41
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
“กล่าวโดยสรปุ เด็กยคุ ดิจทิ ลั มีความฉลาดรอบรู้มาก กล้าแสดงความคิดเหน็ และมีการใช้
เทคโนโลยีและฐานข้อมลู รวมทั้งเออื้ ประโยชน์ในหนา้ ทีก่ ารงาน แตจ่ ะมองที่ประโยชน์สว่ นตนเป็นที่ต้ัง
ความสานึกแหง่ วิชาชีพอ่อนแอลงเอาแตใ่ จจนคุมอารมณ์ไม่ได้ ขาดความอึดอดทน อ่อนตอ่ วิชาชีวติ
และความเคารพต่อกนั โดยเฉพาะกบั คนทีต่ า่ งเจเนอเรชั่น และขาดทักษะเผชิญความยากลาบาก
หนักๆ เข้าก็จะส่งผลตอ่ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมที่ลดลง”
การจัดการเรียนรเู้ พือ่ ใหผ้ เู้ รยี นยุคใหมเ่ กิดความคิดเชิงสรา้ งสรรค์
กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ของผู้สอน ต้องเลือกรูปแบบกิจกรรมที่หลำกหลำยเหมำะสม
สำหรับผู้เรียน โดยคำนึงถึงควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล จัดกำรเรียนกำรสอน แบบเน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญ เน้นให้ผู้เรียนได้สร้ำงควำมรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่กำรเลือกและวำงแผนกำรทำงำนอย่ำงเป็น
ลำดับขั้นตอน เลือกใช้เคร่ืองมือ กำรออกแบบกำรทดลอง กำรสำรวจลงมือปฏิบัติ บันทึกผล แปล
ผล นำเสนอผลงำน ผู้เรียนมีโอกำสได้แสดงออกอย่ำงอิสระ ได้คิดอย่ำงหลำกหลำย ผู้เรียนได้ลงมือ
ปฏิบัติจริง เป็นกำรเรียนรู้ทีผ่ ู้เรยี นได้คิดอย่ำงสรำ้ งสรรค์ ได้เรียนรู้จำกกำรปฏิบัติได้รบั ประสบกำรณ์
ตรง ทำกิจกรรมตำมควำมสำมำรถ ควำมถนัดและควำมสนใจของตนเองและมีควำมสุขใน
กำรเรียนรู้ (สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ, 2550) โดยองค์ประกอบที่สำคัญของกำรคิด
สร้ำงสรรค์ คอื แรงจูงใจภำยในหรอื แรงจูงใจในกำรทำงำนเพื่อประโยชน์ของตนเอง เนื่องจำกบุคคล
พบว่ำ เป็นสิ่งที่น่ำสนใจ นำ่ ต่นื เต้น หรอื มีควำมท้ำทำยเป็นส่วนตัว แรงจูงใจภำยใน ต่ำงจำกแรงจูงใจ
ภำยนอก เน่ืองจำกแรงจูงใจภำยนอก ทำงำนเพื่อที่จะได้รับรำงวัล หรือทำงำนเพื่อที่จะชนะ
กำรแข่งขัน จะเห็นได้ว่ำแรงจูงใจภำยในเป็นกำรเพิ่มกำรคิดสร้ำงสรรค์ ในขณะที่แรงจูงใจภำยนอก
บำงชนิดอำจทำให้กำรคิดสร้ำงสรรคล์ ดลง (ดวงเดือน ศำสตรภทั ร, 2557)
ครจู งึ จำเป็นต้องมีแนวคิดเชิงสร้ำงสรรค์สู่กำรปฏิบัติได้ 4 ประกำรคือ วิธีกำรเรียนกำรสอน
ในแบบ CCPR Model (ไพฑูรย์ สินลำรัตน์ และนกั รบ หม้แี สน, 2561)
1. กำรจัดกำรเรียนรู้แบบ Criticality Based โดยเน้นกำรวิเครำะห์ วิจำรณ์เป็นหลัก หลักคิด
นี้เกิดจำกควำมเป็นสังคมผู้บริโภคเด็กไทย และคนไทยจริงซื้อกินซื้อใช้อย่ำงไม่ไตร่ตรอง คนไทย
จำเปน็ ต้องสอนให้เด็กรู้จักคิดวิเครำะห์เลือกและมั่นใจในตนเองว่ำที่เรำเลือกซื้อน้ันจะกินจะใช้อย่ำง
มีเหตผุ ลสมควร
2. กำรจัดกำรเรียนรู้แบบ Creativity Based เน้นกำรสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดอะไร
ใหม่ๆ มีมุมมองใหม่ ให้ทำงเลือกทีเ่ พิม่ ข้ึนกับกิจกรรมต่ำงๆ ให้กำรทำงำนใหม่เพื่อเพิ่มเติมสิ่งเดิมจน
เติมเตม็ และแน่ใจในทกั ษะกำรคิดใหมไ่ ด้เกิดขึน้ ในตัวผู้เรยี น
42
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
3. กำรจัดกำรเรียนรู้แบบ Productivity Based เปน็ กำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้ที่มเี ป้ำหมำย
ให้ผู้เรยี นได้สรำ้ งผลงำน Product ขึน้ มำ จำกแนวคิดที่ได้เริม่ ไว้แลว้ แสดงหำวิธีกำรต่ำงๆ เพื่อให้ได้
ผลงำนแลว้ ประเมินตรวจสอบจนแน่ใจในคณุ ภำพสิ่งทีค่ ิดเท่ำนั้น
4. กำรจัดกำรเรียนรู้แบบ Responsibility Based ข้อนี้คือ เร่ืองของควำมรับผิดชอบก็คือเร่ือง
ของคุณธรรมจริยธรรม รวมถึงควำมเสียสละต่อสังคมนั่นเอง ซึ่งคนไทยต้องเน้นมำกท้ังในด้ำน
กำรสอนกำรฝึกกำรให้ทำตำมและกำรทำตำมแบบอย่ำงจนติดเปน็ นิสัย
ภาพประกอบ 7 วิธีกำรเรียนกำรสอนแบบ CCPR Model
ท่มี า: ไพฑูรย์ สินลำรตั น์ และนกั รบ หม้แี สน. (2561). ความเป็นผู้นาทาง
การศึกษา. หนำ้ 460.
43
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
กองทุนเพื่อควำมเสมอภำคทำงกำรศึกษำ (2563) ได้นำเสนอแนวคิดส่งเสริมควำม
สร้ำงสรรคส์ ำหรับเดก็ จำกกำรประชุม The LEGO Foundation และผู้เชี่ยวชำญกำรศึกษำ 5 ประเทศ
ต่ำงเหน็ ตรงกนั ถึงควำมสำคัญของ “ควำมคิดสรำ้ งสรรค์” และ “ควำมคิดวิเครำะห์” ว่ำเป็นทักษะที่
จำเป็นต้องมีสำหรับโลกยุคใหม่ที่แวดล้อมไปด้วยเทคโนโลยี และปัจจัยท้ำทำยต่ำงๆ มำกมำย ซึ่ง
ท้ังหมดนี้ต้องกำรกำรคิดหำแนวทำงแก้ไข หรือรับมือในทำงที่สร้ำงสรรค์ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อ
ทุกฝ่ำย ดงั น้ี
1. ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งระบุว่ำ กำรสร้ำงระบบกำรศึกษำที่จะทำให้ผู้เรียนทุกคนมี
ควำมสำมำรถในกำรคิดวิเครำะห์และคิดสร้ำงสรรค์ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผู้เรียนดำรงชีวิตอยู๋ใน
สังคมต่อไปได้ อีกท้ังยังเป็นประโยชน์ที่จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนำทักษะด้ำนอื่นๆ ที่จะตอบโจทย์ต่อ
ตลำดงำนในอนำคต ทำงออสเตรเลีย เริ่มกำรปฎิรูปกำรศึกษำและนำหลักสูตรกำรเรียนกำรสอน
ดังกล่ำวมำใช้ โดยมุ่งพัฒนำทักษะกำรคิดให้ครอบคลุม 3 ด้ำน คือ กำรใช้เหตุผล กระบวนกำรและ
กำรได้มำซึ่งควำมรู้ (Reasoning, Processing and Inquiry) ควำมคิดสร้ำงสรรค์ (Creativity) และ
กำรตอบสนอง กำรประเมิน และควำมตระหนกั รู้เข้ำใจ (Reflection, Evaluation and Metacognition)
(โดย Dr. David Howes รองเลขำธิกำร ฝ่ำยโรงเรียนและบริกำรกำรศึกษำระดับท้องถิ่น กระทรวง
ศกึ ษำธิกำร รัฐบำลวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย)
2. ประเทศญี่ปุ่น ตระหนักและเห็นควำมสำคัญของควำมคิดสร้ำงสรรค์มำโดยตลอด โดย
กระทรวงกำรศึกษำ วัฒนธรรม กีฬำ วิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยี (MEXT) ของญี่ปุ่น กล่ำวอย่ำง
ชัดเจนว่ำ ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ เปน็ ทักษะที่จำเป็นต่อประเทศ ท่ำมกลำงปัจจัยท้ำทำยมำกมำย ไม่ว่ำ
จะเป็นกำรร่อยหรอของทรัพยำกร หรือสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลำยลง ดังนั้น ญี่ปุ่นจำเป็นต้องคิดค้นหำ
ทำงแก้ไขอย่ำงสร้ำงสรรค์เพื่อรับมือกับปัญหำ นอกจำกนี้ประเทศญี่ปุ่นได้ระบุควำมคิดสร้ำงสรรค์
เปน็ ทกั ษะหนง่ึ ที่ต้องปลูกฝงั ให้กบั นกั เรียนญี่ปุ่นทกุ คนไว้ในหลักสูตรกำรศึกษำของประเทศ ควบคู่ไป
กับกำรเรียนภำษำญี่ปุ่น คณิตศำสตร์ สังคม วิทยำศำสตร์ ดนตรี และศิลปะ โดยได้ปรับหลักสูตร
กำรศึกษำไปสู่ IS หรือ Interdisciplinary Study หรือที่รู้จักในภำษำญี่ปุ่นว่ำ “Yutori Education” โดย
เป้ำหมำยหลักของ IS คือ กำรมุ่งปลูกฝังทักษะควำมคิดสร้ำงสรรค์ และควำมสำมำรถในกำรคิด
วิเครำะห์ ผ่ำนกิจกรรมต่ำงๆ ที่สอดแทรกไปกับวิชำกำรบังคับในโรงเรียนระดับประถม และมัธยม
เปน็ กิจกรรมที่ไม่มีหนงั สอื เรียน หรือหลักสูตรที่กำหนดไว้เป็นมำตรฐำน แต่จะเน้นให้เด็กได้พยำยำม
คิดหำแนวทำงแก้ไขด้วยตัวเอง (โดย Shun Shirai รองอธิบดีศูนย์ทดสอบกำรเข้ำศึกษำในระดับ
มหำวิทยำลยั แห่งชำติ (National Center for University Entrance Examination)
44
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
3. ประเทศสก็อตแลนด์ ได้ปฎิรูปกำรศึกษำ และบรรจุทักษะควำมคิดสร้ำงสรรค์ ให้เป็น
ส่วนประกอบหลักของหลักสูตร The Curriculum for Excellence (CfE) ซึ่งเป็นหลักสูตรกำรศึกษำ
สำหรับเด็กและเยำวชนในสก็อตแลนด์ อำยุระหว่ำง 3-18 ปี ภำยใต้กำรสนับสนุนจำกหน่วยงำนรัฐ
องค์กรอิสระ และองค์กรเอกชนอย่ำงเต็มที่ โดยมีเป้ำหมำยเพื่อผลักดันให้ควำมคิดสร้ำงสรรค์เป็น
หัวใจสำคญั ของกำรศึกษำในสก็อตแลนด์ และเปน็ กำลังสำคัญในกำรสนับสนุนให้นักกำหนดนโยบำย
และผปู้ ฎิบัติใชค้ วำมคิดสรำ้ งสรรคต์ ่ำงๆ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ เด็กนักเรียนให้มำกที่สุดในทุกบริบทของ
กำรศึกษำ ทั้งนี้ เคล็ดลับสำคัญของกำรเพิ่มพูนทักษะควำมคิดสร้ำงสรรค์ของสก็อตแลนด์ก็คือ
กำรเล่น และควำมสนุกสนำน ซึ่งช่วยให้เกิดควำมร่วมมือจำกผู้สอนและนักเรียน รวมถึงทำให้เกิด
กำรพัฒนำไปในทำงบวก (โดย Gayle Gorman ประธำนบริหำรและ ฯพณฯ หัวหน้ำผู้ตรวจสอบ
ด้ำนกำรศึกษำแหง่ สก็อตแลนด์ (Chief Executive and Her Majesty’s Chief Inspector of Education)
4. ประเทศไทย ได้ให้ควำมสำคัญของ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ และถือว่ำเป็นหนึ่งในทักษะกำร
เรียนรู้สำคัญของระบบกำรศึกษำที่ประเทศไทย สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับกำรพัฒนำทักษะควำมคิด
สร้ำงสรรค์ คือกำรปฎิรูปกำรศึกษำให้เด็กนักเรียนทุกคนสำมำรถเข้ำถึงหลักสูตรดังกล่ำวได้อย่ำง
เท่ำเทียมเสมอภำคกัน ด้วยกำรจัดสรรเงินทุนและทรัพยำกรอย่ำงทั่วถึงและเหมำะสม ซึ่งที่ผ่ำนมำ
กสศ. ได้ทำหน้ำที่ในฐำนะตัวกลำง ที่ประสำนงำนกับทุกฝ่ำย ทั้งจำกกระทรวงศึกษำธิกำร องค์กำร
ภำครัฐ เอกชน หน่วยงำนอิสระจำกทั้งในและต่ำงประเทศ ในกำรนำมำตรกำรที่ร่วมวำงไว้กับ OECD
มำปฎิบัติ เพือ่ ให้เด็กไทยเกิดทกั ษะกำรรจู้ กั คิดวิเครำะห์ และกำรคิดสรำ้ งสรรค์ อย่ำงเป็นระบบ (ดร.
ไกรยส ภัทรำวำท รองผู้จัดกำรกองทุนเพื่อควำมเสมอภำคทำงกำรศึกษำ (กสศ.)
5. ประเทศเวลส์ ได้ให้ควำมสำคัญของ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ว่ำ มีบทบำทสำคัญต่อ
หลกั สตู รกำรศกึ ษำแนวใหม่ ขณะที่กำรเดินหนำ้ พัฒนำโครงกำรให้เป็นควำมร่วมมือระหว่ำงโรงเรียน
กับโรงเรียน ที่โรงเรียนหนึ่งจะให้กำรช่วยเหลือด้ำนเงินทุนและทรัพยำกรให้แก่อีกโรงเรียนหนึ่งที่ขำด
แคลนก็เป็นสิ่งจำเป็น ควบคู่ไปกับกำรวำงแผนผลักดันให้หลักสูตรกำรศึกษำเพื่อพัฒนำยกระดับ
ทักษะควำมคิดสร้ำงสรรค์เป็นสิ่งที่ย่ังยืนต่อไป โดยจัดทำโครงกำร The Creative Learning through
the Arts Programme ประกอบด้วยกิจกรรมทำงกำรศึกษำใหม่ๆ 2 ด้ำน คือ 1) The Lead Creative
Schools Scheme เป็นโครงกำรที่มุ่งให้ควำมสำคัญต่อกำรยกระดับคุณภำพกำรเรียนรู้ผ่ำนควำมคิด
สร้ำงสรรค์ ภำยใต้กำรเข้ำมำดูแลของผู้เชี่ยวขำญด้ำนควำมคิดสร้ำงสรรค์ในกำรทำงำนร่วมมือครู
และนักเรียน เพื่อออกแบบกำรเรียนกำรสอนอย่ำงสร้ำงสรรค์ และ 2) The All-Wales Arts and
Education Offer เป็นโครงกำรทีม่ กี ำรออกแบบกิจกรรมเพื่อเพิ่มและยกระดับโอกำสของครู นักเรียน
ศลิ ปิน และองค์กรด้ำนศลิ ปะ วัฒนธรรมและมรดก ให้ได้ทำงำนรว่ มงำน จนเกิดเป็นเครือขำ่ ยควำม
45
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
ร่วมมือดำ้ นศลิ ปะและกำรศึกษำ กำรจัดต้ังกองทุนศิลปะ และกำรสร้ำงเขตพื้นที่กำรเรียนรู้ควำมคิด
สรำ้ งสรรค์ (โดย Kirsty Willams รฐั มนตรกี ระทรวงศึกษำธิกำรแห่งเวลส์)
นอกจำก 5 ประเทศดังกล่ำวแล้ว ผู้เขียนขอยกอีกหนึ่งตัวอย่ำง นั่นคือ ควำมสำเร็จของ
กำรศึกษำฟินแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศขนำดเล็กที่มีประชำกรเพียง 5.5 ล้ำนคน โดยประเทศฟินแลนด์
เป็นประเทศที่มีควำมเสียหำยมหำศำลหลังเกิดสงครำม ทรัพยำกรที่ใช้มีอย่ำงจำกัด ปลูกพืชพรรณ
ได้ยำกด้วยสภำพอำกำศที่หนำวจัด ทว่ำในวันนี้ กำรศึกษำตำมโมเดลฉบับฟินแลนด์กลับถูกยอมรับ
ทั่วโลก และมีผู้คนมำกมำยหลั่งไหลเข้ำมำศึกษำวิธีคิดและวิธีกำรจัดกำรศึกษำของฟินแลนด์อย่ำง
ต่อเน่ือง โดยเริ่มมำต้ังแต่ปี 2016 ที่ฟินแลนด์ลุกขึ้นมำปฏิวัติระบบกำรศึกษำคร้ังใหญ่ของประเทศ
ในช่วงเวลำที่ทุกคนกำลังพูดถึง Industry 4.0 แต่ไม่มีใครพูดถึงเร่ืองระบบกำรศึกษำที่ต้องปรับให้ทัน
ตำมโลกยคุ นวัตกรรม (Education 4.0) ฟินแลนดใ์ ช้ระบบกำรศกึ ษำแบบใหม่ที่เรียกว่ำ “Phenomenon
Learning” หรือสอนให้เด็ก “Learn How to Learn” ซึ่งครูจะไม่ใช่ผู้ที่ป้อนควำมรู้ให้เด็กอีกต่อไป แต่
จะเปน็ คนส่งเสรมิ ให้เดก็ คิดและแก้ปัญหำไปด้วยกัน ดังนั้น หวั ใจของกำรศึกษำแบบฟินแลนดจ์ งึ ไม่ได้
มุ่งหวังในผลลัพธ์ที่เด็กสำมำรถทำออกมำได้ แต่เป็น “กระบวนกำรเรียนรู้” ที่เด็กจะได้ฝึกคิด
และแก้ปัญหำ เพื่อให้ได้มำซึ่งคำตอบด้วยตัวเอง โดยเรียกทักษะกำรคิดข้ันสูงลักษณะนี้ว่ำ Hot Skill
และผลลัพธ์ของกำรปฏิรูปกำรศึกษำของฟินแลนด์ในครั้งนี้ ทำให้ฟินแลนด์กลำยเป็นประเทศอันดับ
1 ที่สำมำรถบ่มเพำะเยำวชนให้มีทักษะแห่งอนำคตที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกมำติดต่อกัน 2 ปีซ้อน
(ปี 2018-2019) ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเข้ำมำแทนที่และพลิกบทบำทของมนุษย์ คือกำรตั้งคำถำม
ว่ำ แท้จริงแล้วมนุษย์ควรเรียนอะไรกันแน่ จำกที่ผ่ำนมำกำรศึกษำเป็นเพียงกำรส่งต่อควำมรู้ผ่ำน
กำรจด ท่องจำ ทำตำม ทว่ำในปจั จุบันและอนำคต ควำมรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรำหรือห้องสมุดอีกต่อไป
แต่ควำมรู้กำลังกระจำยอยู่ในทุกที่ ทั้งโลกอินเทอร์เน็ต จอคอมพิวเตอร์ กระท่ังหน้ำจอมือถือ
สี่เหลี่ยมเล็กๆ โลกดิจิทัลไม่เพียงเข้ำมำแทนที่กำรศึกษำแบบเก่ำเท่ำนั้น แต่กำลังแทนที่บุคลำกรครู
หำกกำรเรียนรู้จะมีควำมหมำยเพียงแค่กำรส่งต่อควำมรผู้ ำ่ นกำรท่องและกำรจำเท่ำน้ัน
เฉลิมชัย พันธ์เลิศ (2563) ผู้อำนวยกำรสถำบันสังคมศึกษำ สำนักวิชำและมำตรฐำน
กำรศึกษำ สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (สพฐ.) กำรจะสร้ำงกำรศึกษำที่ผู้เรียน
สำมำรถนำควำมรู้ไปประยุกต์กับชีวิตได้นั้น จึงนำมำซึ่งควำมสนใจต่อสิ่งที่เรียกว่ำ สมรรถนะ
(Competent) คำถำมคือ มนุษย์ต้องกำรสมรรถนะใดบ้ำงเพื่อนำไปสู่กำรใช้ชีวิต เพื่อควำมอยู่รอด
ทำงำนได้ เลีย้ งชพี ได้หรือแก้ปญั หำได้ในชวี ิต ใช้ชีวติ อย่ำงมคี ุณภำพ รำกฐำนหลกั สตู รกำรศกึ ษำ
46
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
ของฟินแลนด์จึงถูกพัฒนำขึ้น ภำยใต้กรอบคิด 4 ด้ำน คือ 1) ควำมเสมอภำค 2) กำรสนับสนุนเงิน
3) กำรประเมนิ ผลนักเรียน และ 4) กำรเรียนรตู้ ลอดชวี ิต โดยหลักสตู รนปี้ ระกอบด้วย 7 สมรรถนะ
เพื่อพัฒนำผู้เรียนในหลำกหลำยด้ำน ประกอบด้วย (กองทุนเพื่อควำมเสมอภำคทำงกำรศึกษำ,
2563)
1. Thinking and Learning to Learn ทักษะกำรคิดและกำรเรียนรู้ ให้เด็กรู้จักกำรตั้งคำถำม
ได้ทดลอง และเน้นกำรมีสว่ นร่วม พร้อมท้ังสง่ เสริมให้เด็กเรียนรู้ไปพร้อมกับครู
2. Interaction, and Self-Expression คือ ครูต้องคำนงึ ถึงกำรเรียนรู้ร่วมกันของเด็กในควำม
หลำกหลำย และนักเรียนต้องตระหนักถึงที่มำที่ไปของวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ โดยควำมหลำกหลำยนั้น
คือ ส่วนหนง่ึ ในชวี ิตกำรเรยี นรู้ของผู้เรยี นเพื่อกำรอยู่ร่วมกัน
3. Taking Care of Oneself and Others; Managing Daily Life คือ คำถำมในชีวิตประจำวัน
ของเด็กๆ เช่น กำรไปโรงเรียน กำรเข้ำห้องเรียน กำรอ่ำนหนังสือ ซึ่งอำจเป็นคำถำมธรรมดำ แต่
คำถำมเหล่ำนีม้ ีควำมสำคญั ต่อครใู นกำรสรำ้ งกำรเรยี นรู้
4. Multi-Literacy เน้นควำมสำมำรถในกำรอ่ำนและเขียนได้ในหลำยภำษำ ทักษะนี้จะช่วย
