The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattarat Juntien, 2023-03-01 03:08:39

จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร (พจนานุกรม บาลี-ไ

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Keywords: ธรรม

พจนานุกรมบาลี-ไทย ๔๙ กส ธาตุ ปติฺายํ ในความตั้งอยู + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธและพฤทธิ์ อ เปน อา, แปลง อธิ เปน อชฺฌ, แปลง อว เปน โอ]. ใน อุโทสิต สิกขาบท วา คำวา อชฺโฌกาส “ที่กลางแจง” หมายถึง ที่ประมาณ ๗ อัพภันดร, อธิบายวา ที่กลางแจง หมายถึง ไมใชบาน ไมใชปา มีดง เปนตน แตในทะเล ที่กลางแจงหมายถึง ที่ซึ่ง พวกชาวประมงไมลองไป, กตฺถจิ พหิ วา อนฺโต วา สพฺพํ โอวสฺสกานํ อชฺโฌกาโส นามาติ (บางแหงวา ที่ฝนตกรดทั้งหมด ทั้งภายนอกก็ ตาม ภายในก็ตาม ชื่อวา อชฺโฌกาส-ที่กลางแจง) อชฺโฌคายฺห (กิ.กิตฺ.) หยั่งลงแลว, คนแลว วิ. อชฺโฌคาหิตฺวาติ อชฺโฌคายฺห (คำวา อชฺโฌคายฺห หมายถึง หยั่งลงแลว), [อิธ + อว + คาหุ ธาตุ วิโลลเน ในความกวน + ตฺวา ปจจัย + แปลง ตฺวา เปน ปฺย, สลับ ห กับ ยฺ โมค.๗/๕๐ วา หสฺส วิปลฺลาโส, รัสสะ อา ที่ คาหุ เปน อ] อีกนัยหนึ่งเปน อชฺโฌคาเหตฺวา ลง อิ อาคม, แปลง อิ เปน เอ, นัยเดียวกัน โอคาเหตฺวา หรือ โอคยฺห อชฺโฌคาฬฺห (ติ.) ๑. อันเขาหยั่งลง, -อันเขา คน วิ. อธิโอคาหิตพฺโพติ อชฺโฌคาฬฺโห (สมุทร อันเขาพึงหยั่งลง ชื่อวา อชฺโฌคาฬฺห), [อธิ + โอ + คาห ธาตุ วิโลลเน ในความคน + ต ปจจัย, แปลงที่สุดธาตุเปน ฬ, แปลง ต เปน ห], ๒. มั่นคงแลว (ติ.) วิ. อชฺโฌคาหิตฺถาติ อชฺโฌคาฬฺโห (สิ่งใดมั่นคงแข็งแรงแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชฺโฌคาฬฺห), [อธิ + อว + คาหุ ธาตุ ภุสตฺเถ ในความแข็งกลา + กฺต ปจจัย แปลงเปน ห โมค. ๕/๑๔๘ วา รุหาทีหิ โห โฬ จ, แปลง ห เปน ฬ. อชฺโฌตฺถฏ (ติ.) ถูกทวมทับ, ถูกทับถม, ถูกครอบงำ วิ. อชฺโฌตฺถริยิตฺถาติ อชฺโฌตฺถโฏ (สิ่งใดอัน...ทวมทับแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อชฺโฌตฺถฏ), [อธิ + อว + ถร ธาตุ ถรเณ ใน ความแผไป + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ฏ, ลบ ร, ซอน ตฺ], นัยเดียวกันเชน โอตฺถฏ อชฺโฌตฺถริตฺวา (กิ.กิตฺ.) กดขี่แลว, ครอบงำ แลว, ขมขี่แลว วิ. อภิภวิตฺวา ปสยฺห วาติ อชฺโฌตฺถริตฺวา (อชฺโฌตฺถริตวฺาแปลวาครอบงำ แลว หรือขมขี่แลว), [อธิ + โอ + ถร ธาตุ ถรเณ ในความแผไป + ตฺวา ปจจัย] นัยเดียวกันเชน โอตฺถริตฺวา อชฺโฌปนฺน (ติ.) ถูกทวมทับแลว, ถูกรัดแลว, ถูกยึดไวแลว, ถูกเขาสิงแลว วิ. อธิโอปนฺโน มุจฺฉิโต อชฺโฌตฺถโฏ อชฺโฌปนฺโน (ผูใดอันตัณหา ถึงทับ คือทวมทับ จับยึดไว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อชฺโฌปนฺน), [อธิ + โอ + ปท ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน อนฺน และ ลบที่สุดธาตุ ดวยสูตร กจฺ. ๕๘๒ รูป. ๖๓๑ วา ภิทาทิโต เปนตน]. คำวา อชฺโฌตฺถโฏ พึงเทียบ คำวา อตฺถต, คำวา อชฺโฌตฺถริตฺวา (ทวมทับ แลว) ก็นัยนี้ อชฺโฌลมฺพน (นปุ.) การหอยลง, การ ครอบคลุม, การหยั่งลง วิ. อธิโอลมฺพิยเต อชฺโฌลมฺพนํ (อันเขาหอยทับลงมาทับ ชื่อวา อชฺโฌลมฺพน), [อธิ + อว + ลพิ ธาตุ อวสํสเน ในความหอยลง + ยุ ปจจัย + นิคหิตที่ตนธาตุ] นัยเดียวกันเชน อภิปฺปลมฺพนํ, อภิ + ป บทหนา อชฺโฌสาน (นปุ.) การหยั่งลง, ความหยั่งลง, ความติดใจ, ความชอบใจ, ความพอใจ, การ ยึดถือ, ความพะวง วิ. อชฺโฌสียเต อชฺโฌสานํ (อันเขาตัดสินใจหนักแนน ชื่อวา อชฺโฌสาน),


๕๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา [อธิ + อว + สา หรือ โส ธาตุ นิจฺฉยทาเนสุ ใน ความตัดสินใจหนักแนนและการให + ยุ ปจจัย] อชฺโฌสานนฺติ อหํ, มมนฺติ พลวสนฺนิานํ, ตณฺหาทิิวเสน อภินิเวสนนฺติ อตฺโถ. (ไดแก การยึดถือติดแนนวา ตัวกู ของกู หมายความวา การยึดถือดวยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ) อชฺโฌสิต (ติ.) เกาะ, ติด, ยึด, กล้ำกลืน วิ. อชฺโฌสียเต อชฺโฌสิตํ, มุจฺฉิตํ คธิตํ ตณฺหาย คหิตํ ตณฺหาทิิวเสน อภินิวินฺติ อตฺโถ (อัน ตัณหายึดแนน ชื่อวา อชฺโฌสิต, ความวา ติด ยึด คือถูกตัณหายึดไว ถูกอำนาจตัณหาและทิฏฐิยึด ไวมั่น), [อธิ + อว + สา ธาตุ นิจฺฉยทาเนสุ ใน ความตัดสินใจหนักแนนและการให + ต ปจจัย, แปลง อา เปน อิ] อชฺโฌหฏ (ติ.) อันเขานำลงไป, อันเขากลืน กินแลว วิ. อธิอวหโตติอชฺโฌหโฏ, [อธิ + อว + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ต ปจจัย, แปลง ต เป น ฏ, ล บ ร, แป ล ง อว เป น โอ]. อชฺโฌหรียเตติ อชฺโฌหโฏ ภกฺขิโต. (อาหาร เปนตน อันเขากลืนกินแลว เหตุนั้น ชื่อวา อชฺโฌหฏ ไดแก ของที่เขากิน) อชฺโฌหาร (ปุ.) อาหารอันเขาพึงกลืนกิน, การกลืนกิน วิ. อชฺโฌหริตพฺโพ อชฺโฌหรณํ วา อชฺโฌหาโร (อาหารอันเขาพึงกลืนกิน หรือการ กลืนกิน ชื่อวา อชฺโฌหาร), [อธิ + อว + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย] สำหรับคำวา อชฺโฌหรณํ (การกลืนกิน) นี้ ลง ยุ ปจจัย ใน ภาวสาธนะ อชา (อิตฺ.) นางแพะ, แมแพะ, แพะตัวเมีย วิ. อชสฺส อยนฺติ อชา อชี, อุรณี, ฉาคีติ อตฺโถ (นางนี้เปนของแพะ เหตุนั้น นางนั้นชื่อวา อชา ไดแก แมแพะ, นางแพะ, แพะตัวเมีย), [อช + ณ ปจจัย แทน อยํ, ลง อา หรือ อี ในอิตถีลิงค หลัง อช ศัพท] อชาต (นปุ.) พระนพิพาน, ไมมีการเกิด วิ. นตฺถิ ชาตํ เอตฺถาติ อชาตํ นิพฺพานํ (การเกิดในภาวะ นั้นไมมี เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา พระนิพพาน), เทียบการจำแนกธาตุและปจจัยกับ ชาต ศัพท ขางหนา, แมในคำวา อชรา เปนตน ก็นัยนี้ อชาตสตฺตุ (ปุ.) พระเจาอชาตศัตรู วิ. อชาโต หุตฺวา ปตุโน ปจฺจตฺถิโก ชาโตติ อชาตสตฺตุ. (พระกุมารใด ยังไมประสูติก็กลายเปนขาศึกของ พระชนก เหตุนั้น พระกุมารนั้น พระนามวา อชาตสตฺตุ), อชาโตเยว รฺโ สตฺตุ ภวิสฺสตีติ เนมิตฺตเกหิ นิทฺทิตฺตา อชาตสตฺตุ นาม ชาโต (พระกุมารนั้น พระนามวา อชาตสตฺตุ เพราะ พวกโหราจารยแสดงไขไววา จักเปนศัตรูของ พระราชาเสียแตยังไมประสูติเลย); พึงคนดูโดย พิสดารที่ สารัตถทีปนี, ๑/๘๖ เปนตน อชานนฺต (กิ.กิต.ติ.) ไมรูอยู วิ. น ชานาตีติ อชานนฺโต (ผูใดไมรูอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อชานนฺต), [น + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + นา วิกรณปจจัยประจำหมวดธาตุ+ อนฺต ปจจัย + แปลง า เปน ชา]. อีกนัยหนึ่ง อชานนฺโต แปลวา เพราะไมรู (อชานนเหตุ) เพราะวา อนฺต ปจจัยใชอรรถเหตุ (เหตฺวตฺเถ) อชานน (นปุ.) การไมรู, ไมถูกรู, อันชน เหลานั้นไมรู วิ. ายเต ชานนํ (อันเขารู ชื่อวา ชานน), [า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + ยุ ปจจัย เปนภาวสาธนะ + นา ปจจัยประจำ หมวดธาตุ, แปลง า เปน ชา, หรือ แปลง ยุ ปจจัย เปน อานน] วิ. น ชานนํ อชานนํ (การไมรู ชื่อวา อชานน), อีกประการหนึ่ง ลง ยุ ปจจัย


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๕๑ เปนกัมมสาธนะ เชน อฺเหิ อชานนาน (ฐานะอันผูอื่นไมรู) อชิต (ปุ.) ผูชนะ, ไมมีใครเอาชนะ วิ. อวิชยตฺตา อชินีติ อชิโต, อกาโร เอตฺถ นิปาตมตฺตํ (ผูใด ชนะไดแลว เพราะไมมีใครเอาชนะได เหตุนั้น ผู นั้นชื่อวา อชิต, อ ในคำวา อชิต นี้เปนเพียงทำ คำพูดใหสละสลวย-นิปาตมตฺต), [ชิ ธาตุ ชเย ใน ความชนะ + ต ปจจัย]. ศัพทวา อชิต นี้ใชเปน นามบัญญัติคือเปนชื่อเฉพาะ เชน อชิตภิกษุ อชิตมาณพ อชิตพุทธ-นารายน อชิตเกสกัมพล เปนตน; ในอุทาหรณวา อชิตเกสกัมพล เปนตน เปนเพียงชื่อเทานั้น คำวา อชิต อาจเปนเพียง ชื่อทาส เปนตน ก็ได เชนกับคนชื่อวา สิริวัฒนก (เจริญสิริ) อาจเปนชื่อทาสก็ได อชิน (นปุ.อิตฺ.) ๑. หนังสัตว, สิ่งที่ไปสูการขาย วิ. อชติ วิกฺกยํ ยาตีติ อชินํ, จมฺมํ (สิ่งใดยอมไป คือดำเนินไปสูการความเปนของที่จะถูกขาย เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อชิน ไดแก หนัง), [อช ธาตุ คมเน ในการไป + ลง อิน ปจจัย โมค. ๗/๑๐๒ วา อชา อิโน. แตใน ธาตฺวตฺถสงฺคห อธิบายคาถา ๕ วิเคราะหแลวใหสำเร็จรูปเปนอิตถีลิงควา อชินา วิ. อชติ วิกฺกยนฺติ อชินา, จมฺมํ (สิ่งใด ดำเนินไปสูการความเปนของที่จะถูกขาย ชื่อวา อชินา ไดแก หนัง), ๒. เสือดำ คือ หมี, เสือ เหลือง, เสือดาว (ปุ.นปุ.) วิ. พฺยคฺฆา วิย ปริสสฺเย น ชินาตีติอชิโน อชินํ วา, กาฬพฺยคฺโฆ (สัตวใดไมเอาชนะศัตรูได เหมือนพยัคฆ เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อชิโน หรือ อชินํ ไดแก กาฬพฺยคฺฆ เสือดำ, หมี) เชนคำวา กณฺหาชิเนน สมฺปฏิจฺฉึสุ (หมูพระญาติรับพระธิดานั้นดวยหนังหมีดำ) หรือจะแปลวา เสือเหลือง, เสือดาว (ทีป) ก็ได, [น + ชิ ธาตุ ชเย ในความชนะ + อิน ปจจัย]. ๓. หนังเสือ, หนังนี้เปนของเสือ (นปุ.) วิ. อชินสฺเสทนฺติ อชินํ, ปกติอชินมิคจมฺมํ (หนังนี้ เปนของเสือ เหตุนั้น ชื่อวา อชิน ไดแก หนังเสือ ตามปกติ), ณ ปจจัย ในตัทธิตใชในความหมาย วา นี้, บางแหงใชเปนนามบัญญัติ คือชื่อเฉพาะ เชน อชินตฺเถโร พระเถระชื่อวาอชินะ อชินปตฺตา (อิตฺ.) คางคาว, ปกษีชาติที่มีปก เปนหนัง วิ. อชินํ จมฺมํ ปตฺตํ ยสฺสาติ อชินปตฺตา ชตุกา (ปกของปกษีชาติใดเปนหนัง เหตุนั้น ปกษีชาตินั้นชื่อวา อชินปตฺตา ไดแก คางคาว) อชินโยนิ (ปุ.) มฤคชาติ, เนื้อทราย, กวาง ละมั่ง, จามรี วิ. อชินสฺโสปยุชฺชมานสฺส โยนิ เตน ภูตสฺสาชินสฺสุปฺปตฺติการณตฺตา วา อชินโยนิ มิโค (กำเนิด ของสัตวที่มีหนังเปนประโยชน เพราะเหตุนั้น จึงชื่อวา อชินโยนิ, อีกประการ หนึ่ง ชื่อวา อชินโยนิ เพราะเหตุแหงการเกิดขึ้น ของสัตวที่มีหนังเปนประโยชน ไดแก มฤคชาติ), ศัพทนี้เปน อิ การันต ในปุงลิงค อชิมฺห (นปุ.) ไมคด, ไมโกง, ซื่อตรง วิ. น ชิมฺหํ กุฏิลํ อชิมฺหํ อุชุ (การไมคด ไมโกง ชื่อวา อชิมฺห ไดแก ความซื่อตรง), [น + หา ธาตุ จาเค ใน ความสละ + ม ปจจัย + ทำ หา ซอนขึ้นมาเปน หาหา, แปลง อา เปน อิ, แปลง ห เปน ช, ลบ อา ที่สุดธาตุ, สลับ ม กับ ห] อชิร (นปุ.) เนิน, ลานบาน, สนาม, เปนที่ไป วิ. อชนฺติ คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ อชิรํ องฺคณํ ฆรวิสโยกาโส จ (ชนทั้งหลายยอมดำเนินไปในที่นั่น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อชิร ไดแก เนิน และลาน บาน), [อช ธาตุ คมเน ในความไป + กิร ปจจัย โมค.๗/๑๔๙ วา ติมรุหรุธพธมทมนฺทวชาชรุจกสา กิโร หรือ อิร ปจจัย]


๕๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อฺจิต (ติ.) ๑. ไปแลว, เจริญแลว, ยืดยาวไป วิ. คตา ปวตฺตา อฺจิตา, วฑฺฒิตา อายตา จ (สัตวทั้งหลาย ผูไปแลว เปนไปแลว ชื่อวา อฺจิตา ไดแก เจริญแลว หรือยืดยาวไปแลว), [อจิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย, ลงนิคหิต อาคม ตนธาตุที่มีสระอยูตน, อิ อาคม] ๒. อัน เขาทะลวงแลว วิ. อฺจิตฺถาติ อฺจิตํ(ส่งิใดอัน เขาทะลวงแลว เหตุนั้น ส่งินั้นชื่อวาอฺจิต) เชน  สพฺพโส อามํ อฺจิตนฺติ อตฺโถ ดู วิสุทฺธิมคฺคมหาฎีกา (อันภิกษุถูกตองทั้งหมดแลว คือ ทะลวงแลว), [อฺจ ธาตุ พฺยยคติยํ ในความถึง การยอยยับ, เชน บทวา พฺยยคติ หมายถึง วินาสคติ คือถึงความพินาศ + อิ อาคม + ต ปจจัย] อฺจุก (นปุ.) การไป, การดำเนินไป วิ. อฺจนํ ปวตฺตนํ อฺจุกํ (การดำเนินไป ชื่อวา อฺจุก), [อฺจุ ธาตุ คติยํ ในความไป + ณฺวุ ปจจัย แปลง เปน อก, แปลง อ ของ อก เปน อุ] อฺฉิต (ติ.) ลากไป, ดึงไป, ฉุด, ชัก วิ. อฺฉนฺติ อายมนฺตีติ อฺฉิตา (ชนเหลาใดดึงไป เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อฺฉิต), [อฉิ ธาตุ อายาเม ในความดึง + ต ปจจัย, อิ อาคม, ลงนิคหิต ตนธาตุที่มีสระอยูตน เพราะพยัญชนะวรรคคือ ฉ แปลงนิคหิตเปน ฺ ที่สุดวรรค) อฺฉิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ครามาแลว, ดึงแลว, ลากแลว วิ. อากฑฺฒิตฺวา อฺฉิตฺวา (ครามาแลว ชื่อวา อฺฉิตฺวา), [อฉิ ธาตุ อายาเม ในความดึง + ตฺวา ปจจัย, เพราะธาตุที่มี อิ เปนที่สุด ลงนิคหิต แนนอน แปลงเปนพยัญชนะ ฺ], นัยเดียวกัน อฺฉนฺโต (ครามาอยู) นี้ลง อนฺต ปจจัย ใน ปจจุบันกาล, อฺฉนํ (การดึง) ยุ ปจจัย ในอรรถ ภาวสาธนะ เปนนามกิตก (กฺริยานามํ) อฺชน (นปุ.) ๑. ยาทาตา วิ. อฺชติ จกฺขุํ มกฺขติ [ปาจิตฺยาทิโยชนายํ มกฺเขตีติ ทิสฺสติ.] เอเตนาติ อฺชนํ กชฺชลํ (บุคคลทาตาดวยยานั่น เหตุนั้น ยานั้นชื่อวา อฺชน ไดแก ยาเปนเครื่องทาตา), ใน ปาจิตฺยาทิโยชนา วาเปน มกฺเขติ, [อฺช ธาตุ มกฺขเน ในการทา + ยุ ปจจัย], ๒. ยาหยอดตา ที่ทำตาใหชัดเจน วิ. อฺชติ จกฺขุํ พฺยตฺตํ กโรตีติ วา อฺชนํ (สิ่งใดทำตาใหมองเห็นชัดเจน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฺชน), [อฺช ธาตุ พฺยตฺตเน ในความชัดเจน + ยุ ปจจัย], ๓. ชาง อัญชนะ, ชางมีสีใสชัดเจน วิ. อฺชนวณฺณํ อสฺส อตฺถีติ อฺชโน ปจฺฉิมทิสาคโช (สีใสชัดเจน ของขางนั้นมีอยู เหตุนั้น ชางนั้น ชื่อวา อฺชน ไดแก ชางประจำทิศตะวันตก), [อฺชุ ธาตุ พฺยตฺตมกฺขนคติกนฺตีสุ ในความชัดเจน ทา ไป และนาชอบใจ + ยุ ปจจัย] อฺชยนฺโต (ปุ.) ลางตาอยู, หยอดตาอยู, ทำใหตามองเห็นชัดเจน วิ. อฺชติ จกฺขุํ พฺยตฺตํ กโรตีติ อฺชยนฺโต (ผูใดหยอดอยู คือทำตาให มองเห็นชัด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อฺชยนฺต), [อฺช ธาตุ พฺยตฺตเน ในความชัดเจน + ณย ปจจัยในหมวด จุร ธาตุ + อนฺต ปจจัย] พึงดูใน อนุทีปนีปาฐ อฺชลิ (ปุ.อิต.) ๑. การทำอัญชลี, การประนม มือ วิ. อฺเชติ ภตฺติมเนน ปกาเสตีติ อฺชลิ กรปุโฏ (บุคคลแสดงออก คือประกาศความภักดี ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อฺชลิ ไดแก การพนมมือ), [อฺช ธาตุ พฺยตฺติมกฺขนคติกนฺตีสุ ในความชัดเจน ทา ไป และยินดี + อลิ ปจจัย โมค.๗/๑๙๖ วา อฺชาลิ], ๒. ภาวะที่ไปเพื่อ ความปรองดองเปนอันเดียวกัน วิ.เอกโต สมฺพนฺธนตฺถํ อฺชติ คจฺฉตีติ อฺชลิ (ภาวะใด


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๕๓ เปนไปเพื่อความปรองดองเปนอันเดียวกัน ภาวะนั้น ชื่อวา อฺชลิ), [อฺช ธาตุ คติยํ ใน ความไป + อลิ ปจจัย], ๓. อาการเปนเครื่อง แสดงความเปนผูมีปญญา วิ. พฺยตฺตํ อเนน อฺชติ ปกาเสตีติ อฺชลิ (บุคคลแสดงคือ ประกาศความเปนผูมีปญญาดวยอาการนั่น เหตุนั้น อาการนั้น ชื่อวา อฺชลิ), [อฺช ธาตุ ปกาสเน ในความประกาศ + อลิ ปจจัย], ๔. อาการที่รุงเรืองสงางาม วิ. อา ภุโส ชลติ โชเตตีติ อาชลิ, โสเยว อฺชลิ(อาการท่ีรุงเรือง สงางาม ทั่วถึงคืออยางยิ่ง เหตุนั้น อาการนั้น ชื่อวา อาชลิ, อาชลิ นั่นเอง ชื่อวา อฺชลิ), [นิคหิตอาคม, แปลงนิคหิตนั้นเปน ฺ, รัสสะ อา เปน อ], วิ. อฺชติ พฺยตฺตึ ปกาเสติ เอตายาติ อฺชลิ (สามีจิกรรม ยอมชัดขึ้น หรือปรากฏ ชัดเจนขึ้น ดวยกิริยานั่น เหตุนั้น กิริยานั่น ชื่อวา อฺชลิ), ความจริง นักไวยากรณผูรูศัพท ประสงคอฺชุศัพทและลง อลิปจจัย พฺยตฺตยิํ ในความหมายวาชัดเจน, อฺชลิ ศัพท เปน อิ การันตในปุงลิงคและอิตถีลิงค, แตวิสุทธิมรรค มหาฎีกา (๑/๔๐๗) ปรากฏวาเปนไวพจน คือ วิเสสนะของศัพทที่เปนอิตถีลิงค ซึ่งมีรูปคลาย เปนอิตถีลิงค. เชนเดียวกัน ในพระบาลีอปทาน ปรากฏขอวา อฺชลิยา อิทํ ผลํ (นี้เปนผลแหง อัญชลี), บางแหงปรากฏปาฐะวา อฺชลี ก็มี, ผูศึกษาพึงพิจารณาดูทุกที่ดูเถิด อฺชลิกรณีย (ปุ.) ผูทำอัญชลี, ที่ควรทำ อัญชลี วิ. อฺชลิปคฺคหณสฺส อนุจฺฉวิโก อฺชลิ- กรณีโย (ผูควรแกการยกยองดวยอัญชลี ชื่อวา อฺชลิกรณีโย), วิ. ปุฺตฺถิเกหิ อฺชลิ กรณีโย เอตฺถาติ อฺชลิกรณีโย, สงฺโฆ มังคลัตถทีปนี (๒/๔๖๗) (อัญชลี อันผูมีความตองการดวยบุญ พึงทำในพระสงฆนี้ เหตุนั้น พระสงฆนี้ จึงชื่อวา อฺชลิกรณีโย), เปน พหุพฺพีหิสมาส, และ อธิบายไววา อุโภ หตฺเถ สิรสิ ปติาเปตฺวา สพฺพโลเกน กริยมานํ อฺชลิกมฺมํ อรหตีติ อฺชลิกรณีโย อีกอยางหนึ่ง พระสงฆยอมควร ซึ่งอัญชลีกรรมอันชาวโลกทั้งปวง ประคองมือ ทั้ง ๒ บนศีรษะกระทำ เหตุนั้น ทานจึงชื่อวา เปนผูควรแกอันประคองอัญชลี วิ. อถ วา อฺชลิกรณํ อฺชลิกมฺมํ, ตํ อรหตีติ อฺชลิ- กรณีโย (อีกนัยหนึ่ง การทำอัญชลี ชื่อวา อฺชลิกมฺมํ, บุคคลใดยอมควรซึ่งอัญชีกรรมนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อฺชลิกรณีย ผูควรซึ่ง อัญชลีกรรม), [อีย ปจจัย อรหตฺเถ ในอรรถวา ควร], นัยนี้เปนวิเคราะหตทัธิต มีสมาสเปนทอง, แตใน วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา ทานวา ปุฺตฺถเิกหิ อฺชลิ กรณียา เอตฺถาติ อฺชลิกรณีโย (อัญชลี อันผูตองการบุญทั้งหลาย พึงกระทำ ในสงฆนั้น เหตุนั้น สงฆนั้นชื่อวา อฺชลิกรณีย) นัยนี้เปน วิเคราะหสมาส มีกิตกเปนทอง, บางแหงเขียน วา อฺชลีกรณีโย ไมควรสวด (อปาโ) อฺชส (นปุ.ปุ.) ถนน, หนทาง วิ. อฺเชติ คจฺฉติ เอตฺถาติ อฺชสํ วมํ (ชนเดินไปในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อฺชส ไดแก หนทาง), [อฺช ธาตุ คติยํ ในความไป + อส ปจจัย กจฺ. ๔๒๓ วา ยท เปนตน], สวนใน อสาลินีอตฺถโยชนา วิเคราะหเปนกรณสาธนะบอกรูปสำเร็จ และปจจัยไววา วิ. อฺชติ คจฺฉติ เอเตนาติ อฺชสํ, ยทาทินา สุตฺเตน โส (คนยอมดำเนินไป ดวยทางนั่น เหตุนั้น ทางนั้นชื่อวา อฺชส, ลง ส ปจจัย ดวยสูตร กจฺ.๔๒๓ วา ยท เปนตน); รูป สำเร็จวา อฺชโส (ปุ.) ก็มี เชน ที.ฏี.อภินว. ๒/ ๑๒๙ ปรากฏวา อฺชโสติ อาหารสฺส ปวิสน-


๕๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ปริวตฺตนนิกฺขมนาทีนํ มคฺโคติ. (บทวา อฺชส ไดแก ทางไป เพื่อเขาไป เปนไปและออกไปเปน ตนเพื่อหาอาหาร) อฺชิต (ติ.) อันเขาทาแลว, อันเขาใสเขาแลว วิ. มกฺขิโต ปกฺขิตฺโต วา อฺชิโต (อันเขาทาแลว หรือใสเขาไปแลว ชื่อวา อฺชิต), [อฺช ธาตุ มกฺขนปกฺขิปเนสุ ในอรรถวาทาและใสเขาไป + ต ปจจัย + อิ อาคม] นัยเดียวกัน อฺเชตฺวา ทา แลว ลง ตฺวา ปจจัย ในกัตตุวาจก, เชนคำวา อกฺขีนิ อฺเชตฺวา ทาแลวซึ่งนัยนตาทั้งสอง อฺ (ติ.สพฺ.). ๑. อื่น อฺ เปนสัพพนาม แปลวา อื่น เปนไตรลิงค, อันเขารูไมได วิ. น ายเตติอฺโ อฺตโร (ผูใดอันเขากำหนดรู ไมได เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อฺ ไดแก คนใดคน หนึ่ง), [น + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + อ ปจจัย], ๒. ผูยังไมรูอะไร (ติ.) วิ. สกภาเวน น ายเตติ อฺโ พาโล (ผูใดไมรูได ดวยสภาวะ ของตนเอง เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อฺ ไดแก ผูยัง เปนเด็ก), [น + า ธาตุ + อ ปจจัย], ๓. คน พาล วิ. ทิธมฺมิกาทโย อตฺเถ น าติ น ชานาตีติ อฺโ อวิทฺวา พาโลติ อตฺโถ. (ผูใดไม รู ไมทราบทิฏฐธรรมิกัตถะเปนตน เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อฺ ไดแก คนไมมีปญญา คือคนพาล); อฺ ศัพท เมื่อใชในความหมายวา พาล (คน พาล) และ ทารก (ยังเด็ก) ไมจัดเปนสัพพนาม, เพราะไมใชสัพพนามจึงประกอบเปนวิเสสนะ ของ ปุริส, กฺา, จิตฺต ไดทุกเมื่อ อฺตร (ติ.สพฺ.) อื่น แปลกันมาวา คนใดคน หนึ่ง, สวนใดอันหนึ่ง วิ. อฺโ เอว อฺตโร (อฺ นั่นเอง ชื่อวา อฺตร); อฺตร และ อฺตม เปนอนิยมวิเสสนะ, [อฺ + ตร ปจจัยสกัตถ], อีกประการหนึ่ง อฺตร มี ความหมายวา คนใดคนหนึ่ง คือไมปรากฏ (อปากฏ) อฺติตฺถ (นปุ.) ความเชื่ออื่น, ความเห็นอื่น, ศาสนาอื่น, ทาคือความเชื่ออื่น วิ. สตฺตา เอตฺถ เอตาสุ ทฺวาสิยา ทิีสุ ตรนฺติ อุปฺปลวนฺติ อุมฺมุชฺชนิมฺมุชฺชํ กโรนฺติ อิติ ตสฺมา ตา ทิิโย ติตฺถํ (สัตวทั้งหลายยอมขาม คือลอยไป ไดแก ดำผุดดำวายลงไปในทิฏฐิ ๖๒ เหลานั้น เหตุนั้น ทิฏฐิเหลานั้น ชื่อวา ติตฺถ-ทาคือทิฏฐิเปนที่จมลง ของเหลาสัตว), [ตร ธาตุ อุปฺปลวเน ในความ ลอย + ถ ปจจัย กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน; หรือลง ถกฺ ปจจัย โมคฺ.๗/๘๘ วา ติตฺถาทโย, แปลง ร และสระที่สุด ต เปน อิ, ซอน ตฺ สำเร็จรูปเปน ติตฺถํ], วิ. อฺํ ติตฺถํ อฺติตฺถํ (ทาคือทิฏฐิเปนที่จมลงของเหลา สัตวอื่น ชื่อวา อฺติตฺถ) อฺติตฺถิย (ปุ.) ๑. เดียรถีย, คนถือลัทธิอื่น วิ. อฺํ ติตฺถํ เอเตสนฺติ อฺติตฺถิยา (ทาคือ ลัทธิอื่น แหงชนเหลานั่นมีอยู เหตุนั้น ชน เหลานั้นชื่อวา อฺติตฺถิยา), [ลง อิก ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต, แปลง ก เปน ย], ๒. ผู ประกอบในลัทธิอื่น วิ. อฺาการตาย อฺ- ติตฺเถ นิยุตฺตาติ อฺติตฺถิยา.(เหลาชนผู ประกอบอัญเดียรถีย เพราะอาการไมรูอะไร เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อัญญเดียรถีย), ลทฺธิ (ความเชื่อ, ความเห็น) ทานเรียกวา ติตฺถํ, ๓. ผู มีลิทธิอื่น วิ. อฺํ ติตฺถํ อฺติตฺถํ (ลัทธิอื่น ชื่อวา อฺติตฺถ) วิ. อฺติตฺถํ เอเตสํ อตฺถีติ อฺติตฺถิยา, ปริพฺพาชกาทโย. (ลัทธิอื่นของ ชนเหลานั่นมีอยู เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อัญญเดียรถีย ไดแก ปริพาชก เปนตน)


