91
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ปฏิบัติแบบเรียบง่ำย ขอเพียงมุ่งมั่นและใส่ใจที่จะพัฒนำตนเองอย่ำงต่อเน่ือง ดังนั้นหน่วยงำนที่มี
หน้ำที่ดูแลผู้ประกอบวิชำชีพครู และผู้บังคับบัญชำ จึงต้องให้ควำมสำคัญ กำหนด แนวทำงและ
วิธีกำรที่ถูกต้อง เหมำะสม เป็นไปตำมควำมต้องกำรที่แท้จริง และอำนวยประโยชน์กับกำรพัฒนำ
คุณภำพครูอย่ำงแท้จริง ในยุคที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว หรือที่เรียกว่ำ ยุคแห่งกำรพลิกผัน
(VUCA World) ในทุกๆ ดำ้ น โดยเฉพำะกำรแขง่ ขันทำงเทคโนโลยี สภำพแวดล้อมทำงธุรกิจเศรษฐกิจ
ท้ังภำยในและภำยนอก ทำให้ทุกภำคส่วนได้รับผลกระทบ ส่งผลให้กำรศึกษำไทยจำเป็นต้อง
ปรับเปลี่ยนจำกกำรให้ควำมสำคัญที่ควำมรู้มำเป็นกำรให้ควำมสำคัญที่กระบวนกำรคิดของผู้เรียน
เพื่อให้ผู้เรียนสำมำรถดำรงชีวิตและประกอบสัมมำชีพได้อย่ำงเป็นปกติสุข ครู อำจำรย์และ
นักวิชำกำร กำรผลิต กำรพัฒนำและกำรใช้ครูล้วนต้องกำรกำรปรับปรุงและพัฒนำที่นำไปสู่กำร
ยกระดับครูเพื่อคุณภำพของผู้เรียน กำรสร้ำงแรงบันดำลใจให้ครูเกิดพลังที่จะพัฒนำตนเอง หรือ
ปรับปรุงกระบวนทัศน์ของตนเองให้เกิดกำรเรียนรู้ที่ทันต่อเหตุกำรณ์ จึงควรให้ควำมสนใจในกำร
พัฒนำหลักสูตรและกำรจัดกำรเรียนกำรสอนให้สอดคล้องเท่ำทันกับกำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ผู้ประกอบวิชำชีพครู จำเป็นต้องพัฒนำตนเพื่อให้เท่ำทันกับกำรเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่ำงต่อเนื่อง
โดยมีทักษะกำรเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ กำรสร้ำงบรรยำกำศให้เกิดควำมรู้สึก หรือทัศนคติ
ทำงบวกในกำรจัดกำรกบั กำรเปลี่ยนแปลง กำรแสวงหำควำมรเู้ กี่ยวกับกำรเปลี่ยนแปลงตนเอง และ
กำรปรบั ปรุงตนเอง
การพฒั นาวิชาชีพครใู นยคุ ดจิ ทิ ัล
ครู เป็นบุพการีชนที่สองต่อจากบิดามารดา สังคมไว้วางใจบุคคลที่เป็นครู
ให้ทาหน้าที่แทนบิดาและมารดา วิชาชีพครูจึงเป็นวิชาชีพชั้นสูง ครูต้องพัฒนา
ตนเองให้เป็นบุคคลที่มีภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิฐาน สามารถปรับแปลง ปรับแต่ง
แปลงโฉมกลยทุ ธ์และยุทธวิธีในการจดั การเรยี นรู้อย่างสรา้ งสรรคใ์ นชีวติ วิถีใหม่ได้
92
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
93
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
บทที่ 3
ภาวะผนู้ าการเรียนรู้
ของครูในอนาคต
94
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
95
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
บทที่ 3
ภาวะผู้นาการเรยี นรขู้ องครูในอนาคต
ผู้นำเป็นบุคคลที่ทำให้องค์กรมีควำมเป็นเลิศ โดยต้องอำศัยภำวะผู้นำ ซึ่งเป็นพฤติกรรม
ของคนในกำรแสดงถึงอิทธิพล กลยุทธ์ในกำรจัดกำร ท้ังนี้ต้องอำศัยศำสตร์และศิลป์ของแต่ละ
บุคคลเพื่อให้กำรบริหำรจัดกำรบรรลุเป้ำหมำย โดยเฉพำะภำวะผู้นำแห่งกำรเรียนรู้ที่มีอิทธิพลต่อ
กำรสร้ำงสรรค์องค์ควำมรู้ในบริบทของสังคมและโลกที่มีกำรเปลี่ยนแปลง กำรที่ครูมีภำวะผู้นำกำร
เรียนรู้จะทำให้ได้ใช้ควำมคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในกำรเรียนรู้ โดยมุ่ง
พัฒนำโรงเรียนไปสู่โรงเรียนที่มีประสิทธิผลหรือคุณภำพ โดยมุ่งเน้นกำรเรียนรู้ และมุ่งมั่นในกำร
เปลีย่ นแปลงผลลพั ธ์ใหเ้ กิดแก่ผู้เรียน ภำยใต้สังคมแห่งกำรเรียนรู้ เพรำะครูต้องใช้ชีวิตอยู่กับควำมรู้
ต่ำงๆ นำๆ นอกจำกนี้ยังต้องใช้ควำมรู้ในกำรเปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนแปลงและพัฒนำงำน และ
จะต้องเสริมสรำ้ งควำมรู้ทีเ่ ข้มแขง็ ให้กบั ครู สถำนศึกษำ ซึ่งวิชำชีพซึ่งครูเป็นวิชำชีพที่ต้องเคลื่อนไหว
ทำงกำรศึกษำอยู่ตลอดเวลำกำรพัฒนำตนเองให้มีศักยภำพด้ำนภำวะผู้นำที่เข้มแข็งจะส่งผลต่อกำร
พัฒนำกำรเรียนรู้อย่ำงมอื อำชีพ กำรปรบั ปรงุ และพฒั นำกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ของครูที่จะส่งผล
โดยตรงต่อคุณภำพกำรศึกษำ สำระในบทนี้ จะกล่ำวถึง ควำมรู้และกำรเรียนรู้ กำรเป็นบุคคลแห่ง
กำรเรียนรู้ ภำวะผู้นำกำรเรียนรู้ ภำวะผู้นำกำรเรียนรขู้ องครูในอนำคตดังรำยละเอียดต่อไปนี้
ความร้แู ละการเรียนรู้
ควำมรเู้ ป็นสิง่ ทีเ่ ปลี่ยนแปลงและสร้ำงขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลำ ควำมรู้ในโลกเกิดขึ้นและเพิ่มขึ้น
เป็นจำนวนมำกและเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของกำรพัฒนำสังคม จนในปัจจุบันเรียกว่ำ เป็นสังคม
ฐำนควำมรู้ (Knowledge-Based Society) เพือ่ สร้ำงและใชค้ วำมรใู้ นกำรทำงำนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น
กว่ำเดิม เกิดกำรพัฒนำงำนอย่ำงต่อเน่ืองสม่ำเสมอ เป้ำหมำยคือกำรพัฒนำงำนและพัฒนำคน โดย
มีควำมรู้เป็นเคร่ืองมือมีกระบวนกำรจัดกำรควำมรู้เป็นเคร่ืองมือจึงเป็นกิจกรรมของผู้ปฏิบัติงำนจึง
ต้องใช้ควำมรู้ในกำรขับเคลื่อนองค์กร และพัฒนำอย่ำงต่อเนื่องเพื่อสร้ำงศักยภำพในกำรแข่งขันให้
องค์กรอยู่รอด
ควำมรู้ หมำยถึง สิ่งที่สั่งสมมำจำกกำรศึกษำเล่ำเรียน กำรค้นคว้ำหรือประสบกำรณ์รวมทั้ง
ควำมสำมำรถเชิงปฏิบัติและทักษะ ควำมเข้ำใจหรือสำรสนเทศ ที่ได้รับมำจำกประสบกำรณ์สิ่งที่
ได้รบั มำจำกกำรได้ยิน ได้ฟัง กำรคิดหรือกำรปฏิบัติองค์วชิ ำในแต่ละสำขำรวมท้ังสำรสนเทศ ที่ผ่ำน
96
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
กระบวนกำรคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกบั ควำมรู้ อื่นจนเกิดเป็นควำมเข้ำใจและนำไปใช้ประโยชน์ ใน
กำรสรปุ และตัดสนิ ใจในสถำนกำรณต์ ่ำงๆ โดยไม่จำกดั ช่วงเวลำ (วิชยั วงษ์ใหญ่, 2552)
ส่วน Armed and Shepherd (2010) กล่ำวว่ำ ควำมรู้เปรียบเสมือนขีดควำมสำมำรถทฤษฎี
ของควำมได้เปรียบในกำรแข่งขันอยู่บนพื้นฐำนของหลักกำรที่ยอมรับกันท่ัวไปน่ัน คือทรัพยำกรของ
องค์กรต้องปฏิบัติหน้ำที่ดีกว่ำคู่แข่งทรัพยำกรมนุษย์ หรือเคร่ืองจักรถือเป็นทรัพย์สิน เพื่อสร้ำง
ประโยชน์เชิงแขง่ ขันทรัพย์สนิ เหล่ำนั้นต้องปฏิบัติหน้ำทีง่ ำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพมำกกว่ำคู่แขง่
ในมิติของควำมรู้น้ัน มีมำกมำยหลำยประเภท แต่ประเภทของควำมรู้ที่นักวิชำกำรและ
นักกำรศึกษำได้แบ่งไว้และเป็นมิติที่นิยมใช้อธิบำยควำมหมำยมำกที่สุด คือ มิติในด้ำน “ตัวแบบ
กำรมองเห็น” ซึง่ Chun Wei Choo (2000) ได้แบ่งควำมรู้ (Knowledge) ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ควำมรู้ที่เป็นลำยลักษณ์อักษร (Explicit Knowledge) เป็นควำมรู้ที่ได้มีกำรจัดเก็บไว้เป็น
ลำยลักษณ์อักษร และมีกำรนำมำใช้ร่วมกันในรูปแบบต่ำงๆ เช่น เอกสำรข้อมูลขององค์กร สิ่งพิมพ์
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์ ควำมรู้ ประเภทนี้แสดงออกมำโดยใช้ระบบสัญลักษณ์ ภำษำ จึง
สำมำรถสือ่ สำร และเผยแพร่ได้สะดวก
2. ควำมรู้จำกประสบกำรณ์ตรง (Tacit Knowledge) เป็นควำมรู้อย่ำงไม่เป็นทำงกำร อำจ
เป็นควำมรู้หรือทักษะ ส่วนบุคคลที่เกิดจำกประสบกำรณ์ ควำมเชื่อหรือควำมคิดสร้ำงสรรค์ในกำร
ปฏิบัติงำน เช่น กำรถ่อยทอดควำมรู้ ควำมคิด ผ่ำนกำรสอบถำม กำรฝึกอบรม ควำมรู้ประเภทนี้
เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้งำนประสบควำมสำเร็จ เพรำะควำมรู้ประเภทนี้เกิดจำกประสบกำรณ์ และ
กำรนำมำถ่ำยทอดต่อกัน ดังน้ันจึงไม่สำมำรถจัดเก็บให้เป็นระบบหรือหมวดหมู่ได้ และไม่สำมำรถ
เขียนเป็นแนวปฏิบัติหรือตำรำได้ แต่สำมำรถถ่ำยทอดและแบ่งปันควำมรู้โดยกำรสังเกตและฝึก
เลียนแบบ
ควำมรู้ได้รับกำรสมมติว่ำเป็นเสมือนทรัพย์สินที่เป็นผลผลิตจำกสมองอันมหัศจรรย์ของ
มนุษย์ที่ได้รงั สรรคข์ ้อมูล (Data) นำไปสู่กำรประมวลเป็นข่ำวสำรข้อมูล (Information) ข่ำวสำรข้อมูล
นำไปสู่กำรบูรณำกำรควำมรู้ (Knowledge Integration) ก่อให้เกิดประสบกำรณ์ ช่วยในกำรตัดสินใจ
เกิดปัญญำญำณ (Intuition) และเกิดคุณค่ำ (Thorn, 2001) ที่สำคัญ คือควำมรู้จะนำไปสู่สติปัญญำ
(Wisdom) ดงั ภำพประกอบ 11
97
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
ปัญญา (Wisdom)
_______
ความรู้ (Knowledge)
_______
ขา่ วสาร (Information)
_______
ข้อมูล (Data)
_______
ภาพประกอบ 11 ขั้นตอนกำรเกิดควำมรู้
ท่มี า : Thorn. (2001). Knowledge Management for Educational Information Systems:
What Is the State of the Field?. Education Policy Analysis Archives. p 20.
กำรที่จะพัฒนำผู้เรียนให้มีคุณภำพ ตำมจุดมุ่งหมำยทำงกำรศึกษำดังกล่ำว ต้องอำศัย
ครผู สู้ อนที่มที ักษะในกำรจดั กำรเรยี นรู้ มีเจตคติตอ่ วิชำชีพครูที่ดี มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง โดยเฉพำะ
ในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะแห่งอนำคตใหม่ที่ครูควรมีทักษะ และคุณลักษณะที่รองรับเข้ำถึงเพื่อ
สร้ำงนวัตกรรมบริหำรจัดกำรชั้นเรียนแนวใหม่ ในอันที่จะพัฒนำผู้เรียนที่เป็นเยำวชนในยุคใหม่ให้
กำรเรียนรู้สนุกและกระตุ้นให้อยำกเรียนรู้ต่อไปตลอดชีวิต เกิดกำรเรียนรู้อย่ำงต่อเน่ืองและย่ังยืน
(วิจำรณ์ พำนชิ , 2555)
สรุปว่ำ ควำมรู้ คือ ผลที่ได้จำกกำรเรียนรู้ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดควำมเข้ำใจในสิ่งน้ัน และ
สำมำรถระลกึ ได้ เมื่อตอ้ งกำรใช้ควำมรนู้ ้ัน ควำมรชู้ ่วยเพิ่มขีดควำมสำมำรถของบุคคลในกำรทำงำน
ให้มปี ระสิทธิภำพ ควำมรู้ที่แต่ละบุคคลมี ได้แก่ ควำมรู้รอบตัว ควำมรู้ในสำขำวิชำชีพ และควำมรู้ที่
องค์กรสร้ำงข้ึนมำใหม่เพือ่ ใชใ้ นกำรพัฒนำองค์กรให้ดียิ่งขึ้น ควำมรู้ใหม่เป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรต้องมี
เพือ่ ส่งเสริมกำรเรยี นรู้ของบุคคลให้เพิม่ พูนอยู่เสมอ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำรแสวงหำควำมรู้ โดยกำร
อ่ำนและกำรคิด หำกทำให้ควำมรู้เฉพำะบุคคลส่งต่อไปยังบุคคลอื่น และสำมำรถแลกเปลี่ยนควำมรู้
กันได้ จะทำให้เกิดคณุ ค่ำสำหรบั องค์กร
98
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
ธงชัย สมบูรณ์ (2558) ได้อธิบำย ปัจจัยที่ส่งผลต่อกำรทำให้เกิดกำรเรียนรู้แบบ HBL มำ
จำกคำเต็ม คือ Humanity- Based Learning ไว้ดงั นี้
1. ปจั จยั ทำงกำรเปลี่ยนแปลงด้ำนเทคโนโลยี (Technologies Change) มนษุ ย์มกี ำรเสพ
วตั ถนุ ิยม บริโภคนยิ ม และเงินตรำนิยม มำกขึน้ ฉะนั้นควำมเป็น “มนุษย์” จงึ ถดถอยลงไป
2. ปัจจัยด้ำนสภำวกำรณ์ควำมเป็นโลกำภิวัตน์อำริยะ (Globality) จำกสภำพที่เป็นจริง
ของสังคมโลก ควำมแก่งแย่งในทุกๆ ด้ำน เช่น ด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติ ด้ำนกำรครอบครองแบบ
มองไม่เหน็ (Invisible Engagement) รวมควำมทั้งควำมโหดร้ำยทำรุณในเพือ่ นมนุษยชำติดว้ ยกัน
3. ปัจจัยด้ำนศำสตร์กำรสอนและกำรเรียนรู้ (Science of Teaching and Learning)
โดยเฉพำะกำรจัดกำรเรียนสู่ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 น้ัน จำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องมีกำรผนวกรวม
และผสมกลมกลืน (Integration) หลำยๆ ศำสตร์ เพื่อให้เป็นข้อควำมรู้ที่ผู้เรียนสำมำรถนำไป
ปรับเปลี่ยน ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภำพที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ เพรำะ
กำรจัดกำรเรียนรู้ในศตวรรษใหม่นี้ ยังมีกำรเรียนกำรสอนที่เน้นเนื้อหำเป็นหลัก (Content-Based)
ในสถำนศกึ ษำหลำยๆ แหง่ ฉะนั้นจงึ ตอ้ งเปลีย่ นเป็นกำรเรียนกำรสอนไปสู่กำรเนน้ ควำมคิดรวบยอด
เป็นหลัก (Conceptual-Based)
4. ปัจจัยด้ำนควำมสนใจในควำมเป็นมนุษย์ (Human Being interest) มีมำกกว่ำเดิมด้วย
ทกุ ประเทศตระหนักถึงทุนทำงด้ำนสติปัญญำ สันติภำพกำรอยู่ร่วมกันอย่ำงมีควำมสุข จึงต้องทำให้
เกิดฐำนคติเรอ่ื งนีข้ ึน้
กำรเรียนรเู้ ป็นกระบวนกำรสร้ำงควำมรู้และเป็นกำรเพิ่มศักยภำพทำงปัญญำให้กับมนุษย์
ปัญญำที่ เกิดจำกควำมคิดสร้ำงสรรคแ์ ละกำรลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดทักษะควำมชำนำญ โดยกล่ำว
ได้ว่ำมนุษย์นั้นเป็นผู้ที่มีศักยภำพในกำรเรียนรู้ เป็นผู้ที่สำมำรถฝึกฝนได้และควรได้รับกำรฝึกฝน
มนุษย์มีพัฒนำกำรที่เป็นเลิศกว่ำสิ่งมีชีวิตใดๆ ในโลก ซึ่งกำรเรียนรู้ที่ดีเกิดขึ้นจำกกำรสร้ำง
องค์ควำมรใู้ นตนเองและนำองค์ควำมรู้ไปสร้ำงสรรค์ผลงำนทำให้เห็นถึงองค์ควำมรู้ที่เป็นรูปธรรมที่
ชดั เจน ซึง่ จะมีควำมคงทนถำวรไม่ลืมงำ่ ยและสำมำรถถ่ำยทอดให้ผู้อื่นเข้ำใจได้ดี องค์ควำมรู้ที่สร้ำง
ขึน้ จำกกำรเรียนรู้นีจ้ ะเป็นฐำนใหผ้ เู้ รียนรู้สำมำรถต่อยอดองค์ควำมรู้ใหมต่ ่อไปอย่ำงไม่มที ี่ส้ินสุด
99
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554) ได้กล่ำวถึงกำรเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 โดยยึดแนวทำงกำรเรียนรู้ 4
แบบ ดงั นี้
1. กำรเรียนเพือ่ รู้ หมำยถึง กำรศกึ ษำที่มงุ่ พัฒนำกระบวนกำรคิด กระบวนกำรเรียนรู้ กำร
แสวงหำควำมรู้ และวิธีกำรเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อให้สำมำรถเรียนรู้ และพัฒนำตนเองได้ตลอดชีวิต
กระบวนกำรเรียนรู้เน้นกำรฝึกสติสมำธิ ควำมจำ ควำมคิด ผสมผสำนกับสภำพจริงและ
ประสบกำรณใ์ นกำรปฏิบตั ิ
2. กำรเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง หมำยถึง กำรศึกษำที่มุ่งพัฒนำควำมสำมำรถและควำม
ชำนำญรวมท้ังสมรรถนะทำงด้ำนวิชำชีพ สำมำรถปฏิบัติงำนเป็นหมู่คณะ ปรับประยุกต์องค์ควำมรู้
