The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattarat Juntien, 2023-03-01 03:08:39

จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร (พจนานุกรม บาลี-ไ

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Keywords: ธรรม

พจนานุกรมบาลี-ไทย ๙๙ อุตฺถ ดวยสูตรในปทรูปสิทธิ กจฺ.๕๗๔ รูป.๖๑๓ วา วสโต อุตฺถ, ลบสระหลัง] ๒. เทวดาผูสิงแลว วิ. อธิวสิตฺถาติ อธิวตฺถา (เทวดาใดสิงแลว เหตุนั้น เทวดานั้นชื่อวา อธิวตฺถา), โดยมากไมมี อุ อักษรเชนในขอวา รุกฺเข อธิวตฺถา เทวตาเทวดาสิงที่ตนไม, [อธิ + วส ธาตุ นิวาเส ใน ความอยู + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ถ, แปลง ที่สุดธาตุเปนพยัญชนะสังโยค ตฺ], สวนใน ขนฺธวคฺคฏีกา (สํ.ฏี.๒/๓๒๘) วา อธิวตฺถาติ มูลคนฺธํ อธิาย, อภิภุยฺย วา วสนฺตา (ขอวา อธิวตฺถา ความวา เทพที่สิงกลิ่นรากไม หรือ ครอบงำกลิ่นรากไมอยู) อธิวาส (ปุ.) ๑. ผูอยู, การอยู, การอบกลิ่น, เครื่องอบ, ผา, การอดทน วิ. อธิวสตีติ อธิวาโส (ภาวะใดยอมอยู เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อธิวาส), ๒. ที่เปนที่อยู, บาน, เรือน วิ. สวนใน อนุทีปนี วิ. อธิวสนฺติ เอตฺถาติ อธิวาโส (ชนทั้งหลาย ยอมอยู ในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อธิวาส), [อธิ + วส ธาตุ อุปเสวายํ ในการเขาไปอาศัยอยู + ณ ปจจัย], วิ. อธิวสนฺติ เอตฺถ วิหาเร ภิกฺขูติ อธิวาโส (ภิกษุทั้งหลาย ยอมอยูในที่นั้น คือในวิหาร เหตุนั้น วิหารนั้น จึงชื่อวา อธิวาส) อธิวาสนา (อิตฺ.) ความอดกลั้น, ความอดทน วิ. อธิวาเสติ ขมติ เอตายาติ อธิวาสนา อธิวาสนํ วา ขนฺติสํวโร (บุคคลยอมอดกลั้น ดวยธรรมชาติ นั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อธิวาสนา อธิวาสนํ คือ การยับยั้งดวยขันติ), สีตาทีนํ ขมนากาเรน ปวตฺโต อโทโส, ตปฺปธานา วา จตฺตาโร กุสลกฺขนฺธาติ อตฺโถ (หมายความวา อโทสะ ที่เปนไปโดยอาการทนความหนาว เปนตน, หรือกุศลขันธ ๔ ประการซึ่งมีอโทสะ เปนประธานนั้น), [อธิ + วส ธาตุ ขนฺติยํ ใน ความอดกลั้น + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถี ลิงค], วิ. อธิวาสียเต อธิวาสนํ (อันเขาอดทน ชื่อวา อธิวาสน), [อธิ + วส ธาตุ นิวาเส ในความ อยู + เณ ปจจัย จุราทิคเณ ใน จุร ธาตุ + ยุ ปจจัยในภาวสาธนะ แปลงเปน อน, ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา], นัยเดียวกันเชนอธิวาส โก ณฺวุ ปจจัยในกัตตุวาจก อธิวาเสตฺวา (กิ.กิตฺ.) อดทนแลว, อดกลั้น, ระงับยับยั้ง วิ. อธิวาเสสีติ อธิวาเสตฺวา (บทวา อธิวาเสตฺวา แปลวา อดทนแลว), [อธิ + วส ธาตุ ขนฺติยํ ในความอดทน + ใน รูปสิทฺธิฏีกา วาลง เณ ปจจัย ดวยสูตร รูป.๕๔๐ วา ธาตูหิเณณย เปนตน เณ + ตฺวา ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และพทฤธิ์ อ เปน อา] อธิวุตฺติ (ติ.) ๑. มิจฉาทิฏฐิ, ธรรมชาติที่ย่ำยี่ ความเปนจริงไป วิ. ภูตํ อตฺถํ อธิภวิตฺวา วตฺตนฺตีติ อธิวุตฺติโย, มิจฺฉาทิีติ อตฺโถ (ธรรมชาติเหลาใด เปนไปครอบงำความเปนจริง เหตุนั้น ธรรมชาติเหลานั้นชื่อวา อธิวุตฺติ), [อธิ + วตุ ธาตุ วตฺตเน ในความเปนไป + ติ ปจจัย, แปลง อ ที่ ว เปน อุ] ๒. วิ. อถวา อธิวุตฺตีติ อธิวจนํ (อีกนัยหนึ่ง คำพูด ชื่อวา อธิวุตฺติ), ปาฐะวา อธิมุตฺติโย ก็มีบาง ๓. วิ. ภูตสภาวโต มุจฺจนฺตีติ อธิมุตฺติโย (ภาวะเหลาใด พนจาก ความเปนจริง เหตุนั้น ภาวะเหลานั้น ชื่อวา อธิมุตฺติโย), [อธิ + มุจ ธาตุ โมกฺเข ในความพน + ติ ปจจัย, แปลง จ เปน ตฺ] อธิวุตฺถ (ติ.) ๑. อยูทับแลว, รับแลว, อยูจำ แลว, จำพรรษาแลว วิ. อธิวาสียิตฺถาติ อธิวตุ ฺโถ วสฺสาวาโส, อธิวาสิโตติอตฺโถ (พรรษาอันภิกษใุด จำพรรษาแลว เหตุนั้น ภิกษุนั้นชื่อวา อธิวตฺถ


๑๐๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา คือผูอยูจำพรรษาแลวหมายความวา อยูประจำ แลว), [อธิ + วส ธาตุ อจฺฉาทเน ในความปดบัง + เณ ปจจัยในหมวด จุร ธาตุ + ต ปจจัย, แปลง ต พรอมพยัญชนะหนา ต เปน อุตฺถ ดวยสูตร กจฺ.๕๗๔ รูป.๖๑๓ วา วสโต อุตฺถ, ลบสระหนา], เชน อธิวุตฺถํ มยา คหปติ สฺวาตนาย ภตฺตนฺติ เจว จูฬสุภทฺทาย นิมนฺตนํ อธิวาสิตนฺติ จ. ธ.อ.๗/ ๑๑๕ (ดูกอนคหบดี ภัตเพื่อพรุงนี้ เรารับแลว ดังนี้ และเชนวา คำนิมนตของอุบาสิกาชื่อจูฬ สุภัททา อันเรารับแลว), ปาฐะวา อธิวุก็มี ๒. อยูทับแลว, สิงแลว วิ. อธิวสิตฺถาติอธิวุตฺถา (ผูใดอยูแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อธิวุตฺถา) เชน สีลกฺขนฺธวคฺคอภินวฏีกา, ๒/๔๒๙ วา มหานุภาวา มฺเ เอตฺถ อธิวุตฺถา เทวตาติ (ในที่นี้ เห็นจะมี เทวดาผูมีอนุภาพมากสิงอยู), [อธิ + วส ธาตุ นิ วาเส ในความอยู + ต ปจจัย] อธิสย (ปุ.) ที่นอน, ที่พัก วิ. อธิสยติ เอตฺถาติ อธิสโย (เขายอมนอนทับในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อธิสย), [อธิ + สิ ธาตุ ปวตฺตเน ในความ เปนไป + อ ปจจัย แปลง อิ เปน อย] อธิสีล (นปุ.)อธิศีล, ศีลอันยิ่ง, ปาติโมกขสงัวรศลี ปาติโมกฺขสํวรสีลํ วิปสฺสนาเหตุตฺตา เสสสีลโต อธิกํ วิสิํ สีลํอธิสีลํ(ปาติโมกขสังวรศีล ชื่อวา เปนศีลที่ยิ่งคือประเสริฐกวาศีลที่เหลือ เพราะ เปนเหตุแหงวิปสสนา) วิ. เอวรูปานํ วา อปริยนฺตภูตานํ วิวฏนิสฺสิตานํ สีลานํ สํวรปาริ- สุทฺธิ วิวฏนิสฺสิตตฺตา เสสสีลโต อธิกํ สีลํ อธิสีลํ (อีกนัยหนึ่ง ความบริสุทธิ์แหงความสำรวมศีล อาศัยวิวัฏฏะ อันเปนศีลไมมีที่สุดเห็นปานนี้ ทานกลาววา เปนอธิศีลเพราะเปนศีลยิ่งกวาศีล ที่เหลือ เพราะอาศัยวิวัฏฏะ) อธิสยิตฺวา, อธิเสตฺวา (กิ.กิต.) นอนแลว, นอนทับแลว วิ. อธิสยิตฺถาติ อธิสยิตฺวา, อธิเสตฺวา วา (นอนแลว เหตุนั้น ชื่อวา สยิตฺวา ไดรูปวา อธิเสตฺวา บาง), [อธิ + สิ ธาตุ สเย ใน ความนอน + อิ อาคม + ตฺวา ปจจัย, แปลง อิ เปน อย], นัยเดียวกัน อธิยิตฺวา อิ อาคม แปลง เปน ย อธิเสยฺย (นปุ.) การนอน, ที่นอน, สิ่งอันเขา ควรนอนทับ วิ. อธิสยิตพฺพนฺติ อธิเสยฺยํ (สิ่งใด อันเขาควรนอนทับ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อธิเสยฺย), [อธิ + สิ ธาตุ สเย ในความนอน + ฆฺยณฺ ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ, ซอน ยฺ] นิรุตฺติ. ๗๗๙, นัยเดียวกันเชน อธิเธยฺย อิ ธาตุ คมเน ใน ความไป, อุเปยฺยํ เปนตน อธิหาร (ปุ.) การนำไปยิ่ง, การนำไปขางหนา วิ. อธิกํ หรณํ อธิหาโร (การนำไปขางหนาชื่อวา อธิหาร), [อธิ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา] รูป.๒๘๒ อธีต (ติ.) เรียนแลว, สาธยายแลว วิ. อธียิตฺถาติ อธีโต, ปริยตฺโต (สิ่งใดอันเขาเรียนแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อธีต), [อธิ + อิ ธาตุ อชฺฌยเน ในการสาธยาย +กฺต ปจจัย], วิ. อธียติ สิกฺขตีติ อธีเต (กิริยาที่เรียน คือศึกษา เหตุนั้น กิริยานั้น ชื่อวา อธีเต), [อธิ + อิ ธาตุ + ต ปจจัย], แปลง สิ ปฐมาวิภัตติเปน เอ เชน น เหวํ วตฺตพฺเพ (ไมพึงกลาวอยางนั้น), อีกนัยหนึ่งเปนบท อาขยาตซึ่งสำเร็จดวย เต วิภัตติ อธีน (ปุ.) ผูอยูใตปกครอง, บาว, ผูอาศัย, ผูสนับสนุน, ผูเกี่ยวของ, ผูเปนเหตุใหลุ จุดหมาย วิ. อธิคโต อิโน ปภู เยนาติ อธีโน ปริคฺคโห, อายตฺโต จ (เจา คือนายเจา บรรลุ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๐๑ จุดหมายได ดวยผูใด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อธีน ไดแก ผูสนับสนุน และผูเกี่ยวของ), [อธิ+ อิโน] อธีริต (ติ.) หวั่นไหว, เปนไปยิ่ง, ถูกทำใหไหว วิ. อธิกํ อีริตพฺพนฺติ อธีริตํ (สิ่งใดอันเขาพึงไปยิ่ง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธีริตํ), [อธิ + อีร ธาตุ กมฺปนคตีสุ ในความหวั่นไหว และความไป + อิต ปจจัย หรือ ต ปจจัย, อิ อาคม] กจฺ. ๒๖, นิรุตฺติ ๓๗. อธุนา (อพฺ.) ในกาลน้ี, เดี๋ยวนี้, เมื่อกี้ วิ. อิมสฺมึ กาเล อธุนา (ในการนี้ ชื่อวา อธุนา), [อิม ศัพท + ธุนา ปจจัย, แปลง อิม เปน อ] กจฺ. ๒๘๑ อโธคงฺค (อพฺ.) ภายใตแหงแมน้ำคงคา วิ. คงฺคาย อโธ อโธคงฺคํ (ภายใตแหงแมน้ำคงคา ชื่อวา อโธคงฺคํ), บทนี้เปน อพฺยยีภาวสมาส. นัย เดียวกันเชน อุปริคงฺคํ (เบื้องบนแหงแมน้ำคง คา), โอเรคงฺคํ (ฝงในแหงแมน้ำคงคา) เปนตน ในคัมภีรโมคคัลลานะ โมคฺ.๓/๘ วา โอเรปริปติ- ปาเรมชฺเฌเหุทฺธาโธนฺโต วา ฉิยา] คงฺคาย อุปริ อุปริคงฺคา วา (อีกนัยหนึ่ง เบื้อง บนแหงแมน้ำคงคา ชื่อวา อุปริคงฺคา), บทนี้ จัดเปน อมาทิปรตปฺปุริสสมาส อโธคม (ปุ.) ตด, ลมพัดลงเบื้องต่ำ, ชื่อลมใน รางกายอยางหนึ่ง วิ. อุจฺจารปสฺสาวาทีนํ นีหรณวเสน อโธภาคํ คจฺฉตีติ อโธคโม (ลมใดถึง สวนเบื้องต่ำ โดยการขับอุจจาระ ปสสาวะ ซึ่ง เปนสิ่งที่อาศัยอยู เหตุนั้น ลมนั้น ชื่อวา อโธคม), [อโธ + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย] อโธคามินี (อิตฺ.) ไปภายใต, เรือที่ลองตาม กระแสน้ำ วิ. อโธ อนุโสตํ คจฺฉตีติ อโธคามินี อนุโสตคามินี นาวา (เรือใดลองไปภายใตคือไป ตามกระแสน้ำ เหตุนั้น เรือนั้นชื่อวา อโธคามินี คือเรือที่ลองไปตามกระแสน้ำ), เชน เอกํ นาวํ อภิรุเหยฺย อุทฺธํคามินึ วา อโธคามินึ วา วินย.๒/ ๔๕๗/๒๙๕ (โดยสารเรือลำเดียวกัน ทวนน้ำขึ้น ไปก็ดี ลองตามน้ำก็ดี), [อโธ + คมุ ธาตุ คมเน ในความไป + ณี ปจจัย + อินี ปจจัยในอิตถีลิงค, ทีฆะกลางบท] อน (ปุ.นปุ.) เกวียน, พาหนะที่สงเสียง (ปุ.) วิ. อนตีติ อโน (พาหนะใดยอมสงเสียง เหตุนั้น พาหนะนั้น ชื่อวา อน), [อน ธาตุ วทเน ในการ กลาว + อ ปจจัย] ๒. พาหนะไมมีงอน (นปุ.) วิ. นตฺถิ นาสา ยสฺสาติ อนํ สกโฏ (งอนของ พาหนะใดไมมี เหตุนั้น พาหนะนั้น ชื่อวา อน คือเกวียน), [ลบ ส, รัสสะ อา เปน อ] อนคาริย (นปุ.,อิตฺ.) บรรพชา, ไมมีเรือน, ที่ไม มีงานที่เปนประโยชนเกื้อกูลเรือน วิ. อคารสฺส หิตํ กสิโครกฺขาทิกมฺมํอคาริยํ, อาคาริยํ วา (การ งานมีกสิกรรมและโครักขธรรมเปนตน ที่เกื้อกูล แกเรือน ชื่อวา อคาริย หรือ อาคาริย), [อิย ปจจัย แทน หิต ศัพท] วิ. นตฺถิ เอตฺถ อคาริยนฺติ อนคาริยา, ปพฺพชฺชา, อนาคาริยํ วา (กรรมที่ เกื้อกูลแกเรือน ไมมีในภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อนาคาริยา หรือ อนาคาริยํ ไดแก บรรพชา), บทนี้เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส ๒. วิ. อนคาเร นิยุตฺตตฺตา อนคาริยํ (ชื่อวา อน คาริย เพราะประกอบดวยภาวะที่ไมมีกรรมที่ เกื้อกูลแกเรือน), [ณิก ปจจัย แปลง ก เปน ย] อนฺาตฺสฺสามีตินฺทฺริย (นปุ.) อินทรีย แหงผูปฏิบัติดวยมุงวาเราจักรูสัจจธรรมที่ยัง มิไดรู ไดแก โสดาปตติมัคคญาณ ๑. วิ. ยํ ปุพฺเพ อนฺาตํ,ตํอิทานิสสฺามิอิต ปวตฺตสฺส ิ อินฺทฺริยํ อนฺาตฺสฺสามีตินฺทฺริยํ (สิ่งใดที่ ยังไมรูมากอน, อินทรียของผูปฏิบัติที่เปนไปโดย


๑๐๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา มุงวา เราจักรูสิ่งนั้นในบัดนี้ ชื่อวา อนัญญาตัญญัสสามีตินทริย), ศัพพเหลาอื่น เขาสมาสกับ นามศัพท ที่มีความหมายวากริยาโดยมาก ดวย สูตร นิรุตฺติ. วา อฺเ จ, แมกิริยาศัพทและ นามศัพท ครั้นถึงความเปนชื่อแลว ก็ยอมเปน นิบาตไป, อีกนัยหนึ่ง วิ. อนฺาตฺสฺสามีติ เอวํ ปฏิปนฺนสฺส ปวตฺตํ อินฺทฺริยํ อนฺาตฺ- สฺสามีตินฺทฺริยํ (อินทรียที่เปนไป ของผูปฏิบัติ อยางนี้วา เราจักรูสัจจธรรมที่ยังมิไดรู), สมาส เขากับบทหนาที่ประกอบดวย อิติ ศัพท ตาม นัยสัททนีติ สุตตมาลา (นีติ.๖๘๔ วา อิตินา จ) เชน โชติปาโลตินามํ (ชื่อวา โชติปาละ), ๒. ปุพฺพภาเค อนฺาตํ อมตํ ปทํ จตุสจฺจธมฺมํ วา ชานิสฺสามีติ เอวํ ปฏิปนฺนสฺส อุปฺปชฺชนโต, อินฺทฺริยสมฺภวโต จ อนฺาตฺสฺสามี- ตินฺทฺริยํ, โสตาปตฺติ มคฺคาณํ (ชื่อวา อนัญญาตัญญัสสามีตินทริย เพราะเกิดขึ้นแกผูปฏิบัติ ดวยมุงวา เราจักรูอตมบทหรือสัจจธรรม ๔ ที่ยัง ไมรูมากอน และเพราะอรรถวาเปนใหญ ไดแก โสดาปตติมัคคญาณ) ๓. อนาทิมติ สํสาเร อนฺาตํ อสจฺฉิกตํ จตุสจฺจธมฺมํ, นิพฺพานเมว วา สฺสามีติ ปวตฺตสฺส อินฺทฺริยํ อนฺาตฺสฺสามีตินฺทฺริยํ, ปมมคฺคาณํ (อินทรีย ของผูปฏิบัติที่เปนไปโดยมุงวา เราจักรูสัจจะ ธรรม ๔ ที่ยังไมรู คือยังไมบรรลุในสังสารอันไมรู เบื้องตนและที่สุด หรือวาพระนิพพานนั่นเอง ชื่อวา อนัญญาตัญญัสสามีตินทริย ไดแก โสดาปตติมรรคญาณ) อนติกฺกม (ปุ.) การไมละเมิด, การไมกาวลวง วิ. ปุริสสฺส หิตสุขํ อนติกฺกมิตฺวา วตฺตตีติ อนติกฺกโม (ภาวะใดเปนไปไมลวงเลยประโยชน สุขของบุรุษ เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนติกฺกม), [น + อติ + กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในความกาว เทา + อ ปจจัย, เพราะสระอยูหลัง แปลง น เปน อนฺ ดวยสูตร กจฺ.๓๓๔ รูป.๓๔๕ วา สเร อนฺ, ซอน กฺ] ๒. ไมละเมิดศีล วิ. น อติกฺกโม อน ติกฺกโม, อวีติกฺกโม (การไมละเมิด ชื่อวา อนติกฺกม คือการไมลวงละเมดิ), สมาทินฺนสีลสสฺ กายิกวาจสิโก อนติกฺกโมติ อตฺโถ (หมายความ วา การไมละเมิดศีลที่สมาทานแลว ทั้งทางกาย และวาจา), บทนี้เปน นปุพพปท กัมมธารยสมาส อนติธาวน (นปุ.) การไมแลนลวงเลยไป, การ วิ่งเลยไป วิ. อติกฺกมิตฺวา อธาวนํ อปกฺขนฺทนํ อนติธาวนํ (การไมแลนลวงเลยไป ชื่อวา อนติธาวน), [น + อติ + ธาวุ ธาตุ ชวเน ในความ แลนไป + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, เพราะสระ อยูหลัง จึงแปลง น เปน อน] อนติริตฺต (ติ.) ไมเปนเดน, ไมเหลือ, ไมเกิน วิ. อติเรกํ ริจติ คจฺฉตีติ อติริตฺตํ (สิ่งใดยอมถึง การเปนของเกิน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อติริตฺต), [อติ + ริจ ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย, แปลง จ เปน ตฺ] วิ. น อติริตฺตํ อนติริตฺตํ น อธิกนฺติ อตฺโถ (ไมใช สิ่งอันเปนเดน ชื่อวา อนติริตฺตํ หมายความวา ไมเกิน), เชนขอวา อนติริตฺตปฺปมาณาติ สุคตวิทตฺถิยา ทีฆโส ฉ วิทตฺถิโย ติริยํอฑฒฺเตยฺยวิทตฺถิฺจ อนติกฺกนฺตปฺ- ปมาณาติ. อกปฺปยกตนฺติวา อตฺโถ คเหตพฺโพ (คำวา ไมเกินประมาณ มีความวา ดานยาว ๖ คืบ ดานกวาง ๒ คืบครึ่ง โดยคืบสุคต ชื่อวา ไมเกินประมาณ), เชนคำวา อนติริตฺตํ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา (ของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันมิใช เดน)


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๐๓ อนตฺตา (อิตฺ.) อนัตตา ๑. ไมใชตัวตน วิ. น อตฺตา อนตฺตา (ไมใชตัวตน ชื่อวา อนตฺตา), นัยนี้เปน นนิปาตปุพฺพปท กมฺมธารยสมาส ๒. ไมมีตัวตน วิ. นตฺถิ เอเตสํ อตฺตาติ อนตฺตา (ตัวตนของภาวะทั้งหลายเหลานั่น ไมมี เหตุนั้น ภาวะทั้งหลายเหลานั้นชื่อวา อนตฺตา), นัยนี้เปน นนิปาตปุพฺพปท พหุพฺพีหิสมาส. ผูประสงคจะ ทราบเนื้อความ พึงดูการจำแนกธาตุและปจจัย ที่ อตฺต ศัพท ที่อธิบายไวในตนตนแลว) มี คำอธิบายวา อนตฺตาติ ขนฺธปฺจกเมว, ตฺหิ อวสวตฺตนเน จ อตฺตสุฺตาทีหิ จตูหิ การเณหิ จ อนตฺตา (คำวา อนตฺตา หมายถึง เบญจขันธนั่นเอง, จริงอยู เบญจขันธนั้น จัดเปน อนัตตา เพราะอรรถวาไมเปนไปตามอำนาจ และเพราะเหตุ ๔ ประการมีความวางเปลาจาก ตัวตนเปนตน) อนตฺถต (ปุ.) ผูใหความฉิบหาย, ผูกอความ เสียหาย วิ. อนตฺถํ ททาตีติ อนตฺถโท อนตฺถโต (ผูใดยอมใหสิ่งที่ไมใชประโยชน เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนตฺถท คือ อนตฺถต), [อนตฺถ + ทา ธาตุ + อ ปจจัย, แปลง ท เปน ต,] วิ. อนตฺโถ อโต อนตฺถโต (ความเสื่อมเสียจักมีแกเราจากบุรุษ นั้น ชื่อวา อนตฺถโต), [ลบ โอ], วินย.อ.๓/๒๖๘ อนตฺถท (ปุ.) ผูใหความฉิบหาย, ผูกอความ เสียหาย วิ. อนตฺถํ ททาตีติ อนตฺถโท (ผูใดยอม ใหสิ่งที่ไมใชประโยชน เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนตฺถท), [อนตฺถ + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + อ ปจจัย] วินย.อ.๓/๒๖๘, อนตฺถกาโม นัยนี้, [อนตฺถ + กมุ ธาตุ อิจฺฉากนฺตีสุ ในความตองการ ความประสงค + ณ ปจจัย], นัยเดียวกันนี้เชน อนตฺถชนโน โลโภ, โทโส, โมโห จ (โลภะ โทสะ โมหะ กอใหเกิดอนัตถะ), วิ. น อตฺถํ อนตฺถํ, ตํ อนตฺถํ อุปฺปาเทตีติ อนตฺถชนโน (ไมใชสิ่งที่มี ประโยชน ชื่อวา อนัตถะ, กิเลสใดยังสิ่งที่ไมมี ประโยชนนั้นเกิดขึ้น เหตุนั้น กิเลสนั้น ชื่อวา อนตฺถชนน กิเลสที่กอใหเกิดสิ่งที่ไมมีประโยชน), ชน ธาตุ ชนเน ในความใหเกิด + ยุ ปจจัย + เณ ปจจัย เปนบทที่มีการิตปจจัยในรูปวิเคราะห) อนทฺท (อิตฺ.) ๑. ความไมเอื้อเฟอ, หัวดื้อ, หัวแข็ง, ไมรับโอวาท, ไมเคารพยำเกรง วิ. อนาทิยนา อนาทริยํ โอวาทอคฺคหณํ อจิตฺตีกาโร อนทฺทา (การไมเอื้อเฟอ ไมอาทร ไมรับโอวาท ไมเคารพยำเกรง ชื่อวา อนทฺทา), [น + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + อ ปจจัย + รัสสะ อา เปน อ, แปลง น เปน อน, ซอน ทฺ] ๒. ความไมออนโยน, กระดาง วิ. สุกฺขกสฺส วิย อนลฺลตา อมุทุตา วา อนทฺทา (ความไมสดชื่น หรือความไมออนโยน เหมือนไมแหง ชื่อวา อนทฺทา) อทฺทนํ อทฺทา, อทฺท อลฺลภาเว, น อทฺทา อนทฺทา (ความสดชื่น ชื่อวา อทฺทา, อทฺท ธาตุ อลฺลภาเว ในความ สดชื่น, ความสดชื่นหามิได ชื่อวา อนทฺทา), พระไตรปฏกสยามรัฐ เปน อนาทา (อภิ.วิ.๓๕/ ๙๕๔/๕๐๑) อนทฺธ (ติ.) ๑. ไมถูกรัด, ไมถูกครอบงำ, ไมถูก ปกปด วิ. อปริโยนทฺโธ อนภิภูโต อพนฺธิโต อนทฺโธ (ผูใดไมถูกรวบรัด ไมถูกครอบงำ ไมถูก ผูกมัด ผูนั้นชื่อวา อนทฺธ), [น + นห ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + ต ปจจัย, แปลง น เปน อ, แปลง ต เปน ธ, แปลง ห เปน ทฺ ๒. ไมถูกมัด, ไมใช เวลา วิ. น อทฺธา อนทฺธา จัดเปน นปุพพบท กัมมธารยสมาส ไมใชอัทธา ชื่อวา อนทฺธา) ดู อทฺธา


๑๐๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนธิวร (ปุ.) ไมมีใครประเสริฐยิ่งกวา, พระพทุธเจา วิ. ๑. อธิวโร อสฺส นตฺถีติ อนธิวโร (ผูที่ประเสริฐยิ่งกวา ของพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น ไมมี เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระ นามวา อนธิวร) ๒. อตฺตโน อธิกสฺส กสฺสจิ อุตฺตมปุคฺคลสฺส อภาวโต อนธิวโร (พระผูมีพระ ภาคเจา ทรงพระนามวา อนธิวร เพราะไมมี บุคคลสูงสุดไรๆ เหนือกวาพระองค) ๓. น ตโต อธิโก วโร อตฺถีติ อนธิวโร ภควา. (บุคคลผู ประเสริฐ ยิ่งกวาพระผูมีพระภาคเจาพระองค นั้น มีอยูหามิได เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระ นามวา อนธิวร) ๔. สพฺพปริยนฺตคตตฺตภาวตฺตา วา นตฺถิ เอตสฺส อิโต อฺโ อธิโก ปตฺเถตพฺโพ อตฺตภาโวติ อนธิวโร ภควา (อัตภาพอื่น อันบุคคลผูปรารถนา ยิ่งกวาพระวรกายนี้ ของ พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั่นไมมี เพราะ อัตภาพของพระองคถึงความประเสริฐกวา อัตภาพทั้งหมด เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระ นามวา อนธิวร) อนนฺตก (ติ.) ไมมีที่สุด, ไมมีชาย, ไมมีราคา วิ. นนฺตกเมว อนนฺตกํ (ไมมีที่ชายนั่นเอง ชื่อวา อนนฺตก), คำนี้แสดงในไว นนฺตก พึงดูที่นั้น ใน สทฺทนีติ สุตฺตมาลายํ(นิปาตปท, ฉบับแปล หนา ๑๒๓๘) วา อ ในที่บางแหง เปนเพียงคำที่ทำให สละสลวย ปรากฏในบาลี เชนในบาลี โคปาลวิมานวตฺถุ (ขุ.วิ.๒๖/๘๐/๑๓๓) วา ขิป อนนฺตกํ (วางผาไมมีชาย) ในบาลีนี้ อธิบายวา ตตฺถ อนฺนตกนฺติ นนฺตกํ ปโลติกนฺติ (ในบทเหลานั้น บทวา อนนตฺก ไดแก ทอนผาไมมีชาย) อนนฺตริตฺวา (กิ.กิตฺ.) ตอเนื่อง, ทำใหไมมี ระหวาง, ทำใหไมมีชองวาง วิ. อนนฺตรํ กตฺวา อนนฺตริตฺวา, อตฺตโน อนนฺตรํ อพฺยวหิตํ กตฺวาติ อตฺโถ (อนนฺตริตฺวา แปลวา ทำใหไมมีระหวาง, หมายความวา กระทำใหไมมีระหวางแหงตน), [อนนฺตร ศัพทอพฺยวธานตฺถ มีอรรถวาตอเน่ือง + อิ ปจจัย ลงหลังนามใชในความหมายธาตุ ดวยสูตรนิรุตติทีปนี นิรุตฺติ.๗๑๒ วา ธาตฺวตฺเถ นามสฺมิ + ตฺวา ปจจัย], ปาฐะวา อนฺตริตฺวา ดังนี้ อนฺตริกํ พฺยวหิตํ กตฺวาตฺยตฺโถ (หมายถึง ทำใหมี ระหวาง) อนปายินี (อิตฺ.) ไมมีการไปปราศ, ติดตามไป ๑. วิ. อปอยนํ อปาโย, อปาโย เอติสฺสา อตฺถีติ อปายินี, น อปายินี อนปายินี (การไปปราศ เรียกวา อบาย, การไปปราศ ของภูมินั้น มีอยู เหตุนั้น ภูมินั้น ชื่อวา อปายินี, การไปปราศหา มิได ชื่อวา อนปายินี), [น + อป + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ, แปลง อิ เปน อาย, อี ในปจจัยในตทัสสัตถ ตัทธิต + อินี ปจจัย ในอิตถีลิงค แปลง น เปน อน, น ปุพพบทกัมมธารยสมาส มีวิเคราะหกิตก และตัทธิต เปนทอง], ๒. วิ. อนปายตีติ อนปายินี (สิ่งใดยอมตามไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อนปายินี เชน ฉายาว อนปายินี(เหมือนเงา ที่ติดตามไป), ก็ในวิเคราะหนี้ คำวา อนปายติ มี การสลับที่กันและกันแหง น กับ อ อักษร เชน ในคำวา อนภิเนยฺย เปนตน, ปาฐะวา อนุปายินี ก็มีบาง, อีกนัยหนึ่ง น หรือ อนุ + อป + อย ธาตุ คมเน ในการไป + ณี ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ + อินี ปจจัยในอิตถีลิงค อนเปกฺขิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ไมเพงเล็ง, ไมมุงหวัง, ไมพิจารณา วิ. น อเปกฺขิตฺวา อนเปกฺขิตฺวา (อนเปกฺขิตฺวา แปลวา ไมเพงเล็งแลว), [น + อป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม, แปลง น เปน อ, แปลง อิ เปน เอ]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๐๕ หรือไดรูปเปน อนเปกฺขิย ก็ได, พึงดูการจำแนก ธาตุและปจจัยโดยการเทียบบทวา อเปกฺขิยาน, นัยเดียวกันเชน อนเปกฺโข ลง อ ปจจัย อนพฺภิต (ติ.) ไมไดอัพภาน, ผูที่สงฆยังไมไดทำ อัพภานกรรม วิ. น อพฺเภตพฺโพติ อนพฺภิโต (ภิกษุใด อันสงฆยังไมอัพภาน เหตุนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวา อนพฺภิต), [น + อภิ + อิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ต ปจจัย, แปลง อภิ เปน อพฺภ, แปลง น เปน อน]สวนในอรรถกถาแหงปาราชกิ กัณฑ วา อนพฺภิโตติ น อพฺภิโต, อสมฺปฏิจฺฉิโต, อกตพฺภานกมฺโมติ วุตฺตํ โหติ, อนวฺหาโตติ วา อตฺโถติ (บทวา อนพฺภิโต ไดแก เปนผูอันสงฆ ไมไดอัพภาน คือ ไมไดรับรอง มีคำอธิบายวา ยัง ไมไดทำอัพภานธรรม มีใจความวา สงฆยังไมได เรียกเขาหมู) อนภาวงฺกต (ติ.) ๑. ทำใหไมมีในภายหลัง, ทำใหไมมีภายหลังตอๆ ไปอีก วิ. อนุอภาวํ กตา อนภาวงฺกตา. อนภาวงฺคตาติป ปาโ. ตสฺส อนุอภาวํ คตาติ อตฺโถ (ธรรมชาติ อันทานทำให ถึงความไมมีในภายหลัง ชื่อวา อนภาวงฺกตา, ปาฐะวา อนภาวงฺคตา ก็มี, หมายความวา ถึงความที่สิ่งนั้นไมมี), ในคำวา อนภาวงฺกตา นั้น พึงทำการตัดบทวา อนุอภาวํ คตา อนภาวํคตา เชน อนุอจฺฉริยา อนจฺฉริยาติ ๒. ภาวะที่ถึง ความไมมีภายหลังตอๆ มา วิ. อนุ อนุ อภาวํ คเมตีติ อนภาวงฺคโต (ภาวะใดยอมถึงความไมมี ภายหลังภายหลัง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนภาวงฺคต), [อนุ + อภาว + คมุ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ต ปจจัย, ลบ ม], สารตฺถทีปนีฏีกา อธิบายวา อนุสทฺโท ปจฺฉาสทฺเทน สมานตฺโถติ (อนุ ศัพท มีความหมายเทากับศัพทวา ปจฺฉา) อนภิภูต (ติ.) ไมถูกครอบงำ วิ. น อภิภูยิตฺถาติ อนภิภูโต (ผูใดไมถูกครอบงำ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนภิภูต), [น + อภิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + ต ปจจัย] นัยเดียวกันเชน อปริภูโต บทนี้ น + ปริ บทหนา อนภิรติ (อิตฺ.) ๑. ความไมยินดี, ความไมชอบใจ, ความไมชอบใจยิ่ง วิ. ปรสมฺปตฺตีสุ นาภิรมตีติ อนภิรติ, อนภิรตภาโว (ภาวะใดไมอภิรมย ใน เพราะสมบัติผูอื่น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนภิรติ ไดแกความเปนแหงบุคคลผูไมยินดี), [น + อภิ + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ติ ปจจัย, แปลง น เปน อน] ๒. ไมยินดี, เบื่อหนาย, ระอา วิ. อนภิรมณํ อนภิรติ อุกฺกา (ความไมยินดี ชื่อวา อนภิรติ คือเบื่อหนาย), [น + อภิ + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ติ ปจจัยในอรรถ ภาวะ], นัยเดียวกันเชน อนภิรโต บทนี้ลง ต ปจจัย, อนภิรทฺโธติ น สุขิโต น วา ปสาทิโตติ อนภิรทฺโธ (ในบทวา อนภิรทฺโธ มีคำอธิบายวา ชื่อวา อนภิรทฺโธ เพราะอธิบายวา ผูมีความสุข หามิได หรือผูเลื่อมใสหามิได), อถ วา อนภิรทฺโธติ อปริปุณฺณสงฺกปฺโป, โน ปคฺคหิตจิตฺโต, อนภิราธิโต อปริโตสิตจิตฺโตติ วุตฺตํ โหติ (อีกนัยหนึ่ง ที่ชื่อวา อนภิรทฺโธ ผูไมยินดี ไดแก ผูมีความดำริไม บริบูรณ, ผูมีจิตอันยกขึ้นแลวหามิได มีคำที่ทาน อธิบายวา ไมใชผูยินดีแลว ไมใชผูมีจิตผองใส) อนภิรทฺธิ (อิตฺ.) ๑. ความไมยินดียิ่ง, ขึ้งเคียด วิ. ปรสมฺปตฺตีสุ นาภิรมฺภตีติ อนภิรทฺธิ (ภาวะใด ไมยินดีสมบัติผูอื่น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนภิรทฺธิ), [น + อภิ + รภ ธาตุ อารมฺเภ ใน ความพยายาม + ติ ปจจัย] ๒. พยาบาล, ปองราย วิ. เนว อตฺตโน น ปเรสํ หิตํ อภิราธยตีติ อนภิรทฺธิ พฺยาปาโท (อาการใดไมยินดีเกื้อกูลทั้ง