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๕๕ อฺถา (อพฺ.) โดยประการอื่น วิ. อฺเน ปกาเรน อฺถา (โดยประการ อื่น ชื่อวา อฺถา), ถา ปจจัยแทน ปการ รูป. ๔๒๑ วา สพฺพนาเมหิ ปการวจเน ตุ ถา, อุภยถา อิตรถา ยถา ตถา ก็นัยนี้, ลง ถตฺตา ปจจัย ไดรูปเปน อฺถตฺตา วิ. อฺเน ปกาเรน อฺถตฺตา (โดยประการอื่น ชื่อวา อฺถตฺตา), นัย เดียวกันเชน ตถตฺตา, ยถตฺตา เปนตน อีกนัย หนึ่ง อฺถา เปนนิบาต มีความหมายวา อื่น อฺถาภาว (ปุ.) ๑. ความเปนโดยประการ อื่น วิ. อฺเน ปกาเรน ภวนํ อฺถาภาโว (ความเปนโดยประการอื่น ชื่อวา อฺถาภาว), ไดแก การถึงอาการอื่น เพราะถึงภพอื่น; ๒. ความเปนอยางอื่นโดยอยางอื่น วิ. อฺถา อฺเน ภวนํ อฺถาภาโว (ความเปนโดย ประการอื่น ชื่อวา อฺถาภาว), [อฺถา + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + ณ ปจจัย], ๓. ความเปนอยางอื่นโดยภพ วิ. ภเวน อฺถาภาโว (ความเปนโดยประการอื่นโดย ภพ), หมายความวา ถึงอาการอื่นจากภพเดิม เชน กามาวจรสัตว เปลี่ยนภพเปนรูปาวจร และ มนุษย เปลี่ยนภพเปนเทวดา เพราะการถือเอา ภพใหม อฺภาคิย (นปุ.) ๑. เปนสวนอื่น วิ. อฺ- ภาคสฺส อิทํ อฺภาคิยํ (สิ่งนี้เปนของสวนอื่น ชื่อวา อฺภาคิยํ), นัยนี้เปนตัทธิต, [ณกิ ปจจัย, แปลง ก เปน ย] ๒. มีสวนอื่น วิ. อฺภาโค วา อสฺส อตฺถีติ อฺภาคิยํ (อีกนัยหนึ่ง สวนอื่น ของสิ่งนั้นมีอยู เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อฺ- ภาคิยํ), วิเคราะหนี้ลง อิก ปจจัยในตทัสสัตถิ ตัทธิต อฺวิหิต (ติ.) ๑. ผูมีอารมณอื่นอนัตั้งไวแลว วิ. อฺํ อารมฺมณํ วิหิตํ เยนาติ อฺวิหิโต, วิหิตฺารมฺมโณ ปุคฺคโล (อารมณอื่นอันบุคคล ใดตั้งไวแลว เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อฺวิหิต ไดแก ผูมีอารมณอื่นอันตั้งไวแลว), ๒. ใจลอย, ตั้งจิตไวในอารมณอื่น วิ. อฺสฺมึ อารมฺมเณ จิตฺตํ วิทหติ เปตีติ อฺวิหิโต (ผูใดทำคือวาง จิตไวในอารมณอื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อฺ- วิหิต) [อฺ + วิ + ธา ธาตุ ปเน ในความตั้งไว, ต ปจจัย, แปลง อา เปน อิ, เพราะ ต ปจจัย แปลง ธิ เปน หิ] อฺา (อิตฺ.) ธรรมชาติรูไมลวงขอบเขต วิ. ปมมคฺคาทีหิ ทิมริยาทํ อนติกฺกมิตฺวา ชานิตพฺพาติ อฺา มคฺคผลาณํ (สภาวะอัน บุคคลรูไมลวงเลยขอบเขตอันปฐมมรรคเปนตน เห็นแลว เหตุนั้น ชื่อวา อฺา ไดแก มรรค ญาณผลญาณ), [อา + า ธาตุ อวโพธเน ใน ความรู + อ ปจจัย, อา ปจจัยในอิตถีลิงค], ๒. สภาวะกำจัดสังโยชน วิ. รูปราคาทีนํ ปฺจนฺนํ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานโมธิวเสน มารณโต อฺา (ชื่อวา อัญญา เพราะกำจัดสังโยชน เบื้องสูง ๕ มีรูปราคะเปนตนโดยเปนขอบเขต), [อา ในความหมายวา ขอบเขต (มริยาทตฺโถ) + า ธาตุ มารณโตสนนิสาเนสุ ในความฆา ยินดี และลับ + อ ปจจัย เปนอิตถีลิงค] ๒. พระ อรหัตต วิ. คำวา อฺา หมายถึง อรหัตต. ดังที่ ทานแสดงไวใน มูลปณฺณาสฏีกา (ม.ฏี.๑/๔๙๐) วา ทสฺสนมคฺเคน าตมริยาทํ อนติกฺกมิตฺวา ชานนฺตี สิขาปฺปตฺตา อคฺคมคฺคปฺา อฺา นาม, ตสฺส ผลภาวโต อคฺคผลมฺปติ (อรหัตตมรรคญาณ ที่เปนปญญาชั้นสุด รูไมลวงเลย ขอบเขตตามที่โสดาปตติมรรครูแลว ชื่อวา


๕๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อัญญา แมอรหัตตผลญาณ ก็เรียกวา อัญญา เพราะเปนผลของญาณนั้น) อฺ ศัพทมี ความหมายวา รูทั่ว โดยมุงถึง มรรคญาณและ ผลญาณในทามกลาง (อนาคามิมรรค/ผล, สกทาคามิมรรค/ผล) หรืออรหัตผลญาณ; ๓. รู แลว วิ. อาชานิตฺวานาติ อฺา (รูทั่วถึงแลว ชื่อวา อฺา), [อา + า ธาตุ อวโพธเน ใน ความรู + ตฺวา ปจจัย แปลงเปน ย, กจฺ.๕๙๗ รูป.๖๔๑ วา สพฺเพหิ ตุนาทีนํ โย, ลบ ย กจฺ. ๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน, ๔. การรู วิ. อาชานนํ อฺา อฺาตุํ (การรูทั่วถึง ชื่อวา อฺา ไดแก ความรูทั่วถึง), [อา + า ธาตุ ใน ความรู + อ ปจจัย, ลง อา ปจจัยอิตถีโชตกอีก] อฺาณ (นปุ.) การไมรู, ความไมรู, โมหะ วิ. น ชานาตีติ อฺาณํ (ภาวะที่ไมรู ชื่อวา อฺาณ) บางคัมภีรปรากฏวา อาณํ, วิ. ายเต าณํ (อันเขารูอยู ชื่อวา ญาณ), ภาวสาธนะ, วิ. น าณํ อฺาณํ (อันเขารูอยู หามิได ชื่อวา อฺาณ), [น + า ธาตุ + ยุ ปจจัย, ซอน ฺ], โมหะ ไดชื่อวา อัญญาณะ เพราะเปนปฏิปกษตอญาณ, คำวา อนภิสมโย, อนนุโพโธ, อสมฺโพโธ, อปฺปฏิเวโธ, อสงฺคาหณา, อปริโยคาหณา, อสมเปกฺขนา, อปจฺจเวกฺขณา เปนไวพจนของ อฺาณ; พึงดูความโดยพิสดาร ที่อรรถกถามหานิเทส อฺาตพฺพ (นปุ.) ๑. อันเขาพึงรูชัด, -พึงรู ทั่วถึง, -พึงรูอยางมั่นคงจริงจัง วิ. ทฬฺหํ ชานิตพฺพนฺติ อฺาตพฺพํ (สิ่งใดอันเขาพึงรู อยางมั่นคงจริงจัง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อฺาตพฺพํ), [อา + า ธาตุ ในความรู + ตพฺพ ปจจัย] ๒. อันเขาไมพึงรู วิ. น ชานิตพฺพนฺติ อฺาตพฺพํ (สิ่งใดอันเขาไมพึงรู เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อฺาตพฺพํ), [น + า ธาตุ ในความรู + ตพฺพ ปจจัย] อฺาตาวินฺทฺริย (นปุ.) อินทรียของพระ ขีณาสพ, ปญญาของพระอรหันต ไดแก อรหัตผลญาณ วิ. จตฺตาริ สจฺจานิ อาชานิตฺถาติ อฺาตาวี (พระขีณาสพผูรูสัจจะ ๔ ชื่อวา อัญญาตาวี), อฺาตาวิโน ปรินิิตอาชานนกิจฺจสสฺขีณาสวสฺสอินฺทฺริยนฺติอฺาตาวินฺทฺริยํ (อินทรีย ของพระขีณาสพผูรูสัจจะ ผูทำกิจคือ การรูจบแลว เหตุนั้น ชื่อวา อัญญาตาวินทรีย), ตาวี ในที่นี้หมายถึง รูตลอดจบสิ้น (นิานวาจี) เชนคำวา วิชิตาวี, คำวา อฺาตาวินฺทฺริย นั้น เปนชื่อของอรหัตผลญาณ วิ. อฺาตาวีภาเว สมฺปยุตฺตธมฺเมหิ อินฺทํ กาเรตีติ อฺาตาวินฺทฺริยํวิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา (ธรรมชาติ ชื่อวา อัญญาตาวินทรีย เพราะอรรถวา ครอง ความเปนใหญ กวาสัมปยุตธรรมทั้งหลาย ใน ความเปนผูรูทั่วถึง) อฺาตก (ติ.) ๑. อันเขาไมรูแลว, อันเขาจำ ไมไดแลว, สิ่งที่ไมปรากฏ วิ. อมฺหากํ อิทนฺติ น าตพฺพนฺติ อฺาตํ, ตเมว อฺาตกํ, นิสีทนาทิ(ส่งิใดอันเขาจำไมไดวา นี้ของพวกเรา เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อฺาตํ, อฺาต นั่นเอง ชื่อวา อฺาตก ไดแก นิสีทนะ เปนตน), [น + า ธาตุ าเณ ในความรู + ต ปจจัย + ก สกัตถ], วิ. อมฺหากํ อิทนฺติ อฺาตํ อวิทิตนฺติ อฺาตกํ (สิ่งใดอันเขาไมรู คือไมปรากฏวา สิ่งนี้เปนของเรา ดังนี้ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อฺาตก), ๒. ไมใชญาติ (ติ.) วิ. น าตโก อฺาตโก (ผูไมใชญาติ ชื่อวา อัญญาตกะ), ในอิตถีลิงคเปน อฺาติกา ในคำนี้ อฺาต


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๕๗ บางแหงตัดบทเปน อา+าต (รูทั่วถึง) ก็ได บาง แหงตัดบทเปน น าต (ไมรู) ก็ได อฺาที (ปุ.) ปรากฏดุจคนอื่น, เหมือนคนอ่นื วิ. อฺโ วิย ทิสฺสตีติ อฺาที, อฺาทิกฺโข, อฺาทิโส (ผูใดปรากฏดุจคนอื่น เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อัญญาที ไดแก ผูปรากฏเชนกับคนอื่น, ผู ปรากฏเหมือนผูอื่น), [อฺ + ทิส ธาตุ เปกฺขเน ในความมองเห็น + กฺวิ ปจจัย ลบ กฺวิ, แปลง ส เปน อี, และ ส เปน กฺข, ทีฆะกลางศัพท] อฺาย (กิ.กิตฺ.) ๑. รูไมลวงเลยไปแลว, รูทั่วถึงแลว วิ. อนติกฺกมิตฺวา ชานิตฺวาติ อฺาย (การรูไมลวงเลยไป ชื่อวา อฺาย), [อา + า ธาตุ + ตฺวา ปจจัย แปลงเปน ย, กจฺ.๕๙๗ รูป.๖๔๑ วา สพฺเพหิ ตุนาทีนํ โย; อีกนัยหนึ่งวา อฺาย แปลวา รูทั่วแลว (อาชานิตฺวา) หรือ ลบ ย ดวยมหาสูตรวาไดรูปวา อฺา (รูทั่ว แลว) ก็มี ๒. เพื่อการรูทั่วถึง บางแหง อฺาย มีความหมายวา เพื่อประโยชนแกการรูทั่วถึง (อาชานนตฺถาย) อฺาสิโกณฺฑฺ (ปุ.) พระโกณฑัญญะ ผูอันพระศาสดาทรงพยากรณวา ไดรูแลว, พระอัญญาโกณฑัญญะ วิ. อฺาสิ อิติ พฺยากโต โกณฺฑฺโ อฺาสิโกณฺฑฺโ (พระโกณฑัญญะ อันพระศาสดาทรงพยากรณ วา ไดรูแลว ดังนี้ จึงชื่อวา อฺาสิโกณฺฑฺโ), อฺเ จาติ นิรุตฺติทีปนีสุตฺเตน ตฺยาทิสทฺทาป สฺาภาวํ ปตฺตา นิปาตรูปา โหนฺติ (แมกิริยา ศัพทและนามศัพทครั้งถึงความเปนชื่อแลว ก็ยอมเปนนิบาตไป ดวยสูตร นิรุตฺติ.๔๑๓ วา อฺเ จ), การสมาสกิริยากับบทอื่นๆ โดยนัย เดียวกัน เชน อตฺถิขีรา คาวี (แมโค มีน้ำนมมาก ชื่อวา อตฺถิขีรา), นสนฺติปุตฺตา อิตฺถี (หญิง ไมมี บุตร ชื่อวา นสนฺติปุตฺตา), มกฺขลิโคสาโล (เดียรถียชื่อมักขลิโคสาล), อตฺถิ หุตฺวา ปจฺจโย อตฺถิปจฺจโย (ปจจัยโดยความมีอยู ชื่อวา อตฺถิปจฺจโย), โดยนัยเดียวกัน นตฺถิปจฺจโย (ปจจัยโดยความไมมี), อโหสิ เอว กมฺมํ อโหสิกมฺมํ (กรรมคืออโหสิ ชื่อวา อโหสิกมฺม), อสุโก อิติ อาห อสุโก อิติ อาห, อสุกสฺมึ วา คนฺเถ อิติ อาห อสุกสฺมึ คนฺเถ อิติ อาหาติ เอวํ ปวตฺตวจนํ อิติหิติหํ (คำพูดอันเปนไปแลวอยาง นี้วา กลาวแลววา บุคคลโนน, กลาวแลววา บุคคลโนน, หรือวา กลาวแลววา ในตำราโนน, กลาวแลววา ในตำราโนน ชื่อวา อิติหิติหํ) ตฺยาทิสทฺทาป สฺาภาวํ ปตฺตา นิปาตรูปา โหนฺติ, สฺยาทิรูปา จ. ตสฺมา เตป อิมสฺมึ สุตฺเต สงฺคยฺหนฺติ (แมกิริยาศัพท และนามศัพทครั้งถึง ความเปนชื่อแลว ก็ยอมเปนนิบาตไป. เพราะ เหตุนั้น แมกิริยาและนามศัพทที่เปนชื่อเหลานั้น จึงสงเคราะหอยูในสูตรนี้ดวย) อฺนฺทฺริย (นปุ.) อัญญินทรีย, อินทรียอัน เปนอัญญะ, ปญญาอันรูทั่วถึง วิ. อาชานาติ ปมมคฺเคน ทิมริยาทํ อนติกฺกมิตฺวา ชานาติ อินฺทฺริยฺจาติ อฺินฺทฺริยํ(สภาพที่รูทั่วถึง คือรู ไมลวงเลยขอบเขตที่โสตาปตติมรรคไดเห็นแลว ดวย อินทรียดวย เหตุนั้น ชื่อวา อัญญินทรีย), ใน มณิมฺชูสา วา ‘ชานาตีติ ํ, ปมมคฺเคน ทิมริยาทํ อนติกฺกมิตฺวา ํ อฺํ, อาการสฺส รสฺสตฺตํ, ตฺจ ตํ อินฺทฺริยฺจาติ อฺินฺทฺริยนฺติ อตฺถํ ทสฺเสติ อาชานาตีติอาทินา (สภาวะใดยอม รู เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา ญ, สภาวะที่รูไม ลวงเลยขอบเขตที่โสดาปตติมรรคไดเห็นแลว ชื่อวา อัญญะ, รัสสะ อา เปน อ, สภาวะที่รูนั้น ดวย อินทรียดวย ชื่อวา อัญญินทรีย ทานแสดง


๕๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เนื้อความดังนี้ดวยคำวา อาชานาติ เปนตน) หมายความวา อินทรียที่รูสัจจะ ๔ อันมรรค นั้นๆ รูแลว ไมลวงเลยขอบเขตตามที่โสตาปตติ มรรครูแลว, คำวา อัญญินทรีย นี้เปนชื่อของ โสตาปตติผลญาณ จนถึงอรหัตตมรรคญาณ วิ. อฺาตานํเยว ธมฺมานํ ปุน อาชานเน สมฺปยุตฺตธมฺเมหิ อินฺทํ กาเรตีติ อฺินฺทฺริยํ (ธรรมชาติที่ชื่อวา อัญญินทรีย เพราะครอง ความเปนใหญกวาสัมปยุตธรรม ในเพราะรูทั่ว ธรรมที่เคยรูมาแลวอีก) อฺเยฺย (ติ.) ๑. ภาวะอันเขาพึงรูทั่ว วิ. อาชานิตพฺโพติ อฺเยฺโย (ภาวะใดอันเขา พึงรูทั่ว เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อัญเญยยะ), [อา + า ธาตุ พุชฺฌเน ในความรู + ณฺย ปจจัย + ซอน ฺ, รัสสะ อา เปน อ, แปลง อา เปน เอ, ซอน ยฺ], ๒. ภาวะอันเขาไมรูทั่ว (ติ.) น ชานิตพฺโพติ อฺเยฺโย (ภาวะใดอันเขายังไมรู เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวาอัญเญยยะ), [น + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู+ ณฺย ปจจัย, แปลง น เปน อ, ซอน ฺ], ๓. สิ่งที่ควรเพื่ออันรูทั่ว (นปุ.) อาชานิตุํ อรหตีติ อฺเยฺยํ (สิ่งใดควรเพื่อจะรู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อัญเญยยะ), [อา + า ธาตุ อวคมเน ในความรู + ฆฺยณฺ ปจจัย, แปลง อา ที่ า เปน เอ, ซอน ย] อฏฏ (นปุ.) อฏฎะ ชื่อมาตรานับตอจาก อัพพะ วิ. อฏติ คจฺฉตีติ อฏฏํ (สิ่งใดไปคือดำเนินไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อัฏฏะ), จำนวนเทาเขียน เลข ๑ ประกอบเลข ๐ ลงไป ๘๔ ตัว, [อฏ ธาตุ คมเน ในความไป + ฏ ปจจัย] จำนวนรอยแหง แสนอัพพะคือวา อฏฏะ. อฏนิ (อิตฺ.) แมแคร วิ. อยเต คมฺมเตติ อฏนิ มฺจงฺโค (สวนประกอบเตียงอยางหนึ่งอันเขาไป ถึง เหตุนั้น ชื่อวา อฏนิ ไดแก แมแคร), ศัพทนี้ เปนอิตถีลิงค, [อฏ ธาตุ คมเน ในความไป + อนิ ปจจัย โมค.๗/๑๑๒ วา วตฺตาฏาวธมาเสหฺยนิ อฏนี (อิตฺ.) แมแคร วิ. อฏติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อฏนี (สวนประกอบเตียงอยางหนึ่งที่ไป คือ ดำเนินยื่นยาวไป เหตุนั้น ชื่อวา อฏนี), [อฏ ธาตุ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, อี ปจจัยในอิตถีลิงค] อฏวี (อิตฺ.) ดง, ที่เที่ยวเดินไป วิ. อฏนฺติ คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ อฏวี (ชนทั้งหลายเที่ยวไปในแดนนั้น เหตุนั้น แดนนั้นชื่อวา อฏวี), [อฏ คมเน + อว ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค], ๒. ดง, ที่งอก งามขึ้นขางบน (อิตฺ.) วิ. อุทฺธํ ฏวติ วิรูหตีติ อฏวี (ดงที่งอกเงยขึ้นขางบน เหตุนั้น ดงนั้นชื่อ วา อฏวี), [อุ +  ธาตุ วิรูหเน ในความงอกงาม + อ ปยจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อุ เปน อ, แปลง อุ เปน อว], ๓. ดง, ที่มีหินศิลา, ที่มีภูเขา (อิตฺ.) วิ. อฏา อวยโว เสลา เอตฺถาติ อฏวิ อฏวี (สวนประกอบคือหินในประเทศนี้มี อยู เหตุนั้นประเทศนั้นชื่อวา อฏวิ, อฏวี), [อฏ + อิ/อี ปจจัย + ว อาคม], ๔. ดง, ที่ไปเก็บ เครื่องไม วิ. ทพฺพสมฺภารานิ อฏนฺติ คณฺหนฺติ เอตฺถาติ อฏวิ อฏวี (ชนทั้งหลายเที่ยวไปกับ ทัพพสัมภาระในแดนนั้น เหตุนั้น แดนนั้นชื่อวา อฏวิ, อฏวี), [อฏ ธาตุ + อิ ปจจัย + อี ปจจัยใน อิตถีลิงค + ว อาคม], ๕. ดง, ประเทศที่พวก โจรเบียดเบียนมนุษย วิ. โจราทโย มนุสฺเส อา ภุโส ฏวนฺติ ปฬยนฺติ เอตฺถาติ อฏวิ อฏวี (โจร เปนตน เบียดเบียนพวกมนุษยอยางทารุณ ใน แดนนั้น เหตุนั้น แดนนั้นชื่อวา อฏวิ อฏวี), [อา + ธาตุปฬเน ในความเบียดเบยีน + ณ ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค ลบ ณ อนุพันธ + แปลง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๕๙ อุ เปน อว, รัสสะ อา เปน อ] ศัพทนี้เปน อิตถี- ลิงค อฏฏ (ปุ.) ๑. คดี วิ. อฏตีติ อโฏ ยุติ (สิ่งใดยอม เปนไปหรือเกิดขึ้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฏ ไดแก คดีความ] เชน วินย.อ.๒/๕๑๘ วา อฏการโก (ผกอคดีู ความ), [อฏ ธาตุ คมเน อภิโยเค วา ในความไป หรือความเกิดขึ้น + ฏ ปจจัย], ๒. คดี, ดคีความที่เปนเหตุใหคูความอึดอัด วิ. ปจฺจตฺถิกา อฏิยนฺติ ทุกฺขายนฺติ เอเตนาติ อโฏ, วินิจฺฉิตพฺพโวหาโร (คูความยอมอึดอัด หรือลำบากใจ เพราะสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฏ ไดแก การฟองรองที่ตองตัดสิน), เชน กูฏฏํ กตฺวา (ทำคดีโกง) [อฏ ธาตุ ปฬเน ใน ความเบียดเบียน + อ ปจจัย], ๓. โรงกลม, มัณฑลมาฬ, เรือนจตุรมุข วิ. อฏตีติ อโฏ มาโฬ (สิ่งใดยอมเปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฏ ไดแก เรือนยอด), หมายถึง โรงที่เหมือน หอฉัน (โภชนสาลา) โรงกลม (มณฺฑลมาโฬ) แต ในอรรถกาวินัย (วินย.อ.๒/๑๗๙) วา มาโลติ เอกกูฏสงฺคหิโต จตุรสฺสปาสาโท (ปราสาท ๔ เหลี่ยมจัตุรัส อันสงเคราะหเขาดวยยอดเดียวกัน ชื่อวา เรือนยอดเดียว), กาโร วา ยถา อฏพนฺธนาทึ ภินฺทิตฺวาติ (อีกนัยหนึ่งแปลวา เรือนจำ เชน ทำลายเครื่องผูกที่เขาจองจำไว), [อฏ ธาตุ คมเน พนฺธเน วา ในความไปหรือ ความผูก + อ ปจจัย], ๔. ปอม วิ. อฏติหึสตตีิ อโฏ อฏาลโก (อาคารที่ขจัดคือเบียดเบียน เหตุนั้น อาคารนั้นชื่อวา อฏ ไดแก ปอม), วินย.อ.๒/๑๗๙ วา อโฏติ ปฏิราชาทิ- ปฏิพาหนตฺถํ อิกาหิ กโต พหลภิตฺติโก จตุปฺจภูมิโก ปติสฺสยวิเสโสติ วุตฺตํ โหติ (บทวา อโฏ “ปอม” คือสถานที่พักพิเศษที่มี ๔ หรือ ๕ ชั้น สรางดวยอิฐมีผนังหนา เพื่อปองกัน พระราชาผูเปนปฏิปกษ เปนตน), [อฏ ธาตุ อติกฺกมหึสาสุ ในความกาวไปและความ เบียดเบียน + อ ปจจัย], ๕. อันตราย, ความ อาดูร, เรือนจำ วิ. อฏติ หึสตีติ อฏํ อนฺตราโย (สภาวะใดเบียดเบียน เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา อฏ ไดแก อันตราย),อีกนัยหนึ่งแปลวา การา คือ เรือนจำ เชน คำวา พันธนาการที่เรือนจำ เปนตน, อฏ ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + อ ปจจัย]. วิ. ปิโต ทุกฺขิโต พาธิโต อโฏ อาตุโร (สภาพที่บีบคั้น กดดัน กอความลำบาก ชื่อวา อฏ ไดแก ความอาดูร), [อฏ ธาตุ อนาทเร ในความไมเอื้อเฟอ + ต ปจจัย]. ใน ความหมายนี้ บางแหงปรากฏปาฐะวา อฏิโต ก็มี อฏฏก (ปุ.) ราน, นั่งราน, หาง วิ. อฏติ พนฺธติ เอตฺถาติ อฏโก เวหาสมฺโจ (เขาผูกมัดไวที่นนั่ เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อฏก ไดแก นั่งราน), [อฏ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + ก ปจจัย]. ปาฐะวา อโฏ ก็มี, เชน อฏํ วา พนฺธนฺติ (พวกเขาผูก นั่งรานไว) อฏฏการี(ปุ.) ผูกอคดีโดยปกติ, คูความ, ลูกความ วิ. อโฏติ โวหาริกวินิจฺฉโย วุจฺจติ, ยํ ปพฺพชิตา อธิกรณนฺติป วทนฺติ. อฏํ กโรติ สีเลนาติ อฏการี (การวินิจฉัยของผูพิพากษา เรียกวา อฏ-คดี, ซึ่งบรรพชิตเรียกกันวา อธิกรณ, ผูใดยอมกอคดี โดยปกติ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อฏการี), [อฏ + กร ธาตุ กรเณ ใน ความทำ + ณี ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และ พฤทธิ์ อ เปน อา], ปาฐะวา อฏการโก, ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก


๖๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อฏฏหาส (ปุ.) หัวเราะมาก, หัวเราะเสียงดัง วิ. อโฏ หาโส อฏหาโส. อติกฺกนฺโต หาโส อฏหาโส, มหาหาโส (การหัวเราะที่ดังขึ้น ชื่อวา อฏหาส คือหัวเราะเกินขอบเขต ชื่อวา อฏหาส ไดแก หัวเราะเสียงดัง), [อติ + หาส ธาตุ, แปลง ต เปน ฏ, ซอน , แปลง อิ เปน อ] อฏฏาลก (ปุ.) ปอม, ปอมยาม, หอคอย วิ. อฏติ หึสตีติ อฏาลโก อโฏ, อฏธาตุ, อาลโก (อาคารใดเบียดเบียน เหตุนั้น อาคารนั้น ชื่อวา อฏ, อฏ ธาตุ, คือหอคอย), วิ. อฏํ อลติ นิวาเรตีติ อฏาลโก (อาคารใดปองกันคือ กั้นอันตรายไว เหตุนั้น อาคารนั้น ชื่อวา อฏาลก), อฏ + อล ธาตุ นิวารเณ ในความ หาม + ณฺวุ ปจจัย], ปาฐะวา อฏาล ก็มี, ใน วิมติวิโนทนี (วิมติ.ฏี.๑/๓๖๖) วา โคปุรฏาลกยุตฺตนฺติ เอตฺถ ปากาเรสุ ยุทฺธตฺถาย กโต วงฺกสณฺาโน สรกฺเขปฉิทฺทสหิโต ปติสฺสยวิเสโส อฏาลโก (อฏาลก “ปอม” ในคำวา โคปุรฏาลกยุตฺตํ นั้น หมายถึง ที่พักพิเศษ ประกอบดวยชองและเครื่องลอมทำเปนสัณฐาน โคงเพื่อประโยชนแกการรบบนกำแพง) อฏฏิ (อิตฺ.) ความเจ็บไข, ความเบียดเบียน วิ. สตฺเต อฏติ อภิภวตีติ อฏิ พฺยาธิ (สภาวะ ใดยอมเบียดเบียนครอบงำสัตวทั้งหลาย เหตุนั้น สภาวะนั้น ชื่อวา อฏิ), [อฏ ธาตุ อภิภวเน ใน ความครอบงำ + อิ ปจจัย] อฏิ ศัพทเปน อิ การันตในอิตถีลิงค อฏฏิต (ติ.) อันเขาเบียดเบียนแลว, อันเขากดขี่, ถูกทำใหลำบาก วิ. ปิโต เขทิโต วา อฏิโต (ผูอันเขาบีบคั้น กดดันใหลำบาก ชื่อวา อฏิต), [อฏ ธาตุ วธเขทเนสุ ในความฆาและทำให ลำบาก + ต ปจจัย + อิ อาคม] อฏฏิยมาน (กิ.กิต.ติ.) อันเขาประพฤติกดขี่อยู, ประพฤติลำบากอยู, เบียดเบียนอยู, เบื่ออยู, ระอาอยู วิ. อโฏ กรียเตติ อฏิยมาโน, ปิยมาโนติ อตฺโถ (ความเบียดเบียนอันเขา กระทำอยู ชื่อวา อฏิยมาน ไดแก เบียดเบียน อยู), [อฏ ใชเปนนามธาตุ-นามนามใชเปนดุจ ธาตุ + อิ ปจจัยลงทายนามในอรรถแหงธาตุ, โมค.๕/๑๒ วา ธาตฺวตฺเถ นามสมฺ + ย และ มาน ิ ปจจัย, อิ อาคม] นัยเดียวกัน อฏิยนํ หรือ อฏิยนา, ลง ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ, แปลงเปน อน อฏฏียน (นปุ.) ระอา, เบื่อหนาย, รังเกียจ วิ. อฏียิตพฺพนฺติ อฏียนํ (อันเขาเบื่อหนาย ชื่อวา การเบื่อหนายอาดูร), [อฏ ธาตุ อนาทเร ในความไมเอื้อเฟอ + อีย หรือ อีย ปจจัยตอทาย อฏ ซึ่งเปนนามใชเปนดุจธาตุ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] นัยเดียวกัน อฏียนฺโต ลง อนฺต ปจจัย ในกัตตุวาจก, อฏียิตฺวา ลง ตฺวา ปจจัย อฏก (ปุ.นปุ.) ๑. ผูทำประโยชน, ผูสอน ศาสตร, ผูสรางตำรา, ฤษีผูแตงมนต วิ. อตฺถํ หิตํ อตฺเถ วา สตฺเถ กโรตีติ อโก, มนฺตสฺส กตฺตา อิสิ (ผูใดยอมกระทำซึ่งประโยชนเกื้อกูล หรือกระทำซึ่งศาสตร เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อัฏฐกะ ไดแก ฤษีผูทำมนต), [อตฺถ + กร ธาตุ + กฺวิ ปจจัย, ลบ กฺวิ, แปลง ตฺถ เปน ], ๒. หมวด ๘, ประชุมแหง... ๘, มีปริมาณ ๘ หนวย (ปุ.ติ.) วิ. อนฺนํ สมูโห, อ วา ปริมาณานิ ยสฺสาติ อโก อกํ (ประชุมแหง สิ่งนั้น ๘ ชื่อวา อัฏฐกะ หรือปริมาณ ๘ ของสิ่ง ใด สิ่งนั้นชื่อวา มีประมาณ ๘), ก ปจจัยในตัทธิต ในปทรูปสิทธิ กจฺ.๓๙๒ รูป.๔๑๘ วา ทฺวาทิโต โกเนกตฺเถ จ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๖๑ อฏกถา (อิตฺ.) อรรถกถา, วาจาเปนเครื่อง กลาวเนื้อความ วิ. อตฺโถ กถิยติ อุทฺธริยติ เอตายาติ อกถา, อตฺถกถา วา สํวณฺณนา (เนื้อความอันทานกลาว คือไขความดวยวาจา นั่น เหตุนั้น วาจานั้น ชื่อวา อัฏฐกถา, อัตถกถา ไดแก วาจาเปนเครื่องพรรณนา), [อตฺถ + กถ ธาตุ กถเน ในความกลาว + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง ตฺถ เปน ] ก็ในที่นี้ พึงทราบวา คำวา อตฺถกถา ทานสะกดดวย ตฺถ อักษร เพราะไดอิทธิพลของภาษาสันสกฤต, อักษร ฏ วรรค ซึ่งเปนทันตชะ เมื่อมาถึงภาษา บาลีจะถูกเปลี่ยนเปน ต วรรค ซึ่งเปนมุทธชะ, ที่จริง ในสันสกฤตมีรูปวา อรฺถกถา คือ อตฺถกถา, นัยเดียวกันนี้เชน อฑฺโฒ อรฺทฺธะ อทฺโธ, อุานํ อุตฺสฺถานมฺ อุตฺถานํ, วุโ วฺฤสฺตฺถะ วุตฺถะ, วุ านํ ว ฺ ฤส ฺ ถานมฺ ว ุ ต ฺ ถานํ อ ุ ต ฺ ถานํ, ววเปตพฺโพ ววตฺถเปตพฺพะ, สงฺขตโ สํสฺกฤตารฺถะ, สณฺานํ สํสฺถานมฺ, โวปนํ วฺยวสฺถาปนมฺ, คณฺโ คฺรนฺถะ คนฺโถ, คณฺิ คฺรนฺถิ คนฺถิ, ฑาโห ทาหะ, นิคณฺโ นิรฺคฺรนฺถะ นิคนฺโถ, ปฏิปตฺติปฺรติปตฺติ, ปโม ปฺรถมะ ปถโม, ปวี ปฺฤถวี ปถวี, วฑฺโฒ วุฑฺโฒ วฺฤทธฺะ วทฺโธ วุทฺโธ, วฑฺฒิ วุฑฺฒิ วฺฤทฺธิ วทฺธิ วุทฺธิ อฏงฺคิก (ปุ.) (มรรค) มีองค๘ วิ. อตฺตโน อวยวภูตานิ อ องฺคานิ องฺคานิ. ตานิ เอตสฺส สนฺตีติ องฺคิโก (องคอันเปน สวนประกอบของตน ๘ ชื่อวา อัฏฐังคะ-องค ๘, องค ๘ นั้นของมรรคนั่นมีอยู เหตุนั้น มรรคนั้น ชื่อวา อัฏฐังคิก-มรรคมีองค ๘), [อิก ปจจัยใน ตทัสสัตถิตัทธิต], ที่จริง ที่เรียกวามรรค เพราะ เปนประชุมแหงองคประกอบแหงมรรค ธรรมดา ที่ประชุมก็มีองคประชุมยอมๆ แตวาโดยปรมัตถ องคแหงมรรคทั้งหลายนั่นเอง ประชุมรวมกัน เปนมรรค เหมือนดนตรีมีเครื่องดนตรี ๕ ชิ้น รวมกันเปนวงเดียว และมรรคที่พนไปจากองคก็ หามิได เหมือนอยาง พระเวทยตองมีองค ๖, องคมรรคแตละองคนั้นเองรวมกันวา มรรค (สารตฺถ.ฏี.๔/๖๐), เชน สมฺมาทิิ มคฺโค เจว เหตุ จาติ. (อภิ.สํ.๓๔/๖๘๒/๒๖๗) (สัมมาทิฏฐิ เปนมรรคดวย เปนเหตุดวย) อฏธา (อพฺ.) มี ๘ ชนิด, มี ๘ ประการ, มี ๘ สวน วิ. อวิธา ปการา เอเตสนฺติ อธา (ประการทั้งหลาย ๘ ชนิด ของสภาวะเหลานั้น เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา มี ๘ ชนิด), [อ + ธา ปจจัย] อฏปท (ปุ.นปุ.) กระดานหมากรุก, กระดานมี แถวละ ๘ ตา วิ. อปทานิ เอตสฺส สนฺตีติ อปทํ (ตา ๘ ตามีที่กระดานนั่น เหตุนั้น กระดานนั้นชื่อวา อัฏฐปทะ), วิ. เอเกกาย ปนฺติยา อ อ ปทานิ อสฺสาติ อปทํ (ตา หมากรุก ๘ ตาในแตละแถว ของกระดานนั้นมี อยู เหตุนั้น กระดานนั้นชื่อวา อัฏฐปทะ), ทีฆะ สระหลัง อ สำเร็จรูปเปน อาปท ก็มี เชน สาริผลเก อาปทํ (ตาหมากรุกในกระดาน หมากรุก), ศัพทนี้ใชทั้งปุงลิงค และนปุงสกลิงค อฏมี (อิตฺ.) ที่แปด วิ. อนฺนํ ติถีนํ ปูรณี อมี (ดิถี เปนที่เต็มแหง ๘ ดิถี ชื่อวา อมี), [อี ปจจัย ในปูรณตัทธิต], ปกฺขสฺส ปมทิวสโต ปภุติ อนฺนํ ปูรณี เอกา รตฺติ อมี อฑฺฒจนฺทาทิภาโว หิ รตฺติยา อุปลกฺขณวเสน ปฺาณํ โหติ ยสฺมา อฑฺโฒ, ตสฺมา อมี. ยสฺมา อูโน, ตสฺมา จาตุทฺทสี. ยสฺมา ปุณฺโณ, ตสฺมา ปนฺนรสีติ (ที่ชื่อวาวันอัฏฐมี คือราตรีหนึ่ง นับจากวัน ๑ ค่ำแหงปกษ เปนที่เต็มแหง ๘


