| หน้า 1 รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ (วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2564) สัญญาเลขที่ A15F640037 การสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น Synthesis and Evaluation of Technologies and Innovations to Assess the Readiness for the Transfer to Area Development: The Supply-Side Analysis โดย และคณะ สนับสนุนโดยกองทุนส่งเสริม ววน. และหน่วย บพท. วันที่14 ธันวาคม พ.ศ. 2564 รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.รัชพล สันติวรากร คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.ธนิต เฉลิมยานนท์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผศ.ดร.ชัชวาลย์ ชัยชนะ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.ดร.พีรยุทธ์ ชาญเศรษฐิกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผศ.ดร.ณยศ คุรุกิจโกศล คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา
| หน้า 2 สัญญาเลขที่ A15F640037 รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ การสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น Synthesis and Evaluation of Technologies and Innovations to Assess the Readiness for the Transfer to Area Development: The Supply-Side Analysis คณะผู้วิจัย สังกัด รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.รัชพล สันติวรากร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.ธนิต เฉลิมยานนท์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผศ.ดร.ชัชวาลย์ ชัยชนะ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.ดร.พีรยุทธ์ ชาญเศรษฐิกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผศ.ดร.ณยศ คุรุกิจโกศล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ดร.วศกร ตรีเดช คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดร.ฌาน เรืองธรรมสิงห์ วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดร.วชิราวุธ ธรรมวิเศษ วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.ดร.มัลลิกา วัฒนะ วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.ประภาศ เมืองจันทร์บุรี คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผศ.ดร.วัชรวลี ตั้งคุปตานนท์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผศ.ดร.ดำรงศักดิ์ รินชุมภู คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศ.ดร.วันชัย ยอดสุดใจ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดร.ชินวุธ พิพัฒน์ภานุกูล คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา อ.ดร. ภาณุวัฒน์ ด่านกลาง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อ.สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น อ.ณรงค์เดช มหาศิริกุล วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น นางสุภาวดี แก้วคำแสน วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น นางสาวภาภรณ์ เรืองวิชา วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายภัทรพล ขวัญสุด มูลนิธิเพื่อการศึกษาจังหวัดขอนแก่น ครบ 200 ปี สนับสนุนโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) (ความเห็นในรายงานนี้เป็นของผู้วิจัย บพท. ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป)
หน้า | ก-1 กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) บทบาทของมหาวิทยาลัยไม่ได้ถูกคาดหวังเพียงแค่ฐานะเป็นสถาบันที่สร้างความรู้ และผลิตบัณฑิต เท่านั้น แต่มหาวิทยาลัยควรแสดงบทบาทเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงความรู้สู่การพัฒนาพื้นที่ และร่วมกับ ภาคส่วนอื่น ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม ในการพัฒนาพื้นที่และการพัฒนาเมือง มหาวิทยาลัยจึงเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาค ซึ่งถูกตั้งขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นโครงสร้าง พื้นฐานขององค์ความรู้ในการพัฒนานวัตกรรมของแต่ละภูมิภาค และเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ เป็นฐาน (Knowledge Based Economic Development) อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการกระจาย ความเจริญสู่ภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเท่าเทียม และเสมอภาคกัน ด้วยความสำคัญดังกล่าว โครงการวิจัย “การสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น” (Synthesis and Evaluation of Technologies and Innovations to Assess the Readiness for the Transfer to Area Development: The Supply-Side Analysis) โดย รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ ซึ่งได้รับการทาบทาม จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานความร่วมมือกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ 5 แห่ง ใน 5 ภูมิภาค อันได้แก่ 1) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 4) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ 5) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็น “แม่ข่าย” ในการรวบรวมคลังความรู้ (knowledge stocks) ประสานสถาบันการศึกษา ปราชญ์ชุมชน และ “ผู้คน” ทั้งในและนอกสถาบันการศึกษาที่มี ทั้งองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และเทคโนโลยีในการพัฒนาพื้นที่ของ แต่ละภูมิภาค พร้อมทั้งร่วมประเมิน วิเคราะห์ความพร้อมใช้ขององค์ความรู้และเทคโนโลยีเหล่านั้น รวบรวม หลักสูตรหลัก (Key Curriculum) ที่พร้อมถ่ายทอดสู่กลไกการพัฒนาพื้นที่ และจัดทำแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม (Technology Roadmap) แม้ว่า กิจกรรมในโครงการนี้ จะเน้นไปที่ด้านอุปทาน (Supply Side) เป็นหลัก แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด “คลังความรู้” ในการพัฒนาพื้นที่ของประเทศไทย อันทำให้ผลผลิต จากงานวิจัย ถูกนำไปใช้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาบนฐานความรู้และนวัตกรรม อันจะนำไปสู่การลดความยากจน ส่งเสริมประชาชนในพื้นที่ได้ “ระเบิดจากข้างใน” โดยการสนับสนุนของสถาบันการศึกษา และภาคีเครือข่าย งานวิจัยนี้ จะสำเร็จลงไม่ได้ หากไม่ได้รับการจุดประกาย และสนับสนุนด้านทุน วิชาการ และการ ประสานเครือข่ายจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ขอบคุณ ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม นายจาดุร อภิชาตบุตร รศ.ดร.สุมนต์ สกลไชย ศ.ดร.อภิรัฐ ศิริธราธิวัตร ที่ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนางานให้มีความชัดเจนมากขึ้น แม้มีการสนับสนุนทุน องค์ความรู้ และการเชื่อมโยงเครือข่ายนักวิจัยใน 5 สถาบัน แต่หากไม่ได้รับความ เชื่อมั่นไว้วางใจกัน รวมถึงความตระหนักในความสำคัญของการ “เปิดเผย” และการแลกเปลี่ยนข้อมูล การ ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายประชาคมวิจัยใน 5 ภูมิภาค ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ ขอบคุณผู้บริหารของ 5 มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ให้การสนับสนุนบุคลากรจากคณะวิชาต่าง ๆ อันได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น ที่ร่วมเป็นนักวิจัยในโครงการฯ และร่วมกันทำให้เกิด “Open Knowledge to Society” และยกระดับการพัฒนาพื้นที่ต่อไป
หน้า | ข-1 บทคัดย่อ โครงการวิจัย “การสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอด สู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น” นี้ ดำเนินการร่วมกับคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ 5 แห่ง ใน 5 ภูมิภาค อันได้แก่ 1) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 4) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ 5) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้มุ่งมั่นจัดทำงานวิจัยชิ้นนี้ ขึ้นมาภายใต้การดำเนินการวิจัยเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ประเด็น อันได้แก่ 1) การจัดทำ Knowledge Stock (คลังความรู้) รวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งที่มีอยู่และกำลังดำเนินการ ทำเป็นระบบ บัญชีข้อมูล (Data Catalog) ของแต่ละภูมิภาค 2) หลักสูตรและการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Knowledge and Technology Transfer) ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในการเสริมและ พัฒนาทักษะ เพิ่มความสามารถ ให้บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) แผนพัฒนาด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม (Technology Roadmap) การพัฒนาเว็บไซต์คลังความรู้ขึ้นโดยได้จดทะเบียน URL พร้อมจัดหา web hosting และ hardware ที่ มีความจำเป็นในการดำเนินการพัฒนาระบบคลังความรู้กลาง โดยตัวระบบคลังความรู้ทีจะเป็นระบบกลางนี้ ผู้ใช้ ในแต่ละกลุ ่ ม จะสามารถเข ้า ถ ึงร ะ บบ Knowledge Stock System หรือ KSS ผ่านเว ็ บ ไ ซ ต์ http://www.knowledgestock.org โดยตัว web URL นี้ทำหน้าที่ใน 3 ส่วนกล่าวคือ 1) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ โครงการฯ ในส่วนนี้จะเป็นการให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับข้องโครงการฯ การติดต่อสื่อสาร กับโครงการฯ และข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโครงการ 2) ให้บริการไดเรกทอรี่ (Directory Service) และให้บริการการสืบค้น ( Searching Service) ข้อมูลคลังความรู้ที่ได้รวบรวมไว้ ทั้งนี้ในการให้บริการดังกล่าว จะมีระดับการเข้าถึงข้อมูล ที่ให้บริการแตกต่างกัน ในแต่ละประเภทของผู้ใช้ และ 3) ระบบจัดการคลังข้อมูล (Knowledge Stock Content Management System) ซึ่งจะเป็นระบบในการจัดการเนื้อหา (content) ของ admin หรือผู้ใช้ที่เกี่ยวข้อง ผลการรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งที่มีอยู่และกำลังดำเนินการ เพื่อทำเป็นระบบ บัญชีข้อมูล (Data Catalog) นั้น ในส่วนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ทั้ง 5 แห่ง ได้ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ประสานสถาบันการศึกษาในเครือข่ายของแต่ละภูมิภาค เพื่อรวบรวมคลังความรู้ (knowledge stocks) ได้ ทั้งหมด 86,592 ผลงาน ข้อมูลห้องปฎิบัติการ 953 แห่ง ข้อมูลนักวิจัย 3,704 คน รวมถึงหลักสูตรพร้อมถ่ายทอด (Key Curriculum) จำนวน 131 หลักสูตร
หน้า | ค-1 Abstract The “Synthesis and Evaluation of Technologies and Innovations to Assess the Readiness for the Transfer to Area Development: The Supply-Side Analysis” is collaborative research project of five regional engineering faculties in Thailand, namely 1) Faculty of Engineering. Khon Kaen University 2) Faculty of Engineering Kasetsart University 3) Faculty of Engineering Burapha University 4) Faculty of Engineering Chiang Mai University and 5) Faculty of Engineering Prince of Songkla University. The aim of this research project are 1) creating Knowledge Stock (knowledge repository) collecting technologies and innovations both existing and in progress to make a national data catalog system (Data Catalog) from each region. 2) Developing knowledge transfer and technology transfer curriculums together with the Program Management Unit on Area Based Development (PMU A) to enhance knowledge and skills to local administrative organizations; and 3) Developing regional technology roadmap. The centrally online and web-based databased system called the Knowledge Stock System or KSS was established to create browsable and searchable knowledge and technology repository system. The Knowledge Stock System can be accessed through the website URL http://www.knowledgestock.org. There are three main functions of this the Knowledge Stock System: 1) providing information related to the project and serving as communication channel to the project 2) providing directory service and search service of knowledge and technology available and 3) providing backend content management system for knowledge and technology content. The result of collecting both existing and ongoing technological and innovative resources to make a data catalog from five regional engineering faculties, which each also help coordinating and collecting knowledge and technologies from other higher educational intuitions in the region, are a total of 86,592 knowledge contents, 953 laboratory data, 3,704 researchers’ data, including 131 Key Curriculum courses.
หน้า | ง-1 บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) 1. ความเป็นมา โครงการวิจัย “การสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดสู่ พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น” นี้ คณะผู้วิจัย ซึ่งนำโดย รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ 5 แห่ง ใน 5 ภูมิภาค อันได้แก่ 1) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 4) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ 5) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้มุ่งมั่นจัดทำงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมาภายใต้การดำเนินการวิจัยเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ประเด็น อันได้แก่ 1) การจัดทำ Knowledge Stock (คลังความรู้) รวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งที่มีอยู่และ กำลังดำเนินการ ทำเป็นระบบบัญชีข้อมูล (Data Catalog) ของแต่ละภูมิภาค 2) หลักสูตรและการถ่ายทอดองค์ ความรู้ (Knowledge and Technology Transfer) ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับ พื้นที่ (บพท.) ในการเสริมและพัฒนาทักษะ เพิ่มความสามารถ ให้บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) แผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology Roadmap) นำมาวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่ โดยใช้ชุดข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น นำไปสู่การลงทุนในพื้นที่ ซึ่งโครงการวิจัยดังกล่าวนี้ ได้รับการสนับสนุนโดยกองทุนส่งเสริม ววน. และหน่วย บพท. การตอบสนองวัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ เกี่ยวกับการจัดทำ Knowledge Stock (คลังความรู้) รวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งที่มีอยู่และกำลังดำเนินการ ทำเป็นระบบ บัญชีข้อมูล (Data Catalog) ของแต่ละภูมิภาค ตารางที่ ก-1 ภาพรวมจำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของสถาบันการศึกษาแต่ละภูมิภาค
หน้า | จ-1 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม การดำเนินโครงการการสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดสู่ พื้นที่ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น (Technology Roadmap and Knowledge Stock) เก็บรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย และเครือข่ายในแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีระบบ การทำงานดังแผนภาพที่ ก-1 แผนภาพที่ ก-1 ภาพรวมของระบบ Knowledge Stock (คลังความรู้) 2.1 ระบบ knowledgestock.org โครงการได้มีการพัฒนาเว็บไซต์คลังความรู้ขึ้นโดยได้จดทะเบียน URL พร้อมจัดหา web hosting และ hardware ที่มีความจำเป็นในการดำเนินการพัฒนาระบบคลังความรู้กลาง โดยตัวระบบคลังความรู้ทีจะเป็น ระบบกลางนี้ ผู้ใช้ในแต่ละกลุ่ม จะสามารถเข้าถึงระบบ Knowledge Stock System หรือ KSS ผ่านเว็บไซต์ http://www.knowledgestock.org โดยตัว web URL นี้ทำหน้าที่ใน 3 ส่วนกล่าวคือ 1. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการฯ – ในส่วนนี้จะเป็นการให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับข้องโครงการฯ การ ติดต่อสื่อสาร กับโครงการฯ และข่าวสารประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโครงการ 2. ให้บริการไดเรกทอรี่ (Directory Service) และให้บริการการสืบค้น ( Searching Service) ข้อมูล คลังความรู้ที่ได้รวบรวมไว้ทั้งนี้ในการให้บริการดังกล่าว จะมีระดับการเข้าถึงข้อมูลที่ให้บริการ แตกต่างกัน ในแต่ละประเภทของผู้ใช้ 3. ระบบจัดการคลังข้อมูล (Knowledge Stock Content Management System) ซึ่งจะเป็นระบบ ในการจัดการเนื้อหา (content) ของ admin หรือผู้ใช้ที่เกี่ยวข้อง
หน้า | ฉ-1 # คำอธิบาย (Description) Home หน้าแรก หน้าหลักของระบบคลังความรู้กลาง สามารถเข้าสู่ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในระบบ A1 สามารถดูรายละเอียดของข้อมูลโครงการ ข้อมูลการติดต่อสอบถาม รวมถึงข้อมูลประชาสัมพันธ์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโครงการฯ และระบบคลังความรู้ B1 ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์กำหนด สามารถ sign in หรือ log in เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่ให้ในแต่ ละผู้ใช้ได้ C1 สามารถสืบค้น (Search) สต๊อกความรู้ โดยค้นจากคำสำคัญ หรือค้นด้วยชื่อนักวิจัย/ผู้เชียวชาญ/ ปราชญุ์ ได้ D1 สามารถท่อง (Browse) สต๊อกความรู้ ตามไดเร็กทอรี่ ต่างๆ ที่ได้จัดหมวดหมู่ไว้ได้
หน้า | ช-1 สารบัญ กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ หน้า ก-1 ข-1 บทสรุปผู้บริหาร ง-1 สารบัญ ช-1 สารบัญแผนภาพ ณ-1 สารบัญตาราง ฏ-1 บทที่ 1 บทนำ 1-1 1.1 หลักการและเหตุผล 1-1 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1-2 1.3 กรอบแนวคิด 1-2 1.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1-5 บทที่ 2 คลังความรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนานวัตกรรม 2-1 2.1 พัฒนาการของแนวคิดการพัฒนาเชิงพื้นที่ของประเทศไทย 2-1 2.2 ความรู้และระบบการจัดการความรู้ 2-4 2.3 การจัดการคลังความรู้ 2-6 2.4. คลังความรู้ (Knowledge Stock) 2-7 2.5 การถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) 2-7 2.6 การถ่ายทอดเทคโนโลยีในเศรษฐกิจใหม่ 2-8 2.7 การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม 2-10 2.8 บทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะโครงสร้างพื้นฐานขององค์ความรู้ ในระบบนวัตกรรม 2-11 2.9 การไหลบ่าของความรู้ (Knowledge Flow) และการสร้างความรู้ 2-13 2.10 ระดับการถ่ายทอดเทคโนโลยี 2-14 2.11 แผนที่นำทางการพัฒนาเทคโนโลยี (Technology Roadmap) 2-20 บทที่ 3 การดำเนินงานวิจัย 3-1 3.1 การจัดทำ Knowledge Stock (คลังความรู้) รวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมทั้งที่มีอยู่และกำลังดำเนินการ ทำเป็นระบบบัญชีข้อมูล (Data Catalog) ของแต่ละภูมิภาค 3-1 3.2. การดำเนินการรวบรวมหลักสูตรหลัก (Key Curriculum) ที่พร้อมจะถ่ายทอด สู่กลไกการพัฒนาพื้นที่ 3-59 บทที่ 4 ผลการดำเนินการรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเครือข่ายภาคกลาง 4-1 บทที่ 5 ผลการดำเนินการรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5-1
หน้า | ซ-1 สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 6 ผลการดำเนินการรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเครือข่ายภาคเหนือ 6-1 บทที่ 7 ผลการดำเนินการรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ มหาวิทยาลัยบูรพา และเครือข่ายภาคตะวันออก 7-1 บทที่ 8 ผลการดำเนินการรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเครือข่ายภาคใต้ 8-1 บทที่ 9 สรุปผลการดำเนินการรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ของสถาบันการศึกษา และเครือข่ายในแต่ละภูมิภาค 9-1 ข้อเสนอแนะ 9-18 เอกสารอ้างอิง 10-1 ภาคผนวก 11-1
