42| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล กระตุ้นให้นักเรียนเกิดทักษะในการอ่านจับใจความสำคัญช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่อ่านมากขึ้น และเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้นักเรียน เกิดทักษะการอ่าน รู้จักคิดวิเคราะห์และเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ถูกต้องและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ปฏิบัติจนเกิดผลดีต่อชีวิตตนเอง ชีวิตครอบครัวและสังคมโดยรวมได้ กรอบแนวคิดทฤษฎี ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H การตั้งประเด็นถามตอบเพื่อให้นักเรียน ได้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยใช้คำถาม 5W1H 1. Who (ใคร) บุคคลหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง 2. What (อะไร) ปัญหาหรือสาเหตุที่เกิดขึ้น 3. Where (ที่ไหน) สถานที่หรือตำแหน่ง ที่เกิดเหตุการณ์ 4. When (เมื่อใด) เวลาที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้น 5. Why (ทำไม) สาเหตุหรือมูลเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น 6. How (อย่างไร) รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 43 การทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้ เทคนิคการสอน 5W1H สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล คณะผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดของนักวิชาการด้าน การอ่านจับใจความสำคัญและเทคนิคการสอน 5W1H ได้แก่ การอ่านจับใจความมีความสำคัญเพราะเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการอ่าน ระดับขั้นสูงขึ้นไป เพราะถ้าหากนักเรียนไม่สามารถอ่านจับใจความได้ก็จะส่งผลให้ไม่สามารถเข้าใจเรื่องที่อ่าน เนื่องจากการอ่านจับใจความมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในแก่นเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง และสำหรับ นักเรียนในรายวิชาต่าง ๆ ทุกสาขาวิชาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยทักษะการอ่านจับใจความ เพื่อใช้ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นนักเรียนที่ขาดทักษะการอ่านจับใจความ ก็จะไม่สามารถสรุปเนื้อหาสาระเรื่องที่อ่านได้ในด้านการเรียนการสอน การอ่านจับใจความถือว่ามีความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานในการอ่านทำความเข้าใจเนื้อหาของการเรียนในทุกรายวิชา โดยการเรียนการสอน จำเป็นต้องปลูกฝังให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านและพัฒนาให้นักเรียนสามารถอ่านจับใจความได้ อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การที่จะพัฒนานักเรียนให้สามารถอ่านจับใจความได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัย การฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเพราะเป็นประโยชน์อย่างมากในการแสวงหาความรู้(ชุติมา ยอดตา, 2561: 2) แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง จนเกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น โดยกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ทำให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมากขึ้น และทำให้นักเรียนมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรียนรู้ ของตนเองได้(บุญนำ เกษี, 2556) แบบฝึกทักษะมีประโยชน์เป็นเครื่องมือช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะ สามารถที่จะทบทวน ได้ด้วยตนเองและเห็นความก้าวหน้าของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดภาระของครูผู้สอนอีกด้วย (คณิศร ศรีประไพ, 2555) การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H เป็นการใช้เทคนิค การตั้งคำถาม ในการจัดการเรียนการสอนในขั้นสอน ประกอบด้วยคำถาม ใคร (Who) อะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไหร่ (When) ทำไม (Why) และอย่างไร (How) โดยในการตั้งคำถามประเด็น ต่าง ๆ ต้องสอดคล้องกับ เนื้อหา สำหรับการตั้งคำถามนั้นผู้สอนและนักเรียนต้องมีส่วนร่วมในการตั้งคำถาม อภิปรายคำตอบ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในห้องเรียน ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนเกิดแนวทางในการตั้งคำถามและตอบคำถาม และสามารถแยกแยะเนื้อหาออกมาให้เข้าใจได้ง่ายโดยเทคนิคในการตั้งคำถามนั้นจะต้องใช้คำถาม จากเหตุการณ์สภาพแวดล้อมที่ใกล้ตัว หรือสิ่งที่นักเรียนมีความคุ้นเคยมาก่อน (ภัทรสุดา นาคสุข, 2564: 6) จากแนวคิดของนักวิชาการด้านการอ่านจับใจความสำคัญ แบบฝึกทักษะ และเทคนิค การสอน 5W1H กล่าวได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำมาใช้ในการจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียน นักเรียนจะมีความสามารถในการอ่านจับใจความ สำคัญได้ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนต้องจัดทำนวัตกรรมเพื่อส่งเสริม และเพิ่มทักษะความสามารถในการอ่าน จับใจความสำคัญของนักเรียน ซึ่งแบบฝึกทักเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง จนเกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น และนักเรียนสามารถเห็นความก้าวหน้าของตนเองได้นอกจากนี้
44| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H เป็นการใช้เทคนิคการตั้งคำถามในการจัดการเรียนการสอน โดยผู้สอนและนักเรียนต้องมีส่วนร่วมในการตั้งคำถาม อภิปรายคำตอบ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในห้องเรียน ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนเกิดแนวทางในการตั้งคำถามและตอบคำถาม นักเรียนสามารถเข้าใจเนื้อหา และสรุปใจความสำคัญของเรื่องได้ดียิ่งขึ้น คณะผู้วิจัยจึงได้นำแนวคิดเทคนิคการสอน 5W1H ร่วมกับการสร้าง แบบฝึกทักษะมาใช้ในการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล โดยใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H ก่อนและหลังเรียน 2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3. ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ปีการศึกษา 2565 จำนวน 4 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 148 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 28 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H จำนวน 4 แผนการจัดการเรียนรู้แผนละ 2 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญข่าว แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญสารคดี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญบทความ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญนิทาน (2) แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ แบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H จำนวน 4 แบบฝึก (3) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญก่อนเรียนและหลังเรียน ข้อสอบ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบ T-test, Post-test จำนวน 30 ข้อ และผู้เชี่ยวชาญประเมินและตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบเหลือจำนวน 20 ข้อ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อชุดแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H ทั้งนี้เครื่องมือทั้ง 4 ประเภท ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามขั้นตอนการตรวจสอบหาค่าดัชนี ความสอดคล้อง ระหว่างคำถามตามวัตถุประสงค์ (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 45 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองสอนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 โรงเรียน ทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล โดยได้ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ (1) ทดสอบก่อนเรียน (2) ดำเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นควบคู่กับแบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H เริ่มดำเนินการทดลองภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ระยะเวลา 4 สัปดาห์ รวม 8 ชั่วโมง โดยครูได้ชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้เกี่ยวกับ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H ได้สอนเรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ และได้อธิบายส่วนประกอบของเทคนิคการสอน 5W1H โดยให้นักเรียน อ่านจับใจความสำคัญของเรื่องที่กำหนดให้แล้วผู้สอนเริ่มตั้งคำถามตามเทคนิคการสอน 5W1H ทีละคำถาม โดยเริ่มจาก ใคร (Who) อะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไหร่ (When) ทำไม (Why) และอย่างไร (How) เพื่อเป็นตัวชี้นำในการอ่านให้นักเรียนเข้าใจเรื่องที่อ่านมากขึ้น และพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียน โดยให้นักเรียนได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญผ่านแบบฝึกทักษะ จำนวน 4 แบบฝึก ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบไปด้วย แบบฝึกทักษะที่ 1 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญข่าว แบบฝึกทักษะที่ 2 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญสารคดี แบบฝึกทักษะที่ 3 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญบทความ แบบฝึกทักษะที่ 4 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญนิทาน (3) หลังจากดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยได้ทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะ การอ่านจับใจความสำคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H ข้อสอบแบบตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ ตรวจให้คะแนน ถูกเท่ากับ 1 คะแนน ผิดเท่ากับ 0 คะแนน (4) นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อชุดแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H (5) นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ สรุป และอภิปรายผล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ (1) วิเคราะห์ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H โดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ (̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test dependent (2) วิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้ เทคนิคการสอน 5W1H โดยใช้ค่าเฉลี่ยร้อยละ (̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) (3) สรุปผลและอภิปรายผลโดยใช้ตารางและการพรรณนา
46| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 4. สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยสรุปผลได้ดังนี้ (1) ตารางแสดงการเปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H การทดสอบ n คะแนนเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า t-test ก่อนเรียน 28 10.50 3.04 19.90* หลังเรียน 28 16.93 2.51 *ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จากการเปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 10.50 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.04 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 16.93 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.51 และมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (2) ตารางการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H หัวข้อ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน แปลความหมาย 1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญเข้าใจ ง่าย 4.31 0.53. มาก 2. แบบฝึกทักษะมีเนื้อหาเหมาะสมกับนักเรียน 4.44 0.70 มาก 3. แบบฝึกทักษะเหมาะสมกับนักเรียน 4.47 0.66 มาก 4. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญมีความ น่าสนใจและกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ 4.38 0.48 มาก 5. ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านให้ดีขึ้น 4.38 0.65 มาก 6. ทำให้นักเรียนมีความสามารถในการอ่านจับ ใจความสำคัญเพิ่มขึ้น 4.31 0.58 มาก 7. ช่วยให้นักเรียนสร้างความรู้ความเข้าใจให้ได้ ด้วยตนเอง 4.25 0.56 มาก 8. สามารถอ่านหนังสือได้หลากหลายประเภท 4.31 0.58 มาก 9. เกิดความสนใจในการเรียนภาษาไทย 4.19 0.53 มาก 10. สามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนวิชาอื่นได้ 4.38 0.60 มาก รวม 4.34 0.58 มาก จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค การสอน 5W1H พบว่ากลุ่มเป้าหมาย มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.58
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 47 5. อภิปรายผลการวิจัย จากการเปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้อาจเนื่องจากเทคนิคการสอน 5W1H เป็นการตั้งคำถามในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในขั้นสอน ซึ่งประกอบด้วยคำถาม ใคร (Who) อะไร (What) ที่ไหน (Where) ทำไม (why) และ อย่างไร (How) ซึ่งเทคนิคการสอน 5W1H เป็นการกระตุ้นในการตั้งคำถามและตอบคำถามของนักเรียน ทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจสามารถแยกแยะเนื้อหาให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น และมีแนวทางในการตอบคำถาม ได้ถูกต้อง โดยในการตั้งคำถามประเด็นต่าง ๆ ต้องมีความสอดคล้องกับเนื้อหา เนื้อหาที่ผู้สอนนำมาใช้ ควรเป็นเนื้อหาเหตุการณ์สภาพแวดล้อมที่ใกล้ตัวนักเรียนหรือนักเรียนมีความคุ้นเคย ในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ผู้สอนและนักเรียนต้องมีส่วนร่วมในการตั้งคำถาม ตอบคำถาม และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ในห้องเรียน ผู้สอนได้นำเทคนิคการสอน 5W1H มาประยุกต์ใช้ร่วมกับแบบฝึกทักษะ เป็นสื่อการเรียนการสอน ที่ให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น พัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ได้ดียิ่งขึ้น และทำให้นักเรียนสามารถมองเห็นความก้าวหน้าของตนเองได้ นอกจากนี้ผู้สอนได้มีการออกแบบ แบบฝึกทักษะให้มีบทอ่านที่หลากหลาย ประกอบไปด้วย ข่าว สารคดี เรื่องสั้น และนิทาน โดยมีระดับ ความยากง่ายจากน้อยไปมาก ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจในการอ่านมากยิ่งขึ้น จากการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการสอน 5W1H พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 10.50 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.04 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 16.93 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.51 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของดวงพร เฟื่องฟู (2553, 59) ศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H โดยมีคะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จำนวน 26คน คิดเป็นร้อยละ 81.25 จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบ 5W1H ร่วมกับแผนผังความคิด ช่วยพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียนให้ดีขึ้น และ กรองทิพย์สุราตะโก (2559, 51-59) พบว่าความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์โดยใช้กระบวนการ คิดวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค 5W1H และผังกราฟิกคะแนนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค การสอน 5W1H พบว่ากลุ่มเป้าหมาย มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.58 เมื่อพิจารณาเป็นประเด็นเรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ ชุดกิจกรรม เหมาะสมกับนักเรียน ชุดกิจกรรมมีเนื้อหาเหมาะกับนักเรียน ชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความสำคัญ มีความน่าสนใจและกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านให้ดียิ่งขึ้น สามารถ นำไปปรับใช้ในการเรียนวิชาอื่นได้ ชุดกิจกรรมอ่านอ่านจับใจความสำคัญเข้าใจง่าย ทำให้นักเรียนมี ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญเพิ่มขึ้น สามารถอ่านหนังสื่อได้หลากหลายประเภท ช่วยให้นักเรียน
48| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล สร้างความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเอง และเกิดความสนใจในการเรียนวิชาภาษาไทย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของฐิตารีย์ เกิดสมกาล (2555: 68) ได้ศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญและเจตคติ ต่อวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ผลการวิจัย พบว่า เจตคติต่อวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD สูงกว่าก่อนจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 และนภาวรรณ ขาวผ่อง (2557, 111) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการอ่านจับใจความด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (ซี ไอ อาร์ ซี) ผสานวิธีคิดไตร่ตรอง 3 นาที สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทย สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 6. ข้อเสนอแนะ 6.1 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป (1) ควรเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H กับวิธีการสอนตามรูปแบบอื่น เพื่อศึกษาว่าผลที่ได้รับมีความแตกต่างกันอย่างไร (2) ศึกษาการพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญควบคู่กับการเขียนสรุปความ 6.2 ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้ (1) ครูผู้สอนที่นำชุดแบบฝึกการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H ไปใช้ในการเรียนการสอน ควรมีความเข้าใจในพื้นฐานการอ่านของนักเรียนเพราะนักเรียนแต่ละคน จะมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้นครูผู้สอนจึงควรเลือกเนื้อหาหรือบทอ่านที่มีความยากง่ายเหมาะสม กับระดับชั้นเรียนและศักยภาพของนักเรียน เอกสารอ้างอิง กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. กรองทิพย์ สุราตะโก. (2559). ผลการใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค 5W1H และผังกราฟิกที่มีต่อ ความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, 16(1), 51-59. คณิศร ศรีประไพ. (2555). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง. [วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยบูรพา].
