The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปฐมบทแห่งการศึกษา, การพัฒนาวิชาชีพครูสู่ความเป็นมืออาชีพ, ภาวะผู้นำการเรียนรู้ของครูในอนาคต, บทบาทครู ผู้สร้างความเป็นมนุษย์, ครูกับการสร้างสำนึกความเป็นพลเมือง, ครูวิถีใหม่กับความฉลาดรู้ทางดิจิทัล, ปัจฉิมบท : ครูยุคปฏิรังสรรค์การศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ศรุดา ชัยสุวรรณ, 2022-08-06 01:50:50

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศึกษา

ปฐมบทแห่งการศึกษา, การพัฒนาวิชาชีพครูสู่ความเป็นมืออาชีพ, ภาวะผู้นำการเรียนรู้ของครูในอนาคต, บทบาทครู ผู้สร้างความเป็นมนุษย์, ครูกับการสร้างสำนึกความเป็นพลเมือง, ครูวิถีใหม่กับความฉลาดรู้ทางดิจิทัล, ปัจฉิมบท : ครูยุคปฏิรังสรรค์การศึกษา

Keywords: ความเป็นครู, ปฏิรังสรรค์การศึกษา,ภาวะผู้นำการเรียนรู้,่ครูวิถีใหม

Teacher
in Reinventing Education Era

2 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา

3 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา

4 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา

5 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา

คำนำ

ตำรำ ควำมเป็นครยู ุคปฏิรังสรรค์กำรศึกษำ เล่มนี้ผู้เขียนได้แรงบัลดำลใจจำกประสบกำรณ์
ด้ำนกำรศึกษำของผู้เขียนมำกกว่ำ 20 ปี และจำกแรงกระตุ้นของศำสตรำจำรย์ ดร. ธีระ รุญเจริญ
ซึ่งท่ำนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้กำลังใจและชี้แนะแนวทำงให้ผู้เขียนได้พัฒนำผลงำนวิชำกำรมำโดย
ตลอด ระยะเวลำที่ผ่ำนมำ กอปรกับที่ผู้เขียนเองมีควำมมุ่งมั่นที่จะพัฒนำบัณฑิตทำงกำรศึกษำ
ให้เป็นผู้ที่ประกอบวิชำชีพตำมควำมมุ่งหมำย ผู้เขียนได้เรียบเรียงเนื้อหำจำกกำรค้นคว้ำข้อมูล
จำกแหล่งข้อมูลที่น่ำเชื่อถือได้ ทั้งจำกเอกสำร หนังสือ ตำรำ งำนวิจัย ร่วมกับประสบกำรณ์ใน
กำรจัดกำรเรียนรู้ในสำขำวิชำชีพครูและกำรบริหำรกำรศึกษำของผู้เขียนเอง กำรวิเครำะห์
สังเครำะหแ์ ละปรับปรุงพัฒนำให้มีเนื้อหำควำมรู้ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับวิชำชีพครูในยุคปัจจุบัน อีกทั้ง
ยงั ได้ศึกษำแนวคิดจำกนักวิชำกำรที่เป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญของกำรศึกษำไทย อำทิ ศำสตรำจำรย์
ดร. ธีระ รุญเจริญ, ศำสตรำจำรย์ ดร. ไพฑูรย์ สินลำรัตน์ ตลอดจนอำจำรย์ที่ล่วงลับไปแล้ว คือ
ศำสตรำจำรย์ ดร.เสริมศักดิ์ วิศำลำภรณ์ รำชบัณฑิต และนักกำรศึกษำไทยหลำยๆ ท่ำน เพื่อให้ได้
ตำรำวิชำกำรทีม่ คี วำมทันสมัย มีสำระควำมรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน ผู้เขียนหวังว่ำตำรำ
ควำมเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์กำรศึกษำเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษำ ผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำร
ศกึ ษำ และผู้สนใจทัว่ ไป

ในโอกำสนี้ผู้เขียนขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลำยท่ำนที่ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ จนทำให้
ตำรำเล่มน้ีสำเรจ็ ลลุ ่วงดว้ ยดี ผเู้ ขียนมีเจตนำรมณท์ ีจ่ ะนำตำรำเล่มนี้ไปใช้ประกอบกำรเรียนกำรสอน
ในรำยวิชำ 2581905 คุณธรรมจริยธรรม จรรยำบรรณวิชำชีพครู และรำยวิชำ 2581903 ศำสตร์
กำรสอนและวิธีวิทยำกำรจดั กำรเรียนรู้เชิงสร้ำงสรรค์ ซึ่งเปน็ ส่วนหนึง่ ของหลักสูตรประกำศนียบัตร
บณั ฑติ สำขำวิชำชีพครู คณะกำรจัดกำรกำรศึกษำเชิงสร้ำงสรรค์ สถำบันกำรจัดกำรปัญญำภิวัฒน์
และหลกั สูตรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกบั สำขำวิชำทำงกำรศึกษำ

สุดท้ำยนี้ผู้เขียนขอระลึกถึงพระคุณของบิดำ มำรดำ ที่เป็นแรงบันดำลใจ อบรมสั่งสอนให้
ผู้เขียนเป็นคนดี มีควำมมุ่งม่ัน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือปัญหำใดๆ ตลอดจนครูบำอำจำรย์ที่
ประสิทธิ์ประสำทวิชำทุกระดับช้ัน ขอขอบพระคณุ ผเู้ กี่ยวข้องทกุ ท่ำนไว้ ณ ที่น้ดี ว้ ย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรุดา ชัยสุวรรณ
สิงหาคม พ.ศ. 2565

6 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา

สารบัญ หน้า
1
บทท่ี 1 ปฐมบทแหง่ การศึกษา 3
อำรมั ภบท กำรจัดกำรศกึ ษำ 6
จดุ มงุ่ หมำยกำรศกึ ษำ 15
พฤติกรรมกำรศกึ ษำ 22
แนวคิดเพือ่ กำรปฏิรังสรรค์กำรศกึ ษำ 35
กำรจดั กำรเรียนรู้เชิงสรำ้ งสรรค์ 48
บทสรุป 49
51
บทท่ี 2 การพัฒนาวชิ าชีพครสู ่คู วามเปน็ มืออาชีพ 53
สำรัตถะของวิชำชีพครู 63
จติ วิญญำณแหง่ ควำมเป็นครู 82
กำรพฒั นำวิชำชีพครูในศตวรรษที่ 21 90
ควำมเป็นครมู อื อำชีพ 93
บทสรปุ 95
101
บทท่ี 3 ภาวะผนู้ าการเรียนรูข้ องครูในอนาคต 106
ควำมรแู้ ละกำรเรียนรู้ 108
กำรเปน็ บคุ คลแหง่ กำรเรียนรู้ 116
ภำวะผนู้ ำกำรเรียนรู้
ภำวะผนู้ ำกำรเรียนรู้ของครูในอนำคต
บทสรปุ

7 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา

สารบญั (ตอ่ )

บทท่ี 4 บทบาทครู ผู้สร้างความเป็นมนุษย์ หน้า
บทบำทครู 119
ควำมเป็นมนษุ ย์ 121
ครูผสู้ ร้ำงควำมเป็นมนษุ ย์ 132
บทสรปุ 136
147
บทท่ี 5 ครูกับการสร้างสานึกความเปน็ พลเมือง 149
หนำ้ ทีแ่ ละควำมรบั ผดิ ชอบของครู 151
ควำมเปน็ พลเมือง 167
ควำมเปน็ พลเมืองตื่นรู้ 181
บทสรปุ 188
191
บทท่ี 6 ครูวิถีใหมก่ ับความฉลาดรู้ทางดิจิทัล 194
ควำมเปน็ ครูวิถีใหม่ 199
ควำมเปน็ พลเมืองดิจทิ ัล 210
ควำมฉลำดรู้ของครใู นยคุ ดิจทิ ัล 214
บทสรุป 215
217
บทท่ี 7 ปัจฉิมบท : ครยู ุคปฏิรังสรรค์การศึกษา 220
ปรำกฏกำรณ์ของโลกทีเ่ ปลี่ยนแปลง 226
ปรำกฏกำรณ์ของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลง 229
ปรำกฏกำรณ์ของครทู ี่ต้องเปลีย่ นแปลง 238
ครยู คุ ปฏิรงั สรรคก์ ำรศกึ ษำ
บทสรปุ

8 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา

สารบญั (ตอ่ )

บรรณานกุ รม หน้า
ดัชนีค้นคา 239
ประวตั ิผูเ้ ขียน 265
281

9 ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา

สารบญั ตาราง

ตาราง 1 ระดับของจุดประสงค์ทำงกำรศกึ ษำ หน้า
9
ตาราง 2 Bloom’s Taxonomy 20
160
ตาราง 3 ประเภทของควำมสำนึกรับผิดชอบ
ตาราง 4 จำนวนและร้อยละของคดีเด็กและเยำวชนที่ถกู ดำเนินคดีโดยสถำน 172

พินจิ ฯ ท่วั ประเทศ ปีงบประมำณ 2562 จำแนกตำมระดับกำรศกึ ษำ 172
ตาราง 5 จำนวนและร้อยละของคดีเดก็ และเยำวชนทีถ่ ูกดำเนินคดีโดยสถำน

พินจิ ฯ ทั่วประเทศ ปีงบประมำณ 2562 จำแนกตำมอำชีพ

10

ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

สารบัญภาพประกอบ

ภาพประกอบ 1 กลวิธีในกำรจดั กำรใหก้ ำรศึกษำบรรลุเป้ำหมำยของกำรพัฒนำ หน้า
คนใหเ้ กิดกำรพัฒนำที่ย่งั ยืน
5
ภาพประกอบ 2 ไตรยำงค์กำรจัดกำรเรยี นรู้ 11
ภาพประกอบ 3 ทฤษฎีกำรจำแนกกำรเรียนรู้ของบลูม แบบเก่ำ และแบบใหม่ 19
ภาพประกอบ 4 ครใู นศตวรรษใหม่จะสอนอย่ำงไร 25
ภาพประกอบ 5 ขั้นตอนของกำรจัดกำรเรียนรแู้ บบสร้ำงองค์ควำมรู้ 30
ภาพประกอบ 6 ควำมสัมพนั ธ์ของ Constructionism และ Constructivism 32
ภาพประกอบ 7 วิธีกำรเรียนกำรสอนแบบ CCPR Model 42
ภาพประกอบ 8 Assessing Twenty First Century Skills: A Guide to Evaluation
78
Mastery And Authentic Learning 80
ภาพประกอบ 9 ครไู ทย 4.0 83
ภาพประกอบ 10 ครมู ืออำชีพ 97
ภาพประกอบ 11 ข้ันตอนกำรเกิดควำมรู้ 104
ภาพประกอบ 12 ทักษะพืน้ ฐำนสำคญั ต่อกำรเป็นบุคคลแหง่ กำรเรยี นรู้ 177
ภาพประกอบ 13 จดุ เริม่ ต้นของกำรสร้ำงควำมเปน็ พลเมือง 223
ภาพประกอบ 14 กระบวนทศั นใ์ หม่เรียนรู้แนวใหมเ่ พือ่ เป็นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ 225
ภาพประกอบ 15 สมรรถนะเดก็ ไทยในยคุ โลกพลิกผนั (VUCA World) 234
ภาพประกอบ 16 รปู แบบกรอบควำมคิดของ Carol S. Dweck 237
ภาพประกอบ 17 ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ำรศกึ ษำ

บทที่ 1

ปฐมบทแหง่ การศึกษา

2 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา

3 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา

บทที่ 1
ปฐมบทแห่งการศึกษา

โลกที่เปลี่ยนแปลงไปภำยใต้ควำมเจริญและกำรก้ำวล้ำทำงเทคโนโลยี แม้แต่สิ่งที่ปรำกฏ
ขนึ้ ท่ำมกลำงอำรยธรรมที่ปรำกฏคงปฏิเสธไม่ได้ว่ำเป็นผลของ “กำรศึกษำ” ที่ได้ป้ันแต่งให้มนุษย์ได้
มีกำรดำรงชีวิตในวิถีทำงแห่งอำรยธรรมของแต่ละชำติ เพรำะ “กำรศึกษำ” ช่วยให้มีกำรสืบทอด
แบบอย่ำงและคุณงำมควำมดีของคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นหลัง อีกท้ังยังช่วยพัฒนำแบบอย่ำงดังกล่ำวให้
เจริญงอกงำมยิ่งๆ ขึ้นไป กำรศึกษำช่วยให้มนุษย์รู้จักปรับตัวเองให้เข้ำกับสิ่งแวดล้อม และช่วยให้
มนุษย์รู้จักปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมำะสมกับตัวเอง ช่วยให้กำรดำรงชีวิตของตนดีขึ้น เป็นสมำชิกที่ดี
ของสังคม เป็นคนมีคุณภำพ คุณธรรม และมนุษยธรรม กล่ำวคือ กำรศึกษำเป็นพื้นฐำนที่สำคัญ
ที่สุดที่ช่วยสร้ำงจิตสำนึกในกำรเป็นมนุษย์ มีจิตวิญญำณของผู้มีอำรยธรรมทำงปัญญำ และควำม
งดงำมทำงจิตใจ กำรศกึ ษำสร้ำงให้คนมีควำมรใู้ นกำรดำรงชีวติ กำรประกอบอำชีพ มีควำมอดทนใน
กำรต่อสู้กับอุปสรรคของชีวิต กำรศึกษำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกวัย ถ้ำนิยำมกำรศึกษำว่ำ
กำรศกึ ษำคือชีวติ กห็ มำยควำมว่ำ กำรศึกษำเป็นองค์ประกอบหลักของกำรพัฒนำชำติบ้ำนเมือง ใน
แง่วำ่ ทกุ ชีวติ รวมกันเปน็ ชำติ ผู้เขียนจึงขอเกริ่นนำถึงปฐมบทแห่งกำรศึกษำ โดยเริ่มจำกอำรัมภบท
กำรจัดกำรศกึ ษำ จุดมุ่งหมำยกำรศกึ ษำ พฤติกรรมกำรศึกษำ แนวคิดเพื่อกำรปฏิรังสรรค์กำรศึกษำ
และกำรจัดกำรเรียนรเู้ ชงิ สรำ้ งสรรค์ ตำมลำดับ

อารัมภบท การจดั การศึกษา

กำรจัดกำรศึกษำเป็นเคร่ืองมือที่สำคัญในกำรพัฒนำคุณภำพชีวิต ช่วยหล่อหลอม
ควำมเป็นมนุษย์ให้สำมำรถอยู่ในสงั คมได้ สถำนศึกษำจึงเปรียบเสมือนเบ้ำหรือกรอบที่จะปั้นแต่งให้
กำรจดั กำรศกึ ษำให้สอดคล้องกบั ควำมตอ้ งกำรของชำติ กำรศกึ ษำจงึ เปน็ สิง่ ที่คนในสังคมหวังพึ่งพำ
ให้เป็นปัจจัยนำไปสู่กำรแก้ไขและป้องกันภำวะวิกฤตนำนำประกำร ทั้งนี้กำรจัดกำรศึกษำของ
ประเทศนน้ั จงึ ตอ้ งมคี วำมสอดคลองกับแผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ มีกำรออกแบบเพื่อ
เพิ่มควำมสำมำรถของมนุษย์สำหรับกำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเพื่อเพิ่มขีดควำมสำมำรถในกำร
แข่งขันของประเทศท่ำมกลำงกำรแข่งขันในโลกที่รุนแรงขึ้นมำก โดยกำหนดเป้ำประสงค์หลักของ
กำรจดั กำรศกึ ษำและกลไกกำรขบั เคลือ่ นที่ชัดเจน

4 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา

ความหมายของการศึกษา
ปกติคนท่ัวไปมักเข้ำใจว่ำ กำรศึกษำ (Education) คือ กำรไปโรงเรียน หรือสถำนศึกษำที่มี
ชื่อเรียกต่ำงๆ กัน เช่น วิทยำลัย มหำวิทยำลัย ตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษำ ระดับประถมศึกษำ
มัธยมศึกษำและอุดมศึกษำ ซึ่งนับว่ำเป็นควำมหมำยที่แคบ ทั้งนี้เพรำะกำรศึกษำในโรงเรียนหรือ
สถำนศึกษำต่ำงๆ ดังกล่ำวเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของกำรศึกษำเท่ำน้ัน คำว่ำ “กำรศึกษำ”
พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. 2554 (รำชบัณฑิตยสภำ, 2556) ให้ควำมหมำยว่ำ
“กำรเล่ำเรียน กำรฝึกอบรม” เป็นคำที่ใช้ในควำมหมำยตรงกับคำในภำษำอังกฤษว่ำ “Education”
นอกจำกนี้ยังเป็นคำที่ใช้ในวงกว้ำง หมำยถึง ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่ไม่เจำะจงส่วนใหญ่มิได้มี
กำรวำงแผน เกิดข้ึนอย่ำงไม่เป็นทำงกำร ในภำษำไทยใช้คำว่ำ “ศกึ ษำ” ซึง่ เป็นภำษำสันสกฤต แต่พอ
เป็นภำษำบำลี กลำยเป็น “สิกขำ” เม่ือแยกศัพท์ออกมำ มำจำกคำว่ำ สะ+อิกขะ+อำ สะ ในภำษำ
บำลี แปลว่ำ ตัวเอง อิกขะ แปลว่ำ มอง, พิจำรณำ, เห็น พุทธทำสภิกขุ กล่ำวว่ำ “กำรศึกษำ คือ
กำรปฏิบัติศีล สมำธิ และปัญญำ กำรศึกษำที่สมบูรณ์ต้องทำควำมเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องแล ะ
สมบูรณ์”
กำรศึกษำ (Education) ในมำตรำ 4 ของพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542
และที่แก้ไขเพิม่ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มีควำมหมำยว่ำ “กระบวนกำรเรียนรู้เพื่อควำมเจริญงอก
งำมของบุคคลและสังคมโดยกำรถ่ำยทอดควำมรู้ กำรฝึก กำรอบรม กำรสืบสำนทำงวัฒนธรรม
กำรสร้ำงสรรค์จรรโลงควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำกำร กำรสร้ำงองค์ควำมรู้อันเกิดจำกกำรจัด
สภำพแวดล้อม สังคมกำรเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่ำงต่อเนื่องตลอดชีวิต ”
และมำตรำ 15 ได้กำหนดระบบกำรศึกษำ ในกำรจัดกำรศึกษำมีสำมรูปแบบ คือ กำรศึกษำในระบบ
กำรศกึ ษำนอกระบบ และกำรศกึ ษำตำมอัธยำศัย (สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ, 2546)
กำรจัดกำรศกึ ษำในภำพรวมเป็นเร่อื งที่สงั คมและผรู้ ับผิดชอบในกำรจัดกำรศึกษำทุกระดับ
ต้องร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดขึ้นได้บรรลุเป้ำหมำยและวัตถุประสงค์ของกำรจัดกำรศึกษำได้อย่ำงมี
ประสิทธิภำพและมีประสิทธิผล
จำกที่กล่ำวมำ สำมำรถสรุปได้ว่ำ กำรศึกษำเป็นกระบวนกำรขัดเกลำจิตใจให้บุคคล
กระทำสิ่งดีงำม พฒั นำควำมนกึ คิดจำกระดับพื้นฐำนจนถึงระดับสูงสุด เพื่อส่งเสริมให้บุคคลมีควำม
เจริญงอกงำมทำงจิตใจ พัฒนำทักษะ และสติปัญญำให้เป็นสมำชิกของสังคมที่มีคุณธรรมสูง เพื่อ
นำไปใช้ในวิถีชีวติ ของแต่ละบุคคลใหอ้ ยู่ในสังคมได้อย่ำงมคี วำมสุขและมีคณุ ธรรม

5 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา

สงั คมทีม่ ีกำรพฒั นำที่ย่ังยืนจึงต้องอำศัยกำรศึกษำเป็นกลไกในกำรดำเนินกำร ซึ่งกลวิธีใน
กำรจัดกำรให้กำรศึกษำบรรลุเป้ำหมำยของกำรพัฒนำคนให้เกิดกำรพัฒนำที่ย่ังยืน จะมีกลวิธีใน
กำรดำเนินงำนที่สำมำรถสรุปเป็นผงั ได้ (กำญจนำ เงำรงั ษี, 2559) ดงั น้ี

ภาพประกอบ 1 กลวิธีในกำรจัดกำรใหก้ ำรศึกษำบรรลเุ ป้ำหมำยของกำรพฒั นำคนให้
เกิดกำรพัฒนำที่ยัง่ ยืน

ทม่ี า: กำญจนำ เงำรังษี. (2559). กำรศกึ ษำกับกำรพัฒนำทีย่ ั่งยืน. วารสารสมาคม
นกั วิจัย. หนำ้ 18.