๑๐๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา แกตนและบุคคลอื่น เหตุนั้น อาการนั้น ชื่อวา อนภิรทฺธิ คือพยาบาท), ศัพทนี้เปนอิตถีลิงค), [น + อภิ + ราธ ธาตุ อาราธเน ในความยินดี + ติ ปจจัย, แปลงเปน ทฺธ, รัสสะ อา เปน อ, บท วา อนภิรทฺโธ ก็นัยนี้ ต ปจจัย อนมตคฺค (ติ.) สังสารวัฏมีเบื้องตนที่สุดอัน บุคคลไมรู ๑. มนิตพฺโพ าตพฺโพติ มโต, มโต เอว อมโต (สังสารวัฏใด อันบุคคลกำหนดรู เหตุ นั้น สังสารวัฏนั้น ชื่อวา มต-สังสารอันบุคคลพึง รู, มต นั้นเอง ชื่อวา อมต), อ ในที่นี้เปน อรรถตัพภาวะ มีความหมายเทากับ มต เชน อ ในคำวา อนวชฺชํ [อ + วชฺชํ = อวชฺชํ-โทษ, น + อวชฺชํ = อนวชฺชํ-ไมมีโทษ], วิ. นตฺถิ อมโต าตพฺโพ อคฺโค โกฏิ ยสฺส สํสารปวตฺตสฺสาติ อนมตคฺโค (เบื้องตน ที่สุด อันบุคคลพึงกำหนด รู แหงสังสารวัฏใดที่หมุนไป ไมมี เหตุนั้น สังสารวัฏนั้น ชื่อวา อนมตคฺค-สังสารวัฏอัน บุคคลไมรูเบื้องตนและที่สุด), วิ. มนิตพฺโพ อคฺโค โกฏิ นตฺถีติ อตฺโถ. สํสารสฺส ปุพฺพโกฏิ นตฺถิ อิจฺเจวํ วุตฺตํ โหติ (อธิบายวา เบื้องตนที่สุดอัน บุคคลกำหนดรูไมมีหมายความวา สังสารวัฏไม มีเบื้องตนและที่สุด) ๒. มนิยตีติ อมโต โย อคฺโค ปณฺฑิเตน, อกาโร ตพฺภาเว วตฺตติ (เบื้องตนและ ที่สุดใดอันบัณฑิตกำหนดรู เหตุนั้น เบื้องตนและ ที่สุดนั้น ชื่อวา อมต, อ ใชในอรรถตัพภาวะ-มี ความหมายเดียวกับ มต), วิ. อชนํ ปมํ คมนํ ปวตฺตนํ อคฺโค (การถึงคือเปนไปกอน ชื่อวา อคฺค), [อช ธาตุ คมเน ในความไป + ค ปจจัย และ แปลง ช เปน ค, กจฺ.๖๓๘ รูป.๖๖๐ วา วชาทีหิ เปนตน] วิ. นตฺถิ อมโต อคฺโค อาทิ ยสฺส สํสารสฺส โส อนมตคฺโค (เบื้องตนและที่สุด คือ เริ่มตนและที่สุดอันบุคคลกำหนดรู ของ สังสารวัฏใด ไมมี เหตุนั้น สังสารวัฏนั้นชื่อวา อนมตคฺค), ในปรมัตถมัญชุสา ๑/๑๗๒ แสดงไว วา อนมตคฺเคติ อนุ อนุ อมตคฺเค อนาทิมติ (คำวา อันมีที่สุดที่ใครๆ รูไมได คือรูวาไมมี เบื้องตนในสังสารวัฏอันมีที่สุดที่ใครๆ ตามรู ไมได) ๓. วิ. มตํ เอว อมตํ, น อมตํ อนมตํ, อนมตํ อคฺคํ ยสฺสาติ อนมตคฺโค, นนิปาโต ตพฺภาวตฺโถ, มน าเณ, ต, นโลโป (การรูนั่นเอง ชื่อวา อมต, การรูหามิได ชื่อวา อนมต-การไมรู, การไมรู เปนยอดแหงสังสารวัฏใดมีอยู เหตุนั้น สังสารวัฏนั้นชื่อวา อนมตคฺค), [น นิบาต + อ ตัพพภาวะ คืออักษรที่ไมมีความหมายเพิ่ม + มน ธาตุ าเณ ในความรู + ต ปจจัย + ลบ น ที่สุดธาตุ] อนย (ปุ.) ๑. ไมใชความเจริญ, ความเสื่อม วิ. น อโย อนโย, อวุฑฒฺิยา เอตํนยํ(ความเจรญิ หามิได ชื่อวา อนย, การนำไปนั่นเพื่อความไม เจริญ), [น + อย ธาตุ วุฑฺฒิยํ ในความเจริญ + อ ปจจัย], ๒. ไมนำพาความเจริญ วิ. อนยํ น วา อยํ นยตีติ อนโย (ภาวะใดไมนำ หรือไมนำ ความเจริญ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนย), [น + นี ธาตุ นเย ในความนำไป + ณ ปจจัย, แปลง อี เปน อย] ๓. ไมใชสิ่งที่เกิดเพราะบุญ, ความ ทุกข วิ. ปุฺกมฺมโต เอติ อุปฺปชฺชตีติ อโย, สุขํ วฑฺฒิ วา (สิ่งใดยอมเกิดขึ้น จากบุญกรรม เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อย คือสุข หรือความ เจริญ), [อิ ธาตุ อุปฺปชฺชเน ในความเกิดขึ้น + อ ปจจัย, แปลง อี เปน อย] วิ. ตปฺปฏิปกฺขโต อนโย, ทุกฺขํ อวฑฺฒิ วา (ชื่อวา อนย คือทุกข เพราะตรงขามกับ อย คือความสุข หรือความไม เจริญ) ๔. ทุกข, ภาวะที่ตรงกับภาวะที่เปนไป โดยความชอบใจ วิ. เอติ อิภาเวน ปวตฺตตีติ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๐๗ อโย, สุขํ (ภาวะใดยอมไป คือเปนไปโดยความ เปนสิ่งที่เขายินดีแลว เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อย ไดแก สุข), [อิ ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อ ปจจัย], ตปฺปฏิกฺเขเปน อนโย, ทุกฺขํ (ที่ชื่อ วา อนย เพราะเปนสิ่งตรงขามกับ อย-สุข ไดแก ทุกข) อนริย (ติ.) ไมใชอริยะ, ไมประเสริฐ, ไมใชของ อารยชน, ไมหมดจด, ไมใชสิ่งสูงสุด วิ. น อริโย อนริโย, น วิสุทฺโธ น อุตฺตโม, วิ. น วา อริยานํ สนฺตโก อนริโย (อีกนัยหนึ่ง ไมใชของพระอริย เจาทั้งหลาย จึงชื่อวา อนริย), [น + อร ธาตุ คติยํ ในความไป + ณฺย ปจจัย, แปลง น เปน อ, อิ อาคม] อนล (ปุ.) ไฟ ๑. ไฟเปนเหตุมีชีวิตอยู วิ. อนติ ชีวติ เอเตนาติ อนโล (บุคคลยอมมีชีวิตเปนอยู ได ดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนล), [อน ธาตุ ปาณเน ในความเปนอยู + อล ปจจัย] ๒. ไฟเปนเครื่องรักษาชีวิตสัตว วิ. อนนฺติ ปาเลนฺติ อเนนาติ อนโล ปาวโก (สัตวทั้งหลาย ยอมรักษาไวได ดวยไฟใด เหตุนั้น ไฟนั้น ชื่อวา อนล คือไฟ), [อน ธาตุ ปาลเน ในความรักษา + อล ปจจัย] ใน อรรถกถาชาดก (ชา.อ.๗/๒๖๕) แปลวา ไมอิ่ม คือแสดงไววา อนโลติ อติตฺโต (บทวา อนโล แปลวา ไมอิ่ม), ๓. ผูไมมี ความสามารถ วิ. นตฺถิ อลํ สมตฺโถ ยสฺสาติ อนโล (ความสามารถของบุคคลใดไมมี เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อนล), [น + อลํ, พหุพฺพีหิ สมาส], ในบางแหงกลาววา อนล หมายถึง อุตุ เชนในคำวา กมฺมจิตฺตานลาหารปจฺจยานํ วเสนิธ วิ. นตฺถิ อลํ สมตฺโถ ยสฺสาติ อนโล (ภาวะที่ เหมาะ คือสามารถ ของไฟใด ไมมี เหตุนั้น ไฟนั้นชื่อวา อนล), [น + อลํ], นปุพพบทกัมม ธารยสมาส อนวชฺช (ติ.) ไมควรติเตียน, ไมใชสิ่งที่ควรติ เตียน, ไมมีโทษ วิ. ชาตฺยาจาราทีหิ นิหีโนยนฺติ น อวทิตพฺโพติ อนวชฺโช (ผูใดอันเขาไมควรติ เตียนวา ผูนี้เลวทรามโดยชาติและมารยาท เปนตน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนวชฺช), [น + อ อักษรเปน ตพฺภาว คืออักษรที่เติมลงไปมี ความหมายเทาเดิม + วท ธาตุ วิยตฺติยํ วาจายํ ในความกลาว + ณฺย ปจจัย, แปลง ทฺย เปน ชฺช, แปลง น เปน อน] ๒. ไมใชโทษ วิ. น อวชฺชํ อนวชฺชํ (สิ่งที่มีโทษหามิได ชื่อวา อนวชฺช), นปุพฺพปทสมาส อนวฏาน (นปุ.) ไมมั่นคง, ไมตั้งมั่น, ไมหยุดยั้ง, ไมใชฐานะ วิ. อวียเต อวานํ (อันเขาตั้งลง ชื่อวา อวาน), [อว + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในการหามการไป + ยุ ปจจัย แปลง เปน อน, ซอน ] วิ. น อวานนฺติ อนวานํ (ไมใชสิ่งที่ตั้งลง ชื่อวา อนวาน), แปลง น เปน อน ปาฐะวา อนวตฺถานํ ก็มี มีความหมาย วา สมฺภโม หมุน, กลิ้ง หรือ อวูปสโม ไมสงบ อนวตตฺต (ปุ.) สระน้ำ, สระอโนดาต, สระที่น้ำ ไมแหงไป ๑. วิ. อุทเกน น อวตปติ เอตฺถาติ อนวตตฺโต (ความรอนไมเผาใหเหือดแหง เพราะ มีน้ำในที่นั่น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อนวตตฺต), [น + อว + ตป ธาตุ ตปเน ในความรอน + ต ปจจัย] ๒. สูริยรํสิสมฺผุ ภาเวน อุทกํ น อวตปติ  เอตฺถาติ อนวตตฺโต อโนตตฺโต (น้ำไมอุน เพราะ แสงอาทิตยสองไมถึงในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อนวตตฺต ไดแก สระอโนดาต), [น + อว + ตป ธาตุ ตปเน ในความรอน + ต ปจจัย, แปลง น เปน อน, แปลง โอ เปน อว]


๑๐๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนวรต (ติ.) แนนอน, เนืองนิตย, เที่ยงแท, ประจำ, ทุกเมื่อ วิ. น อวรมตีติ อนวรตํ สนฺตตํ (สิ่งใดไมเวน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนวรต ไดแก ตอเนื่อง), [น + อว + รมุ ธาตุ รมเณ ในความ ยินดี + ต ปจจัย, ลบ ม] อิติ.อ. ๓๖๒ อนวฺหาต (ติ.) ผูอันเขาไมไดเรียก, ไมไดเรียก เขาหมู, ยังไมอัพภาน วิ. อปกฺโกสิโต อนพฺภิโตติ อนวฺหาโต (ผูใดอันเขาไมรองเรียก ไมเรียกหา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนวฺหาต), [น + อา + เวฺห ธาตุ อวฺหายเน ในการเรียก + ต ปจจัย, แปลง น เปน อน, รัสสะ อา เปน อ, แปลง เอ เปน อา] อนวฺหิต (ติ.) ผูอันเขาไมรองเรียก, ผูอันเขา ไมไดรองขอ วิ. อปกฺโกสิโต อยาจิโต วา อนวฺหิโต (ผูอันเขาไมเรียกแลว หรือไมไดรองขอ ชื่อวา อนวฺหิต), [น + อา + เวฺห ธาตุ อวฺหายนยาจเนสุ ในความรองเรียกและรองขอ + ต ปจจัย + อิ อาคม] อนวาห (ปุ.) วัว วิ. อนํ สกฏํ วหตีติ อนวาโห (สัตวใดยอมนำไปซึ่งเกวียน เหตุนั้น สัตวนั้น ชื่อ วา อนวาห), [อน + วห ธาตุ วหเน ในความ นำไป + ณ, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา] อนสน (นปุ.) ๑. การอดอาหาร วิ. อภุฺชนํ อนสนํ (การไมบริโภค ชื่อวา อนสน), [น + อส ธาตุ ภกฺขเณ ในความกิน + ยุ ปจจัย], ๒. ความ ไมกระปรี้กระเปรา, การคุดคู, ความเกียจครานทางกาย วิ. อวิปฺผาริกภาโว กายาลสิยํ อนสนํ (ความไมกระปรี้กระเปรา ความเกียจครานทางกาย ชื่อวา อนสน), กายิกกิริยาอสมตฺถตาเหตุภูโต สรีรสงฺโกโจติ อตฺโถ (หมายความวา การนอนคุดคู มีความไมสามารถ ทำการทางกายไดเปนเหตุ), [น + อส ธาตุ พฺยาเป ในความเอิบอาบ + ยุ ปจจัย] อนสฺสว (ติ.) ไมเชื่อฟง, วาไมฟง วิ. น อาทเรน สุโณตีติ อนสฺสโว (สิ่งใดยอมไมฟง โดยเอื้อเฟอ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนสฺสว) เชน ยฺเจ ปุตฺตา อนสฺสวา (สํ.ส. ๑๕/๖๙๐/๒๕๙) (พวก บุตรที่ไมเชื่อฟงจะดีอะไร), [น + อา + สุ ธาตุ สวเน ในความฟง + ณ หรือ อ ปจจัย, แปลง น เปน อน, แปลง อุ เปน อว, ซอน สฺ, รัสสะ อา เปน อ] อนสฺสาวี (ติ.) ผูไมเลื่อนไหลไป, ผูไมชอบใจ ๑. วิ. น อาสวติ สนฺทตีติ อนสฺสาวี (ผูใดยอมไม เลื่อนไหลไป เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนสฺสาวี), สาตวตฺถูสุ กามคุเณสุ ตณฺหาสนฺถววิรหิโตติ อตฺโถ (หมายความวา ผูเวนการเสพสนิทตัณหาใน กามคุณ ซึ่งเปนธรรมชาตินาพึงพอใจ), [น + อา + สุ ธาตุ สนฺทเน ในความไหลไป + อาวี ปจจัย], ๒. วิ. อสฺสวติ สีเลนาติ อสฺสาวี (ผูใดไหลไปโดย ปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสฺสาวี), [อา + สุ ธาตุ ปคฺฆรเณ ในการไหล + ณี ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ, พฤทธิ์ อุ เปน โอ แปลงเปน อาว, ซอน สฺ, รัสสะ อา เปน อ] วิ. น อสฺสาวี อนสฺสาวี (ไมใชผูไหลไปเปน ปกติชื่อวาอนสฺสาวี), นบุพพบท กัมมมธารยสมาส. อนฺต (ปุ., นปุ.) ๑. ต่ำทราม, ชั่วชา, เลว วิ. ลามกภาวํ อมติ คจฺฉตีติ อนฺโต (สิ่งใดยอม ดำเนินไปสูความเลวทราม เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺต), [อม ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย] วิ. อมฺมติ ปริภุยฺยติ หิียตีติ อนฺโต ลามโก (สิ่งใดอันเขารังเกียจดูหมิ่นดูแคลน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺต ไดแก ลามก) ที.ฏี.๓/๒๔๑ ๒. ลำไสใหญ (นปุ.) วิ. อนฺติยตีติ อนฺตํ, อนฺติยติ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๐๙ พนฺธิยติ อนฺตคุเณนาติ อนฺตํ (สิ่งใดอันลำไสนอย พันไว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺต), [อติ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อ ปจจัย, นิคหิตอาคม] ธาตวัตถสังคหะ อธิบายคาถาที่ ๙ วิ. อนฺตติ, อนฺติยติ อนฺตคุเณนาติ อนฺตํ (สิ่งใดยอมติด หรือ อันลำไสนอยพันไว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺต) ๓. ที่สุด, ชาย, ริม, เขต, แดน, ปลาย, ไปอยู วิ. อมติ คจฺฉตีติ อนฺโต (ภาวะใดยอมไป ยอมถึง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนฺต), [อม ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อนฺต ปจจัย, ลบ ม] วิ. อวสานภาเวน อมิยติ ายตีติ อนฺโต อนฺตํ (ภาวะใดอัน เขารู โดยความเปนสิ่งสุดทาย เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนฺต), [อม ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย + ลบ ม, แปลง ต เปน นฺต] วิ. โอสานภาเวน อมติ ปวตฺตตีติ อนฺโต (ภาวะใดยอม เปนไป โดยความเปนสิ่งสุดทาย เหตุนั้น ภาวะ นั้น ชื่อวา อนฺต), [อม ธาตุ ปวตฺตเน ในความ เปนไป + อนฺต ปจจัย] ๔. ที่สุดภพ, สุดทาย, โรค วิ. อมติ คจฺฉติ ภวปฺปพนฺโธ โอสานเมตฺถาติ อนฺโต (ความตอเนื่องแหงภพถึงที่สุดในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อนฺต) วิ. อมติ คจฺฉติ เอตฺถ โวสานนฺติ อนฺโต (สัตวเปนตนไปถึงที่สุดในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อนฺต) วิ. อมตีติ อนฺโต (ภาวะใดเปนโรค เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนฺต), [อม ธาตุ โรเค ในความเปนโรค + อนฺต ปจจัย] ๕. สวน วิ. อวยวภาเวน อาสนฺนภาเวน วา อมติ ปวตฺตตีติ อนฺโต (สิ่งใดยอมเปนไป โดยความ เปนสวนประกอบ หรือความเปนของใกลกัน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺต), [อม ธาตุ + ต ปจจัย, แปลง ม เปน น] วิ. อมติ ยาตีติ อนฺโต (สิ่งใด ยอมเปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺต), [อม ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย โมคฺ.๗/๘๒ วา วาทีหิ โต, แปลง ม เปน นฺ] วิ. อสติ ยาตีติ อนฺโต (สิ่งใดยอมเปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺต), [อส ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย, แปลง ส เปน นฺ] วิ. อวตีติ อนฺโต (สิ่งใดยอม เปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺต), [อว ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย, แปลง ว เปน นฺ] ๖. พระนิพพาน, พระอรหัตผล วิ. สงฺขารานํ อวสาเน ชาตํ อนฺตํ, นิพฺพานํ. อถ วา มคฺคสฺส ปริโยสาเน ปวตฺตํ อนฺตํ, อรหตฺตผลํ (ภาวะที่เกิด ในที่สุดแหงสังขารทั้งหลาย ชื่อวา อนฺต คือ พระนิพพาน, อนึ่ง ภาวะที่เปนไปในที่สุดแหง มรรค ชื่อวา อนฺต คือ อรหัตผล) เชน เวทนฺตคู (ผูถึงที่สุดแหงเวท); อนฺต ศัพท อนิตฺถิยํ เปน ปุงลิงคและนปุงสกลิงค ในสัททนีติ ธาตุมาลา (ฉบับแปล หนา ๑๘๕) แสดงความหมาย อนฺต ศัพทไววา กุณปนฺตํอนตฺิมฺจ มริยาโท จ ลามกํ โกาโส โกฏิเม อตฺถา อนตฺสทฺเทน ภาสิตา (ทานกลาวความหมายแหง อนฺต ศัพทไววา กุณปนฺต-ไสใหญ, อนฺติม-ริม, ชาย, มริยาท-เขต, แดน, ลามก-เลว, ทราม, โกาส-สวน, โกฏิ- ที่สุด), การอธิบายโดยพิสดารบัณฑิตพึงคนดู ในสัททนีตินั้นเถิด, อนฺต ที่เปนนิบาต อพฺภนฺตร ใชในความหมายวาภายใน เชนในคำวา นครสฺส อนฺโต อนฺโตนครํ อนฺตก (ปุ.) ผูทำที่สุด, ผูทำความพินาศ, ผูทำ ใหถึงความเลว, มัจจุราช, ความตาย, มาร วิ. โลกานํ อนฺตํ วินาสํ ลามกภาวํ วา กโรตีติ อนฺตโก มจฺจุราชา มาโร จ (ภาวะใดยอมกระทำ ที่สุด ความพินาศ และความเลวทราม ใหแก ชาวโลก เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนฺตก ไดแก ความตาย และมาร), [อนฺต + กร ธาตุ + ร


๑๑๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ปจจัย กจฺ.๕๓๘ รูป.๕๙๕ วา สํหนฺาย วา โร โฆ, ลบ ร] อนฺตกร (ปุ.) พระผูมีพระภาคเจา, ผูทรง กระทำที่สุดแหงทุกข วิ. อนฺตํ กโรตีติ อนฺตกโร, สกลวฏทุกฺขสฺส สกสนฺตาเน, ปรสนฺตาเน จ วินาสกโร อภาวกโรติ อตฺโถ, ภควา (พระพุทธเจา ทรงกระทำที่สุด หมายความวา ทำใหทุกขใน วัฏฏะทั้งสิ้น ในสันดานพระองค และในสันดาน สัตวอื่น ใหพินาศหมดสิ้นไป เหตุนั้น พระองคจึง ทรงพระนามวา อนฺตกร ไดแก พระผูมีพระภาค เจา), [อนฺต + กร ธาตุ + อ ปจจัย] อนฺตคฺคาหิกา (อิตฺ.) ทิฐิที่ถือเอาที่สุดคือเลว คือสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ วิ. สสฺสตุจฺเฉทสงฺขาตํ อนฺตํ ลามกํ คณฺหาติ, คณฺหาเปตีติ วา อนฺตคฺคาหิกา (ทิฐิที่ถือหรือใหยึดถือเอาที่สุดคือ เลวทรามคือสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ เหตุนั้น ทิฐินั้นชื่อวา อนฺตคฺคาหิกา), [อนฺต + คห ธาตุ อุปาทาเน ในความยึดถือ + ณฺวุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อนฺตคุณ (นปุ.) ลำไสเล็ก, สำไสที่พันลำไสใหญ วิ. อนฺเต คุณติ พนฺธตีติ อนฺตคุณํ อนฺตโภโค (สิ่งใดยอมพันลำไสใหญ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺตคุณ ไดแกลำไส), [อนฺต + คุณ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อ ปจจัย], วิ. อนฺตโต คุณํ รสฺสภาวนฺติ อนฺตคุณํ (ทบไสที่มีความสั้นกวาลำไส ใหญ ชื่อวา อนฺตคุณ) อนฺตคู (ปุ.) ๑. พระอรหันต, ผูถึงที่สุดคือ พระนิพพาน วิ. อนฺตํ นิพฺพานํ คจฺฉตีติ อนฺตคู, วฏทุกฺขสฺส ตีหิ ปริฺาหิ อนฺตคตตฺตา อนฺตคู, อรหา (ผูใดยอมบรรลุถึงที่สุดคือพระนิพพาน เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนฺตคู ผูถึงที่สุด, ชื่อวา อนฺตคู เพราะเปนผูถึงที่สุดทุกขในวัฏฏะ ดวย ปริญญา ๓ ไดแก พระอรหันต), [อนฺต + คม ธาตุ + รู ปจจัย, ลบ ร และ ม], วิ. อนฺตํ คนฺตุํ สีลมสฺสาติ อนฺตคู(การถึงที่สุดเปนปกตขิองพระ อรหันตนั้น เหตุนั้น พระอรหันตองคนั้น ชื่อวา อนฺตคู), ๒. มาร, ผูมีปกติไปที่สุด วิ. อนฺตคมนสีโล อนฺตคู มาโร (ผูใดยอมไปสูที่สุด เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนฺตคู ไดแกมาร), วิ. มรณํ ปาปนโต วา อกุสลานํ ธมฺมานํ อนฺตํ คตตฺตา วา อนฺตคู (มาร ไดชื่อวา อนฺตคู เพราะใหถึงตาย หรือ เพราะทำใหถึงที่สุดอกุศลธรรม), [อนฺต + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + รู ปจจัย ลบ ร เปนตน] อนฺตมโส (อพฺ.) ๑. โดยเปนสิ่งที่เกิดมีในที่สุด วิ. อนฺเต ชาโต อนฺติโม (ธรรมที่เกิดในที่สุด ชื่อ วา อนฺติม), [อนฺต + อิม ปจจัย + โส ปจจัยใน อรรถแหง นา วิภัตติ, แปลง อิ เปน อ], ๒. กำหนดที่สุด, ครอบคลุมไปถึงที่สุด (ติ.) วิ. อนฺตํ วา มสตีติ อนฺตมโส (อีกนัยหนึ่ง สิ่งใด มุงไปถึงที่สุด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺตมโส), [อนฺต + มส ธาตุ อามสเน ในความลูบคลำ + อ ปจจัย] อนฺตร (ติ.) มีในที่ระหวาง, มีในภายใน, เวน, วาง, ผา, เครื่องนุงหม ๑. วิ. อนฺตเร ภวํ อนฺตรํ (สิ่งใดมีในระหวาง สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺตร), [ณ ปจจัยแทน ภว] ๒. ระหวาง, กลาง, ที่ยึดขาง ทั้งสองไว วิ. เทฺว ปกฺเข อนฺตติ พนฺธตีติ อนฺตรํ (สิ่งใดผูกยึดขางทั้งสองไว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺตร), [อติ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อร ปจจัย] ๓. อนฺตํ ราติ ททาตีติ อนฺตรํ (สิ่งใดยอม ใหที่สุด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺตร), [อนฺต + รา ธาตุ ทาเน ในความให + อ ปจจัย]; อนฺตร ศัพท ปรากฏความหมายตางๆ เชน ทามกลาง ผา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๑๑ เปนตน ฉะนั้น ใน อภิธานปฺปทีปกา (คาถา ๘๐๒) จึงแสดงความหมาย ของ อนฺตร วา อนฺตรํ มชฺฌวตฺถฺ- ขโณกาโสธิเหตุสุ พฺยวธาเน วินตฺเถ จ เภเท ฉิทฺเท มนสฺยป อนฺตร ศัพท มีความหมายวา มชฺฌ-ทามกลาง, วตฺถ-ผา, อฺ-อื่น, ขณ-ชั่วขณะ, โอกาส โอกาส, โอธิ-เขตแดน, เหตุ-เหตุ, พฺยาวธาน-ระหวาง, วินตฺถ-การเวน, เภท-ความแตกตาง, ฉิทฺท-ชอง, มน-ใจ อีกอยางหนึ่ง บางแหง อนฺตร ศัพท เปน ไวพจนของคำวา สารถี เชนคำวา ปุริสนฺตร, บางแหงมีความหมายวา นานตฺต ความตางกัน เชนในขอวา วิฺเยฺยํ เตสมนฺตร แตใน สัททนตีิ สุตตมาลา ฉบับแปล หนา ๑๒๙๔ วา อนฺตรา ศัพท ใชในความหมายวา เหตุ ขณะ จิต ทามกลาง ระหวาง เปนตน, จริงอยางนั้น อนฺตรา ศัพท ใชในอรรถวา เหตุ เชนในขอวา ตทนฺตรํ โก ชาเนยฺย อฺตฺร ตถาคตา (นอกจากพระตถาคต ใครเลาจะพึงรูเหตุนั้น), ใชในอรรถวา ขณะ เชนในขอวา อทฺทส มํ ภนฺเต อฺตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺติ (ขา แตพระองคผูเจริญ หญิงคนหนึ่งลางภาชนะ ได เห็นขาพระองคในขณะฟาแลบ), ใชในอรรถวา จิต เชนในขอวา ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ ปาปา (ปาป ไมมีในจิตของบุคคลใด), ใชในอรรถวา ทามกลาง เชนในขอวา อนฺตราโวสานมาปาทิ (ถึงที่สุดในทามกลาง), ใชในอรรถวา ระหวาง เชนในขอวา อปจายํ ตโปทา ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกาย คจฺฉติ (อีกประการหนึ่ง บอน้ำรอน ชื่อวา ตโปทา นี้ มาจากระหวางมหานรกทั้ง สอง), นัยเดียวกันเชน อนฺตริตา ลง อิต ปจจัย แทน สฺชาต อนฺตรกถา (อิตฺ.) ถอยคำที่มาถึงทามกลาง, ถอยคำยังไมจบ, ถอยคำอยูระหวางคำเริ่มและ คำลงทาย วิ. มชฺฌํ ปตฺตา กถา อนฺตรกถา. อนฺตรกถาติ อวสานํ อปฺปตฺวา อารมฺภสฺส จ อวสานสฺส จ เวมชฺฌานํ ปตฺตกถา (ถอยคำที่ มาถึงทามกลาง ชือวา อนฺตรกถา, ถอยคำที่ยัง ไมถึงที่สุด มาถึงถึงตรงกลางระหวางคำเริ่มและ คำลงทาย ชื่อวา อนฺตรกถา), ในพระบาลีวา อนฺตรากถา อนฺตรฆร (อพฺ.นปุ.) ระแวกบาน, ภายในบาน, หมูบาน วิ. อนฺตเร ฆรานิ เอตฺถ, เอตสฺสาติ วา อนฺตรฆรํ (เรือนทั้งหลาย ในระหวาง มีอยูใน บานนั้น หรือเรือนทั้งหลายแหงบานนั่น มีอยู เหตุนั้น บานนั้นชื่อวา อนฺตรฆร ไดแก หมูบาน), นัยนี้เปน พหุพพิหิสมาส. อนฺตรฆรนฺติ กตฺถจิ นครทฺวารสฺส พหิอินฺทขีลโต ปาย อนฺโตคาโม วุจฺจติ, กตฺถจิ ฆรุมฺมารโต ปาย อนฺโตเคหํ (คำ วา อนฺตรฆร ในที่บางแหง ทานกลาวมุงถึงตั้งแต ริมนอกเสาหลักเมืองนอกประตูเมือง ถึงภายใน หมูบาน, บางแหงมุงถึง ตั้งแตธรณีประตูเรือนถึง ภายในเรือน) อนฺตรธาน (นปุ.) อันตรธาน, ไมปรากฏ, การ สูญ, ภาวะสิ่งที่ทรงความวาง วิ.อนฺตรํ ธรติ อนฺตรธายตีติ วา อนฺตรธานํ (ภาวะใดทรงไวซึ่ง ความวาง หรือสูญหาย เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนฺตรธาน), [อนฺตร + ธา ธาตุ ธารเณ ในความ ทรงไว + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อนฺตรวาสก (ปุ.) อันตรวาสก, ผาที่อยูกลาง, ผานุง เรียกแบบสามัญวา ผาสบง ๑. วิ. อนฺตเร มชฺเฌ ภโว วาโส อนฺตรวาสโก (ผานุงที่อยู ระหวางกลาง ชื่อวา อนฺตรวาสก), [ก สกัตถ] ๒. วิ. อนฺตรํ มชฺเฌ กฏิปฺปเทเส วาโส วตฺถํ