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 49 ชุติมา ยอดตา. (2561). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R เพื่อเสริมสร้างความสามารถการอ่านจับ ใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 [วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราช ภัฏมหาสารคาม]. http://fulltext.rmu.ac.th/fulltext/2561/M125440/Yodta%20Chutima.pdf. ฐิตารีย์ เกิดสมกาล. (2555). การศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญและเจตคติต่อวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD [ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช]. http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/handle/123456789/2116 ดวงพร เฟื่องฟู. (2560). การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H เพื่อส่งเสริมการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 [ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์].http://libdoc.dpu.ac.th/thesis/160228.pdf?fbclid=IwAR1rVdUAk2Ad1_4kQ2vE3ri9 uxOCYeMc_LwUxHOcg-tcIlUGx9Ax-QHZpLE. นภาวรรณ ขาวผ่อง. (2557). ผลสัมฤทธิ์ในการอ่านจับใจความด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (ซี ไอ อาร์ ซี) ผสานวิธีคิดไตร่ตรอง 3 นาที สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 [วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษา ศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี]. http://www.repository.rmutt.ac.th/dspace/handle/123456789/2462 บุญนำ เกษี. (2556 ). รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องระบบสมการเชิงเส้น ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพานทองสภาชนูปถัมภ์อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี. ภัทรสุดา นาคสุข. (2564). การพัฒนาความสามารถทางการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H ร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร]. http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/bitstream/123456789/3861/1/61263321 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
50| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบการแก้โจทย์ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล The Study of Mathematics Learning Achievement on Problem Solving Addition and Subtraction of Prathomsuksa 4 Students by Using Polya’s Problem Solving with Bar Model Technique สายพิรุณ หอมสิน1 , สมใจ ภูครองทุ่ง2 , วารีวรรณ์ ไกรโสดา3 Saiphirun Homsin1 , Somjai Phukrongtung2 , Wareewan Kaisoda3 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ ปัญหาการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) สำรวจระดับความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ จำนวน 22 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบโดยใช้สถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้ รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิค บาร์โมเดล สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล อยู่ในระดับในระดับมากที่สุด คำสำคัญ : การแก้ปัญหาของโพลยา, เทคนิคบาร์โมเดล, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 1 นักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ Student Faculty of Education and Educational Innovation Kalasin University email: [email protected] 2 อาจารย์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ Professor Faculty of Education and Educational Innovation Kalasin University email: [email protected] 3 ครู สาขาวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 2 Teacher Ban Nong Ya Sai school Udonthani Primary Education Area Service Office 2 email: [email protected]
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 51 Abstract This research aims to: 1) Compare of mathematics learning achievement on problem solving addition and subtraction of Prathomsuksa 4 Students before and after using Polya’s problem solving with bar model technique. 2) Compare of mathematics learning achievement on problem solving addition and subtraction of Prathomsuksa 4 Students By using Polya’s problem solving with bar model technique with 70 percent criteria. And 3) Explore the degree of student satisfaction with the use of Polya’s problem-solving with bar model technique. The target group for the research is 22 students in Prathomsuksa 4 in the first semester of the academic year 2022 at Ban Nong Ya Sai School. The sample was obtained through purposive sampling. Tools used in the research include learning management plans, math achievement tests, addition, subtraction, and satisfaction questionnaires. The statistics for data were mean, percentages standard deviations, and tests using t-test statistics. The results of this study were as follows: 1) Post-class mathematics achievement was higher than before the study using Polya's problem-solving with bar model technique, statistically significant at 0.05 2) Achievement in mathematics, using Polya's problem-solving with bar model technique, was statistically significantly higher than the 70 percent threshold at the level of 0.05 3) Students' satisfaction with using Polya's problem-solving with bar model technique is at the highest level. Keywords :Polya’s problem solving, Bar model technique, Mathematics learning achievement 1. บทนำ คณิตศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ การทำให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ และมีแบบแผน สิ่งนี้สามารถช่วย ให้เราวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์อย่างละเอียดและรอบคอบ ช่วยคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต วางแผน ตัดสินใจ สามารถแก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่นๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อ การดำเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) จากการที่ผู้วิจัยได้ไปฝึกประสบการณ์สอนวิชาชีพครูที่โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไช อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี มีการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 ห้องเรียน ผู้วิจัยพบปัญหา คือ นักเรียนไม่สามารถแก้โจทย์ปัญหาการบวกการลบได้ ซึ่งสาเหตุ เนื่องมาจากโจทย์ปัญหาส่วนใหญ่ จะเป็นโจทย์ซับซ้อน ข้อมูลบางอย่างโจทย์ไม่ได้กำหนดมาโดยตรงแต่จะซ่อน ปัญหาไว้ให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์เอง ดังนั้น นักเรียนต้องใช้ความสามารถในการอ่านเพื่อการวิเคราะห์ แปลความ สรุปความ และหาแนวทางในการแก้โจทย์ปัญหาเองทั้งหมด ซึ่งครูวิชาการและครูผู้สอนคณิตศาสตร์
52| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ของโรงเรียนมีความเห็นตรงกันว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขหรือพัฒนาโดยเร่งด่วน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของฉัตรกาญจน์ ธานีพูน และนงลักษณ์ วิริยพงษ์ (2563) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนา ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเลขคณิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหา ของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล ซึ่งปัญหาที่พบคือนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์ในเนื้อหาการแก้โจทย์ ปัญหาต่ำ จากการตรวจแบบฝึกหัดพบว่านักเรียนยังเกิดความสับสนในกระบวนการคิดแก้โจทย์ปัญหา นักเรียน วิเคราะห์โจทย์ปัญหาไม่ได้ทำให้ไม่สามารถแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ (ฉัตรกาญจน์ ธานีพูน และนง ลักษณ์ วิริยพงษ์ ,2563) จากสภาพปัญหาดังกล่าว หากครูผู้สอนมีวิธีการสอนที่เหมาะสม จะช่วยให้การเรียนการสอนมีความ น่าสนใจยิ่งขึ้น แนวคิดที่น่าสนใจแนวคิดหนึ่งในการแก้โจทย์ปัญหาคือ กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยา โดยได้เสนอขั้นตอนในการแก้ปัญหาไว้ 4 ขั้นตอน และนำมาใช้เป็นกระบวนการแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นทำความเข้าใจปัญหา ขั้นที่ 2 ขั้นวางแผนแก้ปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการตาม แผน ขั้นที่ 4 ขั้นการตรวจสอบย้อนกลับ การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ตามกระบวนการแก้โจทย์ปัญหา ของโพลยาร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดลมาใช้ในขั้นตอนกระบวนการแก้โจทย์ปัญหา เพื่อให้นักเรียน มีความรู้ความเข้าใจวิธีการแก้โจทย์ปัญหาอย่างมีระบบ มีขั้นตอน วิเคราะห์โจทย์ออกมาเป็นภาพเพื่อช่วย ในการแก้โจทย์ปัญหาให้ง่ายขึ้น กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิควาครูปบาร์โมเดล เป็นยุทธวิธีการทำโจทย์ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ ข้อความจากโจทย์ปัญหา นำมาเชื่อมโยง กับความคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนแล้ววาดออกมาเป็นรูปบาร์โมเดล ซึ่งจะช่วยให้นักเรียน เข้าใจได้ง่ายเกิดความคิดรวบยอดและสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทำให้นักเรียนสามารถทำโจทย์ ปัญหาได้อย่างง่ายและถูกต้อง นำเทคนิคบาร์โมเดลมาใช้ในขั้นที่ 2 ขั้นวางแผนแก้ปัญหา ตามกระบวนการแก้ โจทย์ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจวิธีการแก้โจทย์ปัญหาอย่างมีระบบ มีขั้นตอน วิเคราะห์โจทย์ออกมาเป็นภาพเพื่อช่วยในการแก้โจทย์ปัญหาให้ง่ายขึ้น กระบวนการแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิควาดรูปบาร์โมเดล เป็นยุทธวิธีการทำโจทย์ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้นักเรียนคิด วิเคราะห์ ข้อความจากโจทย์ปัญหา นำมาเชื่อมโยงกับความคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนแล้ววาด ออกมาเป็นรูปบาร์โมเดล ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายเกิดความคิดรวบยอดและสามารถสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง ทำให้นักเรียนสามารถทำโจทย์ปัญหาได้อย่างง่ายและถูกต้อง (กรองทอง ไคริรี , 2554) ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงต้องการที่จะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี โดยการ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ทั้งนี้ผู้วิจัยหวังว่าหากมีการนำ การจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบของผู้เรียนแล้ว จะทำให้การ เรียนเรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ มีความเป็นรูปธรรม และผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนส่งผล ให้การจัดกิจกรรมการสอนของครู และกิจกรรมการเรียนของผู้เรียนบรรลุผลสำเร็จตามที่ได้กำหนดไว้ อีกทั้ง ผู้เรียนยังสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้เป็นพื้น ฐานความรู้สำหรับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งยังเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนสามารถ นำไปใช้ในการพัฒนารูปแบบการสอนสำหรับสอนเนื้อหาอื่นต่อไป
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 53 กรอบแนวคิดการศึกษา ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับ เทคนิคบาร์โมเดล 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ของนักเรียนโดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2.3 เพื่อสำรวจระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล 3. ระเบียบวิธีวิจัย ในการศึกษาครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มุ่งศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล โดยใช้แบบแผนการวิจัย แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง (One Group Pre-test Post-test Design) โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัยดังนี้ 3.1 กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่กำลังศึกษา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี จำนวน 22 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงจากนักเรียนในห้องที่ผู้วิจัยเป็นผู้สอนที่มีผลคะแนนการทดสอบเรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ต่ำกว่าร้อยละ 70
54| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิค บาร์โมเดล จำนวน 8 แผนๆ ละ 60 นาที ซึ่งผ่านการตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ผลการวิเคราะห์คุณภาพของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับคุณภาพ เหมาะสมมากที่สุด (̅= 4.94, S.D. = 0.08) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อถามกับ วัตถุประสงค์ (IOC) เท่ากับ 1.00 มีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.36 - 0.71 และค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.29 - 0.86 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการประเมินความสอดคล้องระหว่าข้อคำถามกับ พฤติกรรมชี้วัดด้านความพึงพอใจของนักเรียน โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่า ( IOC) เท่ากับ 1.00 เป็น แบบสอบถามที่มีความเที่ยงตรงทุกข้อ 3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิค บาร์โมเดล ดำเนินตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1.1 วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระคณิตศาสตร์และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี 1.2 ดำเนินการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยแบ่งแผนกิจกรรมการเรียนรู้ ออกเป็น 8 แผน 1.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ตรวจสอบความชัดเจน และความเหมาะสมของเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ ระยะเวลา สื่อการเรียนการสอน และการประเมินผล 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบทดสอบปรนัยจำนวน 20ข้อ รวม 20 คะแนน 2.1 ศึกษาเอกสารและตำราเกี่ยวกับการประเมินผลความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ วิเคราะห์จุดประสงค์ของกิจกรรมการเรียนรู้ กำหนดพฤติกรรมที่ต้องการทดสอบ ความสามารถ ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 2.2 ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบปรนัย เทคนิคการเขียนข้อสอบและเกณฑ์ การตรวจให้คะแนน จากตารางการวัดผลและประเมินผลคณิตศาสตร์ 2.3 นำแบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อย แล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม ความสอดคล้องของภาษา เนื้อหาที่ใช้ ความสอดคล้องกับความสามารถที่ต้องการประเมิน และความเหมาะสมของข้อคำถาม พร้อมพิจารณาค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) จำนวน 3 ท่าน
