The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มครุศาสตร์วิชาการครั้งที่13(บรรยาย)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by janistapv, 2023-07-04 06:59:55

รวมเล่มครุศาสตร์วิชาการครั้งที่13(บรรยาย)

รวมเล่มครุศาสตร์วิชาการครั้งที่13(บรรยาย)

292| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ฉัตรปกรณ์ กำเนิดผล. (2562). วรรณกรรมหนังตะลุงร่วมสมัยเรื่องรามเกียรติ์ของคนรอบลุ่มทะเลสาบ สงขลา. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ทักษิณ, ค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2565, จาก http://ir.tsu.ac.th/xmlui/handle/123456789/84. เฉลียว ด้วงศิลป์, คณะหนังรุ่งฟ้า แสงทอง, 17 กันยายน 2565. ชวพันธุ์ เพชรไกร. (2559). โขนสดคณะประยุทธ ดาวใต้ : การสืบทอดและการสร้างสรรค์เรื่องรามเกียรติ์ ในสังคมไทยร่วมสมัย. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาไทย บัณฑิต วิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้. (2562). หนังตะลุง. ค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2565, จาก https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content. ดรุณี ชูศรี. (2555). ดนตรีในพิธีกรรมแก้เหฺมฺรยหนังตะลุง: กรณีศึกษาหนังตะลุงคณะอาจารย์ณรงค์ ตะลุง บัณฑิต. วิทยานิพนธ์ปริญญานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยดุริยางควิทยา บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ค้นเมื่อ 7 สิงหาคม 2565, จาก https://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/2323/2/Darunee_C.pdf. ปรินทร์ รัตนบุรี, คณะหนังโอปอ ศ.เคล้าน้อย, 24 กันยายน 2565. ภินัน ษารักษ์, 10 กันยายน 2565. เมริกา อินทรวงศ์, 17 กันยายน 2565. วรพจน์ บุญญา, คณะหนังวรพจน์ เธียรทอง, 12 กันยายน 2565. วันชัย ชูแก้ว, คณะหนังอาจารย์วันชัย ตะลุงทอง, 10 กันยายน 2565. วิมล ดำศรี. (2549). หนังตะลุงชั้นครูคู่เมืองนครศรีธรรมราช (พิมพ์ครั้งที่2). นครศรีธรรมราช: สมภรณ์ บัวจันทร์, คณะหนังสมพร ระฆังทอง, 17 กันยายน 2565. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. (2523). หนังตะลุง. สงขลา: มูลนิธิเอเชีย จัดพิมพ์เผยแพร่ สุมล ศักดิ์แก้ว, คณะหนังสุมล ศ.ปทุม, 18 กันยายน 2565. แสงดาว. (2558). บทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว. ไสว หมื่นอักษร, คณะหนังสไว เสียงเสน่ห์, 10 กันยายน 2565.


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 293 การศึกษาการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 A Study of School Security Operations Under Phitsanulok Primary Educational Service Area 1 Office กัมปนาท นาคบัว1 , สถิรพร เชาวน์ชัย2 Kumpanad Nakbua1 , Sathiraporn Chaowachai2 บทคัดย่อ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู และผู้บริหารโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 310 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น กำหนดสัดส่วนตามกลุ่มวิชาการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบ Checklist การเก็บรวบรวม ข้อมูลโดยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ จากอาคารเรียน อาคารประกอบ ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด พบว่า การแต่งตั้งบุคลากรในการดูแลรักษาอาคารสถานที่ เท่ากับร้อยละ100 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติภัย ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด พบว่า การให้ครูและนักการภารโรง อยู่เวรยามรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดในแต่ละวันและยามวิกาล เท่ากับร้อยละ 100 ด้านมาตรการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม การล่วงละเมิดทางร่างกายและจิตใจ ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด พบว่าการจัดบรรยากาศภายในห้องเรียนและสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้มีความปลอดภัย เท่ากับร้อยละ100 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียน ด้านโรคติดต่อและโรคระบาด ข้อที่มีร้อยละ ของการปฏิบัติสูงสุด พบว่า การแยกนักเรียนที่ป่วยและนักเรียนที่สัมผัสโรคติดต่อ เท่ากับร้อยละ 100 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสัตว์มีพิษ ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด พบว่า การจัดสภาพแวดล้อม ให้สะอาดร่มรื่น ตัดแต่งต้นไม้กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ เท่ากับร้อยละ 100 คำสำคัญ : ความปลอดภัย, งานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา, มาตรการความปลอดภัย 1 นิสิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ภาควิชาบริหารและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร [email protected] Student of Educational Administration, Department of Administration and Development Faculty of Education Naresuan University 2 ศาสตราจารย์ดร.สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ภาควิชาบริหารและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร [email protected] Assistant Professor Dr. of Educational Administration, Department of Administration and Development Faculty of Education Naresuan University


294| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล Abstract The objectives of this research were to study of safety procedures of educational institutions Under the Phitsanulok Primary Educational Service Area Office 1. This study is an survey research. The samples were 310 government teacher school administrators in Phitsanulok Primary Educational Service Area Office 1.The sample was determined by stratified random sampling giving the school. The tools used in the study were checklist questionnaires. The data was collected by the researcher itself. The data analysis was processed by statistical analysis which are frequency percentage mean The results were shown: A study of school security operations under the Office of Phitsanulok Primary Educational Service Area Office 1 Measures to prevent and correct accidents From the school building, compound building, item with the highest percentage of practice, it was found that the appointment of personnel to maintain the building and place. equals 100 percent, Measures to prevent and resolve accidents The item with the highest percentage of practice found that teachers and janitors were strictly on duty security guards each day and night. equals 100 percent, Measures to prevent and solve social problems physical and mental abuse The item with the highest percentage of practice found that the atmosphere in the classroom and the environment in the school are safe. equals 100 percent,Measures for prevention and correction of student health Infectious diseases and epidemics The item with the highest percentage of practice was found that the separation of students who were sick and students who were exposed to communicable diseases. equals 100 percent, Measures for the prevention and correction of poisonous animals item with the highest percentage of practice, it was found that the arrangement The environment is clean and shady. trimming trees Eliminate poisonous animal habitats. equals 100 percent Keywords: Safety, School security work, Safety measures 1. บทนำ แผนการศึกษาแห่งชาติ(พ.ศ.2560–2579) จึงได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่เกิดจาก ความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีของโลกยุคศตวรรษที่ 21 เป็นพลวัตที่ก่อให้เกิดความท้าทายในด้าน การเปลี่ยนแปลงของบริบทเศรษฐกิจและสังคมโลก อันเนื่องจากการปฏิวัติดิจิทัล (Digital Revolution) ประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้การติดกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม และพฤติกรรมของประชากรที่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลกาภิวัตน์เป็นผลให้ เกิดการเร่งแก้ไขปัญหา ทั้งยังเกิดภัยคุกคามต่อความมั่นคงรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและ ประเทศชาติมีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งภัยในแต่ละด้านล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ กอปรกับนโยบาย Quick Win 7 วาระเร่งด่วน ข้อที่ 1 ความปลอดภัยของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการ (ออนไลน์ https://moe360.blog/2021/05/12/7-quickwin/)


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 295 การศึกษาคือความเจริญงอกงาม บุคคลจะเจริญงอกงามต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและ จิตใจ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ อเมริกา นิวซีแลนด์ญี่ปุ่น และ ฟิลิปปินส์ประเทศเหล่านี้ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยเป็นลำดับแรกในการบริหารสถานศึกษา (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2537, น. 134) ผู้เรียนทุกคนต้องได้รับความปลอดภัยทั้งทางด้านอุบัติเหตุ อุบัติภัย ปลอดภัยจากปัญหาทางสังคม มีความปลอดภัยด้านสุขภาพ ปลอดภัยจากสัตว์มีพิษ และปลอดภัย จากผลกระทบจากการสู้รบและความไม่สงบ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 63 ได้กำหนดให้โรงเรียนและสถานศึกษาต้องจัดให้มีระบบงานและกิจกรรมในการแนะแนวให้คำปรึกษาและ ฝึกอบรมแก่นักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครอง เพื่อส่งเสริมความประพฤติที่เหมาะสม มีความรับผิดชอบต่อ สังคมและจัดความปลอดภัยแก่นักเรียน (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก 2548, น. 101) นโยบายสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งมั่นในการพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เป็น “การศึกษาขั้นพื้นฐานวิถีใหม่ วิถีคุณภาพ” มุ่งเน้นความปลอดภัยในสถานศึกษา ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและบริหารจัดการศึกษาอยางมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นพัฒนาระบบและกลไก ในการดูแลความปลอดภัยใหแก่ผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา และสถานศึกษา จากภัยพิบัติและภัย คุกคามทุกรูปแบบ รวมถึงการจัดสภาพแวดลอมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดีสามารถปรับตัวต่อโรคอุบัติใหม่ และอุบัติซ้ำส่งเสริมความปลอดภัยสร้างความมั่นใจให้สังคม เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาสังกัด กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การป้องกัน ดูแล ช่วยเหลือหรือเยียวยา สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ 1 ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 คือ ส่งเสริมระบบ ความปลอดภัยทุกรูปแบบ กำหนดนโยบายและจุดเน้น 1. ความปลอดภัยและระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนซึ่ง โรงเรียนนับว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญต่อเด็กมาก ทั้งนี้เนื่องจากเด็กจะต้องใช้ชีวิตอยู่วันละ 6 –7 ชั่วโมง ความรู้ทัศนคติค่านิยม และประสบการณ์ต่างๆ ที่เด็กได้รับในโรงเรียน ย่อมมีอิทธิพลต่อจิตใจ ความสนใจ และอุดมคติในชีวิตการเรียนต่อไปจนถึงชีวิตในการทำงานของเด็กทุกคน ประการสำคัญโรงเรียนเป็นสถาบัน ที่จะสร้างเสริมประชาชนให้มีสุขภาพดีมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และมีพฤติกรรมที่ปลอดภัย สามารถดำรงชีวิต ในสังคมได้อย่างมีความสุข และทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้เต็มความสามารถ (เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์ 2548, น. 101) จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสถานศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการรักษาความปลอดภัยใน สถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาควรตระหนักและให้ความสำคัญ เพราะนักเรียนเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของ การจัดการศึกษา ผู้บริหาร ครูผู้ปกครอง ชุมชน จึงต้องแสวงหาหนทางที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมี ความสุข ได้รับการปลูกฝังเรื่องความปลอดภัยจนเกิดเป็นนิสัย มีจิตสำนึกแห่งความปลอดภัย (safety culture) และวัฒนธรรมแห่งความปลอดภัย (safety culture) อีกทั้งมีทักษะชีวิตในการดำรงชีพอยู่ท่ามกลาง กระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศตามมาตรฐานสากล เช่นเดียวกับการรักษาความ ปลอดภัยในโรงเรียนของต่างประเทศนั้น พบว่ามีการให้ความสำคัญและมีการพัฒนาในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก


296| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล เช่น มีการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติร่วมกันของผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้ปกครองและนักเรียนในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุและอุบัติภัยอย่างจริงจังเป็นประจำ (กระทรวงศึกษาธิการ สำนักอำนวยการ กลุ่มส่งเสริมสวัสดิภาพและสงเคราะห์นักเรียน 2554,) ด้วยเหตุผล ดังกล่าวข้างต้นทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 เพื่อนำผลการวิจัยไปเป็นแนวทางการบริหารความ ปลอดภัยของสถานศึกษาให้มีคุณภาพต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 3. ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ได้แก่ ข้าราชการครู และผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1,561 คน จากโรงเรียนทั้งหมด 113 โรงเรียน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ข้าราชการครู และผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 310 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยเปิดตาราง ของ Krejcie & Morgan (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 43) ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามตำแหน่ง 2. เครื่องมือการวิจัย เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ประกอบด้วย เพศ ตำแหน่ง วุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน ตอนที่ 2 แบบสอบถามการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 มีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติภัย ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม ด้านมาตรการ ป้องกันและแก้ไขด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียน และด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสัตว์มีพิษ จำนวน 116ข้อ


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 297 3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของแบบสอบถามการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ดังนี้ 1. ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2. กำหนดรูปแบบและโครงสร้างเนื้อหาของแบบสอบถามตามกรอบแนวคิดเกี่ยวกับการดำเนินงาน รักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา 5 ด้าน ได้แก่ ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ ด้านมาตรการ ป้องกันและแก้ไขอุบัติภัย ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไข ด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียน และด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสัตว์มีพิษ 3. ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามภายใต้ขอบเขตการวิจัย และสร้างแบบสอบถามฉบับร่างให้ ครอบคลุมตามขอบเขตเนื้อหา กรอบแนวคิดการวิจัย และนิยามศัพท์เฉพาะ การดำเนินงานรักษาความ ปลอดภัยของสถานศึกษา ทั้ง 5 ด้าน 4. นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความ ครอบคลุมของเนื้อหา ความถูกต้องของภาษา และความชัดเจนในข้อความ แล้วนำข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไขให้ ถูกต้อง ตามที่อาจารย์ที่ปรึกษาเสนอแนะ 5. แบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาเรียบร้อย แล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน เพื่อตรวจสอบหาความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างนิยามศัพท์เฉพาะกับข้อคำถาม และปรับปรุงแก้ไขให้แบบสอบถามมี คุณภาพสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 6. นำผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับนิยาม ศัพท์เฉพาะ จากนั้นเลือกข้อคำถามเฉพาะที่มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.50 - 1.00 มาใช้ ซึ่งปรากฏว่าได้ค่าดัชนี ความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามตั้งแต่ 0.67 7. นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของข้อความอีกครั้งหนึ่ง แบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try out) กับครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างกระจายไปตาม สถานศึกษา รวมทั้งสิ้น 30 คน 8. นำแบบสอบถามทั้งฉบับมาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีการ หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาตามวิธีของ Cronbach ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 9. นำแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความเชื่อมั่นแล้ว มาปรับปรุงแก้ไขและจัดพิมพ์เป็น แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ เพื่อใช้ในการเก็บรวบร่วมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาต่อไป


298| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามและนำแบบสอบถาม มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม สำเร็จรูปทางสถิติ โดยดำเนินการดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ 2. วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย 3. จัดลำดับการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยเรียงค่าร้อยละของการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา จากมากไปหาน้อย 4. สรุปผลการวิจัย ผลการศึกษาการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ดังนี้ ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ จากอาคารเรียน อาคารประกอบ ข้อที่มีร้อยละ ของการปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 1.การแต่งตั้งบุคลากรในการดูแลรักษาอาคารสถานที่ เท่ากับร้อยละ 100 ส่วนข้อที่มีร้อยละของการไม่ปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 6.การติดตั้งอุปกรณ์และจัดสภาพห้องน้ำห้องส้วมที่ เหมาะสมกับวัยและลักษณะของผู้ใช้งาน เช่นนักเรียน คนพิการ ผู้สูงอายุ เท่ากับร้อยละ 15.48 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติภัย ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 8 การให้ครูและนักการภารโรงอยู่เวรยามรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดในแต่ละวันและยามวิกาล เท่ากับร้อยละ 100 ส่วนข้อที่มีร้อยละของการไม่ปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 5.การติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัย พร้อมแผนผังการหนีไฟประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนทราบและฝึกซ้อม เท่ากับร้อยละ 43.87 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม การล่วงละเมิดทางร่างกายและจิตใจ ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 2.การจัดบรรยากาศภายในห้องเรียนและสภาพแวดล้อม ในสถานศึกษาให้มีความปลอดภัย,และข้อที่ 3.การใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เท่ากับร้อยละ 100 ส่วนข้อที่มีร้อยละของการไม่ปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 4.การตรวจสอบแหล่งจำหน่าย หนังสือ การ์ตูนและวารสารยั่วยุรอบบริเวณโรงเรียนอย่าให้มีขึ้น เท่ากับร้อยละ 21.61 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียน ด้านโรคติดต่อและโรคระบาด ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 2.การแยกนักเรียนที่ป่วยและนักเรียนที่สัมผัสโรคติดต่อ, และข้อที่ 3.การแจ้งเมื่อมีโรคติดต่อเกิดขึ้นในสถานศึกษา ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เท่ากับร้อยละ 100 ส่วนข้อที่มีร้อยละของการไม่ปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 1.มีการตรวจร่างกายหาผู้ป่วย เท่ากับร้อยละ 15.48


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 299 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสัตว์มีพิษ ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 1.การจัดสภาพแวดล้อมให้สะอาดร่มรื่น ตัดแต่งต้นไม้ กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ เท่ากับร้อยละ 100 ส่วนข้อที่มีร้อยละของการไม่ปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ข้อที่ 3.การจัดทำป้ายเตือนภัยจากสัตว์มีพิษในบริเวณที่ เป็นจุดเสี่ยง เท่ากับร้อยละ 31.29 5. อภิปรายผลการวิจัย ผลการศึกษาการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 สามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้ การศึกษาการดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ จากอาคารเรียน อาคารประกอบ ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด คือการแต่งตั้งบุคลากรในการดูแลรักษา อาคารสถานที่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางสภาพแวดล้อม บุคลาการในสถานศึกษาต้องช่วยกันสอดส่องดูแลเรื่อง อาคารสถานที่ ทั้งที่เป็นมุมอับง่ายต่อการประพฤติผิดของนักเรียนหรือจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงควรมี มาตรการในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุซึ่งสอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552 : 19) พบว่าสถานศึกษาควรมีมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านอุบัติเหตุจากอาคารเรียน อาคารประกอบ โดยการแต่งตั้งคณะบุคคลในการดูแลอาคารสถานที่ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ วิไล กวางคีรี (2550) ที่ศึกษาบทบาทผู้บริหารในการบริหารความปลอดภัยในสถานศึกษาพบว่า บทบาทของผู้บริหารด้าน การจัดตั้งคณะกรรมการมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติภัย ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด คือ การให้ครูและนักการ ภารโรงอยู่เวรยามรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดในแต่ละวันและยามวิกาล สอดคล้องกับ วิจิตร บุณหะโหตระ (2530: 198) ที่กล่าวว่าการจัดตั้งคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยในหน่วยงาน เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้การ ป้องกันอุบัติภัยได้ผลดี ไม่ว่าคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นนั้นจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ ชาญ ขวัญมุข (2544) ที่พบว่าสภาพการดำเนินการประกันความปลอดภัยด้านการป้องกันและ แก้ไขอุบัติภัย ข้อที่มีการดำเนินการสูงสุด คือ ครูและนักการภารโรงอยู่เวรยามอย่างเคร่งครัด ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม การล่วงละเมิดทางร่างกายและจิตใจ ข้อที่มีร้อยละ ของการปฏิบัติสูงสุด คือ การจัดบรรยากาศภายในห้องเรียนและสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้มีความ ปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (2552: 64) ได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมด้านการถูกล่อลวงและลักพาตัวไว้ว่า ควรมีการจัดบรรยากาศภายในห้องเรียนและสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้มีความปลอดภัย ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียน ด้านโรคติดต่อและโรคระบาด ข้อที่มี ร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด คือ การแยกนักเรียนที่ป่วยและนักเรียนที่สัมผัสโรคติดต่อ เพื่อป้องการความ ปลอดภัยทางด้านโรคติดต่อและโรคระบาดในสถานศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับ คู่มือการปฏิบัติสำหรับสถานศึกษา ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (กรมอนามัย, 2563 : 18) ในการคัดกรองผู้ป่วยและแยก ผู้ป่วยออกจากนักเรียนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดทางโรคติดต่อ


300| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสัตว์มีพิษ ข้อที่มีร้อยละของการปฏิบัติสูงสุด คือ การจัด สภาพแวดล้อมให้สะอาดร่มรื่น ตัดแต่งต้นไม้ กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการ รักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552 : 89) ได้กำหนด มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านสัตว์มีพิษไว้ว่า สถานศึกษาต้องจัดสภาพแวดล้อมให้สะอาดร่มรื่น ตัดแต่งต้นไม้กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ เพื่อให้มีความปลอดภัยแก่นักเรียน 6. ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 6.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 6.1.1 การศึกษาดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ โดยเฉพาะข้อที่กล่าวถึง การติดตั้งอุปกรณ์และจัดสภาพห้องน้ำห้องส้วมที่เหมาะสมกับวัยและลักษณะของผู้ใช้งาน เช่นนักเรียน คนพิการ ผู้สูงอายุ ที่มีร้อยละการไม่ปฏิบัติสูงสุด ควรตรวจสอบโครงสร้างและส่วนประกอบของอาคาร ตลอดจนอุปกรณ์ติดตั้งจุดต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานได้ พร้อมวางแผนงบประมาณในการจัดสภาพตามความ เหมาะสมกับผู้รับบริการ 6.1.2 การศึกษาดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติภัย โดยเฉพาะข้อที่กล่าวถึงการ ติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยพร้อมแผนผังการหนีไฟประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนทราบและฝึกซ้อม ที่มีร้อยละการ ไม่ปฏิบัติสูงสุด ควรมีการประชุมผู้กี่ยวข้องกับการวางแผนอบพยบแผนหนีไฟและติดตั้งถังดับเพลิงพร้อม ช่องทางสื่อสารเกี่ยวกับแผนเผชิญเหตุอุบัติภัย 6.1.3 การศึกษาดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะข้อที่ กล่าวถึงการตรวจสอบแหล่งจำหน่ายหนังสือ การ์ตูนและวารสารยั่วยุรอบบริเวณโรงเรียนอย่าให้มีขึ้น ควรประสานงานของความร่วมมือกับร้านค้าหรือแหล่งจำหน่ายต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาโดยให้คณะกรรมการ สถานศึกษาเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงาน 6.1.4 การศึกษาดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสุขภาพอนามัยของนักเรียน โดยเฉพาะข้อที่กล่าวถึงการตรวจร่างกายหาผู้ป่วย ควรสร้างความตระหนักและดำเนินงานตามมาตรการคู่มือ การปฏิบัติสำหรับสถานศึกษาในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 การศึกษาดำเนินงานรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขด้านสัตว์มีพิษ โดยเฉพาะข้อที่กล่าวถึง การจัดทำป้ายเตือนภัยจากสัตว์มีพิษในบริเวณที่เป็นจุดเสี่ยง ควรจัดทำป้ายบริเวณจุดเสี่ยงโดยจัด สภาพแวดล้อมให้สะอาดร่มรื่น ตัดกิ่งไม้ กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษเพื่อความปลอดภัยของนักเรียน