๑๑๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนฺตรวาโส, อนฺตรวาโสเอว อนฺตรวาสโก (ผานุงตรงกลาง คือที่เอว ชื่อวา อนฺตรวาส, อนฺตรวาส นั่นเอง ชื่อวา อนฺตรวาสก) ๓. อนฺตเร วสตีติ อนฺตรวาสโก (พระนุงผาใดไว ขางใน เหตุนั้น ผานั้น ชื่อวา อนฺตรวาสก), [อนฺตร + วส ธาตุ นิวาเส ในการนุง + ณฺวุ ปจจัย] ใน นิรุตฺติทีปนี(นิรุตฺติ. ๗๙๑) วิ. อนฺตเร วาสียติ นิวาสียตีติอนฺตรวาสโก (ผาใดเขานุงไว ขางใน เหตุนั้น ผานั้น ชื่อวา อนฺตรวาสก) วิ. วสติ สีเลนาติ วาสโก (เขานุงผาใดโดยปกติ เหตุนั้น ผานั้น ชื่อวา วาสก), [วส ธาตุ นิวาเส ในความนุง + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก และ พฤทธิ์ อ เปน อา] วิ. อนฺตเร วาสโก อนฺตรวาสโก (ผานุงในภายใน ชื่อวา อนฺตรวาสก), ทีฆโต มุิปฺจกํ ติริยํ ทฺวิหตฺถํ ปมาณิกจีวรํ (ไดแก จีวรไดประมาณ ยาว ๕ ศอกกำ กวาง ๒ ศอก), มุิปฺจกนฺติ จตุหตฺเถ มินิตฺวา ปฺจมํ หตฺถํ มุฐึ กตฺวา มินิตพฺพํ (คำวา ๕ ศอกกำ หมายถึง กำหนดนับ ๔ ศอกแลว ศอกที่ ๕ ทำมือใหเปน กำปน) อนฺตรหิต (ติ.) อันตรธานแลว วิ. อนฺตรธายีติ อนฺตรหิโต (สิ่งใดอันตรธานแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺตรหิต), [อนฺตร + ธา ธาตุ ธารเณ ใน ความทรงไว + ต ปจจัยเปนกัตตุวาจก, แปลง ธา เปน หิ] อนฺตราปรินิพฺพายี (ปุ.) ผูปรินิพพานใน ระหวาง, ๑ ในอนาคามี ๕ วิ. อายุกปฺปสฺส อนฺตเร เวมชฺเฌ อวสฺสํ ปรินิพฺพายิสฺสตีติ อนฺตราปริ- นิพพฺายี(พระอนาคามีใดจักปรินิพพานแนนอน ในระหวางแหงอายุกัป เหตุนั้น พระอนาคามีนั้น ชื่อวา อนฺตราปรินิพฺพายี), [อนฺตรา + ปริ + นิ + วา ธาตุ คติยํ ในความไป + ณี ปจจัย + ย อาคม, ซอน วฺ, แปลง วฺว เปน พฺพ], ในอภิธรรม มัตถสังคหทีปนฎีีกา วา อนฺตราปรินิพฺพายีติ เอวํ เอวรูโป ปุคฺคโล ปฺจสุ สุทฺธาวาสภูมีสุ เอเกกสฺมึ อุปฺปชฺชิตฺวา อุปฺปนฺนสมนนฺตรา วา อายุปฺปมาณเวมชฺฌํ อปฺปตฺตํ วา อรหตฺตํ ปตฺวา อายุ- เวมชฺฌสฺส อนฺตราเยว ปรินิพฺพายนโต อนฺตรา ปรินิพฺพายีติ วุจฺจตีติ (บทวา อนฺตราปรินิพฺพายี มีความวา บุคคลมีอยางนั้นเปนรูป ทานเรียกวา อนฺตราปรินิพฺพายี เพราะปรินิพพานในระหวาง ใกลเกิด เพราะที่เกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง บรรดา สุทธาวาสภูมิ ๕ หรือบรรลุพระอรหันตยังไมถึง กลางอายุแลวปรินิพพานระหวางกลางอายุ) พึงทราบอธิบายวา วา ศัพทรวบเอาความหมาย วา บรรลุพระอรหันตถึงกลางอายุเขามาดวย, จริงอยางนั้น ในอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค วา พระอนาคามี ชื่อวา เพราะปรินิพพาน ดวย การดับกิเลสในระหวางกลางอายุนั่นแล อนึ่ง พระอนาคามีนั้นมี ๓ จำพวก คือ ทานผูจะ ปรินิพพานในระหวางใกลเกิด ๑ ทานผูจะ ปรินิพพานในระหวางอายุยังไมถึงกึ่ง ๑ ทานผู จะปรินิพพานในระหวางอายุถึงกึ่ง ๑ อนฺตราย (ปุ.) ๑. อันตราย, สิ่งขัดขวาง, สิ่งรบกวน วิ. จุติปฏิสนฺธีนํ อนฺตเร อยตีติ อนฺตราโย (สิ่งใดยอมเปนไปในระหวางจุติและ ปฏิสนธิ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อันตราย), [อนฺตร + อย ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อ ปจจัย] ๒. อันตราย, สิ่งรบกวน วิ. จุติปฏิสนฺธีนํ อนฺตเร อายนฺติ อาตปนฺติ อเนนาติ อนฺตราโย (สัตวเกิด ทั้งหลายเดือดรอนในระหวางจุติและปฏิสนธิ ดวยเหตุนั้น ฉะนั้น เหตุนั้น จึงชื่อวา อนฺตราย), [อาย ธาตุ อาตาเป ในความเดือดรอน + ณ ปจจัย] ๓. เหตุทำใหความสำเร็จมีชองวาง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๑๓ วิ. การิยสิทฺธํ อนฺตรํ วยฺวธานํ อายติ คจฺฉติ อเนนาติ อนฺตราโย (กรรมที่ควรทำใหสำเร็จไป ถึงระหวาง หรือมีระหวาง ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺตราย) ๔. อันตราย, สิ่งที่คั่น ระหวาง วิ. อนฺตรา เวมชฺเฌ เอติ อาปตตีติ อนฺตราโย (สิ่งใดตกไประหวางกลาง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺตราย) วิ. ตนฺตํสมฺปตฺติยา วา วิพนฺธนวเสน สตฺตสนฺตานสฺส อนฺตเร เวมชฺเฌ เอติ อาคจฺฉตีติ อนฺตราโย (สิ่งใดมากั้นกลาง ระหวางแหงสันดานแหงสัตว ดวยการตัดสมบัติ นั้นๆ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺตราย), ไดแกสิ่งที่ ไมใชประโยชนในทิฏฐธรรม เปนตน หรือ อุปททวะ, [อนฺตรา + อิ ธาตุ + ณ ปจจัย, แปลง อิ เปน อาย] อนฺตรายิก (ติ.) อันตรายิกธรรม, ธรรมที่ทำ อันตราย ๑. วิ. สคฺคโมกฺขานํ อนฺตรายํ กโรตีติ อนฺตรายิโก (ธรรมใดยอมกระทำอันตราย แก สวรรคและนิพพาน เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อวา อนฺตรายิก-อันตรายิกธรรม), อันตรายิกธรรมนั้น มี ๕ ไดแก กรรม กิเลส วิบาก อุปวาท และ อาณาวีติกกมะ ๒. วิ. อติกฺกมนเน ตสฺมึ อนฺตราเย นิยุตฺโต, อนฺตรายํ วา ผลํ อรหติ, อนฺตรายสฺส วา กรณสีโลติ อนฺตรายิโก (ธรรมที่ ประกอบอันตราย เพราะอรรถวากาวลาง หรือ ธรรมใดควรผลที่เปนอันตราย หรือธรรมที่มี ปกติทำอันตราย เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อวา อนฺตรายิก) เปน อนฺตรายกโร ก็มี, [ณิก ปจจัย ในตัทธิต) อนฺตราฬ (อพฺ.) ภายในระหวาง, ระหวางการ หยุดพัก, ภาวะที่ยึดเอาระหวาง วิ. อนฺตรํ อาราติ คณฺหาตีติ อนฺตราฬํ (ภาวะใดยอมยึด เอาในระหวาง เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนฺตราฬ), [อนฺตร + อา + รา ธาตุ อาทาเน ใน ความถือเอา + อ ปจจัย, แปลง ร เปน ล, เปน ฬ ดวยขอกำหนดแหงปทรูปสิทธิ (รูป. อธิบาย สูตร ๓๔) วา ลฬานมวิเสโส (ล และ ฬ ไม ตางกัน) อนฺตรีป (นปุ.) เกาะ, ที่ตั้งอยูระหวงน้ำที่แยก ออกเปน ๒ สวน วิ. ทฺวิธาคตานํ อาปานํ อนฺตรคตํอนฺตรีป, ทีโป (สิ่งที่ตั้งอยูระหวางน้ำที่ แยกเปน ๒ สวน ชื่อวา อนฺตรีป คือเกาะ), [อนฺตร + อาป], แปลง อา เปน อี อนฺตรีย (นปุ.) ผานุง, เครื่องนุง, อันตรวาสก วิ. พาหุลฺเยน อนฺตเร มชฺเฌ ภวํอนฺตรียํ, อนฺตรวาสโกติ อตฺโถ (ผานุงที่อยูกลางตัวเปนสวนมาก ชื่อวา อนฺตรีย หมายถึง อันตรวาสก), [อีย ปจจัย ภวตฺเถ ใชในความหมายวา มี] อนฺตลิกฺข (ปุ.,นปุ.) ทองฟา, กลางหาว ๑. เหตุ แหงการเห็น (นปุ.) วิ. อิกฺขนํ ทสฺสนํ อิกฺขา, อิกฺขาย อนฺตรํ การณํ อนฺตลิกฺขํ (การดู การเห็น ชื่อวา อิกฺขา, เหตุแหงการมองเห็น ชื่อวา อนฺตลิกฺข) ๒. ทองฟา, เปนที่-เปนเหตุมองเห็น วัตถุตางๆ กัน (นปุ.) วิ. เตสํ เตสํ วตฺถูนํ อนฺตรํ นานตฺตํ อิกฺขเต โลโก เอตฺถ เอเตนาติ วา อนฺตลิกฺขํ,อาทิจฺจปโถ (ชาวโลกมองเหน็วาวัตถุ นั้นๆ ตางกันในที่ใด หรือเพราะที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อนฺตลิกฺข คือทองฟาที่เที่ยวไปแหง พระอาทิตย) ๓. อากาส, มองเห็นเพราะเปน ชองวาง (ปุ.) วิ. อนฺตเรน ฉิทฺเทน อิกฺขิตพฺโพติ อนฺตลิกฺโข, อากาโส, อชฏากาโสติ อตฺโถ (สิ่งใด เขาพึงมองเห็นดวยชองวาง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺตลิกฺข ไดแก อากาศ, กลางหาว), [อนฺตร + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน องฺเก วา ในการมองเห็น หรือ การกำหนด + อ ปจจัย, แปลง ร เปน ล]


๑๑๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ๔. ทองฟา, ที่ทำเสนขอบฟา วิ. อนฺตํ ปริโย สานํ โกฏึ ลิขเต สํกริสฺสตีติ อนฺตลิกฺขํ (สิ่งใด เขียนคือสรางสรรคเบื้องตนและเบื้องปลายฟา ไว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺตลิกฺข), อถ วา อนฺตํ ปริโยสานํ ลิขฺยเต โอโลกิยเต เอเตนาติ อนฺตลิกฺขํ (อีกนัยหนึ่ง ที่สุดฟา อันบุคคลกำหนด เห็นได ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺตลิกฺข), [อนฺต + ลิข + สํกรณโอโลกเนสุ ใน ความสรางสรรคและการมองเห็น + อ ปจจัย, ซอน กฺ] อนฺตลิกฺขจร (ปุ). บวงคือราคะที่เที่ยวไปใน อากาศ, ราคะที่เที่ยวไปในอากาศ วิ. อนฺตลิกฺเข จรนฺตานํ ปฺจาภิฺานมฺป พนฺธนตฺตา อนฺตลิกฺเข จรติ ปวตฺตตีติ อนฺตลิกฺขจโร, ราคปาโส (กิเลสที่ทองเที่ยวไปในอากาศกลางหาว เพราะ ผูกแมผูไดอภิญญา ๕ ที่เที่ยวไปในอากาศ เหตุ นั้น กิเลสนั้นชื่อวา อนฺตลิกฺขจร ไดแก บวง ราคะ), [อนฺตลิกฺข + จร ธาตุ จรเณ ในการ เที่ยวไป + อ ปจจัย] อนฺติก (ติ.) ๑. ประกอบในที่สุด วิ. อนฺเต นิยุตฺตํ อนฺติกํ (สิ่งที่ประกอบในภายใน ชื่อวา อนฺติก), [ณิก ปจจัย] ๒. ภายใน, ที่สุด (ปุ.นปุ.) วิ. อนฺโต เอว อนฺติโก, อนฺติกํ วา, อวสานํ (ภายในนั่นเอง ชื่อวา อนฺติโก, อนฺติกํ คือที่สุด), [อิก สกัตถ] ๓. ที่ใกล (นปุ.) แตอาจารยทั้งหลาย ใหความหมาย อนฺติก ศัพท วา สมีป-ใกล, วา ตามมติของอาจารยเหลานั้นตองประกอบ อนฺต ศัพท วา สมีปภาเวน อมติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อนฺโต (สิ่งใดยอมดำเนินไป เพราะความหมายวา ใกล เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺต), อนฺตโยคา อนฺติกํ สนฺติกํ (เพราะประกอบในที่ใกลจึงชื่อวา อนฺติก, สนฺติก), อิก ปจจัย นัยเดียวกันเชน อนฺติโย ลง ณิย หรือ อิย ปจจัยแทน นิยุตฺต อนฺติม (ติ.) ๑. มีในที่สุด, สุดทาย วิ. อนฺเต ภโว อนฺติโม (บุคคลเปนตน มีในที่สุด ชื่อวา อนฺติม), [อิม ปจจัยแทน ภว-มี] นัยเดียวกันนี้ เหิโม (มีในเบื้องลาง) อุปริโม (มีในเบื้องบน) โอริโม (มีในเบื้องต่ำ) ปจฺฉิโม (มีในเบื้องหลัง) อพฺภนฺตริโม (มีในภายใน) ปจฺจนฺติโม (มีใน ที่สุด), ก็แมในคำวา อนฺตริโต เปนตน ก็นัยนี้ เหมือนกัน ลง อิต ปจจัยแทน สฺชาต อนฺติมเทหธร (ปุ.) ผูทรงไวซึ่งกายอันมีใน ที่สุด วิ. อนฺติมํ อวสานํ เทหํ สรีรํ ธาเรตีติ อนฺติมเทหธโร (ผูใดยอมทรงไวซึ่งรางกายอันมี ในที่สุด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺติมเทหธร), [อนฺติมเทห + ธร ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + อ ปจจัย] อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนก (ปุ.อิตฺ.) ผูตอง อันติมวัตถุ, ผูตองวัตถุอันมีในที่สุด, ผูตอง อาบัติปาราชิก วิ. ปพฺพชฺชาย ปาติโมกฺขสํวรสีลสฺส วา อนฺเต วินาเส ภโวติ อนฺติโม, ปาราชิกาปนฺโน ปุคฺคโล. ตสฺส วตฺถุ อนฺติมภาวสฺส การณตฺตา ปาราชิกาปตฺติ อนฺติมวตฺถูติ วุจฺจติ. อนฺติมวตฺถุํ จตุนฺนํ ปาราชิกานํ อฺตรํ อชฺฌาปชฺชตีติ อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนโก (ผูที่มี ในที่สุดคือในความพินาศไปแหงการบวช หรือ แหงปาติโมกขสังวรศีล ชื่อวา อนฺติม, ไดแก ผู ตองอาบัติปาราชิก, วัตถุแหงบุคคลผูตอง ปาราชิกนั้น คืออาบัติปาราชิก เพราะเปนเหตุ แหงความเปนผูมีในที่สุดแหงการบวช ทาน เรียกวา อนฺติมวตฺถุ, ผูใดตองอันติมวัตถุ หรือ ตองอาบัติอยางใดอยางหนึ่งในปาราชิก ๔ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนโก),


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๑๕ [อนฺติมวตฺถุ + อธิ + อา + ปท ธาตุ คติมฺหิ ใน ความไป + ต ปจจัย, ก สกัตถ, แปลง อธิ เปน อชฺฌ, อาเทศ ต เปน อนฺน และลบที่สดุธาต] ุ อนฺเตปุร (นปุ.) ๑. มีภายในบุรี, เรือนฝายใน, เรือนของเจาฝายใน วิ. ปุรสฺส อนฺเต ภวํ อิติ อนฺเตปุรํ, อิตฺถาคารํ (เรือนมีภายในแหงบุรี เหตุนั้น ชื่อวา อนฺเตปุร ไดแก เรือนแหงสตรี, พระราชวังชั้นใน) ๒. เรือนในภายใน วิ. อนฺเต อพฺภนฺตเร ปุรํ เคหํ อนฺเตปุรํ (เรือนภายใน ชื่อวา อนฺเตปุร) ในอรรถกถาชาดก (ช.อ.๗/ ๑๓๖) วา อนฺเตปุรนฺติ กุมารสฺส วสนานนฺติ วุตฺตํ (บทวา อนฺเตปุรํ ทานกลาวหมายถึง ที่ ประทับของพระกุมาร) อนฺเตวาสิก (ปุ.) ๑. อันเตวาสิก, ผูอยูภายใน วิ. อนฺเต วสตีติ อนฺเตวาโส (ภาวะใดอยูใน ภายใน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนฺเตวาส การอยูภายใน), [อนฺเต + วส ธาตุ นิวาเส + ณ ปจจัย], นัยนี้จัดเปนสมาสมีกิตกเปนที่สุดโดย เปนสมาสไมลบวิภัตติ, อนฺเตวาโส อสฺส อตฺถีติ อนฺเตวาสิโก (การอยูในภายใน ของผูนั้นมีอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนฺตวาสิก ผูมีการอยูใน ภายใน), [อิก ปจจัย ในตทัสสัตถตัทธิต] ๒. ศิษยผูอยูภายในสำนักนิสสยาจารย เปนตน วิ. นิสฺสยาจริยาทีนํ อนฺเต สมีเป วสตีติ อนฺเตวาสิโก (ผูใดยอมอยูภายในคือใกลนิสสยาจารย เปนตน ผูนั้น ชื่อวา อันเตวาสิก-ผูอยูในสำนัก), [อนฺเต + วส ธาตุ นิวาเส ในความอยู + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก และพฤทธิ์ อ เปน อา, แปลง อ เปน อิ ดวยมหาสูตร; อุปสัมบันหรือ สามเณรก็ตาม ผูยังถือนิสัยในสำนักอาจารยก็ดี, ผูรับโอวาทอาจารยแลวบรรพชาก็ดี, ผูที่อาจารย นั้นสวดกรรมวาจารยบวชใหก็ดี, ผูเรียนธรรมใน สำนักของอาจารยนั้นก็ดี ทั้งหมดนั้นเรียกวา อันเต วาสิก, ผูที่ ๑ ชื่อวา นิสสยันเตวาสิก, ที่ ๒ ชื่อวา ปพพัชชันเตวาสิก, ที่ ๓ ชื่อวา อุปสัมปทันเตวาสิก, ที่ ๔ ชื่อวา ธัมมันเตวาสิก สวนอันเตวาสิกอื่นๆ จากนี้ เรียกวา สิปปนเตวาสิก อนฺเตวาสี (ปุ.) ๑. ผูอาศัยอยูดวย, ผูมีปกติอยู ภายใน, คนใกลชิด, คนรับใช วิ. อนฺเต สมีเป วสนสีโล อนฺเตวาสี ปริจารโก (ผูมีปกติอยู ภายใน คืออยูใกลชิด ชื่อวา อนฺเตวาสี คือ คน รับใช) ๒. ศิษย, ผูอยูในสำนัก วิ. สิปฺป วา อุคฺคณฺหมาโน ปฺหํ วา สุณนฺโต สนฺติเก นิวุตฺโถ อนฺเตวาสี สิสฺโส (ผูที่เรียนศิลปะและคอยฟง ปญหาพักอยูในสำนัก ชื่อวา อนฺเตวาสี คือ ศิษย), [อนฺต + วส ธาตุ นิวาเส ในความพักอยู + ณี ปจจัย ลงในอรรถตัสสีละเปนตน], เมื่อลง ก สกัตถ รัสสะ ดวยสูตร กจฺ.๔๐๓ รูป.๓๕๔ วา กฺวจาทิมชฺฌุตฺตรานํ เปนตน เปน อนฺเตวาสิโก เชน ปณฺฑปาตี เปน ปณฺฑปาติโก, สวนในคำวา ปนฺเตวาสี นี้ เปนกัมมธารยสมาส วิ. ปโร อนฺเตวาสี ปนฺเตวาสี (ผูอยูในภายในรุนตอมา ชื่อวา ปนฺเตวาสี บุตรรุนหลัง, หลาน) อนฺโตคต (ติ.) อยูภายใน, นับเขาใน, นับเน่ือง วิ. อนฺโต คจฺฉตีติ อนฺโตคตํ ปริยาปนฺนํ(ส่งิใดไป ในภายใน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺโตคต ไดแก นับเนื่องกัน), [อนฺต + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความ ไป + ต ปจจัย, ลบ ม] อนฺโตคธ (ติ.) อยูภายใน, นับเขาใน, ตั้งอยูใน, หยั่งลงใน วิ. อนฺโต โอคาธตีติ อนฺโตคธํโอคธํ (สิ่งใดตั้งอยูในภายใน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺโตคธ, โอคธํ), [อนฺโต + อว + คาธ ธาตุ ปติายํ ในความตั้งอยู + อ ปจจัย, แปลง โอ เปน อว, ลบสระหนา, รัสสะ อา เปน อ]


๑๑๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนฺโตชาต (ปุ.) ผูเกิดภายใน, ลูกทาสที่เกิดใน ทองนางทาสีในเรือน วิ. อนฺโตเคเห ฆรทาสิยา กุจฺฉิมฺหิ ชาโต อนฺโตชาโต. อนฺโตชาโต นาม ชาติทาโส ฆรทาสิยา ปุตฺโต (บุตรที่เกิดภายใน เรือน คือเกิดในทองของทาสีในเรือน ชื่อวา อนฺโตชาต, ที่ชื่อวา เกิดภายใน ไดแก ผูเปนทาส โดยชาติกำเนิด เปนบุตรของนางทาสีในเรือน), นัยเดียวกันเชน อนฺโตปูติ วิ. อนฺโต ปูติภูโต อนฺโตปูติ (ขางในเนา ชื่อวา เนาใน) อนฺโตนคร (อพฺ.) ภายในเมือง, ในพระนคร วิ. นครสฺส อนฺโต อนฺโตนครํ (ภายในแหงเมือง ชื่อวา อนฺโตนคร), อนฺโตปาสาทํ, อนฺโตวสฺสํ เปนตนก็นัยนี้ อนฺทุ (อิตฺ.) ๑. โซ, ตรวน, เครื่องจองจำ วิ. สตฺตา อนฺทนฺติ พนฺธนฺติ อเนน เอตาย วาติ อนฺทุ สงฺขลิกา (สัตวทั้งหลาย ติดขัดดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺทุ คือตรวน), [อทิ/อนฺท ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อุ ปจจัย ดวย โมคฺ. ๗/๒ วา ภรมรจรตรอรครหนตนมน เปนตน ๒. เครื่องจองจำ, เครื่องเสวยทุกข, เครื่องคุมไว วิ. อทติ ภกฺขติ อนุภวติ ทุกฺขํ เอเตน วา รกฺขติ วา อเนนาติ อนฺทุ (นักโทษเสวยทุกขเพราะ สิ่งนั้น หรือเขาคุมนักโทษไวดวยสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺทุ), [อท ธาตุ ภกฺขรกฺขเณ ในความกินและความรักษา + อุ ปจจัย, นิคหิต อาคม], บัณฑิตพึงกำหนด อนฺทุ ศัพท วาเปน อิตถีลิงค เพราะปรากฏตัวอยางวา โส โอริมตีเร ทฬฺหาย อนฺทุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนพนฺโธ (นีติ.ปทมาลา. ฉบับแปล หนา ๒๓๗) (เขาถูกใชเชือกมัดแนนไพลหลังอยางแนนที่ริม ฝงนี้) ๓. เบญจกามคุณ, เปนเหมือนตรวน วิ. อปจ อนฺทนเน พนฺธนเน อนฺทุ วิยาติ อนฺทุ, ปฺจ กามคุณา (อนึ่ง กามคุณ ๕ ชื่อวา อนฺทุ เพราะเปนเหมือนตรวน เพราะอรรถวา ผูกมัดไว), ณ ปจจัย แทน อุปมา อนฺทุก (ปุ.) เครื่องผูก, โซผูกเทาชาง วิ. อนฺทติ อทติ วา พนฺธติ อเนนาติ อนฺทุโก นิคโฬ (เขาผูก หรือมัดสัตวไวดวยเครื่องผูกใด เหตุนั้น เครื่อง ผูกนั้น ชื่อวา อนฺทุก คือเชือกผูกเทาชาง), [อทิ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + ณฺวุ ปจจัย แปลง เปน อก, นิคหิตอาคม, แปลง อ เปน อุ] อนฺธ (ติ.) ๑.บอด, มืด, ไมมีปญญา, เปนเหตุ เปนอยู วิ. อนติ ชีวติ เอเตนาติ อนฺโธ (สัตวยอม มีชีวิตอยู ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺธ), [อน ธาตุ ปาณเน ในความเปนอยู + ธ ปจจัย โมค.๗/๙๘ วา ขนานทมรมา โธ] ๒. คนพาล, สักวาหายใจอยูไปวันๆ วิ. อมตีติ อนฺโธ (ผูใด ยอมมีชีวิตอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺธ), [อม ธาตุ ปาณเน ในความหายใจ + อ ปจจัย, แปลง ม กับ อ เปน อนฺธ] วิ. อนติ ชีวตีติ อนฺโธ (ผูใด ยอมเปนอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺธ), [อน ธาตุ ปาณเน ในความหายใจ + ธ ปจจัย] ๓. บอด, ตาเสีย วิ. จกฺขุนา อมติ รุชฺชตีติ อนฺโธ อนฺธโก (ผูใดยอมลำบากทางตา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺธ ไดแก คนตาบอด), [อม ธาตุ โรเค ในความ เบียดเบียน + แปลง อม เปน อนฺธ รูป.๖๗๔ วา ขาทามคมานํ ขนฺธนฺธคนฺธา และ + ก ปจจัย ลบ ก อนุพันธ ๔. มืด, มองไมเห็น วิ. อนฺธตีติ อนฺโธ (ภาวะใดทำลายสิ่งที่เคยมองเห็น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนฺธ), [อนฺธ ธาตุ ทิุปสํหาเร ในความทำลายสิ่งที่ตามองเห็น + อ ปจจัย] อนฺธก (ติ.) คนตาบอด, ชนชาวรัฐชื่ออันธกะ วิ. อนฺธตีติ อนฺธโก อนฺธกริโก (ผูใดยอมมอง ไมเห็น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺธก ไดแก ชนชาว


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๑๗ รัฐชื่ออันธกะ), [อนฺธ ธาตุ + ณฺวุ ปจจัย], มหึสกมณฺฑลํ นาม อนฺธกรํ, ยกฺขปุรรนฺติ วุจฺจติ. อนฺธกอกถา นาม ทกฺขิณาปเถ อนฺธกภาสาย [เตลคูภาสาย] ลิขิตา อกถา. อนฺทกรํ อนฺธรรนฺติป ปาา (แควนอันธกะ เมืองมืด ซึ่งเรียกกันวา เมืองยักข ชื่อวา มหิงสก มณฑล), อรรถกถาที่เขียนดวยภาษาชาวอันธกะ [เตลคูภาษา] ในทักขิณาบถ ชื่อวา อันธกอรรถ กถา), ปาฐะวา อนฺทกรํ อนฺธรรํ ก็มี ดู ศาสนวงศ, หนา ๑๕, อนฺธการ (ปุ.) ๑. ความมืด, กาลกระทำซึ่งมืด, หมอก วิ. อนฺธํ หตํ ทิิสตฺติกํ โลกํ กโรตีติ อนฺธกาโร ติมิสํ, อนฺธการํ วา, อนฺธมตํ ลพฺภติ (กาลใดยอมกระทำซึ่งชาวโลกใหเปนผูมืด ถูกทำลาย ไมสามารถมองเห็น เหตุนั้น กาลนั้น ชื่อวา อนฺธการ คือ หมอก หรือความมืด หมายถึงความมืดมาก), [อนฺธ + กร ธาตุ กรเณ ในความทำ + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ และ พฤทธิ์ อ เปน อา] ๒. โมหะ, อวิชฺชา วิ. อนฺธํ ตมํ กโรตีติ อนฺธกาโร, อวิชฺชาสงฺขาตโมโห (ธรรมชาติใดยอมกระทำความมืดบอด เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อนฺธการ ไดแก โมหะ กลาวคืออวิชชา),วิ.อนฺธํปฺาจกฺขอุนฺธํกโรตีติ อนฺธกาโร, โมโห (ธรรมชาติใดยอมกระทำความ มืดบอด คือความมืดแหงดวงตาคือปญญา เหตุ นั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อนฺธการ คือโมหะ) อนฺธกิย (ติ.) ผูประกอบในที่มืด วิ. อนฺเธ นิยุตฺโต อนฺธกิโย (ผูประกอบในที่มืด ชื่อวา อนฺธกิย), [กิย ปจจัย แทน นิยุตฺต], อนฺธิโก ก็นัยนี้ เหมือนกัน วิ. อนฺเธน นิยุตฺโต อนฺธิโก (ผู ประกอบแลวดวยความมืด ชื่อวา อนฺธิโก), แต บทวา อนฺธิตา เปนตน อิต ปจจัย อนฺธช (ติ.) ผูเกิดในที่มืด วิ. อนฺเธ ชาโต อนฺธโช (ผูเกิดในที่มืด ชื่อวา อนฺธช ผูเกิดในที่มืด), [อนฺธ + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + กฺวิ ปจจัย, ลบ น], ปาฐะวา อนฺธชาโต ก็มีบาง นัยนี้เปน สัตตมี ตัปปุริสสมาส อนฺน (นปุ.) ของกิน, ของควรกิน, ภัตร, ของเคี้ยว, ขาว วิ. อทิตพฺพนฺติ อนฺนํ กุรํ (สิ่งใดอันเขาพึง กิน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺน ไดแก ภัตร), [อท ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + ต, แปลงเปน อนฺน, ลบ ท] อนฺนท (ปุ.) ผูใหขาว, บุคคลผูใหอาหาร วิ. อนฺนํ เทตีติ อนฺนโท (ผูใดยอมใหซึ่งขาว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนฺนท), [อนฺน + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + อ ปจจัย], นัยเดียวกันเชน อนฺนทโท, เทวภาวะ (ซอน) ทา และรัสสะ อา เปน อ อนฺนทายก (ติ.) ผูใหของกิน, ผูถวายอาหาร วิ. อนฺนํ ททาตีติ อนฺนทายโก (ผูใดยอมใหซึ่ง ของกิน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนินทายก), [อนฺน + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ณฺวุ ปจจัย แปลง เปน อก] อธาตุสฺส กาสฺยาทิโต เฆสฺสีติ ปโยค สิทฺธิปาสุตฺเตน เฆ ปเร อสฺส อิอาเทโส อนฺน ทายิกา. อนฺนทายกํ กุลํ, อาสฺสาณาปมฺหิ ยุกฺอิติ ณาปโตฺตฺร ยุกฺ. (เพราะลง ฆ คือ อา ในอิตถี ลิงคอยูหลัง อาเทศ อ เปน อิ ดวยสูตร ปโยคสิทฺธิปาสุตฺต วา อธาตุสฺส กาสฺยาทิโต เฆสฺสิ, สำเร็จรูปเปน อนฺนทายิกา ในนปุงสกลิงค เชน อนฺนทายกํ กุลํ (ลง ยุกฺ คือ ย อาคม ในที่เวน ณาป ปจจัย ดวยสูตร โมคฺ.๕/๙๑ วา อาสฺสาณาปมฺหิ ยุกฺ ความวา ในที่ที่มีปจจัยอันมี ณ อนุพันธ ที่นอกจาก ณาป ปจจัย ลง ย อาคม ในที่สุดของธาตุที่มี อา เปนที่สุด), แตมติแหง


