The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattarat Juntien, 2023-03-01 03:08:39

จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร (พจนานุกรม บาลี-ไ

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Keywords: ธรรม

พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๔๙ อนุสฺวรอนุสฺวาร อิ, ๒. การระลึกถึง (ปุ.) วิ. อนุสฺสรณํ อนุสฺสโร (การระลึกถึง ชื่อวา อนุสฺสร), [อนุ + สร ธาตุ จินฺตายํ ในความคิด + อ ปจจัย, ซอน สฺ] อนุสฺสาห (ปุ.) ไมมีความอุสสาหะ, ความไม อุสสาหะ, ความยอหยอน, คราน วิ. นตฺถิ อุสฺสาโห อิมสฺสาติ อนุสฺสาโห, ถินํ (ความ อุสสาหะ ของธรรมชาตินี้ ไมมี เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อนุสฺสาห คือความคราน), นัยนี้เปน นปุพพบทพหุพพิหิสมาส, หรือ สำเร็จรูปเปน อนุสฺสาหนํ ลง ยุ ปจจัยในภาวะ สาธนะ, สวนการแยกธาตุปจจัย ไดกลาวไวดวย อุสฺสาห ศัพท บัณฑิตพึงคนดูที่ศัพทนั้นเถิด อนุสาร (ปุ.) ไปตาม วิ. อนุสฺสรณํ อนุคมนํ อนุสาโร (การไปตาม ชื่อวา อนุสาร), [อนุ + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + ณ ปจจัย และพฤทธิ์ อ เปน อา], นัยเดียวกัน เชน อนุสฺสโร ลง อ ปจจัย อนุสาวนา (อิตฺ.) คำสวดประกาศตอจากญัตติ วิ. ตฺติโต อนุ ปจฺฉา สาเวตพฺพาติ อนุสาวนา (การสวดประกาศใหทราบตอหรือหลังจากญัตติ) ปุนปฺปุนํ วา ติกฺขตฺตุํ สาเวตพฺพาติ อนุสาวนา (ขอตกลงหรือความปรึกษาอันทานสวดประกาศ ใหทราบซ้ำอีก คือสวด ๓ ครั้ง เหตุนั้น จึงชื่อวา อนุสาวนา), [อนุ + สุ ธาตุ สวเน ในความฟง + เณ ปจจัยในอรรถการิตกรรม (ให) + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อุ เปน อาว], วิ. เภทานุรูปสฺส สาวนํ อนุสฺสาวนํ. เภทานุรูเปน สาวนํอนุสฺสาวนํ (อนุสสาวนะ คือ การสวดถอยคำที่ควรทำใหแตกแยก, อนุสาวนะ คือ การสวดดวยถอยคำที่ควรทำใหแตกแยก), เนตฺติปกรณฏีกา, หนา ๒๖๕ อนุสาวิตํ (ติ.) การสวดประกาศใหทราบ, แจง ใหทราบ, ใหไดยิน, สวดประกาศเพื่อถามให ตรวจสอบ วิ. อนุสาวิยตีติอนุสาวิตํ (เรื่องใดอัน ทานสวดใหไดยิน เหตุนั้น เรื่องนั้น ชื่อวา อนุสาวิต), [อนุ + สุ ธาตุ ปุจฺฉเน ในความถาม + เณ ปจจัย การิตตฺเถ ในอรรถการิต (ให) + ต ปจจัย + อิ อาคม, แปลง อุ เปน อาว], นัย เดียวกันเชน อนุสาวิยมาโน, อนุสาเวตฺวา เปนตน บทแรกลง มาน ปจจัย สวนบทหลังลง ตฺวา ปจจัย อนุสาสน (นปุ.) อนุศาสน, คำพร่ำสอน, การ แนะนำสั่งสอน วิ. อนุสาสิยเต อนุสาสนํ (คำอัน ทานพร่ำสอน ชื่อวา อนุสาสนํ), [อนุ + สาส ธาตุ อนุสิิมฺหิ ในความพร่ำสอน + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน], อนุสาสิตุํ ก็นัยนี้ ตุํ ปจจัยใน ภาวะสาธนะหรือสัมปทานสาธนะ, อิ อาคม อนุสาสนี (อิตฺ.) คำสั่งสอน, คำแนะนำพร่ำ สอน, คำเปนเครื่องพร่ำสั่งสอน วิ. อนุสาสนฺติ เอตายาติ อนุสาสนี (อาจารยเปนตนยอมพร่ำ สอน ดวยวาจานั้น เหตุนั้นวาจานั้น ชื่อวา อนุสาสนี), [อนุ + สาส ธาตุ อนุสาสเน ในความ พร่ำสอน + ยุ ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค], คำสอนที่บอกกลาวในเมื่อเหตุเกิดขึ้นแลว เรียกวา อนุสาสนี, ในแนวพระอภิธรรมวา อนุสาสนี คือเทสนาญาณ อนุสาสิย (กิ.กิตฺ.,ติ.) ๑. สั่งสอนแลว (กิ.กิตฺ.) วิ. อนุสาสิตฺวา อนุสาสิย (สั่งสอนแลว ชื่อวา อนุสาสิย), [อนุ + สาส ธาตุ สาสเน ในความ สั่งสอน + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย + อิ อาคม] ๒. ผูอันเขาพึงโอวาทอนุศาสน (ติ.) วิ. อนุสาสิตพฺโพ โอวทิตพฺโพ อนุสาสิโย [อนุ +


๑๕๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา สาส ธาตุ อนุสิิมฺหิ ในความพร่ำสอน + ณฺย ปจจัย + ลบ ณฺ + อิ อาคม] อนุสิกฺขนฺต (ติ.) ศึกษาตามอยู, ตามสำเหนียก, ทบทวน วิ. อนุสิกฺขตีติ อนุสิกฺขนฺโต (ผูใดตาม ศึกษาอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อนุสิกฺขนฺต), [อนุ + สิกฺข ธาตุ วิชฺโชปาทาเน ในการศึกษาให สำเร็จวิทยาการ + อ ปจจัย + อนฺต ปจจัย] อนุสิฏฺ (ติ.) ผูอันเขาสั่งสอนแลว, แนะนำแลว, ตักเตือนแลว, คำสั่งสอน วิ. อนุสาสียิตฺถาติ อนุสิโ (ผูใดอันเขาสั่งสอนแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนุสิ), [อนุ + สาส ธาตุ อนุสิิมฺหิ ใน ความพร่ำสอน + ต ปจจัย แปลง ต เปน ริ กจฺ.๕๗๒ รูป.๖๒๕ วา สาสทิสโต ตสฺส ริโ จ, ลบ ร กจฺ.๕๓๙ รูป.๕๕๘ วา รมฺหิ รนฺโต ราทิโน] วิ. อนุสาสียตีติ อนุสิโ (ผูใดอันเขาสั่งสอน แลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ถูกสั่งสอนแลว), [อนุ + สาส ธาตุ อนุสิิมฺหิ ในการพร่ำสอน + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ถ, แปลง อา เปน อิ, แปลง ส เปน ถ, สังโยคพยัญชนะที่ ๑ คือ  ในขอนี้มี อุทาหรณ เชน อนุสิโ โส มยา (เขาอัน ขาพเจาสั่งสอนแลว), แปลง ตฺถ เปน  อนุสิฏฺิ (อิตฺ.) คำสั่งสอน, การพร่ำสอน วิ. อนุสาสนํ อนุสิิ (การพร่ำสอน ชื่อวา อนุสิิ) เชน อนุสิิกรานนฺติ อนุสาสนีกรานนฺติ (ขอวา อนุสิิกรานํ คือผูทำการพร่ำสอน), [อนุ + สาส ธาตุ อนุสิิมฺหิ, ในความพร่ำสอน + ติ ปจจัย], แปลง ติ เปน ริิ ดวย จ ศัพทแหง สูตร กจฺ.๕๗๒ รูป.๖๒๕ วา สาสทิสโต ตสฺส ริโ จ, ลบ ร กจฺ.๕๓๙ รูป.๕๕๘ วา รมฺหิ รนฺโต ราทิโน] อนุโสจน (นปุ.) ความเศราโศก, ความรำพึงถึง วิ. อนุสุจฺจเตติ อนุโสจนํ (อันเขาเศราโศก เหตุนั้น ชื่อวา อนุโสจนํ), [อนุ + สุจ ธาตุ โสเก ในความโศก + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน, วิการ อุ เปน โอ] อนุสฺสว (ปุ.) การไดยินเลาลือกันมา, การฟง สืบกันมา วิ. อนุสฺสวนํ อนุสฺสโว. อนุกฺกเมน ปุนปฺปุนํ วา สวนํ อนุสฺสโว, ปรมฺปรสวนํ, (การ ไดยินมา ชื่อวา อนุสฺสว. อีกนัยหนึ่ง การฟงสืบ กันมาตามลำดับ ชื่อวา อนุสฺสว คือการฟงสบืตอ กันมา), [อนุ + สุ ธาตุ สวเน ในการฟง + อ ปจจัย หรือในบางแหงวาลง ณ ปจจัย, แปลง อุ เปน อว], ปาฐะวา อนุสฺสวี ก็มี ลง อี ปจจัย ตทัสสัตถิตัทธิต อนุหาร (ปุ.) การนำไปโดยสมควร, การนำไป ตามลำดับ วิ. อนุกฺกเมน หรณํ อนุหาโร (การ นำไปโดยลำดับ ชื่อวา อนุหาร), [อนุ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา, ลบ ณ อนุพันธ] อนูนก (ติ.) ไมบกพรอง, ไมมีความบกพรอง วิ. น อูนมสฺมินฺติ อนูนกํ (ความบกพรองในที่นั้น ไมมี เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา ไมมีความบกพรอง), บทนี้เปนนปุพพบทพหุพพิหิสมาส [น + อูน ธาตุ ปริหาเน ในความบกพรอง + ก สกัตถ] อนูป (ปุ.) รักแร, ที่ขังน้ำได วิ. อนุคตา อาปา เอตฺถาติ อนูโป กจฺโฉ (น้ำขังอยูในที่ใด เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อนูป ไดแก รักแร), [อนุ + อาป ธาตุ ปคฺฆรเณ ในความไหลออก + อ ปจจัย, ลบสระ หลัง คือ สระ อา กจฺ.๑๓ รูป.๑๕ วา วา ปโร อสรูปา, ทีฆะ อุ เปน อู] อนูโป พหูทกเทโส (อนูป คือที่มีน้ำมาก) อเนก (ติ.) ๑. ไมใชหน่ึง วิ. น เอโกติ อเนกา อเนเก วา (บุรุษเปนตน มิใชหนึ่ง เหตุนั้น บุรุษ เปนตนนั้นชื่อวา มิใชหนึ่ง), บทนี้เปน นปุพฺพปท


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๕๑ กมฺมธารยสมาส, เพราะอำนาจสระหลัง แปลง น เปน อนฺ ดวยสูตร กจฺ.๓๓๔ รูป.๓๔๕ วา สเร อนฺ. อิธ หิ เอกสทฺโท สงฺขฺยาวาจโกป สมาสตฺตา พหุวจนนฺโต โหติ (ความจริง เอก ศัพทในที่นี้ แมเปนสังขยา เพราะเปนบทสมาส ก็ยอมเปน พหุวจนันตะ มีพหุวจนะเปนที่สุด) ๒. มีจำนวน ไมใชหนึ่ง, จำนวนมาก วิ. น เอโก ยสฺส โส อเนโก, สทฺโท (จำนวนไมใชหนึ่ง ของเสียงใด มีอยู เหตุนั้น เสียงนั้น ชื่อวา อเนก), บทนี้ จัดเปน นปุพฺพปโท พหุพฺพีหิสมาส. ปาฐะวา เนโก เนกา ก็มีบาง ลบ อ ดวยสูตร กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ วาเตสุ วุทฺธิ เปนตน เหมือนการลบ อิ ในคำวา อิทานิ เปน ทานิ, แตเมื่อ เอก ศัพทเปน สังขยา คงเปนเอกวจนันตะ คือเปนเอกวจนะ เทานั้น, พึงเทียบ เอก ศัพท ขางหนา อเนลคลา (อิตฺ.) วาจาไมไหลไปสูโทษ วิ. เอลํ วุจฺจติ โทโส, น เอลํ โทสํ คเลตีติ อเนลคลา, อวิรุชฺฌนวาจา (โทษทานเรียกวา เอล, วาจาใด ไมไหลไปสูโทษนั้น เหตุนั้น วาจานั้นชื่อวา อเนลคลา คือ วาจาที่ไมผิด), [น + เอล + คล ธาตุ จวเน ในความเคลื่อน หรือ อทเน ในความ กิน + อ + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] (วินย.๕/๒/ ๓๓, สารตฺถ.ฏี.๔/๒๔๘) อเนสนา (อิตฺ.) การแสวงหาไมสมควร วิ. น ยุตฺตา เอสนา อเนสนา (การแสวงหาไมควรแลว ชื่อวา อเนสนา), บทนี้เปน นปุพพบทกัมมธารย สมาส, ในเพราะสระแปลง น เปน อนฺ บทวา อนุปาโย, อโนกาโส เปนตน ก็นัยนี้ อโนกาสํกาเรตฺวา (กิ.กิตฺ.) ไมใหกระทำ โอกาส วิ. โอกาสํ น กาเรสีติ อโนกาสํกาเรตฺวา (เขาไมใหกระทำแลวซึ่งโอกาส เหตุนั้น ชื่อวา อโนกาสํกาเรตฺวา), [โอกาสํ + น + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + เณ ปจจัย การิเต ใน อรรถการิต (ให) + ตฺวา ปจจัย] อนิมิตฺตํกตฺวา เปนตน ก็นัยนี้(วินย.อ.๒/๑๐๖, วินย.โยชนา.๑/ ๔๗๖) อโนจฺฉิชฺชิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ไมขาดลง วิ. น โอจฺฉิชฺชิตฺวา อโนจฺฉิชฺชิตฺวา (อโนจฺฉิชฺชิตฺวา แปลวา ไมขาดลงแลว), [น + อว + ฉิทิ ธาตุ ทฺวิธากรเณ ในการตัด + ย ปจจัย + ตฺวา ปจจัย อาเทศ ทฺย เปน ชฺช, อาเทศ โอ เปน อว ดวย สูตร กจฺ.๕๐ รูป.๔๕ วา โอ อวสฺส, ซอน จฺ] อโนตตฺต (ปุ.) สระอโนดาต, สระที่มีน้ำไม เหือดแหง วิ. สูริยรํสิสมฺผุาภาเวน อุทกํ น อวตปฺปติ เอตฺถาติ อโนตตฺโต (น้ำในสระนั้น ไมอุน เพราะไมถูกแสงพระอาทิตยถูกตอง เหตุนั้น สระนั้น ชื่อวา อโนตตฺต), [น -อว + ตป ธาตุ+ ต ปจจัย], สวนในอัตถโยชนาอัฏฐสาลินี วา สุริยรํสิสมฺผุาภาเวน นตฺถิ อวตตฺตํ อุทกํ เอตฺถาติ อโนตตฺโตติ. (น้ำอุน ไมมีในสระนั้น เพราะแสงพระอาทิตยสองไมถึง เหตุนั้น สระ นั้นชื่อวา อโนตตฺต), ในอรรถกถาอปทาน (อป.อ. ๒/๒๔๗) แสดงความหมายไววา ปพฺพต-กูเฏหิ ปฏิจฺฉนฺนตฺตา จนฺทิมสูริยานํ สนฺตาเปหิ โอตตฺตํ อุณฺหํ อุทกํ เอตฺถ นตฺถิ (ที่สระอโนดาตนั้น ไมมี น้ำอุน เพราะความรอนของพระจันทรและพระ อาทิตย เพราะถูกยอดเขาบังไว) อโนตฺตปฺป (นปุ.) ความไมเกรงกลัวตอความชั่ว วิ. กายทุจฺจริตาทีหิ ปาเปหิ น โอตฺตปฺปตีติ อโนตฺตปฺป (ภาวะใดไมเกรงกลัวตอบาปมีกาย ทุจริตเปนตน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อโนตตปฺป), ตํ กายทุจฺจริตาทีหิ อสารชฺชลกฺขณํ, อนุตฺตาสลกฺขณํ วา (อโนตตัปปะ นั้น มีความไม พรั่นแตทุจริตทั้งหลายเปนลักษณะ หรือวามี