ไปสู่กำรปฏิบัติงำนและอำชีพได้อย่ำงเหมำะสม กระบวนกำรเรียนกำรสอนบูรณำกำรระหว่ำงควำมรู้
ภำคทฤษฎีและกำรฝึกปฏิบตั ิงำนที่เน้นประสบกำรณ์ตำ่ งๆ ทำงสงั คม
3. กำรเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน และกำรเรียนรู้จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น หมำยถึง กำรศึกษำ
ที่มุ่งให้ผู้เรียนสำมำรถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่ำงมีควำมสุข มีควำม
ตระหนักในกำรพึ่งพำอำศัยซึ่งกันและกัน กำรแก้ปัญหำกำรจัดกำรควำมขัดแย้งด้วยสันติวิธี ควำม
เคำรพสิทธิและศักดิ์ศรีควำมเป็นมนุษย์ และเข้ำใจควำมหลำกหลำยทำงด้ำนวัฒนธรรม ประเพณี
ควำมเชื่อ ของแต่ละบคุ คลในสังคม
4. กำรเรียนรู้เพื่อชีวิต หมำยถึง กำรศึกษำที่มุ่งพัฒนำผู้เรียนทุกด้ำนท้ังจิตใจและร่ำงกำย
สติปัญญำ ให้ควำมสำคญั กับจนิ ตนำกำรและควำมคิดสร้ำงสรรค์ ภำษำ และวัฒนธรรม เพื่อพัฒนำ
ควำมเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีควำมรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม ศีลธรรม สำมำรถปรับตัว และ
ปรับปรงุ บุคลิกภำพของตน เข้ำใจตนเองและผอู้ ื่น
เกรียงศกั ดิ์ เจรญิ วงศ์ศกั ดิ์ (2559) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะกำรเรียนรใู้ นศตวรรษ
ที่ 21 ไว้ดังต่อไปนี้
1. เรียนรู้โดยบรู ณำกำรหลำกหลำยศำสตร์
2. เรียนรโู้ ดยใช้เทคโนโลยีร่วมสมัย
3. เรียนรู้โดยมุ่งกำรสร้ำงควำมรใู้ หม่
4. เรียนรู้บรู ณำกำรทกุ บริบทชีวติ
5. เรียนรู้โดยเช่อื มโยงสู่กำรทำงำน
6. เรียนรู้จำกทุกแหล่งในโลก (ต้องใช้ภำษำอังกฤษได้)
7. เรียนรู้โดยบรู ณำกำรบริบทควำมเปน็ ไทยและควำมเป็นสำกล (ถิ่นโลกำภิวัตน์)
100
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
พระพรหมพิริยะ ถำวโร (มำลัยรักษ์) (2564) ได้นำเสนอรูปแบบกำรเรียนรู้หรือลีลำ
กำรเรียนรู้ (Learning Style) ของมนุษย์น้ันสำมำรถรับข้อมูลโดยผ่ำนเส้นทำงกำรรับรู้ได้ 3 ทำง คือ
กำรรับรู้ทำงสำยตำโดยกำรมองเห็น (Visual Percepters) กำรรับรู้ทำงโสตประสำท โดยกำรได้ยิน
(Auditory Percepters) และกำรรับรู้ทำงร่ำงกำย โดยกำรเคลื่อนไหวและกำรรู้สึก (Kinesthetic
Percepters) ซึง่ สำมำรถนำมำจัดเป็นรูปแบบกำรเรียนรไู้ ด้ 3 ประเภท ซึง่ มีควำมแตกต่ำงกนั ดงั น้ี
1. ผู้ที่เรียนรู้ทำงสำยตำ (Visual Learner) จะเรียนรู้ได้ดีจำกกำรเรียนจำกรูปภำพ แผนผัง
แผนภมู ิกำร เรียนลกั ษณะนี้เหมือนเป็นกำรดูหนังแล้วจดจำภำพไว้ได้อย่ำงดี มีเน้ือหำที่เป็นเร่ืองเป็น
รำว เวลำที่ผู้เรียนจะต้องกำร จดจำเนื้อหำส่วนใดก็สำมำรถมีวิธีกำรผูกเร่ืองเพื่อจำเร่ืองรำวน้ันๆ
ได้ดี
2. ผู้ที่เรียนรู้ทำงโสตประสำท (Auditory Learner) จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดถ้ำได้พูด ได้ฟังจะไม่
สนใจรูปภำพใดๆ แต่ชอบและสนใจในสิ่งที่ได้ฟังซ้ำๆ ชอบเล่ำเร่ืองให้คนอื่นฟังเวลำอ่ำนหนังสือ
จะต้องอ่ำนออกเสียงดังๆ จึงจะจดจำได้ดี
3. ผทู้ ี่เรยี นรู้ทำงร่ำงกำยและควำมรู้สึก (Kinesthetic Learner) จะเรียนรู้ผ่ำนทำงควำมรู้สึก
กำร เคลื่อนไหวและร่ำงกำยจึงจะจดจำได้ดีต้องมีกำรสัมผัสและเกิดควำมรู้สึกที่ดีต่อสิ่งที่เรียนด้วย
เวลำน่งั เรยี นจะไม่อยู่นิง่ ๆ จะไม่สนใจบทเรียนเท่ำที่ควร ไม่สำมำรถจดจ่อกบั สิ่งใดสิง่ หน่งึ ได้นำนๆ
กำรพฒั นำโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนแห่งกำรเรียนรู้นน้ั Senge (2000) ได้เสนอแนะเพิ่มเติม
ว่ำเกีย่ วกับโรงเรียนแหง่ กำรเรียนรู้ ว่ำจำเป็นต้องปรับภำยในโรงเรียนในประเดน็ ต่อไปนี้
1. กำรเรียนกำรสอนของโรงเรียนต้องเน้นกำรยึดผู้เรยี นเปน็ สำคญั (Learner – Centered)
มำกกว่ำยึดผสู้ อนเป็นศนู ย์กลำง (Teacher – Centered)
2. ในกำรดำเนินงำนต้องกระตุ้น และให้กำรยอมรับถึงควำมสำคัญของควำมหลำกหลำย
(Diversity) แทนกำรทำแบบเดียวกัน (Homogeneity) เช่น กำรจัดทำหลักสูตรและกำรจัดกิจกรรม
ต่ำงๆ ของโรงเรยี น จงึ ตอ้ งยึดหลักกำรของทฤษฏีพหปุ ญั ญำ (Multiple Intelligences) เป็นต้น
3. สร้ำงควำมเข้ำใจและยอมรบั ว่ำ ในกำรเปลีย่ นแปลงนั้น ทุกองค์ประกอบจะต้องเกี่ยวพัน
และส่งผลกระทบต่อกนั ตลอดเวลำ ดังนน้ั กำรจัดกำรเรียนรู้ใหน้ กั เรียน จะต้องละเว้นกำรสอนแบบที่
มุ่งเน้นควำมจำ ข้อเท็จจริงหรือกำรให้ผู้เรียนพยำยำมค้นหำเฉพำะคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบ
เดียวเท่ำน้ัน
4. ต้องช่วยกันให้ทุกคนร่วมกันเรียนรู้ เพื่อแสวงหำ และค้นคว้ำทดลองหำทฤษฎีใหม่ๆ ที่
สำมำรถนำมำใช้ในทำงกำรศกึ ษำได้อย่ำงเหมำะสม และอย่ำงกว้ำงขวำงโดยสมำชิกของโรงเรียน
101
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
5. ต้องบูรณำกำร กำรจัดกำรศึกษำของโรงเรียน เข้ำกับเครือข่ำยควำมสัมพันธ์ทำงสังคม
ตัวอย่ำงเชน่ เช่อื มโยงโรงเรียนเข้ำกับครอบครวั ตลอดจนหน่วยงำนต่ำงๆ ท้ังภำคเอกชนและภำครัฐ
ทีป่ ระกอบเปน็ ชมุ ชนโดยรวม เปน็ ต้น
กำรตอบสนองกระแสเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วของโลกในปัจจุบัน ทำให้สถำนศึกษำ
ตระหนักถึงควำมสำคญั ของกำรพฒั นำกำรเรียนรขู้ องครู เพื่อให้ทนั ต่อเหตุกำรณ์ ได้มีควำมพยำยำม
ในกำรที่จะปฏิรูประบบกำรศึกษำของประเทศ โดยยึดผู้เรียนเป็นหลัก มุ่งให้เด็กเป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้
ค รู ใ น ฐ ำ นะ ผู้น ำ ก ำ รเ รีย นรู้ จึง ต้ อง หำ แน ว ท ำ งใ นก ำร พั ฒ นำ ต นเ อง ใ ห้ มีคุ ณส ม บัติ เ พี ย ง พ อ ใ น
กำรพฒั นำวิชำชีพ เพ่ือให้สำมำรถแข่งขนั กบั สำกลได้อย่ำงมศี กั ดิ์ศรี
การเป็นบคุ คลแหง่ การเรียนรู้
ในปัจจุบันสังคมไทยเป็นสังคมฐำนควำมรู้ที่ส่งเสริมกำรเรียนรู้ที่ต้องใช้ควำมรู้และ
นวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในกำรพัฒนำและจำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องเ สริมสร้ำงควำมรู้ที่เข้มแข็ง
ให้กับประเทศชำติให้ทันกับภำวกำรณ์เปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ฉะน้ันกำรจะมีชีวิตอยู่ในสังคม
ปัจจุบันอย่ำงรู้เท่ำทันกำรเปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองให้เป็นบุคคลแห่ง
กำรเรียนรู้ และด้วยวิชำชีพซึ่งครูต้องเป็นแบบอย่ำงที่ดีแก่ผู้เรียนและสังคมกำรเป็นครูในยุคปัจจุบัน
จึงต้องมีควำมรู้ ควำมเข้ำใจในเร่ืองต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องกับควำมเคลื่อนไหวต่ำงๆ ของข้อมูล ข่ำวสำร
และควำมรู้ เพื่อกำรพัฒนำสถำนศึกษำเป็นอีกทั้งยังช่วยในกำรเสริมสร้ำงควำมเป็นผู้นำ ส่งผลต่อ
กำรเป็นผู้นำทำงกำรเรียนรู้ของครู เพื่อครูจะได้มีบทบำทในกำรช่วยสร้ำงสังคมในประเทศและ
เพื่อกำรทำหน้ำทีค่ วำมเปน็ ครูที่สมบรู ณ์
กระบวนสำคัญในกำรพัฒนำประเทศ คือกำรพัฒนำครู กล่ำวคือ ถ้ำครูที่มีคุณภำพก็จะ
สำมำรถนำศักยภำพไปใช้ในกำรสอนคนในประเทศให้มีคุณภำพต่อไป ครูจึงเป็นบุคคลสำคัญยิ่งของ
กำรศึกษำ เพรำะกำรศึกษำเป็นเคร่ืองมือในกำรพัฒนำทรัพยำกรมนุษย์อันจะส่งผลต่อกำรพัฒนำ
สังคมและประเทศชำติ โดยตรง กำรศึกษำจึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นปัจจัยหลักในกำรพัฒนำคนให้มี
คุณภำพ (เปรอ่ื ง กิจรตั นภ์ ร, 2554) บุคคลทีม่ คี วำมสำคัญเพื่อให้กำรจดั กำรศึกษำและจัดกำรเรียนรู้
ให้บรรลุตำมเป้ำหมำยทีก่ ำหนดไว้ของประเทศ คือ “ครู” เพรำะครูเป็นผู้ปฏิบัติหน้ำที่ในกำรอบรมสั่ง
สอน และจดั กิจกรรมกำรเรยี นกำรสอนเพื่อพฒั นำผเู้ รียนครูจึงต้องมีกำรพัฒนำตนเองอย่ำงต่อเน่ือง
เพือ่ ให้สำมำรถจัดกำรเรียนกำรสอนให้เหมำะสม โดยคำนึงถึงศักยภำพและควำมแตกต่ำงผู้เรียนแต่
ละบุคคล ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เต็มศักยภำพเต็มควำมสำมำรถของตน “ครู” จึงเป็น
ผทู้ ีม่ บี ทบำทสำคัญในจดั กำรศกึ ษำให้ผู้เรยี นเกิดพัฒนำกำรท้ังทำงดำ้ นรำ่ งกำย ด้ำนอำรมณ์ ด้ำน
102
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
สังคม และด้ำนสติปัญญำอย่ำงครอบคลมุ สมดุลและกลมกลืนทุกด้ำน เพื่อให้ผู้เรียนสำมำรถดำเนิน
ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่ำงปกติสุข "ครู" จำเป็นต้องรู้จักเปิดใจ เปิดสมอง ในกำรยอมรับควำมคิดเห็น
หรอื ควำมรใู้ หม่แล้ว กำรรจู้ กั พฒั นำตนเองใฝ่รู้ศึกษำหำควำมรู้ใหม่ตลอดเวลำ นำควำมรู้ นวัตกรรม
และเทคโนโลยีใหมๆ่ มำพัฒนำกำรเรียนกำรสอนให้มคี ุณภำพมำกยิง่ ข้ึนอกี ด้วย
ความหมายของบุคคลแห่งการเรียนรู้
องค์กรและนกั วิชำกำรที่ได้ให้ควำมหมำยของ บุคคลแห่งกำรเรียนรู้ไว้มำกมำย และผู้เขียน
ขอนำควำมหมำยในบำงสว่ นมำเรียบเรียงให้ได้ทำควำมเข้ำใจถึงควำมหมำยของบคุ คลแห่งกำรเรียน
รู้ไว้ดังตอ่ ไปนี้
สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (2551) ได้ให้ควำมหมำยไว้ว่ำ บุคคล
แห่งกำรเรียนรู้ หมำยถึง บุคคลที่มีคุณลักษณะนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึง ควำม
กระตือรือร้น สนใจเสำะแสวงหำควำมรู้อยู่เสมอ มุ่งม่ันที่จะเพิ่มประสิทธิภำพในกำรเรียนรู้และ
สำมำรถนำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่ำงเหมำะสม กำรเรียนรู้อำจทำได้หลำยวิธี เช่น กำรอ่ำน
หนังสือหรือวำรสำรที่มีประโยชน์ ดูรำยกำรโทรทัศน์หรือฟังวิทยุที่มีสำระ ค้นคว้ำหำควำมรู้ผ่ำน
เครือข่ำยคอมพิวเตอร์ ซักถำมข้อมูลจำกผู้รู้ รวมท้ังสำมำรถจับใจควำมสำคัญเพื่อแยกแยะ และ
เลือกสำระข้อมลู ที่ได้มำอย่ำงมเี หตุผล
กำรเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้บุคคลน้ันได้ชื่อว่ำเป็นบุคคลแห่งกำรเรียนรู้ โดยมี
กระบวนกำรซึ่งผู้เรียนแต่ละคนมีควำมกระตือรือร้นในกำรเรียนรู้ มีนิสัยรักกำรอ่ำนและค้นคว้ำหำ
ควำมรู้ มีควำมตงั้ ใจและต้องกำรที่จะเรียนรู้ สำมำรถวำงแผนกำรเรียนและกำหนดเป้ำหมำยในสิ่งที่
ตนต้องกำรเรียนรู้ และแสวงหำแหล่งเรียนรู้ในเร่ืองที่ตนต้องกำรเรียนรู้ เลือกวิธีกำรเรียนรู้รวมท้ัง
ประเมินสรปุ ประเด็นจำกกำรเรียนรดู้ ้วยตนเอง โดยควำมพร้อมในกำรเรียนรดู้ ้วยตนเองของแต่ละคน
จะแตกต่ำงกนั ไป (หนง่ึ ฤทยั โสภำ, 2552)
จำกควำมหมำยดังกล่ำว สรุปได้ว่ำ บุคคลแห่งกำรเรียนรู้ หมำยถึง ผู้ที่มีนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียน
ต้องกำรพัฒนำควำมรู้ที่ตนเองมี เป็นบุคคลที่มีควำมตระหนักถึงควำมสำคัญ ควำมจำเป็นของกำร
เรียนรู้เพื่อให้มีทักษะที่สำคัญในกำรใช้ชีวิตในสังคมและกำรทำงำน มีกำรแสดงออกถึงควำม
กระตือรือร้นในกำรเรียนรู้ มีควำมสุขกับกำรได้รับควำมรู้ใหม่สนุกศรัทธำ และชื่นชมยินดีกับผู้ที่มี
ควำมรู้ มีกำรพัฒนำวิธีกำรเรียนรู้ให้ทันสมัย เป็นผู้ใฝ่ดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีทักษะในกำรเสำะ
แสวงหำควำมรใู้ นสังคม มีทักษะกำรสอ่ื สำรสำมำรถทำงำนร่วมกับผู้อื่น พัฒนำบุคลิกภำพเพื่อควำม
เปน็ สมำชิกที่ดขี องสงั คม มีควำมสขุ กบั กำรใชช้ ีวติ อยู่ในสงั คม
103
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
หำกเรำสำมำรถหำแนวทำงในกำรพัฒนำครูให้เป็นผู้ที่มีควำมฉลำดทำงจิตวิญญำณสูงได้
แล้ว ครูก็จะเป็นผู้ถึงพร้อมท้ังทำงด้ำนร่ำงกำย อำรมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญำ รวมถึงกำร
ยกระดับข้ันจิตวิญญำณอันจะนำไปสู่กำรประสบควำมสำเร็จของท้ังตัวครูและสังคมต่อไป กล่ำวคือ
หำกครูเป็นผู้ที่มีควำมฉลำดทำงจิตวิญญำณสูงก็จะเป็นผู้ที่สำมำรถทำงำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ
อันจะส่งผลใหน้ กั เรียนได้รับควำมรู้ควำมสำมำรถจำกครูผสู้ อนอย่ำงเต็มที่ และมีคณุ ภำพอีกด้วย
สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (2551) ได้กล่ำวถึงทักษะพื้นฐำน
สำคัญของกำรเป็นบุคคลแห่งกำรเรียนรู้ คือ บุคคลแห่งกำรเรียนรู้ต้องมีทักษะในกำรฟัง กำรถำม
กำรอำ่ น กำรคิด กำรเขียน และกำรปฏิบตั ิ โดยอธิบำยได้ดังนี้
1. มีทักษะกำรฟัง เพื่อทำให้รับรู้ข้อมูลข่ำวสำร ซึ่งมีควำมสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกำรคิดและ
กำรพูด
2. มีทักษะในกำรถำม เพื่อทำให้เกิดกระบวนกำรคิด กำรเรียนรู้ในเร่ืองน้ันๆ เนื่องจำก
คำถำมทีด่ ที ำให้เกิดกำรเรยี นรู้ได้ต้ังแตร่ ะดบั กำรจำไปจนถึงระดบั กำรคิดวิเครำะหแ์ ละประเมินค่ำ
3. มีทักษะกำรอ่ำน เพื่อทำให้รับรู้ข้อมูลข่ำวสำร ซึ่งนอกจำกทักษะกำรอ่ำนข้อควำมจะ
รวมถึงกำรอำ่ นสถิติ ข้อมูลเชิงคณิตศำสตร์ตำ่ งๆ ด้วย
4. มีทกั ษะกำรคิด ทำให้บุคคลมองกำรณ์ไกล สำมำรถควบคุมกำรกระทำของตนใหเ้ ป็นไป
ตำมเจตนำรมณ์ กำรคิดอย่ำงมีเหตุผลและมีวิจำรณญำณมีผลต่อกำรเรียนรู้ กำรตัดสินใจ และ
กำรแสดงพฤติกรรม
5. มที กั ษะกำรเขียน ซึ่งเป็นควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด ทัศนคติ และ
ควำมรสู้ ึกออกมำเปน็ ลำยลักษณ์อักษรให้ผู้อน่ื เข้ำใจ ซงึ่ เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่ำงยิ่งต่อกำรหำควำมรู้
เนือ่ งจำกบนั ทึกเหตกุ ำรณ์ ข้อมูล ควำมจริง ใช้เปน็ หลักฐำนเพื่อเปน็ ประโยชน์ตอ่ ไปได้
6. มีทักษะกำรปฏิบตั ิ ซึ่งเป็นกำรลงมือกระทำจรงิ อย่ำงมรี ะบบเพื่อค้นหำควำมจริงและ
สำมำรถสรปุ ผลอย่ำงมเี หตุผลได้ด้วยตนเองเพื่อนำไปใช้ในกำรแก้ปัญหำได้
104
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ทักษะการปฏบิ ตั ิ ทักษะการฟงั
ทักษะการเขียน บคุ คลแหง่ การเรียนรู้ ทกั ษะการถาม
ทักษะการคดิ ทักษะการอา่ น
ภาพประกอบ 12 ทักษะพืน้ ฐำนสำคัญต่อกำรเปน็ บุคคลแห่งกำรเรียนรู้
ทม่ี า: ศรุดำ ชยั สุวรรณ. (2558). ความเปน็ ครูมอื อาชีพ. หน้ำ 93.