๑๑๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ปทรูปสิทธิวา อาเทศที่สุดธาตุที่มี อา เปนที่สุด เปน อาย ดวยสูตร รูป.๕๖๔ วา อาการนฺตานมาโย ลง อา ปจจัย ดวยสูตร กจฺ.๒๓๗ รูป. ๑๗๖ วา อิตฺถิยมโต อาปจฺจโย, แปลง อ เปน อิ ดวยสูตร กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน] อนฺนทายี (ปุ.) ผูใหขาวเปนปกติ วิ. อนฺนํ ททาติ สีเลนาติ อนฺนทายี (ผูใดยอมใหขาว โดย ปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺนทายี), [อนฺน + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ณี ปจจัย โมค.๕/๕๓ วา สีลาภิกฺขฺาวสฺสเกสุ + ในเพราะอำนาจ ธาตุมี อา เปนที่สุด ลง ย อาคม ดวยสูตร โมค. ๕/๙๑ วา อาทนฺเตสุ อาสฺสาณาปมฺหิ ยุก], บท วา อนฺนทายโก ก็นัยเดียวกัน อาเทศ อา เปน อาย กจฺ.๕๙๓ รูป.๕๖๔ วา อาการนฺตานมาโย ณฺวุ ปจจัย อาเทศเปน อก, ในอิตถีลิงคเปน อนฺนทายิกา, แปลง อ เปน อิ ดวยสูตร กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ วา เตสุ วุทฺธิ เปนตน อนฺนา (อิตฺ.) มารดา, ผูพรรณนาความดีงาม ของบุตร วิ. ปุตฺตานํ สุนฺทรภาวํ อนติ สาเวตีติ อนฺนา มาตา (หญิงใดพรรณนาความดีงามของ บุตรทั้งหลาย เหตุนั้น หญิงนั้น ชื่อวา อนฺนา คือ มารดา), [อน ธาตุ สาวเน ในการสาธยาย + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค) รูป.๑๘๑ อนฺวค (ติ.) ผูติดตาม, ผูไปตาม วิ. อนุคจฺฉตีติ อนฺวโค (ผูใดยอมตามไป เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนฺวค), [อนุ + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + กฺวิ ปจจัย, แปลง อุ เปน ว, ลบที่สุดธาตุ] อนฺวจารี (ติ.) ผูประพฤติตาม, ผูเที่ยวไปตาม วิ. อนุจรติ สีเลนาติ อนฺวจารี, อนุจารี วา (ผูใด ยอมประพฤติตาม โดยปกติ เหตนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนฺวจารี หรือ อนุจารี), [อนุ + จร ธาตุ จรเณ ในความประพฤติ + ณี ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ พฤทธิ์ อ เปน อา, แปลง อุ เปน ว] อนฺวตฺถ (นปุ.) อันวัตถนาม, คลอยตาม ความหมาย, สอดคลองกับความหมายของคำ, ไปตามเหตุผล, ชื่อที่มีความหมายตรงตาม สภาพที่เปนจริง วิ. อตฺถํ วจนตฺถํ การณํ วา อนุคตํ อนฺวตฺถํ (ชื่อที่ไปตามความหมายแหงคำ หรือสมเหตุสมผล ชื่อวา อนฺวตฺถ), การณสาเปกฺขํ พุทฺโธตฺยาทิ นามํ (คือชื่อที่มุงความเปน เหตุเปนผล เชน พระนามวา “พุทฺโธ” เปนตน) (ปทวิจารทีปนี หนา ๒๔๙) นัยนี้เปน อมาทิ- ปรตัปปุริสสมาส อนฺวทิ (ติ.) สิ่งที่ติดตามไป วิ. อนุอนฺทติ อนุพนฺธตีติ อนฺวทิ (สิ่งใดยอมติดตามไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺวทิ), [อนุ + อทิ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อิ ปจจัย, แปลง อุ เปน ว) นีติ.ธาตุมาลา. ฉบับแปล หนา ๒๓๖ วา อวิชฺชา ภิกฺขเว ปุพฺพงฺคมา อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยา อนฺวเทว อหิริกนฺติ ปาิ เอตฺถ อนุอนฺทติ อนุพนฺธตีติ อนฺวทิ. อนฺวทิ เอว อนฺวเทวาติ กิตวิคฺคโห สนฺธิวิคฺคโห จ เวทิตพฺโพ. ตถา หิ อกถายํ อนฺวเทวาติ อนุพนฺธมานเมวาติ วุตฺตํ, ตํ อวิชฺชมหิริกํ อนุพนฺธมานเมว โหตีติ อตฺโถติ (พระบาลีวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อวิชชา เปนหัวหนาในการยังอกุศลธรรมใหถึง พรอม ในคําวา อนฺวเทว นี้ นักศึกษา พึงทราบ กิตวิเคราะหและสนธิวิเคราะหดังนี้วา ชื่อวา อนฺวทิ เพราะเปนผูติดตาม, เปนเพียงผูติดตาม เทานั้น เรียกวา อนฺว ดังที่ในอรรถกถาพระอรรถกถาจารยทานไดอธิบายบทวา อนฺวเทว วา ติดตามอยูนั่นเทียว หมายความวา ความไม ละอายเปนเพียงสิ่งที่ติดตามอวิชชาเทานั้น)


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๑๙ อนฺวทฺธมาส (อพฺ.) ทุกกึ่งเดือน, ทุกครึ่งเดือน วิ. อทฺธมาสํ อทฺธมาสํ อนุ อนฺวทฺธมาสํ (ทุกกึ่ง เดือน ทุกกึ่งเดือน ชื่อวา อนฺวทฺธมาส) นี้เปนมติ ของนักไวยากรณ, แตมติพระอรรถกถาจารย พึงทราบอยางนี้ วิ. อนุ อนุ อทฺธมาสํ อนฺวทฺธมาสํ. อทฺธมาเส อทฺธมาเสติ อตฺโถ. (ทุกๆ กึ่ง เดือน ชื่อวา อนฺวทฺธมาส หมายความวา ในกึ่ง เดือน ในกึ่งเดือน), คำวา อนฺวทฺธมาส ทานกลาว ตามนัยสันสกฤต แตนัยบาลีมีรูปเปน อนฺวฑฺฒมาส เปนอัพยยีภาวสมาส, แล อนุ อุปสัคเปน วิจฉา แมในคำวา อนุฆร ก็นัยนี้ วิ. อนุพนฺโธ อฑฺฒมาโส อนฺวฑฺฒมาโส (กึ่งเดือนที่ติดตามมา ประจำ ชื่อวา อนฺวฑฺฒมาส) นัยนี้เปนกัมมธารย สมาส อนฺวย (ปุ.ติ.) ๑. การเปนไปตาม, ความเปนไป ตามลำดับ, การสืบสาย, เชื้อสาย, วงศ, สิ่งที่ อำนวยใหตระกูลเปนตนสืบไป วิ. อนฺวยติ อเนนาติ อนฺวโย กุลวํโส (ตระกูลยอมเปนไป ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺวย คือ วงศ ตระกูล), [อนุ + อย ธาตุ ปวตฺตเน ในความ เปนไป + อ ปจจัย] ๒. สิ่งที่เปนไปตามลำดับ วิ. อนุปุพฺเพน เอติ ปวตฺตีติ อนฺวโย (สิ่งใดเปนไป ตามลำดับ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนฺวย), [อนุ + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย] ๓. สิ่งที่ ไปโดยอนุโลมและปฏิโลม วิ. อนุรูปโต อนุโลมโต วา อยติ ปวตฺตตีติ อนฺวยํ, อนุมานํ (อีกนัยหนึ่ง สิ่งใดยอมเปนไปโดยอนุโลมและปฏิโลม เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺวย ไดแกอนุมาน), [อนุ + อย ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อ ปจจัย, แปลง อุ เปน ว] (วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา, ๓/๕๓๒) ๓. คำพูดที่คลอยตามคำหนา วิ. ปกตฺยตฺถสฺส ปุพฺพวจนสฺส อนุรูเปน อยติ ปวตฺตตีติ อนฺวโย, อนฺวยวากฺยํ (คำใดยอมไปคือเปนไปคลอยตาม คำกอนซึ่งมีความหมายปกติ เหตุนั้น คำนั้น ชื่อวา อนฺวย ไดแก คำพูดที่คลอยตาม), ๔. การรู คลอยตาม วิ. อนฺเวตีติ อนฺวโย, ชานาติ, อนุพุชฺฌตีติ อตฺโถ. อนฺเวติ ยถาคหิตสงฺเกตสฺส อนุคมนวเสน เอติ ชานาตีติ อนฺวโย (ภาวะใด ยอมรูคลอยตาม อธิบายวารูตาม เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อนฺวย. ภาวะใดยอมรูคลอยตาม คือรู ดวยอำนาจการรูสอดคลองตามที่ไดกำหนด หมายไว เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนฺวย), ๕. เหตุ วิ. อนฺวยตีติ อนฺวโย, เหตุ (สิ่งใดอันผล ยอมตามไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺวย ไดแก เหตุ) อนฺวาจย (ปุ.) ๑. การเชื่อมขอความทอนหลัง, อรรถชนดิหนึ่งของ จ ศพัท, รวบรวมภายหลัง, อรรถอันกำหนดรูในภายหลัง วิ. อนุ ปจฺฉา อาจียเต โพชฺฌเต ยตฺถาติ อนฺวาจโย, วากฺยสมุจฺจโย (อรรถอันทานกำหนดรูใน ภายหลัง ในที่ใด เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อนฺวาจย ไดแก จ ศัพทที่ลงในอรรถรวบรวม), [อนุ + อา + จิ ธาตุ อวโพธเน ในความรู + อ ปจจัย, แปลง อุ เปน ว, แปลง อิ เปน อย] (รูป.๓๕๗, ปทรูป สิทธิมัญชรี สมาสกัณฑ หนา ๓๕๙), ในสัททนีติ สุตตมาลา วา จ ศัพทที่ลงในอันวาจยสมุจจยะ พึงทราบวาในเพราะบทที่มีกิริยาตางกันเชน ภิกฺขฺจ เทหิ, ควฺจาเนหีติ วา ทานฺจ เทหิ, สีลฺจ รกฺขาหิ ๒. ปธานโต อฺโ อนุ ปจฺฉา อาจียเต โพธียเต ยตฺราติ อนฺวาจโย (บทอื่นจาก บทประธาน อันเขารูคลอยตามได ในศัพทใด เหตุนั้น ศัพทนั้น ชื่อวา อนฺวาจย), ๓. วิ. อนุ ปจฺฉา ปธานานุโรเธน จยนํ อนฺวาจโย (การ ประกอบคำขึ้นภายหลังคือคลอยตามประธาน


๑๒๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ชื่อวา อนฺวาจย), [อนุ + อา + จิ ธาตุ จเย ใน ความกอ + อ ปจจัย], วิ. อนุกูลภาเวน อาจยนํ อนฺวาจโย (การประกอบคำโดยคลอยตาม ชื่อ วา อนฺวาจย) อนฺวาสตฺต (ติ.) ยึด, ติด, ของเกี่ยว, อันเขา เบียดเบียน, ถูกทำใหวุนวาย, ถูกติดตาม, ถูกแวดลอม วิ. อนุพทฺโธ อุปทฺทุโต วาติ อนฺวาสตฺโต (ผูใดอันเขาติดตาม หรืออันเขา เบียดเบียน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺวาสตฺโต), อนุคโตติ อนฺวาสตฺโต. สมฺปริวาริโตติอนฺวาสตฺโต (อธิบายวา ผูใดอันเขาติดตาม ผูนั้น ชื่อวา อนฺวาสตฺต, ผูใดอันเขาแวดลอมแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนฺวาสตฺต), [อนุ + อา + สฺช ธาตุ สงฺเค ในความเกี่ยวของ + ต ปจจัย, ลบ ฺช, ซอน ตฺ, แปลง อุ เปน ว] อนฺวาหต (ติ.) ถูกเบียดเบียนบอยๆ, ถูกรบกวน เนืองๆ วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ อาหโต อนฺวาหโต (ผูถูก กระทบกระทั่งเนืองๆ บอยๆ ชื่อวา อนฺวาหต), [อนุ + อา + หน ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + ต ปจจัย, แปลง อุ เปน ว, ลบ น] (พุทฺธคุณ คาถาวลี) อนฺวาธิก (นปุ.) ๑. ผาดาม, ผาเพลาะ, ผาที่ เย็บติดภายหลัง วิ. อนุอาธาเรตีติ อนฺวาธิ, อนฺวาธิกํ, อนฺวาธิตํ (ผาใดเย็บซอนภายหลัง เหตุนั้น ผานั้น ชื่อวา อนฺวาธิ, อนฺวาธิก, อนฺวาธิต), [อนุ + อา + ธา ธาตุ ธารเณ ในความ ทรงไว + อิ ปจจัย, ก สกัตถ, แปลง อุ เปน ว], ตตฺถ อนฺวาธิ นาม อนุวาตํ วิย สํหริตฺวา จีวรสฺส อุปริ สงฺฆาฏิอากาเรน อาโรเปตพฺพํ (ชื่อวา ผา ดาม ไดแก ผาที่นำมาปะไวบนจีวรดายอาการ คลายสังฆาฏิเหมือนอนุวาต) ๒. ผาที่เย็บติด ภายหลัง วิ. อนุ ปจฺฉา อาคนฺตุกภาเวน ธียติ ปยตีติ อนฺวาธิกํ (ผาใดอันเขาวางหรือเย็บซอน ติดโดยความเปนผาที่เย็บติดเขามาในภายหลัง เหตุนั้น ผานั้นชื่อวา อนฺวาธิก), [อนุ + อา + ธา/ ธิ ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ก ปจจัย, แปลง อา เปน อิ] วินย.โยชนา. ๒/๓๔๐, ในปาจติยาทิ โยชนา ปรากฏปาฐะเปนอักษร ท ลำดับที่ ๓, ฉะนั้นในคำนั้นทานจึงกลาววิเคราะหวา อนุ ปจฺฉา อาคนฺตุกภาเวน ทียตีติ อนฺวาทิกํ (ผาใด เขาใหภายหลังโดยความเปนผาที่จรมาทีหลัง เหตุนั้น ผานั้น ชื่อวา อนฺวาทิก), [อนุ + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให] อนฺวาย (กิ.กิต., อพฺ.) อาศัยแลว, เริ่มแลว, ปรารภแลว, กลับแลว วิ. อาคมฺม อารภิตฺวา นิวตฺติตฺวา อนฺวาย (อาศัยแลว เริ่มแลว กลับ แลว ชื่อวา อนฺวาย), เชน อนฺวาย อาตปฺป อนฺวาย ปธานํ อนฺวาย อนุโยคํ, [อนุ + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง อุ เปน ว, แปลง อิ เปน อา กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, แปลง ตฺวา เปน ย] อนฺวายิก (ติ.) เปนไปตาม, ไปตาม วิ. อเนฺวติ อนุคจฺฉตีติ อนฺวายิกํ (สิ่งใดยอมไปตาม เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺวายิก), [อนุ + อิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ณฺวุ ปจจัย, อาเทศ อิ เปน อาย, อาเทศ อุ เปน ว, วิการ อ เปน อิ ดวยสูตร กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน] ในขอนี้มี ตัวอยางดังนี้วา อนฺวายิกาติ สมฺมาทิฐิยา อนุคามิโน (คำวา อนฺวายิกา หมายความวา เปนไปตามสมัมาทิฏฐิ) อนฺวิต (ติ.) ไปตาม, ติดตามไป วิ.อนุคโต อนุพนฺธิโต อนฺวิโต (สิ่งที่ไปตาม คืออันเขา ติดตามไป ชื่อวา อนฺวิต), [อนุ + อิ ธาตุ คติยํ ใน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๒๑ ความไป + ต ปจจัย, แปลง อุ เปน ว] ปฺจ.มูลอนุฏีกา.๗๓ อนฺเวจฺจ (กิ.กิตฺ.,อพฺ.) ตามไปแลว วิ. อนฺเวตฺวาติ อนฺเวจฺจ (อนฺเวจฺจ แปลวา ตามไปแลว), [อนุ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน จฺจ นิรุตฺติ.๗๕๘ วา อิโต จฺโจ อนฺเวสิต (ติ.) แสวงหาแลว, สืบคน, คนหา วิ. อนุ เอสิยิตฺถาติ อนฺเวสิตํ (สิ่งใดอันเขาแสดง หาแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนฺเวสิต), [อนุ + เอส ธาตุ คเวสเน ในความแสวงหา + ต ปจจัย + อิ อาคม, แปลง อุ เปน ว], นัยเดียวกันเชน อนฺเวสิตพฺโพ (อันเขาพึงแสวงหา) ลง ตพฺพ ปจจัย, อนฺเวสิตฺวา (แสวงหาแลว) ตฺวา ปจจัย ในกัตตุวาจก อนฺเวสนา (อิตฺ.) การแสวงหา, การคนหา วิ. อนุ เอสนํ อนฺเวสนา. อนฺเวสียเต วา อนฺเวสนา อุปปริกฺขา (การแสวงหาทั่วถึง ชื่อวา อนฺเวสนา ไดแก การคนหา), [อนุ + เอส ธาตุ คเวสเน ในความแสวงหา + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน + อา ปจจัย ในอิตถีลิงค, ศัพทนี้เปน อปุเม ไมใช ปุงลิงค] อนากุล (ติ.) ๑. ผูไมมีความอากูล, ไมคั่งคาง, ปลอดโปรง วิ. นตฺถิ อากุลภาโว เอตสฺสาติ อนากุโล, อากุลภาววิรหิโต (ความอากูลคั่งคาง ของบุคคลนั้นไมมี เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อนากุล คือบุคคลปลอดจากความอากูล), วิ. น อากุโล วา อนากุโล, อากุลปฺปฏิปกฺโข (อีกนัยหนึ่ง สิ่งนี้ไมใชอากูล ชื่อวา อนากุล), วิ. ตทฺโ วา อนากุโล (สิ่งอื่นจากอากูลนั้น ชื่อวา อนากุล), ๒. ไมมีความผิด, การวินิจฉัย วินัยที่ไมผิด (ปุ.) วิ. นตฺถิ เอตฺถ สทฺทโต อตฺถโต วินิจฺฉยโต วา อากุลํ ปุพฺพาปรวิโรโธ, มิสฺสตา วาติ อนากุโล, วินยวินิจฺฉโย (อากูล คือความไม ผิดพลาดในเบื้องตนและเบื้องปลาย โดยศัพท โดยอรรถ หรือโดยการวินิจฉัย ไมมีในการนี้ หรือความปะปนกัน ไมมีในการนี้ เหตุนั้น การนี้ จึงชื่อวา อนากุล ไดแก การวินิจฉัยวินัย) ๓. ผู ไมอากูล วิ. อากุลนฺตีติ อากุลา. น อากุลา อนากุลา (ชนเหลาใดคั่งคางปลอยทิ้งไว เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อากูล, ผูคั่งคางปลอยทิ้งไว หามิได ชื่อวา อนากุลา), แปลง น เปน อน, ทาน กลาวการจำแนกธาตุปจจัยไวดวยคำวา อากุล ขางหนาแลวบัณฑิตพึงคนดูที่คำนั้นเถิด อนาคต (ปุ.,ติ.) อนาคต, กาลยังมาไมถึง, ผูยัง ไมมา วิ. น อาคจฺฉตีติ อนาคโต. น อาคโต วา อนาคโต (กาลใดยังไมมา เหตุนั้น กาลนั้นชื่อวา อนาคต, อีกนัยหนึ่ง กาลที่มาแลวหามิได ชื่อวา อนาคต), [น + อา + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความ ไป + ต ปจจัย, ลบ ม] อนาคามี (ปุ.) พระอนาคามี, ผูไมกลับมา วิ. ปฏิสนฺธิวเสน อิมํ กามธาตุํ น อาคจฺฉตีติ อนาคามี (ผูใดไมมาสูกามธาตุนี้ ดวยอำนาจ ปฏิสนธิ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนาคมี), [น + อา + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ณี ปจจัย, แปลง น เปน อน], ในขอความนี้ ดวยคำวา ปฏิสนฺธิวเสน ดวยอำนาจปฏิสนธินี้ ทานปฏิเสธ การไมกลับยังกามโลก จากพรหมโลก ดวย อำนาจปวัตติกาล (ชาติปจจุบันหลังเกิดเปน พรหมแลว) เพราะเหตุไร เพราะทานยังอยากจะ มาเฝาพระพุทธเจา เปนตน ในปวัตติกาล, พระ อริยบุคคลผูดำรงในผลที่ ๓ มีปกติไมมาสูกาม คุณ ดวยอำนาจปฏิสนธิ เหตุนั้น พระอริยบุคคล นั้นชื่อวา อนาคามี), [น + อา + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในการไป + ณี ปจจัย ดวยสูตร รูป.๖๔๗ วา


๑๒๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ภวิสฺสติ คมาทีหิ ณีฆิณฺ ลบ ณ อนุพันธ และ พฤทธิ์ อ เปน อา, สกทาคามี ก็นัยเดียวกัน ใน อิตถีลิงคมีรูปเปน สกทาคามินี อนาคาร (นปุ.ปุ.) ไมมีเรือน วิ. นตฺถิ อคารํ เอตสฺสาติ อนาคาโร อนาคารํ, อนคาโร วา (เรือนของภาวะนั้น ไมมี เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนาคาโร อนาคารํ อนคาโร), แปลง น เปน อน, ปาฐะวา อนคาริโก ก็มีบาง, วิ. อคาริกโต อฺโ อนคาริโก (ผูอื่นจากผูครองเรือน ชื่อวา อนคาริก), น ศัพท อฺตฺโถ ใชในความหมายวาอื่น อนาจาร (ปุ.) อนาจาร, การประพฤติไมเหมาะ, -ไมควร ๑. วิ. อยุตฺโต อาจาโร อนาจาโร (การ ประพฤติ ไมควรแลว ชื่อวา อนาจาร), เชนคำวา อนาจารนฺติ อจริตพฺพํ กายวจีทฺวารวีติกฺกมนฺติ (บทวา อนาจารํ หมายถึง การไมควรประพฤติ ไดแกการลวงละเมิดทางกายทวารและวจี ทวาร), [น + อา + จร ธาตุ จรเณ ในความ ประพฤติ + ณ ปจจัย] ๒. วิ. น อาจริตพฺโพติ อนาจาโร (การใดอันเขาไมพึงประพฤติ เหตุนั้น การนั้นชื่อวา อนาจาร), [น + อา + จร ธาตุ จรเณ ในความประพฤติ + ณ ปจจัย ในกัมมสาธนะ และพฤทธิ์ อ เปน อา, ในเพราะอำนาจ สระแปลง น เปน อนฺ], มีคำอธิบายวา สพฺพมฺป ทุสฺสีลฺยํ อนาจาโร. ปุคฺคเล อนาจารี, ตทาจารวิรหิโตติ อตฺโถ, กตฺตริ ณี. น อาจรตีติ อนาจารี (การทุศีลแมทั้งหมด ชื่อวา อนาจาร, ในบุคคล ไดรูปเปน อนาจารี หมายความวา ผูเวนจากอา จาระนั้น, ลง ณี ปจจัยกัตตุสาธนะ, วิ. ผูไม ประพฤติ ชื่อวา อนาจารี) อนาถปิณฺฑิก (ปุ.) อนาถปณฑิกเศรษฐี, เศรษฐีผูใหกอนขาวแกคนอนาถา วิ. นิจฺจกาลํ อนาถานํ ปณฺฑํ ททาตีติ อนาถปณฺฑิโก (เศรษฐี ใด ยอมใหกอนขาว แกคนอนาถา เปนนิตย), [ณิก ปจจัย แทน ททาติ] ๒. เศรษฐีเปนที่ดำรง ไวซึ่งกอนขาวเพื่อคนอนาถา วิ. สพฺพกาลํ อุาปโต อนาถานํ ปณฺโฑ เอตฺถ อตฺถีติ อนาถปณฺฑิโก (กอนขาวเพื่อคนอนาถา เขา จัดตั้งไวตลอดเวลา มีอยู ในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อนาถปณฺฑิก), [อิก ปจจัย ในตทัสสัตถิ ตัทธิต], นัยนี้เปนวิเคราะหตัทธิต มีสมาสเปน ทอง หรือเปนวิเคราะหสมาสมีตัทธิตเปนที่สุด อนาทร (ติ.) ๑. ผูไมมีที่พึง, ที่ไมมีที่พึง วิ. อาทรณํ อาทโร, นตฺถิ อาทโร เอตสฺมินฺติ อนาทโร (ความเอื้อเฟอ ชื่อวา อาทร, ความ เอื้อเฟอไมมีในบุคคลนั่น เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อนาทร), [น + อา + ทร ธาตุ สามีจิยํ ใน ความชอบ + อ ปจจัย], อนาโถ ก็นัยนี้ วิ. นตฺถิ นาโถ เอตสฺสาติ อนาโถ (ที่ถึงของคนนั่นมีอยู เหตุนั้น คนนั้นชื่อวา อนาถ), ๒. ไมใชความ เอื้อเฟอ วิ. น อาทาโร อนาทโร (ไมใชความ เอื้อเฟอ ชื่อวา อนาทร), บทนี้เปน นปุพพบทกัมมธารสมาส, อนาทริยํก็นัยนี้ชื่อวา อนาทรยิ คือการแกลงตองอาบัติ อนาทา (กิ.กิต.) ไมถือเอาแลว วิ. อนาทาย อคฺคเหตฺวา อนาทา (ไมถือเอาแลว ไมยึดเอา แลว ชื่อวา อนาทา), เชน อนาทา เจ ภิกฺขุ เทฺว ภาเค วิ.มหา.๒/๘๒/๖๘ (ถาภิกษุไมถือเอาขน เจียมดำลวน ๒ สวน), [น + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ตฺวา ปจจัย, แปลง น เปน อน, แปลง ตฺวา เปน ย, ลบ ย] อนาทิย (กิ.กิตฺ.,ติ.) ๑. ไมถือเอาแลว, ไม เอื้อเฟอ (กิ.กิตฺ.) วิ. อนาทาย อนาทิย (ไมถือเอา แลว ชื่อวา อนาทิย), [น + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ตฺวา ปจจัย, แปลง น เปน อน,


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๒๓ แปลง อา ที่ ทา เปน อิ, แปลง ตฺวา เปน ย, ปาฐะวา อนาทิยิตฺวา ก็มี ทา ธาตุ แปลง อา เปน อิ, บางแหงเปน อนาทยิตฺวา, เชนในขอวา สุคตวิทตฺถึ อนาทิยิตฺวา นวํ นิสีทนสนฺถตํ กตํ, สุคตวิทตฺถินฺติ เอตฺถ สุคตวิทตฺถิ นาม อิทานิ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ติสฺโส วิทตฺถิโย, วฑฺฒกี- หตฺเถน ทิยฑฺโฒ หตฺโถ โหติ (ไมไดเอื้อเฟอคืบ พระสุคตโดยคอบสันถัตเกา กระทำนิสีทนสันถัต ใหม, ในคำวา สุคตวิทตฺถิ นี้ ที่ชื่อวา คืบพระ สุคต ไดแก ๓ คืบของบุรุษปานกลางในบัดนี้ เปนระยะศอกครึ่งโดยศอกชางไม), แมในคำวา อนาวิกตฺวา เปนตน ก็นัยนี้, ๒. ไมพึงถือ (ติ.) วิ. น อาทาตพฺโพติ อนาทิโย (ภาวะใดอันเขาไม พึงถือ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนาทิย), [น + อา + ทา ธาตุ ทานสทฺทหเนสุ ในความใหและ ความเชื่อ + ณฺย ปจจัย], อนาทิยนฺโต ก็นัยนี้ ลง อนฺต ปจจัยในปจจุบัน อนาทิยน (นปุ.) การไมถือเอา วิ. อนาทานํ อนาทิยนํ (การไมถือเอา ชื่อวา อนาทิยน), [น + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในการให + ยุ ปจจัย, เพราะฐานะแหงสมาส สระอยู อาเทศ อา แหง ทา ธาตุ เปน อิย ดวยสูตร โมคฺ. ๕/๑๓๒ วา ทาสฺสิยงฺ] อนาปุจฺฉา ๑. (กิ.กิต.) ไมบอกลาแลว, ไมบอก แลว วิ. อนาปุจฺฉิตฺวา อนาปุจฺฉา (ไมบอกลา แลว ชื่อวา อนาปุจฺฉา), เชนในขอวา สนฺตํ ภิกฺขุํ อนาปุจฺฉา วิกาเล วิ.มหา.๒/๗๔๗/๔๙๕ (ไม อำลาภิกษุที่มีอยูแลวเขาไปสูบานในเวลาวิกาล), [น + อา + ปุจฺฉ ธาตุ ปฺหปฺปมาเณสุ ในการ ถามและการประมาณ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา ปจจัย เปน ย, ลบ ย ดวยมหาสูตรในนิรุตฺติ ทีปนี และ ทีฆะ อ เปน อา], ปาฐะวา อนาปุจฺฉํ ก็มี เชน อนาปุจฺฉํ วา คจฺเฉยฺย (ไมพึงอำลาไป) ลงนิคหิตอาคม, สํปุจฺฉ, สํปุจฺฉา ก็นัยเดียวกัน มีความวา น อปโลเกตฺวา อนาปุจฺฉา (ไมอำลา ชื่อวา อนาปุจฺฉา) เชน น อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา เอกจฺจสฺส ปตฺโต ทาตพฺโพ วิ.มหา.๔/๘๑/๙๐ (สัทธิวิหาริกไมบอกพระอุปชฌาย ไมพึงใหบาตร แกภิกษุบางรู), ๒. การไมบอกลา, การไมอำลา (อิตฺ.) วิ. อาปุจฺฉนํ อาปุจฺฉา, น อาปุจฺฉา อนาปุจฺฉา (การอำลา ชื่อวา อาปุจฺฉา, การ อำลาหามิได ชื่อวา อนาปุจฺฉา), พึงเทียบการ จำแนกธาตุปจจัยดวยศพัทวาอาปุจฺฉา ขางหนา อนามฏฺ (ติ.) ไมพึงแตะตอง, ไมควรลูบคลำ วิ. อาขฺยาตวเสน น อามสิตพฺโพติ อนามโ (บทใดอันเขาไมไดระบุไว ดวยอำนาจอาขยาต เหตุนั้น บทนั้นชื่อวา อนาม), [น + อา + มส ธาตุ + ต ปจจัย, ลบ ส, แปลงเปน ] วิ. น อามสียิตฺถาติ อนามโ, อนามสิโต วา (สิ่งใด อันเขาไมแตะตองแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนาม, อนามสิต), [น + อา + มส ธาตุ อามสเน ในความลูบคลำ + ต ปจจัย, แปลง สฺต เปน , รูป.๖๒๖ วา สาทิสนฺต เปนตน] อนามนฺตจาร (ปุ.) เที่ยวไปไหนไมตองบอกลา วิ. อนามนฺเตตฺวา จรณํ อนามนฺตจาโร (การ เที่ยวไปไมตองบอกลา ชื่อวา อนามนฺตจาร), ยาว กถินํ น อุทฺธริยติ, ตาว อนามนฺเตตฺวา จรณํ กปฺปสฺสติ, จาริตฺตสิกฺขาปเท อนาปตฺติ ภวิสฺสตีติ อตฺโถ (มีความวา กฐินอันสงฆยังไมรื้อเพียงใด, การเที่ยวไปไมบอกลา จักควรเพียงนั้น, คือจัก ไมเปนอาบัติเพราะจาริตตสิกขาบท), ลบ ตฺวา ปจจัย, แปลง เอ เปน อ, นัยเดียวกันเชน อสมาทานจาโร, ติจีวรํ อสมาทาย จรณํ, จีวรวิปฺปวาโส กปฺปสฺสตีติ อตฺโถ (อมาทานจาร