หน้า | ฌ-1 สารบัญแผนภาพ หน้า แผนภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิดการสังเคราะห์และประเมินสถานะองค์ความรู้และนวัตกรรม ที่จำเป็นต่อการพัฒนาเมืองของประเทศไทย 1-4 แผนภาพที่ 2.2 ระดับของการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ 2-16 แผนภาพที่ 2.3 ภาพจากหน้าเว็บไซต์ฐานข้อมูล STDB โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2-18 แผนภาพที่ 2.4 ฐานข้อมูลการสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนา ระดับท้องถิ่น 2-19 แผนภาพที่ 2.5 แสดงรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานของแผนที่นำทางเทคโนโลยี 2-21 แผนภาพที่ 2.6 วิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อนและผลกระทบของปัจจัยขับเคลื่อน 2-22 แผนภาพที่ 2.7 SWOT Analysis และกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 2-22 แผนภาพที่ 2.8 การจัดลำดับความสำคัญของเทคโนโลยี (สินค้าและบริการ) 2-23 แผนภาพที่ 2.9 เกณฑ์ในการจัดลำดับความสำคัญโดยใช้หลักการ Multi-criterial Analysis (MCA) 2-23 แผนภาพที่ 2.10 วิเคราะห์ช่องว่างทางเทคโนโลยีและกำหนดปัจจัยสนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยี 2-24 แผนภาพที่ 2.11 กรอบแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 2-24 แผนภาพที่ 2.12 ปัจจัยขับเคลื่อนและเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ สมัยใหม่ 2-26 แผนภาพที่ 2.13 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์ สมัยใหม่ 2-26 แผนภาพที่ 2.14 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์ สมัยใหม่ในกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics and Software) 2-27 แผนภาพที่ 2.15 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์ สมัยใหม่ในกลุ่มตัวถัง (Body) 2-31 แผนภาพที่ 2.16 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์ สมัยใหม่ในกลุ่มช่วงล่าง (Chassis) 2-34 แผนภาพที่ 2.17 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์ สมัยใหม่ในกลุ่มช่วงล่าง (Chassis) (ต่อ) 2-34 แผนภาพที่ 2.18 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์ สมัยใหม่ในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV Parts) และระบบประจุไฟฟ้า (Chargers) 2-37
หน้า | ญ-1 สารบัญแผนภาพ (ต่อ) หน้า แผนภาพที่ 3.1 ขั้นตอนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลคลังความรู้ 3-8 แผนภาพที่ 3.2 ภาพรวมของระบบ Knowledge Stock (คลังความรู้) 3-9 แผนภาพที่ 3.3 แบบจำลองโครงสร้างของฐานข้อมูล 3-42 แผนภาพที่ 3.4 แสดงการดึงข้อมูลอัตโนมัติด้วยเทคนิคการดึงข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ (Web Scraper) 3-44 แผนภาพที่ 3.5 ตัวอย่างข้อมูลนักวิจัยในเว็บไซต์ Scopus 3-45 แผนภาพที่ 3.6 ตัวอย่างข้อมูลผลงานตีพิมพ์ที่ได้จากการทำ Data Scraper 3-45 แผนภาพที่ 3.7 Flowchart ขั้นตอนการผสานข้อมูล 3-51 แผนภาพที่ 3.8 เว็บไซต์ http://www.knowledgestock.org 3-52 แผนภาพที่ 3.9 ระบบคลังความรู้กลาง Use case Diagram 3-56 แผนภาพที่ 3.10 หน้าจอระบบคลังความรู้ 3.-57 แผนภาพที่ 3.11 หน้าเพิ่มรายชื่อ/ข้อมูลนักวจัย 3-58 แผนภาพที่ 4.1 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเครือข่าย ภาคกลาง 4-2 แผนภาพที่ 4.2 เว็บไซต์ knowledgestock.eng.ku.ac.th 4-2 แผนภาพที่ 6.1 ตำแหน่งทางวิชาการ และคุณวุฒิสูงสุด 6-1 แผนภาพที่ 6.2 จำนวนองค์ประกอบแยกตามประเภท 6-2 แผนภาพที่ 6.3 จำแนกการตีพิมพ์ตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย 6-2 แผนภาพที่ 7.1 แผนภูมิแสดงร้อยละของผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์แยกตามประเภท การเผยแพร่ 7-1 แผนภาพที่ 7.2 แสดงร้อยละของงานวิจัยตามสาขาของมหาวิทยาลัยบูรพา 7-2 แผนภาพที่ 7.3 แสดงร้อยละของงานวิจัยจำแนกตามสาขาของมหาวิทยาลัยเครือข่าย 7-3 แผนภาพที่ 8.1 แบบจำลองโครงสร้างของฐานข้อมูล 8-3 แผนภาพที่ 9.1 ภาพรวมจำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของสถาบันการศึกษาแต่ละภูมิภาค 9-1 แผนภาพที่ 9.1 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเครือข่าย ภาคกลาง 9-2 แผนภาพที่ 9.2 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเครือข่าย ภาคกลาง 9-2 แผนภาพที่ 9.3 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และเครือข่ายภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 9-3 แผนภาพที่ 9.4 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเครือข่าย ภาคเหนือ 9-4 แผนภาพที่ 9.5 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยบูรพา และเครือข่ายภาค ตะวันออก 9-5 แผนภาพที่ 9.6 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเครือข่าย ภาคใต้ 9-6 แผนภาพที่ 9.7 ภาพรวมหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาคได้รวบรวม 9-7
หน้า | ฎ-1 สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 4.1 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเครือข่าย ภาคกลาง 4-1 ตารางที่ 5.1 รายชื่อเครือข่ายพันธมิตร จำนวนนักวิจัย และจำนวนโครงการที่รวบรวม 5-1 ตารางที่ 5.2 จำแนกผลงานโครงการวิจัยออกเป็นหมวดหมู่ 5-3 ตารางที่ 7.1 ตารางแสดงจำนวนผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์แยกตามประเภท การเผยแพร่ ตารางที่ 7.2 ตารางแสดงจำนวนผลงานวิจัยแยกตามสาขาที่เผยแพร่ 7.2 ตารางที่ 7.3 ตารางแสดงจำนวนสิ่งประดิษฐ์และงานสร้างสรรค์แยกตามประเภทการจด ทะเบียน 7-3 ตารางที่ 7.4 ตารางแสดงจำนวนผลงานวิจัยแยกตามหมวดหมู่ความรู้ 7-3 ตารางที่ 8.1 สรุปผลจำนวนข้อมูลในคลังความรู้ภาคใต้ 8-2 ตารางที่ 8.2 ข้อมูลนักวิจัย (researchers) 8-4 ตารางที่ 8.3 ข้อมูลสาขาเชี่ยวชาญ (expert_areas) 8-5 ตารางที่ 8.4 ข้อมูลกลุ่มสาขาเชี่ยวชาญ (expert_area_groups) 8-5 ตารางที่ 8.5 ข้อมูลหน่วยงานต้นสังกัด (institutes) 8-5 ตารางที่ 8.6 ข้อมูลบทความ (articles) 8-6 ตารางที่ 8.7 ข้อมูลโครงการวิจัย/วิทยานิพนธ์ (reports) 8-6 ตารางที่ 8.8 ข้อมูลหนังสือ/ตำรา (books) 8-7 ตารางที่ 8.9 ข้อมูลสิ่งประดิษฐ์ (ip) 8-7 ตารางที่ 8.10 ข้อมูลห้องปฏิบัติการ/โรงงานต้นแบบ (laboratories) 8-7 ตารางที่ 8.11 ข้อมูลเครื่องมือวิจัย (equipments) 8-8 ตารางที่ 9.1 ภาพรวมจำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของสถาบันการศึกษาแต่ละภูมิภาค 9-1 ตารางที่ 9.2 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเครือข่ายภาคกลาง 9-2 ตารางที่ 9.3 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และเครือข่ายภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 9-3 ตารางที่ 9.4 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเครือข่าย ภาคเหนือ 9-4 ตารางที่ 9.5 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยบูรพา และเครือข่ายภาค ตะวันออก 9-5 ตารางที่ 9.6 จำนวนข้อมูลในคลังความรู้ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเครือข่าย ภาคใต้ 9-6 ตารางที่ 9.7 ภาพรวมหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาคได้รวบรวม 9-7
หน้า | 1-1 บทที่ 1 บทนำ สัญญาเลขที่ A15F640037 ชื่อโครงการ การสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น หัวหน้าโครงการ รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ หน่วยงานต้นสังกัด มหาวิทยาลัยขอนแก่น หน่วยงานร่วมโครงการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระยะเวลาดำเนินการ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2564 1.1 หลักการและเหตุผล การพัฒนาพื้นที่ (Area Development) บนฐานความรู้และนวัตกรรม ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการ พัฒนาคน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อีกทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชนในแต่ละพื้นที่ อันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ ปานกลาง มีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำเพราะเป็นกระจายความเจริญไปยัง ภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น การพัฒนาระดับพื้นที่ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ การลดความยากจน การเพิ่ม ผลิตภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมประชาชนในพื้นที่ สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ ของตนเอง ในลักษณะ “ระเบิดจากข้างใน” โดยการสนับสนุนของสถาบันการศึกษา กลไกภาครัฐ ภาคประชา สังคม และภาคการตลาด (กฤษณพงศ์ กีรติกร, 2563) จึงได้สร้างเครื่องยนต์ใหม่เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโต ของเศรษฐกิจ (New Engine of Growth) ขึ้นมา ได้แก่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออกเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเครื่องยนต์ใหม่นี้ไม่ควร กระจุกตัวในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล และภาคตะวันออกแต่เพียงอย่างเดียวเพราะจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการกระจุก ตัวของความเจริญทางเศรษฐกิจ และทำให้ภูมิภาคและจังหวัดต่างๆ เสียโอกาสจากการกระจายรายได้ การจ้าง งาน การผลิต และรายได้ของรัฐบาลเอง อันจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น การพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป็นฐาน (Area-Based Development) จึงได้มีการบรรจุในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผน แม่บทภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระดับโครงสร้างซึ่งได้แก่ การกระจายศูนย์กลางความ เจริญสู่เมืองท้องถิ่น จังหวัด และภูมิภาค ประกอบกับสภาวการณ์ของการขยายตัวของเมือง (Urbanization) มีแนวโน้มเกิดขึ้นและกระจาย ตัวอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตของมวลมนุษยชาติที่มากกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมดในโลกนี้ รวมทั้ง ประเทศไทยด้วยอาศัยอยู่ในเมืองและมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน วิธีการหนึ่งในการจัดการกับความเป็น เมืองหรือพัฒนาเมืองอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิตของประชาชนมีการ พัฒนาอย่างสมดุลกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความเป็นสมัยใหม่ (Modem) ของโลก อีกทั้งวิธีการนี้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า การสร้างเมืองให้มีความเป็นอัจฉริยะ (Smart City) มีประสิทธิภาพมากพอที่จะรองรับกับ การขยายตัวของความเป็นเมืองและสามารถพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง ให้ดีขึ้นอย่างรอบด้าน รัฐบาลทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นในหลายประเทศ เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น
หน้า | 1-2 จีน จึงได้นำแนวคิดเมืองอัจฉริยะไปใช้เพื่อเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือ” ในการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศ (ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ และคณะ, 2563) รวมถึงการพัฒนาเชิงโครงสร้างและการจัดการ “ระดับเมือง” เพื่อดึงความเจริญทางเศรษฐกิจภายในจังหวัด และสร้างกลไกพัฒนาพื้นที่ เพื่อเชื่อมโยงกับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเสริมสร้างความเข้มแข็งในการจัดการการปกครองส่วนท้องถิ่น ในลักษณะที่เรียกว่า Triple Helix Model หรือ Collaborative Governance ดังนั้น การวิจัยนี้จึงมุ่งเฟ้นหาเครื่องยนต์หรือสาขา เศรษฐกิจที่เหมาะสมกับศักยภาพของเมืองเพื่อให้เมืองใช้เป็นเรือธง (Flag Ship) ในการขับเคลื่อนการเติบโตของ เศรษฐกิจ การจ้างงาน การยกระดับรายได้ของประชากร และเพิ่มรายได้ของท้องถิ่นและรัฐบาลในอนาคต แต่ การที่จะทำเช่นนั้นได้ จำเป็นที่จะต้องมีการขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และการที่จะมีการขับเคลื่อนดังกล่าวได้นั้น จำเป็นที่จะต้องรู้สถานะปัจจุบันขององค์ความรู้และนวัตกรรมในการ ขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ที่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา ตลอดจนชุมชน รวมถึง ภาคเอกชนต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค ที่ได้มีการใช้นวัตกรรม เพื่อจัดทำเป็นคลังความรู้ รวมถึงการถ่ายทอด เทคโนโลยีให้กับกลไกในการพัฒนาพื้นที่ต่อไป กลไกในการพัฒนาเมือง พัฒนาพื้นที่ที่ถือว่า เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคม คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด รู้ปัญหาและความ ต้องการของประชาชนจึงสามารถตอบสนองปัญหาได้อย่างตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ เป็นสถาบันฝึกสอน ทางการเมืองการปกครองให้แก่ประชาชน และทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนมีความเกี่ยวพัน มีส่วนได้ส่วนเสียในการ บริหารและการปกครอง เกิดความรับผิดชอบและหวงแหนต่อประโยชนที่มีต่อท้องถิ่นที่ตนอยู่อาศัย นอกจากนี้ แต่ละท้องถิ่นมีปัญหาและความต้องการที่ต่างกัน ประชาชนจึงเป็นผู้มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้แก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นในท้องถิ่นนั้นๆ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของ ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ และคณะ (2563) พบว่า เงื่อนไขที่สำคัญอย่าง มากที่จะทำให้การพัฒนาเมืองการพัฒนาพื้นที่หรือโครงการพัฒนาด้านต่างๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประสบความสำเร็จ คือการประสานความร่วมมือ (Collaboration) เนื่องจาก ข้อเท็จจริงที่ว่า องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานรัฐใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่อาจมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ครอบคลุมการ พัฒนาในทุกด้าน ดังนั้นการแสวงหาความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาควิชาการ หรือ ผู้เชี่ยวชาญใน ด้านนั้นๆ จากภายในและภายนอกพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนความรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ต่อความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่พัฒนาเมืองเพื่อเป็นศูนย์ความเจริญ (Growth Pole) นอกจากนี้ความรู้ที่มีอยู่ อย่างกระจัดกระจาย ทำให้การพัฒนาพื้นที่พัฒนาเมืองดำเนินไปได้ไม่เต็มศักยภาพ การสร้างระบบจัดการคลัง ความรู้ (Knowledge Stock) เพื่อให้องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมา สามารถกระจายตัว และถ่ายทอด สิ่งนี้มีความสำคัญพอๆ กันกับกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) ซึ่งเป็นสิ่ง หนึ่งที่มีความสำคัญและมีพลวัตในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ แม้กระบวนการนั้นจะเป็นไปด้วย ความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม การถ่ายทอดเทคโนโลยีก็ทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงแข่งขันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงกระบวนการ และพัฒนาระบบการบำรุงรักษา (Bradbury, 1978) บ่อยครั้งที่ผู้รับ (โอน) ทำได้ดีกว่า ผู้ริเริ่มดั้งเดิม เพราะในระหว่างกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้มีการดูดซับความรู้ฝังลึกในระดับท้องถิ่น ทำ ให้เกิดเทคโนโลยีที่มีการถ่ายทอดนั้น สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง นับเป็นการสร้างมูลค่า (ValueAdded) ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีการสร้างการยอมรับในองค์ความรู้ของงานวิจัย ปฏิบัติให้เห็นจริงด้วย การให้ชุมชนได้เข้าร่วม เรียนรู้ ปฏิบัติ ทดลอง โดยมีผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) เป็นข้อต่อที่ทำให้เกิดการส่งผ่านองค์ความรู้ และนวัตกรรมสู่พื้นที่รวมถึงการพัฒนาระบบพี่เลี้ยงเพื่อเป็น ผู้ช่วยแนะนำ ให้คำปรึกษาหารือและช่วยสนับสนุน การใช้นวัตกรรม แต่ในการศึกษานี้ มุ่งเน้นไปที่การรวบรวม ทรัพยากรทางเทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งที่มีอยู่และกำลังดำเนินการ ของสถาบันการศึกษาในแต่ละภูมิภาค เพื่อจัดทำคลังความรู้ ของแต่ละภูมิภาคและของประเทศไทยต่อไป
หน้า | 1-3 การนำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. 2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในส่วนแผนงาน “การพัฒนาเมืองเพื่อการกระจายศูนย์กลางความเจริญและลดความเหลื่อมล้ำ” สู่การ ปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมนั้น เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของภาคีของสหภาพวิจัยด้านการพัฒนาเมือง (UDRC) ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนจากหลายภาคส่วน ซึ่งประกอบด้วย 1) ภาคนโยบายของรัฐ เช่น สำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (NXPO) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (TSRI) 2) ภาคขับเคลื่อนของรัฐ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนา สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานนวัตกรรม แห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) เป็นต้น 3) ภาคผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ส่วน ได้ส่วนเสียต่างๆ ในระบบ เช่น สมาคมการผังเมืองไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งประเทศไทย เครือข่ายกฎ บัตรแห่งชาติ วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น เครือข่ายมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ ละภูมิภาค กรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูป ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นต้น จากการทำงานร่วมกันของภาคีความร่วมมือดังกล่าวข้างต้นนั้น พบว่า มีประเด็นร่วมที่สำคัญ เกี่ยวกับ การพัฒนาเมือง ดังนี้ 1) เป้าหมายร่วมของการพัฒนาเมืองในบริบทประเทศไทย คือ การพัฒนาเมืองของแต่ละท้องถิ่น เพื่อสามารถเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่น่าอยู่ (Livable City) ที่จะเป็นพื้นที่แห่งโอกาสในการพัฒนา โดยมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม เช่น มีระบบการเดินทางและอยู่อาศัยในราคาเหมาะสมกับรายได้ 2) การพัฒนาเมือง เป็นเครื่องมือทางนโยบายในการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่สำคัญ (Engine of Growth) ที่จะยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยลดความเหลื่อมล้ำและความยากจนระดับ ภูมิภาค และมีการพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับ ของสากล ซึ่งกรอบแนวคิดสำหรับ พัฒนาศูนย์ความเจริญ (Growth Pole) มาจากการขับเคลื่อนความรู้ 4 ทิศทาง ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนความรู้ทางตรงสู่การนำไปใช้และสังคม (Direct Channel) 2) การขับเคลื่อน ความรู้ทางอ้อมโดยการจัดการผ่านแนวทางการเงิน (Financial Channel) 3) การขับเคลื่อนความรู้ทางอ้อมโดย การจัดการผ่านนโยบายด้านประชากร (Migration Channel) 4) การขับเคลื่อนความรู้ทางอ้อมโดยการลงทุน และการค้าขาย (Trade Channel) ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ ให้ครอบคลุมทั้ง 4 มิตินี้ เช่นกัน ซึ่งได้แก่ มิติความรู้และเทคโนโลยี มิติการเงิน มิติการเคลื่อนย้ายคน และ มิติการค้าขายและการลงทุน จากมูลเหตุดังกล่าว จึงนำมาสู่การกำหนดกรอบการวิจัยในการยกระดับและศักยภาพองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เพื่อการบริหารจัดการท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลไกความร่วมมือและกลไกการใช้ข้อมูล ความรู้เชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของความสำเร็จของการพัฒนาเชิงพื้นที่ เริ่มจากการประสานความร่วมมือกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหลักๆ ในแต่ละภูมิภาค ทั้ง 5 ภูมิภาค อันได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อเป็น กำลังสำคัญในการรวบรวมข้อมูลทรัพยากรที่สำคัญของแต่ละภูมิภาค ครอบคลุมทั้งในด้านของเทคโนโลยี นวัตกรรม ความสามารถ (Skill) ห้องปฏิบัติการ เครื่องมือที่มีอยู่ โดยจะทำการรวบรวมและจัดทำหมวดหมู่ของ ข้อมูล (Categories) วิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อให้เกิดคลังความรู้ (Knowledge Stock) จนนำไปสู่การ ถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) ที่จะเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ให้แก่กลไกหลักในการพัฒนาอัน ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ใช้เพื่อพัฒนาและยกระดับสังคมและเศรษฐกิจท้องถิ่นของตน ให้มีศักยภาพ มากยิ่งขึ้น
