30
15. ขอ้ ใดคือส่วนประกอบของระบบจาหน่ายไฟฟ้า
ก. สถานีหลกั
ข. สายจาหน่ายแรงต่า
ค. หมอ้ แปลง
ง. เสาไฟฟ้า
จ. ลานไก
16. ระบบจาหน่ายไฟฟ้าประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
ก. สถานียอ่ ย สายจาหน่ายแรงต่า หมอ้ แปลงจาหน่าย
ข. สถานียอ่ ยตน้ ทาง สายจาหน่ายแรงต่า หมอ้ แปลงจาหน่าย
ค. สถานียอ่ ย สายจาหน่ายแรงสูง เสาไฟฟ้า
ง. สถานียอ่ ย สายจาหน่ายแรงสูง หมอ้ แปลงจาหน่าย
จ. สถานียอ่ ยตน้ ทาง สายส่ง หมอ้ แปลงจาหน่าย
17. คาวา่ โหลดกราฟ หมายถึง การนาโหลดชนิดใดมาเขียนกราฟ
ก. โหลดที่ติดต้งั
ข. โหลดที่เปิ ดใชง้ านจริง
ค. โหลดสูงสุด
ง. โหลดเสริม
จ. โหลดเฉลี่ย
18. คาวา่ โหลดช่วงฐาน หมายถึง โหลดชนิดใด
ก. โหลดเฉลี่ย
ข. โหลดสูงสุด
ค. โหลดต่าสุด
ง. โหลดเสริม
จ. โหลดติดต้งั
19. คาวา่ กราฟของโหลดดิวเรชนั่ หมายถึงการนาโหลด ชนิดใดมาเขียนกราฟ
ก. โหลดเฉล่ีย
ข. โหลดติดต้งั
ค. โหลดช่วงฐาน
ง. โหลดกราฟ
จ. โหลดสูงสุด
31
20. การนาโหลดกราฟมาเขียนเป็ นกราฟโหลดดิวเรชนั่ ทาอยา่ งไร
ก. เรียงลาดบั ช่วงเวลาของโหลดสูงสุดไปจนถึงช่วงโหลดต่าสุด
ข. เรียงลาดบั ช่วงเวลาของโหลดต่าสุดไปจนถึงช่วงโหลดสูงสุด
ค. เรียงลาดบั ช่วงเวลาที่ใชโ้ หลดมากท่ีสุดไปจนถึงช่วงเวลาที่ใชโ้ หลดนอ้ ยท่ีสุด
ง. เรียงลาดบั ช่วงเวลาท่ีใชโ้ หลดนอ้ ยที่สุดไปจนถึงช่วงเวลาที่ใชโ้ หลดมากที่สุด
จ. เรียงลาดบั ช่วงเวลาท่ีใชโ้ หลดมากที่สุดไปจนถึงช่วงเวลาที่ใชโ้ หลดต่าที่สุด
21. ความหมายของดีมานด์ คือขอ้ ใด
ก. ค่าความตอ้ งการพลงั งานไฟฟ้าเฉลี่ยในช่วงเวลาที่พจิ ารณา
ข. ค่าความตอ้ งการแรงดนั ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเวลาท่ีใชโ้ หลดต่าท่ีสุด
ค. คา่ ความตอ้ งการกระแสไฟฟ้าเฉล่ียในช่วงเวลาท่ีพิจารณา
ง. ค่าความตอ้ งการแรงดนั ไฟฟ้าเฉลี่ยในช่วงเวลาท่ีพจิ ารณา
จ. ค่าความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าเฉลี่ยในช่วงเวลาท่ีพจิ ารณา
22. ขอ้ ใดท่ีไมใ่ ช่ดีมานดท์ างไฟฟ้า
ก. กาลงั ไฟฟ้าเฉล่ีย 386 กิโลวตั ต์ ในเวลา 1 วนั
ข. กาลงั ไฟฟ้าเฉล่ีย 521 กิโลวตั ต์ ในเวลา 6 ชว่ั โมง
ค. กาลงั ไฟฟ้าเฉลี่ย 635 กิโลวตั ต์ ในเวลา 60 นาที
ง. กาลงั ไฟฟ้าเฉล่ีย 715 กิโลวตั ต์ ในเวลา 15 นาที
จ. กาลงั ไฟฟ้าเฉล่ีย 715 กิโลวตั ต์ ในเวลา 1 นาที
23. สมการของ โหลดแฟกเตอร์คือ ขอ้ ใด
ก. โหลดแฟกเตอร์ ( L.F.) = โหลดเฉลี่ย
โหลดติดตง้ ั
โหลดสูงสุด(Pmean )
ข. โหลดแฟกเตอร์ ( L.F.) = โหลดเฉล่ีย(Pmax )
ค. โหลดแฟกเตอร์ ( L.F.) = ดมี านด์
โหลดกราฟ
โหลดกราฟ
ง. โหลดแฟกเตอร์ ( L.F.) = ดีมานด์
จ. โหลดแฟกเตอร์ ( L.F.) = โหลดเฉลี่ย(Pmean )
โหลดสูงสุด(Pmax )
32
24. บา้ นพกั อาศยั แห่งหน่ึงใชก้ าลงั ไฟฟ้าสูงสุดใน 1 วนั เท่ากบั 2 กิโลวตั ต์ โดยใชก้ าลงั ไฟฟ้าแต่ละ
ช่วง ๆ ละ 6 ชว่ั โมง ดงั น้ี 0.5 กิโลวตั ต์ , 1 กิโลวตั ต์ , 1.5 กิโลวตั ต์ และ 2 กิโลวตั ต์ ตามลาดบั
จงหาคา่ ของโหลดแฟกเตอร์ประจาวนั มีคา่ เท่ากบั ขอ้ ใด
ก. 42.5 เปอร์เซ็นต์
ข. 52.5 เปอร์เซ็นต์
ค. 62.5 เปอร์เซ็นต์
ง. 72.5 เปอร์เซ็นต์
จ. 82.5 เปอร์เซ็นต์
25. จากโจทยใ์ นขอ้ 24. ถา้ โหลดสูงสุดใน 1 เดือนเทา่ กบั 88.2 กิโลวตั ตจ์ งหาค่าของโหลดแฟกเตอร์
ประจาเดือนมีคา่ เทา่ กบั ขอ้ ใด
ก. 82.5 เปอร์เซ็นต์
ข. 72.5 เปอร์เซ็นต์
ค. 62.5 เปอร์เซ็นต์
ง. 52.5 เปอร์เซ็นต์
จ. 42.5 เปอร์เซ็นต์
26. ดีมานดแ์ ฟกเตอร์ คือ อะไร
ก. อตั ราส่วนระหวา่ งโหลดเฉล่ียต่อโหลดแฟกเตอร์
ข. อตั ราส่วนระหวา่ งโหลดแฟกเตอร์ต่อโหลดเฉลี่ย
ค. อตั ราส่วนระหวา่ งโหลดติดต้งั ต่อดีมานดส์ ูงสุดที่เกิดในช่วงเวลาท่ีพจิ ารณา
ง. อตั ราส่วนระหวา่ งดีมานดส์ ูงสุดที่เกิดในช่วงเวลาท่ีพิจารณาตอ่ โหลดติดต้งั
จ. อตั ราส่วนระหวา่ งโหลดเฉล่ียต่อโหลดสูงสุด
27. ท่ีพกั อาศยั แห่งหน่ึง มีเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าดงั ต่อไปน้ีคือ หลอดไฟ 200 วตั ต์ 6 หลอด , 60 วตั ต์ 5
หลอด , 40 วตั ต์ 20 หลอด และ 10 วตั ต์ 2 หลอด ถ้าสมมติว่าดีมานด์มิเตอร์อ่านค่าโหลด
สูงสุดได้ 750 วตั ต์ ในช่วงเวลา 15 นาที จงหาคา่ โหลดติดต้งั มีค่าเทา่ กบั ขอ้ ใด
ก. 2,320 วตั ต์
ข. 2,520 วตั ต์
ค. 2,600 วตั ต์
ง. 2,650 วตั ต์
จ. 2,750 วตั ต์
33
28. จากโจทยใ์ นขอ้ 27. จงหาคา่ ของดีมานดแ์ ฟกเตอร์มีค่าเทา่ กบั ขอ้ ใด
ก. 30.5 เปอร์เซ็นต์
ข. 32.3 เปอร์เซ็นต์
ค. 33.6 เปอร์เซ็นต์
ง. 35.2 เปอร์เซ็นต์
จ. 38.5 เปอร์เซ็นต์
29. ไดเวอร์ซิต้ีแฟกเตอร์คือขอ้ ใด
ก. อตั ราส่วนระหวา่ งผลรวมของโหลดสูงสุดที่ไดจ้ ากแต่ละกลุ่มตอ่ โหลดต่าสุด
ข. อตั ราส่วนระหวา่ งผลรวมของโหลดต่าสุดท่ีไดจ้ ากแตล่ ะกลุ่มตอ่ โหลดเฉลี่ย
ค. อตั ราส่วนระหวา่ งผลรวมของโหลดสูงสุดท่ีไดจ้ ากแต่ละกลุ่มต่อโหลดสูงสุด
ง. อตั ราส่วนระหวา่ งผลรวมของโหลดต่าสุดที่ไดจ้ ากแต่ละกลุ่มตอ่ โหลดดีมานด์
จ. อตั ราส่วนระหวา่ งผลรวมของโหลดติดต้งั ท่ีไดจ้ ากแต่ละกลุ่มต่อโหลดสูงสุด
30. สถานีจา่ ยไฟฟ้ายอ่ ยแห่งหน่ึง จ่ายไฟใหก้ บั โหลด 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มตอ้ งการโหลดสูงสุดใน
เวลาตา่ งๆ กนั ซ่ึงวดั จากดีมานดม์ ิเตอร์ไดด้ งั น้ี P max(1) = 90 kW , P max(2) = 85 kW,
P max(3) = 115 kW , P max(4) = 150 kW, และ P max(5) = 120 kW ตามลาดบั ถา้ ดีมานดม์ ิเตอร์
ท่ีวดั ไดจ้ ากโหลดท้งั กลุ่ม P max = 335 kW จงหาค่าผลรวมของโหลดสูงสุดที่ไดจ้ ากแต่ละกลุ่ม
ก. 560 กิโลวตั ต์
ข. 575 กิโลวตั ต์
ค. 650 กิโลวตั ต์
ง. 675 กิโลวตั ต์
จ. 695 กิโลวตั ต์
31. จากโจทยใ์ นขอ้ 30. จงหาคา่ ไดเวอร์ซิต้ีแฟกเตอร์มีค่าเท่ากบั ขอ้ ใด
ก. 1.39
ข. 1.43
ค. 1.59
ง. 1.67
จ. 1.74
34
32. โคอินซิเดนซ์แฟกเตอร์คืออะไร
ก. ส่วนกลบั ของไดเวอร์ซิติ้แฟกเตอร์
ข. ส่วนกลบั ของโหลดแฟกเตอร์
ค. ส่วนกลบั ของดีมานทแ์ ฟกเตอร์
ง. ส่วนกลบั ของโหลดสูงสุด
จ. ส่วนกลบั ของโหลดเฉลี่ย
33. สมมุติวา่ จ่ายไฟให้กบั โหลด 4 แห่ง แต่ละแห่งมีค่าโหลดสูงสุด 200, 250, 300 และ 500 กิโล
โวลต์แอมป์ ตามลาดบั ถ้าโหลดแต่ละแห่งจ่ายจากหม้อแปลงแต่ละตัวและค่าไดเวอร์ซิต้ี
แฟกเตอร์ของโหลดท้งั กลุ่มเป็น 3.5 จงหาคา่ ของโคอินซิเดนซ์แฟกเตอร์
ก. 0.275
ข. 0.285
ค. 0.295
ง. 0.305
จ. 0.415
34. จากโจทยใ์ นขอ้ 33. จงหาค่าหมอ้ แปลงที่ลดลงจากเดิม
ก. 72.5 เปอร์เซ็นต์
ข. 71.5 เปอร์เซ็นต์
ค. 70.5 เปอร์เซ็นต์
ง. 69.5 เปอร์เซ็นต์
จ. 68.5 เปอร์เซ็นต์
35
เอกสารอ้างองิ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค. ความรู้ทวั่ ไปสาหรับผู้ปฏบิ ัตงิ านสถานีไฟฟ้าย่อย (คร้ังที่ 6). กองควบคุม
เขตจา่ ยกระแสไฟฟ้าฝ่ ายควบคุมระบบกาลงั ไฟฟ้า,2526
ชวลิต ดารงคร์ ัตน์. การส่งจ่ายกาลงั ไฟฟ้า เล่ม 1. กรุงเทพฯ : บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป จากดั , 2541.
ชดั อินทะสี. การส่งและจ่ายกาลงั ไฟฟ้า. กรุงเทพฯ : บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป จากดั , 2540.
โตศกั ด์ิ ทศั นานุตริยะ. การผลติ การส่งและจ่ายไฟฟ้ากาลัง. กรุงเทพฯ : บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป
จากดั , 2540.
บณั ฑิต เอ้ืออาภรณ์. การวเิ คราะห์ระบบไฟฟ้ากาลงั เบือ้ งต้น. กรุงเทพฯ : บริษทั แอคทีฟ พริ้นท์
จากดั , 2547.
ไวพจน์ ศรีธญั . การส่งและจ่ายไฟฟ้า (คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ : บริษทั พี เอน็ เค แอนด์ สกายพริ้นติง้ ส์
จากดั ,2549.
สกล พร้อมวงษ.์ โรงต้นกาลงั . กรุงเทพฯ : เจริญธรรม, 2540.