นอกจำกนี้ ยนต์ ชุ่มจิต (2553) ได้แสดงทัศนะต่อคุณลักษณะบุคคลแห่งกำรเรียนรู้ว่ำ
บคุ คลแห่งกำรเรียนรคู้ วรมีคณุ ลกั ษณะ ดังน้ี
1. เป็นบคุ คลทีเ่ รยี นรู้ด้วยตนเอง กำรเรียนรดู้ ้วยตนเองคือ กระบวนกำรทีบ่ ุคคลมีควำมคดิ
ริเริ่มด้วยตนเอง สำมำรถวิเครำะห์ควำมต้องกำรของตนเอง กำหนดเป้ำหมำยในกำรเรียน วำงแผน
กิจกรรมกำรเรียนรู้ มีแรงจูงใจภำยในในกำรเรียนอยู่เสมอ สำมำรถประเมินตนเองในกำรเรียนได้ มี
ควำมเป็นตัวของตัวเอง สำมำรถดูแลตนเองได้ มีควำมยืดหยุ่นในกำรเรียนรู้ โดยอำจปรับเปลี่ยน
เป้ำหมำยหรือวชิ ำเรียนเพือ่ ใหบ้ รรลุเป้ำประสงค์ของกำรเรียน
2. ให้โอกำสต่อกำรเรียนรู้ หมำยควำมว่ำ เป็นบุคคลที่พยำยำมหำโอกำสที่จะเรียนรู้สิ่ง
ต่ำงๆ อยู่เสมอ มีควำมสนใจที่จะเรียน ชอบศกึ ษำค้นคว้ำหำควำมรเู้ พิม่ เติมอยู่เสมอ มีควำมพยำยำม
ที่จะทำควำมเข้ำใจในเร่ืองที่คนอื่นคิดว่ำเป็นเร่ืองที่ยำก และจะเกิดควำมภำคภูมิใจเม่ือได้กระทำ
ภำรกิจกำรงำนสำเรจ็
3. มีมโนทัศนต์ ่อกำรเป็นผู้เรยี นทีม่ ปี ระสิทธิภำพ หมำยควำมว่ำ เปน็ บคุ คลที่มคี วำมมงุ่ ม่ัน
ในกำรเรียน เมือ่ เรยี นสิ่งใดกจ็ ะเรียนอย่ำงจรงิ จัง เพือ่ ให้เกิดผลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรยี นที่ดีที่สุดมีวิธีกำร
เรียนหลำยรูปแบบ สำมำรถแบ่งเวลำเรียนกับกำรทำงำนอย่ำงอื่น มีควำมสุขในกำรแก้ปัญหำที่ยำก
และสำคัญ เป็นคนรู้จกั เสำะแสวงหำแหลง่ ขอ้ มลู เพือ่ กำรเรียนรู้
105
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
4. มีควำมคิดริเริ่มและมีอิสระในกำรเรียน กล่ำวคือ ไม่เป็นคนเลือกเรียนตำมเพื่อนหรือ
ตำมคำบอกเล่ำของผู้อื่น และไม่ท้อถอยต่อกำรเรียนแม้มีสิ่งไม่เข้ำใจในเร่ืองที่กำลังเรียน หรือมี
ปญั หำในกำรเรยี นกพ็ ยำยำมแก้ปญั หำได้ดว้ ยตนเอง
5. มีควำมรับผิดชอบต่อกำรเรียนรู้ด้วยตนเอง หมำยควำมว่ำ เป็นบุคคลที่มีควำมรับผิด
ชอบต่อกำรเรียนสิ่งต่ำงๆ ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นตักเตือน มีควำมสำนึกรู้ว่ำกำลังทำอะไร
และสำนกึ ว่ำตนมปี ัญญำพอทีจ่ ะเรียนรู้สง่ิ นนั้ ๆ
6. มีควำมรักในกำรเรียนรู้ กล่ำวคือ เป็นบุคคลที่มีนิสัยใฝ่เรียนใฝ่รู้และใฝ่ดี ต้องกำรที่จะ
เรียนรู้ มีควำมกระตือรือร้นในกำรเรียนรู้ สนุกกับกำรศึกษำค้นคว้ำควำมรู้ใหม่ๆ และมีควำมชื่นชม
ยินดีกับบุคคลอืน่ ทีไ่ ด้มโี อกำสเรียน
7. มีควำมคิดสร้ำงสรรค์ หมำยควำมว่ำ เป็นบุคคลที่มีควำมคิดที่จะกระทำสิ่งต่ำงๆ ได้
พยำยำมหำแนวทำงเรยี นรู้สิง่ ใหมๆ่ อยู่เสมอ
8. มองอนำคตในแง่ดี หมำยควำมว่ำ เป็นบุคคลที่มองกำรณ์ไกล ใช้ปัญญำหรือมีวิสัยทัศน์
คิดถึงควำมเจริญก้ำวหน้ำในอนำคต มองปัญหำเป็นสิ่งท้ำทำยให้ต้องเผชิญและเข้ำไปแก้ไข มี
จุดมงุ่ หมำยในชีวติ และต้องกำรเรียนรตู้ ลอดชวี ิต
9. มีควำมสำมำรถในกำรใช้ทักษะพื้นฐำนต่อกำรศึกษำ กล่ำวคือ เป็นบุคคลที่มีควำม
สำมำรถในกำรอ่ำน กำรเขียน กำรฟัง และกำรจดจำต่อกำรศกึ ษำวิชำกำรตำ่ งๆ และมีควำมสำมำรถ
ในกำรแก้ปญั หำท้ังปัญหำเฉพำะหนำ้ และปัญหำระยะยำว
สรปุ ว่ำ แนวทำงพัฒนำให้เป็นบคุ คลแหง่ กำรเรียนรู้ ต้องตระหนักถึงควำมสำคัญและควำม
จำเป็นของกำรเรียนรู้ กำรมีควำมใฝ่รู้และพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอกำรเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นเร่ืองที่
ต้องเกิดขึ้นและมีควำมต่อเนื่องเป็นปกติวิสัยในชีวิตประจำวันของคนทุกคน ทุกวัน พัฒนำตนเองให้
เป็นบคุ คลแหง่ กำรเรยี นรู้ในศตวรรษ 21 กำรเรียนรู้เกิดขึ้นได้ในทุกเวลำ ทุกสถำนที่ของคนทุกคน ใน
ทุกสภำพแวดล้อมที่เหมำะสม ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลง ทันโลก ทันเหตุกำรณ์ ท้ังด้ำนนวัตกรรม
สำรสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี ตลอดจนกำรพัฒนำทกั ษะทีเ่ กี่ยวข้องกับกำรดำเนินชีวิตของบุคคลใน
ทกุ ๆ ดำ้ นสำมำรถเรียนรไู้ ด้ตลอดชีวติ
106
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
ภาวะผนู้ าการเรียนรู้
ผู้นำ (Leader) และภำวะผู้นำ (Leadership) เป็นคำที่มีควำมสัมพันธ์กัน เม่ือมีผู้นำก็ต้องมี
ภำวะผู้นำของคนนน้ั ซึง่ เป็นคุณสมบตั ิของควำมเปน็ ผู้นำที่อยู่ในตนเองทีท่ ำให้ผอู้ ื่นรู้สึกสัมผัส กำรนำ
เปน็ ทั้งศำสตร์และศิลป์ ผนู้ ำจงึ ตอ้ งเป็นผู้ทีม่ ที ั้งศำสตร์และศิลป์อยู่ในตนเอง ที่จะสร้ำงควำมโดดเด่น
ในกลุ่ม ทำให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มที่จะให้ควำมไว้วำงใจและเชอ่ื ใจว่ำสำมำรถนำพำไปสู่ควำมสำเร็จ
ทำให้ได้รับควำมร่วมมือและที่นอกเหนือไปจำกน้ันคือกำรได้รับควำมเคำรพนับถือ
Certo (2003) กล่ำวว่ำ ผู้นำจะต้องมีจิตวิญญำณ อันได้แก่ มีวิสัยทัศน์ (Visionary) มีควำม
รักเห็นอกเห็นใจ (Passionate) มีควำมคิดสร้ำงสรรค์ (Creative) มีควำมยืดหยุ่น (Flexible) มี
ควำมสำมำรถในกำรสร้ำงแรงบันดำลใจ (Inspiring) มีนวัตกรรมใหม่ (Innovative) มีควำมกล้ำ
(Courageous) มีจินตนำกำรสูง (Imaginative) ชื่นชอบกำรทดลอง (Experimental) และมีควำมเป็น
อิสระเปน็ ตัวของตวั เอง (Independent)
ผนู้ ำที่ประสบควำมสำเรจ็ สงู สดุ คอื ผเู้ รียนรู้ และเปน็ กระบวนกำรที่เกิดข้ึนอย่ำงตอ่ เนือ่ ง
ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงช่วงเวลำหนึ่งเท่ำนั้น เป็นผลจำกกำรมีวินัยในตนเอง ควำมวิริยะอุตสำหะ ในแต่ละ
วันต้องมีกำรเรียนรู้และทำทุกสิ่งทุกอย่ำงให้ดีมำกขึ้นเร่ือยๆ ดังที่ Kouzes และ Posner (2016) ได้
เสนอแนะ 5 หลักกำรสำคัญสู่กำรเป็นผู้นำที่โดดเด่น ได้แก่ 1) ควำมเชื่อว่ำสำมำรถทำได้ 2) สร้ำง
แรงบนั ดำลใจ 3) สร้ำงควำมท้ำทำยใหก้ ับตนเอง 4) ปฏิสัมพันธ์และสร้ำงเครือข่ำยกับสมำชิกในกำร
สนับสนุนช่วยเหลือ และ 5) ลงมือทำอย่ำงรอบคอบและมีจุดมุ่งหมำย และยังสรุปเพิ่มเติมอีกว่ำ
ภำวะผู้นำเป็นลักษณะนิสัยและต้องเสริมให้แขง็ แกร่งข้ึนในกำรทำงำนทุกๆ วัน มีกำรเรียนรู้อย่ำงไม่มี
ที่สิ้นสุด (Seijts, 2013) ดังนั้นจึงต้องมีกำรพัฒนำคุณลักษณะของผู้นำพร้อมกับนำควำมรู้มำพัฒนำ
องค์กำรและสร้ำงวัฒนธรรมกำรทำงำนที่ส่งผลต่อประสทิ ธิภำพประสิทธิผลต่อไป
ภำวะผู้นำแหง่ กำรเรยี นรู้ (Learning Leadership) จะเน้นกำรทำงำนทีม่ ุ่งผลสมั ฤทธิ์ โดยเน้น
กำรวำงแผนกลยุทธ์ กำรใช้ควำมคิดกลยุทธ์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในกำรเรียนรู้ โดย
มุ่งพัฒนำโรงเรียนไปสู่โรงเรียนที่มีประสิทธิผลหรือคุณภำพ Neuman & Simmons (2013) มี
กำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบทบำทของผู้นำจำกกำรกำกับควบคุมประสิทธิผลของโรงเรียนสู่กำรให้
กำรสนับสนุน อำนวยควำมสะดวก เน้นกำรสอนงำนและนิเทศงำนแก่บุคลำกร เพื่อแสวงหำควำมรู้
ใหม่มำพัฒนำงำนอยู่เสมอเป็นบุคคลแห่งเรียนรู้ พัฒนำศักยภำพภำวะผู้นำให้เข้มแข็ง พัฒนำกำร
เรียนรู้อย่ำงมอื อำชีพ ใช้ขอ้ มูลในกำรตัดสินใจและใช้ทรพั ยำกรอย่ำงสรำ้ งสรรค์ (Deborah, 2002)
107
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
แนวคิดของ Tubin (2013) สรุปไว้ว่ำ ภำวะผู้นำกำรเรียนรู้เหมำะสมกับยุคปัจจุบันเพรำะ
เป็นกำรส่งเสริมให้เกิดทักษะกำรเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 อย่ำงแท้จริง เนื่องจำกมีกำรจัด
สภำพแวดล้อมที่เอือ้ ในกำรเรียน กำรออกแบบและพัฒนำ มีนวัตกรรมเพื่อตอบสนองควำมต้องกำร
ของผู้เรียน มีกำรจัดกำรเรียนกำรสอนที่สอดคล้องกับควำมต้องกำรของผู้เรียน อันจะส่งผลให้เกิด
กำรจัดกำรเรียนรู้ประสบควำมสำเร็จและเกิดกำรพัฒนำอย่ำงย่ังยืน ผู้นำเกิดควำมคิดสร้ำงสรรค์
และควำมกล้ำหำญในกำรออกแบบนวัตกรรมต่ำงๆ มำใช้ในหน่วยงำนอันก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลง
ให้เกิดขึ้นในหน่วยงำน รวมท้ังเสริมสร้ำงควำมเป็นมืออำชีพของครูในศตวรรษที่ 21 และจำกกำร
ประเมินกำรเรียนรู้ของตนเอง ก่อให้เกิดกำรปฏิสัมพันธ์ทำงสังคมผ่ำนกำรมีส่วนร่วมของชุมชนกำร
เรียนรู้ทำงวิชำชีพ และเครอื ข่ำยกำรเรียนรู้ มีกำรกำหนดบทบำทนโยบำยหลักอยู่ในกำรสร้ำงเง่ือนไข
เพื่ออำนวยควำมสะดวกในกำรเรียนรเู้ ครือขำ่ ยแบบมอื อำชีพ
ทั้งนี้ กนกอร สมปรำชญ์ (2560) ได้ระบุคุณลกั ษณะภำวะผนู้ ำกำรเรียนรู้ประกอบด้วย
1. ควำมคิดสร้ำงสรรค์และควำมกล้ำ
2. กำรสรำ้ งสภำพแวดล้อมที่ทรงพลังเอือ้ ต่อกำรเรียนรู้และกำรเกิดนวัตกรรม
3. ควำมยดื หยุ่น
4. กำรบูรณำกำร ของศำสตรแ์ ละเทคนิควิธี
5. เทคโนโลยใี นกำรบริหำรจัดกำรและกำรเรียนรู้
6. กำรเรียนรเู้ ป็นทีม
7. กำรเรียนรดู้ ้วยกำรนำตนเอง
8. กำรเปลีย่ นแปลงและมีควำมเฉพำะตวั (Tailor Made)
9. ควำมพอเพียง
10. กำรวิจยั และพัฒนำ
ธีระ รุญเจริญ (2562 ก.) ได้กล่ำวถึงภำระผนู้ ำกำรเรียนรู้ ต้องมีคุณสมบัติดังน้ี
1. นำกำรเรียนรู้ดว้ ยกำรพึ่งตนเอง
2. นำกำรใช้ส่อื ดิจทิ ลั เพือ่ กำรเรียนรู้
3. ปฏิบัติตนเปน็ แบบอย่ำงของครูและนักเรียน
4. พฒั นำควำมคล่องทำงดจิ ทิ ัล
5. พัฒนำขดี ควำมสำมำรถใหม่ๆ
6.เต็มใจทีจ่ ะทดลอง และปฏิบตั ิจริง
7. นำกำรปรบั เปลี่ยนทั้งควำมรู้ ทกั ษะ และคณุ ลักษณะที่พึงประสงค์
108
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
จำกที่กล่ำวมำ สรุปได้ว่ำ ภำวะผู้นำกำรเรียนรู้ หมำยถึง กำรแสดงออกถึงควำมใฝ่รู้ ชอบ
เรียนรู้ตลอดเวลำ มีควำมต้องกำรให้เกิดกำรพัฒนำกับตนเองและคนรอบข้ำงอย่ำงต่อเนื่อง และ
จำกกำรเรียนรู้นั้นสง่ ผลในกำรคิดสรำ้ งสรรค์ เพื่อแสวงหำควำมรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ แสดงออกถึงควำม
คล่องแคล่วว่องไวในกำรสรรหำข้อมูลใหม่มำปรับเปลี่ยนและพัฒนำงำน ควำมกล้ำหำญในกำร
ออกแบบนวัตกรรมต่ำงๆ สำมำรถตอบสนองต่อกำรเปลี่ยนแปลง รวมท้ังเสริมสร้ำงควำมเป็นมือ
อำชีพ ควำมสำมำรถในกำรปรับเปลี่ยนควำมคิด โน้มน้ำว กระตุ้น และปลุกระดมคนในทีมให้ทำงำน
จนบรรลเุ ป้ำหมำยเดียวกัน
ภาวะผ้นู าการเรียนรขู้ องครใู นอนาคต
ครูจะต้องมีควำมใฝ่เรียนรู้ และแสวงหำควำมรู้ที่เกี่ยวกับวิชำชีพใหม่ๆ เพื่อกำรพัฒนำ
ตนเองอย่ำงสม่ำเสมอ โดยครูจะต้องศึกษำควำมต้องกำรของผู้รับบริกำรอันหมำยถึง ผู้เรียน
ผู้ปกครองและชุมชน เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในกำรปรับปรุงและพัฒนำระบบให้บริกำร และกล้ำที่จะ
เผชิญกับอุปสรรคและควำมขัดแย้งทำงควำมต้องกำร เพื่อให้เกิดกำรพัฒนำอย่ำงเป็นรูปธรรม
สิ่งเหล่ำนีส้ ะท้อนให้เหน็ วำ่ กำรมงุ่ ม่นั ในกำรพฒั นำกำรปฏิบัติงำนของครนู อกเหนือจำกควำมสำมำรถ
ในกำรมอี ิทธิพลด้ำนกำรเรียนกำรสอนแล้วยังครอบคลมุ ถึงกำรเป็นแบบอย่ำงที่ดีในกำรพัฒนำระบบ
บริกำรแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกำรจัดกำรศึกษำของโรงเรียนอีกด้วย โดยแสดงบทบำทผู้นำและ
ผู้ตำมในกำรทำงำนร่วมกับผู้อื่นได้อย่ำงเหมำะสม เพื่อเสริมสร้ำงกำรทำงำนเป็นทีมเพื่อร่วมกัน
พฒั นำคุณภำพกำรศกึ ษำของโรงเรียน (สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขั้นพ้ืนฐำน, 2553)
ครูรุ่นใหม่ควรมีควำมสำมำรถในกำรจัดกระบวนกำรเรียนกำรสอนในแนวใหม่ๆ สำมำรถ
ชี้แนะให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง พัฒนำให้มีควำมสำมำรถในกำรคิดวิเครำะห์ มีควำมรับผิดชอบ มี
จติ สำนึกต่อสงั คม และรู้จกั ทีจ่ ะสร้ำงสรรคส์ ิ่งใหม่ๆ ให้กบั สงั คมได้มำกขึ้น กระบวนกำรของสังคมยุค
ใหม่เปน็ กระบวนกำรทีค่ รไู ม่สำมำรถ จะใช้วธิ ีกำรแบบเดิม เช่น กำรบรรยำย กำรบอกควำมรู้ เพื่อให้
เด็กเกิดกำรแสวงหำให้เกิดกำรเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ครูที่มีคุณลักษณะสอดคล้องกับหน้ำที่ควำม
รับผิดชอบในกำรจัดกระบวนกำรเรียนรู้แบบครูรุ่นใหม่ ต้องเป็นผู้นำในทำงวิชำกำรด้วย (ไพฑูรย์
สินลำรัตน,์ 2556)
ปัจจุบันภำวะผู้นำครูเป็นประเด็นสำคัญที่นำสู่กำรปฏิบัติ ในกำรพัฒนำวิชำชีพครูหลักกำร
สำคัญของครผู ู้นำคือ กำรใชค้ รูเปน็ ศนู ย์กลำงในกำรเปลี่ยนแปลงและพัฒนำนวัตกรรมด้ำนกำรเรียน
กำรสอนในลักษณะให้ครูที่มีควำมเชี่ยวชำญใช้บทบำทกำรเป็นผู้นำจูงใจให้เพื่อนครูได้แลกเปลี่ยน
เรียนรู้เกี่ยวกับกำรเรียนกำรสอนบทบำทของครผู ู้นำจะหลำกหลำยจำกภำรกิจในเชิงบริหำรจดั กำร
109
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
ไปจนถึงกำรริเริ่ม และเอื้ออำนวยให้เกิดชุมชนกำรเรียนรู้ เพื่อพัฒนำวิชำชีพ (Professional Learning
Communities) เพือ่ เพิ่มผลสมั ฤทธิ์ให้กบั ผู้เรยี น
กำรมีควำมรู้ควำมสำมำรถของครูในกำรเรียนกำรสอนล้วนเป็นพฤติกรรมกำรแสดงภำวะ
ผนู้ ำที่ก่อให้เกิดกำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในประสิทธิภำพกำรทำงำนด้ำนกำรศึกษำของครู เพื่อที่จะ
พัฒนำคณุ ภำพกำรศกึ ษำของผู้เรยี นได้ดียิง่ ขนึ้ ท้ังน้ี กำรเปลี่ยนแปลงทำงกำรศึกษำจะเกิดขึ้นอย่ำงมี
ประสิทธิผลก็ต่อเม่ือบริหำรกระจำยบทบำทภำวะผู้นำลงไปสู่ครู เพื่อให้เกิดกำรริเริ่มสร้ำงสรรค์
สิ่งใหม่ๆ กระตุ้นให้ครูนำเพื่อนครูสู่กำรคิดและกำรปฏิบัติที่มุ่งเน้นนวัตกรรม สอดคล้องกับ ธีระ
รุญเจริญ (2562 ก.) ได้กล่ำวว่ำ ครูพึงมีภำวะผู้นำกำรเรียนรู้ ภำวะผู้นำเทคโนโลยีดิจิทัล จัด
กำรศึกษำที่เน้นพัฒนำนักเรียนให้เชื่อมต่อกับกำรดำเนินชีวิตและกำรทำงำน เป็นผู้ที่มีควำมรู้ใน
วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี มีควำมคิดเชิงวิเครำะห์และพัฒนำกำรคิดอย่ำงต่อเนื่อง มีสมรรถนะ
ควำมเป็นสำกล รอบรู้หลำยภำษำ อย่ำงน้อยใช้ภำษำอังกฤษได้เป็นอย่ำงดี โดยเน้นกำรพึ่งตนเอง
จดั กำรในสิ่งที่ซับซ้อนได้มจี รยิ ธรรม มีควำมอยำกรู้ มีควำมสุขในกำรเรียนรู้ก่อนที่จะพัฒนำควำมรู้มี
จติ บริกำร เพื่อให้ชีวติ ก้ำวหน้ำและมีควำมสขุ ในโลกปัจจบุ ัน
ผู้นำในอนำคตจะผูกพันต่อกำรเรียนรู้อย่ำงต่อเน่ือง ต้องหม่ันศึกษำหำควำมรู้และ
ประสบกำรณใ์ หม่ เพือ่ คงควำมมีทกั ษะควำมรทู้ ี่จำเปน็ ในยคุ ศตวรรษที่ 21 อยู่เสมอ ผู้นำจำเป็นต้อง
มีทักษะควำมรเู้ กีย่ วกับกำรเรียนรู้ กำรสร้ำงควำมรู้อย่ำงต่อเน่ือง สร้ำงสรรค์สภำพแวดล้อมอันทรง
พลังที่เอื้อต่อกำรเรียนรู้และนวัตกรรม มีทักษะกำรสื่อสำรและควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคล ทำงำน
และเรียนรู้กันเป็นทีม กำรบริหำรควำมขัดแย้งและเทคนิคกำรเจรจำต่อรอง นำ เทคโนโลยี
สำรสนเทศมำใช้ในกำรบริหำรและกำรจัดกำรเรียนรู้ มีควำมคิดสร้ำงสรรค์และสำมำรถบูรณำกำร
ควำมรู้และวิธีกำร มีกำรเปลี่ยนแปลงที่คำนึงถึงบริบท คุณลักษณะของภำวะผู้นำกำรเรียนรู้นี้มี
ควำมเป็นอัตลักษณ์ที่สำมำรถตอบสนองต่อกำรเปลี่ยนแปลง เป็นภำวะผู้นำที่สำมำรถขยำยขีด
ศักยภำพกำรเรียนรู้ของคนไทยในยุคปัจจุบัน และยังเป็นอัตลักษณ์ของผู้นำในยุคหลังสมัยใหม่
(Postmodern Era) ที่ควรมีกำรศึกษำและพัฒนำรูปแบบที่เหมำะสมกับบริบทสังคมไทย (กนกอร
สมปรำชญ์, 2560)
นอกจำกนี้ York-Barr and Duke (2004) ยังได้กล่ำวถึงคุณลักษณะของครูผนู้ ำในบทบำท