ให้เด็กเข้ำใจแหล่งข้อมูล ตีควำมข้อมูล โดยครูจะช่วยให้นักเรียนเข้ำใจว่ำ เขำมีข้อมูลมำกมำยอยู่
รอบตัว ดังน้ัน กำรทำควำมเข้ำใจต่อขอ้ มลู ต่ำงๆ จงึ สำคัญ
5. Competence in Information and Communication Technology (ICT) คือ กำรบูรณำกำร
ไอซีทีเข้ำไปในสำขำวิชำต่ำงๆ เพือ่ เป็นเครือ่ งมอื ในกำรเรียนรู้ของนกั เรียนท้ังแบบเดี่ยวและกลุ่ม
6. Working Life Competence and Entrepreneurship คือ กำรเรียนรู้ถึงสำขำวิชำต่ำงๆ ว่ำมี
บทบำทอย่ำงไรในกำรทำงำน และยังกำหนดให้นักเรียนบำงระดับช้ันไปร่วมทำงำนกับผู้ใหญ่ เปิดให้
สัมผสั ประสบกำรณจ์ รงิ เพือ่ เป็นทำงเลอื กในชีวติ ให้กับผเู้ รียน
7. Participation, Involvement and Building a Sustainable Future ส่งเสริมให้เด็กเข้ำมำมี
ส่วนร่วมในกำรสร้ำงควำมยั่งยืน ท้ังเร่ืองตนเอง ผู้อื่น รวมท้ังควำมสำคัญในกำรดูแลสังคมและ
สิ่งแวดล้อม
กิจกรรมกำรเรียนรทู้ ีพ่ ฒั นำผเู้ รียนใหม้ ีควำมคิดสรำ้ งสรรคส์ ำมำรถบูรณำกำรได้ดงั ตอ่ ไปนี้
(วิชยั วงษ์ใหญ่ และ มำรุต พฒั ผล, 2564)
1. กำรให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมกำรเรียนรู้ด้วยตนเอง (Hands-on activity) ซึ่งจะ
ทำให้ผู้เรยี นมีควำมสนใจและกระตอื รือร้น อยำกรู้อยำกเรียน เป็นกำรเรียนรู้แบบ Active learning ที่
ผเู้ รียนจะได้ใชก้ ระบวนกำรคิดอย่ำงหลำกหลำยรวมทั้งกำรคิดสรำ้ งสรรค์
47
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
2. กำรเปิดโอกำสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมกำรเรียนรู้อย่ำงยืดหยุ่นและสำมำรถ
ปรับเปลี่ยนได้ (Flexible and Adaptable) เพื่อให้กิจกรรมกำรเรียนรู้มีควำมหลำกหลำยและ
ตอบสนองควำมสนใจของผู้เรียนทุกคนได้อย่ำงทั่วถึง ซึ่งกิจกรรมกำรเรียนรู้ที่หลำกหลำยจะเป็น
พืน้ ทีก่ ำรเรียนรู้ (Learning Space) ของผู้เรยี นทีม่ คี วำมเก่งหรอื พหปุ ัญญำทีแ่ ตกต่ำงกนั
3. กำรกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงควำมคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้
ผู้เรียนแต่ละคนได้เรียนรู้กระบวนกำรคิด สร้ำงสรรค์ของเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้วนำมำเติมเต็ม
ควำมคิดสรำ้ งสรรคข์ องตนเอง
4. กำรใช้สีเพื่อกระตุ้นกำรคิดสร้ำงสรรค์ โดยทั่วไปจะใช้มำกกับผู้เรียนระดับปฐมวัยและ
ประถมศึกษำ อย่ำงไรกต็ ำมยังสำมำรถใช้กับ ผู้เรียนในระดับที่สูงขึ้นได้ด้วย เช่น กำรใช้สีเพื่อจำแนก
หรอื จัดกลุ่มควำมรู้ เปน็ ต้น
5. กำรเปิดโอกำสให้ผู้เรียนคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง นับว่ำเป็นกำรพัฒนำกระบวนกำร
คิดสร้ำงสรรค์ได้อีกวิธีหนึ่ง กำรออกคำส่ังมำกเกินไปของผู้สอนจะไปสกัดกั้นควำมคิดสร้ำงสรรค์
ของผู้เรยี น
6. กำรให้ผู้เรียนกำหนดเป้ำหมำยทำงกำรเรียนรู้ประจำวันของตนเอง จะช่วยทำให้กำร
เรียนรู้เหล่ำนั้นเป็นกำรเรียนรู้ที่มีควำมหมำย ผู้เรียนเห็นคุณค่ำของกำรปฏิบัติกิจกรรมกำรเรียนรู้
เพื่อบรรลเุ ป้ำหมำยของตนเอง
7. กำรออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้ที่เน้นทีม ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกรรมกำรเรียนรู้ร่วมกัน
จะเป็นกำรสง่ เสริมให้มกี ำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสรำ้ งสรรคน์ วตั กรรมร่วมกัน
8. กำรให้ผู้เรยี นได้เรียนรู้กับบุคคลที่หลำกหลำย เพื่อให้เห็นควำมคิดที่หลำกหลำยออกไป
จำกควำมคิดเดิมๆ ช่วยเสริมสร้ำงควำมคิดสร้ำงสรรคไ์ ด้เปน็ อย่ำงดี
9. กำรใชค้ ำถำมกระตนุ้ กำรคิดสรำ้ งสรรคล์ ักษณะคำถำม ที่ช่วยกระตุ้นกำรคิดสร้ำงสรรค์
จะเป็นคำถำมปลำยเปิด (Openended) ที่ผู้เรียนสำมำรถตอบได้อย่ำงหลำกหลำย กำรใช้คำถำมที่ดี
นอกจำกจะช่วยกระตุ้นควำมคิดสรำ้ งสรรคแ์ ล้วยงั สง่ เสริมกำรคิดขน้ั สูงอน่ื ๆ ได้ดว้ ย
คิดสร้ำงสรรค์มีควำมสำคัญต่อกำรปรับปรุงสิ่งต่ำงๆ ช่วยทำให้กำรเปลี่ยนแปลงทำได้
รวดเร็วขึ้น กำรแก้ไขปัญหำต่ำงๆ ทำได้ง่ำยยิ่งขึ้นแต่ได้ประโยชน์ มีคุณภำพและประสิทธิภำพมำก
ยิ่งข้ึน สร้ำงควำมม่ันคงทำงใจ พลังแห่งควำมคิดสร้ำงสรรค์เช่ือม่ันในควำมคิดดี จะเป็นเกำะป้องกัน
ควำมคิดไม่ดี ควำมคิดด้ำนลบ เมื่อรู้สึกว่ำตนเองพ่ำยแพ้ พลังแห่งควำมคิดเชิงสร้ำงสรรค์จะกระตุ้น
ควำมคิดใหก้ ลับมำต่อสู่กับปญั หำอุปสรรคได้
48
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
บทสรุป
กำรจัดกำรศึกษำในโลกยุคใหม่ ควรเริ่มจำกกำรพัฒนำจิตพิสัยก่อนเป็นลำดับแรก ตำม
ด้วยทักษะพิสัยและพุทธิพิสัย จึงจะสอดคล้องกับกำรเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ครูยุคเก่ำจะต้อง
เปิดใจยอมรบั ต่อกำรเปลี่ยนแปลงของสงั คมในปจั จบุ นั เรียนรู้กำรจดั กิจกรรมผ่ำนสือ่ เทคโนโลยี และ
ครูยังต้องศึกษำค้นหำควำมรู้ได้ด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลำ และส่งต่อทักษะกำรเรียนรู้ตลอดชีวิต
ให้กบั ผเู้ รียน พลังแหง่ ควำมคิดนบั ได้ว่ำเป็นสิง่ ทีม่ อี ิทธิพลอย่ำงมำกต่อกระบวนกำรอื่นในลำดับถัดไป
ควำมคิด คือ จุดเริ่มแห่งกำรกระทำ กำรกระทำจนทำให้เกิดควำมเคยชิน น่ันคือผลลัพธ์แห่ง
พฤติกรรมกำรเสริมสรำ้ งคนให้มคี วำมคิดสรำ้ งสรรคเ์ ป็นสิ่งสำคัญเพรำะคนจะใช้ควำมคิดสร้ำงสรรค์
ผลิต สิ่งใหม่ๆ และมีวิธีกำรแก้ไขปัญหำอย่ำงมีกลยุทธ์รอบด้ำน ลึกซึ้งไม่เฉพำะในด้ำนกำรงำน
เท่ำน้ัน แต่ควำมคิดสร้ำงสรรค์ยังสำมำรถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ
ครูยุคปฏิรังสรรค์กำรศึกษำ จึงต้องเป็นครูที่คิดใหม่ ทำใหม่ สร้ำงสรรค์สิ่งใหม่ให้กับกำรศึกษำ
เพื่อให้กำรศึกษำของไทยมีควำมหมำยมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่ำแก่ชีวิต และสังคมอย่ำงแท้จริงและ
ย่ังยืน เทคนิคกำรคิดสร้ำงสรรค์มจี ดุ เริ่มต้นคือ จนิ ตนำกำร กำรเรียนรู้สิ่งใหม่ กำรฝึกลับสมองบ่อยๆ
คิดสิ่งที่มีอยู่แบบเดิมให้แปลกใหม่เชิงสร้ำงสรรค์ ซึ่งวิธีคิดธรรมดำๆ ไม่สำมำรถทำให้เกิดขึ้นได้
กำรเรียนรทู้ ีเ่ สริมสร้ำงศักยภำพของผู้เรยี น ผ่ำนกำรลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมกำรเรียนรู้อย่ำงสร้ำงสรรค์
ครูจะมีบทบำทในฐำนะที่เป็นครูฝึกหรือเป็นโค้ช ดูแลเอำใจใส่เพื่อให้ผู้เรียนใช้ศักยภำพสูงสุดใน
กำรเรียนรเู้ ชงิ สรำ้ งสรรค์ (Creative Learning) ผลลัพธ์จงึ จะเกิดกับผเู้ รียนและนำไปใช้ได้อย่ำงแท้จริง
กำรปฏิรังสรรค์กำรศึกษำจึงจะตอบสนองต่อกระบวนกำรสร้ำงและพัฒนำคุณภำพชีวิตของมนุษย์
และสำมำรถอยู่ในสงั คมได้อย่ำงมคี วำมสขุ มีกำรเกือ้ หนนุ กำรพฒั นำประเทศได้อย่ำงเหมำะสม
ปฏิรงั สรรค์การศึกษา
การปรับแปลง ปรับแต่ง แปลงโฉมความคิด จากรูปแบบเดิมที่มีอยู่
สู่การเปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาที่ใช้แนวคิดในวิถีชีวิตใหม่ โดยจะต้องมี
กระบวนทัศน์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เศรษฐกิจและ
วัฒนธรรมของสงั คมโลกภายใต้สภาวการณ์ทีพ่ ลิกผัน
49
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
บทที่ 2
การพฒั นาวิชาชีพครูสู่ความเปน็ มืออาชีพ
50
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
51
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
บทที่ 2
การพฒั นาวิชาชพี ครูสู่ความเปน็ มืออาชพี
สังคมให้ควำมไว้วำงใจในวิชำชีพครู และคำดหวังว่ำจะเป็นแบบอย่ำงที่ดีแก่ศิษย์และสังคม
ครูถือวำ่ เป็นบณั ฑิตหรอื ผู้รู้ ครูที่มีคุณธรรม จริยธรรมจึงได้รับกำรยกย่องให้เป็นบุคคลที่ควรเคำรพ
บูชำหรือเป็นปูชนียบุคคล เป็นคนดีมีศีลธรรม ควำมรักและศรัทธำในอำชีพครู เห็นควำมสำคัญของ
อำชีพครูและรักษำชื่อเสียงวิชำชีพครู ปฏิบัติหน้ำที่ด้วยจิตวิญญำณ เพื่อให้เกิดผลดีและเกิด
ประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ รักษำควำมสำมัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้ำที่กำรงำน
ปกป้อง และสร้ำงควำมเข้ำใจอันดีตอ่ สังคมเกี่ยวกับวิชำชีพครู ซึ่งเป็นวิชำชีพที่มีลักษณะเฉพำะ ต้อง
ใช้ควำมรู้ ทักษะ และควำมเชี่ยวชำญ จึงต้องมีมำตรฐำนวิชำชีพ ซึ่งทุกวิชำชีพย่อมมีจรรยำบรรณ
วิชำชีพ กำหนดขึ้นเป็นแบบแผนในกำรประพฤติตน ซึ่งผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำต้องปฏิบัติ
ตำม เพื่อรักษำและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียงและฐำนะของผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำให้เป็น
ที่เชื่อถือศรัทธำแก่ผู้รับบริกำร และสังคมอันจะนำมำซึ่งเกียรติ และศักดิ์ศรีแห่งวิชำชีพ เพื่อสร้ำง
ควำมตระหนักให้แก่ผู้ที่จะประกอบวิชำชีพครูต่อไป ในบทนี้ผู้เขียนนำเสนอสำระที่ประกอบด้วย
สำรัตถะของวิชำชีพครู จิตวิญญำณแห่งควำมเป็นครู กำรพัฒนำวิชำชีพครูในศตวรรษที่ 21 ควำม
เป็นครูมอื อำชีพ ตำมลำดับ
สารัตถะของวชิ าชีพครู
ข้อบังคับคุรุสภำว่ำด้วยมำตรฐำนวิชำชีพ พ.ศ. 2556 ได้ระบุว่ำ “วิชำชีพ” หมำยควำมว่ำ
วิชำชีพทำงกำรศึกษำที่ทำหน้ำที่หลักทำงด้ำนกำรเรียนกำรสอน และกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้
ของผู้เรียนด้วยวิธีกำรต่ำงๆ รวมทั้งกำรรับผิดชอบกำรบริหำรสถำนศึกษำในสถำนศึกษำปฐมวัย
ข้ันพื้นฐำน และอุดมศึกษำที่ต่ำกว่ำปริญญำ ทั้งของรัฐและเอกชน และกำรบริหำรกำรศึกษำนอก
สถำนศึกษำในระดับเขตพื้นที่กำรศึกษำ ตลอดจนกำรสนับสนุนกำรศึกษำ ให้บริกำรหรือปฏิบัติงำน
เกี่ยวเนื่องกับกำรจัดกระบวนกำรเรียนกำรสอน กำรนิเทศ และกำรบริหำรกำรศึกษำในหน่วยงำน
กำรศึกษำต่ำงๆ และระบุว่ำ (รำชกิจจำนุเบกษำ, 2556) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบวิชำชีพทำง
กำรศึกษำต้องมีมำตรฐำนกำรปฏิบัติตนตำมข้อบังคับคุรุสภำ ว่ำด้วยจรรยำบรรณของวิชำชีพ พ.ศ.
2556 ได้กำหนดไว้วำ่ ผปู้ ระกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำต้องประพฤติตนตำมจรรยำบรรณของวิชำชีพ
และแบบแผนพฤติกรรมตำมจรรยำบรรณของวิชำชีพ 5 ด้ำน 9 ข้อ ประกอบด้วย
52
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
1. ดา้ นจรรยาบรรณตอ่ ตนเอง
ข้อที่ 1 ผปู้ ระกอบวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ ตอ้ งมวี ินัยในตนเอง พฒั นำตนเองด้ำนวิชำชีพ
บคุ ลิกภำพ และวิสัยทัศน์ ใหท้ นั ต่อกำรพัฒนำทำงวิทยำกำร เศรษฐกิจ สังคม และกำรเมอื งอยู่เสมอ
2. ดา้ นจรรยาบรรณตอ่ วิชาชีพ
ขอ้ ที่ 2 ผปู้ ระกอบวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ ตอ้ งรัก ศรัทธำ ซือ่ สัตย์สุจรติ รับผดิ ชอบ
ต่อวชิ ำชีพและเป็นสมำชิกทีด่ ขี ององค์กรวิชำชีพ
3. ด้านจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำมี
คณุ ลักษณะดังน้ี
ขอ้ ที่ 3 ผปู้ ระกอบวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ ตอ้ งรกั เมตตำ เอำใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม
ให้กำลงั ใจแก่ศิษย์ และผรู้ บั บริกำร ตำมบทบำทหนำ้ ทีโ่ ดยเสมอหน้ำ
ข้อท่ี 4 ผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำ ต้องส่งเสริมให้เกิดกำรเรียนรู้ ทักษะ และ
นิสัยที่ถูกต้องดีงำมแก่ศิษย์ และผู้รับบริกำร ตำมบทบำทหน้ำที่อย่ำงเต็มควำมสำมำรถ ด้วยควำม
บริสทุ ธิ์ใจ
ข้อที่ 5 ผปู้ ระกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำ ต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่ำงที่ดี ท้ัง
ทำงกำย วำจำ และจิตใจ
ข้อที่ 6 ผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำ ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อควำมเจริญ
ทำงกำย สตปิ ญั ญำ จิตใจ อำรมณ์ และสังคมของศษิ ย์ และผู้รบั บริกำร
ข้อที่ 7 ผปู้ ระกอบวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ ตอ้ งให้บริกำรด้วยควำมจริงใจและเสมอภำค
โดยไม่เรยี กรับหรือยอมรับผลประโยชน์จำกกำรใชต้ ำแหน่งหนำ้ ทีโ่ ดยมิชอบ
4. ดา้ นจรรยาบรรณตอ่ ผู้รว่ มประกอบวิชาชีพ
ข้อท่ี 8 ผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำ พึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่ำง
สร้ำงสรรคโ์ ดยยึดมน่ั ในระบบคุณธรรม สร้ำงควำมสำมคั คีในหมู่คณะ
5. ด้านจรรยาบรรณต่อสงั คม
ขอ้ ที่ 9 ผปู้ ระกอบวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ พึงประพฤติปฏิบตั ิตนเปน็ ผู้นำในกำรอนุรักษ์
และพัฒนำเศรษฐกิจ สังคม ศำสนำ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญำ สิ่งแวดล้อม รักษำผลประโยชน์ของ
ส่วนรวม และยึดมน่ั ในกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยอันมพี ระมหำกษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
53
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
อำชีพครู วิชำชีพครู งำนที่มีเกียรติและเป็นงำนที่สร้ำงคนให้กับสังคม ครู คือบุคคลที่มี
หน้ำที่ หรือมีอำชีพในกำรสอนนักเรียน เกี่ยวกับวิชำควำมรู้ หลักกำรคิดกำรอ่ำน รวมถึงกำรปฏิบัติ
และแนวทำงในกำรทำงำน โดยวิธีในกำรสอนจะแตกต่ำงกันออกไปโดยคำนึงถึงพื้นฐำน ควำมรู้
ควำมสำมำรถและเป้ำหมำยของนกั เรียนแต่ละคน เป็นครูที่มีค่ำคือ เป็นครูที่ทำงำน แต่ไม่ทำงำน แต่
ไม่ทำเงิน คิดถึงส่วนรวมมำกกว่ำส่วนตน ค้นคว้ำเพิ่มพูนปัญญำ และเปี่ยมไปด้วยเมตตำกรุณำ
(สมุ น อมรวิวัฒน์, 2555) เป็นวิชำชีพที่ให้บริกำรแก่สังคมในลักษณะที่มีควำมจำเฉพำะเจำะจง ด้วย
กำรใชว้ ิธีกำรแห่งปัญญำ ในกำรให้บริกำรรจู้ ักได้รับกำรศึกษำอบรม ให้ควำมรู้กว้ำงขวำงลึกซึ้ง โดย
ใช้ระยะเวลำยำวนำนพอสมควร มีเสถียรภำพใน กำรใช้วิชำชีพน้ันๆ ตำมมำตรฐำนวิชำชีพ มี
จรรยำบรรณวิชำชีพ และมีสถำบันแห่งวิชำชีพเป็นแหล่งกลำงในกำรสร้ำงสรรค์ จรรโลงควำมเป็น
มำตรฐำนวิชำชีพ (ศกั ดิไ์ ทย สุรกิจบวร, 2557) ท้ังนี้เพื่อให้วิชำชีพครู สำมำรถคงอยู่ได้อย่ำงมีคุณค่ำ
เป็นที่ยอมรับของผู้เกีย่ วข้องและสำธำรณชน ตลอดจนได้รักษำมำตรฐำน และส่งเสริมพัฒนำวิชำชีพ
ให้มมี ำตรฐำนสงู ข้ึนไปเรือ่ ยๆ เพรำะกำรศึกษำเป็นเคร่ืองมือสำคัญในกำรเสริมสร้ำงพัฒนำบุคลำกร
ในประเทศให้มีคุณภำพ มีศกั ยภำพที่จะเป็นพลเมืองทีม่ คี ุณค่ำของสังคมจรรยำบรรณ และมำตรฐำน
วิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ โดยเฉพำะวิชำชีพครูของประเทศไทย
จิตวญิ ญาณแหง่ ความเป็นครู
จิตวิญญำณ (Spirituality) เป็นคำที่มีควำมหมำยเชิง นำมธรรม มำจำกคำว่ำ “จิต” และ
“วิญญำณ” เป็นสิ่งที่อยู่ในตน ทำให้เป็นบุคคลขึ้น เป็นควำมรู้แจ้งควำมรู้สึกตัว จิตใจ ดังที่ ประเวศ
วะสี (2554) ได้ให้ควำมหมำยว่ำ “จิตวิญญำณ หรือจิตสูงน้ันหมำยถึง ควำมดี กำรลดควำมเห็นแก่
ตัวกำรเข้ำถึงสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุดทำงพุทธ คือ พระนิพพำนหรือปัญญำหรือวิชชำ ศำสนำอื่นหมำยถึง
พระผู้เป็นเจำ้ ” สถำนะของมติ ิทำงจิตวิญญำณ ส่วน พัชนี สมกำลัง (2556) ระบุเชิงนำมธรรมว่ำเป็น
โครงสรำ้ งหนึ่งของมนุษย์ที่นอกเหนือจำกร่ำงกำยและจิตใจ จับต้องไม่ได้ พัฒนำมำจำกควำมผูกพัน