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 55 2.4 คัดเลือกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ผ่านเกณฑ์ โดยเลือก เฉพาะข้อที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Objective Congruence (IOC) ตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป และปรับปรุง แก้ไขให้เรียบร้อยตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 2.5 ปรับปรุงแบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ไปใช้เป็นเครื่องมือ นำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เป็นข้อสอบปรนัย จำนวน 20ข้อ รวม 20 คะแนน 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ การวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล เพื่อการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในการสร้างได้ดำเนินการตาม ขั้นตอนดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ 3.2 วิเคราะห์เนื้อหาที่จะวัด เลือกรูปแบบเครื่องมือที่วัด การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ โดยประเมินผลตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กำหนดคะแนน การประเมินระดับความเหมาะสม (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 น.121) 3.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจฉบับร่าง ให้ครอบคลุมสิ่งทีต้องการศึกษาและ สอดคล้องกับประเด็น ตัวบ่งชี้ที่จะศึกษา ซึ่งรูปแบบของแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ชนิด โดยกำหนดระดับคุณภาพ 5 ระดับ 3.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่แก้ไขแล้ว ไปให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมประเมินเพื่อ ตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหา และจุดประสงค์ หาความสอดคล้องระหว่างคำถามกับนิยามศัพท์ เฉพาะ 3.5 นำผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้มา วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยใช้สูตร IOC แล้วพิจารณาเลือกข้อ ที่มีค่า IOC ไม่ต่ำกว่า 0.60 จำนวน 10 ข้อ 3.6 ปรับปรุงและนำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับ เทคนิคบาร์โมเดล ไปใช้เป็นเครื่องมือนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 3.4 วิธีรวบรวมข้อมูล 1. ชี้แจงแนวทางการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนทราบก่อนว่าการเรียนรู้ต่อไปนี้ ผู้สอนจะสอน เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบ โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล และบอกจุดประสงค์ของการเรียนให้นักเรียนทราบ 2. ผู้วิจัยนำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเศษส่วน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปทำการทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 22 คน ใช้เวลาทดสอบ 60 นาที แล้วบันทึกคะแนน จากการทดสอบครั้งนี้เป็นคะแนนก่อนเรียน 3. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองตามการจัดการเรียนรูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลจำนวน 8 แผน แผนละ 60 นาที โดยผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการและเป็นผู้สอนเอง
56| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 4. เมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับ เทคนิคบาร์โมเดลทั้ง 8 แผนแล้ว ผู้วิจัยทดสอบ กลุ่มที่ใช้ในการศึกษาโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวกการลบ เป็นแบบทดสอบปรนัย แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวม 20 คะแนน ใช้เวลาสอบ 60 นาทีและแจกแบบประเมินความพึงพอใจของ นักเรียนหลังจากที่ได้ทำการเรียนโดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล 5. ตรวจให้คะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง โจทย์ปัญหา การบวก การลบ และตรวจสอบการให้คะแนนประเมินความพึงพอใจของนักเรียน แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ โดยใช้วิธีการทางสถิติต่อไป 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิค บาร์โมเดลโดยใช้การทดสอบทางสถิติที(Paired Sample t-test) 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ หลังเรียน ใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล กับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใช้การทดสอบ ทางสถิติที(One Sample t-test) 3. วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการใช้รูปแบบ การแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4. สรุปผลการวิจัย 4.1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ ก่อนเรียนและหลัง เรียน โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ใช้การทดสอบทางสถิติที (Paired Sample t-test) ได้ผลวิเคราะห์ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล คะแนน N ̅ S.D. T P ก่อนเรียน 22 8.36 2.98 -21.613* .000 หลังเรียน 22 15.23 1.97 * มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 57 4.2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ หลังเรียนใช้รูปแบบ การแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล กับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใช้วิธีการทางสถิติที (One Sample t-test) ได้ผลวิเคราะห์ดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 แสดงผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ หลังใช้รูปแบบการแก้ปัญหา ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 คะแนน N คะแนนเต็ม คะแนนที่ได้ S.D. t P ̅ ร้อยละ หลังเรียน 22 20 15.23 76.15 1.97 2.92* .004 * มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 3 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ หลังเรียนใช้ รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล กับเกณฑ์ร้อยละ 70 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 15.23 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 76.15 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่กำหนดไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.3. เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล กับคะแนนเกณฑ์ 3.50 โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ได้ผลวิเคราะห์ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 แสดงผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจหลังใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับ เทคนิคบาร์โมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ลำดับ ประเด็นความคิดเห็น ̅ S.D. ระดับ ความพึงพอใจ 1 เนื้อหาสาระที่เรียนเป็นเรื่องที่ชอบ 4.55 0.50 มากที่สุด 2 การเรียนเรื่องนี้ทำให้ฉันศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง 4.36 0.48 มาก 3 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ทำให้นักเรียนแก้โจทย์ ปัญหาได้ 4.59 0.49 มากที่สุด 4 การเรียนแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการ แก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ทำให้ฉันเข้าใจเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น 4.68 0.47 มากที่สุด 5 ฉันมีความพอใจที่ได้เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล 4.55 0.58 มากที่สุด
58| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ลำดับ ประเด็นความคิดเห็น ̅ S.D. ระดับ ความพึงพอใจ 6 ฉันรู้สึกสนุกกับการเรียนโดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล 4.45 0.58 มาก 7 ฉันรู้สึกพอใจที่ได้ทำแบบประเมินความสามารถด้วยตัวเอง 4.73 0.45 มากที่สุด 8 ฉันมีโอกาสได้สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ในการเรียน กับเพื่อน ๆ 4.64 0.57 มากที่สุด 9 ฉันได้ฝึกทักษะต่าง ๆ จนมีความเข้าใจในเนื้อหา 4.59 0.58 มากที่สุด 10 ครูมีการประเมินการเรียนบ่อยครั้ง 4.50 0.58 มาก รวม 4.56 0.53 มากที่สุด จากตารางที่ 4 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หลังได้รับการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.56 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยรวมมีค่าเท่ากับ 0.53 และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ทั้งหมด 10 ข้อ มีระดับความพึงพอใจสูงกว่าเกณฑ์ 3.5 ของระดับความพึงพอใจที่กำหนดไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5. อภิปรายผลการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิค บาร์โมเดล พบว่า 5.1. จากการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ โดยใช้รูปแบบ การแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ตามรูปแบบขั้นตอนการแก้โจทย์ปัญหาของ โพลยา 4 ขั้นตอนประยุกต์กับเทคนิคการวาดรูปของบาร์โมเดล 3 ขั้นตอน จะทำให้นักเรียนสามารถทำ ความเข้าใจปัญหา เข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่รู้อะไรคือข้อมูลโจทย์กำหนดอะไรมาให้ เพียงพอสำหรับ การแก้ปัญหานั้นหรือไม่ วางแผนการแก้ปัญหา เป็นขั้นที่ค้นหาความเชื่อมโยงระหว่าง ข้อมูลสิ่งที่โจทย์ถามกับ ข้อมูลหรือสิ่งที่โจทย์กำหนดให้ โดยใช้บาร์โมเดล โดยวาดรูปลี่เหลี่ยมผืนผ้าแทนรูปบาร์โมเดลที่แสดง ความสัมพันธ์ มาช่วยในการวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลสิ่งที่โจทย์ถามกับข้อมูลหรือสิ่งที่โจทย์กำหนดให้ จากนั้นลงมือปฏิบัติตามแผนโดยการคำนวณหาคำตอบและแสดงวิธีทำในการคิดคำนวณหาคำตอบ และ สุดท้ายนักเรียนสามารถที่จะตรวจสอบความสมเหตุสมผลของคำตอบ จะเห็นได้ว่า การจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลนั้นมีขั้นตอนที่ชัดเจน ทำให้ นักเรียนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ การเรียนการสอนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการแก้โจทย์
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 59 ปัญหา เป็นการฝึกให้นักเรียนมีวิธีการที่ดีในการแก้ปัญหามากกว่าที่จะสอนให้รู้คำตอบของปัญหา โดยพยายาม ส่งเสริมให้นักเรียนค้นพบรูปแบบหรือวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ดารณี เกตุประกอบ (2564) ได้ทำงานวิจัยเรื่อง การศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกการลบ โดยใช้กระบวนการตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล กับเกณฑ์ร้อย ละ 70 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ หลังเรียนใช้รูปแบบการแก้ปัญหา ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.23 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 76.15 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่กำหนดไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ฉัตรกาญจน์ ธานีพูน (2562) ได้ทำงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการ แก้โจทย์ปัญหาเลขคณิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับ บาร์โมเดล พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล เพื่อให้นักเรียนมีความสามาถในการแก้โจทย์ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น พบว่า นักเรียน มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อยู่ในระดับมากที่สุด และสูงกว่าเกณฑ์ 3.5 ของระดับความพึงพอใจที่กำหนดไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหา ตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล เป็นการแก้โจทย์ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นรูปธรรม มากขึ้น จึงทำให้นักเรียนมีความสุขในการเรียน และพอใจในการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยของ นภสร ยั่งยืน และชำนาญ ปาณาวงษ์ (2563) ได้ทำงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การบวกการลบ เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล อยู่ในระดับมากที่สุด
60| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 6. ข้อเสนอแนะ 6.1. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งนี้ จากการวิจัยพบว่า ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ในระยะแรกค่อนข้างใช้เวลานาน เนื่องจากนักเรียนยังไม่คุ้นชินกับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล ทำให้นักเรียนเกิดความสับสน ครูผู้สอนควรฝึกให้นักเรียนได้ใช้เทคนิคบาร์โมเดลให้คุ้นชิน เพื่อสามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้น 6.2. ข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไป ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ นั้นช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ให้สูงขึ้น ดังนั้นควรศึกษา เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการบวก การลบ กับนวัตกรรมการสอนประเภทอื่น เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์(พิมพ์ครั้งที่ 1).กรุงเทพฯ : โรงพิมพิมพ์ชุมชน สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด. กรองทอง ไคริรี. (2554). แบบฝึกการแก้โจทย์ปัญหาเลขคณิตโดยใช้บาร์โมเดล ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. กรุงเทพฯ: เอทีมบีสซิเนส. ฉัตรกาญจน์ ธานีพูน. (2562).การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเลขคณิตของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล.วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยา ศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาคณิตศาสตรศึกษา, คณะวิทยาศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ฉัตรกาญจน์ ธานีพูน และ นงลักษณ์ วิริยะพงษ์. (2563). การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ ปัญหาเลขคณิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา ร่วมกับบาร์โมเดล. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยสุรินทร์,22(1),93-105. ดารณี เกตุประกอบ. (2564).การศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก การลบ โดยใช้กระบวนการตามแนวคิดของโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาคณิตศาสตร์ศึกษา, คณะวิทยาศาสตร์,มหาวิทยาลัยบูรพา. นภสร ยั่งยืน. (2562). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบนการโพลยาร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การบวกและการลบเศษส่วนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4. สารนิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาวิจัยและประเมินทางการศึกษา, มหาวิทยาลัย นเรศวร. นภสร ยั่งยืน และชำนาญ ปาณาวงษ์. (2563). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการโพลยาร่วมกับ เทคนิคบาร์โมเดลเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การบวกและการลบเศษส่วน สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารวิจัยทางการศึกษา, 15(2), 67-79. ไพศาล วรคำ. (2561). การวิจัยทางการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 9). มหาสารคาม : ตักสิลาการพิมพ์.