๑๒๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา หมายถึง การไมตองถือไตรจีวรเที่ยวไป ความวา อยูปราศจากจีวร ก็ควร), แปลง ย เปน น อนามย (นปุ.) ความไมสบาย, ความไมมีความ เจ็บไข วิ. นตฺถิ อามโย เอตสฺสาติ อนามยํ อาโรคยํ (ความเจ็บไข ไมมีแกภาวะนั่น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนามย-ความไมมีความเจ็บไข), นัยนี้เปนนปุพพบทกัมมธารยสมาส, แปลง น เปน อน ในอรรถกถาวินัย วินย.อ.๓/๒๖๖ วา อนามยาติ อโรคา (ที่ชื่อวา อนามยา แปลวา ไม มีโรค), ศัพทวา อนามยา ในที่นี้เปนอิตถีลงิค อนามาส (ติ.) ๑. ไมควรจับตอง, วัตถุอนามาส มีทองเปนตน วิ. อปรามสิตพฺพนฺติ อนามาสํ (วัตถุใดอันภิกษุไมควรจับตอง เหตุนั้น วัตถุนั้น ชื่อวา อนามาส) ในทางวินัยมุงถึงวัตถุอนามาส มีทองเปนตน, [น + อา + มส ธาตุ อามสเน ใน ความจับตอง + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธและ พฤทธิ์, แปลง น เปน อน] วิ. อนามสิตพฺพาติ อนามาสา, อนามาสารหาติ อตฺโถ (แกวมุกดา เปนตน อันเขาไมควรจับตอง เหตุนั้น จึงชื่อวา อนามาสา หมายความวา ไมควรจับตอง) ๒. การไมถูกตองลูบคลำ (นปุ.) วิ. อามสิยเตติ อามาสํ, น อามาสํ อนามาสํ (อันเขาพึงถูกตอง ชื่อวา อามาส, ไมใชอันเขาพึงถูกตอง ชื่อวา อนามาส-การไมถูกตอง) อนามิกา (อิตฺ.) นิ้วนาง, นิ้วไมมีชื่อ วิ. นตฺถิ นามมสฺสาติ อนามิกา (ชื่อของนิ้วนั้น ไมมี เหตุนั้น นิ้วนั้น ชื่อวา อนามิกา), คำนี้เปนชื่อ ของนิ้วมือ, [อิก สกัตถ + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อนายาส (ติ.) ๑. ไมลำบาก, ไมคับแคนใจ วิ. น อายาโส อนายาโส อกิลมโถ (สิ่งนี้ไมใช ความลำบาก ชื่อวา อนายาส คือไมลำบาก), ๒. พระนิพพาน (นปุ.) วิ. นตฺถิ อายาโส เอตฺถาติ อนายาสํ นิพฺพานํ (ความลำบาก ไมมีในภาวะ นั้น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนายส ไดแก พระ นิพพาน), แมในขอวา อนาวรณํ อนายูหนํ เปนตน ก็นัยนี้, คำนี้ทานอธิบายดวยคำวา อายาส บัณฑิตพึงคนดูเถิดที่ศัพทนั้นเถิด อนารต (อพฺ.) แนนอน, เที่ยง, สิ่งที่ไมเวน วิ. น อารมตีติ อนารตํ ธุวํ (สิ่งใดไมวางเวน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนารต คือแนนอน), [น + อา + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ต ปจจัย, ลบ ม], อนภิรต เปนตนก็นัยนี้ บทนี้ น + อภิ บทหนา อนารมฺภ (ติ.) ๑. ที่ไมมีอันตราย, ไมยุงยาก, ไมมีสิ่งรบกวน วิ. ภุสํ ทรนํ อารมฺโภ, อุปทฺทโว (ความกระวนกระวายมาก ชื่อวา อารมฺภ คือ อุปททวะ), วิ. อารมฺภนฺติ หึสนฺตีติ อารมฺภา (ภาวะเหลาใดรบกวน คือเบียดเบียน เหตุนั้น ภาวะเหลานั้น ชื่อวา อารมฺภา), [อา + รภ ธาตุ หึสายํในความเบียดเบียน + ณ ปจจัย + นิคหติ อาคม แปลงเปนที่สุด มฺ ที่สุดวรรค], อีกอยาง หนึ่ง อารมฺภ ศัพท เปนกัตตุสาธนะ บงถึงสัตว ทั้งหลายที่กอความเดือดรอน มีมดเปนตน เนื่องจาก รภ ธาตุ ที่มี อา เปนบทหนา ใชใน อรรถวาเบียดเบียนได ดังในประโยควา เสตํ ฉาคมารเภถ ยชมาโน (เจาภาพควรลมแพะขาว ตัวหนึ่ง) (วินยวินิจฺฉย-ฏีกา) วิ. นตฺถิ อารมฺโภ เอตสฺส เอตฺถ วาติ อนารมฺภํ อนุปทฺทวํ (สิ่งรบกวนของที่นั้น หรือในที่นั้นไมมี เหตุนั้น ที่ นั้น ชื่อวา อนารมฺภ คือไมมีอุปททวะ) อนาลย (ติ.) ผูไมมีตัณหา, ผูไมมีความหวงใย, พระขีณาสพ, พระนิพพาน วิ. นตฺถิ อาลโย ตณฺหา เอตสฺสาติ อนาลโย (อาลัยคือตัณหาของ ผูนั่นไมมี เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนาลย-ผูไมมี อาลัย) วิ. ปหีนสพฺพกิเลสตฺตา นตฺถิ เอเตสนํ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๒๕ กตฺถจิ อาลโย ตณฺหาติ อนาลยา, วีตราคา, ขีณาสวาติ อตฺโถ. นิพฺพานมฺป อนาลโยติ วุจฺจติ. (อาลัยคือตัณหาในวัตถุอะไรๆ ของทานเหลานั้น ไมมี เพราะละกิเลสไดหมดแลว เหตุนั้น ทาน เหลานั้นจึงชื่อวา อนาลย ไดแก พระขีณาสพ ผู มีราคะไปปราศแลว, แมพระนิพพานทานก็ เรียกวา อนาลย) ตถา หิ วุตฺตํ นิพฺพานฺจ อาคมฺม ตณฺหา จชียติ ปฏินิสฺสชฺชียติ มุจฺจติ น อลฺลียติ, กามคุณาลเยสุ เจตฺถ เอโกป อาลโย นตฺถิ, ตสฺมา นิพฺพานํ จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโยติ วุจฺจตีติ (ดังที่ทานอธิบายไววา ตัณหา มาถึงพระนิพพาน ยอมละ สละคืน ปลอย ไมตดิ และความอาลัยแมสักอยางเดียว ในอาลัยคือ กามคุณ ไมมีในภาวะนั้น เหตุนั้น พระนิพพาน ทานจึงเรียกวา จาค-เปนที่ละ, ปฏินิสฺสคฺค-เปน ที่สละ, มุตฺติ-ปลอย, อนาลย-ไมติด) อนาวรณ (นปุ.) ไมไดปดกั้น, ไมไดลอม, ไมขวางกั้น, ไมปกปด วิ. น อาวรณํ อนาวรณํ, นตฺถิ วา อาวรณํ อสฺสาติ อนาวรณํ (การขวาง กั้น หามิได ชื่อวา อนาวรณ, อีกนัยหนึ่ง การ ขวางกั้น ของสิ่งนั้นไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนาวรณ), พึงดูการจำแนกธาตุปจจัยในคำวา อารณ ที่จะแสดงขางหนา อนาสก (ติ.) ผูอดอาหาร, ผูไมกิน วิ. น อสติ ภุฺชตีติ อนาสโก (ผูใดไมกิน คือไมบริโภค เหตุ นั้น ผูนั้นชื่อวา อนาสก), [น + อส ธาตุ ภกฺขเณ ในความกิน + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก, แปลง น เปน อ, ทีฆะ อ เปน อา] อนาสว (นปุ.) ภาวะที่ไมอาสวะ, พระนิพพาน ๑. วิ. อาสวานํ อนารมฺมณตาย อนาสวํ (ชื่อวา อนาสว เพราะไมเปนอารมณแหงอาสวะ ทั้งหลาย) ๒. วิ. นตฺถิ อาสวา เอตฺถาติ อนาสวํ นิพฺพานํ (อาสวะทั้งหลายไมมีในภาวะใด ภาวะ นั้น ชื่อวา อนาสว คือพระนิพพาน), นามานิ ปนสฺส สพฺพสงฺขตานํ นามปฏิปกฺขวเสน อเนกานิ โหนฺติ. เสยฺยถิทํ อเสสวิราโค อเสสนิโรโธ จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย ตณฺหกฺขโย อนุปฺปาโท อปฺปวตฺตํ อนิมิตฺตํ อปฺปณิหิตํ อนายูหนํ อปฺปฏิสนฺธิ อนุปปตฺติ อคติ อชาตํ อชรํ อพฺยาธิ อมตํ อโสกํ อปริเทวํ อนุปายาสํ อสํ กิลินฺติอาทีนิ (ที.อ.๒/๔๑๖) (แตชื่อของพระ นิพพานนั้นมีมาก โดยเปนปฏิปกษตอชื่อของ สังขตธรรมทั้งหมด. คืออยางไร คือธรรมเปนที่ คายไมเหลือ เปนที่ดับไมเหลือ เปนที่ละ เปนที่ สละ เปนที่พน เปนที่ไมติด เปนที่สิ้นราคะ เปน ที่สิ้นโทสะ เปนที่สิ้นโมหะ เปนที่สิ้นตัณหา เปน ที่ไมเกิด เปนที่หยุด ไมมีนิมิต ไมมีที่ตั้ง ไมมีที่ อาศัย ไมมีปฏิสนธิ ไมเปนไป ไมไป ไมเกิด ไม แก ไมเจ็บ ไมตาย ไมโศก ไมคร่ำครวญ ไมคับ แคน ไมเศราหมอง ดังนี้เปนตน), พระขีณาสพ ก็เรียกวา อนาสว อนิจฺจ (นปุ.,ติ.) ความไมเที่ยง, ไมแนนอน, ไมยั่งยืน ๑. วิ. นิจฺจธุวภาเวน น อิจฺจํ าเณน อนุปคนฺตพฺพนฺติ อนิจฺจํ (ภาวะใดไมพึงถึงโดย ความเปนของยั่งยืน คือไมเขาถึงไดดวยญาณ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนิจฺจ), [น + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ตฺย ปจจัย, แปลง ตฺย เปน จ, ซอน จฺ, อีกนัยหนี่ง อิ ธาตุ ริจฺจ ปจจัย] ๒. ไมถึงไดดวยความเปนตัวตน วิ. อตฺตาทิ- วเสน น อิจฺจํ อนุปคนฺตพฺพนฺติ อนิจฺจํ (สิ่งใดไม พึงเขาถึงดวยอำนวจความเปนตัวตนเปนตน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนิจฺจ) ๓. ไมเที่ยง วิ. หุตฺวา อภาวเน น นิจฺจนฺติ อนิจฺจํ. นิจฺจํ นาม ธุวํ


๑๒๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (สิ่งใดไมเที่ยง เพราะอรรถวามีแลวไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนิจฺจ, ความเที่ยง ชื่อวา นิจฺจ), วิ. รูป ปน ขณภงฺคตาย เยน ภงฺเคน น นิจฺจนฺติ อนิจฺจํ(สวนรูป ไมเที่ยง เพราะความแตกดบัไป ดวยภังคขณะ เหตุนั้น การแตกดับไปนั้น ชื่อวา อนิจฺจ), นิจฺจ ศัพท ในที่นี้ มีความหมายวา ยั่งยืน (ธุวตฺถ) จัดเปน อนิปผันนปาฏิปทิกะ (คือ นามศัพทที่ไมสำเร็จดวยความเปนสมาส ตัทธิต หรือกิตก จึงตั้งวิเคราะหไมได) (ดู กังขาวิตรณี เลม ๒, พระคันธสาราภิวงศ, หนา ๕๘), วิ. น นิจฺจนฺติ อนิจฺจํ. เอตฺถ นิจฺจสทฺโท ธุวตฺถวาจโก อนิปฺผนฺนปาฏิปทิโก. อนิจฺจนฺติ ขนฺธปฺจกํ, ตฺหิหุตฺวา อภาวเน จ อุปฺปาทวยวนตฺตาทหีิ จตูหิ การเณหิ จ อนิจฺจํ. ตตฺถ อนิจฺจนฺติ ขนฺธปฺจกํ. เอวํ อนิจฺจตา, ภาวตทฺธิเต ตา (สิ่งใด ไมใชเที่ยงแท เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนิจจัง. เบญจขันธ ชื่อวา อนิจจัง, ความจริง เบญจขันธ นั้น ชื่อวา อนิจจัง เพราะอรรถวามีแลวไมมี และเพราะเหตุ ๔ อยาง มีการเกิดขึ้นเสื่อมไป เปนตน, ในขอนั้น เบญจขันธ ชื่อวา อนิจจัง, อนิจฺจตา ก็นัยเดียวกัน ลง ตา ปจจัยใน ภาวะตัทธิต) อนิปฺผนฺน (ติ.) ๑. ไมถูกทำใหสำเร็จ, ไมถึง พรอม วิ. กมฺมาทิปจฺจเยหิ น นิปฺผาทิยนฺเตติ อนิปฺผนฺนา (ธรรมชาติเหลาใดอันกรรมปจจัย เปนตน ไมใหสำเร็จ เหตุนั้น ธรรมชาติเหลานั้น ชื่อวา อนิปฺผนฺนา), [น + นิ+ ปท ธาตุนิปฺผนเฺน ในความสำเร็จ + ต ปจจัย, แปลง ต พรอมที่สุด ธาตุเปน อนฺน], ซอนพยัญชนะที่มีรูปไมเสมอกัน คือ ปฺ] ๒. ไมถึงพรอมแลว, ไมสำเร็จแลว วิ. นิปฺปชฺชิตฺถาติ นิปฺผนฺนํ สิทฺธํ(สิ่งใดสำเร็จแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา นิปฺผนฺนํ คือสำเร็จแลว) วิ. น นิปฺผนฺนํ อนิปฺผนฺนํ(สิ่งที่สำเร็จแลว หามไิด ชื่อวา อนิปฺผนฺน) อนิพฺพิทฺธ (ปุ.) อันเขาไมแยกออก, ทางตัน, ถนนไมมีทางแยกออกไป วิ. น นิพฺพิชฺฌเต รจฺฉนฺตเรนาติ อนิพฺพิทฺโธ, พฺยูโห (ถนนใดอัน เขาไมแยกออก ดวยมีซอยระหวาง เหตนุั้น ถนน นั้นชื่อวา อนิพฺพิทฺธ ไดแก ทางตัน), [น + นิ + วิธ ธาตุ เวธเน ในความแทง + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน ธ และ อาเทศ ธฺ เปน ทฺ, แปลง น เปน อ] อนิพฺพิสนฺต (ติ.) ไมประสพ, ไมได, ไมพบ วิ. อวินฺทนฺโต อลภนฺโตติ อนิพพฺิสนฺโต, อนิพฺพิสํ วา (ไมประสบอยู ไมไดอยู เหตุนั้น ชื่อวา อนิพฺพิสนฺโต หรือ อนิพฺพิสํ), [น + นิ + วิส ธาตุ เปรเณ ในความสงไป + อนฺต ปจจัย, แปลง ว เปน พ, ซอน พฺ] อนิมิตฺต (ติ.) ๑. ไมมีนิมิต, ไมมีเครื่องหมาย บอก วิ. นตฺถิ นิมิตฺตํ เอตสฺสาติ อนิมิตฺตํ (นิมิต ของชีวิตเปนตนนั้น ไมมีเหตุนั้น ชีวิตเปนตนนนั้ ชื่อวา อนิมิตฺต), ๒. พระนิพพาน วิ. ราคาทิ- นิมิตฺตรหิตตฺตา อนิมิตฺตํ. สพฺพสงฺขารนิมิตฺตภาวโต อนิมิตฺตํ นิพฺพานํ (พระนิพพาน ชื่อวา อนิมิต เพราะเวนจากนิมิตคือราคะเปนตน, ชื่อ วา อนิมิต เพราะเปนนิมิตแหงสังขารทั้งปวง), ๓. วิโมกข วิ. นิจฺจนิมิตฺตาทิโน อภาวโต อนิมิตฺโต วิโมกฺโข. นตฺถิ นิมิตฺตํเอตสสฺาติอนิมิตฺโตวิโมกฺโข. เอตสฺสาติ มคฺคสฺสาติ อตฺโถ, ตสฺมา ตํ มคฺคสฺเสว นามํ (วิโมกข ชื่อวา อนิมิต เพราะไมมีความ เที่ยงแทเปนนิมิต. นิมิตแหงมรรคนั่น ไมมี เหตุนั้น มรรคนั้นจึงชื่อวา นิมิต ไดแก วิโมกข, อธิบายวา เอตสฺส โยค มคฺคสฺส, ฉะนั้น คำวา อนิมิตตวิโมกขนั้น จึงเปนชื่อของมรรคนั่นเอง)


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๒๗ อนิมิตฺตุปค (ติ.) ไมนับเขาในนิมิต, ไมควรเปน นิมิต, ไมไดขนาดเปนนิมิต, สิ่งที่ไมควรทำเปน นิมิต วิ. นิมิตฺตํ น อุปคจฺฉตีติ อนิมิตฺตุปโค (ภูเขาเปนตนใด ไมเขาถึงนิมิต เหตุนั้น ภูเขา เปนตนนั้น ชื่อวา อนิมิตฺตุปค), [อนิมิตฺต + อุป + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + กฺวิ ปจจัย, ลบ กฺวิ และที่สุดธาตุ] (วินย.โยชนา. ๒/๒๔๔), ก็วิเคราะหนี้เปนวิเคราะหอยุตตัตถ [น ขามไป ปฏิเสธ อุปค], สมาสมีกิตกเปนที่สุด อนิมิส (อิตฺ.) ผูไมกะพริบตา, เทวดา, ปลา วิ. น นิมฺมิสนฺตีติ อนิมิสา เทวตา (ผูใดยอมไม กะพริบตา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนิมิส คือ เทวดา), [น + นิ + มิส ธาตุ นิมฺมีลเน ในความ กะพริบตา + อ ปจจัย] อนิรากตฺตุ (ปุ.) ไมหาม, ไมปฏิเสธ, ไมหยา, ไมราง, ไมละ, ไมทิ้งราง, ไมถูกเนรเทศ, ไมถูก นำออกไป วิ. นิรากโรตีติ นิรากตฺตา (ผูใดยอม หยาราง เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา นิรากตฺตา), วิ. น นิรากตฺตา อนิรากตฺตา (ผูหยาราง หามิได เหตุ นั้น ผูนั้นชื่อวา อนิรากตฺตา), [น + นิ + อา + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ตุ ปจจัย, แปลง ร เปน ตฺ, ลง ร อาคม, แปลง น เปน อ] อนิรากตฺตุ- สมฺปทานํ, ตํ วุจฺจติ อนิรากรณสมฺปทานํ, อนิวารณสมฺปทานํ จาติป. อนิรากตฺตา นาม อปฺปฏิเสธโก (การถึงการเปนผูไมอยารางนั้น ทานเรียกวา ถึงความเปนผูไมอยาราง และ หมายถึงการถึงความไมหาม ก็ไดบาง. ผูที่ไม คัดคานเรียกวา อนิรากตฺตา) อนิล (ปุ.) ๑. พายุ, ลม, ลมปราณ ลมหายใจ เปนเครื่องอยูของสัตว วิ. อนติ ชีวติ อเนนาติ อนิโล วายุ (สัตวยอมมีชีวิตอยู ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนิล ไดแก ลม), [อน ธาตุ ปาณเน ในความมีชีวิตอยู + อิล ปจจัย] ๒. ลม พัดไป วิ. อนติ ปวตฺตตีติ อนิโล มาลุโต (สิ่งใด ยอมพัดไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนิล คือลม), [อน ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อิล ปจจัย โมคฺ.๗/๑๘๙ วา อนสลกล เปนตน] อนิลปถ (ปุ.) คลองแหงลม, ทางแหงลม, ทองฟา, อากาศ, กลางหาว วิ. อนิลสฺส วาตสฺส ปโถ มคฺโค อนิลปโถ นภํ (ทางไปแหงลม ชื่อวา อนิลปถ ไดแก ทองฟา), บทนี้เปนฉัฏฐีตัปปุริส สมาส อนิสมฺมการี (ปุ.) ผูไมใครครวญแลวทำลงไป, ผูไมรอบคอบ, มุทะลุ, สะเพรา วิ. คุณโทเส อนิสมฺม กโรตีติ อนิสมฺมการี (ผูใดยอมไม ใครครวญถึงคุณและโทษทำการลงไป เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนิสมฺมการี), [อนิสมฺม + กร ธาตุ + ณี ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา] อนีก (ปุ.,นปุ.) กองทัพ, เสนา วิ. อณตีติ อนีโก จมู, อนีกํ วา (สิ่งใดยอมสงเสียง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนีก), เชนคำวา อนีกทสฺสนํ วา (ดู กองทัพก็ดี), [อณ ธาตุ สทฺเท ในความสงเสียง + อิก ปจจัย, ทีฆะ อิ เปน อี, แปลง ณ เปน น], ใน อภิธานัปปทีปกาฎีกา กลาววา อณ ธาตุ ใชใน อรรถวาสงเสียง และทัณฑกะ-อุบายชนะศึก], แตในปาจิตยาทิโยชนาทานกลาววา ณ อักษรซึ่ง เปนมุทธชะวา อณีก) อนีกฏฺ (ปุ.) ราชองครักษ, ผูดำรงอยูเปนหมู วิ. อนีเกน สมูเหน ติตีติ อนีกโ, ราชูนํ องฺครกฺขโณ อนีกโติ มโต (ผูใดดำรงโดยเปน หมูพล เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนีก, องครักษ ของพระราชาทั้งหลาย บัณฑิตรูกันวา อนีก), [อนีก + า ธาตุ ปติาเน ในความดำรงอยู + อ หรือ กฺวิ ปจจัยก็ได]


๑๒๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนีฆ (นปุ.) ไมมีทุกข วิ. นตฺถิ ตสฺส นีโฆติ อนีโฆ (ทุกขของบุคคลนั้นไมมีเหตุนั้น บุคคลนั้นช่ือวา อนีฆ), บทนี้เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส กิเลสทุกฺขสงฺขาตสฺส นีฆสฺส อภาเวน อนีโฆ (ชื่อ วา อนีฆ เพราะไมมีทุกข กลาวคือทุกขคือกิเลส) อนีติก (นปุ.) พระนิพพาน, ที่ไมมีอุปททวะ วิ. อีตี อุปทฺทวา น สนฺติ เอตฺถาติ อนีติกํ นิพฺ พานํ (ความจัญไร คืออุปททวะ ไมมีในภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนีติก คือพระนิพพาน) อนีฬก (ติ.) ไมโทษ, ไมมีความผิด, บริสุทธิ์ วิ. เอลํ วุจฺจติ โทโส, นตฺถิ เอลํ เอตฺถาติ อนีฬกํ อเนฬกํ อนีลกํ (โทษ ทานเรียกวา เอล, เอล คือ โทษ ในน้ำผึ้งเปนตนนั้น ไมมี เหตุนั้น น้ำผึ้ง เปนตนนั้น ชื่อวา อนีฬก, อเนฬก, อนีลก คือ ไม มีโทษ), อนีฬก ไมมีโทษ เชน นิมฺมกฺขิกณฺฑกํ ปริสุทฺธํ ขุทฺทกมธูติ วุตฺตํ โหติ (นัยแหง วินย.อ. ๑/๒๐๘) (คำวา อนีฬก มีอธิบายวา น้ำผึ้งที่ผึ้ง ตัวเล็กๆ ทำขึ้น เปนน้ำผึ้งบริสุทธิ์ ไมมีตัวออน), [น + เอฬ + ก ปจจัยทายบทสมาส] อนุกฑฺฒน (นปุ.) การดึงมามัดไว, อรรถของ นิบาต เชน จ, ตถา ศัพท วิ. อนุคนฺตฺวา กฑฺฒนํ อนุกฑฺฒนํ (การตามมามัดไว ชื่อวา อนุกฑฺฒน), วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ กฑฺฒิยเต อนุกฑฺฒนํ (การครา มาบอยๆ ชื่อวา อนุกฑฺฒน), [อนุ + กฑฺฒ ธาตุ กฑฺฒเน ในความครามา + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน] (คันถาภรณมัญชรี หนา ๑๐๔) อนุกมฺปา (อิตฺ.) ความเอ็นดู, ความสงสาร, ไหวไปตาม วิ. อตฺตาธารสฺส จิตฺตํ อนุ ปุนปฺปุนํ กมฺเปตีติ อนุกมฺปา ทยา (ธรรมชาติใดยังจิตที่ เห็นแกตัวใหหวั่นไหวอยูบอยๆ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อนุกมฺปา), เชน นตฺถิ เม ตุมฺเหสุ อนุกมฺปา (เราไมมีความเอ็นดูในพวก เธอ), [อนุ + กมฺป ธาตุ จลเน ในความหวั่นไหว หรือ กป ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค], วิ. อนุรูป กมฺปนํ จลนํ ทยาปชฺชนํ อนุกมฺป (การหวั่นไหวไป คือถึง ความเอ็นดู ชื่อวา อนุกมฺป), [อนุ + กมฺป ธาตุ จลเน ในความหวั่นไหว + อ ปจจัย] อนุกมฺปิตพฺพ (ติ.) อนุเคราะห วิ. อนุกมฺปยติ อนุกมฺปยิตฺถ อนุกมฺปยิสฺสตีติ อนุกมฺปตพฺโพ (ผูใดอันเขาเคราะหอยู อนุเคราะหแลว จักอนุเคราะหเหตุนั้น ผนูั้นชื่อวาอนุกมฺปตพฺพ), [อนุ + กป ธาตุ คตฺยตฺเถ ในความไป + ตพฺพ ปจจัย + นิคหิตอาคมตนธาตุ แปลงเปน พยัญชนะที่สุดวรรค คือ มฺ + อิ อาคม] นัย เดียวกันเชน อนุกมฺปยมาโน (อนุเคราะหอยู) ลง มาน ปจจัย, อนุกมฺปโต ลง ต ปจจัย อนุกมฺปนฺโต ลง อนฺต ปจจัย ในกัตตุวาจก, อนุกมฺปตฺวา ลง ตฺวา ปจจัย อนุกรณ (นปุ.) การทำตาม, การลอกเลียนแบบ วิ. อนุกรียเต สทิสีกรียเตเนเนตฺยนุกรณํ (กรรม อันเขาทำตาม คือทำใหเหมือนดวยอาการนั้น เหตุนั้น อาการนั้นชื่อวา อนุกรณ), [อนุ + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ยุ ปจจัย แปลง เปน อน] อนุกฺกม (ปุ.) อนุกรม, การกาวไปตามลำดับ, การไปตามสมควร, กระบวน วิ.อนุรูโป กโม อนุกฺกโม (การดำเนินไปตามลำดับ ชื่อวา อนุกฺกม), [อนุ + กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในความ กาวไป + อ ปจจัย, ซอน กฺ] อนุการ (ปุ.) การทำตาม, การลอกเลียนแบบ วิ. อนุกรณํ อนุกาโร (การทำตาม, การ ลอกเลียนแบบ ชื่อวา อนุการ), [อนุ + กร ธาตุ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๒๙ กรเณ ในความกระทำ + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธและพฤทธิ์] อนุกุล (ปุ.) สงเคราะห, เกื้อกูล, อุดหนุน, ชวยเหลือ วิ. อนุรูป กุลติ ปวตฺตตีติ อนุกุโล, อนุกูโล วา หิตํ (ภาวะใดยอมเปนไปตามสมควร เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนุกุล, อนุกูล ไดแก ประโยชนเกื้อกูล), เชน ธมฺมานํ อนุกูลปฏิกูลธมฺมา (ธรรมที่คลอยตามและขัดแยงตอธรรม), เนตฺติปฺปกรณอกถา, [อนุ + กุล ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย, ทีฆะ อุ เปน อู], อนุคุณํ ก็นัยเดียวกัน วิ. คุณานมานิสํสานํ อนุกูลํ อนุคุณํ (คลอยตามคุณานิสงส ชื่อวา อนุคุณํ), คำนี้เปน เหตุมนฺตวิเสสน อนุกูลมิตฺต (ปุ.) เพื่อนคอยชวยเหลือ, เพื่อนดี อนุกูโล อนุรูโป มิตฺโต อนุกูลมิตฺโต, สุหโท สหาโย (มิตรที่คอยชวยเหลือเกื้อกูล ชื่อวา อนุกูลมิตฺต ไดแก มิตรผูมีใจดี คือสหาย) อนุคชฺชน (นปุ.) การเปลงเสียงย้ำอีก วิ. อนุ ปุน คชฺชนํ รวนํ อนุคชฺชนํ (การเปลงเสียงซ้ำอีก ชื่อวา อนุคชฺชน), [อนุ + คชฺช ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อนุคามิก (ติ.) ผูติดตาม, ผูเดินตาม, ติดตามไป วิ. อนุคจฺฉตีติ อนุคามิโก อนุคามิโย วา (สิ่งใด ติดตามไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุคามิก), เชน อนุคามิยธนํ(ทรัพยที่ติดตามไป), ชา.อ.๙/๒๑๙ (อรรถกถาชาดกอักษรไทยวา อนุคามิกธนํ), [อนุ + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ณฺวุ ปจจัย, แปลง อ เปน อิ กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน, แปลง ก เปน ย], วิ. อนุคาโม อนุคมนํ อสฺส อตฺถีติ อนุคามิโก อนุคามิโย วา (การตามไป ของสิ่งนั้น มีอยู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุคามิโก, อนุคามิโย), ลง ณิก หรือ ณิย ปจจัยในตัทธิต) อนุคิทฺธ (ปุ.) ความติดใจตาม, ความตามติดใจ, ความติดใจ วิ. อนุคิชฺฌิตฺถาติ อนุคิทฺโธ (ภาวะใด กำหนัดแลว เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนุคิทฺธ), [อนุ + คิธ ธาตุ เคเธ ในความกำหนัด + ต ปจจัย แปลง ต เปน ธ โมคฺ.๕/๑๔๕ วา โธ ธหเภหิ, แปลง ธ ตัวหนาเปน ทฺ]. อนุคิทฺธิ, ลง ติ ปจจัย ก็นัยนี้. เทียบ คิทฺธิ ขางหนา อนุคีติ (ติ.) การสวดในภายหลัง, คาถาอันทาน กลาวไวในภายหลัง, คาถาสรุป วิ. อนุคายนํ อนุคีติ (การสวดตาม ชื่อวา อนุคีติ), อนุรูปา คีติ อนุคีติ (การสวดตามลำดับ ชื่อวา อนุคีติ) อนุ ปจฺฉา คีติ อนุคีติ วา (อีกนัยหนึ่ง การสวด สรุปทาย ชื่อวา อนุคีติ), [อนุ + คา/เค ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง + ต ปจจัย, แปลง อี เปน อ ดวยมหาสูตร, แปลง อี เปน อ ดวยมหา สูตร (เอกุทฺเทสวาร เนตฺติปกรณ), อนุคีตีติ วุตฺตสฺเสวตฺถสฺส สุขคฺคหณตฺถํ อนุ ปจฺฉา คายนคาถา สุตฺตนฺตรเทสนา วา (อนุคีติ ไดแก คาถา สำหรับสวดสอบทวนความแหงพระสูตรที่กลาว แลวนั่นแล หรือการนำความแหงพระสูตรอื่นมา แสดงอางไว เพื่อเขาใจความหมายไดงายขึ้น) อนุคฺคห (ปุ.) ๑. การอนุเคราะห, อุบาย สงเคราะห วิ. อนุคณฺหณํ, สงฺคยฺหนฺติ เอตฺถ เอเตนาติ วา อนุคฺคโห (การอนุเคราะห ชื่อวา อนุคฺคห, อีกนัยหนึ่ง สัตวทั้งหลายสงเคราะหกัน ในอุบายนั้น หรือดวยอุบายนั้น เหตุนั้น อุบาย นั้นชื่อวา อนุคฺคห), ในสันสกฤตเปน อนุคฺรหะ, [อนุ + คห ธาตุ คหเณ ในความถือเอา + อ ปจจัย] ๒. ไมถือมั่น วิ. อุคฺคหณวิรหิโตติ อนุคฺคโห. โสป นาสฺส อุคฺคโหติ อนุคฺคโห. น วา อุคฺคณฺหาตีติ อนุคฺคโห (บุคคลผูเวนจากการถือ มั่น ชื่อวา อนุคฺคห, แมผูนั้นก็ชื่อวา อนุคฺคห


