The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มครุศาสตร์วิชาการครั้งที่13(บรรยาย)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by janistapv, 2023-07-04 06:59:55

รวมเล่มครุศาสตร์วิชาการครั้งที่13(บรรยาย)

รวมเล่มครุศาสตร์วิชาการครั้งที่13(บรรยาย)

192| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 1. บทนำ การศึกษาระดับปฐมวัย เป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวม บนพื้นฐาน การอบรมเลี้ยงดูการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคน ให้เต็มตามศักยภาพภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความ เข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 2) จากนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ได้มีนโยบายการศึกษา เรื่องเด็กไทยทุกคนต้องเรียน «โค้ดดิ้ง» (Coding) โดยใช้คำว่า “Coding for all” โดยกำหนดไว้ในนโยบาย ด้านการศึกษาของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุน การสื่อสารภาษาต่าง ๆ ของเยาวชนไทย ทั้งภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ตลอดจนภาษาคอมพิวเตอร์(Coding) ผลของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ต่อพฤติกรรมของเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย ส่งผลทำให้ พฤติกรรมความคิดและค่านิยมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป เด็กที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา ถูกเรียกว่า Generation Alpha เด็กเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้า และเติบโตขึ้น พร้อมกับ เทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากในเด็ก ยุคที่ผ่านๆ มา และในอนาคตเด็กจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องแข่งขันกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต จึงจำเป็นจะต้องมีการเตรียม ความพร้อมเด็กปฐมวัยให้สามารถเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม อันปลั๊กโค้ดดิ้ง เป็นการเรียนคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ เรียนผ่านกิจกรรมเกม การเล่น เป็นต้น ซึ่งเหมาะแก่การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย เพราะหลักการจัดประสบการณ์ของเด็ก ช่วงอายุ 3-6 ปี ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้กล่าวไว้ว่า การจัดประสบการณ์จะต้องจัดในรูปแบบบูรณาการผ่าน การเล่น (การเล่นอย่างมีความหมาย) เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านให้กับเด็ก ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา มีการบูรณาการการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับวัยและ ความสนใจของเด็ก สิ่งสำคัญในการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ การยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ในการจัดประสบการณ์ จะต้องจัดให้สอดคล้องเหมาะสมกับเด็กและสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น เพื่อที่เด็กจะได้ ฝึกฝนตนเอง ให้เหมาะกับชุมชนหรือท้องถิ่นรอบ ๆ ตัวเด็ก นอกจากนี้ผู้สอนจำเป็นจะต้องนำเทคนิค หรือทฤษฎีการสอนที่ส่งเสริมความสามารถการสร้างสรรค์และนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ต้องนำเทคนิควิธีการสอน ตลอดจนนำสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาช่วยแก้ปัญหาการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ คือ ความสามารถของสมองและจิตใจที่จะควบคุม ความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายได้ (ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. 2561: คำนำ) ซึ่งการพัฒนาสมอง ของเด็กนอกเหนือจากเรื่อง IQ และ EQ การฝึกทักษะ EF ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จเป็นสิ่งจำเป็นและ สำคัญที่จะเป็นรากฐานกระบวนการคิดตัดสินใจและการกระทำที่มีส่วนช่วย ให้เด็กในวันนี้เป็นคนที่ประสบ ความสำเร็จได้ในอนาคต (นวลจันทร์ จุฑาภัคดีกุล. 2559: 1) ซึ่งสอดคล้องกับ สุภาวดี หาญเมธี (2559: 2) ได้กล่าวถึง ทักษะสมอง EF (Executive Function) ว่าเป็นชุดกระบวนการทางความคิด (Mental Process) ที่ช่วยให้เราวางแผน มุ่งใจจดจ่อ จำคำสั่ง และ จัดการกับงานหลาย ๆ อย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยได้สามารถ


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 193 จัดลำดับความสำคัญของงาน วางเป้าหมาย และทำไปเป็นขั้นตอนจนสำเร็จ รวมทั้งควบคุมแรงอยาก แรงกระตุ้นทั้งหลาย ไม่ให้สนใจไปนอกลู่ นอกทาง และเป็นกระบวนการทำงานของสมองในระดับสูงที่ประมวล ประสบการณ์ในอดีต และสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นนำมาประเมิน วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน เริ่มลงมือทำ ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา ตลอดจนควบคุมอารมณ์ บริหารเวลา จัดความสำคัญ กำกับตนเอง และมุ่งมั่นทำจน บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ (Goal- Directed Behaviors) หรือกล่าวง่าย ๆ ได้ว่า เป็นทักษะ ความสามารถที่มนุษย์เราทุกคน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ไม่ว่าชนชาติหรือชนชั้นใด ๆ และไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคต เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็จะต้องใช้สมองเหล่านี้ในการดำเนินชีวิตทุก ๆ วันให้อยู่รอด ปลอดภัย และทำกิจการงานต่าง ๆ ให้สำเร็จเรียบร้อย ดังนั้นเด็กปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลา สำคัญที่เด็กควรได้รับ การพัฒนาทักษะ EF เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการควบคุมตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้อง พบกับความท้าทายปัญหา อุปสรรค หรือความยากลำบาก ต่าง ๆ ในชีวิต ทั้งที่บ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน และ ในสังคมต่อไป (วีระศักดิ์ ชลไชยะ. 2560: 11) จากการไปศึกษาสังเกตเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนชูศิลป์วิทยา พบว่า เด็กปฐมวัยบางส่วนยังขาด ทักษะกระบวนการคิด และไม่มีความกล้าแสดงออกในการทำกิจกรรม ขาดการจดจ่อใส่ใจในการทำงาน ไม่มีสมาธิในขณะที่ทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ อีกทั้งในการทำกิจกรรมไม่ค่อยมีความแปลกใหม่ ด้านจินตนาการ การคิดนอกกรอบค่อนข้างน้อย ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจจัดกิจกรรมโดยการใช้เกมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง เพื่อส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้มีอิสระในการแสดงออก ได้ลงมือกระทำด้วยตนเองโดยอาศัยประสบการณ์เดิม และเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นทักษะสมอง สามารถ ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง มีการคิด กล้าทำ อันเป็นรากฐานสำคัญให้เด็กเกิดการพัฒนาให้เหมาะสมกับวัย เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในอนาคตต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งที่มีต่อการส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งที่มีต่อการส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม 3. ระเบียบวิธีวิจัย 3.1. ขอบเขตของการวิจัย 3.1.1 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1.1 กลุ่มประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กปฐมวัยเพศชายและหญิง อายุระหว่าง 3 - 6 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับปฐมวัย โรงเรียนชูศิลป์วิทยา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 50 คน 3.1.1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กปฐมวัยเพศชาย และหญิง อายุระหว่าง 3 - 4 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนชูศิลป์วิทยา อำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช สังกัดสำนักสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 19 คน โดยเลือกกลุ่ม ตัวอย่างโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) มา 1 ห้องเรียน จากจำนวนทั้งหมด 3 ห้องเรียน


194| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.2.1 คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง 3.2.2 แผนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง จำนวน 18 แผน 3.2.3 คู่มือการใช้แบบประเมินการส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน ของเด็กปฐมวัย 3.2.4 แบบประเมินการส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย 3.3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ใช้เวลาในการทดลอง กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง 5 สัปดาห์ รวมเป็นระยะเวลาในการทดลองทั้งสิ้น 18 ครั้ง ซึ่งมีลำดับขั้นตอนต่อไปนี้ 3.3.1 ขอความร่วมมือกับผู้บริหารโรงเรียนในการทำวิจัย 3.3.2 เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 1 ห้องเรียน ซึ่งมีจำนวนนักเรียน 19 คน เพื่อมาใช้เป็น กลุ่มตัวอย่าง 3.3.3 ผู้วิจัยนำรูปแบบการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง เพื่อพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ 1. อาจารย์จุฬาลักษณ์ สุตระ อาจารย์ประจำหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช 2. คุณครูนิตยา ประธานทรง ครู โรงเรียนชูศิลป์วิทยา 3. คุณครูกชกร อักษรนิตย์ ครู โรงเรียนบ้านน้ำฉา 3.3.4 ผู้วิจัยทำการทดลอง โดยใช้แบบประเมินจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3.3.5 ผู้วิจัยดำเนินการทดลองสอนตามแผนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง ของเด็กปฐมวัย ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน (วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์) วันละ 30 นาที(เวลา 10.00– 10.30 น.) รวมเป็นระยะเวลาในการทดลองทั้งสิ้น 18 ครั้ง 3.3.6 เมื่อดำเนินการทดลองกิจกรรมจนครบ 5 สัปดาห์แล้ว ผู้วิจัยทำการประเมินทักษะ สมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน หลังการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบประเมิน ใช้ฉบับเดียวกับ แบบประเมินก่อนการทดลอง 3.3.7 นำข้อมูลที่ได้จากการทดลองไปวิเคราะห์ตามวิธีการตามสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐาน โดยหาค่าเฉลี่ย และเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง โดยใช้สูตร T-testแบบ Paired - Sample


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 195 3.4. วิธีการดำเนินการวิจัย 3.4.1 ศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมเด็กปฐมวัย พบว่า เด็กปฐมวัยบางส่วนยังขาดทักษะ กระบวนการคิด และไม่มีความกล้าแสดงออกในการทำกิจกรรม ขาดการจดจ่อใส่ใจในการทำงาน ไม่มีสมาธิ ในขณะที่ทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ อีกทั้งในการทำกิจกรรมไม่ค่อยมีความแปลกใหม่ด้านจินตนาการ การคิดนอกกรอบค่อนข้างน้อย 3.4.2 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 และคู่มือหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย 2560 ที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะตามวัยที่จำเป็นในด้านร่างกายของพัฒนาการทางด้านสติปัญญา 3.4.3 ศึกษา วางแผนและออกแบบแผนการจัดกิจกรรม Unplugged Coding สำหรับใช้ ในการส่งเสริมเด็กปฐมวัยสำหรับใช้ในการส่งเสริมทักษะสมอง EF (Executive Functions) กลุ่มทักษะพื้นฐาน 3.4.4 นำแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่ใช้ในการวิจัยเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว นำไปปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะโครงการที่ปรึกษา 3.4.5 นำแผนการจัดกิจกรรม Unplugged Coding ที่ใช้ในการวิจัยที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ตาม ข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน 3.4.6 สังเคราะห์ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาแผนการจัดกิจกรรม Unplugged Coding 3.4.7 นำแผนการจัดกิจกรรม Unplugged Coding ที่ใช้ในการวิจัยที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ไปทดลองใช้กับเด็กปฐมวัย จำนวน 19 คน 3.4.8 นำแผนการจัดกิจกรรม Unplugged Coding ที่ได้ทดลองใช้มาปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง แล้วจึง นำไปใช้จริง ตัวอย่างกิจกรรม “พาหนูน้อยไปรดน้ำต้นไม้” ขั้นนำ 1. ครูให้เด็กดูอุปกรณ์ และตั้งปัญหา 2. ครูนำบัตรโค้ด (ลูกศรบอกทิศทาง) ให้เด็กชี้บอกทิศทาง ขั้นดำเนินกิจกรรม 3. ครูนำไวนิลแผ่นตาราง 24 ช่อง ให้เด็กนับช่องตารางว่ามีทั้งหมดกี่ช่อง แล้วให้เด็ก สังเกตภาพในไวนิลแผ่นตาราง 24 ช่อง จากนั้นให้เด็กบอกชื่อจนครบทุกภาพที่มีในตาราง 4. ครูสาธิตวิธีการเล่นโดยหาอาสาสมัครออกมาเพื่อเล่นเป็นตัวอย่างให้เพื่อนดู 5 คน ดังนี้ 4.1.1 เด็กคนที่ 1 ยืนอยู่ที่จุด Start ในไวนิลแผ่นตาราง 24 ช่อง แล้วคอยปฏิบัติ ตามโค้ดคำสั่ง 4.1.2 เด็กคนที่ 2 เป็นผู้ออกคำสั่งโดยใช้โค้ด (ลูกศรบอกทิศทาง) 4.1.3 ครูอ่านโจทย์ให้เด็กคนที่ 2 ฟังแล้วเด็กที่เป็นผู้สั่งยกป้ายคำสั่ง สั่งเด็กคนที่ 1 ให้เดินตามโค้ด (ลูกศรบอกทิศทาง) ซึ่งต้องเดินไปในทางที่ไม่มีสิ่งกีดขวางซึ่งมีเด็กอีก 3 คนยืนอยู่โดยมีภาพ เช่น หอยทาก เห็ด และมดแดง โดยมีคุณครูเป็นผู้ชี้แนะ เพื่อให้เดินไปตารางสุดท้ายซึ่งมีต้นไม้วางอยู่บนตาราง


196| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ขั้นสรุป 5. เด็กและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง การใช้โค้ด (ลูกศรบอกทิศทาง) 6. เด็กและครูร่วมกันสรุปการ: พาหนูน้อยไปรดน้ำต้นไม้ 3.4.9 ดำเนินการวิจัยกับกลุ่มประชากร 3.4.10 เขียนรายงานการวิจัย 3.5.แบบแผนการทดลอง แบบแผนการทดลองในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลอง โดยอาศัยการวิจัยแบบการทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ The One- Group Pretest - Posttest Design และสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ T-test Dependent จากโปรแกรมสำเร็จรูป ดังตารางที่ 2 ดังนี้ ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง T1 แทน การประเมินทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน ก่อนได้รับ การจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง X แทน การจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง T2 แทน การประเมินทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน หลังได้รับการจัด กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง 3.6. การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6.1 หาค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนเพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง ที่มีต่อการส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย โดยหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 3.6.2 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ด ดิ้งที่มีต่อการส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัยโดยสถิติที่ใช้วิเคราะห์ ข้อมูลคือ T-Test แบบ Dependent กลุ่ม ก่อนเรียน ทดลอง หลังเรียน ทดลอง 1 X 2


