การเรยี นรู้เชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
การประมวลผลการเรยี นรู้เชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning)
ในพนื้ ที่จังหวดั เชยี งใหม่
โครงการศกึ ษาอบรมหลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สูง (นปส.) รนุ่ ท่ี ๗6
รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดบั สูง (นปส.) รนุ่ ท่ี 76
สถาบนั ดารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย
พทุ ธศักราช 2564
การเรียนรเู้ ชงิ ปฏิบตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สูง (นปส.) รุน่ ท่ี 76
โครงการศึกษาอบรมหลกั สูตรนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ที่ ๗๖ ของกระทรวงมหาดไทย
ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
การบริหารราชการแผ่นดนิ ในปัจจบุ นั มกี รอบการดาเนนิ งานภายใต้บทบญั ญัตแิ ห่งกฎหมาย และแผน
ระดับต่าง ๆ ที่สาคัญ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ.
๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) แผนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) นโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ รัฐบาล
๔.๐ แผนพัฒนาภาค (๖ ภาค) แผนพัฒนากลุม่ จงั หวดั (๑๘ กลมุ่ จังหวดั ) แผนพัฒนาจงั หวดั (๗๖ จงั หวดั ) เขต
เศรษฐกจิ พเิ ศษ (๑๐ เขตพ้ืนที)่ ระเบยี งเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ฉะเชงิ เทรา ชลบุรี ระยอง และเมืองพทั ยา)
ตลอดจนระเบยี งเศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วข้องกับการพัฒนาพน้ื ที่
กระทรวงมหาดไทยมีภารกิจในการบาบัดทุกข์ บารุงสุขของประชาชนด้านต่าง ๆ โดยเก่ียวข้องกับ
การบริหารราชการส่วนภูมิภาค การพัฒนาจังหวัดกลุ่มจังหวัด ตลอดจนการพัฒนาภาคและเช่ือมโยงกับ
การปกครองส่วนท้องถิ่น จึงมีความจาเป็นที่จะต้องพัฒนาบุคลากรทุกประเภท/ ระดับ ให้มีความพร้อมใน
การปฏิบตั ิราชการให้สาเรจ็ ตามเปา้ หมายทก่ี าหนดไว้ ท้ังน้ี การพัฒนาข้าราชการเพือ่ ใหม้ ีความพร้อมสาหรับ
การก้าวข้ึนไปสตู่ าแหน่งระดับบรหิ ารของสว่ นราชการนบั ว่ามคี วามสาคัญอยา่ งย่ิง โดยกระทรวงมหาดไทยได้
จัดโครงการศึกษาอบรม หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) มาต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ และได้ปรับปรุง
หลักสูตรดังกล่าวให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ความม่ันคงของชาติ สังคม
วัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อม ตลอดจนพัฒนาการ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลา ตามกรอบมาตรฐานหลักสูตรการฝึกอบรมนกั บรหิ ารระดับสงู ของ ก.พ. เพ่ือให้หลกั สตู รฝกึ อบรม
นักปกครองระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยได้รับการรับรองจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
และสามารถพัฒนานักปกครองและนักบริหารระดับสูง รองรับภารกิจของส่วนราชการในสังกัด
กระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ยุทธศาสตร์ท่ี ๖ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจดั การ ภาครัฐ (ประเด็นหลักการพฒั นาท่ี
๖.๔ การพฒั นาบุคลากรภาครัฐ) ยุทธศาสตรก์ ระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ (ประเด็นยทุ ธศาสตรท์ ่ี
๔ การวางรากฐานการพัฒนาองคก์ รอย่างสมดุล) และยทุ ธศาสตร์การพัฒนา บุคลากรของกระทรวงมหาดไทย
พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ (ประเด็นยุทธศาสตร์ท่ี ๑ การพัฒนาระบบและบคุ ลากรท่เี ปน็ เลศิ ยุทธศาสตร์ที่ ๑.๓
การพัฒนาบคุ ลากรพร้อมรับการเปล่ยี นแปลง)
หลักสูตรฝึกอบรมนักปกครองระดับสงู (นปส.) ของกระทรวงมหาดไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ มี
เป้าหมายการพฒั นาผเู้ ข้าอบรมหลกั สูตรฝึกอบรมนักปกครองระดบั สงู (นปส.) ของกระทรวงมหาดไทยใหเ้ ป็น
“นักบริหารที่มีภาวะผู้นาเชิงวิสัยทัศน์และคุณธรรม (visionary and ethical leadership) ภาวะผู้นาแบบ
บริหารร่วมกัน (collaborative leadership) ภาวะผู้นาด้านดิจิทัล (digital leadership) ภาวะผู้นาภายใต้
สถานการณ์วิกฤต (crisis leadership) และภาวะผู้นาที่ย่ังยืน (sustainable leadership) รวมท้ังเป็นผู้นา
การเปล่ียนแปลง (changeleaders) ทมี่ คี วามรู้ ทกั ษะ และสมรรถนะในการบรหิ ารจัดการการพัฒนาในระดับ
พนื้ ที่ (area-based development) พร้อมทีจ่ ะก้าวข้นึ ไปปฏิบัตหิ นา้ ทใ่ี นตาแหน่งรองผู้วา่ ราชการจังหวัดหรือ
เทียบเทา่ ” โดยมีวตั ถุประสงคข์ องหลักสตู ร เพอ่ื พฒั นานกั ปกครองและนักบริหารระดบั สูงใหม้ ีคณุ ลกั ษณะทีจ่ ะ
นาไปสกู่ ารได้รบั การยอมรับ ความเชือ่ ถือ และไว้วางใจจากผู้มสี ่วนได้สว่ นเสีย และทกุ ภาคสว่ นทเี่ กี่ยวขอ้ ง และ
เตรียมความพรอ้ มให้แก่ผู้ดารงตาแหน่งประเภทอานวยการหรอื เทยี บเท่าในการเข้าสู่ตาแหน่งประเภทบริหาร
สามารถปฏิบัติหน้าท่ีในตาแหน่งดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสามารถทางการบริหารจัดการใน
การเรียนร้เู ชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning) หลกั สูตรนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ที่ 76
การทางานและเพื่อการใช้ชีวิตในบริบทสภาวะแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ อาทิเช่น ภาวะผู้นาและ
การบริหารราชการกับบริบทการเปลย่ี นแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ การบริหารทิศทาง นโยบายและการบริหาร
การเปล่ยี นแปลง การจัดการด้านทรพั ยากรในบทบาทและหน้าที่ของนักปกครองระดับสงู การบริหารตนและ
การบรหิ ารคน ศาสตรพ์ ระราชาและการประยกุ ต์ใช้ในการบรหิ ารการพัฒนาเชิงพนื้ ท่ี รวมถงึ สมรรถนะต่างๆ ท่ี
จาเป็นสาหรับนักปกครอง/นกั บริหารระดับสูง ได้แก่ การตัดสินใจ การสื่อสาร การประสานงาน การประสาน
สัมพันธ์ การปรับตัวและความยืดหยุ่น และจิตมุ่งบริการ เพ่ือสร้างเครือข่ายผู้นา ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยน
ประสบการณก์ ารทางานให้ขอ้ คิดเห็นและขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้องกบั การบรหิ ารราชการของประเทศใน
ประเด็นตา่ ง ๆ ตามสถานการณ์ได้
“การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ (Action Learning)” เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรนักปกครองระดับสงู
(นปส.) รนุ่ ที่ ๗6 โดยมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พื่อนาบทเรียนและประสบการณ์จากการมีสว่ นรว่ มในการวเิ คราะห์
ปัญหาจากพื้นท่ีจริงไปใช้ในการบริหารราชการและสร้างมูลค่าเพ่ิมสาหรับประสบการณ์การบริหารราชการ
ให้แก่ผู้เข้าอบรมหลกั สูตรสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการบริหารงานได้กว้างขว้างมากขึ้น โดยกาหนดพนื้ ท่ี
การเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ตั ิการในพน้ื ท่ีจงั หวดั เชยี งใหม่
ทั้งนเี้ พอ่ื ใหผ้ ้เู ข้าอบรมไดเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูล ณ สถานที่จริง โดยร่วมมอื กับประชาชนหรือผู้ท่เี ก่ียวขอ้ ง
ในพื้นท่ี เพ่ือวิเคราะห์ให้ทราบถึงปัจจัยภายใน และปัจจัยจากภายนอกของหมู่บ้านท่ีส่งผลต่ออุปสรรคหรือ
ความสาเร็จในการประกอบสมั มาอาชพี ของคนในชุมชนทผี่ ู้เข้าอบรมได้เขา้ ไปศกึ ษา และทางราชการสามารถ
นาบทเรยี นจากปัจจัยที่ไดว้ ิเคราะห์นาไปปรบั ใชก้ บั ระบบการทางานทางการเงินการจดั ซอ้ื จดั จา้ ง การจัดอบรม
ปรบั ทัศนคติ และทกั ษะตา่ ง ๆ เพ่อื ให้คนในชุมชนมวี ถิ ีชวี ิตท่ดี ีข้ึนต่อไป
การเรียนรู้เชิงปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลักสตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) ร่นุ ท่ี 76
สารบญั
1. การเรียนรเู้ ชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) ณ จงั หวัดเชียงใหม่ หนา้
2. กรอบการเรยี นรู้เชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) 1
3. บทสรปุ จากคณะอาจารย์ทปี่ รกึ ษาหลกั สูตร 2
4. การเรียนรเู้ ชิงปฏบิ ัตกิ ารในอาเภอจอมทอง จังหวดั เชียงใหม่ 5
5. การเรียนรเู้ ชงิ ปฏิบตั กิ ารในอาเภอเชยี งดาว จงั หวัดเชยี งใหม่ 9
6. การเรียนรเู้ ชิงปฏิบตั กิ ารในอาเภอแมอ่ อน จงั หวดั เชยี งใหม่ 75
7. การเรียนรเู้ ชิงปฏิบตั กิ ารในอาเภอสะเมงิ จังหวัดเชียงใหม่
8. การเรียนรเู้ ชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในอาเภอแม่แตง จังหวดั เชยี งใหม่ 127
9. การเรียนรเู้ ชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในอาเภอแม่วาง จังหวัดเชยี งใหม่ 171
198
228
การเรยี นรู้เชิงปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลกั สูตรนักปกครองระดบั สูง (นปส.) รุ่นที่ 76
การเรียนรเู้ ชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning) ณ จงั หวัดเชียงใหม่
หลกั สตู รนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รนุ่ ที่ 76
ระหวา่ งวันท่ี 5 – 9 เมษายน 2564
“การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ” เป็นส่วนหนึ่งของหลกั สูตรนักปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นที่ ๗6 โดย
วัตถุประสงค์ เพื่อร่วมเรียนรู้และทำควำมเข้ำใจกับชุมชนท้องถ่ินถึงสถำนกำ รณ์ในขณะนี้และ
แนวโนม้ กำรเปล่ยี นแปลงใน 2 ปขี ำ้ งหนำ้ ของ “ชุมชนทอ้ งถ่ิน” “โอกำสและควำมสำมำรถในกำรปรบั ตวั ของ
ชุมชนท้องถน่ิ ” ในสถำนกำรณ์ทโ่ี ครงสร้ำงเศรษฐกิจเปล่ียนไป เพรำะเทคโนโลยีทีพ่ ลกิ ผนั ภำวะโลกรอ้ นและ
กำรระบำดของไวรัสโควิด-19 โดยนำหลักกำรทรงงำนในกำรพัฒนำ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”
ท่ีในหลวงรชั กำลที่ 9 ทรงพระรำชทำนให้ยดึ ถอื ปฏิบัติมำประยกุ ตใ์ ชใ้ นกำรวิเครำะห์ว่ำ
1. สถานการณป์ ัจจบุ นั และอนาคต 2 ปขี ้างหนา้
ทำงเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมและนเิ วศนส์ ิง่ แวดลอ้ มของหมูบ่ ำ้ นทเี่ ป็นชมุ ชนชนบททที่ ำกำรศกึ ษำ
ว่ำท่ีผ่ำนมำ ผู้คน สถำบันครอบครัว ศำสนำ กำรศึกษำเรียนรู้ ระบบกำรผลิต ระบบกำรเงิน ระบบทุน
ระบบเทคโนโลยี ระบบกำรบริโภค ระบบนเิ วศนส์ ง่ิ แวดล้อม ได้ปรบั และเปลย่ี นแปลงไปอันเป็นผลมำจำก
กำรปฏิสมั พันธ์กนั ระหว่ำงพลังกดดนั จำกภำยนอกชุมชนและแรงตำ้ นแรงรบั จำกภำยในชุมชนอย่ำงไรบำ้ ง
2. คนยากจน* ครัวเรือนยากจน
ครวั เรือนที่พอพง่ึ ตนเองไดม้ คี วำมเสี่ยงอะไรในด้ำนใดบำ้ งท่จี ะไมม่ ีชวี ติ ทอ่ี ยู่ดีมสี ุข
3. รว่ มรบั รแู้ ละรว่ มคิดกับคนยากจน ครัวเรือนยากจน
ครัวเรอื นที่พอพึ่งตนเองไดบ้ ้ำงทีเ่ ปน็ เจำ้ ของปัญหำว่ำจะปอ้ งกันควำมเสย่ี งทจ่ี ะเกิดขึ้นกบั ตนเอง
และครอบครัวและชมุ ชนโดยจะแกไ้ ขข้อจำกัดและปัญหำของตนเองดว้ ยตนเอง อย่ำงไร
*คนยากจน ในทน่ี ี้ คือ คนท่มี บี ตั รสวัสดกิ ารแหง่ รฐั ทยี่ งั ไมห่ มดอายุและสมาชกิ ในครวั เรอื นที่มรี ายไดข้ องครัวเรอื น
ทง้ั ปีต่ากวา่ รายไดท้ ่ีเป็นเสน้ ความยากจนของตล่ ะจงั หวัดในปี 2563
๑
การเรียนรู้เชงิ ปฏิบัติการ (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นที่ 76
กรอบการศึกษาเรยี นรเู้ ชิงปฏบิ ตั ิการ (Action Learning)
เพอ่ื เข้าใจ เข้าถึง วถิ ชี วี ติ ชุมชน
การเรยี นรูเ้ พอื่ เขา้ ใจ เขา้ ถงึ วิถชี ีวิตชมุ ชน
1. การศกึ ษาเรยี นรภู้ มู สิ งั คมและวิถชี ีวิตของชมุ ชน
2. การศึกษาเรียนรรู้ ะบบการบรหิ ารจดั การชมุ ชน
3. การศึกษาเรียนรนู้ โยบายภาครฐั และผลกระทบตอ่ การพฒั นาของชุมชน
1. การเรียนรูภ้ มู ิสังคมและวิถีชีวิตของชมุ ชน
วตั ถุประสงค์
เพ่ือเข้าใจชมุ ชนในลักษณะทเ่ี ปน็ ระบบชวี ิตระบบหนึง่ ท่มี ีตัวตน มที มี่ า มเี อกลกั ษณ์ มที รพั ยากร
ทเ่ี ป็นฐานชีวิต มีความเป็นพลวัตร ปรับตวั เปลีย่ นแปลง เปลีย่ นผ่านไปตามเง่อื นไขปัจจัยต่างๆ ท้งั ภายในและ
ภายนอกชุมชน บางช่วงเวลาเรว็ บางช่วงเวลาชา้ มีการสั่งสมทนุ ปัญญา ทุนทรพั ยากร ทนุ การจดั การ และทุน
ทางวัฒนธรรมของตนเอง มากน้อยแตกต่างกัน ส่งผลให้มคี วามสามารถและความพร้อมในระดบั หนึ่งท่จี ะฟัน
ฝ่าแหวกวา่ ยไปในสายธารทีเ่ ชีย่ วแรงของโลกาภวิ ัตน์ไดอ้ ยา่ ง เทา่ ทนั พอเพยี ง และปลอดภัยหรอื ไม่ อยา่ งไร
ประเด็นท่ีศึกษา
1.1 ประวตั คิ วามเป็นมา การตั้งถน่ิ ฐาน ชาตพิ นั ธข์ องผอู้ าศัย เหตกุ ารณส์ ่าคญั ท่เี กิดขึ้นในชุมชน
ในช่วงเวลาท่ีผ่านมา ตั้งแต่เริ่มก่อต้ังชุมชน การบริหารจัดการชุมชนภายใต้กรอบหรือบริบทของ
ขนบธรรมเนยี ม วัฒนธรรม
1.2 วิถชี วี ิต ความเปน็ อยู่ การใชช้ วี ิต การจัดการชวี ิตและครอบครัวของผูค้ นแต่ละกลุ่ม หมูบ่ า้ น
ผคู้ นแต่ละระดับชัน้ ทางเศรษฐกิจสงั คม
1.3 ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชนในด้านการผลิต การประกอบอาชีพ การจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาพยาบาล การศาสนา การสร้างความสงบทางจิตใจ และการจัดการกิจการ
สาธารณะต่าง ๆ เพื่อเสรมิ สร้างความอยูด่ ีมีสุขของผคู้ นในและระหวา่ งชุมชน
1.4 ลักษณะทางชีวภาพและกายภาพของชุมชน ทรัพยากรและปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเป็นฐานชีวิต
ให้แกช่ มุ ชนทศี่ ึกษาและชมุ ชนอ่นื ในพ้นื ทีล่ ุม่ น่้าเดยี วกันหรือแหลง่ นเิ วศน์เดียวกัน และมีผลตอ่ วิถีชวี ติ ชุมชนใน
พ้ืนท่ี เช่น แหล่งน้่าการจดั การชลประทาน สภาพความสมบูรณ์ของดิน ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ
ระบบนเิ วศนข์ องพ้นื ท่ี รวมทั้งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกันภายในชมุ ชน เปน็ ต้น
1.5 การเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนอันเกิดจากแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกที่ส่าคัญ คือ
บทบาทรัฐในการพัฒนาชนบท และพลังของเศรษฐกิจระบบตลาดเสรี เช่น การส่งเสริมการปลกู พืชเศรษฐกิจ
การส่งเสริมการใชเ้ ทคโนโลยกี ารผลิตสมัยใหม่ตามนโยบายรัฐบาล การเข้ามาของระบบเงนิ ตราและระบบทุน
ระบบสินเช่ือ การส่งเสริมวิสาหกิจในชุมชน และการผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมตามความต้องการของ
ตลาด เป็นต้น
๒
การเรยี นรู้เชิงปฏิบตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุน่ ท่ี 76
2. การเรยี นร้รู ะบบการบรหิ ารจัดการชมุ ชน
วัตถุประสงค์
เพื่อเข้าใจและประเมินความเข้มแข็งของชุมชนในแง่มุมของความสามารถของชุมชนในการใช้
ประโยชน์จากเง่อื นไขต่างๆ ทเี่ ป็นโอกาส เพอ่ื ก่อใหเ้ กิดการพฒั นาและ ขดี ความสามารถของชุมชนในการรับรู้
ก่าหนด และจัดการแก้ไขปญั หาในเรื่องการหารายได้และการประกอบอาชีพ อีกทั้งปญั หาสงั คมของชมุ ชนให้
ผ่อนคลาย ทัง้ นี้ เพ่อื มุ่งคน้ หาประสบการณข์ องชมุ ชนในแงข่ องมุมมอง หลักคดิ ทม่ี ีตอ่ ปญั หา และโอกาสในการ
พฒั นา ตลอดจนกลวธิ ี แนวทาง ข้ันตอนการจดั การทีช่ มุ ชนถอื ปฏบิ ัติ รวมทัง้ การเรียนรู้ของชมุ ชน
ประเด็นทีศ่ ึกษา
2.1 ศึกษากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของภาครัฐ ท่ีมีผลกระทบต่อการใช้หรือการประกอบ
อาชีพภายในชุมชน ระบบการบรหิ ารจดั การเงนิ ทนุ ระบบการผลิตเชงิ เกษตรกรรมหรืออตุ สาหกรรมทเ่ี กิดขึ้น
ภายในชมุ ชน รวมทั้งปัจจยั ความเสีย่ งในการเกิดหน้สี นิ และความเสย่ี งในการไม่สามารถชา่ ระหน้ภี ายในชมุ ชน
2.2 การวิเคราะหโ์ อกาสหรอื ข้อจ่ากดั ในการจดั การปญั หาของชุมชนในปัจจุบนั ว่าควรได้รบั การ
สนับสนุนในประเด็นใดเป็นส่าคัญหรือการด่าเนินแนวทางการพัฒนาชุมชนภายใต้ของจ่ากัดที่มีอยู่ รวมท้ัง
แนวทางการลดขอ้ จ่ากดั ท่มี อี ยู่ เปน็ ต้น
2.3 การวิเคราะห์ความสามารถในการบริหารจัดการชุมชนว่ามีมากน้อยเพียงใด รวมทั้งมี
กระบวนการหรอื ข้นั ตอนในการก่าหนด ติดตาม และประเมินผลอย่างไรบ้าง
2.4 การวิเคราะหภ์ าพรวมของภาคการเกษตรในพื้นท่ี โดยสามารถพิจารณาเป็นห่วงโซ่ ต้ังแต่
เรื่องวัตถดุ บิ ปจั จัยการผลิต การแปรรูป การตลาด รวมทง้ั ความเสยี่ งทอี่ าจเกดิ ขึ้น
2.5 การจัดการชุมชนเข้มแข็งตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยพิจารณาว่าภาครฐั ตอ้ งมี
การปรับเปลี่ยนนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้สอดคล้องกับสภาพพ้ืนที่หรือชุมชนเองจะต้องได้รับ
การสนับสนุนในด้านใดบ้าง จึงจะมีศักยภาพด้านการจัดการตามเจตนารมณ์ของภาครัฐ รวมท้ังพิจารณา
ข้อจา่ กดั ท่เี ปน็ ตัวแปรส่าคัญในการบริหารจดั การชมุ ชน
3. การศึกษาเรยี นรู้นโยบายภาครัฐและผลกระทบตอ่ การพัฒนาของชมุ ชน
วัตถปุ ระสงค์
เพ่อื เขา้ ใจชุมชนในลักษณะทีเ่ ป็นระบบชีวิตระบบหนง่ึ ทมี่ ตี ัวตน มที ่มี า มีเอกลักษณ์ มที รพั ยากร
ทีเ่ ป็นฐานชีวติ มีความเป็นพลวตั ร ปรบั ตวั เปลีย่ นแปลง เปล่ียนผ่านไปตามเง่ือนไขปจั จยั ต่างๆ ทัง้ ภายในและ
ภายนอกชุมชน บางชว่ งเวลาเรว็ บางช่วงเวลาช้า มกี ารสั่งสมทุนปัญญา ทนุ ทรัพยากร ทุนการจัดการ และทุน
ทางวัฒนธรรมของตนเอง มากน้อยแตกต่างกัน ส่งผลให้มคี วามสามารถและความพร้อมในระดบั หน่งึ ทีจ่ ะฟัน
ฝ่าแหวกวา่ ยไปในสายธารทีเ่ ช่ยี วแรงของโลกาภิวัตนไ์ ด้อย่าง เทา่ ทัน พอเพียง และปลอดภัยหรอื ไม่ อยา่ งไร
ประเด็นทศ่ี กึ ษา
3.1 บทบาทของภาครัฐ และผลลพั ธข์ องการนา่ นโยบายตา่ ง ๆ ของภาครฐั ไปปฏิบตั ใิ นพืน้ ที่ เชน่
นโยบายการจัดการน้่าดนิ ป่าการส่งเสริมเกษตร สินเชือ่ การเกษตร วสิ าหกจิ ชมุ ชน การรับจา่ น่าขา้ ว การรกั ษา
สุขภาพ การปราบปรามยาเสพติด และข้อเท็จจรงิ ต่าง ๆ ท่ีสง่ ผลกระทบตอ่ ชุมชนในพืน้ ที่
3.2 ผลลัพธท์ ี่เกดิ ขึน้ จากนโยบายของภาครัฐกอ่ ใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงกับวิถชี ีวิตของชาวบ้าน
ภายในชุมชนในเชงิ บวกและลบอย่างไร
3.3 ระดับของการพัฒนาของชมุ ชนท่ศี ึกษาในขณะน้อี ยใู่ นระดบั ใด
๓
การเรียนร้เู ชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลกั สูตรนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รนุ่ ที่ 76
3.4 สดั ส่วนจ่านวนของครัวเรือนทยี่ ากจนในชุมชน
3.5 ความคิดเห็นและความสามารถของชุมชนในการใช้ประโยชน์จากโครงการกิจกรรมต่างๆ
ภายใตน้ โยบายแต่ละด้านท่มี ีการดา่ เนนิ การในชุมชนเพอ่ื พฒั นาความเปน็ อย่ขู องครวั เรอื นทว่ั ไปและครัวเรือน
ทีย่ ากจน
3.6 ความคิดเหน็ ของนักศกึ ษาตอ่ โอกาสและความเสย่ี งของชุมชนและครัวเรือนยากจน
3.7 ประเด็นส่าคัญท่ตี ้องพัฒนาของชุมชน ทิศทาง แนวคิด แนวทางในการพัฒนาท่ีเหมาะสม
และปฏิบัตไิ ด้จริง