๑๓๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เพราะเขาไมมีความถือมั่น, อีกนัยหนึ่ง บุคคลใด ไมถือมั่น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อนุคฺคห), น วา อุคฺคณฺหาตีติ อนุคฺคโห (อีกนัยหนึ่ง ภาวะใด ยอมอนุเคราะห เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนุคฺคโห), [น + อุ + คห ธาตุ คหเณ ในความถือ + อ ปจจัย] อนุฆร (อพฺ.) เรือนหลังตอๆ กันไป, ตามลำดับ เรือน, ทุกๆ เรือน วิ. อนุ อนุ ฆรํ อนุฆรํ, ฆรปฏิปาฏีติ วุตฺตํ โหติ (ทุกๆ เรือน ชื่อวา อนุฆร, มีคำอธิบายวา ตามลำดับเรือน), พึงเทียบ อนฺวทฺธมาส อนุจร (ปุ.) ผูเที่ยวตามไป, เสวก, อำมาตย, ผูติดตาม, สหาย, คนโดยสารไป วิ. อนุ ปจฺฉา จรตีติ อนุจโร (ผูใดยอมเที่ยวติดตามไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุจร), [อนุ + จร ธาตุ คติมฺหิ ใน ความไป + อ ปจจัย], ก็ในพระธัมมปทัฏฐกถา ธ.อ.๓/๑๐๒ วา อายสาธโก อายุตฺตกปุริโส วิย ตนฺนิสฺสิโต นนฺทิราโค อนุจโร นามาติ (ความ กำหนัดดวยอำนาจความยินดี ซึ่งอาศัยอายตนะ นั้น ดุจบุรุษเก็บสวย จัดการสวยใหสำเร็จ ชื่อวา เจาพนักงานเก็บสวย) อนุจาริกา (อิตฺ.) ภรรยา, ผูเที่ยวไปตาม, ผูเที่ยวไปดวย วิ. อนุจรตีติ อนุจาริกา (หญิงใด ยอมเที่ยวไปตาม เหตุนั้น หญิงนั้น ชื่อวา อนุจาริกา), [อนุ + จร ธาตุ จรเณ ในความ เที่ยวไป + ณฺวุ ปจจัย อาเทศเปน อก และ พฤทธิ์ อ เปน อา + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, วิการ อ เปน อิ] ในอรรถกถาปาถิกวรรควา อนุจาริกา วุจฺจติ ภริยา. สห อนุจาริกาย สานุจาริโก, ตํ ตํ พฺรหฺมจริยํ ปหาย สภริโยติ อตฺโถติ (ภรรยาทาน เรียกวา อนุจาริกา. บุคคลผูมีภรรยา ทาน เรียกวา สานุจริกะ อธิบายวา ผูละการประพฤติ พรหมจรรยนั้นๆ แลวมีภรรยา) อนุจฺฉวิก (ติ.) สมควร, เหมาะ, ไมระคายผิว วิ. ฉวิยา อนุรูป อนุจฺฉวิกํ (วัตถุที่สมควรแก ผิวหนัง ชื่อวา อนุจฺฉวิก), วิ. ฉวมนุคตํ อนุจฺฉวิกํ ปติรูป (สิ่งที่เปนไปตามผิว ชื่อวา อนุจฺฉวิก ไดแก สมควร), [อนุ + ฉวิ, ซอน จฺ, ก สกัตถ] อนุช (ปุ.) นองชาย, ผูเกิดในภายหลัง วิ. อนุ ปจฺฉา ชาโต อนุโช กนิโย, อนุชา กนิภคินี (บุคคลที่เกิดในภายหลัง ชื่อวา อนุช คือนองชาย, นองหญิงเปน อนุชา), [อนุ + ชน ธาตุ ชนเน ใน ความเกิด + กฺวิ ปจจัย ลบ กฺวิ ปจจัยและที่สุด ธาตุ] อนุชาต (ติ.) ผูเกิดภายหลัง, ผูเกิดตาม, ผูตามเยี่ยงบิดามารดา, ลูกที่เสมอดวยพอแม วิ. อนุชายิตฺถาติ อนุชาโต (ผูใดเกิดตามเยี่ยง แลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุชาต), [อนุ + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + ต], ในเพราะ ต ปจจัยอยูหลัง แปลง น แหง ชนิ ธาตุ เปน อา ดวยสูตร นิรุตฺติ.๗๒๕ วา ชนิสฺสา อนุชิณฺณ (ติ.) เสื่อมแลว, เสื่อมสูญ, คร่ำครา ไปตามลำดับ วิ. อนุชิยฺยิตฺถาติ อนุชิณฺโณ (ผูใด คร่ำคราไปตามลำดับแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุชิณฺณ), [อนุ + ชร ธาตุ ชิรเณ ในความคร่ำ ครา + ต ปจจัย, อาเทศ ต ปจจัย เปน อิณฺณ ดวยสูตรแหงปทรูปสิทธิ รูป.๖๑๖ วา ตราทีหิ อิณฺโณ และลบ ร] อนุชีรี (ปุ.) ผูชรา, ผูเสื่อมแลว วิ. อนุชีรียิตฺถาติ อนุชีรี (ผูใดเสื่อมแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุชีรี) [อนุ + ชร ธาตุ ชิรเณ ในความเสื่อม + อี ปจจัย ในโมคคัลลานะ, แปลง ชร เปน ชีร]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๓๑ อนุชีวี (ปุ.) เสวกผูบำเรอ, ขาเฝา วิ. ปภุโน อนุ ปจฺฉา ชีวตีติ อนุชีวี เสวโก (ผูใดเปนอยูใกลชิด เจานาย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุชีวี ไดแก อำมาตย), [อนุ + ชีว ธาตุ ปาณธารเณ ในความ ทรงชีวิตไว + ณี ปจจัย] วิ. อนฺวาย อุปนิสฺสาย ชีวนฺตีติ อนุชีวิโน (ชนเหลาใดเปนอยูใกลชิด เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อนุชีวิโน), [อนุ + ชีว ธาตุ ปาณธารเณ ในความทรงชีวิตไว + ณี ปจจัย] อนุเชฏฺ (อพฺ.) ลำดับแหงผูเจริญ, ตามลำดับ ผูใหญ วิ. เชานํ อนุปุพฺโพ อนุเชํ (ลำดับ แหงผูเจริญ ชื่อวา อนุเช), แตใน นิรุตฺติทีปนี (อธิบายคาถา ๓๓๘) ปรากฏวา อนุปพฺพํ อนุฺา (อิตฺ.) การอนุญาต, การอนุมัติ วิ. อนุชานนํ อนุฺา (การรูตามชื่อวา อนุฺา), [อนุ + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, ซอน ฺ], อพฺภานุฺา ก็นัยเดียวกัน บทนี้มี อภิ + อนุ เปนบทหนา, แต คำวา อนุชานนํ ลงปจจัยในภาวะสาธนะ, แปลง า เปน ชา, ลง นา วิกรณปจจัย อนุฺาต (ติ.) อนุญาตแลว วิ. อนุชานีติ อนุฺาโต, อนุฺายิตฺถาติ อนุฺาตา (ผูใด รูตามแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุฺาต, ผูใด อนุญาตแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุฺาตา ไดแกอนุมตา-ผูเหน็ตาม), [อน + า ธาตุ พุชฺฌเน ุ ในความรู + ต ปจจัย, ซอน ฺ] อนุฏหาน (ติ.) ไมลุกขึ้น, ไมขยัน, ไมเพียร, ไมพยายาม วิ. อนุหนฺโต อวายมนฺโต อนุหาโน (ผูไมลุกขึ้นอยู ไมพยายามอยู ชื่อวา อนุหาน), [น + อุ + า ธาตุ คติ- นิวตฺติมฺหิ ในความหามการไป + มาน ปจจัย, ลบ ม แหง มาน ไดบางบางอุทาหรณ ดวยสูตร โมคฺ.๕/๑๖๒ วา มานสฺส มสฺสา, แปลง า เปน ห, ซอน , แปลง น เปน อน] อนุฏิต (ติ.) ๑. ถูกตั้งไวแลว, อันเขาตั้งไว แลวตามสมควร วิ. อนุียเตติ อนุิตํ (อัน เขาตั้งไวตามควร ชื่อวา อนุิตํ), [อนุ + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในความหามการไป + ต ปจจัย ในกัมมวาจก, วิการ อา เปน อิ, ซอน ] ๒. ไม ลุกขึ้นแลว วิ. น อุาสีติ อนุิโต (ผูใดไมลุก ขึ้นแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุิต), [น + อุ + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในการหามการไป + ต ปจจัยในกัตตุวาจก, ซอน ] อนุฏภา (อิตฺ.) อนุฏุภาฉันท, ฉันทที่ปองกัน ความดอย, ฉันทปดกั้นโทษที่ต่ำตอย วิ. อนุ หีนภาวํ ถุมฺภติ รุนฺธติ นิวาเรตีติ อนุุภา (ฉันท ใดยอมปดกั้นความเปนโทษ เหตุนั้น ฉันทนั้น ชื่อวา อนุุภา), [อนุ + ถุภุ ธาตุ ถมฺภเน ใน ความตานทาน + อ ปจจัย, อาเทศ ถ เปน , ซอน  + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อนุฑหิตุํ (อพฺ.) เพื่ออันตามเผา, เพื่อทำให เดือดรอนเนืองๆ วิ. อนุฑหนตฺถาย อนุฑหิตุํ (อนุฑหิตุํ แปลวา เพื่ออันตามเผา), [อนุ + ทห ธาตุ ทหเน ในความเผา + อิ อาคม + ตุํ ปจจัย, แปลง ท เปน ฑ] อนุตฺตร (ติ.) ดีเลิศ, ไมมีสิ่งอื่นยิ่งกวา, ไมมีผูยิ่ง กวา ๑. วิ. นตฺถิ อุตฺตโร ยสฺมา โส อนุตฺตโร (ผูยิ่งกวาพระผูมีพระภาคเจาพระองคใดไมมี เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระนามวา อนุตฺตร), ๒. วิ. นตฺถิ อตฺตโน อุตฺตโร อธิโก ยสฺสาติ อนุตฺตโร อสทิโสติ วุตฺตํ โหติ (บุคคลผูยิ่งกวาพระองคไมมี แกพระผูมีพระภาคเจาพระองคใด เหตุนั้น พระ ผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น พระนามวา อนุตฺตร มีคำอธิบายวา ไมมีผูเหมือน), ๓. ธรรมอันยอด


๑๓๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เยี่ยม วิ. นตฺถิ เอตสฺส อุตฺตริตโร ธมฺโมติ อนุตฺตโร, นววิธธมฺมสมุทาโย (ธรรมอันยิ่งเกิน กวาธรรมนั้นไมมี เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อนุตฺตร ไดแก อนุตตรธรรม ๙), สวนในคัมภีร อัตถโยชนา แหงอภิธัมมัตถวิภาวินี วิ. นตฺถิ อุตฺตโร เอตสฺสาติ อนุตฺตโร (ปฺจิกา.๑/๑๑) (ธรรมอันยิ่งกวาธรรมนั้น ไมมี เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อวา อนุตฺตร) วิ. นตฺถิ อุตฺตรํ เอตสฺสาติ อนุตฺตรํ โลกุตฺตรจิตฺตํ(ปฺจิกา.๑/๔๙๗) (จิตอัน ยิ่งกวาจิตนั้น ไมมี เหตุนั้น จิตนั้นชื่อวา อนุตฺตร คือโลกุตตรจิต), ๔. พระนิพานอันยอดเยี่ยม วิ. อตฺตโน คุเณหิ อุตฺตริตรสฺส กสฺสจิ ธมฺมสฺส อภาวโต อนุตฺตรํ นิพพานํ (ชื่อวายอดเยี่ยม เพราะไมมีธรรมอะไรที่ยิ่งกวาคุณของตน), แต ในพระสูตรบางแหงวา อนุตฺตร หมายถึง มหัคคตจิต บัณฑิตพึงคนดูเถิด อนุตฺถุนนฺต (กิ.กิต.) หวนละหอยอยู, ทอด ถอนอยู วิ. อนุตฺถุนาตีติ อนุตฺถุนนฺโต อนุตฺถุนํ วา (ผูใดทอดถอนใจอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุตฺถุนนฺต หรือ อนุตฺถุน ทอดถอนอยู), [อนุ + ถุ ธาตุ นิตฺถุนเน ในความทอดถอน + นา วิกรณ ปจจัย คือปจจัยประจำหมวดธาตุ + อนฺต ปจจัย, ซอน ตฺ, ในเพราะ สิ วิภัตติ แปลง นฺต แหง คจฺฉนฺต เปนตน เปน อํ รูป.๑๐๗ วา สิมฺหิ คจฺฉนฺตาทีนํ นฺตสทฺโท อํ] อนุตาป (ปุ.) ความเดือดรอน, ความรำคาญใจ, เดือดรอนใจในภายหลัง วิ. อนุ ปจฺฉา ตปติ เยน โส อนุตาโป วิปฺปฏิสาโร (บุคคลยอมเดือดรอน ในภายหลัง เพราะเหตุใด ฉะนั้น เหตุนั้น ชื่อวา อนุตาป คือการเดือดรอนในภายหลัง), [อนุ + ตป ธาตุ สนฺตาเป + ณ ปจจัย] อนุตาฬน (นปุ.) การตี, การทุบ, การเฆี่ยน วิ. อนุตาเฬตีติ อนุตาฬนํ (ภาวะใดยอมตี เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนุตาฬน), [อนุ + ตฬ ธาตุ ปหาเร ในการประหาร + เณ ปจจัย ใน หมวด จุร ธาตุ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, ทีฆ กลางศัพท], นัยเดียวกัน อนุตาเฬนฺโต ลง อนฺต ปจจัย อนุทฺทยา (อิตฺ.) ๑. ความกรุณา, ความเอื้อเฟอ, ความเอ็นดู วิ. ปรทุกฺขฺจ อตฺตสุขฺจ อนุทฺทหตีติ อนุทยตีติ วา อนุทฺทยา กรุณา (ภาวะใด ขจัด ทุกขผูอื่นและตัดสุขของตน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนุทฺทยา), [อนุ + ทห/ทย ธาตุ หึสายํ ใน ความเบียดเบียน + อ ปจจัย + แปลง ห เปน ย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๒. การตามรักษา อนุทฺทยฺยเต อนุทฺทยา, อนุรกฺขณา (อันเขาตาม รักษา ชื่อวา อนุทฺทยา), [อนุ + ทย ธาตุ ปาลเน ในความรักษา + อ ปจจัย + อา ปจจัย ในอิตถี ลิงค] อนุทฺธํสิต (ติ.) ถูกทำลาย, ถูกขจัด, ถูกกำจัด วิ. อนุทฺธํสิยเตติ อนุทฺธํสิตํ (สิ่งใดอันเขาขจัด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุทฺธํสิต), [อนุ + ธํส ธาตุ ธํสเน ในความขจัด + ต ปจจัยใชใน ๓ กาล + อิ อาคม] อนุทา (อิตฺ.) ความเอ็นดู, เมตตา, การตาม รักษา เปนไวพจนของเมตตา วิ. อนุทยตีติ อนุทา (ภาวะใดยอมตามรักษา เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อนุทา), [อนุ + ทา ธาตุ รกฺขเณ ใน ความรักษา + กฺวิ ปจจัย ลบ กฺวิ] (ขุ.ม. ๒๙/ ๙๔๓/๖๐๐) อนุทิสา (อิตฺ.) ทิศนอย, ทิศเฉียง วิ. ทิสานํ อนุรูปา อนุวตฺตกา วา ทิสา อนุทิสา, วิทิสา (ทิศ ที่ไปตาม คือคลอยตามทิศใหญทั้งหลาย ชื่อวา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๓๓ อนุทิส ไดแก ทิศเฉียง), บทนี้เปนอัพยยีภาวสมาส อนุนท (อพฺ.) ที่ใกลแมน้ำ วิ. นทิยา อาสนฺนํ อนุนทํ (ที่ใกลแมน้ำ ชื่อวา อนุนท), แปลง อี เปน อ), บทนี้เปนอัพยยีภาวสมาส, อนุ ศัพท ใช ในอรรถวาใกล, อุปคงฺคํ, อุปวธุ ก็นัยเดียวกัน อนุนย (ปุ.) ๑. ความยินดี, ความพอใจ วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ เนตีติ อนุนโย อนุ ปุนปฺปุนํ อารมฺมเณ จิตฺตํ เนตีติ อธิปฺปาโย (ภาวะใดยอมนำไปบอยๆ เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนุนย อธิบายวา นำจิต ไปในอารมณบอยๆ), [อนุ + นี ธาตุ นเย ใน ความนำไป + อ ปจจัย] (เนตติปกรณ ๔๔/ ๒๘๙) ๒. ตัณหานำสัตวไปในอารมณ วิ. วิสเย สตฺตานํ อนุ อนุ นยนโต อนุนโย, ตณฺหา (ชื่อวา อนุนย เพราะนำสัตวไปในอารมณร่ำไป), ศัพท ตอไปนี้เปนไวพจนของอนุนยนั้น ไดแก ราโค สาราโค อนุโรโธ นนฺทิ นนฺทิราโค อิจฺฉา มุจฺฉา อชฺโฌสานํ เคโธ ปลิเคโธ สงฺโค ปงฺโก เอชา มายา ชนิกา สฺชนนี สิพฺพินี ชาลินี สริตา วิสตฺติกา สุตฺตํ วิสตา อายูหินี ทุติยา ปณิธิ ภวเนตฺติ วนํ วนโถ สนฺถโว เสฺนโห อเปกฺขา ปฏิพนฺธุ อาสา อาสึสนา ชปฺปา โลลุปฺปา ปุจฺฉฺชิกตา วิสมโลโภ นิกนฺติ ปตฺถนา ปหนา โอโฆ โยโค คนฺโถ อุปาทานำ อาวรณำ นีวรณํ ฉทนํ พนฺธนํ อุปกฺกิเลโส อนุสโย ปริยุานํ ลตา เววิจฺฉํ ทุกฺขมูลํ มารปาโส มารพิสํ มารวิสโย ตณฺหาคทฺทูลํ อภิชฺฌา อนุปกุฏ (ติ.) ไมถูกโกรธ, ไมเคยถูกนินนา วาราย วิ. อุปกุปฏิปกฺขนยวเสน อนุปกุโ, น อุปกุโ, น อกฺโกสํ วา นินฺทํ วา ลทฺธปุพฺโพติ อตฺโถ (ชื่อวา อนุปกุ ดวยอำนาจนัยที่ตรงขาม กับผูที่ถูกโกรธเคืองแลว หมายถึง อันเขาขัด เคืองแลว หามิได มีอธิบายวา ไมเคยไดรับการ ดาหรือนินทา), [น + อุป + กุส ธาตุ อกฺโกเส ใน ความดา + ต ปจจัย, แปลง ส เปน  ดวยสูตร กจฺ.๕๗๓ รูป.๖๒๖ วา สาทิ สนฺต, แปลง น เปน อน] อนุปกุทฺธ (ติ.) ผูไมเคยถูกดา, ผูไมไดรับการ นินทา วิ. น อุปกุชฺฌิตพฺโพติ อนุปกุทฺโธ (ผูใด อันใครๆ ไมติเตียน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุปกุทฺธ), [น + อุป + กุธ ธาตุ โกเป ในความ โกรธ + ต ปจจัย แปลง ต เปน ธ, แปลง ธ เปน โท] อนุปขชฺช (กิ.กิต.) วิ่งเขาไปหา, แทรกแซง, บุกรุก วิ. อนุปขทิตฺวาติ อนุปขชฺช อนูปขชฺช, อนุปฺปวิสิตฺวาติ อตฺโถ (อนุปขชฺช แปลวา เขาไป แทรก ความวา เขาไปแทรกแซง), [อนุ + ป + ขทิ ธาตุ ปริฆาเต ในการบุกรุก หรือ ขท ธาตุ หึสเน ในความเบียดเบียน + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ชฺช, ลบที่สุดธาตุ] อนุปทตฺถ (ปุ.) เนื้อความตามลำดับบท วิ. อนุ ปฏิปาฏิยา ปทสฺส อตฺโถ อนุปทตฺโถ (เนื้อความ แหงบทตามลำดับ ชื่อวา อนุปทตฺถ), [อนุ + ปท ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย + อตฺถ], นัย นี้เปนฉัฏฐีตัปปุริสสมาส มีกัมมธารยสมาสเปน ทอง อนุปริยาย (ปุ.) นัยโดยออม, วนไปวนมา วิ. อนุปริยายตีติ อนุปริยาโย (นัยใดวนไป โดยรอบ เหตุนั้น นัยนั้นชื่อวา อนุปริยาย), [อนุ + ปริ + ยา ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย + ย อาคม] อนุปริยายนฺตี (ติ.) (สตรี) เปนไปรอบตาม, เวียนไปตาม, เดินเวียนรอบ วิ. อนุปริยายตีติ อนุปริยายนฺตี (สตรีใดเวียนรอบอยู เหตุนั้น


๑๓๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา สตรีนั้น ชื่อวา อนุปริยายนฺตี), [อนุ + ปริ + ยา ธาตุ คติยํ ในความไป + ย ปจจัย ในประจำ หมวด จุร ธาตุ ตามแนวที่ทานแสดงไวในคัมภีร สัททนีติ ธาตุมาลา (ฉบับแปล หนา ๓๗๒) วา ทิวาทิคณิกสฺส ปนสฺส ยายติ, ยายนฺตีติอาทีนิ รูปานิ ภวนฺติ ก็ธาตุนี้หากใชเปนทิวาทิคณะจะมี รูปกิริยาวา ยายติ, ยายนฺติ เปนตน] อนุปริวตฺติ (อิตฺ.) คลอยตาม, ความหมุนไป มารอบๆ, ความเกี่ยวของดวย วิ. อนุปริวตฺตนํ อนุปริวตฺติ (การคลอยตาม ชื่อวา อนุปริวตฺติ), [อนุ + ปริ + วตุ ธาตุ วตฺตเน ในความหมุนไป + ติ ปจจัย] อนุปโรธ (ปุ.) ความไมยินราย, ความไมโกรธ, ความไมผิด วิ. อุปรุชฺฌนํ อุปโรโธ (ความผิด ชื่อวา อุปโรธ), [อุป + รุธ ธาตุ อาวรเณ ในความ ปองกัน + ณ ปจจัย ในภาวสาธนะ] วิ. น อุปโรโธ อนุปโรโธ, อวิโรโธ (ความผิด หามิได ชื่อวา อนุปโรธ คือความไมผิด), นปุพฺพปท กมฺมธารยสมาส อนุปวชฺช (ติ.) ผูไมถูกกลาวราย, ผูอันเขาไม พึงวาราย วิ. น อุปวทิตพฺโพติ อนุปวชฺโช (ผูใด อันเขาไมพึงวาราย เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุปวชฺช), [น + อุป + วท ธาตุ อุปวาเท ใน ความวาราย + ณฺย ปจจัย, แปลง น เปน อน, แปลง ทฺย เปน ช, ซอน ชฺ, ลบ ณฺ] อนุปสฺสนา (อิตฺ.) การพิจารณาเห็น, การ พิจารณาเนืองๆ, ปญญาเปนเครื่องพิจารณา เนืองๆ วิ. ปุนปฺปุนํ ปสฺสนฺติ โยคิโน เอตายาติ อนุปสฺสนา (ผูปฏิบัติทั้งหลาย พิจารณาเห็น เนืองๆ ดวยปญญานั่น เหตุนั้น ปญญานั้นชื่อวา อนุปสฺสนา), [อนุ + ปสฺส ธาตุ ทสฺสเน ใน ความเห็น + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค]. วิ. ปุริมปุริมาณานํ อนุ อนุ ปสฺสนํ อนุปสฺสนา วิปสฺสนาาณํ มคฺคาณฺจ (ญาณเครื่อง พิจารณาเห็นญาณกอนๆ เนืองๆ ชื่อวา อนุปสฺสนา ไดแก วิปสสนาญาณ และมรรค ญาณ), บางแหง อนุปสฺสนา หมายถึง สติ เชน วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา สติ กายานุปสฺสนา นาม (สติที่ประกอบดวยวิปสสนา ชื่อวา กายานุ- ปสสนา), วิ. อนุ อนุ ปสฺสนา อนุปสฺสนา (การ เห็นเนื่องๆ ชื่อวา อนุปสฺสนา), ก็ อนุ ศัพทใชใน อรรถวิจฉา (คำซ้ำ) อนุปสฺสี (ปุ.) ผูพิจารณาเห็นเปนปกติ, ผูมีปกติ พิจารณา วิ. อนุปสฺสตีติ อนุปสฺสี, อนุปสฺสนสีโล วา อนุปสฺสี (ผูใดพิจารณาเห็น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อนุปสฺสี, อีกนัยหนึ่ง ผูมีปกติพิจารณาเห็น ชื่อวา อนุปสฺสี), [อนุ + ทิส ธาตุ เปกฺขเณ ใน ความดู + ณี ปจจัย, แปลง ทิส เปน ปสฺส], ใน ขอนี้มีตัวอยางดังนี้วา กาเย กายานุปสฺสี อนุปหจฺจ (กิตฺ.) ไมกระทบ, ไมเขาไปทำลาย วิ. น อุปหนฺตฺวาติ อนุปหจฺจ, อนูปหจฺจ วา (อนุปหจฺจ หรือ อนูปหจฺจ แปลวา ไมเขาไป กระทบ), [น + อุป + หน ธาตุ คติยํ ในความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน รจฺจ ดวยสูตร นิ รุตฺติ.๗๖๐ วา หนา รจฺโจ, ลบ น และ ร] นัย เดียวกันเชน อาหจฺจํ บทนี้ อา บทหนา, อุหจฺจ บทนี้ อุ บทหนา, วิหจฺจ บทนี้ วิ บทหนา, สํหจฺจ บทนี้ สํ บทหนา อนุปฺปตฺต (ติ.) บรรลุ, ลุ, ไปถึง, ถึงตามลำดับ วิ. อนุกฺกเมน ปทติ คจฺฉตีติ อนุปฺปตฺโต (ผูใดลุ ถึงแลว โดยลำดับ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุปฺปตฺต), [อนุ + ปท คติยํ+ ต ปจจัย, ลบที่สุด ธาตุและ ซอน ปฺ, ตฺ] วิ. อนุกฺกเมน ปตฺโต อนุปฺปตฺโต (ผูถึงโดยลำดับ ชื่อวา อนุปฺปตฺต),


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๓๕ นัยเดียวกันเชน สมฺปตฺโต สมฺปตฺตํ (ถึงพรอม แลว) บทนี้มี สํ เปนบทหนา อนุปฺปทาตุ (ปุ.) สงเสริม, ตามเพิ่มให วิ. อนุปฺปเทตีติ อนุปฺปทาตา (ผูใดยอมตามเพิ่ม ให เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุปฺปทาต), เชนคำวา อนุพลปฺปทาตา (ตามเพิ่มใหกำลัง, เสริมกำลัง), [อนุ + ป + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ตุ ปจจัย เปนกัตตุสาธนะ] นัยเดียวกันเชน อนุปฺปทายโก (ผูตามเพิ่มให) ณฺวุ ปจจัย แปลง เปน อก, แปลงที่สุดธาตุที่เปน อา การันตเปน อาย กจฺ.๕๙๓ รูป.๕๖๔ วา อาการนฺตานมาโย. อนุปฺปทายี (ผูมีปกติตามเพิ่มให) ลง ณี ปจจัย, อนุปฺปทานํ (การตามเพิ่มให) ลง ยุ ปจจัย เปน ภาวสาธนะ) แตในภาษาสันสกฤตมีรูปกิริยาวา อนุปฺรทานมฺ อนุปฺปพนฺธ (ติ.) ติดตามไป, สืบเนื่องกันไป วิ. อนุปฺปพนฺธตีติ อนุปฺปพนฺโธ (ภาวะใดยอม ติดตามไป เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนุปฺปพนฺธ), [อนุ + ป + พนฺธ ธาตุ พนฺธเน ในความติด + อ ปจจัย กัตตุสาธนะหรือภาวสาธนะ] นัยเดียวกัน เชน อนุปฺปพนฺธนํ (การติดตามไป) ยุ ปจจัย ในภาวสาธนะ, อนุปฺปพนฺธกํ (ผูติดตามไป) ณฺวุ ปจจัย กัตตุสาธนะ, อนุปฺปพนฺธมานา (ผูติดตาม ไปอยู) มาน ปจจัย กัตตุสาธนะ อนุปฺปาส (ปุ.) อนุปปาสมธุรตาคุณ, การกลาว ซ้ำเสียง, ออกเสียงซ้ำบอยๆ, ชื่อหลักการแตง ถอยคำใหไพเราะตามหลักอลังการ เปน ๑ ใน ๒ อยางแหงมธุรตาคุณ แปลตามศัพทวา การวาง ไวตามหลัง วิ. ปมปฺปยุตฺตสฺสกฺขรสฺส อนุ ปจฺฉา ปาโส ปกฺเขโป อนุปฺปาโส, วณฺณาวุตฺติ (การเกี่ยวคือการวางบทไวหลังอักขระที่วางไว กอน ชื่อวา อนุปฺปาส ไดแก ระเบียบวิธีวาง อักขระ ), [อนุ + ป + อส ธาตุ ปกฺเขเป ในความ ใสเขาไป + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ, ทีฆะ อ เปน อา, ซอน ปฺ] (สุโพธาลังการมัญชรี, ๑๒๗/ ๒๕๕) อนุปาทาย (กิ.กิตฺ.) ไมยึดมั่น, ไมยึดติด วิ. น อุปาทิยิตฺวาติ อนุปาทาย (อนุปาทาย แปลวา ไม ยึดติดถือแลว), [น + อุป + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ตฺวา ปจจัย อาเทศเปน ย] หรือ สำเร็จรูปเปน อนุปาทา ก็ได, ลบ ย ดวย ขอกำหนดมหาสูตร เชน อนุปาทา วิมุตฺโต อนุปาทาวิมุตฺโต วา (พนแลวเพราะไมถือมั่น ชื่อวา อนุปาทาวิมุตฺต ก็ได), ก็ในตัวอยางนี้ สมาส บทเขากับบทหนาที่มี ตฺวา ปจจัยเปนตน เปนที่สุดไดแนนอน ดวยสูตรสัททนีติ (นีติ.๖๘๓) วา ตฺวาปจฺจยนฺตาทีหิ จ ปุพฺเพหิ, อีกนัยหนึ่ง สำเร็จรูปเปน อนุปาทิยิตฺวา ก็ได ลง ย ปจจัย ทายธาตุที่จัดเขาหมวด ทิว ธาตุ + ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม, ในเพราะ ย แปลงที่สุดธาตุเปน อิ ดวย สูตร กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน แตในโมคคัลลานะวา เพราะฐานะแหงสมาส สระอยู อาเทศ อา แหง ทา ธาตุ เปน อิย ดวย สูตร โมคฺ. ๕/๑๓๒ วา ทาสฺสยิงฺ อนุปาทิเสส (อิตฺ.) อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ดับกิเลสไมมีเบญจขันธเหลือ, ดับไมเหลือทั้ง กิเลสขันธ วิ. อุปาทียติ กมฺมกิเลเสหีติ อุปาทิ, วิปากกฺขนฺธา กฏตฺตา จ รูป, ตเทว กมฺมกิเลเสหิ สมฺมา อปฺปหีนตาย เสโส, นตฺถิ เอตฺถ อุปาทิ เสโสติ อนุปาทิเสสา, นิพฺพานธาตุ (ภาวะใด กรรมและกิเลสเขาไปยึดถืออยู เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อุปาทิ ไดแก วิปากขันธและกฏัตตารูป, อุปาทินั้นนั่นเอง ชื่อวา เสส เพราะกรรมกิเลสยงั ไมถูกละไป, อุปาทิเสสไมมีในภาวะนั้น เหตุนั้น


๑๓๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ภาวะนั้นชื่อวา อนุปาทิเสสา ไดแก นิพพาน ธาตุ), โส ปน อุปาทิ กิเลสาภิสงฺขารมารนิมฺ- มถเนน นิพฺพานปฺปตฺติยํ อโนสฺสโ, อิธ ขนฺธมจฺจุมารนิมฺมถเนน โอสฺสโ นิสฺเสสิโตติ อยํ อนุปาทิเสสา นิพฺพานธาตุ นตฺถิ เอติสฺสา อุปาทิเสโสติ กตฺวา (ก็อุปาทินั้นชื่อวา ยังไมได ปลงลงในการบรรลุพระนิพพาน ดวยการย่ำยี กิเลสและอภิสังขาร ในที่นี้ชื่อวาปลงลงแลว คือ ทำไมใหเหลือแลว ดวยการย่ำยีแหงขันธมาร และมัจจุมาร เพราะฉะนั้น นิพพานธาตุนี้ ชื่อวา อนุปาทิเสส เพราะกระทำอธิบายวา ไมมีอุปาทิ ยังเหลืออยู), สารัตถทีปนีฎีกา ๑/๔๓ อนุปาทิยาน (ติ.) ๑. ไมถือมั่นอยู วิ. อุปาทิยตีติ อุปาทิยาโน, อุปาทิยนฺโตติ อตฺโถ (ผูใดถือมั่นอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อุปาทิยาน หมายความวา ยึดถืออยู), [อุป + อา + ทา ธาตุ อาทาเน ใน ความถือ+ ย ปจจัยในหมวด ทิว ธาตุ + มาน ปจจัยในปจจุบัน, อาเทศ มาน เปน อาน, ใน เพราะ ย แปลงที่สุดธาตุเปน อิ กจฺ.๕๑๗ รูป. ๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน. แตในโมคคัลลานะ วา เพราะฐานะแหงสมาส สระอยู อาเทศ อา แหง ทา ธาตุ เปน อิย ดวยสูตร โมคฺ. ๕/๑๓๒ วา ทาสฺสิยงฺ วิ. น อุปาทิยาโน อนุปาทิยาโน, อนุปาทิยนฺโต (ไมถือมั่นอยู ชื่อวา อนุปาทิยาน คือไมยึดมั่นอยู), นปุพฺพปโท กมฺมธารยสมาส. ๒. ไมถือมั่นแลว, เพราะไมถือมั่น วิ. น อุปาทิยิตฺวาติ อนุปาทิยาน, อนุปาทิยาโน วา (อนุปาทิยาน หรือ อนุปาทิยาโน แปลวา ไมถือ มั่นแลว), [น + อุป + อา + ทา ธาตุ ทาเน ใน การให + ตฺวา ปจจัย, แปลง อา เปน อิ, แปลง ตฺวา เปน ยาน หรือ แปลง อ เปน โอ] อนุปายนิี (อิตฺ.) ติดตามไป, ไปตาม วิ. อนุปยนํ อนุปาโย, อนุปาโย เอติสฺสา อตฺถีติ อนุปายินี (การตามไป ชื่อวา อนุปาย, การตามไปของเงา เปนตนนั้นมีอยู เหตุนั้น เงาเปนตนนั้น ชื่อวา อนุปายินี), [อนุ + ป + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความ ไป + ณ ปจจัย ในภาวสาธนะ ลบ ณ อนุพันธ + แปลง อิ เปน อาย, อี ปจจัยในตทัสสัตถิตัทธิต + อินี ปจจัยในอิตถีลิงค] เปนวิเคราะหตัทธิตมี วิเคราะหกิตกเปนทอง อนุปุพฺพี (อิตฺ.) ตามลำดับ, ไปตามลำดับ, เปนไปตามสิ่งที่อยูเบื้องหนา วิ. ปุพฺพสฺส อนุรูปา อนุปุพฺพี (กถาเปนตนที่ไปตามลำดับ ธรรมที่อยูเบื้องหนา ชื่อวา อนุปุพฺพี), เชน กโมติ อนุปุพฺพี (อนุปุพฺพี แปลวา ลำดับ) เนตฺติฏีกา ๓๐, [อี ปจจัย กจฺ.๒๓๘ รูป.๑๘๗ วา นทาทิโต วา อี, ศัพทนี้เปนอิตถีลิงค (อปุเม). ปาฐะวา อนุปุพฺพํ ก็มีบาง อนุเปกฺขก (ติ.) ๑. ผูคอยดูอยู, ผูตามเพงดู, ผูเฝาดู วิ. อนุเปกฺขตีติ อนุเปกฺขโก อนุ ปุนปฺปุนํ อิกฺขตีติ อตฺโถ (ผูใดยอมคอยเพงดู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุเปกฺขก หมายความวา มองดูอยู บอยๆ), [อนุ + ป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ใน ความเห็น + ณฺวุ ปจจัย อาเทศเปน อก], นัย เดียวกันเชน อนุเปกฺขณา อนุเปกฺขนา (การ ตามดู) ลง ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ, อนุเปกฺขิตํ (สิ่ง อันเขาเฝาดูแลว, การดู) ต ปจจัย และ อิ อาคม อนุพนฺธ (ติ.,ปุ.) ๑. ไลตาม, ติดตาม (ติ.) ๒. อนุพันธ (ปุ.) อักษรอันไมมีการประกอบใน อุทาหรณบาลี, ชื่ออักษรที่ติดมากับปจจัย เปน เครื่องหมายใหรูวิธีบางอยาง ตองถูกลบไป จึงไม ปรากฏในบทสำเร็จ วิ. อนุพนฺธตีติ อนุพนฺโธ อปฺปโยคี (อักษรใดยอมติดมา เหตุนั้น อักษรนั้น