ด้ำนจติ ใจของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งของควำมหวัง พลังใจที่เข้มแข็ง เป็นขุมพลังของชีวิตที่
ทำให้ประสบควำมสำเรจ็ และมีควำมสขุ
จติ วิญญำณ หมำยถึง โครงสร้ำงหนึ่งของมนษุ ย์ที่ผสมผสำนมิตริ ่ำงกำย และมิติจิตสังคมเข้ำ
ด้วยกันเป็นสิ่งที่ให้ควำมหมำยแก่ชีวิต และช่วยกำหนดแนวทำงกำรปฏิบัติ ซึ่งมีผลต่อควำมสุขและ
ควำมสำเร็จในชีวิตหรือวิชำชีพ เม่ือนำควำมหมำยของจิตวิญญำณมำรวมกับคำว่ำครู สรุปได้ว่ำ
จติ วิญญำณควำมเป็นครู หมำยถึง จิตสำนึกตำมกรอบคณุ ธรรมจริยธรรม ซึ่งทำให้เกิดกำรใฝร่ ู้
54
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ค้นหำสร้ำงสรรค์ถ่ำยทอดปลูกฝังและเป็นแบบอย่ำงที่ดีทั้งของศิษย์เพื่อนร่วมงำนและคนในสังคม
(วลั นิกำ ฉลำกบำง, 2559)
รัตตกิ รณ์ จงวิศำล และนำชยั ศภุ ฤกษ์ชัยสกุล (2560) ได้ให้ควำมหมำยของจิตวิญญำณว่ำ
จติ วิญญำณเปน็ คำศัพท์ทีพ่ บว่ำ มคี วำมแตกต่ำงกนั ตำมวัฒนธรรม ศำสนำ ภำษำและประวัติศำสตร์
อย่ำงไรก็ตำมมีลักษณะร่วมกันบำงประกำร และมีควำมแตกต่ำงกันไปตำมภำษำ และวัฒนธรรม
รวมท้ัง พบควำมคล้ำยคลึงสอดคล้องกันอยู่ในควำมต่ำงเหล่ำน้ัน เร่ืองจิตวิญญำณนี้เป็นกระแส
ควำมคิดที่มีมำอย่ำงต่อเน่ืองตำมประวัติศำสตร์ของมนุษย์ โดยมีจุดสูงสุดของควำมรู้ที่ให้
ควำมสำคญั กับมิติทำงจติ วิญญำณ ก็คือ ศำสนำธรรมตำ่ งๆ
สรุปได้ว่ำ จิตวิญญำณ หมำยถึง คุณลักษณะกำรมีจิตใจที่มีลักษณะเฉพำะของแต่ละ
บุคคล ในกำรหย่ังรแู้ ละนำไปสู่กำรปฏิบัติคุณงำมควำมดี กำรรู้จักผิดชอบช่ัวดีมีจิตใจสูงขึ้น ที่ปฏิบัติ
ตนเพื่อนำไปสู่กำรเปน็ ที่ยอมรับ และกำรเกิดศรัทธำในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งจนสำมำรถถ่ำยทอดคุณงำม
ควำมดที ีป่ ฏิบัติให้แก่บคุ คลอื่น
แนวคิดของ Lopez และคณะ (Shane, J. Lopez and others, 2019) ได้ให้ควำมหมำยของ
คำว่ำ Spirituality ว่ำเป็นกำรหำหนทำงที่นำไปสู่กำรเป็นที่ยอมรับและภำคภูมิในตนเอง อำจกล่ำวได้
ว่ำ จิตสำนึกตำมกรอบคณุ ธรรมจริยธรรม ซึง่ ทำให้เกิดกำรใฝ่รู้ ค้นหำ สร้ำงสรรค์ ถ่ำยทอด ปลูกฝัง
และเป็นแบบอย่ำงทีด่ ีทั้งของศษิ ย์ เพื่อนร่วมงำนและคนในสังคม ท้ังนี้ มีนักวิชำกำรได้ให้ควำมหมำย
ของคำว่ำ จติ วิญญำณควำมเป็นครู ไว้ดงั นี้
ณัฏฐภรณ์ หลำวทอง และปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ (2553) ได้กล่ำวว่ำ จิตวิญญำณ
ควำมเป็นครเู ป็นคุณลักษณะในกำรมจี ติ ใจที่ปฏิบัติตน เพื่อนำไปสู่กำรเป็นทีย่ อมรบั และภำคภูมิใจใน
กำรถ่ำยทอดควำมรใู้ ห้แก่บคุ คลอื่น ประกอบด้วย ควำมรับผิดชอบในหน้ำที่ ควำมรักในอำชีพ ควำม
รกั และเมตตำเพือ่ นมนษุ ย์ ควำมเสียสละ ควำมอดทน ควำมยุติธรรม และกำรเปน็ แบบอย่ำงทีด่ ี
ธรรมนันทิกำ แจ้งสว่ำงและคณะ (2555) กล่ำวว่ำ จิตวิญญำณควำมเป็นครูเป็น
คุณลักษณะทำงจิตและพฤติกรรมกำรทำงำนที่สะท้อนถึงกำรเป็นครูที่ดี จิตวิญญำณที่ปรำกฏเป็น
คุณลกั ษณะทำงจิตน้จี ะเกีย่ วข้องกบั ควำมคิดที่มีตอ่ วิชำชีพ ประกอบด้วย กำรเห็นคุณค่ำของบทบำท
หน้ำที่ กำรมีศรัทธำในวิชำชีพ มีและยึดมั่นต่ออุดมกำรณ์ในกำรทำงำนครู มีควำมเข้ำใจท้ังตนเอง
และผู้อื่น ในขณะที่จิตวิญญำณควำมเป็นครูที่ปรำกฏเป็นพฤติกรรม ประกอบด้วย กำรปฏิบัติต่อ
นักเรียนด้วยควำมเมตตำช่วยเหลือ เสียสละ อดทน กำรเปน็ แบบอย่ำงที่ดี รวมท้ังกำรพัฒนำตน โดย
กำรแสวงหำควำมรเู้ พิม่ เติม
55
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
จิตวิญญำณเป็นเอกัตตำ หรือปัจเจกบุคคลเป็นตัวตนที่มีลักษณะเฉพำะของแต่ละบุคคลที่
เกิดจำกควำมคิดควำมรู้สึก และกำรตัดสินใจที่สะท้อนให้เห็นควำมปรำรถนำของตนเอง ทำให้เกิด
ควำมเชือ่ นำไปสู่พฤติกรรมหรือกำรปฏิบัติกำรมีคุณธรรมจริยธรรมมโนธรรมรู้จักผิดชอบช่ัวดี (พัชนี
สมกำลัง, 2556) กำรมีจิตใจสูงขึ้น ซึ่งโดยหน้ำที่ของครู คือรับผิดชอบในกำรปลูกฝังจิตสำนึกต่ำงๆ
แก่ศิษย์และครูต้องมีจริยธรรมเป็นผู้นำทำงวิญญำณ (จิต) หรือเป็นที่ปรึกษำด้ำนจิตวิญญำณไม่
เพียงแต่สอนวิชำกำรซึ่งบรรจุไว้ในหลักสูตรของกำรศึกษำท่ัวๆ ไปเท่ำน้ัน (สำนักงำนคณะกรรมกำร
กำรศกึ ษำข้ันพ้ืนฐำน, 2555)
กำรสรำ้ งมติ ิทำงจติ วิญญำณในกำรทำงำนให้เกิดขึ้นทั้งสองระดับ ตั้งแต่บุคคลจนถึงองค์กร
น้ันนักวิชำกำรบำงกลุ่มมีควำมเชื่อว่ำเป็นหน้ำที่ของผู้บริหำร ซึ่งทำหน้ำที่เป็นผู้นำที่มีควำมสนใจใน
เร่ืองนี้ว่ำ ผู้นำในมิติของจิตวิญญำณ (Spiritual Leadership) ซึ่งจะมีบทบำทในกำรสร้ำงแรงจูงใจ
กระตุ้นเร้ำ เพื่อให้บุคลำกรได้รับหรือเกิดประสบกำรณ์ที่เกี่ยวข้องกับมิติ ทำงจิตวิญญำณใน
กำรทำงำน (Fry and Slocum, 2008 ; Pawar, 2009)
สำนักงำนส่งเสริมสังคมแห่งกำรเรียนรู้ และคุณภำพเยำวชน (2557) ได้กล่ำวถึงจิต
วิญญำณควำมเป็นครู หมำยถึง คุณลักษณะครูที่มีคุณภำพในกำรยกระดับคุณภำพครูในศตวรรษที่
21 ได้แก่ เป็นผู้ที่มีจิตวิญญำณควำมเป็นครูและผู้มีควำมรู้ ควำมสำมำรถและทักษะกำรจัดกำร
เรียนรู้ มีทักษะกำรสื่อสำรอำนวยควำมสะดวกในกำรเรียนรู้ที่มีประสิทธิภำพ ตื่นรู้ ทันสมัย ทัน
เหตุกำรณ์ เป็นแบบอย่ำงทำงคุณธรรมจริยธรรมและศีลธรรม รวมทั้งภำคภูมิใจในกำรเป็นพลเมือง
ไทยและพลโลก ในขณะที่กลยุทธ์เป็นแนวทำง หรือวิธีกำรที่จะทำให้กำรดำเนินงำนขององค์กร
บรรลผุ ลสำเร็จเป็นไปอย่ำงมีทิศทำงสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธะกิจขององค์กรด้วยกำรมีส่วนร่วม
ของบุคลำกรในกำรจัดทำและยึดถือปฏิบัติรวมกันซึ่งกำรจัดทำกลยุทธ์ที่ถูกต้อง และเหมำะสมจะ
นำมำสู่กำรบรรลคุ ณุ ภำพ และประสิทธิภำพในกำรดำเนินงำนขององค์กรตำมมำ
ทัศนะของพระมหำวุฒิชัย ว. วชิรเมธี (2558) คิดว่ำครูที่มีจิตวิญญำณควำมเป็นครูจะต้อง
เด่นในเร่ืองวิชำกำร (รู้ลึก รู้จริง รู้กว้ำง) มีศิลปะในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ และมีใจเมตตำต่อศิษย์รัก
ศษิ ย์ดงั ลกู
สจีวรรณ ทรรพวสุ (2559) ได้ระบุถึง จิตวิญญำณควำมเป็นครู ไว้คือ คุณลักษณะที่แสดง
ถึงพฤติกรรมทีเ่ ปน็ ที่ประจกั ษ์และนำ่ ชื่นชมในกำรปฏิบัติหนำ้ ที่ครทู ้ังที่เปน็ ทำงกำรและไม่เป็นทำงกำร
ด้ำนคุณธรรม จริยธรรม และควำมปรำรถนำดี มีควำมเข้ำใจที่จะพัฒนำศิษย์ตำมศักยภำพด้วย
ควำมจริงใจภำยใต้ควำมสุขที่จะเกิดขึน้ จำกท้ังสองฝ่ำย ประกอบด้วย ควำมศรัทธำในตนเองและ
วิชำชีพครู ควำมเชือ่ มน่ั ในกำรพฒั นำศักยภำพของผู้เรยี น กำรเป็นบุคคลแหง่ กำรเรยี นรู้ ควำมเปน็
56
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
กัลยำณมิตรใน วิถีแห่งควำมเป็นครู กำรปฏิบัติตนและปฏิบัติงำนในหน้ำที่ครู และกำรร่วมมือกับ
ผอู้ ืน่ ในสถำนศกึ ษำ และชมุ ชนอย่ำงสรำ้ งสรรค์
อมรรัตน์ แก่นสำร (2559) ได้ค้นพบว่ำ จิตวิญญำณควำมเป็นครูของครูสังกัดสำนักงำน
คณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ประกอบด้วย ควำมผูกพัน
ระหว่ำง ครูกับศิษย์ ควำมรักและศรัทธำในวิชำชีพ กำรมีจิตวิทยำในกำรสอน กำรเป็นแบบอย่ำง
ที่ดี กำรมีคุณธรรมและจริยธรรม กำรปฏิบัติตำมบทบำทหน้ำที่ และกำรมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและมี
ควำมเป็นกัลยำณมติ ร
นอกจำกนี้ประยุทธ์ จันทร์โอชำ (2561) กล่ำวว่ำ ครูจะต้องมีจิตวิญญำณควำมเป็นครู 24
ช่ัวโมง ศิษย์ดี ก็ด้วยครูดี มีศรัทธำ ถ้ำเรำมีศรัทธำซึ่งกันและกันก็จะทำอะไรได้ทุกอย่ำงเพรำะมี
ควำมเชื่อม่ันต่อกัน ท้ังครูและลูกศิษย์มีควำมเชื่อม่ันกันเกิดควำมภำคภูมิใจ ศรัทธำระหว่ำงกัน ซึ่ง
ควำมศรัทธำเป็นบ่อเกิดแห่งควำมสำเร็จ อุปสรรคเป็นบทเรียนในกำรแก้ไขปัญหำต่ำงๆ ของชำติ
บ้ำนเมืองและวงกำรศึกษำ กำรศึกษำไม่ใช่ มีเฉพำะครูกับนักเรียน แต่ยังมีบุคลำกรทำงกำรศึกษำ
และผู้บริกำรอีกมำก รวมถึงเอกชน ภำครัฐซึ่งทั้งหมดต้องมีศรัทธำระหว่ำงกัน ทำอย่ำงไรให้
กำรศกึ ษำของเรำดีข้ึน
พระครูสังฆรักษ์จักรกฤษณ์ ภูริปญฺโญ และคณะ (2562) ได้ระบุว่ำ จิตวิญญำณควำมเป็น
ครูหมำยถึง บุคคลผู้มีควำมรัก ควำมศรัทธำในวิชำชีพควำมเป็นครู มีจิตใจมุ่งม่ัน ต้ังใจปฏิบัติหน้ำที่
ของตน ควำมภำคภูมิใจในควำมเป็นครู พัฒนำตนเอง มีควำมคิดสร้ำงสรรค์ ทันต่อเหตุกำรณ์ รัก
และศรัทธำในวิชำชีพครู มีควำมเสียสละ มีคุณธรรม จริยธรรม พร้อมจะกำรถ่ำยทอดควำมรู้ให้แก่
ศษิ ย์ มีควำมมงุ่ มัน่ ในกำรพัฒนำเด็กและเยำวชนและประพฤติตนเป็นแบบอย่ำงทีด่ ีแก่ศิษย์และสงั คม
“ครู” หรอื “ผสู้ อน” เกิดควำมตระหนักในบทบำทและจติ วิญญำณในกำรสร้ำงคน โดยมุ่งจัด
กำรศึกษำ และกำรเรียนกำรสอน จะต้องสอดคล้องกับกำรเปลี่ยนแปลงท้ังทำงด้ำนสังคมกำรเมือง
เศรษฐกิจวัฒนธรรม และเทคโนโลยีตลอดจนให้เกิดควำมสอดคล้องกับควำมต้องกำรของบุคคล
และควำมคำดหวังของสังคมเกิดเป็นแรงกดดันนำนัปกำร ซึ่งสังคมโลกปัจจุบันมีลักษณะที่เรียกว่ำ
“โลกไร้พรมแดนยุคข้อมูลข่ำวสำรและยุคสังคมแห่งควำมรู้” กำรแข่งขันในสังคมโลกจะทำให้สังคม
แตล่ ะภมู ิภำคเกิดกำรเปลีย่ นแปลงอย่ำงรวดเร็วในทุกๆ ด้ำนกำรอยู่รอดขององค์กร และสถำนศึกษำ
ในยุคของกำรแข่งขัน ท่ำมกลำงภำวะถดถอย มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วเช่นนี้ ผู้บริหำรที่
สำมำรถมองเห็นกำรเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนำคตได้ก่อนแล้ว เป็นผู้กำหนดอนำคต น้ันให้เป็น
จรงิ ได้ด้วยผลงำนทีเ่ ป็นรปู ธรรมย่อมสำมำรถอยู่รอดอย่ำงมัน่ คง และยั่งยนื และมีควำมได้เปรียบ
เหนือคู่แขง่ อย่ำงแท้จริง
57
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
กำรศึกษำในยุคปัจจุบัน แม้จะสูงแต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญำณ ไม่สำมำรถลดกิเลสให้
น้อยลงได้เป็นไปในทำงวัตถุเสียส่วนใหญ่ จึงกลำยเป็นทำงแห่งควำมเห็นแก่ตัวยิ่งเรียนยิ่งฉลำดและ
ยิ่งฉลำดยิ่งเห็นแก่ตัวรุกล้ำสิทธิ และประโยชน์ของผู้อื่นเป็นกำรเบียดเบียนกันต้องสอนผู้เรียนให้
เข้ำใจชีวิตให้ถูกต้องอย่ำหลงใหลในวัตถุสำมำรถมองเห็นโทษ และออกมำจำกควำมเป็นเหยื่อของ
วัตถุนิยมปัญหำก็จะไม่เกิดขึ้น เพรำะคนเรำเลิกละควำมเห็นแก่ตัวได้ ดังน้ันครูที่ทำได้ดีทั้งกำรสอน
และกำรอบรมจะมีลักษณะแหง่ ควำมเปน็ ผู้นำทำงจิตวญิ ญำณ (ทองหล่อ วงษ์ธรรมำ, 2555) ซึ่งเป็น
ที่ต้องกำร และยอมรับของสังคมโดยมีควำมรู้ควำมคิดเจตคติ และพฤติกรรมกำรแสดงออกที่ดีเป็น
ประโยชน์ตำมกรอบของจริยธรรมคุณธรรมคำ่ นิยมจำรีตประเพณีวัฒนธรรม และควำมคำดหวังของ
สงั คมอนั เป็นองค์รวมธำตุแท้ของบุคคลผู้ใฝ่รู้ค้นหำสร้ำงสรรค์ถ่ำยทอดปลูกฝัง และเป็นแบบอย่ำงที่
ดีของสงั คมนักวิชำกำร จำแนกควำมหมำยของจติ วิญญำณเปน็ 3 ควำมหมำยประกอบด้วย
1. ควำมเป็นเอกัตตำหรือปัจเจกบุคคล หมำยถึง ควำมเป็นตัวตนที่มีลักษณะเฉพำะของแต่
ละบุคคล ซึ่งเกิดจำกกำรหยั่งรู้นำไปสู่กำรปฏิบัติ และกำรเกิดศรัทธำในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง (ศุภลักษณ์
ทัดศรี และอำรยำ พรำยแย้ม, 2554)
2. ควำมมีคุณค่ำสูงส่ง หมำยถึง ปัญญำหลักกำรของชีวิต เช่น ควำมดี บุญกุศล คุณธรรม
จรยิ ธรรม กำรรจู้ กั ผดิ ชอบชัว่ ดี มีจิตใจสงู ข้นึ (ประเวศ วะสี, 2553; ประสิทธิ์ อุ่นหนองกุ่ง, 2555)
3. ควำมเป็นนำมธรรม หมำยถึง โครงสร้ำงหนึ่งของมนุษย์ที่นอกเหนือจำกร่ำงกำย และ
จิตใจจับต้องไม่ได้ พัฒนำมำจำกควำมผูกพันด้ำนจิตใจของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมเป็นแหล่งของ
ควำมหวังพลังใจที่เข้มแข็ง เป็นขุมพลังของชีวิตที่ทำให้ประสบควำมสำเร็จและมีควำมสุข (พัชนี
สมกำลัง, 2556)
งำนวิจัยของ ธรรมนันทิกำ แจ้งสว่ำง และคณะ (2555) ที่ศึกษำเกี่ยวกับประสบกำรณ์ของ
กำรเป็นครผู มู้ ีจิตวญิ ญำณควำมเป็นครู ในกลุ่มขำ้ รำชกำรครูที่ผ่ำนกำรคัดเลือกในโครงกำรตำมรอย
เกียรติยศ ครูผู้มีอุดมกำรณ์ และจิตวิญญำณครูของสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน
ซึ่งถือเปน็ กลุ่มบุคคลที่ได้รับกำรยอมรับว่ำเป็นครูที่ดีและเป็นต้นแบบของกำรเป็นครูผู้มีจิตวิญญำณ
ควำมเป็นครู โดยนำวิธีวิทยำกำรวิจัยเชิงคุณภำพแนวปรำกฏกำรณ์วิทยำพบว่ำ “กำรเป็นครูผู้มี
จติ วิญญำณควำมเป็นครู หมำยถึง กำรที่บุคคลมีควำมตระหนักรู้ในควำมเป็นครูปฏิบัติตนอยู่บนวิถี
แหง่ ควำมเปน็ ครมู ีเป้ำหมำยในกำรทำงำน เพื่อเด็กและปฏิบัติต่อเด็กด้วยควำมรักและควำมเมตตำ”
โดยมีประเด็นดังน้ีคอื
58
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
1. ตระหนักรู้ในควำมเป็นครู คือ สภำวะที่เกี่ยวกับควำมรู้สึกควำมคิดและควำมปรำรถนำ
ทีค่ รูมตี ่ออำชีพครขู องตนเอง ซึง่ ส่งผลใหเ้ กิดควำมรู้สกึ กำรรบั รู้กำรแสดงออกถึงควำมรับผิดชอบต่อ
อำชีพ ครเู กิดกำรเปลีย่ นแปลงควำมคิด และกำรกระทำของตัวเองเกี่ยวกับกำรเป็นครู ประกอบด้วย
ประเด็นย่อย 3 ประเด็น ได้แก่ มองเห็นคุณค่ำในอำชีพครู มีควำมเชื่อเกี่ยวกับอำชีพครู และเป็นครู
ตลอดเวลำ
2. ปฏิบตั ิตนอยู่บนวิถีแห่งควำมเป็นครู คอื กำรกระทำ กำรปฏิบัติ หรือกำรแสดงออกที่อยู่
ในแนวทำงที่ดีทีค่ รูควรปฏิบัติประกอบด้วย ประเด็นย่อย 3 ประเด็น ได้แก่ กำรวำงตัวเป็นแบบอย่ำง
ที่ดี ถ่ำยทอดควำมรทู้ ี่มโี ดยไม่ปิดบัง และพฒั นำตนเอง
3. มีเป้ำหมำยในกำรทำงำนเพื่อเด็ก คือ ตระหนักรู้เป้ำหมำยในกำรทำงำนของตนเอง และ
ใช้เพื่อกำหนดทิศทำงกำรทำหน้ำที่ให้บรรลุเป้ำหมำยที่วำงไว้อันประกอบด้วย หัวใจในกำรทำงำน
อยู่ที่ลูกศิษย์ควำมมุ่งมั่นทำงำน เพื่อเด็กทำงำนด้วยควำมต้องกำรจำกภำยใน มีพลังในกำรทำงำน
เชอ่ื ในควำมสำมำรถและเปิดโอกำสให้เด็กได้พฒั นำ และกำรให้ควำมสำคัญกบั กำรปลูกจติ สำนึกที่ดี
4. ปฏิบัติต่อเด็กด้วยควำมรักและควำมเมตตำ คือ มิติของพฤติกรรมที่แสดงออกถึง
กำรเป็นครูผมู้ ีจิตวญิ ญำณควำมเปน็ ครู อันประกอบด้วย กำรแสดงควำมรกั และควำมเมตตำต่อเด็ก
สังเกต และเอำใจใส่เด็กใช้เหตุผลในกำรลงโทษเด็ก ยึดหลักเสมอภำค และปฏิบัติต่อเด็กอย่ำง
เท่ำเทียม
จติ วิญญำณควำมเปน็ ครูน้ัน เป็นคณุ ลกั ษณะทีแ่ สดงถึงพฤติกรรมเชิงประจกั ษ์ น่ำชื่นชม
และเปน็ ทีย่ อมรบั ในกำรปฏิบัติหนำ้ ทีค่ รู ท้ังทีเ่ ป็นทำงกำรและไม่เปน็ ทำงกำรดว้ ยคณุ ธรรม จริยธรรม
และควำมปรำรถนำดีมีควำมเข้ำใจ ที่จะพัฒนำศิษย์ตำมศักยภำพพร้อมกับตระหนักถึงกำรพัฒนำ
อย่ำงองค์รวม ด้วยควำมจริงใจเสียสละใฝ่รู้ค้นหำ สร้ำงสรรค์ถ่ำยทอด ปลูกฝัง และเป็นแบบอย่ำงที่
ดีของสังคม เป็นผู้ที่มีควำมรู้ พัฒนำตนเอง มีควำมคิดสร้ำงสรรค์ ทันเหตุกำรณ์ รักและศรัทธำใน
วิชำชีพครมู คี วำมเสียสละ มีคุณธรรม จริยธรรม กำรพฒั นำให้ผู้ประกอบวิชำชีพครู และนักศึกษำครู
ในสถำบันผลิตครูมจี ติ วิญญำณควำมเป็นครูจะเป็นส่วนที่มีควำมสำคัญให้กำรประกอบวิชำชีพครู มี
ควำมสมบรู ณ์ ในกำรพัฒนำศษิ ย์ และเป็นไปตำมมำตรฐำนวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ
สรปุ ได้วำ่ จิตวญิ ญำณควำมเปน็ ครู หมำยถึง ควำมตระหนกั ถึงกำรแสดงออกที่ดีของครทู ี่
มีจิตใจลักษณะเฉพำะในกำรหย่ังรู้และปฏิบัติคุณงำมควำมดี กำรรู้จักผิดชอบช่ัวดีมีจิตใจสูงขึ้นใน