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 197 4. สรุปผลการวิจัย 4.1 ผลรวมการศึกษาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน มีค่าเฉลี่ยก่อนการจัดกิจกรรม อันปลั๊กโค้ดดิ้งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.79 และหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.47 จะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ยทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัด กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง แตกต่างกันอย่างชัดเจน 4.2 การเปรียบเทียบทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน โดยแยกเป็นรายด้าน คือ ด้านความจำเพื่อใช้งาน ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ย (x̅=1.29) (S.D.=0.25) อยู่ในระดับ ควรได้รับการส่งเสริม และหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ย (x̅=2.53) (S.D.=0.46) อยู่ในระดับ ควรได้รับการส่งเสริม ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ย (x̅=1.45) (S.D.=0.37) อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม และหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ย (x̅=2.79) (S.D.=0.25) อยู่ในระดับปานกลาง และด้านการยืดหยุ่นความคิด ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ย (x̅=1.16) (S.D.=0.24) อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม และหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ย (x̅=2.42) (S.D.=0.45) อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม จะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ยด้านความจำเพื่อใช้งาน ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง และด้านการยืดหยุ่นความคิด ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมแตกต่างกันอย่างชัดเจน ตารางที่ 3 คะแนนทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานก่อนและหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง เป็นรายด้าน ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง หลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง x̅ S.D. ระดับทักษะ x̅ S.D. ระดับทักษะ 1. ความจำเพื่อใช้งาน 1.29 0.25 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.53 0.46 ควรได้รับ การส่งเสริม 1.1 เด็กเล่าเรื่องราวและ ประสบการณ์ที่ได้จากการ เรียนรู้ 1.00 0.00 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.53 0.51 ควรได้รับการ ส่งเสริม 1.2 เด็กทำกิจกรรมได้ตาม ขั้นตอนที่ครูสาธิต 1.58 0.51 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.53 0.51 ควรได้รับการ ส่งเสริม 2. การยั้งคิดไตร่ตรอง 1.45 0.37 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.79 0.25 ปานกลาง 2.1 เด็กเข้าแถวตามลำดับ ก่อนหลัง 1.63 0.50 ควรได้รับ การส่งเสริม 3.00 0.00 ปานกลาง 2.2 เด็กแสดงอารมณ์ความรู้สึก ได้อย่างเหมาะสม 1.26 0.45 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.58 0.51 ควรได้รับการ ส่งเสริม


198| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐาน ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง หลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง x̅ S.D. ระดับทักษะ x̅ S.D. ระดับทักษะ 3. การยืดหยุ่นความคิด 1.16 0.24 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.42 0.45 ควรได้รับการ ส่งเสริม 3.1 เด็กรับฟังความคิดเห็นของ ผู้อื่น 1.32 0.48 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.53 0.51 ควรได้รับการ ส่งเสริม 3.2 เด็กเลือกใช้สิ่งของที่มี ทดแทนสิ่งของที่ตนเองต้องการ 1.00 0.00 ควรได้รับ การส่งเสริม 2.32 0.48 ควรได้รับการ ส่งเสริม รวม 7.79 1.44 ปานกลาง 15.47 1.90 ดีมาก ผลการวิเคราะห์ตามตารางที่ 3 พบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งมีทักษะสมอง เพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานรายด้าน โดยด้านความจำเพื่อใช้งาน ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งมีค่าเฉลี่ย (x̅=1.29) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.25) อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม หลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งมีค่าเฉลี่ย (x̅=2.53) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.46) อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม ด้านการยั้งคิดไตร่ตรองก่อนการจัด กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งมีค่าเฉลี่ย (x̅=1.45) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.37) อยู่ในระดับควรได้รับ การส่งเสริม หลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งมีค่าเฉลี่ย (x̅=2.79) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.25) อยู่ในระดับปานกลาง และด้านการยืดหยุ่นความคิดก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งมีค่าเฉลี่ย (x̅=1.16) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.00) อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม หลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง Coding มีค่าเฉลี่ย (x̅=2.42) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.45) อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม แผนภูมิที่ 1 ค่าเฉลี่ยทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานก่อนและหลังที่ได้รับการจัด กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 ความจําเพื่อใช้งาน การยั้งคิดไตร่ตรอง การยืดหยุ่นความคิด 1.29 1.45 1.16 2.53 2.79 2.42 แผนภูมิค่าเฉลี่ยทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สําเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานก่อน และหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง ก่อนการจัดกิจกรรม หลังการจัดกิจกรรม


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 199 จากแผนภูมิที่ 1 พบว่า ค่าเฉลี่ยทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานก่อนและหลัง ที่ได้รับการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งรายด้าน ทั้งด้านความจำเพื่อใช้งาน ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง และด้าน การยืดหยุ่นความคิด หลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ กลุ่มทักษะพื้นฐานสูง กว่าก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง 5. อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาและเปรียบเทียบทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จกลุ่มทักษะพื้นฐาน ก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งผู้วิจัยขอนำเสนออภิปรายผล ดังนี้ 5.1. ผลรวมการศึกษาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จกลุ่มทักษะพื้นฐาน มีคะแนนเฉลี่ยก่อน การจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.79 และหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.47 จะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ยทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จกลุ่มทักษะพื้นฐาน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมอัน ปลั๊กโค้ดดิ้งแตกต่างกันอย่างชัดเจน ค่าเฉลี่ยโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นทั้ง 3 ด้านหลังจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ปลูกปัญญา, 2563 อันปลั๊กโค้ดดิ้ง เน้นการทำกิจกรรมผ่านรูปแบบการเล่นเกม เด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากการคิดและลงมือทำอย่าง มีลำดับขั้นตอน เป็นการฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้น เป็นตอน รู้จักแยกย่อยปัญหา และแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ 5.2. การเปรียบเทียบทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ โดยแยกเป็นรายด้าน คือ ด้านความจำเพื่อใช้งาน มีรายข้อ ได้แก่ เด็กเล่าเรื่องราวและประสบการณ์เดิมที่ได้จากการเรียนรู้ เด็กทำกิจกรรมได้ตามขั้นตอน ที่ครูสาธิต ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง มีรายข้อ ได้แก่ เด็กเข้าแถวตามลำดับก่อนหลัง เด็กแสดงอารมณ์ความรู้สึก ได้อย่างเหมาะสม และด้านการยืดหยุ่นความคิด มีรายข้อ ได้แก่ เด็กรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เด็กเลือกใช้ สิ่งของที่มีทดแทนสิ่งของที่ตนเองต้องการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 5.2.1 ด้านความจำเพื่อใช้งาน คือ เด็กเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ และเด็กทำกิจกรรมได้ตามขั้นตอนที่ครูสาธิต ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.29 และหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.53.แสดงให้เห็นว่าด้านความจำเพื่อใช้งาน หลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง สูงขึ้น ซึ่งสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 เนื่องจาก ในการปฏิบัติกิจกรรม เด็กปฐมวัยได้เกิดความจำจากสิ่งที่ได้รับฟังและได้เรียนรู้เป็นกิจกรรมที่เหมาะสม กับความสนใจของเด็ก ช่วยให้เด็กมีความสุข สนุกสนาน และเพลิดเพลินไปกับการลงมือปฏิบัติจริง อีกทั้งยัง เป็นการฝึกความจำได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีความสอดคล้องกับพัฒนาการและธรรมชาติ ของเด็กปฐมวัย เด็กได้สัมผัส สื่อวัสดุ และสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยของ ปิยธิดา ณ อุบล, 2565 เรื่องการศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้ง ที่มีต่อการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีการคิดเชิงคำนวณที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้ง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (x̅= 4.53 และ S.D. = 0.46)


200| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 5.2.2 การยั้งคิดไตร่ตรอง คือ เด็กเข้าแถวตามลำดับก่อนหลัง และเด็กแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ได้อย่างเหมาะสม ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.45 และหลังการจัด กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.79 แสดงให้เห็นว่าการยั้งคิดไตร่ตรองหลังการจัดกิจกรรมอันปลั๊ก โค้ดดิ้ง สูงขึ้น ซึ่งสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิตที่ระดับ .05 เนื่องจากในการปฏิบัติกิจกรรม ของเด็กปฐมวัย ทั้งนี้กลุ่มทดลองได้รับการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีกระบวนการคิด มากขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยของ ภาสกร รองเรือง, 2563 ที่ได้ศึกษาแนวคิดเชิงคำนวณร่วมกับรูปแบบ การเรียนรู้ Coding เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องลงมือ ทำด้วยตนเองเท่านั้น ผู้สอนจะต้องสร้างการเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นรูปธรรมผ่านการ Coding จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ครูผู้สอนต้องออกแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แนวคิดเชิงคำนวณร่วมกับรูปแบบ การเรียนรู้ Coding ให้กับผู้เรียนได้ฝึกคิด และฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง 5.2.3 การยืดหยุ่นความคิด คือ เด็กรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และเด็กเลือกใช้สิ่งของ ที่มีทดแทนสิ่งของที่ตนเองต้องการ ก่อนการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.16 และหลังการจัด กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.42 แสดงให้เห็นว่าการยืดหยุ่นความคิด หลังการจัดกิจกรรมอัน ปลั๊กโค้ดดิ้ง สูงขึ้น ซึ่งสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 เนื่องจากในการปฏิบัติกิจกรรม เด็กปฐมวัย ทั้งนี้กลุ่มทดลองได้รับการจัดกิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีกระบวณการ แก้ปัญหาอย่างง่ายได้ดีมากขึ้น สอดคล้องกับบทความของ (ชฎารัตน์ พิพัฒนนันท์, 2563) แนวคิดการเรียน การสอนเพื่อสร้างความเข้าใจในหลักการพื้นฐานของวิทยาการคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ แต่เป็นการใช้กิจกรรมการเล่นสนุก บัตรคำ ปริศนา เกม อุปกรณ์ และสิ่งรอบตัว มาประกอบกัน เพื่อเป็นสื่อในการแก้ปัญหา ทำให้เกิดการเรียนรู้ให้เข้าใจในหลักการพื้นฐานของวิทยาการคอมพิวเตอร์และ วิทยาการคำนวณ กิจกรรมอันปลั๊กโค้ดดิ้ง ฝึกให้เด็กคิดแก้ปัญหาและคิดอย่างเป็นระบบด้วยการเล่นเกมหรือ กิจกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นพื้นฐานต่อยอดการศึกษาต่อในศาสตร์อื่น อันเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 6. ข้อเสนอแนะ 6.1 ข้อเสนอแนะทั่วไป 6.1.1 เนื่องจากกิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการยกตัวอย่างสถานการณ์ ผู้วิจัยควรยกตัวอย่าง สถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อน และต่อเนื่องกัน เพื่อให้เด็กคิดแก้ไขปัญหาได้ และค่อยเพิ่มระดับความซับซ้อนขึ้น เพื่อการกระตุ้นความสนใจของเด็ก 6.1.2 ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยควรมีการทบทวนการเขียนโค้ดดิ้ง แสดงลำดับ ขั้นตอน เพื่อให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ตาม และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการคิด 6.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 6.2.1 ควรมีการศึกษาพัฒนาสื่ออันปลั๊กโค้ดดิ้ง เพื่อกระตุ้นความสนใจในการเรียน และ ส่งเสริมกระบวนการคิดให้กับผู้เรียน 6.2.2 พัฒนาสื่ออันปลั๊กโค้ดดิ้ง ที่เด็กสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 201 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. ชฎารัตน์ พิพัฒนนันท์. (2564). CS Unplugged เรียน Coding โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์. https://www.starfishlabz.com นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล. (2559). เอกสารประกอบการอบรมเรื่อง การใช้แบบประเมินพัฒนาการ ด้าน การคิดเชิงบริหารในเด็กปฐมวัย.ศูนย์วิจัยประสาทวิยาศาสตร์. สถาบันชีววิทยาศาสตร์ โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล. ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. (2561). เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF. สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก: กรุงเทพมหานคร. ปิยธิดา ณ อุบล. (2565). การศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Unplugged Coding ที่มี ต่อการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ปลูกปัญญา. (2563). UNPLUGGED CODING : โมเดลทักษะแห่งอนาคต สำหรับเด็กปฐมวัย. http://plookpanya.ac.th ภาสกร รองเรือง. (2563). แนวคิดเชิงคำนวณร่วมกับรูปแบบการเรียนรู้ Coding เพื่อส่งเสริม ทักษะ การแก้ปัญหาแบบร่วมมือ. วารสารวิชาการเครือข่ายบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ ภาคเหนือ, 11(1), 1–16. วีระศักดิ์ ชลไชยะ. (2559). พัฒนาทักษะ EF ตั้งแต่ปฐมวัย…รากฐานของการพัฒนาประเทศในยุค Thailand 4.0. กรุงเทพฯ:บียอนด์เอ็นเทอร์ไพรซ์. สุภาวดี หาญเมธี. (2559). EF ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สําเร็จ Executive Function. กรุงเทพฯ : สถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป).


202| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา และทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก The Development of Academic Achievement in Social Studies and Analytical Thinking Skills Using 5 Steps GPAS Learning Management and Metaverse Spatial Application on Introductory Economics for Grade 12 Students at Chawangratchadapisek School ธนาธิป รัตนพันธ์1 , แก้วใจ สุวรรณเวช2 Thanatip Rattanapan1 , Kaewjai Suwanwech2 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชันMetaverse spatial 2) ศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ในการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการ เรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา สังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์ เบื้องต้น แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ และแบบประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่า t-test dependent ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ มีคะแนนเฉลี่ย 4.02 อยู่ในระดับดีและผลการประเมินความพึง พอใจในการจัดการเรียนรู้มีคะแนนเฉลี่ย 4.26 อยู่ในระดับมากที่สุด คำสำคัญ : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ทักษะการคิดวิเคราะห์, การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps, แอปพลิเคชัน 1 นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อีเมล [email protected] 1 Undergraduate Student, Faculty of Education, Program in Social Studies, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail [email protected] 2 อาจารย์ คณะครุศาสตร์สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อีเมล [email protected] 2 Lecturer, Faculty of Education, Program in Social Studies, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University,Email : [email protected]


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 203 Abstract The objectives of this study were 1) Compare learning achievements on Introductory Economics. Before and after learning management using GPAS 5 Steps learning management and Metaverse spatial application. 2) Studying critical thinking skills in learning management using GPAS 5 Steps learning management and Metaverse spatial application. And 3) To study the satisfaction. After being managed to learn Introductory Economics using GPAS 5 Steps learning management and Metaverse spatial application. This research was experimental research. The sample used in the research were Grade 12 Students at Chawangratchadapisek School, semester 2, the academic year 2022. obtained by simple random The classroom was used as a random unit of 1 classroom with 42 students. The research tools were the learning management plan for the social studies course on introductory economics Social Studies Achievement Test Introduction to Economics Analytical Thinking Skill Assessment Form and a satisfaction assessment form for learning management The statistics used in the research were mean (̅), standard deviation (S.D.), and t-test dependent. The results of the research revealed that Achievement in Social Studies Introduction to Economics of students in Grade 12 Students After being managed to learn By using GPAS 5 Steps learning management and Metaverse spatial application, the average scores after the study was higher than before with statistical significance at the .05 level. with an average score of 4.02, in a high level and satisfaction assessment results in learning management with an average score of 4.26, in the highest. Keywords: Learning Achievement, Analytical Thinking Skills, GPAS 5 Steps Learning Management, Application 1. บทนำ การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยลักษณะของผู้เรียน ในศตวรรษที่ 21 นอกจากจะเป็นผู้ที่มีความรู้พื้นฐานแล้วยังต้องมีทักษะทางด้านการคิด การสื่อสาร รวมถึง ทักษะการจัดการสารสนเทศและความสามารถในการเรียนรู้ต่าง ๆ ผ่านเทคโนโลยี ดังนั้นเพื่อให้ผู้เรียนมีความ พร้อมในการใช้ชีวิต การปรับรูปแบบการเรียนการสอน ทว่าเป็นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนอง ความต้องการของเยาวชน สังคมในปัจจุบันและอนาคต (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560) และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 มีการมุ่งเน้นพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ที่มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้ดังนั้นการสอนจึงมีแนวคิดให้คิดเป็น ทำเป็นและ แก้ปัญหาได้แต่แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้นำไปใช้อย่างกว้างขวางและการสร้างรูปแบบการเรียนการสอนที่จะ สามารถนำไปใช้ได้จริงไม่มากนัก ส่งผลให้นักเรียนเรียนรู้แบบท่องจำ แต่ขาดการคิดวิเคราะห์ ทั้งการแยกแยะ และการให้เหตุผล


204| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล จากการที่ผู้วิจัยได้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ณ โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก ปีการศึกษา 2565 รายวิชาสังคมศึกษา 6 (ส33102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในการทดสอบการเรียนรู้ก่อนกลางภาค พบว่า จากนักเรียนทั้งหมด 121 คน มีผลการทดสอบที่ผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 10.74 และมีนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน 108 คน คิดเป็นร้อยละ 89.26 ซึ่งถือว่ามีผลการเรียนที่ต่ำ เนื่องจากนักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจ นำไปสู่การขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะการให้เหตุผลประกอบการอธิบายจากตัวอย่างที่ครูกำหนดให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหากับ การนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อาจเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้และการใช้สื่อการเรียนรู้ที่ไม่สามารถกระตุ้น ให้นักเรียนสนใจ จึงขาดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยได้ศึกษารูปแบบการจัด การเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps เป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้จากการลงมือทำ ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ดำเนินกิจกรรม การเรียนด้วยตนเอง ที่สามารถนำไปสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียน การส่งเสริมให้ลงมือปฏิบัติหรือ สร้างงานที่ตนเองสนใจ กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจเรียน และสร้างองค์ความรู้โดยการผสมผสานระหว่างความรู้เดิม กับความรู้ใหม่ เป็นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ซึ่ง ทิศนา แขมมณี (2555) ได้ขยายความ แนวคิดนี้ว่า เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีบทบาทในกระบวนการเรียนรู้อย่างตื่นตัว เน้นให้ผู้เรียน มีปฏิสัมพันธ์กับกระบวนการเรียนรู้กระตุ้นให้ผู้เรียนได้ลงมือทำ ปฏิบัติจริง ได้อ่าน เขียน ตั้งคำถาม และอภิปรายร่วมกัน เกิดกระบวนการคิด การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ ใช้ทักษะและเชื่อมโยงองค์ความรู้นำไปปฏิบัติเพื่อการแก้ไขปัญหา และการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps มีขั้นตอนที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน โดยครูต้องกำหนดว่านักเรียนจะสรุปความรู้จากเรื่องที่เรียน การเรียบเรียงความคิดของตนเองในการสรุปความคิดรวบยอด กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเองเช่นนี้จะ เกิดขึ้นได้เมื่อครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนผ่านกระบวนการเก็บข้อมูล และเลือกข้อมูลสำคัญ ที่เกี่ยวข้อง เป็นการนำข้อมูลมาจัดกระทำเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่จำแนกเพื่อให้ได้ความรู้ตามที่กำหนดไว้ จากนั้นนำไปใช้ในการปฏิบัติหรือการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่ได้จากกระบวนการเหล่านี้ จะตกผลึกภายในตัวของผู้เรียน โดยจะสะท้อนออกมาในภาระงานหรือการปฏิบัติที่ครูมอบหมาย และครูต้อง ฝึกการใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบทบทวนการคิด พูด ทำ อยู่เสมอเพื่อปรับปรุงงานในขณะ ดำเนินการให้ดียิ่งขึ้น (ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย, 2559) นอกจากกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิด การสอน ในปัจจุบันต้องมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อดึงดูดความสนใจ ผู้เรียนด้วยการใช้แอปพลิเคชันเพื่อประกอบการสอน จึงเป็นอีกแนวทางที่ผู้เรียนให้ความสนใจ ดังเช่น Metaverse spatial เป็นแอปพลิเคชันโลกเสมือนจริง แบบ Virtual Reality นำมาใช้สร้างห้องเรียนออนไลน์ ประชุมออนไลน์ จัดนิทรรศการออนไลน์ โดยสามารถ สร้างตัวละครของตนเองก่อนเข้าแอปพลิเคชันได้ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียนรู้มากขึ้น เนื่องจากการใช้แอปพลิเคชันเสริมการเรียนรู้เป็นการกระตุ้นความน่าสนใจให้กับผู้เรียนมากกว่าการอ่าน หนังสือเรียนโดยทั่วไป มีรูปภาพและวีดีทัศน์ประกอบที่น่าสนใจและเหมาะสมกับเนื้อหา ในการนําเสนอนั้น เน้นความกระชับ เข้าใจง่าย และสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (วีนา โชติช่วง, ชิติพัทธ์ปานเกษม และวิจิตรา สายแสง, 2562)


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 205 ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial มาใช้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในรายวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เป็นเครื่องมือในการเพิ่มพูนทักษะในการเรียนรู้ ทำให้นักเรียนมีวิธีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial 2.2. เพื่อศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ในการจัดการเรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial 2.3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial 3. ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The One-Group Pretest-Posttest Design) ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้องเรียน รวมนักเรียนทั้งหมด 121 คน กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ใช้ห้องเรียน เป็นหน่วยสุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 42 คน ตัวแปรที่ศึกษา 1) ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial และ2) ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ทักษะ การคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระยะเวลาในการทดลอง ดำเนินการระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม พ.ศ. 2565 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ใช้ในการทดลอง 4 คาบ คาบละ 50 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง เศรษฐศาสตร์ เบื้องต้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial


206| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา สังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น 2) แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ และ 3) แบบประเมินความพึง พอใจในการจัดการเรียนรู้ การสร้างเครื่องมือ ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการใช้ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 แผน การจัดการเรียนรู้ เวลา 4 คาบ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ และแบบประเมินความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้ การตรวจสอบค่าคุณภาพเครื่องมือ ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยการตรวจสอบ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน คือ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก เพื่อพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ และนำมาหาค่าความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ค่าดัชนีความสอดคล้อง ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ถือว่าเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับได้และนำข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงและแก้ไขต่อไป ผลที่ได้จากการตรวจสอบค่าคุณภาพเครื่องมือ ดังต่อไปนี้1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนีIOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนี IOC 0.80 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือ โดยการหาค่าดัชนีIOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนี IOC 1.00 3) แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ตรวจวัดคุณภาพ ของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนีIOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนี IOC 0.90 และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนีIOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนีIOC 1.00 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ทดสอบก่อนการทดลอง (Pretest) โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา เพื่อเก็บไว้เป็นคะแนนก่อนการทดลอง 2. ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่อง เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้ระยะเวลาในการทดลอง 4 คาบ คาบละ 50 นาที กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ตามขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 สังเกต รวบรวมข้อมูล 1) นักเรียนดูภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านแอปพลิเคชัน Metaverse spatial แล้วให้ นักเรียนเลือกว่า “ชีวิตประจำวันของนักเรียนตรงกับภาพใดบ้าง” 2) นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น โดยใช้ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 207 ขั้นที่ 2 คิดวิเคราะห์และสรุปความรู้ 1) นักเรียนทำกิจกรรม : นักเศรษฐศาสตร์ตัวยง โดยให้นักเรียนแบ่งกลุ่มจำนวน 6 กลุ่ม กลุ่ม ละ 6 – 7 คน อ่านสถานการณ์ในแอปพลิเคชัน Metaverse spatial แล้วนำมาตอบลงใน ใบงานที่ 1 เรื่อง “นักเศรษฐศาสตร์ตัวยง” ขั้นที่ 3 ปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ 1) นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นในรูปแบบแผนภาพ หรือแผนผังความคิด ขั้นที่ 4 สื่อสารและนำเสนอ 1) นักเรียนนำผลงานไปเผยแพร่เป็นนิทรรศการในแอปพลิเคชัน Metaverse spatial ขั้นที่ 5 ประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่าบริการสังคม และจิตสาธารณะ 1) นักเรียนร่วมกันประเมินตนเองว่า “นักเรียนสามารถนำความรู้จากเรื่องเศรษฐศาสตร์ เบื้องต้นไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง” ผ่านแอปพลิเคชัน Padlet 3. ทดสอบหลังการทดลอง (Posttest) โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา โดยใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกับการทดสอบก่อนการทดลอง เพื่อเก็บไว้ เป็นคะแนนหลังการทดลอง 4. ประเมินความพึงพอใจหลังการจัดการเรียนรู้โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบประเมิน ความพึงพอใจหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial 5. ประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ จากใบงานที่ 1 เรื่อง “นักเศรษฐศาสตร์ตัวยง” โดยใช้เกณฑ์ การประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial โดยใช้ เนื้อหา สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยผู้วิจัย ใช้สถิติในการวิจัย ดังนี้ 1. เปรียบเทียบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้t – test dependent 2. วิเคราะห์ผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย (̅) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วเปรียบเทียบกับเกณฑ์การแปลความหมายตามมาตราวัดของลิเคิร์ท (Likert, 1987 อ้างถึงใน เพ็ญแข ศิริวรรณ และคณะ, 2551:25) ดังนี้ 4.21 – 5.00 หมายถึง ระดับดีมาก 3.41 – 4.20 หมายถึง ระดับดี 2.01 – 3.40 หมายถึง ระดับปานกลาง 1.81 – 2.00 หมายถึง ระดับน้อย 1.00 – 1.80 หมายถึง ระดับน้อยที่สุด


208| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้จากแบบประเมิน ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยหาค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วเปรียบเทียบ กับเกณฑ์การแปลความหมายตามมาตราวัดของลิเคิร์ท (Likert, 1987 อ้างถึงใน เพ็ญแข ศิริวรรณ และคณะ, 2551:25) ดังนี้ 4.21 – 5.00 หมายถึง ระดับมากที่สุด 3.41 – 4.20 หมายถึง ระดับมาก 2.01 – 3.40 หมายถึง ระดับปานกลาง 1.81 – 2.00 หมายถึง ระดับน้อย 1.00 – 1.80 หมายถึง ระดับน้อยที่สุด 4. ผลการวิจัยและสรุปผลการวิจัย 4.1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial โดยมีคะแนนดังปรากฎในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การทดสอบ N คะแนนเต็ม (̅) S.D. t – test Sig ก่อนเรียน 42 30 12.26 2.05 37.72* .000 หลังเรียน 42 30 20.81 1.74 จากตารางที่ 1 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาเรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (̅ = 20.81, S.D. = 1.74) สูงกว่าก่อนเรียน (̅ = 12.26 , S.D. = 2.05) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 2. ผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ฉวางรัชดาภิเษก โดยมีคะแนนดังปรากฎในตารางที่ 2


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 209 ตารางที่ 2 ผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ฉวางรัชดาภิเษก ผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ ด้าน (̅) S.D. แปลความหมาย การจำแนกแยกแยะข้อมูล 4.18 2.06 ดี การเปรียบเทียบเพื่อจัดระบบข้อมูล 4.21 1.78 ดีมาก การหาความสัมพันธ์ของข้อมูล 3.89 1.57 ดี วิธีการแก้ปัญหา/ส่งเสริม 3.78 1.74 ดี คะแนนเฉลี่ย 4.02 1.78 ดี จากตารางที่ 2 พบว่าผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้านการจำแนกแยกแยะข้อมูล คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.18 อยู่ในระดับดี ด้านการเปรียบเทียบเพื่อจัดระบบ ข้อมูล คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.21 อยู่ในระดับดีมาก ด้านการหาความสัมพันธ์ของข้อมูล คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.89 อยู่ในระดับดี ด้านวิธีการแก้ปัญหา/ส่งเสริม คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.78 อยู่ในระดับดี และคิดเป็นคะแนน เฉลี่ยทั้งหมด 4.02 อยู่ในระดับดีซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. ผลการประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ฉวางรัชดาภิเษก โดยมีคะแนนดังปรากฎในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ฉวางรัชดาภิเษก ผลการประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ ด้าน (̅) S.D. แปลความหมาย การจัดการเรียนรู้ 4.10 1.87 มาก สื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้ 4.47 1.89 มากที่สุด ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน 4.24 1.92 มากที่สุด การนำไปใช้ 4.23 2.12 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.26 1.95 มากที่สุด


210| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล จากตารางที่ 3 พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก ด้านการจัดการเรียนรู้คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.10 อยู่ในระดับ มาก ด้านสื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.47 อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านผลที่เกิดขึ้น กับผู้เรียน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.24 อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการนำไปใช้คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.23 อยู่ใน ระดับมากที่สุด และคิดเป็นคะแนนเฉลี่ยทั้งหมด 4.26 อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 5. อภิปรายผล ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่อง เศรษฐศาสตร์เบื้องต้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial โดยมีคะแนนเฉลี่ย หลังเรียน (̅ = 20.81, S.D. = 1.74) สูงกว่าก่อนเรียน (̅ = 12.26 , S.D. = 2.05) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps เป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ด้วยตนเอง จากนั้นนำไปใช้ในการปฏิบัติจริง ใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่ได้จาก กระบวนการเหล่านี้การเกิดการเรียนรู้ทำให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น รวมทั้งแอปพลิเคชัน Metaverse spatial เป็นแอปพลิเคชันที่เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผู้เรียน และสามารถจัดการเรียนรู้ได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สร้างความสนุกสนานในการเรียนรู้ และเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน จึงทำให้นักเรียนมีความสนใจในการศึกษาเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ สัตตรัตน์แซ่ย้าง (2565) ได้ศึกษา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รอบรู้รูปสี่เหลี่ยม โดยใช้การเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ร่วมกับ สื่อ ประสม มีนักเรียนร้อยละ 85 มีผลการเรียนหลังเรียนร้อยละ 70 และ วีนา โชติช่วง, ชิติพัทธ์ ปานเกษม และวิจิตรา สายแสง (2562). ได้ศึกษา การพัฒนาแอปพลิเคชันสื่อเสริมการเรียนรู้ว่าเป็นการ กระตุ้นความสนใจให้กับผู้เรียนตามหลักการเรียนรู้มากกว่าการอ่านหนังสือเรียนโดยทั่วไป มีรูปภาพและ วิดีทัศน์ประกอบที่น่าสนใจและเหมาะสมกับเนื้อหาตามหลักสูตร ในการนําเสนอนั้นเน้นความกระชับ เข้าใจ ง่าย และสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และศักดิ์สิน โรน์สราญรมย์ (2564) ที่ได้กล่าวว่า GPAS 5 Steps เป็น เทคนิคการสอนที่เน้นกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning พร้อมทั้งเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) แสวงหาข้อมูลรอบด้านเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้2) คิด-วิเคราะห์-สรุปความรู้เพื่อวางแผน เตรียมปฏิบัติ3) ลงมือทำจริง แก้ปัญหาจริง เพื่อพัฒนาหาแนวทางที่ดีที่สุด 4) สื่อสารและนำเสนอในรูปแบบที่ หลากหลาย 5) สร้างคุณค่าให้ผลงาน ต่อยอดประโยชน์สู่สังคม อีกทั้งสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (2558) ที่ได้กล่าวว่าการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps เป็นเทคนิคในมาตรฐานสากล ได้พัฒนาคุณภาพในการ จัดการศึกษาจึงใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ หรือเรียกว่ากระบวนการ GPAS ซึ่งเป็นกระบวนการ ที่ทรงพลังที่สุด เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ระดับสูง ผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนน เฉลี่ย 4.02 อยู่ในระดับมาก เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps นักเรียนสามารถคิดวิเคราะห์


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 211 ปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูล สังเคราะห์วิธีการแก้ปัญหา เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับสังคมอย่างมีความสุข โดยนักเรียน สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ และประยุกต์การนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่ง สอดคล้องกับ พรพรรณ ศรีหาวงศ์ (2562) ได้ศึกษาการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ GPAS พบว่าสามารถส่งเสริม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ GPAS เป็นการจัดการเรียน การสอนที่ มุ่งเน้นเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นทำเข้าใจกับสถานการณ์ฝึกกระบวนการคิด วิเคราะห์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการจำแนกแยกแยะ แจกแจงองค์ประกอบต่าง ๆ ของข้อมูล นอกจากนี้ สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ในการจัดการเรียนรู้ เนื่องจากนักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมความคิด คิดวิเคราะห์ และพิจารณา สะท้อนผลออกมาในรูปแบบผลงานและการนำเสนอ และจากผลการศึกษาของสถาบันพัฒนา คุณภาพวิชาการ (2558) พบว่าการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps หรือเรียกว่ากระบวนการ GPAS ซึ่งเป็น กระบวนการที่ทรงพลังที่สุด เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ระดับสูง จะทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ เข้าใจ วิเคราะห์ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยมากที่สุดคือ การเปรียบเทียบเพื่อ จัดระบบข้อมูล เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps เป็นการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมให้ ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้ รวบรวมข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูล อธิบายเหตุผลจากปัจจัยต่าง ๆ โดย การยกตัวอย่างหรือนำเสนอตัวอย่าง รองลงมาคือการจำแนกแยกแยะข้อมูล การหาความสัมพันธ์ของข้อมูล และด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุดคือวิธีการแก้ปัญหาหรือส่งเสริม เนื่องจากประสบการณ์ของผู้เรียนที่มีการ เผชิญปัญหาในชีวิตประจำวันที่ค่อนข้างน้อย จึงทำให้ผู้เรียนเสนอแนวทางการแก้ปัญหาหรือส่งเสริมที่ไม่ หลากหลาย ผลการประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial เรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนน เฉลี่ย 4.26 อยู่ในระดับมากที่สุด เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial มีความสนุกสนาน มีความสุข ไม่ง่วงนอน รู้สึกตื่นเต้น เพราะได้มีส่วนร่วมตลอด การเรียนรู้ผ่านกระบวนการปฏิบัติ และได้ฝึกทักษะการคิดที่หลากหลาย อีกทั้งนักเรียนทั้งหมดไม่เคยใช้ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial เมื่อให้นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนรู้จึงทำให้นักเรียนมีความตื่นเต้น มี ความสุข และมีความสนใจในการศึกษาเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ ปิ่นทอง ทองเฟื่อง และ ธวัชชัย สหพงษ์(2558) ได้ศึกษาวิจัย การพัฒนาแอปพลิเคชันแอนดรอยด์เรื่อง รักสุขภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อแอปพลิเคชันผลการประเมิน พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก และ งานวิจัยของ พรชัย ทาลา (2561) ได้ศึกษาทำวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดการสอนรายวิชาฟื้นฐานคณิตศาสตร์ รหัสวิชา ค23101 เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีระดับความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนกโรสอนโดยใช้ชุดการสอน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.20


212| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 6. ข้อเสนอแนะ 6.1ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช้ 6.1.1 สำหรับครูผู้สอนการนำการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial ไปใช้สอนในเนื้อหาอื่น ๆ ผู้สอนควรทำความเข้าใจลักษณะและขั้นตอนของการจัดการ เรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และการใช้งานแอปพลิเคชัน Metaverse spatial อย่างชัดเจนและต้องเตรียม ข้อมูลและสื่ออื่น ๆ ที่สอดคล้องกับเนื้อหานั้น ๆ 6.1.2 สำหรับครูผู้สอนการนำแอปพลิเคชัน Metaverse spatial ผู้สอนควรมีการควบคุม เวลาอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้แอปพลิเคชัน Metaverse spatial ผู้เรียนจะมีความ สนุกสนานและเพลิดเพลินจนทำให้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมมากขึ้น 6.1.3 สำหรับครูผู้สอนหากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดใหม่หรือสถานการณ์ที่ทำให้ ต้องจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์แอปพลิเคชัน Metaverse spatial จะสามารถจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบออนไลน์ที่สมบูรณ์ มีประสิทธิภาพและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น 6.1.4 สำหรับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดให้มีการจัดอบรม พัฒนา และมีการนิเทศ ติดตาม การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และแอปพลิเคชัน Metaverse spatial โดยบูรณาการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรให้ครอบคลุมทุกด้านเพื่อให้มีการเชื่อมโยงกับหลักสูตรแต่ละระดับสู่การ ปฏิบัติในกิจกรรม โดยเชื่อมโยงสอดคล้องกับตัวชี้วัดตามหลักสูตร 6.2 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 6.2.1 ควรศึกษาทักษะอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจากการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และ แอปพลิเคชัน Metaverse spatial เช่น การมีปฏิสัมพันธ์ การทำงานเป็นทีม การสืบค้นข้อมูลออนไลน์เป็นต้น 6.2.2 ควรศึกษาแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์อื่น ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อสร้างความท้าทาย ในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เอกสารอ้างอิง ทิศนา แขมมณี. (2555). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดการกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปิ่นทอง ทองเฟื่อง และธวัชชัย สหพงษ์. (2558). การพัฒนาแอปพลิเคชันแอนดรอยด์ เรื่อง รักสุขภาพ. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. พรชัย ทาลา. (2561). การพัฒนาชุดการสอนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์รหัสวิชา ค 23101 เรื่อง พื้นที่ผิว และปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps. อุบลราชธานี: นาคำวิทยา. พรพรรณ ศรีหาวงศ์. (2562). การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ GPAS. นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร. เพ็ญแข ศิริวรรณ และคณะ. (2551). สถิติเพื่อการวิจัย. กรุงเทพฯ: เท็กซ์แอนด์เจอร์นัลพับลิเคชั่น.


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 213 วีนา โชติช่วง, ชิติพัทธ์ปานเกษม และวิจิตรา สายแสง. (2562). การพัฒนาแอปพลิเคชันสื่อเสริมการเรียนรู้ ระบบสุริยะด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์. (2564, 11 มีนาคม). กก.ปฎิรูปการศึกษา ฝากการบ้าน ว่าที่รมว.ศธ.ยึดแนวพัฒนา รูปแบบ Active Learning. ไทยโพสต์. https://www.thaipost.net/main/detail/95758 ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย. (2559). วิธีสอนทั่วไป (Method of Teaching). นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร. สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ. (2558). วิสัยทัศน์ของสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ยุทธศาสตร์การ เรียนรู้ตามมาตรฐานสากลและวิสัยทัศน์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพ วิชาการ (พว.) จำกัด. สัตตรัตน์แซ่ย้าง. (2565). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง รอบรู้รูปสี่เหลี่ยม โดยใช้ การเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ร่วมกับสื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560 – 2579. กรุงเทพฯ: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค. Likert, Rensis. 1987. The Method of Constructing and Attitude Scale. New York: Wiley & Son.


214| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะในการทำงานกลุ่ม โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบ 5 ขั้นตอน รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชะอวด The Development of Academic Achievements and Group Working Skills Used 5 STEPs Learning Methods in “Historical Method” from Mathayomsuksa 4 Students at Cha-Uat School อภิวัฒน์ ราชรักษ์1 , แก้วใจ สุวรรณเวช2 Apiwat Ratcharak1 , Kaewjai Suwanwech2 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs 2) ศึกษาทักษะการทำงานกลุ่มระหว่างการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้รายวิชา ประวัติศาสตร์ไทยของนักเรียน กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชะอวดจำนวน 315 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 จำนวน 39 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการ เรียนรู้แบบ 5STEPs เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่า T-Test for dependent ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนชะอวด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการ เรียนรู้แบบ 5 STEPs สูงกว่าก่อนจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 มีค่าคะแนนเฉลี่ย 13.23 เมื่อพิจารณารายบุคคลมีนักเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน 39 คน ทักษะการทำงานงานกลุ่มในชั้นเรียนของนักเรียน ระหว่างการจัดการเรียนรู้ด้วยด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ผลอยู่ในระดับดี และความพึงพอใจ ของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย ผลอยู่ในระดับดี คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs , ทักษะการทำงานกลุ่ม , ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1 นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อีเมล [email protected] 1 Undergraduate Student, Faculty of Education, Program in Social Studies, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail [email protected] 2 อาจารย์ คณะครุศาสตร์สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อีเมล [email protected] 2 Lecturer, Faculty of Education, Program in Social Studies, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail [email protected]


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 215 Abstract This study aims to 1) compare academic achievement before and after studying by using a 5-STEPs learning management 2) develop in-class group working performance in Thai history subject in “Historical Method for Students” and 3) to survey the satisfaction in teaching history. The population that is used for the research is Mattayom-4 students Cha-Uat school which is 315 in total. The sample that is used for the research is the students 39 Mattayom-4 students Cha-Uat school by using Simple-Random-Sampling method. The research tools that are used for the research are a 5-STEPs learning lesson “Historical Method for Students”, the Historical Method test, and the satisfaction survey of 5-STEPs learning lesson in Historical Method lesson. The statistics used in the research are Mean, Standard Deviation, and T-Test dependent. The findings of the research are the 4/2 students that have been taught with 5-STEPs learning lesson have higher scores than students who have not statistically significant at 0.5 level, the mean is 13.23 which is in great level. When considering individually, there are 39 students that passed the criteria which can be translated as 100%. The in-class group performance is in great level, and the satisfaction of the students that studied in Thai history by using mean and standard deviation is also in great level. The in group working skills incorporated with a 5-STEPs learning method by using mean and standard deviation is also in great level. Keyword : 5 STEPs learning lesson, group working skills, learning achievement 1. บทนำ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่4) พ.ศ.2562 ได้กำหนด ความมุ่งหมายและหลักการของการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งทางกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข มีความภาคภูมิใจในความเป็นเป็นไทย ตามในมาตราที่ 23 วงเล็บหนึ่ง ที่มุ่งเน้น ให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคม โลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2542) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในการในการดำรงชีวิตของมนุษย์ การปรับตัวตาม สภาพแวดล้อม เข้าใจถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่างๆ และเป็นพลเมืองดี ของประเทศชาติและสังคมโลก วิชาประวัติศาสตร์เป็นสาระที่ 4 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา


216| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องราวพฤติกรรม ความเป็นอยู่ การดำรงชีวิตของมนุษย์ในอดีตและมีร่องรอยหลักฐาน มาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการและกระบวนการ ทางประวัติศาสตร์ เพื่อศึกษาพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และความเป็นมาของชาติไทย โดยการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทยโดยการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ Active Learning มาใช้นั้นจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของผู้เรียนได้ดี สร้างสำนึกของความเป็นไทย รักใน การเป็นชาติ เน้นการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ตามความพร้อมและความเหมาะสมของ บริบทพื้นที่ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาเป็นโดยอาศัยกระบวนการทาง ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าผู้เรียน ในปีการศึกษาที่ผ่านมาเป็นช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) การเรียนการสอน จึงจัดในรูปแบบออนไลน์ ผู้เรียนจึงขาดทักษะการทำงานกลุ่มหรือการทำงานร่วมกับผู้อื่น ผู้สอนจึงได้ออกแบบ นวัตกรรมที่นำไปสู่การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์องค์ความรู้ ในเนื้อที่เรียนและมีทักษะในการทำงานกลุ่มจากภาระงานที่มอบหมายเป็นรายกลุ่ม ซึ่งเป็นทักษะสำคัญ ที่ควรส่งเสริมให้เกิดแก่ผู้เรียนในด้านบทบาทผู้นำ บทบาทสมาชิกกลุ่มและกระบวนการทำงานกลุ่ม ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เป็นกระบวนการถูกพัฒนาขึ้นจากนโยบาย การ ปฏิรูปการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นที่จะพัฒนาเยาวชนให้เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดการเรียนรู้ของ ครูจึงควรที่จะมีการวิเคราะห์หลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญทำให้เกิดกระบวนการ เรียนรู้ 5 ขั้นตอน หรือ 5 STEPs ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสืบเสาะหรือ สอนแบบโครงงานโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มีนโยบายให้โรงเรียนมาตรฐานสากล เป็นโรงเรียนนำร่องทดลองสอนในกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ ในปีพุทธศักราช 2553 ขั้นตอบแทน สังคมทั้งหมดนี้จะเป็นตัวช่วยครูให้มีประสิทธิภาพและสามารถทำให้เด็กไทยสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต อย่างมีคุณภาพอีกด้วย (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์, 2557) กระบวนการเรียนรู้ 5STEPs มีกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนมีลักษณะลำดับขั้นตอนที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของผู้เรียนสามารถนำพาผู้เรียนไปสู่ลักษณะ ที่พึงประสงค์ได้ โดยครูจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่สอนและเทคนิคในการพัฒนาผู้เรียนเป็นอย่างดี (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์, 2557) ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการจัดทำวิจัยเพื่อพัฒนาสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการทำงานกลุ่ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในรายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยกระบวนการ การจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 217 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ 2.2. เพื่อศึกษาทักษะการการทำงานกลุ่มระหว่างการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ของนักเรียน 2.3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 3. ระเบียบวิธีการวิจัย 3.1 ประชากร ประชากรของการทำวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชะอวด ที่เรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย จำนวน 8 ห้อง จำนวน 315 คน 3.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนชะอวด ที่เรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย จำนวน 39 คน ใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม 3.3 ตัวแปรที่ศึกษา 3.3.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs 3.3.2 ตัวแปรตาม 3.3.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ 3.3.2.2 ทักษะการทำงานกลุ่ม 3.3.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย ด้วยวิธีจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs 3.4 เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง รายวิชา ส 31161 รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 3.5 ระยะเวลาในการทดลอง การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ใช้เวลาทดลอง 5 คาบคาบละ 50 นาที 3.6 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.6.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5STEPs หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3.6.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3.6.3 แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียน เรื่อง รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3.6.4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย ด้วยวิธีจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs


218| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.7การสร้างเครื่องมือ 3.7.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ศึกษาสาระและ มาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 และจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ศึกษารูปแบบ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs 3.7.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 รายวิชา ประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้ดำเนินการ สร้างโดยทำการวิเคราะห์หลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์จากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ กำหนดไว้สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 15 ข้อ 3.7.3 แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียน แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียนแบบรูบริคส์ มีองค์ประกอบ 5 ด้าน 1) ความร่วมมือในการทำงาน 2) ความตั้งใจในการทำงาน 3) ความรับผิดชอบ 4) แบ่งหน้าที่กันอย่าง เหมาะสม และ 5) มีความสนใจในการร่วมกันศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม มีระดับคะแนน คือ 3 , 2 และ 1 โดยใช้ เกณฑ์ในการประเมินของ อุเทน ปัญโญ (2553) ดังนี้ เกณฑ์ในการประเมิน 2.50 – 3.00 หมายถึง ระดับดี 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับปานกลาง 0.00 – 1.49 หมายถึง ระดับน้อย 3.7.4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย ด้วยวิธีจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายในการสร้างแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 5 STEPs เพื่อสร้างแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน มีองค์ประกอบ 2 ด้านคือ 1) ด้านเทคนิคการสอน และ 2)ด้านการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการศึกษา โดยใช้เกณฑ์ในการประเมินของ Best (1986: 181-182) ดังนี้ ระดับคะแนน 4.50 - 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 3.50 - 4.49 หมายถึง พึงพอใจมาก 2.50 - 3.49 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง พึงพอใจน้อยมาก


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 219 เกณฑ์ในการประเมิน 5 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง พึงพอใจมาก 3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1 หมายถึง พึงพอใจน้อยมาก 3.8 การตรวจสอบค่าคุณภาพเครื่องมือ ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ และนำมาหา ค่าความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ถือว่าเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และนำข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงและแก้ไขต่อไป ผลที่ได้จาก การตรวจสอบค่าคุณภาพเครื่องมือ ดังต่อไปนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนี IOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนี IOC 1.00 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนี IOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนี IOC 0.90 3) แบบประเมินทักษะ การทำงานกลุ่ม ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนี IOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนี IOC 1.00 และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนี IOC ได้ค่าเฉลี่ยดัชนี IOC 1.00 3.9 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ 3.9.1 ขั้นก่อนการทดลอง เป็นขั้นที่ผู้วิจัยเตรียมพร้อมในด้านต่างๆ ดังนี้ 3.9.1.1 สร้างเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียน และ 4) แบบประเมินความ พึงพอใจของนักเรียน 3.9.1.2 ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre - test) เพื่อวัดความรู้พื้นฐาน และเก็บผลทดสอบไปเปรียบเทียบกับผลการทดสอบหลังเรียน (Post - test) 3.9.2 ขั้นทดลอง ผู้วิจัยดำเนินการสอนด้วยตนเองตามแผนการจัดการเรียนรู้ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้ 3.9.2.1 ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองจำนวน 5 คาบ คาบละ 50 นาที 3.9.2.2 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหาเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ 3.9.2.3 ลำดับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้เริ่มต้นจาก 1) ขั้นการเรียนรู้ตั้งคำถาม (Learning to question) โดยผ่านกิจกรรม “สืบคดี” โดยให้นักเรียนวิเคราะห์คดีความตัวอย่างที่ให้และหาตัว ผู้กระทำผิดด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ 5 ขั้นตอน 2) ขั้นการเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to


220| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล search) คุณครูมอบหมายให้แต่ละกลุ่มระดมเลือกพื้นที่ในท้องถิ่นที่ต้องศึกษา โดยกำหนดหัวข้อในการศึกษา และลงพื้นที่เพื่อค้นคว้าศึกษาหลักฐานและข้อมูล 3) ขั้นการเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอหลักฐานและข้อมูลเบื้องต้นที่ได้ศึกษา และช่วยกันสังเคราะห์ข้อมูล โดยมีครูคอยให้คำปรึกษา 4) ขั้นการเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) และ 5) ขั้นการ เรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service) ให้นักเรียนจัดทำบอร์ดนิทรรศการ , คลิปวิดีโอและรูปเล่ม รายงาน พร้อมทั้งนำเสนอผลการศึกษาของแต่ละกลุ่มหน้าชั้นเรียน 3.10 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัยการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ผู้วิจัยใช้ค่าสถิติ ดังนี้ 3.10.1. การเปรียบเทียบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้ Dependent Samples t-test ค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 3.10.2. การวิเคราะห์ผลการประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม โดยหาค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) แล้วเปรียบเทียบกับเกณฑ์การแปลความหมาย คะแนนเฉลี่ย 2.50 – 3.00 หมายถึง ระดับดี 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับปานกลาง 0.00 – 1.49 หมายถึง ระดับน้อย 3.10.3 การประเมินความพึงพอใจของนักเรียน หลังการจัดการเรียนรู้แบบ 5STEPs โดยหา ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าร้อยละ แล้วเปรียบเทียบกับเกณฑ์การแปลความหมาย ระดับคะแนน 4.50 - 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 3.50 - 4.49 หมายถึง พึงพอใจมาก 2.50 - 3.49 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง พึงพอใจน้อยมาก เกณฑ์ในการประเมิน 5 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง พึงพอใจมาก 3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1 หมายถึง พึงพอใจน้อยมาก


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 221 4. สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยสามารถสรุปได้ตามวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 4.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ 5 STEPs ปรากฏดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบ 5 STEPs ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การทดสอบ N คะแนนเต็ม X S.D. t -test Sig ก่อนเรียน 39 15 6.89 2.08 17.47* .000 หลังเรียน 39 15 13.23 0.95 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากตารางที่ 1 พบว่าผลการเปรียบเทียบคะแนนการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs โดยมีคะแนนเฉลี่ย หลังเรียน (̅ =13.23, S.D.=0.95) สูงกว่าก่อนเรียน (̅ =6.89, S.D.=2.08) สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่าง มีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 4.2 ทักษะในการทำงานกลุ่มในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ระหว่างการ จัดการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ปรากฏดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ผลประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม ระหว่างการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ผลประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม X S.D. การแปล ความหมาย ลำดับ 1.ความร่วมมือในการทำงาน 2.83 0.16 ระดับดี 1 2.ความตั้งใจในการทำงาน 2.83 0.16 ระดับดี 1 3.ความรับผิดชอบ 2.83 0.16 ระดับดี 1 4.แบ่งหน้าที่กันอย่างเหมาะสม 2.83 0.16 ระดับดี 1 5.มีความสนใจในการร่วมกันศึกษาหา ความรู้เพิ่มเติม 2.33 0.34 ระดับปานกลาง 2 จากตารางที่ 2 พบว่านักเรียนมีทักษะในการทำงานกลุ่มในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ ระหว่างการจัดการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs อยู่ในระดับดี คิด เป็นร้อยละ 100


222| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 4.3 ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ระหว่างการ จัดการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ปรากฏตามตามตารางที่ 3 ด้านการประเมิน X S.D การแปล ความหมาย ลำดับ ผู้สอนให้นักเรียนซักถาม แสดงความคิดเห็นและ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ตามความเหมาะสม 4.46 0.60 ระดับดี 1 ผู้สอนใช้เทคนิควิธีสอนต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนเกิด ความสนใจและติดตามการสอน 4.35 0.46 ระดับดี 4 ผู้สอนมีการแทรกประสบการณ์และอธิบายวิธีการ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4.41 0.35 ระดับดี 3 ผู้สอนแนะนำให้นักเรียนรู้จักแหล่งข้อมูลที่ค้นคว้า ศึกษาเพิ่มเติม 4.46 0.36 ระดับดี 1 ผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง และเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 4.43 0.40 ระดับดี ผู้สอนแจ้งรายละเอียดการสอน หัวข้อการสอนและ การประเมินผลอย่างชัดเจนสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์รายวิชา 4.41 0.40 ระดับดี 3 เอกสาร/สื่อการสอนประกอบการจัดการเรียนการ สอนมีความเหมาะสม 4.33 0.40 ระดับดี 5 จากตารางที่ 3 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์เรื่องวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ ระหว่างการจัดการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs นักเรียนมีความพึงพอใจกับการจัดการเรียนรู้ แบบ 5 STEPs อยู่ในระดับดีคิดเป็นร้อยละ 100 5. อภิปรายผล ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักเรียน หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 เนื่องการจัดการ เรียนรู้แบบ 5 STEPs เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียนโดยมีครูเป็นผู้ให้คำปรึกษา ในการทำงาน มีลำดับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่ชัดเจน การรวมกลุ่มเพื่อลงพื้นที่ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ในชุมชนที่นักเรียนอาศัย โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษานั้นเป็นการส่งเสริม การจัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในหลักวิธีการทางประวัติศาสตร์ ได้ดีกว่าการฟังบรรยายในชั้นเรียน ซึ่งสอดคล้องกับทิศนา แขมมณี (2564) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษาเป็นรายวิชาที่มีเนื้อหามาก และมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ เนื้อหาวิชาเพื่อนำความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลาย จึงเป็นกิจกรรมและสื่อ การเรียนรู้ที่จะสามารถสร้างองค์ความรู้ให้เกิดเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น ส่งเสริมทักษะกระบวนการซึ่งผู้เรียน


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 223 จะได้พัฒนากระบวนการต่างๆ จนเกิดเป็นทักษะ เช่น ทักษะการคิดทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการแสวงหา ความรู้ ทักษะการทำงานกลุ่ม สอดคล้องกับกระทรงศึกษาธิการ (2551) ที่ได้ให้ความหมายของการจัดการ เรียนรู้แบบ Active Learning ไว้ว่าเป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่าครูกับนักเรียน มุ่งให้ผุ้เรียนลงมือปฏิบัติ โดยมีครูเป็นผู้คอยอำนวยความสะดวก ทักษะการทำงานกลุ่มระหว่างได้รับการเรียนรู้แบบ 5STEPs นักเรียนมีผลการประเมินทักษะในการ ทำงานกลุ่มในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ระหว่างการจัดการจัดการเรียนรู้ด้วย การจัดการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ยู่ในระดับดีคิดเป็นร้อยละ 100 เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ มีกระบวนการศึกษาอย่างเป็นระบบนักเรียนแต่ละกลุ่มจะเป็นผู้ กำหนดหัวข้อในการศึกษาด้วยตัวเอง รวมทั้งได้มีการวางแผนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งทักษะการ ทำงานกลุ่มเป็นทักษะที่สำคัญในยุคศตวรรษที่ 21 วิภาวี ศิริลักษณ์ (2557: 15) ได้ให้ความหมายของทักษะใน ศตวรรษที่ 21 ไว้ว่าทักษะในศตวรรษที่ 21 หมายถึง ความสามารถที่บุคคลพึงมีเพื่อเตรียมตัวสำหรับการ ดำรงชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ความท้าทายของสภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะการสื่อสร ทักษะด้านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม การทำงาน กลุ่มจะนำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกัน นักเรียนเกิดความสนใจในการเรียนและสนุกกับการเรียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ ไสว ฟักขาว (2556) กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและ กัน มีความรับผิดร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ผลแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน หลังการจัดการเรียนรู้แบบ 5STEPs นักเรียนมีความ พึงพอใจกับการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs อยู่ในระดับดีคิดเป็นร้อยละ 100 เนื่องจากเป็นกระบวนการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รู้ด้วยตัวเองซึ่งสอดคล้องกับกรวยประสบการณ์ของเอดการ์เดล กล่าวคือ ผู้เรียนได้ เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคือการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสืบคดี และ ไปจนถึงขั้น วจนสัญลักษณ์ (Verbal Symbol) เป็นสัญลักษณ์ทางภาษา ซึ่งเป็นนามธรรมมากที่สุด ได้แก่ การใช้ตัวหนังสือแทนคำพูด ได้แก่ คำพูด คำอธิบาย หนังสือ เอกสาร แผ่นปลิว แผ่นพับ ที่ใช้ตัวอักษร ตัวเลข แทนความหมายของสิ่งต่าง ๆ นับเป็นประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมมากที่สุดการที่ผู้เรียน ผ่านประสบการณ์ จริงที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้และได้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ที่แต่ละคนมีความรู้ ความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ไม่จำกัดการเรียนรู้อยู่แค่ในห้องเรียน เมื่อผู้เรียนรู้สึกมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ นำไปสู่ความพึงพอใจในการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่ดี


224| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 6. ข้อเสนอแนะ 6.1 ข้อเสนอแนะในการนำวิจัยไปใช้ 6.1.1 การนำวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ไปใช้ผู้สอนสามารถปรับกิจกรรม ในขั้นตอนต่างๆ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของนักเรียนได้ 6.1.2 ผู้สอนสามารถเพิ่มหรือลดเวลาในการจัดการเรียนการสอนโดยมีความยืดหยุ่นตาม เนื้อหาสาระนั้นๆ ได้ 6.2 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 6.2.1 ควรศึกษาการนำวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ไปทดลองใช้กับนักเรียนในเนื้อหา สาระอื่นๆ ในรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 6.2.2 ควรมีการบูรณาการร่วมกับรายวิชาอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเรียนรู้ เช่น รายวิชาภาษาต่างประเทศ 6.2.3 ควรมีการศึกษาการนำวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 5 STEPs ไปใช้ในการส่งเสริมทักษะ ด้านอื่นๆ โดยเฉพาะทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะในการคิดสร้างสรรค์ หรือทักษะในการสื่อสาร เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ.(2542).พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545. จาก https://www.moe.go.th/ . สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2565 _____(2551).หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 : กรุงเทพ : คุรุสภาฯ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา.(2554). 5 STEPS Active Learning พัฒนาเต็มศักยภาพ เพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศตามแนวทางของตัวเอง. จาก https://www.eef.or.th/article-5-steps- active-learning/. สืบค้นเมื่อ สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2565 ขจรศักดิ์ วังศรี. (2561). การพัฒนาความเข้าใจและความคงทนของความรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs) เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1. รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการระดับชาติ ครุศาสตร์ศึกษาครั้งที่1.คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏกำแพงเพชร, 74-86. ทิศนา แขมมณี. (2563). ศาสตร์การสอน องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ประเสริฐ ตันสกุล.(2551).ทักษะประคองตน. สืบค้นเมื่อ วันที่ 22 ธันวาคม 2565, สืบค้นจาก http: www.Aspacngo.Org/unloads/events/jamming/6 pbf พิมพันธ์ เดชะคุปต์. (2557). การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่21.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 225 พรพรรณ ศรีหาวงศ์2562. การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ GPAS. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร. รัฐพงษ์ ศิริวิริยานันท์. (2020). การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา เรื่อง ทวีปยุโรป สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps. การประชุมวิชาการและ นำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติราชธานีวิชาการ ครั้งที่ 5 “การวิจัยเพื่อการเปลี่ยนแปลง (ResearchtoMakeACHANGE)”สืบค้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2564. จาก http://rtunc2020.rtu.ac.th/Production/proceeding/pdf/Oral%20Presentation/Oral4ED/5ED_O21.pdf ไสว ฟักขาว. (2556). แนวทางการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: วารสารบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม. อุเทน ปัญโญ.(2553).เอกสารประกอบการเรียนการสอนรายวิชาสถิติและการวิจัยทางโภชนาศาสตร์ศึกษา. สาขาวิชาโภชนาศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Best,John W.(1986).Research in Education.5 thed.New Jersey: Prentice Hall, Inc.


226| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอปพลิเคชัน Google Jamboard เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 Geographical Literacy and Google Jamboard Application Learning Management to Develop Learning Achievement and Learning Participation in Social Studies Subjects of Mathayomsuksa 3 Students คณปัณ บุญพลับ1 , แก้วใจ สุวรรณเวช2 Kanapan Bunplab1 , Kaewjai Suwanwech2 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ของนักเรียน ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard 2) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียน ระหว่างการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลังการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านควนเงิน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 17 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคม ศึกษา แบบประเมินการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) และ ค่า t-test แบบ Dependent sample ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาสังคมศึกษาหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้อยู่ในระดับดีและมีความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก คำสำคัญ: แอปพลิเคชัน, กระบวนการทางภูมิศาสตร์, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 1 นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อีเมล [email protected] 1 Undergraduate Student, Faculty of Education, Program in Social Studies, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail [email protected] 2 อาจารย์ คณะครุศาสตร์สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อีเมล [email protected] 2 Lecturer, Faculty of Education, Program in Social Studies, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail [email protected]


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 227 Abstract This study aims to 1) compare the learning achievements of students in social studies subject before and after being managed learning with geographical literacy and Google Jamboard application 2) study student’s participation in learning during geographical literacy management and Google Jamboard application, and 3) study student’s satisfaction after learning by using the geographical literacy management and Google Jamboard application. The population in the research were: 17 Mathayomsuksa 3 students of Ban Khuan Ngern School in Cha Uat District, Nakhon Si Thammarat Province (2nd semester – 2565 academic year) The research instruments included geographical literacy and Google Jamboard application lesson plans, Achievement test for Social Studies subjects, Learning Participation Assessment Form, and a geographical literacy and Google Jamboard application learning satisfaction assessment form. The statistics used in the research were mu ( ) , Sigma ( ) , and t-test dependent samples. The results showed that after learning management by using geographical literacy and Google Jamboard application, the students have higher learning achievements score than before learning management statistically significant at the .05 level. Assessment results of participation in learning has an average which is at a good level and satisfaction assessment results in learning management with an average in a high level. Keywords: Application, Geographical Literacy, Learning Achievement, Learning Participation 1. บทนำ โลกสมัยใหม่เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) มีความจำเป็นในการพัฒนา ศักยภาพผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับคนทุกช่วงวัยให้สามารถดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว และจากมีการเปลี่ยนแปลงบริบทโลกด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด สภาพ ภูมิอากาศ บูรณาการและเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร สังคม ภูมิปัญญา และวัฒนธรรม (แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579) วิชาสังคมศึกษา เป็นวิชาที่สามารถพัฒนาการคิด ของนักเรียน และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตในสังคมได้การพัฒนาด้านการศึกษา และ ด้านทักษะการใช้ชีวิต ก็ควรจะเป็นทักษะแบบรู้รอบด้าน เข้าใจโลกได้หลากหลายมิติ รวมทั้งมีความเห็นอกเห็น ใจ ซึ่งเพิ่มความสำคัญขึ้นอย่างมากในยุคโควิด-19 และจะเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาในอนาคต ในศตวรรษที่ 21 ที่เต็มไปด้วยปัญหาและภัยคุกคามใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่นการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งด้านสังคม และสิ่งแวดล้อมต่ออีกหลายเรื่อง นำไปสู่การเรียนรู้ ทักษะ เพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) ดังนั้นครูต้องออกแบบการเรียนรู้และอำนวยความ สะดวก (Facilitate) ในการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้จากการเรียนแบบลงมือทำ ที่จะทำให้การเรียนรู้


228| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล เกิดจากภายในใจและสมองของนักเรียนด้วย (วิจารณ์ พานิช, 2558) ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทใน ชีวิตประจำวัน ทำให้การเรียนการสอนมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องในรูปแบบของสื่อต่าง ๆ ทั้งวิดีทัศน์ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน และแอปพลิเคชัน การใช้สื่อที่เหมาะสมกับผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการเรียนการสอนแนวใหม่ในศตวรรษที่ 21 ให้ความสำคัญกับผู้เรียน เป็นอย่างมาก ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมต่อการจัดการเรียนรู้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียน มีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยทักษะที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) การเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็ก มีความรู้ ความสามารถ และทักษะจำเป็น รวมถึงการนำความรู้ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ จากการที่ผู้วิจัยได้ปฏิบัติงานวิชาชีพครู ณ โรงเรียนบ้านควนเงิน ได้ร่วมพูดคุยปรึกษากับครูพี่เลี้ยง เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในวิชาสังคมศึกษาพบว่า นักเรียนขาดการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และมีเจต คติที่ไม่ดีต่อการเรียนวิชาสังคมศึกษา สาเหตุมาจากเนื้อหาที่มาก ทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่ายากในการจดจำ และการ จัดการเรียนแบบเดิมไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้ เพราะนักเรียนเริ่มคุ้นชินกับเทคโนโลยีมากขึ้น จากการเรียน Online การบรรยายและท่องจำโดยที่นักเรียนไม่มีส่วนร่วมในชั้นเรียนและ ไม่มีโอกาสในการลงมือปฏิบัติทำให้ผู้เรียนขาดความใส่ใจและความกระตือรือร้นในการเรียน ดังนั้นผู้วิจัยจึง ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนให้มีความน่าสนใจ เน้นผู้เรียนมากกว่าเนื้อหาวิชาและการสร้างปฏิสัมพันธ์กับ เพื่อนคนอื่น ๆ ในห้องเรียน โดยใช้แนวคิดการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ที่เป็นการจัด กิจกรรมการเรียนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถเกิดความรู้ได้จากการช่วยเหลือกัน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการ และวิธีการในการสร้างความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ในสมองและ กระบวนการทางสังคมควบคู่กันไป นอกจากนี้ทิศนา แขมมณี(2564) ได้กล่าวถึงการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการ สร้างความรู้ด้วยตนเองสู่การเรียนการสอน เป็นการมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้การตระหนัก ในเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องมาจากการปฏิบัติจริง นอกจากนี้ครูจะต้องสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการมี ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การร่วมมือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดและประสบการณ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน กนก จันทรา (2561) กล่าวว่า ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภูมิศาสตร์นั้นทำให้ผู้เรียนเกิดการ คิดอย่างเป็นระบบ เข้าใจและมีความรู้อย่างถูกต้องชัดเจน โดยใช้วิธีการสอนต่าง ๆ เป็นตัวกระตุ้นผู้เรียน โดยผ่านกระบวนการจัดกิจกรรมที่สำคัญ 5 ขั้นตอน 1) การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ เป็นการระบุประเด็นต่างๆ ที่ผู้เรียนนำมาพิจารณาประกอบการหาคำตอบ โดยอยู่ในรูปแบบคำถาม 2) การรวบรวมข้อมูลการรวบรวม ข้อเท็จจริงของข้อมูลที่เป็นประโยชน์และคาดว่าจะนำไปใช้ประกอบการศึกษา 3) การจัดการข้อมูล เป็นการ จัดระเบียบที่ได้รวบรวมการศึกษาในการวิเคราะห์ 4) การวิเคราะห์และแปรผลข้อมูล เป็นหัวใจของ กระบวนการทางภูมิศาสตร์ให้อธิบาย วิเคราะห์ และแปรข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน 5) การสรุปเพื่อตอบคำถาม เป็นการสรุปเนื้อหาให้ตรงกับคำถามการศึกษา และวิจารณ์ผลลัพธ์ที่ได้เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการศึกษา


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 229 สาระภูมิศาสตร์ช่วยใหผูเรียนเขาใจลักษณะทางกายภาพของโลก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดลอมที่ก อใหเกิดการสร้างสรรควิถีการดำเนินชีวิต เพื่อใหรูเทาทัน ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอม ตลอดจนสามารถใชทักษะ กระบวนการ ความสามารถทางภูมิศาสตร์และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการ จัดการทรัพยากรและสิ่งแวดลอมตามสาเหตุและปัจจัย อันจะนําไปสูการปรับใชในการดำเนินชีวิต (สำนัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2560) นอกจากนี้การนำแอปพลิเคชันมาใช้ประกอบการเรียนรู้ ก็จะช่วยให้ผู้เรียนสนใจ และมีความท้าทาย ในการเรียนรู้มากขึ้น แอปพลิเคชัน Google Jamboard เป็นแอปพลิเคชันที่สามารถใช้ได้ง่ายและดึงดูดความ สนใจผู้เรียน เนื่องจากเป็นจอแสดงผลอัจฉริยะซึ่งจะดึงรูปภาพจากการค้นหาใน Google ได้อย่างรวดเร็ว เป็นเครื่องมือที่ช่วยด้านความคิดสร้างสรรค์ช่วยให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมและสนุกในการเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงสนใจในการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์โดยแอปพลิเคชัน Google Jamboard เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ วิชาสังคมศึกษาของนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่องลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีปอเมริกาใต้โรงเรียนบ้านควนเงิน เพื่อการ พัฒนาผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหาวิชา และมีเจตคติต่อการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาของนักเรียน ก่อนและหลังได้รับ การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard 2.2 เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียน ระหว่างการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google jamboard 2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google jamboard 3. ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 ประชากร กลุ่มประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านควนเงิน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ขนาดกลาง มีชั้นเรียนละ 1 ห้อง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 รวมนักเรียนทั้งหมด 17 คน 3.2 ตัวแปรที่ศึกษา 3.2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอปพลิเคชัน Google Jamboard 3.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 3.2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา 3.2.2.2 การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 3.2.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้


230| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.3 เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง รายวิชา ส 23103 วิชาสังคมศึกษา เรื่อง ลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีปอเมริกาใต้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางสาระภูมิศาสตร์ฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 3.4 ระยะเวลาในการทดลอง จัดกระบวนการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 (พฤศจิกายน – ธันวาคม 2565) โดยใช้ระยะเวลาในการทดลอง 4 คาบ คาบละ 50 นาที 3.5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 3.5.1 แผนการการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard วิชาสังคมศึกษา เรื่องลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีปอเมริกาใต้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 2 แผน ระยะเวลาในการทดลอง 4 คาบ คาบละ 50 นาที 3.5.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา เรื่องลักษณะประชากร สังคม และวัฒนธรรมทวีปอเมริกาใต้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.5.3 แบบสังเกตการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ เป็นแบบสังเกตการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ รายบุคคล 5 ด้าน คือ ความสนใจในการทำกิจกรรม การแสดงความคิดเห็น การตอบคำถาม การยอมรับฟัง ความคิดเห็นผู้อื่น และการทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 3 ระดับ 3.5.4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ เป็นแบบสอบถามความ คิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ 3.6 การสร้างเครื่องมือ ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านควนเงิน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือ ดังนี้ 1) แผนการจัดการ เรียนรู้จำนวน 2 แผนการจัดการเรียนรู้ เวลา 4 คาบ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคม ศึกษาเรื่อง ลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีปอเมริกาใต้3) แบบสังเกตการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ มีองค์ประกอบ 5 ด้าน คือ ความสนใจในการทำกิจกรรม การแสดงความคิดเห็น การตอบคำถาม การยอมรับ ฟังความคิดเห็นผู้อื่น การทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการ จัดการเรียนรู้