๑๕๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ความไมสะดุงแตทุจริตทั้งหลายนั้นเปน ลักษณะ), [น + อว + ตป ธาตุ อุพฺเพเค ในความ กลัว + อ ปจจัย, ซอน ตฺ เปนตน] อโนทิสฺสก (กิ.กิตฺ.) ไมจำกัด, ไมเจาะจง วิ. น โอทิสฺสโก อโนทิสฺสโก, อนุทฺทิสฺสโก วา, โอปาโต (หลุมอันเขาไมไดขุดเจาะจงไว ชื่อวา อโนทิสฺสก หรือ อนุทฺทิสฺสก), [น + อว + อุ + ทิส ธาตุ อติสชฺชเน ในการจัดแจง + ณฺวุ ปจจัย, แปลง น เปน อนฺ, อาเทศ โอ เปน อว ดวยสูตร กจฺ.๕๐ รูป.๔๕ วา โอ อวสฺส, อาเทส ทิส เปน ทิสฺส และ แปลง ณฺวุ เปน อก อโนโลเกตฺวา (กิ.กิตฺ.) ไมแลดูแลว วิ. น โอโลเกตฺวา อโนโลเกตฺวา (อโนโลเกตฺวา แปลวา ไมแลดูแลว) นปุพฺพปโท กมฺมธารยสมาส, [อว + โลก ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + เณ ปจจัยใน หมวด จุร ธาตุ + ตฺวา ปจจัย, อาเทศ โอ เปน อว ดวยสูตร กจฺ.๕๐รูป.๔๕ วา โอ อวสฺส] อโนวสฺสก (นปุ.) ที่อันฝนไมตกรด, ที่ไมเปยก ฝน, ชายคา วิ. น โอวสฺสียตีติ อโนวสฺสกํ, น เตมียตีติ อตฺโถ (ที่ใดอันฝนไมตกรด เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อโนวสฺสก หมายความวา ไมเปยก ฝน), [น + อว + วสฺส ธาตุ เสจเน ในความราด รด + ณฺวุ หรือ อก ปจจัยในกัมมวาจก, บทนี้ จัดเปนวิเคราะหนบุพพบทสมาส มีวิเคราะห กิตกเปนทอง, อาเทศ โอ เปน อว ดวยสูตร กจฺ. ๕๐รูป.๔๕ วา โอ อวสฺส] นัยเดียวกันเชน อโนวสฺสนํ บทนี้ลง ยุ ปจจัย อโนสกฺกิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ไมทอถอยแลว, ไมทอแทแลว วิ. โอสกฺกีติ โอสกฺกิตฺวา (ผูใด ทอถอยแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา โอสกฺกิตฺวาทอถอยแลว), [อว + สกฺก ธาตุ คติยํ ในความไป + ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม, อาเทศ โอ เปน อว ดวยสูตร กจฺ.๕๐รูป.๔๕ วา โอ อวสฺส วิ. น โอสกฺกิตฺวา อโนสกฺกิตฺวา (ไมทอถอยแลว ชื่อวา อโนสกฺกิตฺวา), เพราะสระอยูหลัง แปลง น เปน อนฺ ดวยสูตร กจฺ.๓๓๔ รูป.๓๔๕ วา สเร อนฺ, จัดเปน นปุพฺพปโท กมฺมธารยสมาส อโนสชฺชิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ไมปลอยออกแลว, ไมสงออก, ไมถอยไปแลว, ไมสละทิ้งแลว วิ. น โอสชฺชิตฺวา อโนสชฺชิตฺวา (ไมสละทิ้งแลว ชื่อวา อโนสชฺชิตฺวา), [น + อว + สชฺช ธาตุ สชฺชเน ในความจัดแจง + ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม] อปกต (ติ.) กระทำใหปราศจาก, ถูกครอบงำ, ถูกเบียดเบียน วิ. อปกรียิตฺถาติ อปกโต (ผูใดอัน เขากระทำใหไปปราศแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อปกต), [อป ธาตุ + กร ธาตุ กรเณ ใน ความกระทำ + ต ปจจัย, ลบ ร] สวนคัมภีร ปรมตฺถมฺชูสา อธิบายวา อิจฺฉาปกโตติ อิจฺฉาย อปกโต อุปทฺทุโต อภิภูโต วาติ จ (บทวา อิจฺฉาปกโต ความวา ผูอันความอยากย่ำยี่แลว ประทุษรายแลว หรือครอบงำแลว), อิจฺฉาย อปกตสฺสาติ ปาปกาย อิจฺฉาย สมฺมาอาชีวโต อเปโต กโตติ อปกโตติ จ (อิจฺฉาย อปกตสฺส ความวา ชื่อวา อันความอยากครอบงำ เพราะ อรรถวา อันความปรารถนาอันลามก กระทำให ไปปราศจากสัมมาอาชีพ) อปกรณ (นปุ.) เหตุ, ทางเปนเหตุใหกระทำผล วิ.อปกรียติ เอเตนาติ อปกรณํ (ผลอันเขา กระทำดวยสิ่งนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปกรณํ ไดแก ปท คือเหตุ), คำวา ปทํ, อปกรณํ ปกรณํ การณํ วาโดยใจความ มีความหมายเดียวกัน, [อป + กร ธาตุ ในความทำ + ยุ ปจจัย อาเทศ เปน อน แปลง น เปน ณ]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๕๓ อปกสฺส (กิ.กิตฺ.) ดึง, ลากออกแลว, ทอถอยแลว, หลีกไปแลว, ไปปราศแลว วิ. อปกสฺสิตฺถาติ อปกสฺส อปเนตฺวา (อปกสฺส แปลวา ลากออก แลว ไดแก นำออกแลว), [อป + กส ธาตุ กฑฺฒเน ในการลากออก + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลงยเปน ส(ยสฺส ปุพฺพรูปตตฺ ) ํ อปการ (ปุ.) ความผิด, โทษ, การทําราย, การ ทำผิดรูป, ผูทำเสียหาย, พิการ, นาเกลียด, การดูถูก, อกุศล, ความเสื่อม วิ. อปกโรตีติ อปกาโร, วิปฺปกาโร อนุปกาโรติ อตฺโถ (สิ่งใด ยอมทำใหไปปราศ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปการ หมายความวา การกระทำประการอันแปลก ความเสื่อม) เชน อรรถกถาจริยาปฎก, ๓๔๗ วา ยทิปายํ เอตรหิ อปการโก, อยํ นาม ปุพฺเพ อเนน มยฺหํ อุปกาโร กโต (แมหากวาบัดนี้ ผูนี้ ทำเสียหาย. ผูนั้นก็ไดทำอุปการะแกเรามากอน), [อป + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ณ ปจจัย และพฤทธิ์ อ เปน อา] อปกฺกนฺต (ติ.) หลีกไปแลว วิ. อปกฺกมิตฺถาติ อปกฺกนฺโต (ผูใดหลีกไปแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา หลีกไปแลว), [อป + กมุ ธาตุ ปาทคมเน ใน ความกาวไป + ต ปจจัย, แปลง นิคหิตเปน ม โมคฺ.๕/๙๖ วา มนานํ นิคฺคหีตํ, อาเทศนิคหิต เปนพยัญชนะที่สุดวรรค คือ นฺ, ซอน กฺ], นัย เดียวกันเชน ปกฺกนฺโต (หลีกไปแลว) บทนี้ ป อุปสัคเปนบทหนา, อปกฺกมฺม (หลีกออกไปแลว) บทนี้ลง ตฺวา ปจจัย แปลง ตฺวา เปน มฺม และ ลบที่สุดธาตุ, อปกฺกนฺติ (การหลีกออกไป) บทนี้ ลง ติ ปจจัย เปนตน อปกฺกม (ปุ.) การหนี, การถอยหนี, การลาถอย วิ. อป วชฺเชตฺวา กมนํ อปกฺกโม ปรายนํ (การ กาวเวนไป ชื่อวา อปกฺกม ไดแก การลาถอย), [อป + กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในการกาวเทา + อ ปจจัย, ซอน กฺ], อปกฺกนฺโต ก็นัยเดียวกัน ลง ต ปจจัย, อาเทศ ม เปน นิคหิต โมคฺ.๕/๙๖ วา มนานํ นิคฺคหีตํ แปลงนิคหิตเปน นฺ พยัญชนะ สุดวรรค, ซอน กฺ อปคตกาฬก (ติ.) ปราศจากความมัวหมอง, เปนแดนที่มีสีดำไปปราศแลว, ผาปราศจาก ตำหนิ วิ. อปคตํ กาฬกํ อิโตติ อปคตกาฬโก ปโฏ (ตำหนิไปปราศจากสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปคตกาฬก), บทนี้เปนปญจมีพหุพพิหิ สมาส เชน อเปตวิฺาณํ มตสรีรํ (ศพมี วิญญาณไปปราศแลว) เปนตน อปคนฺตฺวา (กิ.กิตฺ.) ไปปราศแลว, หลีกไปแลว, จากไปแลว วิ. อปคมิตฺถาติ อปคนฺตฺวา, อปคมิตฺวา วา (อปคนฺตฺวา แปลวา ไปปราศ แลว), [อป + คมุ ธาตุ คมเน ในความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง ม เปน น], อุปคนฺตฺวา บทนี้ มี อุป เปนบทหนา ก็นัยนี้, อปคนฺตฺวาน บทนี้ ลง ตฺวาน ปจจัย เปนตน อปคพฺภ (ปุ.) ผูไปปราศจากครรภ, ผูมีการอยู ในครรภอันเลว, ไมเกิดใหม ๑. วิ. คพฺภโต อปคโตติ อปคพฺโภ อภพฺโพ เทวโลกูปปตฺตึ ปาปุณิตุนฺติ อธิปฺปาโย (พระพุทธเจาเปนตนใด ไปปราศจากครรภ เหตุนั้น พระพุทธเจาเปนตน นั้น พระนามวา อปคพฺภ), [อป ศัพท อปคตตฺเถ ใชในความหมายวาไปปราศ, นัยนี้เปน ปฺจมี- อพฺยยีภาวสมาส, อธิบายวา ผูไมควรเพื่อจะถึง การเขาสูเทวโลก] ๒. ผูมีการอยูในครรภอันเลว วิ. หีโน วา คพฺโภ อสฺสาติ อปคพฺโภ (อีกอยาง หนึ่ง ครรภของพระสมณโคดมนั้นเลว เหตุนั้น พระองคจึงชื่อวา อปคพฺภ), อป ศัพท ครหตฺเถ ใชในความหมายวา นาติเตียน, นัยนี้เปน


๑๕๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา พหุพฺพีหิสมาส. เทวโลกคพฺภปริพาหิรตฺตา อายตึ หีนคพฺภปฏิลาภภาคีติ, หีโน วาสฺส มาตุ- กุจฺฉิมฺหิ คพฺภวาโส อโหสีติ อธิปฺปาโย (อธิบาย วา พระสมณโคดม ชื่อวา เปนผูมีสวนไดแต ครรภที่เลวทรามตอไป เพราะเปนผูเหินหาง จากครรภในเทวโลก, เพราะเหตุนั้น ความอยูใน ครรภ ในทองแหงมารดาของพระสมณโคดมนั้น จึงเปนการเลวบาง), วินย.อ.๑/๑๔๗ อปคมนีย (ติ.) ประเทศที่เขาจากไป วิ. อปคจฺฉติ เอตสฺมาติ อปคมนีโย ปเทโส (เขาไปปราศจาก ประเทศนั้น เหตุนั้น ประเทศนั้น ชื่อวา อปคมนีย), [อป + คม ธาตุ คมเน ในความไป, อนีย ปจจัย] อปจย (ปุ.) ๑. ความเสื่อม, ความสิ้นไป, กิเลส สิ้นไป คือ พระนิพพาน วิ. อปจิยเตติ อปจโย ขโย (อันสิ่งนั้นเสื่อมไป เหตุนั้น จึงชื่อวา อปจย ไดแก ความเสื่อมสิ้นไป), วิ. อปจิตํ อปจโย นิพฺพานํ (การไมกอ คือการเสื่อมไป ชื่อวา พระ นิพพาน),[อป + จิ ธาตุ จเย ในความสั่งสม + อ ปจจัย], วิ. จยโต อปกฺกโมติ อปจโย ปริหานิ (ภาวะใดกาวออกจากการกอตัว เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อปจย ไดแก ความเสื่อม), นัยนี้เปน อัพยยีภาวสมาส, ๒. บูชา วิ. อปจายตีติอปจโย (ผูใดยอมบูชา เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อปจยะ), [อป + จาย ธาตุ ปูชายํ ในการบูชา + อ ปจจัย, รัสสะ อา เปน อ] อปจยคามี (ติ.) ถึงความคลี่คลาย, ธรรมที่มี ปกติไปสูการคลีคลายวัฏฏะ, อริยมรรค วิ. อปจยํ วิวฏํ คจฺฉติ สีเลนาติ อปจยคามี (มรรคใดยอมไปสูการคลี่คลาย เหตุนั้น มรรค นั้นชื่อวา อปจยคามี), [อปจย + คมุ ธาตุ คมเน ในการไป + ณี ปจจัย กจฺ.๕๓๒ รูป.๕๙๐ วา ตสฺสีลาทีสุ เปนตน, ทีฆะ อ เปน อา] ตํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตนโต อปจยํ คจฺฉนฺตีติ อปจยคามิโน (อริยมรรคชื่อวา อปจยคามี เพราะถึงพระนิพพานอันไมมีปจจัย เพราะทำ พระนิพพานนั้นเปนอารมณเปนไป), คำวา อปจยคามี เปนชื่อของอริยมรรค, [อปจย + คมุ ธาตุ คมเน ในความไป + ณี ปจจัย]. ดู อรรถ กถาปฏิสัมภิทามรรค, ปฏิสํ.อ. ๑/๓๙๖ อปจฺจ (นปุ.) เหลากอ, เชื้อสาย, ลูก, บุตรหรือ บุตรี๑. วิ. นรเก น ปตติ อเนน ปชา ชาเตนาติ อปจฺจํ (หมูสัตวไมไปนรกเพราะบุตรนั้นเกิดมา เหตุนั้น บุตรนั้นจึงชื่อวา อปจฺจ), [น + ปต ธาตุ คติยํ ในความไป + ย ปจจัย, แปลง ตฺย เปน จ, ซอน จฺ] ๒. น ปตนฺติ ปตโร อเนนาติ อปจฺจํ โตกํ (บิดามารดาไมตกไป ดวยผูสืบเชื้อสายนั้น เหตุ นั้น ผูสืบเชื้อสายนั้น จึงชื่อวา อปจฺจ คือ ลูก), [น + ปต ธาตุ ปตเน ในความตกไป + ณฺย ปจจัย, แปลง ตฺย เปน จ, ซอน จฺ] ๓. น ปตติ น วิจฺฉินฺทติ น ฉิชฺชติ วา วํโส เอเตนาติ อปจฺจํ (วงศไมขาดสิ้นไป หรือไมขาดไปดวยเชื้อสายนั่น เหตุนั้น เชื้อสายนั้น ชื่อวา อปจฺจ), [น + ปต ธาตุ เฉทเน ในความขาด + ณฺย ปจจัย, คำวา อปจฺจ นี้เปนนปุงสกลิงคแนนอน ใชใน ความหมายวา บุตร หรือบุตรี (โตก ในสันสกฤต แปลวา ลูก), มณิสารมัญชูสา วา น ปตนฺติ น ฉิชฺชนฺติ วํสา เอตสฺมาติ อปจฺจํ. จยาเปกฺขาย หิ อปจฺจนฺติ วุตฺตํ. องฺคาเปกฺขาย ปน ปุตฺตาติ มนุสฺสาติ จ วุตฺตํ ยถา อนวชฺชสุขวิปากา เอว ลกฺขณํ อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณาติ (ชื่อวา อปจฺจ เพราะอรรถวาเปนแดนไมใหวงศขาดสิ้นไป), ที่ จริง ทานกลาววา อปจฺจ แปลวา เหลากอ เพราะมุงถึงองครวม กลาววา ปุตฺต แปลวา บุตร


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๕๕ มนุสฺสา แปลวา มนุษยทั้งหลาย เพราะมุงถึง องคประกอบ เชนในขอวา สุขวิบากอันไมมีโทษ อันเองเปนลักษณะ ชื่อวา สุขวิบากอันไมมีโทษ เปนลกัษณะ) สวนใน สัททนีติสตุตมาลาอธิบาย สูตร ๗๕๒ วา เอตฺถ จ อปจฺจนฺติ กุลํ วุจฺจติ, ตถา หิ วุตฺตํ เอตฺถ ปน วาเสโติ วุตฺเต วสิสฺส ปุตฺโต วา นตฺตา วา ปนตฺตาทโย วา ตพฺพํเส ชาตา สพฺเพ ปุริสา ลพฺภนฺติ. อิตฺถิลิงฺเค วตฺตพฺเพ วาเสสทฺทโต อีปจฺจยํ กตฺวา วาเสีติ ภวติ. เอตฺถ ปน วาเสีติ จ วุตฺเต วสิสฺส ภริยา วา ธีตา วา ตพฺพํเส ชาตา สพฺพา อิตฺถิโย ลพฺภนฺติ. กุลสทฺเท ปน อเปกฺขิเต วาเสนฺติ ภวตีติ (คำวา อปจฺจ ในที่นี้ หมายถึง ตระกูล, ฉะนั้น ทานจึงอธิบายวา อนึ่งในที่นี้ คำวา วาเส ไดแกบุตรหรือหลานของวสิฏฐะ หรือวาบุรุษ ทั้งหมดมีเหลนเปนตนผูเกิดในวงศตระกูลของ วสิฏฐะนั้น, เมื่อตองการใชเปนอิตถีลิงค ใหลง อี ปจจัยหลัง วาเส ศัพท จะไดรูปวา วาเสี. อนึ่ง คำวา วาเสี ในที่นี้ ไดแกภรรยาหรือธิดา ของวสิฏฐะ หรือสตรีทั้งหมด ผูเกิดในวงศ ตระกูลของวสิฏฐะนั้น. แตเมื่อจะระบุถึงตระกูล ใหใชเปนรูปนปุงสกลิงควา วาเสํ) อปจฺจเวกขฺณา (อิตฺ.) การไมพิจารณาเฉพาะ, การไมพิจารณาเห็นชัดตามเปนจริง วิ. ธมฺมานํ สภาวํ ปติ น อเปกฺขตีติ อปจฺจเวกฺขณา อสมฺโพโธ (กิริยาใดยอมไมพิจารณาเห็นชัดซึ่ง สภาวะแหงธรรมทั้งหลาย เหตุนั้น กิริยานั้นชื่อ วา อปจฺจเวกฺขณา คือการไมรู), [น + ปติ + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, อาเทศ ติ แหง ปติ เปน จ, ซอนพยัญชนะที่มีรูปเสมอกัน คือ จฺ, แปลง อิ ที่ อิกฺข เปน เอ, ว อาคม, หรือประกอบดวย อว ก็ ได], เทียบ ปจฺจเวกฺขณ นัยเดียวกันเชน อปจฺจเวกฺขิตฺวา (ไมพิจารณาแลว) บทนี้ลง ตฺวา ปจจัย อปจายน (นปุ.,อิตฺ.) การประพฤติออนนอม ถอมตน, การแสดงความเคารพ, การนับถือ วิ. อปจายติ ปูชาวเสน สามีจึ กโรติ เอเตนาติ อปจายนํ, อปจายนา วา (บุคคลยอมประพฤติ ออนนอม คือทำความเคารพดวยอำนาจการ บูชา ดวยอาการนั่น เหตุนั้น อาการนั้นชื่อวา อปจายน หรือ อปจายนา), [อป + จาย/จายุ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค], อปจฺจโย อปจาโย ลง ณ ปจจัย ก็มี, นัยเดียวกัน อปจิติ บทนี้ลง ติ ปจจัย วิการ เอ เปน อิ, วิ. ปูชาวเสน สามีจิกิริยา อปจายนํ อปจิติ (การทำสามีจิกรรม คือการ นอบนอมดวยอำนาจการบูชา ชื่อวา อปจิติ) อปจายนฺต (ติ.) เคารพอยู, บูชาอยู, นับถืออยู, ออนนอมอยู วิ. อปจายตีติ อปจายนฺโต (ผูใด ประพฤติออนนอมอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อปจายนฺต), [อป + เจ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + อนฺต ปจจัย, แปลง เอ เปน อา + ย อาคม เพราะสระหลัง ดวยมหาสูตร], อีกนัยหนึ่ง พึง ทราบการสำเร็จรูปดวยการอาเทศ เอ เปน อาย ดวยการแบงสูตร กจฺ.๕๑๕ รูป.๕๔๑ วา เต อาวายา, แมจะสำเร็จรูป โดยการอาเทศเปน อาย แมไมใช ณ อนุพันธก็ได ดวยการแบงสูตร โมคฺ. ๕/๙๐ วา อายาวา ณานุพนฺเธ, คำวา อปจายมาโน ก็นัยนี้ ลง มาน ปจจัย อปจายิต (ติ), ๑. เคารพยำเกรง, บูชาแลว, อันเขาใหออนนอมแลว วิ. อปจาปยิตฺถาติ อปจายิโต (ผใูดอันเขาใหบูชาแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อปจายิต), [อป + จิ ธาตุ จเย ในความ