กำรปฏิบัติหนำ้ ทีค่ รู ท้ังทีเ่ ปน็ ทำงกำร และไม่เป็นทำงกำร ด้วยคุณธรรม จริยธรรม ด้วยควำมจริงใจ
และเสียสละใฝ่รคู้ ้นหำ สร้ำงสรรค์ถ่ำยทอด ปลกู ฝัง และเปน็ แบบอย่ำงทีด่ ีของสังคมจนเป็นที่ยอมรับ
และสร้ำงควำมศรัทธำในเร่อื งใดเร่อื งหนึง่ จนสำมำรถกำรถ่ำยทอดคุณงำมควำมดที ีป่ ฏิบตั ิให้แก่ศิษย์
59
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
การพัฒนาจติ วิญญาณความเปน็ ครู
กำรพฒั นำจติ วิญญำณของควำมเป็นครู ควรต้องคำนึงถึงควำมต้องกำรและควำมคำดหวัง
ทีม่ ตี ่อกำรทำงำนของตนใหป้ ระสบผลสำเร็จ โดยจะมีแนวทำงและวิธีกำรในกำรสร้ำงควำมสำเร็จใน
หนำ้ ที่กำรงำนที่แตกต่ำงกันไป บำงท่ำนชอบเอำใจและหำวิธีกำรต่ำงๆ เพื่อสร้ำงควำมพึงพอใจจำก
หัวหน้ำงำนหรือผู้เข้ำรับบริกำร เพรำะคิดว่ำสำมำรถสนับสนุนควำมสำเร็จที่เกิดขึ้นให้กับตนเองได้
แต่บำงท่ำนประสบควำมสำเร็จได้จำกกำรสนับสนุนของผู้ร่วมงำน โดยพยำยำมทำทุกวิถีทำงให้
สมำชิกรักใคร่ เพื่อจะได้สนับสนุนให้ตนเองประสบควำมสำเร็จ และก็ยังมีอีกหลำยต่อหลำยคนที่มี
ควำมตอ้ งกำรและควำมมงุ่ หวังที่จะให้หน้ำที่ กำรงำนของตนประสบควำมสำเร็จ ด้วยควำมสำมำรถ
และฝมี อื ของตวั เอง ควำมสำเรจ็ ด้วยฝมี อื ของเรำเองจะเปน็ สิง่ ทีน่ ำ่ ภำคภมู ใิ จทีส่ ดุ ในชวี ิต
ธรรมนันทิกำ แจ้งสว่ำง และคณะ (2555) ได้ศึกษำประสบกำรณ์ของกำรเป็นครูผู้มี
จติ วิญญำณควำมเปน็ ครู : กำรศกึ ษำเชงิ ปรำกฏกำรณว์ ิทยำ พบว่ำ ประสบกำรณ์ของกำรเป็นครูผู้มี
จติ วิญญำณควำมเปน็ ครแู บ่งเปน็ 3 ช่วงคอื
ช่วงแรก ช่วงพัฒนำสู่กำรเป็นครู ช่วงกำรเป็นครูผู้มีจิตวิญญำณควำมเป็นครู และช่วง
กำรคงอยู่ของกำรเปน็ ครผู มู้ ีจิตวญิ ญำณควำมเปน็ ครู
ช่วงที่สอง กำรเป็นครูผู้มีจิตวิญญำณควำมเป็นครูประกอบด้วย กำรตระหนักรู้ในควำม
เป็นครู กำรปฏิบัติตนบนวิถีควำมเป็นครู กำรมีเป้ำหมำยกำรทำงำนเพื่อเด็ก และกำรปฏิบัติต่อเด็ก
ด้วยควำมรกั และเมตตำ
ช่วงที่สำม กำรคงอยู่ของกำรเป็นครู ผู้มีจิตวิญญำณควำมเป็นครูประกอบด้วย ควำมสุข
ควำมภำคภมู ใิ จ ควำมผูกพันระหว่ำงครูกบั ศษิ ย์ และควำมศรทั ธำต่อบุคคลผทู้ รงคุณค่ำของแผน่ ดิน
นอกจำกนี้ ยังพบว่ำ โครงสรำ้ งประสบกำรณ์ของกำรเปน็ ครูผมู้ ีจิตวญิ ญำณควำมเป็นครู
มี 3 ช่วง ได้แก่
1. ช่วงพัฒนำสู่กำรเป็นครูผู้จิตวิญญำณควำมเป็นครู คือระยะที่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง
สภำวะทำงจิต และพฤติกรรมกำรทำงำนในอำชีพครูไปสู่สภำวะทำงจิต และพฤติกรรมของกำรเป็น
ครู ผู้มีจิตวิญญำณควำมเป็นครู โดยมูลเหตุที่เกี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลง เรียกว่ำ “ส่วนที่เสริมสร้ำง
กำรพัฒนำสู่กำรเป็นครูผู้มีจิตวิญญำณควำมเป็นครู” ได้แก่ กำรมีตัวแบบจิตวิญญำณควำมเป็นครู
แรงจูงใจในกำรเข้ำสู่อำชีพครู มีประสบกำรณ์กำรได้เผชิญและพบเห็นสภำพชีวิตที่ยำกลำบำก
ควำมผูกพันระหว่ำงครูกับศิษย์ และคุณลักษณะพื้นฐำนทำงจิตวิทยำ ได้แก่ ศรัทธำต่อบุคคล
ผทู้ รงคุณค่ำของแผน่ ดิน กำรเข้ำถึงควำมเข้ำใจตนเอง กำรเข้ำใจผอู้ ื่น และกำรเข้ำถึงคณุ ค่ำทำง
60
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
จิตใจมำกกว่ำวัตถุ ทั้งนี้กำรมีตัวแบบจิตวิญญำณควำมเป็นครู และกำรมีควำมสัมพันธ์ที่ดีระหว่ำง
ครูกบั ศษิ ย์ ประกอบกบั มีประสบกำรณ์กำรได้เผชิญและพบเห็นสภำพชีวิตที่ยำกลำบำก เป็นเง่ือนไข
กระตุ้น ทำให้ครูผู้ให้ข้อมูลเกิดกำรรับรู้ต่อคุณค่ำกำรทำงำนในอำชีพครู (ตระหนักรู้ในควำมเป็นครู)
และเปลี่ยนแปลงเป้ำหมำยกำรทำงำน จำกเดิมที่ตนเองตั้งไว้ไปสู่เป้ำหมำยในกำรทำงำนเพื่อเด็ก ซึ่ง
นำกำรเรียนรู้คุณค่ำ และกำรเปลี่ยนแปลงเป้ำหมำยดังกล่ำวมำสู่กำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน
กำรทำงำนในอำชีพครพู ัฒนำสู่กำรเป็นครูผู้มีจิตวญิ ญำณควำมเปน็ ครู
2. ช่วงกำรเป็นครูผมู้ ีจิตวญิ ญำณควำมเปน็ ครู คือ เกิดสภำวะทำงจติ และพฤติกรรม
ของกำรเป็นครูผู้มีจิตวิญญำณควำมเป็นครูขึ้นภำยในตัวบุคคล โดยสภำวะทำงจิต ประกอบด้วย
กำรตระหนักรู้ในควำมเป็นครู และกำรมีเป้ำหมำยกำรทำงำนเพื่อเด็ก ส่วนพฤติกรรมที่แสดงออก
ประกอบด้วย กำรปฏิบัติบนวิถีแห่งควำมเป็นครู และปฏิบตั ิตอ่ เดก็ ด้วยควำมรกั และควำมเมตตำ
3. ช่วงกำรคงอยู่ของกำรเป็นครผู มู้ ีจิตวญิ ญำณควำมเป็นครู คือ ระยะทีส่ ภำวะทำงจติ
และพฤติกรรมของกำรเป็นครูผู้มีจิตวิญญำณ ควำมเป็นครูคงอยู่ในตัวบุคคล ที่มีมูลเหตุเรียกว่ำ
“ส่วนที่ช่วยค้ำจุนกำรเป็นครูผู้มีจิตวิญญำณของควำมเป็นครู” อันได้แก่ ควำมสุข ควำมภำคภูมิใจ
ควำมผูกพนั ระหว่ำงครูกบั ศษิ ย์ และศรัทธำต่อบคุ คลผทู้ รงคุณค่ำของแผน่ ดิน ซึ่งท้ังหมดน้ี ก่อใหเ้ กิด
แรงสนับสนุนทำงด้ำนจิตใจ (Psychological Sense of Support) ต่อกำรดำรงอยู่ในบทบำทของครู
และกำรคงอยู่ของกำรเป็นครูผมู้ ีจิตวญิ ญำณควำมเป็นครู
นอกจำกนี้ วัลนิกำ ฉลำกบำง (2559) ยังได้กล่ำวถึงผลของกำรมีจิตวิญญำณควำม
เป็นครจู ะก่อใหเ้ กิดผลต่อตวั ครู ดงั ต่อไปนี้
1. ช่วยพัฒนำหรือยกระดับควำมคิดและทกั ษะที่จำเป็นในกำรสอน
2. มีศีลธรรม คณุ ธรรม และมีควำมรบั ผดิ ชอบมำกขึ้น
3. มีควำมยืดหยุ่น และเข้ำใจในควำมเปลี่ยนแปลงมำกขึ้น
4. มองนักเรียนว่ำมีศกั ดิ์ศรีควำมเปน็ มนษุ ย์ และมีศักยภำพ
5. มีแรงจงู ใจใหแ้ สดงภำวะผนู้ ำออกมำเพิม่ ขนึ้
6. มีควำมสขุ และมีควำมภำคภมู ใิ จในอำชีพครู
7. ได้รับกำรยอมรบั และควำมศรัทธำจำกผู้พบเห็น
61
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ธวชั ชยั เพ็งพินิจ (2558) ได้เสนอกำรพฒั นำจติ วิญญำณที่จะช่วยในกำรเสริมสร้ำง
ควำมดีอันเจริญงอกงำมให้มีต่อบุคคลอย่ำงยั่งยืน น้ันจะต้องมีควำมเจริญและสมดุล ทั้งด้ำนควำม
เฉลียวฉลำดทำงสติปัญญำ เกิดจำกกำรศึกษำค้นคว้ำ วิเครำะห์พินิจ พิจำรณำสร้ำงควำมรู้ให้มีขึ้น
ในตนเอง ส่วนควำมฉลำด ทำงอำรมณ์นั้นเกิดจำกกำรฝึกฝนและพัฒนำภำยในตัวตนของบุคคล
ซึ่งคนที่มีควำมเฉลียวฉลำดทำงปัญญำสูงหรือ มีอัจฉริยภำพเพียงอย่ำงเดียวนั้น อำจไม่ประสบ
ควำมสำเรจ็ ในชีวติ ได้เพรำะภำวะสงั คมทีเ่ ป็นพิษ ทำให้จิตใจคนแปรเปลีย่ นไป สมองเฉื่อยชำ ไม่รู้จัก
จัดระบบให้กับตัวเอง ท้ังนี้คนที่ประสบควำมสำเร็จในชีวิตควำมฉลำดทำงอำรมณ์ มักจะนำควำม
เฉลียวฉลำดทำงสติปัญญำ ดังน้ันในควำมเป็นครทู ้ังสองน้ีตอ้ งสมดุลกนั มฉิ ะนั้นจะเป็นไปได้ยำกที่จะ
พัฒนำผู้อื่นได้ นอกจำกนั้นกำรพัฒนำจิตวิญญำณควำมเป็นครู สถำบันผลิตครูพึงคำนึงถึงกำร
พฒั นำกำรปฏิบัติหนำ้ ทีค่ รใู ห้มีควำมสมบูรณ์เท่ำทันวิทยำกำรที่เปลี่ยนไป
เปรม ติณสูลำนนท์ (2560) อธิบำยถึงลักษณะของ “ครู” ว่ำ ครูมีหลำยแบบ มีทั้งครูอำชีพ
ครูมอื อำชีพ และอำชีพครู ซึ่งแต่ละแบบกม็ ีควำมแตกต่ำงกนั “อำชีพคร”ู คือ ครูทีใ่ ชว้ ิชำทีร่ ่ำเรียน
มำเป็นเคร่ืองมือในกำรเลี้ยงชีพ ไม่ได้เป็นครูด้วยควำมรักสมัครใจ แค่สอนจบไปวันๆ ศิษย์จะเข้ำใจ
หรอื ไม่ก็ไม่สนใจ ขอให้มเี งินเดือนตำมวิทยฐำนะก็พอ สว่ น “ครมู ืออำชีพ” ก็คือครทู ีส่ อนเก่งมเี ทคนิค
ต่ำงๆ ในกำรสอนดี ซึ่งถือว่ำเป็นเร่ืองที่ดี แต่ “ครูอำชีพ” กลุ่มนี้คือผู้ที่มีจิตวิญญำณควำมเป็นครู
เป็นครูด้วยจิตและวิญญำณ โดยยึดตัวลูกศิษย์เป็นศูนย์กลำง ห่วงใย อำทรลูกศิษย์ ทำทุกวิถีทำง
เพื่อให้ศษิ ย์เปน็ คนดี
ระพี สำคริก (2551) ได้ปำฐกถำเร่ือง “ผู้บริหำรกับวิญญำณควำมเป็นครู” ณ สถำบัน
บัณฑติ พัฒนบริหำรศำสตร์ (นิดำ้ ) ในวนั ที่ 6 สิงหำคม 2551 ว่ำ
วิญญาณความเป็นครเู ปน็ สิ่งที่ธรรมชาติได้มอบมาใหแ้ ก่วิถีการดาเนนิ ชวี ิต
ของทุกคน เพือ่ หวงั สร้างสรรคส์ ติปญั ญาให้กับตวั เอง รวมท้ังถ่ายทอดสู่ชน
รุ่นหลังแต่มีบางคนที่รากฐานจติ ใจอ่อนแอจนกระท่ังไม่อาจสู้กับกิเลสของเพื่อนมนุษย์
ซึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมของผลการจัดการใหม้ ัน่ คงอยู่ได้จงึ จาต้องสูญเสียสิง่ อนั ทรงคุณค่า
แก่ชีวติ ตัวเองไปอย่างเป็นธรรมชาติ ดงั นนั้ วิญญาณความเป็นครจู งึ หาใช่สง่ิ ทีก่ ิเลสของ
มนษุ ย์เป็นผู้กาหนดข้ึนมาเอง เช่นการกาหนดให้บคุ คลออกมาแสดงเป็นตวั ละครทีส่ มมตขิ นึ้
บนเวทีของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทาใหส้ ิ่งอันทรงคุณค่าแก่ชวี ิตตวั เองและเยาวชน
คนรุ่นหลงั ถูกทาลายไปอย่างนา่ เสียดายที่สุดไม่
62
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ทัศนำ ประสำนตรี (2561) ได้สรุปกำรปลกู ฝังจิตวิญญำณควำมเปน็ ครู ได้ 7 ด้ำน ดังน้ี
1. ด้ำนควำมรัก ควำมเมตตำต่อศิษย์ ควรปลูกฝังให้ครูมีใจผูกพันด้วยควำมห่วงใยศิษย์
สำมำรถแนะนำให้กำลงั ใจแก่ศิษย์ทุกคนได้ มีจิตใจโอบอ้อมอำรี ควำมรักต่อศิษย์
2. ด้ำนควำมรบั ผดิ ชอบ ควรปลกู ฝังให้ครูมคี วำมรับผดิ ชอบ คือ กำรยอมรับผลทั้งที่ดีและไม่
ดีในกิจกำรที่ตนได้ทำลงไปหรอื ทีอ่ ยู่ในควำมดูแลของตน
3. ด้ำนควำมรักและศรัทธำในวิชำชีพครู ควรปลูกฝังให้ครูมีควำมเชื่อถือ ควำมเลื่อมใสและ
ควำมผกู พนั ด้วยควำมหว่ งใยต่อบคุ คลหรอื องค์กรวิชำชีพครู
4. ด้ำนคุณธรรม จริยธรรม ควรปลูกฝังให้ครูมีควำมขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ วินัย สุภำพ
สะอำด สำมคั คีและมีน้ำใจ
5. ด้ำนควำมเสียสละและควำมอดทน ควรปลูกฝังให้ครูมีควำมเสียสละ คือ กำรให้ครู
ยินยอมใหส้ ิง่ ของทีต่ นมอี ยู่ให้กับศิษย์ เพื่อนครู ผู้บริหำร ผู้ปกครอง ผู้อื่นหรือส่วนรวม สำหรับควำม
อดทนเป็นกำรปลูกฝงั ให้ครูยอมรบั สภำพควำมยำกลำบำก ในสิ่งที่ไม่เป็นที่พอใจหรือต่ออำรมณ์หรือ
ถ้อยคำทีท่ ำให้เจ็บแค้นใจ
6. ด้ำนกำรมีมนุษยสัมพันธ์ ควรปลูกฝังให้ครู กำรรู้จักตน กำรเข้ำใจผู้อื่น และกำรมี
สภำพแวดล้อมทีด่ ี
7. ด้ำนกำรเป็นแบบอย่ำงที่ดีต่อศิษย์ ควรปลูกฝังให้ครูเป็นแบบอย่ำงที่ดี คือ กำรให้ครู
ประพฤติตนเปน็ ตวั อย่ำงที่ดีทั้งทำงกำย วำจำและจติ ใจ
จติ สำนึกและวญิ ญำณครู เริม่ ตน้ ที่กำรสร้ำงศรัทธำ คำว่ำ ศรทั ธำ คอื
ประกำรแรก คือ ศรัทธำต่อตนเอง ตอ้ งเชือ่ และศรทั ธำในควำมรู้ควำมสำมำรถของตนเองว่ำ
จะเป็นครูที่ดีได้ เป็นตัวอย่ำงให้กับสังคมได้ กระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหำควำมรู้จำกแหล่งควำมรู้ต่ำงๆ
และวิเครำะหค์ ัดสรรควำมรู้มำใช้ประโยชน์ได้ และมีควำมเชื่อมั่นว่ำตนเองสำมำรถสร้ำงภำพลักษณ์
ของครูทีด่ ีได้
ประกำรที่สองคอื ศรทั ธำต่ออำชีพครู รกั ษำเกียรตแิ ละศักดิศ์ รแี หง่ ควำมเป็นครูที่เป็นวิชำชีพ
ช้ันสงู เหน็ คณุ ค่ำของวิถีชีวติ ทีเ่ ป็นครู
ประกำรที่สำมคือ ศรัทธำต่อองค์กร รักษำชือ่ เสียงของสถำนศกึ ษำ และองค์กรวิชำชีพครู
ประพฤติและปฏิบัติตำมมำตรฐำน และจรรยำบรรณของวิชำชีพครู ถ้ำครูทุกคน และครูของ
ครทู ุกคนมคี วำมศรทั ธำเปน็ จดุ เริม่ ต้น จติ สำนึกและวิญญำณของควำมเปน็ ครู และส่งิ ทีด่ ีทีเ่ ป็น
63
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
แบบอย่ำงของสังคมได้ก็จะขยำยและถ่ำยทอดไปสู่เยำวชนช่ัวลูกชั่วหลำน เสมือนกับผู้นับถือศำสนำ
ไม่ว่ำศำสนำใดจดุ เริ่มกอ็ ยู่ที่ควำมศรทั ธำ เมื่อศรัทธำก็ประกำศตนเปน็ ผนู้ บั ถือศำสนำนั้น และปฏิบตั ิ
ตำมคำส่ังสอนของศำสนำ คัมภีร์หรือพระธรรมวินัยต่อไป เม่ือครูศรัทธำต่อวิชำชีพครูจะทำให้เกิด
พลังแหง่ ควำมมุ่งมั่น สร้ำงสรรคว์ ิชำชีพครใู ห้เปน็ วิชำชีพช้ันสงู
“ครูที่มีจิตวิญญำณควำมเป็นครู” ปฏิบัติหน้ำที่และพัฒนำตนเองอย่ำงต่อเน่ืองระมัดระวัง
กำรประพฤติปฏิบตั ิใหอ้ ยู่ในหลกั ศลี ธรรมและจรรยำบรรณวิชำชีพ ซึง่ ลกั ษณะ ดงั กล่ำว จะนำไปสู่
กำรเป็น “ครูมืออำชีพ” ควรมีลักษณะ 3 ประกำร ดังนี้ 1) แสวงหำควำมรู้ พัฒนำตนเองตลอดเวลำ
เน้นเจตนำทีจ่ ะให้ผู้รว่ มงำนประสบควำมสำเรจ็ ด้วยกนั 2) ควำมปรำรถนำดี เป็นควำมคิดที่อยู่เหนือ
ระดบั เหตผุ ลและตรรกะ เปน็ ควำมคดิ ที่มำจำกจิตวิญญำณหรือจิตใต้สำนึก 3) สร้ำงควำมเชื่อม่ันใน
ตนเอง มุ่งม่ันในกำรทำงำน และศรัทธำในผลสำเร็จที่เกิดจำกกำรปฏิบัติงำน หำกครูปฏิบัติงำนด้วย
จิตใจที่มุ่งมั่น และประพฤติตนตำมหลักจรรยำบรรณวิชำชีพ โดยที่ครูจะต้องดำเนินกำรเรียนกำร
สอนโดยกำรยึดจรรยำบรรณตอ่ วิชำชีพ ต่อผู้เรยี น และต่อตนเอง
สรุป ผู้มีจิตวิญญำณควำมเป็นครู คือผู้ที่ควำมตระหนักรู้ในกำรปฏิบัติตนอยู่บนวิถีของ
กำรสอนที่เต็มเปี่ยมด้วยควำมรักและควำมเมตตำ มีควำมรับผิดชอบต่ออำชีพครู และมองเห็น
คณุ ค่ำในอำชีพครู มีควำมเช่อื และศรทั ธำในวิชำชีพครู ชแี้ นะแนวทำงทีถ่ กู ต้องพร้อมกบั กำรดำรงตน
ให้เป็นแบบอย่ำงที่ดีด้วยจิตวิญญำณควำมเป็นครู ที่ต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีแห่ง
วิชำชีพครู เพือ่ สร้ำงควำมเชอ่ื มน่ั ศรทั ธำในวิชำชีพครูและเปน็ แบบอย่ำงที่ดีของสงั คม
การพฒั นาวชิ าชีพครูในศตวรรษที่ 21
ครู คือบคุ คลด่ำนหน้ำในกำรพัฒนำคุณภำพผู้เรียน จึงมีควำมจำเป็นที่ต้องมีกำรพัฒนำครู
และเตรียมครูที่จะเข้ำสู่วิชำชีพให้มีสมรรถนะสูงตำมสภำพสังคมมีกำรเปลี่ยนแปลง เพรำะครูต้อง
พัฒนำผู้เรียนให้สำมำรถเผชิญสถำนกำรณ์ต่ำงๆ ได้ท้ังในปัจจุบันและอนำคต ครูจึงจำเป็นต้อง
ปรับตัวให้พร้อม และพัฒนำตนเองให้ทันยุคที่เปลี่ยนไป อีกทั้งต้องมีควำมกระตือรือร้นที่จะพัฒนำ
ด้ำนวิธีวิทยำกำรจัดกำรเรียนรู้ให้ทันสมัยเพื่อให้เกิดกำรพัฒนำเทคนิค วิธีกำรเรียนกำรสอนแบบ
ใหม่ๆ กับเด็กรุ่นใหม่ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ รวมถึงกำรนำนวัตกรรมมำใช้ในกำรเรียนกำรสอน โดย
ครูต้องเตรียมควำมพร้อม เพื่อส่งเสริมพัฒนำกำรของเด็กตำมควำมชอบควำมถนัดอย่ำงเต็มตำม
ศักยภำพของผู้เรียน เป็นคนดีมีปัญญำ มีควำมสุข มีศักยภำพในกำรศึกษำต่อ และประกอบอำชีพ
ส่งผลต่อคุณภำพกำรศึกษำ และมำตรฐำนทำงวิชำชีพและกำรสร้ำงขวัญกำลังใจในวิชำชีพก้ำวสู่
ควำมเปน็ ครูมืออำชีพ (Professional Teacher) ที่แท้จริงต่อไป
64
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ความสาคัญของการพัฒนาวิชาชีพครู
แผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบับที่สิบสอง (พ.ศ. 2560-2564) ถือเป็น
แผนแมบ่ ทหลักในกำรพัฒนำประเทศ กำรปรับเปลี่ยนค่ำนิยมคนไทยให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัย
จิตสำธำรณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ พัฒนำศักยภำพคนให้มีทักษะควำมรู้ และควำมสำมำรถ
ในกำรดำรงชีวิตอย่ำงมีคุณค่ำ ยกระดับคุณภำพกำรศึกษำและกำรเรียนรู้ตลอดชีวิต แผนพัฒนำ
กำรศกึ ษำของกระทรวงศกึ ษำธิกำร ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ได้มีกำรกำหนดยุทธศำสตร์ และ
วำงเป้ำหมำยที่สำมำรถตอบสนองกำรพัฒนำที่สำคัญในด้ำนกำรผลิตและพัฒนำครู ในยุทธศำสตร์
ที่ 2 ยุทธศำสตร์ผลิต พัฒนำครู คณำจำรย์และบุคลำกรทำงกำรศึกษำที่มุ่งหวังให้มีกำรผลิตครู
ได้สอดคล้องกับควำมต้องกำรในกำรจัดกำรศึกษำทุกระดับ ทุกประเภท และมีสมรรถนะ
ตำมมำตรฐำนวิชำชีพ สำมำรถใช้ศักยภำพในกำรสอนได้อย่ำงเต็มที่ ซึ่งตอบสนองกำรพัฒนำในด้ำน
คุณภำพ (สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ (2560 ข.)