Saadat, Hadi Power System Analysis. McGRAW-HILL International edition,1999.
http://pr.egat.co.th/prweb/webnews/callcenter/data/Thai_electricity.pdf
http://www.egat.co.th/th/index.php?option=com_content&task=category§ionid=5&id=20&Ite
mid=37
http://www.mea.or.th/menu1_2.htm
http://www.pea.co.th/th/about/aboutPEA_vision.htm
หน่วยที่ 2
อปุ กรณ์และวงจรของระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า
แนวคิด
องคป์ ระกอบระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า เป็นส่วนท่ีทาใหเ้ กิดการถ่ายเทพลงั งานจากส่วนผลิต
และระบบส่งจ่ายซ่ึงประกอบด้วยสถานีไฟฟ้าย่อยตน้ ทางวงจรสายส่งไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าย่อย
จาหน่าย รวมท้งั วงจรระบบจาหน่ายแรงสูงและแรงต่าแบบต่าง ๆ ไปถึงผูบ้ ริโภคอยา่ งมีเสถียรภาพ
และต่อเนื่อง ในส่วนของเสาไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ลกั ษณะประเภทตวั นา อุปกรณ์ป้องกนั วงจรระบบ
สายส่ง อุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อยรวมท้ังอุปกรณ์อื่น ๆ เป็ นส่วนท่ีทาให้การป้องกันดูแล
บารุงรักษาระบบการส่งจ่ายไฟฟ้า มีความปลอดภยั มีความเช่ือถือได้ ความต่อเนื่องของพลงั งาน
ความสม่าเสมอของแรงดนั และความประหยดั
สาระการเรียนรู้
1. ระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า
1.1 สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง
1.2 วงจรระบบสายส่งไฟฟ้า
1.3 สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย
1.4 วงจรระบบจาหน่าย
2. อุปกรณ์ในระบบส่งจ่ายไฟฟ้า
2.1 เสาไฟฟ้า
2.2 สายตวั นา
2.3 อุปกรณ์ป้องกนั วงจรระบบสายส่งและอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้ายอ่ ย
2.4 อุปกรณ์อ่ืนๆ
3. เขตเดินสายไฟฟ้า
ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั
1. ระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า
1.1 บอกแบบการจดั บสั สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง
1.2 อธิบายการทางานการจดั บสั สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง
1.3 เลือกแบบการจดั บสั ไดเ้ หมาะสมกบั การส่งจ่ายไฟฟ้า
1.4 บอกรูปแบบการเช่ือมตอ่ วงจรสายส่ง
1.5 อธิบายการทางานการเช่ือมต่อวงจรสายส่ง
1.6 เลือกรูปแบบการเชื่อมตอ่ วงจรสายส่งไดเ้ หมาะสมกบั การรับส่งไฟฟ้า
36
1.7 บอกแบบการจดั บสั สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย
1.8 อธิบายการทางานการจดั บสั สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย
1.9 เลือกแบบการจดั บสั ไดเ้ หมาะสมกบั การส่งจา่ ยไฟฟ้า
1.10 บอกรูปแบบการจดั วงจรจาหน่ายแรงสูง
1.11 บอกขนาดแรงดนั จาหน่ายแรงสูง และแรงต่า
1.12 เลือกรูปแบบวงจรจาหน่ายท่ีเหมาะสมตามความตอ้ งการการใชพ้ ลงั งาน
2. อุปกรณ์ในระบบส่งจา่ ยไฟฟ้า
2.1 บอกชนิดเสาไฟฟ้า
2.2 แยกชนิดเสาตามขนาด
2.3 บอกชนิดสายตวั นา
2.4 เลือกชนิดสายเหมาะสมกบั พ้ืนท่ีใชง้ าน
2.5 ระบุชื่ออุปกรณ์ป้องกนั วงจรระบบส่งจ่ายไฟฟ้า
2.6 ระบุชื่ออุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้ายอ่ ย
2.7 อธิบายหลกั การทางานอุปกรณ์ป้องกนั วงจรระบบส่งจา่ ยไฟฟ้า
2.8 อธิบายหลกั การทางานอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้ายอ่ ย
2.9 บอกขอ้ ควรระวงั การใชง้ านอุปกรณ์ป้องกนั วงจรระบบสายส่ง
2.10 บอกชนิดอุปกรณ์อ่ืน ๆ ที่ใชร้ ะบบส่งจ่ายไฟฟ้า
2.11 อธิบายหลกั การทางานอุปกรณ์อ่ืน ๆ ที่ใชร้ ะบบส่งจ่ายไฟฟ้า
3. เขตเดินสายไฟฟ้า
3.1 บอกระยะแนวเขตเดินสายที่ระดบั แรงดนั ต่าง ๆ
4. คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์
4.1 ปฏิบตั ิตามกฎระเบียบ ขอ้ บงั คบั และขอ้ ตกลงตา่ ง ๆ ของสถานศึกษา
4.2 มีความรับผดิ ชอบในการอนุรักษพ์ ลงั งาน
4.3 มีความเช่ือมนั่ ในตนเอง
37
1. ระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า
ประกอบดว้ ย
1.1 สถานีไฟฟ้าย่อยต้นทาง เป็ นสถานีรับและจ่ายพลงั งานจานวนมาก ดงั น้นั การจดั บสั
ของสถานีจึงตอ้ งพิถีพิถนั เป็ นพิเศษ เพ่ือให้การจ่ายพลงั งานเป็ นไปอย่างต่อเนื่อง แบบของวงจรที่
ใชก้ บั สถานีตน้ ทางมีใหเ้ ลือกหลายแบบ แต่ละแบบจะแตกตา่ งกนั ท้งั วงจรและราคาคา่ ติดต้งั
ภาพที่ 2.1 สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง
การเลือกแบบเพื่อใชง้ าน ควรพจิ ารณาจากสภาพของงานเป็นสาคญั รูปแบบของการจดั บสั
ท่ีนิยมมี 10 แบบ ดว้ ยกนั แบบการจดั บสั ดงั กล่าว สามารถแทนดว้ ยไดอะแกรมเส้นเดียวไดโ้ ดยถือ
เป็นแมแ่ บบของการจดั วางอุปกรณ์ ซ่ึงมีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี
1.1.1 การจดั วงจรแบบบสั เด่ียว ดงั แสดงในภาพที่ 2.2 เป็นแบบท่ีง่ายและประหยดั
ท่ีสุด แต่มีขอ้ เสียอยทู่ ่ีวา่ ถา้ เบรกเกอร์ประธานหรือเบรกเกอร์ยอ่ ยขดั ขอ้ ง อาจจะตอ้ งดบั ไฟบางส่วน
เพือ่ ถอดเบรกเกอร์ออกซ่อม หรือมิฉะน้นั จะใชส้ วติ ชบ์ ายพาส (bypass switch) ตอ่ ลดั ผา่ นเบรกเกอร์
ที่ถอดซ่อมเป็ นการแกป้ ัญหาชว่ั คราวก็ได้ แต่ในกรณีที่เกิดลดั วงจร (fault) ที่บสั หรือจาเป็นจะตอ้ ง
ถอดเปลี่ยนฉนวนลูกถว้ ยรองรับบสั จะตอ้ งดบั ไฟท้งั สถานีโดยไมม่ ีทางเลือก ดงั น้นั วงจรลกั ษณะน้ี
จึงมีความเช่ือถือต่าและไมน่ ิยมใช้
38
ภาพท่ี 2.2 แสดงการจดั วงจรแบบบสั เดี่ยว
1.1.2 การจดั วงจรแบบบสั แรงสูงตดั ตอน ดงั แสดงในภาพท่ี 2.3 เป็นการพฒั นาวงจร
แบบบสั เด่ียวใหด้ ีข้ึน โดยต่อเบรกเกอร์เชื่อมโยง (tie circuit breaker) เขา้ กบั สายส่งไฟฟ้าท้งั สอง
วงจร การทางานของเบรกเกอร์เช่ือมโยงจะเป็นแบบปกติเปิ ด (normally open) เพ่ือให้สายส่งท้งั สอง
วงจรช่วยกนั จ่ายพลงั งานผา่ นหมอ้ แปลงแตล่ ะตวั ถา้ สายส่งวงจรใดเกิดขดั ขอ้ ง เบรกเกอร์เชื่อมโยง
จะทาหนา้ ที่ต่อวงจรท่ีเหลือเขา้ กบั หมอ้ แปลง ทาใหห้ มอ้ แปลงท้งั สองจ่ายไฟไดต้ ามปกติ ถึงแมว้ า่ จะ
พฒั นาวงจรใหม้ ีความเช่ือถือสูงข้ึนกต็ าม แต่เมื่อเกิดเหตุขดั ขอ้ งข้ึนท่ีบสั ก็จะตอ้ งดบั ไฟท้งั สถานี
เหมือนเดิม
ภาพท่ี 2.3 แสดงการจดั วงจรแบบบสั แรงสูงตดั ตอน
39
1.1.3 การจดั วงจรแบบบสั เด่ียวตดั ตอน ดงั แสดงในภาพที่ 2.4 เป็นการแกป้ ัญหาขอ้
บกปกติของบสั เดี่ยวท่ีตอ้ งดบั ไฟท้งั สถานีเมื่อเกิดเหตุขดั ขอ้ งที่บสั แตก่ รณีน้ีถา้ เกิดเหตุขดั ขอ้ งที่บสั
สามารถตดั บสั ในส่วนที่ขดั ขอ้ งออกไดเ้ ป็นตอนๆ โดยเปิ ดเบรกเกอร์เช่ือมโยง ดงั น้นั ถา้ เกิดลดั วงจร
บนบสั ตอนใด จะไมท่ าใหก้ ารจ่ายไฟหยดุ ชะงกั ท้งั หมด แต่จะหยดุ เพียงบางส่วนเท่าน้นั
ภาพท่ี 2.4 แสดงการจดั วงจรแบบบสั เด่ียวตดั ตอน
1.1.4 การจดั วงจรแบบบสั ประธานและบสั โอน การจดั บสั แบบน้ีคลา้ ยคลึงกบั แบบ
บสั เดี่ยว เพยี งแตเ่ พ่ิมบสั โอน เบรกเกอร์เช่ือมโยง และสวติ ช์ปลดวงจรเขา้ ไปเทา่ น้นั ซ่ึงจะมีราคา
เพมิ่ ข้ึนอีกเล็กนอ้ ย แตค่ วามคล่องตวั และความเชื่อถือของระบบจะสูงข้ึนอีกมาก การจดั บสั แบบน้ี
เป็นแบบที่ไดร้ ับความนิยมสูงมากแบบหน่ึง
ภาพท่ี 2.5 แสดงการจดั วงจรแบบบสั ประธานและบสั โอน
40
จากวงจรตามภาพที่ 2.5 จะเห็นว่า ถ้าตอ้ งการตรวจซ่อมเบรกเกอร์ย่อยชุดใด
ชุดหน่ึงสามารถทาไดโ้ ดยการจ่ายไฟผา่ นเบรกเกอร์เชื่อมโยงไปสู่บสั โอนและยอ้ นกลบั มาทางสวติ ช์
ปลดวงจรไดอ้ ีกวิธีหน่ึง ซ่ึงขณะน้ีเบรกเกอร์เชื่อมโยงจะทาหน้าที่ป้องกนั แทนเบรกเกอร์ยอ่ ยตวั ท่ี
ปลดออกไปซ่อม อยา่ งไรก็ตามหากเกิดเหตุขดั ขอ้ งหรือจาเป็ นตอ้ งซ่อมบสั ประธานก็ยงั คงตอ้ งดบั
ไฟท้งั สถานีเหมือนเดิม หากแต่วา่ การลดั วงจรแบบน้ีสามารถส่งพลงั งานผา่ นทางสวติ ช์ปลดวงจรได้
อีกวธิ ีหน่ึง โดยไม่มีระบบป้องกนั และสามารถแกป้ ัญหา การส่งพลงั งานที่จะตอ้ งหยดุ ชะงกั ลงได้
หมายเหตุ บสั โอนและบสั ประธานคือบสั ชนิดเดียวกนั แต่ทาหนา้ ท่ีต่างกนั ส่วนเบรกเกอร์เช่ือมโยง
ในกรณีน้ีคือเบรกเกอร์ยอ่ ย แตท่ าหนา้ ท่ีเป็นเบรกเกอร์สารองของวงจรนน่ั เอง
1.1.5 การจดั วงจรแบบบสั ประธานคูแ่ ละบสั โอน จากวงจรดงั ภาพที่ 2.6 มีลกั ษณะ
คลา้ ยกบั วงจรในภาพท่ี 2.5 เพยี งแต่มีบสั ประธานเพิม่ ข้ึนมาอีก 1 ชุด การจดั วงจรแบบน้ีจะใชไ้ ดเ้ ม่ือ
มีสายส่งไฟฟ้าอยา่ งนอ้ ย 2 วงจร โดยแยกการจา่ ยพลงั งานใหก้ บั บสั ประธานวงจรละบสั การจดั วงจร
แบบน้ีถึงแมว้ า่ จะมีเหตุขดั ขอ้ งบนสายส่งวงจรใดกต็ ามก็จะไม่เกิดไฟดบั เพราะสามารถถ่ายเท
พลงั งานจากบสั หน่ึงไปอีกบสั หน่ึงไดโ้ ดยผา่ นทางเบรกเกอร์เชื่อมโยงตวั ที่ 1 และในกรณีท่ีตอ้ งการ
ตรวจซ่อมเบรกเกอร์ยอ่ ยชุดใดชุดหน่ึง และยอ้ นกลบั ทางสวติ ชป์ ลดวงจรไดเ้ ช่นเดียวกนั วงจรแบบ
น้ีจะมีความคล่องตวั และความเชื่อถือสูง ใกลเ้ คียงกบั บสั ประธานและบสั โอน แตม่ ีราคาแพงกวา่
1
1
2
ภาพที่ 2.6 แสดงการจดั วงจรแบบบสั ประธานคู่และบสั โอน
41
1.1.6 การจดั วงจรแบบบสั คู่เบรกเกอร์เด่ียว วงจรแบบบสั คูเ่ บรกเกอร์เด่ียว ดงั แสดงใน
ภาพท่ี 2.7 เป็นแบบที่มีการลงทุนต่า แต่มีความเช่ือถือสูง ตามปกติจะช่วยกนั จา่ ยท้งั สองบสั แตถ่ า้
ไฟจากสายส่งชุดใดขาดหายไป 1 วงจร หรือตอ้ งการตรวจซ่อมบสั ก็สามารถทาไดโ้ ดยการถ่ายโอน
พลงั งานมายงั อีกบสั หน่ึงโดยไมต่ อ้ งดบั ไฟ แต่ถา้ จะซ่อมเบรกเกอร์ยอ่ ยบางตวั อาจจะตอ้ งดบั ไฟเป็ น
บางสาย หรือถา้ ใชส้ วติ ช์บายพาสช่วยตอ่ ชวั่ คราวโดยไมม่ ีอุปกรณ์ป้องกนั ก็สามารถทาได้