๖๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ราตรี, จริงอยู ความที่พระจันทรครึ่งดวงเปนตน เปนเครื่องกำหนด โดยกำหนดตามค่ำ เพราะ พระจันทรครึ่งดวง ฉะนั้น จึงเรียกวา อัฏฐมี-๘ ค่ำ, เพราะพระจันทรพรอง ฉะนั้น จึงเรียกวา จาตุทฺทสี-วัน ๑๔ ค่ำ, เพราะพระจันทรเต็ม จึงเรียกวา ปนฺนรสี-วัน ๑๕ ค่ำ), กตฺถจิ ปน วุตฺตํ อนิจฺจตาเยว อมีติ วินาสภาโว เอว อโม. องฺคโมติ อตฺโถ (แตในบางแหง ทานอธิบาย วา ความไมเที่ยงนั่นเอง ชื่อวา อมี เหตุนั้น ความเสื่อมสูญไปนั่นแล จึงชื่อวา อโม หมายถึง ถึงการตั้งอยูไมได) อฏสาลินี (อิตฺ.) อัฏฐสาลินี, ชื่ออรรถกถา พระอภิธรรม ๑. คัมภีรที่มีเนื้อหาเปนสาระคือ เปนประดุจแกน วิ. สาโร วิย สาโร อตฺโถ สาโร ตถา. โส เอติสฺสา อตฺถีติ อสาลินี (สิ่งที่ เปนประดุจแกน ชื่อวา สาระ, เนื้อความเปน ประดุจแกน ชื่อวา อตฺถสาร, เนื้อความเปน ประดุจแกน ของอรรถกถานั่นมีอยู เหตุนั้น อรรถกถานั้นจึงชื่อวา อสาลินี-อรรถกถาที่มี เนื้อความอันเปนสาระ), [อี ปจจัย ในตทัสสัตถิ ตัทธิต + นี ปจจัยในอิตถีลิงค ดวย ปโยคสิทฺธิ ปา วา ยุวณฺเณหิ นี ] เชน อุปฺปลินี, กุมุทินี เปนตน, คำวา อตฺถสาลินี นั่น ทานกลาวไววา อสาลินี โดยแปลง ตฺถ เปน  ๒. คัมภีรที่มี เนื้อความอุดม วิ. อุตฺตโม วา อตฺโถ อตฺถสาโร. โส เอติสฺสา อตฺถีติ ตถา (อีกประการหนึ่ง เนื้อความอันอุดม ชื่อวา อตฺถสาร, เนื้อความอัน อุดมนั้น ของอรรถกถานั้นมีอยู เหตุนั้น อรรถกถานั้นชื่อวา อัฏฐสาลินี) ๓. คัมภีรเปนที่ ประกาศเนื้อความ, -เปนเครื่องประกาศ เนื้อความ วิ. อตฺโถ วา สริยติ ปสาสิยติ เอตฺถ เอตาย วาติ อสาลินี (เนื้อความอันทานทำให ชัดเจน คือประกาศในอรรกถานั้น หรือดวย อรรถกถานั้น เหตุนั้น อรรถกถานั้นจึงชื่อวา อัฏฐสาลินี), [อตฺถ + สร ธาตุ ปกาสเน ในการ ประกาศ + ณี ปจจัย + อินี ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง ร เปน ล] อฏิ (นปุ.) ๑. กระดูก วิ. อสติ เขเปตีติ อิ (สิ่งใดสิ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อัฐิ), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + ติ ปจจัย, แปลง สฺต เปน ิ], ๒. กระดูก, สิ่งที่ทิ้งกาลเวลานานไว ตลอดกาลนาน วิ. อทฺธานํ อสติ เขเปตีติ อิ (สิ่งใดทิ้งหรือทำใหเวลานานสิ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อัฐิ), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความสิ้น ไป + อิ ธาตุ, แปลง ส เปน , ซอน , ๓. เมล็ด, สิ่งที่เขาไมทิ้งไป วิ. อสิยตีติ อิ, ยํ ธมฺมชาตํ สตฺเตหิ อสิยติ ขิปยติ อิติ ตสฺมา ตํ ธมฺมชาตํ อีติ อตฺถโยชนา (ธรรมชาติใด อันสัตว ทั้งหลายทิ้งเสีย เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อัฏฐิ-เมล็ด), [อส ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + ิ ปจจัย กจฺ.๖๓๘ รูป.๖๖๐ วา วชาทีหิเปนตน, ลบ ส ที่สุดธาตุ กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, ซอน ], ๔. เมล็ด, สิ่งที่เปนเหตุตั้งอยู มั่นคง วิ.อา ภุโส ติติ เอเตนาติอิ (พันธไม ตั้งอยูมั่นคงดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อัฏฐิ-เมล็ด), [อา + า ธาตุ าเน ในความตั้งอยู + อิ ธาตุ, ซอน , รัสสะ อา เปน อ], ๕. กระดูก, สิ่งที่เปนแกนในรางกาย วิ. สรีเร สาโร อสติ ภวตีติ อิ (แกนสำคัญมีในรางกาย เหตุนั้น แกนนั้นชื่อวา อัฐิ), [อส ธาตุ ภุวิ ในความมี + อิ ปจจัย + แปลง ส เปน ]. อิ ศัพทเปน อิ การันตในนปุงสกลิงค ปรากฏความหมายวา เมล็ด (พีช) และกระดูก (ธาตุ); แตในคัมภีร มณิสารมฺชูสา วา อิ ศัพทเปนปุงลิงคก็มี


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๖๓ อฏิก (ติ.) มีกระดูก, มีเมล็ด, มีความสำคัญ, มี ประโยชน วิ. อิ อสฺมิมตฺถีติ อิกํ ผลํ (เมล็ด ในผลไมนั้นมีอยู เหตุนั้น ผลไมนั้นชื่อวา อิกํ), [อิก ปจจัย ในตทัสสัตถตัทธิต], สำหรับ ในคำวา อิกํ นี้ มีตัวอยางวา อิเกหิ กทลิผเลหิ กตปานํ วินย.๓/๒๒๖ (ปานะที่ทำจากผลกลวย มีเมล็ด) อฏิกตฺวา (กิ.วิ.) ๑. ทำใหมีประโยชน, วิ. อิกภาวํ อตฺถิกภาวํ กตฺวา อิกตฺวา, อตฺถิโก หุตฺวาติ อตฺโถ (ทำใหมีคุณคา คือทำใหมี ประโยชน ชื่อวา อิกตฺวา, หมายความวา เปน สิ่งที่มีประโยชน), คำวา อิ ในที่นี้ วิ. อตฺโถ ยสฺสตฺถีติ อิ(ประโยชนของสิ่งใดมีอยูเหตุนนั้ สิ่งนั้นชื่อวา อิ), [แปลง ตฺถ เปน  + อี ปจจัยในตทัสสัตถตัทธิต, รัสสะ อี เปน อิ] วิ. อถ วา อตฺโถ ยสฺสตฺถีติ อิโก (อีกนัยหนึ่ง ประโยชนของสิ่งใดมีอยู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อิโก) [อิโก] ๒. ทำใหมีคุณคา, ทำใหเปน ของที่นาปราถนา วิ. อตฺถยิตพฺโพ อิจฺฉิตพฺโพติ วา อิโก (สิ่งใดอันเขาพึงปรารถนา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อิก), [อตฺถ ธาตุ ปตฺถเน ในความ ปรารถนา + ณฺวุ ปจจัย ใชเปนกัมมสาธนะ แปลงเปน อก, แปลง อ เปน อิ] อิกอิติ นามสทฺทโต ตฺวาปจฺจโย กาตพฺโพ. อิกตฺวาติ อิทํ ปทํ กิริยาวิเสสนํ. กิริยาวิเสสเน วตฺตมาเน กรธาตุ วา ภูธาตุ วา โยเชตพฺพา (พึงประกอบ ตฺวา ปจจัย ทายศัพทนามวา อิก. บทวา อิกตฺวา นี้ เปนกิริยาวิเสสนะ. เมื่อจะใชเปน กิริยาวิเสสนะ ควรประกอบ กร ธาตุ หรือ ภู ธาตุ), ปาฐะวา อึกตฺวา ก็มี เพราะปรากฏ ตัวอยางในประโยควา อึกตฺวา อตฺถํ กตฺวา, อตฺถิโก วา หุตฺวา (อึกตฺวา คือทำใหมี ประโยชน หรือเปนสิ่งที่มีประโยชน) อฏิต (ติ.) ๑. อธิษฐานแลว, ตั้งไวมั่นแลว, คิด แลว วิ. อธิาโต ิปโต จินฺติโต วาติ อิโต (อันเขาอธิษฐานแลว ตั้งไวแลว หรือคิดแลว เหตุนั้น ชื่อวา อิต), [อา + า ธาตุ อธิาน- ปนจินฺตเนสุ ในความตั้งมั่น ความตั้ง และ ความคิด + ต ปจจัย + อิ อาคม, ซอน  รัสสะ อา เปน อ], ๒. ไมดำรงอยูแลว (ติ.) น วา ิโตติ อิโต (ผูใดไมดำรงอยูแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อิต), [น + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในการหาม การไปคือตั้งอยู + ต ปจจัย, แปลง อา เปน อิ] นัยเดียวกัน อตฺวา ลง ตฺวา ปจจัย อฏิเวธก (ติ.) ผูเจาะกระดูก วิ. อึ วิชฺฌตีติ อิเวธโก (ผูใดเจาะกระดูก เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อัฏฐิเวธกะ), [อิ + วิธ ธาตุ วิชฺฌเน ในความ แทง, เจาะ + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก] อฑฺฑ (ปุ.) คดี, การสืบสวน, การดำเนินคดี, อธิกรณ วิ. ปริเยสนํ คมนํ อธิกรณํ วา อฑฺโฑ โวหาริกวินิจฺฉโย (การสืบสวน การดำเนินคดี อธิกรณ ชื่อวา อัฑฑะ ไดแก การวินิจฉัยตุลา การ), [อฑฺฑ ธาตุ ปริเยสนคติอธิกรเณสุ ในการ แสวงหา การไป และอธิกรณ + อ ปจจัย] วิ. อฑฺฑนํ อภิยุฺชนํ อฑฺโฑ อโฏ วา, ชูตกรณํ โวหาริกานํ วินิจฺฉยการณํ (การดำเนินคดี คือ การวาความ ชื่อวา อฑฺฑ หรือ อฏ, ไดแก การ พนันเปนเหตุวินิจฉัยแหงผูพิพากษา), อฑฺฑ ธาตุ อภิโยเค ในความประกอบ + อ ปจจัย อฑฺฒ (ปุ.นปุ.) ๑. กึ่ง, ครึ่ง, สิ่งที่ทำใหหนวย เต็มสิ้นไป วิ. สมุทายํ อสติ เขเปตีติ อฑฺโฒ อทฺโธ อุปฑฺโฒ (ภาวะใดทำลายหนวยเต็มใหสิ้น ไป เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อฑฺฒ, อทฺธ, อุปฑฺฒ


๖๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา แปลวา ครึ่ง), [อส ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + ต ปจจัย, แปลงเปน ฑฺฒ], ๒. ผูมั่งคั่ง, คนมี ทรัพย, ผูคิดถึงทรัพยอยางเดียว (ติ.) วิ. อา ภุโส อติเรกํ พหุลํ พหุวารํ สุวณฺณรชตาทิธนํ ฌายติ จินฺเตตีติ อฑฺโฒ อิพฺโภ มหาโภโค จ (ผูใดคิด คำนึงเพงถึงทรัพยมีทองเงินเปนตน เหลือเกิน หลายวาระ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อฑฺฒ ไดแก คน มั่งคั่ง และมีทรัพยมาก, [อา + เฌ ธาตุ จินฺตายํ ในความคิด + อ ปจจัย, แปลง ฌ เปน ฒ, ซอน ฑฺ ซึ่งมีรูปไมเสมอกัน, แปลง อา ที่ตนใหเปน รัสสะ คือ อ], อนึ่งในบทสำเร็จวา อทฺธ นี้ พึงทราบวา ทานแปลง ฑฺฒ เปน ทฺธ โดยไดรับ อิทธิพลจากภาษาสันสกฤต, สำหรับนัยแหง ภาษาสันสกฤตไดรูปเปน อรฺทฺธะ - อทฺโธ นัยเดียวกันนี้เชน วฺฤทฺธะ - วทฺโธ = วฑฺโฒ วุฑฺโฒ, วฺฤทฺธิ - วทฺธิ = วฑฺฒิ วุฑฺฒิ, อรฺถกถา - อตฺถกถา = อกถา, คฺรนฺถะ - คนฺโถ = คณฺโ, คฺรนฺถิ - คนฺถิ = คณฺิ, ทาหะ = ฑาโห, ปฺรถมะ - ปถโม = ปโม ดังนี้เปนตน อฑฺฒฏมรตน (ติ.) มีศอกที่ ๘ ดวยทั้งกึ่งเปน ประมาณ, มีขนาด ๗ ศอกครึ่ง วิ. อฑฺเฒน อนฺนํ ปูรณานิ อฑฺฒมานิ (ศอกทั้งหลาย เปนที่เต็มแหงศอกทั้งหลาย ๘ ดวยทั้งกึ่ง ชื่อวา อฑฺฒมานิ), วิ. อฑฺฒมานิ รตนานิ ปมาณํ ตสฺสาติ อฑฺฒมรตโน (ศอกทั้งหลายที่ ๘ ดวยทั้งกึ่ง เปนประมาณของสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่ง นั้นชื่อวา อฑฺฒมานิ-มีศอกทั้งหลายที่ ๘ ดวย ทั้งกึ่ง เปนประมาณ), วิเคราะหนี้จัดเปน ทุกฺกรมคฺค นาม พหุพฺพิหิสมาส คือพหุพพิหิ สมาสที่มีทางทำไดยาก ใน อตฺถโยชนา แหง คัมภีร สมนฺตปาสาทิกา (โยชนา.๒/๙๐) วิ. อฑฺเฒน อมํ อฑฺฒมํ (ที่ ๘ ดวยทั้งกึ่ง ชื่อวา อฑฺฒม),วิ.อฑฒฺ มํ รตนํ ยสฺส โส อฑฺฒมรตโน (ศอกที่ ๘ ดวยทั้งกึ่ง ของสิ่งใดมีอยู เหตุ นั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฑฺฒมรตน) ปาฐะวา อทฺธมรตโน หตฺถี (ชางขนาด ๘ ศอกดวยทั้ง ครึ่ง) ดังนี้ก็มี, หมายความวา ขางตัวขนาด ๘ ศอกดวยทั้งกึ่ง อฑฺฒฏม (ติ.) ที่ ๘ ดวยทั้งกึ่ง คือ ๗ ครึ่ง วิ. อฑฺเฒน อนฺนํ ปูรณํ เยสนฺติ อฑฺฒมานิ (ที่เต็มแหงวัตถุทั้งหลาย ๘ ดวยทั้งกึ่ง ของสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งเหลานั้นชื่อวา อฑฺฒมานิ-ที่ ๘ ดวยทั้งกึ่ง), ม ปจจัยในปูรณสังขยา, คำวา อฑฺฒปฺจม (ที่ ๕ ดวยทั้งกึ่ง) เปนตน ก็นัย เดียวกันนี้ อฑฺฒติย (ติ.) ที่ ๓ ดวยทั้งกึ่ง คือ ๒ ครึ่ง วิ. อฑฺเฒน ตติโย อฑฺฒติโย (ที่ ๓ ดวยทั้งกึ่ง ชื่อวา อฑฺฒติย-๒ ครึ่ง), แปลง อฑฺฒ และ ตติย เปน อฑฺฒติย อฑฺฒเตยฺย (ติ.) ที่ ๓ ดวยทั้งกึ่ง คือ ๒ ครึ่ง วิ. อฑฺเฒน ตติโย อฑฺฒเตยฺโย (ที่ ๓ ดวยทั้งกึ่ง ชื่อวา อฑฺฒเตยฺย-๒ ครึ่ง), แปลง อฑฺฒ และ ตติย เปน อฑฺฒเตยฺย, อีกนัยหนึ่ง วิ. อฑฺฒติโย เอว อฑฺฒเตยฺโย (อฑฺฒติย นั่นเอง ชื่อวา อฑฺฒเตยฺโย), ณฺย ปจจัยสกัตถ, แปลง อิ ที่ ติ เปน เอ, กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน วิ. ติณฺณํ ปูรโณ เตยฺโย, อฑฺโฒ เตยฺโย อสฺสาติ อฑฺฒเตยฺโย (จำนวนเปนที่เต็มแหงจำนวน ๓ หนวย ชื่อวา เตยฺย-ที่ ๓, ครึ่งหนึ่ง เปนที่ ๓ ของ จำนวนนั้น เหตุนั้น จำนวนนั้นชื่อวา อฑฺฒเตยฺย ครึ่งเปนที่ ๓ คือ ๒ ครึ่ง) อฑฺฒมาส (นปุ. อพฺ.) มาสสฺส อฑฺฒํอฑฺฒมาสํ (กึ่งแหงเดือน ชื่อวา อฑฺฒมาส) จัดเปน อมาทิตัปปุริสสมาส อีกอยางนี้ พึงทราบวา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๖๕ เพราะการสลับบทหนากับบทหลัง เชนในที่นี้ มาส ซึ่งในวิเคราะหเรียงไวหนา แตในบทสำเร็จ ถูกสลับไปไวหลัง เรียกสมาสนี้วา ทุราชานมคฺโค นาม ฉีตปฺปุริสสมาโส (ฉัฏฐีตัปปุริสสมาส ที่มี ทางรูไดยาก), นัยเดียวกันเชน ปุพฺพกาโย, ปุพฺพณฺโห เปนตน, ปาฐะวา อทฺธมาส ก็นี้ รูปนี้ ทานไดนัยสันสกฤต อฑฺฒโยค (ปุ.) เรือนมุงแถบเดียว, เรือน เหมือนปกครุฑ, ปราสาทยาว, เพิงพัก วิ. เอกปสฺเสเยว ฉทนโต อฑฺเฒน โยโค อฑฺฒโยโค (เรือนที่ประกอบครึ่งหนึ่ง เพราะมีหลังคามุง ดานเดียวเทานั้น ชื่อวา อฑฺฒโยค), คือเรือนที่มี หลังคาเหมือนปกครุฑ หรือปราสาทยาว อฑฺฒรตฺต (อพฺ.) กึ่งแหงราตรี คือ เที่ยงคืน วิ. รตฺติยา อฑฺฒํ อฑฺฒรตฺโต อฑฺฒรตฺตํ วา, (กึ่งแหงราตรีชื่อวา อฑฺฒรตฺโต,อฑฺฒรตฺตํ-เทยี่ง คืน), แปลง อิ ที่สุดแหง รตฺติ เปน อ กจฺ.๓๓๗ รูป.๓๕๐ วา กฺวจิ สมาสนฺตคตานมการนฺโต; อีกนัยหนึ่ง วิ. อฑฺฒฺจ ตํ รตฺติ จาติ วา อฑฺฒรตฺโต (กึ่งนั้นดวย ราตรีดวย ชื่อวา อฑฺฒรตฺต-กึ่งราตรี), รตฺติ ในที่นี้หมายถึง สวน ใดสวนหนึ่งแหงราตรี, นัยเดียวกัน อฑฺฒมาโส, อฑฺฒมาสํ (กึ่งเดือน) ดังนี้เปนตน ปาฐะวา อฑฺฒรตฺติ ก็มีบาง อฑฺฒุฑฺฒ (ติ.) ที่ ๔ ดวยทั้งกึ่ง คือ ๓ ครึ่ง วิ. อฑฺเฒน จตุตฺโถ อฑฺฒุฑฺโฒ (ที่ ๔ ดวยทั้งกึ่ง ชื่อวา อฑฺฒุฑฺฒ), แปลง อฑฺฒ กับสังขยานั้นๆ เปน อฑฺฒุฑฺฒ (ที่ ๔ กับทั้งกึ่ง) ทิวฑฺฒ, ทิยฑฺฒ (ที่ ๒ กับทั้งกึ่ง) อฑฺฒติย (ที่ ๓ กับทั้งกึ่ง) ในสัททนีติ สุตตมาลา วา ตทฺธิตนฺติ อปจฺจาทิ- อตฺเถสุ ปวตฺตานํ ณาทิปจฺจยานํ นามํ. ปริกปฺปาทิ- วเสน นิปฺผาเทตพฺพสฺส วิธิโนป นามํ (ตัทธิต เปน ชื่อของกลุมปจจัยมี ณ ปจจัยเปนตนซึ่งลงใน อรรถ อปจฺจ เปนตน และวิธีการประกอบรูป ศัพทโดยอาศัยการอนุมานตามหลักเหตุผล เปนตน), เมื่อเปนเชนนี้ แมบททั้งหลายจะ ปราศจากปจจัยก็ถือวาเปนบทตัทธิตไดดวย เชน ปุริโส จ ปุริโส จ ปุริสา (บุรุษ และบุรุษ ชื่อวา ปุริสา) ทส จ ทส จ วีสติ (สิบและสิบ ชื่อวา วีสติ-ยี่สิบ), จตูหิ อธิกา ทส จุทฺทส (สิบยิ่ง ดวยสี่ ชื่อวา สิบสี่) และ อฑฺเฒน จตุตฺโถ อฑฺฒุฑฺโฒ (ที่สี่ดวยทั้งกึ่ง ชื่อวา อฑฺฒุฑฺฒสามครึ่ง), ไมควรเขาใจเปนอยางอื่น อณก (ปุ.) พราหมณ, ผูสวด วิ. อณตีติ อณโก พฺราหฺมโณ (ผูใดยอมสวด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อณก ไดแก พราหมณ), [อณ ธาตุ สทฺเท ในการ ออกเสียง + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก และไม พฤทธิ์] อณณ (ปุ.) ผูไมเปนหนี้ วิ. นตฺถิ อิณํ ยสฺสาติ อณโณ (หนี้ของบุคคลใดไมมี เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อณณ), เชน กามจฺฉนฺทอิณสฺส อภาวโต อณโณ (ชื่อวา อณณ- ไมมีหนี้ เพราะไมมีหนี้คือ กามฉันทะ), วิ. นตฺถิ เอตฺถ อิณนฺติ วา อณโณ (อีกนัยหนึ่ง หนี้ในภาวะนั้นไมมี เหตุนั้น ภาวะ นั้นจึงชื่อวา อณณ), ควรจะสำเร็จรูปเปน อนิโณ แตทานวิการ น เปน ณ ที่กลางศัพท ดวยสูตร กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ วา เตสุ วุทฺธิ เปนตน อณฺฑ (ปุ.นปุ.) ๑. ลูกอัณฑะ, ฟองไข, ที่เปนที่ เกิดขึ้น วิ. อมนฺติ อุปฺปชฺชนฺติ เอตฺถาติ อณฺโฑ อณฺฑํ (สัตวบางเหลาไปเกิดในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อณฺฑ), [อม ธาตุ คมเน ในความไป + ฑ ปจจัย โมค. ๗/๕๘ มนนฺตา โฑ, แปลง ม เปน ณฺ หรือ ลง ฑ ปจจัย กจฺ.๖๓๘ รูป.๖๖๐ วา วชา เปนตน แปลง ม เปนนิคหิต กจฺ.๔๐๔ รูป.


๖๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ๓๗๐ วา เตสุ วุทฺธิ เปนตน, แปลงนิคหิตเปน ณฺ], ๒. อัณฑะ, มีเชื้อใหเกิด วิ. อฑิยติ นิพฺพตฺติยตีติ อณฺโฑ อณฺฑํ (ลูกอัณฑะที่มีเชื้อ เกิด ชื่อวาอัณฑะ), [อฑิ ธาตุ นิพฺพตฺตเน ใน ความเกิด + ก ปจจัย กจฺ.๖๖๓ รูป.๖๗๓ วา กฑฺยาทีหิ โก + นิคหิตอาคม + ลบ ก], สวนใน ธาตฺวตฺถสงฺคห (อธิบายคาถาที่ ๘) วา อฑิยติ นิปฺผตฺติยตีติ อณฺโฑ (สิ่งใดอันสัตวออกมา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อณฺฑ + อ ปจจัย อฑิ ธาตุ อณฺฑตฺเถ ในการออกไข). วิ. อณตีติ อณฺโฑ (สิ่งใดสงเสียง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อณฺฑ), [อณ ธาตุ สทฺเท ในความออกเสียง + ฑ ปจจัย]. วิ. อณฺฑติ อณฺฑํ กโรตีติ อณฺโฑ (สิ่งใดยอมออก ไข คือกระทำซึ่งฟองไข เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อณฺฑ), [อฑิ ธาตุ อณฺฑตฺเถ ในการออกไข + ก ปจจัย]. อณฺฑ ศัพท ปรากฏในความหมายวา โกส-ลูกอัณฑะ และ โกสขคาทิพีเชสุ-ฟองไข ของนกเปนตน, ใชในความหมายวา โกส-ลูก อัณฑะ เชน อณฺฑจฺเฉทํ กตฺวา (ทำการตัดลูก อัณฑะ) ที่ใชในความหมายวา ฟองไข เชน อณฺฑชา ปกฺขิสปฺปา (นกและงู เกิดแตฟองไข) อณฺฑก (ติ.,อิตฺ.) มีปุมปม, วาจาเหมือนปม, วาจาใชดา, คำหยาบ, คำกระดาง วิ. อณฺฑกาติ วุจฺจนฺติ รุกฺเข คณฺฑสทิสา คณฺิโย, ตา ยถา ถทฺธา วิสมา ทุพฺพินีตา จ โหนฺติ เอวเมวํ ขุํสนวมฺภนวเสน ปวตฺตวาจาป หิ สา อณฺฑกาติ วุตฺตา (ปมทั้งหลาย คลายปุมที่ตนไม เรียกกันวา อณฺฑก, จริงอยู วาจาที่เปนไปดวยอำนาจการดา และการเยะเยยเหมือนปุมเหลานนั้แข็ง ขรุขระ และเปนของที่จัดการอยาก นั้นเรียกวา อณฺฑกา วาจาเหมือนปม) วิ. สโทเส สวเณ รุกฺเข นิยฺยาสปณฺฑิโย อหิจฺฉตฺตกาทีนิ วา อุิตานิ อณฺฑกาติ วทนฺติ (ชนทั้งหลายยอมเรียกกอน ยาง หรือพืชมีเห็ดหัวงูเปนตน อันเกิดขึ้นที่ไม เสีย คือมีแผล วา อณฺฑกา) เผคฺคุรุกฺขสฺส ปน กุถิตสฺส อณฺฑานิ วิย อุิตา จุณฺณปณฺฑิโย คณฺิโย วา อณฺฑกา (อนึ่ง กอนขุยหรือปม แหง ตนไมมีกระพี้ ที่พลุนที่เกิดขึ้นเหมือนปุม ชื่อวา อณฺฑกา), [ก ปจจัย ใชในอรรถอุปมาตัทธิต] องฺ.ฏี. ๒/๗๖, มงฺคลตฺถทีปนี, ๒/๖๖ อณฺฑช (ปุ.) นก วิ. อณฺฑโต ชาโต อณฺฑโช วิหโค (สัตวที่เกิดจากไข ชื่อวา อณฺฑช ไดแก นก), วิ. อณฺเฑ ชายตีติ วา อณฺฑโช (อีกนัยหนึ่ง สัตวใดเกิดในไข เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อณฺฑช), [อณฺฑ + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + กฺวิ ปจจัย] อณฺฑล (ปุ.) สัตวที่ฉวยเขาไขนกเปนตน วิ. สกุณาทีนํ อณฺฑานิ ลนฺติ คณฺหนฺตีติ อณฺฑลา (สัตวเหลาใด ยึดเอาคือถือเอาฟองไขไกเปนตน เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อณฺฑล), [อณฺฑ + ลา ธาตุ คหเณ, กฺวิ ปจจัย], อณฺฑุปก (นปุ.) เครื่องรองรับสิ่งที่เทินบนหัว, เทริด, รัดเกลา, เสวียนผารองกอนสวมสิ่งอื่น บนหัว วิ. อนฺตํ สมีปมาเธยฺยสฺส อุปคจฺฉตีติ อณฺฑุปกํ จุมฺพฏกํ (สิ่งใดยอมเขาถึงที่สุดคือติด กับสิ่งของซึ่งตองการที่รองรับ เหตุนั้น สิ่งน้ันชื่อ วา อณฺฑุปก ไดแก เทริด), เชน ติณณฺฑุปกํ (เครื่องรองหัวทำจากหญา), ปลาลณฺฑุปกํ (เครื่องรองหัวทำจากฟาง), [อนฺต + อุป + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + กฺวิ ปจจัย, แปลง นฺต เปน ณฺฑ, แปลง ค เปน ก ดวย จ ศัพทในสูตร กจฺ.๒๐ รูป.๒๗ วา โท ธสฺส จ เหมือน กุลุปโก, ปาฐะวา อณฺฑูปกํ ก็มี อณฺฑุปคํ ก็มี


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๖๗ อณฺณ (ปุ.ปนุ.) ๑. น้ำ, ผูสงเสียง วิ. อณตีติ อณฺโณ อาโป อณฺณํ (สิ่งใดยอมสงเสียง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อณฺณ ไดแก น้ำ), [อณ ธาตุ สทฺเท ในการสงเสียง + อ ปจจัย, ซอน ณฺ], ๒. น้ำ, สิ่งที่ไหลไป วิ. อรตีติ อณฺโณ ชลํ (สิ่งใดยอมไหล ไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อณฺณ ไดแก น้ำ), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย, แปลงเปน อณฺณ], ๓. น้ำ, สิ่งที่เปนเครื่องมีชีวิตแหงสัตว วิ. อนนฺติ ชีวนฺติ เอเตน สตฺตาติ อณฺณํ อุทกํ (สัตวทั้งหลายเปนอยูดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อณฺณ น้ำเปนเครื่องอยูแหงสัตว), อน ธาตุ ชีวายํ ในความเปนอยู + อ ปจจัย, แปลง น เปน ณ, ซอน ณฺ ๔. น้ำ, สิ่งที่ไหลไปสูที่นั้นๆ วิ. อรติ คจฺฉติ ตํ ตํ านนฺติ อณฺณํ (สิ่งใดยอม ไหลไปสูที่นั้นๆ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อณฺณ), อร ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย, แปลง ต เปน อนฺน, ลบที่สุดธาตุ, แปลง นฺน เปน ณฺณ, บางอาจารยแปลวา แมน้ำ, ทะเล, ตนสัก, ตัวหนังสือ ก็วา อณฺณว (ปุ.) อรรณพ, อัณณพ ก็วา, แมน้ำ, ทะเล, มหาสมุทร, สาคร ๑. ที่เปนที่มีน้ำ วิ. อณฺโณ ชลํ วิชฺชติ เอตฺถาติ อณฺณโว สาคโร (น้ำ มีอยูในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นจึงชื่อวา อรรณพ), [ว ปจจัย ในอรรถตทัสสตัถิตัทธิต], ๒. ที่ซึ่งมีน้ำมาก วิ. อปริมาณา อณฺณา อุทกา อสฺมึ สนฺตีติ อณฺณโว, [ว ปจจัย โมคฺ. ๔/๘๘ วา สีลาทิโต โว], ๓. ที่เปนที่ไหลไปแหงน้ำ วิ. อณฺโณ วาติ คจฺฉติ เอตฺถาติ อณฺณโว (น้ำยอมไหลไปที่ นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อรรณพ), [อณฺณ + วา ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย], ๔. ที่กอลำ น้ำ วิ. อณฺณํ อุทกราสึ วาติ พนฺธตีติ อณฺณโว (ที่ ใดกอ คือผูกลำน้ำ เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อรรณพ), [อณฺณ + วา ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อ ปจจัย] อณฺห (นปุ.) วัน, สิ่งที่ไมละการกลับมา วิ. น ชหาติ ปจฺฉาคมนนฺติ อณฺหํ ทิวโส (สิ่งใดไมละ การกลับมา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อณฺห ไดแก วัน), [น + หา ธาตุ จาเค ในความสละ + อ ปจจัย กจฺ.๕๒๗ รูป.๕๖๘ วา สพฺพโต ณฺวุตฺวาวี วา, แปลง น เปน อ ในตัปปุริสสมาส, แปลง อห เปน อณฺห กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน] ปาฐะวา อนฺโห (วัน) ก็มี อนึ่งคำวา อนฺห นี้ ทาน กลาวโดยไดรับอิทธิพลจากภาษาสันสกฤต, ใน ภาษาสันสกฤตมีรูปวา อหนฺ - อหฺน = อนฺห อณิมา (อิตฺ.) เล็ก, ละเอียด, เบา, ๑. ภาวะที่ เปนไปโดยความเปนของละเอียด วิ. สุขุมภาเวน อณตีติ อณิมา (ภาวะใดเปนไปดวยความ เปนของละเอียด เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อณิ มา), [อณ ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อิม ปจจัย + ลง อา อักษรดวย อนฺต ศัพทในสูตร กจฺ.๑๕๒ รูป.๑๓๖ วา ปุมนฺตสฺสา สิมฺหิ], ๒. ความเปนของเบา (อิตฺ.) ใน อตฺถโยชนา แหง สมนฺตปาทิกา (โยชนา.๑/๑๑๘) วา อณุโน ภาโว อณิมา, ลงฺฆุโน ภาโว ลงฺฆิมา (ความเปน ของเล็กละเอียด ชื่อวา อณิมา, ความเปนของที่ กระโดดลอยขึ้นไป ชื่อวา ลงฺฆิมา), [อณุ + อิม ปจจัยในตัทธิตแทน ภาว ดวยสูตร โมคฺ. ๔.๖๒ วา อณฺวาทตฺวโม], ๓. กิริยาเหมือนอณู, การเนรมิตตนใหเล็กเทากับอณู วิ. อณุ- สทิสภาวกฺริยา อณิมา (อณิมา คือ กิริยาที่มี สภาพเหมือนกับอณูคือเบาและเล็กจิ๋ว), [อณุ + อิม ปจจัย นีติ.๑๒๗๗ วา ตพฺภาวกฺริยายมิโม], กายสฺส อณุภาวกรณํ อณิมา (การทำรางกายให เล็กละเอียด ชื่อวา อณิมา), คำวา มหิมา (การ


