The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattarat Juntien, 2023-03-01 03:08:39

จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร (พจนานุกรม บาลี-ไ

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Keywords: ธรรม

จ ู ฬธาตป ุ ั จจยโชต ิ กา พจนานุกรมบาลี-ไทย (อ) พระพรหมวัชรเมธี (สมเกียรติ โกวิโท ป.ธ.๙) ตรวจชำระ พระมหาจารัญ พุทฺธปฺปโย ป.ธ.๙ รจนาเปนภาษาบาลี พระมหานพพร อริยาโณ ป.ธ.๙ แปลเปนภาษาไทย


จูฬธาตุปจจยโชติกา : พจนานุกรมบาลี-ไทย © พระพรหมวัชรเมธี (สมเกียรติ โกวิโท ป.ธ.๙) ตรวจชำระ พระมหาจารัญ พุทฺธปฺปโย ป.ธ.๙ รจนาเปนภาษาบาลี พระมหานพพร อริยาโณ ป.ธ.๙ แปลเปนภาษาไทย ISBN: พิมพครั้งที่: มีนาคม ๒๕๖๖ จำนวน ๕๐๐ เลม ที่ปรึกษา พระศรีสุทธิเวที ผศ. ดร. (ขวัญ ถิรมโน ป.ธ.๙) พระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ ดร. (ชุมพร นิตสิาโร ป.ธ.๔) พิสูจนอักษร พระมหาศตวรรธนวิฺ ุวํโส ป.ธ.๙ พระมหากรพสิทิธิ์วรสิทฺธิ ป.ธ.๙ พระมหาสงวน สุทฺธิาโณ ป.ธ.๗ ที่พิมพ: บริษัท พิมพสวย จำกัด ๕/๕ ถ. เทศบาลรังสฤษฎเหนือ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ ๒๙๕๓ ๙๖๐๐ ที่ติดตอ : วัดอรุณราชวราราม แขวงวัดอรณุเขตบางกอกใหญ กทม. ๑๐๖๐๐ โทร. ๐๘ ๕๑๓๙ ๙๓๓๒


อ อก (นปุ.) ๑. ไมใชสุข, ทุกข วิ. น กํ สุขนฺติ อกํ ทุกฺขํ (สภาพใดไมใช ก คือสุข เหตุนั้น สภาพนั้น ชื่อวา อก-ไมใชสุข ไดแก ทุกข) ยถา นาโกติ สคฺโค (เชน คำวา นาโก หมายถึง สวรรค), [แปลง น เปน อ], อนึ่ง พึงทราบวา คำวา ยถา มีความหมายวา อติวิยตฺถ (ยิ่ง) โยคตฺตา (สมควร), วิจฺฉา (ค่ำซ้ำ), ปทตฺถานติวตฺต (ไม ขามอรรถของบทคือตามลำดับ) นิทสฺสน (ตัวอยาง) ในคำวา ยถา นาโกติ สคฺโค นี้มี ความหมายวา นิทสฺสน (ตัวอยาง แปลวา เชน) นัยแหง เนปาติกปท ในปทรูปสิทธิ; ๒. ได กระทำแลว (กิ.อา.) อถ วา อกนฺติ อิทํ อาขฺยาตปทํ โหติ หิยฺยตฺตนิยํ (นัยหนึ่ง บทวา อกํ นี้ เปนอาขยาตบท หิยัตตนีวิภัตติ) อกต (ติ.นปุ.) พระนพิพานอันปจจัยไมปรุงแตง แลว วิ. กรียิตฺถาติ กตํ (ภาวะใดอันปจจัยทำ แลว เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา กต-อันปจจัยทำ แลว), [กร ธาตุ กรเณ ในความทำ + ต ปจจัย เปนกรรมวาจก, ลบที่สุดธาตุ], ก็ในขอนี้ พึงเห็น วา คำวา กร ธาตุ เปนการทำสมาสบทเขากับ รุฬหีนาม (คือนามที่มีความหมายไมตรงกับ สภาพที่เปนจริง) ดวยสูตรแหงสัททนีติ (นีติ. ๖๘๗) วา รูฬฺหีนาเมหิ จ, แมคำวา คมุธาตุ กรธาตุ สิวิภตฺติ เปนตน ที่จะกลาวตอไป ขางหนา ก็นัยนี้, วิ. ปจฺจเยหิ น กตนฺติ อกตํ นิพฺพานํ (สิ่งใดอันปจจัยทั้งหลาย ไมกระทำแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกต ไดแก พระนิพพาน), [แปลง น เปน อ ในตัปปุริสสมาส กจฺ.๓๓๓ รูป. ๓๔๔ วา อตฺตํ นสฺส ตปฺปุริเส], ๓. ตามแนวแหง พระวินัย (วินย.อ. ๓/๕๑๘)คำวาอกต หมายถงึ สิกขาบทที่ไมปนกับสมุฏฐานอื่น หมายความ วา เปนนิยตสมุฏฐาน; ๔. บางแหง อกต มี ความหมายวา ใหม (อภินว); ๕. บางแหง อกต มีความหมายวา ไมปรุงแตง (อปริสงฺขตํ), ที่เปน เชนนี้เพราะธาตุมีหลายความหมาย บัณฑิตพึง พิจารณาดูในที่นั้นๆ เถิด อกตฺู (ติ.) ๑. ผูไมรูอุปการคุณที่คนอื่น กระทำไว วิ. น กตํ อุปการคุณํ ชานาตีติ อกตฺู (ผูใดยอมไมรูซึ่งอุปการคุณอันผูอื่น กระทำแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อกตฺู-ผูไมรู อุปการคุณที่ผูอื่นกระทำไว), บทนี้จัดเปน อสมัตถสมาส (สมาสที่ไมอยูในขายจะสมาส แตก็สามารถเขาสมาสได เหมือนเปนบทสมาสที่ เหมาะ) เพราะ น ขามไปปฏิเสธ ชานาติ, เชน (นีติ.๖๘๙) อปุนเคยฺยา (คาถาที่ไมควรสวดอีก วิ. น ปุน คียตีติ อปุนเคยฺยา), อสูริยปสฺสา (หนาที่ไมเห็นพระอาทิตย วิ. สูริยํ น ปสฺสตีติ อสูริยปสฺสา), อจนฺทมุลฺโลกิกานิ (หนาอันไม แหงนดูพระจันทร วิ. จนฺทํ น อุลฺโลเกนฺตีติ อจนฺทมุลฺโลกิกานิ), สมาสนี้ ทานเรียกวา อยุตฺต สมาส บาง, อสมฺพนฺธสมาส บาง [น + กต + า ธาตุในความรู + รู ปจจัย]; ๒. ผูรูนิพพาน อันปจจัยอะไรๆ ไมปรุงแตงแลว วิ. อกตํ นิพฺพานํ ชานาตีติ อกตฺู (ผูใดยอมรูพระ


๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา นิพพาน อันปจจัยอะไรๆ ไมปรุงแตงแลว เหตุ นั้น ผูนั้นชื่อวา อกตฺู-ผูรูนิพพานอันปจจัย อะไรๆ ไมปรุงแตงแลว), สมาสนี้เปน ยุตฺตตฺถ สมาส, [อกต + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + รู ปจจัย, ซอน ฺ], เชน อกตฺู มิตฺตทุพฺพี (ชา.อ.๓/๙๒) (อกตัญู ประทุษรายมิตร) อสฺสทฺโธ อกตฺู(ธ.อ.๔/๗๓) (ไมมีศรัทธา ผูรู พระนิพพานอันปจจัยอะไรๆ ไมปรุงแตงแลว), ก็ในที่นี้ อกตฺู ทั้ง ๒ นัย พึงทราบวาเปน อสมานปวตฺตินิมิตฺตก เพราะเปนคำที่เกิดจาก การปรุงศัพทสื่อความหมายวา กตากตาชานน ชานน (ไมรูอุปการคุณที่คนอื่นกระทำ และรู พระนิพพานอันปจจัยอะไรๆ ไมปรุงแตง), พึง เห็นวาศัพทนี้เปนปุงลิงคและนปุงสกลิงค, บาง แหงวา รู ปจจัยในลักษณะนี้เปนอิตถีลิงค ก็มี, เชน บาลีวา สาหํ คนฺตฺวา มนุสฺสตฺตํ, วทฺู วีตมจฺฉรา (ขุ.วิมาน.๒๖/๓๔/๖๐) (ฉันไดไป บังเกิดเปนมนษุยอีกจักเปนผูรูจักความประสงค ของผูขอ ปราศจากความตระหนี่) และวา โกธนา อกตฺู จ (ขุ.ชา.๒๗/๖๒/๒๐) (ธรรมดาวาหญิงเปนคนมักโกรธ ไมรูจักคุณ), ฉะนั้น เวน นี ปจจัย ศัพทกิตกทั้งหลายที่เปน อู การันต เปนอิตถีลิงคก็ได แจกแบบ ชมฺพู (ไม หวา) อกนิฏ(ปุ.) อกนิฏฐพรหม, ๑. พรหมชั้นที่ไมมี ผูต่ำตอย วิ. สพฺเพหิเยว คุเณหิ จ ภวสมฺปตฺติยา จ เชา นตฺเถตฺถ กนิาติ อกนิา (ผูยิ่งใหญ ดวยคุณทั้งปวงนั่นแล และดวยภพสมบัติ คือ ไม มีเทพต่ำตอยในที่นั้น เหตุนั้น จึงชื่อวา อกนิ- เหลาเทพไมมีผูต่ำตอย), ๒. พรหมผูไมมีความ ต่ำตอย วิ. ปฺจมภูมิวาสิโน อุปริ อฺสฺส ภูมนฺตรคตสฺส รูปพฺรหฺมุโน นตฺถิตาย นตฺถิ รูปนํ สตฺตานํ มชฺเฌ เกนจิ คุเณน กนิภาโว เอเตสนฺติ อกนิา (ความต่ำตอยดวยคุณอะไรๆในหมูรปู พรหม ไมมีแกพรหมเหลานั้น เพราะรูปพรหม อื่นที่อยูชั้นสูงๆ ขึ้นไปไมมีแกรูปพรหมที่อยูใน ชั้นที่ ๕ เหตุนั้น พรหมเหลานั้น ชื่อวา อกนิ), ๓. พรหมผูไมมีสมบัติต่ำตอย วิ. ปฺจมตลวาสิโน วา อุกฺกสมฺปตฺติกตฺตา นตฺถิ เอเตสํ กนิ- ภาโวติ อกนิา (ความต่ำตอยไมมีแกพรหม เหลานั่น เพราะรูปพรหมชั้นที่ ๕ เปนผูมีสมบัติ ชั้นเลิศ เหตุนั้น จึงชื่อวา อกนิ), วิ. อุกฺก- สมฺปตฺตีหิ โยคโต นตฺถิ เอเตสํ กนิา สมฺปตฺตีติ อกนิา, อกนิา เทวา (สมบัติอันต่ำตอยของ พรหมเหลานั่น ไมมี เพราะประกอบดวยสมบัติ ชั้นเลิศ เหตุนั้น พรหมเหลานั้นจึงชื่อวา อกนิ, ไดแก พวกพรหมชื่อวา อกนิฏฐเทวา) อกนิฏคามี (ติ.) ผูไปสูอกนิฏฐภพ, ชื่อของ พระอนาคามีพวกหนึ่ง วิ. อกนิํ คจฺฉตีติ อกนิคามี (พระอนาคามีใด ยอมไปสูภพชื่อ อกนิฏฐ เหตุนั้น พระอนาคามีนั้น ชื่อวา อกนิคามี), [อกนิ + คมุ ธาตุ คมเน ใน ความไป + ณี ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา]. เอตฺถ อุทฺธํโสตอกนิคามีติ วา อุทฺธํโสตนอกนิ- คามีติ วา จตุพฺพิเธน ชานิตพฺพา (พระอนาคามี เหลานั้น บัณฑิตพึงทราบ ๔ ชนิด โดยชื่อวา อทธังโสตอกนิฏฐคามี บาง, อุทธังโสตนอกนิฏฐ คามี บาง, บัณฑิตพึงทราบโดยพิสดารในคัมภีร ปุคฺคลปฺตฺติ) อกรานิ(ติ.) กรรมไมควรทำ วิ. น กตฺตพฺพํ เต ชมฺม กมฺมนฺติ อกรานิ (แนะคนเลว กรรมอันเจา ไมควรทำ เหตุนั้น กรรมนั้น ชื่อวา อกรานิ), [น + กร ธาตุ ในความทำ + ลง อานิ ปจจัย กจฺ.


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๓ ๖๔๕ รูป.๖๖๒ วา อกฺโกเส นมฺหานิ ], คงรูป อยางนี้ใน ๓ ลิงค ๒ วจนะ นีติ.๑๒๘๑ อกฺกนฺต (ติ.) เหยียบแลว วิ. ปาเทน อกฺกมิตฺถาติ อกฺกนฺโต (ผูใดกาวไปแลวดวยเทา เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา เหยียบแลว), [อา + กมุ ธาตุ ปาทคมเน ในการไปดวยเทา + ต ปจจัย ในกัตตุวาจก และกัมมวาจก, แปลง ม เปนนิคหิต, แปลง นิคหิต เปน นฺ, ซอน กฺ, อุกฺกนฺโต วิกฺกนฺโต นิกฺขนฺโต สงฺกนฺโต โอกฺกนฺโต อวกฺกนฺโต อปกฺกนฺโต อติกฺกนฺโต ปฏิกฺกนฺโต ก็นัยนี้ แตมี รูปตางกันดวยอำนาจอุปสัค อกลฺล (นปุ.) ความไมสบาย, ความเจ็บไขวิ. น กลติ เยน ตํ อกลํ, ตเมว อกลฺลํ พฺยาธิ (บุคคลไป ไหนไมไดดวยเหตุใด เหตุนั้น ชื่อวา อกล-ความ ไมสบาย, อกล นั่นเอง ชื่อวา อกลฺล ไดแก พยาธิ ค ื อ ค ว า ม เ จ ็ บ ไข ) , [น + ก ล ธ า ตุ ค ติ - สงฺขฺยาเนสุ ในความไปและความนับ + อ ปจจัย, ล สกัตถ หรือ ณฺย ปจจัย], อกลฺล ศัพทเปน นปุงสกลิงคแตถาเปนวาจจลิงคคอืเปนวิเสสนะ พึงทราบวาเปน ๓ ลิงค เชน อกลฺโลติ คิลาโน (เถรี.อ.๔๑๕) (บทวา อกลฺล หมายความวา ผู เจ็บปวย) อกลฺลก (ติ.) ผูไมสบาย, ผูเจ็บไข วิ.กลฺลํ วุจฺจติ สุขํ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ กลฺลโก, อสฺสตฺถิตทฺธิเต โก, น กลฺลโก อกลฺลโก อาตุโร, คิลาโน วา อสมตโฺถ วาติ อตฺโถ (ความสุข ทานเรียกวา กลฺล, ความสุขนั้น ของผูนั่นมีอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา กลฺลก-ผูมีความสุข, ก ปจจัยในตทัสสตถิตัทธิต, ผูมีความสุขหามิได ชื่อวา อกลฺลก-ผูไมมี ความสุข ไดแก ผูกระสับกระสาย หมายความวา ปวย หรือไมสามารถ), ปาฐะวา อกลฺยโก ก็มี คำวา อกลฺยก นี้เปนไวพจนของ อกลฺลก วิ. กาลํ ขมตีติ กลฺยํ อโรคตา, ตสฺสํ นิยุตฺโต กลฺยโก, ขมติตทฺธิเต กาลโต ณฺโย, ปุน นิยุตฺตตทฺธิเต โก, น กลฺยโก อกลฺยโก (สิ่งใดทนไดตลอดเวลา สิ่งนั้น ชื่อวา กลฺย-สิ่งที่ทนไดตลอดเวลา คือ ความไมมีโรค, ผูประกอบความไมมีโรคนั้น ชื่อวา กลฺยก-ผูไมมีโรค, กาล + ณฺย ปจจัย แทน ขมติ, ลง ก ปจจัย แทน นิยุตฺต อีก, ไมใชผูไมมี โรค ชื่อวา อกลฺยโก-ผูไมมีโรคหามิได) อกลฺย (นปุ.) สิ่งที่กำหนดไมได วิ. น กลิยติ สงฺขิยตีติ อกลฺยํ (สิ่งใดอันเขากำหนดไมได คือ นับไมได เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อกลฺย-อันเขา กำหนดไมได), [น + กล ธาตุ สงฺขฺยาเน ในความ นับ + ย ปจจัย], ปาฐะวา อกลฺยตา ก็มี, ความหมายเหมือนกัน อกฺก (ปุ.) พระอาทิตย, ตนรัก, ตนรักแดง, ตน ขอนดอก, ดอกรัก, เพลารถ มีหลายนัย ไดแก ๑. สิ่งที่เทพบูชา วิ. เทเวหิป อจฺจิยเต ปูชิยเตติ อกฺโก (พระอาทิตยใด แมเทวดาทั้งหลายก็บูชา เหตุนั้น พระอาทิตยนั้น จึงชื่อวา อกฺก), [อจฺจ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + ณ ปจจัย, แปลง จ เปน กฺ]; ๒. สิ่งที่ไมตองกาวไป แตไปดวยวิมาน ที่เกิดแตบุญ วิ. น กมติ น คจฺฉติ ปาเทน อตฺตโน ปุฺชวิมาเนน คจฺฉตีติ อกฺโก อาทิจฺโจ (สภาพใดไมตองกาวไป คือไปดวยวิมานอันเกิด จากบุญของตน เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อวา อกฺก ได คือ อาทิจฺจ-พระอาทิตย), [น + กมุ ธาตุ ใน ความไป + กฺวิ ปจจัย, ลบ ม ที่สุดธาตุ ซอน กฺ] ๓. ผูไปในอากาศ วิ. ยุคนฺธรุพฺเพธปฺปมาเณ อากาเส อรติ คจฺฉตีติ อกฺโก (สภาพใดไปใน อากาศ สูงประมาณเขายุคันธร เหตุนั้น สภาพ นั้นชื่อวา อกฺก-ผูไปในอากาศ), [อร ธาตุ คมเน ในการไป + ก ปจจัย, ลบ ร ที่สุดธาตุ ซอน กฺ]


๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ๔. สิ่งที่เขายกยองชมเชย วิ. สูริโย อกฺกิยติ อภิตฺถวิยตีติ อกฺโก (พระสูริยใด อันเขา ยกยองชมเชย เหตุนั้น พระสูริยนั้น ชื่อวา อกฺกอันเขาชมเชย), [อกฺก ธาตุ ถวเน ในความชมเชย + อ ปจจัย, อีกนัยหนึ่ง มหาชุติตาย อกฺกียติ อภิตฺถวียติ ตปฺปสนฺเนหิ ชเนหีติ อกฺโก สูริโย (พระสูริยใดอันชนทั้งหลาย ที่เลื่อมใสพระสูริย นั้น ยกยองชมเชย เพราะมีความรุงเรืองมาก เหตุนั้น พระสูริยนั้น จึงชื่อวา อกฺก) ๕. สิ่งที่ เคลื่อนไป, พระอาทิตย; ไมพุมชนิดหนึ่งคือ ตนรัก วิ. อรติ ยาตีติ อกฺโก สูโร วิฏปวิเสโส จ (สิ่งใดยอมไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺก ไดแก พระอาทิตย และไมพุมชนิดหนึ่ง คือตนรัก), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ก ปจจัย โมคฺ.๗/๑๔ วา อิภีกากรารวกสกวาหิ โก, แปลง ร เปน กฺ] ๖. สิ่งที่ทำใหรอน วิ. อกฺกยติ ตาเปตีติ อกฺโก (สิ่งใดยอมทำใหรอน เหตุนั้น ส่งินั้น ชื่อวา อกฺกพระอาทิตย), [อกฺก ธาตุ ถุติตาเปสุ ใชในอรรถ วาชมเชยและใหรอน + อ ปจจัย, พระอาทิตย ชื่อวา อกฺก] ๗. รักดอกขาว, ตนขอนดอก, เพลารถ วิ. ตปฺปริยายนามกตฺตา อรติ ยาตีติ อกฺโก วิกีรโณ อฬกฺโก วา (สิ่งใดยอมดำเนินไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺก ไดแก ตนขอนดอก หรือ รักดอกขาว), เพราะแปลยักเยื้องตามชื่อ ของสิ่งนั้นๆ เชน อกฺกผลสุตฺตมยมฺป อกฺกวากมยเมว ปฏิกฺขิตฺตนฺติ (วชิร.ฏี.๖๗๑) (ผาแมทำ จากดายผลรัก ก็จัดเปนผาทอจากเปลือกไม นั่นเอง เปนอันหามดวย), [ณ ปจจัย แทน อรติ] อกฺก ศัพท มีความหมายวา ไมพุม และพระ อาทิตย เปนตน เปนปุงลิงค อกฺกม (ปุ.) การเหยียบ วิ อกฺกมนํ อกฺกโม (การ เหยียบ ชื่อวา อกฺกม), [อา บทหนา + กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในการกาวไป + อ ปจจัย, ซอน ก, รัสสะ อา เปน อ] สวนคำวา อกฺกมน ลง ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ อาเทศ ยุ เปน อน อกฺกมฺม (กิ.กิต.) เหยียบแลว วิ. อกฺกมิตฺวาติ อกฺกมฺม (อกฺกมฺม แปลวา อกฺกมิตฺวา-เหยียบ แลว) เชน สุกฺขปณฺณํว อกฺกมฺม (ขุ.ชา.๒๗/ ๖๘๐/๑๕๙) (เหมือนคนเหยียบใบไมแหง) [อา + กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในความกาวไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง มฺย เปน มฺม] อกฺกุฏ(ติ.) ดาแลว, อันเขาดาแลว วิ. อกฺโกจฉฺิ ปริภาสิตฺถาติ อกฺกุโ, อกฺโกสียิตฺถาติ วา อกฺกุโ (ผูใดดาแลวบริภาษแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อกฺกุ-ดาแลว, อีกอยางหนึ่ง ผูใด อันเขาดาแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อกฺกุ- อันเขาดาแลว), [อา + กุส ธาตุ อกฺโกเส ในความ ดา + ต ปจจัยในกัตตุวาจกหรือกัมมวาจก, รัสสะ อา เปน อ, แปลง ต กับที่สุดธาตุเปน , กจฺ.๕๗๓ รูป.๖๒๖ วา สาทิ สนฺต เปนตน] นัยหนึ่ง [อา + กุส + ต, แปลง ต หลัง กุส เปน ฺ, แปลงสระที่สุดธาตุพรอม ส เปน , ซอน กฺ ตนศัพท], พึงทราบวา อกฺกุ ศัพท เปนวาจจ ลิงคคือเปนวิเสสนะ เปน ๓ ลิงค อกฺกุทฺธ (ติ.) ๑. ผูโกรธ วิ. อกฺกุชฺฌตีติ อกฺกุทฺโธ (ผูใดยอมโกรธจัด เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา ผูโกรธ) เชน เภทาธิปฺปาเยน วา โย อกฺกุทฺโธ (กงฺขาวิตรณีอกถา, ๒๒๖) (ผูใดโกรธจัด เพราะมุงทำความแตกแยกก็ดี) [อา + กุธ ธาตุ โกเป ในความโกรธ + ต ปจจัย เปนได ๓ กาล, แปลง ต เปน ธ, แปลง ธ ที่สุดธาตุ เปน ทฺ] ๒. ไมโกรธแลว วิ. น กุทฺโธ อกฺกุทฺโธ (ผูไมโกรธ แลว ชื่อวา ไมโกรธแลว เชน อกฺกุทฺโธ รกฺขติ (องฺ.อ.๒/๓๙๔) (ผูไมโกรธยอมรักษาไวได),


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๕ แมคำวา อกฺโกโธ ที่เปนภาวสาธนะ ก็นัยนี้, อ ปจจัย อกฺโกสก (ติ.) ผูดา วิ. อกฺโกสติ ปริภาสตีติ อกฺโกสโก ปริภาสโก (ผูใดยอมดา คือบริภาษ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ผูดา คือ ผูบริภาษ), [อา + กุส ธาตุ อกฺโกเส ในความดา + ณฺวุ ปจจัย] อกฺโกสน (นปุ.) -นา (อิต.) การดา วิ. อกฺโกสิยเต อกฺโกสนํ อภิสงฺโค (อันเขาดาอยู ชื่อวา อกฺโกสน คือ การดา), [อา + กุส ธาตุ อกฺโกเส ในความดา + ยุ, ซอน กฺ, รัสสะ อา เปน อ] ปาฐะวา อกฺโกสนา ลง อา ปจจัยใน อิตถีลิงค, อกฺโกโส ก็มี ลง ณ ปจจัย ความวา การแชง ก็ได อกฺข (ปุ.) ๑. สมอพิเภก วิ. โรคํ อสติ ภกฺขตีติ อกฺโข วิภีตโก (สิ่งใดขจัด คือกัดกินโรค เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺข คือสมอพิเภก), [อส ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + ข ปจจัย + แปลง ส เปน กฺ] ๒. เกวียน วิ. อรนฺติ เอเตนาติ อกฺโข (ชน ทั้งหลายยอมไปดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺข-เกวียน, เพลา, เพลารถ), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ข ปจจัย โมคฺ.๗/๓๑ วา มุขาทโย, แปลง ร เปน กฺ] ๓. สิ่งที่ไปในอารมณ = อินทรีย (นป.) วิ. วิสเย อุขติ คจฺฉตีติ อกฺขํ วิสยี (สิ่งใดเที่ยวไปในอารมณ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺข ไดแก อินทรีย), [อุข ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย, แปลง อุ เปน อ, ซอน กฺ] ๔. สิ่งเปน เหตุปรากฏ, คดี, การวินิจฉัยอธิกรณ, การ พิจารณาคดี วิ. อกฺขติ อเนนาติ อกฺขํ (ชื่อวา อกฺข เพราะเปนเครื่องทำใหปรากฏ), [อกฺข ธาตุ พฺยตฺติสงฺขาเตสุ ในความฉลาดและการนับ พรอม + อ ปจจัย] ๕. อินทรีย, ทุกข วิ. นตฺถิ ขํ สุขเวทนา เอตฺถาติ อกฺขํ อินฺทฺริยํ (ข คือสุข เวทนา ไมมีในสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺข ไดแก อินทรีย), [น + ขํ] ๖. เพลาเกวียน วิ. อรนฺติ ยนฺติ เอเตนาติ อกฺโข สกฏาวยโว, ทฺวินฺนํ รถจกฺกานํ อนฺตรคโต กวิเสโสติ อตฺโถ (เกวียนเคลื่อนที่ไปดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา เพลา ไดแก สวนประกอบของเกวียน, หมายถึง เครื่องไมอยางหนึ่ง สอดระหวางลอทั้ง สอง) เชน ในขอวา อาสวสมุทยมเยน อกฺเขน วิชฺฌิตฺวา (รอยไวดวยเพลาที่สำเร็จดวย อาสวสมุทัย), อกฺข หมายถึง ปาสโก คือ ลูกเตา, ลูกสกา, ลูกบาศก, คะแนน, คานประตู ก็ได ที่แปลวา ลูกสะกา เชน เทฺว อกฺขธุตฺตา อกฺเขหิ ทิพฺพึสุ (นักเลงสกาสองคนเลนสกากัน) ที.ม. ๑๐/๓๒๓/๓๐๒; ๗. อักขะ คือมาตราสำหรับชั่ง น้ำหนักอยางหน่ึง ๑ อักขะ เทากับขาวเปลือก ๑๖ เม็ด, [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ข ปจจัย, แปลง ร เปน ก] นัยหนึ่ง ๒ มาสก เทากับ ๑ อักขะ; อกฺขผลสมานครุกตฺตา วา อกฺโข อกฺขานมกํ สุวณฺโณ นาม. (อนึ่ง ชื่อวา อักขะ เพราะหนัก เทาผลสมอพิเภก, ประมาณ ๘ อักขะ ชื่อวา สุวณฺณ) ๘. สิ่งเปนเครื่องไป = ลอ วิ. อกติ เอเตนาติ อกฺโข ปาสโก (เกวียนเปนตนยอมไป ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อกฺข ไดแก ลอ, [อก ธาตุ คติยํ ในความไป + ข ปจจัย] ๙. ลูก สกา วิ. อกติ คจฺฉตีติอกฺโข ปาสโก ชูตํ จ (สิ่งใด ยอมไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺข ลูกสกาและ การพนัน), [อก ธาตุ คมเน ในความไป + ข ปจจัย]; อกฺข ยังมีความหมายอื่นอีกมาก ที่แปลวา เพลา, เพลาเกวียน, ลอ, ทอง, ราก ขวัญ เปนตน เปนปุงลิงค แตถาแปลวา อินทรีย อธิกรณ เลนสกา เปนนปุงสกลิงค; อนึ่ง อกฺข =


๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา หตฺถิทนฺต เปนได ๓ ลิงค, สวนในบาลีลิปกรม หนา ๓ วา อกฺข แปลวา นิพพาน ก็ได อกฺขก (ปุ.นปุ.) กระดูกไหปลารา, กระดูกราก ขวัญ วิ. อกติ คจฺฉตีติอกฺขโก (กระดูกใดยอมไป เหตุนั้น กระดูกนั้นชื่อวา กระดูกไหปลารา) เชน จตสฺโส ทาา เทฺว อกฺขกา อุณฺหีสนฺติ อิมา สตฺต ธาตุโย น วิปฺปกิรึสุ ที.อ.๒/๒๑๓ (พระธาตุ ๗ เหลานี้คือ พระเขี้ยวแกว ๔ พระรากขวัญ ๒ พระอุณหิส ๑ ไมกระจัดกระจาย), บางปาฐะวา เปน อกฺขกํ (นปุ.) เชน อกฺขกํ ปน ชาณุมณฺฑลฺจ วินย.อ.๒/๔๒ (ก็รากขวัญและมณฑลเขา), บาง แหงวาเปน อกฺโข (ปุ.) เชน อกฺขโต อุทฺธํ สีเส (ตั้งแตรากขวัญไปถึงศีรษะ), [อก ธาตุ คมเน ในความไป + ข ปจจัย + ก สกัตถ]; คลสฺส กณฺสฺส เหิมนฺเต ชาตมิ คลนฺติ อกฺขโก (อกฺขก คือกระดูกไหปลารา คือ กระดูก ใกลหลุมคอ เกิดที่ใตคอ), ศัพทนี้เปนปุงลิงคและ นปุงสกลิงค อกฺขณา (อิตฺ.) ๑. สายฟา, สายฟาแลบ วิ. ขณมตฺตมฺป น ติตีติ อกฺขณา อจิรปฺปภา, (สิ่งใดไมตั้งอยูแมชั่วขณะ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺขณา ไดแก อจิรปฺปภา-แสงที่ปรากฏไมนาน, ฟาแลบ เชน อกฺขณา วุจฺจติ วิชฺชุ (สายฟา เรียกวา อกฺขณา), [น + ขณ ธาตุ ติายํ ในความตั้งอยู + อ ปจจัย + อา ปจจัย ในอิตถี ลิงค, ซอน กฺ] แตใน อภิธานวรรณนา ปรากฏวา อกฺขตา, อกฺขณ ศัพท ถาเปนปุงลิงค ตัดบทเปน น ขโณ อกฺขโณ (ไมใชขณะ ชื่อวา อกฺขณ) เชน วิมาน.อ.๒๒๐ วา อ อกฺขณา นาม ตโย อปายา อรูปา อสฺสตฺตา ปจฺจนฺตเทโส อินฺทฺริยานํ เวกลฺลํ นิยตมิจฺฉาทิิกตา อปาตุภาโว พุทฺธสฺส (สมัยไมใชขณะ ๘ ไดแก การเกิดในอบาย ๓ อรูปภูมิ อสัญญสัตวภูมิ ๑ ปจจันตประเทศ ๑ บกพรองของอินทรีย ๑ ความเปนนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๑ ความไมปรากฏ พระพุทธเจา ๑) อกฺขโณ แปลวา อสมโย (ไมใช เวลา) ในสันสกฤตมีรูปเปน อกฺษณะ อกฺขต (นปุ.) ๑. ขาวตอก, ไมตองขุด วิ. น ขตํ อกฺขตํ (สิ่งที่ไมตองขุด ชื่อวา อกฺขต), น + ขนุ ธาตุ อวทารเณ ในความขุด ทำลาย, เจาะ + ต ปจจัย, อกฺขต ที่แปลวา ธัญญวิกัติ-ขาวตอก เปนนปุงสกลิงค; ๒. อกฺขต (ติ.) ไมถูก เบียดเบียน สวนใน อรรถกถาวิมานวัตถุ วา อกฺขตนฺติ อนุปทฺทุตํ ปาฏลิปุตฺตํ. อกฺขตนฺติ วา อนาพาธํ อนุปฺปฬํ, อนนฺตราเยนาติ อตฺโถติ วุตฺตํ. อกฺขโตติ อนุปหโต, [บทวา อกฺขตํ ไดแก ถึงกรุงปาฏลิบุตรโดยไมวุนวาย. อีกอยางหนึ่ง บทวา อกฺขตํ แปลวา ไมปวยไข ไมถูกเบียดเบียน. ความวา โดยไมมีอันตราย] บทวา อกฺขโต แปลวา ไมถูกเบียดเบียน อกฺขทสฺส (ปุ.) ผูพิพากษา, ตุลาการ, ผูชำระ ความ วิ. อกฺเข โวหาเร ปสฺสตีติ อกฺขทสฺโส ธมฺมาธิกรณิโย (ผูใดยอมพิจารณาในศาล พิจารณาคดี คือในศาลที่วาความ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อกฺขทสฺส คือผูวาความโดยธรรม), อกฺข + ทิส ธาตุ เปกฺขเน ในความเห็น + ณ ปจจัย, แปลง ทิส เปน ทสฺส; สารัตถทีปนีฎีกา วา อกฺขทสฺสาติ เอตฺถ อกฺขสทฺเทน กิร วินิจฺฉยสาลา วุจฺจติ. ตตฺถ นิสีทิตฺวา วชฺชาวชฺชํ ปสฺสนฺตีติ อกฺขทสฺสา วุจฺจนฺติ ธมฺมวินิจฺฉนกาติ (ในคำวา อกฺขทสฺสา นั้น นัยวา ทานเรียกศาลวินิจฉัยคดี ดวย อกฺข ศัพท, บุคคลเหลาใดนั่งพิจารณาโทษ นอยใหญแลวในศาลนั้น เหตุนั้น จึงชื่อวา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๗ อกฺขทสฺส ไดแก ผูวินิจฉัยโดยธรรม), อกฺขทสฺส ศัพท เปนไวพจนของผูพิพากษา เปนปุงลิงค อกฺขธุตฺต (ปุ.) วิ. ๑. นักเลงสกา วิ. ธูปตีติ ธุตฺโต (ผูใดยอมเมามาย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ธุตฺต), [ธูป ธาตุ โสณฺฑิเย ในความเมามายนักเลงโต หรือ ธู ธาตุ กมฺปเน ในความทำใหหวั่นไหว + ต ปจจัย ใน ๓ กาล + รัสสะ อู เปน อุ, แปลง ต กับที่สุด ธาตุเปน ตฺต], วิ. อกฺเขสุ ธุตฺโต อกฺขธุตฺโต (นักเลง ในสกาทั้งหลาย ชื่อวา อกฺขธุตฺต) ๒. นัก พนัน วิ. ธาวนฺตี อตฺติ ธุตฺติ, นิปาตนา, ตํโยคา ธุตฺโต (การเที่ยวคุยโว ใหสำเร็จรูปเปน ธุตฺติ, เพราะประกอบดวยการเที่ยวคุยโว จึงชื่อวา ธุตฺต-นักเลง), [ธุตฺติ + ณ ปจจัย] วิ. อกฺเขสุ ธุตฺโต อกฺขธุตฺโต ชูตกาโร (นักเลง ในสกา ทั้งหลาย ชื่อวา อกฺขธุตฺต ไดแก นักพนัน) ๓. นักเลงสกา วิ. อกติ กุฏิลํ คจฺฉติ อเนนาติ อกฺโข (บุคคลเดินไมตรง คือเดินไปแวะไปมา ดวยเครื่องเลนนั่น เหตุนั้น เครื่องเลนนั้นชื่อวา สกา), [อก ธาตุ คมเน ในความไป + ข ปจจัย] วิ. ธาวนฺติ มริยาทมติกฺกมฺม กีฬาทิปสุตํ คจฺฉนฺตีติ ธุตฺตา (ชนเหลาใดยอมแลนไป คือไปเลนเปนตน เกินขอบเขต เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา นักเลง), [ธุ ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย, ซอน ต] วิ. อกฺเขสุ ธุตฺตา อกฺขธุตฺตา (นักเลง ในสกา ทั้งหลาย ชื่อวา นักเลงสกา), สุราธุตฺโต (นักเลง สุรา) อิตฺถิธุตฺโต (นักเลงสตรี) ก็นัยนี้ อกฺขเทวี (ปุ.) นักเลงสกา, นักพนัน วิ. อกฺเขหิ ชูเตหิ ทิพฺพตีติ อกฺขเทวี อกฺขธุตฺโต ชูตกาโร จ (ผูใดยอมเลนดวยสกา คือการพนัน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อกฺขเทวี ไดแก นักเลงสกา และ นักพนัน), [อกฺข + ทิวุ ธาตุ ทิพฺพเน ในการเลน + ณี ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อิ เปน เอ] อกฺขร (ปุ.นปุ.) ๑. ไมรูจักสิ้น วิ. นามปฺตฺติ- รูปตฺตา นกฺขรนฺติ ขยวยํ น คจฺฉนฺตีติ อกฺขรา (สภาวะเหลาใดไมสิ้นไป คือไมถึงความหมดสิ้น ไป เพราะเปนรูปนามบัญญัติ เหตุนั้น สภาวะ เหลานั้นจึงชื่อวา อักขระ) ดังคำวา นามและ โคตรยอมไมเสื่อมสิ้นไป, ๒. ไมสิ้น, ไมหมด วิ. อนนฺตาธิปฺปายํ ปฏกตฺตยมฺป วา ปตฺวา นกฺขรติ น ขียตีติ อกฺขโร (สิ่งใดแมเขียนพระไตรปฎกได มากมายตามที่ตองการก็ไมเสื่อม ไมสิ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อักขระ), [น + ขร ธาตุ ขเย ในความสิ้นไป + อ ปจจัย]; ใน ธาตฺวตฺถสงฺคห (คาถา ๗๙) วิเคราะหไววา นกฺขรนฺติ นกฺขียนฺตีติ อกฺขรานิ, นกฺขรียนฺติ น สิฺจียนฺตีติ อกฺขรา (สิ่งใดไมสิ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อักขระ), [น + ขร ธาตุ เสกนาเส ในความรด-ราด + อ ปจจัย], ๓. ไมพินาศ นกฺขรติ น นสฺสตีติ อกฺขโร (สิ่งใดไมพินาศไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อักขระ), [น + ขร ธาตุ นสฺสเน ในความพินาศ + อ ปจจัย] ๔. ไมเปนของแข็ง วิ. กกฺขฬภาวํ นกฺขรติ น คจฺฉตีติ อกฺขโร (สิ่งใดไมถึงความเปน ของแข็ง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อักขระ), [น + ขร ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย] ๕. ไม หวั่นไหว วิ. นกฺขรติ น จลตีติ อกฺขโร (สิ่งใดไม หวั่นไหวไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อักขระ), [น + ขร ธาตุ จลเน ในความหวั่นไหว + อ ปจจัย] ๖. ไมสิ้น วิ. น ขียตีติ อกฺขโร (สิ่งใดไมสิ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อักขระ), [น + ขี ธาตุ ขเย ในความสิ้นไป + อร ปจจัย] ๗. พระนิพพาน วิ. ขรนฺติ วินสฺสนฺตีติ ขรา สงฺขตา, เต ยตฺถ น สนฺติ ตํ อกฺขรํ นิพฺพานํ (สภาวะเหลาใด พินาศ


๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ไป เหตุนั้น สภาวะเหลานั้น ชื่อวา ขระ ไดแก สังขต-ถูกปรุงแตง, สภาวะที่พินาศไปนั้น ไมมีใน สิ่งใด สิ่งนั้นเรียกวา อักขระ ไดแก พระ นิพพาน), [น + ขร ธาตุ วินาเส ในความพินาศ + อ ปจจัย] ๘. สิ่งที่ไมเที่ยวไป วิ. ขรติ สฺจรตีติ ขรํ, น ขรํ อกฺขรํ (สิ่งใดยอมเที่ยวจรไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา ขร สิ่งที่เที่ยวไป, สิ่งที่เที่ยวไปหา มิได ชื่อวา อักขระ), [น + ขร ธาตุ สฺจรเณ ใน ความเที่ยวไป + อ ปจจัย, แปลง น เปน อ, ซอน ก]; ศัพทนี้ เปนปุงลิงค และนปุงสกลิงค ใชใน อรรถวา ลิป = ตัวหนังสือ และ โมกฺข = พระ นิพพาน; ในสัททนีติ ปทมาลา (ฉบับพระมหา นิมิตร ธมฺมสาโร และจำรูญ ธรรมดา แปล, ๒๕๕๖ หนา ๘๒๐) วา อกฺขร ศัพท เปนได ๒ ลิงค เพราะพบตัวอยางวา โย ปุพฺโพ อกฺขโร และตัวอยางวา อกฺขรานิ, อีกนัยหนึ่ง อกฺขร ศัพท มีความหมายวา พระนิพพานและนามบัญญัติ เปนนปุงสกลิงคแนนอน ดังมีตัวอยางวา ปทมจฺจุตมกฺขรํ (ปทํ, อจฺจุตํ, อกฺขรํ=พระ นิพพาน), มหาชนสมฺมโตติ โข วาเส มหา สมฺมโตเตฺวว ปมํ อกฺขรํ นิพฺพตฺตนฺติเอวมาทีสุ (ดูกอนวาเสฏฐะ พระนามครั้งแรกวา มหาสมมตุิ ไดเกิดขึ้น เพราะไดรับการแตงตั้งจากมหาชน), สวน อกฺขร ในขอความวา อกฺขราย เทเสติ, อกฺขรกฺขราย อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส (แสดงธรรม โดยอักษร ตองอาบัติปาจิตตียทุกตัวอักษร) จะกลาววาเปนปุงลิงคก็ได เปนนปุงสกลิงคก็ได แตไมควรกลาววาเปน อิตถีลิงค. ก็บทวา อกฺขราย นี้ พระผูมีพระภาคทรงแสดงไวโดยวิภัตติวิปลลาส เหมือนศัพทวา ธนฺจยาย, วจนาย ใน ตัวอยางเปนตนวา อสกฺกตา จสฺม ธนฺจยาย (พวกเราเปนผูอันพระเจาธนัญชัยไมสักการะ แลว) วิรมถายสฺมนฺโต มม วจนาย (ขอทานผูมี อายุ จงงดวากลาวเรา) ไมไดทรงแสดงไวดวย อ ำ น า จ ข อ ง ล ิ ง ค ว ิ ป  ล ล า ส ) , แตใน สัททนีติ สุตตมาลา (ฉบับพระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และจำรูญ ธรรมดา แปล, ๒๕๔๕: หนา ๑๓๐๙) วา พฺยฺชนฉกฺเก อกฺขรํ นาม รูป อนิจฺจนฺติอาทีสุ อตฺถโชตกปทนฺโตคโธ รูอิจฺจาทิ- เอเกโกเยว วณฺโณ เจว (อักขระ ในพยัญชนะ ฉักกะ มีความหมาย วา อักษรแตละพยางค รวมกันเปนบทซึ่งสามารถสื่อความหมายให เขาใจได เชนคำวา รู ในขอความพระบาลีนี้วา รูป อนิจฺจํ เปนตน) โย ปุพฺเพ กรณียานิ, โส อิมํ วิชฏเย ชฏนฺติอาทีสุ อตฺถโชตโก โยการโสการาทิโก เอโก วณฺโณ จ (หมายถึง บทที่มี พยางคเดียวซึ่งสามารถสื่อความหมายใหเขาใจ ได เชนบทวา โย และ โส ในขอความพระบาลีนี้ วา โย ปุพฺเพ กรณียานิ, โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ) สิวสฺสสหสฺสานีติอาทินา เอเกกํ คาถํ วตฺตุกาเมหิ วุตฺโต สอิจฺจาทิวณฺโณ จ อกฺขรนฺติ คเหตพฺโพ (หมายถึง อักษรพยางคแรกเชน ส อักษรที่ผูมีความประสงคจะพูดวา สิวสฺสสหสฺสานิ กลับกลาวเพียงสั้นๆ วา ส) อกฺขรจินฺตกานํ มเต ปน อกฺขรสฺาวิสเย อการาทโย กการาทโย จ วณฺณา อกฺขรนฺติ คเหตพฺพา (สวน ตามมติของนักไวยากรณ ตอนวาดวยการตั้งชื่อ อักษร เทาเหลานั้น ไดแสดงความเห็นไวดังนี้วา อักขระ หมายถึง อักษรทั้งหลาย มีสระ อ เปนตนและพยัญชนะ มี ก เปนตน) โลกิยมหาชเนน กตฺตพฺเพ โลกิยมหาชเนน กตสฺาว ิ ส เย ม ห า ส ม ฺ ม โ ต เต ฺ ว ว ป  มํ อ ก ฺ ข รํ อุปนิพฺพตฺตนฺติอาทีสุ ปทภูโต อตฺถโชตโก วณฺณสมุทาโย อกฺขรนฺติ คเหตพฺโพ (สำหรับใน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๙ ขอความพระบาลีตอนวาดวยการตั้งชื่อซึ่ง โลกิยมหาชนไดสมมติตั้งไวดังนี้วา มหาสมฺมโต เตฺวว ปมํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํ เปนตน คำวา อกฺขร ในขอความนั้น หมายถึงหมูอักษรที่สำเร็จ เปนบทแลว ซึ่งสามารถสื่อความหมายใหเขาใจ ได) ชาตกกถายมฺป กึ เตตฺถ จตุมสฺสาติ อิมสฺส ปาิปฺปเทสสฺส พฺยฺชนํ โสภนํ, อกฺขรตฺโถ อโสภโนติ อตฺถสํวณฺณนายํ ปทภูโต อตฺถโชตโก วณฺณสมุทาโยเยว พฺยฺชนนฺติ อกฺขรนฺติ จ นาเมน วุตฺโตติ คเหตพฺพนฺติ (ขอความแมในอรรถกถาชาดกวา พฺยฺชนํ อโสภณํ, อกฺขรตฺโถ อโสภโน ซึ่งเปนขอความ อธิบายบทพระบาลีนี้วา กึ เตตฺถ จตุมสฺส, พึง ทราบคำวา พฺยฺชนํ และคำวา อกฺขรํ ใน ขอความนั้น ก็หมายถึงหมูอักษรที่สำเร็จเปนบท แลวซึ่งสามารถสื่อความหมายใหเขาใจได เชนกัน), อยเมตฺถ สงฺเขโป, วิตฺถาโร ปน ตตฺถ โอโลเกตพฺโพ (ความสังเขปในที่นี้เทานี้, สวน ความพิสดาร พึงคนดูในสัททนีติเถิด) อกฺขาตุ (ปุ.) ๑. ผูบอก, ผูกลาว, ผูแสดง วิ. อกฺขาติ กเถตีติ อกฺขาตา (ผูใดยอมบอกกลาว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ผูบอก) เชน อกฺขาตาโร ตถาคตา (พระตถาคตเปนเพียงผูบอก) ขุ.ธ.๒๕/ ๓๐/๕๑ [อา + ขา ธาตุ กถเน ในความกลาว + ตุ ปจจัย, ซอน กฺ, รัสสะ อา เปน อ] นัยเดียวกนั เชน อกฺขาโต, ในคำนี้ วิ. อกฺขาสิ กเถสีติ อกฺขาโต (ผูใดกลาวแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อกฺขาต), [อา + ขา ธาตุ กถเน ในความกลาว + ต ปจจัย] วิ. อกฺขายติ กถียตีติ อกฺขาตํ (คำใด อันเขาบอกกลาว เหตุนั้น คำนั้นชื่อวา อกฺขาต), [อา + ขา ธาตุ กถเน ในความกลาว + ต ปจจัย ในกัมมวาจก], นัยเดียวกัน อกฺขาตาวี (บอก แลว) ตาวี ปจจัย, อกฺขาตพฺพํ(อันเขาพึงกลาว) ตพฺพ ปจจัย ในกัมมวาจก อกฺขาน (นปุ.) การบอก, การกลาว, การแสดง, การชี้แจง, การสวด, เรื่อง, นิทาน, การเลา นิทาน, เสภา, อาขยาน (บททองจำ), การเลา เรื่อง, สาธยาย วิ. ๑. การบอก วิ. อกฺขายเต อกฺขานํ อาจิกฺขนํ (อันเขากลาว ชื่อวา การกลาว ไดแกการบอก) เชน อุตุกฺขานํ (การบอกฤดู) ๒. นิทาน วิ. อกฺขายติ เอเตนาติ วา อกฺขานํ กถนํ (อีกนัยหนึ่ง เขากลาวดวยเรื่องนั้น เหตุนั้น เรื่องนั้น ชื่อวา อกฺขาน ไดแก เรื่องเลา), [อา + ขา ธาตุ กถเน ในความกลาว + อน ปจจัย]; ปาฐะวา อกฺขายนํ ก็มี เชน อกฺขายนสีโล ลง ย อาคม อกฺขายก (ปุ.นปุ.) ๑. ผูกลาว, ผูบอก วิ. อกฺขายตีติ อกฺขายโก (ผูใดยอมกลาว เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อกฺขายก-ผูกลาว), [อา + ขา ธาตุ กถเน ในความกลาว + ณก ปจจัย โมคฺ.๕/ ๓๓ วา กตฺตริ ลฺตุณกา, ย อาคม โมคฺ. ๕/๙๑ วา อาสฺสาณาปมฺหิ ยุก; ๒. ผูควรเพื่อการกลาว เปนตน อนึ่ง ณก ปจจัยนั้น ใชในอรรถวา อรห (ควร) สตฺติ (ความสามารถ) สีล (เปนปกติ) ธมฺม (เปนธรรมดา) สาธุการ (ทำไดดี) เพราะจัดใน กลุมที่ใชในความหมายทั่วไป ฉะนั้น อกฺขายก จึงหมายถึง อกฺขาตุํ อรหติ, สกฺโกติ (ควร-, สามารถเพื่อจะกลาว), อกฺขานมสฺส สีลํ, ธมฺโม (มีการกลาวเปนปกติ, -เปนธรรมดา) กลาวคือ อกฺขานํ สกฺกจฺจํ กโรติ (ทำการกลาวโดยเคารพ). สำเร็จรูปแลวใชไดทั้ง ๓ กาล (ผูกลาว, กลาว แลว, จักกลาว) ดังนี้ ปุพฺเพป อกฺขาสิ, อชฺชป อกฺขาติ, ปจฺฉาปอกฺขายิสสฺต (เขากลาวแลว แม ิ ในการกอน, เขายอมกลาวแมในวันนี้, เขาจัก


๑๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา กลาวแมในภายหลัง), อิตถีลิงคเปน อกฺขายิกา โดยแปลง อ ของ อก เปน อิดวยสูตรแหงคมัภรี นิรุตติทีปนี (นิรุตฺติ.๕๖๐) วา อธาตุสฺส เก สฺยาทิโต เฆสฺสิ; นปุงสกลิงคเปน อกขฺายกํกุลํ อกฺขายิต (ติ.) ของที่ยังไมถูกกัดกิน วิ. น ขายิตํ อกฺขายิตํ (วัตถุอันสัตวทั้งหลายไมกัดกินแลว ชื่อวา อกฺขายิต) เชน พหุํ ขายิตํ โหติ, อปฺป อกฺขายิตนฺติ (ที่ถูกกัดกินแลวมาก ที่ยังไมถูกกัด กินแลวนอย), แปลง น เปน อ ดวยสูตร รูป. ๓๔๔ วา อตฺตํ นสฺส ตปฺปุริเส, ซอน ก, บัณฑิต พึงดูการแยกธาตุปจจัยที่ ขายิต กลาวคือ เข ธาตุ ขาทเน ในความเคี้ยวกัน + ต ปจจัย, แปลง เอ เปน อาย, อิ อาคม. เชน สมนฺตปาสาทิกา วิยนกถาย อตฺถโยชนา ๒/๖๒๓ วา อกฺขายิเตติ สตฺเตหิ อขาทิเต คำวา อกฺขายิเต หมายความวา สัตวทั้งหลายยังไมกัดกิน) อกฺขายี(ติ.) ผูพูด, ผูมีปกติกลาว วิ. อกฺขายตีติ อกฺขายี, อกฺขายนสีโล, อกฺขายนธมฺโม, อกฺขาเน สกฺกจฺจการิตายุตฺโตติ อตฺโถ (ผูใดยอมกลาว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อกฺขายี คือผูกลาวเปนปกติ, ผูมีการกลาวเปนธรรมดา, หมายความวา ประกอบดวยความเปนผูทำดวยความเคารพใน การกลาว), [อา + ขา ธาตุ กถเน ในการกลาว + ณี ปจจัย ดวยสูตร โมคฺ. ๕/๕๓ วา สีลาภิกฺขฺาวสฺสเกสุ ณี, กาลตฺตเยป สิชฺฌติ สามฺวิธานตฺตา สำเร็จใน ๓ กาล เพราะเปน วิธีทั่วไป + ในเพราะธาตุมี อา เปนที่สุด ลง ย อาคม ดวยสูตร โมคฺ.๕/๙๑ วา อาสฺสาณาปมฺหิ ยุกฺ, ซอน กฺ, รัสสะ อา เปน อ], นัยเดียวกันเชน นิทฺทายี ทา ธาตุ สุปฺปเน ในความหลับ, อนฺนทายี ทา ธาตุ ทาเน ในความให, มชฺชปายี ปา ธาตุ ปาเน ในความดื่ม อกฺขิ (นปุ.) ๑. ตา, ดวงตา, นัยนตา, อวัยวะ เปนเครื่องเห็น วิ. อกฺขติ อเนนาติ อกฺขิ โลจนํ (บุคคลยอมเห็นดวยอวัยวะนั่น เหตุนั้นอวัยวะ นั้นชื่อวา อกฺขิ ไดแก ตา), อกฺข ธาตุ ทสฺสเน ใน ความเห็น + ลง อิ ปจจัย ดวยสูตรโมคคัลลานะ โมคฺ.๗/๘ วา ทธฺยาทโย; ๒. อวัยวะเปนเครื่องดู วิ. อกฺขติ ปสฺสติ เอเตนาติ อกฺขิ (บุคคลยอมดู คือยอมเห็น ดวยอวัยวะนั่น เหตุนั้น อวัยวะนั้น ชื่อวา อกฺขิ), อกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ณิ หรือ อิ ปจจัย; ๓ สิ่งที่แผไป วิ. อสติ วิสเยสุ พฺยาป วิย ภวตีติ อกฺขิ (อวัยวะใดแผไป คือเปน ดุจแผซานไปในอารมณทั้งหลาย เหตุนั้น อวัยวะ นั้นชื่อวา อกฺขิ), อสุ ธาตุ พฺยาปเน ในความซาน ไป + ขิ ปจจัยดวยสูตร ปทรูปสิทฺธิ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, แปลง ส เปน ก; ๔. สิ่งที่เห็น คือแผซานไปในรูปารมณ วิ. อกฺขติ วิสเยสุ พฺยาป วิย ภวตีติ อกฺขิ (สิ่งใดยอมแผซานไป คือ เปนดุจแผซานไปในอารมณทั้งหลาย เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อกฺขิ), อกฺข ธาตุ พฺยาปเน ในความ ซานไป + อิ ปจจัย; ๕. อวัยวะที่ใชดู วิ. วิสยํ รูปารมฺมณํ สมวิสมํ วา อิกฺขติ ปสฺสติ อเนนาติ อกฺขิ เนตฺตํ (บุคคลยอมเล็งดูวิสัย คือรูปารมณ ที่เสมอและไมเสมอ ดวยอวัยวะนั่น เหตุนั้น อวัยวะนั้น ชื่อวา อกฺขิ ไดแก ดวงเนตร), อิกฺข ธาตุ ทสฺสนงฺเกสุ ในความเห็น ในความกำหนด + อิ ปจจัย, แปลง อิ เปน อ; ศัพทนี้เปน อิ การันต ในนปุงสกลิงค อกฺขิก (ติ.) ๑. ผูชนะดวยสกาหรือผูเลนดวย สกา วิ. อกฺเขหิ ชยติ ทิพฺพตีติ วา อกฺขิโก (ผูใด ยอมชนะ หรือยอมเลนดวยสกาทั้งหลาย เหตุ นั้น ผูนั้นชื่อวา อกฺขิก), ณิก ปจจัยแทน ชยติ ศัพทเปนตน; คำวา สาลากิโก (ผูชนะดวย


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๑ สลาก), ตินฺทุกิโก (ผูชนะดวยผลมะพลับ), อมฺพผลิโก (ผูชนะดวยผลมะมวง) ก็นัยนี้; ๒. ทรัพยที่ชนะมาดวยสกา วิ. อกฺเขหิ ชิตํ ธนํ อกฺขิกํ (ทรัพยที่เขาชนะมาดวยสกาทั้งหลาย ชื่อวา อกฺขิก), ลง ณิก ปจจัยแทน ชิต ศัพท ดวย สูตรโมคคัลลานะ โมคฺ.๔/๒๙ วา เตน กตํ กีตํ เปนตน; สาลากกิํ ก็นัยนี้ อกฺขิค (นปุ.) ขนเกิดบนตา, ขนหางตา, ขนตา, ขนคิ้ว วิ. อกฺขิมฺหิ ชาตํ โลมํ อกฺขิคํ ปขุมํ (ขนที่ เกิดบนตา ชื่อวา อกฺขิค ไดแก ขนตา), [อกฺขิ + ค ปจจัยในตัทธิตแทน ชาต ศัพท] อกฺขิตฺต (ติ.) ไมถูกขวาง, ไมถูกขัดขวาง, ไมถูก คัดคาน, ไมถูกปฏิเสธ, ไมหาม วิ. น ขิตฺโต น ปฏิเสธิโต อกฺขิตฺโต, อนวกฺขิตฺโต (สิ่งใด อัน เขาไมไดขวางไป ไมคัดคาน ชื่อวา อกฺขิตฺต คือ ไมถูกขวางทิ้งไป) เชน อกฺขิตฺโต อนุปกฺกุโ ชาติวาเทน วินย.๒/๗๓๕/๔๘๖ (กษัตริย ผูไมมี ใครคัดคาน ติเตียน โดยกลาวถึงชาติได), [น + ขิป ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + ต ปจจัย, แปลง น เปน อ, ซอน กฺ, แปลง ป เปต ตฺ], นัย เดียวกันเชน ปฏิกฺขิตฺโต, บทนี้ลง ปฏิ บทหนา อกฺขุล (ปุ.) ผูใหเปนไปเพื่อทำลาย วิ. อกฺเขตุํ เขเปตุํ วินาเสตุํ อุลติ ปวตฺเตตีติ อกฺขุโล (ผูใดให ไป คือใหเปนไป เพื่อทำลาย เพื่อเสื่อมสิ้นไป เพื่อพินาศไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อกฺขุล) เชน อกฺขุโล ภกฺขุโล (ยักษผูทำลาย ผูจับกิน), ยกฺขรกฺขสปสาจสีหพฺยคฺฆาทีสุ อฺตโร โย โกจิ มนุสฺสานํ อนตฺถาวโหติ อตฺโถ อุทาน.อ.๗ (ไดแกบรรดายักษ รากษส ปศาจ ราชสีห และ เสือโครง เปนตน ตนใดตนหนึ่ง ซึ่งนำความ พินาศมาใหแกพวกมนุษย), [อา + ขี ธาตุ ขเย ในความสิ้นไป และ อุล ธาตุ ปวตฺตเน ในความ เปนไป + อ ปจจัย, ซอน ก, รัสสะ อา เปน อ] อกฺเขยฺย (ติ.) ๑.อันเขาพึงกลาว วิ. อกฺขาตพฺพํ กเถตพฺพนฺติ อกฺเขยฺยํ (สิ่งใดอันเขาพึงกลาว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อันเขาพึงกลาว), [อา + ขา ธาตุ กถเน ในความกลาว + ฆฺยณ ปจจัย แปลง อา เปน เอ, พึงดู นิรุตฺติทีปนี สูตร ๗๗๘, ซอน อักษรที่มีรูปไมเสมอกันคือ กฺ, รัสสะ อา เปน อ, ซอน ย]; ๒. อันเขากลาว วิ. อกฺขายติ กถียติ ปฺาปยตีติ อกฺเขยฺยํ กถาวตฺถุ (เรื่องใดอันเขา บอกกลาวเลาใหรู เหตุนั้น เรื่องนั้น ชื่อวา อกฺเขยฺย ไดแก กถาวัตถุ เรื่องควรกลาว), แตวา โดยความหมาย คำนี้ หมายถึง เบญจขันธ มีรูป เปนตน, [อา + ขา ปกถเน ในความกลาว + ณฺย ปจจัย], ในขอนี้มีตัวอยาง เชน สํ.อ.๑/๔๓ วา อกฺเขยฺยํ อปริฺายาติ ปฺจกฺขนฺเธ ตีหิ ปริฺาหิ อปริชานิตฺวา (สองบทวา อกฺเขยฺยํ อปริฺาย คือ ไมกำหนดรูขันธ ๕ ดวยปริญญา ๓) และ สุตตนิบาต, ๔๐๕ วา นามํเยวาวสิสฺสติ อกฺเขยฺยํ เปตสฺส ชนฺตุโน (สำหรับสัตวที่ตายไป แลว ชื่อนั่นเทียวอันบุคคลพึงกลาวจักเหลอือยู); นัยเดียวกันเชน อกฺขาตพฺพํ, บทนี้ลง ตพฺพ ปจจัยในกัมมวาจก, แตใน สัททนีติ ธาตุมาลา (ฉบับแปล หนา ๔๖) วา ขา และ ขฺยา ธาตุ ปกถเน ในความกลาวประการตางๆ เชน ปกถนํ การบอก คือ อาจิกฺขนํ การกลาว เทสนํ วา หรือการแสดง อกฺโขภิณี(อิต.)อักโขภิณี วิ.โขเภตุํน สกฺกุโณตตีิ อกฺโขภิณี (จำนวนใดไมอาจใหแยกออกได เหตุนั้น จำนวนนั้นชื่อวา อักโขภิณี), น + ขุภ ธาตุ โขเภ ในความกำเริบ + ยุ + อี, แปลง น เปน อ, ซอน กฺ, พฤทธิ์ อุ เปน โอ, แปลง ยุ เปน


๑๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อน, อ ที่ ภ เปน อิ, แปลง น เปน ณ, ลบสระ หนา คือ สระ อ ที่ ณ; ปาฐะวา อกฺโขภณี, อกฺโขภนี, อกฺโขภินี, อกฺขุภิณี ก็มี, จำนวนรอย แสนนินนหุต เปน หนึ่งอักโขภิณี คือเขียนเลข ๑ ประกอบศูนย ๔๒ ตัว; นัยเดียวกันเชน อกฺโขภํ บทนี้ลง อ ปจจัย, อกฺโขภนียํ บทนี้ลง อนีย ปจจัย อการ (ปุ.) ๑. อ วิ. อ เอว อกาโร (อ นั่นเอง ชื่อวา อการ), [อ + การ ปจจัย] การ ปจจัยใชใน อรรถสกัตถ จัดเปนปจจัยในตัทธิตใชในสกัตถ เชน เทโว เอว เทวตา (เทพนั่นเอง ชื่อวา เทพ), ตา ปจจัยในที่นี้ไมมีความหมาย เพราะ เปนสกัตถ), นัยเดียวกัน อา วิ. อา เอว อากาโร (อา นั่นเอง ชื่อวา อากาโร), ย เอว ยกาโร (ย นั่นเอง ชื่อวา ยกาโร), ๒. อ อักษร อีกนัยหนึ่ง การ ปจจัยแทน อกฺขร ศัพท ทานแสดงนัยนั้นไว ในคัมภีรปทรูปสิทธิ รูป.๖๘๔ วา อกฺขเรหิ การ; ๓. เสียง อ อีกนัยหนึ่ง อกาโร เปนสมาส วิ. อ จ โส กาโร จาติ อกาโร (อ ดวย เสียงดวย ชื่อวา อการ-เสียง อ) ก็ การ ศัพท ตามนัยนี้แทนคำวา สทฺท-เสียง ไมใช การ ปจจัยที่ใชแทนอักษร, แตบางครั้งก็ไมประกอบ การ หลังอักขระ เพราะเปนความประสงคผูกลาวอยางนั้น; คำแปลวา เสียง อ นี้ วิเคราะหไดนัยหนึ่งวา วิ. กรณํ กาโร, ออิติ กาโร อกาโร, ออิติ อุจฺจารณํ, อสทฺโทติ อตฺโถ (การกระทำ ชื่อวา การะ, การะ วา อ คือการออกเสียงวา อ ชื่อวา อการ, หมายความวา อสทฺท-เสียงวา อ), แม กกาโร (ศัพทวา ก) ก็นัยนี้, พึงเทียบกับ เอว ศัพทกับนัยขางหนาดวย; อนึ่ง อ อักษร มีหลาย ความหมาย คือ อ แปลวา เจริญ (วุฑฺฒิยํ), มีความหมายเทากับศัพทที่ตนประกอบ (ตพฺภาเว), เหมือน (สทิเส), ปฏิเสธ (นิเสเธ), อฺเ (อื่น), อปฺปเก (นอย), พระวิษณุ (อสงฺขาเต วิสฺณุมฺหิ), ตำหนิ (นินฺทายํ), ตรงขาม (วิรุทฺเธ), ปราศจาก (วิรเห), วาง (สุฺเ), สักวาทำบทให เต็ม (ปทปูรเณ); บัณฑิตพึงคนดูใน จตุปทวิภาค แหงสัททนีติสุตตมาลา (ฉบับแปล หนา ๑๒๓๖) ทานแสดงอรรถแหง อ อักษรไววา ปฏิเสเธ วุทฺธิตพฺภาเว อฺตฺเถ สทิเสป จ วิรุทฺเธ ครเห สุฺเ อกาโร วิรหปฺปเกติ. อ ศัพท วา ปฏิเสธ (การหาม), วุทฺธิ (ความ เจริญ), ตพฺภาว (อรรถของบทที่ตนประกอบ นั้น), อฺตฺถ (เหลาอื่น), สทิส (เหมือน), วิรุทฺธ (ตรงกันขาม), ครห (ติเตียน, ตำหนิ), สุฺ (วางเปลา), วิรห (ปราศจาก) และ อปฺปก (นอย) ผูศึกษาพึงคนดูจากสัททนีติสุตตมาลานั้น สวนในคำวา วิษฺณุ-วิสฺณุ กลาวดวยอำนาจ ภาษาสันสกฤต, แตในบาลีควรไดรูปเปน วิณฺหุ, ความจริง วาตามมติของอาจารยพวกอื่น อ ศัพท ใชในความหมายวา วิณฺหุ, ดังคัมภีรมุคธ โพธฎีกา (คำอธิบายสูตร ๑) วา อกาโร วิณฺหุ อุทฺทิโ อุกาโร ตุ มหิสฺสโร มกาเรโนจฺจเต พฺรหฺมา ปณเวน ตโย มตา (บัณฑิตทราบตรีเทพไดดวยอักษรที่ลี้ลับคือ คือ อ อักษร หมายถึง พระวิษณุ อุ อักษร หมายถึงพระศิวะ สวน ม อักษร หมายถึง พระพรหม) เมื่อทำตัวรูปตามมติของอาจารยพวกอื่น จึง ไดรูปวา โอมฺ (ดู สัททานุกรมพระไตรปฎกเชิง วิจัย เลม ๑ หนา ๑๓) อกาลิก (ติ.) ๑. ไมจำกัดกาลใหผล วิ. อกาโล ผลํ ททาตีติ อกาลิโก (ธรรมใดไมจำกัดกาล ใหผล เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อกาลิก), อกาล+