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 301 6.2 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยในครั้งต่อไป 6.2.1 ควรศึกษากลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่เป็นผู้ปกครอง ชุมชน หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในโรงเรียน 62.2 ควรศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอื่น ๆ เช่น ภาวะผู้นำกลยุทธ์การจัดการความ ปลอดภัยของสถานศึกษา เอกสารอ้างอิง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2563). คู่มือการปฏิบัติสำหรับสถานศึกษาในการป้องกันการแพร่ระบาด ของโรคโควิด 19 : บริษัท คิว แอดเวอรไทซิ่ง จํากัด กระทรวงศึกษาธิการ สำนักอำนวยการ. (2554) กลุ่มส่งเสริมสวัสดิภาพและสงเคราะห์นักเรียน ชาญ ขวัญมุข. (2544). การประกันความปลอดภัยแก่นักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัด สำนักงานการ ประถมศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาการบริหารการศึกษา คณะ ครุศาสตร์ สถาบันราชภัฎกำแพงเพชร. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สุวีริยาศาสน์. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. (2546).ราชกิจจานุเบกษา. 120 (2 ตุลาคม 2546): 24 วิจิตร บุณยะโหตระ. (2530). วิชาความปลอดภัย. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิไล กวางคีรี. (2550). บทบาทผู้บริหารความปลอดภัยในสถานศึกษา.วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2552). คู่มือแนวทางปฏิบัติและมาตรการรักษาความ ปลอดภัยของสถานศึกษา ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2552. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ องค์การรับส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2560). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2579) . [ออนไลน์]. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ 2560 – 2579 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. (2535). อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก.กรุงเทพมหานคร: SM เซอร์คิทเพรส. สุโขทัยธรรมาธิราช,มหาวิทยาลัย. (2537). ประมวลสาระชุดวิชา : การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย หน่วยที่ 1 – 4 . กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์. (2548).ความปลอดภัย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.


302| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ที่ส่งผล ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง กราฟของ ฟังก์ชันกำลังสอง The Effects of Active Learning and Using Geogebra Software on Ninth-Grade Student’s Achievement of Graph a Quadratic Function in Mathematics กัญญาณัฐ ศรีหาราช 1 , ประภาพร หนองหารพิทักษ์2 , ปวีณา ขันธ์ศิลา3 Kanyanut Sriharat1 , Prapaporn Nongharnpituk2 , Paweena khansila3 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ 3) ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน ซึ่งได้มา จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน2) แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3) แบบสอบถามวัด ความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบ สมมติฐานโดยใช้สถิติทดสอบที (T-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาประสิทธิภาพของแผนการจัด การเรียนรู้ เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 76.35/77.16 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.73 คำสำคัญ : Active Learning, GeoGebra, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง 1 นักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาสินธุ์ Student Faculty of Education and Educational Innovation Kalasin University; E-mail: [email protected] 2 อาจารย์, สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ Lecturer Faculty of Education and Educational Innovation Kalasin University; E-mail: [email protected] 3 อาจารย์, สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ Lecturer Faculty of Education and Educational Innovation Kalasin University; E-mail: [email protected]


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 303 Abstract This research aims to 1) develop mathematics learning achievement on the graph of a quadratic function for ninth-grade students by using active learning and the GeoGebra program to achieve efficiency in accordance with the 75/75 criterion, 2) compare the learning achievements of students before and after the learning management, and 3) assess the student's satisfaction with the learning management. The sample group in this study consisted of 44 ninth-grade students studying in the first semester of the academic year 2022, which was selected using cluster random sampling. The instruments were: 1) 12 lesson plans; 2) a learning achievement test, multiple-choice type with four options and 20 items; and 3) a satisfaction questionnaire. The statistics used in data analysis were mean, standard deviation, percentage, and t-test. The results showed that: 1) The efficiency of the learning management plan on graphs of quadratic functions by using active learning and the GeoGebra program showed that the E1/E2 efficiency was 76.35/77.16, which met the set criteria of 75/75. 2) Learning achievement after learning was higher than before learning at the.05 level of statistical significance. 3) The students were satisfied with the active learning and the GeoGebra program at the highest level with an average of 4.73. Keywords : Active Learning, GeoGebra, Learning achievement, Graph of quadratic function 1. บทนำ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิด อย่างมีเหตุผล สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบใช้ในการวางแผนตัดสินใจแก้ปัญหา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาเยาวชนให้เป็นผู้มี ศักยภาพ เพราะช่วยพัฒนาเสริมสร้างให้เป็นผู้ที่รู้จักคิด วิเคราะห์ มีความคิดเป็นลำดับขั้นตอน มีเหตุมีผล สามารถคิดคำนวณได้อย่างสมเหตุสมผล และยังเป็นศาสตร์ที่ช่วยพัฒนานักเรียนให้มีศักยภาพ กล่าวคือ เป็นผู้ ที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาสถานการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ มีความสามารถในการ เชื่อมโยงและการให้เหตุผล ตลอดจนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ช่วยพัฒนามนุษย์ให้สมบูรณ์มีความสมดุลทั้ง ทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างมีความสุข (ปานทอง กุลนาถศิริ, 2546, น. 1) ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทในการเรียนรู้สูงขึ้น เรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางและ ทั่วถึง สื่อการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญ ดังนั้นการพัฒนาสื่อให้มีความสอดคล้องกับความรู้ ผู้สอนจะต้องมี ความรู้เกี่ยวกับสื่อ จะต้องประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับเนื้อหา โดยต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตร เนื้อหา ผู้เรียน รวมถึงการประเมินผลที่สอดคล้องกัน จึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและเรียนรู้อย่างมี ความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ซึ่งสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยจะ เน้นที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ลักษณะนี้


304| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล จะเป็นวิธีการเรียนให้เกิดการกระตือรือร้นและมีทักษะที่สามารถเลือกรับข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีระบบ (ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ, 2561, น. 1) การเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติและศึกษาความรู้ด้วยตนเอง โดยการ ลงมือทำจากกิจกรรมการเรียนการสอนที่ได้รับผ่านทางการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้แสดงความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้อย่างมี ความหมายเข้าใจได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งและจดจําได้นานมากขึ้น (สัญญา ภัทรากร, 2552, น. 155–156) โปรแกรม GeoGebra เป็นโปรแกรมคณิตศาสตร์อีกโปรแกรมหนึ่งที่น่านำมาใช้ในการเรียนการสอน คณิตศาสตร์ สามารถสร้างกราฟ ภาคตัดกรวยแสดงสมการเป็นรูปทั่วไป หรือสมการมาตรฐานของกราฟนั้น ๆ ได้ด้วย Markus Hohenwarter นักพัฒนา application ชาวออสเตรีย ได้ริเริ่มตั้งแต่ปี2001 ต่อมาปี 2007 Michael Borcherds ชาวอังกฤษได้นำทีมพัฒนาต่อมา จนเป็นที่นิยม สถาบันต่าง ๆ ในหลายประเทศที่ เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้ให้การสนับสนุนอย่างมาก (พงศักดิ์วุฒิสันต์, 2556, น. 13-14) การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้โปรแกรม GeoGebra เป็นการนำโปรแกรมไปใช้เป็นเครื่องมือหรือสื่อในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นที่สามารถเคลื่อนไหว พลิก หมุน หรือเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ของฟังก์ชัน ทำให้นักเรียนสามารถสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสมการและกราฟได้ อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รวมเรขาคณิต พีชคณิต และแคลคูลัสไว้ด้วยกัน สามารถใช้ในการสร้างชิ้นงาน เปลี่ยนแปลงเชิงพลวัตได้ในภายหลัง การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปบูรณาการกับการเรียนรู้คณิตศาสตร์จะช่วย เพิ่มพูนและพัฒนาศักยภาพของครูผู้สอน นอกจากนี้ยังช่วยให้นักเรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตาม ความสามารถของตน ส่งผลให้มีเจตคติที่ดี มีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ เกิดทักษะ และกระบวนการ ทางคณิตศาสตร์ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2560, น. 104) จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2563 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนตนอยูในระดับไม่น่าพอใจ ผลการทดสอบคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 23.81 คะแนน ซึ่งได้คะแนนเฉลี่ยไม่ถึงร้อย ละ 50 ของคะแนนเต็ม และต่ำกว่าระดับประเทศ ซึ่งเมื่อผู้ทำวิจัยไปทำการศึกษาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง พบว่า ค 1.2 เข้าใจและวิเคราะห์แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน ลำดับและอนุกรม และนำไปใช้มี คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 23.59 (ไทยพีบีเอส, 2564) ผู้วิจัยจึงดูรายละเอียดและสอบถามครูประจำการและครูกลุ่ม สาระการเรียนรู้พบว่าเนื้อหาเรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง นักเรียนมีความสับสน และไม่สามารถบอก จุดตัด จุดยอด จุด (h, k) ของกราฟได้ กว่าจะพิสูจน์ได้ต้องใช้เวลามาก ทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายใน การเรียน และในการที่จะสอนให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดได้นั้น ผู้สอนควรนำกิจกรรมการเรียนรู้ที่น่าความ สนใจ ซึ่งในการสอนแต่ละครั้งใช้เวลาเขียนกราฟมากพอสมควร แต่ถ้านำสื่อมาใช้ในการสอนจะช่วย ประหยัดเวลา และเป็นตัวช่วยในการสอนเรื่องที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยเวลาที่เหลือครูผู้สอนอาจจะให้ ความรู้เพิ่มเติมหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมความรู้ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย และเกิดทักษะกระบวนการคิดอย่าง เป็นระบบ โดยเริ่มจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมแล้วค่อย ๆ ลดความเป็นรูปธรรมลง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ในเรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ในรายวิชาคณิตศาสตร์ ให้นักเรียนมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง นอกจากนี้ ผู้เรียนยังได้ความเพลิดเพลินเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น และสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต เพื่อพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 305 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพเป็นไป ตามเกณฑ์ 75/75 2.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับ GeoGebra เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย


306| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3. ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยครั้งนี้ใช้แบบแผนเชิงการทดลอง (Quasi-experimental design) โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ (One Group Pre-test Post-test Design) ดังแสดงในตารางที่ 1 ตารางที่1 แบบแผนของการวิจัย Group (กลุ่ม) Pre–test (ก่อนเรียน) Treatment (การทดสอบ) Post–test (หลังเรียน) E O1 X O2 เมื่อ E แทน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย O1 แทน การทดสอบก่อนการทดลอง (Pre–test) X แทน การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับ GeoGebra O2 แทน การทดสอบหลังการทดลอง (Post–test) 3.1 ขอบเขตการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม ที่เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 529 คน จำนวน 11 ห้องเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 44 คน จำนวน 1 ห้องเรียน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง จำนวน 12 แผนการจัดการเรียนรู้รวม 14 คาบ คาบละ 50 นาที มีกระบวนการสร้าง ศึกษาเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้และ สื่อ นำแผนการจัดการเรียนรู้และสื่อการเรียนรู้ เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคณิตศาสตร์ ซึ่งผ่าน การ ประเมินความเหมาะสมโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พบว่า แผนที่ 1-12 มีความเหมาะสมดีมากทั้งหมด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ แล้วนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ภาพที่ 2สื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้โปรแกรม GeoGebra


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 307 3.2.2 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีกระบวนการสร้างที่เกี่ยวข้องกับการ จัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์สร้างแบบประเมินของแบบทดสอบ จากนั้นนําแบบทดสอบเสนอผู้เชี่ยวชาญ ชุดเดิม จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (ItemObjective Congruence Index: IOC) พบว่า มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.67 -1.00 แล้วนําแบบทดสอบไปทดลองใช้ กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง (Try-Out) นําคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบมาหาความยาก (p) และค่าอำนาจ จำแนก (r) โดยพบว่ามีค่าความยาก (p) อยู่ระหว่าง 0.33-0.63 และค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.33 - 0.75 และหาค่าความเชื่อมั่น ใช้สูตร KR−20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน ซึ่งจากการวิเคราะห์ พบว่า มีค่า ความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.8 แล้วนำแบบทดสอบไปใช้จริง 3.2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีองค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ด้านสื่อและระบบการจัดการเรียนรู้ และ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้รวมจำนวน 20 ข้อคำถาม เป็นแบบมาตราส่วนค่า (rating scale) มีกระบวนการสร้างที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ สร้างแบบประเมินแบบสอบถามวัด ความพึงพอใจ นำแบบสอบถามเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างองค์ประกอบกับข้อคำถามที่สร้างขึ้น พบว่า แบบสอบถามจำนวน 20 ข้อ มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.67-1.00 จากนั้นคัดเลือกข้อคำถามไว้ใช้ในการวิจัย จำนวน 15 ข้อ ได้แก่ ด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้6 ข้อ ด้าน สื่อและระบบการจัดการเรียนรู้ 4 ข้อ และด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ 5 ข้อ ซึ่งมีค่า IOC เท่ากับ 1.00 ทั้ง 15 ข้อคำถาม จากนั้นปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ แล้วพิมพ์แบบสอบถามวัดความพึง พอใจเป็นฉบับสมบูรณ์ 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.3.1 ผู้วิจัยจัดเตรียมแผนการจัดเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สื่อ อุปกรณ์ และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 3.3.2 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นไปทำการทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 44 คน ใช้เวลาทดสอบ 1 คาบ 50 นาที แล้วบันทึกคะแนนจากการทดสอบครั้งนี้เป็นคะแนนก่อนเรียน (Pre-test) 3.3.3 ผู้วิจัยดำเนินการสอนนักเรียนใช้โปรแกรมเบื้องต้นก่อนลงมือปฏิบัติการสอนตามแผน 3.3.4 ผู้วิจัยดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra จำนวน 12 แผน 14 คาบ แผนละ 50 นาที/คาบ เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์และในระหว่างการเรียนการสอนผู้วิจัยยังเก็บข้อมูลจากบันทึกหลังแผนการจัดการ เรียนรู้ จากแบบฝึกทักษะหลังเรียน เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3.5 ดำเนินการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 44 คน ใช้เวลาทดสอบ 1 คาบ 50 นาที แล้วบันทึกคะแนน จากการทดสอบครั้งนี้ เป็นคะแนนหลังเรียน (Post-test)


308| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.3.6 นำผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบคะแนนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 3.3.7 ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามวัดความพึงพอใจที่มีผลต่อการจัดการเรียนรู้ แล้วนำมา วิเคราะห์ โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 3.4.1 นำคะแนนของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมา วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (x) ร้อยละ (%) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 3.4.2 ทำการตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นก่อน ซึ่งก็คือการตรวจสอบการแจกแจงเป็นปกติ (Normality) ของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ โดยใช้สถิติของโครโมโกรอฟสมินอฟ (KolmogorovSmirnov) และสถิติของซาปิโร-วิลค์ (Shapiro-Wilk) เมื่อทราบว่าการแจกแจงของประชากรเป็นปกติแล้ว จึงทำการทดสอบสถิติที (t-test) ในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยต่อไป 3.4.3 นำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 โดยการทดสอบทางสถิติ t-test แบบกลุ่มเดียว (One Samples t-test) 3.4.4 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังได้รับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดย การทดสอบทางสถิติทีแบบกลุ่มไม่อิสระต่อกัน (Dependent Samples t-test หรือ Paired Samples t-test) 3.4.5 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้กับเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย 3.50 ของระดับความพึงพอใจ โดยทดสอบทางสถิติทีแบบกลุ่มเดียว (One Samples t-test) 4. สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.1 ผลการวิเคราะห์การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้หาค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 โดยคำนวณหาค่า E1 จากการทำใบงาน แบบฝึกหัด และกิจกรรม จำนวน 12 แผน 14 ชั่วโมง และหาค่า E2 จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แสดงดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การวิเคราะห์การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ คะแนน N คะแนนเต็ม x S.D. ร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) ระหว่างเรียน (E1 ) 44 140 106.89 5.12 76.35 76.35/77.16 หลังเรียน (E2 ) 44 20 15.43 2.20 77.16


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 309 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลัง สอง โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra มีคะแนนเฉลี่ยจาก การทำใบงาน แบบฝึกหัด และกิจกรรม จำนวน 12 แผน มีค่าเฉลี่ย (x) เท่ากับ 106.89 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 5.12 คิดเป็นร้อยละ 76.35 และคะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (x) เท่ากับ 15.43 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.20 คิดเป็นร้อยละ 77.16 ดังนั้น แผนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 76.35/77.16 4.2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยได้นำคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยนำผลคะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบก่อนเรียนมาเปรียบเทียบกับแบบทดสอบ หลังเรียน โดยการทดสอบค่าที (t-test) มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่ม ตัวอย่าง จำนวน (คน) คะแนนเต็ม x S.D. t p ก่อนเรียน 44 20 7.98 1.97 - 20.07* .00 หลังเรียน 44 20 15.43 2.20 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์คะแนนเต็มก่อนเรียนและหลังเรียน 20 คะแนน ค่าเฉลี่ยก่อนเรียน (x) เท่ากับ 7.98 คิดเป็นร้อยละ 39.89 ของคะแนนเต็ม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.97 และค่าเฉลี่ย หลังเรียน (x) 15.43 คิดเป็นร้อยละ 76.35 ของคะแนนเต็ม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.20 และ เมื่อนำมาตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นด้วยสถิติทดสอบที (Paired Sample t-test) ได้ค่า t = - 20.07 พิจารณา ที่ค่า Sig ซึ่งมีค่าเท่ากับ .00 มีค่าน้อยกว่าระดับนัยสำคัญที่ .05 นั้นหมายความว่าการทดสอบนี้มีความแตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจึงสรุปได้ว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กราฟ ของฟังก์ชันกำลังสองหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ผู้วิจัยได้นำคะแนนแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการเรียน ที่รวบรวมข้อมูลจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โดยได้ทำการวัดความพึงพอใจหลังเรียน แล้วนำคะแนนมาคำนวณเพื่อวิเคราะห์ผลแสดงดังตารางที่ 4


310| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ตารางที่ 4 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายการประเมิน x S.D. ระดับความ พึงพอใจ 1. ด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra 4.69 0.48 มากที่สุด 2. ด้านสื่อและระบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับ โปรแกรม GeoGebra 4.70 0.51 มากที่สุด 3. ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับ โปรแกรม GeoGebra 4.78 0.46 มากที่สุด ภาพรวมของผลการสอบถามความพึงพอใจ 4.73 0.49 มากที่สุด จากตารางที่ 4 พบว่า คุณภาพความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน เรื่อง กราฟของฟังก์ชัน กำลังสอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด (x = 4.73,S.D.=0.49) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อด้านสื่อและระบบ การจัดการเรียนรู้ระดับมากที่สุด (x= 4.69,S.D.= 0.48) รองลงมา คือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด ( = 4.70,S.D.= 0.51) และด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ มีความพึง พอใจในระดับมากที่สุด ( = 4.78,S.D = 0.46) ตามลำดับ 5. อภิปรายผลการวิจัย การดำเนินการวิจัย เรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง กราฟของ ฟังก์ชันกำลังสอง สามารถอภิปรายผล ได้ดังนี้ 5.1 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 76.35/77.16 ซึ่งหมายความว่านักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำใบงาน แบบฝึกหัด และกิจกรรม ระหว่างเรียนของแต่ละแผน คิดเป็นร้อยละ 76.35 โดยผลที่เกิดขึ้นอาจเนื่องมาจาก การใช้โปรแกรม GeoGebra เข้ามาร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning รวมถึงสื่อการเรียนรู้อื่น ๆ ที่มี ความหลากหลาย ส่งผลให้นักเรียนเกิดความอยากที่จะเรียนรู้และกระตือรือร้นในการทำงาน จึงส่งผลให้ผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่ผู้สอนได้กำหนดไว้ และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 77.16 อาจเป็นเพราะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวสนองต่อความ ต้องการของนักเรียน ทำให้เกิดความสนใจในกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนเห็นเนื้อหาการเรียนเป็นรูปธรรมมาก ขึ้น จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ เป็นเช่นนี้เพราะ กิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ โดยใช้การจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนมีส่วน