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๓๗ ชื่อวา อนุพนฺธ ไดแกอักษรที่ไมประกอบไวในบท สำเร็จ), [อนุ + พนฺธ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + ณ ปจจัย] วิ. อฺปจฺจยํ พนฺธตีติ อนุพนฺโธ (ปจจัยใดติดกับปจจัยอื่น เหตุนั้น ปจจัยนั้นชื่อวา อนุพันธ), [อนุ + พนฺธ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อ ปจจัย], วิ. อนุพนฺธียเต ปลาปยตีติ อนุพนฺโธ. (อักษรใดอันทานลบเสีย เหตุนั้น อักษรนั้นชื่อวา อนุพันธ), [อนุ + พธ ธาตุ พาธเน ในความ เบียดเบียน + ณ ปจจัยในกัมมสาธนะ + นิคหิต อาคม แปลงเปน นฺ ที่สุดวรรค] ดู รูป.๕๕๓ วิ.การิยวเสน อนุ ปจฺฉา พนฺธียเตติ อนุพนฺโธ, อนุพชฺฌเตติ อตฺโถ (ปจจัยใดอันทานผูกไวดวย โดยเปนปจจัยที่ตองทำการลบ เหตุนั้น ปจจัย นั้นชื่อวา อนุพันธ หมายความวา ประกอบติด ไว), [อนุ + พนฺธ ธาตุ วิโลปเน ในความไมลบ + ฆฺ ในกัมมสาธนะ) วิ. อนุพนฺธฺยเต วินสฺสเตตฺยนุพนฺโธ (ชื่อวา อนุพันธ เพราะอรรถวาตองลบ), [อนุ + พนฺธิ ธาตุ วินาสตฺเถ ในอรรถวาพินาศ + อ ปจจัยในกัมมสาธนะ วิ. โย วณฺโณ ปโยคสฺส อวยโว น โหติ, สุตฺเตสุ สงฺเกตมตฺโต โหติ, โส อนุพนฺโธ นาม (อักษรใด ไมเปนสวนหนึ่งของ ประโยค เปนเพียงขอสังเกตในสูตร อักษรนั้น ชื่อวา อนุพันธ) วิ. อนุพนฺธีติ อนุพนฺโธ, อนุคโต (อักษรใดที่ติดตามมา เหตุนั้น อักษรนั้น ชื่อวา อนุพันธ ไดแก อักษรที่ติดมา), [อนุ + พธ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + ต ปจจัยในกัตตุวาจก, แปลง ต เปน ธ, แปลง ธ ตัวหนาเปน นฺ วิ. อนุพนฺธียิตฺถาติ อนุพนฺโธ (ผูใดอันเขาติดตาม ตามแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุพันธ ผูถูกติด ตา), เชนคำวา มาเรน อนุพนฺธภาวํ (ความที่ถูก มารติดตาม), [อนุ + พนฺธ/พธ ธาตุ พนฺธเน ใน ความผูก + ต ปจจัยกัมมสาธนะ + แปลง ต เปน ธ, ลบ น, แปลง ธ ที่ตนเปน น] อีกนัยหนึ่ง สำเร็จรูปเปน อนุพทฺโธ แปลง ต เปน ธ, แปลง ธฺ ตัวหนาเปน ทฺ อักษรที่ ๓, ในเนตติ เปนตนวา ปปฺโจ นาม วุจฺจติ อนุพนฺโธ, อนุพนฺโธติ จ ตณฺหาทีนํ อนุปฺปพนฺเธน ปวตฺตี (ขึ้นชื่อวา ปปญจะ ทานเรียกวา อนุพันธ, ก็ที่ชื่อวา อนุพันธ นั้นไดแก ตัณหาเปนตนติดตามไป) อนุพนฺธนฺต (ติ.) ๑. ติดตามไปอยู วิ.อนุพนฺธตีติ อนุพนฺธนฺโต (ผูใดติดตามไปอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุพนฺธนฺต), [อนุ + พนฺธ ธาตุ พนฺธเน ใน ความผูก + อ ปจจัยประจำหมวดธาตุ + อนฺต ปจจัย กัตตุวาจก ปจจุบันกาล] ๒. ผูอันเขา ติดตามมาอยู วิ. อนุพนฺธียนฺตีติ อนุพนฺธนฺตา, อนุพนฺธิยมานาติ อตฺโถ (ผูใดอันเขาติดตามมา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุพนฺธนฺตา หมายความวา อันเขาตามติดมา), [อนุ + พนฺธ ธาตุ พนฺธเน ใน ความผูก + ย ปจจัยในกัมมวาจก + อิ อาคม + มาน ปจจัย ในกัมมวาจก, อาเทศ มาน เปน อนฺต, ลบ ย ดวย กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน เชน ทิสฺสมาโน ทิสฺสนฺโต, อาเทศ มาน เปน อนฺต กจฺ.๕๑๘ รูป.๔๔๖ วา อตฺตโนปทานิ ปรสฺสปทตฺตํ] อนุพฺรูหน (นปุ.) การพอกพูน, การถึงพรอม, การสั่งสม วิ. อนุวุฑฺฒิ สมฺปตฺติ สมฺปณฺฑนํ วา อนุพรฺ ูหนํ (การพอกพูน การถึงพรอม การสั่งสม ชื่อวา อนุพฺรูหน), [อนุ + พฺรูห ธาตุ วุฑฺฒิยํ ใน ความเจริญ + ยุ แปลงเปน อน] อนุโพธ (ปุ.) การรูตาม, การเขาใจ วิ. อนุรูป พุชฺฌนํ อนุโพโธ, ปุพฺพภาคิยาณํ (การรูตาม ชื่อวา อนุโพธ คือญาณอันเปนสวนเบื้องตน), วิ. อนุสฺสวาการปริวิตกฺกทิินิชฺฌานกฺขนฺติ- อนุคโต วา โพโธ อนุโพโธ (อีกนัยหนึ่ง ความ


๑๓๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ตรัสรู ที่ไปตามความไดยินไดฟงมา ความนึกคิด ไปตามอาการ ความเห็น ความเพง และ ความถูกใจ ก็ชื่อวา อนุโพธ) (วิสุทฺธิมคฺคมหาฏี กา ๓/๒๐๕), [อนุ + พุธ ธาตุ าเณ ในความรู + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อุ เปน โอ] วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ พุชฺฌตีติ อนุโพโธ (การตรัส รูตาม คือบอยๆ ชื่อวา อนุโพธ), [อนุ + พุธ ธาตุ าเณ ในความรู + ณ ปจจัย] วิ. อนุรูปโต ธมฺเม พุชฺฌตีติ อนุโพโธ (ผูใดตรัสรูธรรมโดยสมควร เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุโพธ), วิ. อนุรูป พุชฺฌติ เอเตนาติ อนุโพโธ (บุคคลยอมรูตาม ดวย ธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อนุโพธ-เปนเหตุตรัสรูตาม), [พุธ ธาตุ + ณ ปจจัย], ตพฺพิปรีตโต อนนุโพโธ, อวิชชา (สิ่งที่ ตรงขามกับการตรัสรู ชื่อวา อนนุโพโธ ไดแก อวิชชา) อนุภวนฺต (ติ.) เสวยอยู, ประสบอยู, ไดรับอยู วิ. อนุภวตีติ อนุภวนฺโต, อนุภวํ วา (ผูใดเสวย อยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุภวนฺต, อนุภวํ), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + อนฺต ปจจัย], อภิภวนฺโต อภิภวํ, ปริภวนฺโต ปริภวํ เปนตน ก็นัยนี้, ก็ในขอนี้ อนฺต, มาน ปจจัย ลง ในปจจุบันกาล ลักขณะ และเหตุ โดยการแบง สูตร กจฺ.๕๖๕ วา มานนฺตา, ในขอนี้มีตัวอยาง ดังตอไปนี้ปจจุบันกาล : ปนฺโต วสติ (เขา สาธยายอยู), ลักขณะ : สูปกาโร โอทนํ ปจมาโน คายติ (พอครัวเมื่อหุงขาวยอมขับรอง), คามํ คจฺฉนฺโต รุกฺขมูลํ อุปาคมิ(เมื่อไปหมูบานไดเขา ไปสูโคนตนไม), เหตุ : ชยมาโน เวรํ ปสวตีติ (ยอมกอเวร เพราะชัยชนะ), อีกอยางหนึ่ง อนฺต, มาน ปจจัย ลงในกาลอื่นๆ ก็ได เชน อดีตกาล : ธาวนฺโต คโต (วิ่งไปแลว), เหตุ : กลาวแลว เพราะประสงคจะแสดง, ดังที่ทานแสดงไวใน กัจจายนสาร (คาถาที่ ๔๔) วา มานนตฺา วตฺตมานา จ ลกฺขเณ เหตุเก สิยุํ กิตา ธาตฺวตฺถสมฺพนฺเธ โหนฺติ กาลนฺตเรสฺวปติ ในกัจจายนสารมัญชรี, หนา ๑๒๕ พระคันธสา ราภิวงศ แปลไววา มาน และ อนฺต ปจจัยพึงลง ในปจจุบันกาล, อรรถลักษณะ และอรรถเหตุ, เมื่อความเกี่ยวเนื่องกับอรรถของธาตุ [ในกิริยา คุมพากยมีอยู] กิตปจจัยยอมลงแมในการอื่น [จากกาลเดิม] และในเรื่องนี้ ทานอธิบายไวใน สัททัตถเภท จินดา คาถาที่ ๓๗๑-๓๗๒ วา มานนฺตาวตฺตมานานา- คเตเกเสสเกนตฺิติ อนโฺต กตฺตริมาโน ตุภาเว กมฺมนิกตฺตริ. ตินฺโต ติมาโนหํ กริสฺสามิ วิภาวยํ ียมานํ มยา ภฺ- มานํ ตุมฺเห สุณิสฺสถาติ มาน และ อนฺต ปจจัย ลงในอรรถปจจุบันกาล และอนาคตกาล บางอาจารยกลาววา อนฺต ปจจัยลงไดทั้งสามกาล อนฺต ปจจัยเปนกัตตุ วาจกอยางเดียว สวน มาน ปจจัยเปนได ๓ วาจก คือกัตตุวาจก กัมมวาจก และภาววาจก ตัวอยางเชน โส ตินฺโต ติมาโน “เขายืน อยูยอมกระทำ” อหํ วิภาวยํ กริสฺสามิ “ขาพเจา จะแสดงจักกระทำ” ียมานํ “การจะยืน” มยา ภฺมานํ ตุมฺเห สุณิสฺสถ “ทานทั้งหลายจัก สดับคำที่ขาพเจา จะกลาว” อนุภวิตพฺพ (ติ.) อันเขาพึงเสวย, อันเขาพึง ประสบ วิ. อนุภวนียนฺติ อนุภวิตพฺพํ, อนุภูตพฺพํ วา (สิ่งใดอันเขาพึงเสวย เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุภวิตพฺพ หรือ อนุภูตพฺพ), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + ตพฺพ ปจจัย,


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๓๙ แปลง อู เปน โอ, อาเทศ โอ เปน อว], ภวิตพฺพํ ก็นัยนี้ อนุภวิตุ (ปุ.) ผูเสวย, ผูประสบ วิ. อนุภวตีติ อนุภวิตา, อนุภูตา วา, สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา อนุภวนฺโต โย โกจิ (ผูใดเสวย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุภวิตา, อนุภูตา, ไดแก คนใดคนหนึ่งที่ประสบสุข ทุกข และอทุกขม สุข), [อนุ + ภู ธาตุ + ตุ ปจจัย, พฤทธิ์ อุ เปน โอ อาเทศเปน อว + อิ อาคม] อนุภวิตุํ(อพฺ.) จักเสวย, อันเขาจักเสวย, เสวยอยู, เสวยแลว, การเสวย วิ. อนุภวียิสฺสเต อนุภวิตุํ (สิ่งใดอันเขาจักเสวย ชื่อวา อนุภวิตุํ), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน, ตุํตาเยตเว ภวิสฺสติ กฺริยายํ ตทตฺถายนฺติ ตทตฺเถนาคเต ภาเว ตุํปจฺจโย โหติ ลง ตุํ ปจจัย ในอรรถภาวสาธนะ อนาคตกาล ซึ่งเปนผลของ กิริยาที่เปนเหตุนั้น ดวยขอกำหนดวา ตุํ ตาเย และ ตเว ปจจัย จักลงในกิริยาที่เปนผลมาจาก เหตุนั้น, สทฺทตฺถเภทจินฺตา-ทีปนี, คาถา ๓๗๓ หนา ๓๖๖], นัยเดียวกันเชน กาตุํ มีความวา กรียิสฺสเต กาตุํ, กร กรเณ, ตุํ, กรสฺส กาเทโส. ตเถว กตฺตาเย, กาตเว. ตทนฺเตหิ จตุตฺถิยา โลป ตา. (กาตุํ แปลวา อันเขาจักกระทำ, กร ธาตุ กรเณ ในความทำ + ตุํปจจัย + อาเทศ กร เปน กา. กตฺตาเย, กาตเว-จักกระทำ ก็นัยเดียวกันนี้ แล. มีการลบ จตุตถีวิภัตติ ทายศัพทที่มีปจจัย เปนที่สุดนั้น), กรณํ วา กาตุํ, ยถา กาตุํ วฏติ, กร กรเณ, ตุํตาเยตเวติ สุตฺตวิภาเคน ตุํปจฺจโย, ปฐมาวิภตฺติโลโป. อกาสิ กโรติ กริสฺสตีติ กาตุํ, กร กรเณ, สมานกตฺตุเกสุ ตเวตุํ วาติ โยควิภาเคน ตุํปจฺจโย กตฺตริ. (อีกนัยหนึ่ง กาตุํ แปลวา การกระทำ เชน การกระทำ ยอมควร, กร ธาตุ กรเณ ในความทำ ประกอบ ตุํ ปจจัย ดวยการแบงสูตร โมคฺ. ๕/๖๑ วา ตุํตาเยตเว, ลบ ปฐมาวิภัตติ, กาตุํ แปลวา ไดกระทำแลว ยอมกระทำ จักกระทำ, กร ธาตุ กรเณ ในความ ทำ, ลง ตุํ ปจจัย ในกัตตุวาจก ดวยการแบงสูตร วา กจฺ.๕๖๑ รูป.๖๓๖ วา สมานกตฺตุเกสุ ตเวตุํ วา) เต จ กิตฺสฺตฺตา เอกกตฺตุกานนฺติ วุตฺตตฺตา จ กตฺตริเยว ภวนฺติ. กลาปโมคฺคลฺลานาทิ- พฺยากรเณสุ ปน ภาเว (อนึ่งบทเหลานั้นเปน กัตตุสาธนะนั่นเอง เพราะทานกลาวไววา เพราะ ความที่ปจจัยเหลานั้นมีชื่อวากิตดวย เพราะ ความมีสภาพอันทานกลาวแลววา มีกัตตาเสมอ กันดวย แตในไวยากรณมีกลาปโมคคัลลานะ เปนตน วาเปน ภาวสาธนะ), สาสเนว กตฺตุกมฺม ภาเวสุ โหนฺติ. วุตฺตฺหิ เภทจินฺตายํ (ในคัมภีร บาลีเทานั้น วาบทเหลานั้นเปนกัตตุสาธนะ กัมมสาธนะ และภาวสาธนะ, ดังที่ทานอธิบาย ไวในเภทจินดา วา ตเว ตุํ ตุน ตฺวาน ตฺวา ภาเว กตฺตริ กมฺมนิ พฺยากรเณ ตุ ภาเวว ตฺวาทโย นิยมนฺติ เตติ (ตเว ตุํ ตุน ตฺวาน ตฺวา ปจจัย เปนภาวสาธนะ กัตตุสาธนะ และกัมมสาธนะ, สวนในไวยากรณวา ตเว ปจจัยเปนตนนั้น กำหนดวาเปน ภาวสาธนะ เทานั้น) และวา กลาปาทีสุ ภาวตฺเถ ตุนาตฺยาทิ วิธียเต กจฺจายนาทีสุ กตฺวตฺเถ กิตฺสฺาย วิธียเตติ (ในคัมภีรกลาปเปนตน ทานทำ ตูนาทิ ปจจัย เปนตน ไวในอรรถแหงภาวสาธนะ ในคัมภีร กัจจายนะเปนตน เพราะมีชื่อวา กิตปจจัย ทาน จึงทำตูนาทิปจจัยเปนตน ในอรรถแหงกัตตุ สาธนะ), ดู สทฺทตฺถเภทจินฺตา-ทีปนี, หนา ๓๗๑


๑๔๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนุภวิยาน (ติ.) เสวยแลว, ประสบแลว วิ. อนุภวิตฺถาติ อนุภวิยาน, อนุภวิตุน วา, อนุภวิตฺวา อนุภวิตฺวาน (ผูใดเสวยแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุภวิยาน, อนุภวิตุน, อนุภวิตฺวา อนุภวิตฺวาน), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + ตุนาทิ, อาเทศเปน ยาน ดวยการ แบงสูตร กจฺ.๕๙๗ รูป.๖๔๑ วา ตุนาทีนํ, ขาทิยาน (เคี้ยวกันแลว), อาทิยาน (ถือเอา แลว), อนุปาทิยาน (เขาไปถือแลว) เปนตน ก็นัยนี้, ก็ในที่นี้ ลง ตุนาทิ ปจจัยดวยกัจจายน สูตร กจฺ.๕๖๔ รูป.๖๔๐ วา ปุพฺพกาเลกกตฺตุ- กานํ ตุนตฺวานตฺวา วา, ลบปฐมาวิภัตติ หลังจาก ตุนาทิ ปจจัย ดวยสูตร กจฺ.๒๒๑ รูป.๒๘๒ วา สพฺพาสมาวุโส เปนตน, ก็ปจจัยเหลานั้น เปน กัตตุวาจก เพราะไดชื่อวา กิต ปจจัย และเพราะ ทานกลาววา เอกกตฺตุกานํ-ลงที่สำหรับกัตตา เดียวกัน, แตในโมคคัลลานะ โมคฺ.๕/๖๓ วา ตุนาทิ ปจจัย ลงในอรรถภาวะสาธนะ ดวยสูตร วา ปุพฺเพกกตฺตุกานํ, ลบปฐมาวิภัตติท่ีทาย ตฺวา ตฺวาน ปจจัย เชน สูโท โอทนํ ปจิตฺวา ภุฺชติ (พอครัวหุงขาวแลวกิน), ในขอนี้ สมดังที่ทาน แสดงไวใน สัททัตถเภทจินดา คาถา ๓๗๘ วา กลาปาทีสุ ภาวตฺเถ ตุนาตฺยาทิ วิธียเต กจฺจานาทีสุ กตฺวตฺเถ กิตฺสฺาย วิธียเตติ ในคัมภีรกลาปะเปนตน แสดงวา ตุน ปจจัย เปนตน ลงในอรรถภาวะ สวนในคัมภีรกัจจายนะ เปนตน แสดงวาลงในอรรถกัตตา เพราะตั้งชื่อ วากิตปจจัย อนึ่ง ตุนาทิ ปจจัย เปนตนเหลานั้น เปนกริยา วิเสสนะ แตบางมติวา เปนวิเสสนะของกัตตาก็ ได เพราะเหตุนั้นทานจึงกลาวไวใน สัททัตถเภทจินดา คาถา ๓๘๐ วา กฺริยาวิเสสนตฺถาว ตฺวาทฺยนตฺา ตพฺพิเสสโต กตฺตุวิเสสนตฺถาติ เกจิ กตฺตริ วุตฺติโตติ บทกิริยาที่ประกอบดวย ตฺวา ปจจัยเปนตน ชื่อวา กิริยาวิเสสนะ เพราะทำหนาที่ขยายกิริยา หลักใหชัดเจนยิ่งขึ้น บางอาจารย เรียกวา กัตตุ วิเสสนะ เพราะลง ตฺวา ปจจัย เปนตน ใน อรรถกัตตุสาธนะ แตเมื่อจะลงในอรรถเหตุ พึงทำการแบงสูตร เพราะมีกัตตาไมเสมอกัน. เพราะฉะนั้นทานจึง กลาว (ไวใน กจฺจายนตฺถทีปนี, หนา ๖๐๙) วา อตีตานาคตสมาน- ลกฺขณเหตุเกสุ จ ปฺจสฺเวเตสุ อตฺเถสุ ตฺวาทิโหนตฺิยถารหนตฺิ ตฺวา ปจจัยเปนตน ลงในอรรถ ๕ อยางเหลานี้ ไดแก อตีตกาล อนาคตกาล สมานกาล ลักขณะ และเหตุตามสมควร อนุภาวิย (ติ.) อันเขาพึงเสวย วิ. อนุภวิตพฺโพติ อนุภาวิโย (สิ่งใดอันเขาพึงเสวย เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนุภาวิย), เชน อนุภาวิโย โภโค ปุริเสน (โภคะอันบุรุษพึงเสวย) อนุภาวิยํ สุขํ (สุขอัน บุรุษพึงเสวย) อนุภาวิยา สมฺปตฺติ (สมบัติอัน บุรุษพึงเสวย), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + ฆฺยณฺ ปจจัย, แปลง อู เปน อาว] อนุภุยฺย (กิ.กิต.อพฺ.) เสวยแลว, ประสบแลว วิ. อนุภวิตฺวาติ อนุภุยฺย (อนุภุยฺย แปลวา เสวย แลว), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความ เปน + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, ซอน ยฺ, รัสสะ ภู เปน อุ], อภิภุยฺย ก็นัยนี้ แตตางกัน เพราะอุปสัค อนุภูต (ติ.) อันเขาเสวย วิ. อนุภวิยเตติ อนุภูโต. อนุภูยิตฺถาติ อนุภูโต โภโค (สิ่งใดอันเขาเสวยอยู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุภูต, สิ่งใดอันเขาเสวย แลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุภูต เชน โภคะอัน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๔๑ เขาเสวย), อนุภูตํ สุขํ (สุขอันเขาเสวย), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + ต ปจจัย] อนุภูตวิสย (ปุ.) อนุภูตวิสัย, สัพพนามที่มีอรรถ ที่เสวยอารมณเปนวิสยัคือเพิ่มคำที่เกี่ยวกับการ เสวยอารมณมาจากภาคตน, ๑ ใน ๓ แหงอรรถ ของสัพพนาม ไดแก ปกฺกนฺตวิสย, ปสิทฺธิวิสย, อนุภูตวิสย (สุโพธาลังการมัญชรี ๑๒๒/๒๔๔) วิ. อนุรูป ภวนํ วิสโย เอตสฺสาติ อนุภูตวิสโย, ตสทฺโท (การเสวยอารมณในภาคตน เปนวิสัย แหงอรรถนั่น เหตุนั้น อรรถนั้น ชื่อวา อนุภูต วิสย ไดแก ต ศัพท) อนุภูติ(อิตฺ.) วิ. อนุภูติ อนุภวนํ อนุภูยเต วา อนุภูติ (การตามเสวย หรืออันเขาเสวย ชื่อวา อนุภูติ), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความ เปน + ติ ปจจัย] นิรุตฺติ.๗๑๗ อนุภูยมาน (ติ.) อันเขาเสวยอยู, อันเขา ประสบอยู, อันเขาใชอยู วิ. อนุภูยเตติ อนุภูยมาโน (สิ่งใดอันเขาเสวยอยู เหตุนั้น สิ่ง นั้น ชื่อวา อนุภูยมาโน), [อนุ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + มาน ปจจัยในปจจุบัน กาล ในภาวะและกรรม กจฺ.๕๖๕ รูป.๖๔๖ วา วตฺตมาเน เปนตน, โมค.๕/๖๖ วา ภาวกมฺเมสุ, ซอน ยฺ และรัสสะ, รูปวา อนุภุยฺยมาโน ก็มี, ในอรรถแหงอนาคตกาล เพิ่ม สฺส ขางหนาเปน อนุภูยิสฺสมาโน. อนุมฺ (กิ.กิตฺ.) อนุญาตแลว, รูตามแลว วิ. อนุชานิตฺวา อนุมฺ (อนุญาตแลว ชื่อวา อนุมฺ), [อนุ + มน ธาตุ าเณ ในความรู + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, แปลง นฺย เปน , ซอน ฺ] อนุมตา (อิตฺ.) การรูตาม, การเห็นดวย, การ อนุญาต วิ. อนุมฺเต อนุฺายเตติ อนุมตา (อันเขารูตาม เหตุนั้น ชื่อวา อนุมตา), [อนุ + มน ธาตุ าเณ ในความรู + ต ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, ลบ น] ปรมตมปฺปฏิสิทฺธํ อนุมตํ(อนุมต คือสำเร็จไดดวยการรูตามผอูื่น) อนุมติ (อิตฺ.) การรูตาม, อนุมัติ วิ. อนุมฺนํ อนุมติ (การรูตาม ชื่อวา อนุมัติ), [อนุ + มน ธาตุ มฺเน ในความรู + ติ ปจจัย, ลบ น] วิ. อนุมฺตีติ อนุมติ, อนุมติสมฺปทานํ, ตํ วุจฺจติ อพฺภานุฺสมฺปทานนฺติ. อนุมติ นาม ยํ ธนํ ทียเต. ตํ ธนํ สมฺปฏิจฺฉนํ. มติยา อนุรูป อนุมติ, อพฺยยีภาวสมาโสยํ (สิ่งใดอันเขายอมรู ตาม เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนุมติ, ไดแก มอบ อนุมัติ, ทรัพยใด อันเขายอมให การรับทรัพย นั้นชื่อวา อนุมติ, สมควรแกมติ ชื่อวา อนุมติ, นัยนี้เปนอัพยยีภาวสมาส) อนุมสฺส (กิ.กิตฺ.) ลูบคลำแลว, จับตองแลว, เขาไปใกล, พาดพิง, เฉียดไป วิ. อนุมสิตฺวา อนุมสฺส (เขาไปลูบคลำแลว ชื่อวา อนุมสฺส), [อนุ + มส ธาตุ อามสเน ในความลูบคลำ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, แปลง สฺย เปน ส, ซอน สฺ] (ฉบับสยามรัฐวา อนุมาสฺส), นัยเดียวกัน อามสฺส บทนี้ อา บทหนา, ปริมสฺส บทนี้ ปริ บทหนา, ปมสฺส บทนี้ ป บทหนา อนุมาน (ติ.) อนุมาน, การคาดคะเน, การ ใครครวญ, การนับตาม วิ. อนุเมยฺยํ อนุมิโนตีติ อนุมานํ (สิ่งใดอันเขาพึงคาดคะเน หรือยอม คาดคะเน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุมาน), วิ. อนุมียเต อนุมานํ วา [อนุ + มา ธาตุ มาเน ในความนับ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อนุมุชฺชน (นปุ.) การจมลงตามลำดับ, การ คอยๆ จมลง วิ. อนุมุชฺชิยเต อนุมุชฺชนํ (อันเขา จมลงตามลำดับ ชื่อวา อนุมุชฺชน), [อนุ + มุชฺช