6 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา

อำจกล่ำวได้ว่ำ กำรศึกษำ เป็นกระบวนกำรสร้ำงคนให้มีควำมรู้ ควำมสำมำรถ มีทักษะ
พื้นฐำนที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงำม มีควำมพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีควำม
พร้อมที่จะประกอบกำรงำนอำชีพได้ กำรศึกษำช่วยให้คนเจริญงอกงำม ทั้งทำงปัญญำ จิตใจ
ร่ำงกำยและสงั คม กำรศกึ ษำจงึ เป็นควำมจำเป็นของชีวติ อีกประกำรหน่งึ นอกเหนอื จำกควำมจำเปน็
ด้ำนที่อยู่อำศัย อำหำรเครือ่ งนุ่งหม่ และยำรกั ษำโรค กำรศึกษำช่วยแก้ปัญหำทุกๆ ด้ำนของชีวิตและ
เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิต ในโลกที่มีกระแสควำมเปลี่ยนแปลงทำงด้ำนวิทยำศำสตร์และ
เทคโนโลยีอย่ำงรวดเรว็ และส่งผลกระทบให้วิถีดำรงชีวติ ต้องเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเรว็

สรุปได้ว่ำ กำรศึกษำมีควำมสำคัญ ในกำรพัฒนำคนของชำติ เป็นเข็มทิศของควำมเจริญ
งอกงำมของประเทศชำติ ให้คนรู้เท่ำทันคน ช่วยเสริมสร้ำงประสบกำรณ์ด้ำนจิตพิสัย ซึ่งมุ่งกำรจัด
กำรศึกษำในด้ำนคุณธรรมจริยธรรม มุ่งชำระจิตใจให้ปรำศจำกโลภะ โทสะ โมหะ และมุ่งให้เป็นผู้ที่
คิดดี ใฝ่ดี ประสงค์ดี และด้ำนทักษะพิสัย ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดควำมชำนำญในวิชำชีพ มีควำมรู้
ควำมเชีย่ วชำญ ซึ่งหำกได้รบั กำรยอมรับก็สำมำรถนำไปประกอบอำชีพก่อให้เกิดผลลัพธ์ตำมมำ คือ
ได้รับเกียรติยศชื่อเสียง ได้รับค่ำตอบแทนที่เป็นเงินเดือน เป็นค่ำเลี้ยงชีวิตตำมหลักครรลองคลอง
ธรรมโดยชอบหรือสัมมำอำชีวะ (Right Living)

จุดมุง่ หมายการศกึ ษา

กำรจดั กำรศกึ ษำ ตอ้ งดำเนินไปอย่ำงมจี ุดมงุ่ หมำย ภำยใต้กรอบกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน
ดังน้ัน กำรจัดกำรศึกษำจึงต้องกำหนดจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ เพื่อเกิดกำรเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมของผู้เรียน ที่เรียกว่ำ พฤติกรรมกำรศึกษำ กำรกำหนดจุดมุ่งหมำยกำรศึกษำที่ชัดเจนจะ
ทำให้ครูสำมำรถหำวิธีสอนได้เหมำะสมเพื่อใช้เป็นแนวทำงในกำรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้วิเครำะห์และ
ประเมิน เพรำะจุดมุ่งหมำยที่กำหนดขึ้นจะเป็นแนวทำงในกำรกำหนดเนื้อหำ กำรเลือกวิธี
สอน กิจกรรมกำรเรียนกำรสอน ตลอดจนกำรวดั ผล จงึ ควรมลี ักษณะที่ชัดเจนและเป็นไปได้ในเชิง
ปฏิบัติ รู้วำ่ ต้องสอนอะไร เรยี นอะไร และจะต้องวดั อะไรบ้ำง ใช้วธิ ีกำรอย่ำงไรและมำกน้อยระดบั ใด

1. ความหมายและระดับของจุดประสงค์
โดยท่ัวไป จดุ ประสงค์มหี ลำยระดับ คำศัพท์ภำษำองั กฤษทีใ่ ชใ้ นแต่ละระดับก็มีหลำย

คำ เช่น Educational Objectives, Educational Aims, Educational Goals ซึ่งแต่ละคำมีขอบเขต
ของกำรใช้แตกต่ำงกนั และเมอ่ื นำไปใช้ในภำษำไทยมักจะใช้ไม่คอ่ ยถกู ต้องกบั ขอบเขตดั้งเดิม ดังจะ
เหน็ ได้จำก นกั วิชำกำรชำวอเมริกันหลำยคนจะแบ่งจุดประสงค์ของกำรศกึ ษำออกเป็น 3 ระดบั
ใหญ่ๆ โดยเรียงลำดบั ดงั น้ี

7 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา

Philosophy Aims Goals Objectives

ควำมหมำยของจดุ ประสงค์แต่ละระดบั มีดังน้ีคือ
1.1 ความมุ่งหมายของการศึกษา (Educational Aims) เป็นจุดประสงค์ปลำยทำง
สูงสุดที่ยึดเป็นหลักในกำรจัดกำรศึกษำและหลักสูตร เป็นควำมมุ่งหมำยในระดับชำติ และมี
ควำมหมำยกว้ำงที่สุดหรือระดับใหญ่ที่สุด เห็นผลได้ในระยะยำว นอกจำกนี้ยังสะท้อนถึงปรัชญำ
และค่ำนิยมทำงกำรศกึ ษำของประเทศที่ยึดถืออยู่
1.2 เป้าประสงค์ของการศึกษา (Educational Goals) เป็นระดับรองลงมำจำก
ควำมมุ่งหมำยของกำรศึกษำ (Educational Aims) และต้องกำหนดให้สอดคล้องกับควำมมุ่งหมำย
ของกำรศึกษำด้วย นอกจำกนี้ ยังเป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกจุดประสงค์ในระดับโรงเรียนและสถำบัน
โพสเตอร์ได้ให้ควำมหมำยว่ำ เป็นผลที่ต้องกำรจำกกำรศึกษำหลำยปีในโรงเรียนและผ่ำนเนื้อหำ
สำระต่ำงๆ ในระบบโรงเรียนไม่แสดงกำรเรียนรู้ที่ต้องกำรให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน แต่จะอธิบำย
คุณลกั ษณะต่ำงๆ ที่ต้องกำรของผู้เรยี นหลงั จำกที่ได้รับกำรศกึ ษำแล้ว
1.3 จุดประสงค์ของการศึกษา (Educational Objectives) เป็นระดับรองลงมำ
จำก เป้ำประสงค์ของกำรศึกษำ (Educational Goals) และมีควำมหมำยเป็นรูปธรรมมำกขึ้น ชัดเจน
ขึ้นและเฉพำะเจำะจงมำกขึ้น ซึ่งโรงเรียนหรือครูผู้ใช้หลักสูตรสำมำรถนำไปปฏิบัติได้ สำหรับใน
บริบทไทยนั้น ได้แบ่งระดับจุดประสงค์ของกำรศึกษำคล้ำยคลึงกับนักวิชำกำรชำวอเมริกัน เพียงแต่
กำรใชค้ ำศัพท์ในบำงระดบั แตกต่ำงกัน ขอบเขตของจุดประสงค์แต่ละระดับเรียงลำดับกว้ำงที่สุดไปสู่
แคบที่สุดมดี ังน้ี

1.3.1 ระดับชาติ นิยมใชค้ ำวำ่ เป้ำประสงค์ (Goals) เป็นควำมมุ่งหมำยระดบั
สูงสุดที่สะท้อนถึงปรัชญำและอุดมกำรณ์ของชำติในกำรจัดกำรศึกษำ มีควำมหมำยเหมือนกับ
“Educational Aims” ทีไ่ ด้กล่ำวมำแล้วขำ้ งตน้

1.3.2 ระดบั การศึกษาหรอื ประเภทการศึกษา นิยมใชค้ ำวำ่ จุดมงุ่ หมำย
(Purposes) เป็นจุดประสงค์ปลำยทำงที่มุ่งหวังในระดับรองลองมำจำก“เป้ำประสงค์” เป็นผลที่
ต้องกำรจำกกำรศึกษำในระดับหรือประเภทของกำรศึกษำนั้นๆ เช่น จุดมุ่งหมำยของประถมศึกษำ
มัธยมศกึ ษำ อดุ มศึกษำ เป็นต้น มักปรำกฏอยู่ในแผนกำรศึกษำแห่งชำติ แผนพัฒนำกำรศึกษำ หรือ
หลักสตู รในระดบั น้ันๆ

8 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา

1.3.3 ระดับหลักสูตร นิยมใช้คำว่ำ จดุ หมำย (Aims) เปน็ ควำมมุ่งหมำย
ระดบั รองลงมำจำก “จุดมงุ่ หมำย” เปน็ ผลหรือคุณลักษณะต่ำงๆ ที่ต้องกำรให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนเม่ือ
จบกำรศึกษำตำมหลักสูตรนั้นๆ เป็นจุดมุ่งหมำยที่ค่อนข้ำงแคบและเฉพำะกว่ำ “จุดมุ่งหมำย” เช่น
ในกำรศกึ ษำขั้นพ้ืนฐำนจะมีกำรแบ่งตำมกลุ่มสำระวิชำ ส่วนระดับอุดมศึกษำ มีกำรแบ่งประเภทหรือ
สำขำวิชำเฉพำะมำกมำย จุดหมำยของหลักสูตรประเภทต่ำงๆ เช่น หลักสูตรสำขำวิชำบริหำร
กำรศกึ ษำ หลกั สูตรสำขำวิชำนิเทศกำรศกึ ษำและพฒั นำหลกั สตู ร ฯลฯ

1.3.4 ระดับกลุ่มวิชา/ กลุม่ ประสบการณ์ นิยมใชค้ ำวำ่ จดุ ประสงค์ทวั่ ไป
(Subject Area Objectives) ในแต่ละระดับกำรศึกษำ จะพบว่ำมีวิชำต่ำงๆ ซึ่งสำมำรถจัดเป็นกลุ่ม
วิชำหรือกลุ่มประสบกำรณ์ จุดประสงค์ของกำรศึกษำในระดับกลุ่มวิชำ/ กลุ่มประสบกำรณ์ จึงเป็น
ผลที่ต้องกำรให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนเม่ือเรียนจบกลุ่มวิชำ กลุ่มประสบกำรณ์ต่ำงๆ ในระดับช้ันหรือ
หลักสูตรนั้นๆ จุดประสงค์ตั้งแต่ระดับนี้ลงไปจะมีควำมหมำยชัดเจนและละเอียดถึงขั้นปฏิบัติได้
รวมท้ังยงั เปน็ จดุ ประสงค์ทีเ่ กี่ยวข้องกับครแู ละผเู้ รียนมำกทีส่ ดุ

1.3.5 ระดบั รายวิชา นิยมใชค้ ำวำ่ “จดุ ประสงคร์ ำยวิชำ” (Course Objectives)
เป็นผลทีต่ อ้ งกำรใหเ้ กิดข้ึนกบั ผเู้ รียนเมือ่ เรียนจบรำยวิชำนั้นๆ

1.3.6 ระดับการเรียนการสอน นิยมใชค้ ำวำ่ “จุดประสงคก์ ำรเรียนรหู้ รอื
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม” (Instructional Objectives or Behavioral Objectives) เป็นผลที่ต้องกำร
ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เม่ือเรียนจบหน่วยกำรเรียนหนึ่งๆ (Units) หรือบทเรียนหนึ่งๆ (Lessons)
ในห้องเรียนนิยมเขียนเป็นข้อควำมในรูปของพฤติกรรมที่สำมำรถวัดได้อย่ำงชัดเจน กำรเขียนหรือ
กำหนดจุดประสงค์กำรเรียนรู้มักจะขยำยจำกจดุ ประสงคร์ ำยวิชำ จุดประสงค์กำรเรียนรู้บำงข้ออำจ
พิจำรณำขยำยจำกจุดประสงค์ของรำยวิชำมำกกว่ำ 1 ข้อกไ็ ด้

9 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา

ตาราง 1 ระดบั ของจุดประสงค์ทำงกำรศกึ ษำ

ระดบั คาศัพท์ทใ่ี ช้ ตัวอยา่ ง
จดุ ประสงค์
ระดบั ชำติ เป้ำประสงค์ (Goals) คนไทยทุกคนมีสิทธิเท่ำเทียมกันที่จะได้รับ

ระดบั กำรศกึ ษำ กำรศึกษำและพัฒนำชีวิตตำมควำมสำมำรถของ

ระดบั หลักสูตร ตนอย่ำงเต็มที่ คนไทยย่อมมีโอกำสปรับปรุงให้
ระดบั กลุ่มวชิ ำ
ระดับรำยวิชำ รอดพ้นจำกควำมทุกข์ยำกและควำมเขลำ รู้รอบ
ระดับกำรเรียน
กำรสอน เท่ำทันกับควำมเปลี่ยนแปลง

จดุ มงุ่ หมำย (Purposes) มุ่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนำคุณธรรมควำมรู้

คว ำม สำ มำ รถ แล ะทั กษ ะต่ อจ ำก ระ ดั บ

ประถมศึกษำ ให้ผู้เรียนได้ค้นพบควำมต้องกำร

ควำมสนใจ และควำมถนัดของตนเองทั้งในด้ำน

วิชำกำรและวิชำชีพ (ระดับมัธยมตอนตน้ )

จดุ หมำย (Aims) เพื่อให้มีควำมรู้และทักษะในวิชำสำมัญและทัน

ต่อควำมเจรญิ ก้ำวหน้ำทำงวิทยำกำรตำ่ งๆ

(ข้อ 1 : จดุ มงุ่ หมำยหลกั สตู รมัธยมตอนตน้ )

จดุ ประสงค์ (ทั่วไป) เพื่อให้มีควำมรู้ควำมเข้ำใจในเร่ืองหลักภำษำ

(Subject Area และควำมสำมำรถใช้ภำษำได้ถูกต้องเหมำะกับวัย

Objectives) (กลุ่มวชิ ำภำษำไทย)

จุดประสงค์ (รำยวิชำ) เพื่อให้มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ และเห็นคุณค่ำของ

(Course Objectives) วรรณกรรมพืน้ บ้ำน (รำยวิชำนิทำนพ้ืนบ้ำน)

จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ / เม่ือกำหนดสิ่งของสองหมู่ สำมำรถบอกจำนวน

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ของท้ังหมดเม่ือนำมำรวมกันได้ (บทเรียนเร่ือง

(Instructional กำรบวก ในวิชำคณิตศำสตร์)

Objectives / Behavioral

Objectives)

10

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

จุดมุ่งหมำย คือ จุดที่ต้องพยำยำมไปให้ถึง เป็นสิ่งที่หวังไว้ในอนำคต เป็นเคร่ืองบอก
ทิศทำงให้ผู้ทำงำนอย่ำงหนึ่งพยำยำมไปให้ถึงจุดน้ัน เปรียบเสมือนผู้กำหนดทิศทำงดังน้ันจุดมุ่งหมำย
ทำงกำรศึกษำ จึงเป็นกำรกำหนดทิศทำงของกิจกรรมทำงกำรศึกษำให้ได้ดังที่พึงประสงค์ไว้ เพื่อใช้
เปน็ แนวทำงในกำรกำหนดเนือ้ หำ กำรเลือกวิธีสอน กิจกรรมกำรเรียนกำรสอน ตลอดจนกำรวัดผล
จึงควรมีลักษณะที่ชัดเจนและเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติ สิ่งที่สำคัญอยู่ตรงที่ว่ำต้องรู้ให้แน่ชัดเสียต้ังแต่
ต้นวำ่ วิชำนี้ บทนี้ จะต้องวดั อะไรบ้ำง จะต้องวัดมำกน้อยอย่ำงละเท่ำไร และจะต้องวัดด้วยวิธีใดซึ่ง
จัดว่ำเป็นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดของกระบวนกำรวัดผล ดังนั้นกำรที่จะตอบคำถำมดังกล่ำวน้ันได้ จึง
จำเป็นที่จะต้องรู้ถึงจุดมุ่งหมำยของวิชำ หรือบทเรียนน้ันเสียก่อนว่ำต้องกำรให้เกิดสิ่งใดกับผู้เรียน
บ้ำง จงึ จะสำมำรถทำกำรวัดได้อย่ำงถูกต้อง หำกพิจำรณำจำกกระบวนกำรสอนที่เรียกว่ำ OLE จะ
ประกอบด้วย

1. O = Objective = จุดมงุ่ หมำย
2. L = Learning Experience = กำรจัดประสบกำรณก์ ำรเรียนกำรสอน
3. E = Evaluation = กำรประเมินผล

กระบวนกำรกำรเรียนรู้เป็นกระบวนกำรพัฒนำคนที่มุ่งประโยชน์ของคนเป็นหลัก เน้น
กระบวนกำรคิดและปฏิบัติจริง โดยกำรเรียนรู้จำกองค์ควำมรู้ต่ำงๆ ผ่ำนผู้รู้ สื่อ เทคโนโลยี
สำรสนเทศ แหล่งกำรเรียนรู้และภูมิปัญญำท้องถิ่น อย่ำงสอดคล้องตำมควำมสำมำรถ ควำมถนัด
และควำมสนใจของคนนนั้ ๆ ซึง่ เป็นกระบวนกำรเรียนรู้ทีท่ ำให้คนมคี วำมสขุ และสำมำรถนำสิ่งเรียนรู้
ไปใช้ประโยชน์ในกำรสรำ้ งสรรค์ ดงั น้ี

1. กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ เป็นสื่อกลำงระหว่ำงผู้เรียนกับผู้จัดกำรเรียนรู้ จำเป็นต้อง
อำศัยองค์ประกอบของกำรจัดกำรเรียนรู้ เพรำะกำรจัดกำรเรียนรู้ต้องทำตำมระบบ มีทั้งระบบกำร
ทำงำน ระบบกำรสื่อสำร/ สื่อควำมหมำย เพรำะองค์ประกอบของกำรจัดกำรเรียนรู้มี 4 ส่วน คือ
ผู้จัดกำรเรียนรู้ เนื้อหำ สื่อกำรเรียนรู้ และผู้เรียนรู้ จึงเปรียบเสมือนกระบวนกำร 3 เส้ำ เรียกว่ำ
ไตรยำงค์กำรจดั กำรเรยี นรู้ (OLE)

11

ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ภาพประกอบ 2 ไตรยำงค์กำรจดั กำรเรียนรู้ จำก หลักและเทคนิคการสอน
ระดับอดุ มศกึ ษา

ทม่ี า: ไพฑรู ย์ สินลำรตั น์. (2557 ก.). หลักและเทคนิคการสอนระดับอดุ มศกึ ษา.
หนำ้ 106.