๑๕๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา สั่งสม + เณ ในอรรถการิต (การิตตฺต) + ต ปจจัย] ๒. วิ. อปจายิตฺถาติ อปจายิโต อรหิโต (ผูใดบูชาแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปจายิต) ๓. อปจายิตพฺโพติ อปจายิโต (ผูใดอันเขาบูชา แลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปจายิต), [อป + จาย ธาตุ ปูชานิสามเนสุ ในการบูชาและการ ใครครวญ + ต หรือ กฺต + อิ อาคม, แปลง เอ เปน อา โดยมหาสูตรแหง นิรุตฺติทีปนี, ในเพราะ สระหลัง ลง ย อาคม, หรือแปลง อ เปน อิ] รูปวา อปจายิโต, อปจิโต วา ก็มี ทานกลาววา เจ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา, นัยเดียวกันเชน อปจายิตพฺพํ บทนี้ ลง ตพฺพ ปจจัย อปจายี (ปุ.) ผูเคารพนับถือ, ผูยำเกรง, ผูออน นอม, ผูบูชาเปนปกติ วิ. อปจายติ สีเลนาติ อปจายี(ผใูดยอมบูชาโดยปกติเหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อปจายี), [อป + จาย หรือ เจ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + ณี ปจจัย โมคฺ.๕/๕๓ สีลาภิกฺขฺาวสฺสเกสุ ณี] นัยเดียวกันเชน วุทฺธาปจายี วุฑฺฒาปจายี ตอไปนี้เปนการ วิเคราะหในคำนี้ วิ. วุทฺเธสุ อปจายนสีโล วุทฺธาปจายี. คุณวุทฺธวยวุทฺเธ อปเจติ อตฺตานํ นีจวุตฺติกรเณน ปูเชติ สีเลนาติ วา วุทฺธาปจายี (ผูมีปกติออนนอมผูเจริญ ชื่อวา วุทฺธาปจายี. นัยหนึ่ง ผูใดออนนอมผูเจริญดวยคุณและเจริญ ดวยวัย คือบูชาผูเจริญดวยการทำตนให ออนนอมถอมตน โดยปกติ เหตุนั้น เขาจึงชื่อวา วุทฺธาปจายี) อปจารี (ปุ.) ผูออนนอม, ผูเคารพยำเกรง, ผูประพฤติออนนอมเปนปกติ วิ. อปจายนสีโล อปจารี (ผูมีปกติประพฤติออนนอม ชื่อวา อปจารี), [อป + จร ธาตุ จรเณ ในความ ประพฤติ + ณี ปจจัย, พฤทธิ์ อ เปน อา กลาง ศัพท] อปจิต (ติ.) อันเขาบูชา, อันเขานับถือ, อันเขา ออนนอม วิ. อปจิยิตฺถาติ อปจิโต มานิโต (สิ่งใด อันเขานับถือแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปจิต คือ ผูอันเขานับถือแลว) วิ. อปจียเตติ อปจิโต (สิ่งใดอันเขานับถือ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปจิต), [อป + จิ ธาตุ จเย ในความกอ + ต/กฺต ปจจัย] อปจิติ (อิตฺ.) การออนนอม, การยำเกรง, การ เคารพ, การบูชา วิ. ปูชาวเสน สามีจิกิริยา อปจายนํ อปจิติ อจฺจนา (การทำสามีจิกรรม ดวยอำนาจการบูชา คือออนนอม ชื่อวา อปจิติ คือการบูชา), [อป + จิ ธาตุ จเย ในความกอ หรือ เจ ธาตุปูชายํในความบูชา, แปลง เอ เปน อิ + ติ ปจจัย] อปจินน (นปุ.) ความเสื่อม, ความฉิบหาย วิ. อวุฑฺฒิ ปราภโว อปจินนํ (ความไมเจริญ คือ ความเสื่อม ชื่อวา อปจินน), [อป + จิ ธาตุ จเย ในความกอ + นา วิกรณปจจัยคือปจจัยประจำ หมวดธาตุ + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน] อปเจยฺย (ติ.) ๑. ควรเพื่อบูชา, ควรบูชา, ควร ออนนอม วิ. อปจายิตุํ อรหตีติ อปเจยฺยํ (ผูใด ยอมควร เพื่ออันเคารพ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปเจยฺย), [อป + จิ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + ฆฺยณฺ ปจจัย, ซอน ยฺ, แปลง เอ เปน อ] ๒. ควร นำมาบูชา, ควรบูชา วิ. อปจายิตพฺพนฺติ อปเจยฺยํ, อปจายิยํ (สิ่งใดอันเขาควรเอามา เคารพ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปเจยฺย, อปจายิยํ ก็มี) [อป + เจ หรือ จายุ ธาตุ ปูชายํ ในความ บูชา + ฆฺยณฺ ปจจัย] อปฺชส (ปุ.) ๑. นอกลูนอกทาง, ออกจากทาง, หลีกออกจากทางตรง, ไมเสมอ, เดินผิดทาง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๕๗ วิ. อฺชสา อปคโตติ อปฺชโส (ผูใดยอมไป ปราศจากทางตรง เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปฺชส), [อป + อฺช ธาตุ คติยํ ในความไป + ส ปจจัย] ๒. ไมใชทางตรง, ไมใชทางไป วิ. น ปฺชสํ อปฺชสํ (ไมใชทางตรง ชื่อวา อปฺชส), [น + ป + อฺช ธาตุ คติยํ ในความไป + อส ปจจัย] วิ. อุปฺปเถ คจฺฉตีติ อปฺชโส (ชื่อวา อปฺชส เพราะไปผิดทาง), ในอรรถกถาเปนตน ทานวา อปฺชสาติ มคฺคโต อปคตา, อุมฺมคฺคคามิโน หุตฺวา วายนฺตีติ อตฺโถ (บทวา อปฺชสา ไดแก ลมนอกทาง พัดออกนอกทางไป) วิ. ปกํ ปธานํ อฺชสํ เอเตสนฺติ ปฺชสา, อฺชสํ ปคตา ปฏิปนฺนาติ วา ปฺชสา, ปกติมคฺคคามิโน. น ปฺชสา อปฺชสา อมคฺคปฺปฏิปนฺนาติ (ทาง หลัก ของชนเหลานั้นมีอยู เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา ปฺชสา ผูมีทางหลัก, อีกนัยหนึ่ง ชนที่ ดำเนินไปนอกทางหลัก เหตุนั้น ชื่อวา ปฺชสา ไดแก คนเดินทางปกติ, ไมใชผูเดินทางปกติ ชื่อวา อปฺชสา ไดแก ไมดำเนินไปในที่ไมใช ทาง) อปฏิวิภตฺตโภคี (ปุ.) ผูบริโภคโภคะไม แบงแยก, ไมหวงไวบริโภคเพื่อพวกตน, เปน ไวพจนของสาธารณโภคี คือการแบงปนเฉลี่ย เจือจานกัน วิ. วิสุํ อวิภตฺตํ โภคํ ภุฺชนสีโล อปฏิวิภตฺตโภคี (ผูมีปกติบริโภคโภคะไม แบงแยก ชื่อวา อปฏิวิภตฺตโภคี), [น + ปฏิ + วิภตฺต + ภุช ธาตุ ภุฺชเน ในความบริโภค + ณี ปจจัย, แปลง ช เปน ค, วิการ อุ เปน โอ] อปณฺณก (ติ.) ไมผิด, ไมนำไปสูความผิด วิ. วิรุทฺธโวหาเรน น ปณาเมตีติ อปณฺณโก อวิรุทฺโธ (ปฏิปทาใดไมนอมไปโดยโวหารวาผิด เหตุนั้น ปฏิปทานั้นชื่อวา อปณฺณก ไดแกความ ไมผิด), [น + ปณ ธาตุ พฺยวหารตฺถุตีสุ ในความ นอมลงไปและในความสรรเสริญ + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก, ซอน ณฺ] อปถ (อพฺ.) ไมใชทาง, นอกทาง, ทางที่ออกจาก ทางที่ควรไป วิ. อคนฺตพฺพปถภาวโต อเปตํ ปถํ อปถํ อุปฺปถํ (ทางที่ไปปราศจากความเปนทางที่ ควรไป ชื่อวา อปถ คือนอกทาง), อสทฺโทตฺร นิปาโต (อ ในที่นี้เปนนิบาต) อปทาน (นปุ.) เวนจากการขาดตอน, ตอเนื่อง, เรื่องราวตอเนื่อง, ประวัติ วิ. ทานโต อวขณฺฑนโต อเปตํ อปทานํ (สิ่งที่เปนไปปราศจากการขาด ตอนขาดชวง เรียกวา อปทาน) บทนี้เปน ปญจมี อัพยยีภาวสมาส สลับบทหนาหลัง วิ. อปทาติ อวขณฺฑตีติ อปทานํ (สิ่งใดยอมเวนการขาด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปทาน), [อป + ทา ธาตุ อวขณฺฑเน ในความขาด + ยุ ปจจัย], แตใน สทฺทนีติ ธาตุมาลา (ฉบับแปล หนา ๕๙๒) วา ทาน ธาตุ อวขณฺฑเน ในการตัด วิ. อปทียนฺติ โทสา เอเตน รกฺขียนฺติ, ลูยนฺติ, ฉิชฺชนฺตีติ วา อปทานํ, สตฺตานํ สมฺมา มิจฺฉา วา ปวตฺตปโยโค (โทษอันรักษาไว หรือตัดขาดไปดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปทาน), [อป + ทา ธาตุ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] วิ. อปทานํ วุจฺจติ วิขฺยาตํ กมฺมํ (กรรมอันทานอธิบายแลว ทาน เรียกวา อปทาน), อปทานอกถายํ จ วุตฺตํ อปทานสทฺโท การณคฺคหณอปคมนปฏิปาฏิ- อกฺโกสนาทีสุ ทิสฺสตีติ. ตตฺถ วิตฺถาโร โอโลเกตพฺโพ (ก็ในอรรถกถาอปทาน ทานกลาวไววา อปทาน ศัพท ปรากฏวาใชในความหมายวา การณ (เหตุ) คหณ ถือ อปคมน การจากไป ปฏิปาฏิ ตามลำดับ อกฺโกสน การดา เปนตน ในภาษา สันสกฤตมีรูปวา อวทานมฺ


๑๕๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อปทิฏฺ (ติ.) อันเขาอางแลว, สิ่งที่ถูกอางถึง, แสดงอาง วิ. อปทิสียิตฺถาติ อปทิโ (ผูใดอัน เขาแสดงอางแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปทิ), [อป + ทิสี ธาตุ กถเน ในความกลาว + ต ปจจัย แปลง ต เปน , แปลงที่สุดธาตุเปนพยัญชนะ สังโยค ] คำวา อปทิสิตพฺโพ (อันเขาพึงแสดง อาง) บทนี้ ลง ตพฺพ ปจจัย เหา กตฺวา วตฺตพฺโพติ อตฺโถ (หมายความวา เนื้อความที่ ผานมาแลวอันเขาพึงกลาวถึง) อปทิสฺส (กิ.กิตฺ.) แสดงอางแลว, อาศัยแลว, อางถึงแลว, เจาะจง ๑. วิ. อปทิสิตฺถาติ อปทิสฺส, อปทิสิตฺวา วา (แสดงอางแลว ชื่อวา อปทิสฺส, อปทิสิตฺวา), [อป + ทิส ธาตุ เปกฺขเน ในความเห็น + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง ย เปน ส (ยสฺส ปุพฺพรูปตฺตํ)] หรือได รูปเปน อปทิสิตฺวา เชน อปทิสิตฺวา กเถตฺวา, อารพฺภาติ วา อตฺโถ (อปทิสิตฺวา แปลวา กลาว แลว หรือหมายถึง ปรารภแลว), นัยเดียวกันเชน อปทิสิตพฺโพ บทนี้ลง ตพฺพ ปจจัยในอรรถกรรม อปเทส (ปุ.) ๑. เหตุผล, คำแถลง, การเลาเรื่อง, การชี้แจง, การโกง วิ. อิจฺฉิตตฺถนิพฺพตฺตนตฺถํ อปทิสิตพฺโพ อปทิสียติ วา อิจฺฉิตตฺโถ อเนนาติ อปเทโส, เลโส อุปมา เหตุทาหรณาทิการณํ วา (สิ่งใดอันเขาพึงแสดงอางเพื่อเกิดประโยชนที่ ตองการ หรือประโยชนตามที่ตองการอันทาน แสดงอางดวยสิ่งใด สิ่งนั้นชื่อวา อปเทส ไดแก เลศนัย อุปมา หรือเหตุผลมีการแสดงเหตุและ ตัวอยางเปนตน), [อป + ทิสิ ธาตุ อุจฺจารเณ ในการแสดง + ณ ปจจัย] ๒. การยกขออาง, หลักฐาน วิ. อปทิสฺสตีติ อปเทโส (ภาวะใดยอม แสดงอาง เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อปเทส การ ยกขออาง), [อป + ทิส ธาตุ เปกฺขเน ใน ความเห็น + ณ ปจจัย], อปเทส นั้น มี ๔ อยาง ไดแก พุทฺธาปเทโส (ยกเอาพระพุทธเจาขึ้นอาง) สํฆาปเทโส (ยกเอาพระสงฆขึ้นอาง), สมฺพหุลตฺ- เถราปเทโส (ยกเอาพระเถระจำนวนมากขึ้น อาง), เอกตฺเถราปเทโส (ยกเอาพระเถระรูปหนึ่ง ขึ้นอาง) ที.ม. ๑๐/๑๑๓-๑๑๖/๑๔๔; องฺ.จตุกฺก. ๒๑/๑๘๐/๒๒๗. วิ. อปสฺสยํ กตฺวา ทิสิยนฺติ เอตฺถาติ อปเทสา โอกาสา. อปสฺสยํ กตฺวา ทิสิยนฺติ เอเตหีิติ วา อปเทสา การณา, จตฺตาโร มหาปเทสาติ อตฺโถ (เรื่องอันเขาทำใหเปน หลักฐานแสดงอางไวในโอกาสใด เหตุนั้น โอกาส นั้นชื่อวา อปเทส ที่เปนที่อันเขาทำใหเปน หลักฐานแลวแสดงอาง นัยหนึ่ง เรื่องอันเขาทำ ใหเปนหลักฐานแสดงอางดวยธรรมชาติใด เหตุ นั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อปเทส ไดแก การณ หมายถึง มหาปเทส ๔), [อป + ใน กจฺจายนธาตุมฺชูสา วา ลง ทิส ธาตุ อุจฺจารเณ ในการ ชี้แจง + ณ ปจจัย] อปธารณ (นปุ.) การปด, การกำบัง, การบัง วิ. อปธรตีติ อปธารณํ (สิ่งใดยอมกำบังไว เหตุ นั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปธารณ), [อป + ธร ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, แปลง น เปน ณ, ทีฆะกลางศัพทดวยสูตร วา กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ วา เตสุวุทฺธิ เปนตน] อปนาเมตฺวา (กิ.กิตฺ.) ใหนอมลงแลว, ปดแลว, หุบแลว, นอมไปแลว, นำไปตอหนา วิ. อปนาเมสีติ อปนาเมตฺวา (อปนาเมตฺวา แปลวา นอมไปแลว), [อป + นมุ ธาตุ นมเน ใน การนอมไป + เณ ปจจัย + ตฺวา ปจจัย] นัยเดียวกันเชน อุปนาเมตฺวา (นอมเขาไปแลว) บทนี้ อุป เปนบทหนา, อุปนาเมนฺโต (นอมเขา ไปอยู) บทนี้ลง อนฺต ปจจัย


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๕๙ อปนิธาน (นปุ.) การเก็บไว, การแอบซอนไว วิ. อปนิธิยเต อปนิธานํ (อันเขาแบบซอนไว ชื่อวา อปนิธาน), [อป + นิ + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] นัยเดียวกันเชน อุปนิธานํ บทนี้ อุป + นิ บทหนา อปนิธาย (กิ.กิตฺ.) ซอนไวแลว วิ. อปนิทหิตฺวาติ อปนิธาย (ซอนไวแลว ชื่อวา อปนิธาย), [อป + นิ + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ตฺวา ปจจัย แปลง ตฺวา เปน ย], นัยเดียวกันเชน อุปนิธาย หมายถึง โอลุมฺพิย (เทียบเคียง) บทนี้ มี อุป เปนบทหนา อปนุทิตฺวา (กิ.กิต.) ละแลว, ขับไลแลว, กำจัด แลว, บรรเทาแลว วิ. อปนุทีติ อปนุทิตฺวา (อปนุทิตฺวา แปลวา บรรเทาแลว), [อป + นุท ธาตุ เขเป ในความซัดไป + ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม] นัยเดียวกัน ปนุทิตฺวา (บรรเทาแลว) บท นี้ ป บทหนา, ปนุทนํ (การบรรเทา) ลง ยุ ปจจัย อปเนตฺวา (กิ.กิต.) นำออก, ปลดออก, ถอด วิ. อปนยิตฺถาติ อปเนตฺวา (อปเนตฺวา แปลวา นำออกแลว), [อป + นี ธาตุ นเย ในความนำไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง อีเปน เอ] นัยเดียวกันเชน อปเนนฺโต, อปนยมาโน (ปลดเปลื้องอยู) ลง อนฺต และ มาน ปจจัย อปมาร (ปุ.) โรคลมบาหมู, ผูที่มีสรณะไปปราศ วิ. สรณํ สาโร, อปคโต สาโร เอตสฺมาติ อปมาโร อปสฺมาโร (สรณะชื่อวา สาระ, สาระ ไป ปราศจากผูนั้น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปมาร), [แปลง ส เปน ม], ซึ่งชาวโลกเรียนกันวา ลมบาหมู,ลมชัก, แปลง ส เปน ม, ตามแนวแหง พระวินัยปฎก วินย.อ.๓/๖๘ วา อปมาโรติ ปตฺตุมฺมาโท วา ยกฺขุมฺมาโท วา ตตฺถ ปุพฺพเวริเกน อมนุสฺเสน คหิโต ทุตฺติกิจฺโฉ โหติ, อปฺปมตฺตเกป ปน อปมาเร สติ น ปพฺพาเชตพฺโพติ (โรคบาเพราะดี หรือโรคบาดวยถูกผีสิง ชื่อโรค ลมบาหมู. ในโรคลมบาหมู ๒ ชนิด บุคคลผูถูก อมนุษยซึ่งเคยเปนคูเวรกันสิงแลว ยอมเปนผูที่ เยียวยาไดยาก, และเมื่อโรคลมบาหมูนั้นมีแม เพียงเล็กนอย ก็ไมควรใหบวช) อปยาต (ติ.) ผูไปแลว, ผูไปปราศแลว, ผูหนีไป แลว วิ. อปยนฺติ อปคจฺฉนฺตีติ อปยาตา (ชน เหลาใดไปปราศแลว เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา อปยาต), [อป + ยา ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย] อปร (ติ.) อื่นอีก ปุพฺพปราปรทกฺขิณุตฺตรสทฺทา ปุลฺลิงฺคตฺเต ยถารหํ กาลเทสาทิวจนา, อิตฺถิลิงฺคตฺเต ทิสาทิวจนา, นปุํสกลิงฺคตฺเต านาทิวจนา. อปโร รุฬฺหิสทฺโท (ศัพทวา ปุพฺพ ปร อปร ทกฺขิณ อุตฺตร ประกอบลิงคตามสมควร ในปุงลิงคโยค กาล, เทส เปนตน, ในอิตถีลิงค โยค ทิสา เปนตน, ในนปุงสกลิงคโยค าน เปนตน, อปร จัดเปนรุฬหีศัพท) อปรโคยาน (ปุ.นปุ.) อปรโคยานทวีป, ๑. ที่อื่นเปนที่เที่ยวไปดวยโค, วิ. คเวน ยนฺติ คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ โคยานํ (ชนทั้งหลายเที่ยวไป ในที่นั้นดวยโค เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา โคยาน), [โค + ยา ธาตุ คมเน ในความไป + ยุ ปจจัย], วิ. อปรฺจ ตํ โคยานฺจาติ อปรโคยานํ (ที่อื่น อีกนั้นดวย ที่ซึ่งคนเที่ยวไปดวยโคดวย เหตุนั้น ชื่อวา อปรโคยาน) ๒. ทวีปหนึ่งที่มีคนเที่ยวไป ดวยโค วิ. คเวน ยนฺตฺเยตฺถาติ โคยาโน (ชน ทั้งหลายในทวีปนั้นเที่ยวไปดวยโค เหตุนั้น ทวีปนั้น ชื่อวา โคยาน) สิเนรุโน ปจฺฉิมทิสภาคตฺตา อปโร จ โส โคยาโน จาติ อปรโคยาโน, ปจฺฉิม-