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 311 ร่วม มีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง มีบทบาทในการทำกิจกรรม ทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าใน ตนเอง และผลจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ จะทำให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ จารุต วรสาร และคณะ (2562) ได้ทำการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการทางคณิตศาสตร์ร่วมกับการใช้ โปรแกรม GeoGebra เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคณิตศาสตร์ร่วมกับการใช้โปรแกรม GeoGebra ที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 80.32/80.81 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้และยังสอดคล้อง เจนจิรา คณาจันทร์ และคณะ (2563) ได้ทำการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การประยุกต์ของอนุพันธ์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการใช้ GeoGebra ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ตาม กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแผน เท่ากับ 79.92/77.63 ซึ่งเป็นไป ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้และสอดคล้องกับวิจัยของ น้ำผึ้ง ชูเลิศ (2563) ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพการจัดกิจกรรม การเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ แบบ Active learning: student-led review session ร่วมกับกับการใช้โปรแกรม GeoGebra ตาม Road map For Mathematics ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มีประสิทธิภาพ 70.43/71.70 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 5.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการวิจัย พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย (x) เท่ากับ 7.98 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีดังกล่าว มีค่าเฉลี่ย (x) เท่ากับ 15.43 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 20 คะแนน ทำให้ได้ว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เกิดจากการผ่านกระบวนการขั้นตอนในการจัดทำอย่างเป็นระบบวิธีการที่ เหมาะสมโดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาหลักสูตรคู่มือครู และเนื้อหาวิชา ตลอดจนหลักการสร้างการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ศึกษาโปรแกรม GeoGebra จนเชี่ยวชาญ พร้อมกับจัด เตรียมการจัดกิจกรรมแบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ตลอดจนศึกษาผลงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางและได้ผ่านการตรวจสอบประเมินความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้การจัดการ เรียนรู้ดังกล่าว ทำให้ผู้เรียนลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองและผู้เรียนจะได้เรียนรู้ด้วยตนเองจากสื่อการ เรียนรู้ภายนอกห้องเรียน ส่วนการเรียนในห้องเรียนปกตินั้นจะเป็นการเรียนแบบสืบค้นความรู้และทำกิจกรรม ร่วมกันกับเพื่อนในกลุ่ม โดยครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือและชี้แนะ อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างสรรค์องค์ ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง ตามทักษะความรู้ความสามารถทางการเรียนของแต่ละคน และเป็นลักษณะการ เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกชั้นเรียนอย่างอิสระทั้งด้านความคิดและวิธีปฏิบัติ เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ การจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง มีสื่อการเรียนรู้และกิจกรรมที่หลากหลายทำให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้ มีความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น


312| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล โดยที่ไม่ต้องมานั่งฟังการบรรยายของผู้สอนหน้าชั้นเรียน แต่ได้ทบทวนความรู้ในรูปแบบที่มีความสนุกสนาน มากขึ้น โดยผู้เรียนบางส่วนให้ความคิดเห็นว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ได้แสดงศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ได้ตระหนักถึงเนื้อหาที่กำลังเรียนมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อธิภูมิ พาสงค์ และคณะ (2559) ได้ทำการใช้โปรแกรม GeoGebra ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบ 4MAT เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง แคลคูลัสเบื้องต้น ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และยังสอดคล้อง วิภาพร ทิพย์รักษา (2560) ได้ทำการศึกษาความเข้าใจและความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องพาราโบลาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านโปรแกรม GeoGebra ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบวัด ความเข้าใจเรื่องพาราโบลาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับ วิจัยของ ศิริมา วงษ์สกุลดี และคณะ (2558) ได้ทำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้เชิงรุก ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้เชิงรุกเรื่อง สถิติ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน เรื่อง กราฟของฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (x) เท่ากับ 4.73 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.49 นักเรียนมีความพึง พอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว เป็นเครื่องมือของ การเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ได้ฝึกคิด ฝึกทำ และมีส่วนร่วมในชั้นเรียน โดยครู เป็นผู้อำนวยความสะดวก คอยให้ความช่วยเหลือ ส่งผลให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจดีต่อการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พงษ์ลัดดา ปัญญาจิรวุฒิและคณะ (2564) ได้ทำการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจำนวนเชิงซ้อน วิชาคณิตศาสตร์ สำหรับครูฟิสิกส์ 1 ด้วยการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยใช้เทคนิค Jigsaw ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของนักศึกษาโดยรวม เท่ากับ 4.93 (S.D. = 0.25) ซึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด และยังสอดคล้อง ทนงศักดิ์ กันใส (2563) ได้ทำการใช้ โปรแกรม GeoGebra ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง พาราโบลา ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจ ต่อการเรียนอยู่ในระดับดีมาก และสอดคล้องกับวิจัยของ อติศักดิ์สุดเสน่หา และคณะ (2563) ได้ทำการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามกระบวนการทางคณิตศาสตร์ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการศึกษาพบว่า มีความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x = 4.95, S.D. = 0.19)


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 313 6. ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยในครั้งนี้เป็นใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ครูผู้สอนควรศึกษาคู่มือของโปรแกรมล่วงหน้า เพื่อเตรียมสื่อและความพร้อมในการสอน ควรมี กิจกรรมที่หลากหลายในการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน เพื่อที่จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ ไม่น่าเบื่อ ในการเรียนรู้ พร้อมทั้งให้คำแนะนำกับผู้เรียน ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และควรมีการศึกษาตัวแปร หรือปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการเรียนรู้ โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว เช่น ความคงทนทางการเรียนรู้ เพื่อจะนำมาพัฒนารูปแบบการสอนให้เหมาะสมที่สุด เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จำกัด. จารุต วรสาร, ประภาพร หนองหารพิทักษ์, และปวีณา ขันธ์ศิลา. (2562). การพัฒนากิจกรรมการ เรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการทางคณิตศาสตร์ร่วมกับการใช้โปรแกรม GeoGebra เรื่อง ระบบ สมการเชิงเส้นสองตัวแปร สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารวิทยาศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE), 2(1), 34-42. เจนจิรา คณาจันทร์, คติยา แก้วคำสอน, ประภาพร หนองหารพิทักษ์, และปวีณา ขันธ์ศิลา. (2563). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่องการประยุกต์ของอนุพันธ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการใช้โปรแกรม GeoGebra ประกอบการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ตาม กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา. วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE), 3(1), 73-83. ทนงศักดิ์ กันต์ใส. (2563). การใช้โปรแกรม GeoGebra ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดคอน สตรัคติวิสต์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พาราโบลา สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารคุรุสภาวิทยาจารย์, 1(2), 89-96. น้ำผึ้ง ชูเลิศ. (2563). ประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning: student-led review session ร่วมกับกับการใช้โปรแกรม Geogebra ตาม Road map For Mathematics ของโรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. ปานทอง กุลนาถศิริ. (2546). ความสำคัญของคณิตศาสตร์. วารสารคณิตศาสตร์, 46(530-532), 11-15. ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ. (2561). การเรียนเชิงรุก (Active Learning). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. พงศักดิ์ วุฒิสันต์. (2556). GeoGebra อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของครูคณิตศาสตร์. นิตยสาร สสวท. ปีที่ 41, ฉบับที่ 181 (มีนาคม-เมษายน) : 13-16


314| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล พงษ์ลัดดา ปัญญาจิรวุฒิ และคณะ. (2564). การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องจำนวน เชิงซ้อนรายวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับครูฟิสิกส์ 1 ด้วยการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดย ใช้เทคนิค Jigsaw. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 19(1), 162-175. วิภาพร ทิพย์รักษา. (2560). การศึกษาความเข้าใจและความคงทนในการเรียนรู้เรื่องพาราโบลา ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านโปรแกรม GeoGebra. [วิทยานิพนธ์ปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ศิริมา วงษ์สกุลดี, พรรณทิพา พรหมรักษ์และเวชฤทธิ์ อังกนะภัทรขจร. (2558). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ด้วยการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและการให้เหตุผลทาง คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. Veridian E-Journal, Silpakorn University (Humanities, Social Sciences and arts), 8(2), 1265-1281. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(IPST). (2560). คู่มือรายวิชากลุ่มการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง 2560) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. คลังความรู้ SciMath. https://www.scimath.org/ebook-mathematics/item/8380-2560-2551-8380 สัญญา ภัทรากร. (2552). ผลของการจัดการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวาที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและ การสื่อสารทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่องความน่าจะเป็น. [ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อติศักดิ์ สุดเสน่หา, ทิพย์วิมล วังแก้วหิรัญ, และพรทิพย์ อ้นเกษม. (2563). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารวิจัยบัณฑิตศึกษา, 11(2), 123-136. อธิภูมิ พาสงค์, นฤมล ศักดิ์ปกรณ์กานต์, และวิวรรณ กาญจนวจี. (2559). การใช้โปรแกรม GeoGebra ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบ 4MAT เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์เรื่อง แคลคูลัสเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. [วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. Thai PBS (2564, 27 เมษายน). เช็กผลสอบ O-NET วิชาไหนต่ำสุด - สูงสุด. http://www.thaipbs.or.th/news/content/303749


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 315 การพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 The Development of Reading Comprehension and Imaginative Writing Abilities by Using CIRC Technique with Reading and Writing Skills Exercises on Fiction Stories for Grade 3 Students ชาญชนะ สิทธิศักดิ์1 , ศึกษา เบ็ญจกุล2 Chanchana Sittisak1 , Sueksa Benjakul2 บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการ เขียนเรื่องบันเทิงคดี 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3/4 ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านเพื่อ ความเข้าใจและการเขียนเรื่องตามจินตนาการโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน เรื่องบันเทิงคดีจำนวน 4 แผน 2) แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี 3) แบบทดสอบ ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และ 4) แบบประเมินผลงานการเขียนเรื่องตามจินตนาการ สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (S.D.) ค่าร้อยละ (%) และค่าทดสอบค่า ทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t test dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี หลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนหลังเรียน โดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือ นักเรียนร้อยละ 93.75 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ผ่านที่เกณฑ์คะแนนร้อยละ 70 ขึ้นไป คำสำคัญ : การอ่านเพื่อความเข้าใจ, การเขียนเรื่องตามจินตนาการ, เทคนิค CIRC, แบบฝึกทักษะการอ่านและ การเขียน 1 นักศึกษาปริญญาตรี, สาขาภาษาไทย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช 2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์, สาขาภาษาไทย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช


316| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล Abstract The objectives of this research were 1) to compare the reading comprehension ability of grade 3 students before and after learning by using the CIRC technique with reading and writing skills exercises on fiction stories; 2) to compare the imaginative writing abilities of grade 3 students after learning by using the CIRC technique with reading and writing skills exercises on fiction stories compared to the criteria of 70 percent. In this study, the population was grade 3 students from Ban Cha-Uat School in Cha-Uat district, Nakhon Si Thammarat province, during the first semester of the academic year 2022. Students in grades 3/4 made up the sampling group, which was purposive sampling. The research instruments were 1) the learning management plan by using the CIRC technique with reading and writing skills exercises on fiction stories with 4 lesson plans 2) the reading and writing skills exercises on fiction stories 3) the reading comprehension test and 4) the Imaginative writing assessment form. The statistics used to analyze the data were mean (X̅) , standard deviation (S.D.) , percentage (%) and t test dependent. The findings of the study were as follows: 1) the reading comprehension ability of grade 3 students after learning by using the CIRC technique with reading and writing skills exercises on fiction stories were significantly higher than before at a .05 level of significance. 2) The imaginative writing abilities after learning by using the CIRC technique with reading and writing skills exercises on fiction stories was passed the specified criteria 70, with 93.75% of total students passed at an average score of 70% of the total score, which satisfies the specified evaluation criteria. Keywords: reading comprehension, imaginative writing, CIRC technique, reading and writing skills exercises.