จำกภำพประกอบ 2 ไตรยำงค์กำรจัดกำรเรียนรู้ จะเห็นได้อีกว่ำองค์ประกอบท้ัง 3 ส่วน มี
ควำมเกีย่ วข้องตอ่ เนือ่ งกัน คือ

1. จุดมุ่งหมำย (Objective) กำรเรียนกำรสอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดควำมเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมตำมจุดประสงค์ที่กำหนดไว้โดยเน้นที่เป้ำหมำยของกำรสอน ซึ่งกำรเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมท้ัง 3 ด้ำน ได้แก่ ด้ำนควำมรู้ ควำมคิด (ด้ำนพุทธิพิสัย) ด้ำนเจตคติ
(ด้ำนจติ พิสยั ) คือกำรได้เห็นคณุ ค่ำ เห็นควำมสำคญั และด้ำนทักษะ (ด้ำนทักษะพิสัย) คือ กำรปฏิบัติ
ได้ถูกต้องตำมวัย ดังน้ันในกำรสอนจึงต้องตั้งจุดมุ่งหมำยให้ผู้เรียนเกิดกำรพัฒนำทั้ง 3 ด้ำน มิใช่
เพียงด้ำนใดด้ำนหนึ่งเพียงด้ำนเดียวจึงจะถือว่ำเป็นกำรสอนที่สมบูรณ์ ตลอดจนมุ่งให้ผู้เรียน
สำมำรถนำประสบกำรณ์ใหมไ่ ปใช้ได้

2. กำรเรียนกำรสอน (Learning Experience) เป็นกิจกรรมที่สำคัญในกระบวนกำรทำง
กำรศึกษำ เพรำะเป็นกำรนำหลักสูตรไปใช้ปฏิบัติให้บรรลุจุดมุ่งหมำยที่ได้กำหนดไว้ คุณภำพของ
กำรศกึ ษำจะดีหรือไมน่ ้ันขึน้ อยู่กับกำรสอนเป็นสำคัญ ซึ่งจะทำหน้ำที่พัฒนำและเสริมสร้ำงผู้เรียนให้
เกิดกำรเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม และมีประสบกำรณก์ ำรเรียนรเู้ พิม่ ขึน้

3. กำรประเมินผล (Evaluation) เป็นกำรติดตำมผลกำรจัดกำรเรียนกำรสอนว่ำผู้เรียน
บรรลผุ ลมำกน้อยเพียงใด ตำมธรรมชำติของผู้เรียนแต่ละคนขึ้นอยู่กับกำรพัฒนำทำงสติปัญญำและ
ทำงร่ำงกำย ซึ่งมีควำมแตกต่ำงกัน กำรประเมินผลกำรเรียนจะเชื่อมโยงกับจุดมุ่งหมำยทำงกำร
ศกึ ษำและวิธี

12

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

จำกไตรยำงค์กำรจัดกำรเรียนรู้ ยังสำมำรถวิเครำะห์จำกองค์ประกอบของกำรจัดกำร
เรียนรู้ได้ 2 แนวทำง ดังน้ี

1) มองในภำพรวม องค์ประกอบของกำรเรยี นรู้ทั่วไป เม่อื มีกำรจดั กำรเรียนรู้ที่สมบูรณ์
ต้องมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คอื ผู้จดั กำรเรียนรู้ ผเู้ รียน และหลกั สูตร

2) มองในสภำพของกำรปฏิบตั ิ กำรจดั กำรเรยี นรู้จริง จะสมบูรณ์ได้ตอ้ งมีองค์ประกอบ
ครบถ้วนอย่ำงน้อย 7 ส่วน คือ ผู้จัดกำรเรียนรู้ ผู้เรียนรู้ หลักสูตร จุดประสงค์กำรเรียนรู้ วิธีกำร
จดั กำรเรยี นรู้ สอ่ื กำรเรียนรู้ และกำรวดั ประเมินผล

2. กำรจดั กำรเรียนรู้ตอ้ งยึดผู้เรยี นเป็นสำคญั ดงั น้ันผู้จัดกำรเรียนรตู้ ้องคำนงึ ถึง คือ
2.1 สมองของมนุษย์มศี ักยภำพในกำรเรียนรู้สูงสุด เพรำะมนุษย์สำมำรถเรียนรู้สิ่งต่ำงๆ

ได้ตอ้ งอำศัยสมองและระบบประสำทสัมผัส ซึ่งเป็นพื้นฐำนของกำรเรียนรู้ ดังนั้นผู้จัดกำรเรียนรู้ต้อง
สนใจและเปิดโอกำสให้ผู้เรยี นรู้ และพฒั นำควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงสมองจติ ใจ และสขุ ภำพองค์รวม

2.2 ควำมหลำกหลำยของสติปัญญำ ผเู้ รียนรู้แต่ละคนมีควำมสำมำรถแตกต่ำงกัน และ
มีรปู แบบกำรพัฒนำเฉพำะตัวบุคคล กำรจัดกำรเรยี นรู้จึงควรจัดกิจกรรมที่หลำกหลำย เพื่อส่งเสริม
ศกั ยภำพควำมสำมำรถของผเู้ รียนเปน็ รำยบุคคล

2.3 กำรเรียนรู้เกิดจำกประสบกำรณ์ตรง แนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้ ควรจัดให้
สอดคล้องกับควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล ลดกำรถ่ำยทอดเน้ือหำลงบ้ำง และช่วยยกระดับผู้เรียน
โดยกำรปฏิบัติ ทดลองด้วยตนเอง

กำรเรียน กำรสอน กล่ำวคือ ผสู้ อนมกั จะต้ังควำมหวังก่อนสอนว่ำต้องกำรจะให้ผู้เรียนรู้
อะไร เกิดพฤติกรรมอะไร หรอื ทำอะไรได้บ้ำง ซึ่งควำมหวงั น้ีเรียกว่ำ จุดมุ่งหมำยทำงกำรศึกษำ ซึ่งมี
3 ด้ำน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย วิธีกำรวัดและประเมินผล จึงต้องเกี่ยวพันกับ
จุดมงุ่ หมำยกำรศกึ ษำ

ดังนั้นครู หรือผู้ประเมินต้องสำมำรถตีควำมหมำยของจุดมุ่งหมำยรำยวิชำนั้นๆ ให้
ถูกต้อง ครอบคลุมและชัดเจน จึงจะสำมำรถวัดและประเมินได้ตรงกับสิ่งที่ต้องกำร แต่ปัญหำที่มัก
พบในทำงปฏิบตั ิ คือ จำกจุดมุ่งหมำยของรำยวิชำเดียวกัน ครูผสู้ อนแตล่ ะคนมกั จะตีควำมตำ่ งกันไป
โดยเฉพำะในแงข่ องขอบข่ำยอันส่งผลใหก้ ำรดำเนินกำรสอน และกำรสอบวัดในประเดน็ ทีแ่ ตกต่ำง
กันไป

13

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

2. ประเภทของจุดประสงค์การศึกษา
กำรจัดกำรศึกษำจำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมำยเป็นตัวกำหนดแนวทำงหรือกำหนด

เป้ำหมำยที่ต้องกำรให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมขึ้น ดังน้ันจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำจึงเป็นตัวกำหนด
พฤติกรรมที่ตอ้ งกำรใหเ้ กิดข้ึนในตวั ผเู้ รียนตำมที่หลักสตู รต้องกำรเป็นตัวกำหนด สิ่งที่ต้องกำรวัดผล
ในตวั ผู้เรยี น นอกจำกนใี้ นกำรทำงำนทุกประเภทไม่ว่ำจะเป็นงำนกำรเรียนกำรสอน งำนประจำ หรือ
งำนโครงกำรต่ำงๆ ต้องมีกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยที่ชัดเจน ทำได้จริงและต้องวัดและประเมินได้จึงจะ
ส่งผลให้งำนนั้นประสบผลสำเร็จได้อย่ำงแท้จริง คำว่ำ จุดมุ่งหมำยนี้ เรียกได้หลำยชื่อ ได้แก่
วตั ถปุ ระสงค์ ควำมมงุ่ หมำย จุดประสงค์ ดังตอ่ ไปนี้

2.1 จุดประสงคท์ างการศึกษาของ บลมู และคณะ
จุดมุ่งหมำยกำรศึกษำทุกระดับจะเป็นสิ่งกำหนดพฤติกรรมที่ต้องกำรให้

เกิดข้ึนในตวั ผเู้ รียนตำมทีห่ ลักสตู รต้องกำรหรอื ตำมควำมปรำรถนำของสังคม ซึ่งเรียกว่ำ พฤติกรรม
กำรศกึ ษำ บลมู และคณะได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมกำรศกึ ษำออกเปน็ 3 ด้ำนใหญ่ๆ คือ
(Stanley and Hopkins, 1972) ออกเปน็ 3 ด้ำน ดังน้ี

2.1.1 ด้ำนพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) หรือ พฤติกรรมด้ำนพุทธิพิสัยหรือ
พฤติกรรมด้ำนสมอง ด้ำนสติปัญญำ หรือด้ำนควำมรู้และกำรคิด ประกอบด้วย ควำมรู้ควำมจำ
เกี่ยวกับสิ่งต่ำงๆ กำรนำเอำสิ่งที่เป็นควำมรู้ควำมจำไปทำควำมเข้ำใจ นำไปใช้ กำรใช้
ควำมคิด วิเครำะห์ สังเครำะห์ และประเมินค่ำ

2.1.2 ด้ำนจติ พิสยั (Affective Domain) หรอื พฤติกรรมด้ำนควำมรู้สกึ ด้ำน
อำรมณ์–จิตใจ ควำมสนใจ เจตคติ ค่ำนิยม และคุณธรรม เช่น กำรเห็นคุณค่ำ กำรรับรู้ กำรตอบ
สนอง และกำรสรำ้ งคุณค่ำในเร่ืองที่ตนรับรู้น้ัน แล้วนำเอำสิ่งที่มีคุณค่ำน้ันมำจัดระบบและสร้ำงเป็น
ลกั ษณะนิสัย

2.1.3 ด้ำนทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) หรือ พฤติกรรมด้ำนกำรปฏิบัติ
ด้ำนทักษะทำงกำยหรือด้ำนกำรปฏิบัติ ประกอบด้วย ทักษะกำรเคลื่อนไหว และกำรใช้อวัยวะต่ำงๆ
ของรำ่ งกำย เชน่ กำรเลียนแบบ กำรทำตำมคำบอก กำรทำอย่ำงถูกต้องเหมำะสม กำรทำได้ถูกต้อง
หลำยรปู แบบ กำรทำได้อย่ำงเป็นธรรมชำติ

2.2 เป้าหมายแห่งการเรียนรูข้ ององค์การยูเนสโกแหง่ สหประชาชาติ
องค์กำรยูเนสโกแหง่ สหประชำชำติ ได้กำหนดเป้ำหมำยแห่งกำรเรียนรู้สำหรับ

คริสตศ์ ตวรรษที่ 21 (เกษม วฒั นชัย, 2557) ไว้วำ่

14

ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

2.2.1 เรียนให้รถู้ ึงวิธีกำรเรยี นรู้ ซึง่ มีรูปแบบหลำกหลำย (Learn How to
Learn)

2.2.2 เรียนเพือ่ ใหเ้ กิดควำมรู้ชุดใหม่ (Learn to Know)
2.2.3 เรียนเพือ่ ได้ทกั ษะชุดใหม่ (Learn to Do Things)
2.2.4 เรียนเพือ่ ใหไ้ ด้คุณธรรมจรยิ ธรรมชดุ หน่งึ เพื่อที่จะอยู่ได้กับผอู้ ืน่
อย่ำงสนั ตสิ ขุ ไม่เบียดเบียนแตเ่ อือ้ เฟื้อเกื้อหนนุ กัน (Learn to Live with Others)
2.3 ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาตามพระราชบญั ญตั ิการศึกษา
แห่งชาติ
ควำมมุ่งหมำยของกำรจัดกำรศึกษำ มำตรำ 6 ของพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ
แห่งชำติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ระบุว่ำ “กำรจัดกำรศึกษำต้อง
เป็นไป เพือ่ พฒั นำคนไทยใหเ้ ป็นมนุษย์ที่สมบรู ณท้ังร่ำงกำย จิตใจ สติปัญญำ ควำมรแู้ ละคณุ ธรรม
มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในกำรดำรงชีวิต สำมำรถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่ำงมีควำมสุข ตำมควำม
ข้ำงตน้ เป้ำหมำยของกำรจัดกำรศึกษำจงึ อยู่ที่คนไทยโดยทัว่ ไป ซึ่งต้องได้รับกำรพัฒนำให้เป็นคนดีมี
ประโยชนมีควำมครบถ้วนทุกด้ำน คอื
2.3.1 ด้ำนกำย คือ มีสขุ ภำพดีสมบรู ณแขง็ แรง หมำยควำมว่ำกำรจดั กำร
ศึกษำต้องครอบคลุมถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภำพอนำมัย เช่น ส่งเสริมกำรออกกำลังกำย ส่งเสริม
ควำมรู้ด้ำนโภชนำกำร รวมท้ังจัดสภำพแวดล้อมของสถำนศึกษำที่เอื้อต่อสุขลักษณะ ปลอดจำก
ภำวะมลพิษ ปลอดจำกยำเสพติด และปลอดจำกภัยทั้งหลำยที่อำจกระทบกระเทือนต่อสุขภำพ
อนำมัยของผู้เรียน ไม่ว่ำจะเป็นภัยจำกมนุษย์ (อุบัติเหตุ กำรประทุษร้ำย) หรือธรรมชำติ (น้ำท่วม
ไฟไหม พำยุ โรคภยั ไข้เจ็บ) นอกเหนอื จำกหน้ำที่ในกำรส่งเสริมสขุ อนำมัยแล้ว ผู้รับผิดชอบในกำรจัด
กำรศึกษำต้องคำดกำรณ์ และเตรียมกำรป้องกันไว้ล่วงหน้ำเพื่อผ่อนคลำย หรือแก้ไขปัญหำได้
ทนั กำรณ์
2.3.2 ด้ำนจติ ใจ คือ มจี ติ ใจทีอ่ ดทนเข้มแข็ง สำมำรถเผชิญกับปัญหำหลำก
หลำยที่เกิดได้อย่ำงมีสติมีควำมรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยในตัวเอง สำมำรถอดทนอดกล้ันต่อ
แรงกดดนั ต่ำงๆ
2.3.3 ด้ำนสติปัญญำ คอื กำรใช้ควำมคิดและเหตุผล
2.3.4 ด้ำนควำมรู้ คือ กำรมุ่งให้ผู้เรยี นได้รับควำมรู้ทีเ่ หมำะสมกับสภำพ
ควำมต้องกำรของสังคมปัจจุบัน ได้แก่ ควำมรู้เกี่ยวกับตนเอง และควำมสัมพันธ์ ของตนเองกับ
สังคม ควำมรแู้ ละทกั ษะด้ำนภำษำ คณิตศำสตร์ ควำมรดู้ ้ำนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ควำมรู้

15

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

ควำมเข้ำใจ และประสบกำรณ์เร่ืองกำรจัดกำรกำรบำรุงรักษำ และกำรใช้ประโยชน์จำก
ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมอย่ำงสมดุลย์ ควำมรู้เกี่ยวกับศำสนำ ศิลปวัฒนธรรม กำรกีฬำ
ภูมิปัญญำไทยกำรประยุกต์ภูมิปัญญำไทย ควำมรู้และทักษะในกำรประกอบอำชีพ และกำร
ดำรงชีวติ อย่ำงมีควำมสขุ

1.2.3.5 ด้ำนคุณธรรมและจริยธรรม แสดงออกในรูปของพฤติกรรมที่
พึงประสงค์ รักชำติ ศำสนำ พระมหำกษตั รยิ ์ มีควำมละอำยต่อกำรประพฤติตนในทำงเสื่อมเสียหรือ
ก่อใหเ้ กิดผลเสียหำยต่อผู้อ่นื และสงั คม

1.2.3.6 ด้ำนวฒั นธรรมในกำรดำรงชีวติ รกั วัฒนธรรมไทย มีเอกลกั ษณ์ไทย
มีมำรยำทและกำรวำงตนในสงั คม รู้จกั ประมำณตนเอง

1.2.3.7 ด้ำนกำรอยู่ร่วมกับผอู้ ื่นได้อย่ำงมคี วำมสุข ผไู้ ด้รับกำรศกึ ษำจะเป็น
สมำชิกที่ดขี องสังคม มีควำมเอื้อเฝ้ือเผ่ือแผ่ต่อผู้อื่น ประนีประนอม มีควำมเมตตำกรุณำมีสัมพันธ์ที่
ดีตอ่ ผอู้ ืน่ และดำเนนิ บทบำทของตนเองได้อย่ำงเหมำะสม

ดงั นนั้ จดุ ประสงค์ของกำรศกึ ษำ เปน็ ทิศทำงที่ตง้ั ไว้เพือ่ ให้ผู้เรยี นเกิดกำรพัฒนำ
ท้ัง 3 ด้ำน ได้แก่ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย จึงจะถือว่ำเป็นกำรสอนที่สมบูรณ์ ตลอดจน
พัฒนำศักยภำพของผู้เรียน เพื่อให้กำรศึกษำเป็นกำรเรียนรู้ที่ครอบคลุมถึงกำรเรียนเพื่อให้เกิด
ควำมรู้ กำรเรียนเพื่อใหส้ ำมำรถลงมอื ปฏิบตั ิงำนต่ำงๆ กำรเรยี นเพือ่ ให้อยู่ร่วมกับผอู้ ื่นได้

พฤติกรรมการศกึ ษา

จำกที่กล่ำวมำแล้ว กำรจัดกำรศกึ ษำ ตอ้ งดำเนินไปเพือ่ เกิดกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ
ผเู้ รียนที่เรยี กว่ำ พฤติกรรมกำรศกึ ษำ ซึ่งเปน็ คณุ ลักษณะของผู้เรียนที่เกิดจำกกำรเรียนรู้จำกกำรตั้ง
จุดประสงค์ เป้ำประสงค์ หรือควำมมุ่งหมำยของกำรศึกษำ โดยผ่ำนกิจกรรมกำรเรียนรู้ที่ครูหรือ
ผู้สอนที่ทำหน้ำที่เกี่ยวข้องกับกำรจัดกำรศึกษำ ได้จัดขึ้นตำมรำยละเอียดของจุดมุ่งหมำยทำง
กำรศึกษำ โดย Bloom and Other (Benjamin S. Bloom and Other, 1971) ได้จำแนกพฤติกรรม
ทำงกำรศึกษำตำมจดุ ประสงค์ของกำรศกึ ษำออกเป็น 3 ด้ำน คือ

1. พฤติกรรมด้านพุทธิพิสยั (Cognitive Domain)
พฤติกรรมดำ้ นพุทธิพิสัยนี้ เกิดจำกพลงั ควำมสำมำรถทำงสมอง ซึ่งไปมีปฏิสมั พนั ธ์

กับสิ่งแวดล้อม บริบท หรือสิ่งเร้ำทำให้เกิดกำรเรียนรู้ขึ้นในตัวบุคคล ประสบกำรณ์ต่ำงๆ มีมำกมำย
หลำกหลำยมีทั้งง่ำยๆ และยุ่งยำกซับซ้อน ทำให้ต้องจัดจำแนกระดับควำมสำมำรถทำงสมอง หรือ
สติปญั ญำออกเปน็ ระดบั ต่ำงๆ จำแนกได้ดงั น้ี

16

ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

1.1 ความรู้ (Knowledge) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรระลึกถึงเรื่องรำวต่ำงๆ
ออกมำได้อย่ำงถูกต้องแม่นยำ เชน่ สำมำรถบ่งบอกถึงเหตุกำรณ์ วนั เวลำ วิธีกำร หรอื ขน้ั ตอนกำร
กระทำสิ่งหน่งึ ส่ิงใดได้อย่ำงถกู ต้อง ควำมรนู้ จี้ ึงข้นึ อยู่กับกำรที่บคุ คลได้รบั รู้และจดจำเอำไว้อย่ำงไร
กจ็ ะระลึกออกมำตำมลักษณะนั้น

1.2 ความเข้าใจ (Comprehension) หมำยถึง สมรรถภำพทำงสมองของบุคคล ใน
กำรจัดระเบียบควำมคิดแล้วแสดงออกมำ และสำมำรถที่จะนำเสนอควำมรู้ควำมคิดที่ชัดเจนกว่ำ
ของเดิม โดยไม่จำเปน็ ต้องไปสัมพันธ์กบั เรือ่ งอื่น

1.3 การนาไปใช้ (Application) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรประยุกต์หลักกำร
เทคนิค แนวคิด หรือทฤษฎีต่ำงๆ เพื่อแก้ปัญหำในสถำนกำรณ์ที่แปลกใหม่ รวมไปถึงกำรนำ
กฎเกณฑ์หรอื หลกั ควำมรใู้ นเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนึ่งไปประยกุ ต์ใชใ้ นสถำนกำรณต์ ่ำงๆ

1.4 การวิเคราะห์ (Analysis) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรแยกแยะรำยละเอียด
ของเน้ือหำเรือ่ งรำว เหตุกำรณห์ รอื ข้อเท็จจริงใดๆ เพื่อจำแนกให้เห็นส่วนประกอบสำระสำคัญ และ
ควำมสัมพันธ์ของส่วนประกอบเหล่ำน้ัน ตลอดจนสกัดให้เห็นสิ่งที่เป็นหลักกำรที่เป็นต้นกำเนิดทำให้
ส่วนประกอบเหล่ำนั้นรวมกันเป็นกลุ่มก้อนหรอื เป็นเรือ่ งรำวขึน้ มำได้

