The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattarat Juntien, 2023-03-01 03:08:39

จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร (พจนานุกรม บาลี-ไ

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Keywords: ธรรม

พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๔๙ โอฬาริกานํ ปฺจนฺนํ สํโยชนานํ ปหีนตฺตา นตฺถิ จิตฺตสฺส วิหฺนํ สมถวิปสฺสนาธมฺเมสุ อวิปฺผาริกตาปตฺติ เอเตสนฺติ อวิหา (ความ ลำบากใจ คือที่เปนการเจริญสมณะและ วิปสสนาไมได ไมมีแกพรหมเหลานั้น เพราะ กำจัดสังโยชน ๕ ไดแลว เหตุนั้น พรหมเหลานั้น ชื่อวา อวิหา), ปรมัตถทีปนี ฉบับแปล หนา ๔๒๙ [น + วิ + หน ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + กฺวิ ปจจัย, ลบ กฺวิ และ น, แปลง น เปน อ] อวิหาย (กิ.กิตฺ.) ไมละแลว วิ. น วิชหิตฺวาติ อวิหาย, อวิสฺสชฺเชตฺวา (ไมละแลว ชื่อวา อวิหาย คือไมสละแลว), [น + วิ + หา ธาตุ จาเค ในความสละ + ตฺวา ปจจัย, แปลง น เปน อ, แปลง ตฺวา เปน ย] อวิหึสก (ติ.) ผูไมเบียดเบียน, ผูไมรบกวน วิ. วิหึสตีติ วิหึสโก, วิเหสโก วา, วิเหโกติ อตฺโถ (ผูใดเบียดเบียน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา วิหึสโก, วิเหสโก, วิเหโก-ผูเบียดเบียน), [วิ + หึส ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + ณฺวุ ปจจัย, แปลง เปน อก, ลบนิคหิต, แปลง อิ เปน เอ] วิ. น วิหึสโก อวิหึสโก (ไมใชผูเบียดเบียน ชื่อวา อวิหึสโก), [แปลง น เปน อ, นปุพฺพปท กมฺมธารยสมาส] อวีจิ (ปุ.อิตฺ.) อเวจี, ชื่อนรกขุมหนึ่ง, ๑. ที่ไมมี ชองวาง วิ. วิวิเธน จยติ วฑฺฒยตีติ วีจิ (สิ่งใด ยอมกอขึ้น โดยประการตางๆ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อ วา วีจิ-กระแส, ระลอก), [วิ + จิ ธาตุ จเย ใน ความกอ, กฺวิ ปจจัยในอรรถกัตตุ, ทีฆะ อิ ที่ อุปสัค] วิ. อคฺคิ-ชาเลหิ จ ทุกฺเขหิ จ สตฺเตหิ จ นตฺถิ เอตฺถ วีจิ อนฺตรนฺติ อวีจิ (ชองวางจาก เปลวไฟ จากทุกข และจากสัตวนรก ไมมีในแดน นั้น เหตุนั้น แดนนั้นชื่อวา อวีจิ) วิ. ชาลานํ วา ปจฺจนสตฺตานํ วา เตสํ ทุกฺขสฺส วา วีจิ อนฺตรํ นตฺถิ เอตฺถาติ อวีจิ (การวางเวนแหงเปลวไฟ แหงสัตวนรถที่ถูกเผาไหม และแหงทุกขของ สัตวเหลานั้น ไมมีในแดนนั้น เหตุนั้น แดนนั้น ชื่อวา อวีจิ), วิ. อคฺคิชาลานํ วา สตฺตานํ วา ทุกฺขเวทนาย วา วีจิ อนฺตรํ ฉิทฺทํ เอตฺถ นตฺถีติ อวีจิ, อวีจิกํ วา, อวิจิ วา (ชองวางแหงเปลวไฟ แหงสัตวนรก หรือแหงทุกขเวทนา ไมมีใน แดนนั้น เหตุนั้น แดนนั้นชื่อวา อวีจิ, อวีจิก, อวิจิ), [น + วิ + จิ ธาตุ จเย ในความกอ + กฺวิ ปจจัย] ๒. ที่ไมมีความสุข วิ. นตฺถิ วีจิ สุขํ เอตฺถาติ อวีจิ. (ความสุข ไมมี ในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อวีจิ), วิ. นตฺถิ สุขสฺส วีจิ เสโสป อตฺราติอวีจิ (ความสุขแมเพียงเศษเสี้ยว ไมมีใน แดนนั้น เหตุนั้น แดนนั้นชื่อวา อวีจิ), ๓. ชราที่ ไมมีวางเวน วิ. นตฺถิ เอติสฺสา ชราย วีจีติ อวีจิชรา, ปฏิจฺฉนฺนชรา. (ความวางเวนแหงชรา นั่น ไมมี เหตุนั้น ชรานั้นชื่อวา อวีจิชรา, คือ ปฏิจฉันนชรา ความแกที่ซอนเรน), อวีจิ ศัพท เปนอิการันตในปุงลิงคและอิตถีลิงค ๔. ความ สืบตอแหงจิตที่มีชองวาง วิ. วิสทิสจิตฺตปวตฺติ สงฺขาตาย วีจิยา อภาเวน อวีจิกา, จิตฺตสนฺตติ. (ความสืบตอแหงจิต ชื่อวา อวีจิกา เพราะไมมี ชองวาง กลาวคือความเปนไปแหงจิตที่ตางกัน) อวูปสม (ปุ.) ไมสงบ, ความไมเขาไปสงบระงับ วิ. อวูปสมนํ อวูปสโม (การไมเขาไปสงบระงับ ชื่อวา อวูปสม), [น + วิ + อุป + สม ธาตุ อุปสเม ในความเขาไปสงบ + อ ปจจัย, แปลง น เปน อ, เพราะอำนาจสระหลังคือ อุ ลบสระหนา คือ อิ กจฺ.๑๒ รูป.๑๓ วา สรา สเร โลป, ทีฆะ อุ


๒๕๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เปน อู], นัยเดียวกัน อวูปสมนํ, ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ, แปลงเปน อน อเวจฺจ (กิ.กิตฺ.) เขาไปแลว, รูแลว, หยั่งลงแลว, ตั้งอยูเฉพาะแลว วิ. อเวตฺวาติ อเวจฺจ, ปวิสิตฺวา ปฏิวิชฺฌิตฺวา อชฺโฌคาเหตฺวา ปติิตฺวา วา, (เขาไปแลว ชื่อวา อเวจฺจ ไดแก เขาไปแลว รูแลว หยั่งลงแลว ตั้งอยูเฉพาะแลว), [อว + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ, แปลง ตฺวา เปน รจฺจ ดวยการแบงสูตร กจฺ.๕๙๘ รูป.๖๔๓ วา รจฺจํ ] กตฺถจิ อเวจฺจาติ สกฺกจฺจํ วิทิตฺวา วา, รตนตฺตยคุเณ ยาถาวโต ตฺวา วาติ อตฺโถ คเหตพฺโพ. (แตบางแหงวา อเวจฺจ แปลวา รูโดยเคารพ หมายความวา รูคุณพระรัตนตรัยตามความเปนจริง), นัยเดียวกัน เปจฺจ, สเมจฺจ, อภิสเมจฺจ, อนฺเวจฺจ, อเปจฺจ, อุเปจฺจ, สมุเปจฺจ, อธิจฺจ, ปฏิจฺจ. อเวต (ติ.) ไปแลว, ถึงแลว, บรรลุแลว, รูแลว วิ. อวอิโต คโต ปตฺโตติ อเวโต (บุคคลใดเขาถึง แลว ไปแลว บรรลุแลว เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อเวต), [อว + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ] อเวภงฺคิย (ติ.) ไมควรแบงแจก, ของที่ไมควร แบงแจก วิ. วิสฺสชฺชิยํ เวภงฺคิยํ (สิ่งใดอันเขา ควรแบง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา เวภงฺคิย), [วิ + ภช ธาตุ ภาชเน ในความแบง หรือ ภนฺช ธาตุ ภิชฺชเน วิภาเค วา ในความแบง จำแนก + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม, พฤทธิ์ อิ เปน เอ, แปลง ช เปน ค, นิคหิตตนธาตุ แปลงเปน งฺ ที่สุดวรรค, หรือ ภนฺช ธาตุ แปลง น เปน นิคหิตเปนตน] วิ. น เวภงฺคิย อเวภงฺคิยํ, อวิสฺสชฺชิยํ (ไมใช สิ่งของที่ควรแบง ชื่อวา อเวภงฺคิย คือไมควร จำแนก), นปุพฺพปท กมฺมธารยสมาส อเวฬา (อิตฺ.) มาลัยประดับศีรษะ, มาลัยคลอง คอ, มงกุฏดอกไม วิ. มุทฺธํ อวติ รกฺขตีติ อเวฬา วฏํสโก, มุทฺธมาลาติ อตฺโถ (สิ่งใดยอมรักษาซึ่ง กระหมอม เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อเวฬา ไดแก มาลัยคลองคอ มาลัยประดับศีรษะ), [อว ธาตุ รกฺขเณ ในความรักษา + เอล ปจจัย, แปลง ล เปน ฬ + อา ปจจัยในอิตถีลิงค], ปาฐะวา อาเวฬา ทีฆะ อ เปน อา อโวกิณฺณ (ติ.) ไมเกลื่อนกลน, ไมเรี่ยราด, ไมเจือปน, ไมกระจายไป วิ. โวกิรติ วิปฺปกิรตีติ โวกิณฺโณ (สิ่งใดยอมเกลื่อนกลน เรี่ยราดไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา โวกิณฺณ), [อว + กิร ธาตุ วิกิรเณ ในการกระจายไป + ณ ปจจัย โมคฺ.๕/ ๑๕๒ วา กิราทีหิ โณ, แปลง ร เปน ณ] วิ. น โวกิณฺโณ อโวกิณฺโณ. (ไมใชสิ่งที่เกลื่อนกลน ชื่อวา อโวกิณฺณ), สำหรับในที่นี้ แปลง อว เปน โอ และลง ว อาคม, แปลง น เปน อ หรือ อว + โอ อาคม และแปลง น เปน อ; อีกนัยหนึ่ง ตัดบทเปน น อวิกิณฺโณ แปลง อว เปน โอ ลบ อิ แปลง น เปน อ. หรือพึงทราบวา โว ศัพทเปน นิบาต เชนคำวา เอกโวการภโว เปนตน อส (นปุ.ปุ.อิต.) ๑. ปากที่กิน, ปากที่ใชกิน (นปุ.) วิ. อสติ ภกฺขตีติ อสํ (อวัยวะใดยอมกิน เหตุนั้น อวัยวะนั้นชื่อวา อส), [อส ธาตุ ภกฺขเน ในความ กิน + อ ปจจัย] วิ. อสติ เยนาติ อสํ, มุขํ (ชน เปนตน ยอมกิน ดวยอวัยวะใด เหตุนั้น อวัยวะ นั้นชื่อวา อส คือปาก), [อส ธาตุ ภกฺขเน ใน ความกิน + อ ปจจัย] ๒. อาหารอันเขากิน (ปุ.) วิ. อสิตพฺโพติ ภกฺขิตพฺโพติ อโส อาหาโร, อสํ วา (อาหารใดอันบุคคลพึงกิน เหตุนั้น อาหารนั้นชื่อ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๕๑ วา อโส (ปุ.) ไดแก อาหาร เปน อสํ (นปุ.) บาง ๓. สิ่งที่มีที่เปนแน (นปุ.) วิ. อสตีติ อสํ, นิจฺจสเฺสตํ อธิวจนํ, ยถา อสสฺมีติ (สิ่งใด ยอมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสํ, คำวา อส นั้นเปนชื่อของความ เที่ยง, เชนคำวา อสสฺมิ), [อส ธาตุ ภุวิ ในความ มีความเปน + อ ปจจัย] ๔. หญิงผูกอทุกข (อิตฺ.) วิ. สาตํ วุจฺจติ สุขํ, ตํ ตาสุ นตฺถิ, อตฺตนิ ปฏิพทฺธจิตฺตานํ อสาตเมว เทนฺตีติป อสา, ทุกฺขา, ทุกฺขวตฺถุภูตาติ อตฺโถ, ตโลโป. (สุข ทาน เรียกวา สาตํ, ความสุขนั้น ไมมีในหญิงเหลานั้น เหตุนั้น หญิงเหลานั้นชื่อวา อสา บาง, หญิง เหลาใดใหความทุกขนั่นแลแกบุรุษที่มีใจเนื่อง ตน เหตุนั้น หญิงเหลานั้นชื่อวา อสา บาง), [น + สาตลบ ตเปน อสา],ตสมฺาสาตํนตฺถิเอติสฺสนตฺิ อสาติ อตฺเถ อสาติ ปทสฺส ยถา ริตฺโต อสฺสาโท เอตฺถาติ ริตฺตสฺสนฺติปทสฺส ลุตฺตุตฺตรกฺขรสฺส ริตฺตสฺสํ, ริตฺตสฺสานิ. ริตฺตสฺสนฺติ จิตฺตนเยน นามิกปทมาลา โยเชตพฺพา, ตถา อสา, อสา อสาโย. อสํ, อสา อสาโย. อสายาติ กฺานเยน โยเชตพฺพา. (ฉะนั้น สำหรับบทวา อสา = น + สาต ใชในความหมายวา หญิงชื่อวา อสา เพราะ อรรถวา ไมมีความสำราญ ลบ ต ทายบท เหมือนการลบ ท อักษรทายบท ริตฺตสฺสํ = ริตฺต + อสฺสาท ชื่อวา ริตฺตสฺสํ เพราะอรรถวา เปนที่มี ปลอดความยินดี พึงทราบวา ริตฺตสฺสํ แจกแบบ จิตฺตศัพทคือริตฺตสสฺ , ริตฺตสฺสานิ ํ ริตฺตสฺสํ เปนตน อสา ศัพท ก็พึงทราบวา แจกแบบ กฺา คือ อสา อสาโย, อสํ อสา อสาโย, อสายา เปนตน ๕. อสัตบุรุษ วิ. อถ วา อสนฺติ น สํ, อสพฺภิ, อสปฺปุริโสติ อตฺโถ, ยถา สเมติ อสตา อสนฺติ, อิตฺถิยํ อสตี อสา, ยถา อสา โลกิตฺถิโย นาม, เวลา ตาสํ น วิชฺชตีติ. (อีกนัยหนึ่ง บทวา อสํ สำเร็จรูปมาจาก น + สํ หมายถึง ไมใชบัณฑิต คืออสัตบุรุษ เชนในคำวา สเมติ อสตา อสํ-คน ไมดีสมคบคนไมดี, ขุ.ชา.๒๕/๑๖๖/๕๓ ในอิตถี ลิงคเปน อสตี อสา เชน อสา โลกิตฺถิโย นาม, เวลา ตาสํ น วิชฺชติ-ธรรมดาหญิงในโลกเปนคน ลามก, ไมมีเขตแดน) บัณฑิตพึงคนดูการแจก สนฺต ศัพทในคัมภีรสัททนีติปทมาลา อสก (ติ.) ผูกิน, ผูเคี้ยวกิน, ผูมีอยูเปนอยู วิ. อสตีติ อสโก (ผูใดยอมเคี้ยวกิน เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อสก), [อส ธาตุ ภกฺขเน ภุวิ วา ในความเคี้ยวกินหรือในความมีความเปน + ณฺวุ หรือ อก ปจจัย ในกัตตุวาจก] อสกฺกจฺจ (กิ.วิ.,อพฺ.) ทำไมเสมอ, ทำไมเอื้อเฟอ, ไมเคารพ, ทำอยางเสียไมได วิ. อสมํ อนาทรํ อกาสีติ อสกฺกจฺจ (ทำความไมเสมอ ไมเอื้อเฟอ ชื่อวา อสกฺกจฺจ), กมฺมธารยสมาส, ภูสนาทรานาทราทีสฺเวหิ สหาติ นิรุตฺติทีปนีสุตฺเตน อลมาทโย สทฺทา ภูสนาทีสุ อตฺเถสุ เอเตหิ กฺริยตฺเถหิ สห เอกตฺถา โหนฺติ (ศัพทมี อลํ เปนตน สมาสกับนามศัพทที่มีอรรถกิริยาใน อรรถวาภูสน (ประดับ) เปนตน เปนตน ดวย สูตร นิรุตฺติทีปนี นิรุตฺติ.๔๑๒ วา ภูสนาทรานาทราทีสฺเวหิ สห, นัยเดียวกัน สกฺกจฺจ, สํ + กร ธาตุ กรเณ ในการกระทำ + ตุนาทิ ปจจัย แปลงเปน รจฺจ อสกฺกุเณยฺย (ติ.) อันเขาไมสามารถ, ไมอาจ, จนใจ วิ. สกฺกุณิตพฺพนฺติ สกฺกุเณยฺยํ, น สกฺกุเณยฺยํ อสกฺกุเณยฺยํ (อันเขาพึงอาจ เหตุนั้น ชื่อวา สกฺกุเณยฺย, ไมใชอันเขาอาจ ชื่อวา อสกฺกุเณยฺย), [น + สก ธาตุ สตฺติยํ ในความอาจ + อุณา ปจจัยประจำหมวดธาตุ + ฆฺยณฺ ปจจัย, แปลง อา เปน เอ, ซอน กฺ]