ของผู้นำ พอจำแนกได้ดงั น้ี
1. กำรสร้ำงควำมเช่ือถือ กำรช่วยเหลือส่งเสริมเพื่อนร่วมงำนกำรสร้ำงสัมพันธภำพทีม่ นั่ คง
กบั เพือ่ นรว่ มงำน
110
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
2. กำรทำงำนแบบทีมกลั ยำณมิตร กำรมอี ิทธิพลต่อวฒั นธรรมของโรงเรียนโดยผำ่ น
สัมพันธภำพที่ดีระหว่ำงครูและบคุ ลำกรในโรงเรียน
3. กำรมสี มรรถภำพในกำรสื่อสำรและทกั ษะในกำรฟัง
4. กำรมคี วำมสำมำรถในกำรจดั กำรกบั ควำมขัดแย้งสำมำรถทำให้เกิดกำรเจรจำและเกิด
กำรปรองดอง
5. กำรดำเนินกำรแบบเป็นระบบมีขั้นตอนกำรทำงำน
6. กำรมที กั ษะกระบวนกำรกลุ่ม
7. กำรมคี วำมสำมำรถในกำรประเมินตีควำมจัดอนั ดับควำมสำคญั
8. กำรมคี วำมเข้ำใจอย่ำงถ่องแท้เกี่ยวกบั นโยบำยและแผนงำนสำคญั ของโรงเรียน
9. กำรมคี วำมสำมำรถในกำรคำดกำรณ์ถึงผลกระทบที่เกิดข้นึ จำกกำรตดั สินใจโดย
ผบู้ ริหำรและครู
ครใู นอนำคตต้องเปน็ ผู้ทีม่ ที ักษะกำรทำงำนที่สำมำรถเชื่อมคนในทีมเข้ำด้วยกัน สร้ำงควำม
สมดุลให้กับสมำชิกและควำมต้องกำรของผู้รับบริหำรได้ และยกระดับประสิทธิภำพกำรทำงำนให้
มำกขึ้น ต้องมีควำมสำมำรถในกำรปรับเปลีย่ นควำมคิด โน้มน้ำว กระตุ้น และปลุกระดมคนในทีมให้
ทำงำนจนบรรลุเป้ำหมำยเดียวกัน ไม่ใช่มุ่งทำเป้ำเฉพำะกลุ่มของของตน ผ่ำนกำรเรียนรู้พัฒนำให้ดี
ขึน้ ทกุ วัน เปรียบเสมอื นเปน็ เหมอื นเข็มทิศในกำรเดินทำงทีช่ แี้ นะไปยงั จดุ มงุ่ หมำยปลำยทำง ให้ทุกคน
ในทีมสำมำรถเดินไปในทิศทำงที่ถูกต้อง มีกำรเตรียม Mindset ที่ดีด้วย เพรำะระหว่ำงทำงทีมอำจ
ต้องเผชิญกับปัญหำที่คำดไม่ถึง ท้ังน้ี เพือ่ ให้กำรทำงำนเกิดข้ึนในลกั ษณะแบบ Agile หรอื ครทู ีม่ ี
ผู้เขียนขอเสนอแนวคิดของภำวะผู้นำกำรเรียนรู้ของครูในอนำคตในลักษณะเป็นผู้นำแบบ
Agile จงึ ตอ้ งพฒั นำทักษะที่จำเปน็ ที่จะสนับสนนุ วฒั นธรรมกำรจดั กำรเรยี นรู้ ดงั น้ี
1. ความเปน็ ผู้นาแบบปราดเปรียว (Agile Leadership)
กำรปรับเปลี่ยนกำรทำงำนให้สอดคล้องกับสภำวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่ำงรวดเร็ว
กำรสร้ำงเวที และบรรยำกำศกำรทำงำนที่ผลักดันให้เพื่อนร่วมงำนหรือลูกน้องก้ำวขึ้นมำทำในสิ่งที่
อยำกทำโดยไม่ต้องรอคำสั่ง พูดคุยอย่ำงเป็นกันเอง โปร่งใส่ และจูงใจให้คนทำงำนร่วมกันได้ เปิด
โอกำสให้ทุกคนมีส่วนในกำรตัดสินใจและรับผิดชอบร่วมกัน ควำมใส่ใจในตัวคนในทีมถือเป็นสิ่ง
สำคัญมำกกว่ำผลลัพธ์ เพรำะผู้นำต้องส่งเสริมและสนับสนุนกำรทำงำน กระตุ้นให้ทุกคนในทีม
สำมำรถบรรลุเป้ำหมำยร่วมกันได้ ช่วยให้แต่ละคนทำหน้ำที่ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพสูงสุด ในขณะที่
รู้สกึ ดีกบั หนำ้ ทีท่ ี่ได้รบั มอบหมำยด้วย ครูในอนำคตต้องมีกำรทำงำนเปน็ แบบปรำดเปรียว (Agile)
111
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ซึ่งเน้นกำรปรับปรุงพัฒนำอยู่ตลอดเวลำ เป็นวิธีกำรทำงำนโดยสร้ำงทีมย่อยๆ เพื่อให้เกิดควำม
ยืดหยุ่นและมปี ระสิทธิภำพ ลดระยะเวลำในกำรทำงำน และสำมำรถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลำเม่ือมี
ปัญหำหรอื สถำนกำรณเ์ ปลีย่ นไป เพือ่ ตอบสนองตอ่ ลูกค้ำได้ทันควำมตอ้ งกำร
2. การเรียนร้สู ิ่งใหม่ๆ ได้อยา่ งรวดเรว็ (Learning Agility)
ครตู ้องมีควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่ำงรวดเร็ว กล้ำยอมรับว่ำตัวเองไม่รู้
ทิ้งควำมคิดว่ำตัวเองเก่ง และเชี่ยวชำญจำกประสบกำรณ์ที่เคยทำสำเร็จมำก่อน ผู้นำเช่นนี้เป็น
เหมือนน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว สำมำรถเรียนรู้ได้ตลอดเวลำแม้ในสถำนกำรณ์ที่แปลกใหม่ คำดเดำยำก
และไม่คุ้นเคย สำมำรถรับมือกับสภำพแวดล้อมทำงสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วในปัจจุบันได้
ทันท่วงที นอกจำกนี้ ยังสำมำรถส่งเสริมให้เพื่อนร่วมวิชำชีพเรียนรู้จำกควำมผิดพลำดและพัฒนำ
ทักษะด้วยตัวเอง สนับสนนุ คนในทีมมีโอกำสเก็บเกี่ยวประสบกำรณ์หรือบทเรียนที่แปลกใหม่ พร้อม
ท้ังให้ข้อมลู สะท้อนกลบั (Feedback) กบั ทุกคนในทีมได้อย่ำงตรงไปตรงมำและสมำ่ เสมอ
3. การคดิ อย่างสร้างสรรค์ (Critical Thinking)
ปัจจุบัน กำรคิดแก้ปัญหำได้ไม่เพียงพอกับกำรทำงำนในยุคดิจิทัลอีกต่อไป ผู้นำต้อง
สำมำรถคิดวิเครำะหป์ ญั หำ โดยใช้ตรรกะ เหตุผลมำประเมินปัญหำ รวมทั้งตีควำมข้อมูลต่ำงๆ รอบ
ด้ำนที่ได้รับออกมำ เพื่อตัดสินใจและประเมินสิ่งที่เป็นประเด็นในขณะนั้นอย่ำงแม่นยำและทันท่วงที
เพรำะกำรคิดที่ถูกจุดนำมำสู่กำรตัดสินใจที่ถูกต้อง ดังนั้น ทักษะ Critical Thinking จำเป็นอย่ำงมำก
ในยุคที่เทคโนโลยี และกำรสื่อสำรเข้ำถึงได้ง่ำย กระแสข้อมูลข่ำวสำรไหลเข้ำมำให้เรำทุกวัน เพื่อให้
ทนั คนอืน่ รับมอื กับโลกที่มกี ำรเปลีย่ นแปลงอย่ำงรวดเรว็ ครูจึงต้องพฒั นำทกั ษะนใี้ ห้มตี ิดตัวไว้
4. การจดั การปญั หาโดยเนน้ หาทางออก (Solution-focused Coaching)
กำรแก้ปญั หำหลำยๆ ปญั หำจนกลำยเป็นทักษะสำคญั ทีค่ รูตอ้ งฝึกฝน เป็นกำรโค้ชเพื่อ
กระตุ้นควำมเข้ำใจควำมเป็นจริงของสถำนกำรณ์ปัจจุบัน รวมท้ังวิธีคิดที่มีต่อสถำนกำรณ์ที่เกิดขึ้น
ของทีม สนับสนุนให้ทีมเกิดกำรสร้ำงสรรค์ทำงเลือกและวิธีจัดกำรกับสถำนกำรณ์น้ันๆ ด้วยตนเอง
กำรกระตนุ้ ให้เพื่อนรว่ มวิชำชีพในทีมรู้จักทำควำมเข้ำใจปัจจบุ ัน เพื่อแสวงหำทำงออกสำหรับอนำคต
แก้ปัญหำจำกสถำนกำรณ์น้ันๆ และจำกกำรเรียนรู้พัฒนำและต่อยอดอย่ำงต่อเน่ือง ซึ่งจะช่วยเพิ่ม
กำรตัดสินใจของเพื่อนร่วมวิชำชีพในทีมให้มีมำกขึ้น ในที่สุดจะเกิดวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดแรงจูงใจ
และเกิดควำมเช่ยี วชำญในสิ่งทีท่ ำมำกขึ้น
5. ความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดจิ ิทัล (Digital and Technical Literacy)
ในยุคดิจิทัลแบบนี้ ควำมสำมำรถด้ำนควำมเข้ำใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลก็ถือเป็นเร่ือง
สำคญั ทีจ่ ะผลักดนั ให้กำรเรียนรกู้ ้ำวไปข้ำงหน้ำได้อย่ำงรวดเร็วตำมต้องกำร ครูต้องมีศักยภำพต้อง
112
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
เข้ำใจเคร่อื งมอื ใหม่ๆ ใชง้ ำนเทคโนโลยีเป็น รู้เท่ำทันสถำนกำรณ์ปัจจุบัน มองเห็นเทรนด์ และโอกำส
ทำงธรุ กิจ ตลอดจนสำมำรถตีควำมได้ว่ำจะใช้เทคโนโลยีที่เกิดขึน้ เกีย่ วข้องกับกำรจัดกำรเรียนรู้ และ
ส่งผลตอ่ คณุ ภำพกำรจัดกำรเรยี นรู้ ทนั ต่อเหตกุ ำรณ์และมีประสทิ ธิภำพ
องค์กำรที่ประสบผลสำเร็จในคริสต์ศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องมีผู้นำที่มีควำมสำมำรถ
มุ่งม่ันและเน้นกำรเรียนรู้ภำวะผู้นำแห่งกำรเรียนรู้ จึงนับว่ำมีควำมสำคัญในยุคปัจจุบันและ
จำเป็นต้องพัฒนำผู้นำให้มีภำวะผู้นำแห่งกำรเรียนรู้ก่อนจะไปสร้ำงองค์กำรแห่งกำรเรียนรู้ (สมชำย
เทพแสง, 2556)
การพัฒนาภาวะผนู้ าการเรยี นรู้
ควำมเป็นผู้นำประกอบด้วยศำสตร์และศิลป์ ในส่วนที่เป็นศำสตร์คอื กำรเรียนรหู้ ลักกำร
หรอื ทฤษฎีต่ำงๆ ตลอดจนนำหลกั กำรหรือทฤษฎีดังกล่ำวไปประยุกต์ใช้ ส่วนที่เป็นศิลป์คือ กลยุทธ์
เทคนิค และวิธีกำรในกำรนำไปใช้อย่ำงเหมำะสมจนเกิดเป็นควำมสำเร็จของงำน ครูจึงเป็นผู้นำ
กำรศึกษำที่ได้รับกำรคำดหวังจำกสังคมในกำรพัฒนำคน ครูจึงต้องมีกำรพัฒนำภำวะผู้นำกำร
เรียนรู้เพื่อนำไปผสมผสำนกับศำสตร์และศิลป์ในกำรจัดกำรเรียนรู้ให้บรรลุเป้ำหมำยของกำรจัด
กำรศกึ ษำต่อไป
เม่ือครูเป็นกุญแจสำคัญในกระบวนกำรจัดกำรเรียนกำรสอนยังขำดประสิท ธิภำพในกำร
ดำเนินงำนย่อมจะส่งผลกระทบทำงตรงสู่คุณภำพของผู้เรียน อย่ำงไรก็ตำมวิชำชีพครู เป็นวิชำชีพ
ชั้นสูงที่มีควำมจำเป็นต่อสังคม โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งเม่ือมีกำรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคมไทย กำร
พัฒนำตนเองของครู จึงมีควำมสำคัญยิ่งซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภำพของผู้เรียน (สำนักงำน
เลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ, 2556) ปัจจัยที่ถูกกำหนดขึ้นมำอย่ำงสอดคล้อง และเอื้ออำนวยต่อกำร
พัฒนำ โดยตัวแปรภำยในจิตใจด้ำนกำรรับรู้ ควำมสำมำรถของตน ควำมทะเยอทะยำน และเจตคติ
ต่ออำชีพครู และปัจจัยแวดล้อม ด้ำนกำรสนับสนุนของผู้บริหำรก็เป็นส่วนสำคัญมำกในกำรที่จะ
ส่งผลใหค้ รเู กิดกำรพฒั นำตนเอง
Megginson และ Pedler (1992) กล่ำวว่ำ กำรพัฒนำตนเองจะเกิดมำกหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ
ควำมต้องกำรที่จะพัฒนำตนเอง กำรพัฒนำคือ กำรเรียนรู้ที่มีควำมต้องกำรและมีแรงจูงใจที่จะ
ผลกั ดันให้เกิดกำรพัฒนำตนเองอีกทั้งกำรพัฒนำตนเอง ยังเป็นกำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง อัน
จะทำไปสู่กำรแสวงหำควำมสำเรจ็ และควำมก้ำวหน้ำในหน้ำที่กำรงำน
113
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
หวั ใจสำคัญทีส่ ุดของกำรเรียนร้นู นั่ คือ ทกั ษะอยำงหนึ่ง ทักษะของกำรมีแรงบนั ดำลใจใน
ตนเอง และถ้ำจะให้ดีก็คือ กระตุ้นแรงบันดำลใจ กำรพัฒนำตนเอง มำจำกกำรรับรู้ ควำมสำมำรถ
ในแต่ละคนนั้นเกิดขึ้นได้จำกปัจจัยต่ำงๆ ส่วนหนึ่งเกิดจำกสิ่งแวดล้อมภำยนอกแต่กำรรับรู้
ควำมสำมำรถในแต่ละคนเกิดจำก ภำยในแต่ละคนเอง กำรส่งเสริมให้ผู้เรียนมีกำรรับรู้ และกำร
ปรับปรุงตนเองในระดับที่พอดี มีต่อควำมสำเร็จในสิ่งที่ทำมำกกว่ำกำรรับรู้ ควำมสำมำรถของ
ตนเองสูงหรอื ตำ่ เกินไป
ค รู ที่ มี ภ ำ ว ะ ผู้ น ำ ด้ ำ น ก ำ ร เ รี ย น รู้ จ ะ จั ด ห ำ สิ่ ง อ ำ น ว ย ค ว ำ ม ส ะ ด ว ก ใ น ก ำ ร เ รี ย น รู้
ปัญญำประดิษฐ์ (AI) เป็นผู้อำนวยควำมสะดวกด้ำนกำรเรียนรู้ ตลอดจนกำรสร้ำงโอกำสในกำร
เรียนรู้ระหว่ำงกำรจัดกำรเรียนรู้ผู้บริหำร ซึ่งจะทำให้ม่ันใจว่ำสถำนศึกษำดำเนินกำรตำมแนวทำง
และเทคนิคล่ำสุดเพื่อควำมเป็นเลิศในกำรจัดกำรเรียนรู้ ผ่ำนกำรหำรือกับผู้บริหำร ในประเด็น
ต่อไปนี้ (Barry Johnson, 2017)
1. กำหนดเป้ำหมำยทีช่ ัดเจนสำหรบั พนักงำนทุกระดับในองค์กร
2. จดั สรรทรัพยำกรกำรเรียนรู้
3. ส่งเสริมกำรเรียนรู้ทำงสังคม
4. จดั กำรหลักสตู รใหเ้ ปน็ ไปตำมเป้ำหมำยกำรดำเนนิ งำนและกำรเรียนรู้ของผเู้ รียน
5. ตรวจสอบแผนกำรสอนเพื่อให้แน่ใจว่ำครใู ช้ผลกำรวิจัยกำรเรียนรู้ที่ทนั สมัย
6. ประเมินกำรอำนวยควำมสะดวกในกำรเรียนรู้ตำมเครื่องมือและสิ่งใหมๆ่ ทีเ่ กิดขึน้ ใหม่
วิธีพัฒนาตนเองให้มีภาวะผู้นาการเรียนรู้
กำรเรียนรขู้ องครูมีควำมสำคัญ กล่ำวคือ จะทำให้บุคคลได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้
เป็นคนที่ทันสมัย ทันโลก ทันเหตุกำรณ์ โดยมีแนวทำงในกำรพัฒนำตนเองให้เป็นบุคคลที่เรียนรู้
ตลอดชีวิต อันประกอบด้วยกำรพัฒนำทักษะพื้นฐำนไม่ว่ำจะเป็นทักษะด้ำนกำรฟัง กำรพูด
กำรอ่ำน กำรเขียน กำรคิด และทักษะกำรปฏิบัติในทุกด้ำนที่ส่งผลต่อกำรเรียนรู้ของบุคคล กำร
พัฒนำกำรเรียนรู้ดำ้ นนวตั กรรม กำรพัฒนำทกั ษะด้ำนสำรสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ตลอดจนกำร
พัฒนำทักษะทีเ่ กีย่ วข้องกับกำรดำเนินชีวติ ของบุคคลในทุกๆ ด้ำนบุคคลที่พฒั นำตนเองให้เป็นบคุ คล
แหง่ กำรเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่ำงสม่ำเสมอจะเป็นคนที่มีควำมรู้ ควำมสำมำรถ มีศักยภำพและมี
ประสิทธิภำพ เป็นที่ยอมรับของสังคม สำมำรถใช้ชีวิตส่วนตัว อยู่ในสังคมได้อย่ำงมีควำมสุข และ
สำมำรถแก้ปัญหำทีเ่ กิดขึน้ กบั ตนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ (จริ ำภรณ์ พรหมทอง, 2559) กำรพัฒนำ
114
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
ตนเองของครูให้มีภำวะผู้นำกำรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อำจมีแนวทำงในกำรพัฒนำที่ไม่เหมือนกัน
ขนึ้ อยู่กับทกั ษะพืน้ ฐำน ควำมสำมำรถและศกั ยภำพของแตล่ ะคน ทั้งนีม้ วี ิธีกำรพฒั นำกำรเรียนรดู้ ังน้ี
1. กำรพัฒนำบุคลิกภำพของตนเองให้เป็นคนกระฉับกระเฉง กระตือรือร้น รับรู้ต่อควำม
เปลี่ยนแปลงของสังคมโลกโดยแสวงหำควำมรู้ใหม่ๆ ต้องทำควำมเข้ำใจต้องวิเครำะห์ ต้องวินิจฉัย
ด้วยว่ำขำ่ วสำรที่มำถึงเรำน้ันเปน็ ควำมจริงทั้งหมดหรอื เปน็ ควำมจริงบำงสว่ น และควำมจริงเหล่ำนั้น
เป็นควำมจริงทีม่ ปี ระโยชน์แก่เรำ มีประโยชน์แก่คนอื่นมำกน้อยแค่ไหนเรำจะสำมำรถใช้ข่ำวสำรหรือ
ควำมรู้นนั้ เป็นประโยชน์แก่ตัวเรำ แก่คนรอบข้ำง หรอื แก่ส่วนรวมได้มำกน้อยเพียงใด
2. กำรพัฒนำทักษะพื้นฐำนในกำรเรียนรู้ (Basic Skills) ทักษะพื้นฐำนในกำรเรียนรู้ของ
บุคคลประกอบด้วย ทักษะกำรฟัง ทกั ษะกำรถำม ทกั ษะกำรอำ่ น ทกั ษะกำรคิด ทกั ษะกำรเขียน และ
ทักษะกำรลงมือปฏิบตั ิดังทีไ่ ด้กล่ำวไปแล้ว
3. พัฒนำทักษะด้ำนกำรเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) เป็นทักษะ
ที่มีควำมพร้อมในกำรดำรงชีวิตในยุคปัจจุบันที่มีควำมเปลี่ยนแปลง เป็นทักษะที่เน้นด้ำนควำมคิด
สร้ำงสรรค์ ควำมสำมำรถในกำรคิดเชิงวิพำกษ์ กำรคิดวิเครำะห์ กำรทำงำนร่วมกัน มุ่งเน้นให้เกิด
ควำมรู้ควำมสำมำรถ และแก้ปัญหำกำรสื่อสำร กำรสร้ำงควำมร่วมมือ กำรคิดสร้ำงสรรค์ และ
นวัตกรรมนี้จะเป็นตัวกำหนดควำมพร้อมของบุคคลในกำรก้ำวสู่โลกกำรทำงำน และสังคมที่มีควำม
ซับซ้อนมำกขึ้นในสภำวะปจั จุบัน
4. กำรพัฒนำทักษะด้ำนสำรสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี (Information, Media and
Technology Skills) เนื่องด้วยในปัจจุบันมีกำรเผยแพร่ข้อมูลข่ำวสำรผ่ำนทำงสื่อ และเทคโนโลยี
มำกมำยที่ทำให้เรำเข้ำถึงได้ง่ำย และสะดวกในกำรเข้ำถึงตลอดเวลำ เรำควรต้องมีทักษะพื้นฐำน
ด้ำนสำรสนเทศ ศกึ ษำวิธีกำรในกำรใช้สื่อและเทคโนโลยี สำมำรถนำเทคโนโลยีสำรสนเทศต่ำงๆ มำ
ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อกำรเรียนรู้ให้ได้มำกที่สุด โดยต้องมีควำมสำมำรถในกำรคิด วิเครำะห์ข้อมูล
ที่ได้มำว่ำมีขอ้ ดี ข้อเสีย วิเครำะหแ์ นวโน้มของสถำนกำรณ์ในอนำคตทั้งที่เป็นประโยชน์และก่อให้เกิด
โทษต้องรู้จกั เลือกรับหรือ ปฏิเสธ และเผยแพรข้อมูลข่ำวสำรต่ำงๆ อย่ำงมีวิจำรณญำณ น่ันคือ กำร
มีทักษะทำงด้ำนสำรสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี เพื่อสร้ำงกำรเรียนรู้อย่ำงเหมำะสมและเกิดประโยชน์
สูงสุดท้ังต่อตนเอง และสงั คม
5. กำรพฒั นำทกั ษะด้ำนชีวิตและอำชีพ (Life and Career Skills) ทักษะชีวิตและกำรประกอบ
อำชีพมุ่งเน้นให้มีควำมสำมำรถในกำรยืดหยุ่นและปรับตัว สำมำรถปรับตัวได้ต่อกำรเปลี่ยนแปลงที่
เกิดข้ึนมีเป้ำหมำยของชวี ิตและควำมมงุ่ มน่ั มีควำมเข้ำใจทักษะทำงสังคมและยอมรบั ควำมแตกต่ำง
115
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
ทำงวฒั นธรรมมสี ัมพันธภำพที่ดีต่อคนอื่น มีควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำ สำมำรถประสำนงำนได้
ดีและมีควำมรับผดิ ชอบในหนำ้ ที่ทีไ่ ด้รบั มอบหมำยอย่ำงดที ีส่ ดุ