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 61 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกําลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ The Development of Mathematics Learning Achievement on Exponent of Mathayomsuksa 1 Students by Managing Inductive Learning Using Games Through the Blooket Application as a Medium เพ็ญนภา เดชเมือง1 , สมใจ ภูครองทุ่ง2 , ยุพิน บุญเลิศ3 Pennapha Dechmueng1 , Somjai Phukrongtung2 , Yupin Boonlert3 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็น สื่อ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบ อุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการจัด การเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม จำนวน 42 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ จำนวน 9 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 20 ข้อ 3) แบบวัดความพึง พอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และทดสอบ สมมติฐานโดยใช้สถิตทดสอบ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพ พลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 76.06/77.74 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคะแนน ทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลขยกกำลัง โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ มีความ พึงพอใจอยู่ในระดับมาก คำสำคัญ : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย, แอพพลิเคชัน Blooket 1 นักศึกษา สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ อีเมล: [email protected] 1 Student Faculty of Education and Educational Innovation Kalasin University E-mail: [email protected] 2 อาจารย์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์อีเมล: [email protected] 2 Professor Faculty of Education and Educational Innovation Kalasin University E-mail: [email protected] 3ครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์อีเมล: [email protected] 3 Teacher t Somdet Pittayakom School Kalasin Secondary Educational Service Area Office E-mail: [email protected]
62| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล Abstract The purposes of this study were to 1) To investigate the efficacy of inductive learning management using games through the Blooket application as a medium for first grade pupils to be efficient according to the 75/75 criteria. 2) To evaluate performance before and after using inductive learning management, using games as a medium through the Blooket program. 3) To investigate how satisfied students are with learning management. Examples utilized in the research include 42-grade Mathayomsuksa One Somdet Pittayakom School student who was chosen at random and enrolled in semester 1 of the 2022 academic year. This sample was chosen at random from the student population. The examples that follow are examples of research resources: 1) Exponential Learning Management Plan for Mathayomsuksa 1 student in mathematics: 9 plans 2) 20-point test of accomplishment; and 3) Measuring learner satisfaction. The data were analyzed utilizing statistics such as averages, standard deviations, percentage values, and static t-tests for hypothesis testing. The findings found that 1) The E1/E2 efficiency of the performance development of inductive learning management employing games through BlackBerry applications as a medium is 76.06/77.74. 2) At 0.05, test results for achievement are statistically significantly higher after class than before class. ; and 3) Students who studied exponentials by managing inductive learning through games using the Blooket application as a medium. There is a great deal of satisfaction. Keywords : Learning achievement, inductive learning management, Blooket Application 1. บทนำ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบใช้ในการวางแผนตัดสินใจแก้ปัญหา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) แต่จากการศึกษาปัญหาในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ส่วน ใหญ่ พบว่ากระบวนการเรียนการสอนไม่เอื้อต่อการทำใหเด็กๆ ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ อาทิเนื้อหายาก แบบฝึกหัดเยอะ ครูอธิบายด้วยภาษาที่ค่อนข้างเข้าใจยาก ทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายไม่ตั้งใจเรียน (เบญจพร สว่างศรี, 2558) อีกทั้งในปัจจุบันยังมีเทคโนโลยีที่หลากหลายเข้ามามีบทบทาในการดำรงชีวิตส่งผล ให้ผู้เรียนสนใจสื่อเทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้นการเรียนการสอนจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนารูปแบบที่เป็นรูปธรรม ให้ทั้งความรู้และความสนุกสนานในการเรียนรู้มากขึ้น
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 63 จากการศึกษาผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ความสามรถทาง คณิตศาสตร์นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม ปีการศึกษา 2563 พบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (O-NET) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เนื่องจากมี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 23.81 คะแนน ซึ่งได้คะแนนเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม และต่ำกว่า ระดับประเทศ (ไทยพีบีเอส, 2564) เมื่อผู้ทำวิจัยไปทำการศึกษาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง พบว่า ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจาก การดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการ และนำไปใช้พบว่านักเรียนมีปัญหาด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่อง เลขยกกำลัง ที่เป็นเนื้อหาพื้นฐานในการเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จะนำไปใช้ในการเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 และมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อคะแนน O-NET ด้วย ดังนั้นครูผู้สอนจึง ให้ความสำคัญในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในเนื้อหานี้เป็นอย่างยิ่ง โดยผู้สอนได้นํากิจกรรม การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ มีความกระตือรือร้น และเกิดทักษะกระบวนการคิดอย่างเป็น ระบบ พร้อมกับการสอนที่ให้ความสนุกสนานและดึงดูดความสนใจจากผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด ไม่ว่าในบริบทใด จากสภาพปัญหาดังกล่าว ครูผู้สอนจึงได้ศึกษาวิธีการสอนที่เหมาะสมและช่วยให้นักเรียนได้ทั้งความรู้ และความสนุกสนานในการเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนสร้าง ข้อสรุป หลักการ บทนิยาม ทฤษฎีบท และสมบัติต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ได้ด้วยตนเอง เนื่องจากเป็น กระบวนการเรียนรู้ที่ครูเสนอตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่าง เพื่อให้นักเรียนพิจารณา สังเกต และเปรียบเทียบ ลักษณะที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน เพื่อนำไปสรุปเป็นมโนทัศน์ได้ โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัย สังเคราะห์ขึ้น 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นเตรียม 2) ขั้นนำเสนอตัวอย่าง 3) ขั้นเปรียบเทียบ 4) ขั้นสรุป และ 5) ขั้น นำไปใช้ โดยผู้เรียนมีการอธิบายเหตุผลประกอบคำตอบได้ถูกต้อง ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยจะช่วย พัฒนาให้นักเรียนเกิดข้อสรุป กฎเกณฑ์ ข้อเท็จจริง ได้ด้วยตนเองจากการสังเกตตัวอย่างที่มากพอ ซึ่งเป็น การส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการคิด การให้เหตุผลอีก แอพพลิเคชัน Blooket คือ สื่อเว็บไซต์สำหรับสร้างเกมการแข่งขันที่เพิ่มความสนุกในการจัด การเรียนการสอนและจัดเป็นการศึกษาในอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีเรียนในรูปแบบเดิม ๆ ให้เป็นการเรียนแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำการสอน โดยเรียนผ่านทางอินเทอร์เน็ต ถ่ายทอดเนื้อหา ได้ทั้งรูปภาพ วิดิโอ ที่โดยธรรมชาติแล้ววิชาคณิตศาสตร์จัดเป็นวิชาหนึ่งที่นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบ เนื่องจาก เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ ซึ่งนักเรียนโดยส่วนใหญ่คิดว่าเป็นวิชาที่ยาก ไม่น่าเรียน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาค้นหา เทคนิควิธีการสอนต่าง ๆ เพื่อนำไปจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน จากการที่ได้ศึกษา ปรากฏว่า แอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อประกอบการสอนที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับนักเรียนทั้งระดับชั้น ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพราะมีลูกเล่นที่หลากหลายสามารถเร้าความสนใจของผู้เรียนเป็นอย่างดี สามารถปรับทัศนคตินักเรียนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ดีขึ้น และเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน คณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้
64| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงต้องการที่จะการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกําลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ทั้งนี้ผู้วิจัยหวังว่าหากมีการนำการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ไปใช้ในการสอน เรื่อง เลขยกกำลัง แก่ผู้เรียนแล้วก็น่าจะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น และผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนส่งผลให้การจัด กิจกรรมการสอนของครู และกิจกรรมการเรียนของผู้เรียนบรรลุผลสำเร็จตามที่ได้กำหนดไว้ อีกทั้งผู้เรียนยัง สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้เป็นพื้นฐานความรู้สำหรับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งยัง เป็นแนวทางให้ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้ในการพัฒนารูปแบบการสอนสำหรับสอนเนื้อหาอื่นต่อไป กรอบแนวคิดการศึกษา ภาพที่1 กรอบแนวคิด
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 65 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้เรื่อง เลขยกกำลัง โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย โดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ 2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ 3. ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบแผนการทดลอง โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้(One Group Pretest Post-test Design) โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัยดังนี้ 3.1 ขอบเขตการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 530 คน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 42 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกการสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง เลขยกกำลัง ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ จำนวน 9 แผน แผนละ 60 นาที ซึ่งผ่านการ ตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน โดยผลการประเมินมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ซึ่งมีความ เหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้แบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ จำนวน 1 ฉบับ พบว่ามีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) เท่ากับ 0.67-1.00 แล้วนําแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง (Try-Out) นําคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบมาหาความยาก (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) โดยพบว่ามีค่าความยาก (p) ของแบบทดสอบตั้งแต่ 0.32-0.77 ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบตั้งแต่ 0.36-0.73 และหาค่าความ เชื่อมั่น โดยใช้สูตร KR−20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน ซึ่งจากการวิเคราะห์ พบว่า มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 แล้วนำแบบทดสอบไปใช้จริง 3. แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพ พลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ จำนวน 1 ฉบับ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) กําหนดค่า คะแนนเป็น 5 ระดับตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert Scale) จำนวน 20 ข้อ มีผลการประเมินความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับพฤติกรรมชี้วัด ด้านความพึงพอใจของนักเรียน โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่า (IOC) อยู่ ระหว่าง 0.67-1.00 เป็นแบบสอบถามที่มีความเที่ยงตรงทุกข้อ
66| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ผู้วิจัยจัดเตรียมแผนการจัดเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สื่อ อุปกรณ์ และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ จำนวน 9 แผน แผนละ 60 นาที ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 3. ในระหว่างการเรียนการสอนผู้วิจัยยังเก็บข้อมูลจากบันทึกหลังแผนการจัดการเรียนรู้ จากแบบฝึกทักษะหลังเรียน เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง 4. ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ 5. เมื่อดำเนินการสอนครบตามแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย จำนวน 20 ข้อ มาทำการทดสอบหลังเรียน โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 6. นำผลการทดสอบหลังเรียนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง มาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบคะแนนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 3.4 วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ประมวลผลข้อมูลดังนี้ 1. การวิเคราะห์ข้อมูลหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลขยกกำลัง โดยการ จัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ตามเกณฑ์75/75 โดยวิเคราะห์ ตามสูตรการหา E1และ E2 2. การวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง โดยการ จัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ โดยหาค่าเฉลี่ย () ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ร้อยละ และใช้สถิติt-test แบบ Paired Sample t-test 3. การวิเคราะห์ข้อมูลศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย โดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ โดยการหาค่าเฉลี่ย () และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 67 4. ผลการวิจัย จากการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.1 ผลการศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลขยกกำลัง โดยการจัดการเรียนรู้แบบ อุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ผู้วิจัยได้หาค่าประสิทธิภาพของการจัดการ เรื่อง เลขยกกําลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 โดยคำนวณหาค่า E1 จากการทำใบงาน แบบฝึกหัด และกิจกรรม จำนวน 9 แผน และหาค่า E2 จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังปรากฏในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ คะแนน N คะแนนเต็ม S.D. ร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2 ) ระหว่างเรียน (E1 ) 42 90 68.45 6.77 76.06 76.06/77.74 หลังเรียน (E2 ) 42 20 15.55 2.24 77.74 จากตารางที่ 1 พบว่า ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้เรื่อง เลขยกกําลัง ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ มีคะแนน เฉลี่ยจากการทำใบงาน แบบฝึกหัด และกิจกรรม จำนวน 9แผน มีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 68.45 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 6.77 คิดเป็นร้อยละ 76.06 และคะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 15.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.24 คิดเป็น ร้อยละ 77.74 ดังนั้น แผนการจัดการ เรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.06/77.74 ส่วนประกอบของการจัดการเรียนรู้เรื่อง เลขยกกําลัง โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย โดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ภาพที่ 2 ส่วนประกอบของการจัดการเรียนรู้
68| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 4.2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกําลัง โดยการจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ผู้วิจัยได้นำคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกําลัง ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยได้ทำการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แล้วนำคะแนนมาคำนวณเพื่อวิเคราะห์ ดัง ปรากฏในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกําลัง กลุ่มตัวอย่าง N S.D. ร้อยละ t p ก่อนเรียน 42 8.02 3.51 40.12 -18.64* .00 หลังเรียน 42 15.55 2.24 77.74 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 จากตารางที่ 2 พบว่าจากคะแนนเต็มก่อนเรียนและหลังเรียน 20 คะแนน ค่าเฉลี่ยก่อนเรียน () เท่ากับ 8.02 คิดเป็นร้อยละ 40.12 ของคะแนนเต็ม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.51 และค่าเฉลี่ย หลังเรียน () 15.55 คิดเป็นร้อยละ 77.74 ของคะแนนเต็ม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.24 และ เมื่อนำมาตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นด้วยสถิติทดสอบ (Paired Sample t-test) ได้ค่า t = -18.64 พิจารณา ค่า sig เท่ากับ .00 มีค่าน้อยกว่าระดับนัยสำคัญสถิติที่ .05 นั้นหมายความว่าการทดสอบนี้มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจึงสรุปได้ว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกําลัง สูงกว่าก่อนเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่าน แอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ผู้วิจัยได้นำคะแนนแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่าน แอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ เรื่อง เลขยกกําลัง ที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยได้ทำการวัดความพึงพอใจหลังเรียน แล้วนำคะแนนมาคำนวณเพื่อวิเคราะห์ในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่าน แอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ เรื่อง เลขยกกําลัง ข้อคำถาม S.D. ระดับความพึงพอใจ ด้านที่ 1 บรรยากาศการจัดการเรียนรู้ 4.60 0.13 มากที่สุด ด้านที่ 2 สื่อและระบบการจัดการเรียนรู้ 4.43 0.05 มาก ด้านที่ 3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน 4.57 0.22 มากที่สุด โดยภาพรวม 4.53 0.09 มากที่สุด