๒๕๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อสงฺกร (ปุ.) ไมระคน, ไมปะปน, ไมเจือกัน วิ. สงฺกรณํ สงฺกโร (การไมปะปนกัน ชื่อวา สงฺกร), [สํ + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + อ ปจจัย] วิ. น สงฺกโร อสงฺกโร, อสมฺภินฺโน ววตฺถานํ วา. (ไมใชการปะปนกัน ชื่อวา อสงฺกร คือไมเจือปนกัน หรือการกำหนด), อสงฺกรํ, นิกายนฺตรลทฺธีหิ อสมฺมิสฺสํ. อสงฺกรา, สีมา (เชน อสงฺกร หมายถึง ไมปนกับนิกายหรือลัทธิอื่น, สีมา ไมคาบเกี่ยวกัน) อสงฺกิณฺณ (ติ.) ไมเกลื่อนกลน, ไมคับคั่ง, ไมเบียดเสียด วิ. น สงฺกิรียิตฺถาติ อสงฺกิณฺณํ (สิ่ง ใดไมเกลื่อนกลนแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสงฺ กิณฺณ) สพฺพโส เกนจิป ปกาเรน สาธูหิ น กิณฺณํ น ขิตฺตํ น ฉิฑฺฑิตนฺติ อตฺโถ (หมายความวา อัน สาธุชนไมปน ไมซัด ไมทิ้งไปดวยประการใด ประการหนึ่ง โดยประการทั้งปวง), [น + สํ + กิร ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + ต ปจจัย, แปลง ต เปน อิณฺณ กจฺ.๕๘๑ รูป.๖๑๖ วา ตราทีหิ อิณฺโณ, ลบ ร] วิ. สํกิรนฺติ โวมิสฺสา ภวนฺตีติ สํกิณฺณา. น สํกิณฺณา อสํกิณฺณา, อโวมิสฺสา (สิ่งเหลาใดปนกัน เหตุนั้น สิ่งเหลานั้นชื่อวา สํกิณฺณา, การปนกันหามิได ชื่อวา อสํกิณฺณา), แปลง น เปน อ อสงฺโกจ (ปุ.) ไมหดเขา, ไมสั้นเขา, ไมหนาน่ิว คิ้วขมวด วิ. สงฺโกจิยเต สงฺโกโจ (อันเขาหนานิ่ว คิ้วขมวด ชื่อวา สงฺโกจ), [สํ + กุจ ธาตุ สงฺโกจเน ในความหนานิ่วคิ้วขมวด + ณ ปจจัย, แปลง อุ เปน อ] วิ. น สงฺโกโจ อสงฺโกโจ, อโนลีนตา (ไมใชผูหนานิ่วคิ้วขมวด ชื่อวา อสงฺโกจ, คือความไมหดหู), [แปลง น เปน อ] นัยเดียวกันเชน อสงฺโกจนํ (การไมหนานิ่วคิ้ว ขมวด) ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ แปลงเปน อน อสงฺขต (ติ.) อสังขตธรรม, พระนิพพาน, อันปจจัยไมปรุงแตง วิ.ปจฺจเยหิ น สงฺกริยเตติ อสงฺขตํ นิพฺพานํ, [น + สํ + กร ธาตุ + ต ปจจัย, ในเพราะ ต ปจจัยอยูหลัง แปลง กร เปน ข กจฺ.๕๙๔ รูป.๕๘๒ วา ปุรสมุปปรีหิ กโรติสฺส ขขรา วา ตปฺปจฺจเยสุ จ] อสงฺขาริก (ติ.) อสังขาริก, ไมถูกปรุงแตง, ไมถูกชักจูง ๑. วิ. สงฺขโรติ จิตฺตํ ติกฺขภาวสงฺขาตมณฺฑนวิเสเสน สชฺเชตีติ สงฺขาโร (ธรรม ใดยอมปรุงแตง คือจัดแจงจิตโดยเปนเครื่องแตง จิตกลาวคือทำใหแกลวกลา เหตุนั้น ธรรมชาติ นั้นชื่อวา อสงฺขาริก), [สํ + กร ธาตุ สชฺชเน ใน ความปรุงแตง + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และ อ เปน อา] ตตฺถ ตตฺถ กิจฺเจ สํสีทมานสฺส จิตฺตสฺส อนุพลปฺปทานวเสน อตฺตโน วา ปเรสํ วา อุสฺสาหิเตน ปวตฺตปุพฺพปโยโค ลพฺภติ. (คือ บุรพประโยคของตนหรือของคนเหลาอื่นอื่นอัน เปนไปแลว โดยอำนาจแหงอันเพิ่มใหซึ่งกำลัง อันสมควรแกบุคคลหรือจิตที่ทอแทในกิจนั้นๆ) อภิธมฺมตฺถสงฺคห, อทินฺนาทานาทิสตฺตอกุสล กมฺมกรเณหิจิตฺตสฺส ติกฺขภาวปฺปตฺตยิา อตฺตโน วา ปเรสํ วา กายวจีทฺวาเรสุ ปวตฺโต อาณตฺติ- ปุพฺพปโยโค สงฺขาโรติ อิธ อธิปฺเปโต (ในที่นี้ ประสงคเอาสังขาร คืออาณัตติปุพพปโยค ที่ เปนไปในกายทวารและวจีทวารของตนและ ผูอื่น เพราะจิตถึงความแข็งกลา ดวยการทำ อกุศลกรรม ๗ มีอทินาทาน เปนตน) วิ. นตฺถิ สงฺขาโร เอตสฺสาติ อสงฺขารํ, อสงฺขารํ เอว อสงฺขาริกํ (การปรุงแตงของจิตนั่นไมมี เหตุนั้น จิตนั้นชื่อวา อสงฺขาร, อสงฺขาร นั่นเอง ชื่อวา อสงฺขาริก), [ณิก ปจจัย สกัตถ] ใน ปทรูปสิทฺธิ (รูป. ๓๗๕) วิ. อสงฺขาโรเยว อสงฺขาริกํ (อสังขาร


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๕๓ นั่นเอง ชื่อวา อสงฺขาริก) ๒. นัยแหงอภิธัมมาวตาร วา อถ วา อภิสงฺขรณํ, สงฺขรียติ วา เอเตน อาคนฺตุกสมฺภูเตน จิตฺตสํสีทนสภาวาปนยนวเสเนว สชฺชียติ, สงฺขโรติ วา ตํ ยถาวุตฺตวเสเน วาติ สงฺขาโรติ อุชุกเมว ปุพฺพปฺปโยคชนิโต ติกฺขภาโว วุจฺจติ, ตทภาวโต อสงฺขาริกํ, สภาวติกฺขนฺติ อตฺโถ (อีกนัยหนึ่ง การปรุงแตง ชื่อวา สังขาร, หรือจิตอันธรรมชาตินั่น ซึ่งเปนอาคันตุกะ ปรุง แตงดวยการนำความที่จิตทอแทออกนั่นเอง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา สังขาร, หรือ ธรรมชาติใดปรุงแตงจิตนั้น ดวยอำนาจแหง อรรถตามที่กลาวแลวนั่นเอง เหตุนั้น ธรรมชาติ นั้นจึงชื่อวา สังขาร เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาว ความที่จิตแกลวกลา อันเกิดแตบุรพประโยค โดยตรงนั่นเอง, ชื่อวา อสังขาริก เพราะไมมีการ ปรุงแตงนั้น อธิบายวา มีความแกลวกลาเปน สภาพ), วิ. มจฺเฉรมลาทีหิ สงฺขรียตีติ สงฺขาโร, จิตฺตสฺส สํสีทนสภาโว, โส ยสฺส นตฺถีติ อสงฺขาริกํ ปณีตอุตุโภชนาทิโก วา พลวปจฺจโย สงฺขาโร สงฺขโรติ จิตฺตํ ติกฺขภาเวน สงฺขรียติ วา ตํ เอเตนาติ กตฺวา. (ธรรมชาติใดอันมลทินคือความตระหนี่ เปนตนปรุงแตง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา สงฺขาร, คือสภาวะทอแทแหงจิต, ความไมถูก ปรุงแตนั้น ไมมีแกจิตนั้น เหตุนั้น จิตนั้นชื่อวา อสงฺขาริก หรือปจจัยอันมีกำลัง มีฤดูและโภชนะ อันประณีตเปนตน ชื่อวา สังขาร เพราะวิเคราะห วา ธรรมชาติที่ปรุงแตงจิตนั้นโดยความเปน ธรรมชาติแกลวกลา หรือเปนเครื่องปรุงแตงจติ), อการสฺส วุฑฺฒตฺถวุตฺตติาย วุฑฺฒิปฺปตฺโต สงฺขาโร อสฺสาติ อสงฺขาริกํ, พลวปจฺจยวนฺตนฺติ อตฺโถ. (การปรุงแตง ที่ถึงความเจริญ ของจิตนั้นมีอยู เพราะ อ อักษรใชในอรรถวา วุฑฺฒิ เหตุนั้น จิต นั้น จึงชื่อวา อสงฺขาริก, หมายความวา มีปจจัย อันมีกำลังมาก), สวนในคัมภีร ปรมตฺถทีปนิี อธิบายไววา สงฺขาโรติ ปุพฺพาภิสงฺขาโร. โส จ ทุวิโธ ปโยโค, อุปาโย จาติ. นิพฺพจนํ จ วุตฺตํ สงฺขโรติ อตฺตโน ปกติยา กาตุํ อนิจฺฉมานํ จิตฺตสนฺตานํ อกาตุํ อทตฺวา กรณตฺถาย สํวิทหติ ตสฺมึ ตสฺมึ กมฺเม ปโยเชตีติ กตฺวา. โย ปน ปจฺจยคโณ เตน สงฺขาเรน วิรหิโต โหติ. โส อสงฺขาโร. จิตฺตํ ปน อสงฺขาเรน สุทฺเธน ปจฺจยคเณน อุปฺปนฺนํ อสงฺขาริกํ, อุปฺปนฺนตฺเถ หิ อยํ อิกปจฺจโยติ. (สังขาร คือ สภาพกระตุนเตือน ที่เกิดขึ้นกอน สังขาร ๒ อยาง คือ ปโยคะ-ความ เพียร และอุปายะ-อุบาย ทานกลาวคำอธิบายไว วา ชื่อวา สังขาร คือสภาพปรุงแตง กลาวคือ กระตุนเตือนในกรรมนั้นๆ เพื่อทำกรรม โดยไม ปลอยใหกระแสจิตที่ไมตองการกระทำเปนไป ตามปกติของตน, หมูปจจัยใดอันปราศจาก สังขาร หมูปจจัยนั้นชื่อวา อสังขาร, สวนจิตที่ เกิดดวยหมูปจจัยไมมีสังขารลวนๆ ชื่อวา อสังขาริก, ก็ อิก ปจจัยนี้ใชในอรรถวา เกิดขึ้น), อนุทีปนิยํ จ วุตฺตํ สุุ กโรติ, ปกติปจฺจเยน อนิปฺผนฺนํ กมฺมํ อตฺตโน พเลน นิปฺผาเทตีติ สงฺขาโร. ปุพฺพาภิสงฺขาโรติ ปุพฺพภาเค อภิสงฺขาโร. ปโยเชติ นิโยเชตีติ ปโยโค. อุเปติ ผลสงฺขาโต อตฺโถ เอเตนาติ อุปาโยติ. (สวนในอนุทีปนี กลาวคำอธิบายไววา ธรรมชาติใดยอมกระทำ ดวยดี คือวา ยอมยังกรรมอันไมสำเร็จดวย ปจจัยปกติ ใหสำเร็จดวยกำลังของตน เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา สังขาร, คำวา ปุพฺพาภิ- สงฺขาร หมายถึง การกระตุนเดือนกอน, ปโยค หมายถึงประกอบ ชักจูง, อุปาย หมายถึง เปน


๒๕๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เครื่องเกิดมีอรรถะ กลาวคือผล) อธิบายโดยยอ เทานี้กอน สวนความพิสดารพึงดูในคัมภีรนั้นๆ อสงฺขฺเยยฺย (ติ.นปุ.) ๑. อสงไขย, ไมสามารถ นับได วิ. สงฺขาตุํ อสกฺกุเณยฺยนฺติ อสงฺเขฺยยฺยํ (อันเขาไมพึงอาจ เพื่ออันนับ เหตุนั้น ชื่อวา อสงฺเขฺยยฺยํ) ๒. นับไมได วิ. น สงฺขฺยาตพฺพนฺติ อสงฺเขฺยยฺยํอสงฺเขยฺยํ วา (สิ่งใดอันเขาไมพึงนับ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อสงฺเขฺยยฺยํ อสงฺเขยฺยํ) เชน ที.อ.๓ อสงฺขฺเยยฺยานิ นามานิ สคุเณน มเหสิโน (ทานผูแสวงหาคุณใหญ ดวยมีคุณ มีชื่อนับไม ถวน), [น + สํ + ขฺยา หรือ ขา ธาตุ กถเน ใน ความกลาว + ฆฺยณฺ ปจจัย, ในเพราะอำนาจ ฆฺยณฺ แปลง อา เปน เอ, หรือ ณฺย ปจจัย, ซอน ย] ๓. อสงไขย, จำนวนสิบลานมหากถานะ วิ. มหากถานสตสหสฺสานํ สตํ อสงฺเขยฺยํ, อสงฺขฺเยยฺยํ (รอยแสนมหากถานะ เปนหนึ่ง อสงไขย). เอกา เลขา จตฺตาลีสาธิกสตพินฺทุ- สหิตา อสงฺขฺเยยฺยํ, อสงไขย ๑ เทากับ เลข ๑ ประกอบดวยเลข ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว) สวนใน อภิธานปฺปทีปกาฏีกา วา ประกอบดวยเลข ๐ จำนวน ๑๔๕ ตัว ใน วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา (๒/๓๒๓) อาจารยธรรมปาละวา อิทเมกํ อสงฺขฺเยยฺยนฺติ อิทํ อสงฺขฺเยยฺยํ สํวฏสงฺขาตํ กปฺปสฺส เอกํ อสงฺขฺเยยฺยํ (ขอวา อิทเมกํ อสงฺขฺเยยฺยํ มีอธิบายวา อสงไขยนี้ จัดเปนหนึ่ง อสงไขยกัป กลาวคือสังวัฏฏกัปหนึ่ง) ก็คำวา อสงไขย ในที่นี้ หมายถึง อสงไขยกัป, จำนวน ๔ อสงไขย จัดเปนเปน ๑ มหากัป) อสงฺขารปรินิพฺพายี (ปุ.) พระอนาคามีผูจะ ปรินิพพานดวยไมตองใชความเพียรมากนัก วิ. อสงฺขาเรน อปฺปโยเคน กิเลเส เขเปตฺวา ปรินิพฺพายีติ อสงฺขารปรินิพพฺายี (พระอนาคามี ใด ยังกิเลสใหสิ้นไป โดยไมตองใชแรงชักจูง คือ ไมตองใชความเพียรนัก) วิ. อสงฺขาเรน อปฺปโยเคน อธิมตฺตปโยคํ อกตฺวาว กิเลสปรินิพฺพานธมฺโมติ อสงฺขารปรินิพฺพายี (พระ อนาคามีใด มีกิเลสดับสิ้นไปเปนธรรมดา ไมตอง ทำความเพียรมากนัก โดยไมตองชักจูง คือไม ตองใชความเพียรนัก) วิ. อสงฺขาเรน อปฺปโยเคน อนุสฺสาเหน อกิลมนฺโต ติกฺขินฺทฺริยตาย สุเขเนว ปรินิพฺพายตีติ อสงฺขารปรินิพฺพายี (พระ อนาคามีใด ไมลำบาก ปรินิพพานไดโดยสะดวก นั่นเอง ไมตองชักจูง คือไมตองใชความเพียรนัก ไมตองพยายามนัก เพราะอินทรียแกกลา เหตุนั้น พระอนาคามีนั้น ชื่อวา อสงฺขารปริ- นิพฺพายี), [อสงฺขาร + ปริ + นิ + วา ธาตุ คติยํ ในความไป + ณี ปจจัย, อาเทศ อา เปน อาย หรือ ลง ย อาคม] อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล สุทฺธาวาเสสุ อุปปชฺชิตฺวา อสงฺขาเรน อปฺปทุกฺเขน อธิมตฺตปโยคํ อกตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา กิเลสปริ- นิพฺพาเนน ปรินิพฺพายนโต อสงฺขารปรินิพฺพายีติ วุจฺจติ. (บุคคลผูมีรูปอยางนี้ ชื่อวา อสงฺขารปริ- นิพพายายี เพราะเขาถึงพรหมโลกชั้นสุทธาวาส บรรลุพระอรหัตแลว ปรินิพพาน เพราะกิเลสดบั ไป ไมตองทำความเพียรมากนัก โดยไมตอง ชักจูง ไมตองลำบากนัก) อสงฺขิย (ติ.) นับไมถวน, ไมสามารถนับได วิ. สงฺขาตุํ น สกฺกาติ อสงฺขิโย, คณนํ อติกฺกนฺโตติ อตฺโถ (พระสาวกเปนตนใด อันบุคคลไมอาจเพื่อ อันนับ เหตุนั้น พระสาวกเปนตนนั้น ชื่อวา อสงฺขิย หมายความวา ลวงเลยการนับ) เชน อสงฺขิยา พุทฺธสาวกา (พระพุทธสาวกทั้งหลาย นับไมถวน), [น + สํ + ขา ธาตุ กถเน ในความ กลาว + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม] พึงทราบวา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๕๕ ศัพทนี้เปนวาจจลิงคคือเปนวิเสสนะ เปนได ๓ ลิงค อสงฺคาหณา (อิตฺ.) อวิชชา, ไมถือเอาดวยดี วิ. รูปาทีสุ เอกธมฺมมฺป อนิจฺจาทิสามฺโต น สงฺคณฺหาตีติ อสงฺคาหณา, อฺาณํ (ชื่อวาไม ถือเหตุดวยดี เพราะไมถือธรรมอยางหนึ่งในรูป เปนตน โดยความเปนสามัญลักษณะมีความไม เที่ยงเปนตน ไดแก ความไมรู), [น + สํ + คห ธาตุ อาทาเน ในความถือเอา + ยุ ปจจัย, แปลง ยุ เปน อณ, ทีฆะ อ เปน อา, แปลง น เปน อ] อสจฺจ (นปุ.) ไมจริง, ไมแนนอน, เหลาะแหละ, เหลวไหล ๑. วิ. สนฺเตสุ สาธูสุ ภวํ สจฺจํ. สนฺตสฺส วา ภาโว สจฺจํ (คำที่มีในสัตบุรุษ ทั้งหลาย คือในคนดีทั้งหลาย ชื่อวา สจฺจ, อีกอยางหนึ่ง ความเปนแหงผูสงบ ชื่อวา สจฺจ), [ณฺย แทน ภว และ ภาว, แปลง ตฺย เปน จ, ซอน จ, ลบ นฺ ที่ สนฺต] ๒. วิ. สตนํ สจฺจํ (ความ แนนอน ชื่อวา สจฺจ), [สต ธาตุ สาตจฺเจ ในความ แนนอน, ย ปจจัย ดวยสูตร กจฺ.๖๓๘ รูป.๖๖๐ วา วชาทีหิ เปนตน, หรือวา วชาทินา, แปลง ตฺ เปน จฺ, แปลง ย เปนปุพพรูป คือแปลง ย เปน จ] ๓. วิ. สถนํ สจฺจํ อวิตถํ (ความจริง ชื่อวา สจฺจํ คือสิ่งที่ไมใชความไมจริง), [สถ ธาตุ อวิตเถ ในความไมใชความไมจริง + ณฺย ปจจัย, แปลง ถฺย เปน จฺจ ดวยมหาสูตร วิ. น สจฺจํ อสจฺจํ อลิกํ. (สิ่งที่ไมใชความจริง ชื่อวา อสจฺจ คือความ เหลวไหล) อสชฺชมาน (ติ.) ไมติดขัด, ไมของอยู, ไมติด วิ. สชฺชตีติ สชฺชมาโน (ผูใดติดขัด เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา สชฺชมาน), [สชฺช ธาตุ สงฺเค ในความของ + มาน ปจจัย] วิ. น สชฺชมาโน อสชฺชมาโน (ผู ไมติดขัด ชื่อวา อสชฺชมาน), นปุพฺพปทกมฺม ธารยสมาส, แปลง น เปน อ. นัยเดียวกัน เชน อสชฺชนฺโต (ไมติดขัดอยู) อนฺต ปจจัย. หมายความวา สงฺคํ อกโรนฺโต (ไมทำการของ) อสฺจิจฺจ (กิ.กิตฺ.) ไมแกลง, ไมจงใจ วิ. สยํ ตฺวา เจจฺจ อภิวิตริตฺวาติ สฺจิจฺจ (รูแลวเอง จงใจ ละเมิด เหตุนั้น ชื่อวา สฺจิจฺจ), [สํ + จิต ธาตุ สฺเจตเน ในความจงใจ + ตฺวา ปจจัย แปลงเปน รจฺจ ดวยการแบงสูตร กจฺ.๕๙๗ รูป. ๖๔๑ วา ตุนาทีนํ วิ. น สฺจิจฺจ อสฺจิจฺจ (ไม แกลงแลว ชื่อวา อสฺจิจฺจ), นปุพฺพปท กมฺม ธารยสมาส. อสฺสตฺต (ปุ.) อสัญญสัตว, สัตวจำพวกไม มีสัญญา, พรหมพวกหนึ่งมีรูปแตไมมีสัญญา วิ. สฺาวิราคภาวนานิพฺพตฺตรูปสนฺตติ- มตฺตตฺตา นตฺถิ สฺา, ตํมุเขน วุตฺตาวเสสา อรูปกฺขนฺธา จ เอเตสนฺติ อสฺา, เตเยว สตฺตาติ อสฺสตฺตา, อภิธมฺมตฺถวิภาวินี หนา ๑๕๗ (พรหมที่ชื่อวา อสัญญา เพราะอรรถวา สัญญาและอรูปขันธที่เหลือที่กลาวไว โดยความ มีสัญญานั้นเปนประธาน ไมมี แกพรหมเหลานี้ เพราะความที่พรหมเหลานี้ เปนเพียงรูปสันตติ อันเกิดจากภาวนาเปนเหตุสำรอกสัญญา, พรหม ชื่อวาอสัญญาเหลานั้นนั่นเอง เปนสัตว ชื่อวา อสฺญสตฺตา), อวธารณปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส อสฺีวาท (ปุ.) ผูยึดถือวาไมมีสัญญา วิ. อสฺ อตฺตาติ วาโท เยสนฺเต อสฺวาทา อสฺวาโท เอเตสมตฺถีติ อสฺวาทา (วาทะ วา ตน ไมมีสัญญา ของชนเหลาใด มีอยู เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา อสฺวาทา, วาทะวาไมมี สัญญา ของชนเหลานั่นมีอยู เหตุนั้น ชน เหลานั้นชื่อวา อสฺวาทา) อสฺีวาทา หิ