๖๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เนรมิตตนใหใหญ), ลหิมา (การเนรมิตตนให เบา) ก็นัยนี้ แปลง ห เปน ฆ อณีก (ปุ.นปุ.) เสนา, กองทัพ วิ. อณติ เภรวสทฺทํ กโรตีติ อณีโก (ชนใดยอมสงเสียง คือสงเสยีงดัง นากลัว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อณีก) ไดรูปเปน อณีกํ, อนีกํ บาง, [อณ ธาตุ สทฺเท ในการออก เสียง + อิก ปจจัย + ทีฆะ อิ เปน อี], อณีก ใช ในความหมายวา เสนา และกองทัพ (เสนงฺเค), เปนปุงลิงคและนปุงสกลิงค อณีกฏ (ปุ.) ราชองครักษ, ทหารมา วิ. อณีเกน สมูเหน ติตีติ อณีกโ, ราชูนํ องฺครกฺขคโณ (ทหารใดตั้งอยูโดยความเปนกองพล เหตุนั้น ทหารนั้นเรียกวา อณีกัฏฐะ), [อณีก + า ธาตุ + อ หรือ กฺวิ ปจจัย] อณุ (ปุ.ติ.) ๑. อณู, เล็ก, ละเอียด วิ. อณติ สุขุมภาเวน ปวตฺตตีติ อณุ สุขุโม วีหิเภโท จ (สิ่ง ใดยอมเปนไปโดยความเปนของละเอียด เหตุนนั้ สิ่งนั้นชื่อวา อณุ ไดแก ละเอียด และขาวสาร หัก), [อณ ธาตุ ปวตฺตเน ในความไป + อุ ปจจัย], ๒. มาตรา ๓๖ ปรมาณูเปน ๑ อณู (ปุ.) วิ. สุขุมภาเวน อณตีติ อณุ (สิ่งใดออกเสียง โดยความเปนเสียงเบา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อณุ), คือมาตรา ๓๖ ปรมาณู เปน ๑ อณู, [อณ ธาตุ สทฺเท ในการสงเสียง + ณุ ปจจัย], ๓. อณู, ภาวะสามารถแทรกเขาไปในรางกายไดทุก สวน (ติ.) วิ. องฺคมงฺคสฺส รุชฺชนภาวํ อมติ คจฺฉตีติ อณุ (ภาวะใดยอมดำเนินไปสูความเสียดแทง รางกายนอยใหญ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อณุ), [อม ธาตุ คมเน ในความไป + ณุ ปจจัย], ๔. อณู, ผูไป (ติ.) วิ. อมติ คจฺฉตีติ อณุ, [อม ธาตุ คติยํ ในความไป + ณุ ปจจัย, ลบ ม], อณุ ศัพท ที่เปนมาตราเทากับ ๓๖ ปรมาณู เปน ปุงลิงค, แตถาใชในความหมายวานอย (อปฺปก) เปน ๓ ลิงค เชน ในอรรถกถาวิภังควา อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ (ในโทษมีประมาณนอย), สำหรับในที่นี้ ภิกษุเห็นปานนี้ ชื่อวา ยอมเห็นโทษทั้งหลายมี ประมาณนอย โดยความเปนโทษ โดยความเปน ภัย. เพื่อแสดงซึ่งโทษมีประมาณนอย โดยความ เปนโทษ โดยความเปนภัยนั้น ทานกลาวมาตรา ประมาณ) ดังนี้ ๑. ชื่อวา ปรมาณู ๒. ชื่อวา อณู ๓. ชื่อวา ตัชชารี ๔. ชื่อวา รถเรณู ๕. ชื่อวา ลิกขา ๖. ชื่อวา โอกา (อูกา) ๗. ชื่อวา ธัญญมาส ๘. ชื่อวา อังคุละ ๙. ชื่อวา วิทัตถิ ๑๐. ชื่อวา รตนะ ๑๑. ชื่อวา ยัฏฐิ ๑๒. ชื่อวา อุสภะ ๑๓. ชื่อวา คาวุต ๑๔. ชื่อวา โยชน, บรรดาชื่อ เหลานั้น ชื่อวา ปรมาณู เปนสวนแหงอากาศ (อนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งเห็นดวยตาเนื้อไมได เห็น ไดดวยทิพยจักษุ) ไมมาสูคลอง แหงตาเนื้อ ยอม มาสูคลองแหงทิพยจักษุเทานั้น. ชื่อวา อณู คือ รัศมีแหงพระอาทิตยที่สองเขาไปตามชองฝา ชองลูกดาล เปนวงกลมๆ ดวยดี ปรากฏ หมุน ไปอยู. ชื่อวา ตัชชารี (สิ่งที่เกิดจากอณูนั้น) เพราะเจาะที่ทางโค ทางมนุษย และทางลอแลว ปรากฏพุงไปเกาะที่ขางทั้งสอง. ชื่อวา รถเรณู (ละอองรถ) ยอมติดอยูที่รถนั้น ๆ นั่นแหละ. ชื่อวา ลิกขา (ไขเหา) เปนตน ปรากฏชัดแลว ทั้งนั้น. ก็ในคำเหลานั้น พึงทราบประมาณดังนี้ ๓๖ ปรมาณู ประมาณ ๑ อณู, ๓๖ อณู ประมาณ ๑ ตัชชารี (สิ่งที่เกิดจากอณูนั้น), ๓๖ ตัชชารี ประมาณ ๑ รถเรณู (ละอองรถ), ๓๖ รถเรณู ประมาณ ๑ ลิกขา (ไขเหา), ๗ ลิกขา ประมาณ ๑ โอกา (ตัวเหา), ๗ โอกา ประมาณ ๑ ธัญญ มาส (เมล็ดขาวเปลือก), ๗ ธัญญมาส ประมาณ ๑ อังคุละ (นิ้ว), ๑๒ อังคุละ ประมาณ ๑ วิทตัถิ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๖๙ (คืบ), ๑๒ วิทัตถิ ประมาณ ๑ รัตนะ (ศอก), ๗ รตนะ ประมาณ ๑ ยัฏฐิ (หลักเสา), ๒๐ ยัฏฐิ ประมาณ ๑ อุสภะ (ชื่อโคจาฝูง), ๘๐ อุสภะ ประมาณ ๑ คาวุต, ๔ คาวุต ประมาณ ๑ โยชน, ๑๐,๐๖๘ โยชน (สวนสูง) ประมาณ ๑ ภูเขา สิเนรุราช, ภิกษุกระทำซึ่งโทษมีประมาณนอย ใหเชนกับภูเขาสิเนรุราช อันสูงประมาณ ๑๐,๐๖๘ โยชน ยอมอาจเพื่อจะเห็น (คือเมื่อ เห็นวาเปนโทษใหญก็จะปลงอาบัติ) ได. ภิกษุใด ชื่อวา ยอมเห็นโทษทั้งหลายมีประมาณนอยโดย ความเปนภัย ภิกษุใดแมกระทำซึ่งสักวาโทษ คืออาบัติทุกกฎ ทุพภาสิต อันเบากวาโทษทั้ง ปวง ใหเชนกับอาบัติปฐมปาราชิก ภิกษุนี้ บัณฑิตพึงทราบวา ชื่อวา ยอมเห็นโทษท้ังหลาย มีประมาณนอย โดยความเปนโทษ โดยความ เปนภัย ดังนี้. อตปฺป (ปุ.) อตัปปาพรหม, ชื่อพระพรหมที่อยู ชั้นที่ ๒ ในบรรดาสุทธาวาส ๕, ผูไมเดือดรอน วิ. ทุติยตลวาสิโน น เกนจิ ตปฺปนฺตีติ อตปฺปา. (พระพรหมผูอยูในชั้นสุทธาวาสที่ ๒ ยอมไม เดือดรอนเพราะเหตุอะไรๆ เหตุนั้น ทานจึงชื่อ วา อตัปปา), แตใน สมฺโมหวิโนทนี วิ. น กิฺจิมตฺตํ ตปฺปนฺตีติ อตปฺปา (พระพรหมเหลา ใดไมเดือดรอนแมสักเล็กนอย เหตุนั้น ทานจึง ชื่อวา อตัปปา), [น + ตป ธาตุ สนฺตาเป ในความ เดือดรอน + อ ปจจัย, ซอน ปฺ] อตมฺมยตา (อิตฺ.) อตัมมยตา, ภาวะที่ไมเนื่อง ดวยสิ่งนั้น, ความไมเกาะเกี่ยวกับมัน วิ. เย โลกิเย สงฺขาเร อารพฺภ อนุโลมปริโยสานา วุานคามินิวิปสฺสนา ปวตฺตติ, ตํสนฺนิสฺสิตา ตปฺปฏิพทฺธา ตณฺหา เตหิ วินา อปฺปวตฺตนโต ตมฺมยา นาม, ตมฺมยาว ตมฺมยตา (วุฏฐานคามินี วิปสสนาอันมีอนุโลมญาณเปนที่สุด ปรารภ สังขารทั้งหลายอันเปนโลกิยะเหลาใดยอม เปนไป ตัณหาอันอาศัยสังขารเหลานั้น เนื่อง ดวยสังขารเหลานั้น ชื่อวา ตัมมยา เพราะเวน จากสังขารเหลานั้นก็ไมเปนไป, ตมฺมยา นั่น แหละเปน ตมฺมยตา) วิ. ตมฺมยา วา ตณฺหาสมฺปยุตฺตา ขนฺธา, เตส ภาโว ตมฺมยตา, สา เอว ตณฺหา. ตปฺปฏิปกฺขา วุานคามินิวิปสฺสนา อตมฺมยตา, ตมฺมยตา นาม ตณฺหา, กามตณฺหาทีสุ ตาย ตาย นิพฺพตฺตตฺตา ตมฺมยํ นาม เตภูมิกปฺปวตฺตํ, ตสฺส ภาโว ตมฺมยตา. ตสฺสา ตณฺหาย ปริยาทานโต วุานคามินิวิปสฺสนา อตมฺมยตาติ วุจฺจติ (อีกอยางหนึ่ง ตมฺมยา ก็คือ ขันธทั้งหลายอันสัมปยุตดวยตัณหา, ภาวะ แหงตัมมยะเหลานั้น ชื่อวา ตมฺมยตา, ตมฺมยา นั่นเองคือตัณหา, วุฏฐานคามินีวิปสสนาอนัเปน ปฏิปกษตอตัณหานั้น ชื่อวา อตมฺมยตา ดวยเหตุ นั้น ทานจึงกลาวไวในอรรถกถาวา ตัณหาชื่อวา ตัมมยตา, วุฏฐานคามินีวิปสสนาเรียกวา อตัมมยตา เพราะทำลายตัณหานั้น), นัย มู.ฏี. ๒/๑๑๘, ปรมตฺถมฺชุสา วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา, ๓/๕๓๖. อตลมฺปสฺส, -ลปฺผสฺส, -ลมฺผสฺส (ติ.) ไมยั่งยืน, ลึก, หยั่งไมถึง, ที่ซึ่งแตะไมถึงพ้ืน ลาง วิ. น เหิมตลํ ผุสติ ยตฺร ตํ อตลมฺผสฺสํ อตลปฺผสฺสํอตลมฺปสฺสํ (บุคคลแตะไมถึงพื้นลาง ในที่ใด ที่นั้นชื่อวา อตลมฺผสฺส-ลึก), สำเร็จ รูป เปน อตลปฺผสฺส, อตลมฺปสฺส ก็มี, [น + ตล +ผุส ธาตุ สมฺผสฺเส ในความถูกตอง + อ ปจจัย, ซอน สฺ, แปลง อุ เปน อ], ๒. ลึก, ที่ซึ่งมองไมเห็นพื้น ลาง วิ. น เหิมตลํ ปสฺสติ ยตฺร ตํ อตลมฺปสฺสํ อคาธํ (บุคคลยอมมองไมเห็นพื้นลางในที่ใด ที่


๗๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา นั้นชื่อวา อตลมฺปสฺสํ ไดแก หยั่งไมถึง), [น + ตล + ทิส ธาตุ เปกฺขเน ในความเห็น + อ ปจจัย, แปลง ทิส เปน ปสฺส, น ปุพฺพปเท วิภตฺติโลโปเพราะ น บทหนา ลบวิภัตติ, ลบวิภัตติที่ น บท หนา] อตส (ปุ.) ตนไมใหญชนิดหนึ่ง วิ. อตติ วาเตริโต นิจฺจํ เวธตฺตํ ยาตีติ อตโส วนปฺปติวิเสโส (ตนไม ใดไป คือไปสูความโอนเอนประจำเพราะถูกลม พัด เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อตส ไดแก ตนไม พิเศษเปนเจาแหงปา), [อต ธาตุ + อส ปจจัย โมคฺ.๗/๒๑๗ วา เวตาตยุปนาลกลจมา อโส อตสี (อิตฺ.) ฝาย วิ. อตติ คจฺฉตีติ, อตติ วาตกมฺปโต นิจฺจํ เวธตฺตํ ยาตีติ วา อตสี อุมฺมา (ตนไมใดดำเนินไป คือไปถึงความโอนเอน ประจำ เพราะลมพัด เหตุนั้น ตนไมนั้น ชื่อวา อตสี ไดแก ฝาย), ใน อภิธานปฺปทีปกาฏีกา (คาถา ๔๕๒) วา อตสี หมายถึง ขุมา (ฝาย), [อต ธาตุ สาตจฺจคมเน ในความเปนไปตอเนื่อง + อี ปจจัย กจฺ. ๒๓๘ รูป. ๑๘๗ วา นทาทิโต วา อี] อตฺต (ปุ.) ตน ๑. ภาวะที่เปนไป วิ.อสติ ยาตีติ อตฺโต อตฺตา (ภาวะใดยอมเปนไป เหตุนั้น ภาวะ นั้น ชื่อวา ตน สำเร็จรูปเปน อตฺโต, อตฺตา บาง, [อส ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย, แปลง ส เปน ตฺ], ๒. ที่ตั้งลงแหงมานะวา “เรา” วิ. อาหิโต อหํมาโน เอตฺถาติ อตฺตา, อหํมาโน อหนฺติ มฺนํ เอตฺถ รูปกฺขนฺเธ อาหิโต ปวตฺโต อิติ ตสฺมา โส รูปกฺขนฺโธ อตฺตาติ อตฺถโยชนา (ความสำคัญ วา “เรา” ตั้งลงในที่นั้น เหตุนั้น ที่ นั้นชื่อวา ตน, หมายความวา ความสำคัญวา “เรา” ไปตั้งลงในรูปขันธน ั่น เหตุนั้น รูปขันธนั้น ชื่อวา ตน), [อา + ธา ธาตุ, ตุ หรือ ต ปจจัย, แปลง ธ เปน ต, รัสส อา เปน อ, แปลง สิ เปน อา กจฺ. ๑๘๙ รูป. ๑๑๓ วา สฺยา จ], ๓. ที่ไป แหงมานะวา “เรา” วิ. อาหิโต อหนฺติมาโน เอตฺถาติ อตฺตา (ความสำคัญวา “เรา” เปนไป ในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา ตน), [อา + หิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย], ๔. ภาวะที่แลน ไปภพนอยภพใหญ, ภาวะที่ถึงทุกขประการ ตางๆ วิ. อตติ ภวาภวํ ธาวนฺโต ชาตฺยาทิ, อเนกวิธทุกฺขํ วา อตติ สตตํ คจฺฉติ ปาปุณาตีติ อตฺตา (ภาวะที่แลนไปภพนอยภพใหญ ชื่อวา ตน ไดแก ชาติ เปนตน, นัยหนึ่ง ภาวะที่ดำเนิน ไปถึงทุกขประการตาง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา ตน), [อต ธาตุ สาตจฺจปาปเนสุ ในความเปนไป ตอเนื่องและการถึง + มนฺ ปจจัย], ๕. ภาวะที่ เสวยสังสารทุกข วิ. สํสาร-ทุกฺขํ อทติ อนุภวตีติ อตฺตา (ภาวะใดเสพ หรือเสวยสังสารทุกข เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา ตน), [อท ธาตุ อนุภวเน ในความเสวย + มนฺ ปจจัย กจฺ.๖๒๗ รูป.๖๕๒ วา ขฺยาทีหิ มนฺ ม จ โต วา, แปลง ท เปน ต], ๖. ภาวะที่เคี้ยวกิน (นปุ.) วิ. อทตีติ อตฺตํ อตฺรํ (ภาวะใดยอมเคี้ยวกิน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อตฺตํ, อตฺรํ-ตน), [อท ธาตุ ภกฺขเณ ในความกิน + ต และ ตฺรณฺ ปจจัย, ลบ ท, ซอน ต], ๗. เครื่องไปแหงสัตวทั้งหลาย (ปุ.) วิ. สตฺตา สตตํ อตนฺติ คจฺฉนฺติ เยนาติ อตฺตา (สัตว ทั้งหลายเปนไปเนืองๆ ดวยภาวะใด เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา ตน), [อต ธาตุ สาตจฺจคมเน ใน ความเปนไปตอเนื่อง + ต ปจจัย]. ๘. ภาวะที่ยึด ไวดวยปติโสมัส วิ. ปติโสมนสฺเสน อาทาตพฺโพติ อตฺตา (ภาวะใดอันสัตวพึงยึดถือไวดวยปติ โสมนัส เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา ตน), [อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ตุปจจัย, แปลง ท เปน ตฺ, รัสสะ อา เปน อ], ๙. ภาวะที่แผปติโสมนัส


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๗๑ ไปซานไป วิ. อา ภุโส ปติโสมนสฺสํ ตโนตีติ อตฺตา (ภาวะใดแผปติโสมนัสซานไป เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา ตน), [อา + ตนุ ธาตุ วิตฺถาเร ในความแผไป + ตุปจจัย, ลบ น, รัสสะ อา เปน อ], ๑๐. อาพาธที่เปนไป (ปุ.) วิ. อาพาโธ [โมคฺคลฺลาเน อพาธนฺติ ทิสฺสติ] นิรนฺตรํ อตติ ปวตฺตตีติ อตฺตา (อาพาธที่เปนไปตอเนอื่ง, [สวน ใน โมคคัลลานะ วา ภาวะที่แลนไปสูอาพาธ] เหตุนั้น จึงชื่อวา ตน), [อต ธาตุ สาตจฺจคมเน ในความเปนไปตอเนื่อง + ต ปจจัย], ๑๑. ภาวะ ที่ถูกชาติเปนตนกัดกิน, ภาวะที่กัดกินสุขและ ทุกข วิ. ชาติชรามรณาทีหิ อทียเต ภกฺขียเตติ อตฺตา (ภาวะใดอันชาติ ชรา และมรณ เปนตน กัดกิน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา ตน), วิ. สุขทุกฺขํ อทติ ขาทตีติ อตฺตา (ภาวะใดกัดกินสุขและทุกข เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา ตน), [อท ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + มนฺ ปจจัย, แปลง ท เปน ตฺ], วิ. ยถานุสิํ ปฏิปนฺนานํ สตฺตานํ สํสารทุกฺขํ อทติ หึสตีติ อตฺตา ธมฺโม (ธรรมใด เบียดเบียน ทุกขในสงสารของสัตวทั้งหลายผูปฏิบัติตาม คำสอน เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อตฺตา), อท ธาตุ หึสายํ ในความเบียนเบียน + มนฺ ปจจัย, ๑๒. ภาวะที่ถูกยึดถือ วิ. อาทียิตฺถาติ อตฺโต อาทิณฺโณ (ภาวะใดอันสัตวทั้งหลายยึดถือแลว เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา ตน), [อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ต ปจจัย, แปลง ทา เปน ตฺ กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, รัสสะ อา เปน อ], ๑๓. ภาวะที่กัดกิน, ถูกกัดกิน วิ. ในคัมภีร ธาตฺวตฺถสงฺคห (อธิบายคาถาที่ ๙) วิเคราะห วา สุขทุกฺขํ อทติ ภกฺขติ ชาติชรา มรณาทีหิ วา อทิยเต ภิกฺขิยเตติ อตฺโต (ภาวะใด ยอมกัดกินสุขและทุกข หรือภาวะที่ถูกชาติ ชรา และมรณะ เปนตน กัดกิน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา ตน), ๑๔. สิ่งอันเขาซัดไป วิ. อสียเต ขิปยเตติ อตฺโต นุนฺโน (สิ่งอันเขาซัดไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา ตน ไดแก อันเขาบรรเทาแลว), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + ต ปจจัย] ๑๕. สิ่งอันเขาตัด วิ. อตฺติยติ ขณฺฑิยตีติ อตฺตํ (สภาวะใดอันเขาตัดใหเปนทอน เหตุนั้น สภาวะ นั้น ชื่อวา ตน), [อตฺต ธาตุ ขณฺฑเน ในการตัด + อ ปจจัย] ๑๖. สิ่งที่รูอารมณ วิ. อารมฺมณํ อรติ ชานาตีติ อตฺตา (ธรรมชาติใดยอมรูจักอารมณ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อตฺตา), [อร ธาตุ าเณ ในความรู + ต ปจจัย, แปลง ร เปน ต], ความจริง ธาตุ มีอรรถมากมาย, จิตฺเต กาเย สภาเว จ โส อตฺตา ปรมตฺตนิ(อัตตา นั้นมใีจจิต กาย และสภาวธรรม ไดชื่อวา ปรมาตมัน), ในภาษาสันสกฤตไดชื่อวา อาตฺมนฺ อตฺตคารว (ปุ.) ความเคารพตน วิ. อตฺตนิ อตฺตโน วา คารโว อตฺตคารโว. (ความเคารพใน ตน หรือความเคารพซึ่งตน ชื่อวา อตฺตคารว) อตฺตจตุตฺถ (ติ.) มีตนเปนที่ ๔ วิ. อตฺตา จตุตฺโถ ยสฺส ภิกฺขุสฺส อฺเหิ ภิกฺขูหิ สทฺธินฺติ อตฺตจตุตฺโถ (ตนรวมกับภิกษุทั้งหลายอื่น เปนที่ ๔ ของภิกษุใด เหตุนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวา อตฺตจตุตฺถ มีตนเปนที่ ๔) วิ. อตฺตา จตุนฺนํ ปูรโณ ยสฺส โสยํ อตฺตจตุตฺโถ (ตนเปนที่เต็มแหงชน ทั้งหลาย ๔ ของบุคคลใด บุคคลนี้นั้นชื่อวา อตฺตจตุตฺถ มีตนเปนที่ ๔) อตฺตนิย (ติ.) ๑. เกิดในตน วิ. อตฺตนิ ชาโต อตฺตนิโย (ผูใดเกิดในตน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อตฺตนิย), [อิย ปจจัยแทน ชาต, น อาคม], ๒. อันเปนของตน (ติ.) วิ. อตฺตโน อิทํ อตฺตนิยํ (สิ่งนี้เปนของตน ชื่อวา อตฺตนิย), [อตฺต


๗๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา + นิย โมค. ๔/๓๓ ตสฺสิทํ], เทียบ ปรกิโย (ของ ผูอื่น) สโก (ของของตน) ซึ่งลง กิย และ ก ปจจัย ตามลำดับ; ๓. ความเปนของของตน (นปุ.) วิ. อตฺตโน สกสฺส ภาโว อตฺตนิยํ. (ความเปนของ ของตน ชื่อวา อตฺตนิย), อตฺตนิยนฺติ ทิิคติกปริกปฺปตสฺส อตฺตโน สนฺตกํ (คำวา อตฺตนิยํ ไดแก ของมีอยูของตนของบุคคล ผูมีความเห็นผิด) อตฺตโนมติ (อิตฺ.) ความเห็นของตน, ความ คิดเห็นสวนตัว วิ. ตสฺส ตสฺส เถรสฺส อตฺตโนเอว มติ อธิปฺปาโยติ อตฺตโนมติ (ความเห็น คือ คำอธิบายของตนเอง คือของพระเถระรูปนั้นๆ ชื่อวา อัตตโนมติ-ความเห็นสวนตัว) อตฺตภาว (ปุ.) อัตภาพ, แดนที่มีตน วิ. อตฺตาติ อภิธานํ พุทฺธิ จ ภวนฺติ เอตสฺมาติ อตฺตภาโว (ชื่อ และการรูจักวาตน มีอยูในสภาวะนั้น เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา อัตภาพ) ใน อตฺถโยชนา แหง อภิธมฺมตฺถวิภาวินี วิ. อตฺตา เอว ภาโว อตฺตภาโว (ภาวะที่เปนตนนั้นเอง ชื่อวา อัตภาพ) วิ. อตฺตาติ วา ทิิคติเกหิ คเหตพฺพากาเรน ภวติปวตฺตตตีิ อตฺตภาโว (นัยหนึ่ง ภาวะใดเกิดมีเปนไปโดย อาการที่คนเห็นผิดยึดถือกันวา “ตน” เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อัตภาพ) วิ. อตฺตาติ วา ภวติ เอตฺถ อภิธานํ พุทฺธิ จาติ อตฺตภาโว (ชื่อและการ รูจักวา “ตน” มีในภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อัตภาพ); วิ. อาหิโต อหํมาโน เอตฺถาติ อตฺตา, โสเอว ภวติ อุปฺปชฺชติ น ปรปริกปฺปโต วิย นิจฺโจติอตฺตภาโว ขนฺธปฺจกํ, สรีรนฺติ เกจิ (มานะวา “เรา” ตั้งลงในภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อัตตา, อัตตา นั้นเอง ยอมเกิดมี ขึ้น หาใชสิ่งที่เที่ยงแท อยางที่คนศาสนาอื่น กำหนดไม เหตุนั้น จึงชื่อวา อัตภาพ ไดแก เบญจขันธ, บางอาจารยวา รางกาย) อตฺตมน (ติ.) ๑. ผูดีใจ, ปลื้มใจ, มีใจอันปติสุข เปนตนถือเอาแลว วิ. อตฺโต มโน ยสฺส โส อตฺตมโน. ปติสุขาทีหิ คหิตมโนติ อตฺโถ (ใจอัน ปติเปนตนถือเอาแลว ของบุคลใดมีอยู เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อตฺตมน หมายความวา มีใจอัน ปติสุขเปนตนยึดไวแลว), [อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ต ปจจัย, แปลง ทา เปน ตฺ, รัสสะ อา เปน อ, กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน; ๒. มีใจเปนของตน อีกนัยหนึ่ง คำวา อตฺตมโน มีความหมายวา ใจของตน (สกมโน), ไดแก ตุจิตฺโต มีใจอันยินดีแลว หมายถึง มีใจ อันโทมนัสกำหนดจับไวหามิได มีความวา จิตที่ เวนจากกิเลสเพราะความเลื่อมใสในพระพุทธเจา, แตจิตที่ถูกกิเลสกลุมรุมไมอาจจะกลาวไดวา อตฺตมโน (ใจของตน) เพราะไมอาจใหเปนไปใน อำนาจ, วาโดยนัยตรงกันขามกับ อตฺตมน นั้น ชื่อวา อนตฺตมโน ความวา ไมใชมีจิตเปนของตน มีจิตตั้งมั่นในอำนาจตนหามิได, อีกนัยหนึ่ง ชื่อ วา อนตฺตมโน หมายความวา มีใจเปนของตนหา มิได มีจิตเปนของตน ดวยมีปติและสุขหามิได อตฺตมนตา (อิตฺ.) ความเปนแหงบุคคลผูมีใจ วิ. อตฺตา มโน ยสฺส โส อตฺตมโน, ทุสฺส หิ มโน อตฺตา นาม น โหติ, ตสฺส ภาโว อตฺตมนตา (ใจคือตนของบุคคลใดมีอยู บุคคลนั้น ชื่อวา อตฺตมน, ที่จริง ใจของผูที่ถูกกิเลสประทุษราย ไมจัดเปนตน, ความเปนแหงบุคคลผูมีใจคือตน นั้น ชื่อวา อตฺตมนตา), [ตา ปจจัยในภาวตัทธิต] อตฺตมานี (ปุ.) ผูสำคัญวาเปนตนเปนปกติ, ผูมีความสำคัญวาเปนตน วิ. อตฺตานํ มฺติ สีเลนาติ อตฺตมานี (ผูใดสำคัญวาเปนตน โดย ปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อตฺตมานี), [อตฺต + มน ธาตุ มาเน ในความสำคัญ + ณี ปจจัย]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๗๓ อตฺถ (ปุ.) ๑. ประโยชน, ทรัพย, ทรัพยเปน เครื่องดำเนินไป วิ. อรนฺติ คจฺฉนฺติ อเนนาติ อตฺโถ ธนํ(ชนทั้งหลายดำเนินไปไดเพราะสิ่งนนั้ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถ ไดแก ทรัพย), [อร ธา ตุ คมเน ใน ควา มไ ป + ถ กฺ ป จ จัย], ๒. ประโยชน, อันบุคคลดำเนินไป วิ อรียตีติ อตฺโถ (สิ่งใดอันเขาไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อรรถ), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ถ ปจจัย, ลบ ร, ซอน ตฺ] ๓. บทเปนเครื่องอธิบาย, คำอธิบาย วิ. วิเสสิตพฺพํ อตฺถเต ปวตฺตเต อเนนาติ อตฺโถ (บทที่จะพึงทำใหพิเศษ ดำเนิน ไป คือเปนไป ดวยคำอธิบายนั่น เหตุนั้น คำอธิบายนั้นชื่อวา อตฺถ อรรถ), [อตฺถ ธาตุ + ถ ปจจัย, ลบที่สุดธาตุ] ๔. ผลแหงเหตุ วิ. เหตุ- อนุสาเรน อรียติ อธิคมียติ สมฺปาปุณียตีติ อตฺโถ เหตุผลํ (สิ่งใดอันเขาถึง บรรลุถึงได ตามสมควร แกเหตุ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถ-ผล ไดแก ผล แหงเหตุ), [อร ธาตุ อวคมเน ในการบรรลุถึง + ถ ปจจัย, แปลง ร เปน ต]; ๕. สภาวธรรม, มุงหนาไป, มีหนาเฉพาะตอญาณ วิ. อริยติ าณาภิมุขํ ภูยตีติ อตฺโถ (สิ่งใดเปนภาวะที่มุง หนาตอการตองรู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถ), [อร ธาตุภวเน ในความมีความเปน + ต ปจจัย], ๖. ประโยชน, อันเขาปรารถนา วิ. อตฺถิยเต อิจฺฉิยเตติ อตฺโถ (สิ่งใดอันเขาปรารถนา เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อันเขาปรารถนา), [อตฺถ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความตองการ + อ ปจจัย], ๗. ภูเขา ทางทิศตะวันตก วิ. อตฺถํ อนุปลทฺธึ อทสฺสนํ คหนกฺขตฺตานํ กโรตีติ อตฺโถ อปรเสโล (ภูเขาใด ทำการไมตั้งอยู คือการลับไป ไดแก ทำการมอง ไมเห็นดาวพระเคราะห เหตุนั้น ภูเขานั้น ชื่อวา อตฺถ ไดแก ภูเขาทางทิศตะวันตก), [อตฺถ เปน นามธาตุคือนามใชเปนดุจธาตุ + ณ ปจจัย]; ๘. เหตุ, เปนเหตุเกิดมี, สิ่งที่ควรแกเหตุ วิ. อสติ ภวติ อเนนาติ อตฺโถ. การณานุรูป วา อสติ ภวตีติ อตฺโถ (ผลมีเพราะสิ่งนั่น เหตุนั้น ส่งิ นั้นชื่อวา อตฺถ อีกนัยหนึ่ง สิ่งที่เหมาะแกเหตุ เกิดมีขึ้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถ), [อส ธาตุ ภุวิ ในความมี, -เปน + ต ปจจัย], ๙. สภาวะ, อันเขารูตามความเปนจริง วิ. าเณน ยาถาวโต อริยติ ายตีติ อตฺโถ สภาโว (ภาวะอันเขา กำหนดรูดวยญาณตามความเปนจริง ชื่อวา อตฺถ ไดแก สภาวะ), ในภาษาสันสกฤตเปน อรฺถะ [อร ธาตุ าเณ ในความรู + ถ ปจจัย + ลบที่สุดธาตุ กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน + ซอน ตฺ]; อตฺถ นั่นเอง ทานกลาววา อ เพราะแปลง ตฺถ เปน  บาง เชนคำวา ป ฬน  โ ( ม ีคว ามบี บคั้ นเป นอร รถ), ๑๐. สภาวะ, สิ่งที่มุงหนาตอญาณเปนไป วิ. อรติ าณาภิมุขํ ปวตฺตตีติ อตฺโถ (ภาวะใด เปนไปมุงหนาตอญาณ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อตฺถ), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + ถ ปจจัย, แปลง ร เปน ตฺ]; ๑๑. ผล, สิ่งที่เหตุใหเปนไป, ประโยชนเกื้อกูล วิ. การเณน อริยติ ปวตฺติยตีติ อตฺโถ หิตํ (สิ่งใดอันเหตุเปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อตฺถ ไดแก ประโยชนเกื้อกูล), [อร ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + ต ปจจัย]; ๑๒. พระ นิพพาน, ภาวะที่เปนไป, ภาวะที่เขาไปถึง วิ. อรติ คจฺฉติ อริยเต วา คมิยเตติ อตฺถํ นิพฺพานํ (ธรรมชาติใดเปนไป หรืออันเขาไปถึง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อตฺถ ไดแก พระนิพพาน), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย]; ๑๓. สิ่งที่เปนเหตุไป วิ. อรนฺติ ปวตฺตนฺติ อเนนาติ อตฺโถ (ชนทั้งหลายยอมเปนไป ดวยสิ่ง