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 231 3.7 การหาค่าคุณภาพเครื่องมือ ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ ของเครื่องมือทั้ง 4 ฉบับ และนำมาหาค่าความสอดคล้อง(Index of Item Objective Congruence : IOC) ค่าดัชนีความ สอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ถือว่าเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และนำข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงและแก้ไข ต่อไป ผลที่ได้จากการตรวจสอบค่าคุณภาพเครื่องมือ ดังต่อไปนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard เรื่อง ลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีปอเมริกา ใต้ ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ได้ค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้อง 1.00 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาเรื่อง ลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีป อเมริกาใต้ ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ได้ค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้อง 1.00 3) แบบสังเกตการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนีความ สอดคล้อง ได้ค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้อง 1.00 และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการ จัดการเรียนรู้หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard ตรวจวัดคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ได้ค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้อง 1.00 3.8 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.8.1 ทดสอบก่อนการทดลอง (Pretest) โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนเรียน (Pre - test) เพื่อวัดความรู้พื้นฐาน และเก็บผลทดสอบก่อนเรียนไปเปรียบเทียบกับผลการ ทดสอบหลังเรียน (Post - test) 3.8.2 ขั้นทดลอง จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 3.8.2.1 ลำดับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้เริ่มต้นจาก 1) การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ แนวคำถาม เหตุใดแต่ละพื้นที่ของทวีปอเมริกาใต้ถึงมีลักษณะประชากรที่ต่างกัน แนวคำถาม ปัจจัยใดที่ทำให้ กลุ่มประชากรแตกต่างกัน 2) การเก็บรวบรวมข้อมูล พูดคุย เรื่องประชากรในทวีปอเมริกาใต้โดยใช้โปรแกรม Microsoft PowerPoint และตั้งคำถามแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างการบรรยาย 3) การจัดการข้อมูล 4) การ วิเคราะห์ข้อมูล เริ่มทำภารกิจโดยใช้การมีส่วนร่วม โดยเส้นทางเป็นรายกลุ่มกำหนดการเดินทางในทำภารกิจ และให้นักเรียนวิเคราะห์สถานการณ์ นำข้อมูลมาจำแนก และจัดกลุ่มอยู่ในรูปแบบแผนที่ แผนผัง ทำให้เห็น ภาพสรุปที่ชัดเจน และ 5) การสรุปข้อมูลเพื่อหาคำตอบ การสรุปคำตอบจากข้อมูลที่ถูกรวบรวม จัดการและ วิเคราะห์ อย่างเป็นขั้นตอนด้วยการนำเสนอด้วยวาจา 3.8.2.2 ใช้แบบสังเกตการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 3.8.3 ขั้นหลังการทดลอง ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทดสอบหลัง เรียน (Post - test) และนำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้


232| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล 3.9 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.9.1 เปรียบเทียบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test แบบ Dependent sample 3.9.2 วิเคราะห์ผลการสังเกตการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ แล้วโดยหาค่าเฉลี่ย( ) และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) แล้วเปรียบเทียบกับเกณฑ์แบ่งระดับออกเป็น 3 ระดับ ใช้เกณฑ์คะแนนตามกลุ่ม ความคิดของเบสท์ Best (1981) 3.00 – 4.00 หมายถึง ระดับดีมาก 2.00 – 2.99 หมายถึง ระดับดี 1.00 – 1.99 หมายถึง ระดับปรับปรุง 3.9.3 ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้หลังการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard โดยหาค่าเฉลี่ย( ) และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน ( ) แล้วเปรียบเทียบกับเกณฑ์แบ่งระดับออกเป็น 5 ระดับใช้เกณฑ์ระดับลิเคิร์ท Likert (1967) 4.51 - 5.00 หมายถึง ระดับดีมากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึง ระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง ระดับปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง ระดับน้อย 1.00 - 1.50 หมายถึง ระดับปรับปรุง 4. สรุปผลการวิจัย 4.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาเรื่องลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีป อเมริกาใต้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านควนเงิน ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard ปรากฏดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google jamboard ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การทดสอบ N คะแนนเต็ม t -test Sig ก่อนเรียน 17 20 7.74 1.47 28.38* .000 หลังเรียน 17 20 16.34 1.58 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากตารางที่ 1 พบว่าผลการเปรียบเทียบคะแนนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google jamboard โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( = 16.34, = 1.58) สูงกว่าก่อน เรียน ( = 7.74, = 1.47) สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 233 4.2 นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาเรื่องลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมทวีป อเมริกาใต้ระหว่างการจัดการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard อยู่ในระดับดี ( = 2.68 , = 0.48) 4.3 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาเรื่องลักษณะประชากร สังคมและ วัฒนธรรมทวีปอเมริกาใต้ ระหว่างการจัดการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard ซึ่งอยู่ในระดับมาก ( = 4.26 , = 0.19) 5. อภิปรายผลการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 เนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์สามารถทำให้เขาใจลักษณะทางกายภาพของโลก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดลอมที่กอใหเกิดการสร้างสรรควิถีการดำเนินชีวิต เพื่อใหรูเทาทัน ปรับตัว ตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอม ตลอดจนสามารถใชทักษะ กระบวนการ ความสามารถทางภูมิศาสตร์ และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดลอมตามสาเหตุและปัจจัย อันจะนําไปสู่การ ปรับใชในการดำเนินชีวิต และแอปพลิเคชัน Google Jamboard ทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงและเปิด โอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน ไม่ต้องกังวลที่จะต้องจดจำเนื้อหาที่มาก แต่สามารถที่จะ เรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยี ทำให้การเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงขึ้น และเป็นแอปพลิเคชันสำหรับนำเสนอเพื่อประกอบการสอนของครูนักเรียนสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนกับบทเรียนสู่ครูนำเสนอได้ทันทีส่งผลให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนซึ่งสอดคล้องกับ ทิศนา แขมมณี (2564) การจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา เป็นรายวิชาที่มีเนื้อหามาก และมุ่งเน้นให้ผู้เรียน สามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ เนื้อหาวิชาเพื่อนำความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่าง หลากหลาย จึงเป็นกิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ที่จะสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ในการเข้าใจเนื้อหา ได้ดีขึ้น ให้เกิดเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น ส่งเสริมทักษะกระบวนการซึ่งผู้เรียนจะได้พัฒนากระบวนการต่าง ๆ จนเกิดเป็นทักษะ เช่น ทักษะการคิดทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการทำงานกลุ่ม ตลอดจนเจตคติและค่านิยมที่พึงประสงค์และสร้างความสนุกสนานในการเรียน การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard อยู่ในระดับดี( = 2.68 , = 0.48) เนื่องมาจากการสร้างกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ และแอปพลิเคชัน Google Jamboard ซึ่งครูสามารถนำเสนอ เนื้อหา สลับกับกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ จึงเป็นการนำเสนอแบบมีส่วนร่วม ที่นักเรียนสามารถมีการโต้ตอบ สามารถตอบคำถาม แสดงความคิดเห็นในเนื้อหาได้ ซึ่งสอดรับกับปัญหาของผู้เรียนไม่ให้มีส่วนร่วมในการร่วม กิจกรรมและการทำงานกลุ่ม ทำให้สามารถมีส่วนร่วมในการเรียนได้ผ่านการทำกิจกรรมเกมต่าง ๆ โดยการใช้ แอปพลิเคชัน Google Jamboard ได้ซึ่งสอดคล้องกับกนก จันทรา (2557) ที่กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการทางภูมิศาสตร์การสอนภูมิศาสตร์ ต้องเน้นการพัฒนาการคิดวิเคราะห์หาความสัมพันธ์


234| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ความเชื่อมโยง เปรียบเทียบและให้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนสืบค้น รวบรวม ตีความ สารสนเทศทางภูมิศาสตร์จากแหล่งสารสนเทศทางภูมิศาสตร์และใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ นักเรียนได้ฝึกอ่านทำความเข้าใจระบบธรรมชาติและมนุษย์ และการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน สุดท้ายคือการฝึกให้ นักเรียนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ ธรรมชาติ ผลประเมินความพึงพอใจของนักเรียน หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และ แอปพลิเคชัน Google Jamboard ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ย 4.26 อยู่ในระดับมาก เนื่องจากเป็นกิจกรรมกระตุ้นให้นักเรียนสนใจเรียนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 สอดคล้องกับ วิจารณ์ พานิช (2559) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ให้มีคุณภาพ ทั้งเนื้อหาและสื่อการนำเสนอ มีความแปลกใหม่ ทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ ความกระตือรือร้น และสนใจ เรียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้ว การใช้กิจกรรมการเรียนการสอนทำให้นักเรียนทุกคนทุกระดับความสามารถ ดำเนินกิจกรรมเดียวกันไปพร้อม ๆ กันที่ส่งเสริมการคิดและลงมือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ จำเป็นต้องเห็นเรื่องราว วิเคราะห์ให้เข้าใจโดยอาศัยกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ Systems thinking (กรรณจริยา สุขรุ่ง และคณะ, 2558) ทำให้นักเรียนที่มีความสามารถในระดับต่ำ สามารถทำความเข้าใจทันกับนักเรียนที่มีความสามารถ ระดับสูงกว่า นักเรียนไม่ต้องกังวลกับการตอบคำถามต่อหน้าเพื่อนในชั้นเรียน ซึ่งอาจทำให้รู้สึกอายเมื่อไม่ สามารถตอบคำถามได้ หรือเมื่อตอบคำถามผิดบรรยากาศการเรียนที่มีความเป็นทางการลดน้อยลง มีอิสระใน การทำกิจกรรมตามความพอใจ จนเป็นผลทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี 6. ข้อเสนอแนะ 6.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 6.1.1. การจัดการเรียนการสอนครูผู้สอนควรควบคุมเวลาให้เหมาะสมในกิจกรรมที่ให้ นักเรียนได้ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6.1.2. ควรมีการบูรณาการความรู้ร่วมกับสาระอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงทักษะที่สำคัญต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 6.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป 6.2.1.การศึกษาครั้งต่อไปควรนำสื่อการเรียนรู้ แอพลิเคชันหรือสื่อเรียนรู้อื่นๆ ให้หลากหลาย ในการจัดการเรียนรู้ 6.2.2. การศึกษาครั้งต่อไปควรมีการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มนักเรียนที่หลากหลายใน ระดับชั้นอื่นๆ เพื่อช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้และศึกษาพฤติกรรมของผู้เรียน


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 235 เอกสารอ้างอิง กนก จันทรา. (2557). การพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ในห้องเรียนสังคมศึกษา: วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 42(4),196-204. ____. (2561). การเรียนรู้เรื่องภูมิศาสตร์ Geo-literacy Learning for our planet ถอดประสบการณ์การ จัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ในชั้นเรียนที่เสริมสร้างการรู้เรื่องภูมิศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรณจริยา สุขรุ่ง, ปิยนาถ ประยูร, หนูเพียร แสนอินทร์, ปทุมพร ปวงจันทร์. (2558). คู่มือหลักสูตรการ เรียนรู้ นักปฏิบัติการทางสังคมและสุขภาวะ ผู้นำที่แท้แห่งศตวรรษที่ 21. [ม.ป.ท.]: โครงการผู้นำแห่ง อนาคต คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ทิศนา แขมมณี. (2564). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เพ็ญแข ศิริวรรณ และคณะ. (2551). สถิติเพื่อการวิจัย. กรุงเทพฯ: เท็กซ์แอนด์เจอร์นัลพับลิเคชัน. วิจารณ์ พานิช. (2558). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัท ตถาตา พับลิเคชัน . ____. (2559). สอนอย่างมือชั้นครู. กรุงเทพฯ: โครงการผู้นำแห่งอนาคต คณะวิทยาการเรียนรู้และ ศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2560). ตัวชี้วัดและหลักสูตรแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของสาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเลขาธิการการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. Best, J. W., (1981). Research in Education, 4th ed. New Jersey: Prentice – Hall Inc. Likert, Rensis. (1967). The Method of Constructing and Attitude Scale, Reading in Attitude Theory and Measurement. Fishbeic, Matin, Ed. NewYork: Wiley & Son.


236| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล ผลการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีผลต่อทักษะการพูด ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ The Effects of Activity-Based Learning Management on English Speaking Skills of Grade 6 Students at Wat Phra Mahathat School ภัทรวดี แก้ววิจิตร1 , ชลธิชา พรหมมณะ2 , วีรศักดิ์ ทวีเมือง3 , กิตติรัตน์ เกษตรสุทนร4 Pattaravadee Kaewvijit 1 , Chonthicha Prommana 2 , Weerasak Thaweemueang3 , Kittirat Kasatsuntorn4 บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีผลต่อทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เป็นวิจัยในชั้นเรียนโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัด พระมหาธาตุก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน และ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรม การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัด พระมหาธาตุ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 2 จำนวน 40 คน ที่ได้จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีจับฉลาก (Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้การวิจัย ได้แก่ 1)แผนจัดการ เรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children 2) แบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children และ 3) แบบประเมินตนเองด้านพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของนักเรียน ต่อการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้ t-test for dependent sample test, ค่าเฉลี่ย ( x̅ ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้oประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 1 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช E-mail : [email protected] 1English program Faculty of Education Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail : [email protected]. 2 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช E-mail : [email protected] 2Wat Phra Mahathat School Nakhon Si Thammarat Province E-mail : [email protected] 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช E-mail : [email protected] 3Assistant Professor English program Faculty of Education Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail : [email protected] 4 กลุ่มศาสตร์วิจัยและวัดประเมินผล คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช E-mail : [email protected] 4Research Measurement and Assessment Group Faculty of Education Nakhon Si Thammarat Rajabhat University E-mail : [email protected]