๒๕๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา รูป อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา, อสฺีติ นํ ปฺเปนฺติ, อรูป อตฺตา โหติ, รูป จ อรูป จ อตฺตา โหติ, เนว รูป นารูป อตฺตา โหติ. อนฺตวา อตฺตา โหติ, อนนฺตวา อตฺตา โหติ, อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา โหติ, เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา, อสฺีติ นํ ปฺเปนฺตีติ เอวํ อวิเธน วิภตฺตา. (ความจริง อสัญญีวาทะ จำแนกเปน ๘ ชนิด ไดแก ๑. มี ความเห็นวา หลังจากตายไป อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน, บัญญัติอัตตานั้นวา ไมมีสัญญา ๒. อัตตา ที่ไมมีรูป ยั่งยืน, บัญญัติอัตตานั้นวา ไมมีสัญญา ๓. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไมมีรูป ยั่งยืน, บัญญัติ อัตตานั้นวา ไมมีสัญญา ๔. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช ทั้งที่ไมมีรูปก็มิใช ยั่งยืน, บัญญัติอัตตานั้นวา ไมมีสัญญา ๕. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน, บัญญัติ อัตตานั้นวา ไมมีสัญญา ๖. อัตตาที่ไมมีที่สุด ยั่งยืน, บัญญัติอัตตานั้นวา ไมมีสัญญา ๗. อัตตา ทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไมมีที่สุด ยั่งยืน, บัญญัติอัตตา นั้นวา ไมมีสญัญา ๘. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใชทั้ง ที่ไมมีที่สุดก็มิใชยั่งยืน, บัญญัติอัตตานนั้วา ไมมี สัญญา), บัณฑิตพึงคนดูอธิบายโดยพิสดารใน อรรถกถาและฎีกาพรหมชาลสูตร อสทฺธโภชี (ปุ.) ๑. ผูไมบริโภคของที่เขาให ดวยศรัทธา, ผูมีปกติไมกินเครื่องเซน วิ. สทฺธํ น ภุฺชติ สีเลนาติ อสทฺธโภชี (ผูใดยอมไม บริโภค ซึ่งของที่เขาใหดวยศรัทธา โดยปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสทฺธโภชี), นัยนี้เปน อยุตฺตตฺถสมาส, ดู นิรุตฺติ.๓๔๙, ๖๘๙ [สทฺธ + น + ภุช ธาตุ ภุฺชเน ในความกิน + ณี ปจจัย] ๒. ผูบริโภคของที่ไมไดใหดวยศรัทธา วิ. อถวา น สทฺธํ อสทฺธํ, อสทฺธํ ภุฺชตีติ อสทฺธโภชี, (อีกนัยหนึ่ง ของที่เขาถวายดวยศรัทธาหามิได ชื่อวา อสทฺธํ, ผูใดยอมบริโภคของที่เขาดวย ศรัทธาหามิได เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสทฺธโภชี), นัยนี้เปน ยุตฺตตฺถสมาสย, [อสทฺธ + ภุช ธาตุ ภุฺชเน ในความบริโภค + ณี ปจจัย] นัย เดียวกันเชน อลวณโภชี (ผูไมบริโภคเกลือโดย ปกติ), อปุนเคยฺยา (คาถาที่ไมพึงสวดซ้ำ), อจนฺทมุลฺโลกิกานิ (หนาอันไมแหงนดู พระจันทร), อนตฺถกามา (ผูไมปรารถนาซึ่ง ประโยชน), อสูริยปสฺสา (ราชกัญญา มีหนาไม เห็นพระอาทิตย) อสทฺธมฺม (ปุ.) การประพฤติของอสัตบุรุษ, เมถุน, การรวมสังวาส วิ. อสตํ อสปฺปุริสานํ ธมฺโม อาจาโร อสทฺธมฺโม, เมถุนํ (ธรรม คือการ ประพฤติของคนพาล คือของอสัตบุรุษ ชื่อวา อสทฺธมฺม คือเมถุนธรรม), ฉีตปฺปุริสสมาส. อปจ กุหนลปนาทิวเสน ปวตฺโต อกุสลราสิ อสทฺธมฺโม (อีกนัยหนึ่ง อสทฺธมฺม ไดแกประมวล อกุศลธรรม ที่เปนไปดวยอำนาจการโกหก หลอกลวงเปนตน) สวนในสันสกฤตมีรูปวา อสทฺธรฺมะ อสน (นปุ.ปุ.) ๑. ของกิน, อาหารเปนเหตุกิน (นปุ.) วิ. อสเต อเนนาติ อสนํ อาหาโร (บุคคล ยอมกินดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น ส่งินั้นชื่อวา อสน คือ อาหาร), [อส ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] ๒. โภชนะ, อันเขากิน (นปุ.) วิ. อสียติ ภกฺขียติ อสนํ โภชนํ (สิ่งใดอัน เขากิน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสน คือโภชนะ), คำวา อสน มีความหมายวา โภชนะ บัณฑิตพึง ถือเอาคำอธิบายใน อรรถกถาปมปวารณา สิกขาบท วา อสนนฺติ เอตฺถ วิปฺปกตโภชนํ ทิสฺสติ (ในคำวา อสน บัณฑิตพึงทราบอธิบายวา โภชนะที่ฉันคางไว ปราปฏ), [อส ธาตุ ภกฺขเน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๕๗ ในความกิน + ยุ ปจจัย] ๓. ธนู, ศร, อันเขายิง ไป (ปุ.นปุ.) วิ. อสียติ ขิปยตีติ อสโน อสนํ อุสุ (สิ่งใดอันเขาซัดไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสโน, อสนํ ไดแก ลูกศร), [อสุ ธาตุ ขิปเน ในความซัด ไป, ยุ ปจจัย เปนกรรมวาจก] ๔. ไมประดู, ประดูลาย (ปุ.) วิ. อสติ ภกฺขตีติ อสโน ปยโก (ตนไมใดยอมกิน เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อสน ไดแกตนประดู), [อส ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + ยุ ปจจัย], อาสโน ก็มี อสนสาลา (อิตฺ.) ศาลาเปนที่นั่ง, ศาลาสำหรับ นั่ง, โรงฉัน, หอฉัน วิ. อสนฺติ ภกฺขนฺติ อสฺสํ สาลายนฺติ อสนา (ภิกษุยอมฉันที่ศาลานั้น เหตุ นั้น ศาลานั้นชื่อวา อสนา), [อส ธาตุ ภกฺขเน ใน ความกิน + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน + อา ปจจัย ในอิตถีลงิค) วิ. อสนา จ สา สาลา เจติ อสนสาลา, อาสนสาลา วา, โภชนสาลาติ อตฺโถ(ที่เปนที่นั่ง นั้นดวย เปนศาลาดวย เหตุนั้น จึงชื่อวา อสนสาลา, อาสนสาลา), เปนวิเคราะห กมฺมธารยสมาส มีวิเคราะหกิตกเปนทอง อสนิ (อิต., ป.) สายฟา, ขวานฟา, อาวุธพระ อินทร๑. สิ่งที่เทวดาซัดไป วิ. ภณฺฑนตฺถาย อสิยเต ขิปยเต เทเวหีติ อสนิ กุลิสํ, อสนี อสุนี วา (สิ่งใดอันพวกเทวดาซัดไป เพื่อตองการจะ รบกัน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสนิ ไดแก กุลิส คือ อาวุธของพระอินทร หรือสายฟา), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความซัดไป, อนิ ปจจัย โมค. ๗/๑๑๒ วา วตฺตาฏาวธมาเสหฺยนิ] ๒. อาวุธใชปกครอง โลกธาตุ วิ. อสฺสเต ภุชฺชเต โลกธาตุกมเนน อายุเธนาติ อสนิ (พระอินทรยอมครอบครอง โลกธาตุ ดวยอาวุธนั้น เหตุนั้น อาวุธนั้น ชื่อวา อสนิ), [อส ธาตุ โภชเน ในความกิน + อนิ ปจจัย] ๓. อาวุธอันพระอินทรขวางไป (ปุ.อิตฺ.) วิ. อสียติ ขิปยตีติ อสนา (อาวุธใด อันพระอินทร ขวางไป เหตุนั้น อาวุธนั้นชื่อวา อสนา), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + ยุ ปจจัย แปลง เปน อน + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, วิ. สาเยว อสนิ (อสนา นั้นนั่นเอง ชื่อวา อสนิ), ลง อิ ปจจัยหลังปาฏิปทิกบท คือหลัง อสนา ๔. สายฟาที่ตัดรากถอนโคน วิ. สพฺพวตฺถุ- มูลจฺเฉชฺชํ กตฺวา อสติ เขเปติ วินาเสตีติ อสนิ (สิ่งใดตัดรากถอดโคนแหงวัตถุทั้งหมดทำใหยอย ยับไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสนิ), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความซัด + อนิ ปจจัย], ปาฐะวา อสนี อสุนี ลง อี ปจจัยก็มี หรือทีฆะสระหลัง คือ อิ ดวยสูตร กจฺ.๔๐๓ รูป.๓๕๔ วา กฺวจาทิ เปนตน, แปลง อ เปน อุ ดวยสูตร กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ วา เตสุวุทฺธิ เปนตน, อสนิ ศัพท เปนอิการันต เปน ปุงลิงคและอิตถีลิงค ปรากฏในความหมายวา สายฟาและวชิราวุธ อสพฺภ (นปุ.ติ.) ๑. อกุศล, สิ่งที่มีในอสัตบุรุษ, ธรรมของอสัตบุรุษ วิ. อสพฺภีสุ ภวํ อสพฺภํ อกุสลํ (สิ่งที่มีในอสัตบุรุษ ชื่อวา อสพฺภ คือ อกุศล) เชน โอวเทยฺยานุสาเสยฺย, อสพฺภา จ นิวารเยติ ขุ.นิทฺ. ๒๙/๙๗๕/๖๒๐ (บุคคลพึง กลาวสอน พึงพร่ำสอน และพึงหามจากธรรม ของอสัตบุรุษ), [ณฺย ปจจัย, ลบ อิ, แปลง ภฺย เปน ภ]. ก็ บทวา อสพฺภา ในที่นี้ พึงทราบวา สำเร็จรูปดวย ณฺย ปจจัย ในตัทธิต ซึ่งมีนัยวิจติร หลากหลาย ๒. เปนของอสัตบุรุษ, ไมเปนของ สัตบุรุษ (ติ.) วิ. อสพฺภีนํ เอตาติ อสพฺภา, น วา สพฺภีนํ เอตาติป อสพฺภา (วาจากนั่นของ อสัตบุรุษ ชื่อวา อสพฺภา, อีกนัยหนึ่ง วาจานั้น ไมใชของสัตบุรุษ ชื่อวา อสพฺภา) เชน อมฺเห อสพฺภาหิ วาจาหิ วิกฺโกสมานา ติพฺพาหิ สตฺตีหิ


๒๕๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา หนิสฺสนฺติ ชา.อ.๑๐/๔๘๓ (สองเราถูกทิ่มแทง ดวยวาจาอสัตบุรุษวา จักฆาเสียดวยหอกอัน คม), พึงทราบวาบทสำเร็จลง ณฺย ปจจัย เชนเดียวกัน อสพฺภิ (ปุ.อิตฺ.ติ.) ๑. อสัตบุรุษ, ไมใชผู ประเสริฐ, ไมใชบัณฑิต, คนเลวทราม, คนพาล (ปุ.ติ.) วิ. สีทนสภาเว กิเลเส ภินฺทตีติ สพฺภิ, สปฺปุริโส, โย อริโยติป ปณฺฑิโตติป วุจฺจติ. (ผูใด ยอมตัดกิเลสซึ่งมีสภาพจมลง เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา สพฺภิ คือ สัตบุรุษ ไดแก บุคคลที่เขาเรียกวา ผูประเสริฐบาง บัณฑิตบาง) ๒. พระนิพพาน, ที่กิเลสขาดสิ้นไป, ที่สิ้นราคะ (อิตฺ.) วิ. อปจ สีทนสภาวา กิเลสา ภิชฺชนฺติ เอตฺถาติ สพฺภิ, นิพฺพานํ, ยํ ราคกฺขโยติอาทินามํ ลภติ. (อีกนัย หนึ่ง กิเลสทั้งหลาย มีสภาวะจมลง แตกทำลาย ไปในธรรมชาตินั้น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา สพฺภิ คือพระนิพพาน ซึ่งไดชื่อวา ราคกฺขย-ที่สิ้น ราคะ), ฉะนั้น ในอรรถกถา สํยุตฺตนิกาย (สํ.อ. ๑/๑๓๒) จึงอธิบายวา ยสฺมา นิพฺพานํ อาคมฺม สี ทนสภาวา กิเลสา ภิชฺชนฺติ, ตสฺมา ตํ สพฺภีติ วุจฺจ ติ (อีกอยางหนึ่ง ก็เพราะอาศัยพระนิพพาน กิเลสทั้งหลายที่มีสภาพจมจึงแตกไป ฉะนั้น พระนิพพานนั้น ทานจึงเรียกวา สพฺภิ), [สท ธาตุ สีทเน ในความจมลง + ภิทิ ธาตุ เภเท ในความ แตก + กฺวิ ปจจัย, ลบ ท, ซอน พฺ] สวนใน สัทท นีติ สุตตมาลา (นีติ. ๓๘๐) วา สฺยาทีสุ สพฺภีติ สนฺตสทฺทสฺส สพฺภิอาเทโสติ. (ขอวา ใน เพราะ สิ วิภัตติเปนตน แปลงเปน สพฺภิ หมายความวา แปลง สนฺต ศัพท เปน สพฺภิ), สพฺภิ ศัพท ที่มีความหมายวา สัตบุรุษ เปน ปุงลิงค, ที่มีความหมายวา พระนิพพาน เปน อิตถีลิงค, ที่มีความหมายวา ดี เปน ๓ ลิงค วิ. น สพฺภิอสพฺภิ (ไมใช สัตบุรุษ ชื่อวา อสพฺภิ), เชน พหุมฺเปตํ อสพฺภิ ชาตเวท (แนะไฟผูชั่วชา การบูชานี้เปนจำนวนมาก), อาพาโธยํ อสพฺภิ- รูโป ขุ.ชา.๒๗/๒๒๔๑/๓๙๓ (กามินทนี้ เปนคน อาพาธ ลามก) อสม (ติ.) มีผูเสมอหามิได, ไมมีผูเสมอ วิ. นตฺถิ สโม สทิโส ปุคฺคโล อสฺสาติ อสโม, นาโถ (บุคคล ผูเสมอ ผูเทาเทียม ไมมีแกพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น เหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น จึงทรงพระนามวา อสม ไดแก พระพุทธเจาผูทรงเปนที่พึง) โส ปน อสีติ- อนุพฺยฺชนปฏิมณฺฑิตทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณวิจิตฺรรูปกาโย (แทจริง พระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น มีพระรูปกายงดงามดวยลักษณะ แหงมหาบุรุษ ๓๒ ประการ ประดับดวย อนุพยัญชนะ ๘๐), วิ. นตฺถิ เอตฺถ เอเตสํ วา สโม สทิโส โลกิยธมฺโมติ อสโม, มคฺคผลนิพฺพานํ ลพฺภติ (โลกิยธรรม อันเสมอ ไมมีในธรรม เหลานั้น หรือแหงธรรมเหลานั้นไมมี เหตุนั้น จึง ชื่อวา อสม ไดแก มรรคผลและนิพพาน อัน บุคคลยอมได) อสมนุภาสนฺต (ติ.) ผูอันสงฆประกาศ, ถูก สวดสมนุภาส, หามไมใหดื้อรั้นการอันมิชอบ วิ. สมนุภาสียเตติ สมนุภาสนฺโต (ผูใดอันสงฆ สวดประกาศ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา สมนุภาสนฺต), [สํ + อนุ + ภาส ธาตุ + ย ปจจัย ในกรรมวาจก + มาน ปจจัย, บางแหงแปลง มาน เปน อนฺต ไดบาง, ลบ ย]. เหตุนั้น ใน ปทรูปสิทฺธิอธิบาย สูตร ๖๔๖ วา เตเนว มานปฺปจฺจโย อตฺตโนปทานิ ภาเว จ กมฺมนีติ ภาวกมฺเมสุป โหติ, ตสฺส จ อตฺตโนปทานิ ปรสฺสปทตฺตนฺติ กฺวจิ อนฺตปฺปจฺจยาเทโส จ (เหตุนั้นนั่นแล มาน ปจจัย ใชในอรรถภาวะ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๕๙ และกรรมวาจก ดวยสูตร รูป. ๔๔๔ วา อตฺตโนปทานิ ภาเว จ กมฺมนีติ, และแปลง มาน ปจจัย นั้น เปน อนฺต ดวยสูตร รูป. ๔๔๖ วา อตฺตโนปทานิปรสสฺปทตฺตนฺต บาง) วิ. น สมนุภาสนฺโต ิ อสมนุภาสนฺโต (ผอูันสงฆประกาศหามิไดชื่อวา อสมนุภาวนฺต), เชน อสมนุภาสนฺตสฺสาติ อสมนุ- ภาสิยมานสฺส อปฺปฏินิสฺสชฺชนฺตสฺสาป สงฺฆาทิเสเสน อนาปตฺติ (บทวา สมนุภาสนฺตสฺส ความ วา อนาบัติเพราะสังฆาทิเสส ยอมมีแกภิกษุผู ไมถูกสงฆสวดประกาศ ผูแมไมสละคืนอยู) อสมเปกฺขนา (อิตฺ.) ๑. การไมเพงพิจารณา, การไมใครครวญ, ธรรมชาติที่ไมเพงพิจารณา เสมอ, การไมเห็นสภาวะตามที่เปน วิ. น สมํ เปกฺขตีติ อสมเปกฺขนา, อสมเปกฺขนํ วา, ยถาภูต สภาวาทสฺสนํ (ธรรมชาติใด ยอมไมเพงพิจารณา โดยเสมอ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อสม เปกฺขนา, อสมเปกฺขนํ), [น + สม + ป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๒. อวิชชา, ธรรมชาติที่ไมใหเห็นความจริง วิ. อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ สมํ สมฺมา จ เปกฺขิตุํ น เทตีติ อสมเปกฺขนา (ก็อวิชชา เกิดขึ้นแลว ไมใหเห็น ธรรมนั้น โดยเสมอ และโดยชอบ เหตุนั้น อวิชชานั้นจึงชื่อวา อสมเปกฺขนา) อสมฺโพธ (ปุ.) ไมรู, ไมตรัสรู, ไมใชการตรัสรู ๑. วิ. น สมฺโพโธ อสมฺโพโธ (ไมใชการตรัสรู ชื่อ วา อสมฺโพธ), นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส. ๒. วิ. อนิจฺจาทีหิ สทฺธึ โยเชตฺวา น พุชฺฌตีติ อสมฺโพโธ (ชื่อวาไมตรัสรูชอบ เพราะตรัสรู ประกอบดวยพระไตรลักษณ มีอนิจจลักษณะ เปนตน), [น + สํ + พุธ ธาตุ อวคมเน ในความรู + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธและพฤทธิ์ อ เปน อา, แปลง น เปน อ], นี้เปนวิเคราะหอยางงาย (ลหุกวิคฺคหนโย) ๓. วิ. อสนฺตํ อสมฺจ พุชฺฌตีติป อสมฺโพโธ, อปฺปฏิเวโธ (ชื่อวาไมตรัสรูชอบ เพราะรูความไมสงบและความไมเหมาะสมบาง ไดแก การไมรูแจง), [อสํ + พุธ ธาตุ อวคมเน ใน ความรู + ณ ปจจัย] นัยนี้เปนวิเคราะหสมาสมี กิตกภายใน อสมฺภูต (ติ.) ๑. ไมเกิดแลว, ไมเจริญแลว, ไม มีแลว วิ. น สมฺภวิตฺถาติ อสมฺภูโต (ผูใดไมเกิดมี แลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสมฺภูต) ๒. ไมใชผูเกดิ ดวยดี วิ. สุุ วา ภูโตติ สมฺภูโต, น สมฺภูโต อสมฺภูโต (ผูใดเกิดมีดวยดี เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา สมฺภูต, ไมใชผูเกิดมีดวยดี ชื่อวา อสมฺภูต), [น + สํ + ภู ธาตุ + ต ปจจัย, แปลง น เปน อ, แปลง นิคหิตเปน ม ที่สุดวรรค], นัยเดียวกัน วิภูโต, ปาตุภูโต, อาวิภูโต เปนตน, แมในบทวา สมฺภโว เปนตน ก็นัยนี้ ลง อ ปจจัย ในภาวสาธนะ อสมฺมิสฺส (ติ.) ไมปนกัน, ไมเจือกัน, ไมคละกัน, ไมผสม ๑. วิ. สมฺมิสฺเสตีติ สมฺมิสฺโส (สิ่งใดอัน สิ่งอื่นปนแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา สมฺมิสฺส), [สํ + มิสฺส ธาตุ สมฺมิสฺเส ในความปนกัน + อ ปจจัย, แปลงนิคหิตเปน ม ที่สุดวรรค] วิ. น สมฺมิสฺโส อสมฺมิสฺโส (ไมใชสิ่งที่ปนกัน ชื่อวา อสมฺมิสฺส) ๒. ไมมีสิ่งอื่นเจือปน, ไมคละกัน วิ. นตฺถิ วา สมฺมิสฺโส เอตสฺสาติ อสมฺมิสฺโส, อสงฺกโร (สิ่งที่ เจือปนกัน ของสิ่งนั่นไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อสมฺมิสฺส คือไมปนกัน), นปุพฺพปทสมาส. อสมาทานจาร (ปุ.) การทองเที่ยวไปโดยไม ตองถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับ วิ. อสมาทาย จรณํ อสมาทานจาโร, ติจีวรํ อสมาทาย จรณํ, จีวรวิปฺปวาโส กปฺปสฺสตีติ อตฺโถ (การเที่ยวไปไม ตองถือไป ชื่อวา อสมาทาจาร, หมายความวา