1.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรผสมผสำนส่วน
ย่อยเข้ำเป็นเรื่องรำวเดียวกัน ซึง่ จะเกีย่ วข้องกับกระบวนกำรทำงำน กำรจัดเรียบเรียงและผสมผสำน
ให้เกิดสิง่ ใหม่ข้ึน ต้องดัดแปลงปรับปรุงของเก่ำให้ดีข้ึน

1.6 การประเมินค่า (Evaluation) หมำยถึง กำรตัดสินเกี่ยวกับคุณค่ำของสิ่งหนึ่ง
สิ่งใด ท้ังนีอ้ ำจเปน็ กำรตัดสิน โดยยึดถือตำมปริมำณหรือคุณภำพ แต่จะต้องมีเกณฑ์ที่เหมำะสมเพื่อ
ใช้เปน็ มำตรฐำนในกำรตัดสิน

2. พฤติกรรมดา้ นจติ พิสยั (Affective Domain)
พฤติกรรมดำ้ นจติ พิสยั นี้ คือ กลุ่มของจดุ มุ่งหมำยทำงกำรศกึ ษำทีเ่ กีย่ วกบั ควำมรู้สึก

ซึง่ เปน็ รำกฐำนทีก่ ่อเกิดบคุ ลิกภำพหรือลกั ษณะนิสัยของบุคคล เป็นพฤติกรรมที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่
ภำยใน ต้องกำหนดสถำนกำรณ์ให้แสดงออกยำก วัดได้ยำกเนื่องจำกต้องใช้เวลำนำน แต่ครูสำมำรถ
ปลูกฝังพฤติกรรมด้ำนนี้ให้ผู้เรียนได้ โดยต้องใช้เวลำต่อเนื่องกันพอสมควร จะใช้เวลำสั้นๆ ไม่ได้
เนื่องจำกกำรเกิดพฤติกรรมด้ำนนี้ ต้องผ่ำนกระบวนกำรไปตำมลำดับ จนเกิดเป็นทัศนคติ และ
พัฒนำเป็นค่ำนิยมตำ่ งๆ ในทีส่ ดุ ค่ำนิยมที่เกี่ยวข้องกันก็จะจัดระบบขึ้น และกลำยมำเป็นตัวที่กำหนด
ลักษณะนิสัยของบุคคลในที่สุด ทั้งนี้ Krathwohl, David R.(2002) ได้จำแนกพฤติกรรมจิตพิสัยเป็น
ลำดบั ข้ันเป็น 5 ข้ัน ดังน้ี

17

ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

2.1 ข้ันรับรู้ (Receiving) เป็นขั้นแรก ที่เริ่มจำกกำรที่บุคคลรับรู้สิ่งเร้ำ สิ่งกระตุ้น
หรอื ปรำกฏกำรณ์ตำ่ งๆ ทีก่ ระทบประสำทสมั ผัสตำ่ งๆ จนเกิดควำมรสู้ ึกสนใจสิง่ น้ัน

2.2 ข้ันตอบสนอง (Responding) เป็นพฤติกรรมที่เกิดหลงั จำกที่รบั รู้ในขั้นแรกแล้ว
ทำให้เกิดปฏิริยำหรือพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้ำในลักษณะที่เต็มใจ หรือไม่เต็มใจ ยินดีพอใจ
หรอื ไม่ยินดีพอใจตอบสนอง โดยบำงครงั้ เรำสำมำรถสังเกตกริยำอำกำรหรือกำรกระทำได้

2.3 ขนั้ เหน็ คณุ ค่า (Valuing) หรอื เรียกว่ำสร้ำงค่ำนิยม หลงั จำกบุคคลมีพฤติกรรม
ตอบสนองต่อสิ่งเร้ำในลักษณะ เต็มใจ ยินดี พอใจ แล้ว ก็จะเกิดควำมรู้สึกในคุณค่ำของสิ่งนั้น ซึ่ง
มักจะต้องยึดถือกฎเกณฑ์ของกลุ่ม หรือสังคมมำใช้ในกำรตัดสินใจให้คุณค่ำ และกลำยเป็นสิ่งที่มี
อิทธิพลต่อกำรควบคุมทิศทำงของพฤติกรรม ซึ่งเรียกว่ำค่ำนิยมนั่นเอง

2.4 ข้ันจัดระบบค่านิยม (Organization) เม่ือบุคคลมีค่ำนิยมหลำยๆ อย่ำงซึ่งเป็น
ค่ำนิยมย่อยๆ ก็จะเกิดกำรจัดระบบค่ำนิยม โดยกำรจัดลำดับควำมสำคัญของค่ำนิยมและสัมพันธ์
เชอ่ื มโยงค่ำนิยมที่เกีย่ วข้องกันกลำยเปน็ คติหรอื แนวทำงกำรประพฤติปฏิบัติ

2.5 ขั้นสร้างลักษณะนิสัยจากค่านิยม (Characterization) เป็นข้ันสุดท้ำย
หลังจำกทีค่ ่ำนิยมตำ่ งๆ สำมำรถสัมพนั ธ์กนั เป็นระบบแล้วก็จะมีพัฒนำบุคลิกภำพ หรือลักษณะนิสัย
ของบุคคลให้เป็นรูปแบบที่ชัดเจน ซึ่งอำจจะอยู่ในระดับที่ปรับลักษณะนิสัยให้สอดคล้องกับควำม
คำดหวงั ของสงั คมเพรำะเป็นสิ่งที่ช่วยใหค้ นเป็นคนดีเป็นทีย่ อมรับของผู้อน่ื

3. พฤติกรรมด้านทกั ษะพิสยั (Psychomotor Domain)
พฤติกรรมดำ้ นทักษะพิสยั นี้ เป็นควำมสำมำรถของบุคคลในกำรใชอ้ วยั วะต่ำงๆ ของ

ร่ำงกำยทำงำนอย่ำงประสำนสมั พันธ์กัน โดยจะมีขน้ั ตอนของกำรเกิดพฤติกรรมไปตำมลำดบั ดังเชน่
Simpson, Elizabeth J. (1972) ได้จัดจำแนกไว้ 7 ข้ัน ดงั นี้

3.1 การรับรู้ (Perception) เป็นจุดเริ่มต้นของกำรเกิดพฤติกรรม ด้ำนกำรรับสัมผัส
สิ่งเร้ำผำ่ นทำงประสำทสัมผสั ต่ำงๆ เชน่ หู ตำ จมกู ลิน้ ผวิ กำย

3.2 การเตรียมความพร้อม (Set) คือกำรเตรียมตัวกระทำ หรือกำรปรับตัวให้อยู่
ในสภำพพร้อมที่กระทำ ซึ่งมี 3 ด้ำน คือ ด้ำนสมองจะเตรียมควำมรู้ซึ่งมีมำก่อน ด้ำนร่ำงกำยจะ
เตรียมเกีย่ วกบั กล้ำมเนอื้ และดำ้ นอำรมณจ์ ะเตรียมควำมรู้สกึ ในกำรให้คณุ ค่ำต่อส่งิ ทีจ่ ะปฏิบตั ิ

3.3 การตอบสนองตามแนวชี้แนะ (Guided Response) เป็นกำรเริ่มพัฒนำทักษะ
โดยกำรแสดงพฤติกรรมเลียนแบบตำมผู้แนะนำหรอื ครู ในขั้นนจี้ ะเปน็ ข้ันลองผดิ ลองถูก

18

ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

3.4 การปฏิบัติได้ด้วยตนเอง (Mechanism) คือกำรที่บุคคลสำมำรถปฏิบัติงำนได้
ด้วยควำมเช่อื มั่นในตนเอง มีผลสมั ฤทธิ์ทีน่ ำ่ พอใจ

3.5 การตอบสนองที่ซับซอ้ น (Complex overt Response) เปน็ ข้ันที่สำมำรถ
กระทำ หรือปฏิบัติงำนที่ซับซ้อนได้ แม้จะต้องใช้ทักษะข้ันสูงก็สำมำรถทำได้อย่ำงชำนำญ หรือได้
อย่ำงอัตโนมัติ

3.6 การดดั แปลง (Adaptation) หลงั จำกที่สำมำรถปฏิบัติได้ย่ำงชำนำญแล้วเมือ่
บุคคลต้องแก้ปัญหำบ่อยๆ ก็จะพัฒนำวิธีกำรเดิมให้มีประสิทธิภำพยิ่งขึ้น เพื่อลดข้ันตอน ลดเวลำ
หรอื เพิม่ คุณภำพผลงำน

3.7 การริเร่ิม (Origination) เป็นข้ันสูงสุดของกำรพัฒนำทักษะ ซึ่งบุคคลสำมำรถ
สร้ำงสรรค์ผลงำนใหม่ ด้วยวิธีกำรใหม่ที่ตนคิดขึ้นมำ โดยใช้สติปัญญำร่วมกับประสบกำรณ์ ด้ำน
ทกั ษะ

ดังนน้ั ผู้มสี ่วนเกีย่ วข้องในกำรจดั กำรเรยี นรู้ และกำรวดั ผลกำรศกึ ษำจงึ จำเปน็ ต้องมี
ควำมเข้ำใจถึงพฤติกรรมทำงกำรศึกษำอย่ำงถ่องแท้ เพื่อจะได้นำไปจำแนกให้ครอบคลุมพฤติกรรม
กำรเรียนรขู้ องผู้เรยี น ในแต่ละด้ำนให้สอดคล้องกับจุดมงุ่ หมำยทำงกำรศึกษำ

กำรจัดกำรศึกษำจึงเป็นเร่ืองสำคัญสำหรับครู เนื่องจำกครูมีหน้ำที่ถ่ำยทอดควำมรู้
และขัดเกลำพฤติกรรมให้แก่ผู้เรียน กำรสอนให้เด็กเป็นคนดี คนเก่ง และมีควำมสุข กำรจัดกำร
ศกึ ษำ จึงเปน็ กญุ แจสำคัญในกำรพฒั นำคณุ ภำพ ครูมีบทบำทและควำมสำคัญอย่ำงยิง่ ในฐำนะเปน็
ผใู้ ห้กำรศึกษำของชำติ ครู คือ ผทู้ ี่กำหนดอนำคตของคนในชำติ ชำติใดก็ตำมที่ได้ครูเป็นคนมีควำมรู้
เป็นคนเก่ง เป็นคนเสียสละ ต้ังใจทำงำน เพื่อประโยชน์ของนักเรียน ชำตินั้นจะได้พลเมืองที่เก่งและ
ฉลำด มีศกั ยภำพ และมีควำมสำมำรถทีจ่ ะแขง่ ขันกับทุกประเทศในโลกได้

จำกทฤษฎีกำรจำแนกกำรเรียนรู้แบบด้ังเดิม (Original Bloom's Taxonomy) สำมำรถ
แบ่งเป็น 3 ด้ำน คือ ด้ำนพุทธิพิสัย ด้ำนจิตพิสัย และด้ำนทักษะพิสัย โดยในแต่ละด้ำนจะมีกำร
จำแนกระดับควำมสำมำรถจำกต่ำสุดไปถึงสูงสุด โดยในกำรออกแบบหลักสูตรนั้นได้มีกำรปรับปรุง
เพิ่มเติมจำกทฤษฎีกำรจำแนกกำรเรียนรู้ของบลูมแบบด้ังเดิม เพื่อให้มีควำมทันสมัยมำกขึ้น จึงได้มี
กำรใชเ้ ครือ่ งมือดังกล่ำวในกำรกำหนดกริยำกระทำ (Active) เพื่อสร้ำงประโยคที่มคี วำมหมำยกระทำ
ให้เกิดผลลัพธ์ (Outcome) โดยได้แบ่งระดับกำรเรียนรู้เป็น 6 ระดับ และลักษณะจุดมุ่งหมำยกำร
เรียนรู้เป็น 3 ด้ำน

19

ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ภาพประกอบ 3 ทฤษฎีกำรจำแนกกำรเรียนรู้ของบลูม แบบเก่ำ และแบบใหม่
ท่มี า: สำนักงำนคณะกรรมกำรดจิ ทิ ลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ. (2562).

หลักสูตรการเข้าใจดิจทิ ัล (Digital Literacy) สาหรบั พลเมืองไทย. หนำ้ 11.

ควำมก้ำวหน้ำและควำมเจรญิ จนนำมำสู่กำรแพร่หลำยทำงเทคโนโลยีที่เพิ่มมำกขึ้น
อนุกรมวิธำนที่ปรับปรุงใหม่ของบลูมยังอธิบำยแต่เพียงพฤติกรรม และกำรปฏิบัติในห้องเรียน
แบบเดิมๆ แต่ไม่ได้ระบุถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ควำมเป็นผู้เรียนดิจิทัล และพลเมืองดิจิทัล กระบวนกำร
และกำรดำเนินกำรกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกำรใช้เทคโนโลยี กำรเกิดและกำรรวมเทคโนโลยี
สำรสนเทศและกำรสื่อสำรเข้ำกับชีวิตและผู้เรียนที่เข้ำสู่ห้องเรียนเพิ่มมำกขึ้นในเกือบทุกกิจกรรมทั้ง
ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ครูต้องกำหนดวำงแผนและใช้กลยุทธ์ รวมถึงกำรประเมินผลตำม
พฤติกรรมกำรศึกษำของบลูม Bloom’s Digital Taxonomy คือ ควำมรู้ของ Bloom ที่ถูกปรับปรุงขึ้น
ใหม่ เพื่อตอบสนองกำรเปลีย่ นไปของโลกยุคดิจิทัล ซึง่ กำรเรียนรู้จะไม่ได้อยู่แค่กับผู้สอนและ ผู้เรียน
เเต่ยังมีส่อื และเครื่องมือดจิ ิทัลมำเป็นหน่งึ ในกำรเรียนรู้ ดังแสดงในตำรำง 2

20

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ตาราง 2 Bloom’s Taxonomy

Original Bloom’s Revised Bloom’s Taxonomy Bloom’s Digital Taxonomy
Taxonomy
สำมำรถระบุได้วำ่ สิง่ ทไี่ ด้เรียนรู้มำมี ใชเ้ ครอ่ื งมือเทคโนโลยี เช่น,
กำรจำ (Remembering)
สำระอะไรบ้ำง ซึ่งกำร ท่สี ำมำรถตอบ Document, Presentation, Microsoft
กำรเข้ำใจ (Understanding)
ได้น้ัน ได้มำจำกกำรจดจำเปน็ สำคญั Word ในกำรช่วยบันทึกและจดจำสิ่ง
กำรประยกุ ต์นำไปใช้
(Applying) ตำ่ งๆ
กำรวเิ ครำะห์ (Analyzing)
สำมำรถเข้ำใจควำมหมำย ควำม ใชเ้ ครอ่ื งมือค้นหำบนเว็บไซต์หรือ

สมั พนั ธ์ และโครงสร้ำงของสิง่ ทเี่ รียนรู้ กำรสร้ำงบล็อก (Blogger) กำรเลอื ก

และสำมำรถอธิบำยสง่ิ ทีเ่ รียนรู้นน้ั ได้ Subscribe บน YouTube เพอ่ื รบั

ด้วยคำพดู ของตนเอง บุคคลทม่ี คี วำม ข้อมูลพัฒนำควำมเขำ้ ใจให้ลกึ ซงึ้ ขึน้

เข้ำใจ ในเรือ่ งใดเรื่องหน่งึ หลงั จำกได้ หรือสรปุ ควำมเพ่อื เขียนลงทวติ เตอร์

ควำมรู้ในเรือ่ งนนั้ มำแลว้ จะสำมำรถ (Twitter)

แสดงออกได้หลำยทำง เชน่ สำมำรถ

ตคี วำมได้ แปลควำมได้ เปรียบเทียบได้

บอกควำมแตกตำ่ งได้ เป็นต้น

บุคคลสำมำรถนำข้อมลู ควำมรู้ และ ใชแ้ อปพลเิ คชัน (Application) หรือ

ควำมเข้ำใจทไี่ ด้เรียนรู้ ไปใชใ้ นกำรหำ โปรเเกรมที่ช่วยในกำรตกเเตง่

คำตอบ และแก้ปญั หำในสถำนกำรณ์ ปรบั เเตง่ ตดั ตอ่ เน้ือเรื่องผลงำน เช่น

ตำ่ งๆ Adobe illustrator เปน็ ต้น

บุคคลสำมำรถใชก้ ำรคดิ อย่ำง ใชโ้ ปรเเกรม Microsoft Excel Google

มวี จิ ำรณญำณ และกำรคิดเชงิ ลึก ซึง่ Doc หรือ Spreadsheet ในกำรเกบ็

เกิดจำกไมส่ ำมำรถหำคำตอบได้จำก เเละวิเครำะห์ขอ้ มลู และรำยงำน

ข้อมลู ที่มีอยโู่ ดยตรง บุคคลต้องใช้ ออกมำเปน็ กรำฟ รูปภำพ เป็นตน้

ควำมคิดหำคำตอบ จำกกำรแยกแยะ

ข้อมลู และหำควำมสมั พนั ธ์ของข้อมูล

ที่แยกแยะนนั้ หรืออกี นยั หน่งึ คือ

กำรเรียนรู้ในระดับที่ผู้เรียนสำมำรถจับ

ได้ว่ำอะไรเปน็ สำเหตุ เหตุผล หรือ

แรงจูงใจท่อี ยู่เบอื้ งหลังปรำกฏกำรณใ์ ด

ปรำกฏกำรณห์ น่งึ กำรวเิ ครำะห์

โดยท่วั ไป มี 2 ลกั ษณะคอื

21

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

ตาราง 2 Bloom’s Taxonomy (ต่อ)

Original Bloom’s Revised Bloom’s Taxonomy Bloom’s Digital
Taxonomy Taxonomy

กำรประเมินค่ำ (Evaluating) -กำรวเิ ครำะห์จำกข้อมลู ทีม่ ีอยเู่ พอ่ื ให้ได้

กำรสร้ำง (Creating) ข้อสรปุ หลักกำรที่สำมำรถนำไปใชใ้ น

สถำนกำรณ์อืน่ ๆ ได้

- กำรวเิ ครำะห์ขอ้ สรปุ ข้ออำ้ งอิง หรือ

หลักกำรตำ่ งๆ เพอ่ื หำหลกั ฐำนทีส่ ำมำรถ

สนบั สนนุ หรือปฏเิ สธปรำกฏกำรณน์ น้ั ๆ

สำมำรถตัดสินคณุ คำ่ ของส่งิ ใดสิ่งหนง่ึ กำรควบคุมข้อมลู บนเว็บบอร์ด

หรือปรำกฏกำรณใ์ ดปรำกฏกำรณ์หนึง่ กำรใช้ Google Doc, Discussion

สำมำรถตงั้ เกณฑ์ในกำรประเมิน หรือ Board, Chat Room ในกำร

ตัดสนิ คุณค่ำตำ่ งๆ ได้ และแสดงควำม กลั่นกรองขอ้ มูลและตรวจสอบ

คิดเหน็ ในเรือ่ งนนั้ ได้ เชน่ ข้อมูล ข้อเทจ็ จริง ควำมถกู ต้องของขอ้ มูล

กำรกระทำ ควำมคิดเห็น ควำมถกู ต้อง

ควำมแมน่ ยำ มำตรฐำน เกณฑ์ หลกั กำร

ควำมเชอ่ื ม่ัน ควำม คลำดเคลือ่ น อคติ

วธิ ีกำร ประโยชน์ ค่ำนยิ ม เป็นต้น

สำมำรถคิด ประดิษฐ์ สิง่ ใหม่ขนึ้ มำได้ กำรสร้ำงหรือประดิษฐ์เครอ่ื งมือ/

ซึง่ อำจอยู่ในรปู ของส่งิ ประดิษฐ์ ควำมคิด โปรแกรมใหมๆ่ ที่ช่วยใน

ทำนำยสถำนกำรณท์ ีอ่ ำจเกิดขน้ึ ใน กำรเรียนรู้ เชน่ กำรพัฒนำ

อนำคตได้ คิดวิธกี ำรแก้ปญั หำได้ ซึง่ โปรแกรม แอปพลเิ คชัน เว็บไซต์

แตกตำ่ งจำกกำรแก้ปญั หำในระดับกำร เกม เป็นต้น

ประยกุ ตน์ ำไปใชท้ ี่มีเพยี งคำตอบหน่งึ

คำตอบ แต่วธิ ีกำรแก้ปัญหำในระดบั นี้

มมี ำกกวำ่ หนึง่ คำตอบ

22

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ในแต่ละประเทศต้องมีกำรพัฒนำกำรศึกษำอย่ำงต่อเนื่องตำมยุค ตำมสมัย และในแต่ละ
สมยั ก็จะเกิดนวตั กรรมตำ่ งๆ ข้ึนมำมำก เพือ่ ใหส้ อดคล้องกบั ผเู้ รียนและปรบั ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กับผเู้ รียนจนกว่ำนวัตกรรมน้ันจะเริม่ ไม่ตอบสนองควำมต้องกำรของผู้เรียนและผู้สอน ควำมยำกของ
กำรศึกษำยุคใหม่ ภำยใต้บริบทยุคดิจิทัลสมบูรณ์แบบ ผู้เรียนที่มีทักษะกำรเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่ใน
ระดบั สงู เริ่มจำกกำรแสวงหำและปรับควำมรู้ควำมเข้ำใจ ตกผลึกควำมรู้น้ันๆ โดยอำศัยรูปแบบกำร
เรียนทีห่ ลำกหลำย เชน่ กำรเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหำเป็นฐำน กำรเรียนรู้โดยกำรวิจัย บทบำทของครูหรือ
ผู้สอนไม่ใช่มีบทบำทในกำรสอนบรรยำยให้ควำมรู้อย่ำงเดียวต้องเป็นผู้ประสำน ผู้อำนวยควำม
สะดวก ผู้ชี้นำ ชี้แนะ ผู้จัดกิจกรรม ผู้กระตุ้น ผู้สนับสนุนส่งเสริม ผู้แสวงหำโอกำสและควำมรู้ ครูจึง
มีบทบำทใหม่วำ่ เป็น “Facilitator แทน Teacher” ดงั นน้ั ทิศทำงกำรศึกษำที่มีคุณค่ำต่อผู้เรียนและสังคม
ในทำงสร้ำงสรรค์ ผู้เรียนจึงต้องได้รับกำรพัฒนำทักษะกำรคิดแก้ปัญหำอย่ำงสร้ำงสรรค์ ปรับตัว
และทำงำนร่วมกันกับผู้อื่นได้ โดยมีทักษะกำรสื่อสำรที่มีประสิทธิภำพ และมีควำมสำมำรถใน
กำรจัดกำรและกำรใช้เทคโนโลยีดิจิทิลเป็นเคร่ืองมือในกำรเรียนรู้ กำรสร้ำงสิ่งใหม่ในกำรจัด
กำรศึกษำ หรือ ปฏิรังสรรค์กำรศึกษำ จึงเป็นแนวคิดใหม่ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
กำรเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกและได้เห็นคุณค่ำของควำมเปน็ มนษุ ย์