๗๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา นั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถ), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ถ ปจจัย]; ๑๔. เลือนลับ วิ. อรติ นสฺสตีติ อตฺโถ (สิ่งใดลับหายไป พินาศไป เหตุ นั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถ, ในภาษาสันสกฤตวา อสฺตมฺ เชน อสฺตงฺคตะ คือ องฺคต), [อร ธาตุ นสฺสเน ในความเสียหาย + ถกฺ ปจจัย]; ๑๕. ความหมาย, สอดคลองกับศัพท, ความหมายของศัพทวิ. สทฺทานุรูป อสติ ภวตีติ อตฺโถ สทฺทตฺโถ (สิ่งใดสอดคลองกับศัพท เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถ ไดแก สัททัตถะ คือ ความหมายของศัพท), สำหรับสัททัตถะ คือ ความหมายของศัพทนี้ ๒ ประการ ไดแก อสาธารณะ และสาธารณะ, เชน ความหมาย ของศัพทเฉพาะเชน จกฺขุ-ตา เปนตน จัดเปน อสาธารณะ, ความหมายของศัพททั่วไปเชน อายตนะ จัดเปนสาธารณะ อายตนะตั้ง ๑๒ อยางก็เปนอายตนะเสมอกัน, [อส ธาตุ ภุวิ ใน ความมีความเปน + ถ ปจจัย นีติ. ๑๓๐๑ วา สูวุอสโต โถ อูอุลสานมโต, แปลง อส เปน อต]; อตฺถ ศัพท ที่แปลวา นิพฺพาน (พระนิพพาน) เปนนปุงสกลิงค, สวนที่แปลวา อภิเธยฺย (ความหมายที่ศัพทกลาวถึง) ธน (ทรัพย) การณ (เหตุ) ปโยชน (ประโยชน) นิวตฺติ (พระนิพพาน) อภิสนฺธาน (คำอธิบาย) เปนปุงลิงค; อยางไรก็ ตาม บาลีในกถาวัตถุ วา อตฺถตฺถมฺหิ ใน อรรถกถาบทนี้แสดงความหมายและบอก นปุงสกลิงควา อตฺถํ วุจฺจติ นิพฺพานํ (พระ นิพพาน เรียกวา อตฺถ) ฉะนั้น อตฺถ ศัพทจึงเปน ๒ ลิงค อตฺถฺู (ปุ.) ผูรูอรรถ, ผูรูประโยชน, ผูรูความหมายของธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เปนตน วิ. ตสฺส ตสฺเสว ภาสิตสฺส อตฺถํ ชานาตีติ อตฺถฺู (ผูใดยอมรูความหมายแหงธรรมนั้นๆ อันทานกลาวแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อัตถัญู), คำวา ภาสิตสฺส (ธรรมนั้นๆ อันทานกลาวแลว) หมายถึง รูพระพุทธพจนมีสุตตะ เคยยะ เปนตน และรูประโยชนตนประโยชนผูอื่น, [อตฺถ + า ธาตุ าเณ ในความรู + รู ปจจัย, แตในนิรุตติ ทีปนีวาลง กูปจจัย ทาย า ธาตุซึ่งเปนบทที่ มีกรรมเปนบทหนา ในอรรถกัตตุ-ผูรูซึ่ง) ดวย สูตรวา กมฺมา (โมค.๕/๔๐, นิรุตฺติ.๗๙๙) นัย เดียวกันเชน สพฺพฺู, รตฺตฺู, ธมฺมฺู, กาลฺู, สมยฺู อตฺถคมฺโมปมา (อิตฺ.) อุปมาที่พึงรูดวยอรรถ, อุปมาอันบุคคลพึงถึงดวยความหมาย วิ. อตฺเถน คมฺมา อุปมา อตฺถคมฺโมปมา (ขอ เปรียบเทียบอันบุคคลถึงดวยความหมาย ชื่อวา อตฺถคมฺโมปมา) (สุโพธาลงฺการ.ฏีกา.๑๙๖) อตฺถต, -ถฏ, -ถริต (กิ.กิตฺ.ติ.) อันเขาลาด แลว, -ปูแลว, -กรานแลว วิ. อตฺถริตพฺพนฺติ อตฺถตํ อตฺถฏํ, อตฺถริตํ วา (สิ่งใดอันเขาปูลาด แลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อันเขาปูลาดแลว), [อา + ถร ธาตุ สนฺถรเณ ในความลาด + ต ปจจัย, ลบที่สุดธาตุ, ซอน ตฺ, รัสสะ อา เปน อ, หรือ แปลง ต เปน ฏ, หรือ ลง อิ อาคม]. อตฺถทสฺสิมนฺตุ (ปุ.) ผูมองเห็นซึ่งประโยชน วิ. อตฺเถ ทสฺสนสีลํ อตฺถทสฺสิ, กึ ตํ, ณาณํ (สิ่งที่ เห็นประโยชนเปนปกติ ชื่อวา อตฺถทสฺสิ, สิ่งนั้น คืออะไร, ไดแก ญาณ, สทฺทนีติ ปทมาลา หนา ๔๘๙, สีลาภิกฺขฺาวสฺสเกสุ ณีติ นิรุตฺติทีปนี- สุตฺเตน สีลาทีสุ กฺริยาวิเสเสสุ คมฺยมาเนสุ ณี โหติ (ลง ณี ปจจัย ในเมื่อกิริยาวิเสสนะวา เปน ปกติ เปนตน ถูกรูอยู ใหลง ณี ปจจัย ดวยสูตร ลง ณี ปจจัย โมคฺ.๕/๕๓ สีลาภิกขฺฺาวสฺสเกสุ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๗๕ ณี), ในนปุงสกลิงค รัสสะ อี จึงเปน อตฺถทสฺสิ) วิ. อตฺถทสฺสิ อสฺส อตฺถีติ อตฺถทสฺสิมา ตเมตฺถสฺสตฺถีติ มนฺตุ (ญาณที่เห็นประโยชนเปน ปกติ ของผูนั้นมีอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อตฺถทสฺสสิมา คือ บุคคลผูที่ชื่อวา มนฺตุ เพราะมี ญาณนั้น) สณฺหสุขุมตฺถทสฺสินา าเณน สมนฺนาคโตติ วุตฺตํ โหติ (มีคำที่ทานอธิบายไววา ผูประกอบดวยญาณ อันเห็นประโยชน ละเอียดออน), นัยเดียวกันเชน คติมา, มติมา, ธิติมา, สิรีมา เปนตน อตฺถนา (อิตฺ.) การขอ, การขอรอง, ความ ปรารถนา วิ. อตฺถนา ยาจนา อตฺถิยเตติ วา อตฺถนา (การขอ ชื่อวา อตฺถนา, นัยหนึ่ง อันเขา ขอ ชื่อวา อตฺถนา), [อตฺถ ธาตุ ยาจเน ในความ ขอ + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง ยุ เปน อน]; ขอทาน ก็วา อตฺถรณ (นปุ.) เครื่องปูลาด, วัตถุอันเขาปูลาด, การปูลาด วิ. อา ภุโส ถริยเตติ อตฺถรณํ อุณฺณามยํ, อตฺถาโร วา อตฺถรณํ (วัตถุใดอันเขาปูลาดไว อยางยิ่ง คือลาดอยางมั่นเหมาะ เหตุนั้น วัตถุนั้น ชื่อวา อตฺถรณ ไดแก อุณฺณามย คือผาทำจาก ขนสัตว นัยหนึ่ง การปูลาด ชื่อวา อตฺถรณ), [อา + ถร ธาตุ ถรเณ ในการปูลาด + ยุ ปจจัย แปลง เปน อน, แปลง น เปน ณ, ซอน ตฺ, และ รัสสะ อา เปน อ] ในอรรถกถากามสุตตนิเทส ทาน อธิบายวา อตฺถริตฺวา นิปชฺชียนฺตีติ อตฺถรณา (สิ่งใดอันเขาลาดแลวนอน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตฺถรณา) อตฺถริตฺวา (กิ.กิตฺ.) ปูแลว, ลาดแลว, จัดตั้ง, วาง วิ. อตฺถริตฺถ ปตฺถริตฺถาติ อตฺถริตฺวา ปตฺถริตฺวา (อตฺถริตฺวา คือ ปตฺถริตฺวา แปลวา ปูแลว ลาดแลว), [อา + ถร ธาตุ ถรเณ ในการ แผไป + ตฺวา ปจจัย], ซอน ตฺ และรัสสะ อา เปน อ + อิ อาคม อตฺถวณฺณนา (อิตฺ.) ๑. คำอธิบาย, คำที่ใช บอกความหมาย วิ. อตฺเถ วณฺณิยติ วิตฺถาริยตีติ อตฺถวณฺณนา (วาจาใดอันทานพรรณนาคือ ขยายเนื้อความใหพิสดาร เหตุนั้น วาจานั้นชื่อวา อตฺถวณฺณนา), [อตฺถ + วณฺณ ธาตุ วิตฺถาเร ใน ความขยาย + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน + อา ปจจัยในอิตถีลิงค]; ๒. วาจาเปนเครื่อง พรรณนาเนื้อความใหพิสดาร วิ. ใน อ- สาลินีอตฺถโยชนา วิ. อตฺโถ วณฺณิยติ วิตฺถาริยติ เอตายาติ อตฺถวณฺณนา (เนื้อความอันทาน พรรณนาใหพิสดารดวยวาจานั่น เหตุนั้น วาจา นั้นชื่อวา อตฺถวณฺณนา) อตฺถวสิกา (ติ.,อิตฺ.) ผูประกอบดวยอำนาจ แหงเหตุ วิ. อตฺโถ ผลํ วโส เอตสฺสาติ อตฺถวสํ การณํ (อัตถะ คือผล ไดแกอำนาจ ของการณ นั้นมีอยู เหตุนั้น การณนั้นชื่อวา อตฺถวสํ), ตมฺป เตสุอตฺถิ, ตตฺถ นิยุตฺตาติ อตฺถวสิกา (แมอำนาจ เหตุ มีในชนเหลานั้น, ชนเหลานั้นประกอบใน อำนาจเหตุนั้น เหตุนั้น ชนเหลานั้นจึงชื่อวา อตฺถวสิกา), [ณิก ปจจัยในตัทธิต, หรือ อิก ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อตฺถาภิธาน (นปุ.) คำบอกความหมาย, คำอธิบาย วิ. อตฺถํ อภิธาติ กเถตีติ อตฺถาภิธานํ (คำใดไขความคือบอกความหมาย เหตุนั้น คำ นั้นชื่อวา อตฺถาภิธาน), [อตฺถ + อภิ + ธา ธาตุ กถเน ในความบอก + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อตฺถาร (ปุ.) การกราน (กฐิน), การขึง, การแผ วิ. อตฺถรณํ อตฺถาโร (การกราน ชื่อวา อตฺถาโร) เชน กถินตฺถาโร (การกรานกฐิน), [อา + ถร ธาตุ วิตฺถาเร ในความขยาย + ณ ปจจัย, ลบ ณ


๗๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อนุพันธ และพฤทธิ์ อ ที่ ถ เปน อา, ซอน ตฺ และรัสสะ อา บทหนาเปน อ] อตฺถารก (ปุ.) ผูกราน วิ. อตฺถรตีติ อตฺถารโก (ผูใดยอมกราน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อตฺถารก), เชน กถินตฺถารเกน ภิกฺขุนา (ภิกษุผูกรานกฐิน) [อา + ถร ธาตุ วิตฺถาเร ในความแผขยาย + ณฺวุ ปจจัย, ซอน ตฺ และรัสสะ อา บทหนาเปน อ, ทีฆะ อ ที่ ถ กลางศัพท, แปลง ณฺวุ เปน อก] อตฺถิ (อพฺ.กิ.อา.) มีอยู วิ. ๑. อตฺถิ ใชเปนนิบาต ในความหมายวา มี (สตฺตายํ) เชน อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิํ (เชน ม.ม.๑๒/๑๐๕/๑๐๑) ทานที่ให บุคคลแลวมีผล การบวงสรวงมีผล; ๒. อตฺถิ ใชเปนกิริยาบท ประกอบ ติ วิภัตติ ทาย อส ธาตุ ภุวิ ในความมีความเปน, แปลง ติ เปน ตฺถิ ลบที่สุดธาตุ, กจฺ.๔๙๔ รูป.๔๙๕ วาติสฺสตฺถิตตฺ ; ํ ใน มณิสารมณฺชูสาฏีกา วา อตฺถิ ศัพท มี ๓ ชนิด ไดแก ๑) อาขยาต ๒)นิบาต และ ๒) นิปาตปฺปติรูปก; ใน ๓ ชนิดนั้น อตฺถิ -ที่เปน อาขยาต เชน ปุตฺตา มตฺถิ ธนํ มตฺถิ (บุตรของ เรามีอยู ทรัพยของเรามีอยู) เปนตน, -ที่เปน นิบาต เชน อตฺถิ อิมสฺมึ กาเย (ในกายนี้มี) เปน ตน ฉะนั้น จึงเปนได ๒ วจนะ. -ที่เปน นิปาตปฺปฏิรูปก เชน อตฺถิยา นว นตฺถิยา ตีณิ (ในอัตถิปจจัย มีวาร ๙ ในนัตถิปจจัย มีวาระ ๓) ฉะนั้น จึงไมมีการลบวิภัตติ อตฺถิก (ติ.) ๑. ผูมีความตองการ วิ. อตฺถียเต อิจฺฉียเตติ อตฺโถ (สิ่งใดอันเขาตองการ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อตฺถ), [อตฺถ ธาตุ ยาจเน ในความ ขอ, ณ ปจจัยในกัมมสาธนะ วิ. อตฺโถ อสฺส อตฺถีติ อตฺถิโก ยาจโก (ความตองการของคนนั้น มีอยู เหตุนั้น คนนั้นชื่อวา อตฺถิก ผูตองการมาก ไดแก ยาจก ผูขอ), [อตฺถ + อิก ปจจัย ใน ตทัสสัตถิตัทธิต ในอรรถวา ปหูต มาก]; ๒. ผูมี ความตองการมาก วิ. อติวิย อตฺโถ อสฺส อตฺถตีิ อตฺถิโก (ความตองการเกินเปรียบของบคุคลนั้น มีอยู เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อตฺถิก) เนื่องจาก มนฺตุ ปจจัยเปนตน ใชในความหมายที่แสดงถึง ความมีมากเปนตนนั่นเอง ดังวุตติของสูตรที่ ๗๘ ในโมคคัลลานะ (โมค.๔/๗๘, นิรุตฺติ.๔๗๓) แสดงวา ปหูเต จ ปสํสายํ นินฺทายฺจาติสายเน นจิฺจโยเค จ สํสคฺเค โหนฺติเม มนฺตุอาทโยติ มนฺตุ ปจจัย เปนตน เหลานี้ มีใชในความหมาย วามาก สรรเสริญ ตำหนิ พิเศษยิ่ง ประกอบเสมอ และเจือปน ๓. ผูตองการ วิ. อตฺเถติ อิจฺฉตีติ อตฺถิโก (ผูใด ยอมปรารถนาคือตองการ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อตฺถิก) เชน อตฺถิเกหิอเนกตฺถทีปนิยํคเหตพพฺานิ (ผูมีความตองการพึงคนควาคำอธิบายในคัมภีร ตางๆ), [อตฺถ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความตองการ + ณิก ปจจัย ในอรรถกัตตุ-ตองการซึ่ง] อตฺถิขีรา (อิตฺ.) ผูมีน้ำนม, แมโค, นาง พราหมณี วิ. อตฺถิ ขีรํ เอติสฺสาติ อตฺถิขีรา, คาวี พฺราหฺมณีจ (น้ำนมของนางมอียูเหตุนั้น นางจึง ชื่อวา อตฺถิขีรา ไดแก แมโค และนางพราหมณี), แตใน คัมภีรนิรุตติทีปนี ในสูตร นิรุตฺติ.๔๑๓ วา อฺเ จ นี้ แมบทที่ลง ติ วิภัตติเปนตน ถึง ความเปนชื่อแลว ก็ยอมเปนนิบาตไป อตฺถิปจฺจย (ปุ.) อัตถิปจจัย, มีอยูเปนปจจัย, ปจจัยมีอยู วิ. อตฺถิ หุตฺวา ปจฺจโย อตฺถิปจฺจโย (สิ่งที่มีอยูเปนปจจัย เหตุนั้น ชื่อวา อตฺถิปจฺจย), เปน กมฺมธารยสมาส, อฺเ จาตินิรุตฺติทปีนี- สุตฺเตน อฺเ จ สทฺทา กฺริยตฺเถหิ สฺยาทฺยนฺเตหิ สห พหุลํ เอกตฺถา โหนฺติ, ตฺยาทิสทฺทาป สฺา-


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๗๗ ภาวํ ปตฺตา นิปาตรูปา โหนฺติ (ศัพพเหลาอื่น เขา สมาสกับนามศัพท ที่มีความหมายวากริยา โดยมาก ดวยสูตร นิรุตฺติ. วา อฺเ จ, แมกิริยา ศัพทและนามศัพท ครั้นถึงความเปนชื่อแลว ก็ยอมเปนนิบาตไป), นัยเดียวกัน นตฺถิปจฺจโย, อโหสิกมฺมํ พึงดูอธิบายโดยพิสดาร ในคำวา อิติหิติห ขางหนา อตฺถี (ปุ.) ๑. ผูขอโดยปกติ, ขอทาน วิ. อตฺถติ ยาจติ สีเลนาติ อตฺถี (ผูใดยอมรองขอโดยปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อตฺถี), [อตฺถ ธาตุ ยาจเน ในความขอ + ณี ปจจัย] ๒. ผูมีความตองการ, ขอทาน วิ. อตฺถนา ยาจนา อตฺโถ, โส ยสฺส อตฺถิ โส อตฺถี (ความตองการและการขอ ชื่อวา อตฺถ, อตฺถ คือความตองการและการขอนั้น ของ บุคคลใดมีอยู เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อตฺถี), [อตฺถ + อี ปจจัย, กจฺ.๓๖๖ รูป.๔๐๐วา ทณฺฑาทิโต เปนตน ] อตฺร (อพฺ.) ใน...นั่น บทเหลานี้คือ อิห, อิธ, อตฺร, เอตฺถ ประกอบปจจัยเปนเครื่องหมายสัตตมี วิภัตติใชในความหมายวาโอกาส, [เอต + ตฺร, ลง ตฺร ปจจัยในอรรถสัตตมีวิภัตติทาย เอต ศัพท, แปลง เอต เปน อ, กจฺ.๒๓๒ รูป.๒๖๗ วา เตฺร นิจฺจํ ] อตฺรช (ปุ.ติ.) บุตร, ผูเกิดแตตน, อันเกิดแตตน อตฺตโต ชาโต อตฺรโช (บุตรผูเกิดแตตน ชื่อวา อตฺรช), [แปลง ต เปน ร, กจฺ.๒๐ รูป.๒๗ วา โท ธสฺส จ หรือ ดวย จ ศัพทในสูตร กจฺ.๓๕ รูป.๓๔ วา ยวมทนตรลา จาคมา, แปลง ชาต เปน ช] อติกฺกนฺต (ติ.) ลวงไปแลว, เลยไปแลว, ผาน ไปแลว วิ. อติกฺกมิตฺถาติ อติกฺกนฺโต (อติกฺกนฺต แปลวา ลวงไปแลว), [อติ + กมุ ธาตุ ปาทคมเน ในการกาวไป + ต ปจจัย, แปลง ม เปน นิคหิต, แปลง นิคหิต เปน นฺ เปนตน], ปฏิกฺกนฺโต โอกฺกนฺโต เปนตน ก็นัยนี้ มีรูปตางกันเพราะ อำนาจอุปสัค, อติกฺกมนฺโต บทนี้ลง อนฺต ปจจัย อติกฺกามยนฺโต บทนี้ลง ณย การิตปจจัย อติกฺกม (ปุ.) การกาวลวง, การลวงละเมิด วิ. อติกฺกมนํ อติกฺกโม (การกาวลวง ชื่อวา อติกฺกม), [อติ + กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในการกาว เทา + อ ปจจัย, ซอน กฺ] นัยเดียวกันเชน อกฺกโม, ปกฺกโม, วีติกฺกโม เปนตน มีรูปตางกัน ดวยการเปลี่ยนอุปสัค, สวนบทวา อติกฺกาโม, วีติกฺกาโม, ปกฺกาโม เหลานี้ ลง ณ ปจจัย อติกฺกมฺม (กิ.กิตฺ.) กาวลวงแลว วิ. อติกฺกมิตฺวาติ อติกฺกมฺม (อติกฺกมฺม แปลวา กาวลวงแลว), [อติ + กมุ ธาตุ ปทคมเน ในการกาวไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง มฺย เปน มฺม, ซอน กฺ, ปฏิกฺกมฺม, โอกฺกมฺม ก็นัยนี้ มีรูปตางกัน เพราะอำนาจอุปสัค อติจฺจ (อพฺ.กิ.กิตฺ.) ยิ่ง, เกิน, ไปยิ่ง, ลวงไป, เจาะจง วิ. อติเอตฺวาติ อติจฺจ (อติจฺจ แปลวา ไปยิ่ง เกิน ลวง), เชน ชาลฺจ อติจฺจ อติกฺกมิตฺวา ิโต (อยูลวงเลยขายไป), [อติ + อิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง อิ เปน จฺจ] อติจฺฉา (อิตฺ.) โลภมาก, ความปรารถนาเกิน, ความอยากไดจัด วิ. อติเอสนํ อติจฺฉา (ความ ปรารถนามากเกิน ชื่อวา อติจฺฉา), [อติ + อิสุ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความปรารถนา + อ ปจจัย, แปลง ส เปน จฺฉ + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อติจาร (ปุ.) การลวงละเมิด, การประพฤติผิด, การเลนชู, นอกใจ วิ. อติจรณํ อติจาโร (การ ประพฤติลวง ชื่อวา อติจาร), [อติ + จร ธาตุ จรเณ ในความประพฤติ + ณ ปจจัย และทีฆะ อ เปน อา]


๗๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อติจาริณี (ปุ.) หญิงนอกใจสามี, หญิงประพฤติ ลวงสามี, หญิงชู วิ. สามิกํ อติกฺกมฺม อฺตฺร จรตีติ อติจาริณีอติจารินี วา ชารี (หญิงใดยอม ประพฤติลวง คือเวนสามี เหตุนั้น หญิงนั้น ชื่อวา อติจาริณี, อติจารินี ไดแก หญิงชู), [อติ + จร ธาตุ จรเณ ในความประพฤติ + ณี ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ, พฤทธิ์ อ เปน อา + อินี ปจจัย ในอิตถีลิงค, แปลง น ที่ อินี เปน ณ] อติตณฺห (ติ.) มีตัณหาจัด, อยากยิ่ง, ละโมบ วิ. อธิกา ตณฺหา ยสฺส อตฺถิ โส อติตณฺโห, โลลุโป. (ตัณหาจัดของผูใดมีอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อติตณฺห คือผูละโมบ) อติถิ, -ถี (ปุ.อิตฺ.) ๑. แขก, ผูเดินทางไปเยือน วิ. อตติ คจฺฉตีติ อติถิอติถี ปาหุโน (ผูใดยอม เปนไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อติถิ, อติถี คือแขก), ศัพทนี้เปนปุงลิงคและอิตถีลิงค, [อต ธาตุ สาตจฺจคมเน ในความเปนไปตอเนื่อง + ถิ ปจจัย, แปลง อ ที่ ต เปน อิ, แตในโมคลัลลานะวาลง อิถิ ปจจัย โมคฺ.๗/๙๓ วา ตาตา อิถิ] ๒. แขก, ไมมีกำหนดเวลามา วิ. สมฺมา ททนฺเตสุป อสชฺชนโต นตฺถิ เอเตสํ ติถีติ อติถิ. (ม.ฏี.๓/ ๒๓๔) (กำหนดวันไมมีแกชนเหลานั้น เพราะแม ไดใหไวแลว ก็ไมไดเตรียมตัวไว เหตุนั้น จึงชื่อวา อติถิ), ๓. ผูจะมาในวันใดวันหนึ่ง วิ. นตฺถิ อสฺส ติถิ, ยมฺหิ วา ตมฺหิ ทิวเส อาคจฺฉตีติ อติถิ. (กำหนดวันของผูนั้นไมมี อีกนัยหนึ่ง ผูใดจะมา ในวันใดวันหนึ่ง เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อติถิ) อติทุกฺกร (ติ.) ยากยิ่ง, ทำไดยากมาก, ทำได โดยยากยิ่ง วิ. ทุกฺเขน กริยนฺตีติ ทุกฺกรานิ, อติสเยน ทุกฺกรานิ อติทุกฺกรานิ (กรรมเหลาใด อันบุคคลทำไดโดยยาก กรรมเหลานั้น ชื่อวา ทุกฺกรานิ, กรรมอันบุคคลทำไดโดยยากยิ่ง ชื่อวา อติทุกฺกรานิ) อติเทว (ปุ.) เทวดาผูยิ่ง, เทพยิ่งกวาเทพ = พระพทุธเจา วิ. อติเรโก เทโว อติเทโว. (เทพยิ่ง ชื่อวา อติเทพ) คือ พระผูมีพระภาคเจา ที่ เรียกวา อติเทพ เหตุพระองคทรงเปนเทพผูยิ่ง กวาเทพ เพราะพระองคยิ่งกวาสมมติเทพและ อุบัติเทพเหลานั้นดวยพระคุณมีศีลเปนตน. เทพ ยิ่งกวา สูงสุด ประเสริฐสุด ประเสริฐพิเศษสุด กวาเทพทั้งหลาย ชื่อวา เทพยิ่งเทพผูยิ่งกวาเทพ หมายถึง พระมุนีเจาผูเปนวิสุทธิเทพ, อีกนัย หนึ่ง เทพใดยิ่งกวา หรือมีความพิเศษกวาดวย อายุ วรรณะ อิสริยะ ยศและสมบัติ เปนตน เทพนั้น เขาเรียกกันวา อติเทพ ฯ อติเทส (ปุ.) ๑. การแสดงไข, การชี้แจง วิ. อติทิสนํ อติเทโส (การแสดงไข ชื่อวา อติเทส) (อติ + ทิส ธาตุ เปกฺขเน ในความเพง + ณ ปจจัย). ๒. ผูชี้แจง, สูตรบาลีไวยากรณ สำหรับชี้แจงใหทราบ วิ. อติทิสตีติ อติเทโส (สูตรใดยอมชี้แจง เหตุนั้น สูตรนั้น ชื่อวา อติเทส-อติเทสสูตร), [อติ + ทิส ธาตุ อุจฺจารเณ ในการชี้แจง + ณ ปจจัย], อติเทสสูตร มี ๖ ประการ ไดแก พฺยปเทโส นิมิตฺตฺจ ตํรูป ตํสภาวตา, สุตฺตฺเจว ตถา การิ- ยาติเทโสติ ฉพฺพิโธติ อติเทสสูตร มี ๖ ไดแก พยปเทสาติเทสสูตร (สูตรชี้แจงชื่อ) นิมิตตาติเทสสูตร (สูตรชี้แจง นิมต) ตังรูปาติเทสสูตร (สูตรชี้แจงใหทำเปนรูป นั้น) ตังสภาวาติเทสสูตร (สูตรชี้แจงสภาพ) สุตตาติเทสสูตร (สูตรชี้แจงสูตร) การิยาติเทส สูตร (สตูรแสดงวิธีทำ) ดูรูป.๑๒๐


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๗๙ อติธาวิตฺวา (กิตฺ.กิ.) วิ่งไปไวเกิน, แลนเลยไป วิ.อติกฺกมิตฺวาธาวิตฺถาติอติธาวิตฺวา(อติธาวิตวฺา แปลวา แลนเลยไป), [อติ + ธาวุ ธาตุ ชเว ใน การวิ่งเร็วไป + ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม] อติปปฺจ (ปุ.) ความเนิ่นชายิ่ง, การทำให เรื่องยืดยาวพิสดารออกไป วิ. อติปปฺจนํ อติวิตฺถารกรณํ อติปปฺโจ (ความเนินชายิ่ง คือ เปนเหตุทำใหยืดยาวออกไปอีก ชื่อวา อติปปฺจ), [อติ + ป + ปจิ ธาตุ วิตฺถาเร ในความพิสดาร + อ ปจจัย + นิคหิตหลังสระตนธาตุ เปนตน แปลงนิคหิตเปน ฺ ที่สุดวรรค] อติปริปฺผนฺท (ปุ.) การหวั่นไหวอยางยิ่ง วิ. อติปริปฺผนฺทตีติ อติปริปฺผนฺโท (ภาวะใด หวั่นไหวอยางยิ่ง เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อติปริปฺผนฺท), [อติ + ปริ + ผทิ ธาตุ กิฺจิจลนมฺหิ ในความหวั่นไหวหนอยหนงึ่+ อ ปจจัย, ซอน ปฺ นิคหิต แปลง เปนพยัญชนะสุดวรรค คือ นฺ] อติปสิทฺธ (ปุ.) ๑. ความสำเร็จดี, สำเร็จดียิ่ง วิ. ปกาเรน สิธียเตติ ปสิทฺโธ (สิ่งใดสำเร็จโดย อาการตางๆ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา ปสิทฺธ), [ป + สิธุ ธาตุ สํสิทฺธิยํ ในความสำเร็จดวยดี + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ธ, แปลง ธ เปน ทฺ] ๒. สิ่งที่ปรากฏ วิ. ปสิชฺฌตีติ วา ปสิทฺโธ (อีก ประการหนึ่ง ภาวะใดยอมปรากฏทั่วถึง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา ปสิทฺธ) วิ. อติสยํ ปสิทฺโธ อติปสิทฺโธ, อติปากโฏ (สิ่งที่ปรากฏชัดเจน เหตุนั้น สิ่งนั้น อติปสิทฺธ คือปรากฏอยางชัดยิ่ง) อติปาต (ปุ.) ๑. การตกไปอยางรวดเร็ว, การ ตกลวงไป, การลวงเกิน วิ. อติสีฆํ อติกฺกมฺม วา ปตนํ อติปาโต อติกฺกโม (การตกไปรวดเรว็หรือ ลวงเลยไป ชื่อวา อติปาต), [อติ + ปต ธาตุ ปตเน ในความตกไป + ณ ปจจัย] ๒. การใหตก ไป, การฆา วิ. อติปาตนํ อติปาโต (การใหตก ลวงไป ชื่อวา อติปาต), [อติ + ปต ธาตุ ปตเน ในความตกไป + เณ ปจจัย การิตนฺโตคโธ จัดเปนบทที่มีการิตปจจัยอยูในวิเคราะห หรือ การิตอนฺโตนีโต จัดเปนบทที่มีการิตปจจัยซอน อยูในวิเคราะห ถูกลบในบทสำเร็จ + ณ ปจจัย เปนภาวสาธนะ, ทีฆะ อ เปน อา], วิ. สรเสเนว ปตนสภาวสฺส อนฺตรา เอว อตีว ปาตนํ อติปาโต, สณิกํ ปติตุํ อทิตฺวา สีฆํ ปาตนนฺติ อตฺโถ (การยังสัตวมีชีวิต ซึ่งมีอันจะตองตกไป เปนสภาพ โดยสภาพของตนนั่นเองใหตกไป อยางรวดเร็ว คืออยางยิ่ง ชื่อวา อติปาต หมายความวา ไมใหคอยๆ ตกไป แตใหตกไป อยางเร็ว), วิ. อติกฺกมฺม วา สตฺถาทีหิ อภิภวิตฺวา ปาตนํ อติปาโต (อิติ.อ.๒๖๐) (การใชศาสตรา เปนตนครอบงำใหลวงตกไป ชื่อวา อติปาต), [อติ + ปาต ธาตุ ปาตเน ในการใหตกไป + อ ปจจัย] อติปาตาปยนฺต (ติ.) ผูฆาสัตว, ผูใชคนอื่นให ฆาสัตว, ผูยังสัตวมีชีวิตใหตกลวงไป วิ. ปาณํ อติปาตาปยตีติ อติปาตาปยนฺโต (ผูใดยังสัตวมี ปาณะใหตกลวงไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อติปาตาปยนฺต), [อติ + ปต ธาตุ ปตเน ในความ ตก + ณาปย, ณาปย ปจจัย + อนฺต ปจจัย + พฤทธิ์ อ เปน อา] อิมสฺมึ ปน าเน ปโยชกสฺสาป ตถา อฺเน ปโยชเน สติ การิตนฺตาป ธาตุโต การิตปจฺจโย ปุน โหติ อตฺร หิ ติกฺขตฺตุํ การิตปฺปจฺจเยสุ ปุริโม ปุริโม การิโต ยทนุปปนฺ นา นิปาตนา สิชฺฌนฺตีติ มหาสุตฺเตน ลุตฺโต เอว โหติ (ก็ในที่นี้ลงการิตปจจัยกลาวผูใชใหทำบาง ในที่ใชผูอื่นอีกคนหนึ่งใหทำอยางนั้นอีกทอด หนึ่ง ลงการิตปจจัยทายธาตุซึ่งลงการิตปจจัยไป