จำกที่กล่ำวมำกำรพัฒนำวิชำชีพครูให้มีคุณภำพ คือ ควำมรู้ ควำมชำนำญทำงวิชำชีพ มี
นักวิชำกำรศกึ ษำได้เขียนถึงกำรพัฒนำวชิ ำชีพครไู ว้หลำยท่ำนดังนี้
วิชำชีพครูเป็นวิชำชีพช้ันสูง (Professional) ดังนั้นสิ่งที่ผู้เป็น “ครู” จะต้องมีคือ ควำมรู้
ควำมชำนำญทำงวิชำชีพ จำกกำรศึกษำค้นคว้ำ แล้วนำผลมำพัฒนำปรับปรุงกระบวนกำรเรียน
กำรสอนอีกทั้งเป็นกำรพัฒนำควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำกำร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อกำรประกอบวิชำชีพครู
และอำจำรย์ ดังผลกำรวิจัยของ ศรุดำ ชัยสุวรรณ (2550) ที่ศึกษำวิจัยพบว่ำ ควำมก้ำวหน้ำทำง
วิชำกำรมีควำมสำคัญ ควำมจำเป็น จะมีควำมภูมิใจในตนเอง รวมท้ังได้รับควำมน่ำเชื่อถือ และ
เป็นที่ยอมรับของสังคมมำกกว่ำคนที่ไม่มีตำแหน่งทำงวิชำกำร อีกท้ังตำแหน่งทำงวิชำกำรเป็น
เคร่ืองแสดงวิทยฐำนะว่ำครู อำจำรย์มีควำมรู้เพิ่มขึ้น จำกกำรที่ต้องค้นคว้ำเขียนตำรำ ทำงำนวิจัย
และมีควำมสำคัญต่อกำรประเมินคณุ ภำพกำรศกึ ษำ ทั้งนี้ วชิ ิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร (2553) ได้กล่ำวถึง
ควำมรู้ ควำมชำนำญทำงวิชำชีพ ทีค่ รู อำจำรย์ จะต้องมีอยู่ดว้ ยกัน 3 ประกำรคอื
1. ควำมรู้ที่แตกฉำนในวิชำที่รับผิดชอบในกำรสั่งสอนและถ่ำยทอดให้แก่นักเรียนหรือ
ผเู้ รียน
2. มีควำมรคู้ วำมชำนำญเป็น “เอตทัคคะ” ในกำรส่ังสอนและถ่ำยทอดวิชำควำมรู้
3. มีควำมสำมำรถในกำร “ปลูกฝงั ” บรรดำ “จติ สำนึก” ต่ำงๆ ที่ผู้เรยี นพึงจะได้รับ
65
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
กำรพัฒนำวิชำชีพ (Professional Development) เป็นกระบวนกำรและกิจกรรมที่ออกแบบ
เพื่อเพิ่มพูนควำมรู้ ทักษะ และเจตคติทำงวิชำชีพ เพื่อที่จะนำไปสู่กำรปรับปรุงกำรเรียนรู้ของ
นักเรียน กำรพฒั นำวิชำชีพครมู ลี ักษณะดงั น้ี (Guskey, 2000)
1. กำรพัฒนำวิชำชีพเป็นกระบวนกำรที่ตั้งใจไว้ เปน็ กระบวนกำรทีม่ ีวัตถุประสงค์ โดยมี
ข้ันตอนดงั น้ี
1.1 กำหนดวตั ถปุ ระสงค์และเป้ำหมำยทีช่ ัดเจน
1.2 เชอ่ื ม่นั ว่ำเป้ำหมำยนั้นมคี ุณค่ำ
1.3 กำหนดวิธีกำรทีจ่ ะประเมินเป้ำหมำย
2. กำรพัฒนำวิชำชีพเป็นกระบวนกำรทีต่ ่อเน่อื งเน่ืองจำกวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำเปน็ พลวัตร
ที่มีควำมรู้เพิ่มขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้นครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ จึงต้องจำเป็นต้องเรียนรู้อย่ำง
ต่อเน่อื งเพื่อให้มีควำมรทู้ นั ต่อวทิ ยำกำรใหมๆ่
3. กำรพฒั นำวิชำชีพเป็นกระบวนกำรที่เป็นระบบ และเกี่ยวข้องกันต้องอำศัยกำรเรียนรู้
แบบมีสว่ นร่วม (Cooperative Learning)
ผู้ประกอบวิชำชีพครู จำเป็นต้องพัฒนำตนเพื่อให้เท่ำทันกับกำรเปลี่ยนแปลงที่เป็นไป
อย่ำงตอ่ เนื่อง โดยมีทกั ษะกำรเปลี่ยนแปลงทีส่ ำคัญ คือ กำรสรำ้ งบรรยำกำศใหเ้ กิดควำมรู้สกึ หรอื
ทัศนคติทำงบวกในกำรจัดกำรกับกำรเปลี่ยนแปลง กำรแสวงหำควำมรู้เกี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลง
ตนเอง และกำรปรับปรุงตนเอง โดยแสวงหำกำรสนับสนุนจำกบุคคลในอำชีพเดียวกัน จุดเริ่มต้น
ของกำรพัฒนำตนของผู้ประกอบวิชำชีพครู คือ กำรประเมินควำมสำมำรถของตนเอง เพื่อนำไปสู่
กำรวำงแผนกำรพฒั นำอย่ำงรอบด้ำน (อรรณพ จีนะวฒั น์, 2559)
กำรพัฒนำครสู ู่ควำมเป็นครมู อื อำชีพ มีรปู แบบกำรพัฒนำครไู ว้ 5 รูปแบบ ประกอบด้วย
1. รูปแบบกำรพัฒนำตนเอง (Individually Guided) เป็นรูปแบบที่ครูเป็นผู้กำหนดควำม
ต้องกำรจำเปน็ ในกำรพัฒนำตัวเอง โดยใช้พื้นฐำนจำกควำมรู้ที่ครูมีอยู่ สำมำรถนำไปใช้ได้กับครูที่มี
เป้ำหมำยต่ำงกนั รปู แบบกำรพัฒนำประกอบด้วย กำรระบุควำมต้องกำร กำรพัฒนำแผนกำรเรียนรู้
กำรนำแผนกำรเรียนรไู้ ปใช้ปฏิบตั ิจริง และกำรประเมนิ ผลที่เกิดขึน้
2. รูปแบบกำรสังเกตและกำรประเมิน (Observation and Assessment) เป็นรูปแบบที่ให้
โอกำสครไู ด้สงั เกตและมีขอ้ มูลย้อนกลับ (Feedback) กับเพื่อนครคู นอืน่ ๆ ซึ่งจะให้ผลดีต่อท้ังผู้สังเกต
และผถู้ กู สังเกต โดยมีข้ันตอนดงั น้ี กำรประชุมก่อนกำรสังเกต กำรเข้ำสังเกตโดยมีกำรกำหนดกรอบ
กำรสงั เกต กำรวิเครำะหข์ ้อมูล กำรประชมุ หลงั กำรสังเกต และกำรประเมนิ ระบบกำรสงั เกตและ
66
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ประเมิน ทำให้เกิดผลกำรป้อนกลับและกำรวิเครำะห์ ซึ่งทำให้ได้ควำมรู้ใหม่จำกกำรปฏิบัติจริงด้วย
ตัวครูเอง แต่วิธีกำรนี้มักไม่ได้ผลดี ซึ่งจำกผลกำรวิจัยพบว่ำ รูปแบบนี้ทำให้ครูเปลี่ยนควำมเชื่อและ
พฤติกรรมกำรสอน แตไ่ ม่มกี ำรยืนยันผลกำรเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของผเู้ รียน
3. รูปแบบกำรมสี ่วนเกี่ยวข้องกบั กระบวนกำรพัฒนำ (Involvement in a Development
Process) เปน็ รูปแบบทีเ่ น้นกำรผสมผสำนกำรเรียนรู้ที่เกิดจำกประสบกำรณท์ ีค่ รูได้เข้ำไปมีสว่ นร่วม
ในกำรพัฒนำ เพรำะจะต้องมีกระบวนกำรที่ประกอบด้วย กำรระบุปัญหำหรือควำมต้องกำร
กำรพัฒนำแผนปฏิบัติกำร กำรเสำะแสวงหำควำมรู้หรือทักษะที่ต้องใช้ เพื่อนำแผนไปสู่
กำรปฏิบัติกำรดำเนินกำรตำมแผนหรือกำรพัฒนำ และกำรประเมินผล ซึ่งจะทำให้ครูเกิดกำรเรียนรู้
อย่ำงมปี ระสิทธิภำพ
4. รูปแบบกำรฝึกอบรม (Training) เป็นรูปแบบที่นิยมใช้กัน มีลักษณะเป็นกำรถ่ำยทอด
ควำมรู้ เป็นรปู แบบที่สง่ เสริมให้ครมู คี วำมรใู้ นเรอ่ื งต่ำงๆ ที่มีอิทธิพลต่อควำมเชื่อของครู สำมำรถนำ
ตัวแบบไปใช้เป็นเทคนิควิธีกำรสอนของตน ซึ่งควรเปิดโอกำสให้ครูได้มีส่วนร่วมในกำรวำงแผนจัด
โปรแกรมกำรฝึกอบรมรว่ มด้วย (โสภณ แย้มทองคำ, 2553)
5. รูปแบบกำรสืบเสำะค้นหำ (Inquiry) เป็นรูปแบบที่มุ่งให้ครูได้ศึกษำค้นคว้ำเพื่อกำร
ปรับปรุงแก้ไขปัญหำกำรเรียนกำรสอนในห้องเรียน ครูจะระบุประเด็นปัญหำเกี่ยวกับกำรเรียนกำร
สอนที่ตนสนใจ รวบรวมข้อมูลเพื่อค้นหำสำเหตุ สร้ำงนวัตกรรมกำรเรียนกำรสอนให้สอดคล้องกับ
สำเหตุของปัญหำ และดำเนินกำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมแนวคิดใหม่ที่พัฒนำขึ้น (สำนักงำน
เลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ, 2556)
อนำคตของวิชำชีพครูอำจเริ่มจำกนวัตกรรมกำรจัดกำรศึกษำแบบใหม่ เพื่อให้ตอบสนอง
โจทย์ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตำมบริบทในอนำคต ซึ่งอำจดำเนินกำรดังนี้ (ศรุดำ ชัยสุวรรณ,
2560)
1. กำรจดั กำรเรียนรู้ทีเ่ น้นกระบวนกำรเรียนรู้ใหม่ เพื่อให้ผู้เรยี นเกิดทักษะในศตวรรษที่ 21
2. ควำมรใู้ หม่ตอ้ งมเี นือ้ หำสำระทีใ่ หผ้ เู้ รียนรู้ควำมหมำย และเข้ำใจในคุณค่ำตลอดชีวิต มอง
อนำคตของตัวเองได้ เตรียมควำมพรอ้ ม เพือ่ กำรประกอบอำชีพ
3. กำรบริหำรจัดกำรให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งต้องกระจำยอำนำจกำรบริหำรให้มำกขึ้น
เชิญผู้ประกอบกำรและผู้เชี่ยวชำญมำสอนอำชีพ มีหลักสูตรเฉพำะพื้นที่ และมีระบบกำรจัดกำร
ทรัพยำกรธรรมชำติ
67
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
กำรพัฒนำวิชำชีพครูน้ัน Darling-Hammond และคณะ (Darling-Hammond et al., 2017)
ชี้ว่ำ กำรพัฒนำวิชำชีพชั้นสูงนั้น ต้องสร้ำงพื้นที่กำรเรียนรู้สำหรับครูในกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ
ร่วมมือกันภำยใต้บริบทกำรปฏิบัติงำนที่สัมพันธ์กับกลยุทธ์กำรสอนใหม่ๆ โดยมีเป้ำหมำยที่ผลลัพธ์
กำรเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่คณะทำงำนด้ำนกำรศึกษำของ European Commission เสนอว่ำ
กำรพัฒนำวิชำชีพ ครูต้องใช้แนวคิดเชิงระบบที่สัมพันธ์กับช่วงวัยของวิชำชีพ (Stage of Profession)
และเส้นทำงกำรเรียนรู้ ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Pathway) ตั้งแต่กำรคัดเลือกคนมำเรียนครู
(Candidate Teacher Student) กำรเป็นนักศึกษำฝึกหัดครู (Teacher Student) กำรคัดคนเข้ำสู่วิชำชีพ
(Candidate Teacher) กำรเป็นครูใหม่ (Beginning Teacher) กำรเป็นครูปฏิบัติกำร (Teacher) และครู
ที่มีวิทยฐำนะ (Master Teacher) ซึ่งกำรเรียนรู้ตลอดเส้นทำงวิชำชีพนี้ต้องมีกำรกำหนดระดับ
สมรรถนะ (Competences) เพื่อให้ครู เรียนรู้และพัฒนำตนเองให้สูงขึ้นอย่ำงต่อเนื่องตำมช่วงวัยของ
วิชำชีพ ดังน้ันกำรพัฒนำวิชำชีพครูเชิงระบบ จึงจำเป็นต้องนำแนวคิดเส้นทำงกำรเรียนรู้เชิงวิชำชีพ
ตลอดช่วงวัยของครูมำเป็นแกนในกำรพิจำรณำกำหนดนโยบำย ออกแบบระบบ และกลยุทธ์
กำรพัฒนำด้วย (European Commission, 2013)
ครูรุ่นใหม่ควรมีควำมสำมำรถในกำรจัดกระบวนกำรเรียนกำรสอนในแนวใหม่ๆ สำมำรถ
ชี้แนะให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง พัฒนำให้มีควำมสำมำรถในกำรคิดวิเครำะห์ มีควำมรับผิดชอบ
มีจิตสำนึกต่อสังคมและรู้จักที่จะสร้ำงสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับสังคมได้มำกขึ้น กระบวนกำรของสังคม
ยุคใหม่เป็นกระบวนกำรที่ครูไม่สำมำรถจะใช้วิธีกำรแบบเดิม เช่น กำรบรรยำย กำรบอกควำมรู้
เพื่อให้เดก็ เกิดกำรแสวงหำให้เกิดกำรเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ เพื่อให้ได้ครูที่มีคุณลักษณะสอดคล้องกับ
หนำ้ ที่ควำมรบั ผดิ ชอบในกำรจดั กระบวนกำรเรียนรู้แบบครูรุ่นใหม่ (ไพฑรู ย์ สินลำรัตน์, 2556)
จุดเริ่มต้นของกำรพัฒนำตนของผู้ประกอบวิชำชีพครูก็คือ กำรประเมินว่ำตนเอง มีควำม
สำมำรถที่แท้จริงในเร่ืองใดบ้ำง จะต้องพัฒนำเพิ่มเติมเร่ืองใด พัฒนำต่อยอดเร่ืองใด ซึ่งควรมี
กำรศึกษำค้นคว้ำเพิ่มเติม แล้ววำงแผนนำสู่กำรปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มีนักวิชำกำรจำนวนมำก
(Kellough, 2000; Moore, 2001; Sullivan & Glanz, 2005) ได้เสนอคุณลักษณะที่แสดงถึงควำม
สำมำรถทีผ่ ู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ ซึง่ หมำยรวมถึงผปู้ ระกอบวิชำชีพครคู วรมีตวั อย่ำงเช่น
1. เป็นนำยหน้ำ (Broker) ทำงกำรศึกษำที่จะนำเสนอ ดูแล จัดหำ ผลประโยชน์จำก
กำรศึกษำให้แก่ ผู้เรียน นำเสนอวิธีกำรเรียนรู้ที่สอดคล้องกับควำมต้องกำรของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียน
เกิดควำมสขุ ในกำรเรียนรู้ มเี จตคติที่ดีตอ่ กำรเรียนรู้ และเรยี นรู้อย่ำงมคี วำมหมำย
68
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
2. เป็นผู้รอบรู้ในเนื้อหำสำระที่เกี่ยวกับกำรเรียนกำรสอน ซึ่งควำมรอบรู้นี้จะต้องรู้ทั้ง
พืน้ ฐำนของวิชำ และควำมรใู้ นปัจจุบนั รวมท้ังข้อเทจ็ จริง หลกั กำร แนวคิด และทักษะของวิชำ
3. เป็นผู้มคี วำมเข้ำใจอย่ำงลกึ ซงึ้ ถึงกระบวนกำรเรียนรู้ ว่ำกระบวนกำรใดเหมำะสมกับเด็ก
คนใด หรอื กลุ่มใด เน้ือหำใดควรใช้กระบวนกำรเรียนรู้แบบใด
4. เป็นผู้บริหำรจัดกำรห้องเรียน และแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ได้อย่ำงเป็นระบบทั้งรำยวิชำ
รำยภำค รำยสัปดำห์ และแตล่ ะช่ัวโมงทีส่ อน
5. เป็นผู้เชื่อมโยงกำรจัดกำรเรียนรู้กับควำมต้องกำรจำเปน็ ของเด็กแต่ละคนได้ และช่วยให้
เดก็ สำมำรถเชื่อมโยงหวั ข้อกำรเรยี นรู้เข้ำกับชีวติ ของตนได้ อีกท้ังพัฒนำสมรรถนะที่สัมพันธ์กับกำร
พัฒนำกำรเรียนรู้ของเดก็
6. เป็นผู้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่ำงที่ดีในกำรดำรงชีวิต มีควำมเสมอต้นเสมอปลำย ตรงต่อ
เวลำ ปฏิบตั ิงำนแลว้ เสรจ็ ตำมเวลำ กระตอื รือร้นในกำรร่วมมือร่วมใจปฏิบัติงำนกำรศึกษำ นับถือให้
เกียรติผู้อื่น ดำรงรักษำจิตใจให้มีควำมเมตตำ คิดอย่ำงมีวิจำรณญำณ ใช้ทักษะในกำรสื่อสำร
สัมพันธ์กบั นักเรียน ผปู้ กครองและผู้เกี่ยวข้อง ซึง่ พฤติกรรมเหล่ำนจี้ ะเปน็ ตัวแบบทีด่ ใี ห้กับสังคม
7. เป็นผู้ใส่ใจเกี่ยวกับสิทธิเด็ก โดยมีพฤติกรรมดังน้ี
7.1 สร้ำงบรรยำกำศแห่งควำมปลอดภยั และสุขภำพอนำมยั ทำงกำยและจติ วิทยำ
7.2 สร้ำงบรรยำกำศแห่งควำมเป็นมิตรให้นักเรียนรู้สึกอบอุ่น ม่ันคง และเป็นสุขที่จะ
เรียนรู้ เพือ่ พฒั นำเจตคติในทำงบวก และกำรมวี ินัยในตนเอง
7.3 สร้ำงควำมเชอ่ื ม่ันให้แก่นกั เรียนทุกคนใหเ้ กิดควำมรู้สกึ ว่ำทุกคนสำมำรถเรียนรไู้ ด้
7.4 มีควำมรู้สึกไวต่อกำรเปลี่ยนแปลงของเด็ก ซึ่งอำจต้องกำรควำมช่วยเหลืออย่ำง
รีบด่วนและ ทนั ท่วงที
7.5 พัฒนำทักษะในกำรประเมินควำมก้ำวหน้ำของนักเรียน และใช้ผลกำรประเมินใน
กำรพัฒนำ เด็กอย่ำงตอ่ เนื่อง
8. เป็นผู้พัฒนำตนเองให้มีอำรมณ์ขัน และมีส่วนร่วมสร้ำงอำรมณ์ขัน เพรำะอำรมณ์ขันไม่
เพียงเปน็ สิง่ กระตนุ้ ให้เกิดกำรดำรงชีวติ ที่มีคุณภำพเท่ำนั้น ยังสร้ำงสรรค์และพัฒนำกำรคิดระดับสูง
ได้อกี ด้วย
9. เป็นผู้ยอมรับกำรเปลี่ยนแปลง เต็มใจที่จะทำสิ่งใหม่ๆ แสดงควำมรับผิดชอบ รับรู้และ
เข้ำใจได้ว่ำค่ำนิยมที่ได้รับกำรถ่ำยทอดมำด้ังเดิมเป็นของมีค่ำ แต่ค่ำนิยมในกำรเปลี่ยนแปลงก็สร้ำง
คณุ ค่ำในชีวติ เชน่ กนั
69
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
10. เป็นผู้สนใจในวิชำชีพอย่ำงต่อเนื่อง และหำโอกำสพัฒนำสู่มืออำชีพอย่ำงแท้จริง ด้วย
กำรปฏิบัติหน้ำที่ทั้งในห้องเรียน โรงเรียน และชุมชน และเป็นผู้นำควำมคิดทำงกำรศึกษำสู่กำร
พฒั นำคณุ ภำพชวี ิตของ นักเรียน และสงั คม
11. เปน็ ผู้ที่เช่อื ถือได้ของนกั เรียน เพื่อนรว่ มอำชีพ ผู้ปกครอง และชมุ ชน
สถำบนั ผลิตครใู นปจั จุบันไม่มีสถำบันเฉพำะทำงในกำรผลิตครู ดังเช่นในอดีตที่ประเทศ
ไทยมีวิทยำลัยครู และวิทยำลัยวิชำกำรศึกษำ เพื่อทำหน้ำที่หล่อหลอมบ่มเพำะครูโดยเฉพำะ
โดยท่ัวไปสถำบันผลิตครูในปัจจุบันมีฐำนะเป็นคณะวิชำหรือหลักสูตรในสถำบันอุดมศึกษำสมบูรณ์
แบบ มิได้มีฐำนะเป็นสถำบันอุดมศึกษำเฉพำะทำงและมิได้มีกำรคัดสรรบุคคลผู้ที่มีควำมเหมำะสม
จะเป็นครูมำเรียนครูและประกอบวิชำชีพครู อีกทั้งเป็นกำรผลิตครูตำมควำมสนใจและควำมพร้อม
ของสถำบนั มำกกว่ำ (สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ, 2558)
กำรพัฒนำครูให้มีควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำชีพอย่ำงแท้จริงน้ันต้องใส่ใจกับประสิทธิภำพของ
ข้ันตอนในกำรพัฒนำวิชำชีพอย่ำงจริงจัง ทั้งนี้เป็นเพรำะว่ำในแต่ละขั้นของกำรพัฒนำนั้นครูมี
คณุ ลกั ษณะและควำมตอ้ งกำรแตกต่ำงกัน
Steffy & Wolfe (2001) ได้ศึกษำและพัฒนำโมเดลช่วงของอำชีพครูขึ้นบนพื้นฐำนทฤษฎี
กำรเปลี่ยนแปลง (Transformation Theory) ของ Jack Mezirow โดยแบ่งช่วงอำชีพครูเป็น 6 ช่วง ซึ่ง
แตล่ ะช่วงมีควำมตอ้ งกำรพัฒนำวิชำชีพครทู ี่แตกต่ำงกันดังน้ี
1. นกั ศึกษำฝกึ ประสบกำรณว์ ิชำชีพ (Novice Teacher) กำรพฒั นำวิชำชีพครูในช่วงนี้จะเป็น
หน้ำที่ของสถำบันผลิตครูร่วมกับโรงเรียนที่รับนักศึกษำฝึกประสบกำรณ์ โดยนักศึกษำฝึก
ประสบกำรณ์ จะได้รับกำรนเิ ทศทกุ ขั้นตอนของกำรสอนจำกอำจำรย์นเิ ทศก์ของสถำบันผลติ ครู และ
อำจำรย์พี่เลีย้ งของโรงเรียน
2. ครูบรรจุใหม่ (Apprentice Teacher) คือ ครูที่เริ่มต้นวิชำชีพในช่วง 2 - 3 ปีแรกของ
กำรทำงำนควำมต้องกำรของครูในช่วงนี้คือ เรียนรู้กำรทำงำนในห้องเรียน และกำรทำงำนภำยใน
โรงเรียนแตล่ ะวนั ให้มีประสทิ ธิภำพ
3. ครูวิชำชีพ (Professional Teacher) หลังจำกผ่ำนช่วงปีแรกๆ ของกำรบรรจุเป็นครูใหม่
แล้ว ครูก็จะก้ำวเข้ำสู่กำรเป็นครูวิชำชีพ ครูมีควำมมั่นใจในควำมสำมำรถด้ำนกำรสอนของตน มี
กำรแสวงหำวิธีกำรสอนใหม่ กำรใช้สื่อประกอบกำรสอน พัฒนำเทคนิคกำรสอน และกลยุทธ์
กำรสอนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพำะตน กำรพัฒนำวิชำชีพของครูในช่วงนี้ใช้กำรเรียนรู้ในลักษณะชุมชน
กำรเรียนรวู้ ิชำชีพ (Professional Learning Communities) เพื่อให้ครูได้มีกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
ควำมสำเร็จในชว่ งน้ีจะนำไปสู่กำรเป็นกำรเปน็ ครูช่วงต่อไป
70
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
4. ครูเชย่ี วชำญ (Expert Teacher) ครทู ี่อยู่ในชว่ งน้ีเปน็ ผู้ทีม่ คี วำมเชี่ยวชำญในกำรสอน มี
รปู แบบกำรสอนทีเ่ ปน็ เอกลักษณ์มำกยิง่ ขนึ้ พร้อมทีจ่ ะให้ควำมช่วยเหลือครูที่ด้อยประสบกำรณส์ อน
โดยกำรเป็นพี่เลีย้ ง (Mentor)
5. ครูที่มีชื่อเสียง (Distinguished Teacher) ครูที่มีพัฒนำกำรในช่วงนี้เป็นครูที่มีหลักฐำน
ประจกั ษ์ชัดว่ำได้รับกำรยอมรับนับถือควำมสำมำรถด้ำนกำรสอนจำกนักเรียน ผู้ปกครองและเพื่อน
ร่วมงำน ว่ำมีกำรปฏิบัติกำรสอนที่เป็นเลิศ และมักได้รับเชิญให้เข้ำร่วมกำรประชุมปฏิบัติกำร หรือ
เป็นผู้เชี่ยวชำญทำหน้ำที่เป็นครูพี่เลี้ยง (Mentor) หรือครูสอนแนะ (Coach) ให้กับเพื่อนร่วมงำน หรือ
กำรให้เปน็ หวั หน้ำโครงกำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอนของโรงเรียน หรอื โครงกำรวิชำกำร
6. ครปู ลดเกษียณและออกจำกอำชีพ (Emeritus Teacher)
แนวคิดของ Huberman (1989 อ้ำงถึงใน Villegas-Reimers, 2003) กล่ำวถึง กำรพัฒนำ
วิชำชีพครู มี 5 ขั้นตอน ดงั นี้
ข้ันที่ 1 เปน็ ระยะทีค่ รเู ข้ำสู่วิชำชีพ มีประสบกำรณ์กำรสอนประมำณ 1-3 ปี ครูที่อยู่ในข้ันนี้
มีควำมตอ้ งกำรเรยี นรู้และทำควำมเข้ำใจกบั วิชำชีพของตน
ขั้นที่ 2 เป็นระยะที่ครูเริ่มมีควำมมั่นคง มีประสบกำรณ์กำรสอนประมำณ 4-6 ปี ครูที่อยู่
ในขั้นนมี้ ีควำมมงุ่ ม่ันในกำรสอนและมีควำมรอบรู้ในศำสตร์กำรสอนมำกขึ้น
ข้ันที่ 3 เป็นระยะที่ครูมีควำมคิดแตกต่ำง มีประสบกำรณ์กำรสอนประมำณ 7-18 ปี ครูที่
อยู่ในขั้นนี้ บำงกลุ่มใส่ใจกับกำรศึกษำค้นคว้ำทดลองกำรสอนใหม่ๆ ชอบเผชิญปัญหำควำมท้ำทำย
มีควำมกระตอื รอื ร้นในกำรพัฒนำวิชำชีพของตน แต่บำงกลุ่มอำจมองว่ำระยะนี้เป็นระยะที่สับสนกับ
ตัวเองและต้องทบทวนตนเอง มีครูหลำยคนที่ลำออกจำกวิชำชีพในระยะนี้ เน่ืองจำกมีภำวะ
ควำมเครียดในกำรทำงำนสูงสุด
ข้ันที่ 4 เป็นระยะที่ครูมีควำมคิดแตกต่ำงในครั้งที่ 2 เม่ือครูมีประสบกำรณ์สอนประมำณ
19-20 ปี ครบู ำงคนในชว่ งน้ีจะมีกำรประเมินตนเอง ผ่อนคลำย และเริม่ ตระหนักรู้ถึงกำรทำตัวควำม
เหินห่ำงกับนักเรียน ครูบำงคนเริ่มมีควำมคิดเชิงวิเครำะห์วิพำกษ์ถึงระบบกำรศึกษำ กำรบริหำร