๑๖๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ทีโป (ชื่อวาทวีปอื่นนั้นดวย เพราะเปนทวีปที่ ตั้งอยูทิศตะวันตก ทวีปที่ชนเที่ยวไปดวยโคดวย เหตุนั้น ชื่อวา อปรโคยาน คือ ทวีปที่อยูทิศ ตะวันตก), จกฺกวาฬทีปนิยํ วุตฺตํ ปุพฺพวิเทโหติ เอตฺถ ปน ปุพฺพสทฺทสนฺนิธานสามตฺถิเยน อปรโคยานนฺติ เอตฺถ ปุพฺพาปรนฺติ เอตฺถ วิย อปรสทฺโทว อิจฺฉิตพฺโพ. น อชโร ตฺวํ อมโร ภวาติ เอตฺถ วิย อมรสทฺโทติ วิฺายติ (จักรวาฬทีปนี หนา ๖๖ วา ก็โดยสามารถแหงการบังคับดวย ปุพฺพ ศัพท ในคำวา ปุพฺพวิเทห นี้ จำตอง ปรารถนา อปร ศัพท เทานั้นในคำวา อปรโคยาน นี้ ประดุจในคำวา ปุพฺพาปร จะเขาใจวา เปน อมร ศัพท ดุจในคำวา อชโร ตฺวํ อมโร ภว ทานจงเปนผูไมแกไมตาย” ดังนี้ไมได) เตน มูลปณฺณาสเก สติปานสุตฺตวณฺณนายํ อปรโคยานโต อาคตมนุสฺเสหิ อาวสิตปฺปเทโส อปรนฺตชนปโทติ นามํ ลภีติ วุตฺตํ. อปรปุเรติ เหา วิย อิธาปปจฺฉิมทิสาวาจโก อปรสทโฺทติ (ดวยเหตุนั้น ในอรรถกถาสติปฏฐานสูตร ในมูลปณณาสก จึงไดกลาววา ประเทศที่มนุษยซึ่งมา จากอปรโคยานทวีปไดอยูครอง ไดชื่อวา อปรันตชนบท. อปร ศัพท แมในคำวา อปรโคยาน นี้ ก็บอกปจฉิมทิศเหมือนกับในคำที่จะ กลาวในภายหลังวา อปรปุเร) อปรช (ติ.) ผูเกิดในกาลภายหลัง วิ. อปรสฺมึ ปจฺฉากาเล ชาโต อปรโช (ผูเกิดในกาลภายหลัง ตอมา ชื่อวา อปรช), [อปร + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + กฺวิ ปจจัย ลบ กฺวิ ปจจัย] อปรชฺชุ (อพฺ.) พรุงน้ี, ในกาลอื่น คือ ในวัน พรุงน้ี วิ. อปรสฺมึ กาเล อปรชฺชุ, ปุนทิวเสติ อตฺโถ (ในการอื่นอีก ชื่อวา อปรชฺชุ หมายความ วา ในวันพรุงนี้), ลง ชฺชุ ปจจัย โมคฺ.๔/๑๐๗ วา อชฺชสชฺชฺวปรชฺเชฺวตรหิกรหา วิ. อปรสฺมึ อหนิ อปรชฺชุ, อปรสทฺทโต อหนีติ อตฺเถ ชฺชุปจฺจโย สตฺตมฺยนฺโตเยว. เอวํ ปรชฺชุ, สชฺชุ อิจฺจาทิ (ใน วันอื่นอีก ชื่อวา อปรชฺชุ, ลง ชฺชุ ปจจัย ทาย อปร ในอรรถแหงสัตตมีวิภัตติ ในความหมายวา ในวัน), ปาจิตฺยาทิโยชนายํ ปน วุตฺตํ อปรชฺชูติ อาสฬฺหีปุณฺณมิโต อปรํ อหนฺติ อปรชฺชุ, อหตฺเถ ชฺชุปจฺจโย. อตฺถโต ปาฏิปททิวโส. อยํ อปรชฺชุ- สทฺโท ปมนฺตนิปาโตติ (แตใน ปาจิตยาทิโยชนา วา ในคำวา อปรชฺชุ มีความวา วันอื่นอีกจากวัน เพ็ญเดือนอาสาฬหะ เหตุนั้น วันนั้น ชื่อวา อปรชฺชุ, ชฺชุ ปจจัย อหตฺเถ ใชในอรรถวา วัน, แตโดยความหมายไดแก วันปาฏิบท คือวันแรม ๑ ค่ำ, อปรชฺชุ ศัพทในนัยนี้ เปนนิบาต มีปฐมา วิภัตติเปนที่สุด) อปรชฺฌิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ผิดแลว, ประทุษราย แลว, ทำผิดแลว, พลาดแลว วิ. อปรชฺฌิตฺถาติ อปรชฺฌิตฺวา (อปรชฺฌิตฺวา แปลวา ผิดแลว), [รธ ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + ย ปจจัย ลงหลังธาตุหมวด ทิว ธาตุ + อิ อาคม + ตฺวา ปจจัย, อาเทศ ธฺย เปน ชฺฌ] นัยเดียวกันเชน อปรชฺฌนฺโต (ผิดอยู) ราธ ธาตุ หึสาสํราเธสุ ใน ความเบียดเบียนและความยินดี ย ปจจัยลงหลัง หมวด ทิว ธาตุ บทนี้ลง อนฺต ปจจัย อปรณฺณ (ปุ.) อปรัณณชาติ, ของที่จะพึงกินใน สวนอื่นจากของกินมื้อเชาเปนตน, ของกินที่มี เพิ่มมาอีกทีหลัง วิ. ปุพฺพณฺณาทิโต อปรภาเค ปวตฺตํ อนฺนํ อปรณฺณํอปรนฺนํ. (ของกินที่เปน ไป ในสวนอื่นอีกจากของกินมื้อเชาเปนตน ชื่อวา อปรณฺณ, อปรนฺน), บทนี้เปน สัตตมีตัปปุริส สมาส มัชเฌโลป


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๖๑ อปรตฺต (อพฺ.) ภายหลังแหงราตรี, คอนคืน วิ. รตฺติยา ปจฺฉา อปรตฺตํ (ภายหลังแหงราตรี ชื่อวา อปรตฺต), [แปลง อิ เปน อ], บทนี้เปน อัพยยีภาวสมาส อปรทฺธ (ติ.) ความผิด, โทษ วิ. อปรชฺฌิตฺถาติ อปรทฺธํ (สิ่งใดผิดแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปรทฺธ), [อป + รธ ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + ต ปจจัย อาเทศ ต เปน ธ, อาเทศ ธ เปน ทฺ], อปรทฺธ เปนไวพจนของคำวา ทุกฺกฏ ที่ทานกลาวไวในขอวา อปรทฺธํ วิรทฺธํ ขลิตนฺติ สพฺพเมตํ ยฺจ ทุกฺกฏํ (ก็คำวา อปรทฺธํ วิรทฺธํ ขลิตํ ทั้งหมดนั่น ไดแก ทุกกฎ), วินย.อ.๓/๕๓๙ อปรทกฺขิณา (อิตฺ.) ทิศตะวันตกเฉียงใต วิ. อปรสฺสา จ ทกฺขิณสฺสา จ ทิสาย ยทนฺตราฬํ สายํ อปรทกฺขิณา วิทิสา (ทิศใด อยูระหวาง หวางทิศใตและตะวันออก ทิศนั้นชื่อวา ทิศ ตะวันตกเฉียงใต คือทิศเฉียง), [อนฺตราฬ=ใน ระหวาง (นิรุตฺติ. ๓๕๓) ทิสันตราฬัตถพหุพพีหิ สมาส] ปุพฺพตฺตรา (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ), ปจฺฉิมุตฺตรา (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ), ทกฺขิณปุพฺพา (ทิศตะวันออกเฉียงใต) วิ. ทกฺขิณา จ สา ปุพฺพา จาติ ทกฺขิณปุพฺพา (ทิศใตนั้นดวย ทิศ ตะวันออกดวย ชื่อวา ทกฺขิณปุพฺพา) จัดเปน กัมมธารยสมาส ก็ได อปรนฺตกปฺปิกา (ติ.) ผูมีอปรันตกัปปกทิฏฐิ, ผูมีทิฏฐิที่กำหนดขันธสวนอนาคต วิ. อปรนฺตํ กปฺเปตฺวา วิกปฺเปตฺวา คณฺหนฺตีติ อปรนฺตกปฺปกา (ชนเหลาใด กำหนดยึดถือขันธสวน อนาคต เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา อปรนฺตกปฺปกา), [ณิก ปจจัยในตัทธิต] วิ. อปรนฺตกปฺโป เอเตสํ อตฺถีติ อปรนฺตกปฺปกา (การกำหนด ยึดถือขันธสวนอนาคต ของชนเหลานั้นมีอยู เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อปรนฺตกปฺปกา), [อิก ปจจัยในตทัสสัตถิตัทธิต] อปรนฺตป (ติ.) ผูไมเบียดเบียนผูอื่น วิ. ปรํ ตปตีติ ปรนฺตโป, น ปรนฺตโป น ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต อปรนฺตโป (ผูใดยอมเผาผลาญผูอื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ปรนฺตป, ผูไมเผาผลาญผูอื่น ไมประกอบดวยการทำผูอื่นใหเดือดรอน ชื่อวา อปรนฺตป), [น + ปร + ตป ธาตุ สนฺตาเป ในการ ทำใหเดือดรอน + อ ปจจัย] สำหรับในขอนี้มี ตัวอยางในอรรถกถาอิติวุตตกวา กรุณาย อปรนฺตโป, ปฺาย อนตฺตนฺตโป อิติ.อ.๑๖ (ไม เผาผลาญผูอื่นเพราะกรุณา ไมทำตนให เดือดรอนเพราะปญญา), ในศัพทวา อนตฺตนฺตป ก็นัยนี้ อปรปฺปจฺจย (ติ.) ผูไมตองมีคนอื่นเปนปจจยั, ไมตองเชื่อคนอื่น, ไมตองอาศัยศรัทธาคนอื่น เพราะเห็นแจงดวยตนเองแลว ๑. วิ. อตฺตโน ปจฺจกฺขโต อธิคตตฺตา น ปรํ ปจฺเจติ ปรสฺส สทฺธาย เอตฺถ น ปวตฺตตีติ อปรปฺปจฺจโย. น ปโร ปจฺเจตพฺโพ เอตสฺส อตฺถีติ อปรปฺปจฺจโย (ผูใด เชื่อคนอื่น เพราะตนเองบรรลุโดยประจักษแลว คือไมตองเปนไปในเรื่องนั้นดวยศรัทธาของผูอื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปรปฺปจฺจย, ผูอื่นอันเขา ตองเชื่อ ไมมีแกเขา เหตุนั้น เขาจึงชื่อวา อปรปฺปจฺจย-ไมมีบุคคลอื่นจะตองเชื่อ), บทนี้ เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส และมีกิตกเปน ภายใน, [ปร + ปติ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัยในกัมมสาธนะ, อาเทศ ติ เปน จ, ซอน จฺ, อาเทศ อิ เปน อย], นัยเดียวกันเชน อปรปฺปตฺติโย เปนตน วิ. น ปโร ปตฺติโย สทฺทหาตพฺโพ เอตสฺส อตฺถีติ อปรปฺปตฺติโย


๑๖๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (บุคคลอื่น อันเขาพึงถึง คือพึงเชื่อ ของเขาไมมี เหตุนั้น เขาจึงชื่อวา อปรปฺปตฺติย) อปราธ (ปุ.) ๑. ความผิด, โทษ, การละเมิด, ความชั่ว ความสำเร็จดวยดีปราศจากไป วิ. อปคโต ราโธ เยน โส อปราโธ อาคุ (ความสำเร็จดวยดีไปปราศ เพราะเหตุใด เหตุนั้น ชื่อวา อปราธ คือความชั่ว), เชนในขอ วา อปราธูปโม สฺูปาทานกฺขนฺโธ [อป + ราธ ธาตุ สํสิทฺธิมฺหิ, ในความสำเร็จดวยดี+ อ ปจจัย] ๒. สภาพที่เบียดเบียน วิ. อปรชฺฌตีติ อปราโธ (สภาพใดยอมเบียดเบียน เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อ วา อปราธ), [อป + รธ ธาตุ หึเส ในความ เบียดเบียน + ณ ปจจัย], ปาฐะวา อปราธํ อปรทฺธํ ดังนี้ก็มีบาง, เชน ปมํป เม อปราธํ อตฺถิ, อปราธิโก ลง ณิก ปจจัยในตัทธิต, เชนใน ขอวา อปราธิกูปโม วิฺาณูปาทานกฺขนฺโธ อปริกฺกมน (นปุ.) ไมมีชาน, ไมมีที่เดินรอบ วิ. ปริโต กมติ คจฺฉติ เอตฺถาติ ปริกฺกมนํ (บุคคล กาวเดินไปรอบในที่นั่น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา ปริกฺกมน), [ปริ + กมุ ธาตุ คมเน ในความไป + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน, ซอน กฺ] วิ. นตฺถิ ปริกฺกมนํ เอตฺถาติ อปริกฺกมนํ อนุปจารํ กุฏิวตฺถุ (ชาน ไมมีที่กุฏินั้น เหตุนั้น กุฏินั้น ชื่อวา อปริกฺ- กมนํ, ไดแก ที่ใกลเคียง คือเครื่องประกอบกุฏิ), บทนี้เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส, แปลง น เปน อ อปริโภค (ติ.) ไมควรบริโภค, ไมควรใชสอย วิ. น ปริภุฺชิตพฺพนฺติ อปริโภคํ (วัตถุใดอันเขา ไมควรบริโภค เหตุนั้น วัตถุนั้นชื่อวา อปริโภค) น ปริภุฺชนารหนฺติ อตฺโถ (ความวา ไมควรเพื่อ จะบริโภค), [น + ปริ + ภุช ธาตุ อชฺโฌหรเณ ใน ความกลืนกิน + ณ ปจจัย แปลง อุ เปน โอ, แปลง ช เปน ค] อปริมิต (ติ.) นับไมถวน, ไมพึงนับ, ประมาณ ไมได วิ. ปริมินิตพฺพา คณิตพฺพาติ ปริมิตา (สิ่งใดอันเขาพึงนับได เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา ปริมิต), [ปริ + มา ธาตุ ปริมาเณ ในการนับ + ต ปจจัย, แปลงที่สุดแหง มา ธาตุเปน อิ กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน. วิ. น ปริมิตา อปริมิตา (ธรรมชาติอันเขาพึงนับไมได ชื่อวา อปริมิตา), เชนในคำวา อปริมิตคุณคณาลงฺกตสพฺพฺุตฺาณปฺปตฺติยา (ดวยความถึงพระ สัพพุตญาณอันประดับดวยคณุอันหาประมาณ มิได) อปริเมยฺยา วา (นัยหนึ่งมีความวา ไมพึง ประมาณ) ลง ณฺย ปจจัย แปลง อา เปน เอ ซอน ยฺ เชน สพฺพฺุตฺาณาทิอปริเมยฺยคุณ คณาธาโร (พระพุทธเจาทรงเปนที่รองรับ ประมวลพระคุณไมพึงประมาณมีพระสัพพุต ญาณ เปนตน) อปริโยคาหณา (อิตฺ.) การไมรู, การไมหยั่งรู วิ. รูปาทีสุ เอกธมฺมมฺป อนิจฺจาทิสามฺโต น ปริโยคาหตีติ อปริโยคาหณา อปฺปฏิเวโธ (ธรรมชาติใด ไมหยั่งลงสูธรรมแมอยางหนึ่งใน รูปเปนตน โดยความเปนสามัญลักษณะมีความ ไมเที่ยง เปนตน เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อปริโยคาหณา คือการไมรูชัด), [น + ปริ +อว คาหุ ธาตุ ภุสตฺเถ ในความกลา + ยุ ปจจัย และ อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง ยุ เปน อณ, ย อาคม เปนตน] อปลายี (ปุ.) ผูไมหนี, ไมวิ่งหนี, ไมกลัว วิ. ปลายนสีโล ปลายี, น ปลายี อปลายี (ผูมี ปกติวิ่งหนี ชื่อวา อปลายี, ผูมีปกติวิ่งหนีหามิได ชื่อวา อปลายี), [น + ปเล ธาตุ คติยํ ในความไป


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๖๓ + ณี ปจจัย, แปลงเปน อาย] นัยเดียวกันเชน อปลายนํ ลง ยุ ปจจัยในภาวะสาธนะ อปโลกน (นปุ.) การแลดู, การออนวอน วิ. อปโลกิยเต อายาจิยเตติ อปโลกนํ (การแลดู การออนวอน ชื่อวา อปโลกน), [อป + โลก ธาตุ อายาจนตฺเถ ในความออนวอน + ยุ ปจจัย ลง ในอรรถภาวะ] วิ. อปโลเกติ อาปุจฺฉติ อเนนาติ อปโลกนํ, อปโลกนกมฺมํ (เขายอมออนวอน ดวย กรรมนั้น เหตุนั้น กรรมนั้นชื่อวาอปโลกนไดแก อปโลกนกรรม), [อป + โลก ธาตุ อาปุจฺฉเน ใน ความอำลา + ยุ ปจจัย] วิ. อปโลกียเต อปโลกนํ, อปโลกิตํ (อันเขาแลดู ชื่อวา อปโลกนํ ไดแก แลดูแลว), [อป + โลก ธาตุ ทสฺสเน ในการเห็น + ยุ ปจจัย], นัยเดียวกันเชน อาโลกนํ, วิโลกนํ, อุลฺโลกนํ, โอโลกนํ รูปตางกันไปดวยอำนาจ อุปสัค อปโลกิต (นปุ.) พระนิพพาน, ภาวะไมเสีย หายไป, ภาวะเปนเหตุรู วิ. สทา วิชฺชมานตฺตา อปลุชฺชนสภาวํ คจฺฉติ เตน วา วิฺายตีติ อปโลกิตํ นิพฺพานํ (ภาวะใดยอมถึงสภาพไมแตก ทำลายไป เพราะปรากฏมีทุกเมื่อ หรือบุคคล ยอมรูดวยภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปโลกิต), [น + ป + ลุช ธาตุ นสฺสเน ในความ ฉิบหาย + ต + อิ อาคม, แปลง ช เปน ก, และ พฤทธิ์ อุ เปน โอวุทฺธิ ๒. ไปจากโลก วิ. โลกสภาเวน วา วิฺายตีติ โลกิตํ (อีกนัย หนึ่ง ภาวะใดรูโดยสภาพเปนโลก เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา โลกิต, ตพฺภาวาปคมนโต อปโลกิตํ (เพราะไปปราศจากความรูที่เปนโลกนั้น ชื่อวา อปโลกิต) วิ. อปโลกนํ อปโลกิตํ (การแลดู ชื่อวา อปโลกิต), [อป + โลก ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ต ปจจัยในภาวะสาธนะ + อิ อาคม] เชน นาคสฺส วิย อปโลกิตํ, หตฺถินาคสฺส อปโลกนสทิสํ อปโลกนนฺติ อตฺโถ เหมือนการแลดูของ ชาง อธิบายวา การแลดู เหมือนการแลดูของ ชางตัวประเสริฐ) อปโลเกตวฺา (กิ.กิตฺ.) บอกลาแลว, อำลาแลว, เหลียวดู, ชำเลือง วิ. อปโลเกสีติ อปโลเกตฺวา อาปุจฺฉา (อปโลเกตฺวา แปลวา ชำเลืองแลว), [อป + โลก ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + เณ ปจจัยในหมวด จุร ธาตุ + ตฺวา ปจจัย] นัย เดียวกันเชน อปโลเกตุํ (การอำลา, เพื่ออำลา) บทนี้ ลง ตุํ ปจจัย, อปโลเกตพฺโพ (บุคคลผูอัน เขาพึงอำลา) บทนี้ ลง ตพฺพ ปจจัย, อนปโลเกตฺวา (ไมอำลาแลว) เปนตน มีความหมายตรงขาม จัดเปน นปฏิเสธสมาส อปวคฺค (ปุ.) ๑. พระนิพพาน, อปวัคคธรรม, ธรรมที่เวนจากสังขารปรุงแตง วิ. สงฺขารา อปวชฺชนฺติ เอตสฺมาติ อปวคฺโค นิพฺพานํ (สังขารทั้งหลายเวนการปรุงแตงจากภาวะนั่น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปวคฺค คือพระ นิพพาน), [อป + วชฺช ธาตุ + ณปจจัย, แปลง ชฺช เปน คฺค] ๒. ภาวะที่เวนจากการกระทำ, สำเร็จผล วิ. กฺริยํ อปวชฺเชตีติ อปวคฺโค ผลสาธนํ (ภาวะใดเวนการกระทำ เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อปวคฺค คือสำเร็จผล), [อป + วช ธาตุ + ณ ปจจัย, ซอน คฺ, แปลง ช เปน ค], ใน อภิธานัปปทีปกาฎีกา กลาววา อปวคฺโค ใชใน ความหมายวา ปริจฺจาค อาวสาน และ วิมุตฺติ, สวนในโถมนิธิ วา อปวคฺค, ปุ, อป วเช, ภาเว ฆฺ, ทาเน, นิพฺพานโมกฺเข, ผลสาธเน, สมตฺเต (อปวคฺค เปนปุงลิงค อป บทหนา วเช ธาตุ ฆฺ ปจจัยในภาวะสาธนะ ใชในความหมายวา ทาเน นิพพานโมกฺข ผลสาธเน สมตฺเต) ในสัททัตถเภท-