๘๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา แลว ซ้ำอีกก็ไดบาง ก็ในที่ลงการิตปจจัยซ้ำกัน นั้น เมื่อการิตปจจัยถูกลงไปแลว ๓ ครั้ง การิต ปจจัยที่ลงไป ๒ ตัวตน ใหลบดวยมหาสูตร กจฺ. ๓๙๑ รูป.๔๒๓ วา ยทนุปปนฺนา นิปาตนา สิชฺฌนฺติ), พึงดู สทฺทตฺถเภทจินฺตา-ทีปนี, ๒๑๕- ๒๑๖, หนา ๒๑๗ เพราะเหตุนั้น ในอรรถกถา สามัญญผลสูตร วา ปาณมติปาตาปยโตติ ปาณํ หนนฺตสฺสาป หนาเปนฺตสฺสาปติ (บทวา ปาณมติ- ปาตาปยโต หมายถึง ฆาสัตวก็ดี ใชคนอื่นใหฆา สัตวก็ดี), นัยเดียวกันเชน ปาณาติปาตี, ลง เณ ปจจัย การิตปจจัย + ณี ปจจัยในกัตตุสาธนะ, ลบ ณ อนุพันธ วิ. ปาณํ อติปาเตตีติ ปาณาติ ปาตี (ผูใดยังสัตวมีปาณะใหตกลวงไป เหตุนั้น ชื่อวา ปาณาติปาตี) อติปฺปค (ปุ.) เชาตรู, เชามืด วิ. อติวิย ปมํ คจฺฉติ ทิวสภาเวน ปวตฺตตีติ อติปฺปโค (สมัยที่ ถึงกอน คือเปนไปกอน โดยเปนสวนแหงวัน เกิน เปรียบ เหตุนั้น สมัยนั้นชื่อวา อติปฺปค-เชามืด), [อติ + ป + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + กฺวิ ปจจัย, ลบ ม], วิ. อติวิย ปโค อติปฺปโค, อติวิย ปาโตติ อตฺโถ (เชามาก ชื่อวา อติปฺปโค หมายความวา เชาตรู), ปโค มีปฐมาวิภัตติเปน ที่สุด, ปเค ประกอบสัตตมีวิภัตติ หมายถึง เวลา เชา), อีกนัยหนึ่ง ปค ศัพท เปนนิบาตมี ความหมายเทากับ ปาโต, แตนักอักษรจินดา คือ นักไวยากรณประสงคใหลง โอ และ ค อาคม อติปฺปนฺน (ติ.) ตกลวงไป, ถึงพลันยิ่งนัก วิ. อติปตนํ อติปฺปนฺนํ (การตกลวงไป ชื่อวา อติปฺ ปนฺน), [อติ + ปต ธาตุ ปตเน ในความตกไป + ต ปจจัย] อติพุทฺธิทีปน (นปุ.) ญาณที่แสดงถึงความรู ชัด, องคความรูที่ใชวินิจฉัยวินัย วิ. วิรุทฺธมตฺถํ นยติ ปชหตีติ วินโย, วินิจฺฉโย (สิ่งใดนำอรรถที่ ผิดไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา วินย คือการ วินิจฉัย), ตํ วินยปฏกตฺถวินิจฺฉยวิเสสวิสยํ สมฺโมหสงฺขาตํ วิรุทฺธํ ปจฺจตฺถิกํ ตทงฺควเสน ปชหนโต วินยนยสงฺขาตํ ตโต เอว อติพุทฺธิ- ทีปนํ (คำวินิจฉัยคำอธิบายและคำที่ควรอธิบาย อรรถแหงวินัยปฎก อันบัณฑิตเรียกวานัยแหง วินัยปฎก เพราะละความผิดพลาด กลาวคือ ความหลง ซึ่งเปนขาศึก ดวยตทังคปหาน เพราะ เหตุนั้นนั่นเอง จึงชื่อวา อติพุทฺธิทีปนี), อติสเยน พุทฺธึ ทีเปตีติ อติพุทฺธิทีปนํ,ตํวินยตฺถวินจิฺฉยกํ าณปทีป วิเสเสน ชาเลนฺตนฺติ อตฺโถ (คำ วินิจฉัยใด แสดงถึงความรู อยางชัดเจน เหตุนั้น คำนั้น ชื่อวา อติพุทฺธิทีปนํ), วินยวินิจฺฉย-ฏีกา, ๕๔๑ [อติ + พุทฺธิ + ทีป ธาตุ ทิตฺติยํ ในความ แสดง + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อติมตฺต (ปุ.) เกินประมาณ, หนักหนา, นักหนา, ดีเลิศ วิ. มตฺตโต อติกฺกนฺตํ อติมตฺตํ อติสโย อติปมาณํ วา (กาวไปเกินประมาณ ชื่อวา อติมตฺต คือ อดิศัย-ดีเลิศ หรือเกินประมาณ) อติมุตฺต (ปุ.) ลำดวน, จำยาม, สมปอย วิ. อติมุทํ ตโนตีติ อติมุตฺโต วาสนฺตี (ดอกไมใด แผซานความนาชื่นใจไป เหตุนั้น ดอกไมนั้น ชื่อวา อติมุตฺต ไดแก ตนลำดวน), [อติ + มุท + ตนุ ธาตุ วิตฺถาเร ในความแผไป + กฺวิ ปจจัย, ลบ อ ที่ ท, แปลง ทฺ เปน ตฺ, ลบ น] อติมุตฺตก (ปุ.) ตนอุโลก, ตนเต็ง วิ. ทาหปตฺตํ อติมุจฺจติ อเนนาติ อติมุตฺตโก ตินีโส ตินิโส วา (บุคคลบรรเทาโรคดีซาน ดวยตนไมนี้ เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อติมุตฺตก คือตนอุโลก หรือ ตนเต็ง), [อติ + มุจ ธาตุ โมจเน ในความปลด เปลื้อง + ต ปจจัย + ก สกัตถ]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๘๑ อติริตฺต (ติ.) ๑. เหลือ, เหลือเฟอ, เปนเดน วิ.อติริจฺจตีติ อติริตฺโต อติริตฺตํ อติสุฺํ (สิ่งใด ยังเหลืออยู เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อติริตฺต ไดแก ยังเหลืออยู คือเปนเดน), [อติ + ริจ ธาตุ สุฺเ ในความเปลา + ต ปจจัย + ลบที่สุดธาตุ กจฺ. ๕๗๘ รูป.๕๖๐ วา ภุชาทีนมนฺโต โน ทฺวิ จ, ซอน ตฺ] ๒. ยิ่ง, มากเกิน, ประกอบไวยิ่ง วิ. อติ อุตฺตรึ ริจฺจตีติ อติริตฺตํ อธิกํ (สิ่งใดเขาประกอบ ไวยิ่งคือมาก เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อติริตฺต คือ เกิน), [อติ + ริจ ธาตุ โยเค ในการประกอบ + ต ปจจัย] ๓. ยิ่ง, เปนไปมากเกิน วิ. อติเรกํ ริจติ คจฺฉตีติ อติริตฺตํ (สิ่งใดยอมเปนไปยิ่งเกิน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อติริตฺต), เชน อติริตฺตปฺ- ปมาณาย เฉทนกํ ปาจิตฺติยํ (ตัดเกินประมาณ ตองปาจิตตีย), [อติ + ริจ ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย], พึงศึกษาคำอธิบาย ในคำอธิบาย ปฐมปวารณาสิกขาบท (วินย.๒/๕๐๑/๓๒๓) วา ทำใหเปนเดน ดวยอาการทางวินัยธรรม ๗ ขอตน เวนขอสุดทาย ในอาการ ๘ อยางที่ทาน กลาววา ที่ชื่อวา เปนเดน คือ ของที่ทำใหเปน กัปปยะแลว ๑ ภิกษุรับประเคนแลว ๑ ภิกษุ ยกขึ้นสงให ๑ ทำในหัตถบาส ๑ ภิกษุฉันแลว ทำ ๑ ฉันเสร็จหามภัตแลว ยังไมลุกจากอาสนะ ทำ ๑ ภิกษุพูดวา ทั้งหมดนั่นพอแลว ๑ เปนเดน ภิกษุอาพาธ ๑ นี้ชื่อวา เปนเดน อติเรก (ติ.) ๑. อดิเรก, เกิน, เหลือเฟอ, พิเศษ วิ. อติเรเจตีติ อติเรโก (ภาวะใดยังสิ่งนั้นให ประกอบไวเกิน เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อติเรก), [อติ + ริจ ธาตุ โยเค ในการประกอบ + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ, แปลง จ เปน ก, แปลง อิ เปน เอ] ๒. พิเศษ, มากกวา ๑ วิ. เอกสฺมา อุตฺตรํ อติเรกํ (สิ่งที่มากกวา ๑ ชื่อวา อติเรก), [อติ+ เอก + ร อาคม], ตัวอยางเชน อติเรกจวีรํ ธาเรตพฺพํ (เก็บอดิเรกจีวรไว), อติเรกนฺติ อนธิิตํ อวิกปฺปตํ วา (อดิเรก หมายถึง ที่ไมได อธิษฐานไว หรือไมไดวิกัป) อติวากฺย (นปุ.) คำพูดลวงเกิน, คำพูดลวนลาม วิ. ยา วาจา ลามกชเนหิ ปวตฺติตา วุตฺตา วีติกฺกมทีปนี อชฺฌาจารวีติกฺกมสาธนี, สา วาจา อริยชเนหิ วตฺตพฺพมริยาทาติกฺกมนโต อติวากยฺํ (วาจาใดพวกชนลามกพูดไป สอถึงการลวนลาม ใหการลวงละเมิดสำเร็จ, วาจานั้น ชื่อวา อติวากฺย เพราะลวงเลยขอบเขตที่อารยชนพูด กัน) ๒. คำพูดที่ลวงเลยอริยโวหาร วิ. อถวา ออริยโวหารํ อติกฺกมิตฺวา ออนริยโวหารวเสน ปวตฺตํ วากฺยํ วจนนฺติ อติวากฺยํ (นัยหนึ่ง คำพูดใดเปลงออกมาลวงเลยอริยโวหาร ๘ เปนไปดวยอำนาจอนริยโวหาร ๘ เหตุนั้น คำพูด นั้นชื่อวา อติวากฺย), [อติ + วจ ธาตุ วิยตฺติยํ วาจายํ ในการกลาวใหชัด + ณฺย ปจจัย, แปลง จ เปน กฺ] อติวิชฺฌ -วิชฺฌิย (กิ.กิต.) แทงทะลุแลว วิ. อติวิชฺฌิตฺวา อติวิชฺฌ, อติวิชฺฌิย (อติวิชฺฌ อติวิชฺฌิย แปลวา แทงทะลุแลว), [อติ + วิธ ธาตุ ตาฬเน ในการทุบ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง ธ เปน ฌ, แปลง ย เปน ฌ, แปลงพยัญชนะที่ ๔ คือ ฌ ขางหนาเปน พยัญชนะที่ ๓ คือ ชฺ] สวนบทหลังวา อติวิชฺฌิย ลง ย อาคม หรือ ย ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, ลง อิ อาคม อติวิสา (อิตฺ.) ชะเอมตม, ขิง วิ. เภสชฺชปโยเคสุ อตีว วิสตีติ อติวิสา สิงฺคี, ยา มหโสธนฺติป วุจฺจติ (ตัวยาใดเขากับการประกอบยาไดมากมาย เหตุนั้น ตัวยานั้น ชื่อวา อติวิสา คือขิง ซึ่งเรียกวา


๘๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา มหโสธ บาง) แตใน สีลกฺขนฺธวคฺคอภินวฏีกา (ที.ฏี.อภินว.๑/๔๓๓) วาเปนนปุงสกลิงคก็ไดวา อติวิสํ (ตนอุตพิษ, บอนปา, ตนกระดาษ, เตาราง), [วิส ธาตุ ปเวสเน ในการเขาไป + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อติวิสาริณี, -วิสารณี (อิตฺ.) การกลาวอยาง พิสดาร, การกลาวที่พิสดารเกินไป วิ. อติวิย อตฺถํ วิสาเรติ วิตฺถาเรตีติ อติวิสารณี (วาจาใด ทำเนื้อความใหเยิ่นเยอคือใหพิสดารเกินไป เหตุนั้น วาจานั้นชื่อวา อติวิสารณี) วิ. อติวิย วา วิสารียติ อตฺโถ วิตฺถารียติ เอตายาติ อติวสิารณี (นัยหนึ่ง เนื้อความอันทานใหเยิ่นเยอ คือให พิสดารเกินไป ดวยวาจานั่น เหตุนั้น วาจานั้น ชื่อวา อติวิสารณี) (สงฺคห.ฏี. ๖๘) [อติ + วิ + สร ธาตุ + ณี ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา + อินี ปจจัยในอิตถีลิงค] ๒. วาจา อันเขากลาวใหเยิ่นเยอ วิ. อติวิย วิสารยิตพฺพา ติ อติวิสารณี (วาจาใด อันเรากลาวใหเยิ่นเยอ เกินไป เหตุนั้น วาจานั้น ชื่อวา อติวิสารณี), วิเคราะหนี้มีอรรถโยชนาวา ยา กถา มยา อติวิย วิสารยิตพฺพา อิติ ตสฺมา สา กถา อติวิสารณี, อติวิสาริณี วา (กถาใดอันขาพเจาใหพิสดาร เกินไป อิติ เพราะเหตุนั้น กถานั้น จึงชื่อวา อติวิสารณี, อติวิสาริณี), [อติ + สร ธาตุ วิสรเณ ในความพิสดาร + ยุ ปจจัย กจฺ.๕๔๘ รูป.๕๙๗ วา กตฺตุกรณปฺปเทเสสุ จ, แปลง ยุ เปน อน กจฺ. ๖๒๒ รูป.๕๗๐ วา อนกา ยุณฺวูนํ. เหตุลงทาย ดวย ร แปลง ยุ เปน อณ + อี ปจจัย กจฺ.๒๓๘ รูป.๑๘๗ วา นทาทิโต วา อี, ในเพราะบทหลัง แปลง อ ที่ ร เปน อิ กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน, ทีฆะ อ ที่ ส เปน อา กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน], (ปฺจิกา.๑/ ๒๑๔) ๒. วาจาที่แลนไปขางโนนขางนี้, นอก ประเด็น, จับจด วิ. อิโต จิโต จ สรติ คจฺฉตีติ วิสารณี. วิวิเธน วา อากาเรน สรติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ วิสารณี (วาจาใดแลนไปขางโนนทีขาง นี้ที เหตุนั้น วาจานั้น ชื่อวา วิสารณี, นัยหนึ่ง วาจาใดแลนไปโดยอาการตางๆ เหตุนั้น วาจา นั้น ชื่อวา วิสารณี), [วิ + สร ธาตุ คติยํ ในความ ไป + ยุ ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค]. วิ. อติวยิ วิสารณี อติวิสารณี (วาจาจับจดและนอก ประเด็นเหลือเกิน ชื่อวา อติวิสารณี) อติสคฺค (ปุ.) การแสดงใหรู, การชี้แจง วิ. อติสชฺชนํ สมฺโพธนํ อติสคฺโค (การแสดงใหรู คือเหตุใหรู ชื่อวา อติสคฺค), [อติ + สช ธาตุ สชฺชเน ในความจัดแจง + ฆกฺ ปจจัย, เพราะปจจัยเนื่อง ดวย ฆ (ฆ อนุพันธ) แปลง ช เปน ค, ซอน คฺ] ๒. คำชี้แจง, วิธี = คำแนะนำ วิ. อติสชฺชนํ สมฺโพธนํ อติสคฺโค, อุปเทโส เจว วิธิ จ (การ แสดงใหรู การรู ชื่อวา อติสคฺค ไดแก อุปเทสคำชี้แจง และวิธี-คำแนะนำ), [อติ + สช ธาตุ สชฺชเน ในความจัดแจง + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ, ซอน คฺ] ในคำนี้ควรทราบ อุปเทสคำชี้แจง และ วิธี-คำแนะนำ ตอไปนี้, ตตฺถ กตฺตพฺพากตฺตพฺพสฺส กมฺมสฺส อาจิกฺขณํ อุปเทโส (การบอกใหทราบกรรมที่ควรทำและ ไมควรทำ ชื่อวา อุปเทส-คำชี้แจง)ทานํ ทาตพฺพํ, สีลํ รกฺขิตพฺพํ, ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ น อาทาตพฺพํ. กตฺตพฺพากตฺตพฺพาการทสฺสนํ วิธิ, สกฺกจฺจํ ทานํ ทาตพฺพํ, โน อสกฺกจฺจํ (การแสดงอาการที่ตองทำและไมตองทำ คือ ตองใหทาน, รักษาศีล, ตองไมฆาสัตว, ไมถือเอา สิ่งที่เขาไมไดให, ตองใหทานโดยเคารพ จะให โดยไมเคารพไมได ชื่อวา วิธี-คำแนะนำ)


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๘๓ อติสย, อติสฺสย (ติ.) อดิศัย, แกกลา, ประเสริฐ, อุกฤษฏ, มาก วิ. อติกฺกมิตฺวา สยนํ ปวตฺตนํ อติสโย อติสฺสโย, ภุสํ อุกฺกํโส พหุโล จ (การนอนคือลวงเลยไป ชื่อวา อติสย, อติสฺสย ไดแก แกกลา อุกฤษฏ และมาก), [อติ + สี ธาตุ สเย ในความนอน + อ ปจจัย, รัสสะ อี เปน อิ แปลงเปน เอ, แปลง เอ เปน อย กจฺ.๕๑๔ รูป. ๔๙๑ วา เอ อย], ปาฐะวา นิรติสโย ดังนี้ก็มี มี ความหมายเหมือน อติสย, อนึ่ง ในคำวา นิรติสย มีความหมายวา ไมประเสริฐ, ไมมี ความดีเลิศ, ไมมาก, ไมยิ่งเกิน วิ. นตฺถิ อติสโย เอตสฺสาติ นิรติสโย, อนธิโกติ อตฺโถ (การยิ่งเกิน ของสิ่งนั่นไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา นิรติสย หมายความวา ไมยิ่งเกิน อติสยนีย (ติ.) ผูดีกวาผูอื่น, เหนือผูอื่น, ไป ลวงผูอื่น วิ.ปโร อติสยิตพฺโพติ อติสยนีโย (บุคคลอื่น อันเขาพึงลวงไป เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อติสยนีย), [อติ + สิ ธาตุ เสวคติวุทฺธิยํ ใน ความเสพ; ไป, ถึง, บรรลุ, เจริญ + อนีย, พฤทธิ์ อิ เปน เอ แปลงเปน อย] อติสยิตพฺพ (ติ.) ผูอันเขาลวง, ผูถูกลวงไป, ภาวะที่ดอยกวา วิ. อติสียิตฺถ อติสียเต อติสียิสฺสเตติ อติสยิตพฺโพ (ผูใดอันเขาลวงไป แลว ยอมลวงไป จักลวงไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อติสยิตพฺพ), [อติ + สี ธาตุ สเย ในความนอน + ตพฺพ ปจจัย, รัสสะ อี พฤทธิ์เปน เอ, อาเทศ เอ เปน อย + อิ อาคม] อติสาร (ปุ.) โทษ, การลวง, การละเมิด, การเปนไปลวงเลยภาวะปกติ, โรคอันยังโลหิต ใหแลนไปยิ่ง, โรคลงแดง, นกกระสา วิ.ปกติ- ภาวํ อติกฺกมิตฺวา สรณํ ปวตฺตนํ อติสาโร โทโส (การไปลวงเลยภาวะปกติ ชื่อวา อติสาร คือ โทษ) เชนคำวา อุปชฺฌาโย สาติสาโร โหติวินย. ๑/๘๔/๑๐๑ (พระอุปชฌายมีโทษ), [อติ + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา] อติสุณ, อติสุน (ปุ.) สุนัขบาวิ. ปกตึอติกฺกมนโฺต สุโณ อติสุโณ อติสุโน วา (สุนัขที่พนภาวะปกติ- ไป เหตุนั้น สุนัขนั้นชื่อวา อติสุณ, อติสุน), อุมฺมตฺตาทิภาวมาปนฺเน สุนเข (ใชในความหมาย วา สุนัขที่ถึงความเปนบาเปนตน) อติเสยฺย (กิ.กิตฺ) นอนเกินแลว, เสพเกินแลว วิ. อติสยิตฺวาติ อติเสยฺย (รูป.๖๔๑) (อติเสยฺย แปลวา นอนเกินแลว), [อติ + สิ เสวายํ ในความ เสพ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, พฤทธิ์ อิ เปน เอ ดวยสูตรแหงปทรูปสิทธิ, กจฺ.๔๘๕ รูป. ๔๓๔ วา อฺเสุ จ, ซอน ยฺ] อติหาร (ปุ.) การนำไปยิ่ง วิ. อติเรกํ อติกฺกมฺม วา หรณํ อติหาโร (การนำไปมากเกิน หรือลวง ไป ชื่อวา อติหาร), [อติ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา] (รูป.๒๘๒) อตีตา (ติ.) ๑. อดีต, ลวงไปแลว, ลวงเลย ปจจุบัน วิ. ปจฺจุปฺปนฺนํ อติกฺกมิตฺวา อิตา คตาติ อตีตา (สภาวธรรมทั้งหลายเหลาใดลวงเลย ปจจุบันไป เหตุนั้น สภาวธรรมทั้งหลายเหลานั้น ชื่อวา อตีตา), [อติ + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค], ๒. ภาวะ ที่ลวงสภาวะของตน หรือถึงอุปปาทขณะแลว ลวงเลยไป วิ. อตฺตโน สภาวํ อุปฺปาทาทิกฺขณํ วา ปตฺวา อติกฺกนฺตาติ อตีตา (ภาวะใดถึงสภาวะ ของตนหรือถึงอุปปาทขณะเปนตนแลวลวงเลย ไป เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อตีต), [อติ + อิ ธาตุ


๘๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย, ลบสระหนา, ทีฆะสระหลัง] อตุล (ติ.) ๑. ไมเสมอโดยการชาง นัยนี้อธิบาย กันมาวา วิ. ตุลาย สมฺมิโต ตุโลฺย, โสเยว ตุโล (ภาวะเสมอกันโดยการชาง ชื่อวา ตุลฺย, ตุลฺย นั่นเอง ชื่อวา ตุล), [ลบ ย] วิ. อถ วา สมฺมิตตฺเถ อการปจฺจยวเสน ตุลาย สมฺมิโต ตุโล (นัยหนึ่ง ภาวะที่เสมอกันโดยการชาง ชื่อวา ตุล), นัยตน ลง ย ปจจัยในตัทธิต นัยหลังลง อ ปจจัย ในตัทธิต เชนในคำวา ปณฺณรโส, สกํ เปนตน วิ. น ตุโล อตุโล, เพราะลง อ ปจจัย แทน สมฺมิต, ภาวะที่เสมอกันโดยการชาง หามิได ชื่อวา อตุล-เทียบกันไมได), [น + ตุลา + ณ] หมายความวา ไมเหมือนกันดวยคุณมีศีลเปนตน ๒. ไมมีผูเสมอ วิ. นตฺถิ เอตสฺส วา ตุโล สทิโสติ อตุโล สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคลภาวโต (บุคคลผู เสมอ คือผูเหมือนกันของพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น ไมมี เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระ นามวา อตุล เพราะทรงเปนอัครบุคคลในโลก กับทั้งเทวโลก); ใน มณิสารมฺชูสาฏีกา วิเคราะหไววา ตุลิตพฺโพ สมฺมิตพฺโพ อตฺโถ ตุลิยติ สมฺมิยติ เอเตนาติ ตุโล, สทิโสติป อตฺโถ วตฺตพฺโพ. (ภาวะใดอันเขาชาง อธิบายวาเทียบ ภาวะนั้นชื่อวา ตุล-สิ่งถูกเทียบ, ภาวะอยางหนึ่ง เขาชางคือเทียบดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา ตุล-สิ่งที่ใชเปนเครื่องเทียบ), ยสฺมา โย ภควา สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคลภาวโต ตสฺมึ เกนจิ ปุคฺคเลน สีลาทีหิ คุเณหิ ตุโล สทิโส น โหติ, ตสฺมา โส ภควา อตุโล นามาติ วุจฺจตีติ อตฺโถ (อธิบายวา เพราะพระผูมีพระภาคเจา ทรงเปน ผูเสมอเหมือนกับใครๆ ดวยคุณมีศีลเปนตนในที่ นั้น ก็หาไม เพราะพระองคทรงเปนอัครบุคคล ในโลกกับทั้งเทวโลก ฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น บัณฑิตจึงถวายพระนามวา อตุล), ตปฺปุริสกมฺมธารยสมาโสยํ, อยฺหิ สมาโส อุตฺตรปทตฺถปฺปธานตฺตา ตปฺปุริโส จ ปททฺวยสฺส ตุลฺยาธิกรณตฺตา กมฺมธารโย จาติ วุจฺจติ (ศัพท วา อตุล นี้จัดเปน ตัปปุริสสมาส และ กรรมธารยสมาส, ที่จริงสมาสนี้ทานเรียกวา ตัปปุริส สมาส เพราะมีเนื้อความของบทหลังเปน ประธาน [น ตุโล อตุโล], และเรียกวา กรรม ธารยสมาส เพราะบททั้งสอง [คือ น และ ตุโล] เสมอกัน), ตุโล สทิโส น โหตีติ วุตฺโต อสทิโสติ วุตฺโต โหตีติ น ตุโลติ วากฺยํ อสทิโสติ สมาเสน วิวรตีติ ทพฺโพ. (พึงเห็นวา สมาสนี้ทานกลาว วา ตุโล สทิโส น โหติ “ผูเสมอเหมือนไมมี” ก็ เปนอันกลาววา อสทิโส “ไมมีผูเสมอ” คำพูดวา น ตุโล “ไมเสมอ” ก็เขากับคำวา อสทิโส “ไม เหมือน”, อยฺจ อกาโร ปสชฺชปฺปฏิเสธวาจิ- ปริยุทาสวาจิวเสน ทุวิโธ, อิธ ปน ปริยุทาสวาจี อธิปฺเปโต. ทสสุ อการตฺเถสุ จ อฺตฺเถ ปวตฺตตีติ ทพฺโพ. (ก็ อ อักษรนี้ มี ๒ ความหมาย ไดแก ปสัชชัปปฏิเสธวาจี (ปฏิเสธที่ กลาวโดยตรงอยางสิ้นเชิง) และ ปริยุทาสวาจี (มุงแสดงอรรถอื่นที่เสมอกันกับสิ่งที่กลาว ปฏิเสธไว) (ดู รูป.๓๔๔), และพึงทราบวา ในที่ อื่นๆ อ อักษรยังเปนไปในอรรถ ๑๐ อยาง, อถ วา ภควโต สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคลภาวโต เตน สีลาทีหิ คุเณหิ ตุโล สทิโส ตสฺมึ โกจิ ปุคฺคโล เอตสฺส ภควโต ยสฺมา นตฺถิ, อิติ ตสฺมา โส ภควา อตุโล นามาติ อตฺโถ (อีกนัยหนึ่ง เพราะเหตุที่บุคคลบางคนในที่นั้น ผูเสมอ เหมือนกับพระองคดวยคุณมีศีลเปนตน ไมมีแก พระผูมีพระภาคเจาพระองคน ั่น ฉะนั้น พระองค


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๘๕ จ ึ ง ท ร ง พร ะ น า มว  า อ ต ุ ล ) , อ ต คฺ คุ ณสํวิฺาโณยํ พหุพฺพีหิ. (นีติ.๗๐๘ รูป.๓๕๒) สทิโสติ เอเตน ตุลสทฺทสฺส สทิสตฺถตํ ปากฏํ กโรติ, อกาโร เจตฺถ วิรหตฺเถ วตฺตตีติ. (วิเคราะห นี้เปน อตัคคุณสังวิญญาณพหุพพิหิสมาสสมาสที่นำเอาสิ่งที่ไมใชสวนหนึ่งของอัญญบท มาตั้งวิเคราะห), ทำ ตุล ศัพทที่มีความหมายวา สทิส “เหมือน” ใหชัด ดวยไขบทวา สทิโส นั่น, ก็ อ ในที่นี้ใชในความหมายวา ปราศจาก; สวน ใน อภิธมฺมตฺถสงฺคหทีปนีฏีกา แสดงความหมาย แหงศัพทนี้ไว วิ. ตุลาย สมฺมิโต ตุโลฺย (บุคคลอัน เขาเทียบไดโดยชาง ชื่อวา ตุลฺย), [ณฺย ปจจัย แทน สมฺมิต], ตุโลฺยเยว ตุโล (ตุลฺย นั่นเอง ชื่อวา ตุล), [ลบ ย อักษร]. ตุลาย สมฺมิโต วา ตุโล (นัย หนึ่ง บุคคลอันเขาเทียบไดโดยการชาง ชื่อวา ตุล), [อ ปจจัยแทน สมฺมิต กจฺ.๔๒๓ วา ยท เปน ตน]. ๓. ไมใชบุคคลที่เทียบได วิ. อถ วา ตุลิยติ ปมิตพฺพวตฺถุ ปมิยติ เอตายาติ ตุลา, ปกติ ตุลา, ตุลา วิยาติ ตุลา, สพฺพฺุตฺาณสงฺขาตา ปฺา, อุปมาตทฺธิตมิทํ. (นัยหนึ่ง วัตถุที่ ประมาณนี้ เขาชั่งประมาณดูดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา ตุลา-ตราชั่ง, คือตราชั่งทั่วไป, ปญญาใดเปนดจุตราชั่ง เหตุนั้น ปญญานั้นชอื่วา ตุลา-ปญญาดุจตราชั่ว, คือปญญากลาวคือ พระสัพพัญุตญาณ, คำนี้เปนอุปมาตัทธิต), วิ. ตุลาย ปฺาย สมฺมิโตติ ตุโล, สีลาทีหิ คุเณหิ น ตุโลติ อตุโล, อุเภตปฺปุริสสมาโสยํ (บุคคลใดอันเขาชั่งดวยปญญาดุจตราชั่ง เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา ตุล, บุคคลอันเขาช่ังดวยปญญา ดุจตราชั่ง ดวยคุณมีศีลเปนตน หามิได ชื่อวา อตุล, บทนี้เปนอุภยตัปปุริสสมาส) ๔. ไมมี บุคคลผูเทียบ วิ. สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคลภาวโต นตฺถิ ตุโล เอตสฺสาติ วา อตุโล, จตุตฺถี พหุพฺพีหิสมาโสยํ, อสทฺโท วิรหตฺถวาจโก (อีกนัย หนึ่ง บุคคลผูเสมอเหมือน ไมมี แกพระผูมีพระ ภาคเจาพระองคนั่น เหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น จึงพระนามวา อตุล, บทนี้เปน จตุตถีตัปปุริสสมาส, อ อักษร มีความหมายวา ปราศจาก, ปาฐะวา อตุลฺย, อตุลิย บาง วิ. ตุลียเต ปริจฺฉิชฺชเตติ ตุลํ (สิ่งใดอันเขาชาง คือกำหนด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา ตุล), [ตุล ธาตุ ตุลเน ใน ความชาง + อ ปจจัย. วิ. น ตุลนฺติ อตุลํ (สิ่งอัน เขาชางหามิได เหตุนั้น ชื่อวา อตุล ไมใชสิ่งที่ ชางได) วิ. นตฺถิ วา ตุลํ อสฺสาติ อตุลํ, นตฺถิ เอตสฺส ตุลา อุปมา ตุลํ วา สทิสนฺติ อตฺโถ (สิ่งที่ เขาชาง ไมมีแกสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อตุล, ความวา การเปรียบ การเทียบ หรือการชาง คือ ไมมีที่เหมือนกัน) อเตกิจฺฉา (ติ.,อิตฺ.) แกไขไมได, ชวยไมได, เกินเยียวยา (ติ.), อาบัติที่แกไขไมได (อิตฺ.) วิ. อติกิจฺฉิตพฺพาติ อเตกิจฺฉา (อาบัติใดอันเขาไม พึงเยียวยา เหตุนั้น อาบัตินั้น ชื่อวา อเตกิจฺฉา), [กิต ธาตุ +ฉ ปจจัย โมคฺ.๕/๒ วา กิตา ติกิจฺฉาสสเยสุ โฉ + อ ปจจัย + อา ปจจัยใน อิตถีลิงค, เทวภาวะ กิ ตนธาตุ, แปลง ก อัพภาส เปน ต, แปลง ต ที่ กิต ธาตุ เปน จฺ, วิการ อิ เปน เอ] ปาฐะวา จิกิจฺฉา ก็มีบาง แปลง ก เปน จ อทฺท (ติ.) ๑. ชื้น, ชุม, เปยก, แฉะ, อาบ, สด, เขียวสด วิ. อทฺทติ ยาจตีติ อทฺโท (สิ่งใดยอมขอ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อทฺท), [อทฺท ธาตุ ยาจเน ในการขอ + อ ปจจัย]. ๒. ซึม (ติ.) อาทาติ อวขณฺฑตีติ อทฺโท (สิ่งใดแทรกซึม คือตัดแบง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อทฺท), [อา + ทา ธาตุ อวขณฺฑเน ในการตัด + ท ปจจัย, รัสสะ อา เปน