หน้า | 1-4 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1. เพื่อจัดทำ Knowledge Stock (คลังความรู้) รวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งที่มี อยู่และกำลังดำเนินการ ทำเป็นระบบบัญชีข้อมูล (Data Catalog) ของแต่ละภูมิภาค อาทิ ข้อมูลบุคคล หน่วยงานที่ดำเนินการ วารสาร บทความที่ตีพิมพ์ แพลตฟอร์มต่างๆ และชุดความรู้หรือนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง 2. เพื่อจัดทำหลักสูตรและการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Knowledge and Technology Transfer) ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในการเสริมและพัฒนาทักษะ เพิ่ม ความสามารถ ให้บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3. เพื่อจัดทำแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology Roadmap) นำมาวิเคราะห์ ศักยภาพของพื้นที่โดยใช้ชุดข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น นำไปสู่การลงทุน ในพื้นที่ 1.3 กรอบแนวคิด แผนภาพที่ 1-1 กรอบแนวคิดการสังเคราะห์และประเมินสถานะองค์ความรู้และนวัตกรรม ที่จำเป็นต่อการพัฒนาเมืองของประเทศไทย
หน้า | 1-5 1.3.1 แนวคิด ทฤษฎีและสมมติฐานงานวิจัย ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้แรง ขับเคลื่อนจากความก้าวหน้าของวิทยาการ เทคโนโลยี และองค์ความรู้แขนงต่างๆ ดังนั้น การพัฒนาระบบการ จัดการองค์ความรู้ให้มีประสิทธิภาพในยุคหลังสมัย (Postmodern Society) จึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้ องค์ความรู้ที่มีอยู่ภายในสังคมสามารถนำไปใช้พัฒนาเป็นนวัตกรรมต่างๆ เพื่อรับมือและจัดการกับการ เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา กลุ่ม สมาคมนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการองค์ความรู้ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศยุโรป ได้ตั้งคำถามกับความสามารถในการจัดการกับองค์ความรู้ที่อยู่ในสังคม ตลอดจนสถานภาพของระบบการจัดการ องค์ความรู้ในสังคมและบทบาทของมหาวิทยาลัยในยุคหลังสมัยใหม่นี้หลักๆ 4 ประเด็น (Fortunati & Larsen & Stamm, 2012) ได้แก่ 1) สถานภาพของการสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Creation) ภายใต้บริบทของ สังคมแบบเครือข่าย ในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากศตวรรษเดิมค่อนข้างมาก 2) โครงสร้างพื้นฐานของ ระบบองค์ความรู้ (Knowledge Infrastructures) ต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย 3) การเผยแพร่และ กระจายตัวขององค์ความรู้ (Knowledge Sharing and Dissemination) แขนงต่างๆ ที่มีอยู่ภายในสังคมและ 4) บทบาทของระบบการอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยในอนาคต ซึ่งมีความน่าสนใจค่อนข้างมาก เนื่องจาก เทคโนโลยีหรือสถาบันอื่นก็มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ได้เท่ากับหรืออาจจะดีกว่ามหาวิทยาลัยเช่นกัน ในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของมหาวิทยาลัยในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารและเครือข่ายนี้ ดังนั้น จะ เห็นได้ว่าแนวโน้มในด้านการจัดการองค์ความรู้ของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นกรณีของกลุ่มประเทศยุโรป กำลังปรับตัวและเกิดความตระหนักในเรื่องการพัฒนาระบบการจัดการและถ่ายทอดองค์ความรู้ (Knowledge Transfer) เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาสังคมในมิติต่างๆ รวมถึงความท้าทาย ต่อการจัดการเรียนการสอนและบทบาทของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย 1.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ Knowledge Stock (คลังความรู้) รวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งที่มีอยู่และ กำลังดำเนินการ ทำเป็นระบบบัญชีข้อมูล (Data Catalog) ของแต่ละภูมิภาค อาทิ ข้อมูลบุคคล หน่วยงานที่ ดำเนินการ วารสาร บทความที่ตีพิมพ์ แพลตฟอร์มต่างๆ และชุดความรู้หรือนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง 2. ได้หลักสูตรและการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Knowledge and Technology Transfer) ร่วมกับหน่วย บริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในการเสริมและพัฒนาทักษะ เพิ่มความสามารถ ให้ บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3. ได้แผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology Roadmap) นำมาวิเคราะห์ศักยภาพของ พื้นที่โดยใช้ชุดข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น นำไปสู่การลงทุนในพื้นที่
หน้า | 2-1 บทที่ 2 คลังความรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนานวัตกรรม ในบทนี้ คณะผู้วิจัยจะได้ทบทวนให้ผู้อ่านได้เห็นถึงพัฒนาการเชิงแนวคิดของการพัฒนาเชิงพื้นที่ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่จะต้องเกี่ยวพันกับความเชื่อมโยงของหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยี วิทยาการ อันเป็นฐานของการใช้และพัฒนานวัตกรรมเพื่อ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม (Innovation – Driven Economy) ซึ่งการจะดำเนินการเช่นนั้นได้ จำเป็นที่ จะต้องมีการรวบรวม และจัดทำคลังความรู้ของประเทศ และมีกลไกในการถ่ายทอดความรู้ที่ทรงพลัง แต่ก่อนที่ จะได้กล่าวถึงกระบวนการจัดทำคลังความรู้และถ่ายทอดความรู้ดังกล่าว คณะผู้วิจัยจะได้นำเสนอให้ผู้อ่านได้ เห็นถึงพัฒนาการของแนวคิดการพัฒนาเชิงพื้นที่ของประเทศไทย 2.1 พัฒนาการของแนวคิดการพัฒนาเชิงพื้นที่ของประเทศไทย การพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area Development) เป็นแนวคิดการพัฒนาที่ถูกนำมาใช้เพื่อมุ่งกระจายความ เจริญและกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคอย่างเป็นระบบมาโดยตลอดนับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525 - พ.ศ.2529) ที่ได้มีการกำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่เฉพาะขั้นเป็นครั้งแรก และส่งเสริมการพัฒนาเมืองหลักให้มีบทบาทเป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศควบคู่ กับนโยบายการพัฒนาชนบทให้มีความเจริญไปพร้อม ๆ กัน โดยมุ่งนำทรัพยากรธรรมชาติและศักยภาพของ ภูมิศาสตร์ของพื้นที่ต่าง ๆ มาใช้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของภูมิภาคและพื้นที่นั้น ๆ มีการกำหนดนโยบาย เชิงพื้นที่ที่มุ่งกระจายความเจริญและกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาค นโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและปรับเข้าสู่แนวทางของการพัฒนาที่ สมดุลและยั่งยืนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 - พ.ศ.2539) ซึ่งในแผนการ พัฒนาฉบับดังกล่าวนี้ยังคงมุ่งกระจายฐานเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่เพื่อเป็นฐานการผลิตและ สามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจและการค้ากับนานาชาติได้โดยตรง ลดความแออัดในเขตกรุงเทพมหานคร มีความ พยายามในการเร่งขยายบริการพื้นฐานเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพ 'คอขวด' และกระจายบริการสู่ภูมิภาคและพื้นที่ เศรษฐกิจใหม่โดยเพิ่มการลงทุนภาครัฐและเพิ่มบทบาทภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมการดำเนินงาน ขยายบริการพื้นฐานอย่างกว้างขวางรวมทั้งมีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น แม้กระนั้นก็ยังเกิด สถานการณ์ของความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ 4 ด้าน คือ ความไม่สมดุลระหว่างโครงสร้างการผลิตกับ โครงสร้างการมีงานทำ ความไม่สมดุลระหว่างการกระจายตัวของประชากรกับการกระจายตัวของการผลิต ระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ความไม่สมดุลของระบบการศึกษาที่เข้าเรียนต่อจากระดับประถมศึกษามีอัตราต่ำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบท และความไม่สมดุลในการถือครองทรัพย์สินทางเศรษฐกิจที่มีการกระจุกตัวของ ทรัพย์สินอยู่ในกลุ่มบุคคลจำนวนน้อยราย ส่งผลให้เกิดการอพยพของคนจากชนบทเข้าสู่เมืองมากขึ้น ผลที่ ตามมา คือ การเพิ่มขึ้นของคนจนเมืองและคุณภาพชีวิตที่เสื่อมถอยลงในทุกมิติ (สำนักงานสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2535) “พื้นที่” ไม่ได้หมายความเฉพาะถึงลักษณะทางกายภาพที่มีการแบ่งหรือจำแนกเป็นภูมิภาคอย่างที่ระบุ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแต่ "พื้นที่" ที่สำคัญหมายถึง "คน" ที่มีวิถีปฏิบัติ มีค่านิยมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ที่เป็นเชิงกายภาพ การพัฒนาเชิงพื้นที่ในแผน เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8-9 ถือเป็นยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาเพราะในแผนพัฒนาฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 - พ.ศ.2544) ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชิง "พื้นที่" หรือการพัฒนาที่ใช้ "คน" เป็นศูนย์กลางการ พัฒนาเพราะคนเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จของการพัฒนาในทุกเรื่อง การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเพียงอีกหนึ่ง เครื่องมือที่จะช่วยให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการปรับเปลี่ยนวิธีการวางแผนจากการแยกส่วน มาเป็นการ พัฒนาแบบบูรณาการที่เน้นระบบความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในสังคม มีการปรับกระบวนการ
หน้า | 2-2 และกลไกในการบริหารงบประมาณและบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการประสานงานภายใต้ระบบการ จัดการพื้นที่กับภารกิจของหน่วยงานและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดแผนงาน โครงการตาม ยุทธศาสตร์การพัฒนา และที่สำคัญ คือ มีการกระจายการตัดสินใจและการบริหารงบประมาณจากส่วนกลาง ไปสู่ท้องถิ่น มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเมืองและกองทุนพัฒนาชุมชนเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดบริการสาธารณะให้กับประชาชน (ภายใต้ฐานคิดของการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่มองว่าแต่ละพื้นที่มีบริบททาง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน อีกทั้งในแต่ละพื้นที่ยังมี ปัญหา และความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ยุทธศาสตร์การพัฒนาในแต่ละพื้นที่ ควรจะ แตกต่างกัน ประชาชนในแต่ละพื้นที่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดทิศทางหรือการพัฒนาพื้นที่โดยเสมอภาค และสร้าง โอกาสให้คน ครอบครัว ชุมชน สังคม มีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ตลอดจนมีส่วนในการดูแล ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งวัฒนธรรมประจำถิ่นของตนเอง เน้นการพัฒนาแบบองค์รวมที่มีการ บูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีสถาบันการศึกษาให้การสนับสนุนในเรื่อง ข้อมูลและความรู้ที่เป็นสหวิชาการทั้งในองค์ความรู้สากลและภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนาเชิงพื้นที่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 นี้ยังมุ่งเน้นการสร้างความ สมดุลของการพัฒนาระหว่างเมืองกับชนบท ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมระหว่าง กรุงเทพมหานคร เมืองและชนบทในภูมิภาคต่าง ๆ โดยการประสานเชื่อมโยงระหว่างชนบทและเมืองให้เป็นไป ในทิศทางที่เสริมสร้างพลังซึ่งกันและกัน เน้นกระบวนการการมีส่วนร่วม และการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชน ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการกระจาย อำนาจ เพื่อกระจายโอกาสให้เข้าถึงทุกผู้คน การกระจายโอกาสกิจกรรมทางเศรษฐกิจและบริการสังคมจากภาครัฐ ภายใต้แนวคิดที่ยึด “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาที่ปรากฏในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ยังมีความสำคัญมาโดยตลอดและเพิ่มความ เข้มข้นมากขึ้นในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) โดยเฉพาะการกระจายภารกิจและความ รับผิดชอบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างโปร่งใส (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2545) โดยเตรียมความพร้อมและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคู่ กับการเปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคประชาสังคมในการพัฒนาพื้นที่ เน้นการจัดการพื้นที่เชิง บูรณาการที่ยึดพื้นที่ภารกิจและการมีส่วนร่วม รวมถึงการเตรียมความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อ รองรับการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่ โดยปรับกลไกการจัดการพื้นที่และสร้างเครือข่าย เพื่อให้ทุกภาคส่วนใน สังคมร่วมกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ, 2545) การพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มี “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาถือเป็นจุดเน้นในการ พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 – 2554) และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีความพยายามที่จะใช้การพัฒนาเชิงพื้นที่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการยกระดับ คุณภาพชีวิตประชาชน มีการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ ราชการ ท้องถิ่น และภาค ประชาชน แต่ในทางปฏิบัติแล้วกลับพบว่า ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาความยากจน การลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงการกระจุกตัวของความเจริญอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งนับวันจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากไม่มีการ บริหารจัดการที่มีคุณภาพที่มีการใช้ความรู้เป็นฐาน ประกอบกับแรงผลักดันทั้งจากภายในประเทศที่เกิดขึ้นจาก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร อัตราการเพิ่มขึ้นของภาวะความเป็นเมือง (Urbanization) รวมถึงแนวโน้ม โลกที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และประเทศต่าง ๆ กำลังเร่งพัฒนานวัตกรรมและ นำมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าผลผลิต และเพิ่มผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนการแก้ปัญหาความยากจนและลด ความเหลื่อมล้ำภายใต้กรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGS) รวมถึง
หน้า | 2-3 การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การถูกปั่นป่วนจากเทคโนโลยีดิจิทัล การแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้นั้น จำเป็น ที่จะต้องใช้การพัฒนาพื้นที่บนฐานของความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม การพัฒนาบนฐานของความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมจึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชน ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ประชาชนมีคุณภาพ ชีวิตที่ดี มีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำนำสู่ความยั่งยืนของการพัฒนา เพราะ การพัฒนาระดับพื้นที่ เป็นการเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) ให้กับประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่ สามารถกำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ของตนเองในลักษณะ "ระเบิดจากข้างใน" โดยการสนับสนุนร่วม อย่างเข้มแข็งและมีส่วนร่วมกันของภาควิชาการ กลไกภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งล้วนแต่เป็น กลไกสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ ที่ต้องร่วมสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อการพัฒนานวัตกรรมในการพัฒนาพื้นที่ในแต่ ละภูมิภาค ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น แต่เน้นการกระจายศูนย์กลางความ เจริญสู่เมืองหลักๆในแต่ละภูมิภาคให้มีความเป็นเมืองน่าอยู่ และพัฒนาเมืองเป็น เครื่องจักรกลใหม่ (New growth Engine) และเป็นเครื่องมือทางนโยบายในการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่จะยกระดับ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและความยากจนระดับภูมิภาค และมีการพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป เมื่อรัฐบาลได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ในระยะยาวเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยฐานคิดตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การที่จะดำเนินการบรรลุเป้าหมายเชิงนโยบายดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง อาศัยความรู้ และความก้าวหน้าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างยั่งยืน การพัฒนาในระดับพื้นที่โดยมีความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นฐาน สำคัญจึงได้รับการบรรจุในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนแม่บทภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ประเด็น 4.4.3 การเพิ่มพื้นที่และเมือง เศรษฐกิจที่มุ่งสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจและนวัตกรรมแห่งใหม่ในส่วนภูมิภาค คู่ขนานกับการเติบโตของ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยยกระดับจังหวัดสำคัญของไทย ส่งเสริมการพัฒนาในเชิงพื้นที่ พัฒนา เศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาเมือง ภายใต้ระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม ซึ่งมีมหาวิทยาลัยแต่ละ ภูมิภาค สถาบันการศึกษาท้องถิ่น และทุกภาคส่วนร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนการยกระดับจังหวัดสำคัญเป็นเมือง เศรษฐกิจประจำภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคที่เชื่อมต่อกับเมืองเศรษฐกิจอื่น โดยอาศัย ความได้เปรียบที่แตกต่างกันของแต่ละจังหวัด รวมถึงการให้ความสำคัญกับการใช้มหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาค และสถาบันการศึกษาท้องถิ่น ขับเคลื่อนองค์ความรู้ด้านนวัตกรรม (ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580) เมื่อความรู้ถือเป็นทรัพยากรหลักของแต่ละภูมิภาคของแต่ละเมือง (Gao et al, 2008) ตลอดจนเป็นตัว ขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาพื้นที่ด้วยนวัตกรรม รวมถึงเป็นความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่สำคัญ (Taminian et al, 2009) แต่ทั้งนี้ ต้องมีการจัดการความรู้ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวบรวมความรู้ที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ ของสถาบันการศึกษาที่มีอยู่ในแต่ละภูมิภาค จึงเป็นความจำเป็นและสำคัญที่จะทำให้รู้สถานะขององค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่มีอยู่ในแต่ละภูมิภาค ความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวสู่กลไกการ พัฒนาพื้นที่ และที่สำคัญ คือ การมีระบบที่ทำให้องค์ความรู้เหล่านั้น มีการไหลบ่าเพื่อให้เกิดชุดความรู้ใหม่ที่ สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ และขณะเดียวกัน การถ่ายโอนความรู้ที่มีประสิทธิภาพก็จะนำไปสู่ความ ได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจหรือของประเทศได้เช่นกัน (Hedland, 1986)