๒๖๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เที่ยวไปไมตองถือจีวรไปครบ ๓ ผืน, จะอยู ปราศจากจีวร ก็ควร), แปลง ตฺวา ปจจัย กลาง ศัพทเปน อน, [จร ธาตุ จรเณ ในความเที่ยวไป + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธและพฤทธิ์ อ เปน อา] ใน ปาจิตฺยาทิโยชนา อธิบายวา อสมาทาย จรณนฺติ อิมินา อสมาทานจาโรติ เอตฺถ ปุพฺพปเท ตฺวาปจฺจยสฺส อนาเทสํ กตฺวา อสมาทานจาโรติ วุตฺตนฺติ ทสฺเสติ (ดวยขอวา อสมาทาย จรณํ-ไมตองถือจีวรเที่ยวไป นี้ทานแสดงวา ใน บทวา สมาทานจาโร นี้ทานทำอาเทศ ตฺวา เปน อน แลวจึงกลาววาอสมาทานจาโร),แตขาพเจา ชอบใจมติการแปลง ตฺวา เปน ย, และแปลง ย เปน น อสยฺห (ติ.) ไมสามารถทนได, ไมพึงอดกลั้นได วิ. เกนจิ น สหิตพฺพนฺติ สยฺหํ (อันใครๆ ทนไมได เหตุนั้น ชื่อวา สยฺหํ), [น + สห ธาตุ สาหเส ใน ความทน + ณฺย ปจจัย, สลับ ย กับ ห] นัยเดียวกัน อปฺปสยฺหํ, น + ป บทหนา, เชน กณฺโตาลุตลโสสชมฺปสยฺหํ วิภงฺค.อ.๑๑๒ (ทุกขซึ่งทนไมได อันเกิดแตแหงที่คอ ริมฝปาก พื้นเพดาล) วิ. สหิตฺถาติ สยฺหํ (สิ่งใดอันเขาทน ได เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา สยฺหํ), [สห ธาตุ สหเน ในความทน + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, สลับ ย เปน ห] วิ. น สยฺหํ อสยฺหํ (อันเขาทน ไมได ชื่อวา อสยฺห), [แปลง น เปน อ] อสห (ปุ.) ทนไมได, ไมทน, ไมสามารถ, ไมกลา หาญ วิ. สหติ อเนนาติ สโห (บุคคลยอม สามารถ ดวยธรรมนั่น เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา สห), [สห ธาตุ สตฺติยํ ในความสามารถ + อ ปจจัย] วิ. น สโห อสโห (ไมใชธรรมชวยใหทน ได ชื่อวา อสห), [แปลง น เปน อ] วิ. สหตีติ สโห (ภาวะใดยอมทนได เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา สห), [สห ธาตุ ปริสหเน ในความอดทน + อ ปจจัย] วิ. น สโห อสโห (ไมใชการอดทด ชื่อวา อสห), นัยเดียวกัน เชน อสยฺโห, ลง ณฺย ปจจัย อสํวร (ปุ.) ๑. การสำรวมมาก, ระวังมาก, ปองกันอยางดี วิ. สํวรณํ สํวโร, กายวาจาหิ อวีติกฺกโม. มหนฺโต สํวโร อสํวโร (การสำรวม ระวัง ชื่อวา สํวร, หมายถึง การไมลวงละเมิด ทางกายวาจา, การสำรวมระวังมาก ชื่อวา อสํวร) เชน สํวราสํวโร (ความสำรวมนอยใหญ), ความจริง อ อักษรใชในอรรถวาเจริญ (วุฑฺฒิอตฺถ) เชน อเสกฺขา ธมฺมา (ธรรม ควร ศึกษาอันดี, ธรรมอันเปนของอเสกขบุคคล) ๒. การไมสำรวม, การไมระวัง, การไมปองกัน วิ. อถ วา น สํวโร อสํวโร (อีกนัยหนึ่ง การไม สำรวมระวัง ชื่อวา อสํวโร), [น + สํ + วร ธาตุ วรเณ ในความปองกัน + อ ปจจัย, แปลง น เปน อ] อสํวาส (ปุ.) หาสังวาสมิได, ผูไมมีการอยู รวมกัน วิ. ปกตตฺตา ภิกฺขู สห วสนฺติ เอตฺถาติ เอกกมฺมาทิโกว ติวิโธป วิธิ สํวาโส นาม, นตฺถิ สํวาโส เอเตนาติ อสํวาโส. สํวสนํ สํวาโส, กงฺขาวิตรณี.๑๓๓ (ภิกษุทั้งหลายผูปกตัตตะ คือ ภิกษุปกติไมตองอาบัติปาราชิก ไมถูกสงฆ ทอดทิ้ง ยอมอยูรวมกันในลักษณะนี้ เหตุนั้น ลักษณะนั้นจึงชื่อวา สังวาส คือวิธีทั้ง ๓ ประการ มีกรรมอยางเดียวกันเปนตนนั่นแหละ), [สํ + วส ธาตุ + ณ ปจจัย ภาเว ในภาวสาธนะ]. วิ. นตฺถิ สํวาโส เอตสฺสาติ อสํวาโส (สังวาสของภิกษุนั้น ยอมไมมี เหตุนั้น ภิกษุนั้น ชื่อวา อสํวาส), นนิปาตปุพฺพปท พหุพฺพีหิสมาส. แตในอรรถ กถา วินย.อ.๒/๕๑๓ วา อสํวาโสติ สํวาโส นาม เอกกมฺมํ เอกุทฺเทโส สมสิกฺขตา, เอโส สํวาโส


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๖๑ นาม. โส เตน สทฺธึ นตฺถิ, เตน วุจฺจติ อสํวาโสติ. (ในขอวา อสํวาโส ชื่อวา สังวาส ไดแก กรรม อยางเดียวกัน อุเทศอยางเดียวกัน สิกขาเสมอ กัน, นั่นเรียกวา สังวาส, สังวาสนั้นกับดวยผูนั้น ไมมี เหตุนั้น ผูนั้นทานจึงเรียกวา อสํวาส) อสํวุต (ติ.) ไมสำรวม, ไมสังวร, ไมระวัง วิ. น สํวุณาตีติ อสํวุตํ (การกระทำที่ไมสำรวม เรียกวา อสํวุต), [น + สํ + วุ ธาตุ สํวรเณ ในความสำรวม + ต ปจจัย ใน ๓ กาล, แปลง ต เปน อ] วิ. กิเลสานํ ทฺวารปทหเนน ปทหิโตติ สํวุโต (ผูใดระวังแลว ดวยการปดประตูกิเลส เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา ผูสำรวม), [สํ + วร ธาตุ สํวรเณ ในความปองกัน + ต ปจจัย, ลบ ร, แปลง อ เปน อุ] วิ. น สํวุโต อสํวุโต (ผูไมสำรวม แลว ชื่อวา อสํวุต), [แปลง น เปน อ] จัดเปน นนิปาตปุพฺพปท กมฺมธารยสมาส อสํหาริม (ติ.) นำไปไมได, เคลื่อนที่ไมได วิ. ถามมชฺฌิเมน ปุริเสน สุุ หริตพฺพนฺติ สํหาริยํ, ตํเยว สํหาริมํ (สิ่งใด อันบุรุษผูมีกำลัง ปานกลางพึงนำไป ดวยดี เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา สํหาริย, สํหาริย นั่นเอง ชื่อวา สํหาริม), [สํ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม, ทีฆะกลางศัพท และแปลง ย เปน ม] วิ. น สํหาริมํ อสํหาริมํ (ไมใชสิ่งที่เคลื่อนที่ได ชื่อวา อสํมาริม), เชน อสํหาริเม ผลเก วา ปาสาเณ วา (ที่กระดาน หรือแผนดิน ที่ไม เคล่อืนที่) อสํหีร (ปุ.) ๑. ไมหวั่นไหว, ไมงอนแงน วิ. น สํหีรเต ปรวาทีหิทีฆรตฺตํติตฺถวาเสนาตฺยสหํ ีโร. (ผูไมงอนแงนไปกับพวกกลาวตรงกันขาม ทั้งหลาย ดวยการดำรงอยูสิ้นกาลนาน เหตุนั้น ชื่อวา อสํหีร), วิ. เอวมิธ ปาฺจ อตฺถฺจ วิวริตฺวา ิโต อสํหีโร ภวติ ปรวาทีหิ ทีฆรตฺตํ ติตฺถวาเสนาติ วุตฺตํ โหติ (ขอนี้ทานกลาว อธิบายไวอยางนี้วา ผูรูแจงทั้งปาฐะและอรรถะ ดำรงอยูอยางนี้ ยอมไมงอนแงนจากพวกกลาว ตรงกันขามทั้งหลาย ดวยดำรงอยูสิ้นกาลนาน) ๒. วิปสสนา, พระนิพพาน, สภาวะที่ไม หวั่นไหว, ไมงอนแงน, ไมกำเริบ วิ. อถ วา ราคาทีหิ น สํหีรติ น สํกุปฺปตีติ อสํหีรํ อสํกุปฺป, วิปสฺสนา นิพฺพานนฺติ จ อตฺโถ (อีกนัยหนึ่ง ธรรมชาติใด ไมหวั่นไหว ไมกำเริบไปดวยราคะ เปนตน เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อสํหีร คือไม กำเริบ หมายถึง วิปสสนา และพระนิพพาน) ๓. ไมหวั่นไหว, ไมถูกราคะนั้นลากไป วิ. น สํหีรํ อสํหีรํ, อาสนฺนปจฺจตฺถิเกน ราเคน อนากฑฺฒนิยํ (ไมใชการหวั่นไหว ชื่อวา อสํหีร หมายถึง ไมถูกราคะซึ่งเปนขาศึกใกลตัวลากไป) [น + สํ + หีร ธาตุ กุปฺปเน ในความกำเริบ + อ ปจจัย] ปาฐะวา อสํหิรํ ก็มี, นัยเดียวกันเชน อสํกุปฺปนฺติ น สํกุปฺป, ทูรปจฺจตฺถิเกน พฺยาปาเทน อโกปยํ (อสํกุปฺป หมายถึง ไมหวั่นไหว อธิบาย วา ไมกำเริบไปเพราะพยาบาทอันเปนขาศึก ไกล), [น + สํ + กุป ธาตุ โกเป ในความกำเริบ + ณฺย ปจจัย, แปลง ปฺย เปน ปฺป] อสาต (นป.ติ.) ความทุกข, ความเจ็บปวด, ไมเปนที่พอใจ, ไมสบอารมณ วิ. อมธุรตฺตา น สาทิตพฺพาติ อสาตา (ธรรมชาติใดอันเขาไมพึง ยินดี เพราะเปนสิ่งไมนาชอบใจ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อสาต), [น + สาท ธาตุ อสฺสาทเน ในความยินดี + อ ปจจัย, แปลง ท เปน ต] วิ. น สาทิยตีติ อสาตํ, อนิํ (สิ่งใดอัน เขาไมยินดี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสาต คือไม