จัดกำรของโรงเรียน ผู้บริหำร เพื่อน ครู รวมถึงอำชีพของตน
71
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ข้ันที่ 5 เปน็ ระยะทีค่ รูปลดปล่อย ครทู ี่ทำกำรสอนมำประมำณ 31-50 ปี จะเริ่มไม่ใส่ใจกำร
พัฒนำ วิชำชีพของตนและมีแนวโน้มมำกขึ้นเร่ือยๆ ครูบำงคนใช้ช่วงเวลำนี้สะท้อนประสบกำรณ์ที่
ผำ่ นมำและใช้ชีวติ อย่ำงสงบ แต่ทว่ำครบู ำงคนช่วงนีเ้ ปน็ ช่วงที่ผิดหวังในวิชำชีพ
ดังนน้ั ข้ันตอนกำรพฒั นำวิชำชีพครู จึงควรสะท้อนควำมต้องกำรส่วนตนและควำมก้ำวหน้ำ
ทำงวิชำชีพของครู ครูจะต้องก้ำวผ่ำนจำกผู้ไม่มีประสบกำรณ์ไปสู่ผู้เชี่ยวชำญกำรสอน ซึ่ง
ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน ดังนี้ Dreyfus (1986 อ้ำงถึงใน Villegas-Reimers, 2003)
ขั้นที่ 1 เป็นระดบั ของผู้มปี ระสบกำรณน์ ้อย ได้แก่ นกั เรียนฝึกหัดครูและครูในปีแรก ระยะนี้
ครู เริม่ รับรู้วำ่ ประสบกำรณท์ ีไ่ ด้จำกกำรปฏิบัติน้ันมีค่ำมำกกว่ำกำรเรียนรู้จำกคำบอกเล่ำ เนื่องจำก
ครทู ีจ่ บมำใหม่ๆ เคยมีประสบกำรณก์ ำรเรียนในระดบั อุดมศึกษำที่เป็นฝ่ำยรบั และเรียนรู้ตำมเอกสำร
ตำรำและตำมทฤษฎี และกำรได้รับกำรปลูกฝังให้ปฏิบัติตำมกฎระเบียบและวัฒนธรรมขององค์กร
ดงั นน้ั กำรสอนของครู จึงถ่ำยทอดสู่ผู้เรยี น โดยยึดครเู ปน็ ศูนย์กลำงมำกกว่ำขั้นอน่ื ๆ
ขั้นที่ 2 เป็นระดับของควำมก้ำวหน้ำเบื้องต้น ซึ่งครูเริ่มมีประสบกำรณ์ประมำณ 2-3 ปี
และมีกำรพัฒนำตนเองจำกข้ันที่ 1 จนเห็นควำมเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกำรสอนและคุณภำพของ
ควำมเปน็ ครูชดั เจนขึน้ รู้จกั เชื่อมโยงองค์ควำมรู้จำกตำรำกับประสบกำรณจ์ รงิ อย่ำงไรกต็ ำม ครูทีม่ ี
พัฒนำกำรในข้ันที่ 2 ยังคงจำนนต่ออำนำจสำยบังคับบัญชำ เป็นผู้ทำงำนตำมคำสั่ง และยังไม่
กระตอื รอื ร้นวำ่ ต้องกำรมคี วำมเป็นอิสระในวิชำชีพของตน จึงสะท้อนว่ำกำรพัฒนำในขั้นนี้ครูยังไม่ได้
รบั ผิดชอบเตม็ ทีใ่ นงำนของตน
ขั้นที่ 3 เป็นระดับของผู้มีประสบกำรณ์ ครูในระดับนี้ใช้เวลำในวิชำชีพของตน ประมำณ
3-4 ปี มีควำมก้ำวหน้ำต่อยอดจำกข้ันที่ 2 มีประสบกำรณ์มำกและมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ลักษณะ
สำคญั ของครใู นระยะนี้ คอื ครสู ำมำรถตดั สินใจวำงแผนกำรสอนทีเ่ หมำะสมด้วยตนเองได้ และนำสู่
กำรปฏิบัติได้จริง พร้อมกับสำมำรถ สะท้อนจุดอ่อนจุดแข็งในกำรสอนของตนได้ จึงอำจกล่ำวได้ว่ำ
ครูสำมำรถควบคุมสถำนกำรณ์กำรเรียนกำรสอนได้ ด้วยตนเอง อย่ำงไรก็ตำม ยังมีครูบำงคน
ถึงแม้วำ่ จะสอนมำได้ 3-4 ปี กย็ งั ไม่พัฒนำตนเองให้มคี วำมก้ำวหน้ำ ดังกล่ำว
ขั้นที่ 4 เป็นระดับของผู้ชำนำญกำร ซึ่งครูในระดับนี้ใช้เวลำ 5 ปี โดยท่ัวไปมีครูจำนวนน้อย
มำกที่ จะก้ำวสู่ระดับนี้ซึ่งเป็นขั้นที่ต้องอำศัยกำรตระหนักรู้อย่ำงลึก ซึ้งสำมำรถประยุกต์สู่กำรสอน
ได้อย่ำงเกิดประสิทธิผล และเริม่ มองเห็นควำมเชือ่ มโยงของปัจจัยต่ำงๆ เป็นแบบองค์รวม
ขั้นที่ 5 เป็นระดับของผู้เชี่ยวชำญ ซึ่งครูในระดับนี้ใช้เวลำไม่น้อยกว่ำ 5 ปี ครูผู้เชี่ยวชำญ
นอกจำกจะมีประสบกำรณ์กำรสอนอย่ำงมำกมำยแล้วต้องแสดงให้เห็นว่ำ มีควำมยืดหยุ่นใน
กำรปฏิบัติงำน และมีกำรตดั สินใจที่อำศัยกำรหยง่ั รอู้ ย่ำงลกึ ซึง้ (Intuition) มีควำมคิดรเิ ริม่ สรำ้ งสรรค์
72
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ในกำรทำงำนและกำรแก้ปัญหำ อำจกล่ำวได้ว่ำในขั้นนี้ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนของครูเน้นผู้เรียน
เปน็ ศนู ย์กลำงอย่ำงเหน็ ได้ชดั
ประเทศไทยมีครูเก่ง ครูที่มีควำมสำมำรถสูง มีควำมเชี่ยวชำญในวิชำชีพมำกเพียงพอต่อ
กำรเตรียมพร้อมในกำรปรับเปลี่ยนและพัฒนำครู ให้เป็นครูในโลกยุคใหม่ภำยใต้บริบทที่มีกำร
เปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วมำก ควรต้องศึกษำอนำคตภำพของหลักสูตรวิชำชีพครู โดยควำมท้ำทำย
ดังกล่ำวทำให้รูปแบบกำรเรียนรู้ของผู้เรียนแตกต่ำง หลำกหลำย และถ้ำนำมิติของควำมแตกต่ำงใน
สถำนะทำงสังคมและเศรษฐกิจ และคุณลักษณะเชิงประชำกรของผู้เรียนมำพิจำรณำด้วยแล้ว จะยิ่ง
ทำให้ครูมีควำมยุ่งยำกในกำรปฏิบัติหน้ำที่มำกยิ่งขึ้น ดังน้ันกำรผลิตครูยุคใหม่บนควำมท้ำทำยใน
อนำคตจึงมีควำมสำคัญและควำมจำเป็นต้องก้ำวให้ทันควำมเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ได้ครูที่มีคุณภำพ
รักและศรทั ธำในวิชำชีพ ให้สมกับที่คำว่ำ ครู คือบพุ กำรีทีส่ ำคญั ในชีวิต (ศรดุ ำ ชยั สุวรรณ, 2560)
คณุ ลกั ษณะครูในศตวรรษท่ี 21
ครู เปน็ บุคคลทีส่ งั คมให้ควำมสำคัญ และยกย่องครเู ป็นบคุ ลสำคัญในกำรจดั กระบวน
กำรเรียนรเู้ ป็นบคุ คลที่สง่ เสริมและสร้ำงสรรคก์ ำรเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีคุณภำพ คุณภำพของผู้เรียน
ขึ้นอยู่กับคุณภำพของครู กำรศึกษำที่ดีสำหรับคนยุคใหม่นั้น ทำให้ลักษณะของครูอำจำรย์ก็ต้อง
เปลีย่ นไปอย่ำงส้ินเชิง ครูที่รักศษิ ย์ เอำใจใส่ศิษย์ แตย่ งั ใช้วธิ ีสอนแบบเดิมๆ จะไม่ใช่ครูที่ทำประโยชน์
แก่ศษิ ย์อย่ำงแท้จริง กล่ำวคือ ครูที่มีใจแก่ศิษย์ยังไม่พอ ครูเพื่อศิษย์ต้องเปลี่ยนจุดสนใจหรือจุดเน้น
จำกกำรสอน ไปเป็นเน้นทีก่ ำรเรียน ต้องเรียนรู้และปรบั ปรงุ รปู แบบกำรเรียนรทู้ ี่ตนจัดให้แก่ศิษย์ด้วย
ครูเพื่อศิษย์ต้องเปลี่ยนบทบำทของตนเองจำก “ครูสอน” (Teacher) ไปเป็น “ครูฝึก” (Coach) หรือ
“ผู้อำนวยควำมสะดวกในกำรเรียนรู้” (Learning Facilitator) และต้องเรียนรู้ทักษะในกำรทำหน้ำที่นี้
โดยรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อเรียนรู้ร่วมกันอย่ำงเป็นระบบและต่อเนื่อง ครูในศตวรรษที่ 21 ต้องยึด
หลักสอนน้อย เรียนมำก กำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องก้ำวข้ำมสำระวิชำไปสู่กำรเรียนรู้ “ทักษะ
เพื่อกำรดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21” ลักษณะของครูในยุคศตวรรษที่ 21 ต้องมีลักษณะตำมที่ท่ำน
ผเู้ ชย่ี วชำญด้ำนกำรศึกษำ ได้แสดงไว้เป็นตวั อย่ำง ดังน้ี
อ่องจิต เมธยะประภำส (2559) กล่ำวว่ำ "ครูในยคุ ศตวรรษที่ 21 ต้องมีลกั ษณะ
E - Teacher" ดงั น้ี
1. Experience มีประสบกำรณใ์ นกำรจดั กำรเรียนรแู้ บบใหม่
2. Extended มีทกั ษะกำรแสวงหำควำมรู้
73
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
3. Expended มีควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอดหรอื ขยำยควำมรขู้ องตนสนู่ กั เรียนผ่ำน
สือ่ เทคโนโลยีได้อย่ำงมปี ระสิทธิภำพ
4. Exploration มีควำมสำมำรถในกำรเสำะหำและคัดเลือกเนือ้ หำควำมรหู้ รอื เนือ้ หำ
ทีท่ นั สมัย เหมำะสมและเป็นประโยชน์ตอ่ ผเู้ รียนผำ่ นทำงสอ่ื เทคโนโลยี
5. Evaluation เปน็ นกั ประเมินทีด่ ี มีควำมบริสทุ ธิ์และยตุ ิธรรม และสำมำรถใช้
เทคโนโลยีในกำรประเมินผล
6. End - User เปน็ ผู้ทีใ่ ชเ้ ทคโนโลยี (user) อย่ำงคุ้มค่ำ และใช้ได้อย่ำงหลำกหลำย
7. Enabler สำมำรถใช้เทคโนโลยีสร้ำงบทเรียน
8. Engagement ต้องร่วมมือและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งกันผ่ำนสื่อเทคโนโลยีจน
พัฒนำเปน็ เครอื ข่ำยควำมร่วมมือ เชน่ เกิดชุมชนครูบน web
9. Efficient and Effective ต้องเป็นครทู ี่สำมำรถใช้สื่อเทคโนโลยีอย่ำงมีประสิทธิภำพ
และประสิทธิผลทั้งในฐำนะที่เป็นผู้ผลิตควำมรู้ ผกู้ ระจำยควำมรู้ และผใู้ ช้ควำมรู้
พิณสุดำ สิรธิ รงั ศรี (2557) เสนอรำยงำนกำรสงั เครำะหอ์ งค์ควำมรใู้ นหวั ข้อ “กำรยก
ระดับคุณภำพครูไทยในศตวรรษที่ 21” สรุปคุณลักษณะครูไทยที่มีคุณภำพ จะต้องมีลักษณะ
ดงั ตอ่ ไปนี้
1. เป็นผู้มจี ติ วิญญำณของควำมเป็นครูและผใู้ ห้
2. มีควำมรู้ ควำมสำมำรถและทักษะกำรจัดกำรเรียนรู้
3. มีทักษะกำรสอ่ื สำร
4. อำนวยควำมสะดวกในกำรเรียนรทู้ ี่มปี ระสิทธิภำพ
5. ตนื่ รู้ ทันสมัยทนั เหตุกำรณ์
6. ตำมทันเทคโนโลยีและข่ำวสำร
7. สร้ำงแรงบันดำลใจในกำรเรียนรู้ของผเู้ รียน
8. ใฝ่คว้ำและแสวงหำควำมรู้อย่ำงตอ่ เนือ่ ง
9. เป็นแบบอย่ำงทำงคณุ ธรรมจริยธรรมและศลี ธรรม
10. รู้และเข้ำใจในอัตลักษณ์ควำมเป็นชนชำติไทยทีห่ ลำกหลำย
11. ภำคภมู ใิ จในควำมเปน็ พลเมืองไทยและพลเมืองโลก
12. ยอมรับและเป็นผนู้ ำกำรเปลีย่ นแปลง
13. มีควำมพร้อมและปรับปรงุ ตอ่ กำรเปลีย่ นแปลงของโลกและประชำคมอำเซียน
74
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
นอกจำกนี้ ไพฑรู ย์ สินลำรัตน์ (2557 ข.) ให้มมุ มองว่ำ ครูไทยในยคุ ศตวรรษที่ 21 ต้อง
เปลี่ยนวัฒนธรรมกำรเรียนรู้ของเด็กให้รู้จักกำรสร้ำงสรรค์ ร่วมกันวำงแผน รู้จักแยกแยะ รู้จัก
ประยุกต์ วิจัยค้นคว้ำ สร้ำงผลงำน วำงแผนและประมวลผลเป็น ครูจึงต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อ
กำรเปลี่ยนแปลงของโลกข้อมูลข่ำวสำรในปัจจุบัน จึงเสนอแนวทำงกำรพัฒนำครู ผ่ำนองค์ประกอบ
ได้แก่ กำรผลิตครูที่ต้องมีกระบวนกำรให้ได้บุคลำกรที่มีคุณภำพ กำรพัฒนำครูที่มีอยู่ในปัจจุบันให้
รู้จกั ปรับตัวเข้ำสู่โลกยุคปัจจุบันและกำรใช้ครูให้สำมำรถทำงำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและได้กล่ำว
ว่ำ คณุ ลกั ษณะของครูไทยในศตวรรษที่ 21 จงึ ประกอบด้วยคุณลกั ษณะสำคัญ 7 ประกำร คือ
1. สร้ำงและบูรณำกำรควำมรู้ได้
2. มีควำมคิดวิเครำะหแ์ ละสร้ำงสรรค์
3. มีวสิ ัยทัศนแ์ ละตกผลึกทำงควำมคิดเพื่อแลกเปลี่ยนควำมคิดเหน็ กบั ผเู้ รียน
4. ครูต้องรู้และเขำ้ ใจเทคโนโลยีใหม่ มที กั ษะใหม่ๆ พร้อมทั้งชแี้ นะข้อดขี ้อเสียใหผ้ เู้ รียนได้
5. มีทักษะกำรสอนเดก็ ให้เติบโตเต็มศักยภำพและสร้ำงผลงำนใหม่ๆ
6. ต้องเข้มแข็งในจรรยำบรรณ คุณธรรม จรยิ ธรรม และชกั ชวนให้คนอนื่ ๆ ทำเพื่อสงั คม
7. มีบทบำทนำด้ำนกำรสอนและวิชำชีพ พัฒนำคุณภำพของโรงเรียนและในวิชำชีพร่วมกับ
ผบู้ ริหำรมำกขึ้น
โดยกำรพัฒนำครูให้เป็นบุคลำกรแห่งคุณภำพ สำมำรถทำได้โดยเริ่มจำก กำรพัฒนำทำง
วิชำชีพในศตวรรษที่ 21 ซึง่ มีรำยละเอียด ดงั น้ี (สุวณี อึ่งวรำกร, 2558)
1. จุดมุ่งหมำยสำคัญเพื่อกำรสร้ำงครูให้เป็น ผู้ที่มีทักษะควำมรู้ควำมสำมำรถในเชิง
บูรณำกำรกำรใช้เคร่ืองมือและกำหนดยุทธศำสตร์สู่กำรปฏิบัติในช้ันเรียน และสร้ำงให้ครูมี
ควำมสำมำรถในกำรวิเครำะหแ์ ละกำหนดกิจกรรมกำรเรียนรู้ได้เหมำะสม
2. สร้ำงควำมสมบูรณ์แบบในมิตขิ องกำรสอนดว้ ยเทคนิควิธีกำรสอนทีห่ ลำกหลำย
3. สร้ำงให้ครูเป็นผู้มีทักษะควำมรู้ ควำมสำมำรถในเชิงลึกเกี่ยวกับกำรแก้ปัญหำกำรคิด
แบบวิจำรณญำณ และทกั ษะด้ำนอน่ื ๆ ที่สำคัญต่อวิชำชีพ
4. เป็นยุคแห่งกำรสร้ำงสมรรถนะทำงวิชำชีพให้เกิดขึ้นกับครู เพื่อเป็นตัวแบบแห่ง
กำรเรียนรู้ของชั้นเรียนที่จะนำไปสู่กำรสร้ำงทักษะกำรเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้อย่ำงมีคุณภำพ
5. สร้ำงให้ครูเป็นผู้ที่มีควำมสำมำรถวิเครำะห์ผู้เรียนได้ทั้งรูปแบบกำรเรียน สติปัญญำ
จดุ อ่อนจุดแขง็ ในตวั ผู้เรยี นเหล่ำนี้ เปน็ ต้น
75
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
6. ช่วยใหค้ รไู ด้เกิดกำรพัฒนำควำมสำมำรถใหส้ ูงข้ึน เพื่อนำไปใช้สำหรับกำรกำหนดกลยุทธ์
ทำงกำรสอน และจัดประสบกำรณ์ทำงกำรเรียนได้เหมำะสมกับบริบททำงกำรเรยี นรู้
7. สนับสนุนให้เกิดกำรประเมินผู้เรียนอย่ำงต่อเน่ือง เพื่อสร้ำงทักษะและเกิดกำรพัฒนำ
กำรเรียนรู้
8. แบ่งปันควำมรู้ระหว่ำงชุมชนทำงกำรเรียนรู้ โดยใช้ช่องทำงหลำกหลำยในกำรสื่อสำรให้
เกิดข้ึน
9. สร้ำงให้เกิดตัวแบบที่มกี ำรพัฒนำทำงวิชำชีพได้อย่ำง ม่นั คงและย่ังยืน
ศำสตรำจำรย์นำยแพทย์วิจำรณ์ พำนชิ ประธำนกรรมกำร มูลนิธิสถำบันส่งเสริมกำรจัดกำร
ควำมรู้เพื่อสังคม ได้กล่ำวถึงผู้เรียนในยุคศตวรรษที่ 21 ว่ำต่ำงจำกยุคเก่ำอย่ำงมำก คือ ผู้เรียน
ยุคใหม่ควำมรู้มำกและเข้ำถึงควำมรู้ได้ง่ำย เพรำะฉะนั้นกำรเรียนในห้องเรียนจึงยำกมำกที่ผู้เรียนจะ
สนใจ เพรำะมีเร่ืองอื่นที่สำคัญกว่ำวิธีสร้ำงกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ครูต้องไม่เพียงแต่เอำใจใส่
ผเู้ รียนเท่ำนั้น ยงั ต้องมีทกั ษะในกำร “จุดไฟ” ในใจของผู้เรียน ให้รักกำรเรียนรู้ ให้สนุกกับกำรเรียนรู้
หรือให้กำรเรียนรู้สนุก และกระตุ้นให้อยำกเรียนรู้ต่อไป ครูจึงต้องยึดหลัก “สอนน้อย เรียนมำก”
(Teach Less Learn More) กล่ำวคือ ในกำรจัดกิจกรรมตำ่ งๆ ของผู้เรยี น ครูต้องต้ังคำถำมและ ตอบ
ได้ว่ำผู้เรียนได้เรียนรู้อะไร และเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งเหล่ำน้ัน ครูจะต้องทำอะไรหรือไม่ทำ
อะไรบ้ำง ในสภำพกำรณเ์ ชน่ นี้ ครยู ิ่งมคี วำมสำคัญมำกขึ้น และท้ำทำยครูทุกคนอย่ำงที่สุดที่จะทำให้
ผเู้ รียนได้เรียนแบบไม่ขำดทักษะสำคญั (วิจำรณ์ พำนชิ , 2556)
จำกสภำพสงั คมที่เปลี่ยนแปลงไปในศตวรรษที่ 21 ระบบกำรเรียนกำรสอน จงึ ตอ้ งเพิ่มทักษะ
ของคนที่จะต้องเรียนรู้ต้ังแต่ชั้นอนุบำลไปจนถึงระดับอุดมศึกษำ และตลอดชีวิต คือ 3R x 8C
(วิจำรณ์ พำนิช, 2555) 3R ได้แก่ Reading (อ่ำนออก) Writing (เขียนได้) Arithmetic’s (คิดเลข
เป็น) ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills; Transversal Skills) เป็นกลุ่มควำมรู้ทักษะและ
นิสยั กำรทำงำนที่เช่อื ว่ำมีควำมสำคัญยิ่งต่อควำมสำเร็จในกำรเรียนรู้ตลอดชีวิตทักษะดังกล่ำวนี้เป็น
ผลจำกกำรพัฒนำกรอบควำมคิดกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning Framework)
โดยภำคีเพื่อทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 โดยผู้เรียนจะต้องได้รับกำรเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สร้ำงสรรค์ และ
ท้ำทำย มองเห็นปญั หำเป็นโจทย์ ให้ผู้เรยี นเรียนรวู้ ิธีกำรแก้ไข ให้มคี วำมสอดคล้องกับทักษะที่จำเป็น
ในกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ 3R8C ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐำนที่จำเป็นต่อผู้เรียนทุกคน (สำนักงำน
เลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ, 2560) ประกอบด้วย 1) Reading สำมำรถอ่ำนออก 2) (W) Riteing
สำมำรถเขียนได้ 3) (A) Rithmatic มีทักษะในกำรคำนวณ ส่วน 8C คือ
76
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ทักษะต่ำงๆ ที่จำเป็นสำมำรถนำไปปรับใช้ในกำรเรียนรไู้ ด้ทุกวิชำ ประกอบด้วย
1. Critical Thinking and Problem Solving คือ ทักษะกำรคิดวิเครำะห์ กำรคิดอย่ำง
ผเู้ ช่ยี วชำญกำรคิดอย่ำงมวี ิจำรณญำณ และสำมำรถแก้ไขปญั หำได้
2. Creativity and Innovation คือ กำรคิดอย่ำงสร้ำงสรรค์และคิดเชิงนวัตกรรม เป็นกำรใช้
จนิ ตนำกำรกำรประยกุ ต์ และกำรประดิษฐ์ในกำรสร้ำงสรรคส์ ิง่ ใหม่เร่อื งใหม่
3. Cross-cultural Understanding คือ ควำมเข้ำใจในควำมแตกต่ำงของวัฒนธรรม และ
กระบวนกำรคิดขำ้ มวัฒนธรรม มีปฏิสัมพันธ์ทำงำนรว่ มกับผอู้ ื่นได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ และสำมำรถ
ทำงำนกับทีมงำนทีม่ ีควำมแตกต่ำงหลำกหลำยได้ดี
4. Collaboration Teamwork and Leadership คือ เป็นควำมสำมำรถในกำรนำผู้อื่น และ
ควำมรับผดิ ชอบแบบกระจำยบทบำท ควำมรว่ มมอื กำรทำงำนเป็นทีม และภำวะควำมเปน็ ผู้นำ
5. Communication Information and Media Literacy คือ มีทักษะในกำรสื่อสำรและกำรรู้เท่ำ
ทันสื่อ เปน็ กำรสอ่ื สำรอย่ำงซบั ซ้อน และกำรประเมนิ ควำมนำ่ เช่อื ถือของสอ่ื ต่ำงๆ
6. Computing and IT Literacy คือ มีทักษะกำรใช้คอมพิวเตอร์และรู้เท่ำทันเทคโนโลยี มี
ควำมรู้แหล่งสำรสนเทศและสำมำรถเข้ำถึงได้อย่ำงรวดเร็วสำมำรถประเมินควำมน่ำเชื่อถือของ
สำรสนเทศ และสำมำรถใช้คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสำรสนเทศอย่ำงสร้ำงสรรค์
7. Career and Learning Skills คือ มีทักษะอำชีพและกำรเรียนรู้ มีควำมยืดหยุ่น และปรับตัว
ได้ดีมคี วำมสำมำรถในกำรจดั กำรทำงำน และเรยี นรู้อย่ำงอสิ ระ
8. Compassion คือ มีควำมเมตตำกรุณำ มีคุณธรรม และมีระเบียบวินัย ทักษะทั้งหมดที่ได้
กล่ำวมำเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่ำงมำก และมีควำมแตกต่ำงจำก
กำรเรียนรใู้ นสมัยก่อนทำให้กำรเรยี นรู้ของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 มีคุณภำพมำกยิง่ ข้นึ
โลกในศตวรรษที่ 21 สำระวิชำหลักที่ผเู้ รียนจะต้องเรียนรู้ (Partnership for 21st Century
Learning (P21), 2009) ประกอบด้วย
1. ภำษำแม่ และ ภำษำสำคัญของโลก
2. ศลิ ปะ คณิตศำสตร์
3. เศรษฐศำสตร์
4. ภูมศิ ำสตร์
5. ประวัติศำสตร์
6. รฐั และควำมเป็นพลเมือง
77
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
นอกจำกสำระวิชำหลกั เหล่ำนีท้ ีจ่ ะได้เรยี นรู้แล้ว ผเู้ รียนต้องได้เรยี นรู้แนวคิดสำคญั ใน
ศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Learning (P21), 2009) ซึง่ ประกอบด้วย
1. ควำมรเู้ กี่ยวกับโลก
2. ควำมรดู้ ้ำนกำรเงิน เศรษฐศำสตร์ ธุรกิจ และกำรเป็นผู้ประกอบกำร
3. ควำมรดู้ ้ำนกำรเป็นพลเมอื งที่ดี
4. ควำมรดู้ ้ำนสขุ ภำพ
5. ควำมรดู้ ้ำนสิ่งแวดล้อม
ในประเดน็ ทีเ่ กีย่ วเนื่องกันผู้เรียนควรได้รับกำรปลูกฝังใหไ้ ด้ทักษะสำคัญอีก 3 เรื่อง คือ
1. ทกั ษะชีวติ และกำรทำงำน
1.1 ควำมยืดหยุ่นและกำรปรบั ตวั
1.2 กำรรเิ ริม่ สร้ำงสรรค์และเป็นตวั ของตัวเอง
1.3 ทักษะด้ำนสงั คม และทักษะข้ำมวัฒนธรรม
1.4 กำรเป็นผู้สร้ำงหรอื ผลิตและมีควำมรบั ผดิ ชอบเชื่อถือได้
1.5 ภำวะผนู้ ำและควำมรับผดิ ชอบ
2. ทกั ษะกำรเรียนรแู้ ละนวัตกรรม
2.1 ควำมคิดริเร่มิ สร้ำงสรรค์และนวัตกรรม
2.2 กำรคิดอย่ำงมวี ิจำรณญำณและกำรแก้ปัญหำ
2.3 กำรสอ่ื สำรและควำมร่วมมือ
3. ทักษะด้ำนสำรสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี
3.1 กำรใชแ้ ละประเมินสำรสนเทศได้อย่ำงเท่ำทัน
3.2 วิเครำะห์และเลือกใช้สือ่ ได้อย่ำงเหมำะสม
3.3 ใช้เทคโนโลยีใหมไ่ ด้อย่ำงมปี ระสิทธิภำพ
78
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ภาพประกอบ 8 Assessing Twenty First Century Skills: A Guide to Evaluation
Mastery And Authentic Learning.