หน้า | 2-4 2.2 ความรู้และระบบการจัดการความรู้ ก่อนที่จะกล่าวถึงระบบการจัดการความรู้ คณะผู้วิจัยใคร่ขอกล่าวถึงความรู้ก่อนว่า คืออะไร มีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีรูปแบบในการถ่ายโอนความรู้อย่างไร ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ความรู้แบบชัดแจ้ง ( Explicit Knowledge) และความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge หรือ Implicit knowledge) โดยที่ความรู้ชัดแจ้ง คือ ความรู้ที่รวบรวมอย่างเป็นระบบไว้เรียบร้อย โดยการเขียนหรือเรียบเรียงออกมาเป็นตัวอักษร เช่น คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา website มีลักษณะเป็น Objective หรือเป็นทฤษฎี สามารถแปลงเป็นรหัสในการ ถ่ายทอดโดยวิธีการที่เป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อการถ่ายทอดความรู้ ในขณะที่ ความรู้แบบฝังลึกมีรากฐานจากการกระทำให้เกิดความชำนาญ มีบริบทเฉพาะ ทำให้เป็นทางการและสื่อสารยาก เช่น วิจารณญาณ ทักษะความเชี่ยวชาญในเรื่องต่าง ๆ การเรียนรู้ขององค์กร เป็นต้น ส่วน Distanont et al. (2012) ได้แบ่งความรู้ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ความรู้ทางวิศวกรรมแบบชัดแจ้ง (explicit engineering knowledge) ความรู้ด้านวิศวกรรมแบบฝังลึก (tacit engineering knowledge) ความรู้ด้านการบริหารจัดการ แบบชัดแจ้ง (explicit managerial knowledge) และความรู้ด้านการบริหารจัดการแบบฝังลึก (tacit managerial knowledge) ซึ่งความรู้ทางวิศวกรรมหมายถึงเนื้อหาความรู้ ความเข้าใจ การปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง และความรู้ด้านการบริหารจัดการคือ ทักษะ เทคนิค และกลยุทธ์ในการบริหารจัดการความรู้แบบฝังลึก (Implicit knowledge) เป็นส่วนประกอบของความรู้ทั้งหมด (Grant, 1996) และความรู้ที่ชัดแจ้งจะมีประโยชน์ น้อยมาก หรือแทบจะไร้ประโยชน์ หากผู้ที่นำความรู้นั้นไปใช้ ไม่มีการลงมือปฏิบัติหรือพัฒนาทักษะของตนเอง ซึ่งหมายถึงการไม่มีการสั่งสมความรู้ฝังลึกนั้นเอง (Salter et at, 2000) แม้ว่า ความรู้จะเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญขององค์กร ทั้งความรู้ฝังลึก และความรู้แบบชัดแจ้ง และที่สำคัญ ความรู้ทั้งสองประเภทมีลักษณะเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน การจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จำเป็นที่จะต้องมี การถ่ายโอนและไหลบ่าของความรู้ เพราะความสามารถในการถ่ายโอนความรู้ขององค์กรเป็นหนึ่งในความ ได้เปรียบในการแข่งขัน (Minbaeva et al., 2004) ความรู้แต่ละลักษณะมีวิธีการถ่ายโอนความรู้ที่แตกต่างกัน การถ่ายโอนความรู้ที่มีลักษณะไม่ปรากฎชัด แจ้งมักเป็นการสาธิต รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการทำงานร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ระหว่างผู้ส่งมอบ และผู้รับการถ่ายทอดความรู้ แต่เมื่อมีการถ่ายโอนความรู้ จะส่งผลให้องค์กรหรือพื้นที่ได้รับ การพัฒนาให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายโอนความรู้ระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชนท้องถิ่นจะนำไปสู่การนำ ทฤษฎีไปปฏิบัติ และขณะเดียวกันก็ทำให้การปฏิบัติมีฐานของการใช้ความรู้นำ ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในระหว่าง กระบวนการถ่ายโอนความรู้ระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชนท้องถิ่น ย่อมนำไปสู่การเกิดและพัฒนานวัตกรรม ในการพัฒนาท้องถิ่น การถ่ายโอนความรู้แบบชัดแจ้งใช้วิธีการอ่านหรือจากคำบอกเล่า ในขณะที่ความรู้แบบฝังลึกอาศัย ปฏิสัมพันธ์ของบุคคล แม้การถ่ายโอนความรู้ฝังลึกจะทำได้ยากกว่าความรู้แบบชัดแจ้ง แต่ความรู้ทั้ง 2 ประเภท ก็ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ยากที่จะแยกจากกันได้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน (Mutually Constituted) (Tsoukas, 1996) ซึ่งการถ่ายโอนความรู้ที่มีลักษณะเป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งมักจำเป็นต้องอาศัยการสาธิต โดยการใช้เทคโนโลยีหรือระบบทันสมัย การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ระหว่างผู้ส่งมอบและผู้รับการถ่ายทอดความรู้ เมื่อความรู้ทั้ง 2 ลักษณะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จำเป็นที่จะต้องมี ระบบการจัดการคลังความรู้การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี
หน้า | 2-5 ระบบการจัดการคลังความรู้การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้แรง ขับเคลื่อนจากความก้าวหน้าของวิทยาการ เทคโนโลยี และองค์ความรู้แขนงต่าง ๆ ดังนั้น การพัฒนาระบบการ จัดการองค์ความรู้ให้มีประสิทธิภาพในยุคหลังสมัยใหม่ (Postmodern Society) จึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้องค์ความรู้ที่มีอยู่ภายในสังคมสามารถนำไปใช้พัฒนาเป็นนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อรับมือและจัดการกับการ เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา กลุ่ม สมาคมนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการองค์ความรู้ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศยุโรป ได้ตั้งคำถามกับความสามารถในการจัดการกับองค์ความรู้ที่อยู่ในสังคม ตลอดจนสถานภาพของระบบการจัดการ องค์ความรู้ในสังคมและบทบาทของมหาวิทยาลัยในยุคหลังสมัยใหม่นี้หลักๆ 4 ประเด็น (Fortunati & Larsen & Stamm, 2012) ได้แก่ 1) สถานภาพของการสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Creation) ภายใต้บริบทของ สังคมแบบเครือข่าย ในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากศตวรรษเดิมค่อนข้างมาก 2) โครงสร้างพื้นฐานของ ระบบองค์ความรู้ (Knowledge Infrastructures) ต่าง ๆ ที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย 3) การเผยแพร่และ กระจายตัวขององค์ความรู้ (Knowledge Sharing and Dissemination) แขนงต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายในสังคมและ 4) บทบาทของระบบการอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยในอนาคต ซึ่งมีความน่าสนใจค่อนข้างมาก เนื่องจาก เทคโนโลยีหรือสถาบันอื่นก็มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ได้เท่ากับหรืออาจจะดีกว่ามหาวิทยาลัยเช่นกัน ในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของมหาวิทยาลัยในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารและเครือข่ายนี้ ดังนั้น จะ เห็นได้ว่าแนวโน้มในด้านการจัดการองค์ความรู้ของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นกรณีของกลุ่มประเทศยุโรป กำลังปรับตัวและเกิดความตระหนักในเรื่องการพัฒนาระบบการจัดการและถ่ายทอดองค์ความรู้ (Knowledge Transfer) เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาสังคมในมิติต่าง ๆ รวมถึงความท้าทาย ต่อการจัดการเรียนการสอนและบทบาทของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ซึ่งระบบการ จัดการและการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าว มีองค์ประกอบสำคัญ คือ ระบบการจัดการคลังความรู้ อย่างไรก็ตาม กรอบแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบจัดการคลังความรู้(Knowledge Stock) เพื่อให้องค์ความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นมา (Knowledge Creation) สามารถกระจายตัวและถ่ายทอดออกไปสู่ สังคมเพื่อให้ชุดความรู้ด้านต่าง ๆ ถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นจะต้องมีการพัฒนากลไก การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge and Technology Transfer) ที่มีประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจเกี่ยวกับการถ่ายทอดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยี ไม่มีคำนิยามที่ตายตัว แต่ความเข้าใจ โดยทั่วไปเกี่ยวกับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีคือ กระบวนการที่ก่อให้เกิดการลื่นไหลของชุดองค์ ความรู้และเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ผ่านช่องทาง (Channel) ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลหรือระดับองค์กรไปสู่ จุดหมายปลายทางหนึ่ง (Sung & Gibson, 2005) หรือเพื่อให้เกิดการนำเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีหนึ่ง ที่ถูก สร้างขึ้นมาถูกนำไปถ่ายทอดสู่กลุ่มเป้าหมาย สำหรับในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) นั้น สามารถจำแนกออกได้หลาย ประเภท แต่ในภาพรวมแล้วการถ่ายทอดเทคโนโลยีสามารถแบ่งได้เป็นสามแบบหลัก (Mansfield, 1975) ได้แก่ เทคโนโลยีทั่วไป (General Technology) คือ กลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม การค้า ระบบเศรษฐกิจที่ พบเห็นได้ทั่วไป ต่อมาคือ เทคโนโลยีที่มีความจำเพาะเชิงระบบ (System-Specific Technology) ที่เกี่ยวข้อง กับระบบข้อมูลข่าวสาร ระบบหนึ่งๆ ที่ภาคการผลิตจำเป็นต้องใช้ เป็นต้น และประเภทสุดท้ายคือ เทคโนโลยี เฉพาะบริษัท (Firm-Specific Technology) ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารเฉพาะด้านที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมหรือ ประสบการณ์ของบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ และมีข้อจำกัดในการเผยแพร่บางประการ การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและ การพัฒนาของรัฐในมิติต่าง ๆ เนื่องจากองค์ความรู้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ในทุก ๆ อาณาบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น อาณาบริเวณกายภาพที่สามารถจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ นอกจากนี้ การแปรเปลี่ยน (Transformation) ของ ระบบเศรษฐกิจและสังคมในยุคปัจจุบันนั้น ต่างจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ในอดีตที่
หน้า | 2-6 เน้นการสร้างความมั่งคั่ง และการเติบโตผ่านสินทรัพย์กายภาพ (Physical Resource) แต่ในศตวรรษที่ 21 นี้ เปลี่ยนผ่านจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมมาเป็นการปฏิวัติของเทคโนโลยี (Technological Revolution) ที่ระบบ เศรษฐกิจและสังคมพึ่งพาทรัพยากรที่ไม่สามารถจับต้องได้ (Intangible Resource) เช่น ข้อมูล (Data) สารสนเทศ (Information) ฯลฯ ผ่านความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ การสร้างระบบจัดเก็บ และจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Stock) เพื่อให้เกิดการนำเอาองค์ความรู้ วิทยาการที่มีอยู่และโดยส่วนมาก ไม่สามารถจับต้องได้ ถูกถ่ายทอด เผยแพร่ออกไปเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมในด้านต่าง ๆ อย่างมี ประสิทธิภาพ จึงเป็นความจำเป็นและสำคัญที่จะต้องมีการจัดทำคลังความรู้ 2.3 การจัดการคลังความรู้ การจัดการคลังความรู้ (Knowledge Inventory Management) เกี่ยวข้องกับการเสาะหา เก็บรักษา ใช้ประโยชน์ พัฒนา หรือละทิ้งองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในบางครั้ง คลังความรู้ (Knowledge Inventory) นี้ อาจเรียกว่า ทุนปัญญา (Intellectual Capital) ก็ได้ ซึ่งสามารถจัด แบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ 3 กลุ่ม คือ ความรู้ของมนุษย์ (Human Capital) ความรู้เชิงโครงสร้าง (Structural Capital) และความรู้เชิงความสัมพันธ์ (Relation Capital) ในบรรดาองค์ความรู้สามแบบนี้ มีเพียงองค์ความรู้เชิง โครงสร้าง (Structural Capital) ที่ครอบครองโดยบริษัท องค์กร หน่วยงาน หรือสถาบันต่าง ๆ (Wu & Liu & Guo, 2007) ดังนั้น การออกแบบระบบเพื่อที่จะให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจำเป็นต้อง คำนึงถึงลักษณะสำคัญของชุดองค์ความรู้ทั้งสามประเภทนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคเอเชีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีความโดดเด่นในด้านการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge and Technology Transfer) ซึ่งนอกจากจะเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสูงแล้ว (Technology-Driven Economy) รัฐบาลของทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ยังให้ความสำคัญต่อการถ่ายโอนวิทยาการ และองค์ความรู้เพื่อนำมาใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเอกชนและอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงนำมาใช้ เพื่อจัดการกับปัญหาและพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในสังคมมิติต่าง ๆ ด้วย โดยในกรณีของเกาหลีใต้รัฐบาลเริ่ม ขับเคลื่อนกลยุทธการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาตั้งแต่ช่วงปี 2004 (Sung, 2010) โดยมุ่งสนับสนุนให้องค์ความรู้ งานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี ถูกถ่ายทอดไปยังระบบตลาด ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม เพื่อสร้างขีด ความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศมากขึ้น นำมาสู่การศึกษาของ Tae Kyung Sung (2009) ซึ่งได้ทำ การสำรวจและวิจัยโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer Project) ของรัฐบาลเกาหลีใต้จำนวน 135 โครงการ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า สิ่งที่ผู้ทำโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer Leaders) ให้ความสำคัญมากที่สุด คือ ความเป็นรูปธรรมหรือประโยชน์ของเทคโนโลยี (Concreteness of Technology) ตามมาด้วย ช่องทางการสื่อสาร (Communication Channels) ความร่วมมือระหว่างภาคีหรือกลุ่มผู้มีส่วนร่วม (Collaboration Among Participants) ระบบสนับสนุนการจัดการ (Management Support) การสนับสนุน จากภาครัฐ (Government Support) แรงจูงใจให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Incentives for Transfer) อย่างไรก็ตาม งานศึกษาชิ้นนี้ ยังพบว่าในบรรดาปัจจัยทั้งหมดนี้ ปัจจัยด้านช่องทางการสื่อสาร ระบบสนับสนุน การจัดการ ความเป็นรูปธรรมของเทคโนโลยี ความตระหนักร่วมต่อเป้าหมายเดียวกัน (Sense of Common Purpose) และความตระหนักต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Awareness of Technology Transfer) คือ ปัจจัยที่ มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีประสบความสำเร็จ ในขณะที่ Smiloz et al (1988) ระบุถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการถ่ายโอนเทคโนโลยี ได้แก่ ค่านิยม ของบุคคลหรือองค์กร ภาคีเครือข่ายและการแบ่งปันข้อมูล มุมมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ความเสี่ยง ต้นทุนรวมถึงระยะเวลาในการถ่ายโอนเทคโนโลยี แต่ทั้งนี้ จะต้องมีการรวบรวมและจัดทำคลังความรู้
หน้า | 2-7 2.4 คลังความรู้ (Knowledge Stock) คลังความรู้ประกอบด้วยกลุ่มทุนมนุษย์ที่บุคลากรขององค์กรมีอยู่ (Weight et al., 2001) ซึ่ง ประกอบด้วยความรู้ ทักษะ และความสามารถของบุคลากร เนื่องจากองค์กรต่างๆ มีการสรรหาคัดเลือกบุคลากร หลากหลายประเภท รวมถึงการศึกษาอบรมหรือพัฒนาที่แตกต่างกัน ความรู้ในกลุ่มทุนมนุษย์ขององค์กร จึงมักจะมีความหลากหลาย และคลังความรู้ที่หลากหลายดังกล่าว เป็นเงื่อนไขสำคัญของการสร้างนวัตกรรม จากการศึกษาของ Subramaniam และ Youndt (2005) ระบุว่า นวัตกรรมสมัยใหม่ จำเป็นต้องมีการ ผสมผสานและบูรณาการความรู้ประเภทต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ในการบูรณาการความรู้ภายในองค์กร จำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารและแบ่งปันระหว่างบุคลากร ดังนั้น ความแตกต่างในระดับของความรู้เป็นอุปสรรคต่อการแบ่งปันความรู้ หากคลังความรู้ส่วนบุคคลของคนในองค์กร ที่จะแบ่งปันความรู้กับคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แทบจะไม่มีส่วนที่ทับซ้อนกัน (Overlap) การสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Common ground) สำหรับการแบ่งปันความรู้ ก็เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่ง Grant (1996) ระบุว่า “ความรู้ทั่วไปที่ ซับซ้อน ช่วยเพิ่มการสื่อสารของความรู้เฉพาะทาง (Sophisticated common knowledge enhances the communication of opeialiged knowledge)” หากความแตกต่างระหว่างความรู้เฉพาะทางและความรู้ทั่วไป มีสูง บุคคลต้องลดความรู้เฉพาะทางเป็นความรู้ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียข้อมูลในระหว่างกระบวนการ ที่ทำให้เข้าใจได้ง่าย (Grant, 1996) เนื่องจากความรู้ขององค์กรมีความรู้หลายประเภท การสนับสนุน (Complementation) ระหว่างความรู้ประเภทต่าง ๆเหล่านี้ เป็นความจำเป็นที่ต้องมีอยู่ ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ บุคลากรมีความจำเป็น ในการลดความซับซ้อนของความรู้ เมื่อแบ่งปันกับเพื่อนร่วมงาน (Christian et al., 2019) อันจะนำไปสู่การไหลบ่าของความรู้ 2.5 การถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) การสะสมองค์ความรู้และเทคโนโลยี การถ่ายทอด การประยุกต์ใช้ รวมถึงการเผยแพร่ถือเป็นปัจจัย สำคัญสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจใหม่ของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เป็นระบบ เศรษฐกิจที่ใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นปัจจัยการผลิต การบริการที่สำคัญ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง การแปรรูป รวมถึงการปรับระบบบริการที่จะต้องรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และที่สำคัญความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก จากเดิมที่ใช้สินทรัพย์หรือทรัพยากรที่มีอยู่จริง จับต้อง ได้ เป็นทรัพยากรที่ไม่มีตัวตนบนพื้นฐานของเทคโนโลยี ดังนั้นการจัดการและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มี ประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญสำหรับบุคคล องค์กร และประเทศในสังคมฐานความรู้ (Knowledge Society) ใน ปัจจุบัน แนวคิดของการถ่ายทอดเทคโนโลยี คือ การเคลื่อนที่ของเทคโนโลยีจากบุคคลสู่บุคคล จากบุคคลสู่ องค์กร หรือจากองค์กรหนึ่งไปสู่อีกองค์กรหนึ่ง อาศัยการประสานความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่าย ที่จะทำให้ กระบวนการ “ถ่ายทอด” นั้น ไม่ใช่ส่งผ่านในลักษณะจากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่งเท่านั้น แต่ควรจะเป็นกระบวนการ ที่มีลักษณะ “Interactive Process” ที่จะทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันอันจะนำไปสู่การเกิดนวัตกรรม ทางความคิดต่อไป (Gibson & Smilor, 1991) การถ่ายทอดเทคโนโลยีมีหลายรูปแบบ อาทิเช่น ปฏิสัมพันธ์ทางเทคนิค/ความร่วมมือ (ความช่วยเหลือ ด้านเทคนิคโดยตรงไปยังภาคเอกชนผู้ใช้และนักพัฒนา การแลกเปลี่ยนบุคลากร การแบ่งปันทรัพยากร ข้อตกลงการวิจัยและพัฒนา กิจกรรมการค้า การจดสิทธิบัตรและการออกใบอนุญาตของนวัตกรรมและการระบุ ตลาดและผู้ใช้และการแลกเปลี่ยนข้อมูล การแพร่กระจายไปยังผู้ใช้เทคโนโลยีที่มีศักยภาพของเทคนิคข้อมูล เอกสาร บทความ รายงาน สัมมนา ฯลฯ