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 237 2.ผลการประเมินพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ย (x̅ = 4.12) ระดับการมีส่วนร่วมมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายการ รายการที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุด คือ รายการได้รับฟัง/เคารพความคิดเห็นของเพื่อนในกลุ่ม รองลงมา คือรายการได้เสนอความคิดเห็น ภายในกลุ่มของตนเอง คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้, กิจกรรมเป็นฐาน, ทักษะการพูด Abstract The objectives of this classroom action research were to 1) compare the English speaking skills of grade 6 students at Wat Phra Mahathat School before and after using activity-based learning and 2) explore grade 6 students’ participation during using activity-based learning. The samples of the study were 40 students. They were in Grade 6. They were selected by purposive sampling technique. The research tools were 1) lesson plan using activity-based learning on the topic ‘Unit Healthy Children’, 2) English speaking rubric, and 3) a selfassessment form on students’ participation. The data were analyzed by t-test (dependent sample test), mean ( x ̅) and Standard Deviation (S.D.). The results of the study revealed that 1. English speaking skills of grade 6 students after using activity-based learning was higher than before statistically significant at the 0.05 level. 2. The overall participation of grade 6 students after using activity-based learning was (x ̅= 4.12). Listening and accepting group member’s opinions appeared the highest level while participating group activities showed the lowest level. Keywords: Learning Management, Activity-Based, Speaking Skills 1. บทนำ ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกอย่างรวดเร็วเป็นสังคมของศตวรรษที่ 21 มีความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสื่อสารเป็นแบบก้าวกระโดด ก่อให้เกิดการติดต่อสื่อสารถึงกันแบบ ไร้พรมแดนเป็นยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) (สำเริง อ่อนสัมพันธุ์, 2561) การจัดการศึกษาในปัจจุบัน มุ่งเน้นการสร้างทรัพยากรบุคคลให้มีความรู้ ทักษะ และความสามารถที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษ ที่ 21 (21st Century Skills) คนไทยในยุคนี้จำเป็นต้องมีทักษะความเป็นนานาชาติ( Internationalization Skills ) อันเป็นความรู้ความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมโลกที่เชื่อมโยงถึงกันได้ มีการใช้ภาษาสากล โดยเฉพาะภาษาอังกฤษติดต่อสื่อสารกันอย่างกว้างขวาง ภาษาอังกฤษ ( English ) จัดเป็นภาษาที่คนนิยมใช้ มากที่สุดในโลก ( ECC Language Institute: Online ) เป็นภาษาสากลที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ในการเป็นสื่อกลางการติดต่อสื่อสารและเข้าถึงแหล่งข้อมูลการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้


238| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล โดยใช้ทักษะทางภาษาเพื่อการสื่อสารได้แก่ การฟัง พูด อ่าน เขียน ควบคู่ไปกับการใช้ทักษะที่จำเป็นใน การดำรงชีวิต (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2557; ทิศนา แขมมณี, 2557) ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสมรรถนะทาง การสื่อสาร ( Communicative Competency) การจัดการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนภาษาสามารถ ใช้ภาษาสื่อสารในสังคมโลกได้จริง พัฒนาผู้เรียนภาษา ให้มีความรู้หลักภาษา (Form) ควบคู่กับการใช้ภาษา สื่อสาร (Use) ได้อย่างเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สนับสนุน ให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking) การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving) และการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Collaboration and Team Work) เพื่อทำกิจกรรมหรือชิ้นงานให้สำเร็จ ช่วยให้ผู้เรียนมีองค์ความรู้และทักษะภาษาที่ใช้ ในสถานการณ์สื่อสารจริงที่สอดคล้องกับความจำเป็นในสังคมปัจจุบัน (สมบัติ คชสิทธิ์, จันทนี อินทรสูต และธนกร สุวรรณ พฤฒิ, 2560) การพัฒนาประเทศให้มีความ เจริญก้าวหน้าและทัดเทียมกับนานาประเทศ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาศักยภาพของประชากรให้มี ความรู้ ความสามารถในการสื่อสารด้วย ภาษาอังกฤษ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศนั้นๆ สามารถสร้างศักยภาพที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียม นานาประเทศได้ (Wannapok, 2004) ในทางกลับกันการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษในประเทศไทย ยังมีข้อจำกัดหลายประการ เนื่องจากบริบทของคนไทยที่มีพื้นฐานการเรียนแบบท่องจำมากกว่าการฟัง พูด มีครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และ นักเรียนนั่งฟังโดยไม่มีส่วนร่วม ในกระบวนการเรียนรู้เป็นการเรียนเพื่อสอบให้ผ่าน ผู้สอนเน้นการใช้ไวยากรณ์ มากเกินไป ไม่คำนึงถึงการนำไปใช้จริงในการทำงานในอนาคต ทำให้ไม่เอื้อต่อผู้เรียนในการฝึกพูด ภาษาอังกฤษใน ชีวิตประจำวัน (Wall, 2005) ดังจะเห็นได้จากการจัดอันดับทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 2018 โดยสถาบัน Education First (EF) สถาบันการสอนภาษาอังกฤษระดับโลกทำการวิเคราะห์ ข้อมูลทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักจำนวน 88 ประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 64 ได้ 48.54 จากคะแนนเต็ม 100 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต่ำ (EF Education First, 2018) สะท้อนให้เห็นว่า ความสามารถในการใช้ทักษะภาษาอังกฤษของ นักเรียนไทยทั้งในระดับ มัธยมศึกษาและอุดมศึกษาควรได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามแนว การสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ มีความสำคัญที่สุด เพราะการพูดเป็นวิธีการติดต่อที่สะดวกและง่ายกว่าวิธีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ ระหว่างบุคคล (ศิรินันท์ เอื้อนไธสงค์, 2560) แสดงให้เห็นว่าผู้พูดมีความรู้ ทางภาษามากพอที่จะถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ รวมถึงแสดง ความรู้สึกต่อกันได้ (ธุวพร ตันตระกูล, 2555) การเรียนภาษาอังกฤษจึงมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปจากเดิม เน้นการใช้ภาษา ในสถานการณ์ที่เป็นจริงมากขึ้น ผู้เรียนจะต้องสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ ส่วนผู้สอนทำหน้าที่เสริมแรง ให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในการแสดงออกทางภาษาให้เหมาะสมตามสถานการณ์ ซึ่งต้องสื่อความหมายให้ชัดเจน ถูกต้องเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของสังคม การใช้กิจกรรมภาษาเพื่อการสื่อสารเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ในห้องเรียน ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นมากขึ้น การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและสามารถนำไปใช้ ในสถานการณ์จริงได้ (Grant, 1988)


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 239 การจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning: ABL) เป็นการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ต่างๆ ไม่เน้นให้ผู้เรียนท่องจำ แต่ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงและมีบทบาทในการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์และเรียนรู้จากกิจกรรมที่ได้ทำจริง (Learning by doing) โดยเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ การสร้าง ปฏิสัมพันธ์ และการร่วมมือกัน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ความ รับผิดชอบร่วมกัน มีวินัยในการทำงาน และแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกัน โดยผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความ สะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง (สุทัศ เอกา, 2557) การจัดการเรียนรู้แบบ กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning: ABL) เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้แบบเดิมที่เป็น แบบตั้งรับ (Passive Learning) เรียนรู้โดยการอ่าน การท่องจำ การฟังบรรยายเพียงอย่างเดียวโดยที่ผู้เรียนไม่ มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมอื่น ในขณะที่ครูสอนมาเป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ จนเกิดความรู้ ความ เข้าใจ นำไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และพัฒนาตนเองเต็ม ความสามารถ ให้ฝึกทักษะการสื่อสาร การนำเสนอผลงานทางการเรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง ทั้งมีการฝึก ปฏิบัติในสภาพจริง มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ต่างๆ จะทำให้ผลการเรียนรู้เกิดขึ้นถึง 90% (สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์เขต 3,2558) ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรม เป็นฐาน เพื่อนำมาพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระ มหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช จากการที่ผู้วิจัยได้ทำการปฏิบัติวิชาชีพ ณ โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 ซึ่งได้รับภาระงานสอนในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานและ รายวิชาลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการสอนในชั้นเรียน การประชุมชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) ในกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศและ การศึกษาข้อมูลจากรายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษา ทำให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษของผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านทักษะการฟัง การเขียน แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุด ที่ควรจะได้รับการแก้ไขและพัฒนาคือ ปัญหาด้านทักษะการพูด เพราะผู้เรียนไม่สามารถออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษได้ ไม่สามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ และนักเรียนไม่ให้ความร่วมมือและไม่มีส่วนร่วม ในกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้บรรยากาศในชั้นเรียนภาษาอังกฤษไม่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน สาเหตุ ที่ผู้เรียนมีปัญหาในทักษะการพูดภาษาอังกฤษและไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อาจมี สาเหตุมาจาก หลายประการเช่น สาเหตุจากครูผู้สอนได้แก่ ครูยังยึดติดกับการสอนแบบดั้งเดิม ยังคงเน้นการแปล และ ไวยากรณ์เป็นหลัก ครูขาดความรู้และทักษะการใช้เทคโนโลยี สื่อที่ใช้จัดการเรียนการสอนไม่มีความน่าสนใจ ไม่เน้นให้ผู้เรียนนำความรู้มาใช้ในชีวิตจริง และครูไม่มีการสร้างแรงจูงใจให้เด็กสนใจวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนสาเหตุจากผู้เรียนได้แก่ นักเรียนมีเจตคติไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ ขาดโอกาสในการนำความรู้ไปใช้ และขาด ความมั่นใจและความกล้าแสดงออกในการพูดภาษาอังกฤษ และสาเหตุอื่น ๆ เช่น สื่อเทคโนโลยีภายใน โรงเรียนไม่เอื้อต่อการเรียนการสอน ภาระงานนอกเหนือจากการสอนของครูมากเกินไป แต่สาเหตุสำคัญที่ ทำให้ผู้เรียนมีปัญหาเรื่องทักษะการพูดภาษาอังกฤษและไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้คือ รูปแบบการ จัดการเรียนรู้ของครูไม่เหมาะสม ครูจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบบรรยาย (PPP) ไม่ได้ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติ จนไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และสื่อที่ใช้ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียน ได้มากพอ จึงจำเป็นต้องมีการปรับรูปแบบวิธีการสอนและสื่อการสอนที่เหมาะสม


240| ห น้ า เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา “วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล จากเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีผลต่อทักษะ การพูด ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เพื่อใช้เป็นแนวทางใน การพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะการพูดภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ มากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นพื้นฐานให้ผู้เรียนสามารถนำเอาทักษะภาษาอังกฤษไปใช้ได้ในชีวิตประจาวัน พร้อมทั้งเป็น ข้อมูลสำหรับครูผู้สอนเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียน 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัด พระมหาธาตุก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน 2.2 เพื่อศึกษาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน 3. ระเบียบวิธีวิจัย ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราชเขต 1 จำนวน 79 คน จาก 2 ห้องเรียน ที่ถูกจัดห้องเรียนแบบคละความสามารถ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 2 จำนวน 40 คน ที่ได้จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีจับฉลาก (Random Sampling) การสร้างเครื่องมือ/การทดสอบคุณภาพของเครื่องมือ 1. แผนจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children ผู้วิจัยดำเนิน การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักการ ทฤษฎีการสร้าง จากเอกสารตำราต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการสอน 1.2 ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิเคราะห์หลักสูตรกำหนด จุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม และกำหนดโครงเรื่องเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ 1.3 ดำเนินการสร้างแผนจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 4 แผนจัดการเรียนรู้ ใช้ระยะเวลา 8 ชั่วโมง 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อครูพี่เลี้ยงและอาจารย์ที่ปรึกษาวิชาเอกเพื่อขอ คำแนะนำในส่วนที่บกพร่อง 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยด้านหลักสูตรและการสอน จำนวน 1 คน, ด้านการสอนภาษาอังกฤษ จำนวน 1 คน และด้านวัดผลและวิจัยทางการศึกษา จำนวน 1 คน 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไปทดลองใช้(Try out) กับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 2. แบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6


เอกสารสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการครุศาสตร์วิชาการครั้งที่ 13 : นวัตกรรมการศึกษาพลิกโฉมการพัฒนา“วิชาชีพครูในยุคดิจิทัล” ห น้ า | 241 โดยประเมินโดยใช้เกณฑ์การประเมินทักษะการพูด 4 ด้าน ซึ่งประยุกต์มาจากแบบเกณฑ์การประเมินทักษะ การพูดของสำนักงานทดสอบทางการศึกษา ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ดังนี้ 2.1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือครูและหนังสือกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 2.2 ศึกษาแนวทางแบบเกณฑ์การประเมินทักษะการพูดของสำนักงานทดสอบทางการศึกษา 2.3 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบที่ดีวิธีการหาความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ จากหนังสือเทคนิคการวิจัยทางการศึกษา 2.4 วิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 2.5 สร้างแบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children 2.6 นำแบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษเสนอต่อครูพี่เลี้ยงและอาจารย์ที่ปรึกษาวิชาเอก เพื่อตรวจสอบว่าแบบวัดมีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และครอบคลุมสาระหรือไม่ แล้วปรับปรุง แก้ไขตามข้อเสนอแนะ 2.7 นำแบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children เสนอผู้เชี่ยวชาญ ชุดเดิม เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับตัวชี้วัด 2.8 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบแบบเติมคำกับ ตัวชี้วัดโดยใช้สูตร IOC (ไพศาล วรคำ, 2559) คัดเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่0.60 - 1.00 2.9 นำแบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ Healthy Children ที่ผ่าน การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 20 ข้อ ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัด พระมหาธาตุ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง แล้วนำมาวิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนกรายข้อแบบอิงเกณฑ์ของ แบบทดสอบ โดยใช้สูตรของ Brenman แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .20 - 1.00 2.10นำแบบทดสอบ มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นของโดยใช้วิธีของ Lovett (ไพศาล วรคำ, 2559) พบว่า ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 2.11จัดพิมพ์แบบทดสอบที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว นำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างในการ ศึกษาวิจัยต่อไป 3. แบบประเมินตนเองด้านพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วิชา ภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ดังนี้ 3.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบประเมินโดยศึกษาหนังสือพื้นฐานการวิจัยการศึกษา และหนังสือ การประเมินการเรียนรู้ 3.2 นำแบบประเมินตนเองที่สร้างขึ้น เสนอครูพี่เลี้ยงและอาจารย์ที่ปรึกษาวิชาเอกเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้อง เหมาะสม ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ แล้วนำเสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม ตรวจสอบความถูกต้อง สมบูรณ์ 3.3 นำแบบประเมินตนเองที่แก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับกลุ่มประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างแล้ว นำมาตรวจให้คะแนนโดยหาค่า IOC และเลือกใช้ข้อที่มีค่าตั้งแต่ .06 ขึ้นไป 3.4 นำแบบประเมินตนเองที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว จัดพิมพ์ฉบับจริงเพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป


Click to View FlipBook Version