๘๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อ] ๓. ซุม วิ. อทฺทตีติ อทฺโท อลฺโล (สิ่งใด ยอมไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อทฺท ไดแก เปยก), [อทฺท ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย], ใน ปาจิตฺยาทิโยชนา ในคำวา อทฺทาริวณฺณา นี้ คำวา อทฺท หมายถึง อลฺโล-สด อทฺทก (นปุ.) ขิง วิ. อทฺทายํ ภูมิยํ ชาตํ อทฺทกํ สิงฺคิเวรํ (สิ่งที่เกิดในแผนดิน ชื่อวา อทฺทก คือ ขิง), [ก ปจจัย แทน ชาต + รัสสะ อา เปน อ กจฺ. ๔๐๓, รูป. ๓๕๔ วา กฺวจาทิ เปนตน ] อทฺทา ๑. ดาวอัททา, ชื่อหนึ่งของดาวฤกษ อารทรา มี ๑ ดวง, ดาวตัวโค ดาวตาสำเภา หรือ ดาวอทระ ก็เรียก. วิ. อทฺทติ หึสติ รุทฺทรสา วา วิตโกธรุทฺทสทิสตฺตา กทาจิ อทฺทตีติ อทฺทา (ดาวใดยอมทำลาย คือรุกราน ไดแก เบียดเบียนในการบางคราว เพราะเปน เชนกับดวยพระศิวะผูมีความโกรธตั้งลงแลว ใน ทิศทางแหงความเกรี้ยวกราด เหตุนั้น ดาวนั้น จึงชื่อวา อทฺทา), [อทฺท ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๒. ดาวอัททา, วิ. อทติ ฆสตีติ อทฺทา (ดาวใด ยอมกัดกิน เหตุนั้น ดาวนั้นชื่อวา อทฺทา), [อท ธาตุ ภกฺขเน ในความกัดกิน + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, ซอน ทฺ] คำวา อทฺทา เปนชื่อ ดาวชนิดหนึ่ง ๓. แผนดิน วิ. อทฺทิยเต หึสิยเตติ อทฺทา ภูมิ (สิ่งใดอันเขาเบียดเบียน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อทฺทา คือ แผนดิน), [อทฺท ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อทฺทิ (ปุ.) ภูเขา, คีรี = ๑. ที่เปนไป วิ. อทฺทติ คจฺฉตีติ อทฺทิ (ภูมิประเทศใดยืดยาวไป เหตุนั้น ภูมิประเทศนั้นชื่อวา อทฺทิ), [อทฺท ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อิ ปจจัย] ๒. ที่อันเขาออนวอน วิ. อทฺทิยตีติ อทฺทิ (ภูมิประเทศใดอันเขาออน วอน เหตุนั้น ภูมิประเทศนั้น ชื่อวา อทฺทิ), [อทฺท ธาตุ ยาจเน ในความออนวอน + อิ ปจจัย] ๓. ที่ นากลัว วิ. อทฺทติ หึสตีติ อทฺทิ (ภูมิประเทศใด เบียดเบียน เหตุนั้น ภูมิประเทศนั้น ชื่อวา อทฺทิ), [อทฺท ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + อิ ปจจัย], อทฺทิ ศัพทเปน อิ การันต ในปุงลิงค เปนไวพจนของ คิริ (คีรี) อทฺทุ (ปุ.) ๑. เครื่องจองจำ วิ. ทุกฺเข อทติ อนุภวติ เอเตนาติ อทฺทุ (บุคคลรับคือเสวยทุกข ดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อทฺทุ), [อท ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + ทุ ปจจัย กจฺ.๖๖๗ รูป. ๖๗๗ วา สสฺวาทีหิ ตุทโว] ๒. เรือนจำ วิ. ทุกฺเขน อทติ ภกฺขติ เอตฺถาติ อทฺทุ พนฺธนาคารํ (นักโทษกินดวยความลำบากในที่ นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อทฺทุ คือ เรือนจำ), ศัพทนี้เปนปุงลิงค [อท ธาตุ ภกฺขเน ในความ กัดกิน + ทุ ปจจัย] อทฺธ (ติ.) ๑. กึ่ง, ครึ่ง, สิ่งที่ทำใหหนวยเต็มสิ้น ไป วิ. สมุทายํ อสติ เขเปตีติ อทฺโธ อฑฺโฒ (ภาวะใดละทิ้ง คือทำลายหนวยเต็มใหสิ้นไป เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อฑฺฒ), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + ธ ปจจัย, แปลง ส เปน ทฺ] ๒. กึ่ง, ที่ไปพัก วิ. อรนฺติ ยนฺติ เอตฺถาติ อทฺธํ อุปทฺธํ (คนเดินทางเปนตนเดินทางไปพัก ในที่ นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อทฺธ คือ ครึ่ง), เชน อทฺธํ วุตฺตํ สเม ภาเค อภิธานปฺปทีปกา,๕๔ (อทฺธ ศัพท นปุงสกลิงค ทานกลาวหมายถึง ครึ่ง สวนเทากัน), อทฺโธ กาโล (อทฺธ ศัพทเปนปุงลงิค หมายถึงครึ่งที่ไมเทากัน เชน กาลครึ่งหนึ่ง), อทฺโธ อทฺธา ปโถ (ครึ่งทาง), [อร ธาตุ คมเน ในการไป + ธ ปจจัย, แปลง ร เปน ทฺ], สวนใน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๘๗ อภิธานปฺปทีปกา, ๙๙๕ ทานกลาววา อทฺโธ ภาเค ปเถ กาเล เอกํเสทฺธาพฺยยํ ภเว (อทฺธ ศัพท มีอรรถ ๓ อยางคือ ภาค ครึ่งสวน ปถ หนทาง กาล กาลเวลา อทฺธา ศัพทเปนอัพยยศัพท มี อรรถ เอกํส ความแนนอน), และ ใน อภิธานปฺ- ปทีปกาฏีกา ทานอธิบายวา อท ธาตุ คมเน ใน ความไป วิ. อทติ ยตฺถ โส อทฺธา (บุคคล เปนตน ยอมดำเนินไป ในสวนนั้น เหตุนั้น สวนนั้น ชื่อวา อทฺธา ลง ธ ปจจัย เชน อทฺธา มคฺโค (ครึ่ง ทาง) ศัพทวา อทฺธา ในที่นี้ ใชในความหมายวา เวลา ก็ไดบาง, แตถาเปน อทฺธํ คือเปน นปุงสกลิงคใชในความหมายวา ครึ่งสวนเทากัน, ฉะนั้น อทฺธ ศัพทจึงเปน ๒ ลิงค ไดแก ปุงลิงค และนปุงสกลิงค, ที่ไดรูปเปน อทฺธา เพราะจัด เขาในราชาทิคณะ แจกแบบ ราช ศัพท, ที่ไมใช ราชาทิคณะ ไดรูปเปน อทฺธํ อทฺธคู, -อทฺธคู (ติ.) ๑. ผูเดินทางไป วิ. อทฺธนิ มคฺเค คจฺฉติ สีเลนาติ อทฺธคู, อทฺธโคป, อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน (ผูใดยอมไปในหนทางโดย ปกติ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อทฺธคู, อทฺธโค บาง คือผูเดินทางไกล), ๒. ผูมีปกติเดินทางไกล, ผูมี ปกติทำการเดินทางใหเรียบรอย วิ. อทฺธคมนสีโล อทฺธคมนธมฺโม ตสฺมึ วา สาธุการี อทฺธคู (ผูใดมีปกติเดินทางไกล มีการเดินทางไกลเปน ธรรมดา หรือผูมีปกติทำใหเรียบรอยในการเดิน ทางไกลนั้น ผูนั้นชื่อวา อทฺธคู), [อทฺธ + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + รู ปจจัย เปนกัตตุสาธนะ ในอรรถแหงตัสสีละ กจฺ.๕๓๔ รูป.๕๙๒ วา ปาราทิคมิมฺหา รู, ลบ ที่สุดธาตุ และลบ ร อนุพันธ] อทฺธนิย (ติ.) ยั่งยืน, ทนอยูไดนาน ๑. วิ. อทฺธานํ ขมตีติ อทฺธนิยํ (สิ่งใดยอมทนอยูไดนาน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อทฺธนิย), [อิย ปจจัย ในตัทธิต + น อาคม] ๒. เหมาะควรเวลายาวนาน, ธำรงอยู นาน วิ. อทฺธนิ ทีเฆ สาธูติ อทฺธนิยํ อทฺธกฺขมํ อทฺธโยคฺยนฺติ อตฺโถ (สิ่งใดเปนการดีเหมาะสม ยาวนาน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อทฺธนิย คือควร แกเวลายาวนาน คือเหมาะควรเวลานาน) เชน ในขอวา สาสนํ อทฺธนิยํ ภวิสฺสติ (พระศาสนาจะ ตั้งอยูเหมาะควรยาวนาน), นิย ปจจัย สาธุอตฺเถ ใชในความหมายวา เหมาะควร อทฺธร (ปุ.) ยัญวิธี, การใหการรับในระหวาง เดินทาง วิ. อทฺธานํ สปฺปถํ ราตีติ อทฺธโร (ยัญ ใดยอมใหตลอดทางไกล เหตุนั้น ยัญนั้นชื่อวา อทฺธร), [อทฺธ + รา ธาตุ ทานคฺคาเหสุ ในการให และการรับ + อ ปจจัย] ใน สีลกฺขนฺธวคฺคอภินวฏีกา (ที.ฏี.๑/๔๘๒) วา อทฺธโร นาม ยฺวิเสโส (ยัญพิเศษ ชื่อวา อทฺธร) อทฺธา (ปุ.) ๑. ถนน, ทาง, สิ่งที่ขับไลที่อยูของ สัตว วิ. สตฺตานํ วิชิตํ อสติ เขเปตีติ อทฺธา (ส่ิง ใดขับไล คือทำที่อยูของสัตวทั้งหลายใหสิ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อทฺธา), [อส ธาตุ เขปเน ใน ความสิ้นไป + ธ ปจจัย, แปลง ส เปน ท], ๒. ทางไกล, ที่เปนที่เดินทางไป อรนฺติ คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ อทฺธา, อติทูโร มคฺโค (ชนทั้งหลาย เดินทางไปในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อทฺธา ไดแก ทางไกล), [อร ธาตุ คมเน ในความเปน + ธ ปจจัย, แปลง ร เปน ทฺ] ๓. เวลายาวนาน = เวลาที่ยังชีวิตสัตวใหหมดไป (ปุ.) วิ. สตฺตานํ ชีวิตํ อสติ เขเปตีติ อทฺธา, กาโล ทีฆกาโล วา (เวลาใดยังชีวิตสัตวทั้งหลายใหสิ้นไป เหตุนั้น เวลานั้น ชื่อวา อทฺธา หมายถึง เวลา หรือ เวลานาน), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + ธ ปจจัย, ลบสระที่สุดธาตุ, แปลง ส เปน ทฺ]


๘๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ๔. เวลาที่เปนไปติดตอกัน (ปุ.) วิ. สตตํ อตตีติ อทฺธา (เวลาใดเปนไปตอเนื่องติดตอกัน เหตุนั้น เวลานั้น ชื่อวา อทฺธา), [อต ธาตุ สาตจฺจคมเน ในความเปนไปตอเนื่อง + ธ ปจจัย กจฺ.๖๕๐ รูป.๖๕๑ วา กาเล วตฺตมาน, แปลง ต เปน ทฺ กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน + สิ แปลงเปน อา กจฺ.๑๘๙ รูป.๑๑๓ วา สฺยา จ หรือแปลง สิ เปน อา ดวย อนฺต ศัพทใน กจฺ. ๑๕๒ รูป.๑๓๖ วา ปุมนฺตสฺสา สิมฺหิ ] ๕. เวลาที่ ไมหยุดนิ่ง วิ. น ปติาติ เอตฺถาติ อทฺธา (โลก ไมหยุดนิ่งในเวลานั้น เหตุนั้น เวลานั้นชื่อวา อทฺธา), [น + า ธาตุ ปติายํ ในความตั้งอยู + อ ปจจัย, แปลง  เปน ธ, อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๖. กาล, เวลา วิ. อตติ สตตํ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อทฺธา, กาโล (ภาวะใดยอมเปนไปตอเนื่อง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อ อทฺธา) ๗. กาลที่เปนไป แหงธรรม วิ. อตติ คจฺฉติ ปวตฺตติ เอตฺถ ธมฺโมติ วา อทฺธา, กาโล (นัยหนึ่ง ธรรมดำเนินไปในที่ ภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อทฺธา), ๘. ธรรมที่เปนไปเพราะเหตุปจจัย วิ. อตติ คจฺฉติ ปวตฺตติ ยถาสกํ ปจฺจเยหีติ วา อทฺธา, ธมฺโม (นัยหนึ่ง ธรรมใดยอมเปนไปตามเหตุปจจัยของ มันเอง เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อทฺธา), [อต ธาตุ สาตจฺจคมเน ในความเปนไป + ธ ปจจัย, แปลง ต เปน ทฺ], อทฺธา แปลง สิ เปน อา ดวยนิปาตนสูตร ทานจึงกลาวบทสำเรจ็วาอทฺธา ไมกลาววา อทฺโธ เพราะ อทฺธา ศัพทเปน อา การันตใน ปุงลิงค เหมือน มา สา จนฺทิมา เปนตน, สัททนีติ ปทมาลา วา อทฺธสทฺทสฺส หิ ยํ กาเล มคฺเค จ วตฺตมานสฺส อตีโต อทฺธา, ทีโฆ อทฺธา สุทุคฺคโมติอาทีสุ อทฺธาติ ปมนฺตํ รูป ทิสฺสติ, ตํ อทฺธา อิทํ มนฺตปทํ สุทุทฺทสนฺติอาทีสุ เอกํสตฺเถ วตฺตมาเนน อทฺธาติ นิปาตปเทน สมานํ นิปาตานํ ปน ปทมาลา น รูหติ, นามิกานํเยว รูหติ. สัททนีติ (ฉบับแปล หนา ๕๔๑, ๕๔๒) วา ก็ อทฺธ ศัพท ที่มีความหมายวา ระยะเวลาและ ระยะทาง สวนมากมีรูปเปนปฐมาวิภัตติวา อทฺธา เชนในตัวอยางวา อตีโต อทฺธา (กาลเวลา ที่ลวงเลยมาแลว) ทีโฆ อทฺธา สุทุคฺคโม (ระยะทางอันยาวไกลไปถึงไดยาก) อทฺธา ศัพท ที่มีรูปเปนปฐมาวิภัตตินั้น มีรูปพองกัน อทฺธา ศัพทที่เปนนิบาตที่มีอรรถวา เอกํสตฺถ (ความ แนนอน) เชนในตัวอยางวา อทฺธา อิทํ มนฺตปทํ สุทุทฺทสํ “มันตบท (ขอที่มโหสถใหคำปรึกษา) นี้ ชางเขาใจไดยากเสียจริงหนอ”. จะอยางไรก็ ตาม อทฺธา ศัพทที่เปนนิบาต ไมสามารถนำมา แจกปทมาลาได, คงแจกไดเฉพาะ อทฺธา ศัพทที่ เปนบทนามเทานั้น, อยมฺป ปเนตฺถ นีติ เวทิตพฺพา อทฺธานนฺติ ทุติเยกวจนนฺตวเสน จตุตฺถีฉพหุวจนวเสน จ วุตฺตํ รูป. อทฺธานมคฺคปฏิปฺปนฺโน โหตีติอาทีสุ ทีฆมคฺควาจเกน อทฺธานนฺติ นปุํสเกน สทิสํ สุติสามฺวเสนาติ สทฺทนีติปทมาลาย วุตฺตํ. (ในแบบแจกของ อทฺธ ศัพทนี้ บัณฑิต พึงทราบหลักการที่จะกลาว ตอไปนี้ดวย คือ รูปศัพทวา อทฺธานํ [ที่มาจาก อทฺธ ศัพท] ซึ่งใชเปนทุติยาเอกพจนะ และ จตุตถี, ฉัฏฐีพหูพจน เปนรูปศัพทที่มีเสียงพอง กับ อทฺธาน ศัพทนปุงสกลิงคซึ่งใชในความหมาย วา “หนทางไกล” เชน อทฺธาน-มคฺคปฏิปฺปนฺโน โหติ เขาเปนผูเดินทางไกล), อีกนัยหนึ่ง ใน ปรมตฺถมฺชุสา วา ในคำวา ดวยสามารถอัทธา สันตติ สมัย และขณะ นี้ อทฺธา ศัพท ยอม เปนไปในกาลที่กำหนดดวยจุติ และปฏิสนธิ เพราะเหตุนั้น ยอมทราบไดดวยสามารถแหง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๘๙ สูตรเปนตนวา อโหสึ นุ โข อหํ อตีตมทฺธานํ แปลวา ในอดีตกาลเราไดมีแลวหรือหนอแล. จริงอยางนั้น แมในภัทเทกรัตตสูตร พระผูมี พระภาคเจา ก็ไดตรัสความเปนอดีต เปนตน ดวยอำนาจแหงอัทธานั่นเอง โดยพระพุทธพจน เปนตนวา “อตีตํ นานฺวาคเมยฺย แปลวา ไมควร คำนึงถึงสิ่งที่ลวงมาแลว. สวน อทฺธา ที่กำหนด โดยปรมัตถวา ภิกษุทั้งหลาย อัทธา ๓ เหลานี้, อัทธา ๓ อะไรบาง คือ อัทธาที่เปนอดีต อัทธาที่ เปนอนาคต อัทธาที่เปนปจจุบัน ทานกลาววา เปนอัทธาที่กำหนดโดยขระ ดวยอำนาจนิรุตติ- ปถสูตร อทฺธาน (ปุ.นปุ.) กาลยืดยาว, หนทางไกล, การ เดินทางไกล วิ. อทฺธานํ อยนํ คมนํ อทฺธาโน อทฺธานํ วา ทีฆกาโล อติทูโร จ มคฺโค, มคฺคคมนํ วา (การดำเนินไปยาวไกล ชื่อวา อทฺธาน ไดแก เวลานาน และทางยาวไกล หรือการเดิน ทางไกล), [อทฺธา + อย ธาตุ คติยํ ในความไป + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, ลบ ย] อทฺธิ (อิตฺ.) หนทาง วิ. อทติ คจฺฉตีติ อทฺธิ ปโถ (ถนนใดยอมทอดไป เหตุนั้น ถนนนั้นชื่อวา อทฺธิ คือ หนทาง), เชน คตทฺธิโน (ผูเดินทางไกล), [อท ธาตุ คมเน ในความไป + ติ ปจจัย แปลงเปน ทฺธ, ลบที่สุดธาตุ] อทฺธิก (ติ.) คนเดินทางไกล, นักทองเที่ยว วิ. อทฺธํ ปถํ คจฺฉนฺตีติ อทฺธิกา ปถาวิโน (ชน เหลาใดเดินไปสูหนทางไกล เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา อทฺธิกา คือคนเดินทาง), เชน อทฺธิกา นาคมิสฺสนฺตีติ (คนเดินทาง จักไมมา) [ณิก ปจจัย ในตัทธิต แทน คจฺฉติ] อทิฏโชตนา (อิตฺ.) คำถามเพื่อทราบสิ่งที่ไม ทราบเปนตน, คำถามเพื่อสองลักษณะที่ยังไม เห็นใหกระจาง วิ. อทิํ โชตียติ ปกาสียติ เอตายาติ อทิโชตนา (สิ่งที่ไมเคยทราบ อัน บุคคลใหชัดออกมา ดวยการถามนั่น เหตุนั้น การถามนั้น ชื่อวา อทิโชตนา), [อทิ + ชุต ธาตุ ทิตฺติมฺหิ ในความรุงเรือง + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อุ เปน โอ, แปลง ยุ เปน อน] อทิติ (อิตฺ.) นางอทิติ, มารดาแหงเทพ วิ. ทิตีติ อสุรานเมว เวมาติกา มาตา, ตสฺสา ปฏิปกฺขภา เวน อทิติ เทวมาตา, อสทฺโท ปฏิปกฺขตฺถวาจโก (นางเวมิกา มารดาของพวกอสูรนั่นเอง ชื่อวา ทิติ, มารดาของเทวาชื่อวา อทิติ เพราะตรงขาม กับมารดาของอสูรนั้น), อ ศัพท ใชใน ความหมายวาตรงกันขาม อทินฺนาทายี (ปุ.) หัวขโมย, ผูลักเปนปกติ, ผูถือเอาของที่เขาไมไดให วิ. อทินฺนํ อาททาติ สีเลนาติ อทินฺนาทายี (ผูใดยอมถือเอาของอัน เขาไมไดให โดยปกติ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อทินนาทายี), [อทินฺน + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในการให + ณี ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ, แปลง อา เปน อาย] อทุกฺขมสุขา (อิตฺ.) เวทนาอื่นจากสุขและทุกข = อุเบกขาเวทนา วิ. สุขโต ทุกฺขโต จ อฺา อทุกฺขมสุขา (เวทนาอื่นจากสุขและทุกข ชื่อวา อทุกฺขมสุขา), [ม อาคมกลางศัพท], อ ในที่นี้ใช ในอรรถอื่น (อฺ) อทูหล (นปุ.) ฟาทับเหว วิ. อา ภุโส ทูหติ ปฬตีติ อทูหลํ ยนฺตปาสาโณ (สิ่งใดยอม เบียดเบียนอยางหนัก เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อทูหล คือกับดักหิน), เปนกับดักที่ทับมฤคชาติ เขาแลว ไมสามารถหนีไปได, [อา + ทูห ธาตุ


๙๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ปฬเน ในความบีบคั้น + อล ปจจัย, รัสสะ อา เปน อ] อโทส (ปุ.) อโทสะ, เปนเหตุไมประทุษราย วิ. น ทุสฺสนฺติ สตฺตา สมฺปยุตฺตธมฺมา วา เอเตนาติ อโทโส (สัตวหรือสัมปยุตธรรมไมประทุษราย ดวยกิเลสนั่น เหตุนั้น กิเลสนั้นชื่อวา อโทส), น ทุสฺสตีติ วา อโทโส (นัยหนึ่ง ธรรมใดยอมไม ประทุษราย เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อโทส), [น + ทุส ธาตุโทสเน ในความประทุษราย อปฺปติมหฺิ วา หรือในความไมพอใจ จัดเขาในหมวด ทิว ธาตุ + ณ ปจจัย, พฤทธิ์ อุ เปน โอ), วิ. น ทุสฺสตีติ อทุสฺสนํ วา อโทโส (นัยหนึ่ง ภาวะใด ยอมไมประทุษราย หรือ การไมประทุษราย ชื่อวา อโทส), โทสปฏิปกฺโข วา อโทโส เมตฺตา ขนฺติ จ (นัยหนึ่ง ธรรมที่เปนปฏิปกษตอโทสะ ชื่อวา อโทส ไดแก เมตตา และขันติ), อโทสะ นั้น มีการไมเดือดดาลเปนลักษณะ หรือมีการไม พิโรธเปนลักษณะ, ที่จริง ศัพทตอไปนี้ ไดแก อทสฺสนา อทุสฺสิตตฺตํ อพฺยาปาโท อพฺยาพชฺโฌ เปนไวพจนของ อโทสะ อธม (ติ.) ๑. ผูเกิดในสวนเบื้องต่ำ, คนเลว ทราม, สิ่งต่ำทราม, ถอย, เลว วิ. อโธภาเค ชาโต อธโม (ผูเกิดในสวนเบื้องต่ำ ชื่อวา อธม), เชน อปหสิตอติหสิตทฺวยํอธเม วตฺตเต (อปหสติ หัวเราะจนน้ำตาไหล อติหสิต หัวเราะจนทอง แข็ง ทั้ง ๒ เปนไปในคนชั้นต่ำ), สุโพธาลังการมัญชรี, ฉบับแปล หนา ๗๑๖, [อิม ปจจัย ในชาตาทิตัทธิต, แปลง โอ ที่ อโธ เปน อ, ลบ อิ ที่ อิม], ๒. ผูอันเขาทิ้งเสีย, คนถอย วิ. ชเนหิ อสิยติ จชิยตีติ อธโม (ผูใดอันชนทั้งหลายสละ ทิ้งเสีย เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อธม), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความทิ้ง + ม ปจจัย โมคฺ.๗/๑๓๗ วา อสฺมาทโย, แปลง ส เปน ธ] อธม เปนไวพจนกับ โอมก (ต่ำทราม, เล็กนอย, ดอย), ปาฐะวา อโธโม ก็มี อธมฺมจริยา (อิตฺ.) เจตนาเปนเหตุประพฤติ อธรรม, การประพฤติเวนจากธรรม วิ. อธมฺมํ จรติ เอตายาติ อธมฺมจริยา, ตถาปวตฺตา เจตนา (บุคคลยอมประพฤติอธรรมดวยเจตนานั้น เหตุ นั้น เจตนานั้นชื่อวา อธมฺมจริยา ไดแก เจตนาที่ เปนไปอยางนั้น), [อธมฺม + จร ธาตุ จรเณ, กรเณ ในความประพฤติ ในความกระทำ + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] วิ. อธมฺโมติ ปน ตํสมุาโน ปโยโค ทพฺโพ, ธมฺมโต อนเปตาติ ธมฺมา, น ธมฺมาติ อธมฺมา, อธมฺมา จ สา จริยา จาติ อธมฺมจริยา (การ ประกอบที่มีอธรรมเปนสมุฏฐาน พึงทราบวา อธมฺม, การประพฤติที่หลีกจากธรรม เหตุนั้น จึง ชื่อวา ธมฺมา, ไมใชธรรม เหตุนั้นชื่อวา อธมฺม, ความประพฤติดวย ไมใชสิ่งที่หลีกจากธรรมนั้น ดวย เหตุนั้นชื่อวา อธมฺมจริยา) อธร (ติ.ปุ.) ๑. ที่เก็บความไมดีไว, ต่ำทราม, ทิศเบื้องต่ำ (ติ.) วิ. อกฺขํ ธาเรติ เอตฺถาติ อธโร (บุคคลเปนตนทรงความไมดีไวในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อธร), [อกฺข + ธร ธาตุ ธารเณ ใน ความทรงไว + ลบ กฺข] ๒. ริมฝปาก, ที่อาหาร คางอยูครูเดียว (ปุ.) วิ. อีสํ กิฺจิ กาลํ ธาเรติ ภกฺขเมตฺถาติ อธโร ทนฺตาวรณํ (อาหารพักอยูที่ นั่นสิ้นเวลาเล็กนอย เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อธโร คือริมฝปากที่ปดฟน), ก็ อ ในคำวา อธโร นี้ ใช ในความหมายวา นอย (อีสตฺถ); อธร ที่ใชใน ความหมายวา ต่ำทราม กลาวอรรถวากำหนด (ทิศเบื้องลาง), ใชเปนสัพพนามิก เปน ๓ ลิงค เชน อธโร ปตฺโต (บาตรชั้นเลว) อธรา อรณี (ไม


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๙๑ สีไฟชั้นเลว), อธรํ ภาชนํ (ภารชนะชั้นเลว), แต อธร ศัพท ที่ใชในความหมายวา คนเลวทราม เปนสุทธนามิก เปนได ๓ ลิงค, ถาใชใน ความหมายวา ริมฝปาก เปน อสัพพนามิก เปน ปุงลิงค อธกฺขก (อพฺ.) ใตรากขวัญลงมา วิ. อกฺขานํ อโธ อธกฺขกํ เหกฺขกํ, อกฺขกโต ปาย อโธ อธกฺขกํ (ใตรากขวัญ ชื่อวา อธกฺขก ไดแก ใน ภายใตรากขวัญ, ขางใต ตั้งแตกระดูกรากขวัญ ลงมา เรียกวา อธกฺขก) อธิก (ติ.) เกิน, ยิ่ง, เหลือ, เดน, เลิศ วิ. อธิ หุตฺวา เอติ คจฺฉตีติ อธิโก อติริตฺโต อธิกํ อติริตฺตํ (สิ่งใดเปนของยิ่งเกิน เปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อธิก ไดแก สวนที่เหลือ), เชน คิลานสฺส อนธิกํ วา โหติ (หรือไมใชสิ่งเปนเดนของภิกษุ อาพาธ) [อธิ + อิ ธาตุ คมเน ในความไป + ก ปจจัย] อธิกต (ปุ.) ผูดูแล, ผูตรวจการณ, ผูทำงาน สำคัญ วิ. อธิกํ กโรตีติ อธิกโต อชฺฌกฺโข (ผูใด ยอมกระทำงานสำคัญ ผูนั้นชื่อวา อชฺฌกฺข), [อธิ + กร ธาตุ + ต ปจจัย, ลบ ร] อธิกรณ (นปุ.) ๑. อธิกรณ, การณ, เหตุ วิ. อธิกํ กโรตีติ อธิกรณํ (สิ่งใดยอมทำใหสำคัญ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธิกรณ), คำวา อธิกรณ ในนัยนี้ แปลวา เหตุ (การณ), เชน ยตฺวาธิกรณํ (เพราะ เหตุใด, [กร ธาตุ + ยุ ปจจัย], ๒. วิวาท เปนตน, เหตุทำรุนแรง, ที่เปนที่ทำรุนแรง วิ. อธิกโรติ เอเตน เอตฺถ วาติ อธิกรณํ (เขายอมทำรุนแรง ดวยเหตุนั้น หรือในที่นั้น ฉะนั้น เหตุนั้นหรือที่ นั้นชื่อวา อธิกรณ), [อธิ + กร ธาตุ + ยุ ปจจัย] ๓. ที่ตั้ง, โอกาส, อรรถแหงสัตตมีวิภัตติ วิ. อธิกรียติ ปติถปยติ เอตฺถาติอธิกรณํอาธาโร โอกาโส (สิ่งของเปนตน อันเขาจัดการคือทำใน ที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อธิกรณ ไดแก ที่รองรับ และโอกาส), [อธิ + กร ธาตุ กรเณ ใน ความทำ + ยุ ปจจัย เปนอธิกรณสาธนะ) วิ. ความหมาย, บทที่มีอรรถเสมอกัน, เทากัน วิ. อธิกรียติ นิยุชฺชเต อภิธานาย สทฺโท อสฺมึ อตฺเถติ อธิกรณํ, ตุลฺยาธิกรณํ (ศัพท อันทาน นำมาประกอบ คือนำมาเชื่อมโยงกัน ในอรรถนี้ เพื่อสื่อถึงสิ่งเดียวกัน เหตุนั้น อรรถนั้น ชื่อวา อธิกรณ อรรถอันเปนที่ตั้งของศัพทที่เชื่อมโยงกัน หมายถึง ตุลฺยาธิกรณํ นามและวิเสสนะที่เชื่อมยัง กัน), [อธิ + กร ธาตุ อธิกรเณ ในการนำมา ประกอบ + ยุ ปจจัย] ๔. อธิกรณสมถะ, อุบาย เปนเหตุระงับ วิ. อิมินา สมเถหิ อธิกรียติ วูปสมียตีติ อธิกรณํ (ความวิวาทอันทานจัดการ โดยใหสงบ คือระงับดวยวิธีนี้ เหตุนั้น วิธีนี้ ชื่อวา อธิกรณ), วิ. สมนตฺถาย ปวตฺตมาเนหิ สมเถหิ อธิกาตพฺพนฺติ อธิกรณํ, อธิกรียนฺติ เอตฺถาติ อธิกรณํ (สิ่งใดอันเขาจำตองกระทำ การดวยสมถะ อันเปนไปเพื่อความสงบระงับ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธิกรณ, เหตุวุนวาย อันเขาระงับในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อธิกรณ), ความจริง อธิกรณ มี ๔ อยาง คือ วิวาทาธิกรณ อนุวาทาธิกรณ อาปตตาธิกรณ กิจฺจาธิกรณ, [อธิ + กร ธาตุ วูปสเม ในความให เขาไปสงบ + ยุ ปจจัย, แปลงเปน อน, แปลง น เปน ณ] อธิกรณี (อิตฺ.) ๑. กำปน, หมัด วิ. อธิกํ กโรติ ยสฺสํ สา อธิกรณี มุิ (เขาทำการรุนแรง ที่ หมัดใด เหตุนั้น หมัดนั้น ชื่อวา อธิกรณี คือ กำปน), [อธิ + กร ธาตุ + ยุ ปจจัย + อี ปจจัย ในอิตถีลิงค] ๒. ทั่ง (อิตฺ.) วิ. กูเฏน ปหรณกิจฺจํ


๙๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อธิกโรติ เอตฺถาติ อธิกรณี, มุทฺธิ (เขาทำการทุบ ดวยฆอนลงในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อธิกรณี ไดแก ทั่ง) อธิกวจน (นปุ.) ชื่อ, นาม, คำเรียก, คำที่กลาว ทับ, คำกลาวยิ่ง, คำเรียกวัตถุสำคัญ วิ. อธิกสฺส วตฺถุสฺส วจนํ อธิกวจนํ อธิวจนํ วา (คำเรียกวัตถุ อันยิ่ง ชื่อวา อธิกวจน หรือ อธิวจน), [อธิกํ + วจน] อธิการ (ปุ.) ๑. ผูกระทำยิ่ง, หนาที่, เปนเหตุ กระทำยิ่ง วิ. อธิกิจฺจ กโรติ เอเตนาติ อธิกาโร (บุคคลยอมกระทำยิ่ง ดวยภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อธิการ), [อธิ + กร ธาตุ ในความ ทำ + ณ ปจจัย] ๒. อุปการะ, สิ่งที่ทำอยางยิ่ง เชน บริจาค, คำสำคัญที่เปนอุปการะทั้งเบื้อง หนาและเบื้องหลัง วิ. อธิกริยตีติ อธิกาโร (บท ใดอันเขากระทำใหสำคัญอยางยิ่ง เหตุนั้น บทนั้น ชื่อวา อธิการ), [อธิ + กร ธาตุ + ณ ปจจัย เปนกัมมสาธนะ], เหุปริยสุตฺเตสุ ตทูปการตาย ปณฺฑิเตหิ นิโยชิยตีติ อตฺโถ (อธิบายวา อธิการ หมายความวา บทที่บัณฑิตประกอบไว เพราะ เปนบทมีอุปการะ ในสูตรที่ผานและสูตรตอไป), วิ. ตํ ตํ สุตฺตํ อธิกิจฺจ อตฺถํ กโรตีติ วา อธิกาโร, กตฺตุสาธโน. (อีกนัยหนึ่ง สิ่งที่เจาะจงทำสูตร นั้นๆ ใหเปนอรรถ ชื่อวา อธิการ, นัยนี้เปนกัตตุ สาธนะ) ๓. การกระทำอยางยิ่ง, สักการะ, ความดีที่เคยทำไว วิ. กรณํ กาโร, ภาวสาธโน, อธิกิจฺจ กาโร อธิกาโร (การกระทำ ชื่อวา การ, เปนภาวสาธนะ, การกระทำยิ่ง ชื่อวา อธิการ), กรณานุรูป อสติ ภวตีติ อตฺโถ. (หมายความวา เปนสิ่งที่สมควรแกการกระทำ), วิ. อธิโก อุปกาโร อธิกาโร (อุปการอันยิ่ง ชื่อวา อธิการ), วิ. กรณํ กาโร, อธิโก กาโร อธิกาโร, อธิกกฺริยา (การกระทำ ชื่อวา การ, การกระทำอยางยิ่ง ชื่อวา อธิการ ไดแก การกระทำไวอยางยิ่ง) อตีตภเว สาสเน วา อิสิปพฺพชฺชาย วา ปพฺพชิตฺวา กสิณาทีสุ จตุกฺกปฺจกชฺฌานนิพฺพตฺตนสมถภาวนาภิโยโค วา (อีกนัยหนึ่ง การกระทำยิ่ง หมายถึง การไดบวชในพระศาสนา หรือบวช เปนฤษี แลวเจริญสมณภาวนาในกสิณเปนตน เปนเหตุเกิดฌาน ๔ ฌาน ๕), อธิการ ศัพท ใช ในความหมายวา อุปการะ (อุปการ), การ บริจาค (ปริจฺจาค) และ อธิสักการะ (อธิสกฺการ) เปนตน อธิกิจฺจ (กิ.กิต., อพฺ.) กระทำใหยิ่งแลว, ยิ่ง, เฉพาะ, เจาะจง วิ. อธิกตฺวาติ อธิกิจฺจ (อธิกิจฺจ แปลวา กระทำยิ่งแลว), [อธิ + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ตฺวา แปลงเปน รจฺจ โดยการ แบงสูตร กจฺ. ๕๙๘ รูป. ๖๔๓ วา รจฺจํ + อิ อาคม, อีกนัยหนึ่ง แปลงเปน ริจฺจ ตามนัยแหง นิรุตฺติทีปนี ๗๕๙ วา สาธิกรา รจฺจริจฺจา, สทฺทนีติ ธาตุมาลา วา อธิกจฺจาติ รูป ทิสฺสติ, ตฺวาสฺส รจฺจาเทโส (รูปวา อธิกจฺจ ก็มี, แปลง ตฺ วา เปน รจฺจ), สอดคลองกับที่ทานอธิบายวา อธิกจฺจาติ อธิกํ กตฺวา. อกฺขรจินฺตกา ปน สทฺทสตฺถนยํ นิสฺสาย อธิกิจฺจอิติ รูป อิจฺฉนฺติ, มยํ ปเนตาทิสํ รูป ปาิยา อนุกูลํ น โหตีติ น อิจฺฉามาติ. เอวํ กจฺจ (บทวา อธิกจฺจ แปลวา กระทำยิ่งแลว. อนึ่ง นักไวยากรณอาศัยนัยจาก คัมภีรไวยากรณสนัสกฤตประสงครูปวา อธิกิจฺจ. แตขาพเจา ไมประสงครูปเชนนั้น เพราะเห็นวา ไมสอดคลองกับพระบาลี, กจฺจ ก็นัยเดียวกัน) อธิกี (อิตฺ.) ขารี, สาแหรก วิ. อธิโก อสฺส อตฺถีติ อธิกี ขารี (จำนวนเกินของทะนานนั้น มีอยู เหตุนั้น ทะนานจึงชื่อวา อธิกี ไดแก ขารี-