หน้า | 2-8 การถ่ายทอดเทคโนโลยีมีหลายตัวแบบ อาทิเช่น 1) Appropriability Model มีจุดเน้นที่ความสำคัญ ของคุณภาพของงานวิจัยและความกดดันของการแข่งขันของตลาดที่จะบรรลุการถ่าย ทอดเทคโนโลยี 2) Dissemination Model ที่มุ่งเน้นไปที่การแพร่กระจายของนวัตกรรม (Rogers & Kincaid, 1982) โดยมี เป้าหมาย คือ การเผยแพร่นวัตกรรมสู่ผู้ใช้ ซึ่งมักจะมุ่งเน้นการสื่อสารแบบทางเดียว และ 3) ตัวแบบการใช้ ความรู้ (Knowledge Utilization Model) ที่เน้นความสำคัญของการสื่อสารระหว่างบุคคลของนักวิจัยกับผู้ใช้ และการลดอุปสรรคในการถ่ายโอนความรู้ระหว่างองค์กรและผู้อำนวยความสะดวก หรือนักวิชาการบางกลุ่มได้มี การจำแนกตัวแบบหรือ แบบจำลองในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็น 2 รูปแบบ อันได้แก่ 1) แบบจำลองเชิงเส้นของการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม 2) แบบจำลองไม่เชิงเส้นของการถ่ายทอด เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1) แบบจำลองเชิงเส้นของการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม การถ่ายทอดเทคโนโลยีของตัวแบบนี้มองว่า กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีพัฒนาการ ตามลำดับขั้น และเป็นขั้นตอนต่อเนื่องกัน โดยเริ่มจากการวิจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดการค้นพบสิ่งใหม่ แล้วค่อยหา แนวทางในการจะนำผลการวิจัยไปใช้ต่อไปได้ ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อเป็นการวิจัยประยุกต์ เพื่อการพัฒนา เชิงพาณิชย์ และขยายเข้าสู่ตลาด ตามแบบจำลองนี้การวิจัยพื้นฐานจะถูกมองว่า เป็นต้นน้ำของการนำ ผลการวิจัยไปใช้ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม มุมมองที่โดดเด่นของการถ่ายทอดเทคโนโลยีตาม แบบจำลองนี้ อยู่ที่การจะนำผลการวิจัยไปใช้ต่อไปได้จะต้องดำเนินการต่อเป็นการวิจัยประยุกต์การวิจัย และพัฒนา การออกแบบ การผลิต และการตลาด เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องกัน (Brooks 1996) และมีสมมุติฐาน ที่ว่า สารสนเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์ คือ สิ่งที่จับต้องได้เป็นผลที่เกิดขึ้น โดยตรรกะจากการวิจัย และถูกนำไปใช้เป็นปัจจัยนำเข้าในกระบวนการพัฒนานวัตกรรม 2) แบบจำลองไม่เชิงเส้นของการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม แนวคิดตามแบบจำลองนี้ มองว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมไม่ใช่กระบวนการเชิงเส้นตรง (Smith & Barfield 1996) แต่นวัตกรรมเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดเวลากลับ กลายเป็นที่ชัดเจนว่า กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้มีประสิทธิผล จำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกันเป็นทีม ระหว่างนักวิจัย ผู้ใช้เทคโนโลยี ผู้ประกอบการ ผู้ร่วมลงทุน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ในกระบวนการพัฒนา นวัตกรรมในแต่ละบริบทที่แตกต่างกัน แบบจำลองไม่เชิงเส้นของการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มีการกล่าวถึงมากที่สุด คือ Stephen KlineChainLinked Model หรือ The Chain-Linked กระบวนการในการถ่ายทอดเทคโนโลยีตามแบบจำลองนี้ เริ่มต้นด้วย การระบุความต้องการของตลาดหรือผู้ใช้ (ที่ยังไม่ได้รับความตอบสนอง) จากนั้น กำหนดรูปแบบการวิจัย และ ออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ พัฒนากระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์และทำการตลาดหรือจัดจำหน่าย ซึ่งมีกระบวนการตรงกันข้ามกันกับแบบจำลองเชิงเส้นของการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งเริ่มจากการวิจัยพื้นฐาน เพื่อนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาเชิงประยุกต์ ต่อด้วยการผลิต และสุดท้าย คือ การตลาดและการจัดจำหน่าย 2.6 การถ่ายทอดเทคโนโลยีในเศรษฐกิจใหม่ พัฒนาการความก้าวหน้าและการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นแรงส่งที่ทำให้โลกเล็กลงและนำไปสู่ การเข้าสู่โลกแห่งโลกาภิวัตน์รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ซึ่งถ้า พิจารณาจริง ๆ ก็จะพบว่า การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเหล่านี้มีวงจรชีวิต หรือ life-cycle ของเทคโนโลยีที่สั้นลง เรื่อย ๆ เพราะองค์ความรู้ในการพัฒนาเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้เกิดคำถามว่า การถ่ายทอด เทคโนโลยี (Technology Transfer) จากสถาบันการศึกษาหรือแหล่งค้นคว้าวิจัยต่าง ๆ ไปสู่ผู้ประกอบการ ชุมชนหรือสู่การนำไปใช้ประโยชน์น่าจะต้องมีการเปลี่ยนไปและเปลี่ยนแปลงในอัตราเร่งที่พอ ๆ กัน หรือไม่ แรงกดดันของความเร่งนี้ โดยแท้จริงแล้ว มีความกดดันทั้งสองส่วน คือส่วนสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหรือ
หน้า | 2-9 แหล่งค้นคว้าวิจัยต่าง ๆ และทางฝ่ายผู้ประกอบการหรือชุมชน สังคม ที่เป็นผู้นำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ หรือ บริษัทหรือผู้นำเทคโนโลยีมาสู่ตลาดหรือเชิงพาณิชย์(Commercialization) การถ่ายทอดเทคโนโลยีในโลกเศรษฐกิจใหม่ ในปัจจุบันจึงเปลี่ยนไป โดยเน้นและให้ความสำคัญกับการบุกเบิก ความได้เปรียบทางการแข่งขันในคู่แข่งระดับโลก มากกว่าการเพิ่มพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศ (Audretsch, Lehmann & Wright, 2012) ประกอบกับมูลค่าการเพิ่มขึ้นของการลงทุนทางการวิจัยหรือทาง วิทยาศาสตร์ ที่สถาบันการศึกษาต้องลงทุน ทำให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาต้องหาวิธีการเพิ่มรายได้ โดยการทำให้เกิดรายได้หรือผลลัพธ์จากงานวิทยาศาสตร์หรือองค์ความรู้ที่ลงทุนไป (Mowery, 2005) ดังนั้น นัยยะของการถ่ายทอดเทคโนโลยีในโลกเศรษฐกิจใหม่ ก็คือ การนำมืออาชีพทางการศึกษา (Professionals from Academia) และสถาบันวิจัยต่าง ๆ มาให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้ประกอบการธุรกิจให้ได้ โลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นตัวปลุกเร้าให้เราต้องมาให้ความสำคัญมากขึ้นกับ สินทรัพย์ที่ไม่มี ตัวตน (intangible assets) และความรู้ (knowledge) มากกว่าทุนและสินทรัพย์ที่จับต้องได้ อย่างที่เราเคย ให้ความสำคัญ จากการเข้าถึงการเงินและทุนต่าง ๆ มาสู่ทรัพยากรที่ใช้ความรู้เป็นฐาน (knowledge-based resource) และทุนมนุษย์ (human capital) เป็นหลัก ดังนั้นแนวคิด The Entrepreneurial University หรือ แนวคิดการเป็นผู้ประกอบการของมหาวิทยาลัยจึงเกิดขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเป็น ผู้ประกอบการจึงเริ่มต้นโดยใช้ความรู้เป็นฐาน (knowledge-based startups) และการพัฒนาทุนมนุษย์ Clark และ Wright (2007, 2009) อธิบายมหาวิทยาลัยที่สนับสนุนการเป็น สถาบันการศึกษา ประกอบการ (Academic Entrepreneurship) และการถ่ายทอดเทคโนโลยีไว้ว่าจะต้องประกอบไปด้วย 2 บทบาทเสริม (two complementary roles) คือ บทบาทที่ 1 การเป็นสถาบันการศึกษาประกอบการทางตรง (Direct Academic Entrepreneurships) คือการที่มหาวิทยาลัย คือสถานประกอบการมีบทบาทหลักในการ สร้างนวัตกรรมใหม่ ที่นำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และบทบาทที่ 2 คือการเป็นสถาบันการศึกษา ประกอบการทางอ้อม (Indirect Academic Entrepreneurships) ซึ่งการศึกษาและประสบการณ์การวิจัยอาจ นำไปสู่การมีกิจกรรมประกอบการ เช่น การแยกออกไปตั้งบริษัท (spin-offs) หรือ เป็นผู้ประกอบการใหม่ โดย ตัวศิษย์เก่าหรือนักศึกษา ซึ่งทั้งสองบทบาทนี้จะสนับสนุนการเป็นสถาบันการศึกษาประกอบการของ มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาในโลกเศรษฐกิจใหม่ อย่างไรก็ตามการที่สถาบันการศึกษาจะเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ได้คิดค้น พัฒนา หรือผลิตองค์ความรู้ และเทคโนโลยี ขึ้นมาเอง โดยผ่านการเป็น Academic Entrepreneurship หรือ การเป็นสถาบันการศึกษา ประกอบการ ตามแนวคิดที่ได้อธิบายมาแล้ว อาจจะยังไม่เพียงพอในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สิ่งที่จะต้องมีคือ การเพิ่มขึ้นของเครือข่ายทางสังคม (Social Networks) และประสบการณ์กับความร่วมมือ กับภาคอุตสาหกรรม ทั้งในเชิงปริมาณและในเชิงคุณภาพ การเพิ่มขึ้นของเครือข่ายและความร่วมมือกับ ภาคอุตสาหกรรมนี้มีบทบาทสำคัญในองค์ความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Siegel et al., 2003) การเพิ่มขึ้น ของเครือข่ายทางสังคม หรือ Social Networks นี้ความสำคัญมาก เพราะมีส่วนช่วยทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Knowledge Flows หรือ การไหลของความรู้ ในขณะที่การสร้างความร่วมมือมีความสำคัญมากต่อการเข้าถึง ตลาดที่ใหญ่ขึ้นของโลก
หน้า | 2-10 2.7 การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม จากบทบาทที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นของสถาบันการศึกษาในโลกเศรษฐกิจใหม่ ในบทบาทของการเป็น มหาวิทยาลัยประกอบการและการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Entrepreneurial Universities and Technology Transfer) แน่นอนบทบาทของมหาวิทยาลัยยังคงมีความโดดเด่นในการค้นคว้าหาความรู้ ตามบทบาทดั้งเดิม แต่ในการเป็นสถาบันการศึกษาที่เรียกตัวเองว่า มหาวิทยาลัยประกอบการและการถ่ายทอดเทคโนโลยี บทบาทของมหาวิทยาลัยในการศึกษานวัตกรรม (study of innovation) และบทบาทของมหาวิทยาลัยใน ระบบนวัตกรรม (system of innovation) จึงต้องเป็นอีกบทบาทหลักของมหาวิทยาลัยนอกเหนือจากบทบาท ดั่งเดิม ในการทำความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม สามารถทำความเข้าใจได้ ผ่าน แผนผังวิวัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับอุตสาหกรรม ( University-industry relationship evolutionary schema) ของ Bercovitz & Feldman (2006) (ดูแผนภาพที่ 2.1) แผนภาพที่ 2.1 University-industry relationship evolutionary schema ที่มา (Bercovitz & Feldman, 2006) Bercovitz & Feldman (2006) อธิบายกรอบแนวคิดของความสัมพันธ์ไว้ในบทความที่ได้ตีพิมพ์ใน The Journal of Technology Transfer ว่า องค์ประกอบที่สำคัญ 4 กรอบหลัก ๆ ที่มีผลต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ คือ สภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย (University Environment) การดำเนินการ (Transaction) คุณลักษณะ ของบริษัท (Firm Characteristics) และตัวนักวิจัย (Individual Researcher) ในองค์ประกอบสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย (University Environment) ที่ว่านี้คือ ตัวกฎ ระเบียบ แบบแผน ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ว่าเอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับ อุตสาหกรรม หรือไม่อย่างไร ในองค์ประกอบที่สอง คือ การดำเนินงาน (Transaction) ผ่านกลไกการขับเคลื่อน ความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม ได้แก่ 1) กลไกการเป็นผู้สนับสนุนทุนวิจัย (Sponsored Research) ของอุตสาหกรรม 2) กลไกใบอนุญาต (Licenses) ที่ผ่านการอนุญาตให้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของ มหาวิทยาลัย 3) กลไกการจ้างบัณฑิตของมหาวิทยาลัย (Hiring Students) โดยเฉพาะกลุ่มเด็กนักศึกษาที่ทำงาน ในโครงการที่ได้รับสนับสนุนทุนวิจัยของอุตสาหกรรมนั้น ๆ 4) กลไกที่สี่การ spin-off firms หรือการแยกธุรกิจ
หน้า | 2-11 ออกจากมหาวิทยาลัยออกมาอยู่ในส่วนของอุตสาหกรรมเอง และ 5) กลไกการที่เกิดความสัมพันธ์ตามโอกาส หรือโชคช่วย (Serendipity) ต่อมาในส่วนองค์ประกอบที่สาม คือ ตัวของนักวิจัยเอง (Individual Researcher) ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจ ของการถ่ายทอดองค์ความรู้ มีส่วนในการทำให้เกิดกระบวน การนำไปสู่การตลาดหรือเชิงพาณิชย์ (Commercialization) แต่ก็มีความท้าทายที่จะกระตุ้นให้นักวิจัย โดยเฉพาะนักวิจัยในมหาวิทยาลัยได้มีการ ถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อไปขับเคลื่อนในเชิงพาณิชย์ ซึ่ง Thursby & Thursby (2002) ได้อธิบายไว้ 3 เหตุผลว่า ทำไมอาจารย์มหาวิทยาลัย เลือกที่จะไม่ร่วมในกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้คือ เหตุผลแรก คณาจารย์ที่มีความ เชี่ยวชาญในการวิจัยขั้นพื้นฐาน (Basic Research) อาจจะไม่ต้องการเปิดตัวเพราะเขาไม่ต้องการจะเสียเวลากับ การประยุกต์ใช้การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) R&D ที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจและ ความยุ่งยากในใบอนุญาตต่าง ๆ เหตุผลที่สอง ตัวคณาจารย์เองไม่อยากเปิดเผยงานที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมา ซึ่งการ ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่อุตสาหกรรมไปแล้ว อาจจะทำให้การตีพิมพ์เผยแพร่ไม่ได้ หรือมีปัญหากับการตีพิมพ์ เผยแพร่ และเหตุผลที่สามที่คณาจารย์กลุ่มนี้ไม่อยากจะเปิดเผยเทคโนโลยีที่ตนเองคิดค้น เพราะเชื่อว่า กิจกรรม ทางธุรกิจไม่เหมาะสมสำหรับนักการศึกษาหรือนักวิทยาศาสตร์ จากเหตุผลที่กล่าวมา ก็จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เกิด จากมุมมองที่คณาจารย์ยังยึดเอาการตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการเป็นตัวหลักของงานมากกว่าการถ่ายทอดสู่ อุตสาหกรรม ในองค์ประกอบที่สำคัญกรอบสุดท้าย คือ คุณลักษณะของตัวองค์กรอุตสาหกรรม (Firm Characteristics) ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณลักษณะหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น วัตถุประสงค์ขององค์กร ขนาดและ ความสามารถขององค์กร แหล่งที่ตั้ง หรือแม้แต่คุณลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมนั้น ต่างก็มีผลต่อ ความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม จากที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่ากรอบ แนวคิดของการจะทำให้เกิดการเปลี่ยนไปของความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรมนั้น จะต้อง อาศัยหลายองค์ประกอบ และต้องมีการขับเคลื่อนทั้งองคาพยพ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัย และอุตสาหกรรม ที่จะนำไปต่อยอดและนำไปใช้ต่อไป เพื่อทำให้มหาวิทยาลัยมีฐานของโครงสร้างพื้นฐานของ องค์ความรู้ในนวัตกรรม 2.8 บทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะโครงสร้างพื้นฐานขององค์ความรู้ในระบบนวัตกรรม จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า มหาวิทยาลัยมีบทบาทอย่างมากในโลกเศรษฐกิจใหม่ และโดยเฉพาะบทบาท ที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ หรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อ นำไปสู่การตลาดและการนำไปใช้ มหาวิทยาลัยถือได้ว่าเป็นแก่นกลาง (a central element) ของระบบ นวัตกรรมในพื้นที่หรือในภูมิภาค การที่มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์รวมการคิดค้นองค์ความรู้และกระจายองค์ความรู้ มหาวิทยาลัยจะมีส่วนอย่างมากในการมีส่วนร่วมกับการพัฒนาในพื้นที่หรือในภูมิภาค และร่วมกับภาคีเครือข่าย หรือกลไกการพัฒนาเชิงพื้นที่อื่นในการร่วมสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม อย่างไรก็ตามการมี ส่วนร่วมที่ว่านี้มีความท้าทายของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปที่มหาวิทยาลัยเองจะต้องต่อสู้ ดังต่อไปนี้ • การเปลี่ยนไปของบทบาทการให้การศึกษาที่เปลี่ยนจากกลุ่มเฉพาะ (ที่มีฐานะ หรือเฉพาะที่สามารถ เข้าเรียนได้) มาเป็นอุดมศึกษาขนาดใหญ่ (Delanty, 2002) • การเปลี่ยนไปของระบบทุน (funding regimes) และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และการ เพิ่มประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัย (Shattock, 2003) • การเปลี่ยนไปของการใช้เทคโนโลยีในการศึกษาและวิจัย การเกิด the “Virtual” University (Robins และ Webster, 2002) • การเกิดวิกฤติความชอบธรรมในบทบาททางการศึกษาและความเป็นตัวตนและการกล่าวอ้าง (ของ มหาวิทยาลัย) ในการผูกขาดความรู้และการเรียนรู้ (Barnett และ Griffin, 1997)
หน้า | 2-12 • การเปลี่ยนไปของระบบการผลิตองค์ความรู้ (changing in the regime of “knowledge production”) (Gibbons และคณะ, 1994) • การเพิ่มขึ้นของการตระหนักรู้ของมหาวิทยาลัยในฐานะการมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ (Goddard และ Chatterton, 1999) ในการพัฒนาภูมิภาค หรือในการพัฒนาพื้นที่ จริง ๆ แล้วถ้ามองในมุมบทบาทหรือปัจจัยดั้งเดิมของ มหาวิทยาลัย ตัวมหาวิทยาลัยเองก็มีความสำคัญอยู่แล้ว ทั้งในแง่ของการวิจัยและการผลิตกำลังคน แต่บทบาท ใหม่ที่เราพูดถึง คือ บทบาทของโครงสร้างองค์ความรู้ในฐานะปัจจัยสำคัญในการพัฒนา ซึ่ง Charles (2006) ได้ อธิบายมิติของการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาภูมิภาคโดยเฉพาะเน้นนวัตกรรม ไว้ว่า ในการมองความรู้ (knowledge) อาจจะสามารถมองได้หลายมิติ ได้แก่ ความรู้ในฐานะสินค้าทั่ว ๆ ไป (Knowledge as a Commodity) ความรู้ในฐานะทุนมนุษย์(Knowledge as human capital) และความรู้ในฐานะทุนทางสังคม (Knowledge as social capital) ความรู้ในฐานะสินค้าทั่วไป (Knowledges as a commodity) ในมิตินี้ มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งของ ความรู้ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ได้ ผ่านการอนุญาต หรือการก่อตั้งธุรกิจใหม่ ในตัวแบบนี้ มหาวิทยาลัยอยู่ในฐานะเจ้าของและควบคุมสินทรัพย์ทางปัญญาเหล่านี้ จึงมีคำถามที่ว่า แล้วใคร เป็นผู้จ่าย และใครจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ จากหลาย ๆ กรณี ที่องค์ความรู้เหล่านี้มาจากระบบการสนับสนุนทุน ของสาธารณะ (a system of public funded) ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ก็น่าจะมองได้ว่า ความรู้ที่ได้มานั้น เป็นสินค้า สาธารณะ (public good) ที่แน่นอนดูขัดกับความต้องการนำไปสู่การตลาดหรือเชิงพาณิชย์ และท้ายที่สุดได้ ประโยชน์กับภาคเอกชน แม้ว่าองค์ความรู้ที่คิดค้น ให้ความเป็นสาธารณะโดยการตีพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณชนก็ ตาม ความรู้ในฐานะทุนมนุษย์ (Knowledge as human capital) สิ่งนี้น่าจะเป็นมิติองค์ประกอบที่สำคัญ มากในบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจที่เกิดการสร้างและพัฒนาทุนมนุษย์ทั้งที่ผ่านระบบ การศึกษาของนักศึกษา กิจกรรมการฝึกอบรมหรือการบริการวิชาการกับผู้ที่ทำงานแล้ว แน่นอนในกรอบแนวคิด ปัจจุบัน ความรู้ในฐานะทุนมนุษย์ เป็นมากกว่ามิติองค์ประกอบแบบดั้งเดิมที่สร้างทุนมนุษย์ผ่านการให้ การศึกษาอย่างที่เป็นทางการ ซึ่งในปัจจุบันการพัฒนาทุนมนุษย์ได้มีการก้าวข้ามการให้การศึกษาและฝึกอบรม อย่างเป็นทางการ มาสู่การให้ความสำคัญกับ ชนิดของการเรียนรู้ที่ต้องการในทางเศรษฐกิจ (a kind of learning are needed in an economy) (Lundvall และ Johnson, 1994) ซึ่งทั้งคู่ก็เน้นย้ำความสำคัญกับ การเรียนรู้ แบบปฏิสัมพันธ์(interactive learning) เป็นพื้นฐานของนวัตกรรมและการเปลี่ยนไปของการพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้นมหาวิทยาลัยต้องมีมุมมองที่กว้างขึ้นในการเรียนรู้และการมีเครือข่ายความรู้(network knowledge) เพื่อ ช่วยทำให้ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและคนอื่น ๆ มีความสามารถเพิ่มขึ้นในการเป็นส่วนหนึ่งของการ พัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคของตนเอง แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจกันก็คือ เครือข่ายความรู้(network knowledge) ที่ว่านี้ อยู่ในรูปของความรู้ที่มีรูปแบบผสมผสาน (hybrid form knowledge) ไม่มีใครเป็นเจ้าของ โดยสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นสาธารณะหรือภาคเอกชน แต่อยู่ในรูปของหน้าที่ในความร่วมมือที่มีต่อกัน (a sense of duty to others) ซึ่งเครือข่ายความรู้สำคัญมากในการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างกันและกัน ดังที่ Charles (2006) ระบุว่าในการพัฒนาภูมิภาค ภูมิภาคต้องใช้หลักการสร้างองค์ความรู้และความต่อเนื่องในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “knowledge-creating or learning regions” ในมิติสุดท้าย ความรู้ในฐานะทุนทางสังคม (Knowledge as social capital) นอกเหนือจากที่ มหาวิทยาลัยมีส่วนสนับสนุนในความสำเร็จของพื้นที่ในทางตรงที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มหาวิทยาลัยเองยังมีส่วน สนับสนุนในทางอ้อมอีกด้วย ในมุมทางอ้อมที่ว่านี้ก็คือ มุมมองต่อสังคมและวัฒนธรรมพื้นฐานในการสร้างการ จัดการปกครองในวิถีประชาธิปไตย (Charles, 2006) ในมุมมองนี้มองว่า ความรู้การถ่ายทอดความรู้ และการไหลบ่าของความรู้ช่วยในการสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นในสังคม (Social Trust) และสร้างความร่วมมือ