ท่มี า: Greenstein, Laura M. (2012). Assessing Twenty First Century Skills: A Guide
to Evaluation Mastery and Authentic Learning. p11.
วิจำรณ์ พำนิช (2556) ได้กล่ำวถึงทฤษฎีกำรเรียนรู้สมัยใหม่ที่นำมำจำกหนังสือ How
Learning Works ของ Herbert A. Simon ไว้ดังนี้
ประการท่ี 1 : ควำมรู้เดิมของผู้เรียนจะแตกต่ำงกันมำก ผู้เรียนระดับช้ันประถมศึกษำปีที่ 6
บำงคนหำกทดสอบพื้นควำมรู้อำจจะเท่ำกับผู้เรียนระดับช้ันประถมศึกษำปีที่ 4 และผู้เรียนในช้ัน
ประถมศึกษำปีที่ 6 บำงคนทำแบบทดสอบพื้นควำมรู้แล้วอำจจะเท่ำผู้เรียนระดับช้ันมัธยมศึกษำปีที่
2 พืน้ ควำมรู้จะหำ่ งกันมำก เนื่องจำกผู้เรยี นสำมำรถศึกษำค้นคว้ำเรียนรู้ด้วยตนเองได้ ผู้เรียนที่ขยัน
และมีควำมรับผิดชอบสำมำรถไปศึกษำเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยเฉพำะในปัจจุบันควำมรู้หำได้ไม่ยำก
อยู่ทีว่ ำ่ ใครจะสำมำรถเข้ำถึงควำมรู้ได้มำกกว่ำ แตท่ ี่สำคญั ยิง่ กว่ำนั้นในเรื่องควำมรเู้ ดิมกค็ ือ ผเู้ รียน
เกือบทุกคนมีควำมรู้เดิมที่ผิดๆ ติดตัว ครูต้องเข้ำใจตรงนี้ต้องหำวิธีตรวจสอบให้พบและก็หำทำง
แก้ไขมิเช่นนั้นผู้เรียนจะผิดไปเร่ือยๆ ส่งผลให้ไม่สำมำรถเรียนรู้ในระดับช้ันต่อไปได้และรู้สึกเบื่อ
หนำ่ ยในกำรเรียน
79
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ประการท่ี 2 : กำรจัดระบบควำมรู้ที่เรียกว่ำ (Knowledge Organization) มีควำมสำคัญต่อ
กำรเรียนรผู้ เู้ รียนทีม่ เี ก่ง และมีผลกำรเรียนดี จะสำมำรถจัดระเบียบควำมรู้ในสมองได้ดี ควำมรู้ไม่ได้
อยู่แค่แบบไม่มีทิศทำงแต่เป็นระบบ ดังนั้นผู้เรียนที่จัดระบบควำมรู้ได้ดี ก็จะสำมำรถนำควำมรู้มำ
ใช้ได้ทนั ท่วงทีและถกู กำลเทศะ
ประการที่ 3 : แรงจงู ใจ (Motivation) และแรงบนั ดำลใจ (Inspiration) ครูจะต้องมีวิธีและเอำ
ใจใส่ที่จะสร้ำงแรงจูงใจหรอื แรงบนั ดำลใจให้ผู้เรยี น
ประการที่ 4 : กำรเรียนทีถ่ ูกต้อง ผเู้ รียนต้องเรียนจนรจู้ รงิ (Mastery Learning) ผเู้ รียนที่ไม่รู้
จรงิ โตขึน้ มำเขำจะเริม่ เบื่อ เพรำะกำรเรียนจะน่ำเบือ่ เป็นควำมทกุ ข์ยำก
ประการท่ี 5 : กำรสอนโดยกำรปฏิบัติและป้อนกลับ (Feedback) ศิลปะของกำรป้อนกลับ
สำคัญที่สุด ซึ่งจะทำให้กำรเรียนของผู้เรียนสนุกเป็นกำรให้รำงวัลแก่ผู้เรียน เรียนแล้วเกิดควำมสุข
เกิดควำมม่นั ใจในตนเองรู้ว่ำตรงไหนตัวทำได้ดี รู้วำ่ ตรงไหนจะต้องปรับปรุง
ประการที่ 6 : กำรเรียนรแู้ บบร่วมมือ (Collaborative Learning) พัฒนำกำรของนักเรียนและ
บรรยำกำศของกำรเรียน กำรเรียนสมัยใหม่ผู้เรียนต้องเรียนเป็นทีมเพรำะโลกสมัยใหม่น้ันควำม
ร่วมมือสำคัญกว่ำกำรแข่งขันบรรยำกำศของควำมคิดที่หลำกหลำย รับฟังซึ่งกันและกัน จะทำให้
ผู้เรียนเข้ำใจว่ำเร่ืองแบบนี้เพื่อนคิดอย่ำงไรกำรคิดเป็นไปได้หลำยแบบ เม่ือไรก็ตำมบรรยำกำศใน
โรงเรียนและในช้ันเรียน เน้นควำมถกู -ผดิ ไม่ส่งผลตอ่ กำรเรียนรทู้ ี่ดขี องผู้เรยี น
ประการท่ี 7 : ควำมสำมำรถในกำรกำกับกำรเรียนรู้ของตนเองได้ (Self - Directed
Learner) ครูต้องฝึกให้ผู้เรียนเกิดควำมสำมำรถหรือทักษะในกำรกำกับกำรเรียนรู้ให้กับตัวเองที่
สำคญั คือใหผ้ เู้ รียนรู้วำ่ ตนเองมวี ิธีกำรเรียนอย่ำงไร และปรับปรงุ วธิ ีกำรเรียนของตนได้
80
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
ภาพประกอบ 9 ครูไทย 4.0
ทม่ี า: ทวีศกั ดิ์ จนิ ดำนรุ กั ษ์. (2560). ครูและนักเรียนในยคุ กำรศกึ ษำไทย 4.0.
วารสารอิเล็กทรอนิกส์การเรียนรทู้ างไกลเชิงนวตั กรรม มหาวิทยาลยั สุโขทยั
ธรรมธิราช. หน้ำ 20.
จำกภำพประกอบ 9 อธิบำยถึง รปู แบบ TPACK (The TPACK Model) ได้ดงั นี้
รูปแบบ TPACK หรือ TPCK คือ กระบวนกำรให้ควำมรู้แก่ครูหรือบูรณำกำรไอซีทีที่มี
ประสิทธิผล โดยทีค่ รจู ะต้องทำควำมเข้ำใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี กำรเรียนกำรสอน ควำมรู้ด้ำนเนื้อหำ
ที่ปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อประสิทธิผลของกำรสอนในรำยวิชำ โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุน โดยมี
องค์ประกอบของ TPACK ทีน่ ำมำบรู ณำกำร 3 ส่วน คอื
1. ความรู้ด้านเนื้อหา (Content Knowledge) CK คือ สำระ ข้อมูล แนวคิด หลักกำร
เกี่ยวกับเนือ้ หำวิชำกำรในตัวของผู้สอนทีจ่ ะถ่ำยทอดไปยังผเู้ รียน
2. ความรู้ด้านศิลปะการเรียนการสอน (Pedagogical Knowledge) คือ ควำมรู้ที่ใช้
ประยุกต์แนวทำงกำรเรียนกำรสอนให้กับผู้เรียน กำรจัดช้ันเรียนและกำรประเมินผลซึ่งเป็นควำมรู้ที่
ลุ่มลกึ เกี่ยวกับกระบวนกำรและกำรปฏิบตั ิหรือวิธีกำรสอน
3. ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Technological Knowledge) คือ ควำมรู้ควำมสำมำรถเกี่ยวกับ
กำรประยุกต์ใช้สื่ออุปกรณ์ด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศทำงกำรศึกษำ ประกอบกำรเรียนกำรสอนที่
สอดคล้องและเหมำะสมกับเนือ้ หำวิชำกำรและผเู้ รียน
81
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
กำรบูรณำกำรควำมรู้ ควำมสำมำรถ และทักษะ ท้ังสำมส่วนเข้ำด้วยกันอย่ำงลงตัวโดย
ประกำรแรกที่ผู้สอนต้องมี คือ CK ควำมรู้ในเนื้อหำสำระ แนวคิด หลักกำร รวมทั้งเจตคติที่ดีของ
ข้อมูลต่ำงๆ ที่จะเรียบเรียงพร้อมที่จะถ่ำยทอดไปยังผู้เรียน ประกำรที่สองคือ PK ควำมรู้
ควำมสำมำรถและทักษะของกำรถ่ำยทอดควำมรู้ด้ำนเนื้อหำ รวมถึงกำรวัดผลประเมินผลในกำร
จัดกำรเรยี นกำรสอน ทีส่ ำมำรถใหผ้ เู้ รียนมีควำมรคู้ วำมเข้ำใจในเนือ้ หำนั้นๆ ตำมควำมเหมำะสม กับ
วัยวุฒิ คุณวุฒิของผู้เรียนอย่ำงมีประสิทธิภำพที่จะก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดของผู้เรียน และสิ่ง
ต่ำงๆ เหล่ำนั้นอำจเรียกได้ว่ำวิธีกำรสอน เทคนิคกำรสอนต่ำงๆ ที่ผู้สอนจะนำมำประยุกต์ใช้ให้
เหมำะสมกับเนือ้ หำและผเู้ รียนตำมสภำพแวดล้อมกำรเรยี นรู้ และประกำรที่สำม คือ TK กำรที่ผู้สอน
มีควำมรู้ในเน้ือหำวิชำกำร (CK) อย่ำงลุ่มลึกและท่องแท้ที่เกิดจำกส่ังสมประสบกำรณ์ด้ำน กำร
ถ่ำยทอดควำมรู้ หรือเทคนิค วิธีกำรสอนต่ำงๆ (PK) โดยมีควำมรู้และสนใจที่จะนำเอำเทคโนโลยี
สำรสนเทศต่ำงๆ ด้ำนกำรศึกษำมำประยุกต์ใช้หรือนำมำเป็นเคร่ืองมืออำนวยควำมสะดวกต่อ
กำรจัดกำรเรียนรู้ได้อย่ำงเหมำะสมกับเนื้อหำ ระดับกำรศึกษำของผู้เรียน และสภำพแวดล้อมที่เอื้อ
ต่อกำรเรียนรู้ (TK)
ดังนั้น นักศึกษำวิชำชีพครูจึงถือได้ว่ำเป็นกำลังสำคัญต้องมีควำมพร้อมที่จะไปเป็นครูใน
อนำคต ควรได้รบั กำรพฒั นำสมรรถนะของนกั ศึกษำวิชำชีพครใู นทกุ ๆ ดำ้ น โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งทักษะ
กำรเรียนรู้และนวัตกรรม ที่จะสำมำรถจัดกำรเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำที่เหมำะสม
ผสมผสำนกับเทคนิควิธีกำรสอนอันจะสำมำรถถ่ำยทอดเน้ือหำควำมรู้แก่ผู้เรียนที่จะพัฒนำไปเป็น
บุคคลในศตวรรษหน้ำ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและมีทักษะกำรรู้เทคโนโลยี
สำรสนเทศและกำรสื่อสำร (ICT Literacy) ให้รู้จักเลือกรับ เลือกปฏิเสธ และรู้เท่ำทันเทคโนโลยีไป
พร้อมๆ กับกำรเรียนรเู้ นือ้ หำวิชำกำรเกิดกำรเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
หลักสูตรวิชำชีพครูจึงต้องมีกำรพัฒนำอย่ำงต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มีครูที่มีควำมสำมำรถสูง
มีควำมเชี่ยวชำญในวิชำชีพ ตลอดจนกำรเป็นผู้นำครูในโลกยุคใหม่ที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลำ อำจำรย์ที่สอนในสถำบันผลิตครู โดยเฉพำะหลักสูตรวิชำชีพครูต้องมีควำมเข้ำใจใน
กำรเปลี่ยนแปลงดังกล่ำว ให้ควำมสำคัญกับลีลำกำรเรียนรู้ของผู้เรียนที่แตกต่ำง และหลำกหลำย
ใช้ควำมพยำยำมและมุ่งมั่นในกำรออกแบบกิจกรรม ใช้วิธีวิทยำกำรจัดกำรเรียนรู้ให้เหมำะสมและ
ตรงตำมควำมต้องกำรของผู้เรยี น
82
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ท้ังนี้ครูที่สมบูรณ์แบบจะต้องมีทักษะที่จำเป็นในกำรทำหน้ำที่ 2 ประกำร คือ Hard skills
และทักษะ Soft skills โดยเฉพำะทักษะ Soft skills ครูต้องเป็นต้นแบบให้กับศิษย์ในด้ำนต่ำงๆ เช่น
กำรคิดอย่ำงสรำ้ งสรรค์ กำรพฒั นำควำมเชี่ยวชำญเฉพำะด้ำนของตนเอง กำรคิดอย่ำงมีวิจำรญำณ
กำรสร้ำงนวัตกรรม กำรสื่อสำรอย่ำงสร้ำงสรรค์ กำรมีภำวะผู้นำ และควำมฉลำดทำงอำรมณ์ ซึ่ง
ทักษะเหล่ำนี้เป็นลักษณะของจิต 5 ประกำร จัดเป็นทักษะที่จำเป็นในอนำคต ซึ่งจะช่วยเสริมให้
ทักษะ Hard Skills ในตัวบุคคลมีควำมโดดเด่นมำกขึ้น ท้ังนี้สถำนศึกษำที่จัดกำรเรียนกำรสอนเพื่อ
สร้ำงบัณฑิตไปประกอบอำชีพครูจำเป็นต้องตระหนักถึงแนวทำงพัฒนำหลักสูตร กระบวนกำร
จัดกำรเรียนกำรสอน เพื่อพัฒนำผู้เรียนให้มีสมรรถนะทำงวิชำกำร และวิชำชีพที่มีควำมโดดเด่นใน
ทกั ษะ Hard skills และมีควำมเป็นเลิศในทักษะ Soft skills ตลอดจนมีลักษณะของจิต 5 ประกำรเพื่อ
นำไปสู่กำรประกอบอำชีพครูในศตวรรษที่ 21 ซึ่งข้อบังคับของครุสภำ ว่ำด้วยมำตรฐำนวิชำชีพ
(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ซึ่งมำตรฐำนควำมรู้และประสบกำรณ์วิชำชีพครูประกอบด้วย มำตรฐำน
ควำมรู้เกี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลงบริบทของโลก สังคม และแนวคิดของปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง
ควำมรู้เกี่ยวกับจิตวิทยำพัฒนำกำร จิตวิทยำกำรศึกษำ และจิตวิทยำให้คำปรึกษำในกำรวิเครำะห์
และพัฒนำผู้เรียนตำมศักยภำพ ควำมรู้เกี่ยวกับเนื้อหำวิชำที่สอน หลักสูตร ศำสตร์กำรสอน และ
เทคโนโลยีดิจิทัลในกำรจัดกำรเรียนรู้ ควำมรู้เกี่ยวกับกำรวัด กำรประเมินผลกำรเรียนรู้ และ
กำรวิจัยเพื่อแก้ปัญหำและพัฒนำผู้เรียน ทั้งนี้ในมำตรฐำนควำมรู้แต่ละด้ำนต้องมีสมรรถนะที่
สอดคล้องกับมำตรฐำนกำรเรียนรนู้ ั้นดว้ ย
ความเปน็ ครมู ืออาชีพ
ครูเป็นปัจจัยสำคัญในระดับโรงเรียนที่ส่งผลต่อกำรเรียนรู้ของนักเรียนมำกที่สุด จำก
กำรทดสอบระดับนำนำชำติมีกำรเติบโตทำงเศรษฐกิจสูงกว่ำ ขณะเดียวกันประเทศที่มีประชำกรที่มี
กำรศึกษำดีมีคุณภำพ จะมีควำมเป็นประชำธิปไตยและเสถียรภำพทำงกำรเมืองและสังคมสูงกว่ำ
(Hanushek and Rivkin, 2006) กำรเป็นมืออำชีพบ่งบอกถึงกำรมีควำมรู้และควำมเชี่ยวชำญในงำน
ส่วนกำรมีจิตวิญญำณควำมเป็นครูสะท้อนถึงกำรมี “หัวใจ” เพื่อศิษย์ กล่ำวคือ กำรตระหนักถึง
บทบำทหน้ำที่ที่จะต้องเป็นแบบอย่ำงที่ดี กำรทุ่มเทมุ่งมั่นพัฒนำงำนให้ทันกับควำมก้ำวหน้ำทำง
วิชำกำร กำรมเี มตตำและหวงั ดตี ่อศิษย์ครใู นยุคโลกำภวิ ตั น์ จงึ มไิ ด้เป็นแค่ผู้ที่มีควำมรู้ดี หรือมีทักษะ
กำรสอนเท่ำน้ัน หำกแต่จะต้องมีจิตวญิ ญำณแหง่ ควำมเป็นครรู ่วมดว้ ยดังทีก่ ล่ำวมำ
83
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
ครูมืออำชีพ ต้องเป็นครูที่มีควำมรู้ดี โดยมีควำมรู้ในส่วนที่เป็นเนื้อหำควำมรู้ที่สอนและ
ควำมรู้ ในส่วนที่เป็นศำสตร์กำรสอนมีควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติกำรสอน ถ่ำยทอดควำมรู้ให้กับ
ผู้เรียนได้ดีเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมควำมเป็นครูสำมำรถทำงำนร่วมกับผู้อื่นได้ และเป็นผู้ที่
พัฒนำควำมรู้ตนเองอย่ำงต่อเนื่องอยู่เสมอ (ทวีศักดิ์ จินดำนุรักษ์, 2560) เป็นครูด้วยใจรักมีควำมรู้
ควำมสำมำรถ และควำมพร้อมในทุกด้ำนที่จะเป็นครูวำงตัวดี ดำรงชีวิตอย่ำงมีวินัย มีคุณธรรม
จริยธรรมและจรรยำบรรณวิชำชีพ ปฏิบัติหน้ำที่ด้วยจิตวิญญำณควำมเป็นครูในกำรอบรมส่ังสอน
ดแู ล เอำใจใส่ศิษย์อย่ำงสุดควำมสำมำรถโดยไม่รู้จกั เหน็ดเหน่อื ย (วลั นิกำ ฉลำกบำง, 2559)
พระครูสังฆรักษ์จักรกฤษณ์ ภูริปญฺโญ และคณะ (2562) ได้กล่ำวว่ำ ครูมืออำชีพ ควรมี
ลกั ษณะ 3 ประกำร 1) แสวงหำควำมรู้ พัฒนำตนเองตลอดเวลำ เน้นเจตนำที่จะให้ผู้ร่วมงำนประสบ
ควำมสำเร็จด้วยกัน 2) ควำมปรำรถนำดี เป็นควำมคิดที่อยู่เหนือระดับเหตุผลและตรรกะเป็น
ควำมคิดที่มำจำกจิตวิญญำณหรือจิตใต้สำนึก 3) สร้ำงควำมเชื่อม่ันในตนเอง มุ่งม่ันในกำรทำงำน
และศรัทธำในผลสำเร็จที่เกิดจำกกำรปฏิบัติงำน
ส่วนเสริมศกั ดิ์ วิศำลำภรณ์ (2555) กล่ำวว่ำ ควำมเป็นครมู อื อำชีพ สิ่งแรกที่ต้องช่วยกันทำ
ก็คือ ต้องเปลี่ยนสภำพจำกครปู ระทงั ชีพเป็นครูมืออำชีพให้ได้ กำรเป็นครูมืออำชีพนั้น เรำคงต้องใส่
ใจวิชำชีพด้วย วิชำชีพครู ถ้ำเป็นวิชำชีพช้ันสูง เรำคงต้องมีควำมต้ังใจแน่วแน่ในกำรที่จะพัฒนำ
วิชำชีพ เรำคงจะต้องพัฒนำวิชำชีพอย่ำงต่อเนื่อง และเรำคงต้องพัฒนำวิชำชีพ โดยองค์รวมไม่แยก
ส่วน ดงั ภำพประกอบ 10
ภาพประกอบ 10 ครูมอื อำชีพ
ท่มี า: เสริมศกั ดิ์ วิศำลำภรณ์. (2555). ความเป็นครูมอื อาชีพ. หนำ้ 8.