6. กำรพัฒนำทักษะทำงปัญญำ (Cognitive Skills) คือกำรเป็นคนใฝ่รู้ โดยศึกษำหำควำมรู้
และประสบกำรณ์ทำให้ตัวเรำเป็นคนมีควำมคิด มีวิจำรณญำณเวลำฟังอะไรก็รู้จักวิเครำะห์ รู้จัก
สรุป รู้จักนำเอำสิ่งดีๆ มำใช้ให้เป็นประโยชน์ สำมำรถที่จะตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหำเฉพำะหน้ำได้
ด้วยตนเองอย่ำงสมเหตุผลก่อนอื่นต้องยอมรับว่ำกำรพัฒนำตนเองเป็นสิ่งสำคัญ และตัวเองมีสิ่งที่
ต้องพัฒนำคนที่อยู่ในศตวรรษปัจจุบันน้ันจะต้องเป็นคนกระฉับกระเฉงกระตือรือร้น ช่ำงสังเกต
เข้ำใจธรรมชำติของมนุษย์มีควำมอดทน เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ เรำมีส่วนไหนสมบูรณ์แบบแล้ว และ
ส่วนไหนที่ต้องแก้ไข ยังทำไม่ได้สิ่งแรกคือ สำรวจตัวเองว่ำเรำมีส่วนบกพร่องตรงไหนที่ต้องพัฒนำ
เมื่อรแู้ ล้วกก็ ำหนดเป้ำหมำยของกำรพฒั นำตนเองว่ำเรำตอ้ งกำรให้ตวั เรำพัฒนำไปสู่เป้ำหมำยใด
7. กำรพัฒนำทักษะกำรสื่อสำรทำงภำษำ โดยเฉพำะภำษำสำกลที่ใช้ คือ ภำษำอังกฤษ
เพรำะสำมำรถใช้ในกำรติดต่อสื่อสำรได้ในทุกประเทศในโลก เพรำะโลกปัจจุบัน โดยเฉพำะประเทศ
ไทยได้เปิดกว้ำง และส่งเสริมให้ตำ่ งชำติได้เข้ำมำท่องเที่ยวและทำธุรกิจในประเทศ และในขณะเดียว
กันก็เปิดโอกำสให้คนไทยมีโอกำสได้ไปเรียนรู้หำประสบกำรณ์ หรือทำงำนในต่ำงประเทศมำกขึ้น
กำรที่บุคคลเรียนรภู้ ำษำอังกฤษได้เป็นอย่ำงดถี ือเป็นกำรพฒั นำตนเองอย่ำงหนึง่
กำรพัฒนำวิชำชีพครูสู่กำรเป็นครูในยุคดิจิทัลเป็นกำรเรียนรู้อย่ำงต่อเนื่องของครู จึงต้อง
ออกแบบกิจกรรมพัฒนำวิชำชีพที่บูรณำกำรกับกำรทำงำน เพื่อให้ครูได้ปรับปรุงกำรสอนที่จะส่งผล
ต่อกำรพัฒนำศักยภำพกำรเรียนรู้ของนกั เรียนควำมสำเร็จของทกุ รปู แบบทุกกิจกรรมของกำรพัฒนำ
วิชำชีพครูจำเปน็ ทีค่ รูต้องมีพนั ธะสัญญำตอ่ กำรเรียนรทู้ ีก่ ระตอื รอื ร้นในกำรพัฒนำตนเองกำรจัดสรร
เวลำและให้ได้รับกำรสนับสนุนทรัพยำกรต่ำงๆ จำกผู้บริหำรเพื่อที่ครูสำมำรถนำสิ่งที่ตนได้เรียนรู้
สู่กำรปฏิบัติสอนในงำนประจำ และได้รับข้อมูลย้อนกลับอย่ำงสม่ำเสมอจำกเพื่อนร่วมงำนและ
ผู้บริหำร (จิณณวัตร ปะโคทัง, 2561) ทั้งนี้ผู้นำกำรเรียนรู้ต้องเป็นผู้นำแบบ Agile คือต้องเป็นผู้ที่ให้
ควำมช่วยเหลือและสร้ำงกระแสหรอื ปลุกระดมได้ในเวลำเดียวกนั เปรียบเสมือนกำรเดินทำงที่ทุกคน
ต้องกำรเขม็ ทิศเพือ่ ไปยงั จดุ มงุ่ หมำยได้อย่ำงถูกต้อง ดงั องคป์ ระกอบต่อไปนี้
1. ชีเ้ ป้ำได้อย่ำงชดั เจน (Clarity of Direction) คือกำรประสำนกำรดำเนินงำนกบั สมำชิกใน
ทีมและผู้อื่นเพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจในวัตถุประสงค์เดียวกัน เกิดควำมสอดคล้องและมีกำรแก้ไข
ร่วมกัน
2. สร้ำงควำมไว้วำงใจ (Build Trust and Show Empathy) และทำให้สมำชิกด้วยกนั มคี วำม
สำมัคคี ดว้ ยกำรสือ่ สำรด้วยข้อมูลทีน่ ่ำเช่ือถือและเปน็ ควำมจริง
116
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
3. เสริมพลงั บวกให้สมำชิกร่วมทีม (Empower Others) ด้วยกำรมอบควำมรับผดิ ชอบใน
กำรตัดสินใจให้กับผู้อื่น และพัฒนำขีดควำมสำมำรถของคนในองค์กรให้มีควำมสำมำรถใน
กำรทำงำนให้บรรลุเป้ำหมำย
4. ทำงำนรว่ มกนั (Work Together) เน้นให้สมำชิกในมกี ำรทำงำนร่วมกนั ร่วมคิด ร่วมทำ
ร่วมตัดสินใจอย่ำงมปี ระสิทธิภำพ
5. พัฒนำกำรเรียนรู้ (Develop Learning Agility) ส่งเสริมให้สมำชิกในองค์กรเรียนรจู้ ำก
ควำมผิดพลำดของเขำและพัฒนำทกั ษะด้วยตัวของเขำเอง
กำรพัฒนำวิชำชีพครูเป็นกระบวนกำรเรียนรู้ของครูอย่ำงต่อเน่ืองตำมช่วงอำชีพครูเพื่อ
ควำมมั่นใจว่ำครูจะมีควำมรู้ ทักษะ และสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับกำรปฏิบัติกำรสอนท่ำมกลำง
กำรเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีอย่ำงรวดเร็วที่มีผลกระทบต่อกำรเรียนรู้และ
กำรสอน ดังนั้นครูจึงต้องมีภำวะผู้นำกำรเรียนรู้ ครูในอนำคตต้องมีกำรทำงำนเป็นแบบปรำดเปรียว
(Agile) ซึ่งเน้นกำรปรับปรุงพัฒนำอยู่ตลอดเวลำ เป็นผู้ถ่ำยทอดควำมรู้และควบคุมกำรเรียนรู้
เปลี่ยนไปเป็นกำรให้ควำมร่วมมือ อำนวยควำมสะดวก และช่วยเหลือผู้เรียนในกำรเรียนรู้ คือ
กำรเรียนกำรสอนจะต้องเปลี่ยนจำก Instruction ไปเปน็ Construction คือเปลี่ยนจำกกำรให้ควำมรู้ไป
เป็นกำรให้ผู้เรยี นสร้ำงควำมรู้ ซึ่ง Fullan (2001) เช่อื ว่ำ ผนู้ ำทีด่ ตี ้องสร้ำงและพัฒนำผู้นำให้เกิดขึ้นใน
ทุกระดับขององค์กำร จึงเป็นหน้ำที่สำคัญของผู้นำสถำนศึกษำ ที่จะต้องเตรียมผู้นำรุ่นต่อไป (Next
Generation) ไว้รองรับควำมต้องกำรของโรงเรียนในอนำคต โดยแนวคิดกำรสร้ำงองค์ควำมรู้น้ัน
น่ำจะเป็นทำงเลอื กที่ดที ำงหนึ่งในกระบวนกำรสร้ำงผู้นำรุ่นใหม่ให้แก่สถำนศกึ ษำ
บทสรปุ
ภำวะผู้นำกำรเรียนรู้ของครู ต้องตระหนักถึงควำมสำคัญและควำมจำเป็นของกำรเรียนรู้
กำรมีควำมใฝ่รู้ และพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอกำรเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นเร่ืองที่ต้องเกิดขึ้นและ
มีควำมต่อเนื่องเป็นปกติวิสัยในชีวิตประจำวันของคนทุกคน ทุกวัน พัฒนำตนเองให้เป็นผู้นำกำร
เรียนรู้ ในศตวรรษ 21 เนื่องจำกกำรเรียนรเู้ กิดข้ึนได้ในทุกเวลำ ทุกสถำนที่ของคนทุกคน ในทุกสภำพ
แวดล้อมที่เหมำะสม ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลง ทันโลก ทันเหตุกำรณ์ ท้ังด้ำนนวัตกรรมสำรสนเทศ
สื่อ และเทคโนโลยี ตลอดจนกำรพัฒนำทักษะที่เกี่ยวข้องกับกำรดำเนินชีวิตของบุคคลในทุกๆ
ด้ำนสำมำรถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ครูในอนำคตต้องมีกำรทำงำนเป็นแบบปรำดเปรียว (Agile) ซึ่งเน้น
กำรปรับปรงุ พัฒนำอยู่ตลอดเวลำ เปน็ วิธีกำรทำงำนโดยสร้ำงทีมย่อยๆ เพือ่ ให้เกิดควำมยืดหยุ่น
117
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
และมีประสิทธิภำพ ลดระยะเวลำในกำรทำงำน และสำมำรถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลำเม่ือมีปัญหำ
หรือสถำนกำรณ์เปลี่ยนไป เพื่อตอบสนองต่อลูกค้ำได้ทันควำมต้องกำร มีทักษะกำรทำงำนที่
สำมำรถเชื่อมคนในทีมเข้ำด้วยกัน สร้ำงควำมสมดุลให้กับสมำชิกและควำมต้องกำรของผู้รับบริกำร
ได้ และยกระดับประสิทธิภำพกำรทำงำนให้มำกขึ้น ต้องมีควำมสำมำรถในกำรปรับเปลี่ยนควำมคิด
โน้มนำ้ ว กระตนุ้ และปลกุ ระดมคนในทีมใหท้ ำงำน จนบรรลเุ ป้ำหมำยเดียวกนั นอกจำกนี้ครูต้องเป็น
บุคคลแห่งกำรเรียนรู้ ต้องตระหนักถึงควำมสำคัญและควำมจำเป็นของกำรเรียนรู้ กำรมีควำมใฝ่รู้
และพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอกำรเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนำตนเองให้เป็นบุคคลแห่งกำรเรียนรู้ใน
ศตวรรษ 21 กำรเรียนรู้เกิดขึ้นได้ในทุกเวลำ ทุกสถำนที่ของคนทุกคนในทุกสภำพแวดล้อมที่
เหมำะสม ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงทันโลกเพื่อให้เป็นครูรุ่นใหม่โดยใช้กระบวนกำรของสังคมยุคใหม่
เป็นกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ของครู ครูรุ่นใหม่ ต้องเป็นผู้นำในทำงวิชำกำรด้วย เน่ืองจำกงำน
วิชำกำรถือว่ำเปน็ งำนที่สำคญั ที่จะส่งผลโดยตรงต่อคณุ ภำพกำรศกึ ษำ
ภาวะผู้นาการเรียนรู้ของครู
การผสมผสานศาสตร์และศิลป์ ในการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมายของ
การจัดการศกึ ษา โดยต้องการพัฒนาการทางานอย่างตอ่ เนือ่ ง เพิ่มความคล่องทาง
ดิจทิ ัล มกี ารทางานเป็นแบบปราดเปรียว (Agile) มีความสามารถในการปรับแปลง
ปรับแต่ง เปลี่ยนโฉมความคิด โน้มน้าว กระตุ้น และปลุกระดมตนเองและทีมให้
ทางานจนบรรลุเป้าหมายเดียวกัน
118
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
119
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
บทที่ 4
บทบาทครู ผ้สู ร้างความเป็นมนษุ ย์
120
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
121
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
บทที่ 4
บทบาทครู ผู้สร้างความเปน็ มนุษย์
กระแสควำมเจริญก้ำวหน้ำของเทคโนโลยีในโลกยุคปัจจุบันได้ก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลง
อย่ำงเกือบทุกมิติทั้งด้ำนสังคม เศรษฐกิจ และกำรเมือง กำรอยู่ร่วมกันในทุกสังคมภำยใต้บรรทัด
ฐำน กติกำ กฎระเบียบ และมำรยำท ตลอดจนกำรเขำ้ สู่สงั คมโรงเรยี น บทบำทของครูไม่ได้มีแค่สอน
หนังสือ แต่ต้องสอนถึงกำรใช้ชีวิต กำรมีมำรยำท และกำรปฏิบัติต่อผู้อื่นในฐำนะมนุษย์ด้วยกัน
ควำมศรทั ธำต่อครขู องนกั เรียนโดยกำรยกมือไหว้โดยไม่เคลือบแคลงใจ และกำรที่นักเรียนได้เรียนรู้
กับครูอย่ำงมีควำมสุข กำรให้เกียรตินักเรียน กำรให้เกียรติผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในสังคม เพรำะนักเรียน
คือมนุษย์คนหนึ่ง ครูก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นมนุษย์คนหนึ่งในฐำนะครู ต้องอบรมสั่งสอน ชี้แนะ
ขดั เกลำมนษุ ย์คนหนึง่ ในฐำนะนกั เรียนให้กลำยเปน็ ผู้ใหญ่ที่มีคุณภำพและอยู่ในสังคมอย่ำงมีควำมสุข
ต่อไป
มนุษย์เป็นสัตว์ที่สำมำรถฝึกฝนและพัฒนำได้โดยผ่ำนกระบวนกำรเรียนรู้ กำรอบรม
กำรแนะนำ ตลอดจนกำรได้รับกำรศึกษำ มีควำมมีเมตตำต่อกันและควำมละเอียดอ่อนของจิตใจ มี
ควำมเห็นอกเห็นใจและใหค้ วำมสำคัญกับกำรเอือ้ เฟื้อเผ่อื แผเ่ พื่อนมนุษย์ด้วยกัน เนื่องจำกธรรมชำติ
ของมนษุ ย์ทีเ่ ปน็ สตั ว์สงั คมไม่สำมำรถอำศัยอยู่ได้ตำมลำพังจำเป็นต้องพึ่งพำผู้อื่น ควำมเป็นมนุษย์ที่
สมบูรณ์สร้ำงได้โดยผ่ำนกระบวนกำรขัดเกลำทำงสังคม (Socialization) ทั้งทำงตรงและทำงอ้อมจำก
สถำบันต่ำงๆ มีควำมชอบธรรมในด้ำนจริยธรรมที่จะรักษำชีวิตของตนเอง มีอิสระทำงควำมคิดและ
เชอ่ื ว่ำทกุ คนมศี กั ดิศ์ รแี หง่ ควำมเปน็ มนุษย์โดยเท่ำเทียมกันไม่ว่ำแต่ละคนจะมีควำมแตกต่ำงกัน ท้ังนี้
เพือ่ ให้มนษุ ย์ทกุ ชีวติ ได้อยู่ร่วมกันอย่ำงสนั ติสุขโดยปรำศจำกกำรเบียดเบียนซึง่ กันและกนั
คงปฏิเสธไม่ได้ว่ำ บทบำทสำคญั ในกำรสร้ำงควำมเป็นมนษุ ย์ทีส่ มบรู ณ์ คือ บทบำทของครู
และสถำบันกำรศึกษำ เพรำะเป็นสถำบันที่บุคคลจะต้องติดต่อสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก
จนเจรญิ เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ บทบำทของกำรศึกษำในระบบและนอกระบบจะทำให้บุคคลเกิดควำมรู้
ควำมเข้ำใจท้ังศำสตร์ที่เป็นวิชำชีพและศำสตร์แห่งกำรดำเนินชีวิต หรือกล่ำวอีกอย่ำงหนึ่ง คือให้
ควำมสำคัญทั้งควำมรู้และควำมดีหรือคุณธรรมควบคู่กันไป เพรำะถ้ำมนุษย์มีควำมรู้ด้ำนวิชำกำร
เพียงอย่ำงเดียว แต่ไม่มีคุณธรรมและกำรรู้จักผิดชอบช่ัวดีจะยิ่งเป็นอันตรำยมำกกว่ำผู้ใช้กำรศึกษำ
เน่ืองจำกสำมำรถนำควำมรู้ไปใช้แสวงหำประโยชน์ใส่ตนเอง โดยไม่คำนึงถึงควำมเดือดร้อนของ
ผอู้ ื่นได้อย่ำงแยบยล ดงั นนั้ กำรพัฒนำควำมเปน็ มนุษย์ให้เปน็ ผู้ทีม่ จี ติ ใจทีด่ มี ีควำมเมตตำ สำมำรถ
122
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
อยู่ร่วมกันในทุกสังคมท่ำมกลำงกำรเปลี่ยนแปลงจึงเป็นหน้ำที่ของครู ในบทนี้ผู้เขียนขอนำเสนอ
สำระที่สำมำรถเชื่อมโยงกับกำรสร้ำงควำมเป็นมนุษย์ เกี่ยวกับ บทบำทครู ควำมเป็นมนุษย์และครู
ผสู้ ร้ำงควำมเปน็ มนษุ ย์ ดงั นี้
บทบาทครู
ครู เป็นอำชีพที่เก่ำแก่ที่สุดอำชีพหนึ่งในโลก สรรพวิทยำกำรทั้งหลำยของมวลมนุษย์ถูก
ถ่ำยทอดจำก “ผู้รู้” สู่ “ผู้เรียน” มำกที่สุด ไม่ว่ำจะเป็นในระบบหรือนอกระบบ ระบบกำรเรียนกำร
สอนทำให้วิวัฒนำกำรของมนุษย์เป็นไปอย่ำงรวดเร็ว เพรำะกว่ำเรำจะรู้จักใช้หินเป็นเคร่ืองมือก็กิน
เวลำนับแสนปี กว่ำเรำจะรู้จักทอผ้ำ ก็กินเวลำนับหม่ืนปี กว่ำเรำจะอยู่เป็นหลักแหล่งมีบ้ำนเมือง
ปึกแผ่น ก็ใช้เวลำนับพันปี กว่ำเรำจะผลิตเคร่ืองยนต์ เคร่ืองจักรกลได้ ก็ใช้เวลำหลำยร้อยปี และ
กำรพัฒนำคอมพิวเตอร์ขึ้นมำใช้ก็ใช้เวลำหลำยสิบปี แต่ท้ังหมดนี้เรำสำมำรถถ่ำยทอดโดย
กระบวนกำรเรียนรู้ของมนุษย์ เพียงใช้เวลำไม่กี่ปีเท่ำนั้นมนุษย์รุ่นใหม่ก็จะสำมำรถสร้ำงสรรค์
สิ่งใหม่ๆ ต่อไปได้อย่ำงไม่รู้จักจบสิ้น ภำระหน้ำที่ของครูในกำรถ่ำยทอดควำมรู้และพัฒนำ
ควำมสำมำรถของผู้เรียน จึงเป็นหน้ำที่ที่ไม่มีวันจบสิ้น ต้องคงอยู่ตลอดไป โดยมีกำรพัฒนำ
กระบวนกำรเรียนรู้อยู่ตลอดเวลำ
บทบำทของครูคือ กำรจัดกำรศึกษำ รวมถึงกำรจัดโอกำสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมใน
กิจกรรมสร้ำงสรรค์ กำรคิดของผเู้ รียนสอดคล้องกบั ควำมจำเป็น ควำมต้องกำร และควำมเป็นไปได้
ในปัจจุบันของพวกเขำ กำรให้กำรศึกษำจึงต้องคำนึงถึงกำรคิดของผู้เรียนในแต่ละข้ันตอนของ
กำรพัฒนำควำมรู้ และโลกของผู้เรียนจะถูกสร้ำงขึ้น และสร้ำงใหม่ไปเร่ือยๆ ตำมประสบกำรณ์
ส่วนตวั ของผู้เรยี น
คำว่ำ บทบำท ได้มีนักวิชำกำรหลำยคนให้ควำมหมำยของบทบำทไว้หลำยลักษณะ
ดังตอ่ ไปนี้
รพีพรรณ สวุ รรณณฐั โชติ (2550) ได้ให้คำจำกัดควำมของบทบำทไว้ว่ำ เป็นแบบแผนของ
ควำมต้องกำร เป้ำหมำยของควำมเชื่อ ควำมรู้สึก ทัศนคติ คุณค่ำและกำรกระทำที่สมำชิกในสังคม
คำดหวังว่ำควรเป็นไปตำมลักษณะของชนิดตำแหน่งที่มีอยู่หรืออำจกล่ำวได้ส้ันๆ ว่ำบทบำทคือ
พฤติกรรมที่คำดหวังว่ำบุคคลที่อยู่ในสถำนภำพนั้นควรจะประพฤติหรือปฏิบัติ เช่น บทบำทของพ่อ
กค็ ือทำหน้ำที่เลีย้ งดลู ูกให้เป็นคนดี รู้จักทำมำหำกิน เป็นต้น
ยนต์ ชุ่มจิต (2553) ได้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ บทบำท คอื ภำระทีต่ อ้ งรบั ผดิ ชอบตำม
สถำนภำพของแตล่ ะบคุ คล
123
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
พศิน แตงจวง (2554) ให้ควำมหมำยของบทบำท หมำยถึง พฤติกรรมของคนที่เกิดขึ้นโดย
ตำแหน่งหน้ำที่รับผิดชอบ จะโดยต้ังใจหรือถูกบังคับก็ตำม เช่น บทบำทควำมเป็นพ่อ-แม่-ลูก ของ
แตล่ ะคนจะต้องสำมำรถแสดงบทบำทได้หลำยอย่ำงข้นึ อยู่กบั สถำนภำพขณะนนั้
วินิจ เกตุขำ (2555) ให้ควำมหมำยว่ำ บทบำท หมำยถึง พฤติกรรมที่คำดหวังของสมำชิก
กลุ่มในองค์กำรหรือในหน่วยงำน จะต้องมีรำยละเอียดของงำนเป็นตัวกำหนดบทบำทของบุคคลใน
กำรทำงำน คนงำนทุกคนจะต้องอ่ำนหรือศึกษำรำยละเอียดงำน ซึ่งจะไม่ครอบคลุมถึงงำนในหน้ำที่
ทุกอย่ำง แตจ่ ะเปน็ ข้อมูลเบือ้ งตน้ ให้บคุ คลได้รับรู้ว่ำ ควรจะแสดงบทบำทอย่ำงไรหรือ จะต้องทำงำน
อะไรบ้ำง
สรปุ ได้วำ่ บทบำท (Role) หมำยถึง กำรแสดงออกหรือกำรกระทำตำมหน้ำที่ที่บุคคลได้รับ
มอบหมำยให้กระทำกำรแสดงออกของคน โดยถือเอำฐำนะและหน้ำที่ทำงสังคมของเขำเป็นมูลฐำน
หรอื พฤติกรรมที่แสดงออก ซึ่งเหมำะสมสอดคล้องกับตำแหน่งหน้ำที่ ครู อำจำรย์ในอดีตกับปัจจุบัน
มีควำมแตกต่ำงกันมำก ในสมัยก่อนผู้ที่เป็นครูจะเป็นผู้มีฐำนะดีที่สอนเด็กด้วยควำมสมัครใจ หรือ
เป็นคนเก่งๆ ที่ได้รบั คัดเลือกจำกนักเรียนทนุ ที่เก่งที่สดุ ของจังหวัดเข้ำมำศึกษำวิชำครู มีควำมรักและ
ศรัทธำในอำชีพครู มีควำมรับผิดชอบในหน้ำที่ และต้องกำรอบรมคนให้เป็นคนดี ดังน้ัน ผู้คนจึงยก