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 317 1. บทนำ การอ่านและการเขียนเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ การพัฒนาความคิด และการดำเนิน ชีวิต ประการสำคัญคือเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ เนื่องจากผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ทักษะการอ่านการเขียน ในการทำความเข้าใจเนื้อหาสาระวิชา การศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและศักยภาพใน การเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษาแต่ละระดับ โดยผู้เรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้การอ่าน (learn to read) ต้องสามารถอ่านเพื่อความเข้าใจความหมายคำและ ข้อความ สามารถสรุปความรู้ ลำดับเหตุการณ์ อธิบายเรื่องที่อ่าน ตลอดจนสามารถสร้างความรู้ที่ได้จาก การอ่านและนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง มีความสามารถในการเขียนที่ดี มีแนวคิดในการนำเสนอเนื้อหาที่ น่าสนใจ สามารถถ่ายทอดเพื่อแสดงให้เห็นถึงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ภาษาไทยอย่าง ถูกต้องเหมาะสม (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2560; Hjetland et al., 2020) อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (National Test หรือ NT) และการทดสอบความสามารถในการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านชะอวด ประกอบกับสภาพปัญหาในการจัดการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความ และการเขียนเรื่องตาม จินตนาการในรายวิชาภาษาไทยตามตัวชี้วัด ท 1.1 ป.3/5 สรุปความรู้และข้อคิดจากเรื่องที่อ่านเพื่อนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน และ ท 2.1 ป.3/5 เขียนเรื่องตามจินตนาการ ผู้วิจัยพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถจับ ใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ครบถ้วน มีความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจไม่เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานที่กำหนด อาจเนื่องจากประสบปัญหาการเรียนรู้ถดถอยในช่วงสถานการณ์วิกฤติ และปัจจัยด้าน แรงจูงใจของตัวผู้เรียนเอง ทั้งยังส่งผลต่อความสามารถในการเขียนที่เป็นปัญหาสืบเนื่องมากขึ้นด้วย ผู้วิจัยเล็งเห็นว่า การที่ครูจะพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของผู้เรียนเพื่อประโยชน์ ต่อการเรียนรู้โดยตรงของผู้เรียนนั้น ควรมีวิธีการส่งเสริมและพัฒนาความสามารถในการเขียน ซึ่งมีความสำคัญ อย่างยิ่งในการพัฒนาแบบควบคู่กัน เนื่องจากการอ่านเพื่อความเข้าใจ (reading comprehension) เป็น กระบวนการรับรู้ข้อมูล (processing) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่กระบวนการแปลผล โดยนิยามของการอ่านเพื่อ ความเข้าใจ หมายถึง การรู้ความหมายคำศัพท์ ความสามารถในการแยกองค์ประกอบในโครงสร้างตัวบทอ่าน การจับใจความสำคัญ เข้าใจรายละเอียดสามารถคาดคะเนแนวคิดของผู้เขียนและเจตนาในการนำเสนอสารได้ อย่างถูกต้อง (Kuşdemir & Bulut, 2018) ส่วนการเขียนเป็นการสื่อสารความรู้ความเข้าใจและสร้าง ความหมายใหม่ของผู้เรียน โดยเฉพาะการเขียนตามจินตนาการ เป็นความสามารถในการเขียนนำเสนอความรู้ แนวคิด ประสบการณ์ของผู้เรียน ผ่านเรียงร้อยถ้อยความ แสดงและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดที่กว้างไกล มีความเป็นเหตุเป็นผล มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ลอกเลียนแบบผู้อื่น นอกจากนี้ ยังทำให้ครูผู้สอนเห็นถึงระดับ ความเข้าใจและความสามารถในการใช้ภาษาไทยของผู้เรียนอีกด้วย (สถาบันภาษาไทย สำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา, 2560; Carey et al., 2022) การแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ จำเป็นต้องมีนวัตกรรม การเรียนการสอนในลักษณะรูปแบบหรือวิธีการที่ชัดเจน จากการทบทวนวรรณกรรม ผู้วิจัยพบว่า การจัดการ เรียนรู้เทคนิค CIRC (Cooperative Integrated Reading And Composition) เป็นการจัดการเรียนรู้แบบ


318| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ร่วมมือ (Cooperative Learning) โดย Slavin ได้พัฒนาขึ้นในปี 1995s มีเป้าหมายหลักคือการช่วยเหลือ ผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ทักษะการอ่านจับใจความร่วมกันเป็นทีม จัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็น กลุ่มเล็ก ในแต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน แต่ละคนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม การเรียนรู้ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามเทคนิคนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม ฝึกความรับผิดชอบ ผู้เรียนที่อยู่ในทีมเดียวกัน มีส่วนในการช่วยกันตรวจสอบ แนะนำ มีการจับคู่กันอ่าน ทดสอบการเขียนโดยเพื่อนในกลุ่ม เมื่อจบบทเรียน ก็จะมีการคิดคะแนนรวมเฉลี่ยรายบุคคลเป็นของทีมเพื่อรับ รางวัล (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2559: 193) สอดคล้องกับ ทิศนา แขมมณี (2560: 270) เสนอว่า การจัดการเรียนรู้ เทคนิค CIRC เป็นรูปแบบการสอนแบบร่วมมือที่ใช้การอ่านและเขียนโดยเฉพาะ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการ เขียน เทคนิค CIRC นี้ สามารถนำไปใช้ได้จริงและใช้ได้กับผู้เรียนเพื่อการสรรค์สร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ มีบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี เรียนรู้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน และมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทางอารมณ์ และการใช้ภาษาของผู้เรียน (Mubarok & Sofiana, 2017) ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ กนกวรรณ ภู่ทิ่ม (2562) ที่วิจัยเรื่อง การศึกษาความสามารถในการอ่าจับ ใจความสำคัญและการเขียนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการประยุกต์ใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค CIRC ร่วมกับการสอนอ่านแบบปฏิบัติการ ผลการวิจัยว่า นักเรียนที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค CIRC ร่วมกับการสอนอ่านแบบปฏิบัติการ มีความสามารถในการอ่านจับ ใจความวิชาภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และงานวิจัยของ วณัฐพล สินภิบาล (2563) ศึกษาเรื่อง การ พัฒนาความสามารถด้านการเขียนเรื่องตามจินตนาการและทักษะการร่วมมือของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค CIRC ร่วมกับแผนภาพความคิด พบว่า นักเรียนที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค CIRC ร่วมกับแผนภาพความคิด หลังเรียนมีความสามารถด้านการเขียนเรื่องตามจินตนาการสูงขึ้นกว่าก่อน เรียน และนักเรียนมความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าเทคนิค CIRC สามารถนำมาใช้พัฒนาความสามารถในการอ่านและความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการ อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยเห็นว่ากิจกรรมการอ่านแบบเรียน ควรมีการเสริมต่อการเรียนรู้ด้วยชุดแบบฝึกทักษะ การอ่านและการเขียน ซึ่งเป็นนวัตกรรมและเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์ มี ประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ดังที่ ดนิตา ดวงวิไล (2565: 92) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ เป็นสื่อเสริมให้ นักเรียนได้ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะเพิ่มขึ้น และผู้เรียนได้ฝึกฝนทบทวนความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง ครูจึงต้องออกแบบแบบฝึกทักษะที่เสริมแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจ กระตุ้น การเรียนรู้เชิงรุก โดยผู้เรียนได้รับการฝึกฝนความสามารถในการเป็นนักอ่านนักเขียนที่ดี จัดการเรียนรู้เพื่อ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ ประสบการณ์ ทักษะใหม่ ๆ และกลยุทธ์ เลือกสรรและจัดเตรียมตัวบทอ่านที่ สร้างเสริมกรอบแนวคิดที่ดี มีความชัดเจนและน่าสนใจ สอนเกี่ยวกับโครงสร้างข้อความแต่ละประเภทอย่าง หลากหลาย ตลอดจนการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่รุ่มรวยในการใช้ภาษาทั้งศัพท์ สำนวนและสอดแทรก แนวคิดต่าง ๆ ผ่านการบูรณาการการอ่านและการเขียน (Duke et al., 2011)


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 319 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้สังเกตและพิจารณาเห็นว่า ในการจัดการเรียนรู้หน่วยการอ่าน ความชื่นชอบของ นักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาสาระหรือสื่อบันเทิงคดีมากกว่าสารคดี เช่น บทร้องเล่น บทกลอน บทเพลง นิทาน การ์ตูน เรื่องผี เป็นต้น สอดคล้องดังที่ Currie (2020) เสนอว่า การอ่านเรื่องบันเทิงคดี ช่วยเสริมสร้าง จินตนาการและการรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกและสรรพสิ่ง เพราะงานเขียนเรื่องบันเทิงคดีจำเป็นใช้จินตนาการ ในการสร้างสรรค์ผลงานและการใช้ภาษาที่สื่อความหมายอย่างแยบยล นอกจากผู้อ่านจะได้รับการพัฒนา ความรู้ ยังมีส่วนร่วมทางสังคมในการเรียนรู้แนวคิด วิถีปฏิบัติ ค่านิยม ความเชื่อ ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่าง หลากหลายของความเป็นมนุษย์ ได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง และส่งเสริมพัฒนา การทางอารมณ์และสังคม เช่น ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความมีวินัย การกำกับตนเอง เป็นต้น (ธนชพร พุ่มภชาติ, 2020) ผู้วิจัยจึงสนใจนำการจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และเชื่อมโยงไปสู่การเพิ่มพูนทักษะการเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยเลือกใช้เรื่องบันเทิงคดีเป็นสื่อ ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการเขียนเรื่อง ตามจินตนาการของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งเป็นการส่งเสริมทักษะ การคิดอย่างสร้างสรรค์และการเรียนรู้ร่วมกันของผู้เรียน ซึ่งเป็นทักษะการเรียนรู้สำคัญในศตวรรษที่ 21 และ พัฒนาทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อน เรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี 2.2 เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดีกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3. ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านชะอวด ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 7 ห้องเรียน จำนวน 196 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนบ้านชะอวด จำนวน 32 คน ซึ่งได้มา โดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากผลการทดสอบย่อย เป็นห้องที่มี ผู้เรียนคละความสามารถ และเป็นห้องที่ผู้วิจัยรับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอน


320| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.2 กรอบแนวคิดในการวิจัย 3.3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบแผนการวิจัยกลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง (One Group Pretest-Posttest Design) โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 3.3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้พัฒนาเครื่องมือวิจัย จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่าน เพื่อความเข้าใจและการเขียนเรื่องตามจินตนาการโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและ การเขียนเรื่องบันเทิงคดี จำนวน 4 แผน 2) แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี 3) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และ 4) แบบประเมินผลงานการเขียนเรื่องตาม จินตนาการ โดยมีขั้นตอนการพัฒนาเครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ดังนี้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นส่งเสริมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ โดยใช้วิธีการอ่านร่วมกัน เพื่อให้อ่านได้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ของการอ่านเพื่อความเข้าใจ และบูรณาการ การอ่านการเขียนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2560; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2559; ทิศนา แขมมณี 2560; Slavin, 1995) การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับ แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี ชุดแบบฝึกที่มีเนื้อหาสาระบันเทิงคดี เช่น บทร้องเล่น บทกลอน บทเพลง นิทาน การ์ตูน เป็นต้น ช่วย เสริมสร้างจินตนาการและการรับรู้เรื่องราว ส่งเสริมใช้ จินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานการเขียน และการใช้ ภาษาที่สื่อความหมาย ส่งเสริมบรรยากาศและการมีส่วน ร่วมทางสังคมในการเรียนรู้ พัฒนาการทางอารมณ์สังคม (ดนิตา ดวงวิไล, 2565; Currie, 2020; ธนชพร พุ่มภชาติ, 2020) 1. ความสามารถเข้าใจความหมายคำและข้อความ 2. ความสามารถคาดคะเนแนวคิดของผู้เขียน 3. ความสามารถจับใจความสำคัญ 4. ความสามารถสรุปความรู้ 5. ความสามารถบอกรายละเอียด 6. ความสามารถบอกข้อคิดหรืออธิบายถึงการนำ ผลการอ่านไปใช้ประโยชน์ ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2560; Kuşdemir & Bulut, 2018) 1. การตั้งชื่อเรื่อง 2. เนื้อหาสาระ 3. การใช้ภาษา 4. การเขียนสะกดคำ 5. ความเป็นระเบียบเรียบร้อย 6. แนวคิดและความเป็นเหตุเป็นผล ความสามารถในการเขียนตามจินตนาการ (สถาบันภาษาไทย สำนักงานการศึกษาขั้น พื้นฐาน; Carey et al., 2022) กระทรวงศึกษาธิการ, 2560)


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 321 3.3.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ 1) ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ การวัด และประเมินผล และสื่อการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านชะอวด กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 2) กำหนดเนื้อหาสาระ และเลือกบทอ่านบันเทิงคดี ที่สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และการพัฒนาผลการเรียนรู้ตามตัวชี้วัด ท 1.1 ป.3/5 สรุปความรู้และข้อคิดจากเรื่องที่อ่านเพื่อนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน และ ท 2.1 ป.3/5 เขียนเรื่องตามจินตนาการ วางแผนและกำหนดระยะเวลาในการทดลอง จัดการเรียนรู้จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง ประกอบด้วยขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค CIRC ได้แก่ ขั้นที่ 1 การอ่านเป็นกลุ่มเพื่อความเข้าใจ ขั้นที่ 2 การอ่านเป็นคู่เรียนรู้ร่วมกัน ขั้นที่ 3 เขียนสรุปความตามเรื่อง และ ขั้นที่ 4 เขียนเรื่องตามจินตนาการ 3) นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้อาจารย์ที่ปรึกษา พิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง ทางด้านเนื้อหา การใช้ภาษา ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ และปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 4) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอ ให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ตรวจสอบความถูกต้องสอดคล้อง ด้านเนื้อหา ด้านการใช้ภาษา ด้านการวัดและ ประเมินผล และด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ ( Index of Item Objective Congruence: IOC) พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าดัชนีความสอดคล้องในแต่ละด้าน ตั้งแต่ 0.67–1.00 แสดงว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสม สามารถนำไปจัดการเรียนรู้ได้ 5) นำแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 2 แผน ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 และ 2 ตามขั้นที่ 1 การอ่านเป็นกลุ่มเพื่อความเข้าใจ ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/5 ซึ่งไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่าง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ก่อนนำไปทดลองใช้จริงกับกลุ่ม ตัวอย่าง และปรับปรุงแก้ไข โดยปรับกิจกรรมให้มีความเหมาะสมกับเวลา และเพิ่มเติมเนื้อหาบทอ่านเพื่อให้ นักเรียนได้ฝึกซ้ำ 3.3.1.2 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี ศึกษาวิธีการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนตามแนวทางของสถาบัน ภาษาไทย สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กำหนดบทอ่านเรื่องบันเทิงคดี ประกอบด้วยบทอ่านจำนวน 6 บทอ่าน แบ่งเป็น นิทานมุขตลก นิทานอีสป บทเพลง บทกลอน และบทร้องเล่น ตรวจสอบความเหมาะสม ของบทอ่านเรื่องบันเทิงคดี โดยให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณา ผู้วิจัยปรับแก้ตามคำแนะนำ และเสนอให้ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ประเมินความสอดคล้องด้านเนื้อหากับวัตถุประสงค์ พบว่า แบบฝึกทักษะการอ่าน และการเขียนเรื่องบันเทิงคดี มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67–1.00 ผู้วิจัยมีการปรับบทอ่านที่มีขนาดยาว และสั้นเกินไป ให้มีความเหมาะสมกับเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเลือกเนื้อหาสาระที่ทันสมัยอยู่ใน ความสนใจของผู้เรียน 3.3.1.3 แบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ


322| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ผู้วิจัยวิเคราะห์ตัวชี้วัดและจัดทำตารางวิเคราะห์ข้อสอบ สร้างแบบทดสอบตาม องค์ประกอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ เพื่อใช้ในการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน แบบ ปรนัย จำนวน 30 ข้อ ตรวจสอบคุณภาพโดยนำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ตรวจสอบ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Validity) หาค่าดัชนีความสอดคล้อง Index of Item-Objective Congruence (IOC) คัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จำนวน 20 ข้อ และปรับปรุงข้อคำถามตามข้อเสนอแนะ ของผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นนำแบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจไปทดลองใช้ (Try out) กับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/5 ซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 28 คน และนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์ ค่าสถิติรายข้อ โดยพิจารณาคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.20 - 0.80 ค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.20 ขึ้นไป จำนวน 20 ข้อ ซึ่งแบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ มีค่าความ ยากง่าย (p) ระหว่าง 0.62 - 0.87 และค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.21 - 0.75 ผู้วิจัยนำแบบทดสอบ ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ มาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้สูตร KR-20 ของ Kuder and Richardson ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.71 ทั้งนี้ ใช้แบบทดสอบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้เป็น ข้อสอบชุดเดียวกันแต่มีการสลับตัวเลือก กำหนดเวลาการทำข้อสอบ 50 นาที 3.3.1.4 แบบประเมินผลงานการเขียนเรื่องตามจินตนาการ แบบประเมินความสามารถในการเขียนตามจินตนาการ ผู้วิจัยปรับใช้เครื่องมือวัดและ ประเมินผล“ความสามารถในการเขียน” (ฉบับกรรมการสอบ) ของทางสถาบันภาษาไทย สำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ และใช้การแปลผล ระดับคุณภาพแบบมาตรส่วนประมาณค่า 4 ระดับ กำหนดเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย ดังนี้ 3.51 - 4.00 หมายถึง ระดับมากที่สุด/ดีที่สุด 2.51 - 3.50 หมายถึง ระดับมาก/ดีมาก 1.51 - 2.50 หมายถึง ระดับปานกลาง/ดี 1.00 - 1.50 หมายถึง ระดับน้อย/ควรปรับปรุง 3.3.2 วิธีการเก็บรวมรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยชี้แจงนักเรียนเกี่ยวกับวิธีการเรียน จุดประสงค์ และเกณฑ์การประเมินผลการเรียน 2. นักเรียนทำแบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ แบบปรนัย (ก่อนเรียน) จำนวน 20 ข้อ 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึก ทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 8 ชั่วโมง ได้แก่ ขั้นที่ 1 การอ่านเป็นกลุ่มเพื่อความเข้าใจ แบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ อ่านร่วมกัน เป็นกลุ่มและทำแบบฝึกเป็นกลุ่ม จากนั้นแบ่งผู้เรียนคละความสามารถเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน อ่านร่วมกันเป็น ทีม และทำแบบฝึกเป็นทีม ขั้นที่ 2 การอ่านเป็นคู่เรียนรู้ร่วมกัน ครูชี้แนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอ่านและการแยก องค์ประกอบและรายละเอียดของโครงสร้างเรื่องที่อ่าน ให้นักเรียนจับคู่กันอ่าน โดย (1) ค้นหาคำศัพท์ยากและ บอกความหมาย (2) รวบรวมคำศัพท์ในสมุดสะสมคำ (3) ผลัดกันอ่านออกเสียงคำศัพท์ และบอกความหมาย (4) อ่านเป็นคู่ โดยสลับกันอ่านทีละประโยค และทำแบบฝึกเป็นคู่ ช่วยกันตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้อง


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 323 ขั้นที่ 3 เขียนสรุปความตามเรื่อง ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนการเขียนสะกดคำและ ความหมายของคำศัพท์ยาก จากนั้นครูกำหนดคำสำคัญเป็นตัวอย่าง ให้นักเรียนอธิบายความหมายและ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน โดยพูดสรุปความตามความเข้าใจจนครบทุกคน ครูและเพื่อนช่วยกันชี้แนะ จากนั้นให้นักเรียนเขียนสรุปความ ขั้นที่ 4 เขียนเรื่องตามจินตนาการ นักเรียนกำหนดคำสำคัญด้วยตนเอง วางแผนการเขียน เป็นคู่ และเขียนเรื่องตามจินตนาการเป็นรายบุคคล คนละ 1 เรื่อง 4. นักเรียนทำแบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ แบบปรนัย (หลังเรียน) จำนวน 20 ข้อ 5. ตรวจแบบทดสอบ และพิจารณาให้คะแนนตามเกณฑ์การประเมินการเขียนเรื่องตาม จินตนาการที่กำหนด นำข้อมูลที่ได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ทำการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติร่วมกับ การวิเคราะห์เนื้อหา เขียนสรุปและอภิปรายผล 3.3.3 วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ใช้ค่าเฉลี่ย (X̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (S.D.) ค่า ร้อยละ (%) และค่าทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t test dependent) 4. สรุปผลการวิจัย 4.1 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี ตารางที่ 1 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความสามารถใน การอ่านเพื่อความเข้าใจ ก่อนและหลังเรียนของนักเรียน (n=32) ความสามารถในการ อ่านเพื่อความเข้าใจ คะแนนเต็ม X̅ SD. t test P ก่อนเรียน 20 10.50 2.03 18.901* .00 หลังเรียน 20 16.00 1.84 *P<.05 ข้อมูลตามที่ปรากฏในตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการอ่านเพื่อ ความเข้าใจ ก่อนเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี มี ค่าเฉลี่ย (x̅) ของคะแนนเท่ากับ 10.50 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.03 หลังเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดี มีค่าเฉลี่ย (x̅) ของคะแนนเท่ากับ 16.00 ค่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.84 เมื่อทดสอบค่า t-test ของผลต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนและ หลังเรียนได้เท่ากับ 18.901 จึงสรุปได้ว่า นักเรียนมีความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจหลังเรียนโดยใช้ เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดีสูงกว่าก่อนเรียน ที่ระดับนัยสำคัญ ทางสถิติ .05


324| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 4.2 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนโดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิง คดี กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบผลคะแนนจากการประเมินความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 (n=32) คะแนนการเขียน เรื่องตาม จินตนาการ คะแนน เต็ม เกณฑ์คะแนน ที่กำหนด ร้อยละ 70 X̅ SD. จำนวน นักเรียนที่ผ่าน เกณฑ์ ร้อยละของ นักเรียนที่ผ่าน เกณฑ์ หลังเรียน 24 16 19.84 2.59 30 93.75 ข้อมูลตามที่ปรากฏในตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการเขียนเรื่องตาม จินตนาการ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า ความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการหลังเรียน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือ นักเรียนจำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 93.75 ของนักเรียนทั้งหมด ผ่านที่เกณฑ์ คะแนนร้อยละ 70 ของคะแนนทั้งหมดคือ 16 คะแนนขึ้นไป ทั้งนี้ ผู้วิจัยเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยและค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการ แยกพิจารณาเป็นราย องค์ประกอบย่อย ดังนี้ ตารางที่ 3 เปรียบเทียบผลคะแนนจากการประเมินความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แยกพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบย่อย (n=32) ความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการ รายองค์ประกอบย่อย หลังเรียน ระดับ ลำดับ (x̅) S.D. 1. การตั้งชื่อเรื่อง 3.68 0.47 ดีที่สุด 2 2. เนื้อหาสาระ 3.81 0.47 ดีที่สุด 1 3. การใช้ภาษา 3.03 0.69 ดีมาก 5 4. การเขียนสะกดคำ 3.34 0.70 ดีมาก 4 5. ความเป็นระเบียบเรียบร้อย 2.56 0.61 ดี 6 6. แนวคิดและความเป็นเหตุเป็นผล 3.40 0.55 ดีมาก 3 ข้อมูลตามที่ปรากฏในตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการเขียนเรื่องตาม จินตนาการ เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบย่อย พบว่า นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการเขียน เรื่องตามจินตนาการ ด้านเนื้อหาสาระมากที่สุด ((x̅) = 3.81, S.D. = 0.47) รองลงมาคือ ด้านการตั้งชื่อเรื่อง ((x̅) = 3.68, S.D. = 0.47) ส่วนด้านความเป็นระเบียบเรียบร้อย ((x̅) = 2.56, S.D. = 0.61) น้อยที่สุด


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 325 5. อภิปรายผลการวิจัย ผลการพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการเขียนเรื่องตามจินตนาการ โดยใช้ เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดีสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC สามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ กนกวรรณ ภู่ทิ่ม (2562) และวณัฐพล สินภิบาล (2563) โดยจะเห็นได้ว่าการ ออกแบบแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดีมาใช้ควบคู่ในการจัดการเรียนรู้นั้น ช่วยให้ นักเรียนมีความสนใจเนื้อหาสาระมากยิ่งขึ้น เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินกับการเรียนรู้ ทั้งนี้ การเลือกตัว บทอ่านต้องมีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการทางสติปัญญา และส่งเสริมการคิดอย่างสร้างสรรค์ของผู้เรียน สอดคล้องตามที่ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2560) ให้แนวทางไว้ว่า สื่อการเรียนรู้ประเภทบันเทิงคดีที่นำมาส่งเสริมการอ่าน จะต้องมีเนื้อหาสาระที่สร้างสรรค์ ส่งเสริมจินตนาการและศีลธรรมอันดีงาม เหมาะสมกับช่วงวัย กระตุ้นความสนใจ และนิสัยรักการอ่าน ผลการวิจัยยังสอดคล้องดังที่ Currie (2020) เสนอว่า การอ่านเรื่องบันเทิงคดี จะทำให้ผู้เรียนสามารถนำผล การอ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ จึงไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะบทอ่านที่ให้สาระความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว ควรมีการใช้ชุดแบบฝึกที่มี เนื้อหาสาระบันเทิงคดีที่มีความหลากหลาย เพื่อเสริมสร้างจินตนาการและการรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและ สังคมแวดล้อม การใช้ภาษาที่สื่อความหมาย ทั้งยังเป็นการส่งเสริมบรรยากาศและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ซึ่งช่วยพัฒนาทางด้านอารมณ์สังคมของผู้เรียนอีกด้วย สำหรับผลการประเมินผลงานการเขียนเรื่องตามจินตนาการ จะเห็นได้ว่านักเรียนมีคะแนน ความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการ ด้านเนื้อหาสาระมากที่สุด เนื่องจากกระบวนการจัดการเรียนรู้ และแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดีมีการยกตัวอย่างการเขียนเรื่องตามจินตนาการด้วย ตัวบทอ่านที่มีเนื้อหาสาระชัดเจน มีความเหมาะสม น่าสนใจ สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน ผู้เรียนจึง สามารถเขียนลำดับความคิด เรียบเรียงเนื้อหาได้อย่างต่อเนื่อง เนื้อหาที่เขียนมีความสัมพันธ์กัน มีความเป็น เหตุเป็นผล และมีการนำเสนอแนวคิดใหม่ สอดคล้องดังที่ Carey et al. (2022) เสนอไว้ ส่วนด้านความเป็น ระเบียบเรียบร้อย ซึ่งมีคะแนนน้อยที่สุดนั้น อาจเนื่องจากการเขียนเรื่องตามจินตนาการจะต้องมีการเขียนโครง ร่างก่อนการเขียนจริง หรืออาจมีการลบคำหรือเติมข้อความได้ เพื่อให้งานเขียนสมบูรณ์ตามความพึงพอใจของ ผู้เรียน จากผลการประเมินในด้านนี้ ผู้วิจัยจึงเห็นว่าในการจัดการเรียนรู้เรื่องการเขียนเรื่องตามจินตนาการใน ครั้งถัดไป ควรมีการสร้างแบบร่างหรือผังโครงเรื่องสำหรับให้นักเรียนได้เขียนร่างก่อนการเขียนจริง และควรมี การพัฒนาการเขียนคัดลายมือให้สวยงามอ่านง่าย มีความสะอาดเรียบร้อย และเขียนได้ตามจำนวนบรรทัดที่กำหนด จะเห็นได้ว่า การจัดการเรียนรู้เทคนิค CIRC เป็นการเรียนรู้แบบร่วมมือและการเรียนรู้แบบกลุ่ม ที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนได้รู้จักการวางแผน ฝึกการเรียนรู้ร่วมกัน ผู้เรียนมีโอกาสฝึกฝนกับเพื่อน และมีส่วนร่วม ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจและความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการ ซึ่ง การใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนเรื่องบันเทิงคดีนั้น ทำให้การจัดการเรียนรู้ บูรณาการการอ่านการเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นความสามารถพื้นฐานที่ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ และการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ซึ่งผู้สอนควรมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถนำการอ่านและการเขียนไปใช้ ประโยชน์ในการพัฒนาต่อยอดการเรียนรู้ตามศักยภาพอย่างเต็มที่


326| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 6. ข้อเสนอแนะ 6.1 ข้อเสนอแนะด้านการนำผลการวิจัยไปใช้ 6.1.1 ควรมีการสำรวจความรู้พื้นฐานในการอ่านจับใจความและการเขียนเรื่องตาม จินตนาการของนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อการวางแผนในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และแบบฝึกทักษะ ให้มีความเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน 6.1.2 ควรมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างบรรยากาศเชิงบวกใน การเรียนรู้สำหรับผู้เรียนให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งควรมีการนำเนื้อหาสาระที่ทันสมัย อยู่ในกระแสความสนใจของ ผู้เรียน มาใช้ประกอบในการออกแบบเนื้อหาในแบบฝึกทักษะ เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมบรรยากาศที่ช่วยพัฒนา ความสามารถของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 6.1.3 ควรจัดการเรียนรู้ควบคู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างหลากหลาย เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ 6.1.4 ผู้สอนควรเตรียมสื่อแบบร่าง หรือใช้เทคนิคแผนผังความคิด ก่อนการให้ผู้เรียนลงมือ ปฏิบัติการเขียนจริง รวมทั้งมีการฝึกความสามารถย่อยอื่น ๆ เช่น การคัดลายมือ การระดมแนวคิด การเรียบ เรียงคำในประโยค เป็นต้น 6.2 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป การวิจัยครั้งต่อไปควรมีการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ เทคนิคอื่น ๆ เช่น TAI (Team - Assisted Individualization), JIGSAW, STAD (Student Teams – Achievement Division) เป็นต้น เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจและการเขียนเรื่องตาม จินตนาการ หรือทักษะอื่น ๆ ในศตวรรษที่ 21 ที่มีความสำคัญในการเรียนรู้และการใช้ชีวิตของผู้เรียน เอกสารอ้างอิง กนกวรรณ ภู่ทิ่ม. (2562). การศึกษาความสามารถในการอ่าจับใจความสำคัญและการเขียนวิชาภาษาไทย ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค CIRC ร่วมกับ การสอนอ่านแบบปฏิบัติการ. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 21(1), 1-15. ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2559). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (พิมพ์ครั้งที่ 7). นนทบุรี: สหมิตร พริ้นติ้งแอนด์พับลิสซิ่ง. ดนิตา ดวงวิไล. (2565). นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้สำหรับครูภาษาไทย. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ทิศนา แขมมณี. (2560). ศาสตร์การสอน องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 21). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธนชพร พุ่มภชาติ. (2563). การพัฒนาหลักสูตรวรรณกรรมเพื่อเสริมสร้างการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต). กรุงเทพฯ: บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 327 วณัฐพล สินภิบาล. (2563). การพัฒนาทักษะการเขียนเชิงจินตนาการและทักษะการร่วมมือของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิค CIRC ร่วมกับแผนที่ความคิด (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต). นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร. สถาบันภาษาไทย สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2560). เครื่องมือวัดและประเมินผล (ฉบับ กรรมการสอบ) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด (ฉบับปรับปรุง 2560). กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. Carey, M.D., Davidow, S. & Williams, P. (2022). Re-imagining narrative writing and assessment: a post-NAPLAN craft-based rubric for creative writing. The Australian Journal of Language and Literacy, 45, 33-48. Currie, G. (2020). Imagining and Knowing: The Shape of Fiction. Oxford University Press. https://doi.org/10.1093/oso/9780199656615.001.0001. Duke, N.K., Pearson, P.D., Strachan, S.L., Billman, A. (2011). Essential Elements of Fostering and Teaching Reading Comprehension. by the International Reading Association. DOI: 10.1598/0829.03. Hjetland, H. N., Lervåg, A., Lyster, S. A. H., Hagtvet, B. E., Hulme, C., & Melby-Lervåg, M. (2019). Pathways to reading comprehension: A longitudinal study from 4 to 9 years of age. Journal of Educational Psychology, 111(5), 751–763. https://doi.org/10.1037/edu0000321. Kuşdemir, Y & Bulut, P. (2018). The Relationship between Elementary School Students’ Reading Comprehension and Reading Motivation. Journal of Education and Training Studies, 6(12), 97-110. Mubarok, H. & Sofiana, N. (2017). Cooperative integrated reading and composition (circ) and reading motivation: examining the effect on students' reading ability. Lingua Cultura, 11(2), 121-126. Slavin, R. E. (1995). Cooperative learning: Theory, research, and practice. Boston: Allyn & Bacon.


Click to View FlipBook Version