ประเดน็ หัวข้อของกำรพฒั นำของชุมชน
ให้นักศึกษาแตล่ ะกลุ่มเลอื กประเดน็ กำรพฒั นำ 1 - 3 หวั ข้อ มาประกอบการร่วมคดิ รว่ มเรียนรู้
กับคนยำกจนในครวั เรอื นและชมุ ชนในกำรป้องกนั ควำมเสย่ี ง และแกป้ ญั หากำรพฒั นำ โดยตอบคา่ ถาม ดังนี้
1. ผลทเี่ กิดขึ้นจากการเรง่ รัดพฒั นาชุมชนใน 60 ปที ่ผี า่ นมา
2. ระดับความสามารถของชมุ ชนในการจัดการปญั หาและพฒั นาตนเอง
3. ประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ลของการน่านโยบายของรฐั บาลมาปฏบิ ตั ิ
4. ความเสี่ยงของหมบู่ ้านและครวั เรือนทจี่ ะมชี วี ิตที่ไม่ม่ันคง
5. การร่วมคดิ กบั ชมุ ชนในการหาแนวทางท่าให้ชมุ ชนอยรู่ อดปลอดภยั และยงั่ ยืน
รายชอื่ หมู่บา้ น “การเรยี นรเู้ ชิงปฏิบตั ิการ” หลักสูตรนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นท่ี 76 ดงั นี้
1. อาเภอจอมทอง ได้แก่ บ้านอา่ งกานอ้ ย หมู่ท่ี 17 ต่าบลบา้ นหลวง กลุ่มปฏิบตั ิการท่ี 1 (กป.1)
บา้ นเชงิ ดอย หมทู่ ี่ 3 ต่าบลสบเตยี๊ ะ กล่มุ ปฏบิ ัตกิ ารท่ี 11 (กป.11)
2. อาเภอเชยี งดาว ไดแ้ ก่ บ้านปางเฟอื ง หมู่ท่ี 2 ต่าบลปิงโค้ง กลมุ่ ปฏบิ ตั กิ ารที่ 2 (กป.2)
บา้ นแม่แมะ หมทู่ ี่ 11 ต่าบลแม่นะ กลมุ่ ปฏิบัตกิ ารที่ 9 (กป.9)
3. อาเภอแม่ออน ไดแ้ ก่ บา้ นปา่ น๊อต หม่ทู ่ี 5 ต่าบลแมท่ า กลมุ่ ปฏิบัตกิ ารที่ 3 (กป.3)
บ้านแม่วอง หมทู่ ่ี 4 ต่าบลออนเหนอื กลุ่มปฏบิ ัติการที่ 4 (กป.4)
4. อาเภอสะเมิง ไดแ้ ก่ บา้ นแม่ตงุ ติง หมูท่ ่ี 5 ต่าบลแมส่ าบ กลมุ่ ปฏิบตั ิการที่ 5 (กป.5)
บ้านโป่งกวาว หมทู่ ี่ 3 ต่าบลสะเมงิ เหนือ กลุ่มปฏบิ ตั ิการท่ี 7 (กป.7)
5. อาเภอแมแ่ ตง ไดแ้ ก่ บา้ นแม่โจ้ หมทู่ ่ี 1 ต่าบลบ้านเป้า กล่มุ ปฏิบัติการที่ 6 (กป.6)
บา้ นเมืองกด้ื หม่ทู ี่ 1 ต่าบลกืด้ ช้าง กลมุ่ ปฏบิ ัตกิ ารที่ 10 (กป.10)
6. อาเภอแม่วาง ไดแ้ ก่ บ้านห้วยตอง หมทู่ ี่ 10 ตา่ บลแมว่ นิ กลมุ่ ปฏิบตั ิการที่ 8 (กป.8)
บ้านห้วยอีค่าง หมู่ที่ 1 ต่าบลแมว่ นิ กลุ่มปฏิบตั กิ ารที่ 12 (กป.12)
๔
การเรียนรเู้ ชงิ ปฏิบัติการ (Action Learning) หลักสูตรนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นที่ 76
บทสรปุ จากคณะอาจารย์ทีป่ รกึ ษาหลกั สตู ร
อาจารย์พนิ ัย อนันตพงศ์
จากแนวความคิดทจ่ี ะพฒั นาทกั ษะและสมรรถนะในการบริหารจดั การ เพอ่ื บรู ณาการการทา่ งานใน
ระดับพ้ืนที่ (Area base approach) โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง คือ ให้ประชาชนเป็นท้งั เป้าหมายและ
เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา หลักสูตรฝึกอบรมนักปกครองระดับสูง (นปส.) จึงก่าหนดให้มีการเรยี นรู้เชิง
ปฏิบัติการ (Action Learning) โดยใหน้ กั ศกึ ษาหลักสูตรนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รุน่ ที่ 76 ลงไปศึกษาเพอื่
แกไ้ ขปัญหาความยากจนระดบั ฐานราก ดว้ ยการวางแผนพัฒนาระดับหม่บู า้ น ซงึ่ เปน็ พนื้ ทก่ี ารบรหิ ารราชการ
ระดับล่างสดุ ในลกั ษณะเปน็ การวางแผนจากเบอื้ งลา่ ง (Bottom-up) ในพ้ืนที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยใหน้ กั ศกึ ษา
ลงไปศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไข ตลอดจนบันทึกผล ถ่ายทอดบทเรียน และรายงานผลการเรียนรู้จาก
ประสบการณ์ดังกลา่ ว ในรปู แบบการรายงานกลุ่ม ดังปรากฏอยูใ่ นเอกสาร “การเรียนรูเ้ ชิงปฏบิ ัตกิ าร (Action
Learning)” ฉบบั นี้
แมว้ า่ การศกึ ษาด้วยการลงไปสมั ผัสคลกุ คลีอยู่กบั วิถีการดา่ รงชีวิตของชาวบา้ นในพน้ื ทจ่ี ะมรี ะยะเวลา
อันสั้นเพียง 4-5 วนั และมพี ื้นที่การศึกษาครัง้ นี้เพียง 12 หมู่บ้าน ใน 11 ต่าบล 6 อ่าเภอ จากพ้นื ท่ที ัง้ หมด
2,066 หมู่บ้าน ใน 204 ต่าบล 25 อ่าเภอของจงั หวัดเชียงใหม่ แต่จากข้อมูลและข้อเทจ็ จรงิ เชิงประจกั ษก์ ็
สามารถสะท้อนสภาพความเปน็ อยู่ของประชาชนในระดับหมบู่ ้านของจงั หวัดเชียงใหมใ่ นบางแงม่ ุมได้อย่าง
ชัดเจน ดังมีขอ้ มลู ทน่ี า่ สนใจ เช่น
1) แม้จงั หวัดเชียงใหมจ่ ะมผี ลติ ภณั ฑ์มวลรวมของจังหวัด (Gross Provincial Product) ในปี
2560 จา่ นวน 231,726 ล้านบาท ซึ่งสูงเปน็ ลา่ ดับทหี่ นึ่งของภาคเหนอื แตเ่ มอื่ ลงไปดใู นพ้นื ทก่ี ็ยงั พบปัญหา
ความยากจนและความเหลีย่ มล้่าปรากฏอยทู่ ่ัวไปในทุกหมบู่ ้าน
2) ทตี่ งั้ หม่บู า้ นเกอื บท้ังหมดทล่ี งไปศึกษาคร้ังน้ี มภี ูมปิ ระเทศเปน็ สภาพป่าเขา ทรี่ าบเชิงเขา
และที่ราบในหุบเขา ตลอดจนพืน้ ทีไ่ หลเ่ ขาหรือภูเขาสงู ท้ังยังอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ วนอุทยานแหง่ ชาติ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตรอยต่อกับอุทยานฯ และเขตพื้นท่ีลุ่มน่้าช้ัน 1Aและ1B ท่าให้ประชาชนประสบ
ปัญหาเร่ืองไม่มีเอกสารสิทธ์ิในท่ีดินท่ากิน และประชาชนขาดโอกาสจากโครงการของรัฐท่ีไม่สามารถลงมา
ด่าเนินการในพืน้ ท่ไี ด้ เพราะเจ้าหน้าทข่ี องรัฐมกั ไมบ่ รหิ ารความเสี่ยง แตม่ ักใช้วธิ กี ารหลกี เลี่ยงความเสี่ยงแทน
3) อาชีพหลักของประชาชนส่วนใหญ่ยังเปน็ อาชีพเกษตรกร ซึ่งท่าการเกษตรแบบด้ังเดิม
(ยกเวน้ ในพนื้ ท่ขี องโครงการหลวง) โดยปลูกพชื เชิงเดีย่ ว และมกั ประสบปัญหาราคาผลผลติ ตกต่า ท้ังมีสาเหตุ
จากการขาดอ่านาจการต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง รวมทั้งมีคู่แข่งจากผู้ผลิตรายใหญ่และมีการน่าเข้าจาก
ต่างประเทศ ในดา้ นการผลติ ยงั พบปญั หาการใช้สารเคมที ัง้ ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง ซ่งึ นอกจากทา่ ให้ต้นทนุ สงู แล้ว
ยังปนเปือ้ นลงสแู่ หลง่ นา้่ ท่ใี ชใ้ นการอปุ โภคบรโิ ภค และส่งผลกระทบตอ่ ปัญหาสุขภาพในระยะยาว
4) เน่ืองจากพน้ื ทห่ี มูบ่ ้านส่วนใหญม่ ภี ูมิประเทศและสภาพธรรมชาตทิ ่ีสวยงาม หลายหมู่บ้าน
จึงพัฒนาเป็นแหล่งทอ่ งเท่ียวเชิงนิเวศ จนเป็นที่นิยมและรู้จักในบรรดานักท่องเทีย่ วทั้งไทยและต่างประเทศ
บางหมู่บ้านยังได้รับการคัดเลือกใหด้ ่าเนินการตาม “โครงการหมบู่ ้านท่องเทีย่ วชุมชนนวัตวิถี” ตามนโยบาย
ของรฐั บาล โดยมบี รกิ ารทั้งแหลง่ ท่องเท่ียว ปางชา้ ง ร้านอาหาร รสี อรท์ และโฮมสเตย์ ทา่ ใหใ้ นระยะทีผ่ า่ นมา
หมบู่ ้านบางแห่งมกี ารทอ่ งเทีย่ วเปน็ อาชพี หลกั แทนอาชีพการเกษตรเดมิ และเกษตรกรกลายมาเปน็ ลูกจ้างหรอื
ผู้ให้บริการดา้ นการทอ่ งเท่ยี ว อยา่ งไรก็ตาม พบวา่ การขยายตวั ของธุรกจิ การทอ่ งเทีย่ วอยา่ งรวดเร็ว ทา่ ให้เกิด
๕
การเรยี นรู้เชิงปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
ปัญหาการบุกรุกป่า การท่าลายทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม รวมท้ังพบปัญหาขยะชุมชนเกิดข้ึนใน
หลายพน้ื ท่ี
5) เม่ือส่ารวจความต้องการของประชาชน พบว่ายังมีความต้องการโครงการประเภท
โครงสรา้ งพน้ื ฐาน เช่น ถนน ไฟฟา้ แหลง่ นา่้ เพอ่ื การอุปโภค บรโิ ภค และนา่้ เพ่ือการเกษตร แตก่ ารด่าเนนิ การ
โครงการดังกล่าวในพ้ืนทป่ี ่ามปี ญั หาด้านกฎหมาย ทา่ ใหบ้ างหมบู่ ้านไมม่ ีไฟฟ้าใช้ การคมนาคมไมส่ ะดวก ขาด
นา่้ เพือ่ ทา่ การเกษตรในหน้าแล้ง และตอ้ งซอ้ื น่า้ สะอาดส่าหรับการบริโภค
6) ทุกหมู่บ้านเป็นชุมชนเข้มแข็ง มีผู้น่าท่ีดีมีความสามารถ ประชาชนมีความสามัคคี มี
การรวมกลมุ่ กันท่ากจิ กรรมต่าง ๆ เคารพกฎกติกาของหมู่บ้าน มีปราชญ์ชาวบา้ นเป็นท่ปี รึกษา ประกอบกบั มี
ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จึงมีศักยภาพท่ีจะพัฒนาต่อยอดต่อไปได้อีก แต่ในช่วงท่ีประสบปัญหา
การแพรร่ ะบาดของโรคไวรสั โควิด-19 ทผี่ า่ นมา หมบู่ า้ นท่ีมรี ายไดจ้ ากการทอ่ งเทีย่ วได้รับผลกระทบอย่างหนกั
เพราะไม่มนี ักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา ส่วนเกษตรกรก็ได้รับผลกระทบมปี ญั หาเรอื่ งขาดตลาดรองรบั ผลผลติ
ทางการเกษตร
ในด้านการศึกษาเรียนรู้นโยบายภาครัฐและผลกระทบต่อการพัฒนาชุมชน พบว่าหลายโครงการ
ประสบความสา่ เรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์ แต่กม็ บี างโครงการท่ีมีผลกระทบทัง้ ด้านบวกและดา้ นลบ เชน่ โครงการ
กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน ซึ่งมีประโยชน์ส่าหรับประชาชนสามารถกู้ไปใช้จ่ายในการประกอบอาชีพ และน่า
ดอกเบ้ียที่เป็นรายได้ไปดูแลสาธารณะประโยชน์ให้แกช่ ุมชน แต่เม่ือมีการกู้ยืมมากขึ้นก็มีผลทางลบ คือเพม่ิ
จ่านวนหนี้สนิ ครัวเรือนและมแี นวโน้มวา่ จะเกดิ หน้เี สียมากขึ้นในอนาคต โครงการพฒั นาและสง่ เสริมอาชพี บาง
โครงการประสบผลสา่ เรจ็ ในช่วงแรก ต่อมาเม่ือไมไ่ ด้รับการสนับสนุนเพ่มิ เติมก็ลม้ เหลวปราศจากความย่งั ยืน
รวมท้ังพบว่าโครงการของหน่วยงานทล่ี งมาปฏิบัติจัดทา่ ในพ้ืนท่ยี ังมคี วามซา่้ ซ้อนกันและขาดการบูรณาการ
ระหว่างหน่วยงาน โครงการบางอย่างไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน หรือตรงกับความต้องการแต่
วิธีการไม่สอดคลอ้ งกับจารีตและความเช่ือของชุมชน จึงมีข้อเสนอว่าควรเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนท่ีมสี ่วนได้
สว่ นเสยี ไดเ้ ขา้ มามีบทบาทสว่ นรว่ มในการคิดและตัดสนิ ใจเกี่ยวกับโครงการของภาครฐั ทจี่ ะลงไปด่าเนินการใน
พื้นท่ีมากขึ้น
นักศึกษา นปส.รุ่นท่ี 76 ซ่ึงมาจากต่างหน่วยงานและมีพื้นความรู้หลากหลายสาขาวิชาเป็น
สหวิทยาการ (Interdisciplinary) ได้ร่วมคิดกับประชาชนในพ้ืนท่แี ละจัดท่าข้อเสนอท่นี ่าสนใจหลายประการ
แต่ในท่ีน้ขี อยกมาเฉพาะขอ้ เสนอในการแก้ปญั หาหลกั ของหม่บู ้านซึ่งต้งั อยใู่ นพน้ื ที่ปา่ คือ
1) ข้อเสนอขอใช้ป่าสงวนแห่งชาติเปน็ “ป่าขุมชน” เพ่ือให้ประชาชนได้อาศัยพ้ืนทปี่ า่ สงวน
แห่งชาติและพื้นท่ีตดิ ปา่ สงวนแหง่ ชาตใิ นการด่ารงชวี ิต เพราะปจั จบุ ันพ้ืนทปี่ า่ ไม้ไม่ได้น่ามาสร้างมูลค่าใหเ้ กิด
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่หมู่บ้าน ด้วยความคิดเดิมท่ีเห็นว่าคนอยู่ร่วมกับป่าไม่ได้ จึงต้องแยกออกจากกัน
โดยเด็ดขาด ปัจจบุ นั สถานการณท์ างเศรษฐกิจและสงั คมเปล่ียนแปลงไป แนวคดิ ที่ว่าคนอยรู่ ่วมกับปา่ ได้ และ
การจดั การปา่ ชมุ ชนจงึ มคี วามจ่าเป็น เพ่อื เปน็ การใช้ทรพั ยากรอย่างคมุ้ คา่ รวมทัง้ ประชาชนจะไดช้ ่วยกันรกั ษา
ปา่ และได้รับประโยชนจ์ ากปา่ โดยประชาชนจะไดอ้ าศยั เป็นแหลง่ อาหารของหมู่บา้ น เป็นแหล่งเกบ็ ของปา่ ไป
ขายเพ่อื สร้างรายได้ (ภายใตก้ ตกิ าของชุมชนและกฎหมาย) ใชป้ ระโยชนจ์ ากแหล่งนา่้ ในป่า เกิดแหล่งท่องเทย่ี ว
แห่งใหม่ เพ่ิมพ้ืนที่สีเขียวใหป้ ระเทศ เป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งและป้องกันน่้าทว่ ม
ตลอดจนลดภาวะโลกร้อน แนวความคิดเรื่องป่าชุมชนจึงควรได้รับความสนใจจากผูท้ ่ีเกี่ยวข้อง รวมท้ั งช่วย
ผลกั ดันให้เกดิ ขนึ้ และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแทจ้ รงิ
2) สา่ หรับการจัดทา่ โครงการพฒั นาในพื้นท่ีป่า ควรมกี ารจัดเตรียมโครงการลว่ งหนา้ และขอ
อนุญาตใช้พื้นท่ีก่อน โดยมีข้อเสนอว่าควรจัดท่าโครงการแบบมีส่วนร่วมและเสนอโครงการร่วมกันระหว่าง
๖
การเรยี นรู้เชงิ ปฏิบัติการ (Action Learning) หลักสตู รนักปกครองระดับสงู (นปส.) ร่นุ ที่ 76
อุทยานฯ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และอ่าเภอ กล่าวคือ อุทยานฯ ยอมให้ใช้พื้นที่ องค์กรปกครองส่วน
ทอ้ งถ่ินและอา่ เภอเปน็ ผจู้ ัดหางบประมาณสนับสนุน และชมุ ชนเปน็ ผู้ใช้ประโยชนต์ ลอดจนดูแลรักษา
หวังว่าผลการศึกษาครั้งน้ี จะเป็นประโยชน์ส่าหรับจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะการพิจารณาน่า
ข้อเสนอต่าง ๆ ไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหมู่บ้านท่ีเกี่ยวข้องทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
รวมทง้ั หวงั วา่ จะเปน็ ประโยชน์สา่ หรบั ขา้ ราชการทุกคนที่สนใจจะไดน้ า่ ไปศึกษาเปน็ แนวทางปฏบิ ตั ริ าชการตาม
หน้าที่และความรับชอบของตนต่อไป และที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของการเรียนรู้เชิงปฏิบัติครั้งน้ี หวังว่า
นักศึกษา นปส. รุ่นที่ 76 จะได้น่าประสบการณ์และบทเรยี นท่ไี ด้รบั จากพื้นท่ีจริงไปใช้ใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ละ
สร้างมูลคา่ เพ่ิม โดยน่าไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการบริหารราชการได้กวา้ งขวางมากขึ้นในอนาคต
ขอขอบคุณนักศึกษานปส.รุ่นท่ี76ทุกคน ที่มีความต้ังใจและให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการเรียนรู้
เชงิ ปฏบิ ัติการครง้ั น้ี ทา่ ใหส้ ามารถบรรลุตามวตั ถุประสงคข์ องหลักสตู รทีว่ างไวท้ ุกประการ
อาจารย์จริยวัฒน์ สันตบุตร
เอกาสารการเรยี นรู้เชิงปฏบิ ตั กิ ารจงั หวดั เชียงใหมร่ ะหว่างวันท่ี ๕-๙ เมษายน ๒๕๖๔ โดย นปส.๗๖
น้ี สะทอ้ นให้เห็นถงึ คุณคา่ ของโครงการเรยี นรเู้ ชิงปฏบิ ตั ิการ ( Action Learning) ที่นปส.๗๖ ทกุ ท่านได้กลับไป
สมั ผสั และเรียนร้ขู องจริงจากพนื้ ฐานของสังคมไทย แมจ้ ะเป็นระยะเวลาส้นั ๆ แต่ก็นา่ จะเป็นเครือ่ งเตอื นให้นศ.
ทุกท่านได้ระลึกถึงสภาพความเปน็ อยู่ ความต้องการ ความพยายาม ความรู้/ความไมร่ ู้ วิธีมองหน่วยราชการ
ของชาวบ้าน และผลกระทบของค่าสงั่ นโยบายจากส่วนกลางท่มี ีต่อชุมชนเล็ก ๆ ตามบริบทที่เปลย่ี นแปลงไป
ของประเทศและสังคมรอบตัว
นปส.๗๖ ได้พยายามท่าตัวกลมกลืนกับชุมชนและร่วมคิดร่วมวิเคราะห์บนพื้นฐานข้อมูลที่ได้จาก
ชุมชน ทราบถงึ ความต้องการและอาจคิดไปถงึ วิธีการสนองความตอ้ งการนนั้ ว่าสมควรหรอื ไม่ ควรด่าเนินการ
อยา่ งใด (แนะนา่ ชุมชน) ควรเตรยี มการอยา่ งไร (เช่นถ้ามีงบหลังโควิท จะเตรียมเสนอในทนั ทีได้ไหม อย่างไร)
หรือช่วยหาช่องทางจากภายในและภายนอกชุมชน เพื่อสนองตามความประสงค์ นอกจากน้ี นปส.๗๖ ยังได้
เรียนรู้จากชาวบา้ นถงึ ความเปน็ อยูอ่ ยา่ งธรรมดาและธรรมชาติรอบตัวอันเป็นทรพั ยากรที่ไม่ค่อยจะได้ตระหนกั
นกั รวมถงึ การเรียนรวู้ ิถชี วี ิตและความขาดแคลนบางปจั จยั ท่มี ักจะเป็นเป็นเรอ่ื งไม่น่าเชอื่ ในยคุ นี้ เช่น (ขาดนา่้
บาดาล / นา้่ ใช้ / ขาดชอ่ งทางตดิ ตอ่ ไวไฟ / โทรศัพท์ การคมนาคมขนสง่ ทย่ี ากล่าบาก การรกั ษาดแู ลสัตวเ์ ลยี้ ง
และชา้ ง)
ขอ้ สงั เกตและขอ้ เสนอแนะที่ นปส. ๗๖ พยายามน่าออกมาในหนงั สอื เลม่ น้จี ึงควรแก่การรบั ไปคิดและ
ตอ่ ยอดเพราะนา่ จะเริ่มมาจากพืน้ ฐานของจริงท่ีนา่ มาประยกุ ตแ์ ล้ว
๗
การเรียนร้เู ชงิ ปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นที่ 76
อาจารย์ปริญญา อดุ มทรัพย์
เอกสาร “การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ (Action Learning) จังหวัดเชียงใหม่ เล่มนี้ จัดท่าโดย คณะ
ปกครองระดับสูง นปส. รุ่นท่ี ๗๖ ระหว่างวันที่ ๕-๙ เมษายน ๒๕๖๔ มีข้อมูลเก่ียวกับชีวิตความเป็นอยจู่ รงิ
ของชาวบ้าน ท่ีเรียกว่า “รากหญ้า” หรือ “ฐานราก” ของสังคมไทย เหมาะสมทีผ่ ู้บรหิ ารต้ังแต่ระดับ ๘-๑๐
ทุกกระทรวงกรม และ อปท รวมทัง้ ภาคเอกชน น่าไปใช้เพอ่ื ประโยชน์ในการบรู ณาการการทา่ งานแบบ ๓๖๐
องศา คือ ราชการทกุ หน่วยงาน ประชาชนทกุ อาชีพ ทุกเพศ ทุกวยั ทกุ วัฒนธรรม เพ่ือใหม้ ีคุณภาพชวี ติ ที่ดีขึ้น
สอดคลอ้ งกบั ยุคสมัย ลดความเหลื่อมล่า้ ท่ีมอี ยูม่ ากอย่างยิง่ ในสังคมไทยทุกวันนี้
รวมท้งั มขี ้อเสนอแนะทรงคุณค่าน่าพจิ ารณาจาก นปส.ท้ัง ๑๒ กป. เชน่
- สมเด็จพระนางเจ้าสริ กิ ติ ์พระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนพี ันปีหลวง พระราชทานโครงการฟารม์
ตวั อย่างให้หมู่บา้ นแมต่ งุ ตงิ อ.สะเมงิ เมอ่ื วันท่ี ๕ มนี าคม ๒๕๔๐ ควรท่จี ะมีการขยายผลความส่าเรจ็
- หมูบ่ ้านหา่ งไกลขาดการสนบั สนนุ จากระดบั ตา่ บล อา่ เภอ ไม่เท่าเทยี ม ควรทจี่ ะตอ้ งดแู ล
- หากมุ่งเน้นส่งเสรมิ รายได้อย่างเดยี วจะท่าใหก้ ารทอ่ งเทีย่ วเปน็ ที่นยิ มลดน้อยลง หรืออาจล่มสลายได้
ถือเปน็ ปจั จัยเส่ียงทพ่ี บแลว้
- การพฒั นายุคใหมต่ ้องทา่ แบบองคร์ วม เน้นความสมดุลและยง่ั ยนื
- สง่ เสริมโครงการน้่าบาดาลพลังแสงอาทิตย์
- ความซ้า่ ซอ้ นในกจิ กรรมของหน่วยงานภาครฐั บางคร้ังไมต่ รงกับความต้องการของชาวบ้าน
- บางหมบู่ า้ นท่าแผนพัฒนาหมูบ่ ้านเชอื่ มโยงและบรู ณาการยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ ระดบั ชาติ แบบ 0ne –
plan ทา่ ให้เกดิ ผลเป็นรปู ธรรมชัดเจน
- การย่ืนคา่ ขอสทิ ธิการออกโฉนดตาม พ.ร.บ.ปา่ ชุมชน พ.ศ.๒๕๖๒ ไดร้ ับการเหลียวแลจากราชการนอ้ ย
เกนิ ไป
- สามารถผลติ พชื ผกั ผลไม้ เลีย้ งสัตว์ อาหารปลอดภยั พง่ึ ตนเองไดห้ ลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโร
น่า โควิท-๑๙ ควรส่งเสริมใหม้ ากขน้ึ
- ปกาเกอะญอมีความหวงแหนในผืนปา่ ทร่ี ักษาจากบรรพชน รกั ษาใหช้ ุมชนมคี วามร่มเยน็ กินอยู่ไมข่ ดั
สน เปน็ บทเรยี นทเ่ี จ้าหนา้ ทรี่ ัฐต้องไมผ่ ิดพลาด
- มีระดับการพัฒนาตาม ๕ มิติการพัฒนา ของ UN’s SDG เช่น ขจัดความหิวโหย การจัดการนา่้ และ
สุขาภิบาล เปน็ สิง่ ท่หี มู่บ้านพัฒนาเองได้
- โครงการอินเตอร์เนท็ (เนท็ ประชารฐั ) เป็นประโยชน์ตอ่ ชาวบา้ นมาก ควรสนับสนนุ
๘
การเรยี นรูเ้ ชงิ ปฏบิ ัติการ (Action Learning) หลกั สูตรนักปกครองระดบั สูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
อำเภอจอมทอง
9
การเรียนรู้เชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รนุ่ ที่ 76
รำยงำนกำรเรยี นรู้เชิงปฏิบัติกำร (Action Learning)
บำ้ นอ่ำงกำน้อย หมู่ที่ 17 ตำบลบำ้ นหลวง อำเภอจอมทอง
จงั หวัดเชยี งใหม่
จดั ทำโดย
กลมุ่ ปฏิบัติกำรท่ี 1 (กป.1)
นำงสำวปำณิสรำ กำญจนะจิตรำ หวั หนำ้ สำนักงำนรัฐมนตรกี ระทรวงมหำดไทย
นำยอำเภอแปลงยำว จังหวัดฉะเชงิ เทรำ
นำงสำวกมลชญำ ประเสริฐสิน
ผเู้ ชีย่ วชำญเฉพำะดำ้ นยุทธศำสตร์
นำยธนิต ภูมิถำวร กลุม่ ยทุ ธศำสตร์กำรพัฒนำภำคตะวันออก
สำนกั งำนปลัดกระทรวงมหำดไทย
นำยสิทธชิ ยั เทพภูษำ
นำยศักรินทร์ เสมหิรัญ นำยอำเภอเทพำ จังหวดั สงขลำ
นำยวสิ ิทธิ์ โชคชยั นำยอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครรำชสมี ำ
นำยพรี พล จนั ทพรรณ
เจำ้ พนกั งำนทด่ี ินจังหวัดกระบ่ี
นำยจิรศกั ด์ิ สหี ำมำตย์
นำยปวิช เกศววงศ์ โยธำธกิ ำรและผังเมืองจงั หวัดพจิ ติ ร
นำยปรีดำ บุญภำ ผ้ตู รวจรำชกำรกรม กรมกำรพัฒนำชุมชน
ผอู้ ำนวยกำรกองกำรตำ่ งประเทศ
สำนกั งำนปลดั กระทรวงทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละ
ส่ิงแวดล้อม
สรรพสำมิตพ้ืนที่นครสวรรค์
รำยงำนน้ีเป็นส่วนหน่ึงของกำรศึกษำอบรมหลกั สูตรนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