แนวคิดเพื่อการปฏิรังสรรค์การศึกษา

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวิวัฒนำกำรกำรศึกษำ โดยอำศัยพลังของ บ ว ร คือ บ้ำน วัด
โรงเรียน และเกิดกำรปฏิรปู กำรศึกษำต้ังแต่ สมัยพระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว รัชกำล
ที่ 5 โดยทรงปฏิรูปกำรศึกษำเพื่อมุ่งสร้ำงควำมทันสมัยและควำมเป็นเอกรำชของชำติ ต่อมำเม่ือ
พทุ ธศักรำช 2520 หลังเหตกุ ำรณ์ 14 ตลุ ำคม พ.ศ. 2516 เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงสังคม กำรปฏิรูป
กำรศกึ ษำจึงปรับมำเป็นกำรมุ่งสร้ำงกำรศึกษำเพื่อชีวิตและสังคม จนถึงพุทธศักรำช 2542 ได้มีกำร
ประกำศใชพ้ ระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) 2545 เป็น
กำรมุ่งสร้ำงสังคมแห่งกำรเรียนรู้ในกระแสโลกำภิวัตน์ ควบคู่ไปกับกำรยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อกำรพฒั นำทีย่ ่งั ยืน กำรจดั กำรศกึ ษำจงึ มใิ ช่ควำมรับผดิ ชอบของครแู ละผบู้ ริหำรในโรงเรียนเพียง
อย่ำงเดียว แตค่ วำมรับผดิ ชอบต้องมำจำกหลำยๆ ฝ่ำยโดยเฉพำะบ้ำน วัด โรงเรียน และสังคมที่เป็น
ผู้รับผลอย่ำงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่ำงไรก็ตำมกำรเรียนรู้ในยุคปัจจุบันที่เรียกว่ำยุคแห่งกำรพลิกผัน
จึงต้องคำนึงถึงศักยภำพและควำมต้องกำรของผู้เรียน เนื่องจำกผู้เรียนต้องเกี่ยวข้องกับปัญหำใน
โลกทีเ่ ปน็ จริง ซึง่ เป็นประเด็นทีเ่ กีย่ วข้องกับควำมเป็นมนุษย์และโลกแห่งอนำคตเชิงวัฒนธรรม สังคม
และสำกล ทีไ่ ม่จำกัดอยู่แตใ่ นห้องเรยี น แตจ่ ะเช่อื มโยงครู นักเรียนและชมุ ชนเข้ำสู่ขมุ คลงั แหง่ ควำมรู้

23

ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

ทวั่ โลก ครูเองจะเปลีย่ นจำกกำรเปน็ ผู้ถ่ำยทอดควำมรไู้ ปเปน็ ผู้สนบั สนุนชว่ ยเหลอื ให้ผู้เรยี นสำมำรถ
เปลี่ยนสำรสนเทศเป็นควำมรู้ และนำควำมรู้เป็นเคร่ืองมือสู่กำรปฏิบัติและให้เป็นประโยชน์ เป็นกำร
เรียนรู้เพื่อสร้ำงควำมรู้ และต้องมีกำรสร้ำงวัฒนธรรมกำรสืบค้น (Create a Culture of Inquiry) ใน
โลกแห่งสังคมโซเชียล กำรให้กำรศึกษำตำมทฤษฎีกำรเรียนรู้ของบลูม (Bloom´s Taxonomy of
Learning) จะเปลี่ยนไป เน้นทักษะและลีลำกำรเรียนรู้ขั้นที่สูงขึ้น (Higher Order Learning Skills)
โดยเฉพำะทักษะกำรประเมนิ ค่ำ (Evaluating Skills) จะถูกแทนทีโ่ ดยทกั ษะกำรนำเอำควำมรู้ใหม่ไปใช้
อย่ำงสรำ้ งสรรค์ (Ability to Use New Knowledge in a Creative Way)

ดังน้ัน กำรจัดกำรศึกษำจึงต้องปรับรูปแบบจำกเดิมที่เคยเน้นถ่ำยทอดเนื้อหำควำมรู้ ไปสู่
รูปแบบกำรมงุ่ เน้นใช้ฐำนควำมรู้ และระบบควำมคิดที่บูรณำกำรและเชื่อมโยงควำมรู้สู่ชีวิตประจำวัน
และควำมสำมำรถในกำรใช้เทคโนโลยี เพื่อหล่อหลอมผู้เรียนให้มีทักษะกำรเรียนรู้ และควำมคิด
สร้ำงสรรค์ สำมำรถนำควำมรู้ไปใช้ให้เกิดกำรสร้ำงรำยได้ รวมถึงกำรเรียนรู้ด้ำนวิชำชีพ และทักษะ
ชีวิต โดยครูยุคใหม่จะต้องเปลี่ยนบทบำทจำกครูผู้สอนที่ยืนอยู่หน้ำชั้นเรียน มำเป็นโค้ช หรือ
ผสู้ นบั สนนุ กำรเรียนรู้ ทำหน้ำทีก่ ระตุ้น สร้ำงแรงบันดำลใจ ใหค้ ำปรึกษำ ชีแ้ นะวิธีกำรเรียนรู้ วิธีคิดที่
สำมำรถบูรณำกำรควำมรู้ และเชอ่ื มโยงควำมรู้ สู่ชีวิตประจำวันใหแ้ ก่ผู้เรยี น

ปรากฎการณท์ างการศึกษาในโลกยุคใหม่
โลกยคุ ใหม่ (Modernization) ทีเ่ รม่ิ จะมีสถำนกำรณใ์ ห้เกิดกำรปรับเปลี่ยนในหลำยๆ
ด้ำน คำว่ำ Modernize Education ที่หลำยคนมักพูดกันเสมอถึงว่ำ กำรศึกษำใหม่ หรือกำรศึกษำ
สมัยใหม่ หรือกำรศึกษำในโลกยุคใหม่ ทำให้เกิดแนวคิดสะท้อนกลับไปว่ำ กำรจัดกำรเรียนรู้ของครู
จำกยุคใหม่และยุคเก่ำหรือยุคที่ผ่ำนมำแล้วน้ันแตกต่ำงกันอย่ำงไร ครูยุคใหม่จะต้องทำอะไร
ทำอย่ำงไรเพือ่ ใหเ้ หน็ ผลลพั ธ์จำก กำรศกึ ษำยุคใหม่ เพิ่มควำมทันสมัย เพิ่มเทคโนโลยี ตลอดจนเพิ่ม
นวัตกรรมทีเ่ รียกว่ำ ปัญญำประดิษฐ์ (AI) มำใช้ในกำรจัดกำรเรียนรู้สำมำรถทำกำรเรียนกำรสอนได้
อย่ำงมีประสิทธิภำพ ปรับกิจกรรมกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ Blended Learning หรือ
กำรเรียนรแู้ บบผสมผสำน ซึง่ เป็นฐำนของกำรเดินหน้ำของกำรศึกษำสมัยใหม่ เกิดกระบวนทัศน์ใหม่
เชิงเปรียบเทียบกับกระบวนทัศน์เก่ำมำกมำย ซึ่งเป็นที่ตระหนักกันดีว่ำ จุดมุ่งหมำยพื้นฐำนทำง
กำรศกึ ษำคือ กำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพำะในยุคใหม่ ครูต้องสอนและอบรมบ่มเพำะผู้เรียน
ให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้ำนจติ พิสัย (Affective Domain) และทักษะพิสัย (Psychomotor
Domain) ก่อนจึงจะพัฒนำพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ตำมลำดับ ทั้งสำมส่วนนี้ส่งผลให้เกิด
กำรเรียนรู้ (Learning) เพื่อควำมเป็นมนษุ ย์ที่สำมำรถดำรงอยู่ในโลกตำมยคุ สมยั ได้อย่ำงมีคณุ ภำพ

24

ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

เม่ือสังคมเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทำงกำรศึกษำเปลี่ยน หำกยังหลงติดอยู่กับสิ่งเก่ำที่เคยใช้ได้ผลในยุค
เก่ำย่อมจะส่งผลใหก้ ำรเรียนรขู้ องผู้เรยี นไม่สอดคล้องกบั โลกทีเ่ ป็นจริง ทั้งในปัจจุบันและในอนำคตที่
จะยิ่งเข้มข้นข้นึ นนั้

ปัจจัยสำคญั ที่มอี ิทธิพลต่อกำรจดั กำรศึกษำ โดยยึดแนวคิดพืน้ ฐำนทำงจติ วิทยำกำรเรียนรู้
และกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ทีเ่ น้นผู้เรยี นเปน็ สำคญั ผู้เขียนขอสรปุ ได้ 5 ประกำร ดังน้ี

1. ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล (Individual Different)
กำรจัดกำรศึกษำของไทย ได้ให้ควำมสำคัญในเร่ืองควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคลเอำไว้

อย่ำงชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จำกแผนกำรศึกษำของชำติ ให้มุ่งจัดกำรศึกษำตำมควำมถนัดควำมสนใจ
และควำมสำมำรถของแตล่ ะบุคคล

2. ควำมพรอ้ ม (Readiness)
เดิมทีเดียวเชื่อกันว่ำ เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีควำมพร้อมซึ่งเป็นพัฒนำกำรตำม

ธรรมชำติ แต่ในปัจจุบันกำรวิจัยทำงด้ำนจิตวิทยำกำรเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่ำควำมพร้อมในกำรเรียนเป็น
สิ่งที่สร้ำงขึ้นได้ ถ้ำหำกสำมำรถจัดบทเรียน ให้พอเหมำะกับระดับควำมสำมำรถของเด็กแต่ละคน
วิชำที่เคยเชือ่ กันว่ำยำกและไม่ เหมำะสมสำหรับเดก็ เล็กกส็ ำมำรถนำมำให้ศกึ ษำได้

3. กำรเรียนรทู้ ีเ่ ป็นไปตำมตำรำงเวลำกำหนด (Timing)
กำรเรียนรู้ตำมตำรำงเวลำ หรือที่เรียกว่ำ ตำรำงสอนมักจะจัดโดยอำศัยควำมสะดวก

เป็นเกณฑ์ เช่น ถือ หน่วยเวลำเป็นช่ัวโมง เท่ำกันทุกวิชำ ทุกวันนอกจำกนั้นก็ยังจัดเวลำเรียนเอำไว้
แน่นอนเป็นภำคเรียนเป็นปี ในปัจจุบันได้มีควำมคิดในกำรจัดเป็นหน่วยเวลำสอนให้สัมพันธ์
กับลักษณะของแต่ละวิชำซึ่งจะใช้เวลำไม่เท่ำกันตำมธรรมศำสตร์วิชำ กำรเปลี่ยนแปลงของสังคม
ทำให้มีสิ่งต่ำงๆ ที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้น กำรจัดกำรศึกษำจึงต้องศึกษำวิธีรูปแบบใหม่ๆ ที่มี
ประสิทธิภำพ ท้ังนี้ขึ้นอยู่ปัจจัยภำยในคือผู้เรียนและผู้สอน และปัจจัยภำยนอก คือสภำพแวดล้อม
บริบท และเทคโนโลยีในโลกดิจทิ ลั

4. ลีลำกำรเรียนรขู้ องผู้เรยี น (Learning Style )
มนษุ ย์เรำน้ันสำมำรถรบั ข้อมูล โดยผ่ำนเส้นทำงกำรรับรู้ 3 ทำงคอื กำรรับรู้ทำงสำยตำ

โดยกำรมองเหน็ (Visual Percepters) กำรรับรู้ทำงโสตประสำท โดยกำรได้ยิน (Auditory Percepters)
และกำรรับรู้ทำงร่ำงกำย โดยกำรเคลื่อนไหวและกำรรู้สึก (Kinesthetic Percepters) ซึ่งเป็นวิธีกำรที่
ช่วยให้บุคคลน้ันเกิดกำรเรียนรู้ได้ดีที่สุด เนื่องจำกมีควำมสอดคล้องกับลักษณะกำรรับรู้
กระบวนกำรทำงสติปัญญำ สภำพแวดล้อมและประสบกำรณ์ของบุคคลนั้น ครูที่สำมำรถรู้ว่ำ
นักเรียนแต่ละคนในชั้นเรยี นมีลีลำกำรเรียนรู้เปน็ แบบใดจะประสบควำมสำเร็จในกำรส่งผำ่ นควำมรู้

25

ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

ไปยังนักเรียน ทำให้นักเรียนได้พัฒนำศักยภำพในกำรเรียนรู้ของตนเองได้อย่ำงเต็มตำม
ควำมสำมำรถมำกที่สดุ

5. วิธีวิทยำกำรจดั กำรเรียนรู้ (Pedagogy)
ครจู ะต้องมีศำสตร์และศิลป์ในกำรสอนเด็ก (The Art and Science of Teaching Children)

โดยเฉพำะในกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นกำรจัดกำรศึกษำเชิงสร้ำงสรรค์ กำรจัด
สภำพแวดล้อมในโรงเรียนเพื่อกำรเรียนรู้ในทุกมิติ ซึ่งกำรเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนสำมำรถ
พัฒนำหรอื เติมเต็มศักยภำพของผู้เรยี นได้อย่ำงเตม็ ที่ กำรออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้ในยุคใหม่ ครู
สำมำรถออกแบบกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรยี นสร้ำงองค์ควำมรไู้ ด้ด้วยตนเอง โดยมีครูน้ันคอยเป็นผู้อำนวย
ควำมสะดวกช่วยให้ผู้เรียนได้สืบค้น รวบรวมควำมรู้จำกแหล่งต่ำงๆ ที่เชื่อถือได้ สร้ำงกระบวนกำร
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มเพื่อน นำไปสู่กำรได้คำตอบที่มีทฤษฎีควำมรู้รองรับ เกิดผลงำนจำก
กำรจนิ ตนำ กำรสร้ำงสรรคผ์ ลงำนนำมำใช้ให้เปน็ ประโยชนต่อกำรดำรงชีวติ ของตน

ครูจะต้องเปลี่ยนไปจำกครูในปัจจุบัน ศำสตร์ในควำมเป็นครูจะต้องเปลี่ยนไปดัง
ภำพประกอบ 4

ภาพประกอบ 4 ครใู นศตวรรษใหมจ่ ะสอนอย่ำงไร
ทม่ี า: ไพฑูรย์ สินลำรัตน์ และนกั รบ หม้แี สน. (2560). ความเป็นครแู ละการพฒั นาครู

มอื อาชีพ. หน้ำ 10.

26

ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

จำกภำพประกอบ 4 สรุปกำรสอนในศตวรรษใหมว่ ่ำครูยุคใหม่จะสอนโดยไม่สอน แต่จะ
สอนในแนวทีใ่ ห้เขำสอนตนเองได้ตอ่ ไป จะต้องใช้หลกั 7 ประกำรดังตอ่ ไปนี้

1. สอนให้เขำกำหนดจุดมุ่งหมำยอย่ำงมเี หตุผลด้วยตนเอง
2. สอนให้เขำต้ังคำถำมได้ว่ำจุดหมำยทีต่ งั้ จะสำเรจ็ ได้อย่ำงไร แล้วให้เขำไปหำควำมรู้
ที่เขำได้ตง้ั ไว้
3. สอนให้เขำรู้จักหำ เลือก และแยกแยะ วเิ ครำะห์ ตคี วำมแล้วเก็บข้อมลู ไว้ใช้
ประโยชน์ได้ตอ่ ไป
4. สอนให้เขำสรุป จัดเป็น Concept นำเสนอให้อภปิ รำยกนั ในชนั้ เรียน
5. ต้องสอนให้เขำตกผลกึ ในข้อคดิ ที่ค้นพบที่สรุปจำกข้อมูลที่เขำหำมำเองอย่ำงมี
ระบบถกู วิธี
6. ให้รจู้ กั ประเมิน ประยุกต์ ปฏิบัติกับควำมรทู้ ีห่ ำมำได้อย่ำงแท้จริง
7. จบวิชำด้วยควำมเข้ำใจ รู้จกั ประเมินเพือ่ ปรบั ปรุงกระบวนกำรเรียนรู้ต่อไป

แนวโน้มปรากฎการณ์ทางการศึกษาในโลกหลังยุคใหม่ (Post-Modernization)
จำกสังคมยุคเกษตรกรรมในศตวรรษที่ 18 เปลี่ยนผ่ำนเข้ำสู่สังคมยุคอุตสำหกรรมใน
ศตวรรษที่ 19 และ 20 และกำลังเปลี่ยนผ่ำนเข้ำสู่สังคมยคุ ควำมรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยพลังขับของ
เทคโนโลยีดิจิทิลที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว และในช่วงสองทศวรรษที่ผ่ำนมำ ทุกประเทศท่ัว
โลกได้รเิ ริม่ และดำเนินกำรปรบั และพฒั นำระบบกำรจัดกำรศกึ ษำใหม่ทีเ่ รียกว่ำ กำรปฏิรูปกำรศึกษำ
(Educational Reformation) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนำกำรจัดกำรศึกษำให้มีประสิทธิภำพ มี
คุณภำพมำตรฐำนสำมำรถผลิตกำลังคนที่มีคุณภำพสู่สังคมแห่งกำรเรียนรู้ (Learning Society) และ
ในสังคมแห่งกำรเรียนรู้นี้ก็มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วในทุกด้ำน ทำให้คนในสังคมมีทักษะ และ
เจตคติที่ตำ่ งไปจำกเดิม ตลอดจนควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีทำให้กำรเข้ำถึงควำมรู้ทำได้ง่ำยขึ้น
จำกวิกฤตกำรระบำดของไวรัสโคโรนำ 2019 (COVCID -19) ซึ่งส่งผลกระทบมำกมำย
หลำยมิติ โลกต้องหยุดชะงักลงมีเด็กนักเรียน นักศึกษำกว่ำ 70 % ที่ได้รับผลกกระทบจำกกำรปิด
โรงเรียนในช่วงโรคระบำด และเยำวชนอำยุระหว่ำง 15-24 ปี มีโอกำสว่ำงงำนมำกกว่ำผู้ใหญ่
ถึง 3 เท่ำ ซึ่งส่วนมำกก็จะเป็นเด็กที่เพิ่งจบกำรศึกษำและกำลังเข้ำสู่วัยทำงำน สังคมไทยเข้ำสู่วิถี
กำรใชด้ ิจทิ ัลเตม็ รูปแบบ ตั้งแตช่ ่วงทีค่ นเริม่ Work from Home (ทำงำนที่บ้ำน) ผคู้ นเริ่มคุ้นเคยกับ