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๓ ณิก ปจจัย. ๒. ใหผลไมตองรอเวลา วิ. อตฺตโน ผลทานํ สนฺธาย นาสฺส อาคเมตพฺโพ กาโล อตฺถีติ อกาโล, โสเยว อกาลิโก (กาลอันธรรมนั้น มุงการใหผลของตนพึงใหมา มีอยูหามิได เหตุ นั้นธรรมนั้น จึงชื่อวาอกาโล, อกาโล นั่นเองชื่อ วา อกาลิโก) คือ หาไดรอกาล ๕ วัน ๗ วัน ใหผลไม แตยอมใหผลติดตอกันไปกับความ เปนไปของตนทีเดียว วิ. อถวา อตฺตโน ผลปฺปทาเน วิปฺปกโ ทูโร กาโล ปตฺโต อุปนีโต อสฺสาติ กาลิโก กาลนฺตรผลทายี. อตฺตโน ผลปฺปทาเน ปกโ กาโล ปตฺโต อสฺสาติ วา กาลิโก นัยหนึ่ง กาล ในอันใหผลแหงธรรมนั้น ยังไกลที่จะถึง เหตุนั้น ธรรมนั้น จึงชื่อวา กาลิกะ ไดแก ธรรมที่ ใหผลในกาลมีระหวาง (ไมติดตอกัน) ถามวา ธรรมนั้นคืออะไร ตอบวา ธรรมนั้น คือกุศล ธรรมที่เปนโลกิยะ อยํ ปน สมนนฺตรผลตฺตา น กาลิโก อกาลิโก, โก โส ? มคฺคธมฺโม. แตธรรมนี้ ไมใช กาลิก-ไมใชธรรมที่ใหในกาลมีระหวาง เพราะใหผลตอเนื่องกันไป จึงชื่อวา อกาลิก ถามวา ธรรมนั้นคืออะไร ตอบวาธรรมนั้นคือ มรรคธรรม แตใน วิสุทธิมรรค ๑/๒๗๖ แสดง ความหมายไววา อตฺตโน ผลทานํ สนฺธาย นาสฺส กาโลติ อกาโล, อกาโลเยว อกาลิโก (ธรรมนั้น มุงการใหผล หามีกาลไม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อวา อกาโล อกาลิโก ก็ อกาโล นั่นเอง) อกาลุสฺสิย (นปุ.) ๑. ความไมขุนมัว, ใส วิ. กลฺยเต อเนนาติ กลุสํ อนจฺโฉ (บุคคลยอมนบั ยอมติเตียน ดวยสภาวะนั่น เหตุนั้น สภาวะนั้น ชื่อวา อกุส (บาป) ไดแก ความขุนมัว), [กล ธาตุ สงฺขฺยาเน ในความนับ + อุส ปจจัย]. วิ. กลุสสสฺ ภาโว กาลุสิยํ (ความเปนแหงความขุนมัว ชื่อวา กาลุสิย), [กลุส + ณิย ปจจัย, ทีฆะ อ ที่ ก เปน อา], วิ. น กาลุสิยํ อกาลุสฺสิยํ (ความเปนแหง ความขุนมัวหามิได ชื่อวา อกาลุสฺสิย), [น + กา ลุสิย, ซอน สฺ], ใน ปรมตฺถมฺชุสา วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา ๓/๑๐๕ อธิบายวา อกาลุสภาโว อกาลุสฺสิยํ, อนาวิลภาโวติ อตฺโถติ; ฉบับภูมิพโล ภิกขุ ภาค ๕ หนา ๒๗๙ แปลวา อกาลุสภาโว เปน อกาลุสฺสิยํ มีความหมายวา ความไมขุนมัว; ๒. จิตไมขุนมัว ใน อนุทีปนีปาฐะ วา อกาลุสสฺํ วุจฺจติ อนาวิลํ จิตฺตํ. อกาลุสฺสํ เอว อกาลุสฺสิยํ (จิตที่ไมขุนมัว เรียกวา อกาลุสฺสํ, อกาลุสฺสํ นั่นเอง ชื่อวา อกาลุสฺสิย), [อกาลุสฺส + ณิย หรอื ณฺย สกัตถ + หนา ย ลง อิ อาคมดวยมหาสูตร วา เตสุวุทฺธิ เปนตน], ปาฐะวา อกาลุสฺโส ก็มี อกิฺจน (ปุ.นปุ.) ๑. คนยากจน วิ. นตฺถิ กิฺจนํ อปฺปมตฺตมฺป ธนํ ยสฺส โส อกิฺจโน ทลิทฺโท. (ทรัพยแมนิดหนอยของบุคคลใดไมมี บุคคลนั้น ชื่อวา อกิฺจโน ไดแก คนยากจน), [น + กิฺจน], ๒. กิเลสที่ย่ำยีสัตว วิ. กิฺเจติ สตฺเต มทฺทตีติ กิฺจนํ (กิเลสใดยอมย่ำยีสัตวทั้งหลาย เหตุนั้น กิเลสนั้น ชื่อวา กิฺจน), [กิจิ ธาตุ มทฺทเน ในความย่ำยี + ยุ ปจจัย], ๓. ผูไมมี กิเลสเปนเครื่องกังวล วิ. นตฺถิ กิฺจนํ ปลิโพโธ ยสฺส โส อกิฺจโน นิปฺปลิโพโธ. (กิเลสเปนเครื่อง กังวลคือปลิโพธ ของบุคคลใดไมมี บุคคลนั้นชื่อ วา อกิฺจน), ๓. ปฐมารุปปวิญญาณ วิ. นาสฺส ปมารุปฺปวิฺาณสฺส กิฺจนนฺติ อกิฺจนํ. (กิญจนะของอรุปปวิญญาณที่ ๑ มีอยูหามิได เหตุนั้น จึงชื่อวา อกิฺจน), นตฺถิ กิฺจนํ อปฺปมตฺตกํ อนฺตมโส ภงฺคมตฺตมฺป อวสิํ อสฺสาติ อกิฺจนํ (กิญจนะที่ยังเหลืออยูประมาณ หนอยหนึ่ง โดยที่สุดแมการแตกไป ของสภาพ นั้นไมมี เหตุนั้น จึงชื่อวา อกิฺจน)


๑๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อกิลาสุ (ปุ). ๑. คนไมเกียจคราน วิ. น กุ อปฺป กุจฺฉิตํ วา ลสตีติ อกิลาสุ นิกฺโกสชฺโช (ผูใดไม ชอบใจงานนอย หรือไมชอบใจของนาเกลียด เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อกิลาสุ ไดแก คนไม เกียจคราน), ศัพทนี้เปนปุงลิงค [น + กุ + ลส ธาตุ กนฺติยํ ในความชอบใจ + ณุ ปจจัย, แปลง อุ ที่ กุ เปน อิ], สำหรับ กุ ในที่นี้หมายถึง อปฺป (นอย) และ กุจฺฉิต (นาเกลียด); ๒. คนขยัน วิ. อกึ อปฺป ลสตีติ อกิลาสุ (ผูใดยอมยินดี นิดหนอย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อกิลาสุ), [อกิ แปลวา นอย + ลส ธาตุ กนฺติยํ ในความยินดี + ณุ ปจจัย, ทีฆะตนธาตุ], ปาฐะวา อกิลาสู ก็มี; ขยัน, หมั่นเพียร, ไมเบื่อหนาย อกุโตภย (ติ.) ผูมีภัยแตที่ไหนมิได, ผูไมมีภัย นตฺถิ กุโต ภวโต วา อารมฺมณโต วา เอเตสํ ภยนฺติ อกุโตภยา นิพฺภยาติ อตฺโถ (ภัยแตที่ ไหนๆ คือทั้งแตภพ และแตอารมณ ของบุคคล ทั้งหลายเหลานั่น ไมมี เหตุนั้น บุคคลทั้งหลาย เหลานั้นจึงชื่อวา อกุโตภย หมายความวา ผูไมมี ภัย), [น + กุโต + ภย] อกุสล (นปุ.) อกุศล, ตรงขามกับกุศล วิ. น กุสลํ อกุสลํ (สิ่งที่ไมเปนกุศล ชื่อวา อกุศล-ตรงขาม กับกุศล), [น + กุสล, แปลง น เปน อ], สิ่งที่ตรง ขามกับกุศล เพราะเปนสิ่งที่ตองละสำหรับผูละ เหมือน อมิตรคือศัตรูตรงขามกับมิตร; ยํ ธมฺมชาตํ น อโรคํ, น อนวชฺชํ, น สุขวิปากํ, น จ โกสลฺลสมฺภูตํ, ตํ อกุสลํ. (ธรรมชาติใด ไมใช สิ่งที่ไมมีโรค, ไมใชสิ่งที่ไมมีโทษ, ไมใชสิ่งที่ใหผล เปนสุข ไมใชสิ่งที่เกิดแตความฉลาด, ธรรมชาติ นั้นชื่อวา อกุศล), อ อักษรในคำวา อกุสล ใชใน อรรถวาตรงกันขาม (ปฏิปกฺขตฺเถ), สวนการ จำแนกธาตุและปจจัย ทานกลาวไวใน กุสล บัณฑิตพึงคนดูเถิด อขาต (ปุ.นปุ.) วิ. เหมืองนอย, สระไมไดขุด, สระเกิดเอง วิ. น ขาตํ อขาตํ เทวขาตโก, ชาตสสฺโรติอตฺโถ (บอน้ำที่ไมไดขุด ชื่อวา อขาต ไดแก เหมืองนอยที่เทวดาบันดาล หมายความ วา สระเกิดเอง), [น + ขนุ ธาตุ อวทารเณ ใน ความขุด + ต ปจจัย, แปลง น เปน อ, ลบ น, ทีฆะ อ ที่ ข เปน อา], เปนนปุงสกลิงค แตใน อภิธานปฺปทีปกาฏีกา อธิบายคาถา ๖๘๐ วา เปน อขาโต เปนปุงลิงค อขิล (ติ.) ทั้งปวง, ทั้งมวล, ทั้งหมด, ทั้งสิ้น, ไมเหลือ วิ. น ขียเตติ อขิลํ สพฺพํ(ส่งิใดไมสิ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อขิล คือ ทั้งปวง) (น + ขิ/ ขี ธาตุ ขเย ในความสิ้น + ล ปจจัย + ถา ขี ธาตุ รัสสะ). แตใน มธุฏีกา ทานอธิบายวา ขิล ศัพท ในที่นี้ หมายถึง ไมเหลือ (อวเสสวาจโก); ๒. ไมใชนอย, ไมใชสิ่งที่ถือเอาสิ่งที่สิ้นไป วิ. น ขิลํ อขิลํ. ขยํ ลาติ คณฺหาตีติ วา ขิลํ อปฺปกํ (ไมใชนอย ชื่อวา อขิล อีกนัยหนึ่ง สิ่งใดยึดเอา ถือเอาสิ่งที่สิ้นไปแลว ชื่อวา ขิล ไดแก อปฺปกนิดหนอย), [ขย + ลา ธาตุ คหเณ ในความ ถือเอา + อ ปจจัย, ลบ ย, แปลง อ เปน อิ] วิ. น ขิลํ อขิลํ (ไมใชสิ่งที่ถือเอาสิ่งที่สิ้นไป) แปลง น เปน อ อค (ปุ.) ๑. สิ่งที่ไมเคลื่อนที่มีเสาเปนตน วิ. น คจฺฉตีติ อโค, ถมฺภาทโย (สิ่งใดไมเคลื่อนที่ไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อค-เสาเปนตน), [น + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + กฺวิ ปจจัย, แปลง น เปน อ, ลบ ม]; ๒. หิน, ตนไม, ตนไมใหญ, ตนไมยืนตน วิเคราะหเหมือนนัยกอน, ศัพท ๒ ศัพท ไดแก อโค และ นโค หมายความวา หิน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๕ และ ตนไม (เสลรุกฺเขสุ) ก็ได; ๓. คนตกยาก, คนถอย, คนต่ำทราม แตในนิรุตฺติทีปนี นิรุตฺติ. ๓๘๐ วา อโค วสโล กึ เตน. เอตฺถ อโคติ ทุคฺคตชโน, วสโลติ ลามโก, กึ เตนาติ นินฺทาวจนํ, สีเตนาติป ปาโ (คนตกยาก ต่ำทราม ประโยชน อะไรดวยเจาเลา, ในตัวอยางนี้ อโค หมายถึง ทุคฺคตชโน-คนตกยาก, วสโล-คนถอย, ลามโกคนต่ำทราม, กึ เตน เปนคำตำหนิ, ปาฐะวา สีเตน ดังนี้ก็มี) อคติ (อิต.) ๑. อคติอันพระอริยเจาไมถึง วิ. อริยา เอตาย น คจฺฉนฺตีติ อคติ (ผูเจริญยอมไมไป ดวย ธรรมชาตินั่น เหตุนั้นธรรมชาตินั้นชื่อวา อคติ), ไดแก อคติ ๔ อยาง มีฉันทาคติเปนตน, [น + คม ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ติ ปจจัย]. ๒. อคติอันพระอริยเจาไมพึงถึง วิ. อริเยหิ น คนฺตพฺพาติ อคติ (กิเลสชาติใดอันพระอริยเจา ทั้งหลาย ไมพึงถึง เหตุนั้น กิเลสชาตินั้นชื่อวา อคติ), [น บทหนา + คมุ ธาตุ คติยํ ในความไป + ติ ปจจัย, แปลง น เปน อ, ลบ ม], ๓. การทำ ไมสมควร, การถึงไมสมควร วิ. อนนุรูปา คตีติ อคติ (การถึงอันไมควร เหตุนั้นชื่อวา อคติ), [อ + คติ, อ ศัพท ในที่นี้ ใชในอรรถวาไมควร (อนนุรูป), คติ ในที่นี้ วิ. คมนํ กรณํ คติ กิริยา (การไปคือการทำ ชื่อวา คติ คือการทำ). ๔. การ ถึงที่บัณฑิตติเตียน วิ. คาเรยฺหา คติ อคติ (การ ถึงอันบัณฑิตติเตียน ชื่อวา อคติ) ก็ อ ศัพท ใน ที่นี้ใชในความหมายวา อันบัณฑิตติเตียน (คาเรยฺห). ๕. นิพพาน วิ. ปฺจมาเรหิ น คนฺตพฺพาติ อคติ นิพฺพานํ. นตฺถิ วา มารานํ คติ เอตฺถาติ อคติ. (สภาพใดอันมาร ๕ ไมพึงถึง เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อวา อคติ ไดแก พระนิพพาน อีกนัยหนึ่ง การไปแหงมาร ไมมีในสภาพนั้น เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อวา อคติ) อคท (ปุ.) ๑. ยา, สิ่งที่ไมมีโรค วิ. คโท ยสฺมึ สมเย น วิชฺชเตติ อคโท เภสชฺชํ (โรคไมมีใน สมัยใด เหตุนั้น สมัยนั้นชื่อวา อคโท-สมัยท่ีไมม ี โรค ไดแก เภสัช), [น + คท ธาตุ โรเค ในความ เปนโรค ในความเจ็บปวย + อ ปจจัย]. อีกนัย หนึ่ง วิ. น วิชฺชเต คโท อสฺมินฺติ อคโท (โรคไมมี ในสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคท-ยาที่ไมมี โรค), น + คท ธาตุ โรเค ในความเปนโรค ใน ความเจ็บปวย + อ ปจจัย], อีกนัยหนึ่ง วิ. โค วุจฺจติ ทุกฺขํ, ตํ เทตีติ คโท โรโค (ทุกข ทาน เรียกวา ค, สภาพใดยอมใหซึ่งทุกขคือ ค นั้น เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อวา คท-สภาพที่ใหทุกข ไดแก โรค), [ค + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + อ ปจจัย]. น วิชฺชเต คโท ยสฺมึ โส อคโท (โรคไม มีในสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคท); ๒. สิ่งที่ เปนเหตุไมมีโรค วิ. นตฺถิ คโท โรโค เอเตนาติ อคโท. (สิ่งที่ใหทุกข คือโรค ไมมีดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคโท); ๓. สิ่งที่ขจัดโรค วิ. อคํ โรคํ ทาติ อวขณฺฑตีติ อคโท (สิ่งใดยอม ตัดคือขจัด ซึ่ง อค คือซึ่งโรค เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อคท-ยาที่ขจัดโรค), [อค + ทา ธาตุ อวขณฺฑเน ในความตัด + อ ปจจัย]; ๔. การ เทศนาที่ชัดเจน, การสะสมบุญ วิ. อคโท วิยาติ อคโท (สิ่งใดเปนประดุจยาขจัดโรค เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคท) ก็ถามวา อคท นี้คือ อะไร ตอบวา การเทศนาที่ชัดเจน (เทสนาวิลาโส) และการสะสมบุญ (ปุฺุสฺสโย) อคท ศัพทเปน ๒ ลิงค คือ ปุงลิงคและนปุงสกลิงค อคมานิ (นปุ.) ที่อันเขาไมควรไป วิ. น คมิตพฺโพ เต ชมฺม เทโสติ อคมานิ (ชัมมะ ประเทศอันทาน


๑๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ไมควรไป เหตุนั้น ประเทศคือสถานที่นั้น ชื่อวา อคมานิ), [น + คม ธาตุ คมเน ในความไป + อานิ ปจจัย ดวยสูตรแหงปทรูปสิทธิ รูป.๖๖๒ วา อกฺโกเส นมฺหานิ] อครุ (ปุ.ติ.) กฤษณา วิ. ลหุนามกตฺตา อครุ อคลุ อคฬุ โลหํ, ตครนฺติ อตฺโถ (ชื่อวา อครุ เพราะเปนของที่ไดชื่อวา เบา), เปน อคลุ, อคฬุ บาง หมายถึง โลห (นปุ.) (กฤษณา) ตคร (นปุ.) (กฤษณา), แปลง ร เปน ฬ บาง, ศัพทนี้ใชใน ความหมายวา กฤษณา เปนนปุงสกลิงค๒. ผูไม หนักใจ, ผูไมควรเคารพ วิ. น ครุ ยสฺส โส อครุ, อครุโก (ความหนักใจของบุคคลใดไมมี บุคคล นั้นชื่อวา อครุ ไดแก ผูไมหนักใจ) อถ วา คารวํ กาตุํ น อรโหติ อตฺโถ (นัยหนึ่ง หมายความวา ผูไมควรเพื่อกระทำความเคารพ) เชน อมนาโป จ อครุ จ อภาวนีโย จาติ. ๓. ไมหนัก, เบา (ติ.) วิ. น ครุ อครุ อภาริยํ ลหุ วา (ไมหนัก ชื่อวา อครุ ไดแก ไมหนัก หรือเบา, [น + ครุ]. ในบาง แหงหมายถึง สุภรตา (ความเปนผูเล้ยีงงาย) อคฺค (ติ.) ๑. ผูประเสริฐ วิ. สีลาทีหิ อชิตพฺโพ อุปคนฺตพฺโพติ อคฺโค วิสิโ (ผูใดอันเขาพึงเขา ไปหา เพราะศีลเปนตน เหตุนั้นผูนั้น ชื่อวา อคฺค ไดแก ผูประเสริฐ), [อช ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย], แปลง ช เปน คฺ, ซอน ค, ๒. ผู บรรลุความเปนพระพุทธเจา, พระชินเจา (ปุ.) วิ. อคฺคติ อุตฺตมภาวํ เสภูตํ วา พุทฺธภาวํ ปาปุณาตีติ อคฺโค ชิโน (ผูใดยอมถึง คือบรรลุ ความเปนผูสูงสุด หรือความเปนพุทธะซึ่งเปน ภาวะประเสริฐสุด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺค ไดแก พระชินเจา), [อคฺค ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย]; ๓. สภาวะที่ถึงไดดวยบุญ (ปุ.) วิ. ปุฺเน อชฺชิยเตติ อคฺโค (สภาวะใดอัน บุคคลถึงไดดวยบุญ เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา อคฺค), [อชฺช ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย], ๔. ผูเสวยสุขคือพระนิพาน (ปุ) วิ. นิพฺพานสุขํ อทติ ภกฺขตีติ อคฺโค (ผูใดยอมเสวยคือกิน นิพพานสุข เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺค), [อท ธาตุ อนุภวเน ในความเสวย + ณ ปจจัย + แปลง ท เปน ค ดวยมหาสูตร กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, ซอน คฺ], ๕. ผูกำจัดเวรคือ กิเลส (ปุ) วิ. กิเลสเวรํ อมติ หึสตีติ อคฺโค (ผูใด ยอมกำจัดคือขจัดเวรคือกิเลส เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อคฺค), [อม ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + ณ ปจจัย + แปลง ม เปน ค]; ๖. ผูยังกิเลส ใหสิ้นไป (ปุ.) วิ. กิเลเส อสติ อเชติ วา เขเปตีติ อคฺโค (ผูใดทำกิเลสสิ้นไป หรือยังกิเลสใหเสื่อม สิ้นไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺค), [อสุ ธาตุ เขเป ในความสิ้นไป + ณ ปจจัย, แปลง ส เปน ค, ซอน ค หรือ อช ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + อ ปจจัย, แปลง ช เปน ค +ซอน คฺ], ๗. ที่ดำรงอยู นาน (ปุ.) วิ. จิรํ อชิยเต จิรํ ิยเต อสฺมินฺติอคฺโค (ผูใดตั้งอยูนาน คือดำรงอยูนาน ในสภาพนั้น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺค-เปนที่ดำรงอยูนาน), [เพราะธาตุมีหลายความหมาย อช ธาตุ จึงใชใน อรรถวาดำรง (ิติยํ) + ณ ปจจัย, แปลง ช เปน ค], ๘. ผูยังอกุศลธรรมใหสิ้นไป (ปุ.) วิ. อชติ อกุสเล ธมฺเม เขเปตีติ อคฺโค (ผูใดยังอกุศลธรรม ทั้งหลายใหสิ้นไป เหตุนั้น ผนูั้นชื่อวา อคฺค), [อช ธาตุ เขเป ในความทำใหสิ้นไป + ณ ปจจัย, แปลง ช เปน ค], ๙. สภาพที่ถึงกอน คือ เบื้องตน, เบื้องแรก, วันแรก (นปุ.) วิ. ปุพฺพํ อชติ คจฺฉตีติอคฺคํ ปุพฺพํ(ส่งิใดยอมถึง คือไปถึง กอน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคฺค ไดแก เบื้องตน), [อช ธาตุคมเน ในความไปความถงึ+ อ ปจจัย];


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๗ ๑๐. ผูถึงความเปนผูประเสริฐ (ปุ.) วิ. อชติ อชฺชติ คจฺฉติ เสภาวนฺติ อคฺโค เสโ (ผูใด ยอมไปถึง คือบรรลุถึงความเปนผูประเสริฐ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺค ไดแก ผูประเสริฐ), [อช ธาตุคมเน ในความไป + อ ปจจัย, แปลง ช เปน ค, ซอน ค], แตในโมคคัลลานะ วา ลง คกฺ ปจจัย ดวยสูตร โมคฺ.๗/๓๒ วา อชวชมุทคทคมา คกฺ]; ๑๑. ที่เปนที่ไป, โรง, ศาลา, อารมณ (นปุ.) วิ. อชติ คจฺฉติ ปวตฺตติ เอตฺถาติ อคฺคํ (บุคคล เที่ยวเปนไปในที่นั่น เหตุนั้นที่นั่นชื่อวา อคฺค), สำหรับตัวอยางวา อคฺคํ เสํ อุตฺตมํ นี้ อคฺค ศัพทเปน ๓ ลิงค, [อช ธาตุ คติยํ ในความไป + คกฺ ปจจัย]; ๑๒. ผูถึงความเปนอารมณ (ปุ.นปุ.) วิ. อชติ อารมฺมณภาวํ คจฺฉตีติ อคฺโค (สภาวะไปคือถึงความเปนอารมณ เหตุนั้น สภาวะนั้น ชื่อวา อคฺค) เปน อคฺคํ (นปุ.) บาง, [อช ธาตุ คมเน ในความไป + ค ปจจัย]; ๑๓ ที่สุด, ยอดปลาย (ปุ.) วิ. อชติ โกฏิภาเวน คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อคฺโค (ผูใดไป คือดำเนินไป โดยความเปนยอด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺค), [อช ธาตุ คติยํ ในความไป + ณ ปจจัย เปนกัตตุ สาธนะ); ๑๔ เบื้องตน (ปุ.) วิ. อาทิภาเวน อชติ คจฺฉตีติ อคฺโค (สภาพใดไปถึง โดยความเปน เบื้องตน เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อวา อคฺค), [อช ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัยเปนกัตตุสาธ นะ, แปลง ช เปน ค]; ๑๕. ผูบรรลุพระนิพพาน (ปุ.) วิ. นิพฺพานํ อชติ คจฺฉตีติ อคฺโค (ผูใดถึงคือ บรรลุพระนิพพาน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺค), [อช ธาตุ คติยํ ในความไป + ณ ปจจัยเปนกัตตุ สาธนะ]; บางมติวา อคฺค ศัพทมีที่ใชในอรรถวา อาทิ-โกาส-โกฏิ-อารมฺมณ-าน-คณนปฏิปาฏิ-สาลา-การณ-ปุรตตฺเถสุ (เบื้องตน สวน ยอด อารมณ ที่ จำนวน นิบาต ศาลา เหตุ ขางหนา) เปนนปุงสกลิงค สวนที่ใชในอรรถวา ประเสริฐ (วรตฺถ) เปน ๓ ลิงค, สวนในคัมภีร กัจจายนัตถทีปนี วา อคฺคสทฺโท อุตฺตมตฺถวาจี รุฬฺหี อนิปฺผนฺนปาฏิปทิโก (อคฺค ศัพท มี ความหมายวา สูงสุด เปนรุฬหีศัพท เปน อนิปผันนปาฏิปทิกะ (คือ นามศัพทที่ไมสำเร็จ ดวยความเปนสมาส ตัทธิต หรือกิตก จึงตั้ง วิเคราะหไมได) (ดู กังขาวิตรณี เลม ๒, พระคันธสาราภิวงศ, หนา ๕๘) อคฺคช (ปุ.) บุคคลผูเกิดกอน, ลูกคนหัวป, ลูก คนแรก, พี่ชาย วิ. อคฺเค ปุเร กาเล ชายตีติ อคฺคโช เชโ (ผูใดเกิดกอน คือในกาลกอน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺคช ไดแก ลูกชายผูเจริญ ที่สุด), [อคฺค + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + กฺวิ ปจจัย, ลบ น] อคฺคช ศัพท บางแหงใชเปน นามบัญญัติ (คือเปนชื่อเฉพาะ) เชน อรรถกถา อปทาน ๒/๓๑๕ วา อคฺคชํ ปุปฺผมาทายาติ อคฺคชนามกํ ปุปฺผํ คเหตฺวา (ขอวา อคฺคชํ ปุปฺผมาทาย คือถือเอาดอกอัคคชะคือดอก คันทรง) อคฺคฺ (ติ.) ๑. บุคลพึงรูกันวาเลิศ วิ. อคฺคํ อิติ ชานิตพฺพนฺติ อคฺคฺํ (ทานอันบุคคลพึงรู วาเลิศ), อคฺคาติ ชานิตพฺพา สพฺพวํเสหิ เส- ภาวโตติ วา อคฺคฺา (บุคคลเขาพึงทราบวา เลิศ เพราะความเปนผูประเสริฐกวาวงศ ทั้งปวง), [อคฺค + า ธาตุ าเณ ในความรู + อ ปจจัย, เท๎วภาวะ ]; ๒. อันเขาพึงกำหนด วาเลิศ (ติ.) วิ. อคฺคนฺติ ปมานิตพฺพนฺติ วา อคฺคฺํ (สิ่งใดอันเขาพึงกำหนดวาเลิศ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคฺคฺ) เชน ที.อ.๑/๔๕๕ วา มหาทานํ อคฺคฺํ รตฺตฺํ วํสฺนฺติ,


๑๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา [อคฺค + มา ธาตุ มาเน ในความนับถือ + อ ปจจัย, แปลง ม เปน ]; ๓. ผูรูวาเลิศ (ปุ.) วิ. อคฺคํ ชานาตีติ อคฺคฺโ (ผูใดยอมรูวาเลิศ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺคฺ), [อคฺค + า ธาตุ อวคมเน ในความรู + อ ปจจัย], แตใน อรรถ กถาปาฏิกวรรค วา คำวา อคฺคฺํ หมายถึง โลกบัญญัติสวนในฎีกาปาฏิกวรรคนนั้อธิบายวา อคฺคนฺติ ายตีติ อคฺคฺํ (ชื่อวา อคฺคฺ เพราะอรรถวา อันเขารูกันวาเปนพระสูตรอัน เลิศ) อีกประการหนึ่ง พึงทราบคำอธิบายวา ชื่อวา อัคคัญญสูตร เปนพระสูตรที่เปนไป เพราะอำนาจการแสดงเทียบเคียงโลกิยธรรมใน กาลกอน อคฺคโต (อัพ.) ขางหนา, ตอหนา, ในที่มีหนา พรอม (สมฺมุขตฺเถ), ศัพทวา เอกโต (ในที่ เดียวกัน), ปุรโต (ในที่ตอหนา), อคฺคโต (ในที่มี หนาพรอม) เปนตน เปนนิบาตลง โต ปจจัย ใชในอรรถปญจมีและสัตตมีวิภัตติ. อคฺคล (ปุ.) ดาล, กลอนประตู, ลิ่ม, สลัก, กลผาปะ, ผาดาม วิ. อคฺคติ กุฏิลํ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อคฺคโฬ อคฺคลํ อคฺคฬํ ปลิโฆ ทฺวารกวาฏํ จ (สิ่งใดยอมคด คือยอมเปนไปคด เหตุนั้นสิ่งนั้นชื่อวา อคฺคฬ ไดรูปเปน อคฺคล บาง, หมายถึง ปลิฆ กลอน และ ทฺวารกวาฏ บานประตู บาง, [อคฺค ธาตุ คติโกฏิลฺเล ในความ ไปคด + ลง อล ปจจัย กจฺ.๖๖๕ รูป.๖๗๕ วา ปฏาทีหฺยลํ] วิ. ๒. ผาดาม, ผาปะ, ผาที่ควร ประกอบในที่สุด (นปุ.) วิ. อคฺเค อลนฺติ อคฺคลํ (ผาที่ประกอบในที่สุด ชื่อวา อคฺคล), [อคฺค + อล]. ใน สีลกฺขนฺธวคฺคอภินวฏีกา ๒/๑๒๑ วา อุทฺธริตฺวา อลฺลียาปนขณฺฑํ อคฺคฬํ (ผาดาม คือ ทอนผาที่ยกขึ้นดามติดไว) หมายความวา นำผา เกาที่ผุออกแลวดามใชผาปะติดไว อคฺคสาวก (ปุ.) ๑. พระอัครสาวก, ผูฟงธรรม อันเลิศ วิ. อคฺคํ ธมฺมํ สุณาตีติ อคฺคสาวโก (ผูใด ยอมฟงซึ่งธรรมอันเลิศ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อัครสาวก), [อคฺค + สุ ธาตุ สวเน ในความฟง + อาเทศ อุ เปน อาว + ณฺวุ ปจจัย รูป. ๕๗๐ วา อนกา ยุณวฺ ูน], บทนี้เปนสมาสมีกิตกเปนภายใน ํ ๒. สาวกผูเลิศ (ปุ.) วิ. อถ วา อคฺโค จ โส สาวโก จาติ อคฺคสาวโกติ วิคฺคโห กาตพฺโพ (อีกนัยหนึ่ง พึงทำการวิเคราะหวา พระสาวกนั้นดวย ผูเลิศดวย เหตุนั้นจึงชื่อวา อัครสาวก), นัย เดียวกันเชน อคฺคทกฺขิเณยฺโย เปนตน, อถ วา ทกฺขิเณยฺยานํ อคฺโค อคฺคทกฺขิเณยฺโยติ วิคฺคโห กาตพฺโพ. อยํ อุตฺตรปทสฺส ปุพฺพนิปาตภาเวน วุตฺโต ทุราชานมคฺโค นาม ฉีตปฺปุริโสติ เวทิตพฺโพ (อีกนัยหนึ่ง พึงทำวิเคราะหวา ผูเลิศ กวาพระทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย ชื่อวา อคฺคทกฺขิ- เณยฺย, นัยนี้พึงทราบวา เปนสมาสชื่อ ทุราชานมัคคฉัฏฐีตัปปุริสสมาส เปนสมาสที่มีทางรู ไดยาก เพราะทานกลาวไวโดยความที่บทหลัง วางไวขางหนาสลบักัน) อคฺคฬตฺถมฺภ (ปุ.) เสาสำหรับใสลิ่ม วิ. อคฺคฬํ นาม กวาฏโก, ตสฺส ถมฺโภ อคฺคฬตฺถมฺโภ, กปสีโส, กวาฏตฺถมฺโภติ อตฺโถ (ลิ่มสลักประตู ชื่อวา อคฺคฬ, เสาแหงลิ่มสลักประตูนั้น ชื่อวา อคฺคฬตฺถมฺภ, ไดแก ลิ่มไม หมายถึง ดาลประตู) อคฺคิ(ปุ.) ไฟ ๑. วิ. อคฺคติ กุฏิลํ คจฺฉตีติ อคฺคิ อคฺคินิ (สิ่งใดไปไมตรง คือไปคด เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อคฺคิ-ไฟ), [อคฺค ธาตุ กุฏิลคมเน ในความ เปนไปคด + ลง อิ ปจจัย รูป.๖๗๘ วา มุนาทีหิ จิ], ไดรูปวา อคฺคินิ บาง คือเมื่อลง สิ วิภัตติ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๙ หลัง อคฺคิ แลว แปลงที่สุดแหง อคฺคิ เปน อินิ รูป.๑๔๕ วา อคฺคิสฺสินิ; ๒. วิ. กุฏิลภาเวน อคติ คจฺฉตีติ อคฺคิ (สิ่งใดลุกวับไหว คือไปโดยความ ไมตรง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคฺคิ), [อค ธาตุ กุฏิลมฺหิ ในความคด + อิ ปจจัย, ซอน คฺ]; ๓. วิ. อชติ ชลมาโน กุฏิลํ คจฺฉตีติ อคฺคิ (สิ่งใด ไปคด คือลุกโชนขึ้นมีเปลวไปคด เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อคฺคิ), [อช ธาตุ คติโกฏิลฺเล ในความไป คด + อิ ปจจัย, แปลง ช เปน ค, ซอน ค]; ๔. อคติ กุฏิโล หุตฺวา คจฺฉตีติ อคฺคิ ปาวโก (สิ่งใดไปคด คือเปนสภาพคดลุกโชนขึ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคฺคิ ไดแก ไฟ), [อค ธาตุ กุฏิลคมเน ในความไปคด + ลง คิ ปจจัย ดวย สูตรโมคคัลลานะ โมคฺ. ๗/๓๔ วา อคา คิ] บางแหงทานกลาววา อคฺคิ ไฟ หมายถึง อุตุ (ฤดู) เชน รโว จิตฺตคฺคิโช ศัพทนี้เปน อิการันต ในปุงลิงค, บทเหลานี้เปนชื่อของ อคฺคิ (ไฟ) นั้น ไดแก ชาตเวโท, สิขี, โชติ, ปาวโก, ทหโน, อนโล, หุตาวโห, อจฺจิมา, ธูมเกตุ, คินิ, เตโช เปนตน, แตในพระบาลีปรากฏบทที่เปนไวพจน ของ อคฺคิ ๓ บทไดแก อคฺคิ คินิ อคฺคินี, ใน ๓ บทนี้ อคฺคินิ (อคฺคิ + สิ แปลง สิ เปน นิ บาง) โมคฺ.๒/๑๔๗ วา สิสฺสคฺคิโต นิ, ในเพราะ พยัญชนะ ลบ สระหนา สำเร็จรูปเปน คินิ โมคฺ.๑/๔๗, นิรุตฺติ.๓๓ วา ตทมินาทีนิ, แตใน สันสกฤตมีรูปวา อคฺนิ อคฺคิชาลา (อิตฺ.) ๑. เปลวไฟ วิ. อคฺคิโน ชาลา อคฺคิชาลา อจฺจิ (เปลวแหงไฟ ชื่อวา อคฺคิชาลา ไดแก เปลวไฟ); ๒. บัวชนิดหนึ่ง แปลกันวา บัว สัตตบุษย คลายสัตตบงกชแตดอกสีขาว. ผักปลาบ, ผักเปลว, ผักแผว ก็วา, วิ. อคฺคิชาลสมานปุปฺผตาย อคฺคิชาลา ธาตกี (บัวชื่อวา อคฺคิชาลา เพราะมีดอกคลายเปลวไฟ), [อคฺคิ + ชาลา]. บันทึก : ฉลาด บุญลอย และคณะ วา พืชชนิดหนึ่งดอกสีแดงใชปรุงน้ำเมาหรือเปนยา ธาตุ มติของนาคะประทีปวา “สัตตบุด หรือผัก ปลาบ” อคฺคิมนฺถ (ปุ.) คันทรง, มะไฟ, คนทีสอ, ภังคี, เจตภังคี วิ. อคฺคิ มนฺถียเต อเนนาติ อคฺคิมนฺโถ กณิกา, กเหิ ฆํสิยมาโน อคฺคิ อุหตีติ อตฺโถ (ไฟถูกเสียดสีใหลุกขึ้นดวยไมนั่น เหตุนั้น ไมนั้น ชื่อวา อคฺคิมนฺถ ไดแก คนทีสอ หมายความวา เขาใชไมสีกันทำไฟลุกขึ้น), [อคฺคิ + มนฺถ ธาตุ มนฺถเน เปนไปในความกวน + ณ ปจจัย] อคฺคิยาคาร (นปุ.) เรือนไฟ, โรงไฟ วิ. อคฺคิโน อคารํ อคฺคิยาคารํ, อคฺยาคารํ วา, อคฺคิสาลา (เรือนแหงไฟ ชื่อวา เรือนไฟ สำเร็จรูปเปน อคฺคิยาคารํ, อคฺยาคารํ ไดแก โรงไฟ), คำวา อคฺคิยาคารํ อาเทศ อิ เปน อิย รูป. ๓๐ วา ฌลานมิยุวา สเร วา, คำวา อคฺยาคารํ พยัญชนะ ซอนกัน ๓ ตัว ลบพยัญชนะที่มีรูปเสมอกัน อคฺคิเวสฺสน (ปุ.) ผูนับถือไฟ, ชื่อนิครนถนาฏ บุตร สัจจปริพาชก ทีฆนขปริพาชก และ สามเณรอจิรวต วิ. อคฺคึ วิเสเสน สนติ สมฺภชตีติ อคฺคิเวสฺสโน (ผูใดนับถือไฟ โดยพิเศษ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อคฺคิเวสฺสน); [อคฺคิ + วิ + สน ธาตุ สมฺภตฺติยํ ในความสมคบ + ณ ปจจัย, แปลง อิ ที่ วิ เปน เอ, ซอน ส], บันทึก : มงฺคลตฺถทีปนี ๒/๓๑๑ วา อคฺคิเวสฺสโนติป ตสฺเสว นามํ (แมคำ วาอัคคิเวสสนะ ก็เปนชื่อของนิครนถนั้น เหมือนกัน), อคฺคิเวสฺสายน (ปุ.) เหลากอแหงอัคคิเวสสะ วิ. อคฺคิเวสฺสสฺส อปจฺจํ อคฺคิเวสฺสายโน (เหลา กอแหงอัคคิเวสสะ ชื่อวา อคฺคิเวสฺสายน), [อคฺคิ-