สถำบันดำรงรำชำนุภำพ กระทรวงมหำดไทย
พทุ ธศักรำช 2564
10
การเรยี นรูเ้ ชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 76
คำนำ
เอกสารรายงานการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ (Action Learning) ของบ้านอ่างกาน้อย หมู่ท่ี 17 ตาบล
บ้านหลวง อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เล่มน้ี จัดทาข้ึนโดยนักศึกษาหลักสูตรนักปกครองระดับสูง
รุ่นท่ี 76 กลุ่มปฏิบัติการที่ 1 (กป.1) ซ่ึงได้ลงไปฝงั ตัวกินนอนอยู่กับชุมชนเพอื่ ศึกษาข้อมูลเชิงลึกของชมุ ชน
ต้ังแต่ภูมิสังคมและวิถีชีวิตของชุมชน ระบบการบริหารจัดการชุมชน ตลอดถึงการเรียนรู้นโยบายภาครัฐ
และผลกระทบต่อการพัฒนาของหมู่บา้ นอ่างกาน้อย หมทู่ ่ี 17 ซึ่งคณะนักศึกษากลุม่ ปฏิบัติการที่ 1 จานวน
10 ท่าน ได้เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ผูน้ าชุมชน การพูดคุยกับชาวบ้านแบบไม่
เป็นทางการ รวมถึงการศึกษาข้อมลู ทางเอกสาร การสังเกตภูมสิ งั คม และสภาพแวดล้อมท่วั ไปจนสรุปได้เป็น
เอกสารรายงานในแบบรูปเล่มท่ีสมบูรณน์ ้ี
คณะผู้จัดทา หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ (Action Learning) เล่มนี้
จะเป็นประโยชน์สาหรับหน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบในการพัฒนาชุมชนบ้านอ่างกาน้อย ตาบลบ้านหลวง
อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เป็นอย่างดี เพราะข้อมูลทไ่ี ด้เป็นข้อเท็จจรงิ และความต้องการของชุมชน
รวมถึงการให้ข้อเสนอแนะจากบุคคลภายนอกท่ีได้พบเห็น ประมวลสังเคราะห์เป็นแผนงาน/ กิจกรรมการ
พัฒนา สาหรับชมุ ชนไวด้ ้วยแล้ว
คณะผูจ้ ัดทา
นกั ศกึ ษาหลักสตู รนกั ปกครองระดบั สูง รุ่นที่ 76
กลมุ่ ปฏบิ ัติการท่ี 1 (กป.1)
11
การเรียนรเู้ ชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุน่ ที่ 76
ส่วนท่ี 1
กรอบกำรเรียนรู้ด้วยกำรลงมือปฏบิ ตั ิเพือ่ เข้ำใจ เข้ำถงึ วถิ ีชวี ิตชุมชน
1. กำรศกึ ษำเรียนรูภ้ ูมิสงั คม และวถิ ีชวี ิตของชุมชน
หมู่บ้านอ่างกาน้อย หมู่ท่ี 17 ตาบลบ้านหลวง อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บา้ นชุมชน
“เผา่ ปกาเกอะญอ” หรือทเ่ี รยี กอกี อยา่ งหน่งึ วา่ “กะเหรยี่ งขาว” อาศัยอยบู่ นพนื้ ท่ีอทุ ยานแหง่ ชาติดอย อิน
ทนนท์ท่ีมีความสูงจากระดับน้าทะเล 1,070 เมตร โดยมปี ระวตั ิของชมุ ชนทน่ี า่ สนใจ ดงั น้ี
1.1 ประวตั ขิ องขมุ ชนบำ้ นอำ่ งกำน้อย
บ้านอ่างกาน้อย หมู่ท่ี 17 ตาบลบ้านหลวง อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ มีอยู่ด้วยกัน
3 หยอ่ มบ้าน คือ 1) บา้ นแม่กลางหลวง 2) บา้ นอา่ งกานอ้ ย และ 3) บ้านสบหาด ซง่ึ มกี ารอพยพอย่บู อ่ ยครั้ง
และก่อต้ังเป็นหลักเป็นแหล่งในปี พ.ศ. 2477 โดยครอบครัวของนายเปะ เหลอะเกอะ ได้อพยพย้ายจาก
หมู่บ้านแม่แอบ มาต้ังถ่ินฐานใหมเ่ รยี กว่าหมู่บ้านแม่กลางหลวง หรือภาษาปกาเกอะญอ เรียกว่า "มึกะโกล๊ะ"
เป็นหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอ หมู่บ้านหน่งึ ทร่ี ว่ มในประวัติศาสตร์ "แคว้นมึกะคี" ว่าด้วยการเดนิ ทางอันยาว
ไกลของชนเผ่าปกาเกอะญอ เพ่ือค้นหาดินแดนอันสงบสุข อุดมสมบูรณ์สาหรับการต้ังถิ่นฐาน ซ่ึงตรงกับ
ลกั ษณะวิถีชีวิตที่สันโดษ เรียบงา่ ย รักสงบสขุ ของชนเผา่ จนกระทงั่ มาถงึ สถานทท่ี ี่เรยี กขานกันวา่ "มึกะคี"
แคว้น " มึกะคี " ในความหมายแปลวา่ ขนุ น้าทีอ่ ุดมสมบรู ณ์ เต็มไปด้วยความสุข ประกอบไปดว้ ย
หย่อมบา้ น ขุนกลาง ผาหมอน หนองหล่ม แม่แอบ และหมู่ท่ี 17 ในปัจจุบนั ซึ่งประกอบด้วย แม่กลางหลวง
อา่ งกาน้อย และสบหาด ซึ่งแตล่ ะหย่อมบ้านมีประวัตคิ วามเปน็ มา ดงั นี้
หย่อมบำ้ นอำ่ งกำนอ้ ย เร่ิมกอ่ ตง้ั ในปี พ.ศ. 2472 โดยมีครอบครัวของนายเละโพ นายกนุ๊ ุ นาย
วะแจ และนายเหว่เจะ๊ โดยท่ีมาของช่ือหย่อมบ้าน จากการบอกเล่าเดิมบริเวณท่ีต้ังหมู่บ้านมหี น้าผาสงู ใหญ่
และบริเวณหน้าผาจะมีแอ่งท่ีมนี ้าขัง และมักจะเห็นนก อีกา ลงมากินน้าจานวนมาก ชาวบ้านจึงเรียกหยอ่ ม
บ้านน้วี ่าอา่ งกานอ้ ย
หย่อมบ้ำนแม่กลำงหลวง กอ่ ตง้ั เป็นหลกั แหล่งในปี พ.ศ. 2477 นาโดยครอบครวั ของนายเปอะ
เหลอะเกอะ ได้อพยพย้ายจากหมู่บ้านแม่แอบมาต้ังถิ่นฐานใหม่ช่ือว่า บ้านแม่กลางหลวง หรือภาษาปกา
เกอะญอวา่ "มึกะโกละ๊ " โดยแรกเรม่ิ มคี รวั เรอื นทั้งหมด 8 หลงั คาเรือน
หย่อมบ้ำนสบหำด มีคนจากบา้ นขนุ ยะเขา้ มาตั้งถิ่นฐานในปี พ.ศ. 2470 โดยมีครอบครัวของ
นายลเิ กอะโตะ๊ นายตา่ พอพอ นายลกิ ะ และนางหนอ่ เฮอพอ
- พ.ศ. 2538 – 2551 ผู้นาคนสาคัญคนแรก ได้แก่ นายพงษ์ทู เชื้อสุจริตไพรบูลย์ เป็น
ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 17 ดารงตาแหน่งอยู่ 3 สมัย สมัยท่ี 1 มีนายจ่อลาคา สันธานดารง และนายไพรศาล
ประทีปโกสุมภ์ เป็นผูช้ ่วยผใู้ หญ่บ้าน และสมยั ที่ 2 – 3 นายพงษ์ศักด์ิ วนาลัยนิเวศน์ และนายโยแสกิจจรูญชยั
เป็นผชู้ ว่ ยผใู้ หญบ่ า้ นในสมัยน้ัน
- พ.ศ. 2551 – 2555 ผนู้ าคนสาคัญคนท่สี อง ไดแ้ ก่ นายโกโย พงษเ์ จริญโชติ เป็นผู้ใหญ่บ้าน
หมูท่ ่ี 17 มีนายคาจั่น หรรษาพนาไพร นายศรีวนั ถิน่ พนานยิ ม เปน็ ผู้ชว่ ยผใู้ หญ่บา้ น
- พ.ศ. 2555 - ปจั จุบนั ผ้นู าคนสาคญั คนเดิมกไ็ ดก้ ลับมาดารงตาแหนง่ อีกครั้งได้แก่ นายพงษ์ทู
เชื้อสุจรติ ไพรบลู ย์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 17 โดยมีนายคาจ่ัน หรรษาพนาไพร นายศรีวัน ถ่ินพนานิยม เป็น
ผชู้ ว่ ยผู้ใหญบ่ า้ น
12
การเรยี นรู้เชิงปฏบิ ัติการ (Action Learning) หลักสูตรนักปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นที่ 76
กำรเข้ำมำตั้งถนิ่ ฐำนในแควน้ มึกะคี
เริ่มจากเมือ่ 100 กว่าปีท่ีผ่านมา มีบรรพบุรุษกลมุ่ ชาติพันธ์ุปกาเกอะญอ อพยพมาจากจังหวัดตาก
จากนั้นขยายไปอยู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน อพยพมาจากแม่ฮอ่ งสอนเข้ามาต้ังถิ่นฐาน ปี ๒๓๓๐ ในพื้นท่ีปัจจบุ นั
โดยขณะนั้นบรเิ วณดงั กล่าวมีเจ้าเมอื งลาพูนเป็นเจ้าของ หากใครจะยา้ ยมาตั้งรกรากตอ้ งซ้อื ท่ีดิน แต่เนื่องจาก
กลุ่มปกาเกอะญอ มีแต่ช้าง จึงได้ทาการซ้ือที่ดินจากเจ้าเมืองลาพูนโดยใช้ช้างหางกุด (ช้างหางด้วน) มาแลก
โดยมีใบลานเป็นหลักฐาน ปัจจุบันหลักฐานใบลานได้สูญหายไปแล้ว (ของชาวบ้านได้เผาทิ้งกับงานศพผู้สบื
ทอด) จดุ ที่ตงั้ บ้านเรอื นครั้งแรก คอื บรเิ วณหว่าทะเด (ระหวา่ ง กม. ที่ ๒๖ – ๒๗)
"มึกะค"ี คอื จุดศูนยร์ ว่ มการเป็นศนู ย์กลางในการติดต่อไปมาหาสกู่ ัน โดยมลี ุ่มนา้ กลางพาดไหลผา่ น
ระหว่างกึ่งกลางของชุมชน (แหม่ปะกะโกล๊ะ) มีดอยอินทนนท์ เป็นแหล่งน้าอันสาคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน
ท่ีดารงชีวิตอยู่ในบริเวณน้ี และคนพื้นราบเขตอาเภอจอมทอง (ภาษาท้องถ่ินเรียกดอยอินทนนท์ว่า
"เกอ๊ เจ่อพะโต๊ะโข"่ ความหมายคอื ดอยหลวง) และเปน็ เขตการทามาค้าขายกันระหวา่ งชุมชนพ้ืนทสี่ ูงและพื้น
ราบ เป็นจุดติดต่อประสานงานทางราชการในอดีต เป็นพ้ืนท่ีท่ีมีความสงบสุข อยู่สบาย อุดมไปด้วย
ทรพั ยากรธรรมชาติ เมอ่ื นาความหมายมารวมกนั แลว้ จะได้ความหมายเป็น "ดนิ แดนแหง่ สนั ติสขุ รักสงบ อุดม
สมบรู ณ์ "
การเข้ามาต้ังถิ่นฐานของคน "แคว้นมึกะคี" เริ่มต้นจากมีกลุ่มคนปกาเกอะญอ อพยพมาจาก
จังหวัดแม่ฮ่องสอน แบ่งออกเปน็ 2 กลมุ่ 2 เสน้ ทาง
เส้นทำงแรก เป็นกลุ่มครอบครัวแรกมาจากบ้านแม่ลาหลวง อาเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
โดยมี 5 ครอบครวั หลกั ที่ร่วมเดินทาง
อย่างไรก็ตาม บ้านอ่างกาน้อย ได้เป็นชื่อหมู่บ้านอย่างเป็นทางการของหมู่ท่ี 17 เดิมใช้ผู้นาการ
ปกครองหมู่เดียวกันกับหมู่บ้านผาหมอน รวมพัฒนาการการร่วมหมู่บ้านท้ังสนิ้ 4 หมู่ ก่อนมาเป็นหมู่ท่ี 17
เชน่ ในปัจจุบัน คอื พ.ศ. 2507 - 2515 เปน็ หมู่ที่ 19 , พ.ศ. 2515 - 2525 เปน็ หมู่ที่ 13 , พ.ศ. 2525
– 2538 เป็นหมู่ท่ี 8 และ 17 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2538 ได้แยกการปกครองจากหมู่ท่ี 8 บ้านผาหมอน มาเปน็
หมูท่ ่ี 17 จนถึงปจั จบุ ัน โดยมผี นู้ าทสี่ าคญั ดังน้ี
1. ครอบครวั นายตาโรกบั นางล่าเปอ
2. ครอบครวั นายเปอ๊ อย่ากวากับนางปอุ ิ
3. ครอบครวั นายดอกคากบั นางแฮลู
4. ครอบครัวนายกยุ้
5. ครอบครวั นายปุกา
กลุ่มครอบครวั ทัง้ 5 ครอบครัวน้ี เป็นกล่มุ แรกท่เี ดินทางมาถึงในปี พ.ศ. 2413 โดยเร่ิมออกเดินทาง
จากบ้านแม่ลาหลวง ช่วงแรกของการเดินทางอพยพมาถึงที่หมาย ท้ัง 5 ครอบครัวได้อยู่ท่ีบ้านผาแดง (เลก
รอู ค)ี 1 ปี และบ้านขุนแตะ (โตะไข่กวู าก)ี เปน็ เวลา 5 ปี รวมใช้เวลาในการเดินทางมาถึงทหี่ มายนานถึง 6 ปี
ก่อนทีจ่ ะออกเดินทางอพยพตอ่ ไปจนถงึ ทีแ่ ควน้ มกึ ะคีต่อไป
เส้นทำงท่ีสอง อพยพมาจากบ้านปางตอง อาเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เริ่มเดินทางอพยพมา
เมื่อปี พ.ศ. 2415 โดยมี 6 ครอบครัวที่มาด้วยกัน แต่มาถึงที่หมายแค่ 3 ครอบครัว ส่วนอีก 3 ครอบครัว
ได้เดินทางกลบั ไปยังบ้านปางตองเหมอื นเดมิ ครอบครัวทอ่ี พยพมาจากบา้ นปางตอง ไดแ้ ก่
1. ครอบครวั นายเบอะริ
2. ครอบครวั นายเดส่า
3. ไม่ทราบช่ือ
13
การเรียนรเู้ ชิงปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลกั สูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุน่ ที่ 76
ในการเดินทางในช่วงแรกของทั้งสองกล่มุ ครอบครัว ต่างก็ใช้เวลานานถึง 6 ปี ท้ังสองกลมุ่ เพราะใน
ระหว่างเดนิ ทางตา่ งก็แวะตั้งหลักแหลง่ เพ่ือหาความเหมาะสมของการตั้งท่ีอยู่ที่ถาวรมากทส่ี ดุ ครั้งหน่ึงท่ีกลุ่ม
นายตาโรและอีก 4 ครอบครัว อยู่ท่ีบ้านขุนแตะ (โดะไข่กูวากี) ได้ 5 ปี นายตาโร บอกแก่ลูกบ้านหลักท่ไี ด้
เดินทางอพยพมาดว้ ยกันว่า "บา้ นขนุ แตะน้นั มีพื้นที่จากัด และไม่เหมาะสมตอ่ การต้งั ถ่ินฐานและเกรงอีกว่าใน
อนาคตนั้น พืน้ ทีท่ ากินอาจไม่เพยี งพอตอ่ การดาเนนิ ชีวติ จึงสมควรท่จี ะตอ้ งหาทใ่ี หม"่ ดงั น้นั เวลาต่อมานายตา
โรและพวกจงึ เดนิ ทางออกจากบ้านขุนแตะ และไดไ้ ปสารวจพืน้ ทใ่ี นการตง้ั ถ่ินฐานใหม่ จนกระทงั่ มาถึงแคว้นมึ
กะคี ในปีพ.ศ. 2428 เมอื่ มาถึงท่หี มายและนายตาโรกบั พวกได้ตัง้ ชอ่ื แคว้นวา่ "มึกะคี" โดยได้ยืนอยู่บนดอยสูง
เข้าใจวา่ น่าจะเปน็ ดอยหวั เสือในปจั จบุ นั เพราะเป็นดอยทสี่ ูงสามารถมองไปได้ไกล แลว้ ท้ัง 5 ครอบครัวจึงชวน
กันเดนิ ลงจากดอยลงมาถงึ ท่หี มายจากสายตาทีไ่ ด้กะเอาไว้
หลงั จากอพยพมาได้ระยะหน่งึ แกนนาทีป่ ระกอบด้วย นายตาโร นายเปอะเลอกูวา (นายขาว) นายกวี
เด เป็นตัวแทน "แคว้นมึกะคี" ได้ไปปรึกษาเจ้าเมืองจอมทอง (ชื่ออีกนามหน่ึงคือ เจ้าพญาเมืองจอมทอง)
เก่ยี วกับการตงั้ ถิน่ ฐานรกรากในบริเวณแหง่ นี้ เมอื งจอมทองไดใ้ หค้ าแนะนาให้ไปขออนุญาตและขอซอ้ื แผ่นดิน
จากเจ้าเมืองลาพูน ซ่ึงเจ้าเมืองลาพนู ที่ดารงตาแหน่งในสมยั น้ันคือ เจ้าอุตรกรโกศล ตรงกับเจ้าผ้คู รองเมอื ง
เชยี งใหมอ่ งคท์ ่ี 7 เจา้ อินทรวชิ ยานนท์ ระหว่าง พ.ศ. 2416 - 2440 ตัวแทนทัง้ สามจึงได้เดนิ ทางไปเข้าเฝ้า
เจ้าเมืองลาพูน เจ้าเมืองลาพูนก็อนุญาตให้เข้ามาอาศัยต้ังถิ่นฐานได้ โดยที่นายตาโรและพวกได้ตกลงซื้อขาย
ที่ดินผืนน้ี แต่เนื่องจากไม่มีเงินทองติดตัวมากัน มีเพียงช้างตัวเมียหางด้วน ชื่อว่า "โมธุแหม่" ตัวเดียว จึง
สัญญาว่าจะมอบช้าง "โมธแุ หม่" ให้เจ้าเมอื งลาพูน เพือ่ แลกกับทอี่ ยู่ทเี่ ขา้ มาต้ังถ่ินฐานแห่งนี้ โดยนายตาโรและ
นายเปอะเลอะกวา่ (นายขาว) ไดต้ ้งั ราคาไว้ท่ี 400 เหรยี ญรูปี (เท่ากบั เงนิ ไทย 4,000 บาท) แตใ่ นวนั มอบตัว
เข้าเมืองลาพูนได้คืนเงินให้แก่ นายตาโรและนายเปอะเลอะกวา (นายขาว) 80 เหรียญรูปี (800 บาทไทย)
เทา่ กบั วา่ เจา้ เมอื งลาพูนได้ตีราคาแผ่นดนิ "แควน้ มึกะคี" เพียง 320 เหรยี ญรปู ี (3,200 บาท) เท่าน้ัน ซงึ่ อีก
จดุ ประสงคห์ น่งึ ของเจา้ เมืองลาพนู คอื ต้องการท่จี ะเลยี้ งชา้ งในบรเิ วณผนื ป่าแห่งนด้ี ว้ ย เลยคดิ คา่ แผ่นดินเพยี ง
แค่ 320 เหรียญรูปี (แตห่ ลงั จากน้นั อีกหน่งึ ปี ได้เกดิ โรคระบาดสู่สัตว์ ทาให้ช้างเจ้าเมืองลาพนู ลม้ ตายไปหมด)
และในวนั นน้ั ไดม้ กี ารทาสัญญาซอื้ ขายไวเ้ ปน็ สามชดุ โดยเจา้ เมอื งลาพูนได้มอบให้กบั นายตาโร 2 ชุด
และเก็บไว้เป็นหลักฐานอีกหน่ึงชุด ลักษณะของสัญญาเป็นใบลาน เก็บใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ เม่ือเจ้าเมือง
ลาพนู มอบใหก้ บั นายตาโรแล้ว เจ้าเมอื งลาพนู ก็แตง่ ตัง้ นายตาโรและมอบอานาจใหน้ ายตาโร ดูแลปกครองคน
ในชุมชนแควน้ "มึกะค"ี โดยมีหน้าท่ีหลักคือเปน็ ฝา่ ยปกครอง เกบ็ ภาษที น่ี า วัว ควาย ชา้ ง สง่ ใหเ้ จ้าเมืองลาพนู
เป็นประจาทกุ ปี ซ่งึ ชุมชนได้ ถอื ปฏบิ ตั ิมาจนถงึ ยคุ เจ้าแกว้ นวรฐั เจ้าผคู้ รองเชียงใหมอ่ งค์สดุ ทา้ ย นอกจากน้ี
นายตาโร ยังมีหน้าท่ีในการดูแล หากมีบุคคลใดประพฤติผิดปฏิบัติไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่ปฏิบัติตามกฎ จารีต
ประเพณีของหมู่บ้าน เจ้าเมืองลาพูนให้สทิ ธิแก่นายตาโรโดยสามารถขับไล่คนคนนั้นออกจากชุมชนได้ และ
ข้นึ อยกู่ บั ผูก้ ระทาผดิ ด้วยวา่ ทาผิดอะไร และลงโทษไปตามความผิดดังท่ไี ด้กระทาไว้
ในการปกครองน้ัน นายตาโร มีนายเปอะเลอะกวา และนายกวีเด เป็นท่ีปรึกษาในการแก้ไขปญั หา
ชุมชน โดยใช้หลักกฎหมายและกฎจารีตประเพณีในการปกครองชุมชนควบคู่กันไป เมื่อได้รับอนุญาตอย่าง
สมบูรณ์ถูกต้องตามกฎของประเทศราชแล้ว ทั้ง 5 ครอบครัวกลุ่มแรก ก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นหลักเป็น
แหลง่ ในแผน่ ดินแควน้ "มึกะคี" หรอื สถานท่ีตง้ั บ้านผาหมอนในปัจจบุ ัน
ในขณะนน้ั กล่มุ ครอบครวั กลุม่ ทส่ี อง 3 ครอบครวั ได้เร่มิ เดินทางเข้ามาในเขต "แคว้นมึกะคี" ตงั้ แต่ปี
พ.ศ. 2425 แต่ก็ต้ังถ่ินฐานชั่วคราวระหว่างทางไปเรื่อย และได้เดินทางมาถึงจุดหมายที่ 2 น้ี ในปี พ.ศ.
2428 เช่นกัน หลังจากกลุ่มนายตาโรไม่นาน โดยต้ังถ่ินฐานอยู่ที่ยอดดอย "ต่ำวะเหว่" (ความหมายคือ
บริเวณดังกล่าวมีการทาออกมาเปน็ รปู วงกลม และรอบรูปวงกลมจะมีการทาแนวเหมือนกับแนวกันไปเอาไว้
14
การเรยี นร้เู ชิงปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลักสตู รนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นที่ 76
ล้อมกรอบและบริเวณด้านในดังกล่าว จะเปน็ ทีบ่ รรจเุ กบ็ ศพของผ้ตู ายและของมีค่าของผูต้ ายเอาไว้ ซึ่งลกั ษณะ
ดังกล่าวเปน็ วัฒนธรรมของคนชนชาติลั๊วะ) ซึ่งเป็นเขตของแคว้น "มึกะคี" แต่ด้วยเหตุท่ี 5 ครอบครัวหลกั ที่มี
นายตาโรเป็นผู้นา มาถึงก่อน ทางนายเบอะริและนายเดส่า จึงได้เข้าไปปรึกษานายตาโรและพวก เพื่อ
การก่อต้ังถ่ินฐานร่วมกนั แม้จะมาถึงปเี ดียวกันแต่ไมส่ ามารถเข้ามาอยู่ได้ทันที ต้องมีการประชุมปรึกษาหารือ
เพอ่ื หาขอ้ สรุปในการตัง้ ถนิ่ ฐานรว่ มกนั ดว้ ยเหตุผลหลกั ความถกู ตอ้ งในการจดั ตงั้ ถิ่นและถกู ตอ้ งตามหลักของป
กาเกอะญอ การทผ่ี อู้ พยพสาหรบั มาตง้ั ถ่นิ ฐานใหม่ มาเจอกนั โดยบงั เอิญโดยมไิ ด้นัดหมาย ต้องถอื หลักผทู้ ีม่ าถงึ
กอ่ นเปน็ แกนนา มฉิ ะนั้นจะขัดตอ่ ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและวฒั นธรรมทส่ี บื เน่ืองกนั มา
ในการประชุม นายตาโรไดเ้ สนอแนวทางการเขา้ มาอยรู่ ว่ มกันในครง้ั น้ีว่า "ขอให้ทางนายเบอะริ และ
เดส่าพร้อมกับญาติพ่ีน้องท่ีอพยพมาจากบ้านปางตอง หาเงินก้อนหน่ึงจานวนเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่จะให้ตาม
ความเหมาะสม เพอื่ เปน็ การแก้เคล็ด เพราะแควัน "มึกะค"ี ก่อนท่ี 3 ครอบครวั กล่มุ ทส่ี องจะเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐาน
ที่ "มึกะคี" นนั้ ทาง 5 ครอบครัวจากบา้ นแมล่ าหลวง ไดม้ าต้ังถนิ่ ฐานกอ่ นและมกี ารซ้อื ขายกับเจ้าเมอื งลาพูน
อยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ ฉะนนั้ หากผู้เข้ามาทหี ลังจะเข้ามาอยดู่ ้วยแบบไม่รบั รนู้ ั้น ย่อมไมเ่ ป็นผลดีต่อการตง้ั ถ่ินฐาน "มึ
กะคี" และขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมปกาเกอะญอ หากไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมจารีต
ประเพณีแล้ว ผลร้ายจะตามมาภายหลังและแคว้น "มึกะคี" จะไม่สงบต่อการปกครองในอนาคต" แต่ด้วยใน
ขณะนั้นกล่มุ 3 ครอบครัวจากบา้ นปางตองน้ัน ก็ไม่มีเงินทจี่ ะมอบให้กับกลุ่มแรกเช่นกัน ประกอบการอพยพ
มาน้ันเสน้ ทางอันแสนลาบากยากเย็น ต้องเดินทางข้ามภูเขาลาเนาไพร ไม่สามารถหาเงินได้ ทาให้ไมม่ เี งนิ ตดิ
ตัวแม้แต่สลึงเดียว ส่ิงที่พอจะมีน้นั คือ "ข้ำว" และ "ควำมรู้" ท่ีติดตัวมาด้วยความเห็นใจ ดังน้ันนายตาโรเลย
ให้แกนนากลุม่ คือ นายเบอะริและนายเดส่า จดั ทาการสานเสื่อ 1 ผนื จากหวายอย่างดี เม่ือทาการสานเสร็จ
แล้ว ขอให้มามอบให้กับครอบครัวกลุ่มแรก เพื่อมิให้ขัดต่อธรรมเนียมการตั้งถ่ินฐานร่วมกัน และสร้างแนว
ทางการยอมรบั การเข้ามาเป็นครอบครวั เดียวกันและการอยู่รว่ มกันในอนาคต โดยไม่ต้องหาเงินมาใหต้ ามที่
เรียกร้องครั้งแรก
จากนั้นนายเบอะริและนายเดส่า ก็เดินทางกลับข้ึนไปบนดอยท่ีได้ตั้งถิ่นฐานช่ัวคราวท่ี "ต่าวะเหว่"
และได้ช่วยกันทาการสานเสอ่ื จากหวายขึ้นมาหน่ึงผนื นามามอบให้กบั 5 ครอบครัวกลุ่มแรกไว้ เมื่อเสรจ็ สนิ้
ตามขน้ั ตอนทน่ี ายตาโรมอบหมายให้ จงึ ถอื เป็นจดุ เริม่ ต้นการสรา้ งถิน่ ฐานแควน้ “มกึ ะค"ี รว่ มกนั อยา่ งสมบูรณ์
3 ครอบครวั หลักท่เี คยต้งั ถ่ินฐานชั่วคราวท่บี รเิ วณ "ตา่ วะเหว"่ จึงได้ทาการอพยพ ตา่ ลงมาบนเหนือหมู่บ้านที่
ตัง้ อยูใ่ นปัจจบุ นั มีชอ่ื เรียกวา่ "หมอ่ ลหิ ลู่โข่" (ดอยลิง) เนอื่ งจากยอดดอยลกู นม้ี ลี งิ เยอะ ชาวบ้านเลยต้ังชื่อเพ่ือ
เป็นเกียรติใหแ้ ก่ลงิ ท่ีเคยอย่อู าศัยบนดอยลกู นี้อยู่บนดอย "หม่อลิหลูโข่" เป็นเวลา 2 ปี ในปี พ.ศ. 2433 ทง้ั
3 ครอบครัวหลัก ก็ย้ายลงมาต่ากว่าเดิมที่บรเิ วณที่เรียกว่า "แดลอปู่" และได้ทาการอพยพโยกยา้ ยไปมาหลาย
พืน้ ที่ แตไ่ มไ่ ดย้ ้ายขนึ้ ไปอยู่เหมือนเดมิ ด้วยเหตผุ ลหลายประการช่วงปี พ.ศ. 2433 ไดเ้ กดิ โรคภยั ไขเ้ จ็บต่าง ๆ
นานา ทาให้ชมุ ชนตอ้ งปรบั ตวั อยา่ งต่อเน่ือง
ตัง้ แต่นัน้ มา คนที่ยา้ ยมาอยู่แคว้น "มึกะคี" ได้ยืดถือนายตาโรเป็นแกนนาหลัก ประกอบกบั ท่นี ายตาโร
ได้รับการแต่งตั้งเปน็ ฝ่ายปกครองจากเจา้ เมืองลาพูน ในที่สุดครอบครัวท้ังหมด 8 ครอบครัวหลักได้เข้ามาอยู่
รว่ มกนั และพัฒนาแควน้ "มึกะค"ี โดยยืดหลักความสามัคคี การมีนา้ ใจให้กัน การให้ความเคารพนับถือซึ่งกัน
และกันเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน โดยมีขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามเป็น