27

ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

กำรประชุมออนไลน์มำกขึ้น ส่วนเด็กก็ Learn from Home (เรียนที่บ้ำน) กำรส่งชิ้นงำนที่ได้รับ
มอบหมำยผ่ำนระบบเครือข่ำยอินเทอร์เน็ต มีทักษะกำรใช้สำรสนเทศ กำรจัดกำรเรียนรู้โดยกำรใช้
ปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงผู้สอนกับผู้เรียนจึงขึ้นอยู่กับระบบออนไลน์เป็นสำคัญ แต่อย่ำงไรก็ตำมกำร
จัดกำรเรียนกำรสอนในลักษณะออนไลน์ดังกล่ำว ต้องคำนึงถึงบรรยำกำศในกำรจัดกำรเรียนกำร
สอนในช้ันเรียน ซึ่งสำมำรถออกแบบเพื่อสร้ำงกิจกรรม หรือกำรทำงำนร่วมกัน ผ่ำนทำงเครือข่ำย
สื่อสำรเพื่อทดแทนรวมถึงพฤติกรรมต่ำงๆ ที่มำกับโลกออนไลน์ เช่น กำรส่ังอำหำร กำรชำระเงิน
ผำ่ นมอื ถือ รวมถึง กำรใช้แอปพลิเคชันหรือเทคโนโลยีดิจิทัลต่ำงๆ มำกขึ้น (กรมสุขภำพจิต, 2564)
และเมือ่ มำเจอวิกฤตโรคระบำดของไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) ทำให้เกิดคำใหม่คือชีวิตวิถีใหม่
(New Normal) ที่สะท้อนภำพชัดขึ้นไปอีกว่ำจำกสถำนกำรณ์ที่เกิดขึ้น ได้กลำยเป็นตัวเร่งที่ทำให้
Digital Disruption เกิดขึ้นแพร่หลำยและรวดเร็วกว่ำที่คิด ส่งผลให้บริษัทหลำยแห่งต้องประสบ
ปัญหำ ภำวะขำดทุน หรือกำไรลดลง จนต้องมีกำรปรับแผนกำรบริหำร ทั้งหำลู่ทำงในกำรสร้ำง
รำยได้เพิ่มเพื่อจะหล่อเลี้ยงคนงำนในบริษัทหลำยร้อยคน แต่บำงบริษัทก็สุดยื้อกับสถำนกำรณ์ที่
เกิดขึ้น จนต้องงัดมำตรกำรปรับลดเงิน ปรับลดคนในตำแหน่งที่ไม่มีควำมจำเป็นออกจำก
บริษัท ส่งผลให้ประชำชนหลำยคนต้องตกงำน อำชีพที่เคยรุ่งเรืองเม่ือไม่กี่ปีก็ประสบปัญหำในกำร
ดำเนินธุรกิจ อำจต้องชะลอกิจกำรไปก่อน หรือร้ำยแรงที่สุดคือ กำรปิดกิจกำรเนื่องจำกไม่สำมำรถ
ต่อยอดธรุ กิจตอ่ ไปได้

นอกจำกนี้ผลสำรวจอำชีพในฝันของเด็กไทยของกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ ประเทศไทย พบว่ำ
เด็กอำยุ 7-14 ปี ซึ่งก็แบ่งได้เป็น สอง เจเนอเรชั่น (Generation) คือ GEN Z และ Gen Alpha ซึ่งเป็น
กลุ่มที่เติบโตมำกับเทคโนโลยี คุ้นชินกับกำรใช้สมำร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต มำ
ต้ังแต่เด็ก ควำมเป็นดิจิทัลเริ่มมำกขึ้นเร่ือยๆ ไม่ว่ำจะเป็น อำชีพยูทูปเบอร์ที่มำแรงขึ้นมำเป็นอันดับ
สำมรองจำกอำชีพหมอและครู ท้ังนีอ้ ำชีพยูทปู เบอร์ยังแซงอำชีพ นักกีฬำและทหำร และมีแนวโน้มที่
สูงข้ึนทกุ ปี หรอื กำรที่เด็กเกือบครึ่งโพลล์เลือกยูทูปเบอร์เป็นไอดอลในดวงใจ รวมถึงพฤติกรรมของ
เด็กในยคุ นี้ที่ชอบเล่นเกม สื่อสำรผ่ำนโซเชยี ลมีเดีย ค้นหำควำมรทู้ ำงอนิ เทอร์เน็ต ล้วนสะท้อนให้เห็น
ถึงควำมเป็น Digital Native ของเด็กไทยในปัจจุบัน กำรที่พวกเขำเกิดมำพร้อมกับโอกำสในกำร
เข้ำถึงเทคโนโลยีและข้อมูลข่ำวสำร Gen Z มีแนวโน้มที่จะเลือกอำชีพที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกำร
ขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงสังคมโลก ทั้งกำรพัฒนำเทคโนโลยีและกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ
รวมถึงสนใจกำรเป็นผู้ประกอบกำรและทำอำชีพอิสระ ซึ่งเป็นมุมมองกำรเลือกอำชีพที่แตกต่ำงไป
จำกคนรนุ่ ก่อน (ศนู ย์ขอ้ มูลและข่ำวสืบสวนเพือ่ สิทธิพลเมือง,2563) กำรเรียนรู้ตอ้ งไม่ใชส่ ถำนกำรณ์

28

ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

สมมติในห้องเรียน แต่ต้องออกแบบกำรเรียนรู้ให้ได้เรียนในสภำพที่ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด และควร
เปน็ บริบทหรอื สภำพแวดล้อมในขณะเรียนรู้ เกิดกำรส่ังสมประสบกำรณ์ใหม่ เอำมำโต้แย้งควำมเชื่อ
หรอื ค่ำนิยมเดิม ทำให้ละจำกควำมเช่อื เดิมหันมำยึดถือ ควำมเชือ่ หรอื ค่ำนิยมใหม่ที่เรียกว่ำ กระบวน
ทศั นใหม่ กำรคิดเชือ่ มโยงบรู ณำกำรข้ำมศำสตร์ เพื่อแลกเปลี่ยนควำมรู้ระหว่ำงสำระที่แตกต่ำง เริ่ม
มีกำรนำมำใช้อย่ำงจริงจงั ทั้งนี้ เพือ่ นำไปประยุกต์ร่วมกัน เพือ่ ตอบโจทย์ในอนำคตของอำชีพใหม่ให้ดี
ยิง่ ข้ึน

ทักษะที่สำคญั นั้นหลกั ๆ ก็หนไี ม่พ้นเร่อื งของควำมคิดสรำ้ งสรรค์ รวมท้ังทักษะอื่นๆ ที่จำเป็น
สำหรับกำรทำงำนในอนำคต ส่วนควำมรู้นั้นสิ่งที่ผู้บริหำรมองกันก็คือ ไม่ใช่ควำมรู้ในเชิงลึก ที่รู้ลึก
เฉพำะในศำสตร์ของตนเองอีกต่อไป แต่จะต้องเป็นลักษณะของ Trans-Discipline ที่มีควำมรู้ ใน
หลำกหลำยสำขำมำกขึ้น ทั้งนี้ผู้เรียน (ไม่ว่ำระดับใด) ก็จะเริ่มมีช่องทำงและทำงเลือกอื่นๆ ในกำร
แสวงหำควำมรู้เพิ่มขึ้น ไม่ว่ำจะผ่ำนสื่อออนไลน์ต่ำงๆ หรือแม้กระท่ังทัศนคติที่สำคัญที่ผู้บริหำร
ต้องกำรจำกคนรุ่นใหม่คือ เร่ืองของควำมอดทน และควำมรับผิดชอบต่อหน้ำที่กำรงำนของตนเอง
นอกจำกนั้นทศั นคติที่ดที ี่พรอ้ มจะทำงำนรว่ มกับผอู้ ื่นกเ็ ป็นสิง่ สำคญั (พสุ เตชะรินทร์, 2560)

ภำรกิจครูในโลกหลังกำรแพร่ระบำดของไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) กำรเตรียมคน
ไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในโลกหลัง COVID-19 นับเป็นโจทย์สำคัญที่ท้ำทำยครูและบุคลำกร
ทำงกำรศึกษำเป็นอย่ำงยิ่ง ไม่ว่ำโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่ำงไรจิตวิญญำณของควำมเป็นครูไม่เคย
แปลเปลี่ยน สิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนคือ ภำรกิจครูในโลกหลัง COVID-19 ซึ่งมีอยู่ 7 ประกำร (สุวิทย์
เมษินทรีย์, 2563) ได้แก่

1. บูรณำกำรกำรใชช้ ีวติ กำรเรียนรแู้ ละกำรทำงำน
2. กำหนดเป้ำหมำยกำรเรียนรู้แบบองค์รวม
3. เปลี่ยนสงั คมของควำมเปน็ กลุ่มของตนเอง เปน็ สังคมของพวกเรำ
4. พฒั นำโมเดลกำรเรียนรู้ในโลกหลงั COVID-19
5. เปิดโอกำสลองผิดลองถกู เปิดรับควำมผดิ พลำดยอมรับควำมลม้ เหลว
6. ทำงำนบนแพลตฟอร์มกำรเรียนรชู้ ดุ ใหม่
7. สร้ำงชีวติ ทีส่ มดุลย์เพือ่ เปน็ มนุษย์ทีส่ มบรู ณ์

โลกหลังยุคใหม่ (Post-Modernization) ของทุกประเทศในปัจจุบัน ต่ำงพยำยำมสร้ำง
กระบวนทัศน์กำรพัฒนำภำยใต้กำรเปลี่ยนแปลงในทุกๆ มิติของสังคม สิ่งที่ปรำกฏออกมำให้เห็น
อย่ำงเด่นชดั คือ ยุทธศำสตร์ กลยทุ ธ์ หรอื กระบวนทศั นใ์ ดทีจ่ ะทำให้สภำพกำรณข์ องประเทศ ให้มี
ควำมเปน็ เลิศในทุกๆ ด้ำน ไม่วำ่ จะเปน็ ด้ำนกำรเมอื งกำรปกครอง ด้ำนเศรษฐกิจ ดำ้ นสงั คม และ

29

ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

ที่สำคัญคือ ควำมเป็นเลิศด้ำนกำรศึกษำ เพรำะกำรจัดกำรศึกษำในยุคนี้มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำง
มำกหมำยและหลำกหลำยรูปแบบ ควำมสลบั ซับซ้อนของคนและสังคมมีมำกขึ้นตำมลำดับ ควำมรู้ที่
เคยได้รับไม่ได้มำจำกทำงเดียวคือ กำรถ่ำยทอดจำกครู แต่ควำมรู้ในยุคนี้เป็นควำมรู้ที่สร้ำงและผลิต
ขนึ้ มำใหม่ หรอื บำงครง้ั ก็นำควำมรเู้ ดิมมำผลติ หรอื ทำซ้ำบนฐำนของกำรเปลี่ยนแปลง อย่ำงที่ผู้เขียน
จะขอใช้คำว่ำ ปฏิรังสรรคก์ ารศึกษา (Reinventing Education)

ในฐำนะผู้บริหำรสถำนศึกษำจะต้องมีกำรบริหำรจัดกำรหลักสูตร จัดทำแผนกำรเรียนรู้
หน่วยกำรเรียนรู้ วิเครำะห์หลักสูตรสถำนศึกษำ วำงแผนในกำรจัดกำรเรียนรู้ ผู้บริหำรจะต้อง
ร่วมกนั คิด ร่วมพฒั นำและออกแบบกระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้ เพื่อพลิกสถำนกำรณ์นี้มำเป็นโอกำส
เพื่อพัฒนำระบบกำรศึกษำของไทย และเพื่อให้ผู้เรียนในยุคใหม่สำมำรถเดินทำงไปสู่ควำมฝันใน
เส้นทำงอำชีพในอนำคตขำ้ งหน้ำที่จะเกิดขึ้น ผู้บริหำรมีบทบำทสำคัญมำกในกำรผลักดันควำมใฝ่ฝัน
ของผู้เรียน จัดเตรียมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือสำหรับกำรเรียนรู้หรือกำรปฏิบัติ โดยกำรจัดกำร
เรียนรู้ตำมแนวทฤษฎีปฏิรังสรรค์ (Constructionism) เพื่อให้ผู้เรียนเลือกที่จะศึกษำเรียนรู้ตำมควำม
สนใจและเหมำะสมกับบริบทผเู้ รียน บริบทของโรงเรียนและสังคมโลก

เม่ือกระบวนทัศน์กำรจัดกำรเรียนรู้เปลี่ยนแปลง กำรศึกษำต้องจัดให้สอดคล้องกับ
แนวทำงพัฒนำคน ควรส่งเสริมจึงมุ่งไปสู่กำรพัฒนำควำมสำมำรถทำงกำรคิดปฏิบัติอย่ำง
สร้ำงสรรค์ ดังนั้นควรมีกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนรู้บนพื้นฐำนของ Constructivism ที่เป็นกำรจัด
ประสบกำรณ์ด้วยกระบวนกำรสร้ำงควำมรู้ ประสบกำรณ์ที่หลำกหลำยมุมมอง สนับสนุนกำรใช้
ทักษะกำรสื่อสำรที่หลำกหลำยรูปแบบ ตระหนักถึงกำรเรียนรู้ด้วยตนเองหรือรู้วิธีกำรเรียนรู้
(Cunningham, Duffy, and Knuth : 2014) และทฤษฎี Constructionism แสดงให้เห็นว่ำกำรที่ผู้เรียนได้
สร้ำงชนิ้ งำนทีเ่ ป็นรูปธรรมนน้ั จะช่วยใหว้ ัฎจกั รกำรเรียนรู้นเี้ กิดข้ึนได้ดีเป็นพิเศษ (Papert,1990)

ขั้นตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนของกำรจดั กำรเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รียนสร้ำงควำมรู้ตำมแนว Constructivism น้ัน Driver and
Bell (Driver and Bell, 1986 อ้ำงถึงใน Matthews, 1994) ได้กำหนดขั้นตอนไว้ ดังภำพประกอบ 5

30

ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

ภาพประกอบ 5 ข้ันตอนของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรู้
ทม่ี า : สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ. (2550). การจดั การเรียนรู้แบบสร้าง

องค์ความรู้. หน้ำ 4.

จำกภำพประกอบ 5 สำมำรถอธิบำยรำยละเอียดแต่ละข้ันได้ดงั นี้
1. ขั้นนำ (Orientation) เป็นข้ันทีผ่ ู้เรยี นจะรับรู้ถึงจดุ มุ่งหมำยและมีแรงจงู ใจในกำรเรียน
บทเรียน
2. ข้ันทบทวนควำมรเู้ ดิม (Elicitation of The Prior Knowledge) เปน็ ข้ันทีผ่ ู้เรยี นแสดงออก
ถึงควำมรู้ควำมเข้ำใจเดิมที่มอี ยู่เกีย่ วกับเรือ่ งที่จะเรียน วิธีกำรใหผ้ เู้ รียนแสดงออก อำจทำได้โดยกำร
อภปิ รำยกลุ่ม กำรให้ผู้เรยี นออกแบบโปสเตอร์ หรอื กำรให้ผู้เรยี นเขียนเพือ่ แสดงควำมรู้ควำมเข้ำใจที่
เขำมีอยู่ ผู้เรียนอำจเสนอควำมรู้เดิมด้วยเทคนิคผังกรำฟฟิก (Graphic Organizers) ข้ันนี้ทำให้เกิด
ควำมขัดแย้งทำงปัญญำ (Cognitive Conflict) หรอื เกิดภำวะไม่สมดุล (Unequillibrium)
3. ข้ันปรบั เปลี่ยนควำมคิด (Turning Restructuring of Ideas) นับเปน็ ข้ันตอนทีส่ ำคญั หรอื
เปน็ หัวใจสำคญั ตำมแนว Constructivism ขั้นน้ปี ระกอบด้วยขั้นตอนย่อย ดังนี้

31

ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

3.1 ทำควำมกระจำ่ งและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่ำงกนั และกนั (Clarification and
Exchange of Ideas) ผู้เรียนจะเข้ำใจได้ดีขึ้น เม่ือได้พิจำรณำควำมแตกต่ำงและควำมขัดแย้งระหว่ำง
ควำมคิดของตนเองกบั ของคนอ่นื ผู้สอนจะมีหน้ำที่อำนวยควำมสะดวก เชน่ กระตุ้นผเู้ รียนให้คิด

3.2 กำรสรำ้ งควำมคิดใหม่ (Construction of New Ideas) จำกกำรอภปิ รำย และกำร
สำธิต ผู้เรียนจะเห็นแนวทำงแบบวิธีกำรที่หลำกหลำยในกำรตีควำมปรำกฏกำรณ์ หรือเหตุกำรณ์
แล้วกำหนดควำมคิดใหม่ หรอื ควำมรใู้ หม่

3.3 ประเมินควำมคิดใหม่ (Evaluation of The New Ideas) โดยกำรทดลองหรือกำรคิด
อย่ำงลึกซึ้ง ผู้เรียนควรหำแนวทำงที่ดีที่สุดในกำรทดสอบควำมคิดหรือควำมรู้ ในขั้นตอนนี้ผู้เรียน
อำจจะรู้สึกไม่พึงพอใจควำมคิดควำมเข้ำใจที่เคยมีอยู่ เน่ืองจำกหลักฐำนกำรทดลองสนับสนุน
แนวคิดใหมม่ ำกกว่ำ

4. ข้ันนำควำมคิดไปใช้ (Application of Ideas) เปน็ ข้ันตอนที่ผเู้ รียนมีโอกำสใช้แนวคิดหรอื
ควำมรู้ควำมเข้ำใจที่พัฒนำขึ้นมำใหม่ในสถำนกำรณ์ต่ำงๆ ทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย เป็นกำรแสดง
ว่ำผเู้ รียนเกิดกำรเรยี นรู้อย่ำงมคี วำมหมำย กำรเรียนรู้ที่ไม่มีกำรนำควำมรู้ไปใช้เรียกว่ำ เรียนหนังสือ
ไม่ใช่เรยี นรู้

5. ข้ันทบทวน (Review) เป็นขั้นตอนสุดท้ำย ผู้เรียนจะได้ทบทวนว่ำ ควำมคิด ควำมเข้ำใจ
ของเขำได้เปลีย่ นไป โดยกำรเปรียบเทียบควำมคิดเม่ือเริ่มต้นบทเรียนกับควำมคิดของเขำ เม่ือสิ้นสุด
บทเรียน ควำมรู้ทีผ่ ู้เรยี นสร้ำงดว้ ยตนเองนนั้ จะทำให้เกิดโครงสร้ำงทำงปัญญำ (Cognitive Structure)
ปรำกฏในช่วงควำมจำระยะยำว (Long-Term Memory) เป็นกำรเรียนรู้อย่ำงมีควำมหมำย ผู้เรียน
สำมำรถจำได้ถำวรและสำมำรถนำไปใช้ได้ในสถำนกำรณ์ต่ำงๆ เพรำะโครงสร้ำงทำงปัญญำคือ
กรอบของควำมหมำย หรอื แบบแผนที่บคุ คลสร้ำงขึ้น ใช้เป็นเคร่ืองมือในกำรตีควำมหมำย ให้เหตุผล
แก้ปัญหำ ตลอดจนใช้เป็นพื้นฐำนสำหรับกำรสร้ำงโครงสร้ำงทำงปัญญำใหม่ นอกจำกนี้ยังทบทวน
เกี่ยวกบั ควำมรสู้ ึกทีเ่ กิดขึน้ ทบทวนว่ำจะนำควำมรไู้ ปใช้ได้อย่ำงไร

กำรสร้ำงสรรค์ควำ มรู้ด้วยตนเอง อำศัยทฤษฎีที่เรียกว่ำ ทฤษฎีปฏิรังสรรค์
(Constructionism) เป็นกำรเรียนรู้เพื่อสร้ำงสรรค์ด้วยปัญญำ หลักกำรเรียนกำรสอนตำมทฤษฎี
Constructionism เป็นกำรเรียนกำรสอนที่ผู้เรียนเรียนรู้จำกกำรสร้ำงงำน จัดกิจกรรมกำรเรียนด้วย
ตนเอง โดยกำรลงมอื ปฏิบตั ิหรอื สร้ำงนวัตกรรมชนิ้ งำนที่ตนเองสนใจ ในขณะเดียวกนั กเ็ ปิดโอกำสให้
สัมผัสและแลกเปลี่ยนควำมรู้กับสมำชิกในกลุ่ม ผู้เรียนได้มีโอกำสแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็นระหว่ำง
กนั ครจู ะต้องเปน็ คนมีวสิ ยั ทศั นแ์ ลกเปลี่ยนควำมคิดเห็นกับผเู้ รียน เน้นให้เดก็ เกิดกำรเรียนรู้ โดย
กำรส่งเสริมกำรเรียนรู้แบบผเู้ รียนเป็นสำคัญ

32

ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

ภาพประกอบ 6 ควำมสัมพนั ธ์ของ Constructionism และ Constructivism
ท่มี า: สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ. (2555). การพฒั นาคณุ ลักษณะผเู้ รียน

ยคุ ใหม่เพือ่ รองรับการปฏิรูปการศกึ ษาในทศวรรษทีส่ องด้วยการบรู ณาการไอซี
ที่ในการจัดการเรียนรู้ดว้ ยโครงการ. หนำ้ 23.