๑๖๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา จินดาทีปนี วา กิริยาปวคฺโค จ นาม กฺริยาย อาสุ ปรินิาปนนฺติ. อิมินา นเยน วิคฺคโห กาตพฺโพ กิริยํ อปวชฺเชติ อาสุ สีฆํ นิปฺผาเทตีติ กิริยาปวคฺโค (ก็ชื่อวา กิริยาปวคฺค ไดแก การทำกิริยา ใหสำเร็จโดยเร็ว. ดวยนัยนี้ บัณฑิตพึงวิเคราะห วา สิ่งใดทำกิริยาใหสำเร็จ คือยังกิริยาใหเผด็จ เร็ว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา กิริยาปวคฺค) อปวชฺช (ปุ.) ธรรมที่เวนจากสังขารปรุงแตง วิ. สงฺขารา อปวชฺชนฺติ เอตสฺมาติ อปวชฺโช (สังขารทั้งหลายเวนการปรุงแตงจากภาวะนั่น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปวชฺช), [อป + วชฺช ธาตุ วชฺชเน ในความเวน + อ ปจจัย] อปวชฺชน (นปุ.) การสละ, การให, การบริจาค วิ. อปวชฺชิยเตติ อปวชฺชนํ จาโค (อันเขายอม สละ เหตุนั้น จึงชื่อวา อปวชฺชน ไดแก การ สละ), [อป + วชฺช ธาตุ วชฺชเน ในความเวน + ยุ ปจจัย] อปวาท (ปุ.) คำติเตียน, การกลาวโทษ, การ ติเตียน, การโจทย ๑. วิ. อปวทตีติ อปวาโท (ภาวะใดยอมกลาวโทษ เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปวาท), [อป + วท ธาตุ วจเน ในความกลาว + ณ ปจจัย] ๒. วิ. ครหเณน วาโท อปวาโท อวณฺณวาโท (การกลาวดวยการติเตียน ชื่อวา อปวาท คือการกลาวโทษ), นัยเดียวกันเชน อุปวาโท บทนี้มี อุป เปนบทหนา อปวิทฺธ (ติ.) ถูกขวางไป, ถูกปฏิเสธ, อันเขาทิ้ง แลว, อนาถา วิ. อปวิชฺฌีติ อปวิทฺโธ, ฉฑฺฑิโต, ปวิโ วา (สิ่งใดอันเขาทิ้งแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปวิทฺธ ไดแก อันเขาทิ้งแลว), [อป + วิธ ธาตุ ภาเค ในการแบง + ต ปจจัย แปลง ต เปน ธ และแปลง ธ เปน ท] อปสกฺเกตฺวา (กิ.กิตฺ.) หลีกไปแลว, หลบไป แลว, เลี่ยงไปแลว, กาวลงแลว, กาวกลับแลว วิ. อปสกฺกิโต อปคโตติ อปสกฺเกตฺวา, โวกฺกมฺม (อปสกฺเกตฺวา แปลวา หลีกไปแลว ไปปราศแลว หมายถึง กาวลงแลว), [อป + สก ธาตุ สตฺติยํ ใน ความอาจ + เณ ปจจัยประจำหมวดธาตุ + ตฺวา ปจจัย, ซอน กฺ] ปาฐะวา อปสกฺกิตฺวา ก็มี, อิ อาคม. ปฏินิวตฺติตฺวา ปฏิกฺกมฺม วาติ อตฺโถ. (หมายความวา กลับแลว กาวกลับแลว), อปสกฺกนํ (การหลีกไป) ลง ยุ ปจจัย ใน ภาวสาธนะ อปสพฺย (นปุ.) ๑. ปฏิกูล, นาเกลียด วิ. ปฏิปกฺขภาเวน สวติ คจฺฉตีติ อปสพฺยํ ปฏิกูลํ (สิ่งใดไปโดยความเปนปฏิปกข เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปสพฺย คือนาเกลียด), [อป + สว ธาตุ คติยํ ในความไป + ย, แปลง ว เปน พ] ๒. เบื้องขวา วิ. สพฺยโต วามสรีรโต อปคตํ อปสพฺยํ, อปสวฺยํ วา (ขาวไปปราศสรีระขาง ซาย ชื่อวา อปสพฺย, อปสวฺย), วิ. ทกฺขิณํ กเฬวรํ อปสพฺยํ นาม (รางขางขวา ชื่อวา อปสพฺย), [อป + สพฺย] อปสฺมาร (ปุ.) โรคลมบาหมู, ผูมีสรณะไปปราศ วิ. อปคโต สาโร ยสฺมา โส อปสฺมาโร (สรณะ ไป ปราศจากผูใด ผูนั้นชื่อวา อปสฺมาร), [ม อาคม, วณฺณวิปริยาย เปลี่ยนตัวอักษร) อปสฺส (นปุ.ปุ) พนักพิง, เครื่องหนุน, หมอน ขาง, เตียง, เสื่อ วิ. อปสฺสิยเตติ อปสฺสํ (สิ่งใด อันเขาพิง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปสฺส), [อป + สิ ธาตุ เสวายํ ในความเสพ หรือ สเย ในการนอน + อ ปจจัย, ซอน สฺ] ปาฐะวา อปสฺสโย ก็มี, บท นั้นเปนปุงลิงคในวิสุทธิมรรค ๑/๙๘ ปรากฏวา อปสฺเสนํอปสฺสยํ, วิ. อปสฺสนียนฺติ อปสฺเสนํ,


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๖๕ นิจฺจปริโภโค มฺโจ วา ปํ วา (สิ่งใดอันเขาพิง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปสฺเสน ไดแกเตียงหรือตั้ง ที่ใชประจำ), [อป + สิ ธาตุ สเย ในความนอน + อนีย ปจจัย สํวณฺเณตพฺพปเท ในอรรถวาตอง พรรณนา, แตบทสำหรับพรรณนา ลง ยุ ปจจัย ในอรรถกัมมสาธนะ อปสฺสย (ปุ.นปุ.) พนักพิง, เครื่องหนุน, การพิง, การหนุน, การอาศัย วิ. อปสฺสยตีติ อปสฺสยํ (ภาวะใดยอมพิง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปสฺสย), [อป + สิ ธาตุ สเย ในความนอน + อนฺต ปจจัย, แปลง อิ เปน อย เปนตน] อปสฺสาย (กิ.กิตฺ.) พิงแลว, อาศัยแลว วิ. อปสฺสยิตฺถาติ อปสฺสาย (เขาอาศัยแลว ชื่อวา อปสฺสาย), [อป + สิ ธาตุ สเย ในความนอน + ตฺวา ปจจัย แปลง ตฺวา เปน ปฺย, ในเพราะ ปฺย แปลง อิ แหง สิ เปน อา, ลบ ปฺ อนุพันธ], แมคำ วา อปสฺสยิตฺวา ก็นัยนี้ แปลง อิ เปน อย อปสาท (ปุ.) การรุกราน, การติเตียน วิ. อปกํ สทติ คจฺฉตีติ อปสาโท (คำใดดำเนิน ไปสูความงุนงาน เหตุนั้น คำนั้น ชื่อวา อปสาท), [อป + สท ธาตุ คติยํ ในความไป + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา] อปสาเทตพฺพ (ติ.) ผูอันเขาพึงรุกราน, ผูอัน เขาตะเพิด, ผูอันเขาพึงปราม วิ. อปสาทียเตติ อปสาเทตพฺโพ, ปณาเมตพฺโพ (ผูใดอันเขาพึง รุกราน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปสาเทตพฺพ คืออัน เขาพึงปราม), [อป + สาท ธาตุ สาทเน ในความ ยินดี + เณ ปจจัยประจำหมวดธาตุ + ตพฺพ ปจจัย] นัยเดียวกันเชน อปสาทนีโย (ผูอันเขา พึงรุกราน) อนีย ปจจัย, อปสาทิโต (อันเขา รุกรานแลว) ต ปจจัยเปนกัมมวาจก, อปสาทนํ (การรุกราน) บทนี้ลง ยุ ปจจัย, อปสาเทตุํ (เพื่อ อันรุกราน) บทนี้ลง ตุํ ปจจัย อปหริต (ติ.) มีของเขียวไปปราศแลว, มีวัตถุมี สีเขียวไปปราศแลว วิ. อปคตํ หริตํ ยสฺมาติ อปหริตํ, อปหริตกํ หริตวิรหิตนฺติ อตฺโถ (ของ เขียวไปปราศจากวัตถุใด เหตุนั้น วัตถุนั้น ชื่อวา อปหริต, หมายความวา มีของเขียวไปปราศ คือ เวนจากของเขียว), [อป + หริต] นัยเดียวกันเชน อปหริตพฺพํ (ของเขียวอันเขาพึงนำไปปราศ), [อป + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ตพฺพ ปจจัย + อิอาคม] อปเนตพฺพนฺติ อตฺโถ (หมายความวา พึงนำออกไป) อปหาร (ปุ.) การนำหลีกไป, การถือเอาเสีย, การฉวยเอาไป, การนำไป, การปลน, โจรกรรม วิ. อปกฺกมฺม หรณํ อปหาโร (การเขาไปชิงเอา ชื่อวา อปหาร), [อป + หร ธาตุ หรเณ ในความ นำไป + ณ ปจจัย ลบ ณ อนุพันธและพฤทธิ์ อ เปน อา] อปฺป (ติ.) ๑. เล็กนอย, เลว, เบาบาง, นิดหนอย วิ. อเปสิ อีสกมตฺตํ อคมาสีติ อปฺป อพหุ (สิ่งใด ไปถึงความเปนของเล็กนอย เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อปฺป), [อป ธาตุ ปาปุณเน ในความถึง + ป ปจจัย กจฺ.๓๙๑ รูป. ๔๒๓ วา ยท เปนตน, หรือ ป ปจจัย โมคฺ. ๗/๑๑๔ วา จมาปปาวปา โป. ๒. สิ่งที่เขากับฐานะนั้นๆ วิ. ตํ ตํ านํ อปฺเปตีติ อปฺป (สิ่งใดไปสูที่นั้นๆ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปฺป), [อปฺป ธาตุ ปาปุณเน ในความถึง + อ ปจจัย] แตใน กจฺจายนตฺถทีปนี วิ. อปฺโปติ ตํ ตํ านํ วิสรติ ปปฺโปตีติ วา อปฺป (สิ่งใดยอม ไป คือซานไปสูที่นั้นๆ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปฺป), วิ. อลฺยเต นิวารียเตติ อปฺป (สิ่งใดอันเขา ปฏิเสธคือหาม เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปฺป), [อล


๑๖๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ธาตุ ภูสนปริยตฺตินิวารเณสุ ในความประดับ ปริยัติ และการหาม + ป ปจจัย, แปลง ล เปน ป], บางแหงวา อปฺป ศัพท อภาวตฺโถ มี ความหมายวา ไมมี เชน อปฺปจฺโฉติ อนิจฺโฉ จ, รูปาทิกามคุเณสุ อนิจฺฉนฺโตติ อตฺโถ (บทวา อปฺปจฺโฉ แปลวา ทั้งไมตองการ อธิบายวา ไม ปรารถนาในกามคุณมีรูปเปนตน) อปฺปจฺจกฺขาย (กิ.กิตฺ.) ไมปฏิเสธแลว, ไมสละ, ไมลา, ไมบอกคืน, ไมลาสิกขา วิ. น ปจฺจกฺขตฺวาติ อปฺปจฺจกฺขาย (บทวา อปฺปจฺจกฺขาย แปลวา ไม บอกคืนแลว), [น + ปติ + อา + ขา ธาตุ กถเน ในความกลาว + ตฺวา ปจจัย อาเทศ ตฺวา เปน ย เปนตน] ปฺรติอุปสคฺโค ปน ยตฺถ ปฏิอาทิโ วา ปจฺจาเทสวเสน วา กโต โหติ, ตตฺถ พฺยฺชนาคโม น โหตีติ วทนฺติ. สุปฏิปนฺโน, สงฺขารปจฺจยา อิจฺจาทิ ทพฺพํ (แตในที่ใดที่ ปฺรติ อุปสัค ถูก อาเทศเปน ปฏิ หรือถูกอาเทศเปน ปจฺจ, ในที่ นั้นนักไวยากรณกลาววา ไมลงพยัญชนะอาคม, พึงเห็นตัวอยางเชน สุปฏิปนฺโน, สงฺขารปจฺจยา เปนตน), แตในบางอุทาหรณ ก็มีการลง พยัญชนะบาง เชน อปฺปฏิรูโป, สปฺปฏิภโย เปนตน อปฺปจฺจย (ปุ.) ๑. โทมนัส, ความบูดบึ้ง, ความ ไมพอใจ วิ. น ปจฺเจติ เตนาติ อปฺปจฺจโย (บุคคล ยอมไมหวนกลับไป เพราะภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปฺปจฺจย), โทมนสฺสสฺเสตํ อธิวจนํ (คำวา อปจฺปจฺจย นั้นเปนชื่อของ โทมนัส), [น + ปติ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย, แปลง ติ แหง ปติ ทั้งตัวเปน จ ดวย สูตร กจฺ.๑๙ รูป.๒๒ วา สพฺโพ จํ ติ, ซอน จฺ, อาเทศ อิ ธาตุ เปน อย]. เอตฺถ จ อปฺปตีตา โหนฺติ เตน อตุา อโสมนสฺสิกาติ อปฺปจฺจโยติ อตฺโถ เวทิตพฺโพ. (ในขอนี้ พึงทราบความหมาย วา คำวา อปฺปจฺจโย หมายถึง ภาวะที่เปนเหตไุม พอใจ ไมยินดี ไมสุขใจ), ๒. ไมมีปจจัย วิ. อถ วา อปฺปจฺจโยติ น ปจฺจโย อนาหาโรติ อตฺโถ. อปฺปจฺจโยติ อนุปาทาโน, นิรินฺธโนติ อตฺโถ (อีก ประการหนึ่ง อปฺปจฺจย หมายถึง ไมมีปจจัย ไมมีเหตุที่มา, คำวา อปฺปจฺจย หมายถึง ไมมี ความยึดมั่น ไมมีเชื้อ) อปฺปจฺจุทฺธรณ (นปุ.) ไมถอน, ไมเลิก วิ. น ปจฺจุทฺธรณํอปฺปจฺจุทฺธรณํ, อปฺปจฺจุทฺธาโร (การ ไมถอน ชื่อวา อปฺปจฺจุทฺธรณํ คือการไมถอน), [น + ปติ + อุ บทหนา + ธร ธาตุ ธารเณ ใน ความทรงไว + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน] ดู อธิบายอุโทสิตสิกขายท ใน กงฺขาวิตรณีอกถา อปฺปฏิฆ (ติ.) ไมถูกกระทบกระทั่ง วิ. ตาสุ ทิสาสุ กตฺถจิ สตฺเต วา สงฺขาเร วา ภเยน น ปฏิหฺตีติ อปฺปฏิโฆ (ผูใด ไมถูกระทบเพราะ กลัว ในทิศทั้งหลาย ในสัตวหรือในสังขารบาง แหง เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปฺปฏิฆ), [น + ปฏิ + หน ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + ร ปจจัย, แปลง หน เปน ฆ] อปฺปฏินิสฺสฏ (ติ.) ไมสละคืนแลว, อันเขาไม สละคืนแลว วิ. น ปฏินิสฺสโ อปฺปฏินิสฺสโ (สิ่งอันเขาไมสละคืนแลว ชื่อวา อปฺปฏินิสฺส), [น + ปฏิ + นิ + สช/สชฺช ธาตุ สงฺเค ในความ ของ + ต ปจจัย, อาเทศ ต และที่สุดธาตุเปน ] อปฺปฏิปุคฺคล (ปุ.) มีบุคคลเปรียบหามิได, ไมมี บุคคลเปรียบ, ไมมีบุคคลเปรียบ, พระพุทธเจา วิ. นตฺถิ ปฏิปุคฺคโล ยสฺสาติ อปฺปฏิปุคฺคโล, พุทฺโธ (บุคคลผูเปรียบไมมีแกพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น เหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๖๗ พระองคนั้น จึงทรงพระนามวา อปฺปฏิปุคฺคล คือพระพุทธเจา), นตฺถิ เอตสฺส ปฏิปุคฺคโล อธิโก, สทิโส วาติ อปฺปฏิปุคฺคโลติ วุตฺตํ โหติ, ตถา หิ คุณวเสน อนนฺตาปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อตฺตนา อธิกสฺส สทิสสสฺวา ปุคฺคลสฺส อภาวโต น เม อาจริโย อตฺถิ สทิโส เม น วิชฺชติ, สเทวกสฺมึ โลกสฺมึ นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโลติ. อตฺตนาว อตฺตโน อวิปรีโต อปฺปฏิปุคฺคลภาโว ปฏิฺาโต (มีคำอธิบายวา ทรงพระนามวา อปฺปฏิปุคฺคล เพราะไมมีบุคคลผูยิ่งกวา หรือเสมอ, จริงอยาง นั้น เพราะไมมีบุคคลที่ยิ่งกวา หรือเทากับ พระองค ในโลกธาตุอันไมมีที่สุดหาประมาณ มิได ดวยอำนาจแหงคุณ พระองคจึงตรัสวา อาจารยของเราก็ไม ผูเชนกันดวยเราก็ไมมี บุคคลผูเปรียบกับดวยเราก็ไมมี ความที่พระองคไมมีผูเปรียบดวยพระองค ไม ผิดแปลก อันพระองคทรงปฏิญาณแลว), อตุโล ก็นัยนี้ อปฺปฏิปุจฺฉา (กิ.กิตฺ.) ไมสอบถามแลว วิ. อปฺปฏิปุจฺฉิตฺวา อปฺปฏิปุจฺฉา (อปฺปฏิปุจฺฉา แปลวา ไมสอบถามแลว), [น + ปฏิ + ปุจฺฉ ธาตุ ปุจฺฉเน ในความถาม + ตฺวา ปจจัย, อาเทศ ตฺวา เปน อา, แปลง น เปน อ, ซอน จฺ] อปฺปฏิวตฺติย (ติ.) ไมควรหมุนกลับ, ใหเปนไป ไมได, หมุนกลับไมได, ไมควรปฏิเสธ, ไมควร คัดคาน วิ. ปฏิวตฺติตุํ อสกฺกุเณยฺยนฺติ อปฺปฏิ- วตฺติยํ, อปฺปฏิเสธนียํ อปฺปฏิพาหิยนฺติอตฺโถ (สิ่งใดอันบุคคลไมอาจใหกลับ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปฺปฏิวตฺติย หมายความวา ไมอาจ ปฏิเสธ ไมอาจคัดคาน), [น + ปฏิ + วตุ ธาตุ วตฺตเน ในความเปนไป + ณฺย ปจจัย, ซอน ตฺ, อิ อาคม] อปฺปฏิวานี (ปุ.) ผูไมมีการหวนกลับ, ผูไมเบื่อ หนาย วิ. วีริยปฺปวาเห วตฺตมาเน อนฺตรา เอว ปฏิคมนํ นิวตฺตนํ ปฏิวานํ (เมื่อกระแสความ เพียรยังดำเนินไปอยู การหวนกลับในระหวาง นั่นเอง ชื่อวา ปฏิวานํ), [ปฏิ + วา ธาตุ คมเน ในความไป + ยุ ปจจัย] วิ. ตํ ตสฺส อตฺถีติ ปฏิวานี, ปฏิวาโน วา (การหวนกลับของผูนั้น มีอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ปฏิวานี, ปฏิวาโน), [อี หรือ ณ ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต] วิ. น ปฏิวานี อปฺปฏิวานี (ไมใชบุคคลผูมีการหวนกลับ ชื่อวา อปฺปฏิวานี), นปุพฺพปโท กมฺมธารยสมาส อสํโกจปฺปตฺโต, อนุกฺกณฺิโตติ อตฺโถ (หมายถึง ไมถึงความเบื่อหนาย ไมกระสันขึ้นแลว), ๒. การไมหวนกลับ วิ. อถวา อนฺตราเยว ปฏิคมนํ นิวตฺตนํ ปฏิวานี, น ปฏิวานี อปฺปฏิวานี, อนิวตฺตนาติ อตฺโถ (การหวนกลับ ในระหวาง นั่นแล ชื่อวา ปฏิวานี, การไมหวนกลับ ชื่อวา อปฺปฏิวานี), ๓. ผูไมมีการหวนกลับ วิ. อถ วา นตฺถิ เอตสฺส ปฏิวานนฺติ อปฺปฏิวาโน (การหวน กลับ ของผูนั่นไมมี เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อปฺปฏิวาน) อปฺปฏิวานีย (นปุ.) ไมพึงหวนกลับ, ไมพึง นำกลับหลัง, ไมพึงนำออก วิ. น ปฏิวานียํ น อปเนตพฺพนฺติ อปฺปฏิวานียํ (สิ่งใดอันเขาพึง นำออก เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปฺปฏิวานีย), [น + ปฏิ + วา ธาตุ คมเน ในความไป + อนีย ปจจัย กัมมวาจก], นัยเดียวกัน อปฺปฏิวาโน (ผูไมหวน กลับ) ยุ ปจจัย ในกัตตุสาธนะ) อปฺปฏิเวธ (ปุ.) ๑. การไมรู, การไมตรัสรู, ไมรูแจงแทงตลอด วิ. ปฏิวิชฺฌนํ ปฏิเวโธ