ตัวกาหนดกฎเกณฑใ์ นการปกครองลูกหลาน โดยไมได้ยึดถือเงินเป็นใหญ่
อย่างไรก็ตาม จากเรอ่ื งราวที่ท้งั 8 ครอบครวั ยดึ ถอื และปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั ทาใหแ้ คว้น "มึกะค"ี มีความสงบ
สุข มีความเป็นปึกแผ่น รวมท้ังหญิงและชายอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ประวัติศาสตร์
การต้ังถิ่นฐานในครั้งนั้น เป็นเรื่องราวใหค้ นรุ่นลกู หลานแคว้นมึกะคี ได้จดจาบุญคุณของ "ช้ำงโมธ่ ุแหม่" อัน
15
การเรยี นรเู้ ชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลักสูตรนักปกครองระดบั สูง (นปส.) รนุ่ ที่ 76
เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ แข็งแรง และเสียสละให้กับคนในแคว้นมึกะคี เพื่อท่ีจะได้มีผื่นแผ่นดินใน
การดารงชีวิตอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน รวมถึง "เสื่อหวาย" ผืนนั้น ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการเคารพนับถือซงึ่ กันและ
กนั การใหเ้ กยี รติกนั
กำรเข้ำมำอยู่ในหมบู่ ้ำนต่ำง ๆ ใน "แคว้นมึกะค"ี
หลังจากทท่ี ากลุ่มนายตาโร ทาการซอื้ ที่ดินจากเจา้ เมืองลาพนู อย่างถูกต้องแล้ว ก็ได้เข้ามาตัง้ ถิน่ ฐาน
ใน "แคว้นมึกะค"ี โดยครั้งแรกเข้ามาต้งั อยทู่ ่ี บ้านห้วยไผ่ "หว่าทะโกละ" อยู่ได้ 5 ปี ก็ย้ายไปต้ังหมูบ่ า้ นใหมท่ ี่
บ้านห้วยน้าแดง "นะแดโกละ" อยู่ห้วยน้าแดงได้ 9 ปี ก็ย้ายไปตั้งหมู่บ้านใหม่ที่บ้านหนองหล่ม "นาโล่ท่า"
ต่อมาภายหลงั มีคนอพยพมาขออาศัยอยู่ด้วย คือ นายเบอะริ และนายเต๊าะซา ซึง่ ย้ายมาจากหมูบ่ ้านอืน่ และ
หลงั จากน้นั ก็มคี นอพยพมาขออยดู่ ้วยเพิ่มขน้ึ เรอ่ื ย ๆ
ปี พ.ศ. 2465 เริ่มมกี ารขยายชุมชนให้กวา้ งขวางออกไป โดยมบี างครอบครัวไดอ้ พยพออกจากบ้าน
หนองหล่มไปต้ังหมู่บ้านใหม่ที่ บ้านผาหมอน "มึกะคี" ได้แก่ ครอบครัวนายต่าดี นายต่าเต๊าะ นายตู่กอ
(Toojgauz) นายดกู ะ นายพาข่อ (Hpa qauz) และนายตแู ล
ปี พ.ศ. 2472 บางครอบครัวได้ย้ายออกจากบ้านหนองหล่ม แล้วไปตั้งหมู่บ้านใหม่ท่ีอ่างกา น้อย
ชื่อว่า บ้านอ่างกาน้อย "พากะน้อย" ประกอบด้วยครอบครัวนายเละโพ นายกุ๊นุ นายวะแจ นายจะเจ๊ะ และ
นายเหว่เจะ๊
ปี พ.ศ. 2477 ครอบครัวนายเปอะเหลอะเกอะ ได้อพยพย้ายไปต้ังหมู่บ้านใหม่อีกแห่งหนึ่งที่บ้าน
แม่กลางหลวง ต้งั ชือ่ หมู่บ้านว่า บา้ นแม่กลางหลวง "มึกะคี"
1.2 ตำแหน่งท่ีตงั้ ของหมบู่ ำ้ น
หมบู่ า้ นอา่ งกานอ้ ย หมู่ที่ 17 ตาบลบา้ นหลวง อาเภอจอมทอง จังหวดั เขยี งใหม่ ทางเข้าหมู่บา้ น
อยู่หลัก กม.26 เส้นถนน 1009 พ้ืนที่อยู่สูงจากระดับน้าทะเล 1,070 เมตร เป็นพ้ืนที่อดุ มสมบูรณ์ไปดว้ ย
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาตดิ อยอินทนนท์
ทต่ี ัง้
ทางด้านทิศตะวันออก ติดกบั บา้ นแมแ่ อบ หมู่ที่ 6
ดา้ นทศิ ตะวันตก ติดกบั บา้ นขุนกลาง หมทู่ ี่ 7
ทางดา้ นทศิ ใต้ ตดิ กบั บ้านแม่ปอน หมู่ท่ี 15
ทางทศิ เหนอื ตดิ กบั บ้านผาหมอน หมทู่ ี่ 8
1.3 ลกั ษณะทำงกำยภำพ
หมู่บ้านอ่างกาน้อย หมู่ที่ 17 ตาบลบ้านหลวง อาเภอจอมทอง จงั หวัดเขยี งใหม่ ตงั้ อยใู่ นบริเวณ
เขตพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซ่ึงดอยอินทนนท์ ถือเป็นยอดดอยท่ีสูงท่ีสดุ ในประเทศไทย มีเน้ือที่
ท้ังหมด301,500 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเม่ือวันท่ี 13 มิถุนายน พ.ศ. 2521 ตัวชุมชนอยู่บนท่ี
ราบสูงอุดมสมบรู ณ์ไปด้วยสง่ิ แวดล้อมปา่ ไม้ ภเู ขา ลาธาร มแี มน่ า้ แม่กลางไหลผา่ น และลาห้วยระบบหมนุ เวยี น
จึงมีการปรบั ใช้ท่ดี นิ ลาดชนั ไปรูปแบบนาขั้นบนั ได
1.4 ลักษณะภูมอิ ำกำศ และควำมเหมำะสมในกำรประกอบอำชีพ
ลักษณะภมู ิอำกำศ หมู่บา้ นอ่างกานอ้ ยมลี กั ษณะคลา้ ยคลึงกับดอยอินทนนท์ คอื มีอากาศหนาว
เย็นตลอดทงั้ ปี อุณหภูมสิ ูงสดุ เฉลยี่ ทง้ั ปอี ยูท่ ่ี 25 องศาเซลเซียส และอุณหภูมติ า่ สุดอยู่ท่ี 5 องศาเซลเซยี ส
1 ปปี ระกอบดว้ ย 3 ฤดู
- ฤดรู อ้ น ต้ังแตเ่ ตอื นมนี าคม – เมษายน
16
การเรยี นรูเ้ ชงิ ปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลักสูตรนักปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นที่ 76
- ฤดูฝน ตัง้ แต่เตือนพฤษภาคม – ตลุ าคม
- ฤดูหนาว ตั้งแตเ่ ตอื นพฤศจิกายน – กุมภาพนั ธ์
1.5 กำรคมนำคม
กำรคมนำคม ภำยในหมู่บำ้ น
ชาวบ้านส่วนใหญ่มีรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ใช้ เนื่องจากอยู่บนพ้ืนท่ีสูง ห่างไกลตัวอาเภอ
จงึ จาเปน็ ต่อการใช้เดินทางในชุมชน
กำรคมนำคม ภำยนอกส่ชู มุ ชน
1. โดยรถยนตส์ ว่ นตัว
สามารถเดนิ ทางจากตัวเมอื งเชียงใหม่ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่ - ฮอด)
ผ่านอาเภอหางดง อาเภอสันป่าตอง และอาเภอจอมทอง เป็นระยะทาง 50 กิโลเมตรโดยประมาณแล้ว
เดินทางต่อไปตามเส้นทางอาเภอจอมทอง อุทยานแห่งชาติดอยอนิ ทนนท์ (ทางหลวงหมายเลข 1009) อีก
ประมาณ 26 กิโลเมตร เล้ียวซา้ ยเขา้ สบู่ า้ นอ่างกานอ้ ย
2. โดยรถประจาทาง
- จาก กทม. น่ังรถสาย กทม.จอมทอง มีทั้งรถ ปอ. 1 และ ปอ.2 หลังจากน้ันต่อรถสองแถว
ท่ี อ.จอมทอง
- จากจอมทองนั่งรถสายจอมทอง – แม่แจ่ม ค่าโดยสาร 80 บาท เป็นรถสองแถวสีเหลอื ง
คิวรถอยู่ท่ีข้างวัดพระธาตุศรีจอมทอง รถจะออกต่อเม่ือมีผู้โดยสารเต็ม รถจะผ่านเข้าเส้นทางไปอุทยาน
แห่งชาตดิ อยอินทนนท์ บอกคนขับว่า ลง ก.ม. ที่ 26 บ้านแม่กลางหลวง หลงั จากนัน้ เดินเขา้ ไปในหมูบ่ ้านอีก
ประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงบ้านอา่ งกานอ้ ย
1.6 ทรพั ยำกรธรรมชำติ
ทรัพยำกรน้ำ
หมบู่ า้ นอ่างกาน้อยเป็นแหล่งตันนา้ มแี ม่นา้ แมก่ ลางไหลผ่าน สมัยก่อนชาวบ้านใช้น้าจากลาธาร
ข้างโรงเรียนนิยมไพรผาหมอน เพือ่ อุปโภคบริโภคเปน็ หลกั ภายหลังมกี ารสร้างอ่างเก็บน้าตามโครงการอา่ งเกบ็
น้า 80 แห่ง ตามแนวพระราชดาริ "น้าคือชีวิต" คณะกรรมการหมูบ่ า้ นจะทาการดูแลเกบ็ ค่าบารงุ ปีละ 100
บาท สาหรบั นา้ ทใ่ี ช้ในการเกษตร ชาวบา้ นใชน้ ้าจากเหมอื งฝายเกษตรกร แต่เดมิ ชาวบ้านออกแบบโครงสร้าง
และร่วมมือกันก่อสรา้ งเองโดยการใช้ดิน แต่เน่ืองด้วยเกิดดินถล่มและพังบอ่ ยจงึ ของบจากโครงการหลวงมา
สร้างเหมอื งฝายเกษตรกรดว้ ยปนู ปจั จบุ นั จงึ มีความคงทนแข็งแรง ซึ่งเป็นน้าทีม่ าจากน้าตกผาดอกเสีย้ ว
ทรพั ยำกรป่ำไม้
หมู่บ้านอ่างกาน้อยตั้งอยู่บนเขตอทุ ยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จึงมีความอุดมสมบรู ณ์ในเรื่อง
ทรพั ยากรป่าไม้ เขตพืน้ ท่หี ยอ่ มอ่างกานอ้ ย 20,000 ไร่ แบง่ ออกเป็นปา่ ตอ้ งห้าม และป่าทากนิ
1. ป่าทากิน เป็นพื้นที่สามารถทาการเกษตร นาข้ันบันได และเลี้ยงสัตว์ได้ในพ้ืนท่ีป่าทากิน
ชาวบ้านมกั จะทาการปลกู ผลผลิตท่ีจะส่งให้โครงการหลวง เช่น ซกู นิ ี เซอราร่ี เสาวรส สตรอเบอรี่ มะเขอื เทศ
โทมัส หอมญ่ีปนุ่ พริกหวาน
2. ป่าตอ้ งหา้ ม เปน็ ความเชอื่ ทสี่ ืบตอ่ กนั มาตง้ั แตร่ ่นุ ของบรรพบรุ ษุ โดยป่าตอ้ งหา้ มน้จี ะใชส้ าหรบั
ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวปกาเกอะญอแฝงไปดว้ ยความเช่ือและให้ตระหนกั ถงึ การอนุรักษป์ า่
17
การเรียนรูเ้ ชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
1.7 สภำพทำงสงั คม
1.7.1 โครสร้ำงประชำกร
ตำรำงแสดงจำนวนประชำกร จำนวนหลงั คำเรอื น ค่ำพิกัดทต่ี ั้งของหย่อมบำ้ น
ชอ่ื หยอ่ มบ้ำน จำนวน จำนวน จำนวน ค่ำพกิ ัด
ประชำกร หลงั คำ
ชำย หญงิ เรือน E N
บา้ นอา่ งกานอ้ ย 785 360 425 210 452048 2049666
1.7.2 ลักษณะครอบครัวและเครือญำติ
ลักษณะครอบครวั ของหมบู่ า้ นอา่ งกานอ้ ยเป็นครอบครวั ใหญ่ มีทั้งปู่ ย่า ตา ยาย พ่อและ
แม่ และมีญาติตง้ั บ้านเรือนอยูใ่ กลเ้ คยี งในบรเิ วณเดียวกัน
1.7.3 กำรศกึ ษำ
สถำนศึกษำภำยในชุมชน
โรงเรยี นนยิ มไพรผาหมอนอนิ ทนนท์ หอ้ งเรียนเคลื่อนที่ บา้ นอา่ งกาน้อย ต้ังอยูท่ หี่ มบู่ า้ น
ผาหมอน เริ่มเปิดการสอนเม่ือประมาณ 20 ปี ท่ีผ่านมา โดยสานักการศึกษาแห่งชาติ เปิดสอนระดับช้ัน
อนุบาลถงึ ประถมศึกษาปที ี่ 6 ระบบการเรียนการสอนเชิงบรู ณาการตามนโยบายกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ซงึ่ ทาง
โรงเรียนบรรจหุ ลักสตู รทอ้ งถน่ิ และยึดผู้เรียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง คือ การอาศยั รากฐานชุมขน อาทิ การนาธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่ในชุมชนเป็นแนวทางการเรียน ปลูกจิตสานึกให้แก่เด็ก ได้ใช้ในการดาเนินชีวิต
ซ่ึงโรงเรยี นนิยมไพรผาหมอนอนิ ทนนท์หอ้ งเรียนเคล่ือนท่ี บ้านแม่กลางหลวง โดยมีเด็กนักเรียนทง้ั 3 หย่อม
บ้าน ประกอบด้วย บ้านแม่กลางหลวง บ้านอ่างกาน้อย และบ้านสบหาด มาเรียนที่เดียวกัน ได้เริ่มเปิดการ
เรยี นการสอนอยา่ งเปน็ ทางการ ไดเ้ พยี ง 2 ปีเทา่ น้นั ปัจจุบนั มนี กั เรียนทงั้ หมด 49 คน
ศูนย์พฒั นำเด็กเล็กสมเด็จพระญำณวโรดม
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสมเด็จพระญาณวโรดม เร่ิมต้นจากการรวมกลุ่มกันในชุมชนของ
ชาวเขาปกาเกอะญอ เพื่อช่วยเหลือกันดูแลเด็กเล็กในชุมขนในระหว่างท่ีผู้ปกครองไปทางาน ต่อมาพระ
ที่วัดเทพศิรนิ ทราวาส ซึ่งเป็นคนทอ้ งถิ่นนี้ได้มคี วามคิดที่จะพัฒนาเด็ก ๆ ในชุมชนให้ได้รับการศึกษาและการ
ดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงได้ประทานกราบเรยี นขอพระนามจากท่านเจ้าอาวาสในสมยั นน้ั "สมเด็จพระ
ญาณวโรดม" มาเปน็ ชื่อศูนยแ์ ละขอรับความชว่ ยเหลือจากทีต่ า่ ง ๆ แตย่ ังไมม่ สี ื่อกลางทีจ่ ะเข้าถึง
ต่อมาพระสมบัติได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนที่ศูนย์แห่งน้ี ด้วยความอาลัยระลึกถึง
เจ้าประคุณสมเด็จฯ และความปรารถนาท่ีจะเห็นศูนย์แห่งนี้พัฒนาขึ้นเพื่อท่ีจะบรรลุจุดประสงค์ในการเพม่ิ
คณุ ภาพชวี ติ และการศึกษาของคนในชมุ ชนน้ีรวมถงึ ชุมชนใกลเ้ คียง จึงไดเ้ ร่ิมและทุม่ เทใหก้ ารชว่ ยเหลอื ศูนย์ฯ
น้ีอยา่ งเตม็ ความสามารถ
1.8 ศำสนำ ประเพณี วฒั นธรรม ควำมเชอ่ื
กำรเคำรพธรรมชำติ เทวา อารักษ์ เจ้าปา่ เจา้ เขา สงิ่ สูงสุด
พธิ ีผกู ข้อมือ พธิ แี ตง่ าน การเลยี้ งเจ้าที่เจา้ ทาง ขุนนา้ ฝาย นาไร่ สวน ฯลฯ
ศำสนำ พทุ ธ 2 นิกายได้แก่ นกิ ายคาทอลกิ และโปรเตสแตนท์
ภำษำ ปาเกอ่ ญอ ภาษาเหนอื ภาษาไทยกลาง
18
การเรยี นร้เู ชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
ประเพณใี นรอบปี ประเพณี
เดือน/ช่วงเดือน ประเพณีขึน้ ปใี หม่ "น่ีซอโค"่
มกรำคม - กุมภำพันธ์
มนี ำคม - เมษำยน ไม่มพี ธิ กี รรม
พฤษภำคม
มิถนุ ำยน พธิ กี นิ เช้อื ข้าว "เพาะ คี ดะ๊ "
กรกฎำคม
สงิ หำคม - กันยำยน พิธีเลย้ี งผฝี าย "หลือ่ ที เคาะ"
ตุลำคม พิธีกรรมในการปลกู ข้าว "สู่ ลอ บือ"
พฤศจกิ ำยน - ธนั วำคม
พิธกี ลางปี "ลา คุ ป"ู
เลยี้ งผีนา "เต่อ เมา้ ะ ชิ"
การผูกขวญั ควาย "ก่ี ป๊ัด หน่า จ"้ี
พธิ ผี ูกขอ้ มือออกพรรษา
พธิ ีหัวข้าว "เอาะ บอื โค"่
พิธีนวดขา้ ว "เพาะบือ ก่ี จือ"
พิธีขอข้าว "แซะ บือ ส่า"
พิธเี รยี กขวัญข้าว "แกวะ๊ บือ เกอะ ลา"
พธิ ีเลย้ี งสง่ นกขวัญขา้ วกลับขน้ึ ฟ้า "เก๊าะ ถ่อ โถ่ บี ข่า"
พิธีกนิ ขา้ วเพงิ นวด "เพาะ คี ดะ๊ "
พิธีกนิ ขา้ วยุ้ง
พธิ ีกรรมท่ีสำคัญเกย่ี วกบั ชนเผ่ำปกำเกอะญอ
กำรเกิด (ดีต่ำเบล)
เมอ่ื ทารกเกดิ สายรกท่ตี ดั ออกไปแล้วก็จะบรรจุลงในกระบอกไม้ไผ่ปดิ ฝาด้วยเศษผ้าแลว้ นาไปผกู
ไว้ตามต้นไม้ในป่ารอบหมู่บ้าน ต้นไม้ต้นนั้นเรียกว่า "เดปอทู" แปลว่าต้นสายรก และต้นไม้ต้นน้ีก็จะห้ามตดั
โดยเด็ดขาด เพราะชื่อว่าขวัญของทารกจะอาศัยอยู่ท่นี ั้น หากตัดท้ิงจะทาให้ขวัญของทารกหนีไปและทาให้
ทารกล้มป่วยลง หากว่ามีใครตัดตน้ ไม้ตน้ น้ีโดยเจตนาหรือไมเ่ จตนาจะตอ้ งถกู ปรับด้วยไกห่ น่งึ ตัว พ่อแมก่ ็จะนา
ไกต่ ัวนไ้ี ปทาพิธเี รยี กขวญั ทารกกลบั คนื มา
วันท่ีไปผูกสายทารกติดกับตันไม้น้ัน เพ่ือนบ้านทุกคนจะไม่ออกไปทางาน ซึ่งถือเป็นข้อห้าม
เรียกขอ้ หา้ มน้ีว่า "ดีตา่ เบล" เปน็ กฎหมายประเพณีท่สี ืบทอดกันมาต้งั แตอ่ ดตี เมอื่ ถึงเวลาขั้วสายรกหลุดออกไป
ผู้เปน็ พ่อก็จะทาพิธปี ลกู ข้อมอื เรยี กขวญั ทารก โดยไปทาพธิ ที ีใ่ ตต้ ้นไมท้ ่ีผู้ติดสายทารกต้นนั้นเพือ่ ให้ขวัญกลบั มา
อยู่ท่ีบ้าน เรียกพิธีผูกขวัญว่า "กี่ เบลจือ" คือพิธีผูกขวัญคร้ังแรกของบุคคลผู้นี้ที่เกิดมาลืมตาอยู่บนโลก
ชาวปกาเกอะญอเช่ือว่าขวัญของคนจะมีอยู่ 37 ขวัญที่อยู่ในรูปของสตั ว์ชนิดตา่ ง ๆ การผูกขวัญคร้งั แรกของ
ทารกน้ีจะทาให้ทารกไดร้ ับขวัญท้ัง 37 ขวัญนี้ โดยครบถ้วน
19
การเรยี นรู้เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
ขวัญ 37 ขวญั ได้ 11.ขวญั จง้ิ หรีด 21.ขวัญกวาง 31.ขวัญแรด
1.ขวัญหัวใจ 12.ขวัญต๊กั แตน 22.ขวัญสิงห์ 32.ขวญั เตา่
2.ขวญั มอื ซา้ ย 13.ขวญั ตกุ๊ แก 23.ขวญั เสอื 33.ขวญั ตะกวด
3.ขวัญมอื ขวา 14.ขวญั แมงมมุ 24.ขวญั นก 34.ขวัญกงุ้
4.ขวญั เทา้ ซ้าย 15. ขวญั นก 25.ขวัญข้าว 35.ขวญั อีเหน็
5.ขวัญเทา้ ขวา 16.ขวัญหนู 26.ขวัญงู 36.ขวัญตอ่
6.ขวญั หอย 17.ขวัญชะนี 27.ขวัญตนุ่ 37.ขวัญนกแก๊กนกแกง
7.ขวัญปู 18.ขวัญหมูป่า 28.ขวัญเม่น
8.ขวัญปลา 19.ขวญั ไก่ปา่ 29.ขวญั เลยี งผา
9.ขวัญเขียด 20.ขวญั เกง้ 30.ขวัญกระทิง
10.ขวญั แย้
แต่งงำน (ดเี ทำะโคเ่ บล)
สขู่ อ (เอำะเฆ)
เมอื่ เปน็ ท่รี บั รแู้ ลว้ วา่ หญิงชายรกั ชอบพอกนั พ่อแมแ่ ละญาติที่นอ้ งของฝ่ายหญิงกจ็ ะส่งคนไปหา
ฝ่ายชายเพื่อสอบถามใหแ้ นใ่ จว่าฝายชายรกั และยินดจี ะแต่งงานกับฝ่ายหญิงจรงิ ๆ หรอื ไม่ หากฝ่ายชายรักและ
ยินยอมที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิงก็จะมีการนัดหมายวันเวลา ทาพิธีแต่งงานกันในเวลาน้ัน (ประเพณี
ปกาเกอะญอฝา่ ยหญิงจะส่ขู อฝา่ ยชาย)
กำรหม้ัน (เตอะโหล)่
เม่ือชายตกลงปลงใจวา่ จะแต่งงานกบั ฝ่ายหญงิ และนัดหมายวันเวลาแต่งงานที่แน่นอนแล้ว ฝา่ ย
ชายก็จะส่งเถา้ แก่ไปทาพธิ หี มนั้ หมายฝ่ายหญิงก่อนวนั แต่งงานในพิธีฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่ 1 คู่ ทาอาหารเพือ่ เล้ยี ง
รับรองเถ้าแก่ฝ่ายชาย วันรุ่งข้ึนก็จะนัดหมายวันเวลาท่ีฝ่ายชายและเพื่อน ๆ จะมาหาฝ่ายหญิง เพ่ือทาพิธี
แต่งงานต่อไป
หมูตวั แรกทีท่ ำพธิ ี (เทำะเตำะ)
เทาะเตาะ คอื หมูตัวแรกทฆ่ี ่าในพิธีแต่งงาน เน้อื หมตู วั นี้จะเอาไวเ้ ป็นเครอ่ื งบชู าเพ่อื ขอเทวดามา
อวยพรเจา้ บา่ วเจ้าสาวและผู้รว่ มงานทุกคน เมื่อถึงเวลาออกเดินทางไปสูห่ มูบ่ า้ นเจา้ สาว เถ้าแก่ เจ้าบ่าวและ
เพื่อนเจา้ บ่าวจะลงไปอย่พู ร้อมกนั ตรงทพ่ี กั หนา้ บา้ นทีส่ รา้ งไวช้ ่ัวคราว เถา้ แก่จะทาพิธีรนิ หัวเหลา้ และอธิษฐาน
ขอพรเสร็จพิธีกจ็ ะออกเดินทางโดยมเี จ้าบา่ วและเพ่ือน ๆ ร่วมเดินทางอย่างพร้อมเพรยี งกัน เมอ่ื เดินทางมาถึง
บ้านเจา้ สาว เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวและเพื่อนบ้านก็จะคอยตอ้ นรับ โดยจะให้ไปพักเพิงชวั่ คราวหนา้ บ้านเพื่อทาพิธี
ดื่มหัวเหล้า พอเสร็จพิธีดื่มหัวเหล้าก็จะข้ึนสู่บ้านเจ้าสาวเพื่อพักผ่อนและด่ืมเหล้าพร้อมกับลานาโต้ตอบกนั
ระหว่างเพื่อนเจ้าบ่าวที่เป็นคนต่างถ่ินและเพ่ือนเจ้าสาวที่เป็นคนต่างหมู่บ้าน ในเวลาเดียวกันน้ีญาติพี่น้อง
เจา้ สาวก็จะฆ่าหมทู าอาหารสาหรบั เลีย้ งแขกทม่ี างาน เมอื่ ทาอาหารเสรจ็ แลว้ ก็จะใหเ้ ถ้าแกท่ ง้ั ฝา่ ย เจา้ บา่ วและ
ฝา่ ยเจา้ สาวทาพธิ ีถวายข้าวแด่เทพยดาเพ่อื ขอพร จากนนั้ กจ็ ะเรยี กแขกทุกคนโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงเพอ่ื นเจา้ บ่าว
ทมี่ าจากแดนไกลมารับประทานอาหาร เสร็จแล้วกจ็ ะเปน็ เวลาสว่ นตัวของแตล่ ะคนท่จี ะพกั ผอ่ นนอนหลบั หรือ
เยีย่ มเยียนเพอ่ื นบ้านอ่ืน ๆ และขับลานาโต้ตอบกัน ซง่ึ บางคนบางกจ็ ะเทยี่ วขับลานาตลอดท้ังคืน
20
การเรียนรู้เชิงปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
ไกส่ ำหรับเรมิ่ ต้นพิธบี ก๊ะ (ชอเก๊ำะเก)
ช่วงหน่ึงของพิธีแต่งงานจะมีการฆ่าไก่ 2 ตัว ต้มสุกโดยไม่ปรุงอะไรลงไปท้ังสิ้น ผู้เฒ่าผู้แก่จะ
เลือกเด็กหญิงและเด็กชายฝ่ายละหนึ่งคน โดยท่ีเด็กท้ัง 2 คนต้องเป็นเด็กท่ีทั้งพ่อและแม่ยังต้องมีชีวิตอยู่
เด็กทั้ง 2 คนนี้มีหนา้ ที่จดั คาขา้ วและเน้อื ไก่ 2 ตัวนนั้ แล้วมอบให้เจา้ บา่ วและเจ้าสาวรบั ประทาน โดยเดก็ หญงิ
จะจัดให้เจา้ สาวและเด็กชายจะจดั ให้เจา้ บ่าว ฝ่ายเจา้ บา่ วและเจา้ สาวก็จะใหส้ ร้อยลกู ปดั หนงึ่ เส้นและเงนิ หนึ่ง
บาทแก่เด็กหญิงเด็กชายตามลาดบั เป็นการตอบแทนนา้ ใจที่มา
ขันหมำก (เกอะเนอะ)
ปกาเกอะญอมีวัฒนธรรมว่าขนั หมากเปน็ ของผหู้ ญิงหรอื ผู้หญิงมีขันหมาก ฝ่ายชายนาขนั หมาก
มาให้ ซง่ึ ขันหมากนั้นประกอบด้วย ซิ่น 1 ผืน เส้ือผชู้ าย 1 ตวั ผา้ โพกศีรษะ 1 ผืน เสียม 1 ดา้ ม เสื้อแมบ่ ้าน
1 ตัว และเกลือ 1 ห่อ แต่ผู้หญงิ บางคนอาจจะมีขนั หมากมากกวา่ น้ีก็ได้ ในวนั ท่เี จ้าบ่าวและเพือ่ นเดนิ ทางมาที่
บ้านเจ้าสาวนน้ั ก็จะมีแม่บ้านคนหนึ่งถือขันหมากมาด้วย แม่บ้านคนน้ีต้องเป็นแม่บา้ นทส่ี ามียังมชี ีวิตอยู่ เมอื่
ใกล้ไก่ขันตอนเช้าของวันร่งุ ข้ึน ก็จะมีวิธีการทาขันหมากมาด้วย การทาพิธีจะทาโดยเถ้าแก่ฝา่ ยหญิงและฝา่ ย
ชาย ฝ่ายหญิงจะเป็นผขู้ อส่วนฝา่ ยชายจะเปน็ ผู้ให้ โดยที่การขอจะต้องขอด้วยการขับลานาโต้ตอบกนั การทา
พิธีขอขันหมากน้จี ะตอ้ งใช้เวลามากพอสมควรในการขับลานา เน่ืองจากว่าฝ่ายชายจะไม่ใหก้ ันง่าย ๆ จะต้อง
เจรจากันในบทลานาหลายบทกว่าจะเสร็จก็จะถึงตะวันรุ่งสาง ตอนเช้าก็จะให้แขกหรือเพื่อนเจ้าบ่าว
รับประทานอาหารอีกครง้ั แต่ก่อนรบั ประทานอาหารเถ้าแกข่ องทัง้ 2 ฝา่ ยก็จะทาพธิ ีถวายข้าวแดเ่ ทพยดาเพ่ือ
ขอพรอาหารเสร็จกเ็ ปน็ อันว่าส้นิ สุดพิธีแตง่ งานในฝา่ ยของหญงิ จากนั้นเพ่อื นเจ้าบา่ วตา่ งกจ็ ะพากันกลับบา้ น
ไกข่ อพรระหว่ำงเดนิ ทำงกลับบำ้ น (ชอโจล่ อ)
การเดินทางกลบั บ้านของเถ้าแก่และเพ่อื นเจ้าบ่าว ฝา่ ยหญิงกจ็ ะฆ่าไก่ 2 ตวั ตม้ ให้สกุ แล้วห่อให้
เพื่อนเจ้าบ่าวนากลับบ้านไปดว้ ย เพือ่ เปน็ อาหารระหวา่ งทาง เมื่อถงึ เวลาก่อนรบั ประทานอาหาร เถา้ แก่จะทา
พิธีถวายเทวดา เพื่ออวยพรผู้ร่วมเดินทางให้ได้รับความปลอดภัยจากภยันอันตรายท้ังหลายและด้วยความ
สวัสดิภาพ พอกลับถึงบา้ นแล้วทกุ คนกจ็ ะมารวมกันทเี่ พิงพกั หน้าบา้ นเจ้าบา่ ว ก่อนที่จะแยกย้ายกนั กลับบ้าน
ของตน และที่เพิงพักน้ีเถ้าแกก่ ็จะทาพิธีด่ืมหัวเหล้าอีกคร้ังหน่ึงเป็นคร้งั สุดท้าย วันรุ่งขึ้นเพ่ือนบา้ นทุกคนจะ
หยดุ งาน ซงึ่ ถือเปน็ ข้อหา้ ม เรียกขอ้ หา้ มนว้ี า่ ดเี ทาะโค่เบล
กำรตำย
กำรเตรยี มศพ