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 69 จากตารางที่ 4 ผลวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง เลขยกกําลัง ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ จากมาตรวัดประมาณค่า (Rating Scale) พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านอยู่ใน เกณฑ์มากที่สุด (= 4.53, S.D. = 0.09) จากการพิจารณารายด้าน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อ บรรยากาศการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด (= 4.60, S.D. = 0.13) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อและ ระบบการจัดการเรียนรู้ในระดับมาก (= 4.43, S.D. = 0.05) และ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อประโยชน์ที่ ได้รับจากการเรียน ในระดับมากที่สุด (= 4.57, S.D. = 0.22) 5. สรุปและอภิปรายผลการวิจัย การดำเนินการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ สามารถอภิปรายผล ได้ดังนี้ 5.1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ มีประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 76.06/77.74 ซึ่งหมายความว่านักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำใบงาน แบบฝึกหัด และกิจกรรม ระหว่างเรียนของแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ 76.06 โดยผลที่เกิดขึ้นอาจเนื่องมาจากการจัดการ เรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ รวมถึงสื่อการเรียนรู้อื่น ๆ ที่มีความ หลากหลาย ทำให้นักเรียนเกิดความอยากที่จะเรียนรู้และกระตือรือร้นในการทำงาน จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่ผู้สอนได้กำหนดไว้และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 77.74 อาจเป็นเพราะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวสนองต่อความต้องการ ของนักเรียน ทำให้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลขยกกำลัง โดยการจัดการ เรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ที่เป็นเช่นนี้เพราะกิจกรรมดังกล่าวเป็นวิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนคิด ด้วยตนเอง โดยการสังเกตตัวอย่างที่หลากหลาย และยังสนับสนุนให้นักเรียนมีทักษะการให้เหตุผล โดยที่นักเรียนจะมีส่วนร่วม มีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง มีบทบาทในการทำกิจกรรมทำให้ นักเรียนเห็นคุณค่าในตนเอง และผลจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ จะทำให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของ วุฒิพงษ์ พันจันทร์และคณะ (2564). ได้ทำการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทาง คณิตศาสตร์แบบอุปนัย ที่ส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์และ ฟังก์ชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ อุปนัยที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E1/E2 ) เท่ากับ 78.56/77.59 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ไว้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ นงลักษณ ฉิมทัต (2561) ได้ทำการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบ อุปนัยร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด เรื่อง เลขยกกําลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า
70| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบอุปนัยร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด เรื่อง เลขยกกําลัง สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 มีประสิทธิภาพของกระบวนการต่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E1/E2 ) เทากับ 82.51/ 80.06 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ธันยาภรณ์ จุลศักดิ์ (2561) ได้ทำการจัดการ เรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ร่วมกับการใช้เกม Racing by Blooket เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ ร่วมกับเกม Racing by Blooket มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 87.03 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 5.2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการ เรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีดังกล่าว มีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 8.02 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการ เรียนรู้มีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 15.55 คะแนน ทำให้ได้ว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เกิดจากการผ่านกระบวนการขั้นตอนในการจัดทำอย่าง เป็นระบบวิธีการที่เหมาะสมโดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาหลักสูตรคู่มือครูและเนื้อหาวิชา ตลอดจนหลักการสร้าง การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็น แนวทางและได้ผ่านการตรวจสอบและประเมินความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้แบบ อุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ ยังทำให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองและ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ด้วยตนเองจากสื่อการเรียนรู้ภายนอกห้องเรียน ส่วนการเรียนในห้องเรียนปกตินั้นจะเป็น การเรียนแบบสืบค้นความรู้และทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนในกลุ่ม โดยครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือและ ชี้แนะ ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อนั้นจะมุ่งเน้นการ สร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง ตามทักษะความรู้ความสามารถทางการเรียนของแต่ละคน และเป็น ลักษณะการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกชั้นเรียนอย่างอิสระทั้งด้านความคิดและวิธีปฏิบัติ เนื่องจากการจัดการ เรียนรู้นี้เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งมีสื่อการ เรียนรู้และกิจกรรมที่หลากหลายทำให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้ มีความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น โดยที่ไม่ ต้องมานั่งฟังการบรรยายของผู้สอนหน้าชั้นเรียน แต่ได้ทบทวนความรู้ในรูปแบบที่มีความสนุกสนานมากขึ้น โดยผู้เรียนบางส่วนให้ความคิดเห็นว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ได้แสดงศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ได้ ตระหนักถึงเนื้อหาที่กำลังเรียนมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วาสนา จันทร์แจ้ง (2561) ได้ทำการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เลขยกกําลัง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง เลขยกกาลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สอนด้วยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับวิจัยของ บัณฑิตา ปิ่นหอม (2557) ได้ทำการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พันธะ ไอออนิค โดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับการใช้เกมกลุ่มแข่งขันสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 71 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พันธะไอออนิค หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยการ จัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับการใช้เกมกลุ่มแข่งขัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 4.53 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.09 ทั้งนี้ เนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยโดยใช้เกมผ่านแอพพลิเคชัน Blooket เป็นสื่อ เป็นเครื่องมือของการ เรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก คอยให้ความช่วยเหลือ ส่งผล ให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจดีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปฏิภาณ รักวงษ์ (2564) ได้ทำการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ในสถานการณ์จาก On-site สู่ Online ด้วย Google classroom Blooket และ Quizziz ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1/2 โรงเรียนสุนทรภู่พิทยา ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ที่เรียนรายวิชาวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 ในภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2564 ของโรงเรียนสุนทรภู่พิทยา มีความพึงพอใจ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.72 ซึ่งอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด และสอดคล้องกับงานวิจัยของ เบญจพร สว่าง ศรี(2558) ได้ทำการพัฒนาชุดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบอุปนัยร่วมกับกระบวนกลุ่ม สำหรับนักศึกษา ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูม ผลการศึกษาพบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษา ที่มีตอการเรียนโดยใช ชุดการเรียนรูด้วยวิธีการสอนแบบอุปนัยร่วมกับกระบวนการกลุ่มอยูในระดับมากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ 6. ข้อเสนอแนะ 6.1 ข้อเสนอแนะที่ได้จากงานวิจัย ชุดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบอุปนัยโดยใช้เกม Blooket เป็นสื่อ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นนั้น ควรศึกษาหลักของอุปนัยและคู่มือของโปรแกรม Blooket ล่วงหน้า เพื่อให้สะดวกในการจัดการเรียนรู้นำไปสู่ การสร้างความเข้าใจและความสนุกสนานในการเรียน เพื่อป้องกันปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด 6.2 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป ผู้วิจัยควรมีการศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการให้เหตุผลแบบอุปนัยโดยใช้เกม blooket เป็นสื่อในเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์เรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติม เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จำกัด. ธันยาภรณ์ จุลศักดิ์. (2564, 21 มีนาคม). การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ร่วมกับการใช้เกม Racing by Blooket เพื่อพัฒนาลสัมฤทธิ์ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. PUBHTML5.
72| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล นงลักษณ ฉิมทัต. (2561). การสร้างกิจกรรมการเรียนรูคณิตศาสตร์แบบอุปนัยร่วมกับเทคนิคเพื่อนคูคิด เรื่อง เลขยกกำลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 [วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยบูรพา. บัณฑิตา ปิ่นหอม. (2557). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พันธะไอออนิก โดยใช้การเรียนรู้แบบ อุปนัยร่วมกับเกมกลุ่มแข่งขันแบบทีมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. เบญจพร สว่างศรี. (2558). การพัฒนาชุดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบอุปนัยร่วมกับกระบวนกลุ่ม สำหรับ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ. [วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ. ปฏิภาณ รักวงษ์. (2564). การจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ในสถานการณ์จาก On-site สู่ Online ด้วย Google classroom Blooket และ Quizziz. [วิทยานิพนธ์ที่ไม่มีการตีพิมพ์]. ฐานข้อมูลงานวิจัยทางการศึกษา (ThaiEdResearch). วาสนา จันทร์แจ้ง. (2561). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยรามคำแหง. วุฒิพงษ์ พันจันทร์. (2564). การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์แบบอุปนัยที่ส่งเสริม ความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 15(3), 23-34. Thai PBS (2564, 27 เมษายน). เช็กผลสอบ O-NET วิชาไหนต่ำสุด – สูงสุด. http://www.thaipbs.or.th/news/content/303749
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 73 ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Math League ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 The Effects of Cooperative Learning with Math League Technique on Learning Achievement Mathematics Course on Solving Single Variable Quadratic Equations of Mathayomsuksa 3 Students จณิสตา ผาเวช1 , สุวรรณวัฒน์ เทียนยุทธกุล2 Janista Phavet1 , Suwannawat Thienyutthakul2 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัว แปรเดียว โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนห้องแซงวิทยาคม จำนวน 26 คน โดยการสุ่ม แบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้2. แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว หลังการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League คิดเป็นร้อยละ 80.58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับ มากที่สุด คำสำคัญ : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การเรียนรู้แบบร่วมมือ, เทคนิค Math League 1 นักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์อีเมล: [email protected] 1 Student Faculty of Education and Educational Innovation, Kalasin University E-mail: [email protected] 2 ผู้ช่วยศาสตรจารย์คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์อีเมล: [email protected] 2 Assistant Professor Faculty of Education and Educational Innovation, Kalasin University E-mail: [email protected]
74| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล Abstract The purposes of this research were to 1) develop learning achievement on solving quadratic equations with single variable to learning with the Math League technique with Math League techniques between after learning with 75% criterion, 2) compare learning achievement on solving quadratic equations before and after learning the learning with Math League techniques, and 3) study students’ satisfaction to learning by using learning with Math League techniques. The sample consisted of 26 mathayomsuksa 3 students of Hongseangwittayakom school. The sample was selected by cluster sampling. The instruments were used in this study, (1) learning management plan (2) achievement test and (3) the satisfaction test. Data were analyzed by percentage, mean, standard deviation, and t – test. The results revealed as follows 1) learning achievementon solving quadratic equations with single variable to learning with the Math League technique after learning use were 80.58% higher than the criteria of 75% with statistical significance at the level of 0.5. 2) learning achievement after learning higher than before learning with statistical significance at the level of .05. and 3) The students' satisfaction toward activity learning were at a very high level. Keywords : achievements, cooperative learning, Math league techniques 1. บทนำ การศึกษาเป็นกลไกสำคัญของสังคมปัจจุบัน ที่ช่วยพัฒนามนุษย์ให้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา ความรู้คุณธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพที่สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างสร้างสรรค์ มีความสุขตลอดจนเป็นบุคคล ที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ที่มีลักษณะเป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานเป็นตัวกำหนดคุณภาพผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษามีบทบาทโดยตรง ที่จะต้องจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีคุณภาพ และคำนึงถึงความต้องการของชุมชนตลอดจน ความสามารถส่วน บุคคลและความสนใจของนักเรียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์ ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) แม้ว่าในวงการการศึกษาไทยจะเล็งเห็นความสำคัญของวิชาคณิตศาสตร์และได้ กำหนดสาระการเรียนรู้และคุณภาพของผู้เรียนเมื่อจบการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 อย่างชัดเจน (สุวนิตย์ดอกบัว และคณะ, 2558) การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่ผ่านมานักเรียนส่วนใหญ่ยังขาด ความสามารถเกี่ยวกับการแสดงหรืออ้างอิงเหตุผล ทำให้นักเรียนไม่สามารถนำความรู้ทางคณิตศาสตร์