๒๖๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา นายินดี), [น + สท ธาตุ สาเท ในความยินดี + ณ ปจจัย, แปลง ท เปน ต และทีฆะ] อสาร (นปุ.) สิ่งไมมีสาระ, ไมมีแกน, กระพี้, วางเปลา, ไรผล วิ. นตฺถิ สาโร ยสฺมึ ตํ อสารํ เผคฺคุ, นิสฺสารํ วา (แกนสารไมมีในสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสาร ไดแก กระพี้ หรือสิ่ง ที่ไมมีแกนสาร), นนิปาตปุพฺพปท พหุพฺพีหิสมาส , วิ. น สารนฺติ วา อสารํ (อีกนัยหนึ่ง ไมใชสิ่งที่มี สาระ เหตุนั้น ชื่อวา อสาระ), แปลง น เปน อ, นนิปาตปุพฺพปท กมฺมธารยสมาส อสฺม (อิตฺ.) ศิลา, หิน ๑. วิ. อสฺสเตติ อสฺมา ปาสาโณ (สิ่งใดยอมตกไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสฺมา คือหิน), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + ม ปจจัย โมค. ๗/๑๓๗ วา อสฺมาทโย] ๒. วิ. อสติ พฺยาเปตีติ อสฺมา (สิ่งใดยอมแผไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสฺมา), [อสุ ธาตุ พฺยาปเน ในความแผไป + ม ปจจัย, แปลง สิ เปน อา เพราะแจกแบบ ราช ศัพท กจฺ.๑๘๙ รูป.๑๑๓] อสฺม ศัพท ในคัมภีรสัทศาสตรใชเปนปุงลิงค แปลง สิ หลัง อุสฺม, เภสฺม ภสฺม เปน อา ดวย อาทิ ศัพทในขอวา อาตุมาทิสทฺทโต รูป.๑๑๓. แตในบาลีเปนตน ใชเปน อิตถีลิงค และ นปุงสกลิงค อสฺส (ปุ.) มา, มุม ๑. สัตวที่เคี้ยวอยางพิจารณา วิ. อภิณฺหํ อสติ ภกฺขตีติ อสฺโส อสฺสา (สัตวใด ยอมกินอยางพิจารณา เหตุนั้น สัตวนั้น ชื่อวา อสฺโส, อสฺสา), [อส ธาตุ ภกฺขเน ในความเคี้ยว กิน + อ ปจจัย, ซอน สฺ] ๒. สัตวที่ทิ้งมาตัวอื่น วิ. อสติ ขิปตีติ อสฺโส (สัตวใดยอมทิ้งมาตัวอื่นไว ขางหลัง เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อสฺโส), [อส ธาตุ เขปเน ในความทิ้ง + ส ปจจัย โมคฺ.๗/๒๑๓ วา สสาสวสวิสหน เปนตน] ๓. สัตวที่ไมนอน วิ. น สยตีติ อสฺโส (สัตวใดยอมไมนอน เหตุนั้น สัตว นั้นชื่อวา อสฺส-มา), [น + สิ ธาตุ สเย ในความ นอน + อ ปจจัย] ๔. มาที่ทิ้งมาตัวอื่น วิ. อสติ ขิปตีติ อสฺโส, สัตวใดยอมทิ้งมาตัวอื่นไวขางหลัง เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อสฺโส), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความทิ้ง + ส ปจจัย], อสฺส ศัพทใชใน ความหมายวา โกเณ (มุม) และ หเย (มา), สวน ในสันสกฤตมีรูปวา อศฺวะ อสฺสก (ปุ.) ๑. ฝูงมา, ประชุมแหงมาทั้งหลาย วิ. อสฺสานํ สมูโห อสฺสโก (ประชุมแหงมา ทั้งหลาย ชื่อวา อสฺสก), [กณฺ ปจจัย] ๒. ตุกตา มา วิ. อสฺสรูปกํ อสฺสกํ (รูปเปรียบมา ชื่อวา อสฺสก), [ก ปจจัย ใชในอรรถวา ปฏิภาคตฺเถเปรียบ] ๓. มาที่นาเกลียด วิ. กุจฺฉิโต อสฺโส อสฺสโก (มาที่นาเกลียด ชื่อวา อสฺสก), [ก ปจจัย ใชในอรรถวา นินฺทายํ-ติเตียน] ๔. มาที่มี ชื่อเสียง วิ. อฺาโต อสฺโส อสฺสโก (มาที่มี ชื่อเสียง ชื่อวา อสฺสก), วิ. กสฺส อยํ อสฺโสติ วา อสฺสโก (อีกประการหนึ่ง มานี้ของใคร เหตุนั้น ชื่อวา อสฺสก), [ก ปจจัยในอรรถวา อฺาเตอันเขารูทั่ว] อสฺสกณฺณ (ปุ.) ๑. ภูเขาหลวงชื่ออัสสกัณณะ, มหาบรรพต, ภูเขามีลักษณะคลายหูของมา วิ. อสฺสกณฺณสทิสา กูฏา เอตสฺสาติ อสฺสกณฺโณ กุลาจโล. (ยอดของภูเขานั้น คลายหูของมา เหตุ นั้น ภูเขานั้นจึงชื่อวา อสฺสกณฺณ คือภูเขาใหญ), ๒. ตนสาละ, ตนรัง, ตนไมมีใบเทาหูมา วิ. อสฺสกณฺณสทิสปณฺณตาย อสฺสกณฺโณ สาโล. อสฺสสฺส กณฺโณ วิย อสฺสกณฺโณ (ตนสาละ ชื่อวา อสฺสกณฺณ เพราะมีใบเทาหูของมา, ตนไม เหมือนหูของมา ชื่อวา อสฺสกณฺณ), ดังที่ทาน อธิบาย วา ยถากถฺจิ พฺยุปฺปตฺติ, รูฬฺหิยา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๖๓ อตฺถนิจฺฉโย ปาจิตฺยาทิโยชนาปาิ (เหตุเกิดขึ้น แหงศัพทสุดแทจะกลาว มีความหมายงอกไป หลากหลาย) ๓. ภูเขามีตนรังมาก วิ. อสฺสกณฺณา สชฺชทุมา เอตฺถ พหโว สนฺตีติ อสฺสกณฺโณ (ตนรัง ที่ภูเขานั้นมีมาก เหตุนั้น ภูเขานั้น ชื่อวา อสฺสกณฺณ) อสฺสตร (ปุ.) ๑. มาดี, มาอัสดร วิ. อสฺสํ ตรตีติ อสฺสตโร, วฬวาย คทฺรเภน ชาโตติ อตฺโถ (สัตวใด ขามมาอื่นไป เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อสฺสตร-มา อัสดร หมายถึง มาที่เกิดจากพอมานางลา), [อสฺส + ตร ธาตุ ตรเณ ในความขาม + อ ปจจัย] ๒. มาชั้นดีกวามาทั้งหลาย วิ. อสฺสานํ วิเสเสน ตโรติ อสฺสตโร (มาใดขามมาอื่น โดยพิเศษ เหตุ นั้น มานั้นชื่อวา อสฺสตร) ๓. มาหนุม วิ. อสฺสภา วสฺส ตนุตฺเต ตรุณอสฺโส อสฺสตโร, วจฺฉาทีหิ ตนุตฺเต ตโรติ ตโร. อาชานียวลวาย กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺโต อสฺสตโร (มาหนุม ชื่อวา อสฺสตร เพราะความเปนมายังหนุม, ตร มีความวา หนุม เพราะความยังหนุมกวามาถึก. มาที่เกิดในทอง แหงนางลาแหงมาอาชาไนย), สวนใน ธมฺมปทมหาฏีกา วิเคราะหไววา อสฺสํ ปกติอสฺสํ ปกติอสฺสสฺส เวคํ ชวํ อตฺตโน เวเคน ชเวน ตรติ อติกฺกมตีติ อสฺสตรํ (อสฺส หมายถึง มาปกติ, อสฺสตร หมายถึง มาที่มีความเร็วของตนลวงเลย ความเร็วมาปกติ) ๔. นาค, พญานาคอัสดร วิ. อสฺสสฺส นาคสฺส วิเสโส ปเภโท อสฺสตโร, กมฺพโล อสฺสตโร จาติ อิเม เทฺว นาคกุลา เมรุ- ปาเท วสนฺติ (นาคพิเศษประเภทหนึ่ง ชื่อวา อสฺสตร, ที่เชิงเขาพระสุเมรุ มีนาค ๒ ชนิดอาศัย อยู ไดแก นาคกัมพล และนาคอัสสตร) อสฺสตฺถ (ปุ.) ตนโพธิ์, ตนอัสสัตถะ, ๑. ตนไม เปนที่มีพระสัพพัญุตญาณตั้งอยู วิ. อสฺสํ สพฺพฺุตฺาณํ ติติ เอตฺถาติ อสฺสโ, อสฺสตฺโถ (อัสสะ คือพระสัพพัญุตญาณ ตั้งอยู ที่ตนไมนั้น เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อสฺส, อสฺสตฺถ), แตใน สทฺทนีติปทมาลา (ฉบับแปล หนา ๗๔๕) ปรากฏเปนนปุงสกลิงควา อสฺสตฺถํ, [อสฺส + า ธาตุ + อ ปจจัย, แปลง  เปน ถ, ซอน ตฺ] ๒. ตนไมที่ทำพระผูมีพระภาคเจาให เบาพระทัย วิ. มารวิชยสพฺพฺุตฺาณปฺปฏิ- ลาภาทิเกหิ ภควนฺตํ อสฺสาเสตีติ อสฺสตฺโถ (ตนไมใด ยังพระผูมีพระภาคเจาใหทรงเบา พระทัย ดวยคุณมีการบรรลุพระสัพพัญตุ ญาณ ที่ทรงชนะมารไดเปนตน เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อสฺสตฺถ), [อา + สาส ธาตุ อนุสิิโตสเนสุ ใน ความสั่งสอนและในความยินดี + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ถ, แปลง ส เปน ตฺ, ซอน สฺ, รัสสะ อา เปน อ], อสฺสตฺถ ศัพทเปนไวพจนชอง โพธิรกฺข ๓. มา วิ. อสฺสสิตฺถาติ อสฺสตฺโถ (สัตว ใดยอมหายใจทั่วทอง เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อสฺสตฺถ-มา) เชน อรรถกถาขุททกปาฐะ (ขุทฺทก.อ.๑๘) อสฺสตฺถชโน วิย สงฺโฆ (พระสงฆ เปรียบเหมือนฝูงมา), [อา + สส ธาตุ ปาณเน ใน ความมีชีวิต, หรือ สาส ธาตุในความยินดี, + ต ปจจัย, แปลง ส เปน ถ, ซอน ตฺ เปนตน] อสฺสตฺถร (ปุ.) เครื่องลาดมา, อานมา วิ. อสฺเส อตฺถรตีติ อสฺสตฺถโร (สิ่งใดยอมลาดบนมา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสฺสตฺถร), [อสฺส + อา + ถร ธาตุ วิตฺถาเร ในความแผไป + อ ปจจัย] นัย เดียวกันเชน หตฺถตฺถโร (เครื่องลาดบนหลัง ชาง), หตฺถตฺถรอสฺสตฺถรา หตฺถิอสฺสปีสุ อตฺถรณกอตฺถรณาเอวาติ อตฺโถ. (หตฺถถร และ อสฺสตฺถร หมายถึง เครื่องปูลาดบนหลังชาง และ หลังแม, อตฺถรณก คือ อตฺถกรณา นั่นเอง) สวน


๒๖๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ใน มหาวคฺค ทานวาเปน หตฺถตฺถรํ, อสฺสตฺถรํ เปนนปุงสกลิงค อสฺสทฺธิย (นปุ.) ความเปนผูไมมีศรัทธา วิ. น สทฺโธ อสฺสทฺโธ, อสฺสทฺธสฺส ภาโว อสฺสทฺธิยํ (ผูมี ศรัทธา หามิได ชื่อวา อสฺสทฺโธ, ความเปนแหง บุคคลผูไมมีศรัทธา ชื่อวา อสฺสทฺธิย), [ณิย ปจจัย ในภาวตัทธิต] พุทฺธาทีสุ กมฺมกมฺมผเลสุ จ สทฺธาวิปริยาโย มิจฺฉาวิโมกฺโข อสฺสทฺธิยํ (มิจฉาวิโมกข-การหลุดพนผิด คือไมหลุดพนแต เชื่อวาพนแลว ซึ่งตรงขามกับศรัทธาในพระ รัตนตรัยมีพระพุทธเจาเปนตน และในกรรมและ ผลกรรม ชื่อวา อสฺสทฺธิย), สีลขนฺธวคฺคอภินวฏีกา ๒/๒๕๐ อสฺสน (ปุ.) ไมประดูลาย, ประดูสม วิ. อสิยติ ภกฺขิยตีติ อสฺสโน (ตนไมใด อันสัตวกัดกิน เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อสฺสน), [อส ธาตุ อสเน ในความกิน + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, ซอน สฺ] อสฺสม (ปุ.) อาศรม, อาศรมบท ๑. ที่ระงับ ความลำบากกายลำบากใจ, ที่มีความลำบาก ระงับไป วิ. อา สมนฺตโต กายจิตฺตปฬสงฺขาตา ปริสฺสยา สมนฺติ เอตฺถ อสฺสาติ วา อสฺสโม (ความลำบาก คือความบีบคั้นกายใจ ระงับราบ คาบในในที่นี้ หรือความลำบากของผูนั้นระงับ ราบคาบไป เหตุนั้น ที่นั้นหรือผูนั้น ชื่อวา อสฺสม), [อา + สมุ ธาตุ ปริสเม ในความระงับ + อ ปจจัย] ๒. ผูบำเพ็ญตปะ, ผูทำความเพียร, ผูสงบราบคาบ, ประเทศที่สงบ วิ. อาสมฺมนฺตีติ อสฺสมา (ประเทศเหลาใด สงบราบคาบ เหตุนั้น ประเทศเหลานั้นชื่อวา อสฺสม), [อา + สมุ ธาตุ ตปสิ ในความบำเพ็ญเพียร + อ ปจจัย] ๓. อาศรม, ที่ระงับแหงราคะเปนตน, ที่ความ โกรธระงับ วิ. อา ภุโส สเมนฺติ เอตฺถ ราคาทโยติ อสฺสโม (กิเลสทั้งหลายมีราคะเปนตน สงบระงับ ราบคาบ ในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อสฺสม), อา โกธํ สเมนฺติ เอตฺถาติ วา อสฺสโม (อีกนัยหนึ่ง ความโกรธสงบระดับไปในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อ วา อสฺสม), [อา + สมุ ธาตุ อุปสเม ในความสงบ ระงับ + อ ปจจัย] ๔. ที่ไมมีความลำบาก วิ. นตฺถิ สโม ปริสโม เอตฺถาติ อสฺสโม (สม คือ ความลำบาก ไมมี ในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อสฺสม) ๖. ที่สงบสงัด วิ. อา สมนฺตโต สโมติ อสฺสโม (ประเทศนั้นเปนที่สงบ โดยรอบดาน เหตุนั้น ประเทศนั้นชื่อวา อสฺสม) ๗. ที่มาสงบ, ที่มาบำเพ็ญเพียร วิ. อาคนฺตฺวา สมฺมนฺติ ตโป กโรนฺติ เอตฺถาติ อสฺสโม (ผูบำเพียรทั้งหลาย มา สงบระงับ คือมาทำความเพียรในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อสฺสม), [อา + สมุ ธาตุ อุปสเม ใน ความเขาไปสงบ + อ ปจจัย, ในเพราะอำนาจ สังโยคอยูหลัง รัสสะ อา เปน อ] ๘. ที่พักของ มุนี วิ. มุนีนํ านมสฺสโม (ที่แหงผูรูทั้งหลาย ชื่อ วา อสฺสม) ตโต ปรํ พฺรหฺมจารีคหวานปฺปตฺถภิกฺขูสุ ตโปธเน จ อสฺสโม วตฺตติ (นอกจากนี้ อสฺสม ศัพท ใชในความหมายวา พฺรหฺมจารี (ผู ประพฤติพรหมจรรย) คห (คฤหัสถผูมีศีล) วานปฺปตฺถ (ฤษีผูอยูในปา) ภิกฺขุ (พระภิกษุ) และ ตโปธน (ผูรักศีล) อภิธานปฺปทีปกา, คาถา ๙๒๘, สวนในสันสกฤตมีรูปวา อาศรฺมะ อสฺสมารก (ปุ.) ตนยี่โถ, ตนไมที่ฆามา วิ. อสฺเส มาเรตีติ อสฺสมารโก กรวีโร (ตนไมใด ทำให มาตาย เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อสฺสมารก คือ ตนยี่โถ), [อสฺส + มร ธาตุ ปาณจาเค ในการตาย + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก และ พฤทธิ์ อ ที่ ม เปน อา]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๖๕ อสฺสเมธ (ปุ.) อัศวเมธ, ที่เปนที่ฆามาบูชายัญ วิ. อสฺเส เมธนฺติ หึสนฺติ เอตฺถาติ อสฺสเมโธ (พวก พราหมณบูชายัญ ฆามาในที่ประเทศนนั้เหตุนนั้ ประเทศนั้นชื่อวา อสฺสเมธ), [อสฺส + เมธ ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + อ ปจจัย] ใน อภิธานปฺ- ปทีปกาฏีกา วา อสฺสํ เอตฺถ เมธนฺติ วธนฺตีติ อสฺสเมโธ (พวกพราหมณฆามาในประเทศนั้น เหตุนั้น ประเทศนั้นชื่อวา อสฺสเมธ), [อสฺส + เมธ ธาตุ วเธ ในความฆา + อ ปจจัย] อสฺสยุช (ปุ.) เดือนชื่อวาอัสสยุชะ, ดาวมา วิ. อสฺสยุเชน ปริปุณฺณจนฺทยุตฺเตน ยุตฺโต มาโส อสฺสยุโช (เดือนที่มีดวงจันทรเต็มดวงลอยเดนคู กับดาวอัสสยุชะ ชื่อวาอัสสยุชะ), [ณ ปจจัย แทนความหมายวา ยุตฺต-ประกอบ] อสฺสว (ปุ.) ๑. น้ำมูก, ธรรมชาติที่ไหลออกมา บอยๆ วิ. อา ปุนปฺปุนํ สวติ สนฺทตีติ อสฺสโว สิงฺฆาณิกา (ธรรมชาติใด ไหลออกมาบอยๆ เหตุ นั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อสฺสว คือน้ำมูก), [อา + สุ ธาตุ อภิสเว ในการไหล + อ ปจจัย, เพราะ ปจจัยอื่นจากการิตปจจัย พฤทธิ์ อุ เปน โอ กจฺ. ๔๘๕ รูป.๔๓๔ วา อฺเสุ จ, แปลง โอ เปน อว กจฺ.๕๑๓ รูป.๔๓๕ วา โอ อว สเร] ๒. ผูวา งาย, ผูฟงคำที่สอนดวยเอื้อเฟอ วิ. อาเทสิตํ อาทเรเนว สุณาตีติ อาสโว อสฺสโว สุวโจ (ผูใด ยอมฟงคำที่สอน โดยเอื้อเฟอนั่นแล เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อาสว, อสฺสว คือผูวางาย), [อา + สุ ธาตุ สวเน ในความฟง + อ ปจจัย, ซอน สฺ นีติ. ๑๘๐ วา ปุคฺคลวาจิโน อาสวสฺส สสฺส ทฺวิตฺตํ, แตใน สทฺทนีติ สุตฺตมาลา ทานอธิบาย วา ปุคฺคลาภิเธยฺเย อาสวสทฺโท น ปวตฺตติ. ธมฺมาภิเธยฺเย จ อสฺสวสทฺโท น ปวตฺตตีติ. (อาสว ศัพท ไมไดสื่อความหมายถึง บุคคล. แตสื่อ ความหมายถึงสภาวธรรม) ๓. บุตร, ภรรยา, ผู เชื่อฟงคำของผูเจริญที่สุด วิ. เชวจนํ อาทเรน สุณาติ สีเลนาติ อสฺสโว ปุตฺโต, อสฺสวา ภริยา (ผูใดยอมฟงคำของผูเจริญที่สุดดวย เอื้อเฟอ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสฺสโว ไดแก บุตร, อสฺสวา ไดแก ภรรยา), [อา + สุ ธาตุ สวเน ใน ความฟง + อ ปจจัย] แตใน อภิธานปฺปทีปกาฏีกา (อธิบายคาถาที่ ๑๗๑) วา อสฺสว เปน ไวพจนของ ปฏิฺา อสฺสสนฺต (ติ.) หายใจอยู, ตามมติวินัยวา หายใจออก, ตามมติพระสูตรวา หายใจเขา วิ. อสฺสสตีติ อสฺสสนฺโต (ผูใดยอมหายใจ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสฺสสนฺต), [อา + สส ธาตุ ปาณเน ในความเปนอยู + อนฺต ปจจัย, ซอน สฺ, รัสสะ อา เปน อ] อสฺสาท (ปุ.) ๑. ความยินดี, ความสำราญ, ความเพลิดเพลิน, ความชอบใจ วิ. อสฺสาทนํ อสฺสาโท (ความยินดี ชื่อวา อสฺสารท), [อา + สาท ธาตุ สาทเน ในความยินดี + อ ปจจัย, ซอน สฺ, รัสสะ อา เปน อ] ๒ ธรรมชาติอันเขา พึงยินดี วิ. อสฺสาทิตพฺโพ อสฺสาทียเตติ วา อสฺสาโท, สุขํ, โสมนสฺสํ, อิารมฺมณภูตา ปฺจุปาทานกฺขนฺธา จ (ธรรมชาติใดอันเขาพึง ยินดี หรือยอมยินดี เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อสฺสาท ไดแก สุข โสมนัส และอุปาทานขันธ ๕ อันเปนอิฏฐารมณ), [อา + สาท ธาตุ + อ ปจจัย ในกัมมสาธนะ] ใน สทฺทนีติ ธาตุมาลา (ฉบับ แปล หนา ๕๘๑) กลาววา สท ธาตุ อสฺสาทเน ใน ความยินดี ๓. ธรรมชาติเปนเหตุยินดี วิ. อสฺสาเทติ เอตายาติ อสฺสาโท, ตณหฺา วิปลฺลาสา จ (บุคคล ยอมยินดี ดวยธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาติ นั้นชื่อวา อสฺสาท ไดแก ตัณหา และวิปลาส),