๑๖๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (การตรัสรู ชื่อวา ปฏิเวธ), [ปฏิ + วิธ ธาตุ วิชฺฌเน ในการแทง + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อิ เปน เอ] วิ. น ปฏิเวโธ อปฺปฏิเวโธ, อนนุโพโธ อสมฺโพโธติ อตฺโถ (การตรัสรู หามิได ชื่อวา อปฺปฏิเวธ หมายความวา ไมรู ไมตรัสรู), บทนี้เปน นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส ๒. โมหะ, ความหลง, การไมรูสัจจะ วิ. นปฺปฏิวิชฺฌตีติ อปฺปฏิเวโธ จตุสจฺจธมฺมํ, โมโห (ภาวะใดยอมไม รูแจงแทงตลอด เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อปฺปฏิเวธ ไดแก การไมรูสัจจธรรม ๔) อปฺปฏิสํวิทิต (ติ.) อันเขาไมไดบอกใหรู, อันเขาไมรู, ยังไมไดรับบอก, ยังไมไดรับแจง เตือน วิ. น ปฏิสํวิทิตํ อปฺปฏิสํวิทิตํ (อันเขายัง ไมไดบอกใหทราบ ชื่อวา อปฺปฏิสํวิทิต), [น + ปฏิ + สํ + วิท ธาตุ าเณ ในความรู + ต ปจจัย + อิ อาคม] อปฺปฏิหต (นปุ.) ญาณ, ปญญา, สภาพที่ไมมี การกระทบกระทั่ง, ไมติดขัด วิ. ปฏิหนตีติ ปฏิหโต, โมโห (ภาวะใดยอมกระทบกระทั่ง เหตุ นั้น ภาวะนั้นชื่อวา ปฏิหต คือโมหะ), [ปฏิ + หน ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + ต ปจจัย] วิ. นตฺถิ ปฏิหโต เอตสฺสาติ อปฺปฏิหตํ, าณํ (ภาวะที่กระทบกระทั่งไมมีแกสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปฺปฏิหน ไดแก ญาณ), บทนี้ จัดเปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส อปฺปณิหิต (ปุ.นปุ.) ภาวะที่ไมมีความ ปรารถนา, วิโมกข, พระนิพพาน, มรรค, วิ. ปณิหิตสฺส ตณฺหาปณิธิสฺส อภาวโต อปฺปณิหิโต (ชื่อวา อปฺปณิหิต เพราะไมมีความปรารถนาคือ ตัณหาอันสงไปแลว) วิ. นตฺถิ ปณิหิโต เอตสฺสาติ อปฺปณิหิโต, วิโมกฺโข, ตํ มคฺคสฺเสว นามํ (ความ ปรารถนา ของธรรมนั่น ไมมี เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อวา อปฺปณิหิต ไดแก วิโมกข, คำวา อปฺปณิหิต นั้น เปนชื่อของมรรคนนั่เอง), ๒. ผูมีตนไมไดตั้ง ไวแลว วิ. สมฺมา อปฺปณิหิโต อตฺตา ยสฺสาติ อปฺปณิหิโต (ตนอันไมไดตั้งไวโดยชอบ ของชน ใด มีอยูเหตุนั้น ชนนั้น ชื่อวา อปฺปณิหิต), คำวา ปณิหิตํ ปณิธานํ ปณิธิ ปตฺถนา (ความ ปรารถนา) อาสา (ความอยาก) ชิฆจฺฉา (ความ หิว) ปปาสา (ความกระหาย) โดยใจความก็อยาง เดียวกัน ๓. นิพพาน, ที่ไมมีความปรารถนา วิ. นิพฺพานํ สยํ ปปาสวินยธมฺมตฺตา อาสาสงฺขาตํ สพฺพํ ตณฺหาปณิธึ วา ฉนฺทปณิธึ วา วิเนนฺตํ วิธเมนฺตํ วตฺตตีติ นตฺถิ ตสฺมึ ปณิหิตนฺติ อปฺปณิหิตํ (นิพพานยอมเปนไปกำจัดความ ปรารถนาดวยตัณหา หรือความปรารถนาดวย ฉันทะที่เรียกวาความอยาก เพราะมีสภาพละ ความกระหายไดเหตุนั้น ความปรารถนาจึงไมม ี ในนิพพานนั้น เหตุนั้น นิพพานนั้นจึงชื่อวา อปฺปณิหิต ไมมีความปรารถนา) ดู ปรมัตถทีปนี, ฉบับแปล หนา ๖๖๙, ๔. นิพพาน, ภาวะที่เวน จากความปรารถนา วิ. ราคาทิปณิธิวิรหิตตฺตา อปฺปณิหิตํ. ตณฺหาปณิธิยา อภาวโต อปฺปณิหิตํ นิพฺพานํ (นิพพาน ชื่อวา อปฺปณิหิต เพราะเวน ความปรารถนามีราคะเปนตน, ชื่อวา อปฺปณิหิต เพราะไมมีความปรารถนาคือตัณหา) อปฺปติสฺสย (ปุ.) ผูไมมีความเคารพ, ไมยำเกรง, ไมรับคำ, หัวดื้อ, ไมออนนอมถอมตน วิ. ครุนา กิสฺมิฺจิ วุตฺเต คารววเสน ปติสฺสวนํ ปติสฺสโว (การรับคำดวยอำนาจความเคารพ เมื่อครูบอกคำบางอยาง ชื่อวา ปติสฺสว), ปติสฺสวภูตํ ตํสภาวฺจ ยํ กิฺจิ คารวํ, นตฺถิ เอตสฺมึ ปติสฺสโวติ อปฺปติสฺสโว, คารววิรหิโต, โสเยว อปฺปติสฺสโย (ไดแก ความเคารพทั้งหมด


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๖๙ ซึ่งเปนการรับคำ และมีการรับคำนั้นเปนสภาพ, การเคารพ ไมมีในบุคคลนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อปฺปติสฺสว คือผูเวนจากความเคารพ, อปฺปติสฺสว นั่นเอง ชื่อวา อปฺปติสฺสย), [แปลง ว เปน ย, น + ปติ + สุ ธาตุ สวเน ในความฟง + อ ปจจัย, อาเทศ อุ เปน อว] ปาฐะวา อปฺปติสฺโส (ผูไมรับคำ) ก็มี, ในคำวาอปฺปติสสฺนี้วิ. ปติสฺสวติ ครุโน อาณํ วา อามาติ วา สมฺปฏิจฺฉตีติ ปติสฺโส (ผูใดยอมยอมฟง คือยอมรับคำสั่งของครู หรือ รับวา ขอรับ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ปติสฺส-ผูรับคำ), [ปติ + สุ ธาตุ สวเน ในความฟง + อ ปจจัย, ลบ อุ, ซอน สฺ] วิ. น ปติสฺโส อปฺปติสฺโส ปติสฺสยรหิโต (ผูไมรับคำ ชื่อวา อปฺปติสฺส คือผูเวนจาก การรับคำ), แปลง น เปน อ, ซอน ปฺ, บทนี้เปน นปุพฺพปโท กมฺมธารยสมาส. วิ. นาสฺส ปติสฺโสติ อปฺปติสฺโส, อเชโก, อนีจวุตฺตีติ อตฺโถ (ความ เคารพไมมีแกผูนั้น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปฺปติสสฺ คือไมใชคนเจริญ ไมใชคนออนนอมถอมตน) นัยนี้เปน นปุพฺพปโท พหุพฺพีหิสมาส, แตวาตาม มติสัททนีติวา อ เปนนิบาตในอรรถปฏิเสธ อปฺปตีต (ติ.) ๑. ไมรูแจง, ไมชัด, ไมปรากฏชัด วิ. ปตียเต ปตีตํ, วิฺาตํ. น ปตีตํ อปฺปตีตํ, อปฺปสิทฺธํ (อันเขารูชัด ชื่อวา ปตีต คือ รูชัดแลว, อันเขารูชัดแลวหามิได ชื่อวา อปฺปตีต), [น + ปต ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย + อี อาคม, ซอน ปฺ] ๒. ไมแชมชื่น, ไมเบิกบาน, ซุมเศรา, เหงาหงอย วิ. น ปตีโต นปฺปตีโต, ปติสุขาทีหิ วชฺชิโต อภิสโฏ อปฺปตีโต, อหตุโ (ผูใดไม แชมชื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา นปฺปตีต, ความวา เปนผูเวนคือหนีหางปติสุขเปน คือผูไมราเริง เบิกบาน), [น + ปติ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย, ทีฆะ อิ เปน อี, อีกประการหนึ่ง น + ปต ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย + อี อาคม] อปฺปนา (อิตฺ.) ๑. อัปปนาสมาธิ, สภาพที่ สัตบุรุษเสพ วิ. สปฺปุริเสหิ อปฺปตพฺพา เสวิตพฺพาติ อปฺปนา (ธรรมชาติใดอันสัตบุรุษ ซองเสพ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อปฺปนา), [อปฺป ธาตุ เสวายํ ในความเสพ + ยุ ปจจัย] ๒. จิตตั้งมั่น, แนบแนน วิ. สมฺปยุตฺตธมฺเม อารมฺมณํ อปฺเปนฺตีติ อปฺปนา (ธรรมชาติเหลา ใดสงสัมปยุตตธรรมไปสูอารมณ เหตุนั้น ธรรมชาติเหลานั้นชื่อวา อปฺปนา), [อปฺป ธาตุ ปาปุณเน ในความไปถึง + ยุ ปจจัย] วิ. เอกคฺคํ จิตฺตํ อารมฺมเณ อปฺเปตีติ วา อปฺปนา (นัยหนึ่ง ธรรมชาติใด สงจิตที่มีอารมณเดียวเปนเลิศ ไป ในอารมณ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อปฺปนา), [อปฺป ธาตุ ปาปุณเน ในความถึง + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค + เณ ใชในอรรถการิต ปจจัย] ๓. ภาวะที่ขจัดกิเลส วิ. นีวรณาทิกิเลเส อเปติ วินาเสตีติ อปฺปนา (ภาวะใดขจัดกิเลสมี นิวรณเปนตน เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปฺปนา), [อป ธาตุ วินาสเน ในความพินาศ + ยุ ปจจัย, ซอน ปฺ, อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๔. การไปถึง วิ. อปฺปนํ ปาปุณนํ อปฺปนา (การลุถึง ชื่อวา อปฺปนา), [อปฺป ธาตุ ปาปุณเน ในความไปถึง + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง ยุ เปน อน] อปฺปมฺา (อิตฺ.) ๑. ไมมีประมาณ, ไมมี กำหนด, ไมมีขอบเขต วิ. นตฺถิปมาณํเอเตสนตฺิ อปฺปมาณา, อปฺปมาณา เอว อปฺปมฺา (ประมาณของธรรมชาติเหลานั้นไมมี เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อปฺปมาณา, ธรรมชาติอันไม มีประมาณนั่นเอง ชื่อวา อปฺปมฺา), [ณฺย


๑๗๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ปจจัย สกตฺเถ หรือ สฺวตฺถตทฺธิต แทนคำวา มีสิ่ง นั้น เชน อภิกฺขฺํ (อภิกฺขณ-ณฺย, เนืองๆ นิรุตฺติ.๕๕) เปนตน], แปลง ณฺย เปน  กจฺ. ๒๖๙ รูป.๔๑ ยวตํ เปนตน, ซอน ฺ, รัสสะ อา เปน อ] ๒. ธรรมชาติที่มีในสัตวทั้งหลายซึ่งไม มีประมาณ วิ. อปฺปมาเณสุ สตฺเตสุ ภวา อปฺปมฺา (ธรรมชาติที่มีในสัตวทั้งหลาย หา ประมาณมิได ชื่อวา อัปปมัญญา), [ณฺย ปจจัย แทนศัพทวามี], เอตา หิ เอตฺตเกสุเยว สตฺเตสุ ปวตฺเตตพฺพา, น อิโต อฺเสูติ เอว ปริจฺเฉทปฺป มาณสฺส อภาวา เอกสฺมึ สตฺเต ปวตฺตาป อปฺปมฺา เอว นาม โหนฺตีติ (ความจริง ธรรมชาติ เหลานั้น แมเปนไปในสัตวตัวเดียว ก็ไดชื่อวา อัปปมัญญา-หาประมาณมิได อยูนั่นเอง เพราะ ไมมีกำหนดเลยวา อันเขาใหเปนไปในสัตว ประมาณเทานั้น เปนไปในสัตวเหลาอื่นจากนี้ก็ หามิได) อปฺปมตฺตก (ติ.) มีประมาณนอย, เล็กนอย, นิดหนอย วิ. อปฺป มตฺตํ เอตสฺส วตฺถุสฺสาติ อปฺปมตฺตกํ ปริตฺตํ โถกํ มนฺทํ ลามกนฺติ อตฺโถ (ประมาณนอยของวัตถุนั้นมีอยู เหตุนั้นวัตถุนั้น ชื่อวา อปฺปมตฺตก หมายถึง นอย นิดหนอย เบา ต่ำตอย), [ก ปจจัยทายสมาส] อปฺปมาท(ปุ.)ความไมประมาท,ไมปราศจากสติ วิ. ปฏิปตฺติยํ นปฺปมชฺชติ เอเตนาติ อปฺปมาโท, สติยา อวิปฺปวาโส (บุคคลยอมไมเลินเลอ ในการ ปฏิบัติ ดวยธรรมนั่น เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อปฺปมาท ไดแก การไมอยูปราศจากสติ), นิจฺจลํ อุปิตาย สติยา นาเมตํ, ตยิทํ ฌานวิปสฺสนาสงฺขาตานํ โลกิยานํ วเสน, น โลกุตฺตรานนฺติ วุตฺตํ โหติ (คำวา อปฺปมาท นั้นเปนชื่อของสติ ที่ตั้งมั่นไมหวั่นไหว, คำนี้นั้นกลาวดวยอำนาจ โลกิยะกลาวคือณานวิปสสนา, หาไดกลาวได ดวยอำนาจโลกุตระไม), [น + ป + มท ธาตุ มทเน ในความเมา + ณ ปจจัย] วิ. อปฺปมชฺชนํ อปฺปมาโท (อนึ่ง ความไมเลินเลอ ชื่อวา อปฺปมาท), [ณ ปจจัย ในภาวะสาธนะ], แตวิเคราะห ลงยุ ปจจัยวา อปฺปมชฺชนํ และทานกลาววา ลง ย อาคม เพราะสระหลัง อปฺปเมยฺย (ติ.) ประมาณไมได, นับไมถวน วิ. น ปมียตีติ อปฺปเมยฺโย (สิ่งนั้นอันเขานับไมได เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปฺปเมยฺย-ประมาณไมได) วิ. ปมียตีติ วา ปเมยฺโย, น ปเมยฺโย อปฺปเมยฺโย (อีกนัยหนึ่ง อันเขาประมาณได ชื่อวา ปเมยฺย, อันเขาประมาณได หามิได ชื่อวา อปฺปเมยฺย), [น + ป + มา ธาตุ มาเน ในความนับ + ณฺย ปจจัย, อาเทศ ย นั้นพรอม อา ที่สุดธาตุนี้เปน เอยฺย], ปเมตุํ อสกฺกุเณยฺโยติ อตฺโถ (อปฺปเมยฺย หมายความวา ไมสามารถเพื่อจะนับได) อปฺปโยคี (ปุ.) ๑. อักษรที่ไมประกอบ, อักษร ที่ไมประกอบในอุทาหรณ, อนุพนัธ, ปจจัยที่ไม ปรากฏในบทสำเร็จมีปจจัยเนื่องดวย ณ เปนตน วิ. น ปโยคีติ อปฺปโยคี, อนุพนฺโธ นาม ณาทิปจฺจเยสุ ทิสฺสติ (อักษรใดไมประกอบ เหตุนั้น อักษรนั้นชื่อวา อปฺปโยคี, ไดแก อักษร ที่ชื่อวา อนุพันธ ปรากฏในปจจัยทั้งหลายมี ณ ปจจัยเปนตน) ๒. ปจจัยที่ไมมีการประกอบใน สูตรทั้งหลาย วิ. น ตสฺส สุตฺตนฺเตสุ ปโยโค อตฺถีติ อปฺปโยคี, ยถา กุมฺภกาโรติ (การประกอบ ปจจัยนั้นในสูตรทั้งหลายมีอยูหามิได เหตุนั้น ปจจัยชื่อวา อปฺปโยคี) เชนบทวา กุมฺภกาโร (ผูกระทำซึ่งหมอ) ดู รูป.๕๕๓ อปฺปรชกฺขชาติก (ติ.) ผูมีชาติแหงผูมีธุลีใน ดวงตานอย, ผูพอจะสอนไดบาง ๑. วิ. อปฺป


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๗๑ รชํ อกฺขิมฺหิ เอเตสนฺติ อปฺปรชกฺขา, อปฺปรชกฺขา ชาติ สภาโว เอเตสนฺติ อปฺปรชกฺขชาติกา (ธุลี ในดวงตาของสัตวเหลานั่นนอย เหตุนั้น สัตว เหลานั้นชื่อวา อปฺปรชกฺขา, ผูธุลีในดวงตานอย เปนชาติ คือเปนภาวะตามที่เปนจริงของสัตว เหลานั่น เหตุนั้น สัตวเหลานี้ ชื่อวา อปฺปรชกฺขชาติกา), [ก สกัตถ ทายสมาส] ๒. วิ. ปฺามเย อกฺขิมฺหิ อปฺป ปริตฺตํ ราคโทสโมหรชํ เอเตสํ, เอวํสภาวา จ เตติ อปฺปรชกฺขชาติกา (ธุลีคือ ราคะ โทสะ โมหะ ในดวงตา ที่สำเร็จดวย ปญญา ของสัตวเหลานั่นนิดหนอย และสัตว เหลานั้นมีธุลีในดวงตานอยอยางนั้นเปนสภาพ เหตุนั้น สัตวเหลานั้น ชื่อวา อปฺปรชกฺขชาติกา), มหาวคฺคฏีกายํ วุตฺตํ อุปกฺกิเลสภูตํ อปฺป ราคาทิรชํ เอตสฺสาติ อปฺปรชํ, อปฺปรชํ อกฺขิ ปฺาจกฺขุ เยสํ เต ตํสภาวาติ กตฺวา อปฺปรชกฺขชาติกาติ อิมมตฺถํ ทสฺเสตุํ ปฺามเยติ- อาทิมาหาติ (ในฎีกามหาวรรค อธิบายไววา ทานกลาวคำวา ปฺามเย-ที่สำเร็จดวยปญญา ไว เพื่อแสดงความนี้วา สัตวทั้งหลายชื่อวา ผูมี ชาติแหงสัตวธุลีในดวงตานอย เพราะทำอธิบาย วา มีดวงตาปญญา อันมีธุลีมีราคะเปนตนซึ่ง เปนอุปกิเลสนอยเปนสภาพ) อปฺปวตฺติ (นปุ.) ความไมเปนไป, ความดับ ทุกขและเหตุแหงทุกข, พระนิพพาน วิ. นิโรโธ อปฺปวตฺติ, ทุกฺขสมุทยานํ อปฺปวตฺตินิมิตฺตํ (การ ดับ ชื่อวา อปฺปวตฺติ, คือการไมเปนไปแหงทุกข และเหตุแหงทุกขเปนนิมิต), เต วา นปฺปวตฺตนฺติ เอตฺถาติ อปฺปวตฺติ, นิพฺพานํ (อีกนัยหนึ่ง ทุกข และเหตุแหงทุกขเหลานั้น ไมเปนไปในภาวะนั่น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปฺปวตฺติ ไดแก นิพพาน) วิ. นปฺปวตฺตนฺติ เอตฺถ ทุกฺขสมุทยา เอตสฺมึ วา อธิคเตติ อปฺปวตฺติ, น ปวตฺติ เอตฺถาติ วา อปฺปวตฺติ (ทุกขและสมุทัยไมเปนภาวะนั้น หรือเมื่อบุคคลบรรลุภาวะนั้นแลว ทุกขและ สมุทัยก็ไมเปนไป เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปฺปวตฺติ), [น + ป + วตุ ธาตุ วตฺตเน ในความ เปนไป + ติ ปจจัย] อปฺปวาริต (ติ.) ไมหาม, ไมปฏิเสธ วิ. ปวาเรติ ปฏิกฺขิปตีติ ปวาริโต, น ปวาริโต ปฏิกฺเขปโต อปฺปวาริโต อปฺปฏิกฺขิตฺตโภชโน (ผูใดยอมหาม เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ปวาริต, อาหารอันเขาไม หามแลว ชื่อวา อปฺปวาริต ไดแก ผูมีโภชนะอัน ไมหามแลว), [น + ป + วาร ธาตุ ปฏิกฺเขเป ใน ความคัดคาน + ต ปจจัย + อิ อาคม], นัย เดียวกันเชน อปฺปฏิกฺขิตฺโต (ไมคัดคานแลว), [น + ปฏิ + ขิป ธาตุ เขเป ในความคาน + ต ปจจัย] อปฺปสฺสุต (ติ.) ผูมีสุตนอย, มีความรูนอย, รูแค หางอึ่ง วิ. อปฺป สุตํ ยสฺสาติ อปฺปสฺสุโต (สุตะ ของบุคคลใดนอย บุคคลนั้นชื่อวา อปฺปสฺสุต), สพฺพนฺติเมน ปริจฺเฉเทน เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ วา สุตฺตนฺตานํ วาป อภาเวน อปฺปสฺสุโต อยนฺติ อตฺโถ (ผูนี้ชื่อวา อปฺปสฺสุต “มีความรูนอย” เพราะไมมี วรรคทั้งหลาย แมเพียงวรรคเดียว หรือ ๒ วรรค บางสวนหรือทั้งหมด หรือพระ สูตรทั้งหลาย แมเพียงสูตรเดียว หรือ ๒ สูตร บางสวนหรือทั้งสตูร), ก็ในที่นี้พึงทราบวา อปฺป ศัพทใชในความหมายวาไมมี เชน อปฺปจฺโฉ, อปฺโปสฺสุกฺโก อปฺปิต (ติ.) แนบแนน, พอกพูน, ถึงพรอม วิ. อปฺปตฺถาติ อปฺปโต, สมปฺปโต (สภาวะใด แนบแนนแลว เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา แนบ แนนแลว), [อปฺป ธาตุ พฺรูหเน ปาปุณเน วา ใน ความพอกพูนหรือในความบรรลุ + ต ปจจัย +


