง
พฤติกรรม แมว้ ่ำจดุ มุ่งหมำยทำงกำรศึกษำจะมีระดบั ดงั กลำ่ วแลว้ จุดมุ่งหมำยหลำยระดบั ยอ่ ม
สอดคลอ้ งกันและนำไปสูจ่ ดุ หมำยปลำยทำงเดยี วกนั

หลักสูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำข้ันพื้นฐำน มุง่ พฒั นำผเู้ รยี นใหเ้ ป็นคนดี มปี ญั ญำ มีควำมสุข
มีศกั ยภำพในกำรศึกษำตอ่ และประกอบอำชีพ จึงกำหนดเป็นจดุ หมำยเพือ่ ใหเ้ กิดกับผเู้ รยี น เมอ่ื
จบกำรศกึ ษำข้ันพ้นื ฐำน ดังนี้

๑. มคี ุณธรรม จริยธรรม และคำ่ นยิ มทีพ่ ึงประสงค์ เห็นคณุ ค่ำของตนเอง มีวินยั และ
ปฏิบตั ิตนตำมหลกั ธรรมของพระพุทธศำสนำ หรอื ศำสนำท่ีตนนบั ถือ ยดึ หลกั ปรัชญำของเศรษฐกิจ
พอเพียง

๒. มคี วำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรสอื่ สำร กำรคิด กำรแกป้ ญั หำ กำรใช้เทคโนโลยี และมี
ทกั ษะชวี ติ

๓. มสี ุขภำพกำยและสขุ ภำพจติ ทด่ี ี มสี ขุ นสิ ยั และรักกำรออกกำลังกำย
๔. มีควำมรักชำติ มีจติ สำนึกในควำมเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มัน่ ในวิถีชีวติ และ กำร
ปกครองตำมระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
๕. มจี ิตสำนกึ ในกำรอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมและภมู ิปัญญำไทย กำรอนรุ ักษแ์ ละพฒั นำ
สิง่ แวดล้อม มีจติ สำธำรณะที่มงุ่ ทำประโยชนแ์ ละสร้ำงสงิ่ ที่ดงี ำมในสงั คม และอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมอยำ่ ง
มคี วำมสุข

๓. องคป์ ระกอบของหลกั สตู ร (Curriculum Component)

องคป์ ระกอบตำมหลกั สตู รอำจจะแตกต่ำงกันบ้ำงในรำยละเอียด แตส่ ว่ นใหญ่มีประเด็นหรอื
องคป์ ระกอบท่ีสำคัญเหมือนกนั อย่ำงครบถว้ น ซึง่ จะช่วยใหผ้ ้ใู ช้หลกั สูตรสำมำรถไปใช้หลกั สูตรได้
อย่ำงมีประสิทธภิ ำพ องคป์ ระกอบทส่ี ำคญั คอื

จดุ มุง่ หมายของหลกั สูตร (Curriculum Aims)
จดุ มุ่งหมำยของหลกั สูตร หมำยถงึ ควำมตงั้ ใจหรือควำมคำดหวงั ทต่ี ้องกำรใหเ้ กิดข้นึ ในตวั ผทู้ ่ี
จะผ่ำนหลักสตู ร จุดมงุ่ หมำยของหลกั สตู รมคี วำมสำคญั เพรำะเปน็ ตวั กำหนดทิศทำงและขอบเขตใน
กำร ศกึ ษำแก่เดก็ ชว่ ยในกำรเลือกเนื้อหำและกจิ กรรม ตลอดจนใช้เป็นมำตรกำรอย่ำงหนึง่ ในกำร
ประเมินผล
จุดมุ่งหมำยของกำรศกึ ษำมหี ลำยของระดับ ไดแ้ ก่ จุดมงุ่ หมำยหลำยระดบั หลกั สูตรซง่ึ เปน็
จุดมงุ่ หมำยที่บอกใหผ้ ู้ทเ่ี ก่ยี วข้อง ร้เู ปำ้ หมำยของหลกั สูตรนน้ั ๆ จดุ มุง่ หมำยของกลุ่มวชิ ำ วชิ ำแต่ละ
กลุ่มจะสรำ้ งคณุ ลกั ษณะทแ่ี ตกต่ำงกันให้กบั ผเู้ รียนด้งั น้ันแตล่ ะ กลมุ่ วชิ ำจงึ มีจดุ มงุ่ หมำยไว้ตำ่ งกนั
จดุ ม่งุ หมำยรำยวิชำเปน็ จดุ หมำยท่ีละเอียดจำเพำะเจำะจงกวำ่ จุดมุ่งหมำยกลุ่ม วิชำ ผสู้ อนกลุ่ม
รำยวชิ ำจะกำหนดจุดมุ่งหมำยในกำรสอนเนอื้ หำแตล่ ะบทแตล่ ะตอนขนึ้ ใน รปู ของจดุ มุ่งหมำยเชิง
พฤตกิ รรม แม้ว่ำจดุ มุ่งหมำยทำงกำรศกึ ษำจะมีระดบั ดงั กล่ำวแลว้ จดุ ม่งุ หมำยหลำยระดบั ยอ่ ม
สอดคลอ้ งกันและนำไปสูจ่ ุดหมำยปลำยทำงเดยี วกัน