ในหมู่บา้ นหากมีคนเสยี ชีวิตลง เพื่อนบ้านทกุ คนต้องหยุดงานเพราะถือว่าเปน็ ข้อห้าม ซึ่งเรยี กวา่
ดปึ กาซะลอหมา่ หมายความวา่ ขอ้ หา้ มสาหรบั วิญญาณทห่ี ลดุ หายไป แม้แต่การตาขา้ วซ่ึงปกตจิ ะทากันทกุ เชา้
และเย็น ก็งดทาท้ังสิ้น ซ่ึงขั้นแรกญาติพี่น้องก็อาบน้าศพ นาเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยนให้แล้วห่อศพด้วยผ้าสขี าว
การเตรยี มสมั ภาระให้ศพ หากเปน็ การตายโหงนอกหมบู่ า้ น ชาวบ้านจะมารอรับศพท่ีหน้าหมู่บา้ น และนาไป
เผาและประกอบพธิ ีทางศาสนาเลย โดยจะไม่นาศพเขา้ หม่บู า้ น
หลังจากห่อศพเสร็จแล้วจะหาไม้ท่อนหนึ่งยาวประมาณ 5 ศอก ผ่าออกเป็น 4 ซีกเท่า ๆ กัน
ครึ่งท่อนแล้วง่ามลงบนศพเพื่อให้ศพม่นั เรียกไมไ้ ผท่ ่อนนวี้ ่า "ไม้ง่ามศพ" จากน้ันก็นาเสอื้ ของศพทญ่ี าติพนี่ อ้ ง
มอบให้แขวนไวท้ ่ปี ลายท่อนไม้ เส้อื ผา้ และขา้ วของศพนเ้ี รยี กว่า "ต่าเสอจก่ือ" หมายความว่า สัมภาระของศพ
เป้าหมายการเตรยี มสัมภาระของศพน้ีก็เพือ่ ความรม่ รนื่ ให้ศพขณะเดนิ ทางกลับไปยงั โลกหนา้
กำรขับลำนำ
ตกเย็นจะเป็นเวลาแห่งการขับลานาส่งวิญญาณศพ โดยชายหนุ่มพ่อบ้านจะขึ้นมาขับลานา
ลานาในช่วงแรกจะมีเนือ้ หาเกย่ี วกับคนตาย ลานาสาหรบั ศพนี้ผู้ขับจะจากัดเฉพาะแต่ผู้ชายเท่าน้นั ผู้หญงิ จะ
21
การเรียนรูเ้ ชงิ ปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลกั สูตรนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุน่ ท่ี 76
ขบั ลานาไม่ได้ถอื เปน็ สง่ิ ตอ้ งหา้ ม ผูห้ ญิงทีก่ าลงั ตัง้ ท้องและเสยี ชีวติ ลงจะมกี ารขับลานาสง่ วิญญาณเช่นเดียวกัน
แตผ่ มู้ าขบั ลานาจะเปน็ เฉพาะผชู้ ายเทา่ น้นั ลานาท่ขี ับมชี อ่ื เรยี กวา่ "ทวโหรค่ วา" ผู้เสยี ชีวิตท่ีเป็นวยั หนุ่มสาวจะ
มีการไปสร้างกระต๊อบหลังเล็กทก่ี ่ิวดอยแห่งหน่ึงแหง่ ใดใกลห้ มบู่ ้านและทางเดินท่ีผู้เสยี ชีวิตเคยเดินไปมาและ
เสื้อผ้าข้าวของต่างไปวางไว้ในกระต๊อบหลงั น้ัน สิ่งน้ีเรียกว่า "เสะอะแล" ผู้เสียชีวิตกลุ่มน้ีมีลานาส่งวิญญาณ
โดยเฉพาะเชน่ กัน เรยี กวา่ "ทาเยอลอ" แปลว่าลานาคานึงหา
พธิ สี ่งสมั ภาระและข้าวของให้ศพ (เอ๊าะโล) กอ่ นทจ่ี ะปลงศพจะมกี ารเตรยี มสมั ภาระและขา้ วของ
ให้ศพ ซ่ึงประกอบด้วยปัจจัยจาเป็นในการดารงชีวิตประจาวันได้แก่ ย่าม หม้อ ถ้วย ชาม มีด ไม้ขีดไฟ เช้ือ
เผอื กเชื้อมัน เชอื้ ข้าว กลา้ กล้วย ยาสบู หมาก พลู เปน็ ตนั ขา้ วของและสัมภาระทัง้ หมดจะบรรจลุ งในกระชุใบ
หนง่ึ เมอ่ื ได้เวลาปลงศพ กระชุใบนนั้ จะถูกเอาไปด้วย ปลงศพเสรจ็ พิธีกจ็ ะมเี พ่ือนบา้ นอีกคนหนึ่งนาขอไมเ้ ก่ียว
คอเส้ือผทู้ าพธิ แี ละดงึ กลับบา้ นพอเปน็ พิธี การทาพิธสี ่งสมั ภาระและข้าวของใหศ้ พนี้มีความหมายว่าในโลกหนา้
วิญญาณของศพจะกลับไปทามาหากินเช่นเดียวกับชีวิตในโลกน้ี จึงต้องมีการมอบสัมภาระและข้าวของให้
มิเชน่ นน้ั วิญาณจะมีความยากลาบาก ไม่มีขา้ วของและเครือ่ งมือทามาหากนิ
ข้อห้ามหลงั ปลงศพ หลังจากปลงศพแล้วข้อห้ามในประเพณีจะไม่ให้คนในหมูบ่ ้านออกมาทามา
หากินนอกหมู่บา้ น ส่วนจะห้ามกีว่ ันน้นั ขน้ึ อยู่กบั ว่าศพนั้นมีการเก็บไว้กว่ี ัน หากเก็บไว้ 1 วัน ก็จะหา้ มทางาน
1 วัน ถ้าเกบ็ ไว้ 3 วนั ก็จะห้ามทางาน 3 วนั เป็นตน้ ขอ้ หา้ มนเ้ี รยี กวา่ "ดีนาเกอะเกราะ" หมายความวา่ "ขอ้
ห้ามผีผูต้ าย" เพราะวา่ หลังจากปลงศพผขี องผู้ตายยงั เดินไปมาภายในช่วงน้ีมผี ู้ตายอาจจะเห็นเข้าและจับขวัญ
ของผู้น้ันไปซง่ึ จะทาให้ผนู้ ้นั ล้มปว่ ยลงได้
พชื ผกั ของศพ หากมีผเู้ สยี ชวี ิตลงในกลางปแี ละผู้เสยี ชวี ิตไมม่ ีโอกาสได้รับประทานผลผลติ ผกั
ทตี่ นปลูกไป ในกรณีนีญ้ าติพ่ีนอ้ งก็จะนาผลผลติ ของผักตา่ ง ๆ ในรอบปีนัน้ ไปฝากไวท้ ี่ไร่หรือต้นไมบ้ รเิ วณของ
ศพก็ได้ หลงั จากเก็บเกยี่ วเสรจ็ แลว้ ท้งั นี้กเ็ พอ่ื ใหว้ ญิ ญาณได้กลับมารบั ประทานผลผลิตของพืชผักเหล่านั้นแลว้
จะได้กลบั ไปสสู่ ขุ คติดว้ ยความสงบสุข จะได้ไม่กลับมาขอจากญาติพน่ี ้องอกี ต่อไป
กำรมดั มอื
เป็นพิธีกรรมที่ลูกหลานจะต้องทาให้กับผู้สูงอายุในครอบครัวของตน เพราะมีความเชื่อว่า
ผ้สู ูงอายุเมอ่ื มอี ายมุ ากขนึ้ ขวัญจะไม่คอ่ ยอยูก่ บั เน้ือกบั ตวั จะเกดิ อาการเจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ยไดง้ ่าย ในแตล่ ะปจี งึ ต้องมี
พิธีมัดมือเรียกขวัญให้กับผู้สูงอายุ โดยพิธีกรรมจะเร่ิมในตอนเช้า ลูกหลานจะเชิญหมอผีมาทาเคาะหวั บนั ได
บ้าน จากนัน้ ก็ต้ังไข่ คอื การนาขา้ วสารมาใสช่ ามแล้วไม้ไผ่ท่ีมเี สน้ ผ่านศนู ย์กลางประมาณ 0.5 เซนติเมตร มา
ปักลงในข้าวสาร จากนน้ั นาไข่มาตง้ั บนไม้ไผถ่ ้าหากตง้ั ได้แสดงว่าขวัญผู้สงู อายุกลบั มา จากน้นั หยิบข้าวสารโรย
บนไข่ถ้าหากข้าวสารติดอยบู่ นไข่ 1 คู่ แลว้ หมอผจี ะให้ผู้สูงอายุหยบิ ข้าวมา 1 หยบิ มือ นบั ใหค้ รบคู่กแ็ สดงว่า
ขวัญแลว้ ทาพิธอี ่ืนได้ บางครง้ั ขวัญไม่มาต้ังไขค่ ร่ึงวนั ก็ไมส่ ามารถทาได้ ลูกหลานจะนาหมู 1 ตัว ไก่ 1 ตวั และ
เหลา้ มาทาพิธี จากน้ันจะใหล้ ูกหลานมัดมอื ใหก้ ับผู้สูงอายุ
1.9 สุขภำพอนำมยั และกำรไดร้ บั บริกำรสำธำรณสุข
ในชุมชนบ้านอ่างกาน้อย ไม่มีสถานท่ีช่วยเหลือทางด้านสาธารณะสุขอย่างชัดเจน เช่น
โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพ (สถานีอนามัย) หากกรณีท่ีเจ็บปว่ ย ส่วนใหญจ่ ะเดินทาง
ไปรักษา โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพประจาตาบล (รพสต.) ใกล้เคียง ที่ใกลก้ ับชุมชนอ่างกานอ้ ย ได้แก่
- โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลดอยอนิ ทนนท์
- โรงพยาบาลจอมทอง
- คลินกิ ทั่วไป
- สมนุ ไพร ภมู ิปญั ญาชาวบา้ น
22
การเรียนรูเ้ ชิงปฏิบตั ิการ (Action Learning) หลกั สูตรนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ท่ี 76
ปัญหาด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ส่วนมากจะเปน็ โรคเก่ียวกับกระดูก หัวเข่า ข้อเข่าเสื่อม แตไ่ ม่
พบโรครา้ ยแรงอื่น ๆ
1.10 กลมุ่ องค์กร/ภำคีในพืน้ ท่ี
กลุ่มองค์กรชมุ ชน
1. กลุ่มรวบรวมกำแฟ มีสมาชิกกลุม่ 6 คน เป็นลักษณะการทางานรปู แบบการรวบรวมกาแฟ
ตามหมู่บ้านและมีการทากะลากาแฟเพ่ือจาหน่ายให้กับโครงการ TIDP : โครงการพัฒนาชาวเขาแบบ
ผสมผสาน มีการดาเนินการมาตั้งแต่ปี 2547
2. กลุ่มมัคคุเทศก์ เป็นผู้นาเท่ียวในชุมชน คอยแนะนาสถานที่ และให้ความรู้กับผู้ที่เข้ามา
ทอ่ งเท่ียว
3. กลมุ่ ทอ่ งเทยี่ วเชิงอนุรกั ษ์ เรม่ิ มกี ารดาเนนิ การจัดตัง้ กล่มุ เม่อื ปี พ.ศ. 2512 โดยการแนะนา
จากผู้ช่วยอุทยาน ที่เล็งเห็นศักยภาพของพ้ืนที่จะสามารถพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวได้ จึงประชุมกับ
คณะกรรมการ ผู้นาชมุ ชน จงึ เริม่ มกี ารจัดทีมคณะกรรมการทง้ั หมด 14 คนเพื่อเขา้ มาบริหารจดั การและมกี าร
บริหารจัดการท้ังการปรึกษาหารือ การเตรียมงาน กิจกรรม จัดสรรงบประมาณ และการปันผล โดยมีการ
จัดสรรงบประมาณทไ่ี ด้เปน็ สดั สว่ นเพือ่ เอ้ือประโยชนต์ ่อชุมชนและเยาวชนดว้ ย ปัจจุบนั มีสมาชกิ ท้งั หมด 80
กว่าคน
4. กลุ่มโฮมสเตย์ แต่เดิมมีท้ังหมด 25 หลังคาเรือนที่เข้าร่วมกลุ่ม ปัจจุบันเหลือแค่ 19
ครวั เรอื น ที่เปิดบา้ นเพ่ือรบั นกั ท่องเท่ียวเข้าพกั ในชุมชน เพอื่ เรียนรู้วิถีชวี ติ ในชมุ ชน
5. กลมุ่ อำสำสมคั ร 3 กลุ่ม ได้แก่ อสม. , ชรบ. , อพปร.
6. กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยำกร/ส่ิงแวดล้อม 3 กลุ่ม ซึ่งการดาเนินการจะร่วมกันทั้งหมู่บ้านดูแล
รักษารว่ มกนั
- กลมุ่ อนรุ กั ษ์พนั ธ์ุปลาแหล่งน้าธรรมชาติ
- กลุ่มเครอื ข่ายลมุ่ นา้ แม่กลางตอนบน
- กลมุ่ ทาแนวกันไฟและเฝา้ ระวงั ไฟปา่
7. กำรรวมกลุ่มเครือข่ำย เร่มิ จากปญั หาความขัดแยง้ เรอื่ งการใช้นา้ ไฟป่า และสารเคมี ระหว่าง
ชุมชน ต้นน้ากับชุมชนปลายน้า ทาให้มีการรวมกลุ่มเครือข่ายลุ่มน้าแม่กลางตอนบนเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา
ดงั กลา่ ว โดยเร่ิมมีการแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ และพูดคยุ กนั ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2536 ต่อมาปี พ.ศ. 2538 มกี าร
ขับเคล่ือนอย่างเป็นทางการ ภายใต้ช่ือเครือข่ายลุ่มน้าแม่กลางตอนบน และมีคณะกรรมการเปน็ ตัวแทนทุก
หมูบ่ า้ นและผ้ใู หญ่บ้านเปน็ คณะกรรมการโดยตาแหนง่ เข้าร่วมเปน็ คณะกรรมการขบั เคล่อื น
8. องค์กรในชมุ ชน
- วดั /โบสถ์แมพ่ ระ 3 แหง่
- ศูนย์เดก็ เล็ก 1 แห่ง
- สถานีวิทย/ุ หอกระจายขา่ ว 1 แหง่
- ศาลากลางหมบู่ า้ น ศนู ยเ์ รยี นรู้ 1 แหง่
1.11 ข้อมลู ดำ้ นกำรท่องเที่ยวชุมชน
ทอ่ี ยู่ : บ้านอา่ งกาน้อย หมู่ที่ 17 ตาบลบา้ นหลวง อาเภอจอมทอง จงั หวัดเชียงใหม่
เบอรโ์ ทรศพั ท์ตดิ ตอ่ : 093 – 1313850 คุณอนุ่ ผู้จัดการบ้านพกั เชงิ อนรุ ักษ์
ประวัติควำมเป็นมำศนู ย์บรกิ ำรท่องเท่ยี วเชิงอนุรักษ์บ้ำนอำ่ งกำน้อย
23
การเรยี นรู้เชิงปฏิบตั ิการ (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
การท่องเที่ยวชุมชนบ้านอ่างกาน้อย จะเป็นส่วนหน่ึงของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
บา้ นแมก่ ลางหลวง โดยมีประวตั ดิ ังน้ี
การท่องเท่ียวหมูบ่ ้านแม่กลางหลวงได้ถกู ริเร่มิ ขึ้นจากนายสมศักดิ์ ศิริภูมิทอง ชาวบ้าหมู่บา้ น
แม่กลางหลวง กล่าววา่ "เราคือนักเดินทาง เดินทางมาท่วั ประเทศ แตเ่ ม่ือกลับมามองทีห่ ม่บู ้านตวั เอง หมบู่ า้ น
เรา ยากจน ปลูกไร่ฝิ่น ตัดไม้ ฆ่าสัตว์ มีสภาพเป็นดอยหัวโล้น ชาวบ้านต้องไปรับจ้างคนมีอิทธิพลโดนเอา
เปรียบ" จึงเปน็ จดุ เริ่มต้นให้เกิดการท่องเท่ยี วโดยชมุ ชน เร่ิมมบี รษิ ทั ทัวรน์ านกั ท่องเท่ียวเขา้ มายังหมู่บา้ น แต่
ชาวบา้ นไมไ่ ดร้ บั ประโยชนห์ รือมีส่วนไดส้ ่วนเสียกับการทอ่ งเทย่ี วดงั กล่าวแต่อย่างใด อีกทงั้ ยงั ไมเ่ ปน็ ทีย่ อมรับ
ของคนในชมุ ชนมากเท่าไหรน่ กั เพราะกลัวว่าจะทาใหว้ ถิ ีชวี ิตวัฒนธรรมเปลี่ยนไป
จนกระทั่งปี 2542 ได้มีการจัดต้ังกลุ่มทางการท่องเที่ยวข้ึน โดยใช้ช่ือว่าศูนย์ท่องเท่ียวเชิง
อนุรักษ์บ้านแม่กลางหลวง หรือ Eco Tourism อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ช่วยอุทยาน
แห่งชาติดอยอินทนนท์ อบต. และชาวบ้านบางส่วน ท่ีมองเห็นศักยภาพของหมู่บ้านอ่างกาน้อยว่าสามารถ
พัฒนาเป็นแหล่งทอ่ งเที่ยวได้ อีกทั้งยังเข้าถึงงา่ ย การคมนาคมสะดวกเพราะติดถนน โดยมีเปา้ หมายหลกั คือ
ดา้ นความสมั พันธ์ ความเข้าใจ ระหวา่ งคนพืน้ ราบและคนบนดอย การถกู ปฏเิ สธ การยอมรับจากสงั คมพนื้ ราบ
ความสัมพันธ์ความเข้าใจระหว่างคนบนดอยกับอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เรื่องการบุกรุกทาลายป่า
การเข้าใจผิด ดูถูกวิถีชีวิตที่แตกต่างกันเมื่อการท่องเท่ียวเกิดข้ึน เกิดกิจกรรมที่ทาร่วมกันกับทุกฝ่าย การ
ท่องเทีย่ วจงึ เปรียบเหมอื นตวั กลางสรา้ งความสมั พันธใ์ หก้ บั ทกุ ฝา่ ยเปน็ เหมอื นประตูทเ่ี ปดิ ต้อนรับโลกภายนอก
เข้ามาสู่หมู่บ้าน เพ่ือแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนบนดอย แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของปกา
เกอะญอ นอกจากน้ีแลว้ ยังเป็นการ สร้างอาชีพสร้างรายได้ใหแ้ ก่คนในหมบู่ ้าน เมื่อชาวบ้านมีรายได้จากการ
ท่องเที่ยว ก็เลิกตัดไม้ทาลายป่า ฆ่าสัตว์ ชาวบ้านบางคน จากท่ีเคยเข้าไปตัดไม้ในป่า เปล่ียนอาชีพมาเป็น
มัคคเุ ทศก์
แรกเร่ิมการจัดต้ังศูนย์ท่องเที่ยวเท่ียวเชิงอนุรักษ์บ้านอ่างกาน้อย มีบ้านพักเพียงสองหลงั ซึ่ง
สร้างด้วยน้าพักน้าแรงของกลุ่มผูก้ ่อตั้งในช่วงแรก นาโดย นายสมศักด์ิ คีรีภูวดล พ่อหลวงพงษ์ทู เช้ือสุจริต
ไพบูลย์นายทองคา ชมทองสุข นายโยแส กิจจรูญชัย รวมคณะกรรมการทงั้ หมด 14 คน เพ่ือเข้ามาบรหิ าร
จัดการ โดยเร่ิมต้น มีนายชาลี เปน็ ผจู้ ัดการบา้ นพกั โดยได้คาแนะนาจากผูช้ ่วยแก้ว ธิติรัตน์ โพระสา ผู้ช่วย
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในขณะนั้น ผู้ช่วยแก้วยังได้นาบุคคลภายนอกเข้ามาช่วยดูแลให้ความรู้กับ
ชาวบา้ นเกี่ยวกับการทอ่ งเทีย่ ว ท้ังเรอื่ งการบริการ กจิ กรรมการทอ่ งเที่ยวต่าง ๆ เชน่ การดูดาว ดนู ก กจิ กรรม
การท่องเท่ียวช่วงแรกของหมู่บ้าน คือ ท่องเที่ยวนาข้ันบันได เดินป่า ดอยหัวเสือ น้าตกผาดอกเส้ียว ดูนก ดู
ดาวโดยนักท่องเท่ียวกลุ่มแรกที่เข้าในชุมชนเป็นกลุ่มนักศึกษา สาขาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มาศึกษาดูงาน
จากแนะนาของผู้ชว่ ยแก้ว และคุณครรชิต ในช่วง 3 ปีแรก นักท่องเทีย่ วยังไม่มากนัก แต่เม่อื นักทอ่ งเทย่ี วรูจ้ กั
มากขน้ึ จากการบอกปากต่อปาก เริม่ มีภาพยนตร์เขา้ มาถ่ายทาในพ้ืนท่ี อาทิเหิรฟ้า ซีอุย ลมหวน ตะเคียน แต่
ภาพยนตร์ท่ที าให้แม่กลางหลวงเปน็ ท่รี ู้จักมากขึ้น คือ ภาพยนตร์เร่อื ง รักจัง ภาพยนตร์เร่อื ง หนึ่งใจเดียวกนั
ภาพยนตรใ์ นทลู กระหม่อมหญงิ อบุ ลรตั นราชกญั ญา สริ วิ ฒั นาพรรณวดี นอกจากน้ยี งั เปน็ ที่รู้จักมากขึ้นอกี จาก
ละครเร่อื ง ลมซอ่ นรัก แสดงนาโดย ณเดชน์ คูกิมยิ ะ และ แต้ว ณฐพร
ปัจจุบัน ศูนย์ท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์บ้านอ่างกาน้อย มีบ้านพักทั้งหมด 11 หลัง และได้จด
ทะเบียนเป็นวิสาหกิจชมุ ชน ตั้งแตว่ นั ท่ี 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ตามคาแนะนาของการท่องเท่ยี วแหง่ โดยมี
นายพงษศ์ กั ดิ์ วนาลัยนเิ วศษ์ เปน็ ผจู้ ัดการบ้านพัก เมือ่ เวลาผา่ นไป ชาวบา้ นเร่ิมเหน็ ความสาคัญและประโยชน์
ของการท่องเที่ยวมากข้ึน นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังหมู่บ้านมากข้ึนเรื่อย ๆ นอกจากบ้านพักของกลุ่ม
วิสาหกิจชุมชนแล้ว ยังมีบ้านพักของเอกชน ที่จัดตั้งโดยชาวบ้านในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย รายได้จาก
24
การเรียนรู้เชงิ ปฏิบตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดบั สูง (นปส.) รนุ่ ที่ 76
วิสาหกจิ ชมุ ชน ยังมีส่วนชว่ ยในการพัฒนาหมบู่ ้านและแบง่ สันปนั สว่ น ทัง้ ซ่อมถนน สะพาน ทนุ การศึกษา แนว
กนั ไฟ แข่งกฬี าประจาปี
เม่ือหมู่บ้านเปน็ ที่รู้จักมากขึ้น นักท่องเท่ียวหล่ังไหลเข้ามาทงั้ ชาวไทยและต่างประเทศ เริ่มมี
นกั ทอ่ งเที่ยวตา่ งชาติมาถามหาที่พักแบบโฮมสเตย์ นอนพักรว่ มกบั ชาวบ้าน จงึ ไดม้ ีการเปิดทพี่ ักแบบโฮมสเตย์
เป็นอีกหน่ึงตัวเลือกสาหรับนักท่องเท่ียวท่ีอยากเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตของปกาเกอะญอ รวมถึงนักเรียนจาก
โรงเรยี นนานาชาติทีม่ าเข้าพักเป็นประจาทุกปีอีกด้วย โฮมสเตยอ์ ่างกาน้อย ยงั ไดร้ บั มาตรฐานโฮมสเตย์ไทยท่ี
รบั รองโดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการทอ่ งเท่ยี วและกีฬาอกี ดว้ ย
1. จะทายังไงให้เกดิ การยอมรบั ภาพทางด้านลบในอดตี ชาวเขาตัดไม้ทาลายป่า ซึ่งในอดีตก็
ยอมรบั เพราะเปน็ เร่ืองจรงิ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันเป็นส่ิงตอ้ งทามาหากนิ ทาไร่ฝิ่น ไร่หมนุ เวียน ปลูก
ฝ่ินรายไดก้ ็ไมด่ แี ต่ต้องทา
2. เผยแผ่ประเพณวี ฒั นธรรมแกช่ นภายนอก ใหเ้ ข้าใจกะเหรี่ยงมากข้ึน
3. การอยูก่ ับสังคมไม่ไดเ้ ชงิ เด่ียวอยูก่ นั เปน็ ครอบครวั
4. ส่งเสรมิ รายได้นอกภาคฤดกู ารเกษตร
เม่อื มีกำรทอ่ งเท่ยี วเกิดขนึ้
1. การหาขอ้ ตกลงในการใชท้ รพั ยากรระหวา่ งชมุ ชนกับหน่วยงาน
2. การจดั ตง้ั กล่มุ ทอ่ งเท่ียว
3. การบริหารจดั การโดยชมุ ชน
ได้อะไรจำกกำรท่องเทย่ี ว
1. การแลกเปล่ียนและถา่ ยทอดวัฒนธรรม
2. เกิดการพฒั นาชุมชนและสงั คม
3. เกิดรายไดเ้ สริม มีความเป็นอยูท่ ี่ดขี ้นึ
4. เกิดจติ ใจสานึกในการดแู ลรกั ษาและเห็นคุณคา่ ของธรรมชาติ
กำรบริหำรจัดกำรรำยได้
1. สนับสนุนกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมของชมุ ชน เช่น แนวกันไฟ ปลูกป่า 10%
2. สนับสนนุ กองทนุ สาธารณะประโยชน์ เช่น ซอ่ มแซมถนน ศาลา แข่งกฬี า 10 %
3. สนบั สนุนสวัสดกิ ารชุมชน เชน่ การนอนโรงพยาบาล คืนละ 200/คน/คืน ไมเ่ กิน 10 คนื
4. คา่ ตอบแทนคณะกรรมการ ปีละคร้ัง 10%
5. สนับสนุนทุนการศึกษา 10%
6. ปันผลคนื ใหส้ มาชิก 30 %
7. เกบ็ เปน็ ทุนสารองเพื่อใช้จา่ ย 20 %
25
การเรยี นรูเ้ ชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
1.12 ฤดกู ำรทอ่ งเทย่ี ว หมู่บำ้ นอ่ำงกำนอ้ ย
เดอื นและสภำพอำกำศ ธรรมชำตพิ ชื พรรณ วิถชี ีวิตวฒั นธรรม กจิ กรรมกำรท่องเทีย่ ว
และนก ในพื้นท่ี ในพื้นท่ี
มกรำคม ใบไม้ในป่าผลัดใบ หลงั ฤดูเกบ็ เก่ียวขา้ ว เดนิ ป่า ดูนก เกบ็ เมลด็
อากาศหนาวจดั บางครั้ง เร่มิ เปลย่ี นสสี ้นจากเขียว แตเ่ ปน็ ชว่ งเกบ็ เกย่ี ว กาแฟ เก็บสตอเบอร่ี
อุณหภมู ติ า่ กว่า 0 องศา เป็นเหลืองและแดง ผลผลิต กาแฟ สตอเบอร่ี สวนดอกไมเ้ มืองหนาว
เซลเซียส จะเกดิ นา้ คา้ ง ชว่ งฤดดู อกไม้บาน ดอกไม้ ชว่ งเริ่มต้นจัดพิธี ฝึกเรียนทอผ้า ให้อาหาร
แขง็ ในชว่ งตน้ เดือน ดนู กดูได้ดีท่ีสดุ เดือน กรรมการ มัดมอื กนิ ข้าว ปลา ดดู าว ทะเลหมอก
หน่ึงของปี ทงั้ นกอพยพ ใหมข่ องแตล่ ะครอบครวั เล่านทิ านและดนตรี
และนกประจาถิ่น ท้องถิน่ งานฤดูหนาว
ต้อนรบั ปีใหม่ และงาน
ทาบุญข้าวใหมท่ ีว่ ัด
ปน่ั จักรยานเสอื ภเู ขา
กุมภำพันธ์ ใบไมใ้ นป่าผลัดใบ ช่วงจัดงานมัดมือกินขา้ ว เดนิ ป่า ดนู ก เกบ็ เมล็ด
อากาศหนาวต่ากวา่ เร่ิมทิ้งใบ ดอกไมส้ ีแดง ใหม่ของคนปกาเกอญอ กาแฟ เก็บสตอเบอรี่
15 องศาเซลเซยี ส เริ่มเบง่ บาน เสยี งจักจัน่ และงานปีใหม่ของคนม้ง สวนดอกไม้ ฝกึ เรียน
ร้องต้อนรบั ฤดรู ้อน กจิ กรรมทาแนวป้องกัน ทอผา้ ให้อาหารปลา
ท่กี าลงั จะมา นกฮีวาบ ไฟป่าในพืน้ ที่ปา่ ชมุ ชน ดดู าว เลา่ นิทาน
ตกั๊ แตน จะส่งเสียงรอ้ ง ของแตล่ ะขมุ ชน และดนตรที ้องถิน่
แจ้งข่าวท้งั กลางวนั และ ทาแนวป้องกันและดบั ไฟ
กลางคืนสญั ญาลักษณ์ ป่าทาฝ่ายดกั ตะกอน
แหง่ ความแห้งแล้ง เพาะกลา้ ไม้ ให้อาหารนก
กาลังมาเยือน ป่นั จักรยานเสอื ภเู ขา
มนี ำคม เริ่มต้นฤดูร้อนใบไม้ใน ชุมชนคนในหม่บู า้ น เดินป่า ดูนก ชมิ กาแฟ
อ า ก า ศ เ ย็ น ต อ น ปา่ เริ่มปรบั ปรงุ ป้านและ เก็บสตอเบอร่ี สวนดอกไม้
กลางคนื ผลัดใบท้ิงใบเห็นแต่ก่ิง ส่งิ ปลกู สรา้ งท้ังหลาย เมอื งหนาว ฝกึ เรยี นทอผ้า
แต่ร้อนในตอนกลางวัน ก้ า น ล า ต้ น ท่ี เปลือย เพอื่ ไห้ยังความแขง็ แรง ใหอ้ าหารปลา ดูดาว
ประมาณ 30 องศา เปลา่ รองรับฤดูฝนที่กาลังจะ เล่านิทาน และดนตรี
เซลเซียส ไร้ใบและเป็นชว่ งที่เกดิ มา ทอ้ งถ่ิน อาสาสมคั ร
ไฟไหมป้ า่ หมอกควัน ช่วงฤดชู ่วยกันดับไฟป่า ทาแนวป้องกันและดับ
มมี ากท่ีสดุ ของปี รว่ มกับเจ้าหน้าท่ไี ฟป่า ไฟป่า ทาฝา่ ยดกั ตะกอน