๒๖๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา [อา + สท ธาตุ สาทเน ในความยินดี + ณ ปจจัย ในกรณสาธนะ] ๔. ธรรมชาติอันเขาพึงยินดี วิ. อสฺสาทิยติ อนุภุยฺยตีติ อสฺสาโท (ธรรมชาติ อันเขาพึงยินดีคือพึงเสวย เหตุนั้น ธรรมชาตนิั้น ชื่อวา อสฺสาท), [อา + สาท ธาต + อ ปจจัย] อสฺสาทน (นปุ.) ความยินดี, ความสำราญ, ความเพลิดเพลิน, ความชอบใจ วิ. อา ภุโส อารมฺมณสฺส สาทนํ อสฺสาทนํ (ความยินดี อารมณอยางแรงกลา ชื่อวา อสฺสาทน), [อา + สาท ธาตุ สาทเน ในความยินดี + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, ซอน สฺ, ในเพราะอำนาจสังโยค อยูหลัง รัสสะ อา เปน อ], ทุพฺพลตณฺหา อสฺสาทนํ, สปฺปติกนิปฺปติกา วา ตณฺหา อสฺสาทนํ (ตัณหามีกำลังเพลา ชื่อวา อสฺสาทน, อีกนัยหนึ่ง ตัณหาประกอบปติบาง ไมประกอบ บาง ชื่อวา อสฺสาทน) อสฺสาทิต (ติ.) สิ่งอันเขาชอบใจแลว, อันเขา ยินดีแลว วิ. อสฺสาทิยิตฺถาติ อสฺสาทิตํ (สิ่งใดอัน เขายินดีแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสฺสาทิต), [อา + สาท ธาตุ สาทเน ในความยินดี + ต ปจจัย, ซอน สฺ, รัสสะ อา เปน อ + อิ อาคม] อสฺสาว (ปุ.) สิว, โรคน้ำเหลืองเสีย วิ. อา ภุโส อสุจึ สวติ ปคฺฆราเปตีติ อสฺสาโว, อริสภคนฺทรมธุเมหาทีนํ วเสน อสุจิปคฺฆรณกํ(โรคใดยอมขบั ของเสียออกมาจัด คือทำใหของไมสะอาดไหล ออกมามาก เหตุนั้น โรคนั้นชื่อวา อสฺสาว ไดแก น้ำเหลืองไมสะอาดไหลออกดวยอำนาจริดสีดวง ทวารบานทะโรค และเบาหวานเปนตน) วินย. ๒/๕๔๒, [อา + สุ ธาตุ ปคฺฆรเณ ในความหลั่ง ออก + ณ ปจจัย, แปลง อุ เปน อา, ซอน สฺ รัสสะ อา เปน อ] นัยเดียวกันเชน อสฺสาวี, ลง ณี ปจจัย อสฺสาส (ปุ.) ลมหายใจออก, ตามมติวินัยวา หายใจออก, ตามมติพระสูตรวา หายใจเขา, ๑. ที่พึง, ที่เปนอยู, เครื่องชวยเปนอยู วิ. อสฺสสนฺติ เอตฺถ เอเตนาติ วา อสฺสาโส, อวสฺส โย (สัตวทั้งหลายมีชีวิตอยู ในธรรมชาตินั้น หรือ ดวยธรรมชาติ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อสฺสาส คือที่พึ่ง), [อา + สส ธาตุ ปาณเน ใน ความเปนอยู + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และ พฤทธิ์ อ เปน อา] ๒. ลมหายใจ, เครื่องชวย เปนอยูตอเนื่อง วิ. อา ปุนปฺปุนํ สสนฺติ เอเตนาติ อสฺสาโส, [สัตวทั้งหลายมีชีวิตอยูตอไป ดวย ธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อสฺสาส] (อา + สส ธาตุปาณเน ในความเปนอยู + ณ ปจจัย) ๓. ลมหายใจที่เปนไปกอน, ลม หายใจออก วิ. สสติ ชีวติ อเนน วาเตน สตฺโตติ สาโส, อาทิมฺหิ ปวตฺโต สาโส อสฺสาโส อานํ (อีกนัยหนึ่ง สัตวยอมเปนอยูดวยลมหายใจนั้น เหตุนั้น ลมหายใจนั้นชื่อวา สาส, ลมหายใจที่ เปนไปเบื้องตน ชื่อวา อสฺสาส ไดแก ลมหายใจ ออก), [รัสสะ อา เปน อ ดวยสูตร กจฺ. ๔๐๓ รูป.๓๕๔ วา กฺวจาทิมชฺฌุตฺตรานํ] อสฺสาโสติ พหิ นิกฺขมนวาโต, ปสฺสาโสติ อนฺโต ปวิสนวาโตติ วินยกถายํ วุตฺตํ. วินย.อ.๑/๕๐๐ (ในอรรถกถาวินัย ทานกลาวไววา ลมที่ออกไปขางนอก ชื่อวา อัสสาสะ ลมหายใจออก, ลมที่เขาไปขาง ใน ชื่อวา ปสสาสะ-ลมหายใจเขา) สุตฺตนฺต- กถาสุ ปน อุปฺปฏิปาฏิยา อาคตํ, ตตฺถ ยสฺมา สพฺเพสมฺป คพฺภเสยฺยกานํ มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนกาเล ปมํ อพฺภนฺตรวาโต พหิ นิกฺขมติ, ปจฺฉา พาหิรวาโต สุขุมํ รชํ คเหตฺวา อพฺภนฺตรํ ปวิสนฺโต ตาลุํ อาหจฺจ นิพฺพายติ, ตสฺมา วินยกถายํ อสฺสาโสติ พหิ นิกฺขมนวาโต, ปสฺสาโสติ อนฺโต


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๖๗ ปวิสนวาโตติ วุตฺตํ, (สวนในอรรถกถาแหงพระ สูตรทั้งหลาย มาโดยกลับลำดับกัน บรรดาลมทงั้ สองนั้น เพราะในเวลาที่สัตวผูนอนอยูในครรภ แมทุกชนิดออกจากทองแม ลมภายในครรภ ยอมออกไปขางนอกกอน ภายหลัง ลมขางนอก พาเอาละอองที่ละเอียดเขาไปขางใน กระทบ เพดานแลวดับไป, ฉะนั้น ในอรรถกถาวินัย ทาน จึงกลาวไววา ลมที่ออกไปขางนอก ชื่อวา อัสสาสะ ลมหายใจออก, ลมที่เขาไปขางใน ชื่อวา ปสสาสะ ลมหายใจเขา), เอเตสุ ทฺวีสุ นเยสุ วินยนเยน อนฺโต อุิตสสนํ อสฺสาโส, พหิ อุิตสสนํ ปสฺสาโส, สุตฺตนฺตนเยน ปน พหิ อุหิตฺวาป อนฺโต สสนโต อสฺสาโส, อนฺโต อุหิตฺวาป พหิสสนโต ปสฺสาโส (ใน ๒ นัยนั่น นัยแหงวินัยวา ลมที่ตั้งขึ้นภายใน ชื่อวา อสฺสาส, ลมที่ขึ้นขึ้นภายนอก ชื่อวา ปสฺสาส, แตนัยแหง พระสูตรวา ลมที่ชื่อวา อสฺสาส เพราะแมตั้งขึ้น ในภายนอก ก็เขาไปภายใน, ชื่อวา ปสฺสาส เพราะแมตั้งในภายในแลวไปขางนอก), อยเมว จ นโย อสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโต อชฺฌตฺตํ วิกฺเขปคเตน จิตฺเตน กาโยป จิตฺตมฺป สารทฺธา จ โหนฺติ อิฺชิตา จ ผนฺทิตา จาติ, ปสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโต พหิทฺธา วิกฺเขปคเตน จิตฺเตน กาโยป จิตฺตมฺป สารทฺธา จ โหนฺติ อิฺชิตา จ ผนฺทิตา จาติ อิมาย ปาิยา สเมตีติ เวทิตพฺพํ. (พึงทราบวา นัยนี้ยอมสมกับพระบาลี ขุ.ปฏิ. ๓๑/๓๖๙/๒ วา เมื่อพระโยคาวจรใชสติไปตามเบื้องตน ทามกลาง และที่สุดแหงลมหายใจออก กายและ จิตยอมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน, เพราะจิตถึงความฟุงซาน ณ ภายนอก เมื่อพระ โยคาวจรใชสติไปตามเบื้องตน ทามกลางและ ที่สุดแหงลมหายใจเขา กายและจิตยอมมีความ ปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน) ๓. ปติโสมนัส, เปนเครื่องหายใจคลองแหงบุคคลผูหวาดหวั่น วิ. อสฺสสติ อนุสงฺกิตปริสงฺกิโต โหติ เอเตนาติ อสฺสาโส, ปติโสมนสฺสํ (บุคคลผูหวาดหวั่น ยอม หายใจคลองดวยลมหายใจนั่น เหตุนั้น ลม หายใจนั้นชื่อวา อสฺสาส ไดแกปติโสมนัส), [อา + สส ธาตุ ปาณเน ในความเปนอยู + ณ ปจจัย] นัยเดียวกันเชน อสฺสสนํอสฺสาสน, ลง ยุ ปจจัย ํ ในภาวสาธนะ อสฺสาสกา (อิตฺ.) ๑. การปรารถนา, ความจำนง วิ. อาสิสนา ปตฺถนา อสฺสาสกา (ความจำนง ความปรารถนา ชื่อวา อสฺสาสกา), [อา + สาส ธาตุ อนุสิิยํ ในความสั่งสอน + ณฺวุ ปจจัย ใน ภาวสาธนะ เชน อายุวฑฺฒโก ธนวฑฺฒโก + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๒. ทำใหสบายใจ, สิ่งที่ให เบาใจ, ผูทำใหหายใจคลอง วิ. อสฺสาเสตีติ อสฺสาสโก (ผูใดยอมยังเขาใหสบาย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสฺสาสก), [อา + สส ธาตุ ปาณเน ในความเปนอยู + เณ ปจจัย + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก เชน อสฺสาสโก สมโณ โคตโม (พระสมณโคดม ผูทำใหสบายใจ) อสฺสาเสตฺวา (กิ.กิตฺ.) ๑. ปลอบโยนแลว วิ. อสฺสาเสสีติ อสฺสาเสตฺวา, อสฺสาสิตฺวา วา (ผูใดปลอบแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสฺสาเสตฺวา หรือไดรูปเปน อสฺสาสิตฺวา ก็ได), [อา + สส ธาตุ ปาณเน ในความเปนอยู + เณ ปจจัยในหมวด จุรธาตุ + ตฺวา ปจจัย, หรือลง อิ อาคม] ๒. ทำ ใหสบายใจ, ยังเขาใหหายใจคลอง วิ. อถวา เณ การิเต ยถา อนสฺสาสิตฺวา อุปฺปนฺนสํเวโค (อีกนัยหนึ่ง ลง เณ ปจจัย ซึ่งเปนการิตปจจัย เปนเหตุกัตตุวาจก เปน อสฺสาเสตฺวา, อสฺสาสิตฺวา


๒๖๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เชนขอวา อนสฺสาสิตฺวา อุปฺปนฺนสํเวโค (ผูมี ความสลดเกิดขึ้นแลว ไมใหหายใจคลองแลว), นัยเดียวกันเชน อสฺสาสิยมาโน (ผูอันเขาให หายใจคลอง) ลง ณิย และ มาน ปจจัย ในเหตุ กัมมวาจก อสฺสุ (นปุ.) ๑. น้ำตา วิ. เนตฺตมฺหา อสิยติ ขิปยตีติ อสฺสุ พปฺโป (สิ่งใด อันธรรมชาติซัดลงจากตา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสฺสุ ไดแก น้ำตา), [อส ธาตุ อโธปตเน ในความตกลงเบื้องต่ำ + สุ ปจจัย, โมคฺ.๗/๒๑๙ วา สสมสทํสาสาสุ] ๒. ชีวิต, ปราณ, เหตุเปนอยู, เหตุเกิด วิ. อสติ ภวติ เยนาติ อสฺสุ (สัตวเกิดมีดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสฺส), [อส ธาตุ ภุวิยํ ในความมี ความเปน + อุ ปจจัย, ซอน สฺ] ๓. น้ำตา, สิ่งที่ เหือดแหงไป วิ. อสุณาตีติ อสฺสุ (สิ่งใดยอม เหือดแหงไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อสฺสุ), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + สุ ปจจัย] ศัพทนี้ เปนนปุงสกลิงค อสิ (ปุ.) ๑. ดาบ, ขรรค, อาวุธทำใหอายุสิ้นไป วิ. อสติ อายุํ เขเปตีติ อสิ ขคฺโค. อสเต ขิปเต อเนนาติ วา อสิ (อาวุธใดยอมยังอายุใหสิ้นไป เหตุนั้น อาวุธนั้นชื่อวา ขคฺค คือดาบ, อีกนัย หนึ่ง อายุสิ้นไปดวยอาวุธนั้น เหตุนั้น อาวุธนั้น ชื่อวา อสิ), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความสิ้นไป + อิ ปจจัย] ๒. กระบี่, อาวุธตัดศีรษะเปนตน วิ. อา โกธวเสน เวริชนานํ มหาปราธชนานฺจ สีสาทิกํ สยติ สมุจฺฉินฺทตีติ อสิ เนตฺตึโส (อาวุธใด ตัด ศีรษะเปนตน ของผูมีเวร และชนผูมีความผิด ใหญหลวง ดวยอำนาจความโกรธมาก เหตุนั้น อาวุธนั้นชื่อวา อสิ คือกระบี่), [อา + สิ ธาตุ ฉินฺทเน ในความตัด + อิ ปจจัย, รัสสะ อา เปน อ] ๓. พระขรรค, กระบี่, ดาบ, อาวุธที่ทำให สัตวพินาศ วิ. อสติ สตฺเต วินาเสตีติ อสิ มณฺฑลคฺคํ (อาวุธใดทำลายสัตว คือยังสัตวให พินาศ เหตุนั้น อาวุธนั้นชื่อวา อสิ ไดแกพระ ขรรค), [อส ธาตุ วินาสเน ในความพินาศ + อิ ปจจัย] ๔. พระขรรค, ดาบ, มีดซัด วิ. อสฺสเต [อสียเต] ขิปยเตติอสิ ขคฺโค (อาวุธใดอันเขาซัด ไป เหตุนั้น อาวุธนั้นชื่อวา อสิ คือดาบ), [อสุ ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + อิ ปจจัย], อสิ ศัพท เปนอิการันตในปุงลิงค อสิโกฏ (ปุ.) ชางหนัง, ผูตัดหนังดวยดาบ วิ. อสินา จมฺมํ กุฏติ ฉินฺทตีติ อสิโกโ, จมฺมกาโร (ผูใดยอมตัดหนังดวยดาบ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสิโกโ) เชน ปาจิตฺยาทิโยชนาปาิ วา ปุราณาสิโกโ (ชางหนัง คนเกา), [อสิ + กุฏ ธาตุ เฉทเน ในความตัด +  ปจจัย] อสิต (นปุ.) ๑. เคียว, วัตถุเปนเหตุพินาศไป วิ. อสเต เยนาติ อสิตํ ทาตฺตํ (หญาเปนตนพินาศ ไป เพราะสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสิต คือ เคียว), เชน อสิเตนาติ ทาตฺเตน (บทวา อสิเตน คือเคียว), [อส ธาตุ วินาเส ในความพินาศ + ต ปจจัย + อิ อาคม] ๒. เคียว, วัตถุเปนเครื่อง เกี่ยว วิ. อสติ ลุนาติ เอเตนาติ อสิตํ (บุคคลยอม เกี่ยว ยอมตัด ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสิต) ๓. อันเขาเคี้ยวกินแลว (ติ.) วิ. อสิยเตติ อสิโต ภกฺขิโต (สิ่งใดอันเขาเคี้ยวกินแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสิต คืออันเขากินแลว), [อส ธาตุ โภชเน ในความกิน + ต ปจจัย, อิ อาคม] ๔. ไม สะอาด, ไมขาว, ดำ วิ น สิโต อสิโต กณฺโห (ขาวหามิได ชื่อวา อสิต คือดำ) ๕. พระขีณาสพ ไมถูกกิเลสอาศัย วิ. น สิตาติ วา อสิตา, อนิสฺสิตา (อีกนัยหนึ่ง พระขีณาสพทั้งหลาย ไมใชผูอัน กิเลสอาศัย ชื่อวา อสิตา คือ ผูไมถูกอาศัย), [น


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๖๙ + สิ ธาตุ สเย ในความนอน + ต ปจจัย] ๖. ของ กิน, อันเขากินแลว วิ. อสียิตฺถาติ อสิตํ (สิ่งใด อันเขากินแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสิต), [อส ธาตุ โภชเน ในความกิน + กฺต ปจจัย + อิ อาคม] ๗. ของกิน, วัตถุอันบุคคลพึงกิน วิ. อสิตพฺพนฺติ อสิตํ (วัตถุใด อันบุคคลพึงกิน เหตุนั้น วัตถุนั้นชื่อวา อสิต), [อส ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + ต ปจจัยใชใน ๓ กาล เพราะไมม ี กำหนดตายตัวในกาลตางๆ เชนคำวา ทุทฺธํ (นมสด) ๘. การกิน วิ. อสิยเต อสิตํ, โอทนาทิ (อันเขากินชื่อวา อสิต คือกินขาวเปนตน) เชน ที.สี.๙/๑๒๓/๑๑ อสิเต ปเต ขายิเต (ในการฉัน การดื่ม การลิ้ม), [อส ธาตุ ภกฺขเน ในความกิน + ต ปจจัย ภาวสาธนะ + อิ อาคม] อสิเลส (อิต.) ดาวฤกษชื่ออสิเสลา, ดาวเรือ, ดาวงู วิ. ภุชคสทิสตฺตา น สิลิสยเต นาลิงฺคยเตติ อสิเลโส (กลุมดาวใดไมกอดกัน คือไมรวมกลุม กัน เพราะเปนเหมือนงูเลื้อย เหตุนั้น กลุมดาว นั้นชื่อวา อสิเลส), [น + สิลิส ธาตุ สิเลสเน ใน ความกอดรัด + อ ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ, แปลง น เปน อ] อสิวิส, อาสีวิส (ปุ.) ๑. งูพิษ, อสรพิษ, งูมี พิษเหมือนดาบ วิ. อสิสทิสํ วิสํ ยสฺส โส อสิวิโส อาสีวิโส (พิษเชนกันดาบ ของงูใดมีอยู งูนั้น ชื่อวา อสิวิส) ๒. งูมีพิษกลาเหมือนดาบ วิ. อสิ วิย ติขิณํ ปรสฺส จมฺมจฺเฉทนสมตฺถํ วิสํ เอตสฺสาติ อสิวิโส (พิษของงูนั้น แรงกลา สามารถตัดหนังสัตวอื่นได เหมือนดาบ เหตุนั้น งูนั้นชื่อวา อสวิิส) อสุ (ปุ.) ปราณ, ชีวิต, ลมหายใจ วิ. อสนฺติ ปวตฺตนฺติ เอเตนาติ อสุ ปาโณ (สัตวทั้งหลาย ยอมเปนไป ดวยลมหายใจนั้น เหตุนั้น ลม หายใจนั้นชื่อวา อสุ คือ ลมปราณ), [อส ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อุ ปจจัย] วิ. อสติ ภวติ เยนาติ อสุ, อาสุ วา (สัตวยอมเปนอยูดวย สิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อสุ, อาสุ), [อส ธาตุ ภุวิ ในความมีความเปน + อุ หรือ ณุ ปจจัย, อสุ ศัพทเปน อุ การันตในปุงลิงค อสุจิ (ปุ.ติ.) ๑. น้ำอสุจิ, น้ำกาม, น้ำสุกกะ, ไมสะอาด, ตรงขามกับสิ่งที่ไมสะอาด (ปุ.) วิ. สุจิสฺส ปฏิปกฺโข อสุจิ สุกฺก (น้ำกามที่ตรงขาม กับสิ่งที่สะอาด ชื่อวา อสุจิ คือน้ำสุกกะ), เอตฺถ อกาโร วิรุทฺเธ (อ อักษรในคำวา อสุจิ ใชในอรรถ ผิดแปลกกัน) ๒. ผูไมสะอาด, สิ่งที่ไมสะอาด, อลัชชี (ติ.) วิ. นตฺถิ สุจิ สีลเมตสฺสาติ อสุจิ, อลชฺชี (ความสะอาดของผูนั่นไมมี เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อสุจิ คือผูไมมีความละอาย), [แปลง น เปน อ], นนิปาตปุพฺพปท พหุพฺพีหิสมาส อสุร (ปุ.) ๑. อสูร, ผูพุงไป วิ. อสติ ขิปตีติ อสุโร (ผูใดยอมพุงไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสุร), [อส ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + อุร ปจจัย ดวย สูตร กจฺ.๖๗๐ รูป.๖๘๐ วา วิทาทีหฺยูโร] ๒. อสูร, ผูอันเทวดาซัดไป วิ. อสียิตฺถาติ อสุโร, (ผูใดอันเทวดาขวางไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อสุร), [อส ธาตุ เขปเน ในความซัดไป + อุร ปจจัย ดวยสูตร โมค.๗/๑๔๗ วา มนฺทงฺกสสาสมถจตา อุโร] ๓. ผูไมรุงโรจนเหมือนเทวดา วิ. เทโว วิย น สุรติ น อีสติ น วิโรจติ จาติ อสุโร (ผูไมกลา ไมรุงเรือง และไมรุงโรจนเหมือนเทวดา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวาอสุร), [น + สรุธาตุวิโรจเน ในความ รุงโรจน + อ ปจจัย] ๔. อสูร, เปรต, ผูไมเลน สนุกสนาน วิ. น สุรนฺติ อิสฺสริยกีฬาทีหิ น ทิพฺพนฺตีติ อสุรา เปตาสุรา (บุพเทพเหลาใด ไม เลน คือยอมไมเลน ดวยการเลนดวยความเปน