๒๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เวสฺส + ณายน แทน อปจฺจ ศัพท], ปาฐะวา อคฺคิเวสฺสาโน ก็มี ลง ณาน ปจจัย. ใน สทฺทนีติ สุตฺตมาลา อธิบายสูตร ๕๘๘ วา บัณฑิตประสงค อุทาหรณวา อคฺคิเวสฺสน จากตัวอยางที่ปรากฏ ในพระบาลีวา อปสฺสุ มํ อคฺคิเวสฺสน ติสฺโส อุปมา ปฏิภํสุ. ฉบับแปล หนา ๔๘๓ วา ดูกอน อัคคิเวสสนะ อุปมา ๓ ขอ ปรากฏแจมแจงแลว นั่นเทียวแกญาณของเรา อคฺคิสฺิต (ปุ.) ตนเจตมูลเพลิง วิ. อคฺคิอิติ สฺายเตติ อคฺคิสฺิโต จิตฺตโก อคฺคิปริยายนามโก (ตนไมใดอันเขากำหนดวา เพลิง เหตุนั้น ตนไมนั้น จึงชื่อวา อคฺคิสฺต ไดแก ตน เจตมูลเพลิง), จิตฺตก กับ อคฺคิสฺต เปนคำ ไวพจนกัน, [อคฺคิ + สฺต] อคฺฆ (ปุ.) ตนทุน, มูลคา, คา, ราคา วิ. อคฺฆตีติ อคฺโฆ (ส่งิใดมีมูลคา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อคฺฆ); [อคฺฆ ธาตุ อคฺฆเน มูเลฺย วา ในการตีราคา หรือ มูลคา + อ ปจจัย], สวน อ ศัพท ในคำวา อนคฺฆา (ประมาณคาไมได) มีความหมายวา มาก (มหาตฺถวาจโก); ๒. การบูชา, ของบูชา (นปุ.) วิ. อคฺฆนํ ปูชนํ อคฺฆํ (การตอนรับ คือการ บูชา ชื่อวา อคฺฆ), [อคฺฆ ธาตุ ปูชายํ ในความ บูชา + อ ปจจัย, สำเร็จรูปเปน อคฺฆนํ อคฺฆนกํ บาง ลง ยุ ปจจัย]. อคฺค ศัพทมีความหมายวา ทรัพย, มูลคา (มูลธน) และ ปูชา (ปูชน); เปน ปุงลิงคและนปุงสกลิงค, อคฺฆสโมธาโนติ เอตฺถ ปน มูลปริจฺเฉโทติ ตสฺส อตฺโถ ทพฺโพ (สวนใน ขอควา อคฺฆสโมธาน พึงทราบวา อคฺฆ นั้นมี ความหมายวา การกำหนดมูลคา), มหาวคฺคอกถา วุตฺตํ อคฺฆนฺติ อติถิโน อุปนาเมตพฺพํ วุจฺจตีติ (ในอรรถกถามหาวรรค กลาวไววา ทาน เรียก สิ่งของที่เขานอมเขาไปเพื่อแขก วา อคฺฆ) มหาวคฺคฏีกายํ วุตฺตํ อคฺฆนฺติ ครุานิยานํ ทาตพฺพํ อาหารนฺติ (สวนในฎีกามหาวรรคอธิบาย วา คำวา อคฺฆ ไดแก ของควรใหที่พวกเขานอม นำไปเพื่อชนทั้งหลายผูดำรงอยูในฐานะที่เคารพ นับถือ), ปาฐะวา อคฺฆิ ก็มี, แปลวา การตอนรับ, ของตอนรับแขก, ของชำรวย ก็ได อคฺฆิย (นปุ.) ๑. การตอนรับ, การบูชา, ของ ตอนรับแขก วิ. อคฺฆนํ ปูชนํ อคฺฆิยํ, อคฺฆยมฺป (การตอนรับ คือการบูชา ชื่อวา อคฺฆิย บาง อคฺฆยํ บาง), [อคฺฆ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + ณฺย ปจจัย, หรือลง อิย ปจจัยในความหมายวามี สิ่งนั้น ตอทาย อคฺฆ ศัพท], ปาฐะวา อคฺฆนกํ อคฺฆิกํ ก็มี, ๒. สถานที่ควรบูชา, เจติยสถาน (นปุ.) อีกนัยหนึ่ง พึงทราบวา คำวา อคฺฆิย หมายถึง เจติยสถาน คือสถานที่ควรบูชา อคฺฆิยํ นาม เจติยสณฺานํ ดังที่ทานวา อคฺฆิยตฺถมฺโภ (เสาอันควรบูชา) ในวิมติวิโนทนี ปรากฏคำวา ปุปฺผอคฺฆิยานีติ กูฏาคารสทิสานิ ปุปฺผเจติยานีติ. (คำวา ปุปฺผอคฺฆิยานิ ความวา เจดียดอกไม เชน กับเรือนยอด) อคฺยาหิต (ปุ.) ผูบูชาไฟ วิ. อาหิโต อคฺคิ เยน โส อคฺยาหิโต, อาหิตคฺคิ วา (ไฟอันพราหมณใด บูชาแลว เหตุนั้น พราหมณนั้นชื่อวา อคฺยาหิต หรือ อาหิตคฺคิ), แปลง อิ เปน ย, ลบพยัญชนะ สังโยคตัวตน, จัดเปน ทุราชานมคฺโค พหุพฺพีหิ สมาส เพราะอำนาจการสลับตำแหนงวิเสสนะ อคาธ (ติ.) ลึก, หยั่งไมได, หยั่งไมถึง, ที่ยืนไมได วิ. น คาธติ ปติฺาติ เอตฺถาติ อคาธํ คมฺภีโร (บุคคลหยั่ง คือยืนในที่นั้นไมได เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อคาธ-ที่ยืนไมได หมายถึง ลึก), ศัพทนี้เปนคุณนามได ๓ ลิงค, [น + คาธ ธาตุ ปติฺายํ ในความยืน + อ ปจจัย]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๑ อคาร (ปุ.นปุ.) เรือน คือ ที่ไป วิ. อคนฺติ คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ อคารํ (เจาของเรือนยอมไปในที่นั่น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อคาร), [อค ธาตุ กุฏิลคมเน ในความไปคด + ลง อาร ปจจัย ดวยสูตรแหง โมคคัลลานะ โมคฺ.๗/๑๖๔ วา สิงฺคฺยงฺคาค มชฺชกลาลา อาโร]; ๒. เรือน คือ สิ่งยึดเสา เปนตนไว วิ. น คจฺฉนฺตีติ อคา ถมฺภาทโย. เต อเค ราติ คณฺหาตีติ อคารํ (เครื่องเรือนเหลาใด ยอมไมเคลื่อนที่ไป เหตุนั้น เครื่องเรือนเหลานั้น ชื่อวา อคา ไดแก เครื่องเรือนมีเสาเปนตน, สิ่งใดยอมยึดคือจับ อค คือเครื่องเรือนมีเสาเปน ตนนั้นไวเหตุนั้น ส่งินั้นชื่อวา อคาร-เรือน), [อค + รา ธาตุ คหเณ ในความจับ + อ ปจจัย], ปาฐะ วาวา อาคารํ ทีฆะ อ เปน อา ก็มี, อคาร ศัพท เปน ๒ ลิงค คือ ปุงลิงคและนปุงสกลิงค เปนไวพจนของ เคห, นิเวสน, สาลา อคาริก (ปุ.) ผูครองเรือน, คฤหัสถ, ชาวบาน, ผูอยูในเรือน วิ. อคาเร เคเห วสตีติ อคาริโก อาคาริโก (บุคคลใดอยูในเรือน คือเคหสถาน เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อคาริก หรือ อาคาริก), [ณิก ปจจัย แทน วสติ], ๒. ผูประกอบในเรือน วิ. อคาเร นิยุตฺโต อคาริโก, คหโ (ผูประกอบ ในเรือน ชื่อวา อคาริก ไดแก คฤหัสถ), [ณิก ปจจัย แทน นิยุตฺต], ตรงขามกับ อนคาริโก (ผู ไมไดครองเรือน ไดแก บรรพชิต) ปาฐะวา อคาริโย (ปุ.) อคาริยํ (นปุ.) ก็มีลง ณิย ปจจัย, หรือ แปลง ก เปน ย, รูปสำเร็จศัพทตัทธิต หลากหลายวิจิตร เพราะปจจัยมีเนื้อความ มากมาย, ดูศัพทวา อนคาริย ตอไป อฆ (นปุ.) ๑. ทองฟา, อากาศ, กลางหาว วิ. น หฺเตติ อฆํ คคนํ อากาโส จ (สิ่งใดไมถูก เบียดเบียน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฆ ไดแก ทองฟา และอากาศ), [น + หน ธาตุ หึสายํ ใน ความเบียดเบียน + อ หรือ ร ปจจัย], อีกนัย หนึ่ง แปลง หน เปน ฆ]; ๒. ที่ไมถูกเบียด, ที่ไม คับแคบ (อิตฺ) วิ. รุกฺขคจฺฉาทินา เกนจิ น หฺตีติ อฆา อพาธา, อสมฺพาธาติ อตฺโถ, (สิ่งใดอันอะไรๆ มีตนไม พุมไมเปนตนไมเบียด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ อฆา ไดแก ไมเบียดกัน หมายความวา ไมคับแคบ), [น + หน ธาตุ + อ ปจจัย]; ๓. ที่ไมกระทบกับอะไร (นปุ.) วิ. เกนจิ น ฆเฏตีติ อฆํ อนฺตลิกฺขํ (ที่ใดยอมไมกระทบ กับอะไรๆ เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อฆ ไดแก กลาง หาว), [น + ฆฏ ธาตุ สงฺฆาเต ฆฏเน วา ในความ กระทบ หรือในความเสียดสี + กฺวิ ปจจัย, ลบ ฏ]; ๔. ทุจริต คือ กรรมที่คนดีไมพึงถึง วิ. สาธูหิ น หนฺตพฺพนฺติ อฆํ ทุจฺจริตํ (กรรมใด อันสาธุชนทั้งหลายไมควรถึง เหตุนั้น กรรมนั้น ชื่อวา อฆ ไดแก ทุจริต), [น + หน ธาตุ คติยํ ใน ความไปความถึง + อ ปจจัย, แปลง หน เปน ฆ]; ๕. ทุกข และ กิเลส คือ สิ่งเปนเหตุใหสัตว ทำบาป (ปุ.นปุ.) วิ. อฆยนฺติ ปาป กโรนฺติ สตฺตา เอเตนาติ อฆํ ทุกฺขํ กิเลโส จ, อโฆ วา (สัตว ทั้งหลายสรางบาป คือทำบาปดวยธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อฆ ไดแก ทุกข และกิเลส), [อฆ ธาตุ ปาปกรเณ ในความกระทำ บาป + อ ปจจัย]. ๖. ทุกข (นปุ.) วิ. อฆยติ ทุกฺขยตีติ อฆํ. อฆยติ ทุกฺขากาเรน ปวตฺตตีติ อฆํ ทุกฺขํ (สิ่งใดใหทำบาป ใหกอทุกข เหตุนั้น ชื่อวา อฆ. สิ่งใดยอมใหทำบาป หรือเปนไปโดย อาการเปนทุกข เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฆ ไดแก ทุกข, [อฆ ธาตุ ปาปกรเณ ในการทำบาป + อ ปจจัย]; ๗. ทุกข คือ ภาวะที่ทำลายสิ่งที่ ปรารถนา (นปุ.) วิ. อิจฺฉิตํ หนตีติ อฆํ ทุกฺขํ


๒๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (ภาวะใดทำลายสิ่งที่ปรารถนา เหตุนั้น ภาวะนนั้ ชื่อวา อฆ ไดแก ทุกข), [อิจฺฉิต + หน ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + กฺวิ ปจจัย, ลบ จฺฉิต, แปลง อิ เปน อ, หน เปน ฆ]; ๘. ทุกข, ความ ฉิบหาย, สภาพที่ไมไปสูความสำราญ (นปุ.) วิ. น หนฺติ ธฺมิติ อฆํ ทุกฺขํ พฺยสนฺจ (สภาวะ ใดยอมไมไปสูความสำราญ เหตุนั้น สภาวะนั้น ชื่อวา อฆ คือ ทุกข และความฉิบหาย), [น + หน ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย, แปลง หน เปน ฆ]; ๙. ทุกข, ปาป, ภาวะที่บีบคั้น กดดันอยางแรงกลา วิ. ภุโส หนติ พาธตีติ อฆํ ทุกฺขํ ปาปฺจ (ภาวะใดยอมบีบคั้นกดดันอยาง แรงกลา เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อฆ ไดแก ทุกข และ บาป), [อา + หน ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + กฺวิ ปจจัย + แปลง หน เปน ฆ, รัสสะ อา เปน อ ตามบทสำเร็จที่ปรากฏ] อฆาวี (ปุ.) คนเปนทุกข, คนบาป วิ. อฆํ ทุกฺขํ ปาป วา คจฺฉตีติ อฆาวี (ผูใดยอมถึงซึ่ง อฆ คือ ถึงซึ่งทุกข หรือบาป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อฆาวี), [อฆ + อาวี ปจจัย ดวยสูตรแหงนิรุตติทีปนี นิรุตฺติ.๕๕๒ วา ทิสฺสนฺตฺเป ปจฺจยา], ในฎีกา มหาวรรค วา อฆํ ทุกฺขํ อาเวนฺติ ปกาเสนฺตีติ อฆาวิโน, ปากฏีภูตทุกฺขาติ. (ชนเหลาใดเผย ทุกข หรือทำทุกขใหปรากฏตัวชัดแจง เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา อฆาวี-ผูมีทุกขไดแกผมูีทุกข ปรากฏ) องฺก (ปุ.) ๑. เครื่องหมาย, ลักษณะที่ใชกำหนด, เลขบอกจำนวน, เลขบอกหนา วิ. อํกิยเต ลกฺขิยเต อเนนาติ องฺโก ลฺฉนํ ลกฺขณํ, จิหนนตฺิ อตฺโถ (หนาหนังสือเปนตน อันบุคคลยอม กำหนดหมายดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา องฺก ไดแก เครื่องหมาย ลักษณะที่ใชกำหนด หมายความวา รอยที่กำหนดหมาย), [อํก ธาตุ ลกฺขเณ ในความกำหนด + อ ปจจัย, แปลง นิคหิตเปน งฺ]; ๒. ชายพก, ตัก, สะเอว, แขน, หัวไหล วิ. องฺกียเต คจฺฉียเตติ องฺโก, อุจฺฉงฺคํ พาหุ อํสกูโฏ วา (สิ่งใดอันเขาไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา องฺก ไดแก ชายพก, ตัก, สะเอว, แขน หรือ หัวไหล), [องฺค ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย] องฺค ธาตุ ใชในความหมายวา รู ก็ได เชน วิ. สมุทิตานํ ฌานธมฺมานํ อวยวภาเวน องฺคิยนฺตีติ องฺคานิ, อวยวานิ, องฺค วิชานเนติ ธาตุ (ธรรมมีวิตกเปนตน เหลาใด อันบัณฑิต ยอมรูโดยความเปนสวนประกอบแหงฌานธรรม ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแลว เหตุนั้น ธรรมเหลานั้นจึง ชื่อวา องฺคานิ ไดแก สวนประกอบ, องฺค ธาตุ ใน อรรถวารู) นัย.อภิธัมมัตถวิภาวินี วิ. องฺกียเต ลกฺขียเตติองฺโก องฺกนํ อุจฺฉงฺโค จ [สิ่งใดอันเขา กำหนดหมาย เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา องฺก ไดแก เครื่องหมาย และสะเอว], [องฺก หรือ อกิ ธาตุ ลกฺขเณ ในความกำหนด + อ ปจจัย], ทั้ง ๒ นัย นี้เปน ปุงลิงคและนปุงสกลิงคในคัมภรีอมรโกส วา อุจฺฉงฺคจิหเนสฺวงฺโก (องฺก หมายถึง ตัก และ เครื่องหมาย) สวนในอภิธานปฺปทีปกาฏีกา อธิบายสูตร ๑๐๘๙ วา อปราเธ นาฏกปริจฺเฉเทป องฺโกติ (องฺก ใชในความหมายวา ความผิด, นักฟอน, การกำหนด); บางอาจารย แปล องฺก วา ตัก, พก, เอว, บั้นเอว, สะเอว, ขาง, สีขาง ก็มี องฺกน (นปุ.) การนั่ง, ที่นั่ง, ตัก, การกำหนด, หมาย, เครื่องหมาย, การทำเครื่องหมาย, การ ประทับตรา วิ. องฺกิยเตติ องฺกนํ อาสนํ, องฺโกติ อตฺโถ (อันเขายอมกำหนด เหตุนั้น ชื่อวา องฺกน ไดแก อาสนะ-การนั่ง) หมายถึง องฺโก เชน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๓ คำวา ปลฺลงฺโก (ที่นั่ง), [อกิ ธาตุ ลกฺขเณ ใน ความกำหนด + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน + นิคหิตอาคมเปนตน] องฺกฺย (ปุ.) ชื่อกลองพิเศษชนิดหนึ่ง, ตะโพน, กลอง, โทนเล็ก, กลองสองหนา, กลองอังกยะ วิ. องฺเก อุจฺฉงฺเค ภโว สาธุ วา องฺโกฺย มุทิงฺโค (กลองที่มี หรือเหมาะจะวางที่หนาตัก หรือเอว ชื่อวา กลองอังกยะ ไดแก มุทิงค-ตะโพน), [องฺก + ณฺย ปจจัย] องฺกิต (ปุ.) เครื่องหมาย, อันเขากำหนดแลว วิ. องฺกียิตฺถ สลฺลกฺขียิตฺถาติ องฺกิโต ลกฺขิโต (สิ่ง ใดอันเขากำหนดหมายแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา องฺกิต-อันเขากำหนดแลว) เชน จกฺเกนงฺกิตปาท ในมหาวงศ๒/๑๒๕ วา จกฺเกนงฺกิตปาเทหิ (พระบาทอันเขากำหนดแลวดวยจักร), [อกิ ธาตุ ลกฺขเณ ในความกำหนด + ต ปจจัย + อิ อาคม + นิคหิตอาคม แปลงเปน งฺ ที่สุดวรรค] องฺกุร (ปุ.) ๑. หนอเนื้อ, เชื้อสาย, ผูอันเขา กำหนด วิ. องฺกียติ ลกฺขียตีติ องฺกุโร พีชปสโว (สิ่งใด/ผูใดอันเขากำหนดหมายไว เหตุนั้น สิ่งนั้น/ผูนั้น ชื่อวา องฺกุร), เชน พุทฺธพีชํ-เชื้อ สายของพระพุทธเจา เรียกวา พุทฺธงฺกุโรติ, [อํก/ องฺก/อกิ ธาตุ ลกฺขเณ ในความกำหนด + ลง อุร ปจจัย ดวยสูตรแหงโมคคัลลานะ โมคฺ.๗/๑๔๗ วา มนฺทงฺกสสาสมถจตา อุโร, แปลง นิคหิตเปน ง]; ๒. หนอไม, ตนกลา, ตนออน, ตนไมอันเขา กำหนดวาเกิดใหมๆ (ปุ.นปุ.) วิ. องฺกียติ รุกฺโข นวํ อุคฺคโตติ ลกฺขียติ เอเตหีติ องฺกุรา นวุพฺภินฺนา (ตนไมอันเขาหมายไว คือกำหนดวา งอกขึ้นใหม ดวยสิ่งทั้งหลายเหลานั้น เหตุนั้น สิ่งน้ันจึงช่ือวา องฺกุร-ตนออนงอกขึ้นใหมๆ) เชน ปตสิงฺคิ- เวราทีนํ องฺกุรา (หนอขิงที่เก็บไวเปนตน), [องฺก ธาตุ ลกฺขเณ ในความกำหนด + อุร ปจจัย]. องฺกุร เปน ปุงลิงคและนปุงสกลิงคใชใน ความหมายวา กีร-หนอไม, วํส-วงศ, องฺกุรเชื้อสาย, สวนที่เปนนามบัญญัติคือชื่อเฉพาะ เปนปุงลิงค ปาฐะวา องฺคุโร ก็มี องฺกุส (ปุ.นปุ.อิต.) ๑. ขอสับชาง, ขอ, ไมขอ สอยผลไม, อุปกรณสำหรับเกี่ยวหรือสับ วิ. อฺเ องฺกติ อเนนาติ องฺกุโส คชปโตโท, องฺกุสํ วา (ควาญชางกำหนดชางอื่นดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั่นชื่อวา องฺกุส ไดแก ขอของควาญชาง), เปน องฺกุสํ (นปุ.) บาง เชน ภทฺทปํ องฺกุสํ โตมโร, [อํก ธาตุ ลกฺขเณ ในการกำหนด + ลง สกฺ ปจจัย ดวยสูตรโมคคัลลานะ โมคฺ.๗/๒๑๕ วา ผสฺสาทโย, แปลง อ ที่ ก เปน อุ], พึงทราบ วาศัพทนี้ เปน อิตถีลิงค ก็มี เพราะมีตัวอยางวา ทณฺเฑเนเก ทมยนฺติ องฺกุสาหิ กสาหิ จ (พวก หนึ่งยอมสับชางและมา ดวยใชทอนไมบาง ใช ขอบาง ใชแสบาง) แตในปจจุบันนี้ ในคัมภีร ทั้งหลาย โดยมากปรากฏวา องฺกุเสหิ องฺกุเสภิ ๒. ขอ, ขอเหล็กใชแทง (ปุ). วิ. มุขฺยโต องฺเก วิชฺฌนาเน อุทฺธโฏ อสติ อนฺโต ปวิสตีติ องฺกุโส (สิ่งใดเขายกขึ้นแทงไปขางหนาเขาไปที่ เปาหมายคือที่เหมาะสำหรับแทง คืออุปกรณที่ แทงเขาไปขางใน เหตุนั้น อุปกรณนั้นชื่อวา องฺกุส), [องฺก + อุ + อส ธาตุ ปวิสเน ในความ เขาไป + อ ปจจัย] องฺกุสก (ปุ.) อังกุสกนัย, อังกุสนัย, นัยเหมือน ขอชาง วิ. องฺกียเต ลกฺขียเต อเนนาติ องฺกุโส (ชางอันเขากำหนดดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา องฺกุส), [องฺก ธาตุ ลกฺขเณ ในความกำหนด +อุส ปจจัย], คชมตฺถกมฺหิ วิชฺฌนกณฺฑโก (องฺกุส หมายถึง ขอแหลมที่ใชแทงหัวชาง)


๒๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา วิ. องฺกุโส วิยาติ องฺกุสโก (นัยใดเหมือนขอชาง เหตุนั้น นัยนั้น ชื่อวา องฺกุสก), [ก ปจจัย สทิสตฺเถ ใชในอรรถวาเหมือน), ปาฐะวา องฺกุโส ก็มีบาง, แตในที่นี้ ผูศึกษาพึงวิเคราะหวา อาโลจิตานํ ธมฺมานํ อตฺถนยตฺตยโยชเน สมานยนโต องฺกุโส วิยาติ องฺกุโส นโย (อังสกนัย คือนัยที่เหมือนขอ เพราะเกี่ยวธรรมที่ สอดสองแลวมารวมกันไวในการประกอบนัยที่ แสดงขอความ) เนตติอรรถกถา, ฉบับแปล หนา ๖๑ องฺโกร (ปุ.) ไมปรู, ชื่อตนไมขนาดกลางถึง ขนาดใหญ, ปลู, มะเกลือกา วิ. อํกิยเต ลกฺขิยเต อเนนาติ องฺโกโร ลิโกจโก (ปาอันเขากำหนด หมายดวยตนไมนั้น เหตุนั้น ตนไมนั้น ชื่อวา องฺโกร ไดแก ตนปรู), [อํก ธาตุ ลกฺขเณ ในความ กำหนด + โอร ปจจัย, แปลง นิคหิตเปน งฺ] หนอ, หนอไม, เชื้อสาย ก็วา องฺโกล (ปุ.) ไมปรู, ชื่อตนไมขนาดกลางถึง ขนาดใหญ, ปลู, มะเกลือกา วิ. อํกิยเต ลกฺขิยเต กีลเกหีติ องฺโกโล ลิโกจโก (ตนไมใดอัน พวกเลนสนุกหมายปอง เหตุนั้น ตนไมน้ันชื่อวา องฺโกล ไดแก ตนปรู) เชน ขุ.อป. ๓๒/๑๙๗/ ๒๙๔ วา องฺโกลํ ปุปฺผิตํ ทิสฺวา (เห็นตนปรู มี ดอกบานสะพรั่ง), [อํก ธาตุ + โอล] องฺค (ปุ.นปุ.) ๑. เหตุ, กาย, อวัยวะ, ความถึง พรอมดวยทรัพย วิ. องฺคิยเต ายเต อเนนาติ องฺคํ เหตุ, องฺโค ธนสมฺปตฺติ (ผลอันเขารูคือ ทราบไดดวยภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา องฺค ไดแก เหตุ, หรือเปน องฺโค ปุ. หมายถึง ความถึงพรอมดวยทรัพย), [องฺค ธาตุ าเณ ใน ความรู + อ ปจจัย]; ๒. เหตุ (นปุ.) วิ. องฺเคติ คเมติ อตฺตโน ผลํ าเปตีติ องฺคํ เหตุ (ภาวะใด ใหทราบผลของตน เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา องฺค ไดแก เหตุ), [องฺค ธาตุ าเณ ในความรู + อ ปจจัย, นัยนี้นับเปนการิต (ใหทราบ); ๓. สวน, อวัยวะ, เครื่องประกอบ, ชั้น, พื้น (นปุ.) วิ. องฺคียติ ายติ ปุถุลภาโว เอเตนาติ องฺคํ ปริกฺเขโป (ความแตกตางกันอันเขากำหนดรูได ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา องฺค ไดแก สวนประกอบ), [องฺค ธาตุ าเณ ในความรู + อ ปจจัย]. ๔. หมู, สิ่งที่รู (นปุ.) สมุทาโย องฺคิยเต ายเต อเนนาติ องฺคํ (หมูชื่อวา องฺค เพราะ เปนเครื่องกำหนดรู), [อคิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ลง อ ปจจัย ดวยสูตร รูป. ๕๖๘ วา สพฺพโต ณฺวุตฺวาวี วา, ลงนิคหิตอาคมตนธาตุ แปลงเปน งฺ], วิ. องฺคียติ อวยวภาเวน ายตีติ องฺคํ, องฺค คมเนติ ทณฺฑกปฺปกรเณ อาคตธาตุ, กมฺมนิ ณปจฺจโย (สิ่งนั้นอันเขากำหนด คือรูไดโดยความ เปนองคประกอบ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา องฺคองค, องฺค ธาตุ มาในคัมภีรทัณฑกปกรณวาใช ในความไป, ณ ปจจัย เปนกัมมสาธนะ) ๕. อวัยวะ (ปุ.นปุ.) อวยวภาเวน องฺคิยตีติ องฺคํ, องฺโค วา, สิ่งใดอันเขากำหนดรู โดยความเปน อวัยวะ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ องฺคํ หรือ องฺโค) เชน องฺโค อวยโว, [องฺค ธาตุ าเณ ในความรู] วิ. หตฺถปาทกณฺณนาสจกฺขาทิสรีราวยวฺจ ชีวิตินฺทฺริยปฏิพทฺธสกลสรีรฺจ องฺคติ คจฺฉติ กาเยติ องฺโค, จกฺขาทิสรีราวยโว (องคประกอบ ของรางกายมีมือ เทา หู จมูก ตา เปนตน และ รางกายทั้งสิ้นที่เนื่องกับชีวิตินทรียใด ยอม เปนไปในกาย องคประกอบนั้นชื่อวา องฺค ไดแก สวนประกอบของรางกายมีตาเปนตน), [อคิ ธาตุ ยํ ในความไป + อ ปจจัย] ๖. รางกาย (นปุ.) วิ. เสภาวํ อชติ คจฺฉตีติ องฺคํ (สิ่งใดไปถึง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๕ ความประเสริฐได เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา องฺค), [อช ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย, แปลง ช เปน ค, ลงนิคหิตเปนตน] ๗. รางกาย วิ. องฺคติ คจฺฉตีติ องฺคํ วปุ (สิ่งใดเดินไปได เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา องฺค ไดแก รางกาย), [องฺค ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย] ๘. เหตุ, มูลเคา, เปนเหตุ (ปุ.นปุ.) วิ. องฺคติ คจฺฉติ ผลนิพฺพานํ เอเตนาติ องฺคํ การณํ (บุคคลบรรลุ ถึงพระนิพพานอันเปนผลดวยสภาวะนั่น เหตุนั้น ชื่อวา องฺค) เชน มคฺคงฺคํ (มูลเคาแหง มรรค), [อคิ ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย], ปาฐะวา องฺโค (ปุ.) ก็มี เชน อริยสาวกสฺส องฺโค การณํ (มูลเคาคือเหตุแหงอริยสาวก) สติ- สมฺโพชฺฌงฺโค (มูลเคาคือเหตุแหงการตรัสรูคือ สติ), องฺค ศัพทเหลานี้ใชในความหมายวา วปุ- กาย, อวยว-อวัยวะ, เหตุ-มูลเคา; ๙. องฺค (นปุ.) คือ ภวังคจิต วิ. องฺคยติ เหตุภาเวน ปวตฺตตีติ องฺคํ ภวงฺคจิตฺตํ (จิตใดไป คือดำเนินไป เพราะ เปนเหตุ เหตุนั้น จิตนั้นชื่อวา องฺค ไดแก ภวังคจิต), [องฺค ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย] ๑๐. องฺค (นปุ.) คือ สรีระ, รางกาย วิ. องฺคมสฺส อตฺถีติ องฺคํ, สรีรํ (องคคือภวังคจิต ของธรรมชาตินั้นมีอยู เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา องฺค ไดแก สรีระ), ลง ณ ปจจัย ดวยสูตร รูป.๔๐๕ วา สทฺธาทิโต ณ] เชน องฺค ศัพทในคำ วา มาตงฺค ในขอวา มาตงฺโค มหนฺโต องฺโค สรีรเมตสฺสาติ กตฺวาติ (ชื่อวา มาตงฺค เพราะ วิเคราะหวา มีตัวใหญ), ในคัมภีรนานัตถสังคหะ (อางถึงในอภิธานัปปทีปกาฎีกา-สูจิ) วา องฺคํ คตฺตนฺติโกปาย- ปติเกสฺวปฺปธานเก องฺคเทสวิเสสมฺหิองฺคา สมฺโพธเนพยฺยํ (องฺคํ นปุงสกลิงค ใชในความหมายวา คตฺต รางกาย, อนฺติก ปลาย, สุด, ใกล, ชิ้นสวน อุปาย เหตุ, ทาง ปติก สำคัญ, ใหญ, ประธาน อปฺปธาน ไมสำคัญ, เล็ก, รอง) องฺคา เปน ปุงลิงค พหุวจนะ หมายถึง แควนอังคะ, องฺค เปนอัพยยศัพทคือนิบาต สมฺโพธเน ใชในการ เรียกใหรูตัว) ๑๑. ชนบทชื่อวาอังคะ (ปุ.) วิ. องฺคนฺติ คจฺฉนฺตีติ องฺคา (ชนบทใดยอมดำเนินไป เหตุนั้น ชนบทนั้นชื่อวา องฺค), [องฺค ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย], องฺค ศัพทที่เปนชื่อ ชนบท มักประกอบดวยพหุวจนะ เชนคำวา องฺเคสุ (ในชนบทชื่ออังคะ), วิ. องฺคา นาม ชานปทิโน ราชกุมารา, เตสนฺนิวาโส เอโกป ชนปโท รุฬฺหิสทฺเทน องฺคาติ วุจฺจติ (พระราช กุมารทั้งหลาย ชาวชนบทชื่อวา อังคะ, ชนบทที่ อยูของพระราชกุมารเหลานั้น แมเปนชนบท เดียวทานก็เรียกวา องฺคา-อังคะทั้งหลาย เพราะ เปนรุฬหีศัพท) ๑๒. เชิญเถิด (อพฺ.) อปจ องฺคสทฺโท อามนฺตเน นิปาโต (อีกประการหนึ่ง องฺค ศัพทเปนนิบาตในความเชื้อเชิญ) องฺคชนปท (ติ.) ชนบทชื่อวาอังคะ วิ. องฺคา จ เต ชนปทฺจาติ องฺคชนปทํ (เมืองอังคะนั้นดวย ชนบทดวย ชื่อวา องฺคชนปท), เปน กมฺมธารยสมาส, วิสทิสลิงฺควจนาป สทฺทา เอกตฺถา โหนฺติ (ศัพททั้งหลาย แมกลาวตางลิงคและวจนะกัน แตก็มีความหมายเดียว) นัยเดียวกัน มคธรํ, กาสิรํ องฺคชาต (นปุ.) อวัยวะในที่ลับ, องคชาต, อวัยวะเพศ ๑. วิ. อิตฺถิโย ปุริสา วา องฺคิยนฺติ ายนฺติ เอเตนาติ องฺคํ (สตรีหรือบุรุษ อันเขารู ไดดวยอวัยวะนั่น เหตุนั้น อวัยวะนั้นชื่อวา องฺค)