น ก ห ล ายชนิดจะส่ง และเครือข่ายตน้ น้า เพาะกล้าไม้ ให้อาหารนก
เสยี ง แม่กลาง ป่นั จักรยานเสอื ภเู ขา
ในชว่ งกลางคืนเกอื บ
ตลอดท้ังคืน เช่น นก
ขอดหญ้าสีดา
26
การเรียนรเู้ ชงิ ปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
เดือนและสภำพอำกำศ ธรรมชำติพชื พรรณ วถิ ชี ีวิตวัฒนธรรม กิจกรรมกำรท่องเทย่ี ว
และนก ในพื้นที่ ในพื้นท่ี
เมษำยน กลางฤดูรอ้ นมีไฟไหม้ป่า ชว่ งเทศกาลสงกรานต์ เดินป่า ดูนก
อากาศเย็นสบาย มาก หมอกควันมาก และตกแตง่ ก่ิงดูแลให้ป๋ยุ เก็บสตอเบอร่ี
ตอนกลางคืน เชน่ กัน แต่มักจะมพี ายุ อนิ ทรยี ์แกต่ ้นกาแฟ สวนดอกไมเ้ มอื งหนาว
แต่รอ้ นประมาณ ฤดรู อ้ นเกดิ ขึน้ ตน้ ไม้ปา่ การเตรยี มความพร้อม ฝึกเรยี นทอผา้
30 องศาเซลเซยี ส ผลัดใบเร่ิมผลใิ บใหม่ ในการวางระบบน้า เพาะกลา้ ไม้
ในชว่ งกลางวัน นกเร่ิมทารงั วางไขแ่ ละ เหมอื งฝ่าย ให้อาหารนก
ออกลกู เหย่ยี วรงุ้ จะบิน ให้อาหารปลา ดูดาว
รอ่ นออกสง่ เสียง เลา่ นทิ านและดนตรี
ในตอนสาย ทอ้ งถ่นิ ทาแนวปอ้ งกัน
และดับไฟป่า ทาฝ่าย
ดกั ตะกอน เพาะกลา้ ไม้
ปนั่ จกั รยานเสือภูเขา
พฤษภำคม ปลายช่วงฤดรู อ้ น ตน้ ไม้ เตรยี มหวา่ นต้นกลา้ พันธ์ุ เดินป่า ดูนก เพาะกล้าไม้
อากาศเยน็ สบายปลาย ในป่าผลัดใบ ผลิใบเขียว ข้าวซอ่ มแซมระบบน้าใน ทอผา้ ทาฝายก้ันนา้
ฤดรู ้อน ช่วงบา่ ยเย็น ๆ ตามการเพิ่มขึน้ ของ นาขัน้ บันได เล้ยี งผฝี าย เล่านิทานและดนตรี
มักมฝี นตกจากพายุ ความช้ืนในอากาศ ท่จี ะ ผีน้า และเป็นช่วงมีการ ท้องถนิ่ สวนดอกไม้
ฤดรู ้อน อุณหภมู ิ เร่มิ ตน้ สู่ฤดฝู น ในช่วง จดั พธิ แี ต่งงานของคน เมอื งหนาว ทาฝายดัก
ประมาณ 15 - 30 บ่ายถึงค่ามักจะมฝี น ทอ้ งถ่นิ ตะกอน ฝายน้าลน้
องศาเซลเซยี ส และมีปรากฏการณ์รงุ้ เพราะกลา้ และปลกู ไม้
กินน้า นกประจาถน่ิ อาหารนก ปน่ั จกั รยาน
สว่ นใหญ่กาลังเล้ียงลกู เสือภูเขา
กลางวนั ได้ยินเสยี ง
จกั จ่ันและนกกลางคืน
จะได้ยินเสยี งกบ เขยี ด
มถิ นุ ำยน เรม่ิ ตน้ สฤู่ ดูฝน ฝนเร่ิม ชาวพทุ ธอาเภอจอมทอง เดินป่า ฝึกตานาปลูก
อากาศเย็นสบาย เริม่ ต้น มากขน้ึ ไปไม้ใบหญา้ ท า บุ ญ วั ด พ ร ะ ธ า ตุ ข้าว ไถนา ให้อาหาร
ส่ฤู ดฝู น อุณหภมู ิ พืชท้ังปาผลัดใบและ จอมทอง ปลา สวนดอกไม้เมือง
ประมาณ 10-30 ป่าดิบเขาเร่ิมกลับมา วรวหิ าร เนือ่ งในวัน หนาว เล่านิทานและ
องศาเซลเซยี ส เขยี วชอุม่ อกี ครง้ั วิสาขบชู า ชาวนาเร่ิม ดนตรีท้องถ่ิน เพาะกลา้
ไถพรวนดนิ และดูแล และปลูกไม้อาหารนก
ต้นกลา้ ได้ ป่ันจักรยานเสอื ภูเขา
27
การเรียนรเู้ ชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning) หลักสูตรนักปกครองระดบั สูง (นปส.) รุ่นที่ 76
เดอื นและสภำพอำกำศ ธรรมชำตพิ ชื พรรณ วิถีชีวิตวัฒนธรรม กิจกรรมกำรทอ่ งเทย่ี ว
และนก ในพ้ืนท่ี ในพื้นที่
กรกฎำคม กลางฤดฝู น ฝนจะมาก ชว่ งฤดไู ถนาและปลูกข้าว ฝึกทานาปลกู ข้าวกบั คน
ฝนเรม่ิ ตกหนัก โดยเฉพาะ เรม่ิ มนี า้ ไหลหลากมากขนึ้ ของคนในชุมชน ทอ้ งถนิ่ ให้อาหารปลา
ช่วงเขา้ และเย็น สตั วค์ ร่ึงบกครึง่ นา้ เชน่ พิธีเล้ยี งผนี า สวนดอกไมเ้ มืองหนาว
อณุ หภมู ิประมาณ กบ เขยี ด องึ่ อา่ ง มกั จะ ชมิ กาแฟสด ดนตรี
10-30 องศา เซลเซียส ส่งเสียงรอ้ งระงมทว่ั ทอ้ งถิ่น เพาะกลา้ และ
ท้องทงุ่ นา ปลกู ไม้ ใหอ้ าหารนก
ปนั่ จกั รยานเสือภูเขา
สิงหำคม ฝนยงั ตก ถา้ ตกมากเกิน ชว่ งดูแลระบบน้า เดนิ ป่า เก็บผักในสวน
ฝนเริ่มตกหนกั มากขึ้น 1 , 0 0 0 มิ ล ลิ เ ม ต ร ในนาขา้ ว ทาสวนดอกไม้ ฝกึ ทอผ้า ให้อาหารปลา
โอกาสท่ีจะเหน็ โอกาสเกิดน้าป่าและดิน สวนดอกไม้เมอื งหนาว
แสงอาทติ ย์นอ้ ยลง สไลดใ์ นพ้ืนท่ีที่ชน้ื และ เลา่ นิทานและดนตรี
อณุ หภมู ิประมาณ ลาดชันมาก ทอ้ งถ่ิน เพาะกล้า
10 - 25 องศาเซลเซยี ส และปลูกไม้ ให้อาหาร
นก ปน่ั จกั รยานเสอื ภเู ขา
กันยำยน ฝนยงั ตกมาก ถา้ ตกเกนิ พิธีการเลี้ยงผีนา เดินป่า เก็บผักในสวน
ช่วงฝนตกหนักมากท่สี ดุ 1 , 0 0 0 มิ ล ลิ เ ม ต ร ในช่วงขา้ วตง้ั ท้อง สวนดอกไมเ้ มืองหนาว
ของปี โอกาสทจ่ี ะเหน็ โอกาส เกดิ นา้ ปา่ และดิน และเปน็ ชว่ งเริม่ ต้นปลกู ฝกึ ทอผา้ ใหอ้ าหารปลา
แสงอาทิตยน์ ้อยเช่นกนั สไลด์ได้ง่าย ช่วงปลาย ผกั กาดสวนครัว เลา่ นทิ านและตนตรี
อุณหภูมิประมาณ เดือนจะมีฝนตามแนว ทอ้ งถิ่น ปั่นจกั รยาน
10 – 25 องศาเซลเซยี ส ปะทะลมหนาว ท่ีกาลัง เสอื ภูเขา
เร่ิมจะมาเยือนในช่วง
ปลายเดือน
ตลุ ำคม ปรากฏการณ์ทะเลหมอก ช่วงเตรยี มการปลกู ตน้ เดนิ ป่า ดนู ก เตรียมแหลง่
อากาศเริม่ หนาว ในตอนเช้าและทวิ ทศั น์ สตอเบอรี่ และเร่ิมตน้ ฤดู ปัจจยั ดารงชพี ของนก
ลมหนาวแรกเรม่ิ มาเยอื น ขา้ วกาลงั ออกรวงในนา เกบ็ เมล็ดกาแฟสด เก็บกาแฟ สวนดอกไม้
แต่ยังมีความชนื้ ในอากาศ ขั้นบันไดในหบุ เขาได้ เตรียมวสั ดุ อุปกรณ์ เมืองหนาว ฝึกเรยี นทอ
มาก อุณหภูมปิ ระมาณ สวยงามทสี่ ดุ เดือนหนง่ึ เครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการ ผ้า ใหอ้ าหารปลา ดูดาว
5-20 องศาเซลเซียส ของปี เก็บเกี่ยวขา้ ว ทะเลหมอก เลา่ นิทาน
และดนตรที อ้ งถน่ิ
ปนั่ จกั รยานเสือภูเขา
28
การเรยี นรเู้ ชิงปฏิบตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
เดือนและสภำพอำกำศ ธรรมชำตพิ ชื พรรณ วิถีชีวิตวัฒนธรรม กิจกรรมกำรทอ่ งเทยี่ ว
และนก ในพื้นที่ ในพ้ืนที่
พฤศจกิ ำยน ปรากฏการณ์ทะเล ช่วงเก็บเกยี่ วขา้ วในนา การเดนิ ป่าดนู กและ
อากาศเรมิ่ หนาวลม หมอกในตอนเชา้ และทงุ่ ขน้ั บันได และเก็บเก่ยี ว สารวจความหลากหลาย
หนาวแรกเริม่ มาเยอื น สที องของนาข้ันบนั ไดใน เมล็ดกาแฟสด ของนก เกบ็ เกยี่ วขา้ ว
แตย่ ังมีความชน้ื ใน หบุ เขาและดอกไมพ้ ืช งานประเพณียเี่ ป็นท่ีวดั เก็บเมล็ดกาแฟ
อากาศสูง อุณหภูมิ ล้มลุกพ้นื ลา่ งในป่าออก พระธาตจุ อมทองวรวิหาร สวนดอกไมเ้ มืองหนาว
ประมาณ 5-20 องศา ดอกบานมากท่ีสุดใน ฝกึ เรยี นทอผ้า ใหอ้ าหาร
เซลเซียส รอบปี ปลา ดูดาว ทะเลหมอก
เล่านิทานและตนตรี
ท้องถิ่น ปนั่ จกั รยาน
เสอื ภเู ขา
ธันวำคม ปา่ ผลัดใบเร่มิ เปลีย่ นสี ชว่ งสุดทา้ ยในฤดู การเดนิ ปา ดนู ก
เป็นชว่ งเดือนที่มอี ากาศ ดอกไมป้ ่าเร่มิ บาน เกบ็ เกี่ยวข้าว และเฉลมิ เกบ็ เมล็ดกาแฟ
หนาวจดั ของปี บางช่วง ตอ้ นรบั ช่วงเทศกาล ฉลองวนั ครสิ มาสต์ของ เกบ็ สตอเบอรี่
อุณหภมู ิตา่ กว่า 0 องศา คริสต์มาสและปีใหม่ ชาวคริสต์ ชว่ งเมล็ด สวนดอกไมเ้ มืองหนาว
เซลเซยี ส มีน้าค้างแข็ง เป็นช่วงที่มนี กั ทอ่ งเที่ยว กาแฟในสวนกาแฟวน ฝึกเรยี นทอผา้ ให้อาหาร
ทีย่ อดดอย มากที่สุดของปี เกษตร ผหู้ ญงิ มเี วลาทอ ปลา ดดู าว ทะเหมอก
ผ้า หาปลาในชว่ งตอน เล่านิทานและดนตรี
เย็น ท้องถ่ิน ปั่นจกั รยาน
เสอื ภูเขา
29
การเรยี นรู้เชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลักสตู รนกั ปกครองระดบั สูง (นปส.) รนุ่ ที่ 76
1.13 กจิ กรรมทอ่ งเทย่ี วบำ้ นอ่ำงกำน้อยท่ีน่ำสนใจ
1.13.1 ถำ่ ยรูปคู่กบั นำข้ันบันได
ก า ร ป รั บ ใ ช้ พื้ น ที่ ใ ห้ อ ยู่ ใ น รู ป แ บ บ น า ข้ั น บั น ไ ด จ น เ ป็ น ที่ รู้ จั ก กั น ใ น ช่ื อ น า ช้ั น บั น ไ ด
อ่างกาน้อย ชาวบ้านจะเรมิ่ ดานาประมาณเดือนมิถุนายน ถ้าใครไปช่วงนีจ้ ะไดบ้ รรยากาศต้นข้าวต้นเล็ก ๆ สี
เขยี วทพ่ี ่ึงถกู ปกั ลงไปยังขนั้ บนั ไดและเดือนกนั ยายถึงตลุ าคมเรม่ิ เขา้ ส่ชู ่วงฤดฝู น นาขน้ั บนั ไดจะเขยี วขจถี ูกคลุม
ด้วยสายหมอกบาง ๆ แตถ่ า้ ใครอยากไดบ้ รรยากาศต้นข้าวสีทองเหลืองอร่ามก็ต้องมาช่วงปลายเดอื นตุลาคมถงึ
ต้นเดือนพฤศจิกายน เก็บภาพบรรยากาศแลว้ ก็อย่าลมื แวะชิมข้าวดอยที่ทั้งหอมท้งั หวาน ใช้ทาเมนูข้าวต้มดี
ข้าวผัดก็อร่อย หรือจะซ้อื เปน็ ของติดไม้ตดิ มือกลบั ไปฝากใหค้ รอบครวั หรือเพอื่ น ๆ เพราะขา้ วดอยพนั ธทุ์ อ้ งถิ่น
แบบนี้หาซอ้ื ท่ีไหนไมไ่ ด้ นอกจากท่นี ่ีอา่ งกาน้อย รวมถงึ ถ้าใครสนใจกิจกรรมดานาหรือเกย่ี วขา้ วกับชาวบ้านก็
สามารติดตอ่ ได้ที่ศูนยบ์ รกิ ารทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษบ์ า้ นอ่างกานอ้ ยไดเ้ ลย
1.13.2 ลมิ้ รสชำตกิ ำแฟอำรำบิกำ้ สด
ถ้ามาถึงหมู่บ้านอ่างกาน้อยแล้วไม่ได้ชิมกาแฟอาราบิก้าสดละก็ถือว่ามาไม่ถึงอ่างกาน้อย มาแล้วก็
ต้องไปดูต้นกาแฟที่ปลูกอยู่ตามป่าบรเิ วณหม่บู ้าน รวมถึงวิธีการชงกาแฟ การบด การค่ัว หรือคุณจะลองบดกาแฟดว้ ย
ตัวเองจากเครื่องบดกาแฟแบบดั้งเดิม ที่ยังต้องใช้แรงในการหมุนอยู่ แนะนาว่าให้ชิมแบบยังไม่ต้อง
ใส่น้าตาลก่อนถึงจะได้รสชาติกาแฟสดแท้ ๆ สามารถชิมกาแฟสด เน้นคาว่า "ฟรี "ตัวใหญ่ได้ทั้งสองร้าน คือ
ร้านกาแฟสดอ่างกาน้อยของคุณลุงโยแส่ และรา้ นกาแฟโถบ่ ิเบที่ แปลวา่ นกพญาไฟหรือกาแฟ คุณลุงสมศักด์ิ ซ่ึงจะชิม
กาแฟกนั กแ่ี ก้วคุณลุงทง้ั สองก็ไม่วา่ แลว้ กอ็ ยา่ ลืมอุดหนุนกาแฟตดิ ไม้ติดมือไปฝากทีบ่ า้ น
30
การเรียนรู้เชิงปฏบิ ัติการ (Action Learning) หลักสตู รนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 76
1.13.3 เดินป่ำเส้นทำงศึกษำธรรมชำติน้ำตกผำดอกเส้ียว
น้ าตกผาดอกเส้ี ยว มาจากช่ื อดอกเสี้ ยวที่ ออกดอกอยู่ บริ เวณเส้ นทางเดิ นน้ าตก
จะได้เห็นดอกเส้ียวสีขาวออกดอกสวยงามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรืออีกชื่อท่ีเรียกติดปากกันว่า น้าตกรักจัง
ตามช่ือเรียกของภาพยนตร์ที่ยกกองถ่ายมาถ่ายทากันที่น่ีอีกหน่ึงไฮไลท์สาคัญของหมู่บ้าน ท่ีใครมาแล้วก็ต้อง
มาถา่ ยรูป คือ บริเวณสะพานไม้ไผ่เหมือนในฉากหนังที่พระเอกนางเอกอย่างฟลิ ม์ รฐั ภูมิ และสาวพอลลา่ นั่งคุยกนั ในฉาก
สาคัญของเรื่อง น้าตกผาดอกเส้ียวเป็นอีกสถานที่หน่ึงที่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามและความสมบูรณ์
ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติของหมบู่ ้าน ตลอดระยะทางเกือบ 3 กโิ ล ท้งั พรรณไม้นานาชนิด สมนุ ไพร ผีเสอื้ นก และถ้าคุณ
โชคดีคุณจะได้ยินเสียงร้องของชะนี แต่คุณจะไม่มีทางมองหาตัวมันเจอ การเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติน้าตกผาดอก
เสี้ยวจาเป็นต้องมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นนาเดินด้วย เพ่ือความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และเป็นกฎระเบียบทางการ
ทอ่ งเทย่ี วของหมู่บา้ น เพอ่ื สร้างรายได้เสรมิ ให้แก่ชาวบ้าน
1.13.4 เดินป่ำดอยหวั เสือ
ดอยหัวเสือ อีกหน่ึงเส้นทางเดินป่าดอยที่มีลักษณะเป็นรูปจมูกเสือ จึงเป็นท่ีมาของการเรียกช่ือ
ดอยหวั เสอื อุดมสมบรู ณ์ไปด้วยพนั ธ์ุไม้นานาชนิด สภาพปา่ บริเวณนจ้ี ะเป็นปา่ สนสลบั ป่าดิบเขา และจะพบกหุ ลาบพัน
ปีในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน เส้นทางนี้เหมาะสาหรบั นักทอ่ งเที่ยวหรือคนท่ีชอบเดินป่าจริง ๆ เพราะระยะทาง
ค่ อนข้ างไกลใช้ เวลา 3 - 4 ช่ั วโมง ในการเดิ น ข้ึ นอยู่ กั บการตกลงกั บมั คคุ เทศก์ ท้ อ ง ถิ่ น
ที่นาเดิน แต่เมื่อคุณขึ้นไปจุดสูงสุดได้คุณจะหายเหนื่อยเลยทันที เน่ืองจากระยะทางที่ค่อนข้างไกล จึงเหมาะมาก
ทีจ่ ะสั่งข้าวหอ่ ใบตองขึ้นไปกนิ เป็นอาหารกลางวนั บนยอดดอยหัวเสอื ท่ีสูงจากระดบั นา้ ทะเล กว่า 1,881 เมตร
31
การเรยี นรู้เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning) หลักสตู รนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
1.13.5 ไหวพ้ ระพทุ ธอทุ ยำนอ่ำงกำน้อย
พทุ ธอทุ ยานแม่กลางหลวงหรอื ปกาเกอญาราม แปลว่า วดั ของชาวกะเหร่ียงต้งั อยู่บนเนินเขาในบริเวณ
หมู่ บ้ านและอยู่ ในความดู แลของพระบดิ นทร์ ศี ลสั งวโร (หลวงพ่ี เบิ้ ม) ทางอุ ทยานแห่ งชาติ
ดอยอินทนนท์ได้นิมนต์ให้มาทานักอยู่ท่ีพุทธอุทยานแม่กลางหลวง โดยในวันพระใหญ่ขาวบ้านทุกเพศทุกวัย
ก็จะขึ้นไปทาบุญกันอย่างสม่าเสมอ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าภายในเจดีย์สิริปกาเกอะญอเป็นที่ประดิษฐานของ
พระบรมสารีรกิ ธาตุ ซ่ึงสมเดจ็ พระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสงั ฆปริณายกประทานให้นามาประดิษฐานไว้
ณ พุทธอุทยานแม่กลางหลวงแห่งนี้ ในบริเวณวัดยังล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่บรรยากาศเงียบสงบ ใครที่แวะเวียนมา
หมู่บ้านแม่กลางหลวงก็อย่าลืมข้ึนไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ไหว้พระทาบุญหรือจะมาปฏิบัติธรรมฝึกจิตใจใหม้ ี
ความสงบสุขมากข้ึน
1.13.6 ชมแหลง่ เพำะพนั ธ์ปลำสเตอเจียน
บ่อเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนอยู่ในความดูแลของโครงการหลวงอินทนนท์ ซึ่งต้องการ
หาพื้นท่ีทาวิจัยขยายแหล่งเพาะพันธ์ุปลาสเตอร์เจียน ประมงพ้ืนที่สูงจึงเลอื กหมู่บ้านอ่างกาน้อยเป็นแหลง่ ขยายพนั ธุ์
เพราะพื้นที่ดี น้าดี มีอุณหภูมิท่ีเหมาะสม เพราะปลาสเตอร์เจียนเป็นปลาที่จะเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ
ไมเ่ กิน 20 องศาเซลเซยี ส และมีนา้ ไหลผ่านตลอดเวลา ปลาสเตอร์เจยี นมลี ักษณะคลา้ ยปลาฉลาม ลาตัวสีดา และยังเปน็
ปลาท่นี าไขไ่ ปรดี ทาเป็นไขป่ ลาคาเวียร์น่ันเอง ถา้ ใครอยากเห็นปลาสเตอร์เจยี นชัด ๆ ทั้งตัวใหญ่และตัวเลก็ แนะนาให้ไป
ช่วงเชา้ ประมาณ 9 โมง บางวนั เจ้าหนา้ ทจ่ี ะลา้ งบอ่ ปลาและต้องสูบน้าออกท้ังหมดจะทาใหเ้ หน็ ตัวปลาชัดเจนหรือถ้าวัน
ไหนโชคดี คุ ณจะได้ เห็ นการช่ั งน้ าหนั กปลา ซึ่ งเจ้ าหน้ าท่ี จะน าปลาขึ้ นมาช่ั งน้ าหนั กบริ เวณ
ข้างบ่อปลา หรือถ้าไปไม่ทันตอนเช้าและถ้าใครอยากรู้ว่า ปลาสเตอร์เจียนกินอะไรเป็นอาหาร เวลาประมาณ
6 โมงเย็นของทุกวัน จะเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ให้อาหารปลา นอกจากจะได้ชมปลาสเตอร์เจียนแล้วจุดนี้ยังเป็นจุด
ทีส่ ามารถชมนาข้ันบันไดได้สวยมาก ๆ อกี จุดหน่งึ เลยกว็ ่าได้
32
การเรยี นรู้เชงิ ปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลักสูตรนักปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นท่ี 76
1.13.7 ชิมอำหำรทอ้ งถน่ิ ปกำเกอะญอ
เขาว่ากันว่ามาถึงถ่ินก็ต้องกินให้สุด มาภาคเหนือก็ต้องกินข้าวซอย มาอ่างกาน้อย
ต้องกิน "ขา้ วเบอ๊ ะ" อาหารท้องถิ่นของปกาเกอะญอขนานแท้ ทีม่ ีส่วนผสมหลักเปน็ ขา้ วแลว้ ใส่ผกั หรอื เนอ้ื สัตว์อน่ื ๆ ผสม
กันลงไป จะเป็นเน้ือไก่หรือกระดูกหมูก็อร่อย ยังมีเมนูอื่นๆ ท่ีรอให้ทุกคนได้ล้ิมลอง น้าพริกปกาเกอะญอ
ถ้าใครชอบกินปลาร้าฉันว่าก็ต้องชอบน้าพริกปกาเกอะญอ เช่นกัน น้าพริกปลากระป๋อง ปลากระป๋องอาหารธรรมดา
สาหรบั คนในเมอื งหลวง แต่เม่อื เอามาทาเปน็ นา้ พรกิ ฝีมือชาวบ้านแลว้ อร่อยไม่แพ้ใคร น้าพริกน้าปทู หี่ ากนิ ไดเ้ ฉพาะช่วง
ฤดูทานา ผัดเห็ดขม้ินที่จะขึ้นในช่ วงเดือนกรกฎาคม เหนียวนุ่มอร่อยกาลังดี เมนูผักเมืองหนาว
ผกั ทอ้ งถน่ิ ตามฤดูกาล ท่ีสาคญั ปลอดภัยปลอดสารเคมีแถมไดส้ ุขภาพดีอกี ดว้ ย
1.13.8 นอนพักโฮมเสตย์ชำวบำ้ น
อี กหนึ่ งสิ่ งส าคั ญที่ ชาวบ้ านอยากให้ คุ ณได้ มาเรี ยนรู้ เม่ื อคุ ณเข้ ามายั งหมู่ บ้ าน
ปกาเกอะญอ วถิ ีชีวติ ปกาเกอะญอและความเข้าใจเป็นสิง่ สาคัญ นอนโฮมสเตย์ ใช้ชวี ิตงา่ ย ๆ ทากจิ กรรมร่วมกับชาวบ้าน
คอื ส่ิงทีด่ ีที่สุดทีค่ ณุ จะไดร้ ู้จกั และเข้าใจพวกเขามากขึ้น แนะนาวา่ อย่างน้อยทสี่ ดุ ใชเ้ วลาสองคืนหรือถ้ามีเวลามากกว่า
น้ัน มันจะทาให้คุณได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากมายจากประสบการณ์ครั้งน้ี ถ้ามาในช่วงดานา คุณจะได้ลงไปดานากับ
ชาวบ้านดว้ ย ความนา่ รกั ใจดี และเปน็ กนั เองของชาวบ้านอาจจะทาใหค้ ุณไม่อยากกลับบา้ นเลยกไ็ ด้ การมาพกั โฮมสเตย์
ราคาอยู่ทค่ี นละ 350 บาท รวมอาหารอีกสองมอ้ื แถมยังไดเ้ รยี นรู้วิถีชวี ิตปกาเกอะญอ อยูก่ ับปา่ และธรรมชาติท่ีคุณคง
หาไม่ได้จากทีไ่ หน
33
การเรยี นรูเ้ ชิงปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลกั สูตรนกั ปกครองระดบั สูง (นปส.) รุ่นที่ 76
1.13.9 ซอ้ื ของฝำกศูนย์หัตกรรมพ้ืนบ้ำน
นอกจากผกั ผลไมเ้ มืองหนาวที่ควรห้ิวกลับไปฝากคนท่บี ้านแล้ว ก็อยา่ ลืมแวะมาเที่ยว มาซอ้ื ของฝาก
กนั ทีศ่ นู ย์หตั กรรมผ้าทอปกาเกอะญอ บา้ นอา่ งกาน้อย ตัง้ อยู่ใกล้ๆ กบั รา้ นกาแฟสมศักด์ิ ซือ้ ติดไม้ติดมือไปฝากท่ีบ้าน
ผ้าทกุ ผนื ทอเองกบั มอื ทามาให้เลือกกนั หลายอยา่ ง ไมว่ ่าจะเปน็ เส้ือปกาเกอะญอ ทงั้ ผ้หู ญงิ ผชู้ าย ผา้ พนั คอ ผา้ ปโู ตะ๊ ผ้า
คลมุ กระเปา้ ยา่ ม เลือกซอ้ื ได้ตามใจชอบ หรอื จะซือ้ แลว้ ใส่เดินเท่ียวในหมบู่ ้าน ทาตัวกลมกลืนเปน็ หน่มุ สาวปกาเกอะญ
ออ่างกานอ้ ย ก็เก๋ไปอกี แบบ
1.13.10 น่ังชิล ชมวิว ชมิ กำแฟ
ร้ำนกำแฟอมุ่ เอิบ ท่มี คี วามหมายมาจากคาวา่ อุม่ ความเขียวชอมุ่ ของทุ่งนา
ข้ันบนั ได เอบิ มาจาก ความอม่ิ เอิบของนกั ทอ่ งเทีย่ วที่เขา้ มาเที่ยว
รา้ นน้ตี ้งั อยู่ริมนา้ บรเิ วณเขตอนรุ ักษพ์ นั ธุ์ปลา ชาวบา้ นจะรดู้ แี ละจะไม่จับปลา
ในบริเวณน้จี นถงึ สะพานเข้าหมู่บา้ น ทาให้มปี ลาอย่เู ป็นจานวนมากทง้ั ปลาพลวง
ปลาในและปลาธรรมชาติชนิดอ่นื ๆ ชมิ กาแฟ กนิ ขนมเค้กและบราวนีอ่ รอ่ ย ๆ
น่งั ชลิ บนชั้น 2 ชมววิ นาขน้ั บันไดในช่วงเดอื น มถิ ุนายน ถึง เดอื น พฤศจกิ ายน
และชมวิวท่งุ ดอกดาวเรอื งในช่วงเดอื นกมุ ภาพันธ์
ร้ำนกำแฟอ่มิ ใจ ตั้งอยบู่ ริเวณศูนยบ์ ริการท่องเที่ยวเชงิ อนรุ ักษ์ บ้านอา่ งกาน้อย
ติดนาข้นั บันได ไปถา่ ยรปู สวยๆ ท่สี ะพานไม้ทยี่ ืน่ ออกไปยังทงุ่ นาและยงั มบี ริการ
กาแฟสด วาฟเฟิลสด รวมถงึ อาหารท้องถิน่ ปกาเกอะญออีกด้วย
ร้ำนกำแฟแม่กลำงหลวงฮิลล์ รา้ นกาแฟวิวสวย ตัง้ อยู่ในบรเิ วณส่วนของที่พัก
แมก่ ลางหลวงฮิล์ นอกจากจะชมิ กาแฟ ถ่ายรูปสวยๆ แล้วทีน่ ย่ี ังมผี า้ ทอขนแกะ
ใหเ้ ลอื กซอื้ กลับไปเป็นของฝากอีกด้วย
34
การเรียนรเู้ ชงิ ปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รุน่ ที่ 76
2. กำรศกึ ษำเรียนรูร้ ะบบกำรบริหำรจัดกำรชุมชน
บ้านอ่างกาน้อย หมู่ที่ 17 ตาบลบ้านหลวง อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้แยกการปกครองจากหมู่ท่ี 8
บ้านผาหมอน เม่ือปี พ.ศ. 2538 เป็นหมู่ที่ 17 ซึ่งในการบริหารจัดการชุมชนตาม พ.ร.บ. ปกครองท้องท่ี
มีนายพงษ์ทู เชื้อสุจริตไพบูลย์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีนายอภิสิทธิ์ ชานาญกิจพนา และศรีวัน ถิ่นพนานิยม เป็นผู้ช่วย
ผู้ใหญ่บ้าน และมีคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ร่วมเป็นคณะกรรมการคอยดูแลบริหารจัดการชุมชน และบาบัดทุกข์
ใหก้ บั ประชาชนในหม่บู า้ น
2.1 คณะกรรมกำรตำ่ ง ๆ ท่มี ีส่วนร่วมในกำรบริหำรจัดกำรชุมชน
2.1.1 รำยชอื่ คณะกรรมกำรหม่บู ำ้ น (กม.)