๑๔๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ธาตุ โอสีทเน ในการจมลง + ยุ ปจจัย อาเทศ เปน อน] นัยเดียวกัน อนุมุคฺโค, อนุมุคฺควา, กฺตกฺตวนฺตุปจฺจยา ลง กฺต, กฺตวนฺตุ ปจจัย, แปลง ต แหง กฺต และ กฺตวนฺตุ เปน ค ดวยสูตร โมคฺ.๕/๑๕๔ วา โค ภนฺชาทีหิ, แปลงที่สุดธาตุ เปน คฺ พึงเทียบ ภคฺควนฺตุ ขางหนา อนุเมยฺย (ติ.) อันเขาพึงคาดคะเน, อันเขาพึง นับ วิ. อนุมินิตพฺโพ อนุมานิตพฺโพ อนุมียเมติ วา อนุเมยฺโย (สิ่งใดอันเขาพึงคาดคะเน เหตุนั้น สิ่ง นั้นชื่อวา อนุเมยฺย), [อนุ + มา ธาตุ มาเน ใน ความนับ + ณฺย ปจจัย, แปลง ณฺย ปจจัยกับ ที่สุดธาตุเปน เอยฺย] อนุโมทนา (อิตฺ.) การความยินดี, ความยินดี ดวย, การพลอยยินดี วิ. อนุ ปจฺฉา ปุนปฺปุนํ วา โมทนฺติ เอตายาติ อนุโมทนา (เขายินดีดวย พลอยยินดี หรือยินดียิ่งขึ้น ดวยธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อนุโมทนา), [อนุ + มุท ธาตุ โมเท ในความยินดี + ยุ ปจจัย, อา ปจจัยในอิตถีลิงค) วิ. ปตฺตึ อนุโมทติ เอตายาติ อนุโมทนา (เขายอมพลอยยินดีสวนบุญ ดวย ธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อนุโมทนา) อนุโมทิยาน (กิ.กิตฺ.) อนุโมทนาแลว, พลอย ยินดีแลว วิ. อนุโมทิตฺวา อนุโมทิยาน (อนุโมทนาแลว ชื่อวา อนุโมทิยาน) สำเร็จรูปวา อนุโมทิยาโน ก็ได, [อนุ + มุท ธาตุ โมทเน ในความยินดี + ตฺวาน ปจจัย, แปลง อุ เปน โอ, อิ อาคม, แปลง ตฺวาน เปน ยาน หรือแปลง อ ที่ ยาน เปน โอ ดวยมหาสูตร อนุยาคี (ติ.) ผูบูชาเปนปกติ, ผูเซนสรวง วิ. อนุยชติ สีเลนาติ อนุยาคี [ผูใดยอมบูชา เนืองๆ โดยปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุยาคี] [อนุ + ยช ธาตุ เทวปูชายํ ในการบูชาเทพเจา + ณี ปจจัย, แปลง ช เปน ค, ทีฆะ อ เปน อา] อนุยุฺชิต (ติ.) ประกอบแลว, อันเขาตาม ประกอบแลว วิ. อนุยุชฺชิตฺถาติ อนุยุฺชิโต (สิ่ง ใดอันเขาประกอบแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนุยุฺชิต), [อนุ + ยุช ธาตุ โยเค ในความ ประกอบ + ต ปจจัย, นิคหิตอาคม แปลงเปน ฺ พยัญชนะที่สุดวรรค + อิ อาคม] อนุยุฺชิยมาน (ติ.) ถูกถาม, อันเขาถามอยู, อันเขาสอบสวนอยู วิ.อนุยุฺชิยติ ปุจฺฉิยตีติ อนุยุฺชิยมาโน (ผูใดอันเขาสอบถามอยูเหตุนนั้ ผูนั้นชื่อวา อนุยุฺชิยมาน), [อนุ + ยุช ธาตุ ปุจฺฉเน ในความถาม + ย ปจจัยในกัมมวาจก + มาน ปจจัย + อิ อาคม และ นิคหิตอาคม] อนุโยค (ปุ.) ๑. สิ่งอันเขาพึงถาม, ปญหา, คำถาม วิ. อนุยุฺชิตพฺโพ ปุจฺฉิตพฺโพติ อนุโยโค ปฺโห (สิ่งใดอันเขาพึงถาม เหตุนั้น สิ่งนั้นช่ือวา อนุโยค), [ยุช ธาตุ ปุจฺฉเน ในความถาม + ณ ปจจัย], ปรสฺส ปฏิปตฺติยา โสธนตฺโถ อนุโยโค โจทนา (การถามเพื่อชำระขอปฏิบัติของผูอื่น ชื่อ วา อนุโยค ไดแก การโจทย), ๒. อันเขาพึง ประกอบ วิ. อนุยุฺชิตพฺโพติ อนุโยโค (สิ่งใดอัน เขาพึงประกอบ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุโยค), [อนุ + ยุช โยเค+ ณ ปจจัย] ๒. การตาม ประกอบ วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ ยุฺชนํ อนุโยโค (การ ตามประกอบซ้ำ ชื่อวา อนุโยค), [อนุ + ยุช ธาตุ + ณ ปจจัย ในอรรถภาวะ กจฺ.๕๒๙ รูป.๕๘๐ วา ภาเว จ, แปลง ช เปน ค กจฺ.๖๒๓ รูป.๕๕๔ วา กคา จชานํ] วิ. อนุ อนุ ยุฺชนํ อนุโยโค (การ ประกอบเนืองๆ ชื่อวา อนุโยค), นิกฺกม ธาตุ วิ. วีริยสฺส พหุลีกรณํ อนุโยโค (การกระทำความ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๔๓ เพียรใหมาก ชื่อวา อนุโยค) หรือสำเร็จรูปเปน อนุยุฺชนํ ลง ยุ ปจจัยในภาวสาธนะ อนุรว (ปุ.) เสียงครวญ, เสียงรองระงม, เสียง ขรม, กังวาล วิ. อนุรวตีติ อนุรโว (ธรรมชาติใด เสียงดัง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อนุรว), [อนุ + รุ ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง + อ ปจจัย, แปลง อุ เปน อว] วิ. อนุ ปจฺฉา ปุนปฺปุนํ วา อุปฺปนฺโน รโว อนุรโว [เสียงที่เกิดขึ้นตอมา หรือ เสียงที่เกิดขึ้นบอยๆ ชื่อวา อนุรโว] อนุราธา (อิตฺ.) ดาวอนุราธา, ดาวประจำฉัตร, ดาวนกยูง วิ. สุภาสุภผลํ อนุราธยติ สํสิชฺฌติ เอตายาติ อนุราธา (ผลดีผลรายสำเร็จไดดวย ดาวนั่น เหตุนั้น ดาวนั้น ชื่อวา อนุราธา), คำนี้ เปนชื่อดาว [ราธ ธาตุ สํสิชฺฌเน ในความสำเร็จ + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] วิ. อนุราธราชสฺส วาสิตฺตา นกฺขตฺเตนานุราเธน ปติาปตตาย จ อนุราธปุรํ (อนุราธปุระ เพราะพระราชา ชาวอนุราธพำนักอยู และเพราะเขาประดิษฐาน ขึ้นดวยฤกษชื่อวาอนุราธะ) อนุรุทฺธ (ปุ.) ผูปรารถนาวัตถุที่ประณีตแสน ประณีต วิ. ปณีตาปณีตํ อนุรุชฺฌตีติ อนุรุทฺโธ (ผูใดยอมปรารถนาวัตถุที่ประณีตและประณีต ยิ่งกวา เหตุนั้นผูนั้นชื่อวา อนุรุทฺธ), [อนุ + รุธ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความตองการ + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ธ, แปลง ธ เปน ท], ใน ธาตฺวตฺถสงฺคห อธิบายคาถา ๓๒๓ วิ. อนุรุชฺฌติ ปณีตาปณีตํ กาเมตีติ อนุรุทฺโธ (ผูใดยอมยินดีลาภอันประณตี แสนประณีต เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุรุทฺธ), ใน นิรุตฺติทีปนี(นิรุตฺติ.๗๕๐) วา รุธ ธาตุ อาวรเณ ในความปองกัน มี อนุ เปนบทหนา ใชในอรรถ วา ยินดี (กนฺติยํ) อนุรุทฺธิ (ปุ.) เหลากอแหงทานอนุรุทธ, เชื้อ สายอนุรุทธ วิ. อนุรุทฺธสฺส อปจฺจํ อนุรุทฺธิ (เหลา กอแหงอนุรุทธ ชื่อวา อนุรุทฺธิ), [ณิ ปจจัย แทน อปจฺจ ลบ ณ อนุพันธ] อนุรูป (ติ.) สมควรแกรูป, เหมาะ, สมควร วิ. รูปสฺส โยคฺคํ อนุรูป, รูปโยคฺคนฺติ อตฺโถ (เหมาะแกรูป ชื่อวา อนุรูป ความวา สมควรแก รูป), อนุอุปสคฺโค ยถาตฺเถ โยคฺคตายํ วตฺตติ (อนุ อุปสัคใชในอรรถยถา และ โยคฺค), วิ. อนุรูปตพฺโพติ อนุรูโป (ภาวะใดอันเขาเห็นดวย เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อนุรูป), [อนุ + รูป ธาตุ ทิสฺสเน ใน ความเห็น + ณ ปจจัย] อนุโรธ (ปุ.) ๑. ยินดี, พอใจ, คลอยตาม วิ. อนุโรธนํ อนุโรโธ อนุวตฺตนํ (ความยินดี ชื่อวา อนุโรธ คือ การคลอยตาม), [อนุ + รุธ ธาตุ อาวรเณ ในความปองกัน + ณ ปจจัย] ๒. การ อนุกูล, การเกื้อกูล, การปกปอง วิ. อนุโรเธตีติ อนุโรโธ, อนุกูลตา (ผูใดยอมหวงใย เหตุนั้น ผู นั้นชื่อวา อนุโรธ คือความอนุกูล), [รุธ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความปรารถนา + ณ ปจจัย] วิ. อนุรุชฺฌตีติ เอเตนาติ อนุโรโธ (บุคคลยอม ปกปอง ดวยธรรมนั่น เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อนุโรธ), [รุธ ธาตุ อาวรเณ ในความปองกัน + ณ ปจจัย] วิ. อนุรุชฺฌตีติ อนุโรโธ, ราโค, กาเมตีติ อตฺโถ (ภาวะใดยอมกำหนัด เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนุโรธ ไดแก ราคะ หมายความวา ยอม ตองการ), [อนุ + รุธิ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความ ตองการ จัดเขาในหมวด ทิว ธาตุ + ณ ปจจัย ในกัตตสาธนะ และพฤทธิ์ อุ เปน โอ] อนุลาป (ปุ.) การพูดซ้ำซาก, พูดมาก, พร่ำ, พลาม วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ ลาโป อนุลาโป, พหุโส อภิธานํ (การพูดเนืองๆ ซ้ำซาก ชื่อวา อนุลาป,


๑๔๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา คือการพูดมาก), [อนุ + ลป ธาตุ วจเน ในความ กลาว + ณ ปจจัย ปจจัย] อนุโลม (ปุ.) อนุโลม, คลอยตาม, ตามขน คือ ไปตามลำดับ วิ. อนุโลเมตีติ อนุโลโม (สิ่งใดไป ตามขน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุโลม), [อนุ + โลม เปนนามธาตุ คือนามใชเปนดุจธาตุ + อ ปจจัย] วิ. อปฺปนาย อนุกูลตฺตา อนุโลมํ (ชื่อวา อนุโลม เพราะเกื้อกูลแกอัปปนา), อนุโลม ศัพท มีความหมายวาเกื้อกูล จัดเปนอนิปฺผนฺนปาฏิปทิก วิ. ปุพฺพาปรานํ อนุโลเมตีติ อนุโลมํ ปุพฺพภาเค ปริกมฺมานํอุปริอปฺปนายจอนุกูลนตฺิ อตฺโถ (จิตใดยอมคลอยตามจิตในเบื้องตนและ เบื้องปลาย เหตุนั้น จิตนั้นชื่อวา อนุโลมจิต ความวา คลอยตามบริกรรมจิตในสวนเบื้องตน และอัปปนาจิตสูงขึ้นไป), ความจริง จิตดวงแรก เรียกวา บริกรรม, ที่สอง เรียกวา อุปจาร, ที่สาม เรียกวา อนุโลม และที่สี่ เรียกวา โคตรภู, วิ. ปุริมานํ นวนฺนํ าณานํ กิจฺจนิพฺพตฺติยา อุปริ จ สตฺตตึสาย โพธิปกฺขิยธมฺมานํ อนุกุลํ อนุโลมํ, าณํ (ญาณที่เกื้อกูลแกการเกิดขึ้นแหงกิจแหง ญาณ ๙ ขางตน และเกื้อกูลแกโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ชั้นสูง ชื่อวา อนุโลมญาณ) อนุโลมิกา (อิตฺ.) ปญญาชื่อวาอนุโลมิกา, ธรรมชาติที่เขากันได วิ. กมฺมายตนาทีนํ อปจฺจนีกทสฺสเนน อนุโลมนโต, ตถา สตฺตานํ หิตจริยาย มคฺคสจฺจสฺส ปรมตฺถสจฺจสฺส นิพฺพานสฺส จ อวิโลมนโต อนุโลเมตีติอนุโลมิกา (ปญญาใดยอมเขากันได เพราะเขากันไดดวย ความเห็นที่ไมเปนขาศึกกันแกการงานเปนตน และเพราะไมแยงแกมรรคสัจ แกปรมัตสัจ และ แกพระนิพพาน ดวยการประพฤติประโยชน เกื้อกูลแกสัตวทั้งหลาย เหตุนั้น ปญญานั้นชื่อวา อนุโลมมิกา) คำวา อนุโลมิกา ขนฺติ เปนตน เปน ไวพจนของปญญา [อนุ + โลม จัดเปนนามธาตุ นามใชเปนดุจธาตุ + ณฺวุ ปจจัย อาเทศเปน อก + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อ เปน อิ] อนุวชฺช (ปุ.) ควรตำหนิ, การกลาวโทษ, อันเขาพึงวากลาว วิ. อนุวทิตพฺโพติ อนุวชฺโช (ภาวะใดอันพึงวากลาว เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อนุวชฺช), [อนุ + วท ธาตุ วิยตฺติยํ วาจายํ ในการ กลาว + ณฺย ปจจัย, แปลง ทฺย เปน ชฺช]. อนนุวชฺโช (ไมควรตำหนิ) มีความหมายโดยนัย ตรงกันขามดวยมี น ปฏิเสธ, นัยเดียวกันเชน อนวชฺโช (ไมมีโทษ) อนุวตฺตน (นปุ.) อนุวัตน, คลอยตาม, เปนไป ตาม วิ. อนุรูป วตฺตนํ อนุวตฺตนํ (การอนุวัตน คือเปนไปตามสมควร ชื่อวา อนุวตฺตน), [อนุ + วตุ ธาตุ วตฺตเน ในความเปนไป + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, ซอน ตฺ] อนุวตฺตี (ปุ.) ผูเปนไปตาม, ผูคลอยตาม, ผูเห็น ดวย วิ. อนุวตฺตตีติ อนุวตฺตี (ผูใดเปนไปตาม เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุวตฺตี), [อนุ + วตฺตุ ธาตุ วตฺตเน ในความเปนไป + ณี ปจจัย] อนุวน (อพฺ.) ที่ใกลปา วิ. วนสฺส สมีป อนุวนํ (ที่ ใกลเคียงแหงปา ชื่อวา อนุวน), อนุ ศัพท สมีปตฺเถ ใชในอรรถวาใกล, เชน อุปนครํ (ที่ใกล เมือง) ก็นัยนี้, บทนี้เปนอัพพยีภาวสมาส อนุวสฺส (อพฺ.) ๑. ทุกๆ ป, ตามไปทุกๆ ป, ประจำป วิ. วสฺสํ วสฺสํ อนุคตํ อนุวสฺสํ (ไปตาม ซึ่งป ซึ่งป ชื่อวา อนุวสฺส), คำวา อนุฆรํ (ทุกๆ บาน), อนฺวฑฺฒมาสํ (ทุกๆ กึ่งเดือน) เปนตน ก็ นัยนี้ ๒. อยูประจำ วิ. อนุวสิตฺวา ปุนปฺปุนํ วสิตฺวา อนุวสฺส (อยูประจำแลว คืออยูเนืองๆ ชื่อวา อนุวสฺส), [อนุ + วส ธาตุ นิวาเส ในความ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๔๕ อยู + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, แปลง ย เปน ส] อนุวาต (อพฺ.) อนุวาต, แปลตามศัพทวา ภายหลังแหงลม, ผาที่เย็บติดรอบผืนจีวร วิ. วาตสฺส ปจฺฉา อนุวาตํ (ภายหลังแหงลม ชื่อวา อนุวาต), วิ. จีวรํ อนุปริยายิตฺวา วียติ พนฺธียตีติ อนุวาตํ (ผาใดอันเขาเย็บติดรอบผืน จีวร เหตุนั้น ผานั้นชื่อวา อนุวาต), [อนุ + วา ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + ต ปจจัย] อนุวาท (ติ.) ๑. ผูกลาวโทษ, ผูโจท, ผูวาราย, วิเสสนะ วิ. อนุวทตีติ อนุวาโท (ผูใดยอมตาม กลาว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุวาท ไดแก วิเสสนะ), [อนุ + วท ธาตุ วจเน ในความกลาว + ณ ปจจัย] ๒. การกลาวโทษ, การวาราย วิ. หีฬเนน วทนํ อนุวาโท (การกลาวโดยคำเลว ทรามดูถูก ชื่อวา อนุวาท), ทิาทีนํ อนุคนฺตฺวา สีลวิปตฺติอาทีหิ วทนํ อนุวาโท (ไดแก คำพูด กลาวหาวา ศีลวิบัติ เปนตน พาดพิงสิ่งที่ไดเห็นมา เปนตน) ๓. ผูสั่งสอน, ผูวากลาวดวยการสอน วิ. อนุสาสนวเสน อฺเ วทตีติ อนุวาโท (ผูใด วากลาวผูอื่นดวยอำนาจการสั่งสอน เหตุนั้น ผู นั้นชื่อวา อนุวาท), [อนุ + วท ธาตุ วจเน ใน ความกลาว + ณ ปจจัย] บัณฑิตพึงถือวา ใน คัมภีรศัพทศาสตร คำวา อนุวาท หมายถึง วิเสสนะ ดังที่ทานแสดงไว (กัจจายนสารมัญชรี, หนา ๔๑) วา คุโณ วิเสสนํเภโท วิเสโส อนวุาทโก อปฺปธานมุปาโย จ สกตฺโถติ จิเม สมาติ ศัพทเหลานี้คือ คุณ วิเสสน เภท วิเสส อนุวาท อปฺปธาน อุปาย สกตฺถ มีความหมายเหมือนกัน อนุวิจาร (ปุ.) การไตรตรอง, การพิจารณา, การไปตามเที่ยวตามไปเนืองๆ วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ วิจรตีติ อนุวิจาโร (ภาวะใดไปตามเนืองๆ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อนุวิจาร), [อนุ + วิ + จร ธาตุ คติภกฺขเนสุ ในความไปและความกิน + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธและพฤทธิ์]วิ.อนุคนตฺ ฺวา วิจรณวเสน อนุวิจาโร (ชื่อวาอนุวิจาร เพราะ ตามเที่ยวไปทั่วถึง), คำว าอนุวิจารณํ ลง ยุ, อนุวิจาริตํอนวุิจริตํ ลง ต ปจจัย อนุวิจินก (ติ.) ผูตรวจ, ผูทาน, ผูพิจารณา วิ. อนุวิจินาตีติ อนุวิจินโก (ผูใดยอมตรวจสอบ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุวิจินก), [อนุ + วิ + จิ ธาตุ วินิจฺฉเย ในการวินิจฉัย + นา ปจจัย ประจำหมวดธาตุ (วิกรณปจฺจโย) + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก] อนุวิจฺจ (กิ.กิตฺ.) ใครครวญแลว, พิจารณาแลว, ใสใจแลว วิ. นิสาเมตฺวา อุปปริกฺขิตฺวา อนุวิจฺจ (ใครครวญแลว พิจารณาแลว ชื่อวา อนุวิจฺจ), เชน อนุวิจฺจ ปริโยคาหิตฺวา (ใครครวญแลวจึงลง มือบำเพ็ญ), [อนุ + วิ + อิ ธาตุ นิสาเม ในความ ใครครวญ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา ปจจัย รจฺจ] อนุวิทิตฺวา จินฺเตตฺวา ตุลยิตฺวา อนุวิจฺจ (อนุวิจฺจ หมายถึง ความรูตาม คิด พิจารณา), [อนุ + วิจ ธาตุ าเณ ในความรู + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, แปลง ย เปน จ] อนุวิชฺช (กิ.กิตฺ.) ๑. ใครครวญแลว, พิจารณา แลว, อุปปริกฺขิตฺวา อนุวิชฺช (ใครครวญแลว ชื่อวา อนุวิชฺช), [อนุ + วิท ธาตุ าเณ ใน ความรู + ตฺวา ปจจัย แปลง ตฺวา เปน ชฺช กจฺ. ๖๐๐ รูป. ๖๔๕ วา มหทเภหิ เปนตน, ลบที่สุด ธาตุ] ๒. อันเขาพึงทราบ, อันเขาพึงพิจารณา, อันเขาพึงอนุญาต วิ. อนุชานิตพฺโพติ อนุวิชฺโช (สิ่งใดอันเขาพึงรูตาม เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา


๑๔๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนุวิชฺช), [อนุ + วิท ธาตุ าเณ ในความรู + ณฺย ปจจัย, ลบ ณฺ, แปลง ทฺย เปน ช, ซอน ชฺ] อนุวิชฺชก (ปุ.) ๑. ผูวาความ, ผูสอบสวน, ผูพิสูจน, ผูวิจารณ วิ. อนุวิชฺชติ วิจาเรตีติ อนุวิชฺชโก (ผูใดยอมพิจารณา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อนุวิชฺชก), [อนุ + วิท ธาตุ าเณ ในความรู + อก + เพราะสระหลัง ลง ย อาคม ดวยมหา สูตร] ๒. พระวินัยธรผูสอบสวน วิ. โจทกจุทิตกานํ มตํ อนุมิเนตฺวา วิทติ ชานาตีติ อนุวิชฺชโก, วินยธโร (ผูใดยอมสืบทราบ คำใหการของโจทยและจำเลย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อนุวิชฺชก ไดแก พระวินัยธร), [อนุ + วิท ธาตุ าเณ ในความรู + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก, ย อาคม, แปลง ทฺย เปน ชฺช] อนุวิตกฺกิต (นปุ.) การตรึกตรอง, อันเขา ตรึกตรอง, ตรึกเน่ืองๆ วิ.อนุวิตกฺกียเตติ อนุวิตกฺกิตํ(สิ่งใดอันเขาตรึกตรอง เหตุนั้น ส่ิง นั้นชื่อวา อนุวิตกฺกิต), [อนุ + วิ + ตกฺก ธาตุ วิตกฺเก ในความตรึก + ต ปจจัย อิ อาคม] อนุวิทฺธ (ติ.) ถูกแทงแลว, อันแกวมณีเปนตน แทรกเขาไปแลว วิ. อนุวิชฺฌิตฺถาติ อนุวิทฺโธ (สิ่งใดอันศรเปนตนแทงแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อนุวิทฺธ), [อนุ + วิธ ธาตุ วิชฺฌเน ในความ แทง + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน ธ และ อาเทศ ธ เปน ท], นัยเดียวกันเชน อนุวิชฺฌิตฺวา อนุวิชฺฌิย ลง ตฺวา ปจจัย แปลง ตฺวา เปน ย, ย อาคม และ อิ อาคม, แปลง ธฺย เปน ชฺฌ อนุวิธายก (ติ.) ผูกระทำเนืองๆ, ผูกระทำตาม, ผูทำในภายหลัง, ทำโดยสมควร, ผูกำหนด วิ. อนุวิเธตีติ อนุวิธายโก (ผูใดยอมกระทำ สมควร เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุวิธายก), [อนุ + วิ + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ณฺวุ ปจจัย, แปลง อา เปน อาย, อาเทศ ณฺวุ เปน อก] อนุวิธิยนา (อิตฺ.) การทำตาม, การทำโดย สมควร, การจัดแจงเหมาะสม, การกำหนด วิ. จิตฺตุปฺปาทสฺส กายวาจาหิ อนุวิธานํ อนุวิธิยนา (การกระทำทางกายวาจาตาม สมควรแกจิตตุปบาท ชื่อวา อนุวิธิยนา), [อนุ + วิ + ธา ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อา แหง ธา เปน อิย ดวยสูตร โมคฺ. ๕/๑๓๒ วา ทาสฺสิยงฺ] อีกนัยหนึ่ง ธิ ธาตุ ธารเณ ในความ ทรงไว เพราะสระอยูหลัง ลง ย อาคม ดวยมหา สูตร, นัยเดียวกัน อนุวิธิยนฺโต, สลฺลกฺเขนฺโตติ อตฺโถ (อนุวิธิยนฺต หมายความวา กำหนดอยู), อนฺต ปจจัย กัตตุวาจก อนุวิโลกน (นปุ.) ตรวจดู, การเหลียวแล, ดูทั่วๆ วิ. อนุวิโลกิยเต อนุวิโลกนํ (อันเขา เหลียวแล ชื่อวา อนุวิโลกน), เชน สพฺพทิสานุวิโลกนํ สพฺพฺุตานาวรณาณปฏิลาภสฺส ที.อ.๑/๒๐ (การเหลียวแลดูทิศเปน บุพนิมิต แหงการไดอนาวรณญาณ), [อนุ + วิ + โลก ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ยุ ปจจัย] อนุวุสิต (ติ.) ผูพำนักอยู, ที่อันเขาอยูอาศัยแลว วิ. อนุวสิตฺถ อนุวสียิตฺถ วาติ อนุวุสิโต (ผูใดอยู พักแลว หรือประเทศใดอันเขาอยูพักแลว เหตุนั้น จึงชื่อวา อนุวุสิต) เชน อนุวุสิโต ครุํ สิสฺโส (ศิษยอาศัยอยูใกลครู), อนุวุสิโต ครุ สิสฺเสน (ครูอันศิษยอยูใกลแลว) นิรุตฺติทีปนี อธิบายสูตร ๗๖๓ [อนุ + วส ธาตุ นิวาเส ใน ความพักอยู + กฺต ปจจัยในกตัตุและกัมมวาจก, แปลง อ เปน อุ, อิ อาคม]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๔๗ อนุสงฺคิก (ติ.) มีความเกี่ยวของ, เกี่ยวพันกัน วิ. อนุสฺชนํ อนุสงฺโค, โส อสฺส อตฺถีติ อนุสงฺคิกํ (การเกี่ยวของ ชื่อวา อนุสงฺโค, ความเกี่ยวของ นั้น ของสิ่งนั้นมีอยู เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนุสงฺคิก), [อนุ + สฺช ธาตุ สงฺเค ในความ เกี่ยวของ + ณ ปจจัย ในกิตปจจัย + ณิก ปจจัย ในตัทธิต] ๒. สิ่งที่เกี่ยวของกัน วิ. อนุสฺชตีติ อนุสงฺคิกํ (สิ่งใดยอมเกี่ยวของกัน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนุสงฺคิก), [อนุ + สฺช ธาตุ สงฺเค ใน ความเกี่ยวของ + ณฺวุ ปจจัย, แปลง  เปน นิคหิต, อาเทศ ช เปน ค, อาเทศนิคหิตเปน พยัญชนะสุดวรรค คือ ฺ เปนตน] อนุสฺจริต (ติ.) ๑. เที่ยวไปตามลำดับ, เที่ยว ไปไมหยุด, เที่ยวเดินไปมาไมหยุด, สั่งสมแลว, ศึกษาแลว วิ. อนุจิณฺโณติ อนุสฺจริโต (ผูใด เที่ยวไปตามลำดับ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุสฺจริต) ๒. อนุสฺจรียิตฺถาติ อนุสฺจริตํ (สิ่งใดอันเขาเที่ยวไปทั่วถึงแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น อนุสฺจริต), [อนุ + สํ + จร ธาตุ จรเณ ในความ เที่ยวไป + ต ปจจัย + อิ อาคม, อาเทศนิคหิต เปนพยัญชนะที่สุดวรรค คือ ฺ] นัยเดียวกันเชน อนุวิจริต (เที่ยวไปตามไปแลว) บทนี้ อนุ และ วิ บทหนา อนุสฏ (ติ.) ๑. ไปตามแลว, เรี่ยราดแลว, โปรย แลว, ถูกทวมทับครอบคลุม, ถูกพัวพันผูกมัด วิ. อนุสฺสริตฺถ อนุสฺสริยิตฺถาติ วา อนุสฏํ (สิ่งใด ไปตามแลว หรือถูกตามไปแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนุสฏ), [อนุ + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย, ลบ ร, อาเทศ ต เปน ฏ] ๒. สิ่งที่ ติดตามไป, สิ่งที่ถูกติดตามไป วิ. อนุสชฺชติ อนุสชฺชิยิตฺถาติ วา อนุสฏํ, อนุสํ อนุสชฺชิตํ วา (สิ่งใดยอมติดตามไป หรือถูกติดตามไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุสฏํ, อนุสํ หรือ อนุสชฺชิตํ), [อนุ + สช ธาตุ สชฺชเน ในความติด + ต ปจจัย, ลบ ช, อาเทศ ต เปน ], อีกนัยหนึ่ง อาเทศ ชฺต เปน สฺส , หรือ ลง อิ อาคม, ไมอาเทศ, ซอน ชฺ] อนุสนฺธน (ปุ.) ความสืบเนือง, ความตอเนื่อง วิ. อารมฺมเณน สทฺธึ จิตฺตํ อนุสนฺทหติ ฆเฏตีติ อนุสนฺธโน, อนุสนฺธาโน วา, วิจาโร (สิ่งใด สืบเนื่องจิต เขากับอารมรณ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อนุสนฺธน, อนุสนฺธาน ไดแก วิจาร), [อนุ + สนฺธ ธาตุ ฆฏเน ในความกระทบ, หรือ ธา ฆฏเน ในความกระทบ มี สํ เปนบทหนา + ยุ ปจจัย], นัยเดียวกัน อภิสนฺธานํ บทนี้มี อภิ บทหนา อนุสนฺธิ (อิตฺ.) ขอความที่เปนเหตุสืบเนื่อง วิ.อนุสนฺธียติ เอเตน อุปนิรุชฺฌเนนาติ อนุสนฺธิ (คำถามอันเขาสืบเนื่องดวยการดับกิเลสนั้น เหตุนั้น การดับกิเลสนั้น จึงชื่อวา อนุสนฺธิ), [อนุ + สํ + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + อิ ปจจัย] ความจริง อนุสนธิ มี ๓ อยาง ไดแก ปุจฺฉานุสนฺธิ อชฺฌาสยานุสนฺธิและ ยถานสุนฺธิ ในบรรดา ๓ อยางนั้น ปุจฺฉนฺตานํ ภควตา วิสฺสชฺชิตสุตฺตวเสน ปุจฺฉานุสนฺธิ เวทิตพฺพา (ปุจฉานุสนธิ บัณฑิตพึงทราบดวยอำนาจแหง พระสูตรที่พระผูมีพระภาคเจาทรงตอบปญหา ของผูถามทั้งหลาย) ปเรสํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ภควตา วุตฺตวเสน อชฺฌาสยานุสนฺธิ (อัชฌาสยานุสนธิ บัณฑิตพึงทราบดวยอำนาจแหงพระ ดำรัสที่พระผูมีพระภาคเจาทรงทราบอัชฌาสัย ของชนเหลาอื่นแลวตรัสไว) เยน ปน ธมฺเมน อาทิมฺหิ เทสนา อุิตา, ตสฺส ธมฺมสฺส อนุรูปธมฺมวเสน วา ปฏิปกฺเขปวเสน วา เยสุ สุตฺเตสุ อุปริเทสนา อาคจฺฉนฺติ, เตสํ วเสน ยถานุสนฺธิ


๑๔๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เวทิตพฺพา (อนึ่ง เทศนาในชั้นตนตั้งขึ้นโดยธรรม ใด เทศนาชั้นสูงมาในพระสูตรเหลาใด โดยธรรม สมควรแกธรรมนั้นหรือโดยคัดคาน ยถานสุนธิก็ พึงทราบโดยอำนาจพระสูตรเหลานั้น) เชน อนุสนฺธิกํ สุตฺตํ (พระสูตรมีอนุสนธิ) ลง อิก ปจจัยในตทัสสัตถิตัทธิต, อนุสนธิ ๓ มาใน ที.อ. ๑/๑๑๓ เปนตน อนุสย (ปุ.) ๑. อนุสัย, กิเลสที่อยูในสันดาน วิ. สตฺตสนฺตาเน อนุเสตีติ อนุสโย (สิ่งใดยอม เปนไปในสันดานสัตว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อนุสย), [อนุ + สิ ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อ ปจจัย] ๒. ผูติดตามไป, กิเลสที่ติดตาม วิ. อนุพนฺธมาโน เสตีติ อนุสโย (สิ่งใดติดตาม คบหา เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อนุสย), [อนุ + สิ ธาตุ เสวายํ ในความเสพ + อ ปจจัย] ๓. กิเลสที่ นอนเนื่องในสันดาน วิ. อปฺปหีนเน อนุ อนุ สนฺตาเน เสตีติ อนุสโย อนุรูปการณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชตีติ อตฺโถ. อนุสโยติ อปฺปหีนเน ถามคตกิเลโส วุจฺจติ (กิเลสใดยอมนอนเนื่องใน ทุกๆ สันดาน เพราะวายังละไมได เหตุนั้น กิเลส นั้นชื่อวา อนุสย ไดแกกิเลสที่ไดเหตุอันควรแลว เกิดขึ้น. กิเลสที่มีกำลัง เพราะอรรถวายังละ ไมได ทานเรียกวา อนุสัย), [อนุ + สี ธาตุ สเย ในความนอน + อ ปจจัย] อนุ ใชในอรรถวิจฉา หมายความวา คำซ้ำ คำวา สนฺตาเน “สันดาน” ในที่นี้หมายถึง สันดานของสัตว หรือจิตสันดาน ในคัมภีรมณิทีปฎีกา วา ชื่อวา อนุสัย คืออกุศล ๗ ประการ ไดแก กามราคะ ภวราคะ ทิฏฐิ ปฏิฆะ วิจิกิจฉา มานะ และอวิชชา, มูสิกวิสํ วิย การณลาเภ อุปฺปชฺชนารหา อนาคตา กิเลสา. อตีตา ปจฺจุปฺปนฺนา จ ตเถว วุจฺจนฺติ. น หิ กาลเภเทน ธมฺมานํ สภาวเภโท อตฺถีติ (กิเลสที่ เปนอนาคตอันควรที่จะเกิดขึ้นไดในเมื่อไดเหตุ เหมือนกับพิษของหนู กิเลสที่เปนอดีตและเปน ปจจุบันก็เรียกอยางนั้นเหมือนกัน เพราะธรรม ทั้งหลายไมมีความตางกันโดยสภาพ ดวยความ ตางแหงกาลแล) อนุสฺสติ (อิตฺ.) อนุสสติ, การระลึกถึงเนืองๆ, สติ วิ. อนุ ปุนปฺปุนํ สรณํ อนุสฺสติ (การระลึกถึง บอยๆ ชื่อวา อนุสฺสติ), [อนุ + สร ธาตุ คติหึสาจินฺตาสุ ในความไป ความเบียดเบียน และความคิด + ติ ปจจัย], ใน วิสุทฺธิมคฺค มหาฏีกา (๑/๓๑๖) วา อนุ อนุ สติ อนุสฺสตีติ อิมมตฺถํ ทสฺเสตุํ ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชนโตติ วตฺวา น เอตฺถ อนุสทฺทโยเคน สติสทฺโท อตฺถนฺตรวาจโกติ ทสฺเสตุํ, สติเยว อนุสฺสตีติ วุตฺตํ (ทานอาจารย ประสงคแสดงความหมายนี้วา ความระลึก เนืองๆ ชื่อวา อนุสติ ดังนี้ จึงกลาววา เพราะ เกิดขึ้นบอยๆ ดังนี้ แลวประสงคแสดงวา สติ ศัพท ที่มีการประกอบเขากับ อนุ ศัพท ในคำวา อนุสติ นี้ มิไดเปนศัพทที่บอกความหมายอื่น จึงกลาววา สตินั่นเอง ชื่อวา อนุสติ ดังนี้), ศัพท นี้เปนอิตถีลิงค, แตในบางแหงก็ปรากฏเปนดุจ ปุงลิงค เชน ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติมฺหิ ยํ าณํ ตทตฺถาย วินย.อ.๑/๑๗๖ (เพื่อประโยชนแก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้น) อนุสฺสร (ปุ.นปุ.) ระลึกอยู, ไปตาม วิ. อนุสฺสรตีติ อนุสฺสรํ อนุสฺสรนฺโต (ผูใดระลึกอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุสฺสร ไดแก ตามระลึกอยู, ในอิตถีลิงค เปน อนุสฺสรนฺตี เปนตน), [อนุ + สร ธาตุ จินฺตายํ ในความระลึก + อนฺต ปจจัย หรือ สร ธาตุ สเร ในความแลนไป เชน อนุคตํ อนุสฺสรํ, อนุสารํ วา, นิคฺคหีตํ (นิคหิตที่ไปตามสระ ชื่อวา อนุสาร), แตในภาษาสันสกฤต ไดรูปเปน


Click to View FlipBook Version