๒๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา วิ. องฺคํ หุตฺวา ชาตํ, รหสฺสงฺคภาเวน วา ชาตนฺติ องฺคชาตํ (สิ่งที่เกิดกลายเปนองค หรือเกิดโดย ความเปนของลับ ชื่อวา องฺคชาต) ๒. วิ. องฺเค สรีเร ชาตํ องฺคชาตํ ปุริสาทินิมิตฺตํ (นิมิตที่เกิดที่ สรีระ ชื่อวา องฺคชาต ไดแก เครื่องเพศแหงบุรุษ เปนตน), อวัยวะอื่นๆ ที่เหลือในรางกายนี้ ก็เปน อยางนั้น แตคำนี้ใชเรียกอวัยวะนั้น เพราะเปน รุฬหีศัพท, [องฺค + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + ต ปจจัย, แปลง ชน เปน ชา] อนึ่งคำตอไปนี้ เปนไวพจนของ องฺคชาต ไดแก รหสฺสงฺคํ, วตฺถุคยฺหํ, เมหนํ องฺคณ (นปุ.) กิเลสชื่ออังคณะ ๑. กิเลสเปนเหตุ ถึงความเปนคนชั่ว วิ. ตํสมงฺคี สตฺตา หีนภาวํ องฺคนฺติ คจฺฉนฺติ เอเตนาติ องฺคณํ กิเลโส (สัตว ทั้งหลายผูประกอบดวยกิเลสนั้น ถึงความเปน คนชั่วดวยกิเลสนั่น เหตุนั้น กิเลสนั่นจึงชื่อวา องฺคณ-ไดแก กิเลส) เชน ราโค องฺคณํ. (ราคะ ชื่อวาอังคณะ) วิ. องฺคติ คจฺฉติ เอเตนาติ วา องฺคณํ (อีกนัยหนึ่ง ชนยอมไปดวยกิเลสนั่น เหตุนั้น กิเลสนั้นจึงชื่อวา องฺคณ), [องฺค ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ยุ ปจจัย], ๒. ทางสี่แพรง (นปุ.) วิ. องฺคติ คจฺฉติ เอตฺถาติ องฺคณํ จจฺจรํ. (คนเดินทางยอมไปในที่นั่น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา องฺคณ ไดแก ทางสี่แพรง), ๓. ที่ไปแหงราคะ เปนตน (นปุ.) วิ.ราคาทโย องฺคนฺติ เอตฺถาติ องฺคณํ (กิเลสมีราคะเปนตนไปในกิเลสนั่น เหตุ นั้น กิเลสนั้นชื่อวา องฺคณ), [องฺค ธาตุ คติมฺหิ ใน ความไป + ยุ ปจจัย], ๔. กิเลสย่ำยีที่อาศัยของ ตน (ปุ.) อตฺตโน นิสฺสยํ องฺคนฺติ มตฺเถนฺตีติ องฺคณา, กิเลสา ราคโทสโมหา (กิเลสเหลาใดย่ำ ยีที่อาศัยของตน เหตุนั้นกิเลสเหลานั้นชื่อวา องฺคณ ไดแกกิเลส คือราคะ โทสะ โมหะ), [องคฺ ธาตุ มตฺถเน ในความย่ำยี + ยุ ปจจัย], ๕. มลทินเปนตนที่แปดเปอน, เปอกตม (นปุ.) วิ. อฺชติ มกฺเขติ อฺชติ วา สมฺมกฺเขตีติ องฺคณํ มลาทิ (สิ่งใดทาคือแปดเปอน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อ วา องฺคณ ไดแก มลทินเปนตน) เชน รชสฺส วา องฺคณสฺส วา ปหานาย (ละธุลีหรือเปอกตม) [อฺช ธาตุ มกฺขเน ในความทา + ยุ ปจจัย, แปลง ฺช เปน งฺค] ๖. ลาน, เนิน อฺชติ ตตฺถ ิตํ อติสุนฺทรตาย อภิพฺยฺเชตีติ องฺคณํ วิวโฏ ภูมิปฺปเทโส (สิ่งที่ตั้งอยูที่นั้นยอมปรากฏโดดเดน คือทำใหชัดเจนยิ่ง เพราะความเปนสิ่งที่ดียิ่ง เหตุนั้น จึงชื่อวา องฺคณ ไดแก ลานที่โลง คือภูมิ ประเทศแหงหนึ่ง) เชน เจติยงฺคณํ (ลานพระ เจดีย), [อฺช ธาตุ อฺชเน ในความปรากฏ แจงชัด + ยุ] (นัยนี้พึงดูคัมภีร สารตฺถทีปนีฏีกา ๑/๑๙๔, มูลปณฺณาสฏีกา ๑/๓๐๗), ๗. กิเลส เปนเหตุถึงความเปนคนชั่ว (นปุ.) สวนใน อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา อตฺถโยชนา ๑/๑๘ วา องฺคนฺติ เอเตหิ ตํสมงฺคิปุคฺคลา [สตฺตา] นิหีนภาวํ คจฺฉนฺตีติ องฺคณา [องฺคณานิ] (ชนทั้งหลายที่ ประกอบดวยกิเลสมีราคะเปนตนนั้นยอมไปคือ ถึงความเปนคนเลวดวยกิเลสมีราคะเปนตน เหลานั้น เหตุนั้น กิเลสทั้งหลายเหลานั้น จึงชื่อ วา องฺคณา [คือ องฺคณานิ, แบบแจก อ การันต ใน นปุ. ตามคัมภีรสัททศาสตร รูปวา จิตฺตา, จิตฺตานิ ก็มี] ไดแก ราคะ โทสะ เปนตน, [อค ธาตุ คติยํ ในความไปความถึง + ลง ยุ ปจจัย กรณสาธนะ ดวยสูตรแหงปทรูปสิทธิ รูป.๕๙๗ วา กตฺตุกรณปฺปเทเสสุ จ, อาเทศเปน อน ดวย สูตร รูป.๕๗๐ วา อนกา ยุณฺวูนํ, แปลง น เปน ณ ดวยสูตร รูป.๕๕๐ วา รหาทิโต ณ, นำไป ประกอบกัน ดวยสูตร รูป.๑๔ วา นเย เปนตน,


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๗ ลงนิคหิตตนธาตดุวยมหาสูตร รูป. ๓๗๐ วา เตสุ วุทฺธิ เปนตน แปลงนิคหิตเปนพยัญชนะทาย วรรค ดวยสูตร รูป. ๔๙ วา วคฺคนฺตํ วา วคฺเค, ลง โย วิภัตติ, แปลง โย เปน อา ดวยสูตร รูป.๖๙ วา สพฺพโยนีนมาเอ, แยกพยัญชนะ นฺ ออกสระ อ ดวยสูตร รูป. ๑๒ วา ปุพฺพมโธ เปนตน, ลบสระ อ หนา ปกติสระ อา หลัง ดวย สูตร รูป.๖๗ วา สรโลโป เปนตน, นำไปประกอบ กัน ดวยสูตร รูป.๑๔ วา นเย เปนตน, สวนการ แยกธาตุปจจัยไดแสดงไวแลว ดูนัยที่ ๑; องฺคณ ศัพท ใชในความหมายวา ภูมิภาเค (เนิน, ลาน) กิเลเส (กิเลส) มเล (มลทิน, ธุลี) ปงฺเก (เปอก ตม). ๘. จุดตกกระ, ตอม, ปม (นปุ.) มีเรื่องควร แสดงไวอีกเล็กนอย คือใน อรรถกถามูลปณณาสก ๓/๕๑๓ วา องฺคณนฺติ ตตฺถ ชาตกํ ติลกํ วา ปฬกํ วาติ (บทวา องฺคณํ ไดแก จุดตกกระหรือ ตอมที่เกิดบนใบหนานั้น), ใน สทฺทนีติ ธาตุมาลา (ฉบับแปลหนา ๗๔) สรุปความหมายของ องฺคณ ศัพทวา ราคาทีสุ กิเลเสสุ ปงฺเก กายมลมฺหิ จ วิวเฏ ภูมิภาเค จ องฺคณนฺติ รโว คโตติ (องฺคณ ศัพท ใชในความหมายวา กิเลสมีราคะ เปนตน เปอกตม, สิ่งปฏิกูลในรางกาย และพื้นที่ โลงเตียน) องฺคท (นปุ.) ทองตนแขน, กำไลตนแขน, เครื่องประดับแขน. วิ. องฺคํ ทายติ โสเธตีติ องฺคทํ เกยูรํ, พาหุมูลวิภูสนนฺติ อตฺโถ (เครื่องประดับใด ชำระรางกายใหสะอาด เหตุนั้น เครื่องประดับ นั้น ชื่อวา องฺคท ไดแก เกยูร-ทองตนแขน หมายถึง เครื่องประดับตนแขน), [องฺค + ทา ธาตุ โสธเน ในความชำระใหสะอาด + อ ปจจัย] ใน มูลปณฺณาสฏีกา ๒/๑๕๑ วา องฺคทํ นานาคนฺธคนฺธิตํ, เกวลํ วา สุวณฺณมยํ พาหุวลยนฺติ (องฺคท คือเครื่องประดับแขนรอยจากทองเล็ก ตางๆ ชนิด หรือทำจากทองทั้งหมด) องฺคนา, -ณา (อิตฺ.) ๑. หญิงสาว, ผูหญิง วิ. องฺคติ คจฺฉตีติ องฺคนา องฺคณา วธู (หญิงที่ ยวรยาตรไป เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา องฺคนา, องฺคณา ไดแก หญิงสาว), [องฺค ธาตุ คติมฺหิ ใน ความไป + ยุ ปจจัย, อา ปจจัยในอิตถีลิงค], ๒. หญิงงาม (อิตฺ.) วิ. กลฺยาณํ องฺคํ เอติสฺสา อิตฺถิยา อตฺถีติ องฺคนา (รางกายงามของหญิงนั้น มีอยู เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา องฺคนา), ลง น ปจจัยทาย องฺค ศัพท ดวย จ ศัพทในสูตร แหงปทรูปสิทธิ รูป. ๓๙๘ วา ตทสฺสตฺถีติ วี จ, หรือลง น ปจจัย ในความหมายวา มนฺตี (คน ฉลาด) ทาย องฺค ศัพท ดวยสูตรโมคคัลลานะ โมคฺ.๔/๙๒ วา องฺคา โน กลฺยาเณ. ตามนัยนี้ องฺคนา จึงหมายถึง นารีงาม, สาวสวย (วิสินาริยมฺป องฺคนา), ๓. เครื่องหมาย วิ. องฺคิยเต ายเต อเนนาติ องฺคนํ (ชื่อวา องฺคน เพราะเปนเครื่องอันเขากำหนดรู) เชน ลีลกฺขนฺธวคฺคฏีกา หนา ๔๖๒ วา ลกฺขณํ องฺคนํ าปนํ (ลกฺขณ ไดแก องฺคน-เครื่องหมายให ทราบ, าปน-เหตุใหทราบ), [องฺค ธาตุ าเณ ในความรู + ยุ ปจจัย] องฺคปจฺจงฺค (นปุ.) องคและองคอาศัย, อวัยวะ นอยใหญ, สรรพางคกายวิ.องฺคฺจ ปจฺจงฺคจฺ องฺคปจฺจงฺคํ (องคและองคอาศัย ชื่อวา องฺคปจฺจงฺค), องฺคมงฺคํ ก็มี, บทนี้เปน ทวันทวสมาส องฺคมาคธิก (ปุ.) ผูเปนใหญในเมืองอังคะและ มคธ, ชาวอังคะและมคธ วิ. องฺคมคเธสุ อิสฺสโร องฺคมาคธิโก, องฺคมคเธหิ อาคตาติ องฺคมาคธิกา


๒๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (ผูเปนใหญในอังคะและมคธ ชื่อวา องฺคมาคธิก, ผูมาแลวจากอังคะและมคธ ชื่อวา องฺคมาคธิก), [องฺคมคธ + ณิก ปจจัยในตัทธิต แทน อิสฺสร, อาคต, ทีฆะกลางศัพท] องฺควิกฺเขป (ปุ.) การรายรำ, การฟอนรำ, เตนรำ, การเคลื่อนไหวรางกายมีมือและเทา เปนตน วิ. องฺคานํ หตฺถปาทาทิสรีราวยวานํ วิกฺเขโป องฺควิกฺเขโป (การเคลื่อนไหวแหง รางกายมีมือและเทาเปนตน ชื่อวา องฺควิเขป), [องฺค + วิกฺเขป], ใน อภิธานปฺปทีปกาฏีกา อธิบายคาถา ๑๐๑ วา ภรตสตฺเถ วุตฺตอุตฺตรสตกรณนิปฺผนฺนถิรหตฺถปริยตฺถกาทินามโก ทฺวตฺตึสปฺปกาโร นจฺจวิเสโส องฺควิกฺเขโปติ. (องฺควิกฺเขป คือนาฏยศาสตรแผนกหนึ่ง มีการ ฟอนรำ ๓๒ ทา เปนชื่อของศาสตรที่กำหนดทา รายรำแมบท ซึ่งเรียกวา กรณ ๑๐๘ ทา ดังที่ แสดงไวในคัมภีรภารตะนาฏยศาสตร) องฺควิชฺช (ปุ.) ผูทำนายรางกาย, หมอดู ลักษณะ วิ. องฺควิชฺชํ อธีเตติ องฺควิชฺโช (ผูเรียน การทำนายรางกาย ชื่อวา องฺควิชฺโช), [องฺควิชฺช + ณ ปจจัย ดวยสูตร โมคฺ.๔/๑๔ วา ตมธีเต ตํ ชานาติ กณิกา จ. คำวา เนมิตฺโต (ผูทำนายฝน), โมหุตฺโต (หมอดูฤกษ), วตฺถุวิชฺโช (หมอดูพื้นที่), เวนยิโก (ผูเรียนวินัย), สุตฺตนฺติโก (ผูเรียนรู พระสูตร) ก็นัยนี้ องฺคหาร (ปุ.) การออกทาทางดวยอวัยวะ, การ ออกทาทางขณะพูด, การรายรำ วิ. องฺคสฺส หาโร องฺคหาโร (การนำไปซึ่งอวัยวะ ชื่อวา องฺคหารการ) นาฏกสตฺเถ วุตฺตอุตฺตรสตกรณนิปฺผนฺนกรหตฺถปริยนฺติกาทินามโก พตฺตึสปฺปการโก นจฺจวิเสโส องฺคหาโร องฺควิกฺเขโป นาม. (องฺคหาร ชื่อวา การรายรำ คือนาฏยศาสตรแผนกหนึ่ง มีการฟอนรำ ๓๒ ทา เปนชื่อของศาสตรที่กำหนดทารายรำแมบท ซึ่งเรียกวา กรณ ๑๐๘ ทา ดังที่แสดงไวในคัมภีร ภารตะนาฏยศาสตร) องฺคานุสารี (ปุ.) ลมในกาย, ลมที่ซานไปใน รางกาย วิ. สพฺพงฺเคสุ อนุสรติ สีเลน เสทโลหิตาทิสมฺปาทนโตติ องฺคานุสารี, วาโต (ธาตุ ลมใดแลนไปทั่วทั้งกาย โดยปกติ เพราะทำให เหงื่อและเลือดเรียบรอยดี เหตุนั้น ธาตุลมนั้น ชื่อวา องฺคานุสารี ไดแก ลม), [องฺค + อนุ + สร ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ณี ปจจัยใชในอรรถ แหงตัสสีละ], ปาฐะวา องฺคมงฺคานุสารี แปลวา ลม-วาโย บาง โอชา-ผอง ก็มีบาง ปาฐะวา องฺคมงฺคานุสารินิ ก็มีบาง, ในคำนั้น วิ. องฺคานิ จ มหนฺตานิ, องฺคานิ จ ขุทฺทกานิ องฺคมงฺคานิ, องฺคปจฺจงฺคานีติ อตฺโถ (อวัยวะใหญและอวัยวะ นอย ชื่อวา องฺคมงฺคานิ หมายถึง อวัยวะใหญ นอย) วิ. อถ วา องฺคฺจ องฺคฺจ องฺคมงฺคํ, ตํ ตํ องฺคนฺติ อตฺโถ, มหนฺตงฺคขุทฺทกงฺคนฺติ วุตฺตํ โหติ. ตานิ, ตํ วา อนุสารี องฺคมงฺคานุสารี (อวัยวะ ดวย อวัยวะดวย ชื่อวา องฺคมงฺค, หมายถึง อวัยวะนั้นๆ, มีคำอธิบายวา อวัยวะใหญและ อวัยวะนอย, ลมที่ซานไปทั่วอวัยวะใหญนอย เหลานั้น หรืออวัยวะใหญนอยนั้น ชื่อวา องฺคมงฺคานุสารี-ลมที่ซายไปทั่วราง) องฺคาร (ปุ.นปุ.) ๑. ถานเพลิง วิ. องฺคติ หานึ คจฺฉตีติองฺคาโร ทิตฺตกํ (สิ่งใดไหมไป คือไปสู ความสูญสิ้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา องฺคาร ไดแก ฟนที่ไฟไหม), [องฺค/อคิ ธาตุ คมเน ในความไป + ลง นิคหิตอาคมเสมอ เพราะธาตุมี อิ เปน ที่สุด + อาร ปจจัย], ๒. ถาน วิ. องฺคติ วินาสํ คจฺฉตีติ องฺคาโร, ทฑฺฒกํ (สิ่งใดไหมไป คือถึง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๙ ความพินาศไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา องฺคาร ไดแก ฟนที่ถูกไฟไหมแลว), [องฺค ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อาร ปจจัย ดวยสูตร โมคฺ. ๗/ ๑๖๔ วา สิงฺคฺยงฺคาคมชฺชกลาลา อาโร], ศัพทนี้เปนปุงลิงคและนปุงสกลิงค, ติกัณฑเสส (อางถึงในอธิธานัปปทีปกาฎีกา) วา อลาเตนิตถฺิ กุเชงฺคาโร (องฺคาร ศัพท ใชในอรรถวา ดุนฟน ติดไฟและดาวอังคาร) องฺคารปกฺก (ติ.) อันเขาปงแลวบนถานเพลิง, ปง, ยาง, เผา วิ. องฺคาเร ปกฺกํ องฺคารปกฺกํ, วีตจฺจิกงฺคาเรสุ ปกฺกนฺติ อตฺโถ (สิ่งที่เขาปงบน ถานเพลิง ชื่อวา องฺคารปกฺก หมายความวา ปง ยางบนเถาถานไฟ) เชน ใน สํ.อ. ๓/๘๑ วา องฺคารปกฺกํ ติตฺติรมํสํ ขาทิตุกาโมสฺมิ (ขาพเจา ประสงคจะกินเนื้อนกกระทาปงบนถานเพลิง) องฺคิการ (ปุ.) คำรับรอง, การยืนยัน, คำ ปฏิญญา, การทำสัญญา วิ. องฺคํลกฺขณํกโรตตีิ องฺคิกาโร ปฏิฺา (ภาวะใดทำการกำหนด หมาย เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา องฺคิการ ไดแก คำปฏิญญา), [องฺค ศัพท + กร ธาตุ, ณ ปจจัย, ลง อิ อาคม], ปาฐะวา องฺคีกาโร ก็มีบาง อภิธานปฺปทีปกาฏีกา อธิบายคาถา ๑๗๑ วา คำรับรอง มีหลายศัพท เชน สํวิทาคู [สํวิทา อาคู], ปฏิสฺสโว, ปฏิฺานํ, นิยโม, อสฺสโว, สํสโว, อภฺยุปคโม, สมาธิ, ปฏิฺา องฺคิรส (ปุ.) ๑. พระพุทธเจา, พระอังคีรส, ผู ทรงมีพระรัศมีซานไปจากพระองค วิ. องฺคโต รํสิโย สํสรนฺติ ยสฺสาติ องฺคิรโส (พระรัศมีซาน ออกจากพระวรกายของพระผูมีพระภาคเจา พระองคใด เหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น พระนามวา องฺคีรส), [ณ ปจจัย + อิ อาคม], ๒. เชื้อสายฤษีชื่อวาอังคิรส (ปุ.) วิ.องฺคิรสสฺสอิสโิน อปจฺจํองฺคิรโส, จิตฺรสิขณฺฑิโน อปจฺจํ ปุตฺโต (เหลากอแหงฤษีชื่อวาอังคิรส ชื่อวา องฺคิรส ไดแก บุตรของทานจิตรสิขัณฑี), อีกนัยหนึ่ง ๓. ผูมีความรุงเรือง (ปรอท) วิ. องฺคมฺหิ [อภิธานปฺปทีปกาฏีกายํ องฺคิมฺหีติ ทิสฺสติ] กาเย รโส สิทฺธิปฺปตฺโต ปารโท ยสฺสาติ องฺคิรโส (รส คือความรุงเรือง [ตามศัพทแปลกัน วา ปรอท] ที่ถึงความสำเร็จในองคคือกายของ บุคคลใด เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา องฺคิรส) องฺคีรส (ปุ.) ๑. ผูทรงมีพระรัศมีซานไปจาก พระองค วิ. องฺเค กาเย รโส รํสิ ทิปฺปเต ยสฺสาติ องฺคีรโส (รส คือพระรัศมี รุงเรืองในพระองคคือ พระวรกายของพระพุทธเจาพระองคใด เหตุนั้น พระพุทธเจาพระองคนั้น พระนามวา องฺคีรส), [องฺค + รส + ณ ปจจัย + อี อาคม]. นัยนี้เปนวิเคราะหตัทธิต มีสมาสเปนทอง, เรียกวาสมาสมีตัทธิตเปนที่สุดก็ได เชนในคำวา เอหิปสฺสิโก เปนตน วิ. องฺคโต สรีรโต นิคฺคตา รสฺมิ รโส ยสฺส โส องฺคีรโส (รส คือพระรัศมี พุงออกจากพระวรกายของพระพุทธเจา พระองคใด พระองคนั้นพระนามวา องฺคีรส), [องฺค + รส + ณ ปจจัย + อี อาคม], อธิบายวา สพฺพทา พฺยามปฺปภาย กายโต นิจฺฉรณวเสน องฺคีรโส. องฺคโต รํสิโย สํสรนฺติ, ภควโต องฺคมงฺเคหิ รสฺมิโย นิจฺฉรนฺติ, ตสฺมา องฺคีรโสติ วุจฺจติ. (พระพุทธเจา พระนามวา อังคีรส เพราะ รัศมีประมาณวาหนึ่งพุงออกจากพระวรกายใน กาลทุกเมื่อ รัศมีแลนออกจากพระวรกาย คือ พระรัศมีพวยพุงจากพระวรกายนอยใหญของ พระผูมีพระภาคเจา ฉะนั้น บัณฑิตจึงถวายพระ นามวา อังคีรส); ในอรรถกถาเถรคาถา ๒/๒๗๗ วา องฺคีรสสฺสาติ องฺคีกตสีลาทิสมฺปตฺติกสฺสาติ.


๓๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (บทวา องฺคีรสสฺส ไดแก เปนผูสมบูรณดวย พระคุณมีศีลที่พระองคทรงบำเพ็ญมาแลว เปนตน); ในอรรถกถาเปตวัตถุ, ๑๗๑ วา องฺคีรสสฺสาติ องฺคโต นิกฺขมนกชุติสฺส. รโสติ หิ ชุติยา อธิวจนนฺติ (บทวา องฺคีรสสฺส ผูมีรัศมี ซานออกจากตน. จริงอยูบทวา รโส เปนชื่อของ ความโชติชวง); ๒. เหลากอแหงฤษีชื่อวา อังคีรส (ปุ.) วิ. องฺคีรสสฺส อิสิโน อปจฺจํ องฺคีรโส จิตฺรสิขณฺฑีปุตฺโต (เหลากอแหงฤษีชื่อ วาอังคีรส ชื่อวา องฺคีรส ไดแก บุตรของทาน จิตรสิขณฑ)ี, ลง ณ ปจจัย แทน อปจฺจ ศัพท องฺคุฏฺ (ปุ.) นิ้วหัวแมมือ วิ. อคฺเค ปุเร ติติ อุหตีติ วา องฺคุโ (นิ้วที่ตั้งอยูกอน หรืออยู ตรงหนา เหตุนั้น นิ้วนั้นชื่อวา องฺคุ), [อคฺค + า ธาตุ ติายํ ในความตั้งอยู + อ ปจจัย, ลบ ค สังโยค, ลง นิคหิตตนศัพท แปลงเปน งฺ, แปลง อ เปน อุ, ซอน ], วิ. องฺคติ คจฺฉตีติ องฺคุโ (องฺค ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + / ปจจัย, ซอน , แปลง อ เปน อุ], ปรากฏปาฐะ วา องฺคุโก บาง, ลง ก สกัตถ; คำวา องฺคุโ  นี้ เปนชื่อของนิ้วหัวแมมือ เชน องฺคุโ (นิ้วหัวแมมือ) ตชฺชนี (นิ้วชี้) มชฺฌิมา (นิ้วกลาง) อนามิกา (นิ้วนาง) และ กนิา (นิ้วกอย) ตามลำดับ. องฺคุตฺตร (ปุ.) อังคุตตรนิกาย, เพิ่มขึ้นทีละ ๑ วิ. เอเกเกหิ องฺเคหิ อุปรูปริ อุตฺตโร อธิโก เอตฺถาติ องฺคุตฺตโร (หมวดธรรมมีจำนวนเพิ่ม มากขึ้นทีละหนวย ในนิกายนั้น เหตุนั้น นิกาย นั้นชื่อวา องฺคุตฺตร), ในเอกกนิปาตฏีกา (คือใน สีลกฺขนฺธวคฺคอภินวฏีกา ๑/๑๔๗) วา เอกกาทีหิ องฺเคหิ อุปรูปริ อุตฺตโร อธิโกติ องฺคุตฺตโรติ. (นิกายที่มีองคธรรมเพิ่มขึ้นไปจากหมวดละ ๑) องฺคุตฺตราป (ปุ.) ๑. อังคุตราปชนบท วิ. (ใน สุตตนิบาตอรรถกถา ๒/๓๕๕) วา องฺคา เอว โส ชนปโท, คงฺคาย ปน ยา อุตฺตเรน อาโป, ตาสํ อวิทูรตฺตา อุตฺตราโปติป วุจฺจติ. กตรคงฺคาย อุตฺตเรน ยา อาโปติ, มหามหีคงฺคาย. ตสฺสา คงฺคาย อุตฺตเรน ยา อาโป ตาสํ อวิทูรตฺตา โส ชนปโท องฺคุตฺตราโป เวทิตพฺโพ (ชนบทคือ อังคะนั้น ทานเรียกวา อุตฺตราป เพราะไมไกล น้ำ ที่ไหลจากแมน้ำใหญไปทางทิศเหนือ, ถาม วา น้ำเหลาใดอยูดานเหนอืแมน้ำใหญไหน,ตอบ วา เหนือแมน้ำใหญชื่อมหามหี, น้ำเหลาใดไหล จากแมน้ำใหญชื่อมหามหีนั้นไปทางทิศเหนือ ชนบทนั้น บัณฑิตพึงทราบวา องฺคุตฺตราป เพราะไมไกลน้ำเหลานั้น), ใน ม.ฏี.๓/๒๓ วา มหิยา นทิยา อาโป ตสฺส ชนปทสฺส อุตฺตเรน โหนฺติ, ตาสํ อวิทูรตฺตา โส ชนปโท อุตฺตราโป. (น้ำทั้งหลาย ไหลมาจากแมน้ำมหี ผานทางดาน ทิศเหนือของชนบทชื่ออังคะนั้น เพราะไมไกล น้ำเหลานั้น ชนบทชื่อวาอังคะนั้น จึงชื่อวา อุตฺตราป), อาโป ในที่นี้ อาจารยทานประสงคให เปนอิตถีลิงค พหุวจนะ; ๒. อังคุตราปชนบท (ปุ.) แตทานพระอัครวงศาจารย หาไดประสงค อิตถีลิงคไม, ในสัททนีติ ปทมาลา จึงอธิบายไว วา ตถา หิ องฺคุตฺตราเปสุ วิหรติ อาปณํ นาม องฺคานํ นิคโมติ ปาิ ทิสฺสติ. ตตฺถ อุตฺตเรน มหามหิยา นทิยา อาโป เยสํ เต อุตฺตราปา, องฺคา จ เต อุตฺตราปา จาติ องฺคุตฺตราปาติ. (ฉบับแปล หนา ๓๖๔) วา เพราะปรากฏพระ บาลีวา พระผูมีพระภาคประทับอยูที่อาปณนิคม ซึ่งเปนนิคมของพวกอังคะในแควนอังคตุตราปะ. ในปาฐะวา อุงฺคุตฺตราเปสุ นั้น คำวา อุงฺคุตฺตราป มีวิเคราะหวา น้ำจากแมน้ำมหามหี ไหลผาน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๓๑ ทานดานทิศเหนือของแควนใด แควนนั้น เรียกวา อุตราปะ, แควนอังคะดวย แควนอังคะ นั้นเปนแควนที่มีแมน้ำใหญผานทางดานทิศเหนอื ดวย เพราะเหตุนั้น จึงเรียกวา อังคุตตราปะ), พึง คนดูวินิจฉัยในสัททนีติเถิด; ใน ม.อ. ๓/๑๗ วา วชฺฌํ นาม ติรจฺฉานปพฺพตํ ปหริตฺวา ปฺจธารา หุตฺวา ปวตฺตาเน ปน คงฺคา ยมุนา อจิรวตี สรภู มหีติ ปฺจธา สงฺขํ คตา, เอวเมตา ปฺจ มหานทิโย หิมวนฺตโต ปภวนฺติ. ตาสุ ยา อยํ ปฺจมี มหี นาม, สา อิธ มหามหีติ อธิปฺเปตา. (ในที่ ๆ กระแทกติรัจฉานบรรพต ชื่อวัชฌะ แยกเปนกระแสน้ำหาสาย ก็กลายเปนแมน้ำทั้ง หา คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี, มหานที ๕ สายเหลานี้ยอมเกิดมาแตหิมวันตบรรพต ดวยประการฉะนี้. ในมหานที ๕ สายนั้น มหา นทีสายที่ ๕ ชื่อมหี ทานหมายเอาวา มหีมหานที) องฺคุล (ปุ.นปุ.) ๑. นิ้วมือ, นิ้วเทา, อวัยวะที่ชูขึ้น วิ. องฺคติ อุคฺคจฺฉตีติ องฺคุลํ องฺคุลิ, กรสาขาติ อตฺโถ (อวัยวะใดไป หรือชูขึ้นไป เหตุนั้น อวัยวะ นั้น ชื่อวา องฺคุล ไดแก องคุลิ หมายถึง นิ้วมือ), [องฺค ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อุล ปจจัย], ๒. อวัยวะที่ชวยใหรู (นปุ.) วิ. องฺคนฺติ ชานนฺติ เอเตนาติ องฺคุลํ (ชนทั้งหลายยอมรูได ดวย อวัยวะนั่น เหตุนั้น อวัยวะนั้นชื่อวา องฺคุล), [องฺค ธาตุ าเณ ในความรู + อุล ปจจัย ดวย สูตรแหงโมคคัลลานะ โมคฺ.๗/๑๙๕ วา องฺคา อุโลลิ, องฺคุล เปน ปุ. และ นปุ. ความหมายวา องฺคุลิ (นิ้วมือ) และมาตราตวงชั่ง เทากับ ๗ เมล็ดขาวเปลือก (สตฺตธฺมาส) องฺคุลฺยาภรณ (นปุ.) เครื่องประดับนิ้ว, แหวน วิ. องฺคุลีนํ องฺคุลีสุ วา อาภรณํ องฺคุลฺยาภรณํ องฺคุลิยกํ (เครื่องประดับนิ้ว หรือประดับที่นิ้ว ชื่อวา องฺคุลฺยาภรณ ไดแก แหวน), [องฺคุลิ + อาภรณํ, แปลง อิ เปน ยฺ, รูป. ๒๑ วา อิวณฺโณ ยํ นวา] องฺคุลิ (อิตฺ.) ๑. นิ้วมือ, นิ้วเทา, กีบเทาโค วิ. องฺคติ อุทฺธํ คจฺฉตีติ องฺคุลิ (อวัยวะใดยอมชู คือชี้ไปขางบน เหตุนั้น อวัยวะนั้น ชื่อวา องฺคุล)ิ, [องฺค ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อุลิ ปจจัย ดวย สูตร โมคฺ.๗/๑๙๕ วา องฺคา อุโลลิ], ๒. นิ้วมือ, อวัยวะที่งอกจากมือ ๕ นิ้ว (อิตฺ.) วิ. องฺคติ หตฺถโต ปฺจธา ภิชฺชิตฺวา อุคฺคจฺฉตีติ องฺคุลิ กรสาขา (อวัยวะใดงอกออกไปจากมือแยกเปน ๕ นิ้ว เหตุนั้น อวัยวะนั้น ชื่อวา องฺคุลิ ไดแก นิ้วมือ), [องฺค ธาตุ คมเน ในความไป + ลง อุลิ ปจจัย ดวยสูตร กจฺ.๖๓๘ รูป.๖๖๐ วา วชาทีหิ เปนตน]. ๓. อวัยวะที่ใชลูบ วิ. องฺคติ ตํ ตํ กายงฺคํ ปรามสติ เอตายาติ องฺคุลิ (บุคคลไปคือ ลูบไปทั่วสวนรางกายนั้นๆ ดวยนิ้วใด เหตุนั้น นิ้วนั้นชื่อวา องฺคุลิ), [อคิ ธาตุ คติยํ ในความไป + อุลิ ปจจัย + นิคหิตอาคม แปลงเปน งฺ], ๔. อวัยวะที่ใชลูบ วิ. องฺคํ กายงฺคํ อุลติ คจฺฉติ ปรามสติ เอตายาติ องฺคุลิ (บุคคลยอมลูบคลำ สรีระคือสวนแหงรางกายดวยนิ้วนั่น เหตุนั้น นิ้วนั้นชื่อวา องฺคุลิ), [องฺค + อุล ธาตุ คติยํ ใน ความไป + อิ ปจจัย], องฺคุลิ ศัพท เปนอิการันต อิตถีลิงค, ปาฐะวา องฺคุลี ก็มีบาง ลง อี ปจจัย ดวย กจฺ. ๒๓๘ วา นทาทิโต วา อี. แตในคัมภีร กัจจายนวัณณนา วาใหทีฆะ อิ ในที่สุดดวยสูตร กจฺ. ๔๐๓, รูป. ๓๕๔ วา กฺวจาทิมชฺฌุตฺตรานํ ทีฆรสฺสา ปจฺจเยสุ จ องฺคุลิก (ปุ.นปุ.) สิ่งที่มีในนิ้ว, แหวน, การเจมิ, วิ. องฺคุลิยํ ภวํ องฺคุลิกํ (สิ่งใดมีในนิ้ว เหตุนั้น