ย่องครูไว้ในฐำนะสูงเป็นปูชนียบุคคล แต่ในปัจจุบันนี้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปท้ังด้ำนเศรษฐกิจ
กำรเมือง วัฒนธรรมและสังคม สถำนะภำพและบทบำท หน้ำที่ควำมรับผิดชอบของครูจึง
ปลี่ยนแปลงไปด้วย
บทบาทของครตู ามหลักวิชาการ
มีนักวิชำกำรได้เสนอควำมคิดเหน็ เกี่ยวกับบทบำทของครูไว้หลำยท่ำน ดังน้ี
Levine, D. U. & Havighurst, R. J. (Eds.). (1977) ได้กล่ำวถึง บทบำทครูไว้ 2 ด้ำน คือ
1. บทบำทของครใู นชุมชน มีหลำยบทบำท เชน่
1.1 ผู้นำกำรเปลี่ยนแปลงและนักปฏิรปู สังคม
1.2 ผรู้ ิเรม่ิ บกุ เบิกควำมคิด
1.3 ผผู้ ดุงรกั ษำวัฒนธรรม
1.4 ผคู้ วรแก่กำรยกย่อง
1.5 ผใู้ ห้บริกำรสำธำรณะ
124
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
2. บทบำทของครใู นโรงเรยี น มีหลำยบทบำท เชน่
2.1 ผอู้ บรมเลีย้ งดูหรอื สร้ำงสงั คมประกิต (Socialization Agent)
2.2 ผเู้ ป็นตัวกลำงหรอื ผู้ก่อให้เกิดกำรเรียนรู้
2.3 ผรู้ กั ษำวินัย
2.4 ผเู้ ป็นเสมือนพอ่ แม่
2.5 ผตู้ ัดสินหรอื รักษำกติกำ
2.6 ผเู้ ป็นที่พึ่งของเดก็
บทบาทของครตู าม TEACHERS MODEL
บทบาท หน้าท่ี และความรับผิดชอบของครตู ามคาวา่ TEACHERS
บทบำทหน้ำที่และควำมรับผิดชอบของครู เป็นกิจที่ครูต้องทำให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์
ครูอำจำรย์จะต้องมีหน้ำที่และควำมรับผิดชอบต่อกำรสอน กำรปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ต้อง
ปฏิบตั ิงำนวิชำกำร มีกำรสร้ำงสัมพนั ธภำพกบั บคุ คลต่ำงๆ ประเมนิ ผลกำรเรียนกำรสอน
ยนต์ ชุ่มจิต (2553) ได้กล่ำวถึงบทบำท หน้ำที่ และควำมรับผิดชอบของครูตำมคำว่ำ
TEACHERS เอำไว้ดงั ตอ่ ไปนี้
1. T (Teaching) การสอน หมำยควำมว่ำ ครูต้องมีหน้ำทีแ่ ละควำมรบั ผดิ ชอบต่อกำร
สอน ศิษย์ เพือ่ ให้ศษิ ย์มีควำมรคู้ วำมสำมำรถในวิชำกำรท้ังหลำยท้ังปวง ซึ่งถือว่ำเป็นงำนหลักของผู้
เป็นครูสอนทกุ คน
2. E (Ethics) จริยธรรม หมำยควำมว่ำ ครูต้องมีหน้ำที่และควำมรับผดิ ชอบต่อกำร
อบรม ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่นักเรียน ซึ่งถือว่ำเป็นหน้ำที่หลักอีกประกำรหนึ่งของควำม
เป็นครู
3. A (Academic) วิชาการ หมำยควำมว่ำ ครูต้องมีหน้ำที่และควำมรับผิดชอบต่อ
วิชำกำรทั้งของตนเองและของนักเรียน ซึ่งควำมจริงแล้วงำนของครูต้องเกี่ยวข้องกับวิชำกำรอยู่
ตลอดเวลำ เพรำะวิชำชีพครูต้องใช้ควำมรเู้ ปน็ เครื่องมอื ในกำรประกอบวิชำชีพ
4. C (Cultural Heritage) การสืบทอดวัฒนธรรม หมำยควำมว่ำ ครูตอ้ งมีหน้ำที่และ
ควำมรับผดิ ชอบต่อกำรสืบทอดวัฒนธรรม กำรสอนศิลปะวิทยำกำรต่ำงๆ ให้กับลูกศิษย์น้ันย่อมถือ
ว่ำเป็นกำรสบื ทอดมรดกทำงวัฒนธรรมจำกคนรนุ่ หนง่ึ ไปสู่คนอีกรุ่นหน่งึ ซึ่งครูอำจทำได้ 2 ทำง คือ
125
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
4.1 กำรปฏิบัติตนตำมขนบธรรมเนยี มประเพณีที่ดงี ำมของชำติ เชน่ แตง่ กำยใหถ้ กู ต้อง
เหมำะสมกับโอกำสและสถำนที่ หรือ กำรแสดงควำมเคำรพและกริยำมำรยำทแบบไทยๆ หรือ
กำรจัดงำนพิธีต่ำงๆ เชน่ งำนแตง่ งำน งำนบวช เป็นต้น
4.2 กำรอบรม บ่มเพำะ ปลกู ฝังคณุ ค่ำทีด่ งี ำม สอนให้ลกู ศิษย์ให้ตระหนักและเข้ำใจใน
วฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณีไทยทีด่ ๆี
5. H (Human Relationship) การมีมนุษยสัมพนั ธ์ หมำยควำมว่ำ ครูต้องมีหน้ำทีแ่ ละ
ควำมรับผิดชอบในกำรสร้ำงมนุษยสัมพันธ์กับบุคคลต่ำงๆ ที่ครูต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย เพรำะ
กำรมมี นษุ ยสัมพันธ์ที่ดีจะก่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่อตนเองและหมู่คณะ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งประโยชน์ต่อ
โรงเรียน
6. E (Evaluation) การประเมินผล หมำยควำมว่ำ ครตู อ้ งมหี นำ้ ที่และควำมรบั ผดิ ชอบ
ต่อกำรประเมินผลต่อกำรเรยี นของศษิ ย์ งำนของครูในด้ำนนี้ถือว่ำมีควำมสำคัญมำกอีกประกำรหนึ่ง
ทั้งนเี้ พรำะกำรประเมนิ ผลกำรเรียนกำรสอนเปน็ กำรวดั ควำมเจรญิ ก้ำวหน้ำของศิษย์ในด้ำนต่ำงๆ
7. R (Research) การวิจัย หมำยควำมว่ำ ครูต้องมีหน้ำที่และควำมรับผิดชอบ โดยกำร
ต้องพยำยำมหำควำมรคู้ วำมจริง เพื่อแก้ปญั หำกำรเรียนกำรสอน และแก้ปญั หำเกี่ยวกบั ตวั นกั เรียน
8. S (Service) การบริการ หมำยควำมว่ำ ครูต้องมีหน้ำที่และควำมรับผิดชอบต่อ
กำรบริกำรศษิ ย์และผู้ปกครอง แต่บำงคร้ังก็มีควำมจำเป็นที่จะต้องให้บริกำรแก่ประชำชนในท้องถิ่น
ด้วย แตโ่ ดยธรรมชำติแล้วงำนบริกำรหลักของครู คอื บริกำรให้ควำมรู้ เพื่อสร้ำงควำมเจริญงอกงำม
ให้แก่นักเรียน สำหรับครูน้ัน นอกจำกให้บริกำรนักเรียนแล้ว บำงคร้ังครูยังต้องให้บริกำรด้ำน
คำปรึกษำหำรือในด้ำนสุขภำพอนำมัยแก่ชุมชน รวมท้ังช่วยแก้ปัญหำให้แก่ชุมชนรอบๆ โรงเรียนอีก
ด้วย
ดังน้ัน คำว่ำ “ครู” น้ัน มีควำมหมำยแม้ในภำษำอังกฤษ คำว่ำ TEACHER มีหน้ำที่ใน
กำรจัดกำรเรียนรู้เพื่อปรับเปลีย่ นพฤติกรรมของผเู้ รียน โดยได้บ่งบอกบทบำทหรอื ภำระหนำ้ ที่ของครู
ไว้เช่นกัน (รัตนวดี โชติกพนิช, 2550 ; ยนต์ ชุมจิต, 2553 ; สุปรำณี จิรำณรงค์, 2556) ในบทนี้ได้
อธิบำย ควำมหมำยของคำว่ำ TEACHER ทีป่ ระกอบไปด้วย
T- Teach E– Example A–Ability C- Characteristic H– Health E- Enthusiasm R – Responsibility
126
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
1. TEACH (การสอน)
คุณลักษณะประกำรแรกของควำมเป็นครูก็คือ ต้องสอนได้ สอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิด
กระบวนกำรเรียนรู้ในตนเอง มีกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทำงทีด่ ี โดยกำร :
1.1 ฝกึ ฝนแนะนำให้เปน็ คนดี
1.2 สอนให้เข้ำใจแจม่ แจ้ง
1.3 สอนศลิ ปวิทยำให้หมดสิ้น
1.4 ยกย่องให้ปรำกฏในหมคู่ ณะ
1.5 สร้ำงเครื่องคุ้มกนั ในสำรทิศ (สอนให้รจู้ ักเลีย้ งตัว รกั ษำตนในอันทีจ่ ะดำเนินชีวติ
ต่อไปด้วยดี) และทีส่ ำคัญคือ
1.6 ต้องสอนให้เกิดควำมงอกงำมทำงสตปิ ญั ญำ มคี วำมคิด และสร้ำงสรรค์
อย่ำงไรก็ตำมกำรสอนของครูแต่ละบุคคลคนน้ันขึ้นอยู่กับทักษะและลักษณะของตนเอง
(Teaching Skill and Style) เป็นกำรนำเทคนิควิธีและทักษะหลำยๆ ด้ำนมำผสมผสำนให้เหมำะสม
สอดคล้องกัน จึงต้องใช้เทคนิคและทักษะหลำยด้ำนร่วมกับประสบกำรณ์ เพื่อให้เกิดกระบวนกำร
เรียนรู้ และต้องมุ่งจัดสรรกำรเรยี นรู้นนั้ ไปในทิศทำงที่ดีและมีคณุ ธรรมในสังคม บทบำทกำรสอนของ
ครูจงึ ตอ้ งดำเนินกำร โดย
1. กำรสอนเนือ้ หำวิชำกำรตำมหลักสตู รรำยวิชำที่ได้รบั มอบหมำย โดยกำรมกี ำรเตรียม
กำรสอนอย่ำงเป็นข้ันเป็นตอน ตั้งแต่กำรทำ Course Syllabus แผนจัดกำรเรียนรู้หรือแผนกำรสอน
รำยช่ัวโมง กำรดำเนินกำรสอน และกำรประเมินผล มีกำรปรับปรุงพัฒนำ และสร้ำงผลงำนทำง
วิชำกำรอยู่เสมอ
2. กำรสอนเพื่อให้ลูกศิษย์เรียนรู้ในปรบั ตวั ใหเ้ หมำะสมในสังคม
3. กำรสอนให้ลูกศิษย์มีควำมเจริญเติบโต มีควำมคิด มีเหตุผล และมีควำมคิดริเริ่ม
สร้ำงสรรค์ ตำมแผนทีไ่ ด้กำหนดหรอื เตรียมกำรไว้เปน็ อย่ำงดี
2. EXAMPLE (เปน็ ตวั อย่าง)
ผู้เรียนโดยท่ัวไปนั้นจะ “เรียน” และ“เลียน” กำรประพฤติตนจำกตัวครู กำรทำตัวเป็น
ต้นแบบหรอื แบบอย่ำง จงึ เป็นสิง่ ที่มอี ิทธิพลมำกกว่ำกำรบอกกล่ำวเฉยๆ เพรำะกำรแสดงต้นแบบให้
เห็นด้วยสำยตำนั้น เป็นภำพที่มองเห็นชัดเจน และง่ำยต่อกำรลอกเลียนยิ่งกว่ำกำรรับฟัง และบอก
เล่ำอย่ำงปกติ ถ้ำต้องกำรให้ผู้เรียนเป็นอะไร จงพยำยำมแสดงออกเช่นน้ันท้ังในกำรดำเนินชีวิต และ
ในกำรสนทนำ
127
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
กำรวำงตัวของครูเป็นตัวอย่ำง หรือเยี่ยงอย่ำงให้แก่ผู้เรียนได้มำก แม้ว่ำผู้เรียนจะมี
ควำมคิด ควำมอ่ำนของตนเองที่ไม่ต้องกำรเลียนแบบผู้ใหญ่ทุกประกำรเหมือนเด็กเล็ก แต่ครูก็คือ
ครูที่ผู้เรียนพิจำรณำว่ำมีควำมหมำยสำคัญอยู่มำก โดยเขำจะสนใจและเฝ้ำสังเกตนับต้ังแต่กำรแต่ง
กำยไปจนถึงกำรประพฤติปฏิบัติจะเป็นประสบกำรณ์ให้เขำได้พิจำรณำ นอกจำกนี้กำรรู้ตัวเองของ
ครู กำรแนะนำให้ผู้เรียนประพฤติให้เหมำะสมเป็นสิ่งจำเป็นที่ครูต้องประพฤติ และปฏิบัติตนให้
เหมำะสมด้วย
3. ABILITY (ความสามารถ)
คำว่ำ “ควำมสำมำรถ” หมำยถึง กำลังที่มีจริงในกำรแสดงหรือในกำรกระทำอย่ำงใด
อย่ำงหนึ่ง ไม่ว่ำกำรกระทำน้ันจะเป็นกำรกระทำทำงกำยหรือทำงจิตใจ และไม่ว่ำกำลังนั้นจะได้มำ
จำกกำรฝึกฝนอบรมหรือไม่ก็ตำม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ควำมสำมำรถทั่วไป (General
Ability) และควำมสำมำรถพิเศษ (Specific Ability) นอกจำกนั้นครูจะต้องทรำบถึงกำรเปลี่ยนแปลง
ใหม่หรือนวัตกรรมทำงกำรศึกษำ (Innovation in Teaching) เพื่อที่ครูจะได้นำมำช่วยปรับปรุงและ
พัฒนำกระบวนกำรเรียนรู้หรือกำรเรียนกำรสอนให้ดียิ่งขึ้นไป กำรเรียนกำรสอนก็เช่นเดียวกับ
กำรวินจิ ฉยั กำรรักษำโรคทำงกำรแพทย์หรือจะสมมติเป็นกำรปรุงอำหำรในครัวก็ได้ ที่จะต้องแสดง
ฝีมืออย่ำงเต็มที่ให้ได้อำหำรอร่อยที่สุด ดังนั้นครูจึงต้องประเมินตัวเอง ประเมินกำรสอน และ
ปรับปรุงข้อบกพร่องของสิ่งที่ตนสอนไปเสมอ (Diagnosis and Treatment of Course Defects) เพื่อ
ให้ผลกำรสอนดีที่สดุ
นอกจำกครูจะต้องเข้ำใจบทบำทควำมเป็นครูของตนเองแล้ว (Teacher’s Role) ครูควรจะมี
ควำมสำมำรถดงั นี้
1. จติ วิทยำกำรเรียนรู้ (Psychology of Learning)
2. กำรกำหนดวัตถปุ ระสงค์ของกำรสอนอย่ำงชัดเจน (Specific of Objectives)
3. กำรวิเครำะหเ์ นือ้ หำ (Content Analysis)
4. กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน (Learning Activities)
5. กำรนำโสตทัศนูปกรณ์มำช่วยสอน (The Application of Audiovisual Aids)
6. กำรจดั ทำแผนกำรสอน (Course Syllabus and Lesson Planning)
7. กำรประเมนิ กำรเรียนกำรสอน (Assessment)
128
ความเป็นครูยคุ ปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
4. CHARACTERISTIC (คุณสมบัติ)
ควำมหมำยที่ใช้โดยท่ัวๆ ไป หมำยถึง คุณภำพหรือคุณสมบัติที่สังเกตได้ชัดเจนใน
ตัวบุคคล ทำให้ทรำบได้ว่ำบุคคลนั้นแตกต่ำงไปจำกบุคคลอื่นๆ ในควำมหมำยเฉพำะ อุปนิสัย
หมำยถึง ผลรวมของนสิ ยั ต่ำงๆ บุคคลมีอยู่ หรือผลรวมของลักษณะของพฤติกรรมต่ำงๆ ของบุคคล
ตำมควำมเขำ้ ใจของคนทั่วไป คำว่ำอปุ นิสัยนแี้ ฝงควำมหมำยของคณุ ธรรมจรรยำบรรณในตัวด้วย ใน
คณุ สมบตั ิของควำมเป็นครู สิ่งสำคัญคือ ครูจะต้องมีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียน ต่อวิชำที่สอน และต่องำน
ที่ทำ
5. HEALTH (สุขภาพดี)
กำรมีสุขภำพดี หมำยถึง กำรไม่มีโรค รวมถึงมีสภำพทำงร่ำงกำย และจิตใจที่สมบูรณ์
แข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตในสังคมได้อย่ำงปกติสุข ผู้ที่เป็นครูนั้นต้องทำงำนหนัก ดังน้ันสุขภำพ
ทำงด้ำนร่ำงกำย จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่ำคือ สุขภำพจิต ดังคำว่ำ “จิตเป็นนำย กำยเป็น
บ่ำว” ดังนั้น ครูจึงจำเป็นต้องมีสุขภำพจิตที่ดีด้วย จิตดีนั้นไม่เพียงแต่ไม่เป็นโรคจิตโรคประสำท
เท่ำน้ัน แต่เป็นผู้ที่มีสมรรถภำพ มีกำรงำนและมีชีวิตที่เป็นสุขทำประโยชน์ต่อสังคมด้วยควำมพอใจ
สำมำรถปรับตัวให้เข้ำกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต่อบุคคลที่เรำอยู่ร่วมและต่อสังคมที่เรำเกี่ยวข้อง โดย
ไม่ก่อควำมเดือดรอ้ นให้ทั้งตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น
6. ENTHUSIASM (ความกระตือรือรน้ )
ควำมกระตอื รอื ร้นของครนู น้ั เป็นกำรใฝ่หำควำมรใู้ ส่ตน กำรกระหำยควำมรู้จะทำให้ครู
ไม่หยุดนิ่งในกำรพัฒนำตนเอง เพรำะจะต้องถือว่ำ กำรใฝ่หำควำมรู้เพื่อปรับปรุงกำรเรียนกำรสอน
นั้นเป็นกระบวนกำรอย่ำงหนึ่งของกำรพัฒนำตน (Learning to Teach is A Process of Self-
Development) กำรเพิ่มพูนควำมรู้มีหลำยรูปแบบ เช่น กำรประชุมสัมมนำ อบรมระยะสั้นจะทำให้
ครูที่ขำดควำมรู้ในเร่ืองที่ตนสอนได้มีควำมรู้เพิ่มเติม และทำให้มีควำมมั่นใจในกำรสอนมำกขึ้น
ควำมกระตือรือร้นของครูนั้น ไม่ใช่มุ่งเน้นเฉพำะกำรพัฒนำตัวครูเท่ำน้ัน แต่จะต้องมีควำม
กระตอื รอื ร้นในกำรพฒั นำกำรเรียนกำรสอนดว้ ย
129
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
7. RESPONSIBILITY (ความรับผิดชอบ)
ครูที่ดีจะต้องมีควำมรับผิดชอบในหน้ำที่ของตนตำมที่ได้กล่ำวมำแล้วเป็นอย่ำงดี รวมท้ัง
ยอมรับผลแห่งกำรกระทำนั้นๆ น้อมรับควำมผิดและน้อมรับควำมชอบ และไม่ว่ำจะดีหรือไม่ก็ตำม
และพร้อมทีจ่ ะปรับปรงุ แก้ไข ควำมรบั ผดิ ชอบต่อศิษย์ตำมหลักทิศ 6 ได้แก่ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี
สอนให้เข้ำใจแจ่มแจ้ง สอนศิลปวิทยำให้สิ้นเชิง ยกย่องให้ปรำกฏในหมู่คณะ และสร้ำงเคร่ืองคุ้มภัย
ในสำรทิศ ซึ่งท้ังหมดน้ีเปน็ ภำรกิจทีส่ งั คมมอบหมำยใหผ้ ู้ประกอบวิชำชีพครูกระทำและเป็นพันธกิจที่
ผเู้ ป็นครมู อบใหก้ ับสังคม
บทบาทของครูในฐานะผู้จัดการเรยี นรู้
เพื่อพัฒนำผเู้ รียนแต่ละคนให้เตม็ ตำมศักยภำพ ครูมบี ทบำททีส่ ำคัญมีดงั นี้
1. กำรเตรียมกำรสอน ครูควรเตรียมกำรสอนดังน้ี
1.1 วิเครำะหข์ ้อมูลของผเู้ รียน เพื่อจดั กลุ่มผู้เรยี นตำมควำมรคู้ วำมสำมำรถ และเพื่อ
กำหนดเรอ่ื งหรอื เนือ้ หำสำระในกำรเรียนรู้
1.2 วิเครำะหห์ ลักสูตรเพือ่ เชอ่ื มโยงกับผลกำรวิเครำะหข์ ้อมูล โดยเฉพำะกำรกำหนด
เร่ืองหรือเนื้อหำสำระในกำรเรียนรู้ ตลอดจนวัตถุประสงค์สำคัญ ที่จะนำไปสู่กำรพัฒนำผู้เรียนสู่
ควำมเป็นสำกล
1.3 เตรียมแหล่งเรียนรู้ เตรียมห้องเรียน
1.4 วำงแผนกำรสอน ควรเขียนให้ครอบคลุมองค์ประกอบ ดังตอ่ ไปนี้
1.4.1 กำหนดเร่อื ง
1.4.2 กำหนดวตั ถุประสงค์ใหช้ ัดเจน
1.4.3 กำหนดเนื้อหำ ครูควรมีรำยละเอียดพอที่จะเติมเต็มผู้เรียนได้ ตลอดจนมี
ควำมรใู้ นเนื้อหำของศำสตร์นนั้ ๆ
1.4.4 กำหนดกิจกรรม เน้นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้คิดและลงมือปฏิบัติ ได้ศึกษำ
ข้อมูลจำกแหล่งเรียนรู้ที่หลำกหลำย นำข้อมูลหรือควำมรู้น้ันมำสังเครำะห์เป็นควำมรู้หรือเป็นข้อสรุป
ของตนเอง ผลงำนที่เกิดจำกกำรเรียนรู้ของผู้เรียนอำจมีควำมหลำกหลำยตำมควำมสำมำรถ ถึงแม้
จะเรียนรู้จำกแผนกำรเรียนรู้เดียวกนั
1.4.5 กำหนดวิธีกำรประเมินที่สอดคล้องกบั จุดประสงค์
1.4.6 กำหนดสอ่ื วสั ดอุ ุปกรณ์ และเครอ่ื งมอื ประเมิน
130
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
2. กำรสอน ครคู วรคำนึงถึงองค์ประกอบต่ำงๆ ดังนี้
2.1 สร้ำงบรรยำกำศทีเ่ อือ้ ต่อกำรเรียนรู้
2.2 กระตนุ้ ให้ผเู้ รียนร่วมกิจกรรม
2.3 จดั กิจกรรมหรือดแู ลใหก้ ิจกรรมดำเนินไปตำมแผน และตอ้ งคอยสงั เกต บันทึก
พฤติกรรมทีป่ รำกฏของผู้เรียนแต่ละคน หรอื แตล่ ะกลุ่มเพื่อสำมำรถปรบั เปลีย่ นกิจกรรมให้มคี วำม
เหมำะสม
2.4 ให้กำรเสริมแรง หรอื ให้ข้อมลู ย้อนกลับ ให้ขอ้ สงั เกต
2.5 กำรประเมินผลกำรเรียน เป็นกำรเก็บรวบรวมผลงำนและประเมินผลงำนของ