๑๗๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อิ อาคม], แตบัณฑิตพึงทราบวาในบางแหง คำ วา อปฺปต หมายถึง ปตํ (ตั้งมั่น) ฆนํ (กลุม กอน) อปฺปิย (ติ.) อัปรีย, ไมนาชอบใจ วิ. ปยายติ ปยายิตพฺโพติ วา ปโย (ผูใดยอมประพฤติรัก หรืออันเขาพึงประพฤติรัก เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ปย), [ป ธาตุ ตปฺปนกนฺตีสุ ในความเดือดรอน และความพอใจ + ย ปจจัย, รัสสะ อี เปน อิ] วิ. น ปโย อปฺปโย (ผูไมนานัก ชื่อวา อปฺปย), นัยนี้เปน นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส แตใน สันสกฤตมีรูปเปน อปฺริย อปฺเปสกฺข (ติ.) ผูมีศักดิ์นอย, ผูมีอำนาจนอย ๑. วิ. อีสติ อภิภวตีติ อีโส (สิ่งใดยอมครอบงำ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อีส-ความเปนใหญ, อำนาจ, ศักดิ์), [อีส ธาตุ อภิภวเน ในความครอบงำ + อ ปจจัย] วิ. อปฺโป อีโส อปฺเปโส (ศักดิ์อันนอย ชื่อ วา อปฺเปส) วิ. ปเรหิอปฺเปโส อิติ อกฺขายตีติ อปฺเปสกฺโข, อปฺปานุภาโว อปฺปฺาโตติ อตฺโถ (ผูใดอันเขาเรียกวา ศักดิ์นอยกวาชนเหลาอื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปฺเปสกฺข), [อปฺเปส + อา + ขา ธาตุ ปกถเน ในความเรียก + อ ปจจัย กัมม สาธนะ + ซอน ปฺ เปนตน] ๒. วิ. นตฺถิ เอเตสํ อีโสติ อกฺขาตพฺโพติ อปฺเปสกฺโข (ผูใดอันเขาพึง เรียกวา ศักดิ์ของพวกนั่นไมมี เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อปฺเปสกฺขา), นัยนี้เปนสมาสมีกิตกเปนท่ีสุด, ๓. วิ. อาธิปเตยฺยาภาวโต ปเรสํ อุปริ นตฺถิ เอเตสํ อีโส อีสนํ อิสฺสริยนฺติ อกฺขาตพฺพาติ อปฺเปสกฺขา (ชื่อวา อปฺเปสกฺขา เพราะอรรถวา เปนผูอันเขาพึงเรียกวา ไมมีความเปนใหญ เหนือผูอื่น เพราะไมมีความยิ่งใหญ) ฉะนั้น ทาน จึงกลาววา อปฺปปริวารา (ผูมีบริวารนอย), จริง อยู อปฺป ศัพท ในที่นี้ อภาวตฺโถ ใชในอรรถวา ไมมี, ๔. วิ. อถ วา อปฺโป ยโส อปฺเปสกฺโข (อีกประการหนึ่ง ผูมียศนอย ชื่อวา อปฺเปสกฺข), แปลง ย เปน เอ, ก อาคมทายสมาส, ซอน กฺ, แปลง กฺข เปน กฺข, อปฺเปสกฺข ศัพท อปฺปยสอปฺปปริวารอปฺปานุภาวตฺถวาจโก มีความหมาย วา มียศนอย มีบริวารนอย มีอานุภาพนอย อปฺโผฏน (นปุ.) การดีด, การปรบ วิ. อปฺโผฏียเต อปฺโผฏนํ (อันเขาปรบมือ ชื่อวา อปฺโผฏนํ), [อา + ผุฏ ธาตุ วิเภเท ในการทุบทำลาย + ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ, ซอน ปฺ, วิการ อุ เปน โอ] สวน มหาวรรคฎีกา พระฎีกาจารยอธิบายไววา อปฺโผฏนํ วุจฺจติ ภุชหตฺถสงฺฆฏนสทฺโท, อตฺถโต ปน วามหตฺถํอุเร เปตฺวา ทกฺขิเณน ปุถุปาณนิา หตฺถตาฬเนน สทฺทกรณนฺติ (เสียงกระทบกัน ของแขนตั้งแตขอมือไป, แตวาโดยความ หมายถึง การวางมือซายไวที่อก แลวนำฝามือ ขางขวาซึ่งเปนมือสำหรับปรบทำเสียงดังขึ้น), นัยเดียวกันเชน อปฺโผเฏตฺวา (ปรบแลว) ลง เณ ปจจัยในหมวด จุร ธาตุ, ตฺวา ปจจัย ในกัตตุ วาจก, อปฺโผเฏนฺโต (ปรบอยู) ลง อนฺต ปจจัย ในกัตตุวาจก, ปาฐะวา อปฺโปเตฺวา (ปรบแลว) ดังนี้ก็มี อปฺโผฏา (อิตฺ.) มะลิลา, มะลิปา, มะลิวัลย วิ. อา ภุโส ผุฏตีติ อปฺโผฏา วนมลฺลิกา (ดอกไม ใดแยมบานพราวสะพรั่ง เหตุนั้น ดอกไมนั้นชื่อ วา อปฺโผฏา), [อา + ผุฏ ธาตุ วิกสเน ในความ แยม + ณ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, ซอน ปฺ, รัสสะ อา เปน อ] อปางฺค (ปุ.) หางตา, ที่สุดแหงตา, อวัยวะที่ ใกลหู วิ. สรีรสงฺขาตสฺส กณฺณสฺส อป สมีป อปางฺโค. อปงฺโค อวงฺโค วา (ที่ใกลแหงหู คือ สรีระ ชื่อวา อปางฺค, อปงฺค, อวงฺค) อกฺขิโกฏีสุ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๗๓ วามทกฺขิณเนตฺตานํ อนฺเตสุ อปางฺโค วตฺตติ (อปางฺค คือที่อยูหางตา ใกลตาซายขวา), แปลวา ไฝ, รอยเจิม ก็วา อปาจี (อิตฺ.) ทิศใต วิ. มชฺเฌ อปายํ อฺจติ ยสฺสํ ทิสายํ รวิ สา อปาจี, อปาจีนํ วา, ทกฺขิณา ทิสา (พระอาทิตยไปทามกลาง ในทิศใด ทิศนั้นชื่อวา อปาจี, อปาจีน คือทิศใต), [อป + อฺจ ธาตุ คติยํ ในความไป + อี หรือ อีน ปจจัย] อปาทาน (นปุ.) การนำออก, การแยกออก, เปนแดนซานออกไปที่อื่น, ปญจมีวิภัตติ วิ. อปเนตฺวา อิโต อาททาตีติ อปาทานํ อวธิ (การกออกไปแลวจากที่นี้ ยอมถือเอา เหตุนั้น ที่ นั้นชื่อวา อปาทาน ไดแก ขอบเขต) รูป.๓๐๘ [อป + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ยุ ปจจัย] วิ. อเปจฺจ เอตสฺมา อาททาตีติ อปาทานํ (การกออกจากวัตถุนั้นแลว ไปถือเอา เหตุนั้น วัตถุนั้นชื่อวา อปาทาน), [อป + อา + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + ยุ ปจจัยในอรรถ อปาทาน ดวย จ ศัพทในสูตร กจฺ.๕๔๘ รูป.๕๙๗ วา กตฺตุกรณปเทเสสุ อาเทศ ยุ เปน อน], อิโต วตฺถุโต กายวเสน จิตฺตวเสน วา อปคนฺตฺวา อฺํ คณฺหาตีติ อตฺโถ (หมายความวา การก ออกจากวัตถุนี้ ดวยอำนาจกายหรือจิต ไป ถือเอาวัตถุอื่น), [อป + อา + ทา ธาตุ + ยุ ปจจัยในอปาทานสาธนะ] อปาทานปโยคิก (ปุ.) บทที่ควรประกอบ อรรถอปาทาน, บทที่สามารถประกอบกับ ปญจมีวิภัตติ วิ. อปาทานปโยคํ อรหนฺตีติ อปาทานปโยคิกา (บทเหลาใด ยอมควร ประกอบอปาทาน เหตุนั้น บทเหลานั้นชื่อวา อปาทานปโยคิกา), กจฺ.๒๗๕ [ณิก ปจจัยแทน อรหนฺติ] อปาน (นปุ) ลมหายใจเขา, ลมไปปราศอานะ วิ. อานํ วุจฺจติ พหินิกฺขมนวาโต, ตโต อปคตํ อปานํ, อนฺโต ปวิสนวาโต (ลมหายใจออก ทาน เรียกวา อาน, ลมไปปราศจากอานนั้น ชื่อวา อปาน คือลมหายใจเขา), [อป + อน ธาตุ ปาณเน ในการหายใจ + อ ปจจัย] อปามคฺค (ปุ.) หญาเขี้ยวงู, หญาพันงู, หญา ชวยใหไมลืมนุงผา เปนตน วิ. วตฺถาทิกํ อปมชฺชนฺติ เอเตนาติ อปามคฺโค วิมุขปุปฺผี เสขริโก (ชนทั้งหลายไมลืมผาเปนตน ดวยหญา นั่น เหตุนั้น หญานั้นชื่อวา อปามคฺค คือหญา พันงู หญาพันงู), [อป + มชฺช ธาตุ มชฺชเน ใน ความลืม + ณ ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา, แปลง ชฺช เปน คฺค] อปาย (ปุ.) ๑. อบาย ที่ไมมีความเจริญ วิ. นตฺถิ ปาโย วุทฺธิ เอตฺถาติ อปาโย, วฑฺฒิ (ความ เจริญงอกงาม ไมมีในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อปาย ไดแก ความเจริญ), [เป ธาตุ วุทฺธิยํ ใน ความเจริญ + ณ ปจจัย, แปลง เอ เปน อาย] วิ. นตฺถิ ปาโย วุทฺธิ เอตฺถาติ อปาโย (ความ เจริญไมนีในภูมินั้น เหตุนั้น ภูมินั้นชื่อวา อปาย), บทนี้เปนสัตตมีพาหิรัตถสมาส คือสัตตมีพหุพพิหิสมาส ๒. ที่พลาดจากบุญสมบัติ วิ. ติสฺโส สมฺปตฺติโย อยนฺติ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺติ เอเตนาติ อโย, ปุฺํ (สมบัติ ๓ ยอมดำเนินไปได ดวยสิ่ง นั้น เหตุนั้นสิ่งนั้น ชื่อวา อย คือบุญ), [อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย] วิ. อยา เยภุยฺเยน อปคโตติ อปาโย (ภาวะที่ไปปราศจากเหตุ เปนไปแหงสมบัติที่เรียกวาบุญ เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อปาย), นัยนี้เปนปญจมีอัพยยีภาวสมาส, มีการสลับบท วิ. อถวา ปุฺสมฺมตา อยา เยภุยฺเยน อปคโตติ อปาโย, อาโย อโยติ วา


๑๗๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา วุจฺจติ วุฑฺฒิ, ตโต อเปโต อปาโย, อยโต วา สุขโต อเปโตติ อปาโย (อีกนัยหนึ่ง ภาวะใดไป ปราศจากความเจริญที่เรียกกันวาบุญ เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อปาย, ความเจริญ เรียกวา อาย หรือ อย, ภาวะที่ไปปราศจากความเจริญนั้น ชื่อวา อปาย, ที่ชื่อวา อปาย เพราะไปปราศจาก ความเจริญและสุข) เปนอัพยยีภาวสมาส, ๓. สัตวผูไมมีความเจริญ วิ. นตฺถิ เอตฺถ อโยติ อปาโย, สตฺโต (ความเจริญไมมีในสัตวนั้น เหตุ นั้น สัตวนั้นชื่อวา อปาย ไดแก สัตว) นัยนี้เปน พหุพพิหิสมาส, แต อปาย ศัพท ในบางแหง หมายถึงอบาย ๔, บางแหงหมายถึง นรก หรือ อบายภูมิอื่นจากนรกนั้น, ความจริง อปาย ศัพท มีความหมายวา นรก หรืออบายอื่นๆ จากนั้น ในขอวา อปายํ ทุคฺคตึ วินิบาต นิรยํ อุปฺปนฺนา (สัตวเกิดในนรก อันเปนอบาย ทุคติ วินิบาต), เพราะเหตุนั้นในสมันตปาสาทิกา ทานจึงกลาว วา อปายนฺติ เอวมาทิ สพฺพํ นิรยเววจนํ (คำวา อปาย อยางนี้เปนตน เปนไวพจนของ นรก ทั้งหมด), อีกนัยหนึ่ง ทานแสดงถึงกำเนิดสัตว เดรัจฉานดวย อปาย ศัพท, ที่จริง กำเนิดสัตว เดรัจฉานนั้น ชื่อวา อบาย เพราะไปปราศจาก สุคติ, เพราะทุคคติ พวกนาคราชเปนตนผูไม ศัพทใหญไมเกิดขึ้น) ความสังเขปในขอนี้เทานี้ สวนความพิสดารนักศึกษาพึงคนหาในสมันตปาสาทิกา เปนตน อปายคมนีย (ติ.) สิ่งที่ทำใหสัตวไปอบาย วิ. สตฺตํ อปาเย คาเมติ, โส วา คจฺฉติ เอเตนาติ อปายคมนียํ (สิ่งใดยอมยังสัตวใหไปอบาย หรือ สัตวนั้นยอมไปอบายดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปายคมนีย), [อปาย + คม ธาตุ คมเน ในความไป + อนีย ปจจัย] อปายมุข (นปุ.) อบายมุข, ทางแหงความ เสื่อม วิ. อเปติ อปคจฺฉติ อเปนฺติ วา เอเตนาติ อปาโย (สัตวหรือสัตวทั้งหลายไปปราศ ดวยสิ่ง นั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อบาย-ความเสื่อม), [อป + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ณ ปจจัย, อาเทศ อิ เปน อาย] วิ. อปายสฺส มุขํ อปายมุขํ (ปากทางแหงความเสื่อม ชื่อวา อปายมุขํ), บทนี้ จัดเปน ฉฐีตปฺปุริสสมาส. วิ. อปาโย เอว มุขํ ทฺวารนฺติ อปายมุขํ (ประตูคือความเสื่อม เหตุ นั้น ชื่อวา อบายมุข), นัยนี้เปน กมฺมธารยสมาส อปาร (อพฺ.) ๑. ฝงนี้, ฝงใน, ฝงอื่นจากฝงนอก, ตรงขามกับฝงโนน วิ. ปารโต อฺํ ตีรํ อปารํ โอรํ (ฝงอื่นจากฝงนอก ชื่อวา อปาร คือฝงใน), [น + ปาร, แปลง น เปน อ] ๒. พระวินัยไมมีฝง วิ. นตฺถิ ปารํ เอตสฺสาติ อปาโร, วินยสาคโร (ฝง ของปฎกนั้นไมมี เหตุนั้น ปฎกนั้นชื่อวา อปาร ไมมีฝง ไดแก มหาสมุครคือพระวินัย), โส หิ ปุริมพุทฺธุปฺปาเทสุ สาสนํ ปสีทิตฺวา วินยปฏเก อุคฺคหณธารณปฏิปาทนปฏิปตฺติวเสน อกตาธิ- กาเรหิ ปุคฺคเลหิ ทุรธิคมนียธมฺมตฺถนิรุตฺติ- ปฏิภานปริยนฺตตาย อปาโรติ วุจฺจติ (ความจริง วินัยสาครนั้น ทานเรียกวา อปาร ไมมีฝง เพราะ มีกำหนดดวยธรรมปฏิสัมภิทา อัตถปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา และปฏิภารปฏิสัมภิทา อันผู เลื่อมใสคำสอนในคราวอุบัติขึ้นของพระพุทธเจา พระองคกอน ไมไดกระทำบุญไว บรรลุถึงไดโดย ยาก ดวยการเรียน ทรงจรงทำ ปฏิบิติใหถึง พรอม) อปารุต (ติ.) เปดเผย, เปด, เปลือย, ไมนุงผา วิ. ปฏิจฺฉนฺเนน อาโรปตาติ ปารุตา, น ปารุตา อปารุตา, วิวฏาติ อตฺโถ (สิ่งที่งอกเงยแลวโดย การปดบังไว เหตุนั้น ชื่อวา ปารุตา-สิ่งที่ถูก