1
2
ภาพท่ี 2.7 แสดงการจดั วงจรแบบบสั คูเ่ บรกเกอร์เดี่ยว
1.1.7 การจดั วงจรแบบบสั คู่เบรกเกอร์คู่ ดงั แสดงในภาพท่ี 2.8 มีเบรกเกอร์ 2 ชุด ต่อ
อยกู่ บั บสั ท้งั 2 ดา้ น พลงั งานท่ีรับเขา้ มาจากสายส่งไฟฟ้าสามารถจา่ ยไฟไปยงั บสั ใดก็ได้ ดงั น้นั ถา้
เบรกเกอร์ดา้ นใดดา้ นหน่ึงเกิดขดั ขอ้ งจึงสามารถถอดออกซ่อมไดโ้ ดยไมต่ อ้ งตดั ไฟ วงจรแบบน้ีจึงมี
ความคล่องตวั และความน่าเชื่อถือสูงมาก เหมาะสาหรับสถานีไฟฟ้ายอ่ ยขนาดใหญ่และสาคญั มากๆ
42
1
2
ภาพที่ 2.8 แสดงการจดั วงจรแบบบสั คู่เบรกเกอร์คู่
1.1.8 การจดั วงจรแบบเบรกเกอร์คร่ึง ดงั แสดงในภาพที่ 2.9 เป็นวงจรที่คลา้ ยกบั วงจร
ของบสั คูเ่ บรกเกอร์คู่ หากแต่วา่ ใชเ้ บรกเกอร์ 3 ชุดตอ่ 2 วงจร จึงเรียกการต่อแบบน้ีวา่ แบบเบรกเกอร์
คร่ึง ถา้ เกิดเหตุขดั ขอ้ งท่ีบสั หรือที่เบรกเกอร์กส็ ามารถถอดซ่อมไดโ้ ดยไมต่ อ้ งดบั ไฟ วงจรแบบน้ีจึง
มีความคล่องตวั และน่าเชื่อถือมาก และเป็นวงจรที่ไดร้ ับความนิยมมากแบบหน่ึง
1
2
ภาพท่ี 2.9 แสดงการจดั วงจรแบบเบรกเกอร์คร่ึง
43
1.1.9 การจดั วงจรแบบบสั วงจรเดี่ยวตดั ตอน การจดั วงจรแบบน้ีมีขอ้ ไดเ้ ปรียบแบบอื่น
ตรงที่ใชจ้ านวนเบรกเกอร์นอ้ ยลง กล่าวคือจะใชเ้ บรกเกอร์เฉล่ีย 1 ตวั ต่อ 1 วงจร และสายส่งไฟฟ้า
ยอ่ ยแต่ละวงจรสามารถรับการจ่ายไฟไดท้ ้งั 2 ทาง ดงั แสดงในภาพท่ี 2.10 จึงทาใหว้ งจรมีความ
เช่ือถือสูง ถา้ เบรกเกอร์ตวั ใดตวั หน่ึงเกิดขดั ขอ้ งกส็ ามารถถอดออกซ่อมไดท้ นั ทีโดยไมก่ ระทบ
กระเทือน การจา่ ยโหลด ตามปกติวงจรท่ีรับการจ่ายไฟท้งั 2 ทาง จะมีแรงดนั ตกในสายต่า ทาให้
ระดบั แรงดนั สม่าเสมอ แตถ่ า้ เกิดฟอลตท์ ่ีใดก็จะไดร้ ับกระแสจากท้งั 2 ทาง ทาใหร้ ะดบั ฟอลต์ (fault
level) สูง
ภาพท่ี 2.10 แสดงการจดั วงจรแบบบสั วงจรเด่ียวตดั ตอน
1.1.10 การจดั วงจรแบบบสั วงจรคูต่ ดั ตอน จากภาพที่ 2.11 จะสังเกตเห็นไดว้ า่ การจดั บสั แบบ
น้ีเป็นแบบผสมระหวา่ งแบบบสั คู่เบรกเกอร์คู่กบั แบบบสั เดี่ยวตดั ตอน ดงั น้นั จึงเป็ นการรวม
คุณลกั ษณะ 2 แบบเขา้ ดว้ ยกนั กล่าวคือเป็นแบบที่มีความเช่ือถือไดส้ ูงมาก มีความคล่องตวั ในการ
ปฏิบตั ิงาน แตม่ ีราคาแพง (ชวลิต ดารงคร์ ัตน์. 2541,86-93)
จากรูปแบบการจดั บสั ในสถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทางเป็นถานท่ีท่ีจะตอ้ งรับพลงั งานจากใน
ส่วนของการผลิต หรือเช่ือมโยงกบั แหล่งผลิตอื่น ๆ และส่งตอ่ ไปยงั สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย ซ่ึงมี
พลงั งานจานวนทากจึงจาเป็นตอ้ งเลือกรูปแบบการจดั บสั ของสถานีไฟฟ้าตน้ ทางในการออกแบบ
เพ่ือใหม้ ีพลงั งานถึงผใู้ ชไ้ ฟปลายทางอยา่ งตอ่ เนื่อง เชื่อถือได้ มีเสถียรภาพ ปลอดภยั ระดบั แรงดนั
สม่าเสมอ และมีความคลอ้ งตวั ในการดูแลบารุงรักษา
44
ภาพท่ี 2.11 แสดงการจดั วงจรแบบบสั วงจรคู่ตดั ตอน
1.2 วงจรระบบสายส่งไฟฟ้า หรือสายส่งไฟฟ้ายอ่ ย เป็นสายส่งท่ีเชื่อมต่อระหวา่ งสถานี
ไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทางกบั สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่ายหรือเช่ือมต่อระหวา่ งสถานีไฟฟ้ายอ่ ยกบั สถานีไฟฟ้า
ยอ่ ยเขา้ ดว้ ยกนั ซ่ึงมีท้งั ระบบเหนือศีรษะและระบบใตด้ ิน มีรูปแบบการเชื่อมตอ่ ไดด้ งั น้ี
1.2.1 แบบเรเดียล (radial) เป็นการจ่ายพลงั งานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตตน้ ทางเพียงดา้ น
เดียวและเป็นการจดั รูปแบบวงจรสายส่งที่ง่ายและธรรมดาที่สุด มีความน่าเช่ือถือต่า ดงั ภาพท่ี 2.12
เนื่องจากถา้ หากเกิดฟอลต์ (fault ) หรือความผดิ ปกติ ข้ึนที่บสั ของสถานียอ่ ยตน้ ทางจะทาใหส้ ถานี
ไฟฟ้ายอ่ ยปลายทาง หรือจาหน่าย ดบั ท้งั หมด การต่อวงจรวธิ ีน้ีจึงไม่นิยมใช้
ภาพที่ 2.12 แสดงการจดั วงจรสายส่งไฟฟ้าแบบเรเดียล
45
1.2.2 แบบลูป (loop) เป็นการส่งกาลงั ไฟฟ้าจากบสั ของสถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทางเขา้ สู่
สถานีไฟฟ้ายอ่ ยระบบจาหน่ายของแตล่ ะสถานี จากน้นั จะกลบั มาท่ีเดิม ดงั ภาพที่ 2.13จากวงจร
จะเห็นวา่ ถา้ หากเกิดความผดิ ปกติ (fault) ข้ึนที่สายส่งไฟฟ้ายอ่ ย 1 กย็ งั คงมีไฟฟ้าใชจ้ ากสายส่ง
ไฟฟ้ายอ่ ย2แต่ถา้ หากเกิดความผดิ ปกติข้ึนที่บสั ของสถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทางไฟฟ้าจะดบั ท้งั หมด
12
1
12
ภาพที่ 2.13 แสดงการจดั วงจรสายส่งไฟฟ้าแบบลูป
จากขอ้ เสียของการต่อจากสถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทางเพียงสถานีเดียวดงั กล่าวขา้ งตน้
เราสามารถปรับปรุงใหด้ ีข้ึนดว้ ยการต่อเป็นระบบลูปที่มีการจา่ ยพลงั งานไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายจานวน
2 แห่งคือต่อ เบรกเกอร์ยอ่ ย 1 เขา้ กบั บสั ของสถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทางท่ี 1 และตอ่ เบรกเกอร์ยอ่ ย 2
เขา้ กบั บสั ของสถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทางท่ี 2 อยา่ งไรกต็ าม การตอ่ แบบน้ีกระแสความผดิ ปกติจะสูง
เน่ืองจากอิมพแี ดนซ์ของระบบมีคา่ ต่า
1.2.3 แบบเนตเวริ ์ก (network)เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ แบบตาขา่ ย เน่ืองจากเป็นการ
เชื่อมต่อเช่ือมโยงระหวา่ งสายส่งไฟฟ้ายอ่ ยจากหลาย ๆ สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง ดงั ภาพที่ 2.14
(ไวพจน์ ศรีธญั . 2549 ,12-14)
46
12
12
34
34
ภาพท่ี 2.14 แสดงการจดั วงจรสายส่งไฟฟ้าแบบเนตเวริ ์ก
1.3 สถานีไฟฟ้าย่อยจาหน่าย เป็ นสถานีที่เชื่อมต่อระหว่างระบบส่งไฟฟ้ากับระบบ
จาหน่าย การจดั บสั ของสถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่ายน้นั เหมือนกบั การจดั บสั ของสถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง
ดังท่ีกล่าวมาแล้ว เพียงแต่แรงดันทางเข้าเป็ นแรงดันของสายส่งไฟฟ้าย่อย และแรงดันทาง
ออกเป็ นแรงดันของสายป้อนแรงสู ง ที่สถานีไฟฟ้าย่อยจาหน่ายน้ี นอกจากจะแปลง
แรงดนั ไฟฟ้าให้ต่าลงแลว้ ยงั เป็ นจุดท่ีใชค้ วบคุมแรงดนั ใหค้ งท่ีก่อนส่งไปยงั ระบบจาหน่ายอีกดว้ ย
ในการออกแบบจะข้ึนอยกู่ บั มาตรฐานและประสบการณ์ของการไฟฟ้าแตล่ ะแห่ง และจะ
ภาพท่ี 2.15 แสดงสถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย
47
ประกอบดว้ ยอุปกรณ์ไฟฟ้าคือ หมอ้ แปลงกาลงั เบรกเกอร์ สวติ ช์ตดั ตอนอุปกรณ์ประกอบเคร่ืองวดั
ระบบป้องกนั และควบคุม เครื่องล่อฟ้า และอุปกรณ์ดกั สัญญาณสื่อสาร
การควบคุมแรงดนั ใหค้ งที่สามารถทาได้ 2 วธิ ี คือ เปลี่ยนแทป็ หมอ้ แปลงหรือปรับปรุงตวั
ประกอบกาลงั (power factor ) ของระบบ หมอ้ แปลงที่ใชก้ บั สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่ายมกั เป็นแบบ
เปลี่ยนแทป็ ไดโ้ ดยอตั โนมตั ิขณะมีโหลด (on load tap change ) หรืออาจเป็ นแบบเปลี่ยนแทป็
ขณะปลดโหลด (off load tap change) กไ็ ด้ สาหรับการปรับปรุงตวั ประกอบกาลงั น้นั
นอกจากจะทาใหต้ วั ประกอบกาลงั ของระบบลา้ หลงั แรงดนั จะตกมาก ซ่ึงในกรณีน้ีสามารถแกไ้ ข
ไดโ้ ดยการสับคาปาซิเตอร์แบงค์ (capacitor bank) เขา้ ไปช่วยจะทาใหท้ ้งั ตวั ประกอบกาลงั และ
แรงดนั ท่ีบสั สูงข้ึน แต่ถา้ กรณีที่โหลดเบา (light load) หรือไมม่ ีโหลด (no load) คา่ ความจุไฟฟ้า
ของสายส่งผลใหต้ วั ประกอบกาลงั ของระบบเป็นชนิดนาหนา้ และแรงดนั จะสูงกวา่ พกิ ดั มาก การ
แกไ้ ขแรงดนั สูงเกินทาไดโ้ ดยสับรีแอคเตอร์ขนาน (shunt reactor) เขา้ ไปช่วย จะทาใหต้ วั
ประกอบกาลงั สูงข้ึนและแรงดนั ลดลงได้ ในการควบคุมแรงดนั ของสายวงจรขนานหรือวงจรคู่
(double circuit) อาจใชว้ ธิ ีปลดหรือสบั สายเขา้ หรือออก 1 วงจร ก็จะช่วยใหแ้ รงดนั ที่บสั
เปล่ียนแปลงไดเ้ ช่นกนั
หนา้ ที่และการทางานของสถานีเปลี่ยนแรงดนั พอสรุปไดด้ งั น้ี คือ
1. เปล่ียนระดบั แรงดนั ให้เหมาะสม และรักษาแรงดนั ใหค้ งท่ี ก่อนส่งไปยงั ระบบ
อื่น ถา้ อยใู่ นบริเวณแหล่งกาเนิดไฟฟ้าเรียกวา่ ลานไกไฟฟ้า (switch yard) ถา้ อยรู่ ะหวา่ งสายส่ง
ไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้ายอ่ ยเรียกวา่ สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง (bulk power substation) แต่ถา้ อยใู่ กล้
ระบบจาหน่ายเรียกวา่ สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย (distribution substation)
2. เป็นศูนยก์ ลางในการเช่ือมระบบแรงดนั สูง กบั ระบบแรงดนั ต่าเขา้ ดว้ ยกนั และ
นาพลงั งานเขา้ หรือออกจากระบบ
3. เป็นจุดติดต้งั เคร่ืองมือวดั อุปกรณ์ตดั ตอน อุปกรณ์ควบคุมและป้องกนั
4. เป็นจุดเชื่อมโยงระบบส่ือสารและโทรมาตร (telemetering)
1.4 วงจรระบบจาหน่าย หรือสายป้อน(primary feeder) เป็นสายที่ส่งออกมาจากสถานี
ไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่ายที่ระดบั แรงดนั 11 kV,22 kV,33 kV (กฟภ.)หรือ 12 kV,24 kV (กฟน.) เพ่อื
จาหน่ายใหก้ บั ผใู้ ชไ้ ฟรายใหญ่ เช่น ภาคอุตสาหกรรม สถานศึกษา โรงพยาบาล ซ่ึงผใู้ ชไ้ ฟดงั กล่าว
ตอ้ งจดั แบบวงจรท่ีจะใชก้ บั สายป้อนและแปลงแรงดนั เอง ส่วนผใู้ ชไ้ ฟรายยอ่ ยจะผา่ นหมอ้ แปลง
ระบบจาหน่าย และสายจาหน่ายแรงต่า (secondary feeder) ซ่ึงมีแรงดนั ใชง้ านขนาด 220 V สาหรับ
1 เฟสและ 380 V สาหรับ 3 เฟส รูปแบบวงจรระบบจาหน่าย แบง่ เป็นแบบใหญ่ ๆ ได้ 3รูปแบบคือ
1.4.1 แบบเรเดียล (radial)แบ่งยอ่ ย ๆ ออกเป็น 3 แบบ คือ
48