๓๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา สิ่งนั้น ชื่อวา องฺคุลิก), [องฺคุลิ + ณิก ปจจัย ในตัทธิตแทน ภว ศัพท], ๒. ผูนำไปดวยนิ้ว, ผูเจิม วิ. องฺคุเลน วหตีติ องฺคุลิโก (ผูใดยอม นำไปดวยนิ้ว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา องฺคุลิก), [องฺคุล + ณิก ปจจัย แทน วหติ] องฺคุลิมาล (ปุ.) พระองคุลิมาล, ผูมีมาลัยนิ้วมือ วิ. องฺคุลิสงฺขาตา มาลา เอตสฺส อตฺถีติ องฺคุลิมาโล, (มาลัยคือนิ้วมือ ของบุคคลนั่นมีอยู เหตุนั้น บุคคลนั่นชื่อวา องฺคุลิมาล), [องฺคุลิ + มาลา + ณ]. เลากันมาวา ทานฆาคนตายแลวตัดนิ้วมือ รอยเปนพวงมาลัยคลองไว ฉะนั้น จึงเกิดคำ เรียกทานวา องคุลิมาล, ณ ปจจัย บทนี้เปน สมาส มีตัทธิตเปนที่สุด พึงคนดูในอรรถกถา มัชฌิมปณณาสก องฺคุลิมุทฺทา (อิต.) หัวแหวนมีอักษร, แหวน ตรา, แหวนมีอยูที่นิ้วมือ วิ. องฺคุลิยํ ภวา มุทฺทา องฺคุลิมุทฺทา, องฺคุลิมุทฺทิกา (แหวนตราอันมีใน นิ้ว ชื่อวา องฺคุลมิุทฺทา, องฺคุลิมุทฺทิกา), [องฺคุลิ+ มุทฺทา, ณิก สกัตถ]. อนุทีปนี วา องฺคุลิเวนา นาม องฺคุลิมุทฺทิกา (สิ่งพันสวมนิ้ว ชื่อวา องฺคุลิมุทฺทิกา) องฺคุลีมุทฺทิกา (อิตฺ.) แหวนสวมนิ้ว, แหวนนิ้ว วิ. องฺคุลิยํ ปเวสิตา มุทฺทิกา องฺคุลีมุทฺทิกา (แหวนที่สวมนิ้ว ชื่อวา องฺคุลมีุทฺทิกา), [องฺคุลิ+ ปเวสิต + มุทฺทิกา], นัยนี้เปน มัชเฌโลปตัปปุริส สมาส องฺคุลียกํ (นปุ.) สิ่งที่มีในนิ้ว, แหวน, การเจิม วิ. องฺคุลิยํ ภวํ องฺคุลียกํองฺคุลิยกํ องฺคุลิเวธกํ, องฺคุลิ, อีโย อิโย, สกตฺเถ โก. (สิ่งที่มีในนิ้ว ชื่อวา องฺคุลียกํ รูป องฺคิยกํ ก็มี ไดแก แหวน, ลง อีย อิย ปจจัย ในตัทธิต แทน ภว ศัพท และ ก สกัตถ) อจล (ปุ.ติ.) สิ่งที่ไมเคลื่อนที่, ภูเขา, ไมหวั่นไหว วิ. น จลตีติ อจโล ปพฺพโต (สิ่งใดไมเคลื่อนที่ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจล ไดแก บรรพต), [น + จล ธาตุ จลเน ในความเคลื่อนไหว + อ ปจจัย, แปลง น เปน อ]. อจล ศัพท แปลวา ภูเขา เปน ปุงลิงค แตถาเปนวาจจลิงค คือเปนวิเสสนะที่ แปลวา ไมหวั่นไหว พึงทราบวาเปนได ๓ ลิงค อจฺจ (ปุ.) ๑. ผูบูชา วิ. อจฺจตีติ อจฺโจ (ผูใดยอม บูชา เหตุนั้นผูนั้นชื่อวา อจฺจ), [อจฺจ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + อ ปจจัย], ๒. ลวงเลยไป, ลวงแลว, พน (อพฺ.) วิ. อติเอตฺวา อติจฺจ อจฺจ (ลวงแลว เลยเลย ชื่อวา อจฺจ), [อติ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง อิ เปน จฺจ], สัททนีติ สุตตมาลา นีติ. ๑๖๗ วา ลบ ติ ดวยสูตรวา อติจฺจสฺส วา ติโลโป เชน อจฺจายํ มชฺฌิโม ขณฺโฑ (ฉบับแปล หนา ๑๔๒) ทอนตรง กลางนี้ ลวงเลย [จากทอนหัวและทอนหาง] อจฺจนฺตโกธน (ปุ.) โกรธจัด, โกรธลวงเลยถึง ที่สุด, ผูดุราย วิ. อนฺตํ อติกฺกนฺตํ อจฺจนฺตํ อนฺตมติจฺจ วา อจฺจนฺตํ อจฺจนฺตํ อติเรกํ กุชฺฌตีติ อจฺจนฺตโกธโน อจฺจนฺตโกปโน วา จณฺโฑ (สิ่งที่ลวงที่สุด ชื่อวา อจฺจนฺต นัยหนึ่ง ลวงเลยที่สุดชื่อวา อจฺจนฺต ผูใดโกรธลวงที่สุด คือยิ่งเกิน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อจฺจนฺตโกธนผูโกรธจัด ไดแก ผูดุราย), อจฺจนฺตโกปโน บาง [อติ + อนฺต + กุธ/กุป ธาตุ โกเป ในความโกรธ +ยุ ปจจัย นัยนี้เปนวิเคราะหสมาสมีกิตกเปน ที่สุด หรือเปนวิเคราะหกิตกมีสมาสเปนทอง] บทนี้เปนสมาสมีกิตกเปนที่สุด หรือเปน วิเคราะหกิตกมีสมาสเปนทอง อจฺจนฺตนมสฺสเนยฺย (ติ.) ควรนอบนอมโดย สวนเดียว วิ. นมสฺสิตพฺพนฺติ นมสฺสเนยฺยํ (พระ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๓๓ รัตนตรัยอันเทพและมนุษยทั้งหลายควรบูชา เหตุนั้น จึงชื่อวา นมสฺสเนยฺย), [นมุ ธาตุ นมเน ในความนอบนอม + สฺส ปจจัย, หรือ นมสฺส ธาตุ นมเน ในความนอบนอม + อนีย ปจจัย, แปลง อี เปน เอ, ซอน ย], วิ. นมสฺสนํ อรหตีติ นมสฺสเนยฺยํ (พระรัตนไตรใด ยอมควรซึ่งการ นอบนอม เหตุนั้น พระรัตนไตร นั้นชื่อวา นมสฺสเนยฺย), เอยฺย ปจจัยใชในอรรถวาควร วิ. อจฺจนฺตํ เอกนฺเตน นมสฺสเนยฺยํ อจฺจนฺตนมสฺสเนยฺยํ (รัตนะควรซึ่งการนอบนอมโดย สวนเดียว ชื่อวา อจฺจนฺตนมสฺสเนยฺยํ) อจฺจนฺตสํโยค (ปุ.) ชื่อเรียกบทที่ประกอบดวย ทุติยาวิภัตติที่แปลวา สิ้น, ตลอด ในสัมพันธไทย หรือวากยสัมพันธ, แปลวา การประกอบอยาง ตอเนื่องไมขาดสาย วิ. อนฺตํ สีมํ อติกฺกนฺตํ อจฺจนฺตํ, อจฺจนฺตํ นิรนฺตรํ ทพฺพคุณกิริยาหิ กาลสฺส วา อทฺธุโน วา สํโยโค อจฺจนฺตสํโยโค (สิ่งที่ลวงเขตไป ชื่อวา อจฺจนฺต-ลวงเขต, ตอเนื่อง, การประกอบอยางตอเนื่อง ไมขาดสาย แหงกาลและระยะทาง เขากับทัพพะ คุณ และ กิริยา), แตใน สทฺทนีติ สุตฺตมาลา (ฉบับแปล หนา ๑๑๙๒) วา อติสทฺโท อติกฺกนฺเตติ. (อติ ศัพท ใชในอรรถไมสิ้นสุด), อจฺจนฺตสํโยค คือการ สัมพันธบทบอกกาลและระยะทางเขากับกิริยา คุณ และทัพพะ), บันทึกผูแปล : สัมพันธเขากับ กิริยา เชน มาสํ ภุฺชติ (รับประทานอาหาร ตลอดเดือน), กับคุณ เชน สพฺพกาลํ รมณียํ นนฺทนํ (สวนนันทวันรื่นรมยตลอดฤดูกาล), กับ ทัพพะ เชน โยชนํ ทีโฆ ปพฺพโต (ภูเขายาวตลอด โยชน), อจฺจนฺตสํโยค คือการประกอบไมขาด สาย จำแนกเปน ๑) กาลอัจจันตสังโยคะ การ ประกอบอยางตอเนื่องโดยกาล เชน มาสํ-ตลอด เดือน และ ๒) อัทธานอัจจันตสังโยคะ การ ประกอบอยางตอเนื่องโดยอัทธานะ เชน โยชนํ- ตลอดโยชน (ดู วิธีสัมพันธตามหลักสัททาวิเสส, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร พิมพรวมใน วิชา สัมพันธไทย ภาค ๕, หนา ๔๖๗) อจฺจนา (อิตฺ.) การเซนสรวงบูชา, การบูชา, พลี วิ. อจฺจิยเต อจฺจนา พลิ (อันเขาบูชา ชื่อวา อจฺจนา ไดแก พลี), [อจฺจ ธาตุ ปูชายํ ในการ บูชา + ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ แปลงเปน อน + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อจฺจย(ปุ.) ๑. การลวงไป, ความตาย, การกาว ลวง, โทษอันเปนไปลวง, ความผิด วิ. อติกฺกมิตฺวา อยนํ อจฺจโย มจฺจุ วีติกฺกมนํ วชฺชํ อปราโธ จ (การไปลวง ชื่อวา อจฺจย ไดแก มจฺจุ-ความตาย, วีติกฺกมนํ-การกาวลวง, วชฺชํ-โทษอันเปนไปลวง, อปราโธ-ความผิด), [อติ + อิ ธาตุ คติยํ ในความ ไป + อ ปจจัย ดวย กจฺ. ๕๒๗, รูป. ๕๖๘ วา สพฺพโต ณฺวุตฺวาวี วา, แปลง อิ เปน เอ ดวย กจฺ. ๔๘๕, รูป. ๔๓๔ วา อฺเสุ จ เปนตน, แปลง เอ เปน อย, อ นั้น หรือลง ณ ก็ได] ๒. โทษ ลวงเกิน, การลวงละเมิด วิ. อจฺเจติ อภิภวิตฺวา ปวตฺตติ เอเตนาติ อจฺจโย (บุคคลยอมลวงเกิน คือไปกดขี่ ดวยโทษนั่น เหตุนั้น โทษนั้นชื่อวา อจฺจโย-โทษลวงเกิน) ไดแก อติจฺจ อยนํ ปวตฺตนํ อจฺจโย วีติกฺกโม (วีติกฺกม คือ การเปนไป ลวงเกิน), [อติ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย, แปลง ติ เปน จ ซอน จฺ อาเทศ อิ เปน อย] วิ. อจฺจยนํ สาธุมริยาทํ อติกฺกมฺม มทฺทิตฺวา ปวตฺตนํ อจฺจโย อปราโธ (อปราธ คือความผิดที่ เปนย่ำยีลวงเลยความดีงามและขอบเขต) อจฺจสรา (อิตฺ.) ความเจาเลห, ความมีมายา วิ. กตฺวา ปาป ปุน ปฏิจฺฉาทนโต อติจฺจ อสฺสรติ


๓๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เอตาย สตฺโตติ อจฺจสรา, มายาวิตา (สัตวทำ บาปแลว ก็ยังลวงละเมิดคือทำบาปอีก เพราะ ความเปนผูปกปดไว ดวยธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อจฺจสรา คือความเปนผูมี มายา), [อติ + อา + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย, อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง ต ทั้งตัว เปน จ แปลง ติ เปน จ ดวย รูป. ๒๒ วา สพฺโพ จํ ติ, ซอน จฺ, รัสสะ อา เปน อ] อจฺจาทาน (นปุ.) การยึดถืออยางยิ่ง คือ เปน ที่ตั้งเพื่อการตัดเปนทอนๆ วิ. อติอาทียเต อจฺจาทานํ (สิ่งที่เขาทำใหเปนทอนๆ ชื่อวา อจฺจาทาน), [อติ + อา + ทา ธาตุ อวขณฺฑเน ในการทำใหเปนทอน + ยุ ปจจัย แปลงเปน อ, อาเทศ ติ เปน จ, ซอน จฺ] อจฺจาธาย (กิ.กิตฺ.) ซอนเทา, เหลื่อมเทา วิ. อติอาธาย อีสกํ อติกฺกมฺม เปตฺวาติ อจฺจาธาย (อจฺจาธาย แปลวา วางเหลื่อมไป คือ ใหเลยไปหนอยหนึ่งแลววางไว) เชน ที.ม. ๑๐/ ๑๒๔/๑๕๗ วา ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย (พระผูมี พระภาคเจา ทรงซอนพระบาทเหลื่อมพระ บาท), [อติ + อา + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรง ไว + ตฺวา ปจจัย อาเทศ ตฺวา เปน ย] อจฺจายิก (ติ.) เรงดวน, รีบ วิ. อติอยิตพฺพานีติ อจฺจายิกานิ (กรรมใดอันเขาไปดวน เหตุนั้น กรรมนั้นชื่อวา อจฺจายิก) เชน อจฺเจกจีวรนฺติ อจฺจายิกจีวรํ วุจฺจติ (อจฺเจกจีวรํ หมายถึง อจฺเจกจีวร-จีวรที่รีบถวาย) มีคำอธิบายวา ยานิ กมฺมานิ ปุคฺคเลน สีฆตรํ อยิตพฺพานิ อิติ ตสฺมา ตานิ กมฺมานิ อจฺจายิกานีติ อตฺโถ (กรรมเหลาใด อันบุคคลตองรีบดวนไปทำ เหตุนั้น กรรม เหลานั้น ชื่อวา อจฺจายิกานิ-กรรมที่ตองรีบไป ทำ), [อติ + อย ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย + ณิก ปจจัย]. เปนวิเคราะหกิตกมีตัทธิต เปนที่สุด วิ. สีฆํ ปวตฺเตตพฺพกิจฺจํ อจฺจายิกํ (กิจ ที่ตองใหเปนไปโดยดวน ชื่อวา อจฺจายิก), อติ ศัพทในที่นี้ใชในความหมายวา สีฆ-ดวน เชน อติ ในคำวา ปาณาติปาโต เปนตน อจฺจาสร (อิตฺ) กิริยาที่ทำใหหลง, ความวางทา, ความเจาเลห วิ. กตฺวา ปาป ปุน ปฏิจฺฉาทนโต อติจฺจ อาสรนฺติ เอตาย สตฺตาติ อจฺจาสรา, วฺจนาทิ (วิภงฺควณฺณนา, ๕๓๔) (สัตวทั้งหลาย ทำบาปแลว ก็ยังลวงละเมิดคือทำบาปอีก เพราะความเปนผูปกปดไว ดวยสภาวะใด เหตุ นั้น สภาวะนั้น ชื่อวา อจฺจาสร ไดแก ความเจา เลห เปนตน), [อติ + อา + + สร ธาตุ คติยํ ใน ความไป + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค]. เปนไวพจนของ มายา เชน อภิ.วิ.๓๕/๙๑๑/ ๔๘๔ อจฺจิ (นปุ.อิตฺ.) ไฟ, เปลวไฟ, แสงสวาง, รัศมี ๑. สิ่งที่เขาบูชา = ไฟ วิ. อจฺจิยติ ปูชิยตีติ อจฺจิ (สิ่งใดอันเขาบูชา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺจิ), [อจฺจ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + อิ ปจจัย กจฺ. ๖๖๙ รูป.๖๗๙ วา มุนาทีหิ จิ], ๒. เครื่องบูชา = เปลวไฟ วิ. อจฺจเต ปูชเต หวิ อเนนาติ อจฺจิ (การบูชาอันเขาเซนสรวงบูชา ดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺจิ), ๓. สิ่งที่ ลุกไหมขึ้นเร็ว = ไฟ วิ. ภุโส จยติ วฑฺฒตีติ อจฺจิ (สิ่งใดกอขึ้น หรือเจริญขึ้นเร็ว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺจิ], [อา + จิ ธาตุ จเย ในความ กอ + กฺวิ ปจจัย, ซอน จฺ, รัสสะ อา เปน อ], อจฺจิ เปน อิการันต มีความหมายวา ชาลา-เปลว ไฟ และ รํสิ แสงสวาง เปน อปุเม ไมใชปุงลิงค), ในคัมภีรสัททศาสตรวาเปน นปุ. สวนในคัมภีร ทั้งหลาย เชน ในพระบาลี เปนตน เปน อปุเม


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๓๕ ไมใชปุงลิงค เชนใน ธมฺมสงฺคณีวณฺณนา, ๓๕๘ วา ภูมิโต วุิตา ยาว พฺรหฺมโลกา วิธาวติ อจฺจิ อจฺจิมโต โลเก ฑยฺหมานมฺหิ เตชสาติ (ในคราวใดโลกจะพินาศดวยไฟเผาผลาญ ใน คราวนั้น ไฟยอมโพลงขึ้นตั้งแตพื้นดินไปถึง พรหมโลก) ในอิตถีลิงค ตัวอยางเชน อิจฺจิยา วา สติ ธูเม วา สติ, รูปวา อิจฺจิตํ หรือ อจฺจิกํ ก็มี เชน วิคตอจฺจิตานํ วีตจฺจิกานํ อจฺจิต (ติ.) อันเขานอบนอม, อันเขาบูชา วิ. อจฺจิยเต ปูชิยเตติ อจฺจิโต อปจิโต ปูชิโต จ (ผูใดอันเขานอบนอมบูชา เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อันเขานอบนอมบูชา), [อจฺจ ธาตุ ปูชายํ ใน ความบูชา + ต ปจจัย กัมมสาธนะ + อิ อาคม] อจฺจิมนฺตุ (ปุ.) ๑. สิ่งที่มีเปลว = ไฟ วิ. อจฺจิ อสฺส อตฺถีติ อจฺจิมา อคฺคิ (เปลวของสิ่งนั้นมีอยู เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อจฺจิมา ไดแก ไฟ), [อจฺจิ + มนฺตุ ดวย กจฺ.๓๖๙ รูป.๔๐๓ วา สตฺยาทีหิ มนฺตุ], ๒. สิ่งที่ประกอบดวยเปลว (ปุ.) วิ. อจฺจิ วุจฺจติ ชาลา, ตาย โยคโต อจฺจิมา (เปลวไฟ ทาน เรียกวา อจฺจิ เพราะประกอบดวยเปลวนั้น จึง ชื่อวา อจฺจิมา) เชน ม.ม. ๑๓/๖๒๒/๕๖๕ วา อคฺคิ อจฺจิมา เจว วณฺณวา จ ปภสฺสโร จาติ. (ไฟ มีเปลว มีสี มีแสงสวาง) อจฺจุต (นปุ.ปุ.) พระนิพพาน, คนชื่ออัจจุตะ, ภาวะที่ไมหวั่นไหวแหงพระอริยเจา วิ. นตฺถิ เอตสฺมึ นิพฺพาเน อธิคตานํ อริยานํ จุตํ จวนนฺติ อจฺจุตํ นิพฺพานํ (การจุติ คือเคลื่อนไป แหงพระ อริยเจาทั้งหลายผูถึงพระนิพพานนั่นไมมี เหตุนั้น พระนิพพานนั้นจึงชื่อวา อจฺจุต), [น + จุ ธาตุ จวเน ในความเคลื่อน + ต ปจจัย, แปลง น เปน อ, ซอน จฺ] อีกอยางถึง ถา อจฺจุต เปน ชื่อเฉพาะ และเปนวิเสสนะ เปนปุงลิงค อจฺเจก (ติ.) ไปดวน, รีบรอน, จำเปน วิ. สีฆํ เอติ ปวตฺตตีติ อจฺเจกํ (สิ่งใดดำเนินไปดวน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺเจก), [อติ + อิ ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + ณฺวุ ปจจัย, แปลง ติ เปน จ รูป. ๒๒ วา สพฺโพ จํ ติ, แปลง อิ เปน เอ], อติ ศัพทมีความหมายวา สีฆ ดวน เชน อติ ในคำวา ปาณาติปาโต เปนตน อจฺฉ (ปุ.อิต.) หมี, สัตวที่พุงไป วิ. อสติ ขิปตีติ อจฺโฉ อิกฺโก, อิกฺกา วา อจฺฉา อฆมฺมิคาติ อตฺโถ (สัตวใดพุงไป เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อจฺโฉ ไดแก หมีตัวผู, หรือใน อิตฺ.เปน อจฺฉา ไดแก หมีตัว เมีย หมายถึง สัตวที่กอทุกขให), [อส ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + ฉ ปจจัย โมค. ๗/๔๓ วา อสมสวทกุจกจา โฉ, แปลง ส เปน จ, ๒. ใส บาง (ติ.) วิ. ทสฺสนํ น ฉินฺทตีติ อจฺโฉ ปสนฺโน ตนุโก จ (สภาพใดไมตัดซึ่งการมองเห็น เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อวา อจฺฉ ไดแก ใส และ บาง), [น + ฉิทิ ธาตุ ทฺวิธากรเณ ในการทำเปน ๒ สวน, ใน ความตัด + กฺวิ ปจจัย] อจฺฉนฺน (ติ.) ๑. ไมไดมุง (หลังคา) วิ. น ฉาทียิตฺถาติ อจฺฉนฺโน, เกนจิ อจฺฉนฺโน ปเทโส (สวนใดอันเขาไมไดมุง ชื่อวา อจฺฉนฺน ไดแก ประเทศที่อะไรๆ ไมไดมุงไว) เชน สารตฺถทีปนี ๓/๒๔๘ วา เอโก ฉนฺโน, เสสา อจฺฉนฺนา (มุงสวนเดียว สวนที่เหลือไมไดมุง) ปาฐะวา อจฺฉาทิตา ก็มี [น บทหนา + ฉท ธาตุ สํวรเณ ในความปองกัน, จัดเขาในหมวด จุร ธาตุ + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน อนฺน] ๒. อันเขามุงแลว, อันเขาบังแลว วิ. อจฺฉาทียิตฺถาติ วา อจฺฉนฺโน (อีกนัยหนึ่ง สวนใดอันเขามุงแลว เหตุนั้น สวน


๓๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา นั้นชื่อวา อจฺฉนฺน), [อา + ฉท ธาตุ สํวรเณ ใน ความปองกัน + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน อนฺน, และ ลบ ท] หรือสำเร็จรูปเปน อจฺฉาทิโต ก็มี [ฉท ธาตุ สํวรเณ ในความปองกัน, จัดเขาใน หมวด จุร ธาตุ + ต ปจจัย + อิ อาคม, พฤทธิ์ อ เปน อา] อจฺฉมฺภี (ปุ.) ผูไมสะดุงกลัว, ไมมีความ หวาดเสียว, กลาหาญเด็ดเดี่ยว วิ. ฉมฺภนํ ฉมฺโภ [ถภิ ธาตุ ภเย ในความกลัว + ณ ปจจัย, แปลง ถ เปน ฉ, นิคหิตอาคม] กายสฺส ฉมฺภิตตฺตเหตุภูโต พลวจิตฺตุตฺราโส (การสะดุง กลัว ชื่อวา ฉมฺภ ไดแก ความสะดุงแหงจิต ที่ เปนเหตุแหงความหวาดหวั่นทางกาย), วิ. โส เอเตสํ อตฺถีติ ฉมฺภี (ความสะดุงกลัวนั้น ของชน ทั้งหลายเหลานั้นมีอยู เหตุนั้น ชนทั้งหลาย เหลานั้น ชื่อวา ฉมฺภี), อี ปจจัย ในตทัสสัตถิ ตัทธิต. วิ. น ฉมฺภี อจฺฉมฺภี (ชนทั้งหลายผูมี ความสะดุงกลัวหามิได ชื่อวา อจฺฉมฺภี) เชน ตถาคโต อจฺฉมฺภี(พระตถาคตเจาผูไมทรงสะดงุ กลัว) อจฺฉรา (อิตฺ) นางอัปสร, นิ้วมือ, ขอนิ้ว ๑. ผูพุงไป (อิตฺ) วิ. อสติ วิสฺสชฺเชตีติ อจฺฉรา เทวกฺา องฺคุลิ องฺคุลิโผฏนฺจ (ชื่อวา อจฺฉรา เพราะซัดไป คือพุงไป ไดแก นางฟา, นิ้วมือ, ขอ นิ้ว), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + ฉร ปจจัย โมค. ๗/๑๕๖ วา วสาสา ฉโร + อา ใน อิตถีลิงค, แปลง สฺ เปน จฺ], ๒. ผูมีวรรณผองใส (อิตฺ) อจฺโฉ นิมฺมลวณฺโณ เอติสฺสาตฺถีติ อจฺฉรา (ความผองใส คือมีผิวพรรณสะอาด ของนาง เทพธิดานั่นมีอยู เหตุนั้น เทพธิดานั้น ชื่อวา อจฺฉรา), สันสกฤตวา อปฺสรสฺ, ร ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต, กจฺ. ๓๖๗ รูป. ๔๐๑ วา มธฺวาทิโต โร. ๓. ผูบำรุงบำเรออยางดี (อิตฺ.) วิ. ภุโส จาเรติ ปริจาเรตีติ อจฺฉรา เทวี (ผูใด ยอมบำรุงบำเรออยางดียิ่ง เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อ จ ฺ ฉ ร า ไ ด  แ ก เ ท วี ) , [อ า + จ ร ธ า ตุ ปริจริยายํ ในความรับใช + อ ปจจัย + อา ปจจัยใน อิต., แปลง จ เปน ฉ ดวยมหาสูตร], ๔. ผูมีใบหนาผองใส (อิตฺ.) วิ. อจฺฉํ ปสนฺนตรํ รํ มุขํ ยาย สา อจฺฉรา (ร คือหนาของเทพธิดาใด ผองใสกวา เทพธิดานั้นชื่อวา อจฺฉรา), ร อักษร ใชในความหมายวา หนา (มุขตฺเถ) ลงหลัง อจฺฉ ศัพท ๕. อัศจรรย, การประพฤติใหยิ่ง (นปุ.) วิ. อา ภุโส จรณนฺติ อจฺฉรํ, อจฺเฉรํ (การ ประพฤติยิ่ง คือแรงกลา ชื่อวา อจฺฉร ไดแก อัศจรรย), [อา + จร ธาตุ คติยํ ในความไป + กฺวิ ปจจัย, แปลง จร เปน จฺฉร, จฺเฉร, รัสสะ อา เปน อ, สวน นมกฺการฏีกา วา วิมฺหาปนิยเน อจฺเฉรํ. อยฺหิ อจฺเฉรสทฺโท วิมฺหยตฺถวาจโก อนิปฺผนฺนปาฏิปทิโก. อถ วา อาภุโส วิมฺหโย จรติ ปวตฺตตีติ อจฺเฉรํ, ปาฏิเหรํ, อาปุพฺพ - จร ธาตุ, อ, จรธาตุสฺส จฺเฉราเทโส, อาการสฺส รสฺโส (ชื่อวา อจฺเฉร เพราะอรรถวานาฉงน. ความจริง อจฺเฉร ศัพท กลาวอรรถวา นาฉงน เปนอนิปผันนปฏิปทิก คือ นามศัพทที่ไมสำเร็จ ดวยความเปนสมาส ตัทธิต หรือกิตก จึงตั้ง วิเคราะหไมได. อีกนัยหนึ่ง สิ่งใดที่นาพิศวง อยางยิ่งเปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺเฉร, ปาฏิเหร, [อา บทหนา + จร ธาตุ + อ ปจจัย อาเทศ จร เปน จฺเฉร, รัสสะ อา เปน อ) ๖. ปาฏิหาริย, ไมเปนไปตามปกติ (นปุ.) วิ. อนฺธสฺส ปพฺพตาโรหณํ วิย นิจฺจํ น จรติ น ปวตฺตตีติ อจฺเฉรํ ปาฏิเหรํ (สิ่งใดไมไปหรือไม เปนไปตามปกติ เชน การขึ้นเขาของคนตาบอด