ผู้เรียน ประเมินผลกำรเรียนรตู้ ำมที่กำหนดไว้
จำกที่กล่ำวมำข้ำงต้นมีลักษณะเป็นหลักกำรที่ครูสำมำรถนำมำขยำยควำมเพิ่มเติมในเชิง
ปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทำงและใช้เป็นข้อสังเกตในกำรปฏิบัติงำน และประเมินกำรปฏิบัติงำนของ
ตนเองที่ผ่ำนมำว่ำครูได้แสดงบทบำทกำรจัดกำรเรียนกำรสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมำกน้อย
เพียงใด มีสว่ นใดทีย่ ังไม่ได้ทำหรอื ต้องปรบั ปรงุ แก้ไขบ้ำง ได้ดงั นี้
1. กำรเตรียมกำรจดั กำรเรยี นรู้ ครคู วรมบี ทบำทดงั ตอ่ ไปนี้
1.1 วิเครำะห์หลกั สูตร
1.2 ปรับเนื้อหำให้สอดคล้องกบั ควำมตอ้ งกำรของผเู้ รียนหรอื สอดคล้องกับท้องถิ่นหรือ
บรู ณำกำรเนื้อหำสำระระหว่ำงกลุ่มประสบกำรณ์ หรอื รำยวิชำ
1.3 เตรียมแหล่งเรียนรู้ เอกสำร ส่อื ประกอบกำรเรียนรู้
1.4 มีขอ้ มลู ผเู้ รียนทีจ่ ะนำไปเป็นพืน้ ฐำนในกำรจัดกำรเรียนรู้
2. กำรจัดกำรเรียนรู้ควรให้ผเู้ รียนได้มสี ่วนรว่ มในกำรดำเนินกิจกรรมต่ำงๆ ดงั นี้
2.1 เลือกเร่อื งที่จะเรียน
2.2 วำงแผนกำรเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
2.3 เรียนโดยกำรแลกเปลีย่ นควำมรู้
2.4 เรียนด้วยกระบวนกำรกลุ่ม
2.5 เรียนจำกหอ้ งสมุด
2.6 เรียนจำกแหลง่ เรียนรทู้ ี่หลำกหลำย ท้ังในและนอกโรงเรียน
2.7 เรียนโดยบรู ณำกำร สำระทกั ษะ และคณุ ธรรม
131
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
3. ผลกำรจัดกำรเรียนรู้ของผู้เรยี น สิ่งทีผ่ ู้เรยี นได้รบั มีดังน้ี
3.1 มีผลงำนกำรเรียนรู้ที่หลำกหลำย แม้เรยี นจำกแผนกำรเรียนรู้เดียวกนั
3.2 มีผลงำนเชิงสร้ำงสรรค์
3.3 มีผลงำนที่ภำคภูมใิ จ
3.4 สรุปควำมรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง
3.5 มีควำมสัมพนั ธ์ที่ดกี บั กลุ่ม
3.6 ตัดสินใจ ลงควำมเห็น เลือกปฏิบัติได้อย่ำงเหมำะสมกับเรื่องและสถำนกำรณ์
3.7 มีควำมม่ันใจและกล้ำแสดงออก
4. กำรประเมนิ ผล ครูจะต้องคำนึงถึงส่งิ ตอ่ ไปนี้
4.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์ ประเมินตำมสภำพจริง
4.2 วิธีกำรและเครื่องมือสอดคล้องกนั
4.3 ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในกำรประเมิน
4.4 นำผลกำรประเมินไปพัฒนำผู้เรยี นอย่ำงต่อเน่อื ง
จะเห็นว่ำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นสิ่งที่ทำยำก และ
ดูเหมือนว่ำครูจะมีภำระงำนมำกขึ้น ผู้ที่จะประสบควำมสำเร็จในกำรทำงำนนี้ได้จะต้องมีควำมตั้งใจ
ควำมพยำยำม ควำมอดทน และต้องทำงำนตลอดเวลำ แต่ถ้ำจะพิจำรณำอย่ำงถ่องแท้แล้ว ก็ไม่ใช่
ภำระงำนที่นอกเหนือขอบเขตของควำมเป็นครูที่มีหน้ำที่โดยตรงในกำรพัฒนำบุคคล ครูที่ปฏิบัติ
หน้ำที่เต็มที่ตำมแนวทำงที่ถูกต้องย่อมจะได้รับผลงำนของควำมเหน็ดเหนื่อยอย่ำงคุ้มค่ำในเบื้องต้น
คือได้ชื่นชมกับควำมเจริญงอกงำมของศิษย์ดังคำกล่ำวที่ว่ำ “ควำมสำเร็จของศิษย์ คือรำงวัลชีวิต
ของครู” และทำงด้ำนวัตถุก็จะได้รับสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้อย่ำงสมน้ำสมเน้ือ ตำมกลไกที่ระบุ
เป็นสำระต่ำงๆ ของพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2545 ในหมวดที่ 7 ครูทั้งหลำยที่มีควำมตระหนักในบทบำทและหน้ำที่ของตน ย่อมจะมี
ควำมยินดที ีจ่ ะรับภำระอันหนกั แตม่ ีคณุ ค่ำนไี้ ว้ดว้ ยควำมเตม็ ใจ และมีควำมภำคภูมิใจในควำมเป็นครู
อำชีพ
132
ความเป็นครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ความเป็นมนุษย์
มนุษย์เป็นผู้มีจิตใจสูง มีพื้นปัญญำสูงกว่ำสัตว์ดิรัจฉำน สำมำรถพิจำรณำไตร่ตรองและ
เปรียบเทียบในควำมดี ควำมชั่ว สิ่งที่ควรทำไม่ควรทำ รู้จักละอำย รู้จักเกรง รู้จักปรับปรุง
สร้ำงสรรค์แสดงว่ำมีควำมดีที่ได้สั่งสมมำ มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยควำมเมตตำกรุณำจำกผู้อื่นมำ
ต้ังแต่เบื้องต้น คือ เมตตำ กรุณำ จำกบิดำ มำรดำ ครูบำอำจำรย์ ญำติสนิท มิตรสหำย เม่ือเรำ
เติบโตมำจำกควำมเมตตำกรุณำ ก็ควรมีควำมเมตตำกรุณำต่อชีวิตอื่นต่อไป นอกจำกนี้สิ่งที่ทำให้
มนุษย์เปน็ สัตว์พิเศษ ได้แก่ สิกขำ หรอื กำรศกึ ษำ คือกำรเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนำ มนุษย์ที่ฝึก ศึกษำ
หรอื พฒั นำแล้ว เชือ่ ว่ำเป็น “สัตว์ประเสริฐ” เป็นผู้รู้จักดำเนินชีวิตที่ดีงำม โดยเฉพำะเยำวชน ซึ่งเป็น
สมำชิกใหมข่ องสังคม
นอกจำกนีม้ นษุ ย์ยงั มีลักษณะพิเศษคือ มีสมองขนำดใหญ่เม่ือเทียบกับขนำดตัว ทำให้มนุษย์
มีศักยภำพในกำรใช้ภำษำ ใช้เหตุผลเชิงนำมธรรม แก้ปัญหำและสร้ำงสรรค์ศิลปวัฒนธรรม
ตลอดจนเทคโนโลยีต่ำงๆ โดยผ่ำนกำรเรียนรู้ทำงสังคม (มหำวิทยำลัยรำมคำแหง, 2555) มนุษย์จึง
เป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีค่ำในตัวเอง และเป็นศูนย์กลำงในกำรกำหนดคุณค่ำต่ำงๆ ในขณะที่สรรพสิ่ง
รอบตวั เป็นเพียงเครอ่ื งมอื ทีน่ ำไปสู่เป้ำหมำยเท่ำน้ัน (Singer, 2011) โดยธรรมชำติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์
สังคม ไม่สำมำรถอำศัยอยู่ได้ตำมลำพังจำเป็นต้องพึ่งพำผู้อื่น มนุษย์จึงต้องปรับตัวโดยผ่ำน
กระบวนกำรขัดเกลำทำงสังคม (Socialization) ทั้งทำงตรงและทำงอ้อมจำกสถำบันต่ำงๆ ในสังคม
เพื่อเรียนรู้และปฏิบัติตนตำมกฎระเบียบ และวัฒนธรรมประเพณี สำหรับกำรอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นใน
สังคมนั้นได้อย่ำงสงบสุข มนุษย์เกิดมำทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ มีสิทธิโดยธรรมชำติในฐำนะที่เกิด
เป็นมนุษย์ โดยมนุษย์มีควำมชอบธรรมในด้ำนจริยธรรมที่จะรักษำชีวิตของตนเอง มีอิสระทำง
ควำมคิดและเชื่อว่ำทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งควำมเป็นมนุษย์ โดยเท่ำเทียมกันไม่ว่ำแต่ละคนจะมีควำม
แตกต่ำงกัน
หำกจะพิจำรณำจำกควำมหมำยของ “มนุษย์” ตำมพจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน
พ.ศ. 2554 (รำชบัณฑิตยสภำ, 2556) กล่ำวว่ำ มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล เป็นสัตว์ที่มีจิตใจสูง
แต่มนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว เพื่อให้อยู่รอดในสภำพแวดล้อมต่ำงๆ ได้ด้วย มนุษย์ไม่ใช่
เพียงสิ่งมีชีวิตที่อำศัยอยู่ด้วยสัญชำตญำณเท่ำน้ัน แต่ควรจะมีคุณค่ำของควำมเป็นมนุษย์ คือ
กำรมีคุณธรรม เช่น ควำมมีเมตตำ กรุณำปรำณี มีควำมเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ มีควำมรับผิดชอบ เห็น
คุณค่ำ ของศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชน มีควำมยุติธรรม ควำมเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์สร้ำงได้ด้วย
กระบวนกำรขดั เกลำทำงสงั คมจำกสถำบนั ต่ำงๆ แตส่ ภำพปัจจุบนั กำรแสดงออกของมนุษย์ส่วนใหญ่
ยังไร้ควำมเมตตำ และเต็มไปด้วยควำมเหน็ แก่ตวั เพรำะเน้นวตั ถุนิยมมำกเกินไป สะท้อนให้เหน็ ถึง
133
ความเป็นครูยุคปฏิรังสรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
กำรสร้ำงควำมเป็นมนุษย์ที่ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นสถำบันของสังคมทุกแห่ง โดยเฉพำะสถำบัน
กำรศึกษำจึงควรทำหน้ำที่ให้เข้มแข็งมำกขึ้น เพื่อสร้ำงเสริมให้บุคคลมีจิตสำนึกในกำรปฏิบัติตนสม
กบั ควำมเป็นมนษุ ย์ทีส่ มบูรณ์ โดยไม่เบียดเบียนผู้อน่ื และอยู่ร่วมกนั ในสังคมได้อย่ำงสงบสุข
กำรสร้ำงควำมเป็นมนุษย์ หมำยถึง กำรสร้ำงบุคคลให้มีควำมสมบูรณ์ ท้ังด้ำนควำมรู้
หลักกำร อุดมคติและค่ำนิยมที่เกี่ยวกับศักดิ์ศรี สิทธิของมนุษย์ โดยให้บุคคลมีศักยภำพดังกล่ำว
สำหรับใช้กับชีวติ ส่วนตนและกำรประกอบอำชีพ เพื่อให้บุคคลมีควำมสง่ำงำมและทรงไว้ซึ่งศีลธรรม
ทำงวิชำชีพ (Gomes de Matos, 2002) กำรรกั ษำคุณค่ำของควำมเป็นมนุษย์ไว้ให้สมบรู ณ์ ไม่ใช่ กำร
รักษำชีวติ ให้ยืนยำวเท่ำนั้นแต่ตอ้ งรักษำควำมเปน็ คนไว้ไม่ใหส้ ูญเสียไปด้วย “คุณค่ำของควำมเป็นคน
หรือเป็นมนุษย์ คือ ควำมไม่เป็นสัตว์” กล่ำวคือ “ควำมแตกต่ำงของคนกับสัตว์อยู่ตรงที่สัตว์ไม่รู้จัก
กำรใชเ้ หตผุ ล เพรำะไม่มีปัญญำเท่ำเทียมกับมนุษย์ สัตว์จะดำรงชีวิตส่วนใหญ่ด้วยสัญชำตญำณ ไม่
รู้ผิด ชอบ ชั่วดี ไม่รู้ว่ำกำรเบียดเบียนส่งผลเสียอย่ำงไร เพรำะมันต้องเอำตัวรอดดำรงชีวิตอยู่ แต่
มนุษย์ถูกขัดเกลำและปลูกฝังให้มีคุณธรรม มีสติปัญญำ เรียนรู้ว่ำเมตตำกรุณำเป็นสิ่งที่ดี” (วีรวิท
คงศกั ดิ,์ 2559)
มนุษย์มีมิติด้ำนในของชีวิตที่อำจเรียกว่ำ“จิตวิญญำณ” และกำรเติบโตบนเส้นทำงแห่ง
จิตวิญญำณนี้เป็นรำกฐำนของ “ชีวิตที่ดีงำม” ที่มนุษย์แสวงหำ นิยำมคำว่ำ “ควำมเป็นมนุษย์” มี
ด้วยกันหลำกหลำยตำมแนวคิดและประสบกำรณ์ของแต่ละบุคคล ขงจ๊ือก็มีนิยำมควำมเป็นมนุษย์
ตำมแนวคิดของขงจ้ือเอง ส่วน Aristotle ก็นิยำมไว้ตำมแนวคิดของ Aristotle ย่อมไม่เหมือนกัน
ควำมเป็นมนุษย์ในนิยำมของของพ่อค้ำทำสในศตวรรษที่ 18 กับควำมเป็นมนุษย์ในนิยำมของ Victor
Hugo ที่เขียน Les Miserables ก็ย่อมไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพรำะควำมเป็นมนุษย์ของผู้หญิงในนิยำม
แบบโบรำณ กับควำมเป็นมนุษย์ของผู้หญิงในนิยำมของปัจจุบัน ย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งในยุคใหม่นี้
ควำมเป็นมนุษย์ในนิยำมของนักปรัชญำ ควำมเป็นมนุษย์ในนิยำมของเทววิทยำหรือศำสนำกับ
ควำมเป็นมนุษย์ในนิยำมของนักประสำทวิทยำหรือ Neuroscientist ที่ศึกษำลึกลงไปในสมองของผู้คน
รวมไปถึงควำมเป็นมนุษย์ในนิยำมของนักสร้ำงหุ่นยนต์และปัญญำประดิษฐ์ ก็อำจยิ่งเปลี่ยนแปลง
ซับซ้อนแตกต่ำงกันไปได้อกี มหำศำล
ควำมเปน็ มนษุ ย์ทีส่ มบูรณ์ควรเป็นอย่ำงไรนั้นขึ้นอยู่กับ ทัศนะของคนในแต่ละวัฒนธรรม แต่
เม่ือวิเครำะห์โดยผู้รู้ พบว่ำ มนุษย์ที่สมบูรณ์คือผู้ที่เข้ำถึงสิ่งสูงสุด ประสบกับควำมเป็นอิสระ คลำย
ควำมยึดมั่นในตวั ตน มีควำมรักแก่สรรพสิ่ง และเพื่อนมนุษย์ (ประเวศ วะสี, 2554) ควำมเป็นมนุษย์
จงึ ประกอบด้วย
134
ความเป็นครูยุคปฏิรงั สรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
1. ควำมจรงิ
2. ควำมรักควำมเมตตำ
3. ควำมประพฤติชอบ
4. ควำมสงบสขุ และ
5. อหงิ สำ คอื ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกนั
นอกจำกนี้ วรำกรณ์ สำมโกเศศ (2555) ได้ระบุลกั ษณะของควำมเป็นมนุษย์ที่พึงประสงค์ ไว้
ดงั น้ี
1. Kindness หมำยถึง เมตตำ = ปรำรถนำดีอยำกใหเ้ ขำ เปน็ สขุ มจี ติ อันแผไ่ มตรี
2. Compassion หมำยถึง กรณุ ำ = สงสำรเห็นอกเห็นใจ คนตกทกุ ข์ได้ยำกและคิดชว่ ยให้
พ้นทกุ ข์
3. Mercifulness หมำยถึง เมตตำ = ให้อภัยแก่คนอ่นื ซึ่งอยู่ ใต้อำนำจของเรำทีส่ ำมำรถจะ
ทำร้ำยได้
4. Altruism หมำยถึง มุทิตำ = ยินดีเมอ่ื ผอู้ ื่นเปน็ สขุ ต้ังใจทีจ่ ะกระทำสิ่งซึง่ คนอน่ื ได้
ประโยชน์ ถึงแมต้ นจะเสีย ประโยชน์ก็ตำม
5. Empathy หมำยถึง ควำมสำมำรถทีจ่ ะร่วมควำมรู้สึกหรอื ประสบกำรณ์ของผอู้ ื่นโดย
จนิ ตนำกำรได้ว่ำจะเปน็ อย่ำงไร
ส่วน ชัยวัฒน์ สุรวิชัย (2559) ได้อธิบำยควำมหมำยของกำรเป็นมนุษย์ คือ กำรฝึกฝนและ
พฒั นำตนเอง อยู่ตลอดเวลำ เพรำะ
1. มนุษย์เป็นสัตย์ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่ฝึกฝนเรียนรู้ได้ (เป็นข้อแตกต่ำงที่สำคัญกับสัตว์)
2. มนษุ ย์เปน็ สัตว์สงั คม ทีจ่ ะต้องมีกำรปรับปรงุ ตนเองให้สอดคล้องคนอน่ื และสังคม
3. ควำมก้ำวหน้ำกำรพฒั นำของสังคม กำรเมอื ง เศรษฐกิจสงั คมวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่
เปลีย่ นไป
4. ตวั มนษุ ย์ จะมีกำรเติบโตขึน้ ตำมกำลเวลำทีผ่ ำ่ นไป (มีเกิด แก่เจบ็ ตำย) มีกำรเปลี่ยนแปลง
ไปตลอด เริ่มจำกช่วงของกำรเรียนรู้พัฒนำได้รวดเร็วในวัยเริ่มต้น จนไปถึงช่วงที่เริ่มถดถอย ในยำม
ชรำ
135
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ
คุณค่ำแห่งควำมเป็นมนุษย์ ในปัจจุบันโลกภำยนอกล่อใจให้ออกมำจำกแก่นแท้ของชีวิต
ดึงดดู เรำด้วยควำมสะดวกสบำยและควำมสุขเพียงช่ัวครำว ผูกมัดเรำไว้ในกำรเสพติดนำนจนเรำลืม
ควำมหวำนชื่นอันแท้จริงของชีวิต และจิตใจภำยในตัวตนของเรำ ทำให้เรำหลงลืมกับควำมรู้สึกอิ่ม
ควำมรู้สึกพอ มนุษย์สำมำรถจะเสียสละแม้กระท่ังตนเองเพื่อสิ่งที่ตนรัก หรือเพื่อควำมถูกต้อง
โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งหลักกำรควำมถูกต้องที่ตนต้องยกไว้ เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งจิตวิญญำณและศักดิ์ศรี
ของควำมเป็นมนษุ ย์ (ลิขิต ธีรเวคิน, 2553)
ครูมีหน้ำที่พัฒนำมนุษย์และเป็นผู้เปิดประตูทำงวิญญำณ หรือควำมรู้ให้แก่ศิษย์
(พุทธทำสภิกขุ, 2547) กล่ำวได้ว่ำ ครูต้องมีท้ังศำสตร์และศิลปครูต้องมีศำสตร์คือ เป็นผู้ศึกษำจน
เชี่ยวชำญ ในด้ำนหลักกำร ทฤษฎี วิธีกำรและแนวปฏิบัติ สำมำรถวิจัยและ พัฒนำควำมรู้ใหม่ ได้
อย่ำงไม่มที ีส่ ้ินสุด ครตู ้องมีศิลป์ คือมคี วำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ กล่อมเกลำจิตใจ มีควำม
ประพฤติ คุณลกั ษณะ บุคลิกภำพและคุณธรรมที่เป็นแบบอย่ำงได้ (พระภำวนำวิริยคุณ (เผด็จ ทัตต
ชีโว), 2553)
กำรศึกษำถือว่ำมีบทบำทสำคัญมำกในกำรสร้ำงควำมเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพรำะเป็น
สถำบันที่บุคคลจะต้องติดต่อสัมพันธ์ด้วยต้ังแต่ยังเป็นเด็กเล็กจนเจริญเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ บทบำท
ของกำรศึกษำในระบบและนอกระบบจะทำให้บุคคลเกิดควำมรู้ควำมเข้ำใจทั้งศำสตร์ที่เป็ นวิชำชีพ
และศำสตร์แหง่ กำรดำเนินชีวติ หรอื กล่ำวอีกอย่ำงหนึ่ง คือให้ควำมสำคัญทั้งควำมรู้และควำมดีหรือ
คุณธรรมควบคู่กันไป เพรำะถ้ำมนุษย์มีควำมรู้ด้ำนวิชำกำรเพียงอย่ำงเดียว แต่ไม่มีคุณธรรมที่รู้จัก
ผิดชอบชั่วดี จะยิ่งเป็นอันตรำยมำกกว่ำผู้ใช้กำรศึกษำ เนื่องจำกสำมำรถนำควำมรู้ไปใช้แสวงหำ
ประโยชน์ใส่ตนเอง โดยไม่คำนึงถึงควำมเดือดร้อนของผู้อื่นได้อย่ำงแยบยล ดังน้ันคงปฏิเสธไม่ได้ว่ำ
กำรจัดกำรศึกษำเพื่อพัฒนำควำมเป็นมนุษย์จึงเป็นเร่ืองสำคัญสำหรับครู เน่ืองจำกครูมีหน้ำที่
ถ่ำยทอดควำมรแู้ ละขดั เกลำพฤติกรรมให้แก่ผเู้ รียน กำรสอนให้เด็กเป็นคนดี คนเก่ง และมีควำมสุข
กำรจัดกำรศึกษำ จึงเป็นกุญแจสำคัญในกำรพัฒนำคุณภำพ ครูมีบทบำทและควำมสำคัญอย่ำงยิ่ง
ในฐำนะเปน็ ผู้ให้กำรศกึ ษำของชำติ มีหน้ำที่อบรมสั่งสอนโดยตรง ประสิทธิ์ประสำทวิชำควำมรู้ให้แก่
ผู้เรียนในฐำนะสมำชิกใหม่ของสังคมแล้ว ยังมีหน้ำที่ต้องปลูกฝังและส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
เพือ่ ให้ศษิ ย์เป็นคนดี ครคู ือผู้ที่กำหนดอนำคตของคนในชำติ ชำติใดกต็ ำมทีไ่ ด้ครูเป็นคนมีควำมรู้ เป็น
คนเก่ง เป็นคนเสียสละ ต้ังใจทำงำนเพื่อประโยชน์ของนักเรียน ชำตินั้นจะได้พลเมืองที่เก่งและฉลำด
มีศักยภำพและมีควำมสำมำรถที่จะแขง่ ขนั กบั ทกุ ประเทศในโลกได้
136
ความเปน็ ครูยุคปฏิรงั สรรคก์ ารศกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