1) แบบทวั่ ไป ดงั แสดงในภาพท่ี 2.16 สายป้อนหลกั จะต่อเชื่อมเขา้ กบั
สถานีไฟฟ้ายอ่ ยระบบจาหน่ายเพียงสถานีเดียว ถา้ หากเกิดขดั ขอ้ งไฟจะดบั ท้งั หมด วงจรแบบน้ี
ส่วนมากจะใชก้ บั ยา่ นชุมชนไม่มากนกั หรือตรอกซอยต่าง ๆ
ภาพที่ 2.16 แสดงสายป้อนแบบเรเดียลแบบทวั่ ไป
2) แบบต่อเชื่อมในสภาวะฉุกเฉิน หมายถึงเราสามารถปลดสายป้อน
ส่วนท่ีมีปัญหาออกจากระบบเพื่อทาการซ่อมแซม นอกจากน้ียงั สามารถใช้สวิตช์ต่อเชื่อมเขา้ กบั
สายป้อนวงจรอื่นท่ีอยูใ่ กลเ้ คียง เพ่ือใหจ้ ่ายไฟฟ้าแทนเป็นการชว่ั คราว จนกระทง่ั ไดท้ าการแกไ้ ข
เรียบร้อยแลว้ จึงคอ่ ยปรับเปล่ียนระบบการจ่ายไฟฟ้าเขา้ สู่สภาวะปกติตอ่ ไป ดงั ภาพที่ 2.17
tie
tie tie tie
tie Tir = tie
tie
ภาพท่ี 2.17 แสดงสายป้อนแบบเรเดียลแบบต่อเชื่อมในสภาวะฉุกเฉิน
3) แบบเช่ือมต่อดว้ ยอุปกรณ์ตดั ตอนอตั โนมตั ิ ลกั ษณะดงั ภาพท่ี 2.18
ในภาวะปกติสายป้อนหลกั X , Y จะจ่ายไฟฟ้าดว้ ยแบบเรเดียลธรรมดา เนื่องจากอุปกรณ์ตดั ตอน
อตั โนมตั ิ (Automatic Reclosing Sectionalizer : ARS ) C อยใู่ นสภาวะเปิ ดวงจรคา้ งไว้ แต่ถา้ หาก
49
เกิดความผดิ ปกติ จะมีการส่ังปลดความผิดปกติออกจากระบบ จากน้นั จะต่อเช่ือมเขา้ กบั สายป้อน
หลกั อีกดา้ นหน่ึงโดยอตั โนมตั ิ จากวงจรถา้ เกิดความผิดปกติท่ีสายป้อนตาแหน่ง X2 มีการส่ังปลด
ARS (A) และ (B)เพ่ือปลดสายป้อน X2 ออกจากวงจร จากน้นั จะสับอุปกรณ์ตดั ตอนอตั โนมตั ิ (C)
เพ่ือให้สายป้อนหลกั Y จ่ายไฟให้ X3 แทน ดงั น้ันสายป้อนหลกั X จะจ่ายให้เฉพาะส่วนของ X1
เทา่ น้นั
XY
X1
A X2 E
A D
X3
C
ภาพท่ี 2.18 แสดงแบบเชื่อมตอ่ ดว้ ยอุปกรณ์ตดั ตอนอตั โนมตั ิ
1.4.2 แบบลูป (loop) หรือ วงแหวน (ring)เป็นการปรับปรุงรูปแบบการจา่ ย
พลงั งานไฟฟ้าใหด้ ีกวา่ แบบเรเดียล ดงั ภาพที่ 2.19 สายป้อนหลกั ออกจากสถานีไฟฟ้ายอ่ ยเพ่ือจา่ ย
ใหก้ บั พ้ืนที่ของโหลด จากน้นั ยอ้ นกลบั สู่บสั สถานีไฟฟ้ายอ่ ย ถา้ หากเกิดความผดิ ปกติข้ึนท่ีส่วน
หน่ึงส่วนใดของลูป เซอร์กิตเบรกเกอร์ท่ีสถานีไฟฟ้ายอ่ ยจะตดั วงจรทนั ที ส่งผลใหไ้ ฟฟ้าดบั ท้งั
ลูป การซ่อมแซมทาไดโ้ ดยการปลดสวติ ช์ตดั ตอนหวั และทา้ ยของลูปท่ีเกิดความผิดปกติออกจาก
ระบบ หลงั จากน้นั จึงค่อยต่อวงจรเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่สถานีไฟฟ้ายอ่ ยอีกคร้ัง เพ่อื จ่ายไฟฟ้า
ใหก้ บั ลูปส่วนที่เหลืออยู่ อยา่ งไรก็ตาม เราสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของการจา่ ยไฟฟ้าใหก้ บั
โหลดดว้ ยลูปสายป้อนท่ีออกจากหมอ้ แปลงตา่ งเครื่องกนั หรือลูปสายป้อนหลกั จากสถานีไฟฟ้า
ยอ่ ยแยกเป็นอิสระต่อกนั
ภาพที่ 2.19 แสดงสายป้อนแบบลูปหรือ วงแหวน
1250
4 1.4.3 แบบเนตเวริ ์ก (network) การจดั วงจรแบบน้ีใหค้ วามเช่ือถือไดด้ ีที่สุด
แต่การลงทุนคา่ ใชจ้ ่ายสูงกวา่ แบบเรเดียลและแบบลูป อยา่ งไรกต็ าม เราสามารถทาไดห้ ลาย
รูปแบบ แตล่ ะแบบมีความซบั ซอ้ นตา่ งกนั การออกแบบวงจรเพอ่ื ใชง้ านในแตล่ ะพ้ืนที่จึงข้ึนอยกู่ บั
องคป์ ระกอบหลายอยา่ ง เช่น
1. ตน้ ทุนการผลิต
2. ความสม่าเสมอของแรงดนั
3. ความตอ่ เน่ืองในการจา่ ยพลงั งาน
4. มีศกั ยภาพในการรับโหลดท่ีเพ่ิมข้ึนเกินพิกดั ของหมอ้ แปลงได้
ทนั ทีทนั ใดหรือไม่
5
3
ภาพที่ 2 .20 แสดงสายป้อนแบบเนตเวริ ์ก
2. อุปกรณ์ในระบบส่งจ่ายไฟฟ้า
ประกอบดว้ ย
2.1 เสาไฟฟ้า (pole) เป็ นส่วนประกอบหลกั ที่ใช้ในการเดินสายเหนือศีรษะ ตามปกติจะ
ใช้เสาไฟฟ้าเป็ นตวั ยกระดบั สายให้สูงจากพ้ืนดิน จนมีความสูงปลอดภัยจากส่ิงมีชีวิต ขนาดและ
ความสูงของเสามกั ออกแบบให้สัมพนั ธ์กบั ขนาดแรงดึงของสายและระดบั แรงดนั ใชง้ านดว้ ย เสา
ไฟฟ้านอกจากจะใชส้ าหรับพาดสายแลว้ ในบางคร้ังยงั ใช้สาหรับติดต้งั อุปกรณ์ไฟฟ้าบางอยา่ ง
51
อีกดว้ ย เช่น หมอ้ แปลงไฟฟ้า มาตรวดั วตั ตช์ วั่ โมง และโคมแสงสว่าง เป็ นตน้ เสาไฟฟ้าอาจแบ่ง
ตามชนิดของวสั ดุออกไดเ้ ป็น 3 ประเภทดว้ ยกนั คือ
2.1.1 เสาไม้ (Wood poles) ในอดีตเสาไมเ้ ป็ นวสั ดุหาง่าย ราคาถูก จึงนิยมใชก้ นั
มาก สามารถใช้เป็ นเสาส่งแรงสูงขนาด 69 kV และ 115 kV ได้ แต่เสาไมจ้ ะมีอายุการใช้งานไม่
นานนกั เนื่องจากมีปัญหาผุที่โคนเสาและหวั เสา การอาบน้ายาครีโอโซต (creosote) ให้กบั เสาก็จะ
ช่วยยดื อายกุ ารใชง้ านของเสาออกไปไดบ้ า้ ง แต่ในปัจจุบนั เสาไมเ้ ป็ นวสั ดุท่ีหายากและมีราคาแพง
ดงั น้นั การติดต้งั เสาใหมจ่ ึงไม่นิยมใชเ้ สาไมอ้ ีก แตใ่ ชเ้ สาไมเ้ ฉพาะการติดต้งั ชว่ั คราวเทา่ น้นั
ภาพท่ี 2.21 แสดงเสาไม้
2.1.2 เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก (Concrete poles) ที่ใช้ในปัจจุบนั เป็ นชนิดคอนกรีต
อัดแรง (prestress concrete) มีคุณสมบัติในการรับแรงบิดโค้ง (bending moment) สู งมาก เสา
คอนกรีตจะแยกตามขนาดแรงดนั คือ เสาคอนกรีตแรงดนั สูง ใช้กบั สายส่งแรงสูง 69 kV 115 kV
ความสูง 20 , 22 เมตร เสาคอนกรีตแรงดนั ปานกลาง ใชก้ บั ระบบจาหน่ายแรงสูง 12 kV , 22
kV , 24 kV 33 kV ความสูง 12 เมตร , 14 เมตร, 16 เมตร และเสาคอนกรีตแรงต่าใชก้ บั แรงดนั
220/380 V ความสูง 6 เมตร, 8 เมตร, 8.5 เมตร , 10 เมตร, 10.5 เมตร
ภาพที่ 2.22 แสดงเสาคอนกรีตเสริมเหลก็
52
2.1.3 เสาโครงเหล็ก (Steel Tower) เป็ นเสาไฟฟ้าที่มีความแข็งแรงมาก ทาดว้ ย
เหล็กฉากประกอบเขา้ ดว้ ยกนั มีความสูงไม่ต่ากวา่ 10 เมตร และเสาโครงเหล็กจะมีฐานต้งั อยบู่ นพ้ืน
หลายจุด โดยปกติแลว้ จะมีฐาน 4 ขา ต้งั อยู่บนพ้ืนฐานรากที่แข็งแรง ใชก้ บั แรงดนั ต้งั แต่ 69 kV
ถึง 500 kV โดยแบ่งตามรูปร่างทาง สถาปัตยกรรมไดห้ ลายรูปแบบ เช่น แบบส่ีเหล่ียมต่าง ๆ แบบ
คอร์เซต (corset tower) แบบหมุน(rotation tower) แบบเอม็ ซี (MC tower) เป็นตน้
ภาพท่ี 2.23 แสดงเสาโครงเหล็ก
2.2 สายตัวนา (conductor) เป็ นส่วนประกอบที่สาคัญ ของระบบส่งจ่ายไฟฟ้าจาก
โรงไฟฟ้า (power plant) ไปยงั สถานีไฟฟ้าย่อย (sub-station) และจาหน่ายให้แก่ผูใ้ ช้ (load) ใน
ลาดบั สุดทา้ ย สาหรับตวั นาที่ใช้ทาสายไฟฟ้าระบบส่งจ่ายไฟฟ้า จะพิจารณาคุณภาพทางไฟฟ้า
เช่น สภาพการนาไฟฟ้า และราคาประกอบ เป็ นตน้ ซ่ึงการไฟฟ้าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทยได้
เลือกใช้สายอะลูมิเนียมเป็ นสายไฟฟ้าแรงสูง เน่ืองจากมีราคาถูกกว่า ทองแดง เงิน และมี
น้าหนกั เบากวา่ มี 2 แบบคือ
2.2.1 สายหุ้มฉนวน (insulated wire) ท่ีใช้กบั ระบบจาหน่ายแรงสูงเรียกว่า สาย
เคเบิ้ลอากาศ วสั ดุฉนวนจะเป็ นชนิดพิเศษ (XLPE : Cross Linked polyethylene ) โดยยึดเกาะไปกบั
สายรองน้าหนกั ท่ีเรียกวา่ สายเมสเชนเจอร์ ( messenger ) หรือสายสะพาน
2.2.2 สายอะลูมิเนียมเปลือยแบง่ ออกไดเ้ ป็น 4 ประเภทคือ
1) สายอะลูมิเนี ยมล้วน (All Aluminium Conductor ; AAC) เป็ นสาย
อะลูมิเนียม ตีเกลียวเป็ นช้ันๆ ทนแรงดึงได้ต่ากว่าสายอะลูมิเนียมแกนเหล็กตามมาตรฐาน
อุตสาหกรรมไทย (TIS) สาย AAC เป็ นอะลูมิเนียมรีดแข็งขนาดพ้ืนที่หน้าตดั 16 mm2 ถึง 1,000
mm2
53
อะลูมิเนียมรีดแขง็
ภาพท่ี 2.24 แสดงสายอะลูมิเนียมลว้ น
2) สายอะลูมิเนี ยมผสม (All Aluminium Alloy Conductor ; AAAC) มี
ส่วนผสมของอะลูมิเนียม 99 % แมกนีเซียม 0.5 % และซิลิกอน 0.5% ส่วนผสมของแมกนีเซียม
และซิลิกอนดงั กล่าวจะทาใหส้ ายชนิดน้ี มีความแขง็ แรงทนแรงดึงไดส้ ูงกวา่ สายอะลูมิเนียมลว้ น
และแมกนีเซียมยงั ทนทานตอ่ การกดั กร่อนของไอเกลือหรือไอความเคม็ ของน้าทะเลได้
ภาพที่ 2.25 แสดงสายอะลูมิเนียมผสม
3) สายอะลูมิเนียมแกนเหล็ก (Aluminium conductor Steel Reinforced ;
ACSR) สายชนิดน้ีจะประกอบดว้ ย ตวั นาอะลูมิเนียมตีเกลียวเป็ นช้นั ๆ ภายในประกอบดว้ ยแกน
เหล็กซ่ึงเป็นเหล็กกลั วาไนซ์ (galvanized steel) ชนิดตนั แท่งเดียว และชนิดแท่งเหล็กหลายเส้น
ตีเกลียว เฉพาะตวั นาอะลูมิเนียมเป็ นอะลูมิเนียมรีดแข็งมีพ้ืนท่ีหน้าตดั ตามมาตรฐานไทย (TIS)
ต้งั แต่ 16 mm2 ถึง 680 mm2 ส่วนแกนเหลก็ มีพ้นื ท่ีหนา้ ตดั ต้งั แต่ 2.5 mm2 ถึง 85 mm2
แกนเหลก็ กลั วาไนซ์ อะลูมิเนียมรีดแขง็
ภาพที่ 2.26 แสดงสายอะลูมิเนียมแกนเหล็ก
54
4) สายอะลูมิเนียมเสริมอัลลอย (Aluminium Conductor Alloy Reinforce ;
ACAR) โดยมีแกนกลางเป็ นโลหะผสมที่เรียกว่า อลั ลอย สายชนิดน้ีจะมีลักษณะเหมือนสาย
อะลูมิเนียมแกนเหลก็ แตร่ ับแรงดึงไดน้ อ้ ยกวา่
แกนอลั ลอย อะลมู ิเนียมรีดแขง็
ภาพท่ี 2.27 แสดงสายอะลูมิเนียมเสริมอลั ลอย
2.3 อปุ กรณ์ป้องกนั วงจรระบบสายส่งและอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย เมื่อกล่าวถึงอุปกรณ์
ป้องกนั ระบบสายส่งและอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้ายอ่ ย ใหห้ มายความรวมถึงอุปกรณ์ท่ีใชใ้ น ลานไก
สถานีไฟฟ้ายอ่ ย สายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซ่ึงประกอบดว้ ยอุปกรณ์หลกั ๆ คือ
2.3.1 เพาเวอร์เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Power Circuit Breaker) เป็นอุปกรณ์ที่ใชก้ ลไก
เคลื่อนท่ีตดั ต่อวงจรไฟฟ้า (mechanical switching device) โดยสามารถต่อใหก้ ระแสไหลผา่ น
(carrying) ขณะมีโหลดในเวลาท่ีกาหนด และ ตดั กระแส (breaking) ในขณะที่ปกติ และเกิดสิ่ง
ผดิ ปกติในวงจร เช่น เกิดลดั วงจร ชนิดท่ีนิยมกบั ไฟฟ้าแรงสูง หรือใชใ้ นสถานีไฟฟ้ายอ่ ยแบง่ ตาม
วธิ ีการดบั อาร์ก ไดแ้ ก่
1) Air Blast Circuit Breaker (ABB) แบบน้ีจะใชว้ ธิ ีการอดั ลมความดนั สูงเกบ็