1) นายพงษท์ ู เชื้อสุจริตไพบลู ย์ ตาแหนง่ ผ้ใู หญ่บา้ น
๒) นายดวงจนั ทร์ เมฆวิชยั วงค์ ตาแหน่ง สมาชกิ เทศบาลตาบลบา้ นหลวง
๓) นายศรวี ัน ถนิ่ พนานิยม ตาแหนง่ ผ้ชู ว่ ยผใู้ หญบ่ า้ น
๔)นายสเุ ทพ ครี รี ตั นก์ มล ตาแหนง่ ผชู้ ่วยผูใ้ หญ่บา้ น
๕)นายมนตรี พิมพนั ธ์ ตาแหน่ง ประธานกรรมการ
๖) นายสนิ ใจ อนุรักษพ์ ินยั ตาแหนง่ รองประธาน
๗) นายพงษ์ศกั ด์ิ วนาลัยนิเวศน์ ตาแหน่ง เลขา
๘) นายโยแส กิจจรญู ชยั ตาแหนง่ เหรัญญกิ
๙) นายพาจะเชอ เผา่ คีรพี นา ตาแหนง่ กรรมการ
๑๐) นายดอยโพ รุกขอ์ นรุ ักษ์ ตาแหน่ง กรรมการ
๑๑) นายทองคา ชุมทองสุข ตาแหน่ง กรรมการ
๑๒) นายเปลง่ ศกั ด์ิ ต้งั ใจเจริญกลุ ตาแหนง่ กรรมการ
๑๓) นายวิทยา ดูพนาหรรษา ตาแหนง่ กรรมการ
๑๔) นางสมพร วนาลัยนิเวศน์ ตาแหน่ง กรรมการ
๑๕) นายกาดี พนาลัยชีวิน ตาแหนง่ กรรมการ
๑๖) นางโสภิต ประทีปโกสมุ ภ์ ตาแหน่ง กรรมการ
๑๗) นายสมศกั ด์ิ คีรีภูมิทอง ตาแหน่ง กรรมการ
๑๘) นายทศพล เนาพนาวัลย์ ตาแหนง่ กรรมการ
๑๙) นายสรุ สทิ ธ์ิ สวา่ งธรรมกลุ ตาแหน่ง กรรมการ
๒๐) นายอมร เจรญิ วนาสันติ ตาแหน่ง ฝ่ายสาธารณะสุข
๒๑) นายชาลี สวา่ งธรรมกลุ ตาแหนง่ ประธาน อสม.)
๒๒) นายบรรพต วนาลยั นิเวศน์ ตาแหนง่ ผู้ทรงคุณวุฒิ
๒๓) นายไกรสร เกสรเสาวคนธ์ ตาแหนง่ ฝ่ายพฒั นา
๒๔) นายวรพงค์ ดารงสริ ิมณี ตาแหนง่ ฝา่ ยรักษาความสงบ
๒๕) นายพะเงิน มูบู ตาแหน่ง ฝา้ ยรกั ษาความสงบ
๒๖) นายสมมิตร ขนั เงิน ตาแหน่ง ฝ่ายรักษาความสงบ
2.1.2 รำยช่อื สมำชกิ สภำเทศบำลนำยกเทศมนตรี รองนำยกเทศมนตรี ฯลฯ (ทอ่ี ยู่ในหมบู่ ำ้ นนี้)
นายดวงจนั ทร์ เมฆวชิ ัยวงศ์
35
การเรยี นรู้เชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning) หลักสูตรนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นที่ 76
2.1.3 รำยชื่ออำสำพฒั นำชุมชน (อช.)
๑) นายพงษ์ศักดิ์ วนาลัยนเิ วศน์
๒) นายสมศักด์ิ คีรภี ูมทิ อง
๓) บางแสงเดือน เตจ๋ ะ๊
2.1.4 รำยชอื่ อำสำสำธำรณสุขประจำหมู่บ้ำน (อส.ม.)
๑) นายชาลี สว่างธรรมกลุ ตาแหนง่ ประธาน อสม)
ตาแหน่ง รองประธาน
๒) นายคาจ้นิ หรรยาพนาไพร ตาแหนง่ รองประธาน
ตาแหนง่ เหรัญญิก
๓) นายอมร เจริญวนาสันติ ตาแหนง่ กรรมการ
ตาแหน่ง กรรมการ
๔) นายโยแส กิจจรูญชยั ตาแหน่ง กรรมการ
ตาแหน่ง กรรมการ
๕) นายพาจะเซอ เผ่าคีรพี นา ตาแหนง่ กรรมการ
ตาแหนง่ กรรมการ
๖) นายภานพุ งศ์ สามารถศลิ ป์ ตาแหน่ง กรรมการ
ตาแหน่ง กรรมการ
๗) นายจา่ สกู ุ๊ อนุรกั ษ์พนิ ยั ตาแหนง่ กรรมการ
๘) นายเมตตา ชวู ารี ตาแหน่ง ประธานกลมุ่
ตาแหนง่ รองประธาน
9) นายศรีวัน ถิ่นพนานยิ ม ตาแหน่ง เลขานุการ
ตาแหน่ง เหรญั ญกิ
๑๐) นายยอด รักศรบี ัวตอง ตาแหน่ง กรรมการ
ตาแหน่ง กรรมการ
๑๑) นายศรีกา ไพรวัลย์ศรี
๑๒) นายทองสขุ สุขคารงวนา
๑๓) นายติกา วนาไพรศรคี ง
2.1.5 รำยชอ่ื อำสำสมัครเกษตร
1) นายพงษท์ ู เชื้อสุจรติ ไพรบลู ย์
๒) นายปุ๊กา ดพู นาหรรยา
๓) นายวทิ ยา ดพู นาหรรษา
๔) นายสินใจ อนรุ ักษ์พินัย
๖) นายอมร เจริญวนาสนั ติ
7) นายจา่ ลุ๊กุ๊ อนุรักษ์พนิ ยั
๘) นายคาจั๋น หรรษาพนาไพร
2.1.6 รำยชื่อ อพปร.
๑) นายปุ๊กา ดพู นาหรรษา
๒) นายอภิสิทธ์ิ ชานาญกิจพนา
๓) นายทองสขุ สุขคารงวนา
๔) นายนพชัย เจรญิ ไพรพนา
2.1.7 คณะกรรมกำรกลมุ่ ท่องเทยี่ วเชิงอนุรักษ์
1) นายกอ่ ชิ เพชรไพรพนาวลั ย์
2) นายโกโย พงษเ์ จริญโชติ
3) นายอนุสรณ์ พรรพจคีรไี พร
4) นายพงษท์ ู เชื้อสจุ รติ ไพรบูลย์
5) นายสมศักดิ์ ครี ภี มู ทิ อง
6) นายโยแส กจิ จรูญชยั
36
การเรยี นร้เู ชงิ ปฏิบตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รุ่นที่ 76
7) นายตะตยุ่ พนาไพรศิลป์ ตาแหน่ง กรรมการ
8) นายธรี ะ เจรญิ สง่ เสริม ตาแหน่ง กรรมการ
9) นายดวงจันทร์ เมฆวิชัยวงศ์ ตาแหนง่ กรรมการ
10) นายจอลาคา สนั ธารดารง ตาแหน่ง กรรมการ
11) นายกรฤทธิ์ ตเู จะ๊ โตะ๊ ตาแหน่ง กรรมการ
12) นายทองคา ชมุ ทองสุข ตาแหน่ง กรรมการ
13) นายคาจั่น หรรษาพนาไพร ตาแหนง่ กรรมการ
14) นายกมล ไพรแดนสว่าง ตาแหนง่ กรรมการ
15) นายพงษ์ศกั ดิ์ วนาลยั นเิ วศน์ ตาแหนง่ ผ้จู ดั การบ้านพกั
2.2 กฎระเบียบชุมชน
บ้านอ่างกาน้อย หมู่ท่ี 17 ตาบลบ้านหลวง อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากจะมี
การบริหารจัดการชุมชนให้เป็นไปตามกฎหมาย ลักษณะปกครองท้องท่ีซึ่งต้องมีผู้นาชุมชน คือ ผู้ใหญ่บ้าน มีผู้ช่วย
ผใู้ หญบ่ ้านแล้ว ยังต้องมีการแต่งต้ังคณะกรรมการหมบู่ ้าน (กม.) เป็นคณะทางานในการบริหารจัดการชุมชน รวมถึงการ
แตง่ ต้งั อาสาสมัครฝา่ ยต่าง ๆ เพอื่ อานวยความสะดวกแก่พีน่ อ้ งประชาชน รองรบั บรกิ ารจากหน่วยงานภาครฐั ต่าง ๆ ทีจ่ ะ
ใหบ้ รกิ ารแกป่ ระชาชนในพ้นื ที่
นอกจากนี้ เพ่ือให้เกิดความสงบเรียบร้อยโดยในชุมชนผู้นาชุมชนร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้าน
ภาคส่วนทางสังคมร่วมกันพิจารณาสร้างกฎระเบียบของชุมชนขึ้นมา เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาอันจะเกิดขึ้น
ในอนาคต ซ่ึงชุมชนบ้านอ่างกาน้อยน้ัน นอกจากจะมีวิถีชีวิตด้านการเกษตรแล้ว ศักยภาพของชุมชนยังมี
ความสวยงามทางธรรมชาติ เป็นท่ีสนใจของนักท่องเท่ียว ทั้งในและต่างประเทศ เดินทางเข้ามาเที่ยวชมและพักค้างใน
หมู่บ้านเป็นจานวนมาก ก่อให้เกิดอาชีพ รายได้แก่ชุมชน ท่ีนับวันจะทวีเพ่ิมข้ึนเร่อื ย ๆ ในทางกลับกันเม่ือมีคนต่างถนิ่
เข้ามาพักอาศัยอยู่ในหมบู่ ้าน ย่อมมีโอกาสกระทบกระท่ังกบั คนในชุมชน จงึ ตอ้ งมีการวางกฎกตกิ าเอาไว้อย่างชัดเจนอีก
ประการหนึ่ง เน่ืองจากชุมชนบ้านอ่างกาน้อยต้ังอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์สาคัญเพราะเป็นพื้นที่ต้นน้าของแม่น้าปิง
จ าเป็ นต้ องก าหนดกฎระเบี ยบในการอยู่ กั บป่ า ไปบุ กรุ ก หรื อท าลายป่ ามี ส่ วนร่ วมอนุ รั กษ์ ให้
ปา่ คงความอดุ มสมบูรณ์ตลอดไป ซ่ึงกฎระเบียบชุมชนในการบริหารจดั การชุมชนบา้ นอา่ งกาน้อย ให้มคี วามเปน็ ระเบียบ
เรียบร้อยและเป็นการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม มดี งั น้ี
2.2.1 กฎระเบียบผู้ประกอบกำรในชมุ ชน มีจำนวน 5 ข้อไดแ้ ก่
1) สมาชิกการท่องเที่ยวโดยชุมชน ต้องยอมรับและปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของ
การท่องเทยี่ วโดยชุมชนอย่างเครง่ ครดั
2) การประกอบกิจการใด ๆ หรอื เขา้ มาเป็นสมาชิกการทอ่ งเท่ียวโดยชุมชนต้องผ่านการพจิ ารณา
ของคณะกรรมการทอ่ งเที่ยวโดยชมุ ชนก่อน
3) ผู้ประกอบกิจการชุมชนและผู้ประกอบกิจกรรมภายนอกห้ามมิให้เรยี กค่าคอมมิชชั่นระหว่าง
กนั โดยเด็ดขาดเพือ่ ความเป็นธรรมแก่นกั ท่องเทีย่ ว
4) ห้ามค้าขายส่ิงทผ่ี ดิ กฎหมายทกุ ชนิด ใหแ้ กน่ กั ทอ่ งเทย่ี วโดยเด็ดขาด
5) หา้ มบงั คับหรอื ทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ในเชิงบังคบั ใหน้ ักทอ่ งเที่ยวซอ้ื ของโดยเด็ดขาด
37
การเรยี นรเู้ ชงิ ปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนักปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ท่ี 76
2.2.2 กฎระเบียบกำรทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชนบ้ำนอำ่ งกำน้อย มีจำนวน 10 ข้อ ดงั น้ี
1) การแต่งกายของนักทอ่ งเทยี่ วต้องมดิ ชิด และสุภาพ เวลาอยใู่ นชมุ ชน
2) หา้ มนาของมึนเมา การพนัน สอ่ื ลามก สง่ิ เสพติดทุกชนิดเขา้ มาในชมุ ชน
3) ห้ามส่งเสยี งดังเกนิ เวลา 10.00 น. (สี่ทุ่ม)
4) ทง้ิ ขยะในที่ท่จี ัดไวใ้ ห้ หา้ มทงิ้ เรี่ยราดไม่เปน็ ที่เปน็ ทาง
5) ห้ามนักท่องเทีย่ วชาย – หญิง ประพฤตติ นเชงิ ชสู้ าวในชมุ ชน
6) หา้ มนักท่องเทย่ี วชาย – หญงิ พักดว้ ยกนั ในบ้านพกั แบบ “โฮมสเตย”์
7) นกั ท่องเที่ยวทกุ คนต้องบารงุ รักษาส่งิ แวดล้อมของชมุ ชน เปน็ จานวน 20 บาท/ครง้ั /คน
8) นักทอ่ งเทย่ี วไม่ลบหลูห่ รอื ใชว้ าจาไม่สุภาพตามสถานทปี่ ระกอบศาสนพิธี
9) หา้ มมคั คเุ ทศกก์ าหนดกจิ กรรมเอง นอกเหนือจากทก่ี ารท่องเท่ยี วโดยชุมชนกาหนด
10) หา้ มนกั ท่องเทีย่ วก่อเรอื่ งทะเลาะวิวาทโดยเด็ดขาด
2.2.3 กฎระเบยี บนักสอ่ื ควำมหมำยของท้องถิ่น (ไกดท์ อ้ งถิ่น)
1) นักสอ่ื ความหมายทอ้ งถิ่นต้องผา่ นการฝึกอบรมจากอุทยานฯ
2) นักสื่อความหมายท้องถ่ินตอ้ งไมเ่ สพสิง่ เสพตดิ และสิ่งมึนเมาทกุ ชนิด
3) นักส่ือความหมายท้องถ่ินห้ามประพฤติตนกบั นักท่องเที่ยวในเชิงชู้สาว อันนาไปสู่ความเสื่อม
เสียต่อวัฒนธรรมประเพณีชมุ ชน
4) นกั สอ่ื ความหมายท้องถิน่ หา้ มทาการหลอกลวงนกั ท่องเทย่ี ว
5) นักส่ือความหมายท้องถ่ินต้องดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเท่ียว และต้องแจ้งรายละเอียด
เกย่ี วกับกจิ กรรมนน้ั ๆ ทุกครั้ง แก่นกั ทอ่ งเทย่ี ว
6) เวลาเดินป่าห้ามนาของป่าทุกชนิดออกจากป่า หากนาออกมาจะมีความผิดตามกฎหมาย
อทุ ยานฯ
3. กำรศึกษำเรยี นร้นู โยบำยภำครัฐและผลกระทบต่อกำรพฒั นำชุมชน
3.1 นโยบำยส่งเสรมิ กำรทอ่ งเทีย่ ว
รฐั บาลพลเอกประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา ไดแ้ ถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมือ่ วันพฤหัสบดีท่ี 25 กรกฎาคม 2560
ได้ร่างนโยบายพฒั นาภาคการท่องเท่ยี วไว้ 5 ประการ ดังน้ี
3.1.1 พัฒนาคุณภาพและความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวโดยส่งเสริมพัฒนาให้ประเทศไทยเป็น
แหล่งท่องเท่ียวคุณภาพระดับโลกบนพ้ืนฐานของวัฒนธรรมไทย และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และ
การจัดการขยะของเสียเพื่อใหเ้ กดิ ความย่ังยืนของระบบนิเวศ ส่ิงแวดล้อม และชุมชนทอ้ งถนิ่ รวมทัง้ พัฒนาการท่องเที่ยว
ในรูปแบบหลายประเทศ จุดมุ่งหมายเดียวกัน การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเชิงกลุ่มพื้นท่ีเมืองหลักและเมืองรองท่ีมี
ศั ก ย ภ า พ ก า ร ท่ อ ง เ ที่ ย ว เ ชิ ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์ แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม ก า ร ท่ อ ง เ ท่ี ย ว เ ชิ ง ธุ ร กิ จ
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเท่ยี วเชิงกีฬาและนันทนาการ การทอ่ งเท่ยี วเรือสาราญ และการทอ่ งเที่ยวเชื่อมโยงกับ
ประเทศเพอ่ื นบ้าน
3.1.2 ดึงดูดนักท่องเท่ียวที่มีคุณภาพและรายได้โดยมุ่งเน้นขยายตลาดพร้อมรักษาตลาดเดิมรวมทั้งนา
ระบบดจิ ิทลั มาใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพ่ือใหน้ ักทอ่ งเท่ียว เพ่อื ให้นกั ท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเท่ียวใน
พ้นื ท่ตี ่าง ๆ ของประเทศไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ
3.1.3 พฒั นาคุณภาพและมาตรฐานธรุ กิจบรกิ ารท่ีเกี่ยวเนอ่ื งกับการท่องเที่ยว
38
การเรยี นร้เู ชงิ ปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลกั สูตรนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ท่ี 76
3.1.4 ดูแลความปลอดภัยของนักท่องเท่ียวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะแหล่งท่องเท่ียวทางน้า น้าตกภูเขา
อานวยการบูรณาการความช่วยเหลือนักท่องเทย่ี วให้มปี ระสิทธภิ าพ
3.1.5 ส่งเสริมให้เกิดการกระจายรายได้จากธุรกิจท่องเท่ียวชุมชน โดยพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ
ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาความเช่ือมโยงระหว่างธุรกิจหลัก ธุรกิจลอง ธุรกิจสนับสนุน รวมทั้งพัฒนาทักษะ
และองค์ความรู้ของท้องถิ่น ชุมชน และสถาบันการศึกษา เพ่ือสนับสนุนให้มสี ่วนรว่ มและทาธุรกจิ ท่องเท่ยี วในพื้นทีใ่ ห้
มากข้ึน อาทิ การพัฒนามัคคเุ ทศก์
3.2 นโยบำยกำรพัฒนำสรำ้ งควำมเข้มแขง็ จำกฐำนรำก
รัฐบาลให้ความสาคัญกับชุมชนในการนาความรู้และทรัพยากรในพ้ืนท่ีมาผลิตเปน็ สนิ ค้าและบริการเพ่ือ
เพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถสร้างรายได้ กระจายรายได้สู่ชุมชน สนับสนุนสินค้าชุมชน
และยกระดับวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาช่องทางการตลาดเช่ือมโยงกับระบบพาณิชอิเล็กทรอนิกส์
และสร้างพลังสงั คม พลังชมุ ชน รวมทงั้ สร้างการเรยี นรู้ฝึกอาชพี กลุ่มอสิ ระในการร่วมขบั เคล่อื นและพฒั นาประเทศ
การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนนั้น รัฐบาลมุ่งยกระดับคุณภาพตลาดชุมชน สถาบันการเงิน
ของชุมชน สวัสดิการชุมชนสาธารณสุขชุมชน ป่าชุมชน ไม้มีค่า ท่องเท่ียวชุมชน และส่งเสริมการขยายตลาดออกสู่
ต่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านการผลิตแหล่งเงินทุน พัฒนาความเข้มแข็งของกลุ่ม
ให้สามารถเช่ือมโยงเข้าเป็นส่วนหน่ึงของห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งมาตรฐานสากลและสอดคล้องความต้องการของตลาด
รวมทงั้ สง่ เสรมิ ความเข้มแข็งใหช้ ุมชนจดั สวสั ดิการทจ่ี าเป็นภายในชุมชน
3.3 กำรเข้ำถึงนโยบำยของรัฐของชุมชนบำ้ นอำ่ งกำน้อย
ตามที่คณะนักศึกษาหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) กลุ่มปฏิบัติการที่ 1 (กป.1)
ของกระทรวงมหาดไทยประจาปี 2564 ไดล้ งพ้ืนทเี่ พ่อื เรยี นรเู้ ชิงปฏิบัติ (Actionlearning)ณ ชุมชนบ้านอา่ งกานอ้ ยหมทู่ ่ี
17 ตาบลบา้ นหลวงอาเภอจอมทองจังหวดั เชียงใหม่ ในคร้ังนี้พบว่าชมุ ชนบา้ นอ่างกานอ้ ยสามารถเขา้ ถงึ นโยบายของรฐั ได้
ในระดับหน่งึ อาทิเชน่ เบยี้ ผสู้ งู อายุ ผู้พิการ หรอื เดก็ แรกเกิดโครงการคนละครงึ่ หรอื บตั รสวสั ดกิ ารแหง่ รัฐซ่งึ เปน็ โครงการ
ที่เข้าถึงแบบปจั เจกบคุ คลนนั้ ถือว่าประชาชนมีคุณสมบัติสามารถเข้าถึงได้ แต่นโยบายที่เป็นสาธารณะเพ่อื ส่วนรวมยังไม่
ค่อยปรากฏเทา่ ใดนักอาจเป็นเพราะมีจานวนจากัดไมท่ ่ัวถึงทุกพน้ื ที่ ท้ังนี้ข้ึนอยู่กบั ข้อมลู และการตัดสนิ ใจของภาครัฐท่ี
เปน็ กลไกในการบริหาร ไมว่ ่าจะเป็นส่วนท้องถน่ิ อาเภอ หรอื จงั หวดั กต็ าม
อีกประการหน่ึงที่ทางคณะผู้ศึกษาได้ต้ังข้อสังเกต คือ ชุมชนบ้านอ่างกาน้อยเป็นชุมชนท่ีตั้งอยู่ในพื้นท่ี
เขตอทุ ยานแห่งชาติ การพัฒนาโดยใช้งบประมาณของรฐั และการใชพ้ ื้นท่ยี ่อมติดปัญหาเร่ืองข้อกฎหมายของอทุ ยาน จงึ
ไม่ค่อยมีโครงการหรือกิจกรรมใดมาดาเนินการได้หรืออาจจะมีมาบ้างก็ต้องได้รับการยินยอมหรืออนุญาต โดยทาง
อุทยานน้ีมีข้อจากัดหรือปัญหาอุปสรรคสาคัญสาหรับการพัฒนาของชุมชนท่ีตั้งอยู่ในเขตพื้นท่ีอุทยาน ซ่ึงในการนี้
คณะผศู้ ึกษาได้ให้ข้อเสนอกลับทางผ้นู าชมุ ชนในการหาทางออกดังกล่าว คือ ใหป้ ระสานกบั ทางอุทยานแห่งชาติดอยอิน
ทนนท์ และทางเทศบาลตาบลบ้านหลวง หรือทางอาเภอจอมทอง ให้จัดทาโครงการแบบมีส่วนร่วม
ทั้งสามส่วนเป็นผู้เสนอโครงการร่วมกัน กล่าวคือ มีทางอุทยานเป็นผู้ยินยอมให้ใช้พื้นที่ ทางเทศบาลหรืออาเภอเป็นผู้
จัดหางบประมาณ และชุมชนเป็นผู้ใช้ประโยชน์และดูแลรักษา แนวทางดังกล่าวนี้จึงจะได้รับการสนับสนุน
งบประมาณเพอ่ื การพฒั นาชุมชนจากภาครัฐทาใหป้ ระชาชนได้รบั ความสขุ
39
การเรยี นรู้เชิงปฏิบัตกิ าร (Action Learning) หลกั สูตรนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
สว่ นท่ี 2
ประเด็นกำรพัฒนำของชุมชนบ้ำนอ่ำงกำน้อย
2.1 แผนท่ีชุมชน (แสดงข้อมูลครัวเรือน, สถานท่ีสาคัญ, จุดที่ตั้งผู้นา, หัวหน้าคุ้ม, คนพิการ, คนยากจน,
และสิ่งแวดล้อมของชุมชน)
ชุมชนปัจจบุ ัน ปี 2564
แผนทหี่ มู่บ้ำนอ่ำงกำนอ้ ย
2.2 ที่ต้งั อำณำเขต ขนำด สภำพพื้นที่ของหม่ทู ี่ 7
ทตี่ ั้ง
ทางด้านทิศตะวนั ออก ตดิ กบั บา้ นแม่แอบ หมู่ที่ 6
ด้านทศิ ตะวนั ตก ตดิ กับ บ้านขนุ กลาง หมทู่ ี่ 7
ทางดา้ นทิศใต้ ติดกบั บา้ นแมป่ อน หม่ทู ่ี 1
ทางทศิ เหนือ ติดกับ บา้ นผาหมอน หมู่ที่ 8
พ้ืนที่อยู่สูงจากระดับนา้ ทะเล 1,070 เมตร เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และอยู่ในเขต
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยยึดระเบียบองค์กรเครือข่ายลุ่มน้าแม่กลาง ทานาปีละครั้งเดียว ห้ามขาย
ที่ทากินให้กับบุคคลภายนอก อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตาบลบ้านหลวง อาเภอจอมทอง จังหวัด
เชียงใหม่
- ระยะทางห่างจากอาเภอโดยประมาณ 28 กม.