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 75 ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้(สุวรรณา ฟักคำ และคณะ, 2561) ทั้งนี้มาจากสาเหตุและปัจจัยหลาย ประการ เช่น หลักสูตร เนื้อหา นักเรียน ผู้บริหารสภาพแวดล้อมผู้ปกครอง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อ ตลอดจนเทคนิคและวิธีการสอนของครูและอาจเนื่องมาจากครูที่สอนระดับมัธยมศึกษาไม่ได้จบโดยตรง ทางด้านการสอนคณิตศาสตร์ (อนุชาติชาติรัมย์, 2564) สาเหตุที่ทำให้นักเรียนของโรงเรียน มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เบื่อหน่าย ไม่สนใจเรียน ชอบทำงานเป็นกลุ่ม ชอบเล่นเกม มาจากสาเหตุ 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ พบว่า โดยส่วนใหญ่ครูที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ มักใช้การสอนแบบบรรยาย กิจกรรมไม่หลากหลาย นอกจากนี้มักให้แบบฝึกหัดแก่นักเรียนครั้งละมาก ๆ โดยคิดว่าวิชาคณิตศาสตร์ ถ้าได้ฝึกมาก ๆ ก็จะทำให้เก่งได้ โดยไม่ได้คิดเลยว่านักเรียนจะเข้าใจในการเรียน หรือไม่ จะทำแบบฝึกหัดได้หรือไม่ หรือการบ้านวิชาอื่น ๆ จะมากน้อยแค่ไหน 2. ด้านเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ และกระบวนการวัด/ประเมินผล จะพบว่าโดยธรรมชาติวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีเนื้อหาค่อนข้างยาก และเป็นนามธรรม จะเห็นได้ชัดในช่วงชั้นที่ 4 (ม.4 - ม.6) ต้องใช้จินตนาการ และความตั้งใจในการเรียนมาก เป็นพิเศษ นอกจากนี้วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่บังคับโดยเนื้อหา ซึ่งถ้าเริ่มต้นไม่เข้าใจ ยิ่งเรียนไปก็ยิ่งไม่เข้าใจ มากขึ้น แล้วในส่วนของการประเมินผล เช่นการสอบ ก็เน้นให้นักเรียนทำข้อสอบมากกว่าทักษะกระบวนการ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักเรียนหันไปพึ่งสถาบันกวดวิชา เพื่อหาสูตรลัดในการทำข้อสอบหรือ เดาข้อสอบ โดยขาดทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็น ต่อการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 3. ด้าน ตัวนักเรียน ซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นต้องการความท้าทาย การแข่งขัน ชิงรางวัล ชอบทำงานร่วมกับเพื่อนเป็นกลุ่ม นอกจากนี้นักเรียนส่วนใหญ่ ต้องการให้มีเสียงดนตรีประกอบการเรียน เพื่อผ่อนคลายและทำกิจกรรมสนุก ๆ เช่น การเล่นเกมมากกว่านั่งฟังเพียงอย่างเดียว (วิสุทธิ์ คงกัลป์, 2560, น. 40-43) จากการวิเคราะห์สาระและเนื้อหาในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า เรื่อง สมการกำลังสองตัวแปรเดียว เป็นสาระเนื้อหาใหม่ที่เป็นเนื้อหาสำคัญต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับชั้นสูง เพื่อนำไปประยุกต์ในเนื้อหาคณิตศาสตร์เรื่องอื่น ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการแก้สมการกำลังสองตัวแปร เดียว จำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะการแก้ปัญหาที่เป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนที่ชัดเจนและต้องมีเทคนิคช่วยให้ ผู้เรียนเกิดความเข้าใจปัญหา สามารถวิเคราะห์ แยกแยะและมีการวางแผนการแก้ปัญหา รวมไปถึง การตรวจสอบคำตอบที่ได้มา ซึ่งจะทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพและเกิดความคงทนในการเรียนรู้ (กีรกานต์ คำขาว และคณะ, 2559) รูปแบบการใช้เทคนิค Math League ประกอบการเรียนการสอนนั้น เป็นเทคนิคที่สอดแทรกอยู่ใน ส่วนของกิจกรรมการเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้นั้นหมายความว่า จะไม่กระทบต่อแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งครูผู้สอนสามารถใช้สื่อการสอนและสอนเนื้อหาสาระได้ตามที่คาดหวังในหลักสูตรของโรงเรียน ซึ่งเทคนิค Math League นั้นชื่อ Math หมายถึงคณิตศาสตร์ ส่วนคำว่า League ก็คือ การแข่งขันที่มีการจัดอันดับ ตารางคล้าย ๆ กับการแข่งขัน League ทางฟุตบอล ที่พบเห็นอยู่ทั่วไป เช่น พรีเมียร์ League ของประเทศ อังกฤษ เป็นต้น เพียงแต่ Math League เป็น League แข่งขันทางการศึกษาเท่านั้นเอง ซึ่งในการจัดทีม ก็จะประกอบด้วยนักเรียน ทีมละ 4-6 คน โดยใช้แบบสอบก่อนเรียนและใช้เกรดเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์ ของชั้นปีที่ผ่านมาในการจัดทีมอัตราส่วนของนักเรียนกลุ่มเก่ง 1 ส่วน : กลุ่มปานกลาง 2 ส่วน : กลุ่มอ่อน
76| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 1 ส่วน และให้แต่ละทีมเลือกหัวหน้าทีม 1 คน พร้อมทั้งหาที่ปรึกษาประจำทีม ซึ่งจะเป็นครูในรายวิชาหรือเป็น เพื่อนภายในทีมของตนเอง ที่ทางทีมของนักเรียนเห็นว่าจะให้คำปรึกษาได้ (วิสุทธิ์ คงกัลป์, 2552) ในการจัดกิจกรรมการเรียนถ้ามีงานหรือกิจกรรมใดนอกเหนือจากการแข่งขันที่ทำเป็นกลุ่มก็จะให้นักเรียน ทำงานตามทีมที่จัดไว้นี้เพื่อฝึกให้นักเรียนช่วยเหลือการทำงานเป็นทีม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งจะมี หัวหน้าทีมเป็นผู้กำกับ และวางแผนในการดำเนินงานต่าง ๆ ในทีม (วิสุทธิ์ คงกัลป์, 2552) ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงต้องการที่จะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปร เดียว โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค Math League สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งนี้ผู้วิจัยเห็นว่าหากมีการนำเทคนิค Math league ไปใช้ในการสอน เรื่อง สมการกำลังสองตัวแปรเดียว น่าจะช่วยพัฒนาทักษะการเรียนคณิตศาสตร์ดีขึ้น และทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนส่งผล ให้การจัดกิจกรรมการสอนของครู และกิจกรรมการเรียนของผู้เรียนบรรลุผลสำเร็จตามที่ได้กำหนดไว้ อีกทั้งผู้เรียนยังสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้เป็นพื้นฐานความรู้สำหรับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งยังเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้ในการพัฒนารูปแบบการสอนสำหรับสอนเนื้อหาอื่นต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League 2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลัง สองตัวแปรเดียว หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League 3. ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนห้องแซงวิทยาคม อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จำนวน 73 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนห้องแซงวิทยาคม อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จำนวน 26 คน โดยการสุ่มแบบ แบ่งกลุ่ม (Cluster random sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว โดยการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League จำนวน 9 แผน ที่มีค่าความเหมาะสมของแผนจัดการเรียนรู้ทุกแผน อยู่ระดับมากที่สุด แผนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 4.93 ซึ่งอยู่ระหว่าง 4.51 – 5.00
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 77 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ชนิดปรนัย แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 1 ฉบับ ที่มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.29-0.71 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.29-0.86 และค่าความเชื่อมัน เท่ากับ 0.84 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League จำนวน 10 ข้อ ที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้เวลา 3 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 9 คาบ 2. ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตั้งแต่แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ไปจนถึงแผนการจัด การเรียนรู้ที่ 9 แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 9 คาบ โดยเก็บคะแนนระหว่างเรียนไว้ทุกแผน 4. ทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5. ประเมินความความพึงพอใจ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 โดยใช้สูตร t-test (One Sample) 2. วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียวก่อนและหลังเรียน เทียบกับ เกณฑ์ที่กำหนดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้t-test (Dependent) 3. วิเคราะห์แบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค Math League โดยใช้สูตรสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน 4. สรุปผลการวิจัย 1. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 การ ทดสอบ จำนวน (คน) คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ร้อย ละ S.D. t-test df Sig หลังเรียน 26 20 16.12 80.58 1.80 3.17* 25 .00 *ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
78| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล จากตารางที่ 1 แสดงว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปร เดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League มี คะแนนเฉลี่ยรวมร้อยละ 80.58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ตารางการเปรียบเทียบคะแนนสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสอง ตัวแปรเดียวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League การทดสอบ จำนวน (คน) คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ร้อย ละ S.D. t-test df Sig ก่อนเรียน 26 20 6.91 34.81 1.46 23.65* 25 .00 หลังเรียน 26 20 16.12 80.58 1.80 *ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียวของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. การศึกษาความพึงพอใจในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League ผลการศึกษาความพึงพอใจในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League พบดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ตารางผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 จากการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว กิจกรรม x̅ S.D. แปลผล 1. นักเรียนทราบจุดประสงค์ในการเรียนอย่างชัดเจน 4.73 0.67 มากที่สุด 2. กิจกรรมการเรียนสอดคล้องกับจุดประสงค์ 4.81 0.49 มากที่สุด 3. ครูส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันเป็น กลุ่ม/ทีม 4.92 0.27 มากที่สุด 4. ครูให้ความสนใจแก่นักเรียนอย่างทั่วถึง 4.77 0.59 มากที่สุด 5. ครูยอมรับความคิดเห็นของนักเรียน 4.81 0.49 มากที่สุด
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 79 กิจกรรม x̅ S.D. แปลผล 6. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามปัญหาหรือข้อสงสัย 4.77 0.65 มากที่สุด 7. นักเรียนชอบการเรียนแบบเทคนิค Math League 4.77 0.59 มากที่สุด 8. กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค Math League เป็นกิจกรรม ที่สนุกไม่น่าเบื่อ 4.77 0.51 มากที่สุด 9. ครูตั้งใจสอนและให้คำแนะนำนักเรียนในการทำกิจกรรม 4.81 0.49 มากที่สุด 10. นักเรียนชอบครูผู้สอน 4.65 0.89 มากที่สุด เฉลี่ยรวม 4.78 0.56 มากที่สุด จากตารางที่ 3 พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 มีความพึงพอใจในจากการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว โดยรวมมีระดับพึง พอใจมากที่สุด ( x̅ = 4.78, S.D. = 0.56) พิจารณารายข้อ พบว่า ครูส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันเป็น กลุ่ม/ทีม อยู่ระดับมากที่สุด ( x̅ = 4.92, S.D. = 0.27) กิจกรรมการเรียนสอดคล้องกับจุดประสงค์ อยู่ระดับ มากที่สุด( x̅ = 4.81, S.D. = 0.49) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามปัญหาหรือข้อสงสัย อยู่ระดับมากที่สุด ( x̅ = 4.77, S.D. = 0.65) ตามลำดับ 5. อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัย ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Math League ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยอภิปรายผล ได้ดังนี้ 5.1. จากการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว โดยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค Math League ให้มีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็มและต้องมีจำนวน นักเรียนที่ผ่านเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 75 ขึ้นไปของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 โดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 80.58 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เครื่องมือที่ได้สร้างขึ้นได้ผ่านกระบวนการขั้นตอนในการจัดทำอย่างเป็น ระบบวิธีการที่เหมาะสมโดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาหลักสูตรคู่มือครู และเนื้อหาวิชา ตลอดจนหลักการสร้าง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Math League เนื่องมาจากการวางแผนการวิจัย การตรวจสอบ จากผู้เชี่ยวชาญ การปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน พบว่า ขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียนมีความสนุกสนาน กระตือรือร้น สนใจ ใส่ใจเนื้อหาและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความ เต็มใจ เช่น การทำกิจกรรมเป็นทีมด้วย ความสามัคคีและรู้จักการแบ่งปันกับเพื่อนทั้งภายในทีมของตนเอง และกับทีมอื่น ๆ อีกด้วย ฯลฯ ซึ่งผลการวิจัยได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ ภานุวัฒน์ สายสิน, วรรณธิดา ยลวิลาศ และวรรณพล พิมพะสาลี (2563) ได้นำวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง โดยการจัดการเรียนรู้
80| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ทักษะการแยกตัว ประกอบของพหุนามดีกรีสอง โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 78.46 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ เท่ากับร้อยละ 84.62 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมดซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 5.2. จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เมื่อสิ้นสุดการเรียนรู้ผู้วิจัยได้นำข้อมูลจากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการแก้สมการกำลังสอง ตัวแปรเดียวในการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ การปรับปรุง ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วรรณพร ปิ่นฟ้า (2565) ได้ทำวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยแผนภาพ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Math League ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย พบว่า นักเรียนมีผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การวิเคราะห์และ การนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแผนภาพ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Math League ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.5 5.3. จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้น ปีที่ 3 มีความพึงพอใจในจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League เรื่อง การแก้สมการ กำลังสองตัวแปรเดียว โดยรวมคิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.78 อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับวิจัย ของ วิไลวรรณ อิสลาม, จุติพร อัศวโสวรรณ และมนิต พลหลา (2562, หน้า 46) ได้ทำวิจัย เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค Math League อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก 6. ข้อเสนอแนะ 6.1ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ ในการเตรียมความพร้อมก่อนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค Math League ผู้ออกแบบควรสร้างคู่มือในการทำกิจกรรมให้แก่ผู้เรียนทุกคนก่อน เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจวิธีการร่วมกิจกรรม ทั้งหมด เช่น อธิบายวิธีการทำกิจกรรม คะแนนที่จะได้รับ การได้รับรางวัลทำอย่างไร เพื่อให้ผู้เรียนทำความ เข้าใจวิธีการร่วมกิจกรรมมากขึ้น 6.2 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรทำการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค Math League ต่อทักษะ ด้านอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เนื่องจากระหว่างการจัดการเรียนรู้
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 81 แบบร่วมมือเทคนิค Math League นักเรียนจะต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ และหาวิธีแก้ไขเพื่อให้กลุ่มได้รับ ชัยชนะจากการแข่งขันดังนั้นการจัดการเรียนการสอนดังกล่าวน่าจะช่วยพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ได้ดี 2. ควรนำเทคนิค Math League นี้ไปประยุกต์ใช้กับวิชาคณิตศาสตร์เรื่องอื่น ๆ เช่น สมการ เชิงเส้นตัวแปรเดียว อสมการ การบวก ลบ คูณ และหารจำนวนเต็ม เพื่อเป็นการยืนยันผลการวิจัยอีกครั้ง เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). คู่มือการใช้หลักสูตร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กีรกานต์คำขาว และคณะ. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหา ของโพลยา และผังกราฟิก เพื่อส่งเสริมผลการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารบัณฑิตวิจัย, 7(2),75. ภานุวัฒน์ สายสินธุ์, วรรณธิดา ยลวิลาศ และวรรณพล พิมพะสาลี. (2563). การพัฒนาทักษะการแยกตัว ประกอบของพหุนามดีกรีสอง โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Math League สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารสถาบันวิจัยละพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, 5(2),42-53. วรรณพร ปิ่นฟ้า. (2565, 24 กุมภาพันธ์). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การวิเคราะห์และการ นำเสนอข้อมูล เชิงปริมาณด้วยแผนภาพ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Math League ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย. โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย. http://www. phrapathom.ac.th/workteacher-detail_17807 วิไลวรรณ อิสลาม , จุติพร อัศวโสวรรณ และ มนิต พลหลา. (2562). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค Math League ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารเทคโนโลยีภาคใต้, 12(1),44-49. วิสุทธิ์ คงกัลป์. (2552, 23 กรกฎาคม). เทคนิคการสอนแบบ Math League. กระทรวงศึกษาธิการ.https:// shorturl.asia/7NxSe วิสุทธิ์ คงกัลป์. (2560). เทคนิคการสอนแบบ Math League. วารสารวิชาการ สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน, 10(2),40-43. สุวนิตย์ ดอกบัว และคณะ. (2558). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยประยุกต์กรอบแนวคิด ของฟรายวิลลิก เรื่อง ระบบจำนวนจริง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(3),138-143.
82| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล สุวรรณา ฟักคำ และคณะ. (2561). ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์ร่วมกับการ ใช้คำถามระดับสูงที่มีต่อมโนทัศน์และความสามารถในการให้เหตุผล ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, 20(2),97-113. อนุชาติ ชาติรัมย์. (2564). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจำนวนจริงกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ด้วยเทคนิคการสอน TAI. วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น, 7(8),195-210.
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 83 ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ร่วมกับการใช้วรรณกรรม เพลงกล่อมเด็กภาคใต้อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุงเพื่อพัฒนาทักษะ การอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 The Effects of Using CIPPA Learning Activities and Lullaby Literature in the Southern Region of Kong Ra District, Phatthalung Province to Develop Critical Reading Skills in Thai of Grade 5 Students ก้องเกียรติ ฤทธิ์ชู1 , ปรียารัตน์ เชาวลิตประพันธ์2 ,อมลวรรณ วระธรรมโม3 Kongkiat Ritchoo1 , Preyarat chaowalitparpan2 , Amonwan wirathammo3 บทคัดย่อ งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. รวบรวมและคัดเลือกวรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุงที่มีเนื้อหาเหมาะสมในการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย 2.ออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model)ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และหาความ เหมาะสมของรูปแบบกิจกรรม 3. เปรียบเทียบความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ก่อนและหลังการใช้แผน จัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง 4.ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนกงหราพิชากร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 37 คน สถิติที่ที่ใช้ในการทดลอง ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติทดสอบ ทดสอบค่าที (t - test) และ ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ ผลการศึกษาพบว่า 1) เพลงกล่อมเด็กที่ผู้วิจัยศึกษาค้นคว้าโดยพิจารณาความเหมาะสมในการนำมาให้ ผู้เรียนศึกษาได้จำนวน 60เพลง แบ่งเป็น 5.ประเภท 2. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนา ทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มี่ค่าความเหมาะสมความเหมาะสม ของรูปแบบกิจกรรมในภาพรวมมากที่สุด 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการใช้รูปแบบการสอน 1 นิสิต หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาภาษาไทย มหาวิทยาลัยทักษิณ E-mail: [email protected] Student, Courses Master of Education Thai branch in Thaksin University. 2 อาจารย์ ดร.คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ E-mail: [email protected] Master Dr.in Faculty of Humanities and Social Sciences, Thaksin University. 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สังกัด สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา E-mail: [email protected] Assistant Professor Dr., Affiliation Secretary of the Teachers council of Thailand.
84| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล มีความสามารถหลังเรียนสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด คำสำคัญ : เพลงกล่อมเด็กอำเภอกงหรา, การอ่านเชิงวิเคราะห์, กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา Abstract The objectives of this research were; 1) to collect and select southern Thai lullabies with appropriate lyrics from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province to use as teaching material for critical reading in the Thai language, 2) to design the most effective learning activities using southern Thai lullabies from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province, following the CIPPA Model to develop critical reading skills in Matthayom 5 students at Kong Ra Pichakon School, 3) to compare the critical reading skills of students before and after activities using southern Thai lullabies from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province, following the CIPPA Model, and 4) to study students’ satisfaction of activities using southern Thai lullabies from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province, following the CIPPA Model. The sample group consisted of 37 Matthayom 5 students studying at Kong Ra Pichakon School in the academic year 2022, who were selected using a cluster random sampling method.Statistical methods employed in the data analysis were; mean, standard deviation, and t-test. The research revealed that; 1) 60 southern Thai lullabies with appropriate lyrics from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province could be used as material for teaching critical reading in the Thai language and can be categorized into five groups, 2) the effectiveness of using southern Thai lullabies from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province, which were designed following the CIPPA Model to develop critical reading skills in Matthayom 5 students at Kong Ra Pichakon School, was at the highest level (x=4.57), 3) students’ critical reading skills after being taught using southern Thai lullabies from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province and following the CIPPA Model, was higher than before with a significance level of 0.05, and 4) students’ satisfaction towards being taught using southern Thailullabies from the area of Kong Ra District, Phatthalung Province and following the CIPPA Model, was at the highest level. Keywords: Lullaby of Kong Ra District, Critical Reading, Cippa style learning activities 1.บทนำ
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 85 การอ่านถือเป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาความคิด เพราะการอ่านเป็นพื้นฐานของการเข้าใจ และการนำไปใช้ประโยชน์จากการอ่าน การอ่านถือเป็นกระบวนการเรียนรู้โดยเป็นการการศึกษาที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ดังนั้นการอ่านจึงเป็นกระบวนการที่จะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวเองและสามารถทำความเข้าใจใน เรื่องที่อ่านได้ด้วยตนเองเช่นเดียวกัน การอ่านเชิงวิเคราะห์เป็นการอ่านที่ใช้ทักษะสูงกว่าทักษะการอ่านทั่วไป นั่นคือไม่ใช่เพียงการอ่าน เพื่อความรู้และความเพลิดเพลินแต่ยังจำเป็นต้องวิเคราะห์การอ่านด้านอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้การจัดเตรียมเนื้อหา การสอนอ่านการเชิงวิเคราะห์ครูจึงควรจัดเตรียมเรื่องราว เนื้อหา หรือข้อความต่าง ๆ โดยจัดเตรียมเองหรือ มอบหมายให้นักเรียนศึกษารวบรวมมาก็ได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ เนื้อหาหรือเรื่องราวที่จะนำมาวิเคราะห์นั้น ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ด้วยเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการอ่านวิเคราะห์อย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การสร้างความรู้ความคิด การตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาและนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิต (กรมวิชาการ. 2546) สอดคล้องกับแนวคิดของ พรทิพย์ แข็งขัน และ เฉลิมลาภ ทองอาจ (2553) กล่าวถึง ความจำเป็นของการอ่านเชิงวิเคราะห์ว่า การอ่านเชิงวิเคราะห์เป็นปัจจัยสำคัญในการอ่านในยุคปัจจุบันที่ ผู้อ่านต้องเลือกบริโภคสื่อต่าง ๆ รวมถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การติดต่อสื่อสารของโลกไร้พรมแดน เพราะทำให้ นักเรียนมีหลักการแยกแยะประเมินเรื่องที่อ่านอย่างมีเหตุผล ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต พิจารณา ความแตกต่างและความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจ หรือสรุปสิ่งใดลงไปและเป็นทักษะที่ ใช้มากในวงการศึกษาและอาชีพต่าง ๆ ในปัจจุบัน การพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์นั้นมีหลากหลายวิธีเช่น การใช้นวัตกรรมทางการสอน สื่อการสอนทั้งในรูปแบบของหนังสือเรียน แบบเรียนสำเร็จรูป เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียนให้มีนิสัยรัก การอ่านและเกิดการพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ โดยหนึ่งในการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพนั้น คือรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเชิงทฤษฎี กล่าวคือ การแสวงหาความรู้นั้น เป็นกระบวนการที่มี ความสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) ซึ่งเป็นรูปแบบ ที่ประกอบด้วย 5 แนวคิด ได้แก่ 1) การสร้างความรู้ 2) แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3) แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ 4) แนวคิดกระบวนการการเรียนรู้ และ5) แนวคิดการถ่ายโอน ความรู้ โดยวิธีการสอนรูปแบบนี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้และความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่าง แท้จริง การจัดการเรียน การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) อาจทำได้ ด้วย 7 ขั้นตอน คือ 1) การทบทวนความรู้เดิม 2) การแสวงหาความรู้ใหม่ 3) การเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับ ความรู้เดิม 4) การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม 5) การสรุปจัดระเบียบความรู้ 6) การปฏิบัติหรือ แสดงความรู้ และ 7) การประยุกต์ใช้ความรู้ทิศนา แขมมณี (2542: 30) ได้เสนอหลักการจัดการเรียน ตามรูปแบบซิปปาไว้ว่า การเรียนรู้รูปแบบนี้เน้นที่การให้ผู้เรียนเป็นจุดสนใจ (center of attention) หรือ ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญ ซึ่งการที่ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญจะดูได้จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ หากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่จัดขึ้น (active participation) การมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น รู้สึกตื่นตัว ตื่นใจ ใจจดจ่อผูกพันกับสิ่งที่ทำ เป็นการจัดเพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ตามหลักการของ CIPPA Model นี้ได้แนวคิดมาจากการประสาน 5แนวคิดหลัก คือ1. แนวคิดการสรรสร้างความรู้ (construction of knowledge) 2. แนวคิดเรื่องกระบวนการกลุ่ม และการเรียนแบบร่วมมือ (group process and co - operativel)
86| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3. แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ (learning readiness) 4. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้กระบวนการ (process learning) 5. แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนการเรียนรู้ (transfer of learning) กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) มีความสำคัญกับการจัดการการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ตามขั้นตอนของบลูม (Bloom’s Taxonomy) คือพฤติกรรมทางพุทธิพิสัยของ เบนจามิน บลูม และคณะ (Bloom et al, 1956) กำหนดฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา (Cognitive Domain) ขึ้นในปี 2499 และได้ปรับแก้ ไขในปี 2544 ซึ่งพฤติกรรมการเรียนรู้แบ่งเป็น 6 ระดับ คือ คือขั้นที่1. การจดจำ (Remembering) ขั้นที่ 2 การทำความเข้าใจ (Understanding) ขั้นที่ 3. การประยุกต์ใช้ (Applying) ขั้นที่ 4. การวิเคราะห์ (Analyzing) ขั้นที่ 5.การประเมิน (Evaluating)และขั้นที่ 6. การสร้างสรรค์ (Creating) โดยส่วนใหญ่แล้วผู้เรียนมีการเรียนรู้ และสามารถพัฒนาได้เพียงขั้นที่ 3 แต่เมื่อถึงขั้นที่สูงกว่านักเรียนเรียนรู้ได้ไม่ดี (ทิศนา แขมมณี. 2548) ดังนั้นเพื่อให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้ถึงขั้นวิเคราะห์จำเป็นจะต้องให้ผู้เรียนเข้าใจ และมีประสบการณ์โดยตรงทั้งนี้ กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) เพื่อการเรียนรู้จึงมีความสอดคล้องกับการเรียนการสอนมากที่สุด ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวพบว่า มีผู้ศึกษาและทำการวิจัยโดยนำกิจกรรมการ เรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ที่ได้พัฒนามาจากประสบการณ์การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบ เช่น ผลการอ่านคิดวิเคราะห์ ภาษาไทยจากการ ใชกิจกรรมกลุ่มร่วมกันคิดประกอบเทคนิคซิปปาโมเดลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ของ พรสุดา อินทรสาน (2554) พบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์หลังการจัดการเรียนรูสูงงกวาก่อนเรียนโดยมีคะแนน ก่อนเรียนเฉลี่ย 9.25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 61.67 คะแนนหลังเรียนเฉลี่ย 11.32คะแนน คิดเป็นร้อยละ 75.47 และ (2) ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียนสูงขึ้นในระดับดีมากคิดเป็นร้อยละ 76.79 ซึ่งสอดคล้องกับ กานตพงศ์ จันทร์ทอง (2562) โดยการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์สาระ ประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาร่วมกับการโค้ช พบว่าเมื่อจัดการเรียนการสอนรูปแบบดังกล่าวแล้วทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์และ รวมถึงพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ได้ การจัดการศึกษาในโรงเรียนกงหราพิชากร ซึ่งโรงเรียนมัธยมขนาดกลาง ที่ตั้งโรงเรียนประเภทนอก เมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง มีปัญหาด้านการอ่านโดยอ้างอิงจากผลการทดสอบ มาตรฐาน O-NET พบปัญหาในรายวิชาภาษาไทยในสาระทั้ง 5 สาระ ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานคือ สาระการอ่าน สาระการเขียน สาระการฟัง ดู พูด สาระการใช้ภาษา สาระวรรณคดีและวรรณกรรม โดยในสาระที่จำเป็นต้อง แก้ไขอย่างเร่งด่วนคือสาระการอ่านกล่าวคือ ในปี 2562 ระดับโรงเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 34.15 เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างค่าสถิติคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศอยู่ที่ 43.65 ระดับจังหวัดค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 43.96 ระดับขนาดโรงเรียน อยู่ที่ 37.93 และเมื่อมองค่าความสัมพันธ์แล้ว ระดับค่าเฉลี่ยผลการผลการทดสอบมาตรฐาน O-NETสาระการอ่าน กลุ่มสาระภาษาไทยพบว่า มีค่าความต่างของโรงเรียนกับระดับจังหวัดอยู่ที่ 9.81 และระดับประเทศอยู่ที่ 9.83 (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. 2562) ซึ่งมองว่าเป็นปัญหาที่จำเป็นจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะว่าการอ่านเป็นสาระที่ผู้เรียนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาทั้งในสาระและนอกสาระในกลุ่มรายวิชาอื่น ๆ ได้อีก บริบทการจัดการศึกษาของโรงเรียนกงหราพิชากรมุ่งพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตรท้องถิ่น เข้าร่วมด้วยโดยมีการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาและวัฒนธรรม ผู้วิจัยเห็นว่าเนื้อหาบางประการ มีความเกี่ยวข้องกับเพลงกล่อมเด็กซึ่งเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้มีจุดประสงค์หลักเพื่อเป็นการขับกล่อมทำ