30

เน้อื หา (Content)
เมือ่ กำหนดจดุ ม่งุ หมำยของหลักสูตรแลว้ กจิ กรรมขึน้ ตอ่ ไปนี้ กำรเลอื กเน้ือหำประสบกำรณ์
กำรเรยี นรูต้ ่ำง ๆ ทีค่ ำดวำ่ จะช่วยให้ผูเ้ รยี นพัฒนำไปสจู่ ุดมงุ่ หมำยทก่ี ำหนดไว้ โดยดำเนนิ กำรต้ังแต่
กำรเลือกเนือ้ หำสำระและประสบกำรณ์ กำรเรยี งลำดับเน้ือหำสำระ พร้อมทงั้ กำรกำหนดเวลำเรียนที่
เหมำะสม
การนาหลกั สตู รไปใช้ (Curriculum implementation)
เปน็ กำรนำหลกั สตู รไปสู่กำรปฏิบตั ิ ซ่ึงประกอบด้วยกจิ กรรมตำ่ ง ๆ เชน่ กำรจัดทำวัสดุ
หลกั สตู ร ได้แก่ คู่มือครู เอกสำรหลักสตู ร แผนกำรสอน แนวกำรสอน และแบบเรยี น เปน็ ตน้
กำรจัดเตรยี มควำมพร้อมด้ำนบุคลำกรและสิ่งแวดลอ้ ม เช่น กำรจดั โต๊ะ เก้ำอ้ี หอ้ งเรียน วสั ดุ
อปุ กรณ์ในกำรเรยี น จำนวนครูและสิง่ แวดลอ้ มอำนวยควำมสะดวกต่ำง ๆ กำรดำเนินกำรสอน เปน็
กจิ กรรมทสี่ ำคญั ทส่ี ุดในข้นั ตอนกำรนำหลักสูตรไปใช้ เพรำะหลกั สูตรจะไดผ้ ลหรอื ไมข่ นึ้ อยกู่ ับ
พฤตกิ รรมกำรสอนของครู ครูผสู้ อนจะตอ้ งมคี วำมรใู้ นด้ำนกำรถำ่ ยทอดเนอื้ หำควำมรกู้ ำรวัดและ
ประเมนิ ผล จติ วทิ ยำกำรสอน ตลอดท้ังปรัชญำกำรศกึ ษำของแตล่ ะดับ จึงทำใหก้ ำรเรยี นของผเู้ รยี น
บรรลเุ ปำ้ หมำยของหลกั สตู ร
การประเมินผลหลักสตู ร (Evaluation)
กำรประเมินผลหลกั สูตร คือ กำรหำคำตอบว่ำ หลกั สตู รสมั ฤทธิผ์ ลตำมทีก่ ำหนดใน
จดุ มงุ่ หมำยหรอื ไม่ มำกนอ้ ยเพียงใด และอะไรเปน็ สำเหตุ กำรประเมนิ ผลหลกั สตู รเปน็ งำนใหญแ่ ละมี
ขอบเขตกวำ้ งขวำง ผปู้ ระเมนิ จำเปน็ ตอ้ งวำงโครงกำรประเมินผลไวล้ ่วงหน้ำ
องคป์ ระกอบของหลักสตู ร ถอื ไดว้ ำ่ เป็นส่ิงสำคญั ท่จี ะทำใหห้ ลกั สูตรมคี วำมสมบรู ณเ์ พรำะ
องคป์ ระกอบเป็นแนวทำงในกำรจดั กำรศึกษำ ในด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้กำรบริหำรหลักสูตรกำรวัดและ
ประเมนิ ผล กำรปรบั ปรงุ และพัฒนำหลกั สตู ร ซึ่งนักวิชำกำรหลำยทำ่ นได้กล่ำวถงึ องคป์ ระกอบของ
หลักสตู รดังต่อไปน้ี
ธำรง บวั ศรี ไดก้ ลำ่ วถึงองคป์ ระกอบของหลักสตู รพอสรปุ ได้ดงั นี้
๑. เปำ้ หมำยและนโยบำยกำรศึกษำ (Education Good and Policies) หมำยถึง ส่ิงทีร่ ัฐ
ต้องตำมแผนพัฒนำเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชำติในเรื่องเกีย่ วกับกำรศึกษำ
๒. จดุ หมำยของหลกั สูตร (Curriculum Amis) หมำยถงึ ผลส่วนรวมทต่ี อ้ งกำรให้เกดิ แก่
ผเู้ รียนหลังจำกเรียนจบหลกั สตู รไปแล้ว4
๓. รูปแบบและโครงสรำ้ งหลกั สูตร (Type and Stucture ) หมำยถึง ลกั ษณะและแผนผัง
ทแี่ สดงกำรแจกแจงวชิ ำหรือกล่มุ วชิ ำ หรอื กลมุ่ ประสบกำรณ์
๔. จดุ ประสงคข์ องวชิ ำ(Subject objectives) หมำยถึงผลท่ีต้องกำรให้เกดิ แก่ผเู้ รยี น
หลงั จำกท่ีได้เรยี นวชิ ำน้นั แล้ว
๕. เนื้อหำ (Content)หมำยถงึ สิ่งท่ีตอ้ งกำรใหผ้ ้เู รยี นได้เรียนรูท้ ักษะและควำมสำมำรถที่
ตอ้ งกำรใหม้ ี รวมทัง้ ประสบกำรณท์ ตี่ อ้ งกำรใหไ้ ด้รบั
เซเลอร์ และอเลกซำนเดอร์ ไดก้ ล่ำววำ่ องค์ประกอบของหลกั สูตรประกอบด้วย
๑. แผน
๒. ขอบเขตของหลกั สูตร

4 ไพฑูรย์ สนิ ลำรัตน.์ ปรัชญาการศกึ ษาเบอื้ งต้น. พมิ พ์คร้ังท่ี 3. ( กรุงเทพฯ: จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลยั .
2529). หน้ำ 93


Click to View FlipBook Version