ครูผู้สรา้ งความเป็นมนษุ ย์
โลกกำลังเข้ำสู่ยุคสังคมเศรษฐกิจ ฐำนควำมรู้ที่ไร้พรมแดน กำรเปลี่ยนแปลงที่เต็มไปด้วย
ควำมท้ำทำย เยำวชนคนรุ่นใหม่ที่เกิดมำพร้อมกับควำมสะดวกสบำยที่เรำเรียกว่ำ New Gen คือ
ผู้ขับเคลื่อนโลกแห่งอนำคต ดังนั้น ครูบำอำจำรย์จึงต้องทันต่อโลกดิจิทัล เพื่อเตรียมควำมพร้อม
ให้กับเยำวชนในกำรเดินทำงเข้ำสู่โลกใบใหม่ ซึ่งนอกจำกเทคโนโลยีที่ช่วยเป็นกุญแจสำคัญแล้ว
เคร่ืองมือที่ถือว่ำทรงพลังที่สุดในกำรสร้ำงโอกำสควำมสำเร็จ สิ่งน้ันก็คือ Creativity ซึ่งสถำนศึกษำ
ไม่ใช่ที่ที่ครูเป็นเจ้ำของอีกต่อไป แต่จะเป็นพื้นที่กำรเรียนรู้ของเด็ก เด็กสำมำรถเรียนรู้ ได้ทุกที่ ทุก
เวลำ ต่อไปกำรเรียนในระบบมหำวิทยำลัยจะลดควำมสำคัญลงไป เกรดและใบปริญญำจะไม่มี
ควำมหมำย แตส่ ิง่ ที่เด็ก Generation ใหม่ต้องกำรคือ ทักษะ ซึ่งสังคมโลกยุคใหม่กำลังจะเปลี่ยนเป็น
สังคมเศรษฐกิจฐำนควำมรู้ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์และบริกำรที่พึ่งพำองค์ควำมรู้ที่มำจำกงำนวิจัยและ
นวตั กรรม (อุดม คชินทร, 2561)
กำรอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทำให้มนุษย์ต้องมีกำรสื่อสำร ภำษำและสัญลักษณ์สำหรับสื่อ
ควำมหมำยจึงค่อยๆ มีกำรสร้ำงขึ้น มนุษย์จึงไม่เพียงแต่ต้องเรียนรู้และปรับตัวไปตำมเง่ือนไขทำง
กำยภำพของสิ่งแวดล้อมในธรรมชำติ แต่กำรอยู่รอดของมนุษย์ขึ้นอยู่กับทักษะทำงสังคมและ
กำรเรียนรแู้ บบแผนทำงวฒั นธรรมทีค่ ่อยๆ ก่อตวั ขึ้นตลอดระยะเวลำยำวนำนนี้ด้วย มองจำกมุมมอง
เชิงระบบที่เชื่อมโยงเหตุปัจจัยท้ังทำงสรีรวิทยำ (ร่ำงกำยและสมอง) สิ่งแวดล้อมกำยภำพ และ
แบบแผนทำงวฒั นธรรมเชน่ นที้ ำให้เห็นได้ชัดว่ำ “ควำมเป็นมนุษย์” ไม่ใช่ผลผลิตของวิวัฒนำกำรทำง
ชีววิทยำและเง่ือนไขทำงสรีรวิทยำของมนุษย์ไม่ได้เป็นเง่ือนไขสำคัญสูงสุด ที่ทำให้มนุษย์มี
วิวัฒนำกำรด้ำนอื่นๆ จนกลำยเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน หรือกล่ำวโดยย่อแล้ว ในทำงมำนุษยวิทยำ
“มนุษย์เป็นมนุษย์ได้เพรำะมีวัฒนธรรม” และวัฒนธรรมที่ว่ำนี้ก็มีส่วนสำคัญในกำรกำหนด
วิวัฒนำกำรทำงกำยภำพ ควำมรู้สึกนึกคิดและสติปัญญำของมนุษย์ (โกมำตร จึงเสถียรทรัพย์
และนภนำท อนุพงศพ์ ฒั น์, 2560)
กำรไม่หยุดนิ่งของกำรพัฒนำดังกล่ำว เกิดจำก “มนุษย์” เพื่อตอบสนองควำมต้องกำร
ของ “มนุษย์” สิ่งที่ได้จำกกำรพัฒนำ คือ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้ำงประโยชน์ให้คนกลุ่มหนึ่ง และ
อำจจะทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งเสียประโยชน์ไป ดังน้ัน กำร Disrupt คงไม่ใช่เร่ืองแปลกใหม่ แต่เรียกได้
ว่ำมันคือ ทำงเลือกที่แต่ละคน แต่ละองค์กรจะอยู่นิ่งๆ แล้วปล่อยให้เวลำผ่ำนไป จนกระท่ังโดน
Disrupt หรือจะเลือกที่จะ Disrupt ตัวเองเสียก่อน ก่อนที่คนอื่นจะเข้ำมำ Disrupt ตัวเรำ ดังน้ัน
กำรปรับตัวเข้ำกับโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่ำงมำกมำยและไม่หยุดยั้ง สถำบันกำรศึกษำทุก
ระดบั โดยเฉพำะระดับอุดมศกึ ษำจงึ มบี ทบำทสำคัญในกำรส่งเสริมและปลูกฝงั คุณลกั ษณะต่ำงๆ
137
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ให้แก่เยำวชน เนอ่ื งจำกสถำนศกึ ษำมีหน้ำที่เตรยี มควำมพร้อมให้บุคคล เพื่อกำรประกอบอำชีพสำขำ
ต่ำงๆ และเพื่อให้เป็นทรัพยำกรบุคคลที่มีคุณค่ำ และมีประโยชน์ต่อกำรสร้ำงควำมเจริญก้ำวหน้ำ
ให้แก่ประเทศชำติ
ควำมเป็นครูในสังคมไทย ปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหำรุมเร้ำรอบด้ำนแต่ปัญหำใด ก็ไม่
เท่ำกับวิกฤตศรัทธำในวิชำชีพครู ประกอบกับกำรปฏิรูปกำรศึกษำที่เป็นกระแสใหม่ท่ัวโลก ครูจึง
ต้องปรับตัวให้เท่ำทันกำรเปลี่ยนแปลง แต่ปัจจุบันกำรยอมรับนับถือได้ลดลงไปมำก ควำมสำคัญ
ก็ลดน้อยลง ทำให้คนเป็นครูลดควำมภำคภูมิใจไปด้วย (ไพฑูรย์ สินลำรัตน์, 2558) กำรที่ครูจะเข้ำ
ไปกระตุ้นให้เด็กเห็นคุณค่ำของตัวเองในฐำนะมนุษย์คนหนึ่ง ยังคงเป็นสิ่งที่มีควำมสำคัญที่สุด
ในกำรศึกษำ แม้ว่ำเทคโนโลยีจะเข้ำมำมีผลกระทบอย่ำงไรก็ตำม ดังพระรำชดำรัส สมเด็จ
พระกนิษฐำธิรำชเจ้ำ กรมสมเด็จพระเทพรัตนรำชสุดำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี ในกำรพระรำชทำน
รำงวัลสมเดจ็ เจ้ำฟ้ำมหำจักรี คร้ังที่ 3 ปี 2562 ทีด่ ำรสั ว่ำ
“ครู คือ ปัจจยั สาคญั ในการยกระดับคณุ ภาพชวี ิตของประชาชน,
ครู คอื มนษุ ย์ทีส่ ามารถสร้างแรงบนั ดาลใจใหเ้ ด็กนักเรียน
ทีจ่ ะพัฒนาคุณลักษณะของตนเองและสร้างค่านิยมตา่ งๆ ใหเ้ กิดข้ึน
ไม่มเี ทคโนโลยีใดๆ สามารถมาแทนทีค่ รูได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว
นนั่ คือวา่ ทาไมครทู ี่ดีจงึ สามารถเปลีย่ นแปลงชวี ิตลกู ศิษย์ได้
ด้วยการพัฒนาพวกเขาให้เปน็ พลเมืองที่ดีและมีความสามารถ
ทั้งในระดับชาติและระดบั เป็นพลเมืองของโลกด้วย"
กำรสรำ้ งควำมเปน็ มนษุ ย์ทีส่ มบรู ณ์จะบรรลตุ ำมเป้ำหมำยได้อย่ำงมปี ระสิทธิผลคงต้องได้รับ
ควำมร่วมมือจำก ครู คณำจำรย์ผู้ทำหน้ำที่อบรมส่ังสอนโดยตรง หำกผู้สอนทุกคน ตระหนักถึง
ควำมรับผิดชอบในฐำนะครูอำจำรย์ ที่นอกจำกจะประสิทธิ์ประสำทวิชำควำมรู้ให้แก่ศิษย์แล้วยังมี
หน้ำที่ต้องปลูกฝังและส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้ศิษย์เป็นคนดี โดยจัดกิจกรรมต่ำงๆ
สอดแทรกกำรเรียนกำรสอนในวิชำของตน พร้อมด้วยกำรเอำใจใส่ดูแลอบรมส่ังสอนด้วย
ควำมเมตตำ และประพฤติตนเป็นแบบอย่ำงที่ดีให้แก่ศิษย์อย่ำงสม่ำเสมอ โดยไม่ละเลยหรือเพิกเฉย
กำรสร้ำงควำมเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คงจะบรรลุผลมำกยิ่งขึ้น เพรำะต้องไม่ลืมว่ำเป้ำหมำยสำคัญ
ของกำรศึกษำคือ กำรสร้ำงควำมเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์แล้วโลกจะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีคุณค่ำสมกับ
คำวำ่ “มนษุ ย์” อย่ำงแท้จริง (กิง่ แก้ว ทรัพย์พระวงศ์, 2556)
138
ความเปน็ ครูยคุ ปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสุวรรณ
แผนพัฒนำกำรศึกษำทุกฉบับได้เน้นกำรยกระดับ คุณภำพมำตรฐำนวิชำชีพครูคณำจำรย์
และบุคลำกรทำงกำรศึกษำ ทีใ่ ห้ควำมสำคัญในเร่ืองของกำรผลิตครูดีและมีคุณภำพ อันจะส่งผลต่อ
ผเู้ รียนแล้วนำไปสู่กำรพัฒนำประเทศ และจำกประกำศกระทรวงศึกษำธิกำร เร่ือง มำตรฐำนคุณวุฒิ
ระดบั ปริญญำตรี สำขำครศุ ำสตร์และสำขำศกึ ษำศำสตร์ (หลักสูตรสี่ปี) พ.ศ. 2562 ที่ได้ประกำศใช้
เม่ือวันที่ 6 มีนำคม พ.ศ. 2562 นั้น ประเด็นที่เกี่ยวกับควำมเป็นมนุษย์นั้น หลักสูตรวิชำชีพครูต้อง
มุ่งผลติ บณั ฑิตให้มคี วำมเปน็ มนษุ ย์ สรปุ ได้ 3 ประกำร (กระทรวงศึกษำธิกำร, 2562) ดงั ตอ่ ไปนี้
1. ความเป็นมนุษย์ท่สี มบรู ณ์ (Human’ s Perfection)
ควำมเป็นมนุษย์ (Humanism) มีฐำนของควำมเชื่อว่ำ มนุษย์ชอบที่จะเรียนรู้จำกมนุษย์
ด้วยกันและปญั หำของมนุษย์นั้นสำมำรถแก้ไขได้ด้วยกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ดีกว่ำวิธีอื่น กำร
สอนบนฐำนควำมเป็นมนุษย์ จึงเป็นกำรนำเอำลักษณะของมนุษย์และควำมเชื่อของมนุษย์มำใช้เป็น
ฐำนสำหรับกำรจัดกำรสอน โดยไม่ทอดทิ้งควำมสำคัญของกำรใช้เทคโนโลยีเป็นฐำนกำรสอน
(Technology-based Instruction) แต่กำรกำหนดสัดส่วนของกำรนำควำมเป็นมนุษย์ (Humanism) กับ
เทคโนโลยี (Technology) มำใช้ให้เหมำะสมยังเป็นประเด็นปัญหำที่ยังหำข้อยุติไม่ได้ เน่ืองจำก
พัฒนำกำรของเทคโนโลยี ทำให้เห็นควำมดีงำมของเทคโนโลยีจนบำงเวลำละเลย กำรให้ควำมสำคัญ
กบั ควำมเป็นมนุษย์ ทำให้ขำดควำมสมดลุ ของควำมเปน็ มนุษย์กบั เทคโนโลยี
กำรเรียนรทู้ ีช่ ่วยเติมเตม็ ให้ผู้เรยี นเป็นมนษุ ย์ทีส่ มบูรณ์ (Human’ s Perfection) มำกยิง่ ขนึ้
ซึ่ง Humanity เป็นคำที่มีควำมหมำยใกล้เคียงกับคำ Humanization ซึ่งคำว่ำ Humanization หมำยถึง
สภำวกำรณ์ตำ่ งๆ ที่ทำให้เปน็ มนุษย์นน้ั มอี ตั ลกั ษณ์และตวั ตนที่สงั คมต้องกำรและปรำรถนำ
มนุษย์ที่สมบูรณ์น้ันจะต้องมีเป้ำหมำยกำรเรียนรู้ 4 ประกำรที่ยึดโยงกันเป็นองค์รวม
ประกอบไปด้วย (สุวิทย์ เมษินทรีย์, 2562)
1. กำรเรียนรู้อย่ำงมี “ควำมมุ่งม่ันและเป้ำหมำย” (Purposeful Learning) เป็นเป้ำหมำยที่
เกิดจำกแรงบันดำลใจ ควำมสนใจหรือควำมมุ่งม่ันของเด็ก (Passion-Driven Learning) ครูจะมีส่วน
ช่วยให้เด็กนิยำมอนำคต กำหนดเป้ำหมำยในชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ควำมมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิด Better Self,
Better Family, Better Society และ Better World กำรเรียนรู้จะต้องมีลักษณะเฉพำะตำมควำมสนใจ
ของผู้เรยี น (Personalized Learning) เปน็ สำคญั
2. กำรเรียนรู้อย่ำง “สร้ำงสรรค์” (Generative Learning) โดยให้ควำมสำคัญกับกำรเรียนรู้
เพื่อให้เกิดกำรใช้ควำมคิดวิเครำะห์สังเครำะห์ กำรประยุกต์ใช้ (Idea-Based Learning) มี
ควำมยดื หยุ่นทำงควำมคิดและอำรมณ์ เปิดมมุ มองใหมๆ่ เพื่อใหเ้ กิดกำรรังสรรคน์ วัตกรรม จงึ เป็น
139
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชัยสวุ รรณ
กำรเรียนรู้อย่ำงกระตือรือร้น (Active Learning) และเป็นกำรเรียนรู้ผ่ำนกำรให้คำปรึกษำชี้แนะ
(Mentoring) มำกกว่ำแค่กำรถ่ำยทอดควำมรใู้ นแบบเดิมๆ (Transmitting Knowledge)
3. กำรเรียนรแู้ บบมี “ส่วนร่วมและแบ่งปัน” (Collective Learning) เปน็ กำรปลูกฝังให้เดก็
ร่วมกนั คิด ร่วมกนั สร้ำงสรรค์สิ่งตำ่ งๆ (Common Creating) มำกกว่ำกำรฉำยเดีย่ ว กำรเก่งอยู่คน
เดียว รวมถึงกำรปรับเปลี่ยนแนวคิดเป็นกำรได้รบั รำงวัลจำกกำรทำงำนร่วมกัน (Sharing Incentive)
มำกกว่ำกำรแขง่ ขันแย่งชิงรำงวลั (Individual Incentive) ฝกึ ใหเ้ ด็กๆ สำมำรถอยู่ในสภำวะ “สขุ ก็สุข
ด้วยกัน ทกุ ข์ก็ต้องทกุ ข์ด้วยกัน”
4. กำรเรียนรู้โดย “เน้นผลสัมฤทธิ์” (Result-based Learning) คือ กำรเรียนรู้ที่สำมำรถ
วัดผลหรือเห็นผลที่เป็นรูปธรรมได้อย่ำงชัดเจน โดยให้ควำมสำคัญกับกำรเรียนรู้ผ่ำนประสบกำรณ์
(Experiential Learning) เน้นกำรให้ทำโครงงำน กิจกรรม และภำรกิจ (Workshop/ Project/
Assignment) มำกกว่ำกำรบรรยำยหน้ำช้ันเรียน โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงำนที่เด็กร่วมกันทำ
(Achievement Credit) มำกกว่ำกำรสอบใหผ้ ำ่ น
กำรเรียนรขู้ องมนุษย์แบ่ง ใจได้ 2 แบบ ได้แก่ กำรเรียนรดู้ ้วยตนเอง โดยไม่มีใครสอนเรียกว่ำ
Heuristics และกำรเรียนรู้ที่ต้องมีกำรสอนเรียกว่ำ Didactics แต่ในควำมเป็นจริงนั้นกำรเกิด
กำรเรียนรู้ไม่ได้เกิดแยกกันหรืออยู่แยกกันในตัวผู้เรียน ในควำมหมำยของ Didactics หมำยถึง ศิลป์
หรือศำสตร์ของกำรสอน กำรทำควำมเข้ำใจในกระบวนกำรเรียนรู้และกรรมวิธีทำงกำรสอน
เป็นแนวทำงในกำรกำหนดยุทธวิธีกำรเรียนกำรสอนจะเห็นได้ว่ำ Didactics นั้นจะพิจำรณำ
ครอบคลมุ ไปถึงกระบวนกำรเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย ดังนั้น Didactics จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของกำรสอน
บนฐำนควำมเป็นมนุษย์ที่ใช้มนุษย์เป็นผู้สอนมนุษย์ด้วยกันเป็นสำคัญ (กฤษมันต์ วัฒนำณรงค์,
2553)
ควำมเป็นมนุษย์จะมีคุณค่ำอย่ำงสมบูรณ์ เม่ือเป็นคนดีมีคุณธรรม ซึ่งกำรสร้ำงควำมเป็น
มนุษย์ให้เป็นคนมีคุณธรรมต้องผ่ำนกระบวนกำรขัดเกลำทำงสังคมจำกสถำบันต่ำงๆ ในสังคม อำทิ
ครอบครัว เพื่อน กำรศึกษำ ศำสนำ และสื่อประเภทต่ำงๆ ทำหน้ำที่ปลูกฝังอบรมขัดเกลำ เพื่อ
พัฒนำสตปิ ัญญำของคนให้รู้จักคิด วิเครำะห์ ใช้เหตุผล และมีคุณธรรมต่ำงๆ ในกำรดำเนินชีวิตและ
รู้จักผิดชอบชั่วดี สำหรับกำรอยู่ร่วมกันในสังคมอย่ำงสงบสุข แต่ในสภำพปัจจุบัน ค่ำนิยมของคน
ส่วนใหญ่เน้นวัตถุนิยมและบริโภคนิยมมำกเกินไป ทำให้เกิดควำมบกพร่องในด้ำนคุณธรรม
โดยเฉพำะกำรขำดเมตตำ กำรไม่เคำรพกติกำของสงั คม และกำรละเมิดสิทธิของผู้อื่น สะท้อนให้เห็น
ว่ำกำรสร้ำงควำมเป็นมนุษย์ยังมีควำมบกพร่องและไม่สมบูรณ์ ซึ่งหลำยฝ่ำยล้วนตระหนักและให้
ควำมสำคญั กับกำรปลูกฝงั คณุ ธรรมแก่เยำวชนมำกขึ้น
140
ความเปน็ ครูยุคปฏิรังสรรค์การศกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สุวรรณ
ควำมเป็น “มนุษย์ท่ีสมบูรณ์” ตำมหลักพุทธศำสตร์ศำสนำ คือ กำรไม่เบียดเบียนซึ่งกัน
และกัน กำรไม่เอำรัดเอำเปรียบผู้อื่น ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภำพของผู้อื่น ประกอบสัมมำอำชีพ
สมเดจ็ พระญำณสงั วร นิยำมมนษุ ย์ที่สมบูรณ์ หมำยถึงกำรที่มนุษย์รู้จักใช้สติปัญญำรักษำคุณธรรม
(ควำมด)ี ต่ำงๆ ไว้ในกำรดำเนินชีวิต กำรเป็นคนเต็มคน เพื่อเป็นสมำชิกที่ดีและมีคุณค่ำอย่ำงแท้จริง
ควรมีสปั ปรุ ิสธรรม 7 อนั เป็นธรรมะของคนดี (วีรวิท คงศักดิ์, 2560)
1. ธัมมัญญุตำ คือ รู้จักเหตุ หมำยถึง หลักกำรและกฎเกณฑ์ของสิ่งท้ังหลำยที่ตนเข้ำไป
เกี่ยวข้องในกำรดำเนินชีวิต เช่น รู้ว่ำตำแหน่ง ฐำนะ อำชีพ กำรงำนของตน มีหน้ำที่และควำม
รับผิดชอบอย่ำงไร ข้ันสงู สุด คือ รู้เท่ำทนั ควำมจริงของธรรมชำติเพือ่ มีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทำส
ของโลกและชีวติ
2. อัตถัญญุตำ คือ รู้จักผล หมำยถึง ควำมหมำยของหลักกำรที่ตนปฏิบัติ เข้ำใจวัตถุ
ประสงค์ของกิจกำรที่ตนกระทำว่ำจะบังเกิดผลอะไรบ้ำง เปน็ ผลดีหรอื ผลเสียอย่ำงไร ขั้นสูงสุด คือ รู้
ประโยชน์ทีเ่ ป็นจุดหมำยแท้จริงของชีวติ
3. อัตตัญญุตำ คือ รู้จักตน รู้ตำมเป็นจริงว่ำ ตัวเรำนั้นเป็นอย่ำงไร แล้วประพฤติปฏิบัติให้
เหมำะสม ตลอดจนแก้ไข ปรับปรงุ ตนให้เจรญิ งอกงำมถึงควำมสมบูรณ์ยิ่งข้นึ ไป
4. มัตตัญญุตำ คือ รู้ประมำณ รู้จักพอดี เช่น รู้จักประมำณในกำรบริโภค ในกำรใช้จ่ำย
ทรัพย์ รู้จักควำมพอเหมำะพอดีในกำรพูด กำรปฏิบัติกิจและทำกำรต่ำงๆ ให้เกิดผลดีงำมตำมที่
มองเหน็ ดว้ ยปญั ญำ
5. กำลัญญุตำ คือ รู้กำล รู้เวลำอันเหมำะสม และระยะเวลำที่พึงใช้ในกำรประกอบกิจ
ต่ำงๆ ว่ำ เวลำไหน ควรทำอะไร อย่ำงไร และวำงแผนกำรใชเ้ วลำอย่ำงได้ผล
6. ปริสัญญุตำ คือ รู้ชุมชน รู้จักถิ่น ว่ำมีระเบียบ วัฒนธรรมประเพณีอย่ำงไร ควรต้อง
สงเครำะห์ และบำเพ็ญประโยชน์อย่ำงไร
7. ปุคคลัญญุตำ คือ รู้บุคคล รู้จักและเข้ำใจควำมแตกต่ำงแห่งบุคคล และ รู้จักที่จะปฏิบัติ
ต่อบุคคลอื่นๆ ว่ำ ควรจะสมั พนั ธ์เกี่ยวข้อง อย่ำงไร จงึ จะได้ผลดี
ดังนนั้ ควำมเปน็ มนุษย์ที่สมบูรณ์ จึงหมำยถึง กำรที่มนุษย์รจู้ ักใช้สติ ปญั ญำรักษำคุณธรรม
ต่ำงๆ ไว้ในกำรดำเนินชีวิต มนุษย์แต่ละคนต้องทำตำมหน้ำที่ เพื่อให้เกิดควำมเจริญงอกงำมทั้ง
ทำงด้ำนร่ำงกำย ด้ำนศีล ด้ำนจิตใจ และด้ำนปัญญำ รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เอำรัดเอำเปรียบผู้อื่น ไม่
ละเมิดสิทธิและเสรีภำพของผู้อื่น ให้คุณค่ำของจิตใจมำกกว่ำวัตถุ สำมำรถพัฒนำจิตใจให้บรรลุถึง
สภำวะ “สะอำด สว่ำง สงบ” ซึ่งเป็นสภำวะของควำมเปน็ มนุษย์ทีส่ มบรู ณ์