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 87 ให้ทารกหลับ เพลงกล่อมเด็กหรือเพลงชาน้องหรือเพลงร้องเรือมีเนื้อหาที่มีการสอดแทรกสภาพสังคม วิถีชีวิต หลักศาสนา คติธรรมคำสอน ตลอดจนประเพณีและวัฒนธรรมสอดแทรกไว้ เราไม่อาจปฏิเสธวัฒนธรรมเก่าแก่ อันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจิตใจของประชาชนและลักษณะพื้นฐานของสังคมประชาชน ถ้าเราต้องการศึกษา เรื่องของมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่นให้เข้าใจ เราควรศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้น ๆ ให้แจ่มแจ้ง เพลงกล่อมเด็ก ก็เป็นหนึ่งในนั้น (จรูญศักดิ์ บุญญาพิทักษ์. 2554) ดังนั้นการทำความเข้าใจต่อวัฒนธรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตของท้องถิ่นนั้น ๆ ผ่านเพลงกล่อมเด็กซึ่งเชื่อมโยงและ สอดคล้องกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้รูปแบบของซิปปาโมเดล เนื่องจากผู้วิจัยคิดว่าผู้เรียนจะมีความเข้าใจ ในวิถีชีวิตท้องถิ่นของตัวเองและสามารถถ่ายทอดประสบการณ์สู่การเรียนรู้เพื่อแลกเปลี่ยนมวลประสบการณ์ อีกทั้งสามารถเชื่อมโยงสู่ความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์ได้ นอกจากเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ จะมีภารกิจหลักเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางสุนทรียะของ มนุษย์แล้ว เพลงกล่อมเด็กภาคใต้ยังสะท้อนให้เห็นภาพสังคม วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตของผู้คนในสังคม นั้น ๆ ตลอดจนค่านิยมและระบบความคิดของผู้คนในสังคมเพราะเพลงกล่อมเด็กสร้างและดำรงอยู่ในสังคม วัฒนธรรมของท้องถิ่น บริบททางสังคมวัฒนธรรมจึงกลายเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์เพลงกล่อมเด็กภาคใต้ เหตุการณ์ที่สำคัญของท้องถิ่น ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของผู้สร้างที่มีต่อปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม ที่ตนเป็นส่วนหนึ่งนั้นย่อมเป็นตัวกำหนดเนื้อหาหลักของเพลงและได้รับการปรับเปลี่ยนมาเป็นเนื้อหาของเพลง กล่อมเด็กภาคใต้ (ถิรฉัตร คงจันทร์. 2556) เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของเพลงกล่อมเด็กกับการอ่านเชิง วิเคราะห์แล้วเนื้อหาเพลงกล่อมเด็กสามารถสื่อสารความสัมพันธ์ หน้าที่ในสังคม และเหตุการณ์ในสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น อีกทั้งทำให้ผู้เรียนเข้าใจความเปลี่ยนแปลงในสังคม และเป็นข้อคิด คติเตือนใจให้ผู้ที่ศึกษา จากการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน เพลงกล่อมเด็ก และรูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ความรู้ ดังกล่าวออกมาเป็นกรอบแนวคิดการวิจัยดังนี้ ภาพที่ 1 ภาพกรอบแนวคิดการวิจัย ดังนั้นเพลงกล่อมเด็กจึงเป็นมรดกทางภูมิปัญญา มีความสอดคล้องกับการศึกษาข้างต้น จะเป็น สื่อกลางในการสืบทอดบริบทของสังคมท้องถิ่นใต้เพื่อถ่ายทอดวิถีชีวิต ประสบการณ์ ของผู้พบเจอ ซึ่งอาจเป็น การดึงดูดความสนใจในการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียนสู่นิสัยรักการอ่าน และสามารถพัฒนาทักษะการอ่านเชิง การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาโดยใช้เพลง กล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา ขั้นที่ 1 ทบทวนความรู้เดิม ขั้นที่ 2 แสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นที่ 3 ศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การใช้กลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ ขั้นที่ 5 สรุป จัดระเบียบความคิด ขั้นที่ 6 การปฏิบัติและการแสดงผลงาน ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ ขั้นที่ 1 รวบรวมข้อมูล ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ ขั้นที่ 3 สรุป ขั้นที่ 4 ประยุกต์และนำไปใช้ ความพึงพอใจ ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม สอนรูปแบบซิปปาโมเดลร่วมกับ การใช้เพลงกล่อมเด็กภาคใต้
88| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล วิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้การศึกษาข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้วิจัยสนใจศึกษาความเข้าใจในการ พัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้ วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง 2. วัตถุประสงค์การวิจัย 2.1. เพื่อรวบรวมและคัดเลือกวรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ที่มีเนื้อหาเหมาะสมในการนำมาจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย 2.2. เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลง กล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และหาความเหมาะสมของรูปแบบกิจกรรม 2.3. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ก่อนและหลังการใช้แผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2.4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3. ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนกงหราพิชากร ตำบลคลองทรายขาว อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นห้องที่มีการคละนักเรียนเป็นเก่ง อ่อน ปานกลาง จากสถิติข้อมูลนักเรียน ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้อง รวมทั้งสิ้น 90 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียน กงหราพิชากร ตำบลคลองทรายขาว อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง จำนวน 37 คนโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านเชิงวิเคราะห์เรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) โดยใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาทักษะการ อ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย จำนวน 5 แผน 10 คาบ คาบละ 50 นาที 2. แบบทดสอบวัดความสามารถทางการ อ่านเชิงวิเคราะห์เรื่องการจัดการเรียนรู้ซิปปาโม (CIPPA Model) โดยใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง แบบปรนัยเลือกตอบจำนวน 30 ข้อ ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 3. แบบสอบถามความ พึงพอใจการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็ก ภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1.ทำหนังสือเพื่อขอความร่วมมือจากสถานศึกษา 2.ดำเนินการเลือกประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ซึ่งประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบ 4. ทดสอบก่อนเรียน
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 89 โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 5. ทดลองแผนการจัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการ เรียนรู้ที่เตรียมไว้ตามกระบวนการกับกลุ่มทดลอง จำนวน 5 แผน 10 คาบ คาบละ 50 นาที6. ทดสอบด้วย แบบทดสอบหลังเรียน ชุดเดียวกับการทดสอบก่อนเรียนจำนวน 30 ข้อ 7. ประเมินความพึงพอใจในการเรียน ด้วยแบบประเมินความพึงพอใจในการกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้ วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย เพื่อรวบรวมข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ต่อไป 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง 2.วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.สรุปผลการวิจัย 4.1. ผลการศึกษาเพลงกล่อมเด็กโดยการสำรวจข้อมูลจากผู้บอกภาษาภาคในพื้นที่อำเภอกงหรา จากคุณสมบัติของผู้บอกภาษาและหนังสือหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้เพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ทั้งหมด 96 เพลง เมื่อนำมาจำแนกตามความเหมาะของการนำมาจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนสามารถ จำแนกได้ เป็น 5 ประเภท รวม 60 เพลงได้แก่ 1.ประเภทการเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน มีจำนวน 39 เพลง เช่น เพลงน้องนอน เพลงรักกันคนท่าหลิง เป็นต้น 2.ประเภทสภาพสังคม เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่มีจำนวน 6 เพลง เช่น เพลงแดดออก เพลงโพธิ์ทอง เป็นต้น 3.ประเภทความเชื่อ ศาสนา มีจำนวน 6 เพลง เช่นเพลงนอนวัน เพลงต้นบาป เป็นต้น 4.ประเภทประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม มีจำนวน 5 เพลง เช่น เพลงบ้านหัวนอน เพลงต้นมังคุด เป็นต้น 5.ประเภทตำนาน นิทาน วรรณกรรม มีจำนวน 2 เพลง ได้แก่ เพลงนางเมรี เพลงนางโนราซึ่งเพลงที่ได้คัดเลือกทั้งหมด 60 เพลงนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์สารัตถะจากเพลงกล่อมเด็กไว้แล้ว เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการจัดการเรียนการสอนที่มีขั้นตอนในการสืบค้นเพลงจากท้องถิ่นของผู้เรียนด้วยทั้งนี้ จาการศึกษาพบว่าเนื้อหาเพลงที่เกี่ยวกับประเภทการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนมีจำนวนมากที่สุด อาจด้วยเป็น จุดประสงค์ที่สำคัญของเพลงกล่อมเด็กที่มีคุณค่าด้านการอบรม สั่งสอน เพื่อให้บุตรหลานเป็นคนดี โดยผ่านวรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง
90| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 4.2. ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนหลังการใช้แผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับการใช้เพลงกล่อมเด็กภาคใต้อำเภอกงหรา เพื่อพัฒนาทักษาการ อ่านเชิงวิเคราะห์ดังตาราง ตารางที่ 1 ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนก่อนและหลังเรียน ทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ คะแนน เต็ม คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน t X̅ S.D. X̅ S.D. รวบรวมข้อมูล (เข้าใจความหมายของ การ สังเกต ซักถาม สนทนา เนื้อหา ข่าวสารจากสื่อ) 7 3.162 0.60 4.226 0.64 4.32* วิเคราะห์ (คิดวิเคราะห์ จำแนกและจับ ใจความสำคัญของเรื่องได้ว่า ใครทำอะไร ที่ไหน กับใคร และผลเป็นอย่างไร) 8 3.405 0.58 4.486 0.68 3.28* สรุป (สังเคราะห์ข้อมูล สรุปความน่าจะ เป็น ความน่าเชื่อถือ หาข้อมูลเพิ่มเติม หลักฐานประกอบการตัดสินใจ) 7 3.389 0.49 4.262 0.53 3.46* ประยุกต์และนำไปใช้ (นำผลการเรียนรู้ สู้การปฏิบัติจริง เลือกอย่างเหมาะสม ก่อนนำไปใช้) 8 3.59 0.83 5.567 0.88 4.89* รวม 30 13.546 2.5 18.541 2.73 15.9 5* * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 67% 10% 10% 9% 4% ผลการศึกษาเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อ าเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ประเภทประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ประเภทความเชื่อ ศาสนา ประเภทการเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน ประเภทสังคม เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ประเภทต านาน นิทาน วรรณกรรม
เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 91 จากตารางพบว่าโดยภาพรวมนักเรียนที่ใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับเพลงกล่อมเด็กภาคใต้อำเภอกงหรา เพื่อพัฒนาทักษาการอ่านเชิงวิเคราะห์มีความสามารถในการอ่าน เชิงวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 13.546 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 18.541 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน 4.3. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับใช้วรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน เชิงวิเคราะห์ภาษาไทย ดังตาราง ตารางที่ 3 คะแนนความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 37 คนหลังจากการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) (n=37) ความพึงพอใจ X̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 1. ด้านการจัดเตรียมเนื้อหาการสอน ครูมีการเตรียมการสอน เนื้อหาที่สอนทันสมัยนำไปใช้ได้จริง เนื้อหามีความเหมาะสมกับผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้องน่าเชื่อถือ 4.55 4.74 4.60 4.63 0.53 0.54 0.55 0.49 มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด รวมเฉลี่ย 4.63 0.52 มากที่สุด 2. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์กันกับจุดประสงค์การเรียนรู้ มีความเหมาะสมระหว่างกิจกรรมกับ เวลา สื่อ และสภาพแวดล้อม มีความน่าสนใจ กระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตลอดกิจกรรม เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมความคิดทักษะ กระบวนการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ 4.60 4.57 4.55 4.63 0.55 0.56 0.56 0.47 มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด รวมเฉลี่ย 4.58 0.53 มากที่สุด 3. ด้านสื่อและนวัตกรรมการสอน สื่อการสอนเหมาะสมกับผู้เรียน สื่อการเรียนการสอนน่าสนใจ สื่อมีความทันสมัย 4.45 4.57 4.47 0.56 0.55 0.61 มาก มากที่สุด มาก รวมเฉลี่ย 4.49 0,57 มาก