๒๗๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา แหงเทพผูยิ่งใหญ เปนตน เหตุนั้น บุพเทพ เหลานั้นชื่อวา อสุรา ไดแกพวกอสรูปคือเปรต), นสทฺโท ปสชฺชปฏิเสธวาจโก (น ศัพทเปน ปสัชชัปปฏิเสธ คือปฏิเสธที่กลาวโดยตรงอยาง สิ้นเชิง), [สุร ธาตุ กีฬายํ ในความเลน + อ ปจจัย] ๕. อสูรไมใชเทพ, เหมือนเทพ, คลาย เทพแตไมใชเทพ วิ. อิตเร ปน น สุรา สุรปฺ- ปฏิปกฺขาติอสุรา, เทวาสุรา (แตบุพเทพพวกอื่น อีก ไมใชเทวดา เปนปฏิปกษตอพวกเทพ เหตุนั้น บุพเทพเหลานั้นชื่อวา อสุร ไดแก พวก อสูรคือเทพ), นสทฺโท ปริยุปาสปฏิเสธวาจโก (น ศัพทเปน ปริยุทาสปฏิเสธ คือมุงแสดงอรรถอื่น ที่เสมอกันกับสิ่งที่กลาวปฏิเสธ เชน อพฺราหฺม โณ) ๖. ผูมีลมปราณ วิ. อสุ อสฺส อตฺถีติ อสุโร (ลมปราณของบุพเทพนั้น มีอยู เหตุนั้น บุพเทพ นั้นชื่อวา อสุร), [ร ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต] ๗. ผูไมเลนเหมือนพวกเทวดา วิ. เทวา วิย น สุรติ น กีฬตีติ อสุโร (บุพเทพใดไมเลน ไมสนุก เหมือนพวกเทวดา เหตุนั้น บุพเทพนั้นชื่อวา อสุร), อกถายํ น สุรํ ปวิมฺหา, น สุรํ ปวิมฺหาติ อาหํสุ, ตโต ปาย อสุรา นาม ชาตาติ วุตฺตํ. (ในอรรถกถาสคาถวรรควา เทวบุตรเหลานั้น กลาววา พวกเราไมดื่มสุราละพอ ไมดื่มสรุาแลว พอ, จำเดิมแตนั้น จึงไดชื่อวา อสูร), ๘. ผูกลาว วา อสุระ, ทานพ วิ. สุรานํ ปฏิปกฺขภาวโต อสุรา สุรริปุ (ชื่อวา อสุร เพราะเปนศัตรูเทวดา คือขาศึกของเทวดา) วิ. อสุรนฺติ วทึสูติ อสุรา ทานวา (เทพทั้งหลายยอมกลาววา อสุร เหตุนั้น เทพเหลานั้นชื่อวา อสูร คือเหลากอของนางทา นุมะ) ทาย อสุร ศัพท ตามนัยนี้ ลงปจจัย ในตัทธิต, สวนนัยอรรถกถาสุตตนิบาต วา ตโต เต สตึ ปฏิลภิตฺวา ตาวตึสภวนํ อปสฺสนฺตา อโห เร นา มยํ ปานมทโทเสน, น ทานิ มยํ สุรํ ป วิมฺห, น สุรํ ปวิมฺห, น ทานิมฺหา สุรา, อสุรา ทานิ ชาตมฺหาติ ตโต ปภุติ อสุราติ อุปฺปนฺนสมฺา ชาตาติ วุตฺตํ โหติ (แตนั้นบุพเทพ เหลานั้น ครั้นไดสติ ไมเห็นดาวดึงสพิภพ จึงกลาวกันวา โอ ! รายจริง พวกเราพากันฉิบ หาย เพราะโทษที่ดื่มสุราจนเมามาย, บัดนี้ พวกเราจะไมดื่มสุราอีกแลว พวกเราจะดื่มที่ ไมใชสุรา, บัดนี้พวกเรามิไดเปนเทวดาแลว พวกเราเปนอสูรแลว ตั้งแตนั้น ก็มีชื่อเกิดขึ้นวา อสุรา), อิมานิ ตทภิธานานิ – อสุโร ปุพฺพเทโว จ ทานโว เทวตาริ ตุ, นามานิ อสุรานนฺติ อิมานิ นิทฺทิเส วิทู. ปาโก อิติ ตุ ยํ นามํ เอกสฺส อสุรสฺส ตุ, ปณฺณตฺตีติป เอกจฺเจ ครโว ปน อพฺรวุํ. (ตอไปนี้เปนชื่อของอสูรนั้น คือ บัณฑิตพึง แสดงชื่อของอสูรเหลานี้ คือ อสุร, ปุพฺพเทว, ทานว, เทวตาริ, ครูบางทานกลาววา ชื่อวา ปากะ เปนชื่อของอสูรตนหนึ่ง) สัททนีติ ธาตุมาลา (ฉบับแปล หนา ๔๑๘) อเสข (ปุ.) ๑. พระอเสขะทั้งหลาย, ผูมีปกติไม ตองศึกษา วิ. อสิกฺขนสีลา อเสขา (พระ อริยบุคคลผูไมตองศึกษาเปนปกติ ชื่อวา อเสข), [น + สิกฺข ธาตุ วิชฺโชปาทานมฺหิ ในการศึกษา + ณ ปจจัย, วิสํโยโค คือลบ กฺ สังโยคเสีย, ลบ ณ ปจจัย และพฤทธิ์ อิ เปน เอ] เตน วุตฺตํ นีติธาตุ มาลายํอการโลเป เสโข อเสโขติ รูปานิ ภวนฺติ (ฉะนั้น ในสัททนีติ ธาตุมาลา ฉบับแปลหนา ๖๖ จึงวา เมื่อลบ อ อักษร จะมีรูปวา เสโข, อเสกฺ โข) ปาฐะที่อางวา อการโลเป นั้น ที่จริงในสัทท นีติ ธาตุมาลา ที่อางนั้น วา กการโลเป เมื่อลบ ก อักษร เสกฺข จึงเปน เสข, อเสกฺข จึงเปน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๗๑ อเสข ๒. พระอเสขะ, ผูไมตองศึกษาอีกเพราะ ศึกษาจบแลว วิ. ปรินิิตสิกฺขตฺตา ปุน น สิกฺข ตีติ อเสกฺโข อเสโข (ผูใดยอมไมตองศึกษาอีก เพราะศึกษาจบแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อเสกฺข, อเสข) ๓. ผูไมตองศึกษา วิ. ตโต อุตฺตริกรณียาภาวโต นตฺถิ สิกฺขา เอตสฺสาติ อเสกฺโข อเสโข (สิกขา ของพระอริยบุคคลนั่น ไมมี เพราะไมมี กิจที่จะตองทำยิ่งไป กวานั้น เหตุนั้น พระอริยบุคคลนั้น จึงชื่อวา อเสกฺข) ๔. รูปที่เห็นไมได วิ. อิกฺขนํ ทสฺสนํ อิกฺขา (การมองเห็น ชื่อวา อิกฺขา), [อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] วิ. สห อิกฺขาย ยํ วตฺตตีติ เสกฺขํ จกฺขุวิฺาเณน ทพฺพภาวโต สนิทสฺสนํ (สิ่งใดเปนไปกับดวยการเห็น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา เสกฺข, ไดแกรูปที่ชื่อวา สนิทสฺสน เพราะความเปนสิ่งที่ตองเห็นได ดวย จักษุวิญญาณ) วิ. นตฺถิ เสกฺขํ เอตสฺสาติ อเสกฺขํ อนิทสฺสนํรูป(สิ่งที่เปนไปกบัดวยความเห็นของ รูปนั้น ไมมี เหตุนั้น รูปนั้นชื่อวา อเสกฺข ไดแก รูปที่ชื่อวา อนิทสฺสน) เชน ในคัมภีรสัจจสังเขป ขอ ๒๓ ฉบับแปล หนา ๓๘ วา เสกฺขสปฺปฏิฆาเสกฺขปฏิฆํ ทฺวยวชฺชิตํ (รูปที่ทั้งเห็นทั้งกระทบได รูปที่เห็นไมไดกระทบได และรูปท่ีเวนจากรูปทั้ง ๒ อยาง) อเสจน (นปุ.) ๑. มีเสนห, ไมเบื่อ, นาสนใจ, ชื่นใจ, ชื่นตา, ยั่วยวน วิ. น สิฺจนฺติ อาคนฺตุกภูตานิ อฺรสานิ เอตฺถาติ อเสจนํ (รสอื่นอัน เปนสิ่งจรมา ไมรดราดไป ในสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อเสจน), [น + สิจ ธาตุ สิฺจเน ใน ความรดราด + ยุ ปจจัย] ๒. ดึงดูดใจ วิ. น สิฺจนฺติ นกฺขรนฺติ นยนมนานิ อสฺมาติ อเสจนํ อพฺยาเสกํ (ดวงตาและใยไมละไปจากสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อเสจน คือมีเสนห), [น + สิจ ธาตุ ปคฺฆรเณ ในการไหลออก + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, แปลง น เปน อ] จิตฺตสฺส อกฺขิโน จ ปติชนกํ วตฺถุ อพฺยาเสกํ อเสจนฺจ นาม. อเสจนกํ วา, อนาสิตฺตกํ อเสจิตพฺพกนฺติ อตฺโถ (สิ่งที่กอใหเกิดปติแกดวงใจและดวงตา ชื่อวา อพฺยาเสกํ อเสจน หรือ อเสจนกํ, หมายความวา ไมเลอะเปอนไป, ไมเบื่อ), คำวา อเสจนกํ ลง ก สกัตถ อเสส (ติ.) ไมเหลือ, ทั้งหมด วิ. น เสสํ อวสิํ อเสสํ, สกลํ (ไมใชสิ่งที่ยังเหลือ ชื่อวา อเสส คือทั้งหมด), [แปลง น เปน อ], นนิปาตปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส อโสก (ปุ.) ตนอโศก, ตนไกร วิ. นตฺถิ โสโก อเนนาติ อโสโก, วฺชุโล (ความโศก ไมมี เพราะ ตนไมนั้น เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อโสก คือ ตนไกร), อโสกํ วา, นิสฺโสกํ อพฺพูฬฺหโสกสลฺลนฺติ อตฺโถ (อีกนัยหนึ่งวา อโสกํ หมายถึง ไมมีความ โศก คือฉลาดในการกำจัดความโศก), [แปลง น เปน อ] อห (ปุ.นปุ.) วัน, ไมละการกลับมา ๑. วิ. ปจฺฉาคมนํ น ชหตีติ อหํ ทิวโส (สิ่งใด ไมเวนการ กลับมา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อห คือวัน) เชน อหานีติ จ ทิวสานีติ อตฺโถ (บทวา อหานิ หมายถึง หลายวัน), [น + ชห ธาตุ จาเค ใน ความสละ + อ ปจจัย, ลบ ช] ๒. วิ. ปจฺฉาคมนํ น ชหาตีติ อหํ (สิ่งใด ไมละการกลับมา เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อห], [น + หา ธาตุ จาเค ในความ สละ + อ ปจจัย, แปลง น เปน อ] อห ศัพท เปนปุงลิงคและนปุงสกลิงค, ในวิสัยที่จะสมาส ได แปลง อ เปน อุ เชนคำวา ตทหุชาตานิ (ต + อห + ชาตานิ, เกิดในวันนั้น), สวนในคัมภีร


๒๗๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา นิรุตติทีปนี อธิบายสูตร ๑๑๕ วา มหาวุตฺตินา อหมฺหา สฺมึโน นิ จ อุ จ โหติ, ตทหนิ, ตทหูติ วุตฺตํ (แปลง สฺมึ ที่อยูหลัง อห ศัพท เปน นิ และ อุ เชน ตทหนิ, ตทหุ ดวยมหาสูตร) อหต (ติ.) ๑. ไมถูกทำลาย, ใหม, ผาใหมยังไม ถูกทุบดวยหินเปนตน วิ. น หฺติ ยํ ปาสาณาทีหตีิอหตํ นววตฺถํ(ผาใด ไมถูกทุบดวย หินเปนตน เหตุนั้น ผานั้นชื่อวา อหต คือผา ใหม), [น + หน ธาตุหึสายํในความเบยีดเบียน + ต ปจจัย, ลบ น ที่สุดธาตุ ดวยสูตร กจฺ.๕๘๖ รูป.๖๐๐ วา คมขนหนรมาทีนมนฺโต] ๒. ใหม, ไมผานการใช วิ. ปริโภคํ น หนิตฺถ น คจฺฉิตฺถาติ อหตํ (ผาใดยังไมผานการใชสอย เหตุนั้น ผานั้น ชื่อวา อหต) วิ. ปริโภเคน น หนิตพฺพํ น หึสิตพฺพนฺติ วา อหตํ (อีกนัยหนึ่ง ผาไมเกาไป เพราะการใช เหตุนั้น ผานั้นชื่อวา อหต), [น + หน ธาตุ คติยํ ในความไป, หึสายํ วา หรือวาใน ความเบียดเบียน + ต ปจจัย, ลบ น] ปาฐะวา อนาหตํ ก็มี อหมหมิกา (อิตฺ.) ๑. ความหยิ่ง, ความ จองหอง, ความอหังการ, การถือตัววา เราแน จริง วิ. อหํ อคฺโค ภวามิ อหํ อคฺโค ภวามีติ อฺมฺํ อติกฺกมฺม โยธานํ สมคฺเค ธาวนํ (การ แลนไปในหมูทหารตะลุมบอนกันและกัน ดวย หึกเหิมวา เราแนจริง เราแนจริง), ตตฺร ตุ อหํ ปุพฺพิกา, อหํสทฺโท วิภตฺติปฏิรูปโก นิปาโต (ก็ใน บทนั้น อหํ เปนบทหนา, อหํ ศัพทเปนนิบาต มี รูปคลายลงวิภัตติ), [แปลงนิคหิตเปน ม, ลง ก สกัตถ, มีการเรียงซ้ำกัน เพราะมุงใหเปนวิจฉา คือคำซ้ำ + อิ อาคม] ๒. ถือตัว, สำคัญวาเรา จักไปกอน วิ. อหํ ปุพฺพํ คมิสฺสามิ, อหํ ปุพฺพํ คมิสฺสามีติ วา อหํ อุปหิสฺสามิ, อหํ อุปหิสฺ สามีติ วา อหมหมิกา (อีกนัยหนึ่ง ความสำคัญ วา เราจักไปกอน เราจักไปกอน วา เราจักบำรุง กอน เราจักบำรุงกอน ดังนี้ ชื่อวา อหมหมิกา), อิก ปจจัย ดวยสูตร นีติ. ๑๒๗๘. วา อหํ ปุพฺพนฺติ กฺริยายํ อิโก, บทนี้เปนอิตถีลิงค นัยเดียวกันเชน อโหปุริสิกา ลง ณิก ปจจัยหลัง ปุริส ศัพท ที่มี อโห ศัพทอยูหนา ในอรรถวา อหังการ (เราแน จริงๆ) อหห (นปุ.อพฺ.) อหหะ, จำนวนนับเทากับสิบ ลานนิรัพพทุะ (นปุ.) ๑. วิ. นิรพฺพุทสตสหสฺสานํ สตํ อหหํ, เอกา เลขา สตฺตติพินฺทุสหิตา อหหํ (รอยแหงแสนนิรัพพุทะ ชื่อวา อหห) ๒. อหหะ, สังขยาที่เปนไป วิ. อํหตีติ อหหํ (สังขยาใดยอม เปนไป เหตุนั้น สังขยานั้นชื่อวา อหห), [อํห ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ห ปจจัย, ลบนิคหิต] ๓. ลำบาก, นาสงสัย (อพฺ.) วิ. อีกประการหนึ่ง อหห ศัพทเปนนิบาต เขเท วิมฺหเย จ ในอรรถวา ลำบาก และนาสงสัย อหํการ (ปุ.) การถือตัว, การทะนงตัว, การ จองหอง, การสำคัญตน ๑. วิ. อหมิติ อตฺตานํ กโรติ เอเตนาติ อหํกาโร คพฺโพ (บุคคลยอมทำ ตนวา เรา ดวยอาการนั่น เหตุนั้น อาการนั้น ชื่อ วา อหํการ คือความจองหอง), [อหํ + กรธาตุ, ณ ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา] ปาฐะวา อหีกาโร มมํกาโร มมีกาโร ก็มี, ลง อี อาคม, ๒. การ สำคัญตน วิ. เอโสหมสฺมีติอาทินา อหํกรณํ อหงฺกาโร (การทำความสำคัญวาเปนเรา โดยนัย เปนตนวา นั้นเปนเรา ชื่อวา อหงฺการ) เอตํ มมาติ มมํกรณํ มมงฺกาโร (การทำความสำคัญวาเปน ของเรา โดยนัยวา นั่นเปนของเรา ดังนี้ ชื่อวา มมงฺการ)