ทฤษฎีปฏิรังสรรค์ (Constructionism) เป็นกำรเรียนรู้ที่ดีเกิดจำกกำรสร้ำงพลังควำมรู้ใน
ตนเองด้วยตนเองของผู้เรียน ผู้เรียนที่มีโอกำสได้สร้ำงควำมคิดและนำควำมคิดของตนเองไปสร้ำง
ชิน้ งำน โดยอำศัยสื่อและเทคโนโลยีทีเ่ หมำะสมจะได้เหน็ ควำมคิดนน้ั เป็นรปู ธรรม กำรสร้ำงควำมรู้ใน
ตนเองของผู้เรยี น เกิดข้ึนเมอ่ื ผเู้ รียนสร้ำงสง่ิ ใดสิ่งหนึ่งขึ้นมำ ควำมรู้ที่ผู้เรียนสร้ำงขึ้น จะเป็นควำมรู้ที่
มีควำมหมำยต่อผู้เรียน มีควำมคงทน ไม่ลืมง่ำย และสำมำรถถ่ำยทอดให้คนอื่นเข้ำใจควำมคิดของ
ตนเองได้ดี ควำมรู้ที่ผู้เรียนสร้ำงขึ้น จะเป็นฐำนให้ผู้เรียนสำมำรถสร้ำงควำมรู้ใหม่ต่อไปอย่ำงไม่
สิ้นสุด ทฤษฎีปฏิรังสรรค์ (Constructionism) จึงมีชื่อเรียกมำกมำย ดังนี้ ทฤษฎีควำมรู้สร้ำงสรรค์
ทฤษฎีกำรสร้ำงองค์ควำมรู้ด้วยตนเอง ทฤษฎีกำรเรียนรู้เพื่อสร้ำงสรรค์ด้วยปัญญำ ทฤษฎีกำร
สร้ำงควำมรู้ดว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งสรรคช์ ิน้ งำน

33

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

ทฤษฏี Constructionism ถูกคิดค้นขึ้นโดย Seymour Papert ผู้ซึ่งเป็น ศำสตรำจำรย์ ทำงกำร
เรียนรู้ที่ MIT (Massachusetts Institute of Technology) มหำวิทยำลัยชั้นนำทำงวิทยำศำสตร์ และ
วิศวกรรมศำสตร์ในสหรัฐอเมริกำ โดยเป็นแนวคิดที่ Papert ต่อยอดมำจำกทฤษฎีที่ใกล้เคียงกันชื่อ
ว่ำ Constructivism ซึ่งคิดค้นโดยอำจำรย์ของ Papert ชือ่ Jean Piaget นกั ญำณวิทยำ(Epistemologist)
และนักปรัชญำผู้โด่งดังจำกประเทศสวิสเซอร์แลนด์ Piaget ได้รับกำรคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อย
บุคคลสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20 โดยนิตยสำรไทมส์ ด้วยเหตุที่เขำค้นพบพื้นฐำนสำคัญหลำย
อย่ำงของกำรพฒั นำกำรเรียนรขู้ องมนษุ ย์ (โดยเฉพำะเด็ก) โดยทฤษฎี Constructivism เป็นที่รู้จักและ
อ้ำงองิ อย่ำงกว้ำงขวำงในแวดวงวิชำกำรและกำรศกึ ษำ ทฤษฏี Constructionism ใช้หลักทำเอง คิดเอง
เรียนรู้เอง ของเด็กโดยอำศัยครูและสื่อสมัยใหม่เป็นเคร่ืองกระตุ้น แนวคิดสำคัญของ Papert คือ
กระบวนกำรเรียนรู้ของคนเรำน้ันจะมีประสิทธิภำพที่สุดก็ต่อเม่ือเป็นควำมรู้ที่ค้นพบ ด้วยควำม
กระหำยไคร่รู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้เกิดควำมเข้ำใจอย่ำงลึกซึ้งในสิ่งที่เรียน (อมรวิชช์ นำครทรรพ,
2546) กำรเรียนรู้แบบสร้ำงควำมรู้ด้วยตนเอง (Constructionism) มำจำก 2 กระบวนกำรคือ กำร
แปลควำมหมำยของสิ่งที่ได้เรียนรู้มำจนสำมำรถนำไปสร้ำงองค์ควำมรู้ใหม่ขึ้นได้ด้วยตนเอง และ
ได้รับประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จำกกำรลงมือปฏิบัติจริง จนนำไปสู่กำรพัฒนำสร้ำงสรรค์สิ่งใหม่ๆ
โดยกระบวนกำรทั้งสองนี้มำจำกรำกฐำนกำรเรียนรู้แบบ Learning by Doing โดย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่
กำรรับสำรอย่ำงกำรอ่ำนหรือรับฟังเพียงอย่ำงเดียว กำรเรียนรู้แบบนี้ยังรวมถึงกำรสังเกตอิริยำบถ
และสภำพแวดล้อมต่ำงๆ อีกด้วย แม้ในกำรเรียนรู้น้ันจะพบเจอกับข้อผิดพลำดบ้ำง แต่ก็สำมำรถที่
จะเรียนรู้จำกข้อผิดพลำดน้ัน และพยำยำมแก้ไขจุดที่บกพร่องซ้ำไปเร่ือยๆ จนสำมำรถหำวิธีกำร
แก้ปัญหำนั้นได้ซ้ำเสร็จ กลำยมำเป็นควำมรู้ใหม่ที่เรำค้นพบด้วยตัวเอง และช่วยให้เรำเริ่มสังเกต
ควำมเปน็ ไปของส่งิ ตำ่ งๆ ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นครูจะเป็นผู้สอนอย่ำงเดียวเหมือนเม่ือก่อนไม่ได้ จะต้องให้
ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองควบคู่กันไปด้วย โดยที่ครูออกแบบกำรเรียนรู้ เป็นผู้แนะนำ และอำนวย
ควำมสะดวกในกำรเรียนรู้ใหก้ ับผเู้ รียน

ครูผสู้ อนจะต้องสร้ำงให้เกิดองค์ประกอบครบทั้ง 3 ประกำร คือ
1. ให้ผู้เรยี นได้ลงมอื ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง (ได้สรำ้ งงำน) ตำมควำมสนใจ ตำม

ควำมชอบหรอื ควำมถนัด ของแต่ละบคุ คล
2. ให้ผู้เรยี นได้เรียนรภู้ ำยใต้บรรยำกำศและสภำพแวดล้อมในกำรเรียนรู้ทีด่ ี
3. มีเคร่อื งมอื อุปกรณ์ในกำรประกอบกิจกรรมกำรเรียนรทู้ ีเ่ หมำะสม

34

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

ควำมเจริญก้ำวหน้ำอย่ำงรวดเร็ว เป็นสังคมที่มีควำมหลำกหลำย ทั้งคน ควำมรู้ ข่ำวสำร
กำรค้ำและกำรเมอื ง โดยคนและเทคโนโลยีเป็นหลกั ทีเ่ ข้ำมำมีสว่ นสำคญั ในกำรทำงำนของมนุษย์ ทำ
ให้เด็กรุ่นใหม่เติบโตพร้อมกับเทคโนโลยี ดังน้ัน คนจึงเป็นตัวจักรและกลไกที่สำคัญในกำรพัฒนำ
ประเทศ และเพื่อจะนำไปสู่ควำมเจริญก้ำวหน้ำและควำมท้ำทำยของคนในศตวรรษที่ 21 ต้องมี
กำรรว่ มมอื กนั มำกขึน้ และสือ่ ควำมหมำยใหมๆ่ ให้กับสังคม พลเมืองที่ดีของโลกต้องเกิดกำรพัฒนำ
จำกควำมเจริญก้ำวหน้ำและกำรเปลี่ยนแปลง (Kay, K. & Greenhill, V., 2011; (Fowler, N. C.,
2013) เม่ือมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมของควำมเจริญ ย่อมต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับ
กำรเปลี่ยนแปลงตลอดทุกยุคทุกสมัย เน่ืองจำกสังคมมีลักษณะเป็นพลวัต (Dynamic) ที่เคลื่อนไหว
ตลอดเวลำ คำทีใ่ ชก้ ับกำรเปลี่ยนแปลงทำงสังคม ซึง่ เคยปรำกฏและเป็นที่รู้จักกันท่ัวไป ได้แก่ ปฏิวัติ
ปฏิรูป

1. ปฏิวัติ (Revolution) หมำยถึง กำรเปลีย่ นแปลงโครงสร้ำงของสังคมอย่ำงกว้ำงขวำงแบบ
หนำ้ มอื เป็นหลงั มือ เช่น กำรปฏิวตั ิทำงกำรเมอื งจำกระบอบหนง่ึ เปน็ อีกระบอบหนง่ึ เป็นต้น

2. ปฏิรปู (Reform) หมำยถึง กำรเปลี่ยนแปลงในลกั ษณะค่อยเป็นค่อยไป มกี ำรกำหนด
แผนและขั้นตอนกำรเปลี่ยนแปลง เช่น กำรปฏิรปู กำรศึกษำ เปน็ ต้น

ส่วนปฏิรงั สรรค์ (Reinventing) นั้นมีนักวิชำกำร เชน่ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศกั ดิ์ (2554) ได้
นิยำม ปฏิรังสรรค์ หมำยควำมว่ำ องค์ประกอบต่ำงๆ ที่ยังดีอยู่ แต่รวมกันแล้วติดลบก็นำมำต่อกัน
ใหม่ให้ถูกต้อง โดยใช้องค์ประกอบเดิมที่ยังดีอยู่เพื่อแก้ไขปัญหำ ส่วน ไพฑูรย์ สินลำรัตน์ (2561 ก.)
ให้ควำมหมำย ปฏิรังสรรค์ (Reinventing) ว่ำเป็นกำรคิด หำวิธีกำรใหม่ หรือวำงระบบใหม่ขึ้น
กำรศกึ ษำไทย จงึ ตอ้ งมกี ำรคิดใหม่ ทำใหม่ หำวิธีกำรใหม่ๆ อย่ำงจริงจัง และวิจิตร ศรีสอ้ำน (2564)
ได้ระบถุ ึงคำทีเ่ กี่ยวข้องกับปฏิรังสรรคไ์ ว้ 3 คำ คอื ปรบั แปลง ปรบั แต่ง แปลงโฉม

ประเด็นของกำรปฏิรังสรรค์กำรศึกษำ Papert มีควำมเชื่อมั่นเป็นอย่ำงมำกว่ำเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์เป็นเคร่ืองมือที่ช่วยให้กระบวนกำรเรียนรู้ตำมทฤษฎี Constructionism น้ันเกิดขึ้นได้
อย่ำงแพร่หลำยและเกิดขึ้นได้กับองค์ควำมรู้ในหลำกหลำยสำขำวิชำ ครูเป็นผู้ที่มีบทบำทสำคัญใน
กำรส่งเสริมกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ โดยเปลี่ยนบทบำทจำกกำรเป็น “ผู้บอก” มำเป็น “ผู้คอย
ชี้แนะและอำนวยควำมสะดวก” ระหว่ำงจัดกำรเรียนรู้ ครูกระตือรือร้นในกำรศึกษำหำควำมรู้และ
พัฒนำตนเอง มีควำมคิดริเริ่มสร้ำงสรรค์ ครูร่วมเรียนรู้กับผู้เรียนได้ตลอดเวลำ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับ
ผู้เรียนมำกขึ้นทำให้ได้เรียนรู้พฤติกรรมของผู้เรียน ลดช่องว่ำงระหว่ำงครูกับผู้เรียน และเปิดโอกำส
ให้ผู้เรยี นได้แสดงควำมคิดเห็นอย่ำงหลำกหลำย

35

ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

จำกแนวคิดดังกล่ำวผเู้ ขียนขอสรุปว่ำ ปฏิรังสรรค์กำรศึกษำ หมำยถึง กำรเปลี่ยนแปลงจำก
กำรจัดกำรศึกษำในรูปแบบเดิมที่มีอยู่ สู่กำรจัดกำรศึกษำที่ใช้แนวคิดในวิถีชีวิตใหม่ โดยจะต้องปรับ
แปลง ปรับแต่ง แปลงโฉมควำมคิด กระบวนทัศน์ท้ังหมดให้สอดคล้องกับกำรเปลี่ยนแปลงของ
เทคโนโลยี เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของสงั คมโลกภำยใต้สภำวกำรณ์ที่พลิกผัน กำรเตรียมรับมือกับ
วัฒนธรรมในกำรเรียนรู้ใหม่ โดยมีสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวกลำงในกำรสร้ำงควำมรู้ใหม่ๆ ที่
เกิดข้ึนเองจำกศกั ยภำพและปัญญำผเู้ รียน

การจัดการเรียนรเู้ ชิงสรา้ งสรรค์
นอกจำกมนุษย์จะต้องรับกับสถำนกำรณ์ของพลวัต (Dynamic) ที่เคลื่อนไหวจำกประเด็น

ปฏิวัติและปฏิรูปแล้ว วิกฤตที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในช่วงที่ผ่ำนมำ โลกยังต้องเผชิญกับไวรัสโคโรนำ
2019 (Covid-19) นับว่ำเป็นวิกฤติที่ทุกประเทศต่ำงเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยผลกระทบต่อระบบ
กำรศึกษำ ซึ่งอำจกลำยเป็นหนึ่งในวิกฤติที่ร้ำยแรงที่สุดต่อจำกนี้ก็เป็นได้ หำกกลับมำพิจำรณำ
ว่ำอะไรคือผลกระทบที่จะต้องได้รับกำรจดั กำรใหท้ นั กำล อำจวิเครำะหแ์ ละสรุปเป็นประเด็นที่สำคัญ
3 ประกำร ดงั น้ี

1. ควำมเสมอภำคที่ไม่เสมอภำคทำงกำรศึกษำ โอกำสในกำรเข้ำถึงระบบกำรศึกษำที่มี
คณุ ภำพนบั เปน็ ปัญหำสำคัญของประเทศไทย ช่องว่ำงระหว่ำงโอกำสเข้ำถึงกำรศึกษำ ควำมเหลื่อม
ล้ำและไม่เท่ำเทียมทำงกำรศึกษำที่อำจเพิ่มมำกขึ้น โดยเฉพำะควำมพร้อม หรือที่เรียกว่ำ ควำมไม่
พร้อมทำงด้ำนอปุ กรณ์ เทคโนโลยีที่รองรับกำรเรียนเพิ่มมำกขึ้นอย่ำงชัดเจน ในช่วงเวลำของกำรปิด
สถำนศกึ ษำ เพือ่ ป้องกนั กำรระบำดของไวรัสโคโรนำ 2019 (Covid-19) นักเรียนไทยอีกหลำยล้ำนคน
โดยเฉพำะเด็กในโรงเรียนขยำยโอกำส ที่ผู้ปกครองของพวกเขำมีฐำนะสำมำรถจัดหำหรือ ซื้อ
อุปกรณ์กำรเรียนในช่วงนี้ได้ เม่ือเทียบกับนักเรียนในโรงเรียนรัฐที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ หรือใน
จังหวดั ใหญ่ๆ ไม่สำมำรถเข้ำถึงกำรเรยี นกำรสอนผ่ำนทำงระบบออนไลน์หรืออีเลิร์นนิ่ง (E-Learning)
อย่ำงมีประสิทธิภำพ ขณะต้องกักตัวอยู่ที่บ้ำน อีกท้ังผู้ปกครองของนักเรียนกลุ่มนี้อำจต้องถูกเลิก
จ้ำงหรือไม่มีงำนประจำที่ม่ันคงภำยใต้ภำวะเศรษฐกิจถดถอย หลำยกิจกำรต่ำงเลิกกิจกำรและลด
ตำแหน่งงำน จะยิ่งสรำ้ งควำมลำบำกต่อสภำพควำมเป็นอยู่ของพวกเขำยิ่งข้ึน ยิ่งกำรแพร่ระบำดคร้ัง
นีใ้ ช้เวลำนำนมำกเท่ำไร กจ็ ะยิ่งสร้ำงช่องว่ำงของควำมไม่เท่ำเทียมทำงกำรศึกษำให้ขยำยกว้ำงยิ่งขึ้น
เท่ำน้ันควำมเหลื่อมล้ำและโอกำสทำงกำรศึกษำ จึงไม่เท่ำเทียมกันต้ังแต่ยังไม่เกิดสถำนกำรณ์โรค
ระบำดด้วยซ้ำ

36

ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ

2. ประสิทธิภำพของกำรเรียนรู้ของผู้เรียน และทักษะกำรสอนของครูยังไม่พอเพียงต่อ
พัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ กำรเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันหรือที่เรียกว่ำ พลิกผันอย่ำงถำวรเกิดขึ้นโดย
ครูและผู้เรียน ตลอดจนผู้บริหำรสถำนศึกษำยังไม่อำจรับมือได้ทัน กอปรกับกำรเปลี่ยนแปลง
นโยบำยทำงกำรศึกษำของผู้บริหำรระดับกระทรวงที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอำทิเช่น กำรเปิดเรียนในช่วง
สถำนกำรณ์โรคระบำด กำรจัดอุปกรณ์ หรือแม้แต่กำรคืนเงินค่ำเล่ำเรียน ทั้งหมดท้ังปวงส่งผล
กระทบต่อกำรเรียนกำรสอนท้ังสิน้ สว่ นฝำ่ ยของผเู้ รียนหรอื ผปู้ กครองก็ไม่สำมำรถกลับมำใช้ชีวิตเฉก
เชน่ ปกติได้อย่ำงทีห่ วงั

ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก่อนในช่วงนี้คือ พิจำรณำช่องทำงกำรเรียนรู้อื่นๆ ทดแทนรูปแบบเดิมให้
ได้เร็วที่สุด แต่ก็เป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่ำประสิทธิภำพของระบบกำรเรียนกำรสอนแบบออนไลน์
ไม่สำมำรถทดแทนครูในห้องเรียนได้ทุกมิติ อ้อมกอดของครูยังมีควำมหมำยสำหรับผู้เรียน ร้ัว
โรงเรียนยงั สำคัญไม่น้อยกว่ำจอคอมพิวเตอร์หรอื โทรศพั ท์มอื ถือ เพียงแต่กำรเรียนผ่ำนออนไลน์เป็น
วิธีที่นำมำใช้ทดแทนช่วงเวลำหนึ่งของกำรจัดกำรศึกษำ นักเรียนจำนวนมำกยังขำดแคลนอุปกรณ์
กำรเรียนผ่ำนระบบเทคโนโลยีที่จำเป็นโดยเฉพำะนักเรียนในพื้นที่ชนบท ส่วนปัญหำของครูคือ
กำรอบรมหรือประสบกำรณ์ในชั้นเรียนออนไลน์ยังไม่เพียงพอหำกจะเปรียบเทียบคงพูดได้ แต่ว่ำ
กำรศึกษำ ดึงโลกอนำคตมำใช้เร็วกว่ำปกติ จึงเกิดปัญหำด้ำนควำมพร้อมและประสิทธิภำพของท้ัง
สองฝ่ำย