84
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ครูมืออาชีพ ต้องเปน็ ครูที่มคี วำมรอบรู้วชิ ำกำรที่ตนเองได้ศกึ ษำมำ และต้องสำมำรถ
ถ่ำยทอดสิ่งที่ตนเองมีควำมรอบรู้ให้กบั นกั เรียนด้วยวิธีกำรที่หลำกหลำย และสำมำรถทำให้นักเรียน
มีกำรเรียนรู้ได้อย่ำงเต็มศักยภำพ สำมำรถทำงำนร่วมกับครู ชุมชนและสังคมได้เป็นอย่ำงดี (ชัยวุฒิ
บรรณวฒั น,์ 2552) คณุ ลักษณะครูมืออำชีพ คือควำมสำมำรถในกำรปรับกำรเรียนเปลี่ยนกำรสอน
โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญสำมำรถพัฒนำหลักสูตรให้ทันสมัย และได้มำตรฐำนสำมำรถออกแบบ
ระบบกำรสอนที่เหมำะสมในสำขำวิชำที่รับผิดชอบ สำมำรถวิจัยกำรสอนเพื่อนำผลมำใช้ปรับปรุง
กำรเรียนกำรสอนให้มีประสทิ ธิภำพดียิ่งข้ึน สำมำรถจัดระบบกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ ท้ำยสุด
สำมำรถใช้เทคโนโลยีเพือ่ กำรเรียนกำรสอนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ (วิจติ ร ศรสี อ้ำน, 2562)
นอกจำกนี้ ควำมเป็นครูมืออำชีพ จะต้องเป็นบุคคลที่ตระหนักและยึดหลักคำสอนเร่ือง
กัลยำณมติ ตธรรม 7 ซึง่ ถือว่ำเปน็ หลกั ธรรมพ้ืนฐำนสำหรับควำมเปน็ ครู มี 7 ประกำร คือ
2.1 ปิยะ หรือ ปิโย แปลว่ำ น่ำรัก หมำยถึง ครูต้องทำตนให้เป็นคนน่ำรักของลูก
ศษิ ย์ คือ ต้องเปน็ ผู้มเี มตตำ รกั เด็กมำกกว่ำรักตนเอง มีหน้ำตำยิ้มแย้มแจ่มใส ให้ควำมสนิทสนมแก่
ศษิ ย์เพื่อให้ลูกศิษย์มคี วำมสบำยใจ และกล้ำทีจ่ ะเข้ำไปปรึกษำหำรอื เรือ่ งต่ำงๆ พูดจำอ่อนหวำน เอำ
ใจใส่อบรมสั่งสอนให้ศษิ ย์เกิดควำมรู้และเป็นเพือ่ นรว่ มทุกข์ ร่วมสขุ กบั เดก็ ได้ตลอดเวลำ
2.2 ครุ แปลว่ำ น่ำเคำรพ หมำยถึง ครูจะต้องดูแลและปกครองศิษย์ให้ศิษย์
มีควำมรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นที่พึ่งได้และรู้สึกปลอดภัย ครูต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่ำงแก่เด็ก
มีเหตุผลและเปน็ คนใจคอหนักแนน่ ไม่เจ้ำอำรมณ์ เปน็ คนเสมอต้นเสมอปลำยในทกุ ๆ เรื่อง
2.3 ภาวนีโย แปลว่ำ น่ำเจริญใจ น่ำยกย่องในฐำนะผู้ทรงคุณ หมำยถึง ครูจะต้อง
เป็นผู้ที่มีควำมรู้และภูมิปัญญำแท้จริง สนใจหำควำมรู้เพิ่มเติม ท้ังเป็นผู้ที่ฝึกอบรมและปรับปรุง
ตนเองอยู่เสมอ ครจู ะต้องฝกึ ตนใหเ้ ช่ยี วชำญในวิชำกำรและให้มสี มรรถภำพในกำรทำงำนอยู่เสมอ
2.4 วัตตา แปลว่ำ รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้ำใจ หมำยถึง ครูจะต้องรู้จักพูด
ให้ศิษย์เข้ำใจได้ตรงตำมเป้ำหมำยที่วำงไว้ สอนในสิ่งที่ถูกต้องไม่บิดเบือน และครูจะต้องรู้จักสอน
ด้วยควำมสนุกสนำนเหมำะสมกับวัยของผู้เรียนด้วย ปกครองศิษย์ 3 ประกำรตำมที่คนโบรำณสอน
ได้แก่ สระน้ำ ตน้ ยอ กอไผ่
2.4.1 สระน้ำ หมำยถึง น้ำเมตตำ น้ำใจให้ลูกศิษย์ชุ่มเย็นเข้ำใกล้แล้วเย็นใจ เกิด
กำลังใจที่จะปฏิบตั ิตำมคำสอนของครู
2.4.2 ต้นยอ หมำยถึง ยำมที่ศิษย์ประพฤติปฏิบัติตนตำมโอวำท ไม่ละเมิดกฏ
ข้อบังคับ หรอื ระเบียบของโรงเรียนก็ใช้วธิ ีกำรสรรเสริญให้ปรำกฏแก่หมู่ลกู ศิษย์
2.4.3 กอไผ่ ได้แก่ ไม้เรียว คือ ลงโทษเพื่อหลำบจำตำมคำสุภำษิตทีว่ ่ำ
85
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
“ อันช่างหม้อตีหม้อไม่หวังสาน ตีเอางานงามไซรม้ ิใหห้ นา
เหมือนอาจารยต์ ีศิษย์ใหว้ ิทยา มิใช่ว่าประหารให้ไปอบาย ”
2.5 วจนักขโม แปลว่ำ อดทนต่อถ้อยคำ หมำยถึง ครูต้องพร้อมที่จะรับฟัง คำปรึกษำ
กำรซักถำม คำเสนอแนะและคำวิพำกษ์วิจำรณ์ได้ โดยไม่ฉุนเฉียว และสำมำรถควบคุมอำรมณ์ได้
ปกติเด็กย่อมมคี วำมซกุ ซน น่ำรำคำญ ครจู ะรำคำญไม่ได้ ต้องอดทน ต่อสง่ิ ทีม่ ำกระทบ
2.6 คัมภีร์รัญจะ กถัง กัตตา แปลว่ำ แถลงเร่ืองลึกล้ำได้ หมำยถึง ครูต้อง สำมำรถ
อธิบำยเรื่องยุ่งยำกซบั ซ้อนใหเ้ ข้ำใจได้ด้วย และช่วยใหศ้ ิษย์เรียนรู้ได้อย่ำงลึกซึ้ง มำกขึ้นด้วย รวมท้ัง
กำรอธิบำยสำระสำคญั ต่ำงๆ ของวิชำได้ถกู ต้องแมน่ ยำ
2.7 โน จักฐาเน นิโยชเย แปลว่ำ ไม่ชักนำในเรอ่ื งเหลวไหล หมำยถึง ครไู ม่ชักจูงศิษย์
ไปในทำงที่เสื่อมเสีย ครูไม่ประพฤติชัว่ ควรละเว้นอบำยมุขท้ัง 6 อย่ำง ได้แก่ กำรตดิ สุรำและของมึน
เมำ เที่ยวกลำงคืน เที่ยวดูกำรละเล่น ติดกำรพนนั คบคนช่ัว และเกียจคร้ำนในกำรงำน
กำรเป็นครูว่ำยำกแล้ว แต่กำรที่เรำจะเป็นครูที่ดี เป็นแบบอย่ำงให้กับนักเรียนยำกยิ่งกว่ำ
เพรำะสังคมส่วนใหญ่มักคำดหวังว่ำครูจะเป็นแบบอย่ำงที่ดีของลูกศิษย์เป็นผู้สร้ำงสมำชิกใหม่ของ
สังคมให้เป็นทรัพยำกรมนุษย์ที่มีคุณภำพต่อสังคม โดยธรรมชำติของอำชีพครูเป็นอำชีพที่ต้อง
เกี่ยวข้องกับผู้คนมำกมำย ฉะนั้นผู้ดำเนินอำชีพครูจึงต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และใฝ่พัฒนำตนเอง
อย่ำงต่อเนื่อง ครูที่มีลักษณะดีอำจกล่ำวรวมๆ ได้ว่ำ ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิรู้ดี ภูมิธรรมดี และภูมิฐำนดี
น่ันเอง คุณลักษณะที่ดีท้ัง 3 ด้ำน ดังกล่ำว เป็นคุณสมบัติที่สำมำรถเรียนรู้ ฝึกฝน ส่ังสม และ
ถ่ำยทอดได้จำกครูถึงครู จำกครูถึงศิษย์ จำกครูถึงสื่อมวลชนรอบตัวครู ทัศนะบุคคลในกลุ่มอำชีพ
ต่ำงๆ
ครตู ้องเป็นต้นแบบที่ดขี องผู้เรียน บุคลิกภำพและคุณลักษณะของครูต้องเป็นผู้ที่น่ำศรัทธำ
น่ำเคำรพ เห็นควรแก่กำรยกย่องผู้เรียนและบุคคลทั่วไป คุณลักษณะของครูจึงควรเป็นผู้ที่มีภูมิรู้
ภมู ธิ รรม และมีควำมภมู ิฐำน ดังรำยละเอียดต่อไปนี้
ครูผู้มีภูมิรู้ หมำยถึง ครูที่มีควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรสอน เข้ำใจในเน้ือหำ อีกท้ังยัง
แสวงหำควำมรอู้ ยู่อย่ำงสมำ่ เสมอ มคี วำมทันสมัยในข้อมลู ข่ำวสำร ไม่เปน็ น้ำทีเ่ ต็มแก้ว กระตือรือร้น
ในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ หรือแม้แต่กำรหำควำมรู้ เพื่อนำมำแก้ไขปัญหำพัฒนำงำนสอนและงำนใน
หนำ้ ทีใ่ ห้มีคณุ ภำพในศตวรรษที่ 21 คิดริเรม่ิ สร้ำงสรรค์ สรำ้ งควำมเข้มแขง็ ให้แก่วงกำรศกึ ษำ
86
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
ครูผู้มีภูมิธรรม หมำยถึง ครูผู้มีควำมประพฤติเป็นแบบอย่ำงที่ดีแก่ศิษย์และบุคคลท่ัวไป
ท้ังทำงกำย วำจำ ใจ มีวินัยในตนเอง มีกัลยำณมิตตธรรม 7 ละเว้นจำกอบำยมุข มีควำมขยัน
หม่ันเพียร อุตสำหะ มีควำมเมตตำ ซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติตนตำมหลักของเศรษฐกิจพอเพียง และ
จรงิ ใจในกำรปฏิบตั ิงำนตำมหลกั ธรรมำภบิ ำล
ครูผู้มีภูมิฐาน หมำยถึง ครูผู้มีบุคลิกภำพที่ดี มีควำมสง่ำงำมในกำรแสดงออกถึงกริยำ
มำรยำทที่สุภำพ อ่อนโยน แต่งกำยเรียบร้อย สะอำด มีสุขอนำมัยดี เป็นผู้มีควำมเชื่อม่ันในตนเอง
เป็นคนเปิดเผย เป็นผู้มีอำรมณ์ขัน มีควำมรักเมตตำ และเอำใจใส่ต่อศิษย์ ผู้ใต้บังคับบัญชำ เพื่อน
ร่วมงำนและผู้บังคับบัญชำ วำงตนเป็นกลำง ใจกว้ำงยอมรับฟังควำมคิดเห็นของผู้อื่น เห็น
ควำมสำคัญของประโยชน์ส่วนรวม ปฏิบัติตำมจรรยำบรรณและรับผิดชอบต่อวิชำชีพและ
เป็นสมำชิกที่ดีต่อองค์กรวิชำชีพ มีลักษณะควำมเป็นผู้นำในกำรอนุรักษ์ พัฒนำ เศรษฐกิจ สังคม
ศำสนำ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญำ และสิ่งแวดล้อม มีกำรแสดงออกที่ดีต่อบุคคลทั่วไปและต่อศิษย์
มีควำมเปน็ มติ ร มีควำมสำมำรถทำให้ศษิ ย์เกิดควำมไว้วำงใจ เปน็ ต้น
สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ (2551) ได้กล่ำวถึงสมรรถนะของครูมืออำชีพในมลรัฐ
นิวเมก็ ซิโกแบ่งออกมำเป็น 9 ด้ำน ได้แก่
1. สมรรถนะด้ำนหลกั สตู ร และควำมรใู้ นสำขำวิชำที่สอน
1.1 สำมำรถส่งเสริมให้มีกำรใชห้ ลกั สูตรอย่ำงกว้ำงขวำง
1.2 สำมำรถอธิบำยเนือ้ หำในบทเรียนอย่ำงชดั เจน
1.3 สำมำรถเชือ่ มโยงเน้ือหำวิชำทีส่ อนภำยในกลุ่มวิชำ
1.4 สำมำรถบรู ณำกำรเนื้อหำวิชำต่ำงๆ ในหลักสตู ร
2. สมรรถนะในกำรใชว้ ิธีสอน และทรัพยำกรในท้องถิ่น
2.1 สำมำรถออกแบบกำรจดั กำรเรียนรู้อย่ำงเหมำะสม เช่น กำรเรียนรู้ในกลุ่มขนำดใหญ่
ขนำดเลก็ และใหน้ กั เรียนมอี ิสระในกำรเรียนรู้
2.2 สำมำรถใช้วิธีสอนอย่ำงหลำกหลำย เช่น กำรสำธิต กำรบรรยำย กำรทำโครงงำน
กำรแบ่งกลุ่ม กำรปฏิบัติงำนอย่ำงอิสระเพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ และเป้ำหมำยในกำรเรียน
กำรสอน
2.3 สำมำรถบูรณำกำรแหล่งข้อมูลที่หลำกหลำยในกำรเรียนกำรสอนรวมทั้งกำรจัด
ทัศนศึกษำ กำรจดั หำเอกสำรคำสอน และกำรใชเ้ ทคโนโลยี
2.4 มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ วธิ ีกำรเรียนรู้ และทฤษฎีกำรเรียนรู้
2.5 สำมำรถออกแบบกำรเรียนกำรสอน และหลกั สูตรใหน้ ักเรียนพิกำร
87
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
3. สมรรถนะในกำรสอ่ื สำรกับนักเรียน
3.1 สำมำรถอธิบำยเช่อื มโยงเน้ือหำในบทเรียน
3.2 แจ้งให้นักเรียนทรำบจุดมงุ่ หมำยในกำรเรียนกำรสอน
3.3 ส่งเสริมนกั เรียนใหม้ ีคุณลักษณะตำมควำมคำดหวงั ของประเทศ
3.4 นำเสนอวิธีกำรต่ำงๆ ในกำรอธิบำย เพื่อให้นักเรียนเข้ำใจบทเรียนอย่ำงชัดเจน
3.5 สร้ำงแรงจูงใจในกำรเรียนรู้ใหน้ กั เรียน
3.6 รำยงำนควำมก้ำวหน้ำในกำรเรียนให้นกั เรียนทรำบอยู่เสมอ
4. สมรรถนะในกำรประยกุ ต์ใช้หลกั กำรเรียนรู้ และพฒั นำกำรของนกั เรียน
4.1 สำมำรถบูรณำกำรทกั ษะทำงปญั ญำในกำรสอน เช่น กำรคิดเชิงวิพำกษ์ กำรคิด
แก้ปัญหำ กำรคิดแบบอเนกนัย กำรสบื สอบ และกำรตัดสินใจ
4.2 สำมำรถใช้เทคนิคกำรสอนวัสดุ และส่อื กำรสอนแหล่งทรพั ยำกร/ แหลง่ กำร
เรียนรู้ให้เหมำะสมกบั วิธีกำรเรียนรู้ และระดบั ชั้นของนักเรียน
5. สมรรถนะในกำรใชว้ ิธีกำร และเทคนิคกำรประเมนิ อย่ำงมปี ระสิทธิภำพ
5.1 เลือกใช้เคร่ืองมอื และยุทธศำสตร์ในกำรประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ทีเ่ หมำะสม
5.2 ใช้กำรประเมินทั้งแบบโครงสร้ำงรูปแบบ (Formative) และแบบสรุปรวม(Summative)
ในกำรพัฒนำนักเรียน และวำงแผนกำรสอน
5.3 เกบ็ เอกสำรสำคญั ที่แสดงควำมก้ำวหน้ำของนกั เรียน
5.4 แจ้งควำมก้ำวหน้ำในกำรเรียนให้นักเรียน และครอบครวั ทรำบอย่ำงสมำ่ เสมอ
6. สมรรถนะในกำรส่งเสริมพฤติกรรมด้ำนบวก และจัดกำรสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็น
ผลดตี ่อสุขภำพของนกั เรียน
6.1 อธิบำยและเป็นแบบอย่ำงกำรสรำ้ งพฤติกรรมที่ดี
6.2 ดำเนนิ กำรสอนเปน็ กิจวตั รและมีประสทิ ธิภำพ
6.3 ให้กำรเสริมแรง เพื่อสง่ เสริมนกั เรียนให้มพี ฤติกรรมควำมเปน็ พลเมืองดใี นชั้นเรียน
6.4 จัดกำรเวลำระหว่ำงกำรเปลีย่ นชนั้ เรียนได้ดี
6.5 เตรียมวัสดแุ ละส่อื ล่วงหน้ำให้นกั เรียนศึกษำบทเรียน
6.6 ลดสิง่ รบกวนต่ำงๆ และกำรขัดจังหวะระหว่ำงกำรสอนได้
6.7 จดั กำรและแนะนำพฤติกรรมของนักเรียนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและเหมำะสม
6.8 ระบอุ ันตรำยประเมินและจดั กำรภำวะควำมเสี่ยงได้เหมำะสม
88
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
7. สมรรถนะในกำรสร้ำงสรรค์บรรยำกำศในกำรเรียนรู้อย่ำงมีส่วนร่วมและพัฒนำนักเรียน
ให้มมี โนทัศนเ์ กี่ยวกับตนเอง (Self-Concept)
7.1 ยอมรับควำมคิดเห็นควำมตอ้ งกำร กำรเรียนรู้ควำมสนใจ และควำมรู้สึกของนักเรียน
ทีด่ อ้ ยควำมสำมำรถทำงกำรเรยี นรู้ หรอื มีพ้ืนฐำนมำจำกวฒั นธรรมต่ำงๆ
7.2 ชืน่ ชมกำรแสดงออก และควำมสำเร็จของนักเรียนอย่ำงสม่ำเสมอ
7.3 เข้ำใจควำมแตกต่ำงในกำรเรียนรู้ของนักเรียน และปรับวิธีกำรสอนให้สอดคล้องกับ
ควำมตอ้ งกำรทีห่ ลำกหลำยของนกั เรียน
7.4 จัดโอกำสให้นักเรียนแต่ละคนประสบควำมสำเร็จตำมควำมต้องกำรในกำรเรียนรู้สู่
บคุ คล
7.5 จดั กิจกรรมพิเศษทีใ่ ห้นักเรียนมสี ่วนรว่ ม และแสดงควำมคิดสร้ำงสรรค์
7.6 จัดโอกำสใหน้ ักเรียนมคี วำมรบั ผดิ ชอบต่อกำรเรียนรขู้ องตน
7.7 พฒั นำใหน้ กั เรียนมีกำรยอมรับตนเอง มีแรงจูงใจ และมีคุณลักษณะควำมเป็น
พลเมอื งดี
7.8 สร้ำงควำมคำดหวงั ระดบั สงู ในกำรเรียนรใู้ ห้กับนกั เรียนทกุ คน
7.9 ยอมรับภูมิหลังประสบกำรณ์ ควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้ภำษำ และวัฒนธรรมของ
นักเรียนแต่ละคน และนำมำสู่กำรตดั สินใจพัฒนำหลกั สูตร และวธิ ีกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน
8. สมรรถนะในกำรศึกษำควำมเปลี่ยนแปลง และแนวโน้มทำงกำรศึกษำ และนำมำปฏิบัติ
อย่ำงเหมำะสม
8.1 แสวงหำข้อมูลเกี่ยวกับวิธีวิทยำกำรสอนกำรวิจัย และแนวโน้มทำงกำรศึกษำใน
ปัจจุบนั เพื่อนำมำเพิ่มพนู คณุ ภำพกำรเรียนรู้ของนักเรียน
8.2 นำควำมรมู้ ำใช้ในกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ของนักเรียน
8.3 มีสว่ นร่วมในกำรพัฒนำกำรสอน และกำรริเริ่มกำรปฏิรูปภำยในโรงเรียน
9. สมรรถนะในกำรทำงำนร่วมกบั เพื่อน ร่วมงำนผู้ปกครอง และสมำชิกในชมุ ชน
9.1 ส่งเสริมควำมสัมพนั ธ์กับบุคลำกรในโรงเรียนอน่ื ๆ
9.2 จัดระบบกำรส่ือสำรระหว่ำงครูกบั ผปู้ กครอง
9.3 ใช้ยทุ ธศำสตร์แก้ปัญหำควำมขดั แย้งอย่ำงเหมำะสม
9.4 ส่งเสริมให้ผปู้ กครอง และสมำชิกในชุมชนมบี ทบำทในกำรจัดกำรเรียนรู้ให้นักเรียน
9.5 สื่อสำรกับเพื่อนรว่ มงำนผู้ปกครอง และสมำชิกชมุ ชนในประเด็นที่เกีย่ วกบั กำรศกึ ษำ
89
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
กำรเปลีย่ นแปลงโลกของกำรเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 และกำรพัฒนำสู่ครูมืออำชีพในสภำพ
ของกำรเรยี นรู้ในโลกแหง่ กำรเรยี นรู้ยคุ ปจั จุบนั และอนำคตมืออำชีพ ว่ำปัจจัยกำรเรียนรู้ และควำมรู้
ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่ำงมำกทำให้ครู อำจำรย์ ต้องปรบั ตวั ในกำรถ่ำยทอดควำมรเู้ พื่อให้ได้ผลผลิต ทั้ง
ในด้ำนควำมรทู้ ีจ่ ะถ่ำยทอด และด้ำนบณั ฑิตที่มีคณุ ภำพ โดย (สทุ ธิพร จติ ต์มิตรภำพ, 2556)
1. ครูต้องติดตำมควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำกำร ตรวจสอบคุณภำพของควำมรู้ คุณค่ำของ
ควำมรู้ ควำมแม่นตรงของควำมรทู้ ีจ่ ะนำมำถ่ำยทอด
2. ครูต้องใช้ควำมรู้น้ันๆ เป็นฐำนในกำรถ่ำยทอดต่อสู่ผู้เรียนตำมควำมเหมำะสม เพื่อให้
ตนเอง และผู้เรียนสำมำรถใช้ควำมรู้ และประยุกต์ควำมรู้ในกำรแก้ปัญหำ หรือพัฒนำควำมรู้ที่ควร
ถ่ำยทอดมีทั้งเนื้อหำควำมรู้ (Cognitive) วิธีปฏิบัติหรือควำมสำมำรถในกำรใช้ (Skills) และเจตคติ
(Attitude)
3. ครูต้องศึกษำควำมรู้ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับควำมรู้ในศำสตร์เฉพำะทำงแห่งตน เพรำะ
ปัจจุบันต้องใช้ควำมรแู้ บบองค์รวมหรอื สหวิทยำกำรมำกขึ้น
4. ครูต้องพิสูจน์ และสร้ำงควำมรู้ที่ติดตำมมำว่ำเป็นจริง แม่นตรง ท้ังในภำพรวม และมี
ควำมถกู ต้องเมื่อนำมำใช้ รวมถึงสรำ้ งควำมรู้ใหม่ขึ้นเอง จำกกำรศึกษำค้นคว้ำวิจัยรวมถึงนำควำมรู้
ที่ได้จำกกำรวิจัยน้ันมำใช้ในกำรถ่ำยทอดหรอื ปฏิบัติงำน
5. ครูต้องมีควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ตำมแนวคิดของกำรเรียนรู้สมัยใหม่ เปิด
โอกำสให้ผู้เรียนมีอิสระในกำรรับรู้ และสร้ำงศักยภำพให้ผู้เรียนรู้จักหำควำมรู้ด้วยตนเอง และชี้นำ
กำรเรียนรู้ในลักษณะของกำรเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) และพัฒนำวิธีวิทยำในกำรสอน ให้เพิ่มกำรมี
ปฏิสมั พันธ์กับผเู้ รียน
6. ครูต้องอำศัยเทคโนโลยีสำรสนเทศ เพื่อให้ผู้เรยี นเข้ำถึงควำมรู้ได้แบบไม่มขี ีดจำกัด
7. ครูต้องสร้ำงผู้เรียนให้รู้จักกำรคิดวิเครำะห์อย่ำงมีเหตุมีผล มีกำรใช้ข้อมูลในกำร
แก้ปญั หำหรอื พัฒนำ
8. ครูต้องพัฒนำตนเองศกึ ษำเรียนรู้อย่ำงตอ่ เนือ่ งตลอดชีวิต รู้จักเผยแพร่ และแลกเปลี่ยน
เรียนรู้รว่ มกบั ผอู้ ืน่
ส่วน กรองทิพย์ นำควิเชตร (2560) ได้วจิ ยั พบว่ำคุณลักษณะครูมืออำชีพยุคกำรศึกษำ 4.0
ประกอบด้วย
1. ด้ำนกำรปฏิบัติงำนของครู มุ่งมั่นพัฒนำผู้เรียน หลำกหลำยวิธี พัฒนำคุณธรรม
จรยิ ธรรมและกำรใชช้ ีวติ ปฏิบตั ิงำนและปฏิบตั ิตนเปน็ ตัวอย่ำงทีด่ ีแก่ศิษย์
90
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
2. ด้ำนกำรปฏิบัติตน ได้แก่ ปฏิบัติงำนและปฏิบัติตนเป็นตัวอย่ำงที่ดีแก่เพื่อนครู พัฒนำ
ตนเองอย่ำงสม่ำเสมอ มีควำมเพียรเป็นกัลยำณมิตร เอำใจใส่ รักและเมตตำศิษย์เสียสละเพื่อศิษย์
พัฒนำศิษย์โดยเสมอภำค พฒั นำศิษย์โดยเสมอภำค
3. ด้ำนคุณลักษณะของครูไทย 4.0 คือ บูรณำกำรกำรจัดกำรเรียนรู้กับกำรพัฒนำชีวิต
ชุมชน สิ่งแวดล้อมและสังคม มีภำวะผู้นำกำรเปลี่ยนแปลง ใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมในกำรจัด
กำรเรียนรู้ สนับสนุนส่งเสริมหรือสรำ้ งชุมชนแห่งกำรเรียนรู้ คิดสร้ำงสรรค์ สร้ำงนวัตกรรมกำรจดั
กำรเรียนรู้ กระตนุ้ ให้ศษิ ย์สร้ำงนวัตกรรม ใช้เทคโนโลยีหรอื นวตั กรรมในกำรจดั กำรเรียนรู้ และกำร
น้อมนำหลักปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพียงมำใช้ในกำรจัดกำรเรียนรู้และกำรทำงำน
หำกครูเข้ำถึงปัจจัยต่ำงๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกแห่งกำรเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ำกับ
กำรเปลี่ยนแปลงนั้น ก็จะสำมำรถพฒั นำเปน็ “ครมู ืออำชีพ” ทีไ่ ด้รับกำรยอมรบั และสำมำรถสร้ำง
ผลผลิตที่มีคุณภำพและมีคุณค่ำ ทำให้เกิดควำมก้ำวหน้ำท้ังต่อตนเอง อำชีพ สถำบันและประเทศ
ชำติ
กำรพัฒนำตนเองอย่ำงต่อเน่ืองให้มีควำมรู้และทักษะในกำรสอน ประพฤติตัวดีเป็นแบบ
อย่ำงที่ดี เอำใจใส่ดูแล และหวังดีต่อศิษย์ กำรปฏิบัติดังกล่ำวเรียกได้ว่ำกำรปฏิบัติด้วยจิตวิญญำณ
ควำมเป็นครู เป็นที่ทรำบกันดีว่ำกำรปฏิบัติหน้ำที่ด้วยใจ ด้วยจิตและวิญญำณจะทำให้เกิด
ควำมตระหนัก และมุ่งมั่นทุ่มเทในกำรทำงำน พยำยำมรกั ษำเกียรติ และศักดิ์ศรีแห่งตน และวิชำชีพ
ดังทัศนะ ของกัญญำ โพธิวัฒน์ (2554) ที่ว่ำสมรรถนะที่สำคัญของครูมืออำชีพ คือควำมศรัทธำใน
วิชำชีพครู กำรมีควำมสุขในกำรสอน กำรมุ่งม่ันพัฒนำตนเอง และกำรแสวงหำควำมรู้ใหม่อยู่เสมอ
ดังน้ัน กำรสั่งสอนลูกศิษย์น้ัน หำกเป็นครูอำชีพหรือผู้ที่จิตวิญญำณของควำมเป็นครู จะไม่สอนแค่
วิชำที่เรยี น แตต่ ้องสอนไปถึงทักษะชีวติ ต่ำงๆ กำรทำให้ลูกศิษย์เป็นคนดีในสังคม หรือสอนควำมเป็น
คนให้ลูกศิษย์ จิตวิญญำณแห่งควำมเป็นครู จึงเป็นคุณลักษณะสำคัญของครูมืออำชีพเพรำะเป็น
เรื่องสำคญั มำกของระบบกำรศกึ ษำไทย
บทสรปุ
ผู้ประกอบวิชำชีพจำเป็นต้องมีกำรพัฒนำตน เพื่อให้พร้อมรับกับกำรเปลี่ยนแปลง
อยู่ตลอดเวลำ ยิ่งเป็นผู้ประกอบวิชำชีพครูซึ่งมีหน้ำที่ และบทบำทสำคัญในกำรพัฒนำศักยภำพ
ผู้เรียนให้เป็นบุคคลแห่งกำรเรียนรู้ ให้มีควำมรู้ ทักษะ ทัศนคติแห่งควำมเป็นพลเมืองดีของสังคม
ยิ่งต้องมีกำรพัฒนำด้วยระบบและกระบวนกำรที่มีคุณภำพและต่อเน่ือง กำรพัฒนำวิชำชีพครูส่งผล
สู่คณุ ภำพของผู้เรยี น ซึ่งกำรปฏิรูปตนเองสู่กำรเป็นครมู อื อำชีพเริ่มจำกสิง่ ทีท่ ำได้ด้วยตนเองและ