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๙๓ สาแหรก), [อี ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต], (โมคฺคลฺลานปฺจิกา) อธิโกฏฏน (นปุ.) เขียง, ที่สับ วิ. อธิโกฏนฺติ ยสฺมินฺติ อธิโกฏนํ สูนา (พอครัวทั้งหลาย สับ เนื้อที่ไมนั้น เหตุนั้น ไมนั้นชื่อวา อธิโกฏน คือ เขียง), [อธิ + โกฏ ธาตุ เฉทเน ในความตัด + ยุ ปจจัย), ปาฐะวา อธิกุฏนา ก็มีบาง, ใน ธาตฺวตฺถสงฺคห วิ. อธิกุฏียติ มํสํ เอตฺถาติ อธิกุฏนํ (เนื้ออันพอครัวสับ ในที่นั้น เหตุนั้น ที่ นั้น ชื่อวา อธิกุฏน), [กุฏ ธาตุ เฉทเน ใน ความตัด + ยุ ปจจัย, แปลงเปน อน, แปลง อุ เปน โอ], หรือ อธิกนตฺน (สับ, ที่สับ), [กนฺต ธาตุ ํ เฉทเน ในความตัด + ยุ ปจจัย] อธิคต (ปุ.) ๑. ธรรมอันทานบรรลุ, ผูบรรลุแลว, พระอริยเจา, อริยบุคคล วิ. อธิคจฺฉิยิตฺถาติ อธิคโต (ธรรมใดอันทานบรรลุแลว เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อธิคต), [อธิ + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัยในกรรม] ๒. ธรรมอัน ทานบรรลุ วิ. อธิคมิยนฺเตติ อธิคตา (ธรรม ทั้งหลายอันทานบรรลุ เหตุนั้น ธรรมเหลานั้นจึง ชื่อวา อธิคต) ๓. พระอริยเจา วิ. อธิคจฺฉิตฺถาติ อธิคโต อริโย (ผูใดบรรลุแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อธิคต คือพระอริยเจา), [อธิ + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย, ลบ ม] อธิคม (ปุ.) ๑. ธรรมเปนเหตุรู วิ. อธิคมิยติ ายติ เอเตนาติ อธิคโม (บัณฑิตยอมบรรลุคือรู ไดดวยธรรมนั้น เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อธิคม), [อธิ + คมุ ธาตุ าเณ ในความรู + อ ปจจัย] ๒. ธรรมอันผูปฏิบัติพึงบรรลุ วิ. อธิคนฺตพฺโพติ อธิคโม (ธรรมใดอันผูปฏิบิติพึงบรรลุ เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อวา อธิคม), [อธิ + คมุ ธาตุ าเณ ในความรู + อ ปจจัย], อธิคม ศัพท หมายความ วา มรรค ผล อภิญญา และปฏิสัมภิทา อธิคมฺม (กิ.กิตฺ.) ไดแลว, ถึงแลว, บรรลุแลว วิ. อธิคมิตฺถาติ อธิคมฺม, อธิคมิตฺวา วา (บทวา อธิคมฺม, อธิคมิตฺวา แปลวา ถึงแลว), [อธิ + คมุ คติมฺหิ ในการไป + ตฺวา ปจจัย, แปลงตูนาทิเปน ย แปลงเปน มฺม ดวยสูตร กจฺ.๖๐๐ รูป.๖๔๕ วา มหทเภหิ มฺม-ยฺห-ชฺช-พฺภ-ทฺธา จ และ ลบ ที่สุดธาตุ] อธิคมฺมมาน (ติ.) สิ่งอันเขารู, ปริยัติที่ถูก เรียนรู วิ. อธิคมฺมเตติ อธิคมฺมมานา ปริยตฺติ, อธิคมฺมมานํ ธมฺมํ (ปริยัติใดอันเขาเรียน เหตุนั้น ปริยัตินั้นชื่อวา อธิคมฺมมานา, เชน ธรรมอันเขา บรรลุ), [อธิ + คมุ ธาตุ าเณ ในความรู + ย ปจจัย เปนกัมมวาจก + มาน ปจจัย, อาเทศ มฺย เปน ม, ซอน มฺ] อธิคเมยฺย (นปุ.) ธรรมที่ควรบรรลุ, สิ่งที่ควร บรรลุ วิ. อธิคนฺตพฺพนฺติ อธิคเมยฺยํ (ธรรมชาติ ใด อันเขาพึงบรรลุ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อธิคเมยฺย), [อธิ + คมุ ธาตุ คมเน ในความไป + ฆฺยณฺ ปจจัย + อี อาคม แปลงเปน เอ, ซอน ยฺ] อธิจฺจ (กิ.กิต., อพฺ.) ๑. เรียนแลว, สวดแลว, บรรลุแลว, อาศัย, ไปยิ่ง คือ เกิดขึ้นลอยๆ ไม มีเหตุวิ. อธิยิตฺวาติ อธิจฺจ (อธิจฺจ แปลวา เรียน แลว, บรรลุแลว), เชนขอวา อธิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติ อการณ-สมุปฺปนฺนํ (คำวา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ หมายถึง เกิดขึ้นลอยๆ ไมมีเหตุ), [อธิ + อิ ธาตุ อชฺฌยเน คติยํ วา ในความสาธยาย หรือการไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง อิ เปน จฺจ] อถ วา อธิจฺจาติ สชฺฌายิตฺวา (อีกนัยหนึ่ง อธิจฺจ แปลวา สวด แลว), (อเปจฺจ อุเปจฺจ อนฺเวจฺจ ก็นัยนี้ ๒. ทรง ไว, ดำรงไวเฉพาะ วิ. อธิธริตฺวาติ อธิจฺจ (อธิจฺจ


๙๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา แปลวา ทรงไวยิ่ง), [อธิ + ธิ ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ตฺวา ปจจัย แปลงเปน จฺจ, ลบ ธ ตัวหนา] อธิจฺจกา (อิตฺ.) พื้นที่บนภูเขา วิ. ปพฺพตสฺส อุทฺธํ ภูมิ อธิจฺจกา (พื้นที่บนภูเขา ชื่อวา อธิจฺจกา), [อธิ + จฺจก ปจจัย กจฺ.๔๒๓ วา ยท เปนตน + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อธิจฺจสมุปฺปนฺนิก (ติ.) ผูมีทิฏฐิวาอัตตาและ โลกเกิดขึ้นลอยๆ ๑. วิ. อธิจฺจ ยทิจฺฉกํ ยํ กิฺจิ การณํ อนเปกฺขิตฺวา สมุปฺปนฺโน อตฺตา จ โลโก จาติ วาเท นิยุตฺตา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา (พราหมณผูประกอบวาทะวา อัตตาและโลก เกิดขึ้นลอย คือไมคำนึงถึงเหตุอะไรๆ ทั้งหมด ชื่อวา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา), [ณิก ปจจัยในตัทธิต] ๒. วิ. อธิจฺจ ยทิจฺฉกํ ยํ กิฺจิ การณํ วินา สมุปฺปนฺโน อตฺตา จ โลโก จาติ ทสฺสนํ อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ (ความเห็นที่วา อัตตาและโลก เกิดขึ้นลอยๆ คือเวนเหตุอยางใดอยางหนึ่ง ตามที่ปรารถนา ชื่อวา อธิจฺจสมุปฺปนฺน) อตฺตโลกสฺิตานฺหิ ขนฺธานํ อธิจฺจุปฺปตฺติ- อาการารมฺมณํ ทสฺสนํ ตทาการสนฺนิสฺสยวเสน ปวตฺติโต ตทาการสหจริตตาย จ อธิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติ วุจฺจติ ยถา มฺจา โฆสนฺติ, กุนฺตา ปจรนฺตีติ จ ตํ เอเตสมตฺถีติ อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา (จริงอยู ความเห็นซึ่งมีอาการเกิดขึ้นลอยๆ แหง ขันธทั้งหลายที่รูกันวาเปนอัตตาและโลกเปน อารมณ ทานเรียกวา อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ เพราะ ความเปนไปดวยอำนาจที่อาศัยแหงอาการนั้น และเพราะความเปนธรรมชาติมีความเปนไป รวมดวยอาการนั้น เหมือนอยางคำวา เตียงสง เสียงโห และหอกทั้งหลายยอมเที่ยวไป ความเห็นวา อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ นั้นมี อยูแกพราหมณเหลานั้น เหตุนั้น พราหมณ เหลานั้นชื่อวา อธิจฺจสมุปฺปนนิกา ผูมีความเห็น อัตตและโลกเกิดขึ้นลอยๆ) (สารตฺถ.๑/๒๒๕), [อิก ปจจัยในตัทธิต] อธิจิตฺต (นปุ.) สิ่งที่อาศัยจิตเปนไป, จิตอันยิ่ง, มรรคจิตผลจิต ๑. วิ. จิตฺตมธิกิจฺจ ปวตฺตนฺติ เต ธมฺมาติ อธิจิตฺตํ, ทุติยาอพฺยยีภาวสมาโสยํ (ธรรมเหลานั้น อาศัยจิตเปนไป เหตุนั้น จึงชื่อ วา อาศัยจิตเปนไป, เปนทุติยาอัพยยีภาวสมาส), ทสกุสลกมฺมปถวเสน อุปฺปนฺนํ จิตฺตํ จิตฺตเมว (จิตที่เกิดดวยอำนาจกุศลกรรมบถสิบ ชื่อวา จิต นั่นเอง), วิ. วิปสฺสนาปาทกอสมาปตฺติจิตฺตํ ตโต จิตฺตโต อธิกํ จิตฺตํ อธิจิตฺตํ, อธิอุปสคฺโค อธิกตฺเถ (จิตคือสมาบัติ ๘ ซึ่งเปนบาทฐานแหง วิปสสนา จัดเปนจิตอันยิ่งกวาจิตนั้น ชื่อวา อธิจิต, อธิ อุปสัค ใชในอรรถวา อธิก ยิ่ง, เกิน), ตโตป วา มคฺคผลจิตฺตเมว อธิจิตฺตํ(อีกประการ หนึ่ง มรรคจิตและผลจิตนั่นเอง ชื่อวา อธิจิต เพราะยิ่งกวาจิตนั้น), ในสัททนีติ สุตตมาลา (นีติ.๖๙๖) วา สามฺนิทฺเทโสป สมาธิเยว วุจฺจติ สงฺเกตวเสน อตฺถสฺส คเหตพฺพตฺตา, สามฺโชตนา วิเสเส อวติตีติ วจนโต จ. อถ วา อธิกํ จิตฺตํอธิจิตฺตนฺติกมฺมธารยสมาสวเสนป สมาธิเยว วุจฺจติ จิตฺตสีเสน ตสฺเสว นิทฺทิตฺตา. ติสฺโส หิ สิกฺขา อธิสีลํ อธิจิตฺตํ อธิปฺนฺติ (ในตัวอยาง “อธิจิตฺต” นี้ แมจะแสดงโดยไมได ระบุเจาะจงแตก็หมายเอา เฉพาะสมาธิเทานั้น เพราะการถือเอาความหมายตองขึ้นอยูกับ สังเกตบัญญัติ[กลาวคือ การบัญญัติศัพทใชตาม ความเหมาะสมกับสถานที่ และกาลเวลาเปน ตน] และเพราะมี ปริภาษาวา “ศัพทที่แสดง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๙๕ ความหมายทั่วไป สามารถแสดงความหมาย เจาะจงได” อธิฏาตพฺพ (ติ.) พึงจัดทำ, พึงจัดแจง, พึงอธิษฐาน วิ. สํวิธาตพฺพนฺติ อธิาตพฺพํ (สิ่ง ใดอันเขาพึงจัดทำ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อันเขา พึงจัดทำ), [อธิ + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในการ หามการไป + ตพฺพ ปจจัย, ซอน ] อธิฏาน (นปุ.,ปุ.) ๑. ความตั้งใจแนวแน, การ อธิษฐาน, การติดแนน (นปุ.) วิ. อธิกํ าตพฺพนฺติ อธิานํ (อันเขาพึงตั้งไวมั่น ชื่อวา อธิาน), [อธิ + า ธาตุ าเน ในความตั้ง, ยุ ปจจัย แปลง เปน อน, ซอน ] ๒. ที่เปนที่ตั้งไวมั่น, ที่อยู อาศัย วิ. อธิติติ เอตฺถาติ อธิานํ (สิ่งนั้น อาศัยอยูในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อธิาน), [อธิ + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในความหยุดการไป + ยุ] ๓. อธิฏฐานหาระ ตามนัยเนตติอรรถกถา วิ. สามฺวิเสสภูตา ธมฺมา วินา วิกปฺเปน อธิิยนฺติ อนุปวตฺติยนฺติ เอเตน เอตฺถ วาติ อธิาโน (ธรรมทั้งหลายที่สามัญทั่วไปและ พิเศษโดยเวนจากความดำริอันเขาตั้งไว หรือให เปนไป ดวยหาระนั้น หรือในหาระนั้น เหตุนั้น หาระนั้น ชื่อวา อธิาน), [อธิ + าเน ในความ ตั้งไว + ยุ ปจจัย] (ดู เนตติอรรถกถา ฉบับ พระ คันธสาราภิวงศ แปล หนา ๕๖), ๔. ตั้งใจ, กำหนดเหนือเลยการตกภวังคเขาฌาน วิ. ภวงฺคปาตํ อธิ อภิภวิตฺวา ฌานสฺส ปนํ อธิานํ, อธิิยเต วา อธิานํ, อิทํ กริสฺสามิ, เอวํ กริสฺสามีติอาทินา จิตฺตสฺส ทฬฺหสมาทานํ (การครอบงำการตกภวังคไปยับยั้งฌานไว ชื่อวา อธิษฐาน, อีกนัยหนึ่ง อันเขาตั้งมั่น ชื่อวา อธิษฐาน, หมายถึง การรวบจิตใหมั่นไว โดยนัย เปนตนวา เราจักทำสิ่งนี้ เราจักทำอยางนี้), อิธ ปน อธิานํ วิยาติ อธิานํ, เอตฺตกเมว ขณํ ฌานํ เปสฺสามีติ จิตฺตปณิทหนํ (ก็ ในที่นี้ ชื่อวา อธิษฐาน เพราะอรรถวา เห็นเหมือนยับยั้งไว, ไดแก การตั้งจิตไววา เราจักพักฌานไวชั่วขณะ ประมาณเทานี้เทานั้น), ก็เพราะอธิบายนัยนี้ ใน วิสุทธิมรรคมหาฎีกา (๑/๒๖๓) ทานจึงอธิบาย วา อภิภุยฺย ปนํ, อธิานํ วิยาติ วา อธิานํ (ความครอบงำแลวยับยั้งอยู ชื่อวา อธิษฐาน, อีกอยางหนึ่ง ชื่อวา อธิษฐาน เพราะอรรถวา เปนเหมือนหยุดยั้งไว), วิ. อธิหนํ อธิานํ (การกำหนดเก็บไว ชื่อวา อธิษฐาน) เชนคำวา อธิานํ วิชหติ วินย.อ.๑/๓๓๑ (ยอมขาด อธิษฐาน), [อธิ + า ธาตุ + ยุ ปจจัย], ปาฐะวา อธิิตํ ก็มี, เชน อธิิตนฺติ อธิานํ (การตั้ง ไวเฉพาะ ชื่อวา อธิษฐาน) อธิฏาย (กิ.กิตฺ.,อพฺ.) อธิหิตฺถาติ อธิาย, อธิา, อธิหิตฺวา วา (อธิาย, อธิา, อธิหิตฺวา แปลวา ตั้งไวมั่นแลว), [อธิ + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในความหามการไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, ลบ ย ตามขอกำหนด ในมหาสูตร กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ เปนตน เชนในขอวา ปฏิสงฺขา โยนิโส (ลบ ย ที่ ปฏิสงฺขาย), หรือแปลง า เปน ห, ลง อิ อาคม] อธิฏายก (ติ.) ผูตั้งมั่น, ผูอธิษฐาน, ผูควบคุม วิ. อธิาตีติ อธิายโก(ผูใดยอมตั้งมั่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวาอธิายโก) [อธิ+ าธาตุคตินวิตฺติยํ ในความหามการไป + อก ปจจัย + ย อาคม] (นิรุตฺติ. ๗๙๑), นัยเดียวกันเชน อธิายี ลง ณี ปจจัย หมายถึง ผูจัดการ, ผูจัดแจง (วิธายโก) อธิฏิต (ติ.) ตั้งอยูแนนอน, เปนแนว, เปนไป ประจำเนืองนิตย, ไมแตกแถว วิ. อธิ นิจฺจวเสน าติ ปวตฺตตีติ อธิิตา, นิจฺจปวตฺตินี (ลำดับ


๙๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา แหงภัตตั้งอยู คือเปนไปดวยอำนาจตอเนื่อง เหตุนั้น แถวนั้นชื่อวา อธิิตา คือเปนไป ประจำเนื่องนิตย, ปาจิตฺยาทิโยชนาปาิ, ๗๓ [อธิ + า คตินิวตฺติยํ ในการหามการเปนไป + ต ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อา เปน อิ] อธิฏเยยฺ ,-เหยยฺํ (ติ.) สิ่งอันเขาพึงตั้งมั่น, ธรรมอันเขาพึงตั้งมั่น วิ. อธิาตพฺพนฺติ อธิเยฺยํ, อธิเหยฺยํ (สิ่งใดอันเขาพึงตั้งมั่น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธิเยฺยํ, อธิเหยฺยํ), [อธิ + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในการหามการไป + ฆฺยณฺ ปจจัย, แปลง อา เปน เอ, ซอน ยฺ] (นิรุตฺติ. ๗๗๘) อธิต (ติ.) อันเขาศึกษาแลว วิ. อธิอิยติ สิกฺขิยตีติ อธิโต (เวทเปนตนอันเขาศึกษา เหตุนั้น เวทนั้นจึงชื่อวา อธิต), [อธิ + อิ ธาตุ สชฺฌายเน ในการสาธยาย + ต ปจจัย] อธิตฺถิ (อพฺ.) คำพูดที่เปนไปในหญิง, ในสตรี, วิ. อิตฺถีสุ ปวตฺตา กถา อธิตฺถิ (วาจาเปนเครื่อง กลาวที่เปนไปในสตรีทั้งหลาย ชื่อวา อธิตฺถิ), คำวา อธิกุมาริ (ในกุมารี) อธิวธุ (ในหญิงสาว) อธิชมฺพุ (ในชมพูทวีป) ก็นัยนี้ (นิรุตฺติ.๓๓๖) อธิน, อธีน (ติ.) ผูอาศัย, ผูไปทับ, เนื่องกัน วิ. อธิจฺจ เอตีติ อธิโน (ผูใดยอมเปนไปเฉพาะ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อธิน), [อธิ + อิ ธาตุ อายตฺเต ในความไป + กฺต ปจจัย, แปลง ต เปน น], สวนใน นิรุตติทีปนี (ฉบับแปล หนา ๙๘) วา แปลง น เปน ย เชน ปราเธยฺยกํ ทุกฺขํ (ทุกขอัน เนื่องผูอื่น), ในคำวา อาเธยฺย วิ. อธินเมว อาเธยฺยํอายตฺตํ (ผูอาศัยนั่นเอง ชื่อวา อาเธยฺย ไดแก เนื่องกัน), ณฺย ปจจัย สกัตถ อธิป (ปุ.) ผูใหญ, ผูปกครอง, ผูคุมครองผู อาศัยตน วิ. อตฺตาธีนํ ปาติ รกฺขติ ธมฺเมน วา อธิ อภิภวิตฺวา ปาติ รกฺขตีติ อธิโป อธิภู (ผูใด รักษาคุมครองชนที่อาศัยตน หรือรักษาคุมครอง โดยธรรม เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อธิป), [อธิ + ปา รกฺขเน ธาตุในความรักษา + อ ปจจัย] อธิปติ (ปุ.) ๑. อธิบดี, ผูเปนใหญ, ผูเปนเจา เหนือผูอาศัยตน วิ. อธีนํ อายตฺตานํ ปติ สามิ อธิปติ (ผูเปนเจานาย แหงคนที่อาศัยเนื่องกับ ตน ชื่อวา อธิปติ) วิ. อธิโก ปตีติ อธิปติ (ผูใด เปนเจาใหญ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อธิปติ ผูใหญ) วิ. อตฺตาธีนวตฺตีนํ ปตีติ อธิปติ (ผูใดเปนใหญ กวาชนที่อาศัยตน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อธิปติ) ๒. อธิปติปจจัย, อธิปติธรรม วิ. อตฺตาธีนปฺ- ปวตฺตีนํ ปติภูโต ธมฺโม อธิปติ (ธรรมที่เปนเจา ใหญกวาธรรมที่เปนไปอาศัยตน ชื่อวา อธิปติ) ๓. ผูรักษาคุมครอง วิ. อธีนํ ปาติ รกฺขตีติ อธิปติ (ผูใดยอมบริบาลรักษา เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อธิปติ), [อธิ + ปา ธาตุ รกฺขเน ในความ รักษา + ติ ปจจัย, รัสสะ อา เปน อ], อธิปติ ศัพทเปนไวพจนของความเปนใหญ เปน อิ การันตในปุงลิงค อธิปฺปาย (ปุ.) วัตถุประสงค, ความประสงค, อธิบาย วิ. อธิ อภิมุขํ ปกาเรน เอติ อุปคจฺฉตีติ อธิปฺปาโย (คำใดมุงไปโดยประการตางๆ เหตุนั้น คำนั้น ชื่อวา อธิปฺปาย) วิ. อภิมุขํ อภินิวิสฺส วา ปกาเรหิ เอติ อุปคจฺฉตีติ อธิปฺปาโย (คำใดมุงไป หรือเจาะจงไปดวยประการตางๆ เหตุนั้น คำนั้น ชื่อวา อธิปฺปาย), [อธิ + อป + อิ ธาตุ, + ณ ปจจัย] ๒. ความประสงค, จุดมุงหมาย อธิปฺปยเต อิจฺฉิยเตติ อธิปฺปาโย (สิ่งใดอันเขามุง หมายปรารถนา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๙๗ อธิปฺปาย), [อธิ + อป + อิ ธาตุ + ณ ธาตุ, แปลง อิ ที่ อป เปน ย แปลง ปฺย เปน ป, ซอน ปฺ, แปลง อิ เปน อาย] ๓. สิ่งที่ตั้งมั่นในจิต, ความ มุงหมาย วิ. อธิปยติ จิตฺเตติ อธิปฺปาโย (สิ่งใด ตั้งมั่นในจิต เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธิปฺปาย), [อธิ + ปย ธาตุ คมเน ในความไป + ณ ปจจัย] ๔. สิ่งที่เปนเหตุประกอบสิ่งที่ไดเรียนมา, วิตก วิ. อธิตํ ปยติ ปยุชฺชติ เอเตนาติ อธิปฺปาโย (บุคคลยอมประกอบสิ่งที่ตนไดเรียนมา ดวย ภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อธิปฺปาย), [อธิ + ปย ธาตุ โยเค ในความประกอบ + ณ ปจจัย, ซอน ปฺ, ทีฆะ อ เปน อา], อธิปฺปาย ศัพท มี ความหมายวา การตัดสินใจ, ความตกลงใจ (วินิจฺฉิตตฺถ) และความประสงค (อชฺฌาสย) เปนตน อธิปฺเปต (ติ.) อันเขาประสงค วิ. อธิปยิตพฺโพ อชฺฌาสยิตพฺโพติ อธิปฺเปโต (เนื้อความเปนตน ใดอันทานพึงประสงค เหตุนั้น เนื้อความนั้น ชื่อวา อธิปฺเปต), [อธิ + เป ธาตุ อชฺฌาสเย ใน ความประสงค + ต ปจจัย, ซอน ป] วิ. อันเขา ปรารถนา วิ. อธิปฺปยเต อิจฺฉิยเตติ อธิปฺเปโต (สิ่งใดอันเขายอมปรารถนา เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธิปฺเปต), [อธิ + อป + อิ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความปรารถนา + ต ปจจัย, แปลง อิ แหง อป ศัพทเปน ย, แปลง ปฺย เปน ปา, ซอน ปฺ] อธิภุยฺย (กิ.กิตฺ.) ครอบงำแลว, ย่ำยีแลว วิ. อธิภวิตฺวาติ อธิภุยฺย (บทวา อธิภุยฺย แปลวา ครอบงำแลว), [อธิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + ตฺวา ปจจัย แปลง ตฺวา เปน ปฺย, ซอน ปฺย, รัสสะ อู เปน อุ] นัยเดียวกัน อภิภุยฺย, อภิภุยฺยิตฺวา [อภิ + ย อาคม, ซอน ยฺ, รัสสะ อู เปน อุ] อธิภู (ติ.) ผูเปนใหญ, ผูปกครอง, ผูนำ, เจานาย วิ.อธิภวตีติ อธิภู, อิสฺสโร (ผูใดยอมเปนยิ่ง เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อธิภู คือผูเปนใหญ), คำที่ ตัวอยางในอรรถนี้ เชน ขุ.จริยา.๓๓/๑/๕๕๑ ตทา มํ ตปเตเชน สนฺตตฺโต ติทิวาธิภู ธาเรนฺโต พฺราหฺมณวณฺณํ ภิกฺขาย มํ อุปาคมิ (ในกาลนั้น ดวยเดชแหงการประพฤติตบะของ เรา สมเด็จอัมรินทรผูครองไตรทิพย ทรงรอน พระทัย ทรงแปลงเพศเปนพราหมณเขามาหา เราเพื่อภิกษา), [อธิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + กฺวิ ปจจัย] อธิภูต (ติ.) ๑. ครอบงำแลว, มืดมน วิ.อธิภวิตถฺาติ อธิภูตํ (สิ่งใดครอบงำ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธิภูต), [อธิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความ เปน + ต ปจจัย], ปาฐะวา อทฺธภูต (มืดมน) ก็มี เพราะปรากฏในพระบาลีวา จกฺขุํ ภิกฺขเว อทฺธภูตํ (สํ.สฬ.๑๘/๓๒/๒๕) (ภิกษุทั้งหลาย จักษุเปนสิ่งมืดมน), อทฺธภูตนฺติ อธิภูตํ อชฺโฌตฺถฏํ, อุปทฺทุตนฺติ อตฺโถ (บทวา อทฺธภูตํ ความวา มืดมน ถูกทวมทับ ถูกเบียดเบียน), อทฺธ มีความหมายเทากับ อธิ ศัพท, ในตัวอยาง หลัง เพราะมีศัพทที่สำเร็จมาจาก ภู ธาตุอยูหลัง แปลง อธิ เปน อทฺธ ตามนัยแหงสัททนีติ (นีติ. ๑๓๓ วา อทฺโธ ภูมเย ปเร), เชน อทฺธภวติ (ยอมครอบงำ) กึสุ สพฺพํ อทฺธภวิ(สํ.ส.๑๕/ ๑๗๘/๕๔) (อะไรหนอครอบงำสิ่งทั้งปวง) นามํ สพฺพํ อทฺธภวิ(สํ.ส.๑๕/๑๗๙/๕๔) (ชื่อครอบงำ สิ่งทั้งปวง) เปนตน อธิมาน (ปุ.) อธิมานะ, ความทะนงตัว, ถือดี, หยิ่งผยอง วิ. อธิคโต อหนฺติ อุปฺปนฺนํ มฺนํ อธิมาโน, อธิโก วา มาโน อธิมาโน (ความ โออวดที่เกิดขึ้นวา เราดีที่สุด ชื่อวา อธิมาน


๙๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อีกนัยหนึ่ง มานะอันยิ่ง ชื่อวา อธิมาน), [อธิ + มน ธาตุ คพฺเพ ในความโออวด + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา] อธิมุจฺจ (กิ.กิตฺ,อพฺ.) สิงแลว วิ. อธิมุจฺจิตฺวาติ อธิมุจฺจ (อธิมุจฺจ แปลวา สิงแลว), [อธิ + มุจ ธาตุ โมจเน ในความปลอย + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง ย เปน จ], อธิมุจฺจิตฺวา ก็นัยนี้ [ลง ย อาคม, แปลง จฺย เปน จ, ซอน จฺ + อิ อาคม + ตฺวา ปจจัย] อธิมุตฺต (ปุ.) ความมุงหมาย, ความพอใจ, ความนอมใจเชื่อ, ความพอใจ, จิตนอนอยู, อัชฌาสัย, อัธยาศัย วิ. อธิมุจฺจตีติ อธิมุตฺโต (ภาวะใดโนมเอียงไป เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อธิมุตฺต), [อธิ + มุจ ธาตุ โมจเน ในความพน + ต ปจจัย, แปลง จ เปน ต] อธิมุตฺติ (อิตฺ.) อธิมุตติ, ความตั้งใจมั่น, อัชฌาสัย, ความมุงหมาย วิ. อธิมุจฺจนํ จิตฺเต อธิานํ อธิมุตฺติ อชฺฌาสโย อธิปฺปาโย จ (ความนอมใจไป คือความตั้งมั่นในใจ ชื่อวา อธิมุตฺติ ไดแก อัชฌาสัย และความประสงค), ศัพทนี้เปนอิตถีลิงค, [อธิ + มุจ ธาตุ โมจเน ใน ความปลอย + ติ ปจจัย, แปลง จ เปน ตฺ] อธิโมกขฺ (ปุ.) ๑. การตัดสินใจ, ความตกลงใจ วิ.อธิมุจฺจนํ อารมฺมณนิจฺฉยนํ อธิโมกฺโข (ความ ตกลงใจ ไดแก การตัดสินอารมณ ชื่อวา อธิโมกฺข), พึงเห็น อธิโมกข นั้นวาเปนเหมือน เสาหลักเมือง เพราะไมหวั่นไหวไปในอารมณ, [อธิ + มุจ ธาตุ นิจฺฉเย ในความตัดสิน + ข ปจจัย กจฺ. ๖๓๘ รูป. ๖๖๐ วา วชฺชาทีหิ เปน ตน, แปลง จ เปน กฺ กจฺ.๔๗๓ รูป.๕๒๙ วา โก เข จ, แปลง อุ เปน โอ กจฺ.๔๘๕ รูป.๔๓๔ วา อฺเสุ จ, ๒. การตัดสินใจ วิ. อธิมุจฺจนํ อิทเมวาติ สนฺนิานกรณํ อธิโมกฺโข (การ ตัดสิน คือการตกลงใจไดวา สิ่งนี้แหละ ชื่อวา อธิโมกฺข), [อธิ + มุจ ธาตุ โมจเน ในความพน+ ข ปจจัย], ในบางแหงอธิบาย อธิโมกข ไววา สัทธินทรียอันมีกำลังชื่อวา อธิโมกข, ๓. ความ เชื่อ วิ. อธิมุจฺจนํ สทฺทหนํอธิโมกฺโข (ความปลง ใจเชื่อ, ความเชื่อ ชื่อวา อธิโมกข), บัณฑิตพึง คนดูความตางกันแหงความหมายเหลานั้น ใน วิสุทธิมรรคมหาฎีกา อธิโรหณี, -หิณี (อิตฺ.) บันได วิ. อุทฺธํ อาโรหเต เอตายาติ อธิโรหณี อธิโรหิณี วา, นิสฺเสณี (บุคคลยอมขึ้นไปขางบนดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อธิโรหณี, อธิโรหิณี คือบันได), [อธิ + รุห ธาตุ ชนเน ในความเกิด + ยุ ปจจัย แปลง เปน อน, แปลง น เปน ณ, แปลง อุ เปน โอ + อี ปจจัยในอิตถีลิงค) อธิวจน (นปุ.) ๑. ชื่อ วิ. การณํ อธิการํ วุจฺจติ อตฺโถ เอเตน สทฺเทนาติ อธิวจนํ ปริยายวจนํ (ความหมายอันทาน เรียกทำใหเปนการณคือให สำคัญ ดวยศัพทนั้น เหตุนั้น ศัพทนั้น จึงชื่อวา อธิวจนํ ไดแก คำแทน), [อธิ + วจ ธาตุ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] วิ. อตฺเถน อธีนํ วจนํ อธิวจนํ อวฺหโย (คำที่ทานกลาวทำใหสำคัญ เพราะความหมาย ชื่อวา อธิวจน), ๒. คำตอๆ ไป วิ. อุปริ วจนํ อธิวจนํ (คำตอๆ ไป ชื่อวา อธิวจน) อธิวตฺถา (อิตฺ.) เทวดาผูอยูประจำ, ผูสิง, ผูพำนัก วิ. วสฺสํ อชฺฌาวสตีติ อธิวตฺถา (เทวดา ใด อยูครอบครองตลอดป เหตุนั้น เทวดานั้น ชื่อวา อธิวตฺถา), [อธิ + วส ธาตุ นิวาเส ในความ พักอยู + ต ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง ต พรอมพยัญชนะ ส หรือ ห เปนตนเปน


Click to View FlipBook Version