3. กำรส่งเสริมสนับสนนุ จำกสถำนศกึ ษำ ในกำรจดั กำรเรียนกำรสอนออนไลน์ของครูยังไม่
เพียงพอ จำกที่กล่ำวมำแล้ว ครูคือ กุญแจสำคัญของกำรจัดกำรศึกษำ เป็นแม่พิมพ์ของชำติที่อยู่
เบื้องหลังควำมสำเร็จในกำรพัฒนำมนุษย์ให้มีคุณภำพชีวิตที่ดีและเพื่อสร้ำงอนำคตของชำติ แต่เม่ือ
เกิดกำรแพรร่ ะบำดของไวรัสโคโรนำ 2019 (Covid-19) ในคร้ังนี้ นโยบำยกำรเยี่ยมบ้ำน เพื่อติดตำม
ควำมเป็นอยู่ของนักเรียนก็ยังต้องดำเนินต่อไป เพื่อประเมินควำมพร้อมในกำรเรียนรู้วิถีใหม่
กำรติดตำมควำมก้ำวหน้ำกำรเรียนรู้และประเมินผลสัมฤทธิ์ กำรศึกษำอำจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ
ใหม่ในรูปแบบของโลกออนไลน์ โดยต้องอำศัยเทคโนโลยีและสื่ออินเทอร์เน็ตเข้ำสู่กำรจัดกำรศึกษำ
ยุคดิจทิ ัล ซึง่ บทบำทของครมู คี วำมสำคัญยิง่ ต่อกำรนำเอำเทคโนโลยี เข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรจัดกำร
เรียนรู้แก่ผเู้ รียนได้อย่ำงมคี ณุ ภำพและปลอดภยั

ควำมคิดสร้ำงสรรค์เป็นสิ่งที่มีควำมสำคัญต่อทุกคนและสังคมเป็นอย่ำงยิ่ง จึงจำเป็น
ที่จะต้องดำเนินกำรจัดกำรเรียนกำรสอน เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีควำมรู้ เกิดควำมสำมำรถใน
กำรคิด เพื่อนำไปสู่กำรมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ เป็นพลเมืองที่รู้คิด รู้แนวทำงในกำรดำเนินชีวิตให้มี
ควำมสุข และรู้ทีจ่ ะสร้ำงสรรคส์ ิง่ ใหม่ สิ่งดีทีม่ คี ณุ ค่ำและเป็นประโยชน์ในสังคมตอ่ ไป เน้นให้ผู้เรยี น

37

ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ

สร้ำงควำมรู้ใหม่ด้วยตนเอง (Construction The New Knowledge) โดยมีส่วนร่วมในกำรทำกิจกรรม
อย่ำงกระฉับกระเฉง เป็นวิธีสอนที่ให้อำนำจแก่ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือให้โอกำสสร้ำง
ควำมรู้ หรือปรับโครงสร้ำงควำมรู้ด้วยตนเองอย่ำงเป็นอิสระและแสดง ซึ่งกระบวนกำรในกำรได้มำ
ซึ่งควำมรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อควำมรู้ที่สร้ำงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่กำรเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life – Long
Learning)

ท้ังนี้ วิชัย วงษ์ใหญ่ และมำรุต พัฒผล (2563) อธิบำยถึง กำรเรียนรู้เชิงสร้ำงสรรค์
(Creative Learning) หมำยถึง กำรเรียนรู้ที่เสริมสร้ำงศักยภำพของผู้เรียน ผ่ำนกำรลงมือปฏิบัติ
กิจกรรมกำรเรียนรู้อย่ำงสร้ำงสรรค์ (Creative Activities) โดยมีผู้สอน เป็น โค้ช (Coach) และมอบ
ควำมรกั ควำมเอำใจใส่ (Care) ให้ผู้เรียนใช้ศักยภำพสูงสุดในกำรเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนยุคใหม่ในสังคม
New Normal จึงต้องจัดกำรเรียนรู้เชิงสร้ำงสรรค์ผ่ำนกิจกรรมกำรเรียนรู้ที่หลำกหลำยตอบสนอง
ธรรมชำติและควำมตอ้ งกำรของผเู้ รียน ฝกึ และแนะนำผเู้ รียนด้วยควำมรกั ควำมเมตตำ ดูแลเอำใจใส่
กระบวนกำรคิดและกระบวนกำรเรียนรู้อย่ำงต่อเนือ่ ง ผเู้ รียนได้รับควำมรู้ควำมเข้ำใจที่ถูกต้องพร้อม
ท้ังได้ฝึกทกั ษะกระบวนกำรเรียนรู้ต่ำงๆ ที่เป็นพื้นฐำนของกำรเรียนรู้ด้วยตนเอง ตลอดจนทักษะกำร
คิดขั้นสงู

การเรียนรู้ของผู้เรยี นยคุ ใหม่
โลกมีอิทธิพลต่อกำรเรียนรู้ของผู้เรียนในแต่ละยุค และแต่ละสมัยที่แตกต่ำงกัน เน่ืองจำก
กระแสสังคมเปลี่ยนผ่ำน มีควำมเป็นพลวัตที่เปลี่ยนไปท้ังด้ำนพฤติกรรม สังคม ควำมสนใจ ค่ำนิยม
ลักษณะนิสัยผู้คน กำรขัดเกลำทำงสังคมในสมัยหลักสูตรรุ่นปู่ ย่ำ ตำ ยำย นั้น บ้ำน วัด และ
โรงเรียน มีควำมสำคัญเป็นอย่ำงยิ่งต่อกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก กำรแสดงออกของคนรุ่น
เก่ำเป็นแบบอย่ำงให้ประพฤติ ปฏิบัติทำงตรงและทำงอ้อม สังคมและวัฒนธรรมผ่ำนยุคสมัยต่ำงๆ
ส่งผลต่อกำรเรียนรู้ของผู้เรียนจำกยุคสู่อีกยุคหนึ่งจะต้องใช้ช่วงเวลำประมำณ 20 ปี ดังที่ผู้เขียนจะ
ขอกล่ำวถึงลกั ษณะของสังคมและกำรเรียนรู้ของผเู้ รียนในยุคสมัยต่ำงๆ พอสังเขปดงั น้ี
กมลทิพย์ แจ่มกระจ่ำง (2560) ได้จำแนกลักษณะของคนในสังคมทีไ่ ด้รบั อิทธิพลจำก
บริบทสงั คมในแต่ละช่วงเวลำเปน็ 5 ระยะ โดยมีรำยละเอียดดงั นี้
1. พ.ศ. 2489 – 2507 เรียกว่ำ ยุค Baby Bloomer หรือ Gen B พฤติกรรมของผู้คนกลุ่มนี้
จะมีชีวิตเพื่อทำงำน เคำรพกฎ กติกำ อดทนสูง ทุ่มเทงำนจนประสบควำมสำเร็จ วำงรำกฐำนที่
ม่ันคง เป็นพวกอนุรักษนิยม เคร่งครัด ในขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มนี้เข้ำสู่สังคม
ผสู้ งู อำยอุ ย่ำงเตม็ ตัว

38

ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

2. พ.ศ. 2508 – 2522 เรียกว่ำ ยุค Generation X หรือ Gen X เป็นกลุ่มที่เกิดมำช่วงของ
สถำนกำรณ์โลกสงบและมั่นคงมำกขึ้น และเป็นช่วงที่มีกำรพัฒนำเทคโนโลยีและสื่อในยุคต้นๆ เช่น
วีดิโอ เกม คอมพิวเตอร์ เป็นกลุ่มคนที่มีทัศนคติแตกต่ำงจำกคนกลุ่มแรก ให้ควำมสำคัญกับควำม
สมดุลระหว่ำงงำนกับครอบครัว เป็นตัวของตัวเองสูง มีควำมทะเยอทะยำน ทำงำนตำมหน้ำที่
พฤติกรรมใชเ้ ทคโนโลยีไม่พร่ำเพรือ่ โดยใช้เพือ่ กำรทำงำนเป็นส่วนใหญ่

3. พ.ศ. 2523 – 2540 เรียกว่ำ ยุค Generation Y หรือ Gen Y เป็นคนที่เกิดมำในยุค
เปลี่ยนแปลงควำมเจริญก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต มีเคร่ืองมือเทคโนโลยีใช้ใน
ชีวิตประจำวันมำกมำย เช่น สมำร์ทโฟน โทรทัศน์ดิจิทัล ไอโฟน มีควำมสำมำรถในกำรใช้งำน
ด้ำนเทคโนโลยีท้ังกำรทำงำนและติดตอ่ สือ่ สำร มกั ใหค้ วำมสำคัญกบั โซเชยี ลมีเดีย เฟซบุ๊ก

4. พ.ศ. 2540 – 2552 เรียกว่ำ ยุค Generation Z หรือ Gen Z คนกลุ่มนี้เกิดมำในยุคที่มี
ควำมเจริญก้ำวหน้ำ ทำงเทคโนโลยี มีสิ่งอำนวยควำมสะดวกมำกขึ้น คนมีควำมรู้ควำมสำมำรถ
ใช้เทคโนโลยี เรียนรู้เร็ว จะเน้น กำรสื่อสำรผ่ำนข้อควำมบนหน้ำจอ แชท พูดคุย หรือเรียกว่ำ สังคม
ก้มหน้ำ แชร์ข้อควำมผ่ำนโซเชียลมีเดีย แสดงควำมเห็นของตัวตนจำกทัศนคติ คนกลุ่มนี้ไม่ชอบเป็น
ลูกจ้ำง มักชอบควำมเป็นอิสระสูง มีแนวทำงเป็นของตนเอง ดูคล้ำยเป็นคนก้ำวร้ำวกว่ำยุคก่อนๆ
แตจ่ ะมีควำมฉลำดมำกกว่ำคนยุคก่อน เนื่องจำกเข้ำถึงขอ้ มลู ข่ำวสำรได้รวดเร็ว

5. พ.ศ. 2553 – 2567 เรียกว่ำ ยุค Generation Alpha หรือ Gen α เรียกอีกชื่อว่ำ Gen A
คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงที่โลกมีประชำกรประมำณ 2 พันล้ำนคน โดยในอนำคตคนกลุ่มนี้จะคุ้นเคยกับ
เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สำมำรถสืบเสำะท่องโลกออกสำรวจ คนกลุ่มนี้อำจไม่เข้ำห้องเรียนและอำจ
เรียนโดยเรียนผ่ำนเทคโนโลยี AR (Augment Reality) คนกลุ่มนี้เติบโตควบคู่กับเทคโนโลยีอัน
ชำญฉลำดกว่ำยุคก่อน แต่หำกขำดมำตรกำรควบคุมก็จะก่อให้เกิดปัญหำได้ง่ำยกว่ำ คนที่เกิด
Generation Alpha มีชื่อเรียกอีกหลำยชื่อ เช่น Google Kids, The Regeneration, Generation Hope,
Generation New Age, The Saviours, Generation Y-not, The New Generation, The Neo-
Conservatives เน่อื งจำกเปน็ เดก็ กลุ่มแรกทีเ่ กิดขึน้ ในศตวรรษที่ 21 คนใน Generation นสี้ ่วนใหญ่เป็น
ลูกของ Generation Y และ Generation X และเป็นรุ่นหลำนของคนช่วงปลำยของ Baby Bloomer
(พัชรำภำ ตันติชเู วช, 2560)

กำรเรียนรขู้ อง Generation Alpha อำจมเี นือ้ หำเปลีย่ นแปลงไปตำมบริบททำงด้ำนกำรเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว รูปแบบกำรเรียนรู้ที่
เหมำะสมควรมีลักษณะทีส่ ำคัญดงั น้ี (จนิ ตนำ สจุ จำนันท์, 2556)

39

ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ

1. เป็นระบบกำรศึกษำที่เพิ่มศักยภำพกำรเรียนรู้ของบุคคล ครอบครัว และชุมชนและ
ส่งเสริมทักษะกระบวนกำรเรียนรู้ดว้ ยกำรวิจัย เพื่อสำมำรถพฒั นำตนเองได้ต่อเนื่องและตลอดชีวิตมี
กำรใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเคร่ืองมือที่สำคัญในกำรแสวงหำควำมรู้และเรียนรู้ได้อย่ำงเท่ำ
เทียมกันทกุ เพศ วยั เช้อื ชำติ และศำสนำ

2. มุ่งพฒั นำสตปิ ัญญำของมนษุ ย์ต้ังแตก่ ่อนวัยเรียนจนกระทง่ั ถึงวยั ผู้สูงอำยุ เพื่อใช้ปัญญำ
เปน็ เครื่องมอื ในกำรพัฒนำคน สร้ำงโอกำสและเพิ่มมูลค่ำของชีวติ สังคม และประเทศชำติ

3. ส่งเสริมสุขภำพ สุขภำพจิต สุขภำพสมองและสติปัญญำควบคู่กับคุณธรรม จริยธรรม
กำรตำ้ นกระแสวตั ถุนิยมและบริโภคนยิ ม กำรมจี ติ สำธำรณะ กำรขจดั ควำมขัดแย้ง ทำให้คนมีควำม
เปน็ มนุษย์และมีจิตใจสงู หลักสตู รกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนและกำรประเมนิ ผลจะต้องเน้นทั้งควำมรู้
และคณุ ธรรมควบคู่ไปอย่ำงบรู ณำกำร

4. รูปแบบกำรจัดกำรศึกษำที่เหมำะสมในอนำคต ได้แก่ กำรให้อิสระผู้เรียน ให้ทำงออก
และทำงเลือกแก่ทุกคน ทำให้คนรักท้องถิ่นและสำมำรถดำเนินชีวิตในท้องถิ่นได้อย่ำงพึงพอใจ ช่วย
ให้ผู้เรียนสำมำรถทำงำนอย่ำงมีเสรีภำพและมีควำมรับผิดชอบในหน้ำที่ มีกำรจัดกำรศึกษำใน
รปู แบบทีห่ ลำกหลำย เพือ่ สนองควำมต้องกำรและลักษณะที่แตกต่ำงกันของบคุ คลและชมุ ชน

5. ส่งเสริมกำรอนุรักษ์และพัฒนำศิลปวัฒนธรรม ธรรมชำติ และสิ่งแวดล้อมที่ผ่ำน
กระบวนกำรเรียนรู้อย่ำงเป็นระบบ ทั้งในระบบ นอกระบบและตำมอัธยำศัย เป็นสื่อให้คนไทยเข้ำถึง
แก่นวัฒนธรรมท้ังของไทยและวิถีชีวติ ของชนชำติตำ่ งๆ

6. บทบำทกำรจดั กำรศกึ ษำของภำครัฐลดลงและใช้ควำมหลำกหลำยขององค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นและเอกชนให้เป็นประโยชน์ ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน สื่อมวลชน องค์กรศำสนำ
ภำคเอกชน สำธำรณประโยชน์และองค์กรเฉพำะกิจ

7. สถำนศกึ ษำมีกำรแขง่ ขนั กันเชงิ คณุ ภำพมำกยิ่งข้นึ เพือ่ รองรับควำมตอ้ งกำรพฒั นำทำง
เศรษฐกิจ สังคม ยุคเศรษฐกิจสังคมฐำนควำมรู้ช่วยสร้ำงควำมสมดุลระหว่ำงภำคเศรษฐกิจที่
ทันสมยั กับคุณค่ำแบบไทยที่เน้นค่ำนิยมและจรยิ ธรรมตำมแนวทำงของศำสนำ

คน Generation Alpha จะเป็นคนที่สำคัญในอนำคตในอีกไม่กี่ปีข้ำงหน้ำ คน Generation
Alpha นี้จะเป็นพลเมืองที่สำคัญของสังคมไทย สังคมอำเซียน และสังคมโลกในอนำคต กำรศึกษำ
ทำงเลือกอำจเป็นรูปแบบหนึ่งที่มีแนวโน้มจะได้รับควำมสนใจมำกยิ่งขึ้นในโลกอนำคต และมี
ควำมเหมำะสมกับ Generation Alpha เพรำะเปน็ กำรจดั กำรศกึ ษำที่เน้นตัวผู้เรียนเป็นสำคัญมำกเป็น
พิเศษ ให้อิสระผู้เรียน ให้ทำงออกและทำงเลือกแก่ทุกคน ให้ควำมสำคัญกับอำยุ เพศ เชื้อชำติ
ศำสนำ ค่ำนิยมควำมเชอ่ื ควำมถนดั ควำมพร้อม และควำมสนใจ รวมทั้งสิ่งแวดล้อม ชมุ ชน บริบท

40

ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ

ภูมิปัญญำ องค์ควำมรู้และศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ผู้เรียนอำศัยอยู่ด้วย ทำให้คนรักท้องถิ่นและ
สำมำรถดำเนินชีวิตในท้องถิ่นได้อย่ำงพึงพอใจ ช่วยให้ผู้เรียนสำมำรถทำงำนอย่ำงมีเสรีภำพและมี
ควำมรับผิดชอบในหน้ำที่ ผู้เรียนจึงมีโอกำสเรียนตำมศักยภำพของตนเองอย่ำงแท้จริง กำรศึกษำ
ทำงเลือกตำมมำตรำ 12 ของพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ สำหรับ Generation Alpha ได้แก่
กำรศกึ ษำแบบบ้ำนเรียนและกำรศกึ ษำแบบศนู ย์กำรเรียน เป็นต้น (ชนนั ภรณ์ อำรีกลุ , 2562)

คณุ ลกั ษณะของเด็ก Generation Alpha
ท่ำมกลำงสังคมที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ควำมหลำกหลำยทำงวัฒนธรรม มีกำรสื่อสำร
ไร้พรมแดนทำให้เดก็ ในยคุ ดิจิทลั มีควำมเปน็ ตัวของตัวเองสูงมำก เติบโตขึ้นมำบนฐำนควำมคิดที่เห็น
แก่ประโยชน์ส่วนตน ท่ำมกลำงสังคมที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทำให้เด็กยุคนี้มีคุณลักษณะ (สุริยเดว
ทรีปำตี, 2562) ดังน้ี
1. มีทักษะในกำรใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม แต่ด้วยขำดกำรร่วม
ทกุ ข์ร่วมสุขระหว่ำงชีวติ ต่อชีวติ ด้วยกัน และขำดกำรบูรณำกำรประสำทสัมผัสผ่ำนอำยตนะท้ัง 6 คือ
ตำ หู จมูก ลิน้ กำยและใจ จงึ อำจมผี ลใหค้ วำมเอ้ืออำทรลดลง
2. มีทักษะในกำรเข้ำถึงข้อมูลข่ำวสำรที่รวดเร็ว และหลำกหลำยอย่ำงไร้พรมแดนภำยใน
ช่ัวพริบตำ ส่งผลให้เด็กฉลำดในข้อมูลมำกขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็สุ่มเสี่ยงต่อกำรบริโภคข้อมูลแบบ
ไม่ย้ังคิด ขำดกำรไตร่ตรองและกฎกติกำมำรยำทในกำรเข้ำถึงรวมท้ังกำรใช้ประโยชน์ หลงเชื่อได้
อย่ำงง่ำยดำย
3. พัฒนำตนเองด้วยเทคโนโลยีสื่อสำรสนเทศไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ที่ต้องเข้ำโรงเรียน
เรียนกับครู และมีกฎระเบียบมำกมำย เด็กในยุคนี้จึงอำจขำดวินัยท้ังต่อตนเองและต่อสังคม
รักควำมเปน็ อิสระ
4. อยู่กับเทคโนโลยีมำก ไม่มีโอกำสแม้แต่กำรทำงำนบ้ำน ซึ่งจะช่วยพัฒนำคุณธรรม
จรยิ ธรรม
5. รักควำมสะดวกสบำย ขำดพื้นที่ฝึกหัดควำมยำกลำบำกขั้นพื้นฐำนในชีวิต ทำให้ขำด
พลงั อึดอดทนและทักษะในกำรรจู้ กั กำรรอคอย
6. ทักษะในกำรควบคมุ อำรมณ์ตนเองจงึ ออ่ นแอ


Click to View FlipBook Version