หน้า | 2-13 เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความไม่สมบูรณ์ และความไม่แน่นอน อันเป็นผลจากการพัฒนา ซึ่งการสร้างรูปแบบ ความร่วมมือ ตัวมหาวิทยาลัยเอง โดยดั้งเดิมแล้ว ก็ถูกมองว่าเป็น “พลเมือง civic” ที่สามารถมีบทบาทสำคัญใน การสร้างวัฒนธรรมและวิถีการเมืองที่จะกำหนดระดับความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมในแต่ละ ภูมิภาค จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้นดังจะเห็นได้ว่า มิติของความรู้ที่ส่งผ่านความเป็นสถาบันการศึกษา ส่งผลให้ สถาบันการศึกษามีสถานะเป็นแก่นกลางหรือโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนานวัตกรรมในภูมิภาค หรือที่เรียกว่า Universities as Key Knowledge Infrastructure in Regional Innovation System 2.9 การไหลบ่าของความรู้ (Knowledge Flow) และการสร้างความรู้ การปฏิบัติการในการบริหารงานบุคคล (HRM) ที่เฉพาะเจาะจง ทำให้เกิด การไหลเวียนของความรู้ ระหว่างบุคลากรภายในองค์กร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว อาจถึงผลกระทบต่อการจัดระเบียบการทำงาน เช่น การทำงานเป็นทีมหรือการหมุนเวียนงาน (Collins and Smith, 2006; Smith et al., 2005) หรือก่อให้เกิด พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน (Schuler & Jackson, 1987) ซึ่งการ ทำงานเป็นทีม ช่วยอำนวยความสะดวกในการบูรณาการความรู้ที่มีอยู่ โดยการกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สมาชิกในทีม คุณภาพและความเข้มข้นของปฏิสัมพันธ์ที่สูงขึ้น สามารถเพิ่มการใช้ประโยชน์และการรวมกันของ ความรู้ที่มีอยู่ และส่งผลให้เกิดนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น การแบ่งปันความรู้ในทีม ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่ เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการพัฒนาองค์กรด้วย ส่วนการหมุนเวียนงาน ช่วยเพิ่มการกระจายความรู้ข้ามสายงานและข้ามแผนก รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการ ให้บุคลากรที่จะแบ่งปันความรู้ ได้เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจคำศัพท์ที่แตกต่างกันไป ส่งผลให้บุคคลเหล่านี้ สามารถรับบทบาทการบูรณาการในทีมของตนได้ (Crawford & Lupine, 2013) และนำไปสู่การสร้างความรู้ได้ การสร้างความรู้มีหลายรูปแบบ o รูปแบบแรกของการสร้างความรู้ (Knowledge Creation) เหมาะสำหรับองค์กรขนาดเล็กที่มีการปฏิบัติในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่มากนัก (Weak dynamic environment) องค์ประกอบหลักของรูปแบบนี้ คือ คลังความรู้ (Knowledge stock) ซึ่ง ประกอบด้วยความรู้ และทักษะที่จำเป็นสำหรับทั้งการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ และปฏิบัติตามวิถีทาง เทคโนโลยีที่มีอยู่ (Gatignon et al., 2004) คลังความรู้จะประกอบด้วยความรู้และทักษะชุดเล็ก ใน สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนานวัตกรรมอยู่ ตลอดเวลา ดังนั้น ความจำเป็นในการทำให้ความรู้เข้มข้นมีการแพร่กระจายหรือไหลเวียน องค์กรที่มีขนาดเล็ก การประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติด้วยการบริหารงานบุคคลอย่างเป็นทางการเพื่อกระตุ้นให้เกิดกระแสความรู้ดังกล่าวจึง ไม่จำเป็น ดังนั้นลักษณะดังกล่าวนี้ จึงเป็นการสร้างนวัตกรรมจากทักษะและทุนมนุษย์ของบุคลากร และมี โครงสร้างขององค์กร ที่ให้ทั้งความยืดหยุ่นและการแบ่งปันความรู้ (Focus & Camison, 2016) o รูปแบบที่สองของการสร้างความรู้ ใช้กับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก เช่นเดียวกับ รูปแบบแรก แบบนี้มีคลังความรู้เป็นองค์ประกอบหลักเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การมีคลังความรู้ขนาดใหญ่ เพราะองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ขนาดขององค์กรอาจเป็นตัวขัดขวาง ทำให้ใช้ความรู้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อเทียบกับองค์กรขนาดเล็ก นอกจากนี้แล้ว องค์กรขนาดใหญ่ยังมีต้นทุนการประสานงานที่สูงกว่า รวมทั้งมี ความยืดหยุ่นน้อยกว่า ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการเชื่อมต่อทรัพยากรต่าง ๆ ที่กระบวนการนวัตกรรม องค์กร ทำให้เป็นอุปสรรคในการสร้างนวัตกรรม ดังนั้น องค์กรจึงควรมีระบบการบริหารงานบุคคล HRM ที่ส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างแหล่งความรู้ที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่องค์กรขนาดใหญ่สามารถกระตุ้นให้เกิดการไหล บ่าของความรู้เพื่อแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้
หน้า | 2-14 o รูปแบบที่สาม ใช้กับองค์กรที่มีขนาดเล็กที่มีการดำเนินงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นพลวัตสูง ระบบคลังความรู้ Knowledge Stock ขององค์กรลักษณะนี้มีความแตกต่างจากทั้ง 2 รูปแบบที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้เป็นอย่าง มาก สภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ต้องการการไหลเวียนของความรู้ที่แข็งแกร่ง การ ตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดหรือสังคม ดังนั้น การบริหารงานบุคคลที่มีความสามารถใน การกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของความรู้ที่แข็งแกร่ง จึงเป็นองค์ประกอบหลักของระบบนี้คลังความรู้ ยังเป็นส่วนสำคัญของระบบนี้ เนื่องจากองค์กรต่าง ๆต้องการความรู้ที่เพียงพอ เพื่อสร้างการรวมตัวของความรู้ ใหม่ แต่หากไม่มีคลังความรู้ดังกล่าว องค์กรก็ยังสามารถใช้แนวปฏิบัติด้านการบริหารงานบุคคล (HRM) ได้ แต่การไหลบ่าของความรู้ (Knowledge Flow) มีทั้งความรู้ที่ไม่เพียงพอหรือความรู้ที่มีความคล้ายคลึงกัน มาก ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการทำให้เกิดการรวมกันใหม่ของความรู้ o รูปแบบที่สี่ ใช้กับองค์กรที่มีขนาดใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบ Dynamic เช่นเดียวกันกับ ประเภทที่ 3 องค์ประกอบหลักของรูปแบบนี้คือ การไหลบ่าของความรู้ (Knowledge Flow) ซึ่งภายในองค์กร จะเกิดการไหลเวียนของความรู้ได้ จำเป็นต้องอาศัยทุนมนุษย์ในองค์กร อีกทั้งทุนมนุษย์จะเป็นผู้สร้างคลังความรู้ หากองค์กรมีแนวปฏิบัติในการบริหารงานบุคคลที่ดีที่ทำให้เกิดการกระจายความรู้จากคลังความรู้ที่มีอยู่ใน องค์กร จะช่วยให้องค์กรเอาชนะความซับซ้อนขององค์กรได้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงหน่วยงาน หรือส่วนงานต่าง ๆขององค์กร อันจะนำไปสู่การเกิดการไหลบ่าของความรู้ ที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่มี พลวัตสูงขององค์กร ในการวัดนวัตกรรมขององค์กร เรามุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น (Incremental innovation) เมื่อ เทียบกับนวัตกรรมประเภทอื่น ๆ นวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นนี้ มีความสอดคล้องสูงสุดกับระบบคลังความรู้ (Knowledge Stock) ในการสร้างนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยแหล่งความรู้ที่มีอยู่ขององค์กรมากกว่าความรู้ใหม่ที่ ป้อนเข้ามา (Handerson and Clank, 1990) อย่างไรก็ตาม กรอบแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบจัดการคลังความรู้(Knowledge Stock) เพื่อให้องค์ความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นมา (Knowledge Creation) สามารถกระจายตัวและถ่ายทอดออกไปสู่ สังคมเพื่อให้ชุดความรู้ด้านต่าง ๆ ถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นจะต้องมีการพัฒนากลไก การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge and Technology Transfer) ที่มีประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจเกี่ยวกับการถ่ายทอดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยี ไม่มีคำนิยามที่ตายตัว แต่ความเข้าใจ โดยทั่วไปเกี่ยวกับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีคือ กระบวนการที่ก่อให้เกิดการลื่นไหลของชุดองค์ ความรู้และเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ผ่านช่องทาง (Channel) ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลหรือระดับองค์กรไปสู่ จุดหมายปลายทางหนึ่ง (Sung & Gibson, 2005) หรือเพื่อให้เกิดการนำเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีหนึ่ง ที่ถูก สร้างขึ้นมาถูกนำไปถ่ายทอด ไปใช้งานผ่านช่องทางหนึ่ง 2.10 ระดับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยทั่วไปแล้ว การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีประกอบด้วย 4 ระดับ (Sung & Gibson, 2005) ได้แก่ ระดับที่ 1 เป็นระดับของการสร้างองค์ความรู้หรือเทคโนโลยี (Creation) ระดับที่ 2 เป็นระดับของการ เผยแพร่ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Sharing) ระดับที่ 3 เป็นระดับของการนำเอาองค์ความรู้และ เทคโนโลยีไปใช้ (Implementation) และระดับที่ 4 เป็นระดับของการพัฒนานวัตกรรมและถ่ายทอดไปยังภาค ธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือสถาบันอื่น ๆ (Innovation/Commercialization) ดังรายละเอียดปรากฏใน แผนภาพที่ 2.2
หน้า | 2-15 แผนภาพที่ 2.2 ระดับของการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่มา: Sung & Gibson (2005) อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่า กรอบแนวคิดระดับของการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ทั้ง 4 ระดับ นี้ มีประสิทธิภาพในการอธิบายกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ในระดับปัจเจกบุคคลและระดับสถาบัน แต่ยังไม่ ครอบคลุมสมบูรณ์มากพอในการอธิบายกระบวนการจัดการและถ่ายทอดองค์ความรู้ในระดับสังคมที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากงานของ Sung และ Gibson (2005) รวมถึง Sung (2010) ละเลยที่จะพิจารณาการออกแบบระบบ หรือกลไกเฉพาะทางที่ใช้ในการจัดเก็บและจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Stock Management System) หากชุดองค์ความรู้และเทคโนโลยีมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน จำเป็นที่จะต้องมีการออกแบบระบบการ จัดการและจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงกับส่วนอื่น ๆ ได้ง่ายเพื่อให้องค์ความรู้และเทคโนโลยีสามารถ ลื่นไหล ถ่ายโอน และถูกนำไปใช้ได้อย่างสะดวก อันนำมาสู่โจทย์ปัญหาสำคัญของงานวิจัยชิ้นนี้ที่ว่า ทำอย่างไร จะสามารถพัฒนาระบบจัดเก็บและจัดการองค์ความรู้ที่มีอยู่ในสังคมให้สามารถใช้งานได้อย่างประสิทธิภาพ ผ่าน ความร่วมมือทั้งในระดับพื้นที่และระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย รวมถึงการวิเคราะห์ระดับความ พร้อมของเทคโนโลยีที่มีอยู่ว่า มีความพร้อมใช้มากน้อยเพียงใด หากไม่พร้อมจะมีกระบวนการหรือวิธีการที่ทำให้ เกิดความพร้อมได้อย่างไร จึงเป็นประเด็นสำคัญในการศึกษาครั้งนี้เช่นกัน การวิเคราะห์ระดับความพร้อมของเทคโนโลยี ระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยี(TRL) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในระดับภูมิภาคและ ระดับชาติของกลุ่มประชาคมยุโรป (EU) เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจในการสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมให้กับหน่วยงานภาครัฐนับตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปัจจุบัน (อ้างอิง) ในปัจจุบัน การจัดกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้มีการจัดกลุ่มมากมาย เช่น เทคโนโลยีเชื้อเพลิง ชีวภาพและเคมีชีวภาพ เทคโนโลยีดิจิตอล เทคโนโลยีการบินและโลจิสติกส์ เทคโนโลยีการแพทย์ครบวงจร เทคโนโลยีหุ่นยนต์ และอื่น ๆ จึงเป็นการจำแนกเทคโนโลยีออกมาได้ครบถ้วนและถูกต้อง แต่สิ่งหนึ่งที่มี ความสำคัญคือ การวิเคราะห์ระดับความพร้อมของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมนั้น ว่ามีระดับความพร้อมในการ นำไปใช้งานหรือถ่ายทอดให้กับชุมชน เอกชนหรืออุตสาหกรรมหรือไม่ โดยเราสามารถมีเครื่องมือในการ วิเคราะห์เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม คือ ระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยี (TRLs) เป็นวิธีการประเมินความ สมบูรณ์ของเทคโนโลยี ซึ่งพัฒนาโดย NASA ในช่วงปี ค.ศ.1970 (Mihaly Heder, 2017) ที่ถูกใช้บริหารจัดการ โครงการหรือโปรแกรมที่นำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ระหว่างนักพัฒนาเทคโนโลยีกับผู้ที่จะนำ เทคโนโลยีไปถ่ายทอดสู่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย และสามารถเปรียบเทียบความพร้อมและเสถียรภาพของ เทคโนโลยีระหว่างเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ซึ่งต่อมาสหภาพยุโรปได้นำแนวคิดนี้มาสร้างเป็นกรอบเครื่องมือ TRL ขึ้น ดังนี้
หน้า | 2-16 - TRL ระดับ 1 หมายถึง หลักการพื้นฐานที่สังเกต (Basic principles observed) - TRL ระดับ 2 หมายถึง กำหนดแนวคิดเทคโนโลยี (Technology concept formulated) - TRL ระดับ 3 หมายถึง การพิสูจน์แนวคิดเชิงทดลอง (Experimental proof of concept) - TRL ระดับ 4 หมายถึง เทคโนโลยีได้รับการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ (Technology validated in lab) - TRL ระดับ 5 หมายถึง เทคโนโลยีได้รับการตรวจสอบในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมในกรณีของเทคโนโลยีที่เปิดใช้งานหลัก (Technology validated in relevant environment, industrially relevant environment in the case of key enabling technologies) - TRL ระดับ 6 หมายถึง เทคโนโลยีแสดงการใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมในกรณีของเทคโนโลยีที่เปิดใช้งานหลัก) Technology demonstrated in relevant environment, industrially relevant environment in the case of key enabling technologies) - TRL ระดับ 7 หมายถึง การสาธิตต้นแบบระบบในสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงาน (System prototype demonstration in operational environment) - TRL ระดับ 8 หมายถึง ระบบสมบูรณ์และผ่านการรับรอง (System complete and qualified) - TRL ระดับ 9 หมายถึง ระบบจริงที่พิสูจน์แล้วในสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงาน การผลิตที่ แข่งขันได้ Actual system proven in operational environment, competitive manufacturing) จากระดับความพร้อมของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมดังกล่าว (TRLs) สามารถแบ่งออกได้ดังนี้ TRL ระดับ 1 ถึง 3 เป็น “การพัฒนาองค์ความรู้และการวิจัยพื้นฐาน” TRL ระดับ 4 ถึง 5 เป็น “ต้นแบบห้องปฏิบัติการ” TRL ระดับ 6 ถึง 7 เป็น “ต้นแบบภาคสนาม” TRL ระดับ 8 เป็น “ต้นแบบภาคสนามที่ผ่านมาตรฐานรับรอง” TRL ระดับ 9 เป็น “เทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์ถูกนำไปใช้งานจริงโดยลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย” แม้ว่าการประเมินระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยี ซึ่งมี 9 ระดับ ดังได้กล่าวไปแล้วข้างต้นจะถูกนำไปใช้ อย่างแพร่หลาย แต่ก็มีข้อวิพากษ์ว่าในโลกของความเป็นจริงแล้ว ระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยีดังกล่าวไม่ได้มี ลักษณะเป็นเชิงเส้นหรือเป็นไปตามลำดับขั้นแบบนั้น แต่กลับมีลักษณะเป็นวัฏจักรและวนซ้ำ (Cyclical and iterative) เทคโนโลยีที่มีระดับความพร้อมอยู่ในระดับ 7 ซึ่งเป็นการสาธิตต้นแบบระบบในสภาพแวดล้อมการ ปฏิบัติงาน แต่กลับจะต้องกลับเข้าไปทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการอีกครั้งก็เป็นได้หรือในกรณีที่เทคโนโลยี บางอย่างมีองค์ประกอบย่อยที่แตกต่างกัน ระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยีขององค์ประกอบย่อยเหล่านั้น อาจจะมีระดับที่แตกต่างกันก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามข้อโต้แย้งเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดที่จะทำให้ TRL ไม่ถูก นำไปใช้อันเนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า TRL จะต้องถูกนำไปใช้ในเชิงนโยบายการวิจัยและนวัตกรรม เช่นการ ตัดสินใจในการสนับสนุนทุนวิจัย และนวัตกรรมมากกว่าที่จะนำไปอธิบายว่า เทคโนโลยีมีกระบวนการพัฒนา อย่างไร อย่างไรก็ตามระดับความพร้อมของเทคโนโลยี(TRL) ยังมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับระดับความ พร้อมของสังคม ดังจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป ระดับความพร้อมของความรู้และเทคโนโลยีทางสังคม (SRL) ระดับความพร้อมของความรู้และเทคโนโลยีทางสังคม (SRL) เป็นแนวทางที่เสนอโดย Innovation Fund Denmark เพื่อประเมินระดับความพร้อมของสังคม ที่มีต่อการยอมรับเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ กระบวนการ
หน้า | 2-17 หรือนวัตกรรม (Bruno, at al,2020) ภายใต้ฐานคิดที่ว่า “เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใด ๆ ก็ตาม รวมถึงนวัตกรรม ทางสังคม จำเป็นที่จะต้องมีการบูรณาการกับสภาพแวดล้อมทางสังคม กล่าวคือ SRL ที่มีระดับสูงเท่าไร ยิ่งมี ความจำเป็นที่จะต้องมีการบูรณาการหรือมีมาตรการเฉพาะกิจบางอย่างในการส่งเสริมให้สังคมชุมชนได้มีการ ยอมรับและปรับใช้ในโลกของความเป็นจริง realistic transition towards societal adaptation SRL ถูกวิเคราะห์ผ่านความพร้อมทางสังคมในการยอมรับวิธีการแก้ไขปัญหา (the readiness of the society to adopt the solution) ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 9 ระดับได้แก่ SRL 1: การระบุความต้องการทั่วไปของสังคมและความเกี่ยวข้องด้านความพร้อม (Identification of the generic societal need and associated readiness aspects) SRL 2: การกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งการกำหนดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ร่วมกันกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา (Formulation of proposed solution concept and potential impacts; appraisal of societal readiness issues; identification of relevant stakeholders for the development of the solution) SRL: 3 ฉันทามติร่วมในแนวทางการแก้ไขปัญหากลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Initial sharing of the proposed solution with relevant stakeholders (e.g. through visual mock-ups): a limited group of the society knows the solution or similar initiatives) SRL 4: ตรวจสอบแนวทางการ แก้ปัญหาโดยการทดสอบ ในพื้นที่นำร่องเพื่อยืนยัน ผลกระทบตามที่ คาดว่า จะเกิดขึ้น และดูความ พร้อมขององค์ความรู้และ เทคโนโลยี (Problem validated through pilot testing n relevant environment to substantiate proposed impact and societal readiness) SRL 5: แนวทางการแก้ปัญหาได้รับ การตรวจสอบ ถูกนำเสนอ แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ เกี่ยวข้อง (Proposed solution (s) validated, now by relevant stakeholders in the area) SRL 6: ผลการศึกษานำไป ประยุกต์ใช้ในสิ่งแวดล้อม อื่น และดำเนินการกับผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียที่ เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะเบื้อง ตันเพื่อให้เกิดผลกระทบที่ เป็นไปได้ (Solution (s) demonstrated in relevant environment and in co-operation with relevant stakeholders to gain initial feedback on potential impact) SRL 7: การปรับปรุงโครงการและ/ หรือแนวทางการพัฒนา การแก้ปัญหา รวมถึงการ ทดสอบแนวทาง การพัฒนา การแก้ปัญหาใหมrใน สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Refinement of project and/or solution and, if needed, retesting in relevant environment with relevant stakeholders) SRL 8: เสนอแนวทางการพัฒนา การแก้ปัญหาในรูปแบบ แผนการดำเนินงานที่ สมบูรณ์ และได้รับการ ยอมรับ (Proposed solution (s) as well as a plan for societal adaptation complete and qualified) SRL 9: แนวทางการพัฒนาและการ แก้ปัญหาของโครงการ ได้รับการยอมรับและ สามารถนำไป ประยุกต์ใช้ได้ กับสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ (Actual project solution (s) proven in relevant environment) ในการศึกษาครั้งนี้ คณะผู้วิจัยในแต่ละภูมิภาค จะร่วมกันกับภาคเครือข่าย พิจารณาและทำการ ตรวจสอบ (Validate) ความพร้อมใช้ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พร้อมใช้ในการพัฒนาพื้นที่ของแต่ละภูมิภาค ของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เข้าใจและวิเคราะห์ได้ว่าคลังความรู้ในประเทศไทย ณ ปัจจุบันนี้มีความพร้อมเท่าใด และมีความในการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือไม่อย่างไร