จานวนประชากรตามทะเบียนราษฎร์ 785 คน 210 ครัวเรือน
จานวนประชากร ชาย 360 คน หญิง 425 คน ผู้สูงอายุ 74 คน เดก็ เล็ก 42 คน
เด็กวยั เรียน 150 คน พกิ าร 12 คน
จานวนครัวเรอื น 210 ครัวเรอื น
จานวนหลังคาเรอื น 189 หลังคาเรือน
อายชุ ุมชน ๑๒๐ ปี
40
การเรียนรู้เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Action Learning) หลักสตู รนกั ปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นที่ 76
2.3 ขอ้ มูลดำ้ นโครงสร้ำงพื้นฐำน ส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยำกรธรรมชำตขิ องชุมชน
(1) การมไี ฟฟา้ ใชข้ องครัวเรือน
- มไี ฟฟา้ ใช้ จานวน ๑๘๕ ครวั เรือน
(๒) โทรศพั ทส์ าธารณะ จานวน - แห่ง
(๓) แหลง่ นา้ สาธารณะ จานวน - แหง่ ประกอบดว้ ย
(๔) แหล่งนา้ ตามธรรมชาติ จานวน 7 แหง่ ประกอบดว้ ย
๑. แม่น้าแม่กลาง
๒. แมน่ ้าแม่กลางพาด
๓. หว้ ยผาน้อย
๔. หว้ ยนา้ แดง
๕. หว้ ยเลโพ
๖. ห้วยสบหาด
๗. หว้ ยอ่างกาน้อย
(๕) แหลง่ นา้ ทส่ี รา้ งขนึ้
- บอ่ บาดาล จานวน - แหง่
- บ่อน้าต้นื จานวน - แหง่
- ถังเก็บนา้ ฝน (คสล) จานวน ๖ แห่ง
(๖) เสน้ ทางสาธารณะ
- ถนนดนิ /ดกู รัง จานวน ๕ เสน้
- ถนนคอนกรีตฯ จานวน ๓ เส้น
(๗) ป้าชุมชนกีแ่ หง่ (ระบ)ุ ๓ แห่ง จานวน ๑,๐๐๐ ไร่
หมายเหตุ ป่าอนรุ ักษ์/ปา่ เขตแนวกันไฟ แมก่ ลางหลวง ๒0,000 ไร่
อา่ งกานอ้ ย ๕,๐๐๐ ไร่
สบหาด ๓,๐๐๐ ไร่
2.4 ข้อมูลด้ำนเศรษฐกิจ
(๑) การประกอบอาชพี
เกษตรกรรม - ทาไร่ 0 ครัวเรอื น
- ทานา 120 ครวั เรอื น
- ทาสวน 50 ครวั เรอื น
- เล้ียงสตั ว์ 120 ครวั เรอื น
ประมง - ครวั เรอื น
คา้ ขาย 9 ครัวเรอื น
บริการ - ครัวเรอื น
รบั จา้ ง 82 ครัวเรอื น
ทางานประจารับราชการ ๑ ครวั เรอื น (ลูกจา้ งประจาข้าราชการ)
ทางานประจาเอกชนบริษัท/โรงงาน - ครัวเรือน
41
การเรยี นรูเ้ ชิงปฏิบตั กิ าร (Action Learning) หลักสตู รนักปกครองระดับสงู (นปส.) ร่นุ ท่ี 76
(๒) รายไดข้ องประชากร
- ครวั เรือนท่ีมรี ายไดส้ งู กว่า ๓0,000 บาท/คน/ปี จานวน ๑00 ครัวเรือน
- ครวั เรือนทีม่ ีรายได้ต่ากวา่ ๒0,000 บาท/คน/ปี จานวน ๖7 ครวั เรือน
- รายไดเ้ ฉล่ียของประชากรของชุมชน จานวน ๓๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี
2.5 ข้อมลู ด้ำนสงั คม และประเพณี วฒั นธรรมของชมุ ชน
(๑) การศกึ ษา ไม่ไดเ้ รียนหนงั สือ 49 คน อนุปรญิ ญา ๑ คน
ประถมศกึ ษา 300 คน มัธยม ๘๐ คน
(ปวส. ปวช. ปวท.) ๒๐ คน ปรญิ ญาตรี ๑๕ คน
สูงกวา่ ปรญิ ญาตรี ๑ คน
(๒) ผ้มู คี วามรภู้ ูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านตา่ ง ๆ ในชมุ ชน
- แพทย์แผนไทย/สมนุ ไพร/หมอพนื้ บา้ น ได้แก่
๑. นายเหล้า เจรญิ วนาสนั ติ ทีอ่ ยู่ ๗๕ บ.อา่ งกาน้อย รายละเอียด หมอพนื้ บ้าน
2. นายมเุ ชอ ดูพนาหรรษา ทอ่ี ยู่ ๖๗/๒ บ.อา่ งกาน้อย รายละเอยี ด หมอพน้ื บา้ น
๓. นายพาแงะ ประทีปโกสุมท์ ที่อยู่ ๖0 บ.อ่างกานอ้ ย รายละเอียด หมอพน้ื บ้าน
๔. นายสิงหค์ า เทยี นชยั พนา ทอ่ี ยู่ 157 บ.อ่างกานอ้ ย รายละเอียด หมอพน้ื บ้าน
5. นายศรวี ัน ถน่ิ พนานิยม ที่อยู่ ๑๓8 บ.อา่ งกาน้อย รายละเอยี ด หมอเป่า
- ผอู้ นุรกั ษ์ศิลปวัฒนธรรม/ประเพณีทอ้ งถนิ่ เชน่ นกั คนตรีพ้นื เมือง ช่างซอ ไดแ้ ก่
๑. นายควงจนั ทร์ เมฆวิชัยวงศ์ ท่ีอยู่ ๗๕ บ.อ่างกานอ้ ย รายละเอยี ด คนตรเี ตหนา่
๒. นายมนตรี พิมพนั ธ์ ทอ่ี ยู่ ๑๘๒ บ.แมก่ ลางหลวง รายละเอยี ด คนตรพี ้ืนเมอื ง
๓. นายศรีทอง เจริญไพรพนา ทอ่ี ยู่ ๑๔0 บ.แมก่ ลางหลวง รายละเอียด ราดาบ
- งานฝมี อื ต่าง ๆ เชน่ ชา่ งไม้ ชา่ งปนั้ ชา่ งแกะ หัตถกรรม/จักสาน ทอผา้ ไดแ้ ก่
1. นายพาจะเชอ เผ่าศรี ี ที่อยู่ 2๓ บ.แมก่ ลางหลวง รายละเอียด ช่างไม้, ชา่ งจกั สาน
2. นายคอยโพ กอนรุ กั ษ์ ทอ่ี ยู่ ๔0 บ.แมก่ ลางหลวง รายละเอยี ด ชา่ งไม้, ชา่ งจกั สาน
๓. นายจะโพ พนาลยั ชวี นิ ทอี่ ยู่ ๔๘ บ.อา่ งกานอ้ ย รายละเอียด ช่างไม้, ช่างเหลก็
- ผมู้ ีความรู้ด้านการเกษตร เชน่ การเพาะปลกู ขยายพันธ์ุ การปรับใชเ้ ทคโนโลยี ได้แก่
1. นายสุรสิทธ์ิ สวา่ งธรรมกุล ทอ่ี ยู่ ๒0 บ.อา่ งกานอ้ ย รายละเอียด การเพาะปลูก
2. นายกาดี พนาลัยชีวิน ทอ่ี ยู่ ๘๑ บ.อ่างกานอ้ ย รายละเอียด การเพาะปลูก
3. นายสนิ ใจ อนรุ ักษพ์ ินัย ที่อยู่ ๑๑๑/๑บ.แมก่ ลางหลวงรายละเอียด การเพาะปลูก
4. นายทวี สว่างธรรมกลุ ที่อยู่ 20 บ.อ่างกาน้อย รายละเอียด การเพาะปลูก
5. นายขนั แกว้ เนาพนาวัลย์ ทอ่ี ยู่ 962 บ.สบหาด รายละเอยี ด การเพาะปลูก
- ผู้มคี วามรู้ด้านการถนอมอาหาร ได้แก่
๑. นางลพิ อ วนาลยั นเิ วศน์ ที่อยู่ 61/๓ บ.อา่ งกานอ้ ย รายละเอียด ดา้ นการถนอมอาหาร
๒. นางเบอะเจ๊ กจิ รูญชัย ทอ่ี ยู่ ๑๑๕ บ.แมก่ ลางหลวง รายละเอยี ด ด้านการถนอมอาหาร
3. นางวันเพ็ญ พาระนะ ทอี่ ยู่ - บ.สบหาด รายละเอยี ด ด้านการถนอมอาหาร
- ผมู้ ีความรู้ด้านความเช่อื /โหราศาสตร์ /ไสยศาสตร์ ไดแ้ ก่
๑. นายเหน่งกา พฤษาฉิมพลี ทอ่ี ยู่ ๕ บ.แม่กลางหลวง รายละเอยี ด ค้านความเช่ือ
2. นายวาเจะ๊ พงษ์สิทธไ์ิ พร ที่อยู่ ๕ บ.อ่างกานอ้ ย รายละเอยี ด ผูน้ าธรรมชาติ
3. นายสิงหค์ า เทียนชยั พนา ทีอ่ ยู่ ๑๕๗ บ.สบหาด รายละเอียด ผู้นาศาสนาคริสต์
42
การเรียนรู้เชิงปฏบิ ตั กิ าร (Action Learning) หลักสูตรนักปกครองระดับสงู (นปส.) รุ่นที่ 76
- ผ้มู คี วามสามารถด้านการบรหิ ารจดั การกลุ่ม/คน ไดแ้ ก่
1. นายพงษศ์ กั ด์ิ วนาลัยนเิ วศนท์ อ่ี ยู่ ๑๓6 บ.อา่ งกาน้อย รายละเอียด กลมุ่ ท่องเทีย่ ว
2. นายโยแส กิจรญู ชยั ที่อยู่ ๑3๕ บ.แมก่ ลางหลวง รายละเอียด กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์
3. นางสาวแสงจนั ทร์ ขาเหล็กทอ่ี ยู่ 66 บ.สบหาด รายละเอียด กล่มุ ทอผ้า
- ผ้มู ีความสามารถด้านอ่นื ๆ
๑. นายสมพร วงศ์รัตนรจุ ี ทอ่ี ยู่ - บ.อา่ งกาน้อย รายละเอยี ด ภาษาญ่ปี นุ่
2. นางสาวสิริพร กจิ รูญชัย ที่อยู่ ๑๓๕ บ.แมก่ ลางหลวง รายละเอยี ด ภาษาอังกฤษ
3. นายประเสรฐิ เจริญไพรพนาท่ีอยู่ 62/1 บ.แมก่ ลางหลวงรายละเอียด ภาษาองั กฤษ
4. นายวทิ ยา ดพู นาหรรษา ท่อี ยู่ ๖๗/๒ บ.แม่กลางหลวงรายละเอยี ด คอมพวิ เตอร์
5. นายเจอมู เจรญิ ทพิ ยวงค์ ทอี่ ยู่ ๑๓๔ บ.อ่างกาน้อย รายละเอยี ด ภาษาทอ้ งถ่ิน
2.6 กลุม่ /องค์กร
กลุ่มออมทรัพย์/สวสั ดกิ ำร/กองทุน 4 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุม่ ทอผา้
2) กล่มุ ออมทรพั ยแ์ ม่บ้าน
๓) กลุม่ สจั จะสะสมทรพั ย์ ม.๑๗
๔) กลุ่มกาแฟสด/เมล็ดกาแฟ/เพาะกล้ากาแฟ
๕) กลุ่มนาเที่ยวในชมุ ชน (ผนู้ าเที่ยวท้องถ่นิ )
ธรุ กิจชุมชน โรงสี ร้านค้า 2 กลมุ่ ได้แก่ กลุ่มหตั ถกรรมทอผ้า, กลุ่มบา้ นพกั โฮมสเตย์
เครอื ข่าย 1 กล่มุ ได้แก่ กลมุ่ เครือข่ายลุ่มน้าแมก่ ลางตอนบน
กลุ่มอาสาสมัคร 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ อสม., ชรบ., อพปร.
กลุ่มเยาวชน 2 กล่มุ ได้แก่ กลุ่มเยาวชนกบั การทาเศรษฐกิจพอเพียง, กลมุ่ รกั ษ์สายธารา
กลุม่ อนุรักษ์ทรัพยากร/ส่ิงแวดล้อม 2 กลุม่ ได้แก่ กลมุ่ อนุรักษพ์ ันธุ์ปลาแหล่งน้าธรรมชาติ กลมุ่ เครือข่ายลุ่ม
น้าแม่กลางตอนบน
กลุม่ อ่ืน ๆ 1 กลมุ่ ได้แก่กลุม่ ทาแนวกันไฟและเฝ้าระวังไฟปา่
องค์กรในชุมชน ได้แก่
- วัด/มสั ยิด/โบสถ์แมพ่ ระ ๕ แห่ง ไดแ้ ก่ อา่ งกาน้อย ๑ , สบหาด ๒ , แมก่ ลางหลวง ๒
- ศนู ยเ์ ดก็ เล็ก ๒ แห่ง ได้แก่ อา่ งกานอ้ ย , แมก่ ลางหลวง
- หนว่ ยงานบริการของราชการ 1 แห่ง ได้แกส่ าธารณสขุ บา้ นขุนกลาง
- สถานวี ิทย/ุ หอกระจายขา่ ว ๓ แห่ง ไดแ้ ก่ อ่างกาน้อย , แมก่ ลางหลวง , สบหาด
- สนามกฬี าชั่วคราว ๓ แหง่ ได้แก่ อ่างกานอ้ ย , แมก่ ลางหลวง , สบหาด
- ศาลากลางหม่บู า้ น/ห้องสมุด/ศนู ยเ์ รยี นรู้ ๓ แหง่ ไดแ้ ก่ อ่างกาน้อย , แม่กลางหลวง , สบหาด
- สมาคม , มูลนธิ ิ ๑ แหง่ ไดแ้ ก่ มลู นธิ เิ กษตรหลวงอนิ ทนนท์
- ร้านค้า/รา้ นอาหาร ๙ แห่ง ได้แก่
บา้ นแมก่ ลางหลวง จานวน ๖ แห่ง
บา้ นอ่างกาน้อย จานวน ๒ แห่ง
บ้านสบหาด จานวน ๒ แห่ง
43
การเรียนรู้เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Action Learning) หลักสตู รนักปกครองระดบั สูง (นปส.) รุ่นท่ี 76
งำนประเพณี
ผกู ข้อมอื จานวน ๒ ครงั้ ต่อปี ระหว่างเดอื น กมุ ภาพันธ์ และเดือนสิงหาคม
แหล่งท่องเทย่ี วทส่ี ำคัญ
๑. ดอยอนิ ทนนท์ ๒. โครงการหลวงดอยอินทนนท์ ๓. น้าตกผาดอกเส้ียว
2.7 ปฏิทินฤดกู ำล
(แสดงขอ้ มลู เหตกุ ารณท์ เ่ี คยเกดิ ขึน้ ในหมู่บ้าน เชน่ ภยั ธรรมชาต/ิ โรคระบาด)
เดอื น เรอ่ื ง สถำนท่ีเกดิ /ผลกระทบ
มกราคม - กุมภาพนั ธ์ สภาพอากาศเปล่ยี นแปลง เด็กและผสู้ อู่ ายทุ ่มี ีภูมิตา้ นทานน้อย
เปน็ หวัดงา่ ย
มีนาคม ความแหง้ แลง้ ของป่าไม้ ทาให้เกิดไฟป่า
เมษายน - พฤษภาคม น้าในลาธารน้อยลง ทาใหเ้ กษตรกรขาดแคลนน้าในการอปุ โภค
บรโิ ภค
มิถุนายน วาตภัย ทาใหห้ ลังคาบา้ นเรือนและผลผลิตเสยี หาย
กรกฎาคม - กันยายน การสัญจร ทาให้เกษตรกรขนส่งผลผลติ เปน็ ไปด้วย
ความยากลาบาก เน่ืองจากถนนเป็นหลุม
เป็นบ่อ
ตุลาคม - ธันวาคม ฤดกู ารเก็บเกี่ยว -
2.8 สรปุ แนวทำงกำรพัฒนำและแผนงำน/โครงกำรพัฒนำชุมชน
2.8.1 กำหนดอัตลักษณข์ องชมุ ชน
คำขวญั ของชุมชน
“นาข้ันบันไดสวยเด่น น้าตกผาดอกเสี้ยวเย็นฉ่า กลิ่นกาแฟอาราบีก้า ผ่ืนป่าไม้เขียวขจี สู่เศรษฐกิจ
ดแี บบพอเพียง”
วสิ ัยทศั น์ของชุมชน (สิง่ ทชี่ ุมชนมุ่งหวังอยากใหเ้ ปน็ ในอนาคต)
“พอเพียงคอื สุข สขุ แต่พอเพยี ง”
พนั ธกิจ (ส่งิ ที่ชุมชนต้องรว่ มมือกันทาเพ่อื ใหห้ มู่บ้านเปน็ ไปตามทม่ี ่งุ หวงั )
“การรักษาทรพั ยากรคงที่ ชุมชนดมี เี ศรษฐกิจแบบพอเพียง”
2.8.2 ศกั ยภำพของหมู่บำ้ น/ชุมชน
จุดแข็งของชุมชน (บอกถึงส่ิงท่ีมีและเห็นว่าเด่นในชุมชนท้ังด้านบุคคล , กลุ่ม , สิ่งแวดล้อม ,
ภมู ิปญั ญา , วัฒนธรรมประเพณี , และสง่ิ อื่น ๆ เปน็ ปจั จยั ภายในชุมชนเอง)
- จดุ เดน่ ด้ำนบุคคล (ทุนดา้ นทรพั ยากรบุคคล)
ท่ี ชอื่ - สกลุ อำยุ บ้ำนเลขที่ โทรศัพท์ ลกั ษณะเด่น
1 นายพงษท์ ู เชื้อสจุ รติ ไพบูลย์ 56 154 - ปราชญ์ชาวบา้ น
2 นายสมศักด์ิ ครี ภี มู ิทอง 52 68 - ด้านจกั สาน, กาแฟโบราณ
3 นายพงษศ์ ักด์ิ วนาลัยนเิ วศน์ - - - การจดั การทอ่ งเที่ยวโดยชุมชน
4 นายโยแส กิจจรญู ชัย 60 135 - กลุ่มกาแฟแมก่ ลางหลวง
5 นายอภสิ ทิ ธ์ิ ชานาญกจิ พนา 43 152 - กล่มุ แปรรูปผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน
44
การเรยี นรู้เชิงปฏบิ ตั ิการ (Action Learning) หลกั สตู รนกั ปกครองระดบั สงู (นปส.) รนุ่ ที่ 76
- จุดเด่นด้ำนกลุ่ม/องค์กร (ทุนดา้ นเศรษฐกจิ /สังคม)
ที่ ช่ือกลมุ่ ปีท่ี วัตถุประสงค์ มี เงินทุน กจิ กรรม ประธำน ผล
กอ่ ต้ัง สมำชกิ (บำท) หลัก กลมุ่ ดำเนินงำน
พ.ศ. (คน)
1 กองทนุ 2540 เพอื่ ใหเ้ กดิ 70 1,000,000 ปลอ่ ยให้ นาย ไดร้ ับความ
หมบู่ า้ น ทนุ หมนุ เวียน สมาชกิ ณฐั วัฒน์ รว่ มมอื จาก
ในชมุ ชน กยู้ มื สกลุ เจรญิ สมาชิกเปน็
อย่างดี
2 กลมุ่ 2550 เพอ่ื ออม 180 2,000,000 ออมสะสม นายพงษ์ทู ไดร้ ับความ
สจั จะ สะสมไว้ ทรพั ย์ เชื้อสจุ ริต รว่ มมอื จาก
สะสม ทกุ เดือน ไพรบลู ย์ สมาชกิ เปน็
ทรพั ย์ อย่างดี
3 กลมุ่ 2554 ทอผ้า 22 30,000 ทอผา้ นายแสง มรี ายไดใ้ น
ทอผา้ ออมทรพั ย์ ออม จนั ทร์ ชุมชนตลอดทงั้
ทรพั ย์ ขาเหล็ก ปี
- จดุ เด่นด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติ (ทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติของหมบู่ ้าน/ชุมชน เช่น แหลง่ นา้ /ป่า/
สถานที่ทอ่ งเทย่ี ว สาธารณะและการใชป้ ระโยชน์)
ชอื่ แหล่งทรัพยำกรธรรมชำติ ลักษณะกำรใช้ประโยชน์ หมำยเหตุ
ถา้ น้าผาหน้าผี ทานา , ปลูกผัก น้าออกในถ้าตลอดทั้งปี
นา้ ตกผาดอกเส้ียว นาเทยี่ วศึกษาธรรมชาติ ทอ่ งเทย่ี วโดยชมุ ชน
- จดุ เดน่ ดำ้ นภมู ปิ ัญญำชุมชน
ประเภทภูมิปัญญำ ชือ่ – สกุล และท่ีอยู่ของเจ้ำของภมู ปิ ัญญำ ประโยชน์ต่อชมุ ชนในด้ำนใด
สมนุ ไพร, หมอชาวบ้าน นายมเุ ชอ ดูพนาหรรษา ใชส้ มนุ ไพรในพืน้ ทร่ี กั ษาชาวบ้าน
- จุดเดน่ ด้ำนประเพณี/วัฒนธรรม/กฎ ระเบียบ/ค่ำนิยมและควำมสัมพันธข์ องชุมชน (เปน็ ลักษณะ
ของพื้นท่หี ล่อหลอมจากประสบการณ์ของรุ่นสู่รนุ่ เปน็ สานึกรว่ มของคนในชุมชนท่ีสร้างข้ึนมา เพ่ือกากบั ดูแลชุมชนให้
ดาเนนิ ชวี ติ ไปตามระบบคุณคา่ แนวคดิ ของชุมชนนั้น ๆ เปน็ กฎของหมบู่ า้ น)
ประเพณี/กิจกรรม วตั ถุประสงค์ ต้องทำอะไรบ้ำง
การเล้ียงผีนา้ การอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ ทาทุกปตี ามความเชื่อ
เลยี้ งปา่ พธิ กี รรม คนื ความอดุ มสมบูรณใ์ ห้กบั ระบบนเิ วศน์ ทาในพื้นทรี่ วมบา้ น
ปา่ ต้นน้า
45
การเรยี นรู้เชิงปฏบิ ัตกิ าร (Action Learning) หลักสตู รนกั ปกครองระดับสูง (นปส.) รนุ่ ท่ี 76
- จุดออ่ นของชุมชน (บอกลักษณะจดุ อ่อนหรอื จุดด้อยของชุมชนด้านต่าง ๆ เป็นปัจจัยภายในชมุ ชน)
เรอื่ งทีเ่ ป็นจุดอ่อน มีผลกระทบต่อชมุ ชนอย่ำงไร ควรจะทำอยำ่ งไร
เดก็ รนุ่ ใหม่ไมร่ ู้จักสมุนไพร อนาคตสมนุ ไพรจะไม่มีคนรจู้ ัก จะต้องมกี ารศึกษาเรียนรูอ้ บรม
เร่ืองสมุนไพร
- โอกำสของชมุ ชน (เป็นปัจจยั ภายนอกชมุ ชนที่จะสง่ เสริมและสร้างโอกาสใหช้ ุมชนสามารถพฒั นาได)้
เร่ืองทเ่ี ป็นโอกำส มผี ลกระทบต่อชมุ ชนอยำ่ งไร ชุมชนควรจะสรำ้ งโอกำสอย่ำงไร
พฒั นาการท่องเที่ยว เรอ่ื งขยะในชมุ ชน ประสานหนว่ ยงานทเ่ี ก่ยี วข้อง
ผลิตขา้ วกล้อง ขาดความร้ใู นการออกแบบแปรรูปผลิตภณั ฑ์ ประสานหนว่ ยงานในพน้ื ที่
ปลอดสารพิษ (โครงการหลวงฯ)
- ข้อจำกัดของชุมชน (เป็นปัจจัยภายนอกและเป็นเงื่อนไขที่จะทาให้การพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน
ไม่บรรลุเปา้ หมาย)
ขอ้ จำกัด มผี ลกระทบต่อชมุ ชนอยำ่ งไร จะแก้ไขข้อจำกัดอยำ่ งไร
ผลผลิตมีจากัด ขาดความตอ่ เนอื่ ง ตงั้ กลมุ่ ในการผลิต
บุคลากรในชมุ ชน ไม่มีความตอ่ เนื่อง จดั ต้งั กล่มุ และอบรม
2.8.3 กำหนดตำแหน่งอำชีพ และทศิ ทำงกำรพฒั นำของชุมชนตำมศักยภำพของชุมชน
1) อาชพี ๒ ค่ชู มุ ชน
๒) การจัดการทอ่ งเท่ียวเชงิ อนรุ ักษ์
๓) การทานาขน้ั บันได (นาปี)
46