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๓๗ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺเฉร ไดแก ปาฏิหาริย), [น + จร ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย], เหมือนอยางวา การขึ้นภูเขาของคนตาบอดไม เกิดมีประจำ มีบางคราวเทานั้น ฉันใด ปาฏิหาริย สำหรับพระผูมีพระภาคเจาก็ไมเกิดมีประจำ มี บางคราวเทานั้น ฉะนั้น ปาฏิหาริยนั้นจึงชื่อวา อจฺเฉร อัศจรรย, เพราะเหตุนั้น ใน เนตติอรรถกถาจึงวา ยํ อภิณฺหํ น ปวตฺตติ, ตํ อจฺฉริยนฺติ (สิ่งใดไมเปนไปเนืองๆ สิ่งนั้นชื่อวา อจฺฉริย อัศจรรย), แปลง น เปน อ, อาเทศ จร ธาตุเปน จฺเฉร อจฺฉริย (นปุ.ติ.) ๑. อัศจรรย, สิ่งที่ควรเพื่อดีด นิ้ว วิ. อจฺฉรํ ปหริตุํ ยุตฺตนฺติ อจฺฉริยํ อจฺเฉรํ วา (สิ่งใดควรเพื่อจะดีดนิ้ว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺฉริย หรือเปน อจฺเฉร), ยออักษร (อกฺขรสํขิตฺต) ดวยมหาสูตร เชน อภิกฺขณํ เปน อภิณฺหํ, อาจริโย เปน อาเจโร, สุณิสา เปน สุณฺหา, ปุพฺพณฺโห เปน ปณฺโห เปนตน, [อิย หรือ ณฺย ปจจัย ใชใน อรรถ ยุตฺต], ๒. สิ่งที่ประกอบนิ้วมือ วิ. อจฺฉรา โยคฺโคติ อจฺฉริโย (การประกอบดวยนิ้วมือ ชื่อ วา อจฺฉริย), ทำตัวรูปโดยวิธีนิรุตตินัย, ใน อนภิณฺหวุตฺติก วา อจฺฉริย ศัพท หมายถึง อัน เขาปรารถนาแลว (อิจฺฉิต), อธิบายวา อันเขาดีด นิ้วปรารถจะเห็น, อจฺฉริยํ ก็วา, [ณิย ปจจัย ใช ในอรรถ โยคฺค], ๓. การประพฤติใหยิ่ง (นปุ.ปุ.) วิ. อา ภุโส จรณํ จริยํ วา อิติ อจฺฉริยํ (การเที่ยว ไป หรือการประพฤติใหยิ่ง ชื่อวา อจฺฉริย), วิ. อา ภุโส จริตพฺโพติ อจฺฉริโย วิมฺหโย (สภาวะ อันเขาพึงประพฤติยิ่ง คือแกกลา ชื่อวา อจฺฉริย ไดแก ความนาพิศวง), สันสกฤตวา อาศฺจรฺยะ [อา + จร ธาตุ คติยํ ในความไป, กฺวิ ปจจัย, แปลง จร เปน จฺฉริย, รัสสะ อา เปน อ, แปลง จฺฉริย และลง กฺวิ ปจจัย ดวย จ ศัพท ในสูตร รูป. ๖๕๕ วา อาปุพฺพจรสฺส จ, ศัพทนี้ถาเปน นาม (อภิเธยฺยลิงฺค) พึงทราบวาเปนนปุงสกลิงค แตถาเปนคุณนาม (วาจฺจลิงฺค) เปนได ๓ ลิงค ตตฺถ อภิเธยฺยลิงฺโคติ ปธานลิงฺโค, คุณีปทสงฺขาตลิงฺโค วา. วาจฺจลิงฺโคติ อปฺปธานลิงฺโค, คุณนามสงฺขาตลิงฺโค วา. ใน ๒ อยางนั้น อธิเธยยลิงค หมายถึง ศัพทที่เปนนามหลัก คือ ศัพทที่ใชเปนคุณีบท (บทนามนามที่คูคุณนาม) วาจจลิงค หมายถึง ศัพทที่ไมใชคำนามหลัก หรือศัพทประเภทคุณนาม, แมพบคำนี้ตอไปก็ นัยนี้ และจะไมกลาวนัยนี้ซ้ำอีก เพราะคัมภีรนี้ จะหนักไป, ดู สัททนีติ ปทมาลา ปริจเฉทที่ ๑๑ (ฉบับแปล หนา ๗๙๕) แตในคัมภีรอื่น เชน อภิธานัปปทีปกา ตรงกันขาม คืออภิเธยยลิงค หมายถึง คุณนาม อจฺฉา (อิตฺ) ใส, ความริษยา, พระนางกัณหาชินะ วิ. อชนํ อจฺฉา (การไป ชื่อวา อจฺฉา), [อช ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ฉ ปจจัย, แปลง ช เปน จฺ, อา ปจจัยใน อิต.], อจฺฉนํ อจฺฉา (การเขาไปหา ชื่อวา อจฺฉา), [อาส ธาตุ อุปเวสเน ในความเขา ไปนั่งใกล + อ ปจจัย + อา ปจจัยใน อิต., แปลง ส ที่สุดธาตุ เปน จฺฉ, รัสสะ อา เปน อ], อจฺฉา ศัพท มีความวา วิปฺปสนฺโนทกอิสฺสากณฺหาชินวาจโก (น้ำใส, ความริษยา, พระนางกัณหาชินะ) อจฺฉาทน (นปุ.) ๑. ผา, เครื่องปกปดรางกาย วิ. สรีรํ อจฺฉาเทติ สํวรติ อเนนาติ อจฺฉาทนํ วตฺถํ (เขาปกปดรางกายดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวาอจฺฉาทน ไดแกผา), [อา + ฉท ธาตุ สํวรเณ ในความปองกัน + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน + ทีฆะ อ ที่ ฉ กลางศัพท เปน อา, ซอน จฺ และรัสสะเปน อ], ๒. หลังคา, เครื่องปกปด,


๓๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เครื่องบัง, เครื่องมุง (นปุ.) วิ. อา ภุโส ฉาทียเต เอเตนาติ อจฺฉาทนํ, ฉทนํ. (เรือนเปนตน อันเขา ปกปดไวดียิ่ง ดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อจฺฉาทน ไดแก เครื่องมุง), ๓. เสื้อผา, เครื่อง ปกปดใหเรียบรอย (นปุ.) วิ. อา ภุโส ฉาเทติ ปริทหติ เอเตนาติ อจฺฉาทนํ, นิวาสนํ (เขายอม ปกปด คือหมดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อจฺฉาทน ไดแก ผานุงหม) ๔. การมุง, การ ปกปด, การนุง วิ. อจฺฉาทียเต อจฺฉาทนํ (อัน เขายอมปกปด ชื่อวา อจฺฉาทน), [อา บทหนา + ฉท ธาตุ ฉาทเน ในความปกปด จัดเขาในหมวด จุร ธาตุ + ยุ ปจจัย] อจฺฉาเทตฺวา (กิ.กิตฺ.) หมแลว, ใหหมแลว วิ. ปริทหิตฺวาติ อจฺฉาเทตฺวา (อจฺฉาเทตฺวา แปลวา หมแลว), [อา + ฉท ธาตุ ฉาทเน ใน ความปกปด + เณ ปจจัย จุราทิคเณ ในหมวด จุร ธาตุ + ตฺวา ปจจัย, อีกนัยหนึ่ง อา + ฉท ธาตุ ฉาทเน ในความปกปด + เณ ปจจัย การิเต ในอรรถการิต คือใชใหคนอื่นทำ + ตฺวา ปจจัย] นัยเดียวกันเชน อจฺฉาเทนฺโต, ลง อนฺต ปจจัย อจฺฉิ (นปุ.) ๑. ตา, นัยนตา วิ. อจฺฉติ ปสฺสติ อเนนาติ อจฺฉิ จกฺขุ (บุคคลมองเห็นดวยอวัยวะ นั่น เหตุนั้น อวัยวะนั้นชื่อวา อจฺฉิ ไดแก นัยนตา), [อจฺฉ ธาตุ ทสฺสนพฺยาปเนสุ ใน ความเห็นและซานไป + อิ ปจจัย], อจฺฉิ ศัพท เปน อิการันต ใน นปุ. ๒. นยันตาชางกุญชร ใน ที่บางแหง คือใน วชิรพุทธิฏีกา ๑๕๕ วา อจฺฉีติ กุฺชรกฺขิ (คำวา อจฺฉฺ หมายถึง ตาชางกุญชร), ๓. เขาไปแลว (กิ.อา.) อีกอยางหนึ่ง บทนี้เปน อาขยาต ก็ไดบาง มีความหมายวา เขาไปแลว (อุปาสิ) อจฺฉิชฺช (กิ.กิต.) ชิงเอาแลว วิ. อจฺฉินฺทิตฺวาติ อจฺฉิชฺช วิลุมฺปตฺวา (ชิงเอาแลว ชื่อวา อจฺฉิชฺช ไดแก ปลนแลว), [อา + ฉิทิ ธาตุ ทฺวิธากรเณ ใน ความตัดเปน ๒ สวน อาทาเน วา หรือในความ ถือเอา + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ชฺช และ ลบที่สุดธาตุ ดวย กจฺ. ๖๐๐ รูป. ๖๔๕ วา มหท เภหิ มฺม-ยฺห-ชฺช-พฺภ-ทฺธา จ, ซอน จฺ, รัสสะ อา เปน อ], นัยเดียวกันเชน อจฺฉินฺทิตฺวา ลงนิคหิต อาคม และ อิ อาคม, อจฺฉินฺทิย แปลง ตฺวา เปน ย, ปาฐะวา อจฺเฉชฺช ก็มี, นัยเดียวกัน ลง อนฺต ปจจัย เปน อจฺฉินฺทนฺโต อจฺฉินฺน (ติ.) ๑. อันเขาตัดแลว วิ. อจฺฉินฺทียิตฺถาติ อจฺฉินฺโน (สิ่งใดอันเขาตัดแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อจฺฉินฺน), [อา + ฉิทิ ธาตุ เฉทเน ในการ ตัด + ลง กฺต ปจจัย กจฺ.๖๔๓ รูป.๖๓๕ วา ภฺยาทีหิ มติพุธิปูชาทีหิ จ กฺโต], ๒. อันเขาตอง ตัด (ติ.) วิ. อจฺฉินฺทิตพฺโพติ อจฺฉินฺโน (สวนอัน เขาพึงตัด ชื่อวา อจฺฉินฺน), [อา + ฉิทิ ธาตุ ทฺวิธากรเณ ในความตัด + ต ปจจัย แปลงเปน อนฺน], ๓. สิ่งที่ขาดแลว วิ. อจฺฉิชฺชิตฺถาติ อจฺฉินฺนํ (สิ่งใดขาดแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อจฺฉินฺน), [อา + ฉิทิ ธาตุ ทฺวิธากรเณ ในความ ตัดเปน ๒ สวน + ต ปจจัย แปลงเปน อินฺน และ ลบที่สุดธาตุ ดวยสูตร กจฺ.๕๘๒ รูป.๖๓๑ วา ภิทาทิโต เปนตน ], ๔. อันเขาชิงเอาแลว (ติ.) คำวา อจฺฉินนฺ ในคำวา อจฺฉินนฺจีวโร ในอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบท มีความหมายวา อันเขาชิงเอา (วิลุตฺตํ) หรือลักแลว (อาทินฺนํ วา), [อา + ฉิทิ ธาตุ อาทาเน ในความถือเอา เพราะธาตุมีหลาย ความหมาย + ต ปจจัย], สวนใน โยชนาปาจิตยฺาท- ิ โยชนา อธิบายวา อจฺฉิทฺทจีวโรติ เอตฺถ อากาโร โกธตฺโถ, อฑฺฑตฺโถ วา โหติ, ฉิทฺทตฺโถ ทูสนตฺโถ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๓๙ โหติ (อา อักษรในคำวา อจฺฉิทฺทจีวโร มี ความหมายวา โกรธเคือง (โกธ ทุสฺสน) หรือ ทำใหขาด (อฑฺฑ ฉิทฺท), เพราะฉะนั้น จึงอธิบาย วา อา โกเธน อฑฺเฑน วา ฉิทฺโท ทูสิโตติ อจฺฉิทฺโท (ผูอันเขาตัดหรือประทุษรายดวยความ โกรธและทำใหขาด), ปาฐะวา อจฺฉินฺโน ก็มี. นัยเดียวกัน อจฺฉินฺทนํ (การตัดขาด, การชิงเอา), ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ. อจฺเฉโท (การตัด, การชิง เอา) ณ ปจจัย ในภาวสาธนะ วิ. น ฉินฺโน อจฺฉินฺโน (ไมใชการตัด ชื่อวา อจฺฉินฺโน-ไมมี ชอง) เชน อจฺฉินฺโน อสุสิโร เอกคฺฆโน (ทึบเปน เนื้อเดียว ไมมีชอง ไมมีโพรง), ปาฐะวา อจฺฉิทฺโท ก็มี อจฺฉุเปยฺย (นปุ.) ผาดามอันเขาพึงดาม, ผาอันเขาพึงนำไปที่ชองซึ่งกลมหมือนดวงตา วิ. อจฺฉิ วุจฺจติ เนตฺตมณฺฑลํ, ตํ วิยาติ อจฺฉิ ฉิทฺโท (ดวงตา อันเขาเรียกกันวา อจฺฉิ, ชองขาด เรียกวา อจฺฉิ เพราะเปนเหมือนดวงตานั้น), ตสฺมึ อุปคนฺตพฺพํ อุปเนตพฺพนฺติ อจฺฉุเปยฺยํ (ผาดามอันเขาพึงนำไปที่ชองนั้น เหตุนั้น ผานั้น จึงชื่อวา อจฺฉุเปยฺย), [อจฺฉิ + อุป + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ณฺย ปจจัย] อจริม (ติ.,กิ.วิ.) ไมใชสุดทาย, ไมหลัง วิ. น จริมํ อจริมํ (สิ่งที่ไมใชสุดทาย ชื่อวา อจริม), [แปลง น เปน อ], เปน นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส, บัณฑิตพึงเทียบการจำแนกธาตุปจจัยกับบทวา จริม ขางหนา อจินฺเตยฺย (ติ.) ไมควรคิด วิ. จินฺเตตพฺพนฺติ จินเฺตยฺยํ, น จินฺเตยฺยํ อจินเฺตยฺยํ, อจินตฺิยํ (สิ่งใด อันบุคคลพึงคิด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา จินฺเตยฺย, สิ่งที่อันบุคคลไมควรคิด ชื่อวา อจินฺเตยฺย ไดแก สิ่งที่ไมควรคิด), [น + จินฺต ธาตุ จินฺตายํ ใน ความคิด + ฆฺยณฺ ปจจัย, ลง อี อาคม แปลงเปน เอ, ซอน ยฺ] ในขอนี้มีตัวอยางวา พุทฺธานํ ภิกฺขเว พุทฺธวิสโย อจินฺเตยฺโย น จินฺเตตพฺโพ, ยํ จินฺเตนฺโต อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺส. ฌายิสฺส ภิกฺขเว ฌานวิสโย อจินฺเตยฺโย ฯเปฯ กมฺมวิปาโก ภิกฺขเว อจินฺเตยฺโย ฯเปฯ โลกจินฺตา ภิกฺขเว อจินฺเตยฺยา องฺ.จตุกฺก. ๒๑/๗๖/๑๐๒ [ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจา ทั้งหลาย เปนอจินไตย อันบุคคลไมควรคิด เมื่อคิด พึงเปนผูมีสวนแหงความเปนบา, ดูกอน ภิกษุทั้งหลาย ฌานวิสัยของผูไดฌาน เปน อจินไตย ฯลฯ, ดูกอนภิกษุทั้งหลายวิบากแหง กรรม เปนอจินไตย, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ความคิดเรื่องโลก เปนอจินไตย] เอวํ อจินฺติยา พุทฺธา, พุทฺธธมฺมา อจินฺติยา, อจินฺติเย ปสนฺนานํ วิปาโก โหติ อจินฺติโย นัย.ขุ.อป.๓๒/๑/๙ [ดวย ป ระ การฉะนี้ พร ะ พุท ธเจ า ธร รมของ พระพุทธเจาๆ ใครๆ ไมอาจคิดได เมื่อบุคคล เลื่อมใสในพระพุทธเจาและพระธรรม อันใครๆ ไมอาจคิดได ยอมใหผลอันใครๆ คิดไมได] ใน คัมภีรชินาลังการฎีกา (รังษี สุทนต แปล, น.๖๖) วา ในคำวา อจินฺติโย ใครไมควรคิดนี้ อ อักษร มีเนื้อความวาเจริญ ดุจในคำวา อเสกฺขา ธมฺมา อเสกขธรรม จริงอยูอันการคิดเรื่องพุทธคุณนี้ เปนความคิดที่ถึงความเจริญแผขยาย ในวิสัย ชาวโลกเปนตน ที่ไมควรคิด อันสิ่งที่พึงคิดดวย จิต ที่ถึงความอัศจรรย ความแปลกใจ ความ ประหลาดใจ อยางนี้ นอกจากนี้ไมมี อีกอยาง หนึ่ง อ อักษรนี้มีเนื้อความปฏิเสธ พระพุทธคุณ ของพระผูมีพระภาคนั้น ใครไมพึงถึง คือพึงไป ดวยความคิด หาที่สิ้นสุดมิได เพราะเหตุนั้น จึง ชื่อวา อจินฺติโย ใครไมพึงคิด เพราะเหตุไร


๔๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เพราะเหตุที่พระพุทธคุณนั้นละเอียดออนยิ่งนัก ลุมลึกคัมภีรภาพ กำหนดประมาณมิได และมิใช วิสัย นี้เปนเพียงตัวอยางแหงพุทธคุณ, แต คำอธิบายตอจากนี้ ผูศึกษาพึงคนดูจากบาลีและ อรรถกถาเปนตนเถิด อจิรปกฺกนฺต (ติ.) ผูไปแลวไมนาน, ผูเพิ่งไป วิ. อจิรํ ปกฺกนฺตํ ยสฺส โสยํ อจิรปกฺกนฺโต (การ กาวไปยังไมนานของคนนั้นมีอยู เหตุนั้น คนนั้น ชื่อวา อจิรปกฺกนฺต), อีกนัยหนึ่ง อปกฺกมีติ ปกฺกนฺโต, ปุริโส, อจิรํ ปกฺกนฺตสฺส ยสฺส โสยํ อจิรปกฺกนฺโต (บุรุษผูกาวไปแลวชื่อวา ปกฺกนฺต, ระยะเวลาไมนานของคนนั้นมีอยู เหตุนั้น คนนั้น ชื่อวา อจิรปกฺกนฺต) นัยนี้เปนวิเคราะหสมาส มีกิตกเปนทอง อจิรปพฺพชิต (ปุ.) ผูบวชยังไมนาน, ผูบวช ใหม วิ. อจิรํ ปพฺพชิตํ ยสฺส โสยํ อจิรปพฺพชิโต, อธุนาคโต อิมํ ธมฺมวินยํ, อปุราณวณฺณี วา (การ บวชไมนานของภิกษุนั้นมีอยู เหตุนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวา อจิรปพฺพชิต ไดแก ผูเขามาสูพระธรรม วินัยนี้ยังไมนาน หรือผูมีหนายังไมเกา) อจิรปรินิพฺพุต (ปุ.) ผูทรงปรินิพพานยังไม นาน, ผูเพิ่งปรินิพพาน วิ. อจิรํ ปรินิพฺพุตํ ยสฺส โสยํ อจิรปรินิพฺพุโต (การปรินิพพานยังไมนาน ของพระพุทธเจาพระองคใด พระพุทธเจา พระองคนั้น พระนามวา อจิรปรินิพฺพุโต), วิ. อจิรํ ปรินิพฺพุตสฺส อสฺสาติ อจิรปรินิพฺพุโต (ระยะเวลาไมนานของพระพุทธเจาผูปรินิพพาน แลวนั้น เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระนามวา อจิรปรินิพฺพุต), นัยนี้เปน จตุตฺถีพหุพฺพีหิสมาส หมายความวา สตฺตาหปรินิพฺพุโต (ปรินิพพาน ไปเพียง ๗ วัน) เชน มาสชาโต เปน พาหิรัตถะ พหุพพิหิสมาส อจิรปฺปภา (อิตฺ) สายฟาแลบ, สายฟาที่ ปรากฏไมนาน วิ. อจิรํ ปภา ทิตฺติ ยสฺสา สา อจิรปฺปภา วิชฺชุ. (สายฟา คือแสงสวาง ไมนาน ของภาวะใด เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อจิรปภาไดแก สายฟา) บทนี้เปนพหุพพิหิสมาส อจิรวตี (อิตฺ) แมน้ำอจิรวดี, แมน้ำมีกระแสเชี่ยว, แมน้ำมีการไหลไมชา วิ. อจิรํ สีฆํ คมนเมติสฺสํ อตฺถีติ อจิรวตี (การไหลไปไมชา หรือเชี่ยว ใน แมน้ำนั่น เหตุนั้น แมน้ำนั้นชื่อวา อจิรวตี), [วนฺตุ ปจจัย + อี ปจจัย ในอิตถีลิงค + แปลง นฺตุ เปน ต, กจฺ. ๒๔๑, รูป.๑๙๑ วา นฺตุสฺส ตมีกาเร], มหานที ๕ ที่เกิดจากภูเขาหิมวันต คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหี อเจลก (ปุ.) คนไมนุงผา, คนเปลือย, พวก นิครนถซึ่งเปนนักบวชนอกพุทธศาสนา วิ. นตฺถิ เจลํ วตฺถเมตสฺสาติ อเจลโก นิคณฺโ (ทอนผา คือผาของนักบวชนั่นไมมี เหตุนั้น นักบวชนั้นชื่อวา อเจลก ไดแก นิครนถ), [ลง ก ปจจัยทายสมาส], ใน สารตฺถทีปนี ๔/๑๔๖ วา ปริพาชกชีเปลือย มี ๒ พวก คือ อาชีวก และ อเจลก ใน ๒ พวกนี้ อาชีวก สอดผาดานหนึ่ง เขาไปใกลรักแรแลวหมไวเปลือยตอนลาง อเจลก เปลือยหมดเลย (อเจลโก สพฺเพนสพฺพํ นคฺโคเยว), รูปวา อเจโล ก็มี คำวา สพฺเพนสพฺพํ นั้นเปนนิบาตทั้ง ๒ บท อช (ปุ). แพะ, ๑. สัตวที่เดินไป วิ. อชติ คจฺฉตีติ อโช ฉคลโก (สัตวใดยอมเดินไป เหตุนั้น สัตวนนั้ ชื่อวา อช ไดแก แพะ), [อช ธาตุ คมเน ในความ ไป + อ ปจจัย], ๒. สัตวที่ไมเกิด วิ. น ชายตีติ อโช, อชามิโค, วิณฺหุ วา (สัตวใดไมเกิด เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อช ไดแก เนื้อคือแพะ, หรือ พระวิษณุ), [น + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด +


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๔๑ กฺวิ ปจจัย], สวนใน สทฺทนีติ ธาตุมาลา (ฉบับ แปล หนา ๓๒๕) วา อโชติ เอฬโก (อช คือ แพะ), คำวา อโช เอฬโก อุรพฺโภ อวิ เมณฺโฑ เปนไวพจนกัน, ในคำเหลานี้ อุรพฺโภ คือ เอฬโก ที่เรียกกันวา อช (แพะ), อวิ คือแพะมีขนแดง, เมณฺโฑ คือแพะมีเขางอ, อยางไรก็ตามในชนก ชาดก ทานกลาวแยกกันระหวาง อช กับ เมณฺฑ คือกลาวแยกตางกันระหวางรถเทียมแพะ (อช รถ) กับรถเทียมแกะ (เมณฺฑรถ), อีกนัยหนึ่ง อช กับ เอฬก ก็ตางกัน ฉะนั้น จะเรียก เมณฺฑ ดวย เอฬก ก็ได แตใน อรรถกถามโหสธชาดก ทาน กลาววา เมณฺฑ กับ เอฬกา ไมตางกัน; ในอิตถี- ลิงค ไดรูปเปน อชา อชี (แพะตัวเมีย), ลง อา และ อี ปจจัยในอิตถีลิงคตามลำดับ อชคร (ปุ.) งูเหลือม, สัตวที่กลืนกินแพะ วิ. อชํ ฉาคํ คิลตีติ อชคโร วาหโส (สัตวใดยอมกลืนกิน แพะ เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อชคร ไดแก งูเหลือม), [คิล ธาตุ คิลเน ในความกลืนกิน + อ ปจจัย, แปลง อิ เปน อ, แปลง ล เปน ร, บาง คัมภีรเกาในที่บางแหง ปาฐะวา อชคโล อชฺ (นปุ.) ๑. อันตราย, สิ่งที่ไมไดเกิด ตลอดเวลา วิ. สพฺพกาลํ น ชายตีติ อชฺํ (สิ่งใด ไมเกิดขึ้นตลอดเวลา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺ), [น + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + ณฺย ปจจัย, แปลง นฺย เปน ฺ]. ๒. สิ่งที่ไมให ผลประโยชนเกิด วิ. ผลํ น ชเนตีติ อชฺํ (สิ่งใดไมใหผลประโยชนเกิด เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อชฺ), ๒. สิ่งที่นาเกลียด (ติ.) อชฺนฺติ อมนุฺํ ชิคุจฺฉนียํ, ปฏิกูลํ อมนาปเมว (คำวา อชฺ หมายถึง ไมนาชอบใจ นารังเกียจ เปน ของปฏิกูล คือไมนาชอบใจนั่นเอง เชน อชฺํ ชฺสงฺขาตํ (นาเกลียด แตนับกันวานาชอบใจ), วิ. ตํ หิ ธูโม วิย อคฺคิสฺส กมฺมผลสฺส ปกาสนมตฺตเมว กโรติ, น จ ตํ ชเนตีติ อชฺํ อีติ, อุปสคฺโค อุปทฺทโว วา (ก็อันตรายที่ชื่อวา อชัญญะ นั้น ทำไดเพียงประกาศผลกรรมของ ตน เหมือนควันประกาศใหทราบไฟ, และ อันตรายอันนาเกียจนั้นก็ไมใหผลประโยชน เกิดขึ้นได ฉะนั้น จึงชื่อวา อชัญญะ ไดแก ความ จัญไร คือ อันตราย หรืออุปสัค), [น + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + ณฺย ปจจัย]. อชฏากาส (ปุ.) กลางหาว, ทองฟา, อากาศไม มีที่รกชัฏ, วิ. นตฺถิ ชฏํ อสฺสาติ อชโฏ (ที่รกชัฏ ของอากาศนั้นไมมี เหตุนั้น อากาศนั้น ชื่อวา อชฏ) แตใน อนุทีปนี วา วิ. นตฺถิ ชฏา เอตฺถาติ อชโฏ (ที่รกชัฏบนอากาศนั้นไมมี เหตุนั้น อากาศนั้นจึงชื่อวา อชฏ), อชโฏ เอว อากาโส อชฏากาโส (อากาศคืออชฏะ ชื่อวา อชฏากาส), คำนี้มีความหมายวา อนฺตลิกฺโข (กลางหาว) นภํ (ทองฟา) ตุจฺฉากาโส (อากาศวางเปลา) อชป (ปุ.) ผูสวดไมได, ไมสามารถสาธยาย วิ. น ชปนฺตีติ อชปา พฺราหฺมณา, มนฺตานํ อนชฺฌายกาติ อตฺโถ (พราหมณเหลาใด ไมสวด เหตุนั้น พราหมณเหลานั้น ชื่อวา อชปาพราหมณแกสวดมนตไมได, หมายความวา ผูไม สามารถสาธยายมนต), [น + ชป ธาตุ จิตฺตนติวาจาสุ ในความคิดและกลาว + อ ปจจัย] อชปาล (ปุ.) ๑. ตนไมเปนที่พักของชนเลี้ยง แพะ วิ. อชํ ปาเลนฺติ อาทิยนฺติ นิวาสํ เอตฺถาติ อชปาโล (ชนทั้งหลายเลี้ยงแพะอยู ยึดเอาที่พัก ที่ตนไมนั้น เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อชปาล), [อช + ปาล ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + ณ ปจจัย], ๒. ผูเลี้ยงแพะ (ปุ.) วิ. อชํ ปาเลตีติ อชปาโล, อชปาลโก (ผูใดยอมบริบาลซึ่งแพะ


๔๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อชปาล, อชปาลก), [อช + ปาล ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + ณ ปจจัย, และ ณฺวุ ปจจัย] ๓. ที่พักของพวกพราหมณที่ สามารถสวดพระเวทไดแลว วิ. อชปา พฺราหฺมณา ลนฺติ นิวาสํ คณฺหนฺติ เอตฺถาติ อชปาโล (พวกพราหมณที่ไมสามารถสวดพระ เวท ยึดไวคือยึดที่พักที่ตนไมนั้น เหตุนั้น ตนไม นั้นชื่อวา อชปาล ตนไมที่พักของพวกพราหมณ ที่สามารถสวดพระเวทไดแลว), [อชป + ลา ธาตุ คหเณ ในความถือเอา + อ ปจจัย, ทีฆะกลาง ศัพท) อชปาลก (นปุ.) ตนโกฐ, ตนไมที่รักษาแพะที่ เขามาอาศัยเงาตน วิ. อตฺตโน ฉายูปคเต อเช ปาเลตีติ อชปาลกํ กุํ (ตนไมใดยอมรักษา แพะที่เขาไปอาศัยเงาตน เหตุนั้น ตนไมนั้น ชื่อวา อชปาลก ไดแก ตนโกฐ), [อช + ปาล ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + ณฺวุ ปจจัย อาเทศเปน อก] อชปาลนิโคฺรธ (ปุ.) ตนอชปาลนิโครธ, ตนไทรชื่ออชปาล, ตนไมเปนที่นั่งพักของคน เลี้ยงแพะ วิ. อเช ปาเลนฺตีติ อชปาลา, เตสํ นิสินฺโนกาโส นิโคฺรโธ อชปาลนโิครฺโธ (ชนเหลา ใดเลี้ยงแพะ เหตุนั้น ชนเหลานั้น จึงชื่อวา อชปาล, ตนไทร เปนที่พวกชนเลี้ยงแพะนั้นนั่ง จึงชื่อวา อชปาลนิโคฺรธ), ๒. ตนไทรเปนที่พัก ของพวกพราหมณแกที่ไมสามารถสาธยาย พระเวท (ปุ.) อาจารยบางพวกกลาวกันวา พราหมณแกไมสามารถสาธยายพระเวทไดแลว เขาจึงลอมเครื่องลอมใหพำนักอยูที่ตนไมนั้น ตนไมนั้นจึงไดชื่อวา อชปาลนิโคฺรโธ วิ. น ชปนฺตีติ อชปา, มนฺตานํ อนชฺฌายกาติ อตฺโถ, อชปา พฺราหฺมณา ลนฺติ อาทิยนฺติ นิวาสํ เอตฺถาติ อชปาโล (พราหมณแกเหลาใดไมสวด เหตุนั้น พราหมณแกเหลานั้น จึงชื่อวา อชปา, พราหมณ ที่สวดไมไดนั้น ยอมยึดที่พักที่ตนไทรนั้น เหตุนั้น ตนไทรนั้น ชื่อวา อชปาล), ๓. ตนไมที่รักษา แพะที่เขาไปภายในเงาตน บางอาจารยอธิบาย วา ยสฺมา มชฺฌนฺหิเก สมเย อนฺโต ปวิเ อเช อตฺตโน ฉายาย ปาเลติ รกฺขติ, ตสฺมา อชปาโล ติสฺส นามํ รุฬฺหนฺติ (เพราะตนไทรรักษาแพะที่ เขาไปอาศัยรมเงาเวลาเที่ยงวัน ฉะนั้น คำวา อชปาล จึงกลายเปนชื่อของตนไทรนั้น), ที่กลาว มาทุกนัยนั้น เปนชื่อของตนไม, เมื่อได อชปาโล แลว จึงสมาสกับบทวา นิโคฺรโธ วา อชปาโล จ โส นิโคฺรโธ เจติอชปาลนโิครฺโธ (ตนอชปาลนั้น ดวย ตนไทรดวยชื่อวา อชปาลนิโคฺรโธ) อชฺช (อพฺ.) ในกาลน้ี, บัดน้ี, แปลกันวา ในวันนี้ วิ. อิมสมฺึกาเล อชฺช, อิม + ชฺช ปจจัย กจฺ.๓๙๑ รูป. ๔๒๓ วา ยท เปนตน ในอรรถกาลสัตตมี, ใน นีติ.สุตฺต. วา อชนํ อชฺชา คตินิวตฺตนํ (การ หยุด ชื่อวา อชฺชา), [อช ธาตุ คติกฺเขปเน ใน ความหามการไป+ ช ปจจัย นีติ.สุตฺต ๑๒๕๙ วา อชสทโต โช] อชฺชตน (ติ.) ๑. มีในกาลน้,ี มีในวันนี้ วิ. อชฺช ภโว อชฺชตโน (มีในวันนี้ ชื่อวา อชฺชตน), [อชฺช + ตน ปจจัย แทน ภว (มี) โมคฺ. ๔/๒๑ วา อชฺชาทีหิ ตโน], บทวา สฺวาตโน (มีในวันพรุง), หิยฺยตฺตโน (มีในวันวาน) ก็นัยนี้, มติ ปทรูปสิทฺธิ อธิบายสูตร ๔๒๓ วา อิมสฺมึ กาเล อิมสฺมึ ทิวเส วา อชฺช (มีในกาลนี้ หรือในวันนี้ ชื่อวา อชฺช), สมาเน กาเล สชฺชุ (มีในกาลเดียวกัน ชื่อวา สชฺชุ), อปรสฺมึ ทิวเส อปรชฺชุ (มีในวันพรุงนี้ ชื่อ วา อปรชฺชุ), ตน ปจจัย ใชลงหลังนิบาต มี ความหมายวา ภว (มี) เชน อชฺช ภวํ อชฺชตนํ (มี