ไวท้ ่ีถงั เก็บความดนั ซ่ึงเรียกวา่ อินเตอร์รัพเตอร์ (interrupter)โดยจะทาการพน่ อากาศที่หนา้ สมั ผสั
ของเบรกเกอร์ขณะที่หนา้ สัมผสั (contact) ต่อ หรือ ตดั วงจรไฟฟ้า จะเป็ นการดบั อาร์กในจงั หวะท่ี
แน่นอน ภาพที่ 2.28 แสดงลษั ณะภาพและภาพตดั ของเซอร์กิตเบรกเกอร์แบบอดั อากาศ
ภาพท่ี 2.28 แสดง Air Blast Circuit Breaker ขนาด 1200 A 3-pole 115,000 V
ท่ีมา : http://en.wikipedia.org/wiki/Circuit_breaker
55
2) Oil Circuit Breaker (OCB) แบบน้ีจะใชน้ ้ามนั ช่วยในการดบั อาร์กโดยจะมี
หนา้ สัมผสั (contact) จุ่มอยใู่ นน้ามนั การใชง้ านสามารถติดต้งั ท้งั ภายในสถานียอ่ ยไฟฟ้าและนอก
อาคาร การบารุงรักษาตอ้ งตรวจ ระดบั น้ามนั คา่ ความตา้ นทานน้ามนั สภาพสายไฟฟ้าที่ชุดควบคุม
กลไกการตดั วงจร ดงั ภาพท่ี 2.29 แสดงลษั ณะภาพ ของเซอร์กิตเบรกเกอร์แบบน้ามนั
ภาพท่ี 2.29 แสดง Oil Circuit Breaker (OCB) ขนาด 1200 A 3-pole 34,500 V
ยหี่ อ้ GENERAL ELECTRIC
ที่มา : http://www.swgr.com/products/OILCB_88-002.asp
เบรกเกอร์ ชนิดน้ีโดยทว่ั ไปแบง่ ออกเป็ นชนิดยอ่ ย ๆ คือ
ก. bulk oil circuit breaker จะบรรจุน้ามนั ไวเ้ ตม็ ถงั สาหรับการดบั อาร์ก
ข. minimum oil circuit breaker จะใชน้ ้ามนั นอ้ ยกวา่ ชนิดแรก กล่าวคือ จะใช้
ประมาณ 1/10 เท่า และจะดบั อาร์กดว้ ยวธิ ีการฉีดพน่ น้ามนั
3) Gas Circuit Breaker (GCB) หรือ sulphur hexafluoride gas circuit breaker
(SF6 ) แบบน้ีจะใชก้ ๊าซ SF6 จึงใช้ เป็นตวั กลางในการดบั อาร์ก เน่ืองจาก มีคุณสมบตั ิ เป็นกา๊ ซเฉ่ือย
เป็นฉนวนไฟฟ้าไดด้ ี ไมม่ ีสี ไมม่ ีกล่ิน ไมแ่ ปรสภาพหรือผสมสารอื่นไดง้ ่าย ทนต่อแรงดนั ไฟฟ้าได้
สูง ถา้ เพ่ิมความดนั กา๊ ซใหม้ ากกวา่ 3 kg/cm2 จะมีความตา้ นทานมากกวา่ น้ามนั ฉนวน โดยจะบรรจุ
ไวใ้ นหอ้ งของหนา้ สัมผสั (contact) มกั นิยมใชก้ บั ระบบไฟฟ้ากาลงั ท่ีมีแรงดนั ไฟฟ้าสูง ภาพที่ 2.30
แสดงลษั ณะภาพและภาพตดั ของเซอร์กิตเบรกเกอร์แบบกา๊ ซ
56
ภาพท่ี 2.30 แสดง Gas Circuit Breaker (GCB) ขนาด 1250/2000/3150A 69/72.5/145 kV
ยห่ี อ้ Toshiba
ท่ีมา : http://www.toshiba.co.jp/f-ene/tands/english/switch/gis1.htm
4) Vacuum Circuit Breaker: (VCB) แบบน้ี จะมีหนา้ สัมผสั (contact) ที่
เคล่ือนท่ีและอยกู่ บั ท่ี บรรจุอยใู่ นหอ้ งสุญญากาศ (vacuum chamber ) ซ่ึงสุญญากาศจะเป็นฉนวน
อยา่ งดี ขณะท่ีหนา้ สมั ผสั ถูกปลดออกไม่วา่ ในกรณีใดกต็ าม จะมีสุญญากาศครอบคลุมหนา้ สัมผสั
ทาใหล้ าอาร์กหมดไป และมีขอ้ ดีตรงที่การปลดออก และสับเขา้ ของหนา้ สมั ผสั จะมีเสียงท่ีไมด่ งั
จนเกินไป ภาพท่ี 2.31 แสดงภาพของเซอร์กิตเบรกเกอร์แบบสุญญากาศ
ภาพท่ี 2.31 แสดง Vacuum Circuit Breaker: (VCB) ขนาด 630A 12 kV ยห่ี อ้ HEAG
และ ขนาด 2000A 170 kV ยห่ี อ้ AE POWER
ที่มา : http://www.heag.cn/product.asp?ID=29
ท่ีมา : http://www.jaeps.com/eng/products/vcb_outdoor.htm
57
2.3.2 ดิสคอนเนคติ้งสวิตช์ (Disconnecting Switch or Isolating Switch )เรียกอีกอยา่ ง
วา่ สวติ ช์ปลดวงจร หรือสวติ ช์แยกวงจรกไ็ ด้ ใช้ ปลดและสบั วงจรขณะไม่มีโหลด แตถ่ า้ ออกแบบ
มาสาหรับปลดและสบั วงจรขณะมีโหลดเรียกวา่ โหลดเบรกสวติ ช์ โดยปกติจะติดต้งั ไวท้ ี่หวั ทา้ ยของ
เซอร์กิตเบรกเกอร์ เพื่อประโยชนใ์ นการนาเอาเซอร์กิตเบรกเกอร์ออกไปซ่อมบารุง นอกจากน้ียงั ตดั
ตอนก่อนเขา้ สายเคเบิ้ลแรงสูง และเป็นสวติ ช์ตดั ตอนเชื่อมเมนบสั เป็นตน้ ขอ้ ควรระวงั สาหรับการ
ใชง้ านสวติ ช์ปลดวงจรมีดงั น้ี
1. ขณะเซอร์กิตเบรกเกอร์ยงั สับอยใู่ นวงจร หา้ มทาการปลดสวติ ช์ปลดวงจร
เพราะจะทาใหเ้ กิดลาอาร์กรุนแรงและเสียหายต่อระบบหนา้ สมั ผสั ได้
2. หา้ มสับสวติ ช์ปลดวงจรสาหรับการจา่ ยโหลด(on load)
3. เมื่อปลดสวิตช์ปลดวงจร จะตอ้ งสบั ใบมีดต่อลงกราวดเ์ พ่ือป้องกนั กระแส
เสร็จ(surge current) ในระบบซ่ึงจะเป็นอนั ตรายต่อผปู้ ฏิบตั ิงานได้ และทาการปลดใบมีดต่อลง
กราวดอ์ อกเมื่อตอ้ งการสับสวติ ชป์ ลดวงจร ภาพที่ 2.32 แสดงลกั ษณะของปลดวงจร
ภาพท่ี 2.32 แสดง disconnecting switch ขนาด 1200A 126 kV และ 1200A 12 kV
ยห่ี อ้ HEAG
ท่ีมา : http://www.heag.cn/product.asp?ID=63
2.3.3 ล่อฟ้า (Lightning Arrester : LA) ล่อฟ้าท่ีมีโครงสร้างท่ีประกอบไปดว้ ยตวั
ตา้ นทานที่ไม่เป็ นเชิงเส้น (nonlinear resistor) และช่องสปาร์ก (spark gap) ต่อระหวา่ งสายไฟกบั ดิน
ทาหนา้ ที่ประจุไฟฟ้าจานวนสูงมากอนั เน่ืองจากการสวติ ชิ่งเสิร์จ (Switching Surges) ในสายส่งลงสู่
ดินใหเ้ ร็วท่ีสุดเพื่อท่ีจะไดไ้ ม่เป็นอนั ตรายหรือเกิดความเสียหายตอ่ ระบบ โดยที่ประจุไฟฟ้าจานวน
มากจะผา่ นตวั ตา้ นทานท่ีไม่เป็นเชิงเส้นได้ แตถ่ า้ ระบบทางานปกติประจุไฟฟ้าจะผา่ นไมไ่ ด้ เพราะ
ตวั ตา้ นทานชนิดน้ีจะมีค่าตวั ตา้ นทานสูง
58
ภาพที่ 2.33 แสดง Lightning Arrester ขนาด 4.2kV to 826 kV ยหี่ อ้ AE POWER
ที่มา : http://www.jaeps.com/eng/products/la.htm
2.3.4 ชุดฟิ วส์กาลงั (Power Fuse) ฟิ วส์กาลงั เป็นอุปกรณ์ป้องกนั ไฟฟ้าชนิดหน่ึง เมื่อ
ระบบเกิดฟอลตจ์ ะมีกระแสสูงมากไหลผา่ นไส้ฟิ วส์ มีผลทาใหไ้ ส้ฟิ วส์หลอมละลาย ตดั วงจรไมไ่ ห้
เกิดความเสียหาย แต่ถา้ ตอ้ งการปฏิบตั ิงานเก่ียวกบั ระบบไมว่ า่ จะเป็นการเปลี่ยนอุปกรณ์
การบารุงรักษาทางกลเป็นตน้ กส็ ามารถปลดชุดฟิ วส์กาลงั ตดั ไฟฟ้าไดโ้ ดยใชอ้ ุปกรณ์ชกั ฟิ วส์คลอ้ งที่
หูร้อยดา้ นบนของหลอดฟิ วส์
ภาพท่ี 2.34 แสดง power fuse ขนาด 200 A 25kV ยห่ี อ้ AE POWER
ที่มา : http://www.sandc.com/products/faultfiter/
2.3.5 ตวั เก็บประจุขนาน (Shunt Capacitor) การติดต้งั ตวั เกบ็ ประจุขนานท่ีสถานีไฟฟ้า
ยอ่ ยหลงั หมอ้ แปลงก่อนที่จะจ่ายโหลดเพ่ือปรับปรุงเพาเวอร์แฟกเตอร์ (power factor) ใหส้ ูงข้ึน (มุม
ต่างเฟสจะลดลง) เมื่อเพาเวอร์แฟกเตอร์สูงข้ึนแลว้ จะมีผลดีตอ่ ระบบหลายประการ
การติดต้งั ตวั เกบ็ ประจุขนานเป็นชุดหรือแผงหน่ึงๆ จะประกอบไปดว้ ย
59
1) ตวั เก็บประจุหลายชุด
2) รีแอคเตอร์อนุกรม(series reactor) เพ่อื ป้องกนั ระบบเกิดเรโซแนนซ์แบบ
ขนานซ่ึงจะมีกระแสไฟฟ้าฮาร์มอนิกคส์ ูงไหลผา่ นแผงตวั เกบ็ ประจุทาใหเ้ กิดความร้อนท่ีแผงตวั เกบ็
ประจุเกินกวา่ ปกติ
3) ขดลวดถ่ายเทประจุ (discharge coil) จะถ่ายเทประจุที่คา้ งอยทู่ ี่ตวั เกบ็ ประจุ
เม่ือผปู้ ฏิบตั ิงานปลดแผงตวั เกบ็ ประจุออกจากระบบมาบารุงรักษาจะมีความปลอดภยั
4) ฉนวนรองรับสายไฟฟ้า(ระบบแรงดนั สูงกวา่ 60 kV)
2.3.6 รีแอคเตอร์ขนาน ( Shunt Reactor) รีแอคเตอร์ขนานเป็ นอุปกรณ์ไฟฟ้าใน
สถานีไฟฟ้ายอ่ ยท่ีเป็นตวั รับหรือดูดกลืนคา่ กาลงั รีแอคทีฟ เน่ืองจากค่าคาปาซิทีฟรีแอคแตนซ์
(capacitive reactance) ในระบบสายส่งมีค่าสูงเกินไป รีแอคเตอร์ขนานมี 2 แบบคือ
1) แบบท่ีขดลวดพนั รอบแกนเหลก็ คลา้ ยหมอ้ แปลง (iron core reactor)
2) แบบขดลวดแกนอากาศ (air core reactor)
เฉพาะที่เป็นแบบขดลวดพนั รอบแกนเหลก็ จะเกิดเสียงส่ันสะเทือนเน่ืองจากเส้นแรงแม่เหลก็ ท่ี
หนาแน่นบริเวณแกนเหลก็ ส่วนการระบายความร้อนจะใชน้ ้ามนั โดยทว่ั ไปแลว้ รีแอคเตอร์
ขนานจะติดต้งั ตรงปลายสายส่งโดยใชเ้ ซอร์กิตเบรกเกอร์เป็นตวั ควบคุมการปลดการสับ
ภาพท่ี 2.35 แสดง Shunt Reactor ขนาด 500 kV 84 MVAr ยห่ี อ้ Mitsubishi
ที่มา : http://www.meppi.com/Pages/default.aspx
2.3.7 หมอ้ แปลงกาลงั (Power Transformer) หมอ้ แปลงไฟฟ้าเป็นเครื่องกลไฟฟ้า
ชนิดหน่ึง ทาหนา้ ที่เพ่มิ แรงดนั ไฟฟ้าสู่วงจรสายส่งเมื่อติดต้งั อยทู่ ี่ลานไกไฟฟ้า และทาหนา้ ที่ลด
ระดบั แรงดนั ไฟฟ้าสู่วงจรจาหน่ายเมื่อติดต้งั อยทู่ ี่สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย นอกจากน้ีหมอ้ แปลง
ไฟฟ้ายงั ทาหนา้ ที่รักษาระดบั แรงดนั ใหเ้ หมาะสมขณะไม่ไดจ้ า่ ยโหลด (no - load) และขณะจ่าย
60
โหลด (on - load) โดยเฉพาะในขณะจ่ายโหลดจะตอ้ งรักษาระดบั แรงดนั ใหเ้ หมาะสมกบั ระบบ
เพราะโหลดมีการเปล่ียนแปลงอยเู่ สมอ ทาใหแ้ รงดนั ท่ีข้วั ของหมอ้ แปลง สายส่งและสายจาหน่วย
เปลี่ยนแปลง ดงั น้นั จะตอ้ งทาการควบคุมแรงดนั ไฟฟ้า ใหอ้ ยใู่ นค่ามาตรฐาน 5 เปอร์เซ็นต์
โดยการปรับแทป็ ของหมอ้ แปลง (tap-changing) ในการปรับแทป็ ของหมอ้ แปลง (tap-changing)
สามารถกระทาไดโ้ ดย
การเปล่ียนแทป็ แรงดนั ขณะไมม่ ีโหลด (no load voltage tap changer ) จะใชส้ าหรับ
การเปล่ียนแทป็ ขณะท่ีไม่มีไฟหรือมิไดจ้ ่ายกบั โหลด ซ่ึงจะตอ้ งปรับใหต้ รงกบั ระยะแรงดนั ไฟฟ้า
ปกติของสถานีไฟฟ้ายอ่ ยน้นั ๆ โดยการหมุนแทป็ และหา้ มเปล่ียนแทป็ ขณะจา่ ยโหลดหรือมีไฟ
เพราะจะเกิดการอาร์กท่ีหนา้ สมั ผสั
การเปล่ียนแทป็ แรงดนั ขณะมีโหลดหรือขณะมีไฟ (on load voltage tap changer)
สามารถเปลี่ยนแทป็ ขณะมีไฟ เน่ืองจากในแต่ละวนั จะมีโหลดเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา จึงทา
ภาพที่ 2.36 แสดง Power transformer ขนาด 598 MVA 525/230 kV ยหี่ อ้ Mitsubishi
ที่มา : http://www.meppi.com/Pages/default.aspx
ใหค้ ่าแรงดนั เพม่ิ หรือลดตามโหลดดว้ ยเพอื่ รักษาเปอร์เซ็นตก์ ารควบคุมแรงดนั ใหอ้ ยใู่ นค่ามาตรฐาน
และเพ่อื ประสิทธิภาพของโหลดดว้ ย การเปล่ียนแทป็ วธิ ีน้ีจะมีมอเตอร์เป็ นตวั ขบั กลไกสาหรับ
เปล่ียนแทป็ ตาแหน่งของส่วนต่าง ๆ
2.3.8 หมอ้ แปลงกระแส (Current Transformer: CT)หมอ้ แปลงกระแสเป็ นหมอ้