หน้า | 2-18 วิเคราะห์ฐานข้อมูลที่ปรากฏ ณ ปัจจุบัน การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่สำคัญหรือการสร้าง Engine of Growth ของพื้นที่ใน การยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยลดความเหลื่อมล้ำและความยากจนระดับภูมิภาค และมีการพัฒนา แบบองค์รวม เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่พร้อมจะถ่ายทอดสู่พื้นที่ โดยหนึ่งในการสร้างกลไกที่สำคัญคือ การขับเคลื่อนความรู้ทางตรงสู่ การนำไปใช้ (Direct Channel) ที่ให้พื้นที่สามารถเลือกใช้งานวิจัยและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ ในแต่ละภูมิภาคของประเทศ ให้สามารถเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นแหล่งโอกาสในการพัฒนา ดังนั้น การจัดทำ Knowledge Stock (คลังความรู้) เพื่อรวบรวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งที่มีอยู่หรือ กำลังดำเนินการวิจัยและพัฒนาในแต่ละภูมิภาคที่มีเมืองตั้งอยู่ สร้างเป็นระบบบัญชีข้อมูล (Data Catalog) ของ แต่ละภูมิภาค อาทิ ข้อมูลบุคคล หน่วยงานที่ดำเนินการ วารสาร บทความที่ตีพิมพ์ แพลตฟอร์มต่าง ๆ และชุด ความรู้หรือนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง จะนำไปสู่การจัดทำแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology Roadmap) นำมาวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่โดยใช้ชุดข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนา ระดับท้องถิ่น นำไปสู่การลงทุนในพื้นที่ รวมถึงการจัดทำหลักสูตรและการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Knowledge and Technology Transfer) ในการเสริมและพัฒนาทักษะ เพิ่มความสามารถ ให้บุคลากรขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น รวมทั้งบุคลากรในกลไกการพัฒนาพื้นที่เกิดการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม ในปัจจุบันฐานข้อมูลที่รวมรวบทรัพยากรทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของแต่ละภูมิภาคในประเทศไทย กระจายตัวอยู่ในแต่ละสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย วิทยาลัยชุมชน วิทยาลัยเทคนิค เป็นต้น รวมถึง สถาบันวิจัยต่าง ๆ และไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลเดียว จากการศึกษาในภาพรวมของความสามารถทางการแข่งขัน ของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน กล่าวได้ว่า ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันเทียบเท่านานาประเทศได้ แต่ หากพิจารณาถึงปัจจัยทางตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ที่ เกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา นักวิจัย สิทธิบัตรด้านวิทยาศาสตร์ การเข้าถึงข้อมูลและการใช้ประโยชน์จาก วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างแท้จริงนั้นทำได้ยาก โดยที่ผ่านมาข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวยัง กระจายอยู่ตามแหล่งต่าง ๆ ขาดการรวบรวมฐานข้อมูลทั้งด้านบุคลากร นักวิชาการ นักวิจัย เครื่องมือและ ห้องปฏิบัติการแบบครบวงจรไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน ดังนั้น การที่จะยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน ของประเทศให้มีอันดับที่สูงขึ้นได้ จึงต้องสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนกลไกในการพัฒนาพื้นที่ ในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเต็มสมรรถนะ จากการศึกษาฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่รวมรวบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเข้าไว้ด้วยกันมากที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ คือฐานข้อมูล STDB (Science and Technology infrastructure Databank) (กระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, 2564) คือ ระบบฐานข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นหน่วยงาน รวบรวม “ฐานข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานทางการวิจัย” ทั้งเรื่องของอุปกรณ์และบุคลากร เพื่อเผยแพร่ฐานข้อมูลให้ ประชาชนและทุกภาคส่วนที่สนใจได้ทราบข้อมูลและสามารถนำผลงานงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ อันจะเป็น จุดเริ่มต้นในการเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาระหว่างภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และภาค ประชาสังคมต่อไป การจัดทำฐานข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยรวบรวม ข้อมูลศักยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งบุคลากร นักวิชาการ นักวิจัย เครื่องมือ ห้องปฏิบัติการ ความชำนาญ การใช้ประโยชน์ ฯลฯ ไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน และให้บริการสืบค้น ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันนี้ ฐานข้อมูล STDB เป็นฐานข้อมูลเดียวในประเทศที่ รวมรวบข้อมูลดังกล่าวมาข้างต้นไว้ในแหล่งเดียวกันดังที่แสดงในแผนภาพที่ 2.3 ภาพจากฐานข้อมูล STDB โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หน้า | 2-19 แผนภาพที่ 2.3 ภาพจากหน้าเว็บไซต์ฐานข้อมูล STDB โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ฐานข้อมูล STDB การแสดงผลและการวิเคราะห์ข้อมูลยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถ แสดงในเห็นการระบุตำแหน่ง Knowledge Stock (คลังความรู้) ที่ตรงกับพื้นที่เมือง นอกจากนั้นยังแสดงข้อมูล พื้นฐานทั้งงานวิจัยขั้นพื้นฐานที่ยังไม่พร้อมถ่ายทอด เนื่องจากไม่มีการระบุระดับความพร้อมเทคโนโลยี (Technology Readiness Level-TRL) หรือ ระดับความพร้อมของความรู้และเทคโนโลยีทางด้านสังคม (Societal Readiness Level – SRL) ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ในความสามารถของเทคโนโลยีที่พร้อมถ่ายทอด อย่างไรก็ตามด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสภาพ ปัญหาและความต้องการประกอบแต่ละมหาวิทยาลัยที่อยู่ในแต่ละภูมิภาค มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน การที่แผนที่นำ ทางที่สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาองค์กรในอนาคต และแนวทางการดำเนินการทั้งการพัฒนาบุคลากร พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้มีการตอบสนองความต้องการในการพัฒนาพื้นที่ต่อไป แผนภาพที่ 2.4 ฐานข้อมูลการสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น โครงการการสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น จึงจัดทำฐานข้อมูล Knowledge Stock (คลังความรู้) ที่มีการระบุพิกัดของนวัตกรรมที่พร้อมจะถ่ายทอดให้กับพื้นที่ (Mapping Location) ทำให้สามารถ สร้างแผนที่นำทางในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology Roadmap) นำมาวิเคราะห์
หน้า | 2-20 ศักยภาพของพื้นที่โดยใช้ชุดข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น นำไปสู่การลงทุน ในพื้นที่ดังที่แสดงในแผนภาพที่ 2.4 ฐานข้อมูลการสังเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเทคโนโลยีและ นวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่ ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาระดับท้องถิ่น โดยข้อมูลจากฐานข้อมูล Knowledge Stock (คลังความรู้) นี้จะสามารถแสดงผลจากการระบุตำแหน่งพิกัดของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นในพื้นที่พร้อมทั้งสามารถวิเคราะห์เพื่อแยกองค์ความรู้ว่า มีความพร้อมเทคโนโลยีในระดับที่พร้อมจะ ถ่ายทอดสู่ท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคหรือไม่ ทำให้เกิดแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology Roadmap) ขึ้นเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีนั้นมาก จึงปรับใช้กับบริบทของพื้นที่นั้นใน แต่ละภูมิภาค เพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญออกสู่ภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน โดยมีหุ้นส่วนสำคัญ คือ สถาบันการศึกษาในแต่ละพื้นที่ บทบาทของมหาวิทยาลัยไม่ได้ถูกคาดหวังเพียงแค่ฐานะเป็นสถาบันที่สร้างความรู้ และผลิตบัณฑิตเท่านั้น แต่มหาวิทยาลัยควรแสดงบทบาทเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงความรู้สู่การพัฒนาพื้นที่ และร่วมกับภาคส่วนอื่น ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมในการพัฒนา พื้นที่และการพัฒนาเมือง มหาวิทยาลัยจึงเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาค ซึ่งถูกตั้งขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นโครงสร้างพื้นฐานขององค์ ความรู้ในการพัฒนานวัตกรรมของแต่ละภูมิภาค และเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้เป็นฐาน (Knowledge Based Economic Development) 2.11 แผนที่นำทางการพัฒนาเทคโนโลยี (Technology Roadmap) การจัดทำแผนที่นำทางการพัฒนาเทคโนโลยี (Technology Roadmap) คือ กระบวนการที่นิยมสำหรับ การวางแผนและการจัดสรรทรัพยากรสำหรับการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยที่องค์ประกอบและ โครงสร้างมีความสัมพันธ์ในแต่ละช่วงระยะเวลา ในกระบวนการวิเคราะห์จะมีขั้นตอนการประเมินทางเชิงกล ยุทธ์และเลือกเทคโนโลยีเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งผลที่ได้จากการจัดทำแผนที่นำทางนั้นจะถูกสรุป และนำไปสื่อสารให้ดำเนินการสอดคล้องกับธุรกิจหลัก ส่งผลให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างการวิจัย การพัฒนา โครงการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เข้ากับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย (ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี, 2561; DeGregorio, 2000; Kostoff & Schaller, 2001) แผนที่นำทางมิใช่เป็นเพียงแค่การวางแผน แต่ยังเป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ของผู้บริหารองค์กร (Vision) เกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรในอนาคตและแนวการดำเนินงาน โดย Kim and Park (2004) มองว่า แผนที่นำทาง เป็นกระบวนการที่สนับสนุนด้านการสินใจเชิงกลยุทธ์ ในขณะที่ Groenveld (1997) มองว่า แผนที่นำทางเป็น กระบวนการที่บูรณาการระหว่างการบริหารธุรกิจและการจัดการเทคโนโลยี แผนที่นำทางเทคโนโลยีโดยส่วนใหญ่แสดงในรูปแผนภูมิลักษณะต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความ เข้าใจ สะดวกต่อการสื่อสารภายในองค์กร และสามารถเสนอมุมมองการคาดการณ์ศักยภาพการเจริญเติบโตของ องค์กรในอนาคตได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่รูปแบบของแผนที่นำทางที่นิยมใช้กันมากที่สุดจะเป็นรูปแผนภูมิลำดับชั้น (Hierarchy diagram) ดังปรากฎในแผนภาพที่ 2.5 แสดงโครงสร้างพื้นฐานของแผนที่นำทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแผนภูมิลำดับชั้น 2 มิติ ประกอบด้วย แกนแนวตั้งของ Roadmap ประกอบด้วยหลายชั้นสามารถปรับ เพื่อให้กรอบของการพิจารณาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ส่วนแกนนอนคือ กรอบเวลา ซึ่งช่วงเวลาใน การนำเสนอขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาวงจรชีวิตของเทคโนโลยี (Technology lifecycle) กระบวนการ Technology Roadmap เริ่มต้นจาก การพิจารณาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปัจจัย ภายนอกทั้งทางด้านสังคม (Social) เทคโนโลยี (Technology) เศรษฐกิจ (Economic) สิ่งแวดล้อม (Environmental) และ การเมือง (Politic) (โดยใช้ตัวแบบที่เรียกว่า STEEP) โดยประเมินผลกระทบของปัจจัย ดังกล่าวต่อโอกาสด้านการตลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากแผนภาพที่ 2.5 จะเห็นได้ว่า ปัจจัย D2 และ D3 เป็นปัจจัยที่นำไปสู่โอกาสทางด้านการตลาด M2 เมื่อทราบถึงโอกาสทางการตลาดแล้วก็มาพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์
หน้า | 2-21 หรือบริการที่บริษัทหรือสถาบันการศึกษาจะต้องพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่จะเกิดขึ้นใน ตลาด M2 ซึ่งจากแผนภาพที่ 2.5 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็คือ P2 และการที่บริษัทจะผลิต P2 ออกมาได้นั้น จำเป็น จะต้องมีเทคโนโลยี T2 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตเดิม T1 โดยผ่านกระบวนการ RD1 กับเทคโนโลยีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาทั้งทางด้านรูปแบบ และวัสดุที่จะนำมาใช้ โดยผ่านกระบวนการ RD2 จากนั้นจะต้องมีการวิจัย RD3 เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีการ ผลิตซึ่งปรับปรุงขึ้นมาใหม่นั้นสามารถจะนำมาใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ แผนที่นำทางจะแสดงถึงการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ (Resource allocation) ทั้งในด้าน ทรัพยากร บุคคล (Human resource) เงินทุน (Capital investment) ความรู้และความสามารถ (Knowledge and Skills) ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่จะต้องนำมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายโอกาสทางตลาด (M2) แผนภาพที่ 2.5 แสดงรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานของแผนที่นำทางเทคโนโลยี1 อย่างไรก็ตามแผนที่นำทางการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำเสนอนี้ เป็นเพียงรูปแบบพื้นฐานซึ่งทางองค์กร สามารถดัดแปลงให้แตกต่างกันไปเพื่อความเหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม ธุรกิจ ความต้องการ และ วัตถุประสงค์ของการทำแผนที่นำทางเทคโนโลยีนั้น ๆ (Gerdsri, Puengrusme, Vatananan, & Tansurat, 2019) วิธีการและขั้นตอนในการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในองค์กรหรือหน่วยงานแบ่ง ได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1 ที่มา: Vatananan, R. and Gerdsri, N. (2012). Current State of Technology Roadmapping (TRM): Research and Practice, Int'l Journal of Innovation and Technology Management, Vol. 9, No. 4, pp.1250032(1-20)
หน้า | 2-22 (1) กำหนดเป้าหมายการพัฒนาองค์กรหรือหน่วยงาน วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ของพื้นที่ อุตสาหกรรม หรือธุรกิจ รวมทั้งปัจจัย ขับเคลื่อนที่สำคัญทั้งในด้านสังคม (Social) ด้านเทคโนโลยี(Technology) ด้านเศรษฐกิจ (Economic) ด้าน สิ่งแวดล้อม (Economic) และด้านนโยบายการเมืองและกฎระเบียบต่าง ๆ (Politic) และผลกระทบทั้งด้านบวก และลบต่อพื้นที่ อุตสาหกรรม หรือธุรกิจ พิจารณาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมโดยลดผลกระทบด้านลบและ เสริมสร้างโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ รวมทั้งวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความท้าทายขององค์กรหรือหน่วยงานต่อการพัฒนาองค์กรหรือหน่วยงาน โดยใช้กระบวนการ SWOT Analysis แล้วจึงกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic targets) ของการพัฒนาเทคโนโลยีและ นวัตกรรมใหม่ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและศักยภาพขององค์กรหรือหน่วยงาน แผนภาพที่ 2.6 วิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อนและผลกระทบของปัจจัยขับเคลื่อน แผนภาพที่ 2.7 SWOT Analysis และกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ (2) กำหนดสิ่งที่ต้องพัฒนา เช่น สินค้า บริการ กระบวนการผลิต รูปแบบธุรกิจ หรือเทคโนโลยีและ นวัตกรรมเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งพิจารณาองค์ประกอบพื้นฐานและ จัดลำดับความสำคัญของเทคโนโลยียานยนต์ที่เกี่ยวข้องโดยใช้เกณฑ์ (Criteria) ที่สำคัญสองส่วนคือ การสร้าง มูลค่าเพิ่มและศักยภาพในการแข่งขัน จากนั้นจึงกำหนดระยะเวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ เหมาะสมกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์
หน้า | 2-23 แผนภาพที่ 2.8 การจัดลำดับความสำคัญของเทคโนโลยี (สินค้าและบริการ) แผนภาพที่ 2.9 เกณฑ์ในการจัดลำดับความสำคัญโดยใช้ หลักการ Multi-criterial Analysis (MCA) (3) วิเคราะห์ประเด็นวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในองค์กรหรือหน่วยงาน วิเคราะห์ช่องว่างทางเทคโนโลยี (Technology gap) ของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่กำหนด เพื่อวิเคราะห์ประเด็นวิจัยและพัฒนาและการสร้างองค์ความรู้ที่จะช่วยสนับสนุนให้องค์กรหรือหน่วยงานสามารถ บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในขั้นตอนที่ (2) (4) พิจารณาปัจจัยสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในองค์กรหรือหน่วยงาน วิเคราะห์ปัจจัยเอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ตามประเด็นวิจัยที่กำหนดในขั้นตอน ที่ (3) ซึ่งปัจจัยเอื้อดังกล่าวครอบคลุมถึงโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งหลักสูตรที่เหมาะสมกับการพัฒนากำลังคนให้มีองค์ความรู้ที่เหมาะสมในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ดังกล่าว
หน้า | 2-24 แผนภาพที่ 2.10 วิเคราะห์ช่องว่างทางเทคโนโลยีและกำหนดปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี แผนภาพที่ 2.11 กรอบแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี2 กรณีตัวอย่าง: แผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่3 ปัจจัยขับเคลื่อนและเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่นั้น มีแรงผลักดันที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้น โดยมีตัวขับเคลื่อน (Drivers) อาทิ ด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศของโลก (Climate change) ซึ่งมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากหลายแหล่งซึ่งหนึ่งในนั้นคือภาคการขนส่ง ทำให้หลายประเทศได้ มีการตั้งเกณฑ์การปลอดปล่อย CO2 ของรถใหม่ที่ลดลงเรื่อย ๆ ตัวขับเคลื่อนด้านมลพิษทางอากาศ ทำให้มีการ ใช้กฎระเบียบข้อบังคับมลพิษทางอากาศของยานยนต์ (Emission control regulation) เช่น ปริมาณ PM NOx เป็นต้น ที่มีความเข้มงวดสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และอีกตัวขับเคลื่อนหนึ่งที่มีผลต่อยานยนต์สมัยใหม่อย่างมาก คือ เรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (Road safety) ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดปัจจัยการเกิด 2 ที่มา: โครงการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรายอุตสาหกรรมเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่มุ่งสู่ยุค 4.0 3 ที่มา: โครงการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-generation Automotive) เพื่อรองรับ ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่มุ่งสู่ยุค 4.0
หน้า | 2-25 อุบัติเหตุลง และเรื่องเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) ที่เข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม ยานยนต์ในหลายด้าน เช่น ด้านธุรกิจการตลาดและการผลิตยานยนต์และระบบสาระบันเทิงและการสื่อสาร ระหว่างรถยนต์และสรรพสิ่ง (Infotainment and communications) นอกจากนั้น ปัจจัยด้านนโยบายของ ภาครัฐ เช่น นโยบายด้านอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง มาตรการด้านภาษีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ก็ เป็นปัจจัยสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ จากตัวขับเคลื่อนต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายหันไปพัฒนาเทคโนโลยีที่มีการปลดปล่อย มลพิษทางอากาศ และ CO2 ที่ลดลง เช่นยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์ที่มีระบบอัจฉริยะที่ช่วยให้สามารถขับขี่ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และสามารถเชื่อมต่อกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เช่น มีระบบตรวจจับข้อมูล การขับขี่เพื่อนำไปปรับปรุงด้านการใช้พลังงานและความปลอดภัย ระบบเชื่อมต่อระหว่างยานยนต์และสรรพสิ่ง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้หลีกเลี่ยงการเกิด อุบัติเหตุได้ และระบบขับขี่อัตโนมัติที่จะเข้ามาขับรถแทนคนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของการเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น จากแนวโน้มการพัฒนายานยนต์สมัยใหม่นี้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ใน อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอย่างมาก ทำให้เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์และ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศสามารถหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง (Middle-income trap) ใน อนาคต จากปัจจัยขับเคลื่อนดังกล่าวข้างต้น อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจำเป็นต้องมีการปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีให้ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในอนาคต แผนที่นำทางการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยาน ยนต์สมัยใหม่ได้กำหนดเป้าหมายกลยุทธ์ (Strategic Target) ของอุตสาหกรรมไว้เป็น 3 ระยะ ระยะสั้น (1-3 ปี) ระยะกลาง (3-5 ปี) และระยะยาว (5-10 ปี) โดยมีรายละเอียดเป้าหมายแต่ละระยะดังนี้ • เป้าหมายระยะสั้นคือ ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีมูลค่าสูงโดยเน้นไปที่ การเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของผู้ประกอบการไทย • เป้าหมายระยะกลางคือ ผู้ประกอบการไทยสามารถเป็น System Integrator ชิ้นส่วนยาน ยนต์ในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพของ ผู้ประกอบการไทยทั้งที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และจากอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีในยานยนต์สมัยใหม่ • เป้าหมายระยะยาวคือ ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญในระดับ นานาชาติของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการผลิตชิ้นส่วนหรือ กระบวนการผลิตชิ้นส่วนที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรม แผนภาพที่ 2.12 ปัจจัยขับเคลื่อนและเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