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๗๓ อหาปย (ติ.) จักไมทำใหเสื่อม, จักไมยังให เสื่อม วิ. น หาเปสฺสตีติ อหาปยํ (ผูใดไมยังวงศ เปนตนใหเส่อืม เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อหาปย), [น + หา ธาตุ จาเค ในความสละ + อนฺต ปจจัยใช ในอรรถแหงอนาคต ธาตฺวตฺถสมฺพนฺธตฺตา เพราะเกี่ยวของกับความหมายของธาตุกาลของ ปจจัยจึงไมบงบอกตามที่ควรเปน + ณาปย ปจจัย] อหาริย (ติ.ปุ.) ภูเขา, ไมควรนำมา, ไมอาจเพื่อ อันนำมา, ไมสามารถนำมาได, ไมเคลื่อนที่, เคลื่อนที่ไมได วิ. เทสนฺตรํ เนตุมสกฺกุเณยฺยตาย อหาริโย (ภูเขา ชื่อวา อหาริย เพราะไมสามารถ นำมาที่อื่น) วิ. น หริตุํ สกฺกุเณยฺโยติ อหาริโย, ปพฺพโต (ภูเขาชื่อวา อหาริย เพราะอรรถวาไม สามารถนำมาได), [น + หร ธาตุหรเณ ในความ นำมา + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม, แปลง น เปน อ, ทีฆะ อ เปน อา] อหิ (ปุ.) งู ๑. สัตวที่เปนไปสูความฉิบหาย วิ. อนตฺถานิ หิโนติ ปวตฺตตีติ อหิ (สัตวใดยอม เปนไปสูความฉิบหาย เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อหิ), [น + หิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อิ ปจจัย] ๒. สัตวที่เลื้อยไป วิ. อํหติ คจฺฉตีติ อหิ (สัตวใดยอมเลื้อยไป เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อหิ), [อํห ธาตุ คมเน ในความไป, ธาตุนี้มีปรากฏใน ธาตุวัตถสังคหะ คาถาที่ ๑๗ วา อหิ คติยํ อหิ ธาตุ ในความไป, ลง อิ ปจจัย ดวยสูตร โมคฺ.๗/๘ วา ทธฺยาทโย, ลบนิคหิต] ๓. สัตวที่ไมมีเทาแต เลื้อยไปได วิ. นิปฺปาโท สมาโนป อํหติ คจฺฉติ คนฺตุํ สกฺโกตีติ อหิ(สัตวใดแมไมมเีทาก็สามารถ เลื้อยไปได เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อหิ), [อํห ธาตุ คมเน ในความไป + อิ ปจจัย] อหิ ศัพท เปน อิ การันตในปุงลิงค อหิจฺฉตฺต (นปุ.) เห็ด, ดอกเห็ด วิ. อหึ สปฺป ฉาเทตีติ อหิจฺฉตฺตํ, อหิจฺฉตฺตกํ วา (สิ่งใด ปดบังงู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อหิจฺฉตฺต หรือ อหิจฺฉตฺตก) เชน วินย.อ.๒/๓๒๒ วา อหิจฺฉตฺตกํ คณฺหนฺโต (ถือดอกเห็ด), [อหิ + ฉท ธาตุ สํวรเณ ในความ ปองกัน + ต ปจจัย แปลง ท เปน ต + ก สกัตถ]. อหิต (ปุ.) ศัตรู, ขาศึก, ผูไมไปสูความเจริญ วิ. หิโนติ วุทฺธึ คจฺฉตีติ หิโต (ผูใดไปสูความเจรญิ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา หิต-มิตร), [หิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ต ปจจัย] วิ. น หิโต อหิโต (ผูไมใช มิตร เหตุนั้นผูนั้นชื่อวา อหิต ไดแก ศัตรู), [แปลง น เปน อ] อหิตุณฺฑิก (ปุ.) ผูเลนกับจะงอยปากงู, หมองู วิ. อหิโน ตุณฺเฑน มุเขน ทิพฺพตีติ อหิตุณฺฑิโก วาฬคาหี (ผูใดยอมเลนจะงอยปากงู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อหิตุณฺฑิก คือหมองู), [ณิก ปจจัย ทิพฺพติตทฺธิเต ใชในอรรถวาเลน] อหิริก (ติ.ปุ.) ๑. วิ. บุคคลผูไมละอาย (ติ.), อหิริก, การไมละอาย (ปุ.) วิ. น หิรียติ น ลชฺชตีติ อหิริโก, ปุคฺคโล ธมฺมสมูโห วา (สภาวะใดยอมไม ละอาย เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา อหิริก ไดแก บุคคลผูไมละอาย, หรือประชุมแหงธรรมที่ไม ละอาย), [น + หิริ ธาตุ ลชฺชาย ในความละอาย + ณฺวุ ปจจัย แปลง ณฺวุ เปน อก, ลบ อ ดวย สูตร กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน] ลบที่สุดธาตุ ๒. ความเปนแหงบุคคลผูไม ละอาย (นปุ.) วิ. อหิริกสฺส ภาโว อหิริกฺกํ, ตเทว อหิริกํ, ตํ กายทุจฺจริตาทีหิ อชิคุจฺฉนลกฺขณํ, อลชฺชาลกฺขณํ วา (ความเปนแหงบุคคลผูไม ละอาย ชื่อวา อหิริกฺก,อหิริกฺก นั้นน่ันเองชื่อวา อหิริก, อหิริกฺก นั้น มีความไมรังเกียจกายทุจริต เปนตนเปนลักษณะ หรือมีความไมละอายเปน


๒๗๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ลักษณะ), [ณฺย ปจจัย ใชในภาวตัทธิต], ลบ ก อักษร ๑ ตัว ดวยสูตร กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน] วิ. อหิริกสฺส ภาโว อหิริกํ (ความเปนแหงบุคคลผูไมละอาย ชื่อวา อหิริก) ลบภาวะที่ทายสมาส หรือ ลบปจจัยในตัทธิต ดวยสูตร โมคฺ.๑/๓๙ วา โลโป อหิวาตกโรค (ปุ.) อหิวาตโรค, โรคอันเปนไป ดวยลมเชนกับพิษงู วิ. อหิวิสสทิเสน วาเตน ปวตฺโต โรโค อหิวาตกโรโค (โรคอันเปนไปดวย ลมเชนกับพิษงู ชื่อวา อหิวาตกโรค), มารพฺยาธีติ อตฺโถ (หมายถึง การเจ็บปวยเปนมารตัดรอน) ปาฐะวา อหิวาตโรโค, ลบ ปวตฺต กลางสมาส อหึสา (อิตฺ) การไมเบียดเบียน วิ. หึสิยเต หึสนํ วา หึสา อหึสนภาโว (อันเขาเบียดเบียน หรือ การเบียดเบียน ชื่อวา หึสา), [หึส ธาตุ หึสายํ ใน ความเบียดเบียน + อ ปจจัย + อา ปจจัยใน อิตถีลิงค] วิ. น หึสา อหึสา (การเบียดเบียนหา มิได ชื่อวา อหึสา), นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส. อหึสา สพฺพปาณานนฺติ อิทฺจ ปุลฺลิงฺคํ วิย ทิสฺสติ อหึสาติ อหึสเนนาติ ปโยคทสฺสนโต (สวน ในขอวา อหึสา สพฺพปาณานํ ปรากฏคลาย ปุงลิงค เพราะปรากฏตัวอยางวา บทวา อหึสา หมายถึง อหึสเนน-เพราะไมเบียดเบียน) อหึสารตินี (อิตฺ.) หญิงผูมีความยินดีในความไม เบียดเบียน วิ. อหึสาย รติ ยสฺส สา อหึสารตินี (ความยินดีในความไมเบียดเบียนของหญิงใด มีอยู เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา อหึสารตินี), อฺปทตฺถสมาเส ติปจฺจยนฺตมฺหา อิตฺถิยํ นี โหติ (ในที่สมาสกับบทอื่น ลง นี ปจจัยในอิตถี ลิงค ตอจากศัพทที่มี ติ ปจจัยเปนที่สุด) นัย เดียวกัน เชน มุสฺสตินี, สมฺมาทิินี, อตฺตคุตฺตินี อเหตุก (ติ.) ไมมีเหตุ วิ. นาสฺส เหตุ อตฺถีติ อเหตุกํ, สมฺปยุตฺตสฺส อโลภาทิเหตุโน อภาวา อเหตุกํ, สพฺพมฺป รูป เหตุสมฺปโยคาภาวโต อเหตุกเมว, อโลภาทิเหตุวิรหิตํ วา อารสวิธํ อเหตุกจิตฺตํ. (เหตุแหงรูปเปนตนนั้น มีอยู หา มิได เหตุนั้น รูปเปนตนนั้นชื่อวา อเหตุก, รูป เปนตนชื่อวา อเหตุก เพราะไมมีอโลภเหตุเปน ตน ที่เปนสัมปยุตธรรม, รูปแมทั้งหมด ชื่อวา อเหตุกนั่นเอง เพราะไมมีการประกอบดวยเหตุ, อีกอยางหนึ่ง อเหตุกจิต ๑๘ เวนจากอโลภเหตุ เปนตน) อโหรตฺต (ปุ.) วันและคืน วิ. อโห จ รตฺติ จ อโหรตฺโต อโหรตฺตํ อโหรตฺตา วา. (คืนและวัน ชื่อวา อโหรตฺโต อโหรตฺตํ หรือ อโหรตฺตา), แปลง อิ เปน อ ดวยสูตร กจฺ.๓๓๗ รูป.๓๕๐ วา กฺวจิ สมาสนฺต เปนตน ปาฐะวา อโหรตฺติ ก็มี เชน อถ สพฺพมโหรตฺตึ ขุ.ธ.๒๕/๓๖/๕๖ (สวน ตลอดวันและคืน) นัยเดียวกันเชน ทีฆรตฺตํ, อฑฺฒรตฺตํ, ปุพฺพรตฺตํ อฬ (ปุ.) นิ้วมือ, นิ้วเทา, หาง, อุงเทา วิ. อฬตีติ อโฬ (อวัยวะใดยอมไป เหตุนั้น อวัยวะนั้นชื่อวา อฬ), [อฬ ธาตุ อุคฺคเม ในความพุงไป + อ ปจจัย], อฬ ศัพท องฺคุวาจโก ใชใน ความหมายวานิ้ว เชนในคำวา อฬจฺฉินฺโน (ผูถูก ตัดนิ้ว), นงฺคุวาจโก ใชในความหมายวาหาง เชน วิจฺฉิกาิกา (รองเทาที่ทำประกอบหูมี สัณฐานดังหางแมลงปอง) อฬกฺก (ปุ.) สุนัขบา วิ. อฬติ นิวาเรตีติ อฬกฺโก อลกฺโก (สุนัขใดยังบุคคลใหเฝาระวัง เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อฬกฺก, อลกฺก) อุมฺมตฺตาทิภาว มาปนฺโน สุนโข, ลฬานมวิเสโส ไดแกสุนัขที่ถึง ความเปนบาเปนตน, อักษร ล และ ฬ ใชไม


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๗๕ ตางกัน, [อฬ อล ธาตุ นิวารเณ ในความเฝา ระวัง + ณฺวุ ปจจัย] ๒. ตนรัก, ตนรักแดง, ตนขอนดอก, รักดอกขาว, ดอกไมประดับ วิ. เสตปุปฺผตาย อลํภูโต อกฺโก อฬกฺโก ปตาปโส (ตนรักที่เปนเครื่องประดับชื่อวา อกฺก เพราะมี ดอกบานสีขาว ไดแกตนรัก), [อลํ + อกฺก] อฬาร (ติ.) ๑. คด, โคง, โกง, งอ, บิด วิ. อลติ ยาติ พนฺธตีติ อฬารํ เวลฺลิตํ (สิ่งใดยอมพันไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฬาร ไดแกมวน), [อล ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อาร ปจจัย, แปลง ล เปน ฬ] ๒. คดงอ, กวางขวาง, ไพศาล วิ. ทีฆตฺตํ อลติ พนฺธตีติ อฬาโร วงฺโก วิสาโล จ (สิ่งใด ยอมผูกความยาวไว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฬาร ไดแก คดงอ หรือกวางขวาง), [อล ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อาร ปจจัย ดวยสูตร โมค.๗/ ๑๖๔ วา สิงฺคฺยงฺคาคมชฺชกลาลา อาโร] ๓. คดงอ วิ. อลติ กุฏิลํ คจฺฉตีติ อฬารํ กุฏิลํ (สิ่ง ใดยอมคด คือไปคด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อฬาร คือโกง), [อล ธาตุ คมเน ในความไป + อาร ปจจัย] อํส (ปุ.นปุ.) ๑. สวน, แนว, บา, ไหล วิ. อนติ ชีวติ เอเตนาติ อํโส โกาโส ภุชสิโร จ (บุคคล ยอมมีชีวิตเปนไปไดดวยสิ่งนนั้เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อํส ไดแก สวน และบา), [อน ธาตุ ปาณเน ในความมีชีวิต + ส ปจจัย ดวยสูตร โมค. ๗/ ๒๑๓ วา สสาสวสวิสหนวนมนานกมา โส, แปลง น เปนนิคหิต] วิ. อนติ ชีวตีติ อํโส (บุคคลยอมมี ชีวิตเปนไปไดดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อํส), [อน ธาตุ ปาณเน ในความมีชีวิต + อส] ๒. สวน วิ. อมติ คจฺฉตีติ อํโส, ภาโค ขนฺโธ จ (สิ่งใดยอมไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวาอํส ไดแกสวน หรือกอง), [อม ธาตุ คมเน ในความไป + ส ปจจัย, แปลงที่สุดธาตุเปนนิคหิต] ๓. สวน วิ. อํเสตีติ อํโส (สิ่งใดยอมยังใหรวมกัน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อํส), [อํส ธาตุ สงฺฆาเต ในการ กระทบ + อ ปจจัย], อํส ศัพท ใชในปุงลิงคและ นปุงสกลิงค อํสพทฺธก (ปุ.) สายสะพาย, สายโยก, สายโยค วิ. อํเส พทฺธติ อเนนาติ อํสพทฺธโก (บุคคล สะพายบาดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อํสพทฺธก) วิ. อํเส วา พทฺธิยติ อเนนาติ อํสพทฺโธ, อํสวทฺโธ วา, โสเยว อํสพทฺธโก (บาตรเปนตน อันเขาสะพายบาดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อํสพทฺธ หรือ อํสวทฺธ, อํสพทฺธ นั่นเอง ชื่อวา อํสพทฺธก), [อํส + พทฺธสํหริเส ในความสะพาย + ณ ปจจัย + ก สกัตถ] อํสา (อิตฺ.) โรคเริม, โรคริดสีดวง วิ. อํสยตีติ อํสา อริสโรโค, ยํ โลเก เริมอิติ โวหรนฺติ (โรคใด อันเขายอมลำบาก เหตุนั้น โรคนั้นชื่อวา อํสา ไดแก โรคริดสีดวง, ซึ่งในโลกเขาเรียกกันวา โรค เริม), [อํส ธาตุ สงฺฆาเต ในการกระทบ + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อํสิ (อิตฺ.) สวน, บา, ไหล วิ. อํสียเต สํหนฺยเต เอตายาติ อํสิ อํสี (วัตถุอันเขาแบกดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อํสิ, อํสี), [อํส ธาตุ สงฺฆาเต ในความกระทบ + อิ ปจจัย], ศัพทนี้เปนอิตถี ลิงค อํสิก (ติ.) คนแบกของ, คนนำของไปดวยบา วิ. อํเสน วหตีติ อํสิโก (ผูใดยอมนำไป ดวยบา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อํสิก), [ณิก ปจจัย แทน วหติ] นัยเดียวกัน ขนฺธิโก, หตฺถิโก, องฺคุลิโก, สีสิโก อํสุ (ปุ.อิตฺ) ๑. แสงสวาง, รัศมี วิ. ทิสํ อมติ คจฺฉตีติ อํสุ ปภา (ธรรมชาติใด ยอมสองไปสูทิศ


๒๗๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อํสุ), ศัพทนี้เปน ปุงลิงคและอิตถีลิงค, [อม ธาตุ คมเน ในความ ไป + อุ ปจจัย + ส อาคม + แปลง ม เปน นิคหิต] ๒. แสงสวาง, แสงที่สองไปสูทิศ, ดาน วิ. อสติ คจฺฉติ ทิสนฺตนฺติ อํสุ (ธรรมชาติใด ยอม สองไปถึงที่สุดทิศ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อํสุ), [อส ธาตุ คมเน ในความไป + อุ + นิคหิต อาคม], กตฺถจิ อํสุสทฺโท วตฺถาทีนํ โลเม วตฺตติ, ยถา ตสฺส สุตฺตสฺส อํสูติ [บางแหง อํสุ ศัพท ยอม เปนไปในอรรถวาคน แหงผาเปนตน เชน ตสฺส สุตฺตสฺส อํสุ ใยแหงดายนั้น] อํสุก (ปุ.นปุ.) ๑. ผา, วัตถุเปนเครื่องไปขางนอก วิ. พหิ อมติ คจฺฉติ เอเตนาติ อํสุโก อํสุกํ วตฺถํ (บุคคลยอมไปภายนอก ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่ง นั้น ชื่อวา อํสุก คือผา), [อม ธาตุ คมเน ในความ ไป + ณฺวุ ปจจัย + ส อาคม, แปลง ม เปน นิคหิต, แปลง อ เปน อุ] ๒. ขอ, สิ่งที่ใชสับหรือ เกี่ยว วิ. อํสติ คจฺฉตีติ อํสุโก องฺกุโส (อาวุธใด ยอมไป เหตุนั้น อาวุธนั้นชื่อวา อํกุส, องฺกุส), [อส ธาตุคมเน ในความไป + ณุก ปจจัย, นิคหติ อาคม] อํสุมาลี (ปุ.) พระอาทิตย วิ. อํสุโน มาลา อํสุมาลา, สา ยสฺส อตฺถีติ อํสุมาลี อาทิจฺโจ (ระเบียบแหงแสง ชื่อวา อํสุมาลา, ระเบียบแหง แสงนั้น ของสิ่งใดมีอยู เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อํสุมาลี คือพระอาทิตย) เชน ชินอํสุมาลึ, [อี ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต] การจำแนกธาตุและปจจัยแหงบททมี่ีอ อักษรเปนเบื้องตน จบเทานี้


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๗๗ อักษรยอ กิ.กิตฺ. กิริยาอาขยาต กิ.อา. กิริยากิตก กิ.วิ. กิริยาวิเสสน อพฺ. อัพยยศัพท ปุ. ปุงลิงค อิตฺ. อิตฺถีลิงค นปุ. นปุงสกลิงค ติ. คุณนาม, วิเสสน, ๓ ลิงควิ. วิเคราะหวา กจฺ. กจฺจายน สูตรที่ รูป. ปทรูปสิทฺธิ สูตรที่ โมคฺ. โมคฺคลฺลาน สูตรที่ นิรุตฺติ นิรุตฺตทีปนีนีติ. สทฺทนีติสุต ตฺม า ล า ส ต ู ร ที่ ปทมาลา. สัททนีติ ปทมาลา ธาตุมาลา.สัททนีติธาตมุาลา


๒๗๘ จ ฬ ู ธ า ตุ ปัจ จ ย โ ช ต ก ิ า บันทึก วาจฺจลิงฺค = วิเสสน


Click to View FlipBook Version