แปลงที่ใชป้ ระกอบกบั เคร่ืองวดั ไฟฟ้า เพราะคา่ ของกระแสที่ไหลในสายส่งแรงสูงแต่ละเฟสไม่
สามารถใชแ้ อมมิเตอร์วดั โดยตรงได้ หลกั การทางานของหมอ้ แปลงกระแสก็เหมือนกบั หมอ้
แปลงทว่ั ไป แต่มีขดลวดปฐมภูมิ (primary winding) ออกแบบใหม้ ีกระแสไหลตามอตั ราส่วน
61
ของหมอ้ แปลง (CT - ratio) ซ่ึงมีค่าอตั ราส่วนของกระแสดงั น้ี 100 : 5, 300 : 5, 400 : 5, 500 : 5,
800 : 5, 900 : 5, 1000 : 5, และ 1200 : 5
ขอ้ ควรระมดั ระวงั สาหรับหมอ้ แปลงกระแสคือ ห้ามเปิ ดวงจร (open circuit ) ทางดา้ น
ทุติยภูมิ เพราะจะทาให้แรงดนั ทางด้านทุติยภูมิน้ีสูงมากจนทาให้เกิดการเบรกดาวน์ของฉนวน
ตวั นาทาใหข้ ดลวดไหม้
2.3.9 หมอ้ แปลงแรงดนั (Potential Transformer : PT)การที่จะวดั ค่าแรงดนั ไฟฟ้า
ในระบบไม่วา่ จะเป็ นแรงดนั ระหวา่ งสาย หรือแรงดนั ระหวา่ งสายกบั นิวตรอล จะตอ้ งใช้หมอ้
แปลงแรงดนั เพื่อแปลงแรงดนั ใหต้ ่าลงให้เหมาะสมกบั ขนาดของเครื่องวดั โดยเอาขดลวดปฐมภูมิต่อ
กบั ดา้ นสายส่งแรงสูง ส่วนขดลวดทุติยภูมิต่อกบั เครื่องวดั แรงต่านอกจากน้ีหมอ้ แปลงแรงดนั ยงั ใช้
สาหรับแปลงแรงดนั เพ่ือจ่ายใหข้ ดลวดแรงดนั (potential coil) ของวตั ตม์ ิเตอร์ และจ่ายแรงดนั
ให้กบั รีเลยป์ ้องกนั เช่น รีเลยแ์ รงดนั เกิน (over voltage relay ) รีเลยแ์ รงดนั ต่า (under voltage
relay) เป็นตน้
การต่อหม้อแปลงแรงดันในระบบ จะทาการต่อขนานหรือคร่อมกับสายส่ง (line
voltage) และต่อขนานกบั สายมีไฟกบั นิวตรอล (phase voltage)
2.4 อุปกรณ์อ่ืนๆ
2.4.1 ลูกถ้วย (Insulator) เป็ นอุปกรณ์ประกอบท่ีเป็ นฉนวนไฟฟ้า ทาหน้าที่
รองรับสายไฟฟ้าบนเสาไฟฟ้า มีคุณสมบตั ิเป็ นฉนวนป้องกนั กระแสไฟฟ้าร่ัวลงดิน ดงั น้นั ระบบส่ง
จ่ายไฟฟ้าเหนือศีรษะ ลูกถว้ ยจึงมีความสาคญั อยา่ งมาก สามารถแบ่งตามชนิดวสั ดุท่ีใชผ้ ลิตไดเ้ ป็ น
2 ชนิดดงั น้ี
1) ลูกถว้ ยกระเบ้ืองเคลือบ ( Poreclain Insulators ) ผลิตจากดินเหนียวท่ีมี
ส่วนผสมของอะลูมิเนียมซิลิเกต ดินขาว หินฟันม้า และควอตซ์ อบความร้อนท่ีอุณหภูมิท่ี
เหมาะสม จึงจะไดล้ ูกถว้ ยท่ีมีคุณสมบตั ิท่ีดีท้งั ทางกลและทางไฟฟ้า ซ่ึงมีคุณสมบตั ิ คือ
คา่ ความคงทนตอ่ แรงกด(compressive strength)ประมาณ 70,000 kg/cm2
ค่าความคงทนตอ่ แรงดึง(tensile strength)ประมาณ 500 kg/cm2
ค่าความคงทนทางไฟฟ้า(dielectric strength)ประมาณ 60 kV/cm
โดยทว่ั ไปลกั ษณะบริเวณผิวจะถูกเคลือบเป็ นมนั เพ่ือให้ชาระส่ิงสกปรกไดง้ ่าย และเป็ นครีบหยกั
หลายช้ันเพื่อเพิ่มระยะทางรั่ว (leakage distance) ให้ยาวข้ึน ลดค่าความนา และลดการวาบ
(flashover)ตามผวิ ลูกถว้ ยใหน้ อ้ ยลง
62
ภาพท่ี 2.37 แสดง ลูกถว้ ยกระเบ้ืองเคลือบ
2) ลูกถว้ ยแกว้ ( Glass Insulators ) ผลิตจากแกว้ โดยนาแกว้ มาหลอมแลว้ เทลง
ในเบา้ หล่อที่จดั ทาข้ึนตามรูปร่างท่ีตอ้ งการ แลว้ นาไปอบใหอ้ อ่ นเพือ่ เพมิ่ ความคงทนมีคา่ ความ
คงทนทางไฟฟ้าประมาณ 140 kV/cm จึงมีความคงทนทางไฟฟ้าสูงกวา่ ลูกถว้ ยกระเบ้ืองเคลือบ คา่
สัมประสิทธ์ิการขยายตวั ต่อความร้อนต่า จึงนาไปใชใ้ นงานที่มีความแตกต่างของอุณหภูมิในแต่
ละช่วงเวลาสูงๆ ไดโ้ ดยลูกถว้ ยไมแ่ ตกร้าวหรือหดตวั ขอ้ เสียกค็ ือ จะมีไอน้ากลน่ั ตวั เป็นหยดน้า
เกาะท่ีผวิ ของลูกถว้ ยไดง้ ่าย จึงทาใหเ้ กิดการร่ัวไหลของกระแสไฟฟ้า
ภาพที่ 2.38 แสดงลูกถว้ ยแกว้
ลูกถว้ ยที่ใชใ้ นงานการส่งจา่ ยและจาหน่ายไฟฟ้าแบง่ ตามลกั ษณะการใชง้ านไดด้ งั น้ี
(1) ลูกถว้ ยสาหรับสายโยงยดึ (strain type insulator) ใชส้ าหรับคน่ั สาย
ยดึ โยง (guy wire) ทาหนา้ ท่ีเป็นฉนวนป้องกนั กระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน มีคุณสมบตั ิทนแรงกดไดส้ ูง
(2) ลูกถว้ ยลูกรอก (spool type insulator) มีรูปร่างคลา้ ยหลอดดา้ ยใชส้ าหรับ
รองรับสายในระบบจาหน่ายแรงต่า โดยร้อยดว้ ยแกนเหล็ก (secondary rack)แลว้ ยดึ ติดกบั เสา หรือ
ผนงั ท้งั แนวต้งั หรือแนวนอน
63
(3) ลูกถว้ ยกา้ นตรง (pin type insulator) ใชส้ าหรับรองรับสายในระบบ
จาหน่ายแรงสูงต้งั แต่ 11 kV-50 kV ทาเป็นครีบหลายช้นั ลดหลน่ั กนั ลงมาตามขนาดแรงดนั ที่ใช้
ดา้ นบนสาหรับวางสายจะเคลือบสารก่ึงตวั นาเพื่อป้องกนั คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าบนสายรบกวน
ระบบส่ือสาร
(4) ลูกถว้ ยติดเสา (line post type insulator) ใชส้ าหรับการเดินสายผา่ น
บริเวณทางโคง้ หรือช่องทางแคบ มีสิ่งกีดขวาง มีรูปร่างคลา้ ยลูกถว้ ยกา้ นตรง แต่มีครีบมากกวา่
ติดต้งั ไดท้ ้งั แนวขนานกบั พ้ืน (horizontal post insulator) และต้งั ฉากกบั พ้ืน (vertical post insulator)
(5) ลูกถว้ ยแขวน (suspension type insulator) เป็นลูกถว้ ยแรงสูงที่ใชก้ บั
แรงดนั สูงไดห้ ลายขนาดโดยวธิ ีเพิ่มต่อหรือลดจานวนลูกถว้ ยใหเ้ หมาะสมกบั แรงดนั ที่ใชง้ าน มีขอ้ ดี
คือสามารถติดต้งั ให้รับแรงดึงของสายไดท้ ้งั แนวต้งั และแนวนอน แรงบิดเนื่องจากการแกวง่ มีคา่
นอ้ ยมาก อีกท้งั ยงั สามารถเลือกเปล่ียนเฉพาะลูกถว้ ยท่ีชารุดบางส่วนได้ ลูกถว้ ยแขวนท่ีใชใ้ น
ปัจจุบนั แบ่งตามลกั ษณะการต่อระหวา่ งลูกถว้ ยได้ 2 แบบ คือ แบบสลกั (clevis type) และแบบ
ขอ้ ต่อ (ball and socket type)
(6) ลูกถว้ ยรองรับอุปกรณ์(apparatus post type insulator) เป็นลูกถว้ ยที่
ออกแบบไวส้ าหรับรองรับหรือยดึ ติดอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยตรงเช่น รองรับท่อบสั (bus tube) สวติ ช์
ปลดวงจร (disconnecting) ดงั น้นั ส่วนบนและส่วนล่างของลูกถว้ ยจึงหุม้ ดว้ ยโลหะและเจาะรูไว้
สาหรับยดึ อุปกรณ์ นอกจากน้ียงั มีลูกถว้ ยสาหรับข้วั ตอ่ ที่ใชใ้ นงานแรงสูงอีกเช่นลูกถว้ ยบุชชิ่ง หมอ้
แปลง เซอร์กิตเบรกเกอร์ชนิดน้ามนั ตวั เกบ็ ประจุกาลงั (power capacitor) เป็นตน้ ลูกถว้ ยชนิดน้ี
สามารถนามาซอ้ นกนั ไดห้ ลายช้นั ตามความจาเป็นเพื่อใชก้ บั แรงดนั ไดห้ ลายระดบั
2.4.2 ขอ้ ต่อสาย การต่อสายชนิดเดียวกนั หรือสายตา่ งชนิดกนั จะตอ้ งใชข้ อ้ ต่อสาย
ที่เป็นส่ือนาไฟฟ้าไดด้ ีและทนตอ่ แรงดึง โดยปกติแลว้ จะใชป้ ลอกของขอ้ ตอ่ ท่ีทาจากวสั ดุเดียวกนั
กบั สายไฟที่ตอ้ งการตอ่ เขา้ ดวั ยกนั แลว้ จะสวมสายไฟสองปลายเขา้ ในแตล่ ะดา้ นของปลอกขอ้
ต่อสาย พร้อมท้งั บีบดว้ ยเครื่องบีบใหแ้ น่น ซ่ึงวธิ ีน้ีเหมาะกบั สายขนาดใหญ่
ศูนยก์ ลางแกนเหลก็
ปลอกอะลูมิเนียม ปลอกเหลก็ สายอะลมู ิเนียมแกนเหลก็
ภาพท่ี 2.39 แสดงขอ้ ต่อสาย
64
2.4.3 อุปกรณ์คน่ั สาย (Spacer) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหนา้ ท่ีใหส้ ายพนั กนั หรือติดกนั
และไมใ่ หส้ ายกระทบกนั เนื่องจากแรงลมปะทะสาย อุปกรณ์คน่ั สายน้ีจะติดต้งั ในสายส่งชนิด 2
เส้นคูแ่ ละ 4 เส้นคูค่ วบ คุณสมบตั ิของอุปกรณ์คน่ั สายจะตอ้ งมีความแขง็ แรง เป็นตวั นาไฟฟ้าท่ีดี
เพ่ือป้องกนั การอาร์ก เมื่อมีการถ่ายเทกระแสไฟฟ้าระหวา่ งสาย และจะตอ้ งไม่ทาใหเ้ กิดโคโรนา
200
70 26
30
5 30
85
ภาพที่ 2.40 แสดงอุปกรณ์คน่ั สาย
2.4.4 แคลมป์ ยดึ สายแบบแขวน ( Suspension clamp ) แคลมป์ ยดึ สายแบบแขวน
มีหนา้ ท่ีจบั ยดึ และหิ้วสายไฟฟ้า ในกรณีท่ีหิ้วสายไฟฟ้าตวั แคลมป์ จะทาดว้ ยโลหะเหลก็ ผสม
อะลูมิเนียม ผวิ ที่จบั ยดึ หรือหิ้วสายจะตอ้ งไมม่ ีเหลี่ยมหรือรอยแหลมคมเพ่ือป้องกนั ไมใ่ หเ้ กิด
โคโรนา ส่วนประกอบจะประกอบดว้ ย ตวั แคลมป์ ลิ้น และสลกั เกลียวรูปตวั ยู
ภาพที่ 2.41 แสดงแคลมป์ ยดึ สายแบบแขวน
65
2.4.5 เกราะกนั สายปลายเรียว (Tapered armor rods) มีลกั ษณะเป็ นเส้นลวด
อะลูมิเนียมเกลียวจานวนหลายเส้นใชส้ าหรับรองรับสายบริเวณการจบั ยดึ ของแคลมป์ ยดึ สายแบบ
แขวน เพ่ือป้องกนั สายหกั เน่ืองจากการส่ันสะเทือนหรือแกวง่ ไกวของสายที่เกิดข้ึนตลอดเวลา อนั
เนื่องมาจากแรงลมหรือแรงทางกลอ่ืนๆ ขนาดของเกราะกนั สายปลายเรียวจะข้ึนอยูก่ บั ขนาดของ
สายไฟ ส่วนปลายของเกราะกนั สายปลายเรียวท้งั สองดา้ นจะมีปลอกโลหะมนรัดปลายไม่ให้เส้น
ลวดแตก
ภาพที่ 2.42 แสดงเกราะกนั สายปลายเรียว
2.4.6 สเตรนแคลมป์ (Strain clamp) เป็ นแคลมป์ สาหรับยึดสายไฟกบั ลูกถว้ ยแขวน
รับแรงดึงในแนวนอน สาหรับการเดินสายส่งในช่วงสุดทา้ ยหรือเสาตน้ สุดทา้ ย มีโครงสร้างที่
ประกอบดว้ ย ตวั แคลมป์ สลกั แผ่นตดั สาย สลกั เกลียวรูปตวั ยู แหวน และนตั โดยเฉพาะสลกั
เกลียวรูปตวั ยูและนตั จะทาจากเหล็กเหนียวอาบสังกะสี ส่วนประกอบอื่นๆ ทาจากโลหะผสม
อะลูมิเนียม
ภาพท่ี 2.43 แสดงสเตรนแคลมป์
2.4.7 อุปกรณ์หน่วงการแกวง่ (Vibration damper) เป็นอุปกรณ์ที่ใชล้ ดแรง
ส่นั สะเทือน ของสาย อนั เกิดจากแรงลมปะทะสายหรือแรงทางกลอ่ืนๆ ถา้ สายเคล่ือนท่ีไปทาง
66
ใดทางหน่ึง ตวั อุปกรณ์หน่วงการแกวง่ จะหน่วงแรงไปในทิศทางตรงกนั ขา้ มกบั การเคล่ือนท่ีของ
สาย จึงช่วยป้องกนั ไม่ใหส้ ายไฟชารุดบริเวณแคลมป์ ยดึ สายแบบแขวน
ภาพท่ี 2.44 แสดงอุปกรณ์หน่วงการแกวง่
2.4.8 น้าหนกั ถ่วงสาย (Counter weight) เป็ นอุปกรณ์ที่ใชย้ ึดกบั สายไฟ เพ่ือเพ่ิม
น้าหนกั กดลงบนสายไม่ให้สายและพวงลูกถว้ ยยกตวั ข้ึน ดงั น้ันน้าหนักถ่วงสายจะติดต้งั เฉพาะ
ในช่วงเสาที่มีโอกาสเกิดแรงยก อุปกรณ์ชนิดน้ีประกอบด้วย แคลมป์ ยึดสาย ขอเหล็ก และ
น้าหนกั ถ่วงสายซ่ึงทามาจากเหลก็ หรือซีเมนตม์ ีลกั ษณะกลมหรือส่ีเหล่ียม
ภาพท่ี 2.45 แสดงน้าหนกั ถ่วงสาย
2.4.9 วงแหวงกาบงั หรือชีลด์ (Guardring or Shield) อุปกรณ์ชนิดน้ีเรียกอีกอย่าง