หน้า | 2-26 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่แบ่งตามกลุ่มเทคโนโลยียานยนต์ที่ มีศักยภาพตามการจัดลำดับความสำคัญได้ 5 กลุ่ม ได้แก่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ใน ยานยนต์ (Electronics) ตัวถัง (Body) ช่วงล่าง (Chassis) ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV Parts) และระบบประจุ ไฟฟ้า (Chargers) ดังแสดงใน แผ่นภาพที่ 2.13 รายละเอียดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานเพื่อบรรลุ เป้าหมายของแผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีในแต่กลุ่มมีรายละเอียดดังนี้ แผนภาพที่ 2.13 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics and Software) แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์และ ซอฟต์แวร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics and Software) แสดงได้ดังรูป ประกอบด้วยเป้าหมาย (Strategic Target) ตัวขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย (Drivers) และการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะ สั้น (1-3 ปี) ระยะกลาง (3-5 ปี) และระยะยาว (5-10 ปี) โดยมีรายละเอียดเป้าหมายแต่ละระยะดังนี้ • เป้าหมายระยะสั้น คือ ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีมูลค่าสูง โดยเน้นไปที่ การเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมระบบอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ในยานยนต์ ในชิ้นส่วน ระดับ Tier 2 ของเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advances Driver Assistance System: ADAS) และระบบสาระบันเทิงและการสื่อสารระหว่างรถยนต์และ สรรพสิ่ง (Infotainment and communications) • เป้าหมายระยะกลาง คือ ผู้ประกอบการไทยสามารถเป็น System Integrator ชิ้นส่วนยานยนต์ใน อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยให้ความสำคัญกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advances Driver Assistance System: ADAS) ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับขั้นที่ 3 (Level-3 Autonomous driving system) ระบบเซ็นเซอร์ที่เกี่ยวข้อง และ ระบบสาระบันเทิงและการสื่อสารระหว่างรถยนต์ และสรรพสิ่ง (Infotainment and communications) • เป้าหมายระยะยาว คือ ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญในระดับนานาชาติ ของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จะให้ความสำคัญกับ ระบบขับขี่อัตโนมัติในระดับขั้นที่ 3 และ สูงกว่า เช่น ระดับขั้นที่ 4 และระบบสาระบันเทิงและการสื่อสารระหว่างรถยนต์และสรรพสิ่ง (Infotainment and communications) ที่ตอบสนองต่อรูปแบบธุรกิจและสังคมในอนาคต
หน้า | 2-27 แผ่นภาพที่ 2.14 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในกลุ่ม ระบบอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics and Software) แนวทางการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Program) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development) ซึ่งในแต่ละส่วนมีรายละเอียด ดังนี้ • เป้าหมายระยะสั้น - โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Program) จะมุ่งเน้น ความสำคัญของการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาในด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถในการออกแบบ และผลิตชิ้นส่วนที่อยู่ในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advances Driver Assistance System: ADAS) และ ระบบสาระบันเทิงและการสื่อสารระหว่างรถยนต์และสรรพสิ่ง (Infotainment and communications) ซึ่ง ต้องการงานวิจัยในด้าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์และเซ็นเซอร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics & Sensors) ซอฟต์แวร์ฝังตัวในยานยนต์ (Automotive Embedded Software) เทเลเมติกส์ อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง และ เหมืองข้อมูล (Telematics, IOT and Data Mining) ส่วนต่อประสานระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human Machine Interface: HMI) ระบบพลศาสตร์และการควบคุมยานยนต์ (Vehicle dynamics and control) และ ก า ร เ ช ื ่ อ ม ต ่ อ ร ะ ห ว ่ า ง ย า น ย น ต ์ ก ั บ ส ร ร พ ส ิ ่ ง (Vehicle connectivity, Vehicle-to-Everything communications: V2X) ซึ่งเป็นพื้นฐานนำไปสู่ความสามารถในการพัฒนาและผลิตชิ้นส่วนในระบบช่วยเหลือผู้ ขับขี่ขั้นสูงและระบบสาระบันเทิงและการสื่อสารระหว่างรถยนต์และสรรพสิ่ง ในประเทศได้ - โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านศูนย์ทดสอบ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง และการเชื่อมต่อระหว่างยานยนต์กับสรรพสิ่ง ในห้องปฏิบัติการและในสนาม ทดสอบ - การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development) มุ่งเน้นการพัฒนา บุคลากรวิจัยและยกระดับขีดความสามารถด้านวิศวกรรมยานยนต์และแมคคาทรอนิกส์ ( Automotive & Mechatronic engineering) ซอฟต์แวร์ยานยนต์ (Automotive Software) รวมทั้งพัฒนาด้านชีวกลศาสตร์ และการยศาสตร์ (Biomechanics and ergonomics) ซึ่งมีความสำคัญต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารในด้านต่อ ประสานระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (HMI) และความสะดวกสบายของร่างกาย
หน้า | 2-28 • เป้าหมายระยะกลาง - โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Program) จะมุ่งเน้น ความสำคัญของการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาในด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถในการเป็น System Integrator ของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advances Driver Assistance System: ADAS) ระบบ ขับขี่อัตโนมัติในระดับขั้นที่ 3 (Level-3 Autonomous Vehicle System) และระบบสาระบันเทิงและการ สื่อสารระหว่างรถยนต์และสรรพสิ่ง (Infotainment and communications) ซึ่งต้องการงานวิจัย ดังต่อไปนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานนำไปสู่ความสามารถในการพัฒนาระบบเหล่านี้ในประเทศได้ และสามารถต่อยอดไปสู่การผลิต ชิ้นส่วนที่มีความสำคัญในระบบเหล่านี้ต่อไป - ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advances Driver Assistance System: ADAS) และ ระบบขับขี่อัตโนมัติในระดับขั้นที่ 3 (Level-3 Autonomous Vehicle System) ต้องการงานวิจัยด้าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์และเซ็นเซอร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics & Sensors) ซอฟต์แวร์ฝังตัวในยาน ยนต์ (Automotive Embedded Software) เทเลเมติกส์ อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่งและเหมืองข้อมูล (Telematics, IOT and Data Mining) ส่วนต่อประสานระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human Machine Interface: HMI) ระบบพลศาสตร์และการควบคุมยานยนต์ (Vehicle dynamics and control) การเชื่อมต่อระหว่างยานยนต์กับ สรรพสิ่ง (Vehicle connectivity, Vehicle-to-Everything communications: V2X) พฤติกรรมการขับขี่ของ มนุษย์(Driver behavior)การระบุตำแหน่งและการทำแผนที่ความละเอียดสูงแบบสามมิติในยานยนต์อัตโนมัติ (Localization and 3D HD Map) การควบรวมเซ็นเซอร์หลากหลายชนิดในยานยนต์อัตโนมัติ เช่น กล้อง เรดาร์ และ ไลดาร์ (Sensor fusion camera, radar, LIDAR, etc.) การวางแผนการวิ่งของยานยนต์อัตโนมัติ (Autonomous vehicle path planning) - ระบบสาระบันเทิงและการสื่อสารระหว่างรถยนต์และสรรพสิ่ง (Infotainment and communications) ต้องการงานวิจัยในด้าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์และเซ็นเซอร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics & Sensors) ซอฟต์แวร์ฝังตัวในยานยนต์ (Automotive Embedded Software) เทเลเมติกส์ อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่งและเหมืองข้อมูล (Telematics, IOT and Data Mining) ส่วนต่อประสานระหว่างมนุษย์ และเครื่องจักร (Human Machine Interface: HMI) และ การเชื่อมต่อระหว่างยานยนต์กับสรรพสิ่ง (Vehicle connectivity, Vehicle-to-Everything communications: V2X) - โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านศูนย์ทดสอบ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง ระบบขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่อระหว่างยานยนต์กับสรรพสิ่ง ในห้องปฏิบัติการ และในสนามทดสอบ และมีพื้นที่ทดสอบการใช้งานจริงในสภาวะการใช้งานจริง (Regulatory Sandbox) เพื่อใช้ ทดสอบระบบก่อนการทดสอบจริงในถนนสาธารณะทั่วไป โครงสร้างพื้นฐานถัดไปคือ กฎหมายและระเบียบ ปฏิบัติสำหรับการทดสอบและทดลองใช้งานยานยนต์อัตโนมัติในพื้นที่สาธารณะ (Legal framework for pilot and test in public) ระบบคลาวด์คอมพิวติง (Cloud based Computing) ซึ่งเป็นระบบประมวลผลขนาดใหญ่ บนคลาวด์ และการทดสอบการออกแบบระบบทั้งในระดับ โมเดล ซอฟต์แวร์ และ ฮาร์ดแวร์ ในวงจรการทำงาน (Model, Software, Hardware-in-the-Loop: MIL SIL HIL) - การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development) มุ่งเน้นการพัฒนา บุคลากรวิจัยและยกระดับขีดความสามารถด้าน ด้านวิศวกรรมการออกแบบระบบยานยนต์ (Automotive Systems Engineering) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการออกแบบการบูรณาการระบบในยานยนต์ ด้านวิศวกรรมยาน ยนต์และแมคคาทรอนิกส์ (Automotive & Mechatronic engineering) ซอฟต์แวร์ยานยนต์ (Automotive Software) ด้านชีวกลศาสตร์และการยศาสตร์ (Biomechanics and ergonomics) ซึ่งมีความสำคัญต่อผู้ขับขี่ และผู้โดยสารในด้านต่อประสานระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (HMI) และความสะดวกสบายของร่างกาย และ ด้านปัญหาประดิษฐ์ (Machine Learning, AI) ที่เน้นไปที่การนำไปใช้ในระบบยานยนต์อัตโนมัติและระบบ อัจฉริยะต่าง ๆ ในยานยนต์
หน้า | 2-29 • เป้าหมายระยะยาว มุ่งเน้นการใช้องค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร ทำงาน ร่วมกันในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัย หน่วยวิจัย และภาคเอกชน รวมทั้งยกระดับ ห้องปฏิบัติการ และพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน ยานยนต์ที่สำคัญในระดับนานาชาติของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยเน้นในระบบระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ขั้นสูง (Advances Driver Assistance System: ADAS) ระบบขับขี่อัตโนมัติในระดับขั้นที่ 3 ขึ้นไป (Level-3+ Autonomous Vehicle System) และระบบเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Program) จะมุ่งเน้น ความสำคัญของการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาในด้านที่ต่อยอดการพัฒนาความสามารถในการเป็น System Integrator ในระยะกลาง โดยเน้นพัฒนาชิ้นส่วนที่สำคัญและมีมูลค่าสูง ซึ่งต้องการงานวิจัยดังเช่นในระยะกลาง แต่มีความลึกลงไปของงานวิจัยมากขึ้น เพื่อเป็นพื้นฐานนำไปสู่ความสามารถในการพัฒนาระบบเหล่านี้ใน ประเทศได้ และสามารถพัฒนาและชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญในระดับนานาชาติซึ่งต้องการงานวิจัยด้าน ระบบ อิเล็กทรอนิกส์และเซ็นเซอร์ในยานยนต์ (Automotive Electronics & Sensors) ซอฟต์แวร์ฝังตัวในยานยนต์ (Automotive Embedded Software) เทเลเมติกส์ อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่งและเหมืองข้อมูล (Telematics, IOT and Data Mining) ส่วนต่อประสานระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human Machine Interface: HMI) ระบบ พลศาสตร์และการควบคุมยานยนต์ (Vehicle dynamics and control)การเชื่อมต่อระหว่างยานยนต์กับสรรพ สิ่ง (Vehicle connectivity, Vehicle-to-Everything communications: V2X) พฤติกรรมการขับขี่ของมนุษย์ (Driver behavior) การระบุตำแหน่งและการทำแผนที่ความละเอียดสูงแบบสามมิติในยานยนต์อัตโนมัติ (Localization and 3D HD Map) การควบรวมเซ็นเซอร์หลากหลายชนิดในยานยนต์อัตโนมัติ เช่น กล้อง เรดาร์ และ ไลดาร์ (Sensor fusion camera, radar, LIDAR, etc.) การวางแผนการวิ่งของยานยนต์อัตโนมัติ (Autonomous vehicle path planning) - โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มุ่งเน้นการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้พัฒนาไว้แล้ว และ ปรับปรุงให้ความความทันสมัยและตอบสนองต่อการพัฒนาชิ้นส่วนสำคัญๆได้ - การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development) มุ่งเน้นการต่อยอดการ พัฒนาบุคลากรทีได้ทำไปก่อนหน้าให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น และลงลึกมากขึ้น ตัวถัง (Body) แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในกลุ่มตัวถัง (Body) แสดงได้ดัง แผนภาพที่ 2.14 ประกอบด้วยเป้าหมาย (Strategic Target) ตัวขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย (Drivers) และการ ดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น (1-3 ปี) ระยะกลาง (3-5 ปี) และระยะยาว (5-10 ปี) โดยมี รายละเอียดเป้าหมายแต่ละระยะดังนี้ • เป้าหมายระยะสั้น คือ ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีมูลค่าสูง จะให้ ความสำคัญกับกลุ่มชิ้นส่วนภายนอก (Exterior) เช่น ระบบไฟส่องสว่าง (Lighting) และอุปกรณ์ตกแต่ง (Accessories) • เป้าหมายระยะกลาง คือ ผู้ประกอบการไทยสามารถเป็น System Integrator ชิ้นส่วนยานยนต์ใน อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จะให้ความสำคัญกับกลุ่มวัสดุอลูมิเนียม/วัสดุคอมโพสิต (Aluminum/Composite Material Body) กลุ่มชิ้นส่วนภายใน (Interior) เช่น การตกแต่งชิ้นส่วน (Trimming part) คอนโซล (Console) การบุภายใน (Lining) แสงสว่าง (Lighting) พรม (Mat) พื้น (Floor) และกลุ่มเบาะ รถยนต์ (Seats)
หน้า | 2-30 • เป้าหมายระยะยาว คือ ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญในระดับนานาชาติ ของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จะให้ความสำคัญกับกลุ่มระบบไฟอัจฉริยะ (Adaptive Lighting) และกลุ่ม เบาะนิรภัย (Adaptive/Safety Seat) รวมทั้งการพัฒนาแม่พิมพ์ตัวถังรถยนต์ (Mold & Die for Body) ให้มี ประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มสิทธิภาพกระบวนการผลิต แผ่นภาพที่ 2.15 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ในกลุ่มตัวถัง (Body) แนวทางการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Program) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development) ซึ่งในแต่ละส่วนมีรายละเอียด ดังนี้ • เป้าหมายระยะสั้น - โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Program) จะมุ่งเน้น ความสำคัญของการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาในด้านที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบยานยนต์สมัยใหม่ นำไปสู่การ พัฒนาโปรแกรมการออกแบบยานยนต์ (Automotive design program) การพัฒนาระบบจำลองการดูดซับ พลังงานจากการชน (Simulation for crashworthiness) โดยงานวิจัยด้านวัสดุจะเน้นที่การพัฒนาวัสดุน้ำหนัก เบาและวัสดุคอมโพสิต (Light weight & composite material) ที่สามารถผลิตได้ในประเทศ - โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านศูนย์ออกแบบ ยานยนต์สมัยใหม่ และห้องปฏิบัติการทดสอบ เพื่อสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาของทุกภาคส่วนได้แก่ ศูนย์ ออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ (Auto part product design) ศูนย์ออกแบบการพิมพ์ 3 มิติ (Composite 3D printing) เพื่อใช้ในการออกแบบ ห้องปฏิบัติการทางเครื่องกล (Mechanical testing lab) และห้องปฏิบัติการ ทางเคมี (Chemical testing lab) - การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development) มุ่งเน้นการพัฒนา บุคลากรวิจัยและยกระดับขีดความสามารถด้านวิศวกรรมยานยนต์และแมคคาทรอนิกส์ (Automotive & Mechatronic engineering) ซอฟต์แวร์ยานยนต์ (Automotive Software) รวมทั้งพัฒนาด้านชีวกลศาสตร์ และการยศาสตร์ (Biomechanics and ergonomics) ซึ่งมีความสำคัญต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารในด้านความ คล่องแคล่วและความสะดวกสบายของร่างกาย
หน้า | 2-31 • เป้าหมายระยะกลาง - โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development Program) จะมุ่งเน้น งานวิจัยและพัฒนาวัสดุต่างชนิดกัน (Dissimilar material joining program) และการออกแบบเชิงโมดูล่าร์ (Modular design program) สำหรับยานยนต์สมัยใหม่สามารถเชื่อมต่อกับโมดูลอื่น ๆ ได้ และสลับสับเปลี่ยน กันได้ - โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมด้านห้องปฏิบัติการ ทดสอบอุโมงค์ลมและแอโรไดนามิก (Wind tunnel and aero dynamic lab) ห้องปฏิบัติการทดสอบการดูด ซับพลังงานจากการชน (Crashworthiness testing lab) ห้องปฏิบัติการทดสอบการชน (Crash testing lab) ห้องปฏิบัติการทดสอบทางการยศาสตร์ (Mental and cognitive workload test) รวมทั้งการเตรียมความ พร้อมห้องปฏิบัติสำหรับกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV part) ด้านการทดสอบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ในวงลูป (Software and hardware in-the-loop testing lab) - การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development) ยกระดับขีด ความสามารถบุคลากรด้านการขึ้นรูปวัสดุน้ำหนักเบาวัสดุอื่นที่สามารถใช้งานได้ (Light weight and functional material forming) และยกระดับความสามารถของบุคลากรด้านการคำนวณพลศาสตร์ของไหล (Computational Fluid Dynamics: CFD) ที่มีคุณภาพ • เป้าหมายระยะยาว มุ่งเน้นการใช้องค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร ทำงาน ร่วมกันในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัย หน่วยวิจัย และภาคเอกชน รวมทั้งยกระดับ ห้องปฏิบัติการ และพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน ยานยนต์ที่สำคัญในระดับนานาชาติของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ช่วงล่าง (Chassis) แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในกลุ่มช่วงล่าง (Chassis) แสดงได้ ดังแผนภาพที่ 2.15 ประกอบด้วยเป้าหมาย (Strategic Target) ตัวขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย (Drivers) และการ ดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น (1-3 ปี ) ระยะกลาง (3-5 ปี) และระยะยาว (5-10 ปี) โดยมี รายละเอียดเป้าหมายแต่ละระยะดังนี้ • เป้าหมายระยะสั้น คือ ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีมูลค่าสูง จะให้ ความสำคัญกับกลุ่มล้อ (Wheels) และยาง (Tires) • เป้าหมายระยะกลาง คือ ผู้ประกอบการไทยสามารถเป็น System Integrator ชิ้นส่วนยานยนต์ใน อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จะให้ความสำคัญกับกลุ่มเพลาไฟฟ้า (eAXles) ระบบช่วงล่าง (Suspension module) • เป้าหมายระยะยาว คือ ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญในระดับนานาชาติ ของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จะให้ความสำคัญกับกลุ่มเพลาไฟฟ้า (eAXles) เช่น มอเตอร์ (Motor) เพลา ขับ (Drive shaft) ชุดเฟืองท้าย (Differential) เพลา (Axle) กลุ่มยางประหยัดพลังงาน (Eco-tires) และกลุ่มล้อ น้ำหนักเบา (Wheels)
หน้า | 2-32 แผนภาพที่ 2.16 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ในกลุ่มช่วงล่าง (Chassis) แผนภาพที่ 2.17 แผนที่นำทางการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ในกลุ่มช่วงล่าง (Chassis) (ต่อ)