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๔๓ ในวันนี้), อชฺช ภวา อชฺชตนี(มีในวันนี้), เสฺว ภวํ สฺวาตนํ(มีในวันพรุง), คำวา ปุราตนํ (มีในกอน) ก็นัยนี้, สวนใน ปาจิตฺยาทิโยชนา วา อสฺมึ อหนิ อชฺช, อิมสทฺทโต อหนีติ อตฺเถ ชฺชปจฺจโย, อิมสทฺทสฺส จ อกาโร, อชฺช เอว อชฺชตนา, สฺวตฺโถ หิ ตนปจฺจโยติ (ในวันนี้ ชื่อวา อชฺช, ลง ชฺช ปจจัย หลัง อิม ศัพท ในอรรถวา ในวัน) และ แปลง อิม เปน อ, อชฺช นั่นเอง ชื่อวา อชฺชตนา, ความจริง ตน ปจจัย ใชในอรรถสกัตถ อชฺชตคฺค (อพฺ. ติ.) วันน้เีปนตนไป, มีวันน้เีปน เบื้องตน, เบื้องตนในวันน้ี คำวา อชฺชตคฺค นี้ ในสมันตปาสาทิกา ๑/๑๙๖ ปรากฏเปนสัตตมี วิภัตติ เปน อชฺชตคฺเค อธิบายวา อคฺค ศัพทนี้ ในบทวา อชฺชตคฺเค นี้ ยอมปรากฏในอรรถวา อาทิ (เบื้องตน) โกฏิ (เบื้องปลาย) โกฏฐาสะ (สวน) และ เสฏฐะ (ประเสริฐ) ถามวามีตัวอยาง หรือไม, ตอบวา มีตัวอยาง เชนวา อุปาสโกหํ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คโต (ขาพเจาเปน อุบาสก ถึงพระรัตนตรัยวาเปนสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแตวันนี้ เปนตนไป), สวนใน สารตฺถทีปนี, ๔/๑๐๐ วา อชฺชตคฺเคติ เอตฺถายํ อคฺคสทฺโท อาทิอตฺเถ, ตสฺมา อชฺชตคฺเคติ อชฺชตํ อาทึ กตฺวาติ เอวมตฺโถ เวทิตพฺโพ, อชฺชตนฺติ อชฺช ภาวํ, อชฺชทคฺเคติ วา ปาโ, ทกาโร ปทสนฺธิกโร, อชฺช อคฺคํ กตฺวา (อคฺค ศัพทในบทวา อชฺชตคฺเค นี้ มีความหมายวา เปนตน เพราะฉะนั้น พึงทราบความหมายของบทวา อชฺชตคฺเค อยาง นี้วา อชฺชตํ อาทึ กตฺวา แปลวา กระทําความ เปนวันนี้ใหเปนตน. บทวา อชฺชตํ ความเทากับ อชฺชภาวํ แปลวาความเปนวันนี้. อีกอยางหนึ่ง ปาฐะเปน อชฺชทคฺเค. ท อักษรกระทําปทสนธิ ความเทากับวา อชฺช อคฺคํ กตฺวา ความวา กระทําวันนี้ใหเปนตนไป), สทัทนีตินีติ.๑๔๗ วา อชฺชตํ อคฺคํ ลบนิคหิตดวยสูตรวา โลป ใน ปทรูปสิทธิ รูป.๓๔ วา ในเพราะ อคฺค อยูหลัง ลง ต อาคม หลัง อชฺช ดวยสูตรวา ยวมทนตรลา จาคมา อชฺชนฺห (อพฺ.) ขณะนี้ของวัน, เฉพาะวันนี้, วันนี้วันเดียว วิ. อหสฺส อชฺช อชฺชนฺหํ (ในวันนี้ แหงวัน), แปลง อห เปน อนฺห ดวยสูตร กจฺ. ๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน คำนี้ทานกลาว ไวโดยถือนัยภาษาสันสกฤต แตในบาลีไดมีรูป อยางนี้ วิ. อชฺช จ ตํ อโห จาติ อชฺชณฺโห (ขณะนี้ นั้นดวย วันนี้ดวย ชื่อวา อชฺชณฺห) วิ. อชฺช จ ตํ อหํ จาติ อชฺชณฺหํ (ขณะนี้นั้นดวย วันดวย ชื่อวา อชฺชณฺห), แปลง อห ซึ่งอยูหลัง ปุพฺพ ศัพทเปนตน เปน ณฺห ดวยสูตร โมคฺ.๓/๑๑๐ วา ปุพฺพาปรชฺชสายมชฺเฌหาหสฺส โณฺห นัยเดียวกันเชน อปรนฺหํ อปรณฺหํ, อปรณฺโห (ชวงหลังของวัน) ปุพฺพนฺหํ ปุพฺพณฺหํ, ปุพฺพณฺโห (ชวงแรกของวัน) มชฺฌนฺหํ มชฺฌณฺหํ (กลางวัน), สายนฺหํ สายณฺหํ, สายณฺโห (สายัณห, กาลสิ้นไปแหงวัน) อชฺชว (นปุ.) ความชื่อตรง, ความเปนแหง บุคคลผูซื่อตรง วิ. อุชุโน ภาโว อชฺชวํ, อชิมฺหตา อกุฏิลตา อวงฺกตาติ อตฺโถ (ความเปน แหงคนซื่อตรง ชื่อวา อชฺชว, ไดแกความเปนผู ซื่อตรง ความไมคด ความไมโกง), [ณ ปจจัย กจฺ. ๓๖๑ รูป.๓๘๘ วา วิสมาทีหิ, เพราะ ณ แปลง อุ เปน อา, ซอน ชฺ และรัสสะ อา เปน อ ดวย รูป. ๓๕๔ กฺวจาทิ เปนตน]; สทฺทนีติ สุตฺตมาลา สูตร ๘๕๗ ฉบับแปล หนา ๘๔๕ วา สำหรับคำวา “อาชฺชวํ” ซึ่งมีรูปวิเคราะหวา “อุชุโน ภาโว อาชฺชวํ” นี้ ขาพเจาแสดงตามความเห็นของนัก


๔๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ไวยากรณ, แตตามนัยพระบาลี จะมีรูปที่รัสสะ อา เปน อ วา อชฺชโว โดยวิเคราะหวา “อุชุโน ภาโว อชฺชโว” (ความเปนผูซื่อตรง). คำนี้ โดยมากนิยมใชเปนรูปปุงลิงค เหมือน คารว ศัพท ในขอความนี้วา “คารโว จ นิวาโต จ” ดังมีหลักฐานจากพระบาลีวา อชฺชโว จ มทฺทโว จ (ความซื่อตรงและความออนโยน), จะอยางไร ก็ตาม รูปศัพทเหลานี้ บางแหง ก็ใชเปนรูป นปุงสกลิงคบาง แตไมมากนัก เชน อชฺชวํ, คารวํ, มทฺทวํ และ อนชฺชวํ ตรงขามกับ อชฺชวํ อชฺชิต (ติ.) อันเขาไดแลว, -แสวงหาแลว, -สั่งสมแลว วิ. ลทฺโธ ปริเยสิโต อุปจิโต วา อชฺชิโต (สิ่งอันเขาไดแลว แสวงหาแลว หรือสั่ง สมแลว ชื่อวา อชฺชิต), [อชฺช ธาตุ ลาภคเวสน อุปจินเนสุ, ในความได แสวงหา และสั่งสม + ต ปจจัย + อิอาคม] อชฺชุก (ปุ.) แมงลัก, ออยชาง, ผักบุงรวม วิ. อชฺชติ คจฺฉตีติ อชฺชุโก เสตปณฺณาโส (ตนไม ใดยอมไป เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อชฺชุก ไดแก แมงลัก), [อชฺช ธาตุ คมเน ในความไป + ณฺวุ ปจจัย, แปลง อ เปน อุ]. วิ. รชฺชุํ อชฺเชตีติ อชฺชุโก (ตนไมใด เลื้อยเกี่ยวกันเปนสาย เหตุนั้น ตนไม นั้น ชื่อวา อชฺชุก), [อชฺช ธาตุ อติสฺสชฺชเน ใน ความตกแตงตระเตรียม + อุก ปจจัย], อชฺชุก ศัพท เปนนามบัญญัติคือชื่อเฉพาะก็ได เชน อายสฺมา อชฺชุโก (ทานอัชชุกะ) อชฺชุน (ปุ.) ตนกุม, ตนรกฟา วิ. อชฺเชติ ธนสฺจยํ กโรตีติ อชฺชุโน ราชา รุกฺขวิเสโส [กกุโธ] จ (ภาวะใดยอมอยู คือทำการสะสม ทรัพย เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อชฺชุน ไดแก พระ เจาอัชชุนะ และตนกุม), [อชฺช ธาตุ อชฺชเน ใน ความอยู + กุน ปจจัย โมค.๗/๑๐๑ วา วรารกรตรทรยมอชฺชมิถสกา กุโน. บางแหง ปรากฏปาฐะวา อชฺชุนฺโน ไมเหมาะ อชฺเชยฺย (ติ.) ขุมทรัพย, อันเขาพึงสั่งสม, ขุมทรัพยอันศตัรูไมพึงชนะชิงไป วิ. อชฺชิตพฺโพ อุปจิตพฺโพติ อชฺเชยฺโย (สิ่งใดอันเขาพึงสั่งสมขึ้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺเชยฺย), [อชฺช ธาตุ อุปจเย ในความสั่งสม, ณฺย ปจจัย], ในอรรถกถาขุททกปาฐะ (ขุทฺทก.อ ๓๐๔) วา อเชยฺโยติ ปเรหิ เชตฺวา คเหตุํ น สกฺกา (บทวา อเชยฺโย ไดแก คนอื่นๆ ไมอาจผจญแลวเอาไปได), อจฺเจยฺโย ก็มี ความ วา ตสฺส อจฺจิตพฺโพ อจฺจนารโห หิตสุขตฺถิเกน อุปจิตพฺโพติ อตฺโถติ (อันใคร ๆ ไมพึงชนะ ไม ควรชนะคือผูตองการประโยชนสุขควรกอสราง เอง), บทหนา คือ อเชยฺย น + ชิ ธาตุ, บทหลัง คือ อจฺเจยฺย อจฺจ ธาตุ อชฺฌกฺข (ปุ.) ผูตรวจการณ, คนตรวจตรา, ยาม, เจาพนักงาน, นายตรวจ, เจาหนาที่, เจาการ, คนดูแล วิ. คาเมสุ อธิกตฺตา อธิกา อิกฺขา อนุภวนเมตสสฺาติอชฺฌกฺโข อธิกโต (การ ดูแลงานที่สำคัญใหงานสำเร็จ ในหมูบาน เพราะ เปนใหญ มีอยูแกผูนั่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อชฺฌกฺข คือ ผูดูแล), [อธิ + อิกฺขา + ณ ปจจัย, แปลง อธิ เปน อชฺฌ, แปลง อิ เปน อ], ๒ ศัพท นี้เปนชื่อของถายุก และโคป, ตตฺร เอกคาเม อธิกโต ถายุโก, พหูสุ คาเมสุ อธิกโต โคโป. (ใน ๒ คนนั้น ถายุโก หมายถึง ผูดูแลหมูบานเดียว, โคโป หมายถึง ผูดูแลหมูบานจำนวนมาก) อชฺฌตฺต (อพฺ.) ภายในตน, เปนไปภายในตน, วิ. อตฺตภาวสงฺขาตํ อตฺตานํ อธิกิจฺจ ปวตฺตตีติ อชฺฌตฺตํ (สิ่งใดยอมทำอยางยิ่ง คือเจาะจงซึ่งตน คืออัตภาพ เปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺฌตฺตํ), [อธิ บทหนา + อตฺต], หมายความวา อตฺตานํ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๔๕ อธิกิจฺจ อุทฺทิสฺส ปวตฺตํ อชฺฌตฺตํ, จกฺขาทิ (สิ่งที่ ทำอยางยิ่งคือเจาะจงตนเปนไป ไดแก จักษุ เปนตน) นี้เปนการวิเคราะหของนักอักษรจินดา คือนักไวยากรณ, แตวาตามมติของพระมูลฎีกาจารย พึงทราบอยางนี้ วิ. อตฺตานํ อธิ อชฺฌตฺตํ (เปนไปทับซึ่งตน ชื่อวา อชฺฌตฺต) เปน อพฺยยี- ภาวสมาส, อธิ ศัพทในที่สมาสไดมีความหมาย วา อธิการ-เปนใหญ และ ปวตฺติ-เปนไป, แตใน บางแหง คำวา อชฺฌตฺต มีความหมายวา ในตน (อตฺตนิ) หรือ แกตน (อตฺตโน), อธิ อุปสรรคมี ความหมายวา ผูทำ (การก). อชฺฌตฺต ใชใน ความหมาย ๔ อยาง ไดแก (๑) โคจร- ( โ ค จ ร ชฺ ฌ ตฺ ต ต ฺ เ ถ ) ( ๒ ) น ิ ย ก- ข อ งต น (นิยกชฺฌตฺตตฺเถ) (๓) อชฺฌตฺต-ภายใน (อชฺฌตฺตชฺฌตฺตตฺเถ), และ (๔) วิสย- (วิสยชฺฌตฺตตฺเถ), พึงคนดูใน อภิธานปฺปทีปกา สูจิ, เชนเดียวกัน พึงคนดูความแตกตางระหวาง อชฺฌตฺต-อชฺฌตฺติก และ พหิทฺธา-พาหิร ใน วิสุทธิมรรคและวิสุทธิมรรคฎีกานั้น อชฺฌตฺติก (ติ.) อันเปนภายใน, ภายในตน วิ. อตฺตสงฺขาตํ ปฺจทฺวาริกจิตฺตํ อธิกิจฺจ ตสฺส ทฺวารภาเวน ปวตฺตตีติ อชฺฌตฺตํ, อตฺตสทฺโท จิตฺตวาจโก, ตเทว อชฺฌตฺติกํ (สิ่งใดเปนไป เจาะจงจิตที่เปนไปทางทวาร ๕ กลาวคือจิต เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺฌตฺต, อตฺต ศัพท หมายถึง จิต, อชฺฌตฺต นั่นเอง ชื่อวา อชฺฌตฺติก), อถวา ยทิ มยํ น โหม, ตฺวํ กกลิงฺครูปโม ภวิสฺสสีติ วทนฺตา วิย อตฺตภาวสฺส สาติสยํ อุปการตฺตา จกฺขาทีเนว วิเสสโต อชฺฌตฺติกานิ นาม. เอตฺถ อตฺตภาวสฺส อธุปการานีติ อชฺฌตฺติกานีติ วุตฺตํ โหติ ดู อภิธมฺมตฺถวิภาวินี ฏีกา, (อีกนัยหนึ่ง ปสาทรูป ๕ มีจักขุปสาทรูป เปนตนเทานั้น ชื่อวา อัชฌัตติกรูป โดยพิเศษ เพราะความเปนธรรมชาตทำความเกื้อกูลอยาง ดียิ่งแกอัตภาพ คลายจะพูดวา ถาพวกเราไมมี ทานก็จักเปนดุจทอนไม ๒. ปสาทรูป, อายตนะ ภายใน วิ. อตฺตภาวสงฺขาตํ อตฺตานํ อธิกิจฺจ อุทฺทิสฺส ปวตฺตตีติอชฺฌตฺตํ (สิ่งใดมุงเฉพาะ คือ เจาะจงตนกลาวคืออัตภาพ เปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺฌตฺต), ศัพทนี้เปน ทุติยาอพฺยยี ภาวสมาส วิ. อชฺฌตฺตเมว อชฺฌตฺติกํ ปสาทรูป (อชฺฌตฺต นั่นเอง ชื่อวา อชฺฌตฺติก ไดแก ปสาทรูป), ลง ณิก ปจจัยสกัตถ, ๓. ธรรมหรือขันธที่ มีภายใน, -ที่ปรากฏภายใน วิ. อชฺฌตฺเต ภวํ อชฺฌตฺติกํ (รูปที่มีภายในตน ชื่อวา อชฺฌตฺติก), [อิก ปจจัย แทน ภว ศัพท) วิ. อชฺฌตฺเต วิทิโต ปากโฏติ อชฺฌตฺติโก, ธมโม ขนฺโธ วา (ธรรม หรือขันธที่แจงชัดหรือปรากฏในภายในตน เหตุนั้น ชื่อวา อชฺฌตฺติก) อชฺฌยก (ปุ.) ผูเรียน, นักเรียน วิ. อชฺฌยตีติ อชฺฌยโก (ผูใดยอมเรียน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อชฺฌยก), [อธิ + อิ ธาตุ ปวตฺตเน ในความ เปนไป + ณฺวุ ปจจัย, แปลง อธิ เปน อชฺฌ, แปลง อิ เปน อย + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก], อชฺฌยน (นปุ.) การสาธยาย, การสวด, การศึกษา วิ. สชฺฌายนํ อชฺฌยนํ, อุจฺจารณํ สิกฺขนํ วา อชฺฌยนํ (การสาธยาย ชื่อวา อชฺฌยน ไดแก การสวด, อีกนัยหนึ่ง การศึกษา ชื่อวา อชฺฌยน), [อธิ + อิ ธาตุ อชฺฌยเน ในการศึกษา + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อชฺฌยนีย (นปุ.) สิ่งอันเขาพึงเรียน วิ. อธิ เอตพฺพนฺติ อชฺฌยนียํ (อันเขาพึงเรียน ชื่อวา อชฺฌยนีย), [อธิ + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป +


๔๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนีย ปจจัย], นัยเดียวกัน อชฺเฌยฺยํ ลง ณฺย ปจจัย. อชฺฌยิตพฺพํ ลง ตพฺพ ปจจัย อชฺฌา (อิตฺ.) การหยุด, การยืน วิ. อชนํ อชฺฌา (การหยุด ชื่อวา อชฺฌา), [อช ธาตุ คติกฺเขปเน ในการหามการไป + ฌ ปจจัย, อา ปจจัยในอิตถี ลิงค] อชฺฌาจริย (นปุ.) วัตถุอันบุคคลพึงประพฤติ ลวงละเมิด วิ. อธิภวิตฺวา อาจริตพฺพนฺติ อชฺฌาจริยํ (วัตถุใดอันบุคคลพึงประพฤติลวง ละเมิด เหตุนั้น วัตถุนั้นชื่อวา อชฺฌาจริย), [อธิ + อา + จร ธาตุ จรเณ ในความประพฤติ + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม, ไมพฤทธิ์ หรือ ลง อิย ปจจัย แปลง อธิ เปน อชฺฌ] หรือสำเร็จรูปเปน อชฺฌาจรณียํ ก็ได ลง อนีย ปจจัยในกรรมวาจกแปลง น เปน ณ อชฺฌาจาร (ปุ.) ๑. การลวงละเมิด, การ ประพฤติลวงละเมิด, ลวงขอบเขต, การลวง ละเมิดทางเพศ วิ. มริยาทาติกฺกโม อาจาโร อชฺฌาจาโร (การประพฤติลวงขอบเขต ชื่อวา อชฺฌาจาร), [อธิ+ อาจาร], ๒. การลวนลาม, การขมขืน วิ. อธิภวิตฺวา วีติกฺกมิตฺวา อาจริตพฺพตฺตา อชฺฌาจาโร (ชื่อวา อชฺฌาจาร เพราะการประพฤตลิวนลามลวงเกิน), [อธิ+ อา + จร ธาตุ จรเณ ในความประพฤติ + ณ ปจจัย ในกัมมสาธนะ, ทีฆะ อ เปน อา, แปลง อธิ เปน อชฺฌ], วิ. อธิหิตฺวา อาจรณํ อชฺฌาจาโร (การ มุงมั่นประพฤติลวงเกิน ชื่อวา อชฺฌาจาร) ๓. การประพฤติผิดประเพณี วิ. สฺมเวลํ อภิภวิตฺวา ปวตฺโต อาจาโร อชฺฌาจาโร, วีติกฺกโม. (การประพฤติเปนไปลวงประเพณี ชื่อวา อชฺฌาจาร) ไดแก การลวงละเมิด), ๔. การลวงละเมิดเปนสังกิเลสและกรรมกิเลส วิ. สํกิเลสธมฺมานํ กมฺมกิเลสานํ วา โย กายวจี- ทฺวาเรสุ วีติกฺกโม อชฺฌาจาโร นาม (อีกประการ หนึ่ง บรรดาสังกิเลส หรือกรรมกิเลส การลวง ละเมิดในกายทวารและวจีทวาร ชื่อวา อชฺฌาจาร) อชฺฌายก (ปุ.) ๑. ผูไมjเจริญฌาน วิ. น ฌายตีติ อชฺฌายโก, ฌานภาวนาวิรหิโตติ อตฺโถ (พราหมณใดไมไดเพง เหตุนั้น พราหมณนั้นชื่อ วา อชฺฌายก ไดแก ผูเวนจากการเจริญฌาน), [น + เฌ ธาตุ จินฺตายํ ในความคิด + ณฺวุ ปจจัย, แปลงเปน อก, แปลง เอ เปน อาย, แปลง น เปน อ, ซอน ชฺ], ๒. ผูสาธยายมนต วิ. มนฺตํ อชฺฌายตีติ อชฺฌายโก (ผูใดยอมสาธยายมนต เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อชฺฌายก), [อธิ + อิ ธาตุ อชฺฌายเน ในการสาธยาย + ณฺวุ ปจจัย], ๓. ผูทำการสาธยาย, นักศึกษา วิ. อชฺฌายํ กโรตีติ อชฺฌายโก สิกฺขโก (ผูใดยอมทำการ สาธยาย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อชฺฌายก ไดแก นักศึกษา), [อชฺฌาย + กร ธาตุ กรเณ ในความ กระทำ + กฺวิ ปจจัย + ลบ ร]. ใน สทฺทนีติ ธาตุมาลา (ฉบับแปล หนา ๑๔๑) วา บทวา อชฺฌายก มีคำอธิบายวา ถอยคำตำหนินี้ เกิดขึ้น แลวแกพวกพราหมณผูเวนจากฌาน (ผูไมได ฌาน) ในยุคสมัยตนกัปปอยางนี้วา น ทานิเม ฌายนฺติ, น ทานิเม ฌายนฺตีติ โข วาเส อชฺฌายกา อชฺฌายกาเตฺวว ตติยํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํ (ดูกอนวาเสฏฐะ บัดนี้ พวก พราหมณเหลานี้ไมเขาฌาน จึงไดมีการบัญญัติ คำประเภทที่ ๓ วา อชฺฌายก, อชฺฌายก [ผูไมได ฌาน]) แตบัดนี้ ชาวโลก กลับใชคำนั้นเปนคำ สรรเสริญดวยความหมายนี้วา อชฺฌายตีติ อชฺฌายโก ชื่อวา อชฺฌายก เพราะสาธยาย, ราย


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๔๗ มนต; อนึ่ง สำหรับความหมายวา “ผูสาธยาย” นี้ นักศึกษา พึงทราบวาเปนศัพทที่สำเร็จมาจาก อิ = อชฺฌายเน (สวดสาธยาย) โดยมี อธิ เปนบท หนา. คำวา “อชฺฌายโก (ผูสาธยาย), มนฺตธโร (ผูทรงจำมนต)” ที่มีการกลาวไวในขอความพระ บาลีนั้นๆ พึงทราบวา เปนการกลาวเพื่อหมาย เอา อิ ธาตุที่มี อธิ เปนบทหนา และมี ความหมายที่ตรงกันขามกับ อชฺฌายก ที่ สำเร็จรูปมาจาก เฌ ธาตุนี้ ดวยประการฉะนี้ อชฺฌาโรห (ปุ.) ปลาชื่ออัชฌาโรหะ, ปลามี ตัวใหญโต วิ. อธิโก อาโรโห อสฺสาติ อชฺฌาโรโห (ตัวใหญมากของปลานั้นมีอยู เหตุนั้น ปลานั้น ชื่อวา อชฺฌาโรห), [อธิ + อา + รุห ธาตุ ชนเน ในความเกิด + ณ ปจจัย].คำวาอชฺฌาโรห เปนชอื่ ปลาใหญ, ในอรรถกถานิทานวรรค (ที.อ.๒/ ๑๓๖) วา ปลาตัวใหญประมาณ ๑,๐๐๐ โยชน ทั้ง ๔ คือ ปลาอานนท (อานนฺโท) ปลาติมินนท (ติมินนฺโท) ปลาอัชฌาโรหะ (อชฺฌาโรโห) ปลา มหาติมิ (มหาติมิ); ในอรรถกถาชาดก วา ปลา ตัวใหญประมาณ ๕๐๐ โยชน ทั้ง ๓ คือ ปลา อานนท (อานนฺโท) ปลาติมินนท (ติมินนฺโท, อุปนนฺโท ก็วา, ปลาอัชฌาโรหะ (อชฺฌาโรโห). บัณฑิตพึงพิจารณาดูในที่นั้นๆ ตามสมควรเถิด อชฺฌาวร (ปุ.) การบริการ, การรับใช, บริวาร, ผูแขงขัน, ผูภักดี วิ. อชฺฌาวรตีติ อชฺฌาวโร (ผูใดยอมคอยบริการ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อชฺฌาวร), [อธิ + อา + วร ธาตุ ภตฺติยํ ในความ ภักดี + อ ปจจัย] อชฺฌาวสถ (ปุ.) ที่อยู, ที่พักแรม, ภายในที่พัก วิ. อาวสนฺติ เอตฺถาติ อาวสโถ (ชนทั้งหลายพัก อยูในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั่นชื่อวา อาวสถ), [อา + วส ธาตุ นิวาเส ในความอยู + ถ ปจจัย], วิ. อชฺฌาวสโถ นาม ปริกฺขิตฺตสฺส อาวาสถสฺส อนฺโต อาวสโถ (ภายในแหงที่พักที่ลอมไว ชื่อวา อชฺฌาวสถ), สำหรับที่พักซึ่งไมไดลอมไว นับเอา เขตอุปจาร, ระยะ ๒ เลฑฑุบาต (ระยะทางที่ โยนกอนดินตกไป ๒ ครั้ง) ชื่อวา อุปจาร. แมคำ วา อชฺฌาราเม ก็นัยนี้ อชฺฌาวุตฺถ (ปุ.) อันเขาอยูครอบครองแลว, อาศัยอยูแลว, ยึดครอง วิ. อชฺฌาวสิตฺถาติ อชฺฌาวุตฺโถ (บานเปนตน อันเขาอยูครองครอง แลว เหตุนั้น บานเปนตนนั้น ชื่อวา อชฺฌาวุตฺถ), [อธิ + อา + วส ธาตุ นิวาเส ในความอยู + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ถ, แปลงที่สุดธาตุ และทำ ใหเปนสงัโยคพยัญชนะที่๑ คือต, แปลง อ ของ ฺ วส ธาตุ เปน อุ, โมคฺ. ๕/๑๑๑ วา อสฺสุ ปาฐะวา อชฺฌาวุโ ก็มีบาง, นัยเดียวกันเชน นิวุตฺโถ, นิวุโ อชฺฌาสย (ปุ.) ๑. อัชฌาสัย, อัธยาศัย, นิสัย ใจคอ, รสนิยม วิ. อธิกิจฺจ อาสยติ ปวตฺตตีติ อชฺฌาสโย (สิ่งใดไป คือเปนไปเฉพาะตน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺฌาสย), [อธิ + อา + สิ ธาตุ + อ ปจจัย, แปลง อธิ เปน อชฺฌ, อาเทศ อิ เปน อย], ๒. ความชอบใจ, ความพอใจ, วิ. อธิอาคนฺตฺวา จิตฺเต สยติ ปวตฺตีติ อชฺฌาสโย (ภาวะใดซานไปนอนเนื่องในจิต เหตุนั้น ภาวะ นั้น ชื่อวา อชฺฌาสย), วิ. อารมฺมณํ อธิกิจฺจ สียติ ปวตฺตียตีติ อชฺฌาสโย, ฉนฺโท รุจิ มโนรโถ วา (สิ่งใดเปนไปเจาะจงอารมณ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อชฺฌาสย ไดแก ฉันทะ ความพอใจ หรือ ความปรารถนา), [อธิ + อา + สิ ธาตุ ปวตฺติยํ ในความเปนไป + อ ปจจัย กจฺ.๕๒๗ รูป.๕๖๘ วา สพฺพโต ณฺวุตฺวาวี วา], ๓. ทิฏฐิ, ความรู วิ. อฺตฺถ ปวตฺติตฺวาป จิตฺตํ อาคมฺม ยตฺถ เสติ,


๔๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา โส ตสฺส อาสโย, มิคาสโย วิย, อาสโยเอว อชฺฌาสโย. โส อตฺถโต ทิิ าณฺจ (จิตแม เที่ยวไปในที่อื่นกลับมานอนเนื่องในที่ใด ที่นั้น ชื่อวา อาสย คือที่นอนเนื่องของจิตนั้น, อาสย นั่นเอง ชื่อวา อชฺฌาสย. วาโดยความหมาย หมายถึง ทิฏิ และ าณ เชน สารตฺถ.ฏี.๑/ ๑๑๔ สสฺสตุจฺเฉททิิ จ ขนฺติ เจวานุโลมิเก ยถาภูตฺจ ยํ าณํ เอตํ อาสยสทฺทิตนฺติ. (สัสสตทิฏฐิ ๑ อุจเฉททิฏฐิ ๑ อนุโลมิกขันติ ญาณ ๑ ยถาภูตญาณ (กัมมัสสกตาญาณ) ๑ นี้ ชื่อวา อาสยะ) ปฐมชวนจิตชั้นอุดม [โลกุตระ] (อุตฺตมปมชวนเจตนา) เรียกวา อชฺฌาสย ก็มี, อีกนัยหนึ่ง วิ. อธิโก เสโ อาสโย นิสฺสโย อชฺฌาสโย (ที่ อาศัยเปนไป อันยอดเยี่ยม ชื่อวา อชฺฌาสย ไดแก ที่อาศัยอันยอดเยี่ยม) อชฺฌาสยก (ปุ.) อัชฌาสัย, ที่นอนเนื่องแหง จิต วิ. จิตฺตํ อชฺฌาคนฺตฺวา สยตีติ อชฺฌาสยโก (จิตที่มานอนเนื่อง เหตุนั้น ชื่อวา อชฺฌาสยก), [อธิ + อา + สิ ธาตุ ปวตฺตเน ในความไป + อ ปจจัย + ก สกัตถ] อชฺฌิฏ (ติ.) ผูอันเขาเชื้อเชิญแลว, ผูอันเขา ปรารถนาแลว วิ.อชฺเฌสโิต อชฺฌิโ, อาณตฺโต (ผูใดอันเขาเชื้อเชิญแลว ชื่อวา อชฺฌิ ไดแก ผูอันเขาสั่งแลว), [อธิ + อิส/อิสุ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความปรารถนา + ต ปจจัย, แปลง อธิ เปน อชฺฌ, อาเทศ สฺต เปน ] อชฺฌุเปกฺขน (นปุ.) การวางเฉย, การเพิกเฉย วิ. อชฺฌุเปกฺขิยเต อชฺฌุเปกฺขนํ (อันเขาเพิกเฉย ชื่อวา อชฺฌุเปกฺขน), [อธิ + อุป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ยุ ปจจัย, ศัพทนี้ไมใช ปุงลิงค (อปุเม), นัยเดียวกัน อชฺฌุเปกฺขิตฺวา, อชฺฌุเปกฺขิตฺวาน บทนี้ลง ตฺวา และ ตฺวาน ปจจัย อชฺเฌน (นปุ.) การสวดมนต, การเรียนมนต วิ. สชฺฌายนํ อชฺเฌนํ มนฺตคหณํ (การสาธยาย ชื่อวา สชฺฌายน ไดแก การเรียนมนต), [อธิ + อิ ธาตุ อชฺฌยเน ในการสาธยาย + ยุ ปจจัย แปลง เปน อน, แปลง อธิ เปน อชฺฌ, วิการ อิ เปน เอ] อชฺเฌยฺย (นปุ.) สิ่งควรเรียน, อันเขาพึงเรียน วิ. อชฺฌายิตพฺพนฺติ อชฺเฌยฺยํ, อธิเยยฺยํ (สิ่งใด อันเขาพึงเรียน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺเฌยฺย ไดแก สิ่งที่พึงเรียน), [อธิ + อิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ฆฺยณฺ ปจจัย + แปลง อิ เปน เอ, ซอน ย, แปลง อธิ เปน อชฺฌ] อชฺเฌสนา (อิตฺ.) ๑. การเชิญ วิ. อชฺเฌสิยเต อชฺเฌสนา (อันเขาเชื้อเชิญ ชื่อวา อชฺเฌสนา), [อธิ + อิส ธาตุ ยาจเน ในการขอ + ยุ ปจจัย]. ๒. การแสวงหา วิ. อชฺเฌสิยเต คเวสิยเตติ อชฺเฌสนา (อันเขาแสวงหา ชื่อวา อชฺเฌสนา), [อธิ + อิส หรือ เอส ธาตุ คเวสเน ในการ แสวงหา + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อิ ที่ อิส เปน เอ, หรือ อชฺเฌสนํ อิสุ ธาตุ อายาจเน ในความออนวอน] นัยเดียวกัน อชฺเฌสิโต (ผอูันเขาเชื้อเชิญแลว) ต ปจจัย เปน กัมมวาจก, อิ อาคม อชฺโฌกาส (ปุ.) กลางแจง, สิ่งที่ตั้งอยูตอหนา วิ. อชฺโฌกสตีติ อชฺโฌกาโส (ที่ใดตั้งอยูตอหนา เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อชฺโฌกาส), หมายความวา ที่ไมถูกปดบังดวย ฝุนควัน (กุฏ) บานประตู หนาตาง (กวาฏ) เสื่อลำแพน (กิลฺช) มาน (สาณิปาการ) ตนไม (รุกฺข) เสา (ถมฺภ) โกตฺถี (ฉาง) อยางใดอยางหนึ่ง, [อธิ + อว +


Click to View FlipBook Version