หน่ึงว่าโคโรนาริง มีลกั ษณะคลา้ ยวงแหวน ทาให้เกิดการกระจายประจุไฟฟ้าท่ีปลายของตวั นา
สม่าเสมอ ลดการเกิดแรงดนั เกิน ดงั น้นั จึงเป็นการป้องกนั การเกิดโคโรนาได้
67
ภาพท่ี 2.46 แสดงการติดต้งั วงแหวนกาบงั
2.4.10 อาร์กซิ่งฮอร์น (Arcing horn) เป็ นอุปกรณ์ท่ีใชก้ บั ชุดลูกถว้ ยแขวนของสาย
ส่งไฟฟ้า โดยคนั อาร์กติดต้งั ท่ีลูกถว้ ยดา้ นติดกบั สายไฟและดา้ นท่ีติดกบั เสาส่ง ระยะการอาร์กของ
อาร์กซ่ิงฮอร์นจะตอ้ งนอ้ ยกวา่ ระยะทางตามผิวของลูกถว้ ยจากสายไฟถึงครอสอาร์มท่ีแขวนลูกถว้ ย
เพ่ือใหเ้ กิดการวาบไฟที่ผวิ ผา่ นอาร์กซ่ิงฮอร์นแทนการวาบไฟท่ีพวงลูกถว้ ย
ภาพที่ 2.47 แสดงอาร์กซิ่งฮอร์น
3. เขตเดนิ สายไฟฟ้า (Rise of way)
หมายถึงบริเวณพ้ืนที่ใตแ้ นวสายไฟฟ้าหรือบริเวณท่ีมีแนวของเสาส่งไฟฟ้าพาดผา่ น
สงวนไวไ้ มใ่ หเ้ อกชนเขา้ มาดาเนินการก่อสร้าง ปลูกตน้ ไม้ หรือกระทาการใด ๆ อนั จะเป็นสาเหตุ
กระทบกระเทือนต่อแนวสายไฟฟ้าได้ ดงั น้นั เพื่อความปลอดภยั ตอ่ ทรัพยส์ ินและตอ่ ชีวติ จึงมีการ
กาหนดแนวเขตเดินสายไวเ้ ป็นระยะทางค่าหน่ึงสาหรับแต่ละระดบั แรงดนั โดยวดั ออกจากก่ึงกลาง
68
เสาไฟ ออกท้งั 2 ดา้ นในลกั ษณะสมมาตรกนั จากภาพที่ 2.48 ระยะ X เป็นระยะนอ้ ยท่ีสุดที่จะยอม
ให้ ตน้ ไม้ ที่อยนู่ อกเขตเกิดโค่นลม้ เขา้ หาแนวเขตเดินสายหรือเสา และถา้ ตน้ ไมส้ ูงกวา่ กาหนดคือ
แนวปลายสุดระยะ X เป็ นมุมเงย 45 องศา จะตอ้ งรานกิ่งหรือตดั ใหส้ ูงไม่เกินมุมที่กาหนด
ส่วนระยะ Y เป็นระยะปลอดภยั เม่ือเสาไฟลม้ โดยระยะห่างของแนวเขตจะถูกกาหนดใหส้ มั พนั ธ์กบั
ความสูงของเสาและระดบั แรงดนั ท่ีส่ง ตามตารางที่ 2.1
ตารางที่ 2.1 ระยะห่างแนวเขตเดินสายไฟฟ้า ระยะ X (m) ระยะ Y (m)
ระดบั แรงดนั สายส่ง (kV) 2 9
69 3 12
115 4 20.5
230 6.5 30
500 (วงจรคู)่ 6.5 35
500 (วงจรเด่ียว)
45o 45 o
YX XY
ภาพที่ 2.48 แสดงแนวเขตเดินสายไฟฟ้า
69
แบบฝึ กหดั ท่ี 2
เรื่อง อุปกรณ์และวงจรของระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า วชิ า การส่งและจ่ายไฟฟ้า
คาชี้แจง ใหท้ าเครื่องหมายกากบาท (X) เลือกขอ้ ที่ถูกท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียว (ขอ้ ละ 1 คะแนน)
1. การจดั บสั แบบบสั เบรกเกอร์คู่ และแบบเบรกเกอร์คร่ึง มีความน่าเช่ือถือและความตอ่ เนื่อง
อยา่ งไร
ก. ถอดเบรกเกอร์ซ่อมบารุงโดยไมต่ อ้ งตดั การจ่ายพลงั งานได้
ข. ใชจ้ านวนเบรกเกอร์เทา่ กนั
ค. รับพลงั งานไดด้ า้ นเดียว
ง. ตอ่ สายส่งไฟฟ้าไดด้ า้ นเดียว
จ. มีราคาถูกกวา่ การจดั บสั ทุกประเภท
2. จากภาพเป็นการจดั บสั ของสถานียอ่ ยแบบใด
ก. แบบบสั แรงสูงตดั ตอน
ข. แบบเบรกเกอร์คร่ึง
ค. แบบบสั วงจรเดียวตดั ตอน
ง. แบบบสั วงจรคู่ตดั ตอน
จ. แบบบสั ประธานและบสั โอน
3. ขอ้ ใดไม่ใช่หนา้ ที่และการทางานของสถานีไฟฟ้า
ก. เป็นศูนยก์ ลางในการเช่ือมต่อระบบแรงดนั สูงกบั แรงดนั ต่า
ข. เปล่ียนระดบั แรงดนั ให้เหมาะสม และรักษาแรงดนั ใหค้ งที่
ค. เป็นจุดติดต้งั เครื่องมือวดั และอุปกรณ์ตดั ตอนควบคุมและป้องกนั
70
ง. เป็นจุดเช่ือมโยงระบบส่ือสาร
จ. เป็นจุดรับแรงดนั แรงต่าของผใู้ ชไ้ ฟรายยอ่ ย
4. เบรกเกอร์เชื่อมโยง (tie circuit breaker) มีหนา้ ท่ี
ก. เชื่อมวงจรหรือบสั เขา้ ดว้ ยกนั ในสภาวะใชง้ านปกติ
ข. เช่ือมวงจรหรือบสั เขา้ ดว้ ยกนั เพอื่ ใหส้ ายส่งไฟฟ้าจา่ ยพลงั งานไดต้ ลอดเวลา
ค. ตดั วงจรหรือบสั ที่เชื่อมต่อกนั ตามปกติออกจากระบบท้งั หมด
ง. ลดจานวนวงจรดา้ นสายส่งท่ีต่ออยใู่ นระบบใหน้ อ้ ยลง
จ. ทาหนา้ ท่ีแทนสวติ ช์บายพาสการจดั บสั แบบเบรกเกอร์คร่ึง
5. ขอ้ ใดไมใ่ ช่การควบคุมแรงดนั ในสถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่ายดา้ นสายป้อนแรงสูง
ก. เปล่ียนแทป็ หมอ้ แปลง
ข. ปรับปรุงตวั ประกอบกาลงั (power factor)
ค. ตอ่ รีแอคแตนซ์ขนาน (shunt reactor) เขา้ ระบบกรณี โหลดเบา (light load)
ง. ปลดวงจรออก 1 วงจรในกรณีสายส่งเป็นวงจรคู่
จ. ตอ่ คาปาซิเตอร์แบงค์ (capacitor bank ) เขา้ ระบบกรณีโหลดเบา (light load)
6. การจดั บสั ที่ไมม่ ีความซบั ซอ้ นและประหยดั ท่ีสุดคือการจดั บสั แบบใด
ก. บสั เด่ียว
ข. บสั วงจรเด่ียวตดั ตอน
ค. บสั เบรกเกอร์คร่ึง
ง. บสั ประธานและบสั โอน
จ. บสั คู่เบรกเกอร์คู่
7. เหตุผลท่ีสาคญั สูงสุดในการเช่ือมโยงระบบส่งไฟฟ้า คือขอ้ ใด
ก. ลดอิมพแี ดนซ์ของสายส่ง
ข. เพ่ิมแรงดนั ใหส้ ูงข้ึน
ค. เพอื่ ให้ระบบมน่ั คง เชื่อถือได้
ง. เพอ่ื ประหยดั พลงั งานในดา้ นผบู้ ริโภค
จ. ลดความสูญเสียภายในสายส่ง
8. ขอ้ ใดไมใ่ ช่พกิ ดั แรงดนั ของระบบสายส่งไฟฟ้า
ก. 230 kV
ข. 500 kV
ค. 115 kV
ง. 69 kV
จ. 22 kV
71
9. จากภาพเป็นการจดั บสั ของสถานียอ่ ยแบบใด
12
1
12
ก. แบบเรเดียล
ข. แบบเนตเวริ ์ก
ค. แบบลูป
ง. แบบอนุกรม
จ. แบบขนาน
10. วงจรส่ายส่งไฟฟ้าแบบใดที่ใหค้ วามเช่ือถือไดด้ ีท่ีสุด
ก. แบบเรเดียล
ข. แบบอนุกรม
ค. แบบเนตเวิร์ก
ง. แบบขนาน
จ. แบบลูป
11. ส่วนใดของระบบส่งจา่ ยไฟฟ้าท่ีติดต้งั ไวร้ ะหวา่ งสายจาหน่ายแรงสูงกบั สาย
จาหน่ายแรงต่า สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง
ก. สถานีไฟฟ้ายอ่ ยระบบจาหน่าย
ข. โรงจกั รไฟฟ้า
ค. หมอ้ แปลงผใู้ ชไ้ ฟรายยอ่ ย
ง. สายจาหน่ายแรงต่า
จ. ลานไก
12. สถานที่ ที่เปลี่ยนแปลงแรงดนั ไฟฟ้าระหวา่ งวงจรสายส่งและสายจาหน่ายแรงสูงคือ
ก. สถานีไฟฟ้ายอ่ ยตน้ ทาง
ข. สถานีไฟฟ้ายอ่ ยจาหน่าย
ค. ลานไกไฟฟ้า
ง. หมอ้ แปลงจาหน่าย
72
จ. สายจาหน่ายแรงต่า
13. ประโยชนข์ องสาย overhead ground wire ท่ีติดต้งั ในระบบจาหน่ายแรงสูงคือ
ก. ป้องกนั ไฟตก
ข. ยกระดบั แรงดนั
ค. ป้องกนั ฟ้าผา่
ง. ป้องกนั กระแสไฟฟ้ารั่วไหล
จ. ปรับแกต้ วั ประกอบกาลงั
14. พกิ ดั แรงดนั ในส่วนของ สายจาหน่ายแรงต่า คือขอ้ ใด
ก. 380/660 V
ข. 220/380 V
ค. 660/380 V
ง. 220/440 V
จ. 440/660 V
15. ขอ้ ใดไม่ใช่ พิกดั แรงดนั ของระบบจาหน่ายแรงสูง
ก. 12 kV
ข. 22 kV
ค. 24 kV
ง. 33 kV
จ. 69 kV
16. ขอ้ ใดคือระดบั แรงดนั ระบบจาหน่ายแรงสูงของการไฟฟ้านครหลวง
ก. 11 kV
ข. 22 kV
ค. 24 kV
ง. 33 kV
จ. 69 kV
17. ระดบั แรงดนั ระบบจาหน่ายแรงสูงของระบบจาหน่ายการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีคา่
ก. 11 kV , 12 kV , 24 kV
ข. 11 kV , 22 kV , 33 kV
ค. 11 kV , 19 kV , 33 kV
ง. 12 kV , 19 kV , 24 kV
จ. 12 kV , 24 kV, 69 kV
73
18. วงจรระบบจาหน่ายไฟฟ้าแบบใดท่ีมีความน่าเช่ือถือสูงสุด
ก. แบบเรเดียล
ข. แบบลูปหรือวงแหวน
ค. แบบเนตเวริ ์ก
ง. แบบเรเดียลชนิดเช่ือมต่อดว้ ยอุปกรณ์ตดั ตอนอตั โนมตั ิ
จ. แบบเรเดียลต่อเช่ือมในสภาวะฉุกเฉิน
19. เสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทยนิยมใชเ้ สาชนิดใดมากที่สุด
ก. เสาไม้
ข. เสาเหลก็
ค. เสาโครงเหลก็ ชนิดเอม็ ซีเทา่ น้นั
ง. เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก
จ. เสาโครงเหล็ก
20. เสาคอนกรีตเสริมเหลก็ จะใชก้ บั วงจรสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ที่พกิ ดั แรงดนั ไฟฟ้าไมเ่ กินเทา่ ไร
ก. ไมเ่ กิน 69 KV
ข. ไม่เกิน 115 KV
ค. ไมเ่ กิน 230 KV
ง. ไม่เกิน 500 KV
จ. ไม่จากดั พกิ ดั แรงดนั
21. เพราะเหตุใดระบบส่งไฟฟ้าแรงสูง จึงนิยมใชส้ ายอะลูมิเนียมเปลือย
ก. ราคาถูก น้าหนกั เบา
ข. รับแรงดึงไดด้ ี น้าหนกั เบา
ค. ความตา้ นทานจาเพาะต่า น้าหนกั เบา
ง. ราคาถูก น้าหนกั เบา และทนแรงดึงไดด้ ี
จ. ทนแรงดึงไดด้ ี ลดการเกิดออกไซด์
22. วงจรระบบจาหน่ายแรงสูงในเขตพ้นื ท่ีภาคใต้ หรือริมทะเลควรใชส้ ายชนิดใด
ก. สายอะลูมิเนียมลว้ น
ข. สายอะลูมิเนียมแกนเหลก็ ผสมอลั ลอย
ค. สายอะลูมิเนียมแกนเหลก็
ง. สายอะลูมิเนียมผสม
จ. สายอะลูมิเนียมแกนอลั ลอย
74
23. สายหุม้ ฉนวนท่ีใชก้ บั ระบบจาหน่ายแรงสูงคือสายชนิดใด
ก. สาย AAC
ข. สาย ACSR
ค. สาย ACAR
ง. XLPE
จ. NYY
24. สาย ACSR ขนาด 6/1 หมายถึงขอ้ ใด
ก. สายอะลูมิเนียมอลั ลอย เป็นอะลูมิเนียม 6 เส้น และแกนเหลก็ 1 เส้น
ข. สายอะลูมิเนียมอลั ลอย เป็นอะลูมิเนียม 1 เส้น และแกนเหลก็ 6 เส้น
ค. สายอะลูมิเนียมแกนเหลก็ เป็นอะลูมิเนียม 6 เส้น และแกนเหล็ก 1 เส้น
ง. สายอะลูมิเนียมแกนเหลก็ เป็นอะลูมิเนียม 1 เส้น และแกนเหลก็ 6 เส้น
จ. สายอะลูมิเนียมอลั ลอย เป็นอะลูมิเนียม 6 เส้น และแกนอลั ลอย 1 เส้น
25. Air Blast Circuit Breaker ดบั อาร์กดว้ ยวธิ ีใด
ก. พน่ น้ามนั
ข. พน่ อากาศความดนั ต่า
ค. พน่ อากาศความดนั สูง
ง. ใชส้ ุญญากาศ
จ. กา๊ ซเฉ่ือย
26. minimum oil circuit breaker ดบั อาร์กดว้ ยวธิ ีใด
ก. จุม่ ไวใ้ นถงั น้ามนั
ข. พน่ อากาศความดนั สูง
ค. ฉีดพน่ ก๊าซ
ง. ใชส้ ุญญากาศ
จ. ฉีดพน่ น้ามนั
27. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ขอ้ ควรระวงั สาหรับการใชง้ านของสวติ ช์ปลดวงจร
ก. หา้ มสับสวติ ชป์ ลดวงจรสาหรับการจา่ ยโหลด
ข. ปลดสวติ ชป์ ลดวงจรหลงั การตดั วงจรเบรกเกอร์
ค. เมื่อปลดสวติ ช์ปลดวงจรตอ้ งสบั ใบมีดต่อลงกราวนด์ กนั กระแสยอ้ นกลบั
ง. ตดั หรือต่อวงจรไดใ้ นขณะที่จ่ายโหลดไดแ้ ต่ตอ้ งเป็นชนิดโหลดเบรกสวติ ช์
จ. จะตอ้ งปลดสวติ ช์ปลดวงจรก่อนการปลดเซอร์กิตเบรกเกอร์
75
28. อุปกรณ์สาหรับการปรับปรุงคา่ ตวั ประกอบกาลงั และรักษาระดบั แรงดนั ในสถานีไฟฟ้ายอ่ ยคือ
ก. ตวั เกบ็ ประจุขนาน
ข. รีแอคเตอร์ขนาน
ค. หมอ้ แปลง
ง. ตวั ตา้ นทานขนาน
จ. ขอ้ ก.และ ข.
29. ก๊าชที่บรรจุไวใ้ น Gas Circuit Breaker คือ
ก. nitrogen
ข. oxygen
ค. sulphur hexafluoride
ง. hydrogen
จ. sulphur
30. ขอ้ ใดคืออุปกรณ์ท่ีใชส้ าหรับยดึ สายไฟกบั ลูกถว้ ย แขวนรับแรงดึงในแนวนอน
ก. สเตรนแคลมป์
ข. อุปกรณ์หน่วงการแกวง่
ค. อุปกรณ์คน่ั สาย
ง. แคลมป์ ยดึ สายแบบแขวน
จ. เกราะกนั สายปลายเรียว
31. ลูกถว้ ยชนิดใดใชง้ านไดห้ ลายระดบั แรงดนั
ก. ลูกถว้ ยกา้ นตรง
ข. ลูกถว้ ยแขวน
ค. ลูกถว้ ยแบบโพสต์
ง. ลูกถว้ ยมะเฟื อง
จ. ลูกถว้ ยติดต้งั อุปกรณ์
32. การเดินสายไฟฟ้าผา่ นบริเวณที่แคบควรใชล้ ูกถว้ ยชนิดใด
ก. ลูกถว้ ยแขวน
ข. ลูกถว้ ยกา้ นตรง
ค. ลูกถว้ ยลูกรอก
ง. ลูกถว้ ยติดเสา
จ. ลูกถว้ ยสาหรับโยงยดึ
76
33. ขอ้ ใดเป็นหนา้ ท่ีของน้าหนกั ถ่วงสาย
ก. ป้องกนั สายแกวง่ ไขวส้ ลบั กนั
ข. เพิ่มคา่ ระยะการหยอ่ นตวั ของสายไฟฟ้า
ค. เพิม่ น้าหนกั ลงบนสายไม่ใหส้ ายและพวงลูกถว้ ยยกตวั ข้ึน
ง. เพิม่ คา่ แรงดึงในพวงลูกถว้ ยแขวนใหม้ ีความตึงเน่ืองจากการรับแรงตลอดเวลา
จ. ลดแรงส่นั สะเทือนของสายอนั เกิดจากแรงลมปะทะ
34. ขอ้ ใดคือสาเหตุท่ีทาใหเ้ กิดเบรกดาวนท์ ่ีผวิ ลูกถว้ ย
ก. น้าหนกั สายส่ง
ข. แรงดึงของสาย
ค. ความช้ืนและฝ่ นุ ละออง
ง. ชนิดของเสา
จ. ระบบต่อลงดินผดิ ปกติ
35. แนวเขตเดินสายไฟฟ้าคือ
ก. แนวเขตท่ีหา้ มคนเดินผา่ นแนวสายส่งแรงสูง
ข. แนวเขตท่ีกาหนดเพื่อความปลอดภยั ของวงจรสายส่งแรงสูง ชีวติ และทรัพยส์ ิน
ค. แนวเขตแดนที่หา้ มทาการปลูกพืชพนั ธุ์ตามแนวสายส่งแรงสูง อยา่ งเดด็ ขาด
ง. แนวเขตที่กาหนดข้ึนเพอ่ื ความสะดวกในการตรวจวงจรสายส่งแรงสูง
จ. แนวเขตที่กาหนดข้ึนเพ่ือใหเ้ กิดความปลอดภยั เฉพาะกรณีเสาโคน่ ลม้
36. เสาไฟฟ้าขนาดแรงดนั 230 kV มีตน้ ไมห้ ่างจากแนวก่ึงกลางเสา 30 เมตร และสูง 40 เมตร
จะตอ้ งตดั รานก่ิงไมห้ รือไม่
ก. ตดั ใหเ้ หลือความสูง 38 เมตร
ข. ตดั ใหเ้ หลือความสูง 35.4 เมตร
ค. ตดั ใหเ้ หลือความสูง 32 เมตร
ง. ไมต่ อ้ งตดั เนื่องจากอยนู่ อกเขตโคน่ ลม้ เขา้ หาเสา
จ. ไมต่ ดั เพราะความสูงของตน้ ไม้ ไม่เกินระยะปลอดภยั เมื่อเสาไฟโคน่ ลม้
77
เอกสารอ้างองิ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค. ความรู้ทว่ั ไปสาหรับผู้ปฏิบัติงานสถานีไฟฟ้าย่อย (พมิ พ์คร้ังที่ 6).
กองควบคุม เขตจา่ ยกระแสไฟฟ้าฝ่ ายควบคุมระบบกาลงั ไฟฟ้า,2526
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค. คู่มือมาตรฐานการก่อสร้างระบบไฟฟ้า (คร้ังท่ี3). ศูนยฝ์ ึกอบรมการไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาค, 2526.
การไฟฟ้าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย. CDROM กจิ การการไฟฟ้าฝ่ ายผลติ แห่งประเทศไทยต้งั แต่
อดตี -2544. กรุงเทพฯ : กองสารสนเทศฝ่ ายประชาสัมพนั ธ์ ,2544.
ชดั อินทะสี. การส่งและจ่ายกาลงั ไฟฟ้า. กรุงเทพฯ : บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป จากดั , 2540.
ชวลิต ดารงคร์ ัตน์. การส่งจ่ายกาลงั ไฟฟ้า เล่ม 1. กรุงเทพฯ : บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป จากดั , 2541.
โตศกั ด์ิ ทศั นานุตริยะ. การผลติ การส่งจ่ายไฟฟ้ากาลงั . กรุงเทพฯ : บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป จากดั ,
2540.
ธนบูรณ์ ศศิภานุเดช. การป้องกนั ระบบไฟฟ้า Electrical Power System Protection. กรุงเทพฯ :
บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป จากดั ,2538
บณั ฑิต เอ้ืออาภรณ์. การวเิ คราะห์ระบบไฟฟ้ากาลงั เบือ้ งต้น. กรุงเทพฯ : บริษทั แอคทีฟ พริ้นท์
จากดั , 2547.
ประสิทธ์ิ ทิพยพฒั น.์ การป้องกนั ระบบไฟฟ้า Power System Protection (คร้ังท่ี 2).กรุงเทพฯ :
บริษทั ทีซีจี พริ้นติ้ง,,2548.
ประสิทธ์ิ ทิพยพฒั น.์ การออกแบบระบบไฟฟ้า (Electrical System Design). กรุงเทพฯ : บริษทั
ทีซีจี พริ้นติง้ ,2545.
ไวพจน์ ศรีธญั . การส่งและจ่ายไฟฟ้า (คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ : บริษทั พี เอน็ เค แอนด์ สกายพริ้นติ้งส์
จากดั ,2549.
ศุลี บรรจงจิตร. อปุ กรณ์และการติดต้งั ในงานระบบไฟฟ้า.กรุงเทพฯ :บริษทั เอช. เอน็ . กรุ๊ป จากดั ,
2537.
หน่วยท่ี 3
พารามเิ ตอร์ของสายส่งไฟฟ้า
แนวคดิ
เนื่องจากกาลงั ไฟฟ้ากระแสสลบั ท่ีส่งผา่ นระบบการส่งและจ่ายไฟฟ้าที่ไปยงั ผบู้ ริโภคน้นั
จะไมเ่ ท่ากบั ท่ีผลิตไดจ้ ากโรงไฟฟ้า เป็นผลจากความนาของลูกถว้ ย ความตา้ นทานของสายส่งที่
เปล่ียนแปลงตามชนิดวสั ดุ พ้ืนท่ีหนา้ ตดั อุณหภูมิ และผลจากความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้าท่ี
ผา่ นพ้ืนที่หนา้ ตดั สายบริเวณผวิ ตวั นามากกวา่ ตรงกลาง (skin effect) ทาใหค้ วามตา้ นทานสูงข้ึน
(Rac) อีกท้งั สายส่งกาลงั ที่เป็นระบบไฟฟ้ากระแสสลบั มีกระแสไหลตลอดเวลา จึงทาใหเ้ กิดค่า
ความเหน่ียวนา (L) ท้งั ภายในและภายนอกตวั นาท้งั ที่เป็นสายตนั สายตีเกลียว ในระบบ 1 เฟส
และระบบ 3 เฟส วงจรควบ วงจรขนานท่ีมีระยะห่างระหวา่ งสาย ภายในเฟสและต่างเฟสเทา่ กนั
จะเกิดความเหน่ียวนาเท่ากนั ทุกเฟส แต่ถา้ ท่ีมีระยะห่างระหวา่ งสาย ภายในเฟสและต่างเฟสไม่
เทา่ กนั จะเกิดความเหน่ียวนาแตล่ ะเฟสไมเ่ ท่ากนั ซ่ึงสามารถแกใ้ หเ้ ทา่ กนั โดยการสลบั ตาแหน่ง
วางสาย (transpose)ได้ แต่ยงั คงเป็นสาเหตุทาใหแ้ รงดนั ปลายทาง ต่ากวา่ ตน้ ทาง
นอกจากน้นั ยงั เกิดความจุไฟฟ้า (C) ในสายส่งเน่ืองจากสายส่งวางขนานกนั เองและขนาน
กบั ดิน จึงเปรียบเสมือนมีเพลตเก็บประจุไฟฟ้าตามคุณสมบตั ิตวั เก็บประจุไฟฟ้า และมีกระแสผา่ น
(charge ) ตลอดเวลา เป็ นผลทาใหแ้ รงดนั ปลายทางสูงกวา่ ตน้ ทาง คา่ ความจุจะเกิดท้งั ระบบ
1 เฟส 3 เฟส โดยในระบบ 3 เฟส จะมีท้งั วงจรควบ วงจรขนานท่ีมีระยะห่างภายในเฟส
ระหวา่ งเฟสที่เท่ากนั และไม่เท่ากนั แต่แกไ้ ดโ้ ดยการสลบั การวางสาย (transpose) เช่นเดียวกบั
การเกิด ความเหน่ียวนา จึงจะทาใหค้ า่ ความจุเทา่ กนั ทุกเฟส
สาระการเรียนรู้
1. คา่ ความตา้ นทานของสายส่งไฟฟ้า
1.1 ผลของสกินเอฟเฟกต์
2. ค่าความเหนี่ยวนาของสายส่งไฟฟ้า
2.1 ความเหนี่ยวนาของสายที่เกิดจากฟลกั ซ์ภายใน
2.2 ความเหนี่ยวนาของสายที่เกิดจากฟลกั ซ์ภายนอก
2.3 ความเหน่ียวนาของสายส่งในระบบ 1 เฟส 2 สาย
2.4 ความเหนี่ยวนาของสายในระบบ 3 เฟส
2.5 ความเหนี่ยวนาของสายตีเกลียว
2.6 ความเหนี่ยวนาของสายควบ (bundle conductors)
2.7 ความเหน่ียวนาของสายวงจรคู่ ( double circuit )