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๗๕ ปกปด, สิ่งที่ถูกปกปดหามิได ชื่อวา อปารุตา, หมายความวา เปดเผย), [น + ป + อา + รุป ธาตุ โรปเน ในความงอก + ต ปจจัย, ลบ ป] ตัวอยางเชน นคฺคาติ อนิวตฺถา วา อปารุตา วา (บทวา นคฺคา คือไมนุงผา หรือไมปกปด) อปิทหิต (ติ.) ปดแลว, อันเขาปกปดแลว วิ. อปธียิตฺถาติ อปทหิโต ปทหิโต, อปหิโต ปหิโต วา (สิ่งใดอันเขาปดแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อปทหิต สำเร็จเปน ปทหิโต, อปหิต, ปหิต ก็มี), [อป + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรง ไว + ต ปจจัย + อิ อาคม, เมื่อ ธ แลวแปลงเปน พยัญชนะที่ ๓ คือ ทฺ, แปลง ธ ที่อยูหลังเปน ห ดวยสูตร โมคฺ.๕/๑๐๓ วา ธาสฺส โห, ลบ อ ดวย สูตรนิรุตติทีปนีนิรุตฺติ.๓๓ วา ตทมินาทีนิ, หรือ แปลง ธา เปน ห โมคฺ. ๕/๑๐๘ วา ธาสฺส หิ] นัย เดียวกันเชน อปทหิตฺวา, ปทหิตฺวา, อปธาย, ปธาย แปลง ตฺวา เปน ย, อปทหิตฺวาน ลง ตฺวา ปจจัยเปน ตฺวาน, อปทหิตพฺพํ, ปทหิตพฺพํ บท นี้ลง ตพฺพ ปจจัยในภาววาจกและกัมมวาจก อปิธาน (นปุ.) ๑. วัตถุที่ปด, ฝาปด, เครื่องวาง ขางบน, ฝาละมี, ฝาชี วิ. อปธรตีติ อปธานํ ฉาทนํ (วัตถุใดยอมปดไว เหตุนั้น วัตถุนั้นชื่อวา อปธาน คือสิ่งที่ใชปดไว), [อป + ธร ธาตุ ธารเณ ในความทางไว + ยุ ปจจัย, แปลง ธร เปน ธา], อป อุปสัคเปนตน สองอรรถการปดกั้น ความหมายของธาตุ, ๒. การปด, การกำบัง, การกั้นไว วิ. อปธรติ อปทหติ อาวุโณตีติ อปธานํ ติโรธานํ (สิ่งใดยอมทรงไว ทานไว กั้นไว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปธาน ไดแก กันไว ภายนอก), [อป + ธา ธาตุ อาวรเณ ในความ ปองกัน + ยุ ปจจัย ปาฐะวา ปธานํ ก็มี, ใน เพราะพยัญชนะ ลบสระ ดวยสูตรนิรุตติทีปนี นิรุตฺติ.๓๓, โมค.๑/๔๗ วา ตทมินาทีนิ นัย เดียวกันเชน อลาพุ ลาพุ, นหานํ นฺหานํ, อุสุมา อุสฺมา, เจติยานิ เจตฺยานิ, สิเนโห เสฺนโห, กิเลสวตฺถูนิ เกฺลสวตฺถูนิ เปนตน อปิเธยฺย (ติ.) อันเขาพึงปด วิ. อปทหิตพฺพนฺติ อปเธยฺยํ, ปเธยฺยํ วา (สิ่งใดอันเขาพึงปด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อปเธยฺย หรือ ปเธยฺย), [อป + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ฆฺยณฺ ปจจัย แปลง อา เปน เอ, ซอน ยฺ หรือลบ อ] อปิยวาที (ปุ.) ผูพูดคำไมเปนที่รักโดยปกติ, กักขฬะ, มักพูดคำอัปรีย วิ. อปยํ วจนํ วทติ สีเลนาติ อปยวาที (ผูใดยอมกลาวคำอันไมเปน ที่รักโดยปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อปยวาที), [อปย + วท ธาตุ + ณี ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา และลบ ณ] อปิลาปน (นปุ.) การไมเลื่อนลอย, การไมฟนเฟอน, การระบุ, การพูดเพอเจอ วิ. อุทเก อลาพุ วิย ปลวิตฺวา คนฺตุํ อทตฺวา ปาสาณสฺส วิย นิจฺจลสฺส อารมฺมณสฺส ปนํ สรณํ อสมฺมุตากรณํอปลาปนํมู.ฏี.๑/๒๑๘ (การตั้งอารมณให มั่น ไมเลื่อนไหลไป เหมือนหิน ไมใหไหลลอยไป เหมือนน้ำเตาลอยไปในน้ำ หรือทำใหไมหลงลืม สติ) อุทเก ลาพุ วิย เยน จิตฺตํ อารมฺมเณ ปลวิตฺวา วิย ติติ, น โอคาหติ, ตํ ปลาปนํ, น ปลาปนํ อปลาปนํ อุปานํ (จิตดำรงอยูดุจเลื่อนลอยไป ในอารมณ หรือไมหยั่งลง ดวยสิ่งใด, สิ่งนั้นชื่อ วา ปลาปน-การเลื่อนลอยไป, การไมเลื่อนลอย ไป ชื่อวา อปลาปน คือการตั้งมั่น) เชนคำวา ตํ ลกฺขณํ สภาโว เอติสฺสาติ อปลาปนลกฺขณา (การ ไมเลื่อนลอยไป เปนสภาพของธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อปลาปนลกฺขณา), [น + ปลว ธาตุ ปลวเน ในความลอยไป + ยุ


๑๗๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ปจจัย, อาเทศ ว เปน ป, เชน ปูโว เปน ปูโป, ทีฆะ อ ที่ ล เปน อา] อปิหาร (ปุ.) ๑. การนำไปผิด, การนำไปสูสิ่งที่ นารังเกียจ, การนำไปอยางนาติเตียน วิ. อป ชิคุจฺฉนียํ หรณํ อปหาโร (การนำไปอยางนาติ เตียน ชื่อวา อปหาร) ๒. การปรารถนาที่ นาเกลียดแลวนำไป, ลักไป วิ. อป ปตฺเถตฺวา วา หรณํ อปหาโร (การอยากไดจึงนำไปอยางติ เตียน ชื่อวา อปหาร), [อป + หร ธาตุ หรเณ ใน ความนำไป + ณ ปจจัย] อปุนเคยฺยา (อิตฺ.) คาถาที่ไมพึงสวดซ้ำ ๑. วิ. ปุน น คายิตพฺพาติ อปุนเคยฺยา, คาถา (คาถาใดอันเขาไมควรสวดซ้ำอีก เหตุนั้น คาถา นั้น ชื่อวา อปุนเคยฺยา), สมาสนี้จัดเปน อสมตฺถสมาส เพราะ น ไปประกอบหนา ปุน ๒. วิ. อถ วา ปุน คายิตพฺพาติ ปุนเคยฺยา, น ปุนเคยฺยา อปุนเคยฺยา (อีกประการหนึ่ง คาถาหนึ่งอันเขา พึงสวดซ้ำ เหตุนั้น คาถานั้นชื่อวา ปุนเคยฺยา, คาถาที่ไมควรสวดซ้ำ ชื่อวา อปุนเคยฺยา), [น + ปุน + เค ธาตุ สทฺเท ในการสวด + ณฺย ปจจัย, อา ปจจัยในอิตถีลิงค, ซอน ยฺ อเปกฺข (ปุ.) ๑. ดู, เห็น, เพง, มุง วิ. อเปกฺขตีติ อเปกฺโข (ภาวะใดยอมเห็น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อ วา อเปกฺข), [อป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสนงฺเกสุ ใน การเห็นและการกำหนดหมาย + ณ ปจจัย, ลบ ก ไดรูปวา อเปโข ก็มี, เชน อุปสมฺปทาเปโข วิ. อเปกฺขิยเต อเปกฺขา อเปขา (อันเขาเพง เหตุนั้น จึงชื่อวา อเปกฺขา อเปขา), [อป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสนงฺเกสุ ในการเห็นและการกำหนด หมาย + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, ๒. ตัณหาที่เพง วิ.อาลยกรณวเสน กมฺปมานา อเปกฺขตีติ อเปกฺขา, ตณฺหา (ธรรมชาติใดจอง แตหวั่นไหวอยูดวยอำนาจการทำอาลัย เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อเปกฺขา ไดแก ตัณหา), [อป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในการเห็น + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค], นัยเดียวกันเชน อเปกฺขนํ ลง ยุ ปจจัย หรือ อเปกฺขณํ ลง ณ ปจจัยดวย กจฺ.๕๔๙ รูป.๕๕๐ วา รหาทิโต ณ, นัยเดียวกัน เชน อเปกฺขนํ ยุ ปจจัย, อเปกฺขณํ แปลง น เปน ณ กจฺ. ๕๔๙ รูป. ๕๕๐ วา รหาทิโต ณ, นัย เดียวกันนี้ ปจฺจเวกฺขณา-เปกฺขณา เปนตน, เปลี่ยนรูปไปดวยอุปสัค เชน อุเปกฺขา, อุเปกฺขนํ อุปปริกฺขา อุปปริกฺขนํ มีรูปตางกันเพราะ เปลี่ยนอุปสัค, บทวา อเปกฺขวา เปนตัทธิต ปฏิพทฺธจิตฺโต สาลโย วา แปลวา มีจิตเกี่ยวของ และมีอาลัย ลง วนฺตุ ปจจัยในตทัสสัตถิตัทธิต อเปกฺขิยาน (กิ.กิตฺ.) เพงแลว, มองแลว วิ. อเปกฺขิตฺวา อเปกฺขิยาน, อเปกฺขิยาโน วา (เพงมองแลว ชื่อวา อเปกฺขิยาน, อเปกฺขิยาโน), [อป + อิกฺข ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น, ตฺวาน ปจจัย, แปลง ตฺวาน นั้น เปน ยาน, อิ อาคม, แปลง อ ที่ น เปน โอ ดวยมหาสูตร หรือลง โมคฺ.๕/๑๖๕ วา ตุํยานา], นัยเดียวกันเชน อเปกฺขิย ลง ตฺวา-ตุํ ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, อิ อาคม, อเปกฺขมาโน บทนี้ลง มาน ปจจัย ใน ปจจุบันกาล, ใน สทฺทตฺถเภทจินฺตาทีปนี (อธิบายคาถาที่ ๑๒๔) ทานแสดงอธิบายคำวา อเปกฺขาย นี้ดวย อเปกฺขิตฺวา คือแสดงวามี ตฺวา ปจจัยเปนที่สุดวา คำวา กฺริยาปทมเปกฺขายาติ อธิบายวา กฺริยาปทํ ปสฺสติตฺยาทิกํ อเปกฺขิตฺวา (มองหากิริยาบท มี ปสฺสติ เปนตน), แปลง ตฺวา เปน ปฺย, ทีฆะ ดวยมหาสูตร อเปจฺจ (กิ.กิตฺ.) ไปปราศแลว, หนีไปแลว วิ. อเปตฺวาติ อเปจฺจ (ไปปราศแลว ชื่อวา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๗๗ อเปจฺจ), [อป + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ตฺวา, แปลง ตฺวา หลัง อิ เปน จฺจ ดวยสูตร โมคฺ.๕/ ๑๖๕ อิโต จฺโจ], นัยเดียวกันเชน เปจฺจ บทนี้มี ป เปนบทหนา อเปต (ติ.) ไปปราศแลว วิ. อเปสีติ อเปโต (ผูใด ไปแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อเปต), [อป + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป+ ต ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ] สมุเปโต (เขาถึงพรอมแลว) [สํ + อุป บท หนา], อุเปโต [อุป บทหนา] อโปห (ปุ.) การสละ, การทิ้ง, การเปลี่ยนแปลง วิ. อโปหตีติ อโปโห (ภาวะใดยอมไมนึกเสียดาย เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อโปโห-การทิ้ง), [อป + อูห ธาตุ วิตกฺเก ในความตรึก หรือ โอห ธาตุ จาเค ในความสละ + อ ปจจัย] เชน ยสฺมึ ภินฺเน, อิตราโปเห วา เนตฺติฏีกา, ฉบับแปลหนา ๘๒ (เมื่อสิ่งใดพินาศไปหรือเปลี่ยนแปลงไปอยางอื่น) สวนในสัททนีติ ธาตุมาลา วา อโปหตีติ ฉฑฺเฑติ, อถ วา วิเวเจตีติ (บทวา อโปหติ แปลวา ยอมทิ้ง หรือแปลวา สำรอกทิ้ง) นัยเดียวกันเชน พฺยูโห วิ บทหนา, อูหนํ, อายูหนํ ยุ ปจจัยภาวสาธนะ อโปหน (นปุ.) การสละ, การทิ้ง, การเปลี่ยนแปลง วิ. อโปหียเต อปนียเต อโปหนํ (อันเขาปลอด จากการนึกถึง อันเขานำออกทิ้ง ชื่อวา อปโหน), [อป + อูห ธาตุ วิตกฺเก ในความตรึก + ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ อาเทศเปน อน, แปลง อู เปน โอ] อผล (ติ.) ไมมีผล, ไรผล, ไมตกลูก, หมัน วิ. น วิชฺชติ ผลํ เอตสฺสาติ อผโล [รุกฺโข], วฺฌา (ผล แหงตนไมนั่นไมมี เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อผล หมายถึง ตนไมไมออกผล), ศัพทนี้เปน ๓ ลิงค อพทฺธ (ติ.) ไมติดใจ, ไมผูก, ไมมัด, ไมรึงรัด วิ. น พชฺฌเต หทยํ เอตฺถาติ อพทฺธํ (ใจอันเขา ไมไดผูกไวในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อพทฺธ), [น + พธ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ธ และแปลง ธ เปน ท] อพพ (นปุ.) อพพะชื่อมาตรานับเทากับแสน คูณดวยรอย วิ. อวติ รกฺขตีติ อพพํ (สิ่งใดยอม รักษาไว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพพ), [อว ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + ว ปจจัย, แปลง ว เปน พ] อหหสตสหสฺสานํ สตํ อพพํ, เอกา เลขา สตฺตสตฺตติพินฺทุสหิตา อพพํ (แสน อหห รอย ครั้ง เปนหนึ่ง อพพ คือเขียนเลขหนึ่ง มีเลขศูนย ๗๗ ตัว) อพลา (ติ.อิตฺ.) ผูมีกำลังนอย (ติ.) หญิงสาว, ผูหญิง (อิตฺ.) วิ. อปฺป พลํ ยสฺสา สา อพลา วนิตา (กำลังของหญิงใดนอย หญิงนั้น ชื่อวา อพลา คือหญิงสาว), อ ในที่นี้ใชในอรรถวานอย (อปฺปตฺโถยมกาโร) อพฺพุท (นปุ.) ๑. เสนียด, สิ่งกออันตราย, เนื้อราย, เสี้ยนหนาม, ผูกอความเสียหาย, โจรกรรม วิ. อพฺพุ วุจฺจติ อุปทฺทโว, ตํ เทตีติ อพฺพุทํ, วินาสกรณํ (อุปทวะ เรียกวา อพฺพุ, สิ่งใดกออุปทวะให เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺพุท คือเหตุกอความพินาศ), [อพฺพุ + ทา ธาตุ ทาเน ในความให + อ ปจจัย], แตในคัณฐีบทกลาววา อพฺพุทํ คณฺโฑติ (อพฺพุท คือเนื้อราย), แม โจรกรรม ก็เรียกวา อพฺพุท ได เพราะลักพระ พุทธพจนไปแสดงเปนคำของตน, ๒. อัพพุทะ มาตรานับอยางหนึ่ง พินฺทุสตสหสฺสานํ สตํ อพฺพุทํ, เอกา เลขา ฉปฺปฺญาสสุฺสหิตา อพฺพุทํ (แสน พินทุ คูณรอย เทากับ ๑ อัพพุทะ คือเขียนเลขหนึ่งประกอบดวยศูนย ๕๖ ตัว) ๓. อัพพุทะ, ชวงหนึ่งแหงวิวัฒนาการของสัตว ในครรภ ตอจาก กกละ กอนจะเปน เปสิ (ชิ้น เนื้อ), อถ วา อพฺพุทนฺติ กลลา สตฺตาหจฺจเยน


๑๗๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา มํสโธวนอุทกวณฺณํ อพฺพุทํ นาม (อีกประการ หนึ่ง คำวา อพฺพุท มีอธิบายวา กลละ ที่ลวงไป ๗ วัน ไดชื่อวา อัพพุทะ มีสีเหมือนน้ำลางเนื้อ) อพฺพุยฺห (กิ.กิตฺ.) ถอนออกแลว, นำออกแลว ๑. วิ. อพฺพหิตฺถาติ อพฺพุยฺห (อพฺพุยฺห แปลวา ถอนแลว), [อา + วห ธาตุปาปเน ในความใหถงึ + ตฺวา ปจจัย แปลง อ เปน อุ, ซอน พฺ เปนตน ๒. วิ. อพฺพุหิตฺถาติ อพฺพุยฺห, อุทฺธริตฺวา (อพฺพุยฺห แปลวา ถอนแลว หรือถอนขึ้นแลว), [อา + พุห ธาตุ อุทฺธรเณ ในความถอน + ตฺวา ปจจัย แปลง ตฺวา เปน ปฺย, สลับ ห และ ย โมคฺ.๑/๕๐ วา หสฺส วิปลฺลาโส, ในขอนี้ เชน เอสิกาถมฺภํ อพฺพุยฺห ลุฺจิตฺวา (ถอนเสาระเนียดออกแลว) นัยเดียวกันเชน ปพฺพุยฺห, บทนี้ ป บทหนา, ปมุยฺห, วิมุยฺห, สมฺมุยฺห, มุห ธาตุ เวจิตฺเต ใน ความที่จิตฟุงซาน, ปฏิพายฺห, พาห ธาตุ นิวารเณ ในความหาม อพฺพูหณ (นปุ.) การถอนขึ้น วิ. อพฺพุหิยเต อพฺพูหณํ (อันเขาถอน ชื่อวา อพฺพูหณ), [พุห ธาตุ อุทฺธารเณ ในการถอนขึ้น + ยุ ปจจัยใน ภาวสาธนะ อาเทศ ยุ เปน อน, แปลง น เปน ณ, ทีฆะ อุ เปน อู], ปาฐะวา อพฺพาหณํ ก็มี อพฺพูฬฺห (กิ.กิตฺ.) ๑. ถอนแลว วิ. อุทฺธริตฺวา อพฺพุฬฺห (อพฺพุฬฺห แปลวา ถอนแลว), [อา + วห ธาตุ ปาปเน ในความทำใหถึง + ตฺวา ปจจัย, เทวภาวะ วฺ คือทำอักษรขึ้นมาเปน ๒ ตัว, รัสสะ อา เปน อ, อาเทศ วฺว เปน พฺพ, แปลง ตฺวา ปจจัยเปน ย, อาเทศ หฺย เปน ลฺห, อาเทศ ฬ เปน ล, วิการ อ เปน อุ] ๒. อันเขาถอนขึ้นแลว (ติ.) วิ. อุทฺธริโต อพฺพุฬฺโห (สิ่งใดอันเขาถอดขึ้น แลว สิ่งนั้นชื่อวา อพฺพุฬฺห), [อา + พุห ธาตุ อุทฺธรเณ ในความยกขึ้น + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน ห, อาเทศ ห ที่สุดธาตุเปน ล, อาเทศ ฬ เปน ล] ๓. อันเขาถอนขึ้นแลว, อันเขานำขึ้น ไปขางบน (ติ.) วิ. อาวหิยิตฺถาติ อพฺพฬุ ฺหํ(ส่งิใด อันเขานำขึ้นบนแลว เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อพฺพุฬฺห) อุทฺธํ วหิยิตฺถาติ อตฺโถ (หมายความวา อันเขานำขึ้นไปบน) เชน อพฺพุฬฺหํ วิจิกิจฺฉาสลฺลํ วินย.อ.๓/๕๘ (ถอนลูกศรคือวิจิกิจฉาแลว), [อา + วห ธาตุ ปาปเน ในความทำใหถึง + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน ห, และอาเทศ ห เปน ฬ, ซอน พฺ, รัสสะ อา เปน อ, วิการ อ เปน อุ, อาเทศ ววฺ เปน พฺพ] อพฺโพกิณฺณ (ติ.) ไมเจือปนกัน, ไมคละกัน, ไม ถูกแทรกแซง, ไมถูกขัดขวาง วิ. น โวกิรีติ อพฺโพกิณฺโณ (สิ่งใดไมเจือปนกัน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อพฺโพกิณฺณ), [น + อว + กิร ธาตุ + ต, ลง ณ ปจจัย โมคฺ.๕/๑๕๒ กิราทีหิ โณ, อาเทศ ร เปน ณฺ, แปลง อว เปน โอ, ว อาคม, แปลง ว เปน พ, ซอน วฺ, แปลง วฺว เปน พฺพ, แปลง น เปน อ] อพฺโพจฺฉินฺน (ติ.) ไมถูกตัด, ไมขาด, เสมอ, เปนนิจ วิ. น โวจฺฉินฺนํ อพฺโพจฺฉินฺนํ (สิ่งใดอัน เขาตัดแลวหามิได ชื่อวา อพฺโพจฺฉินฺน), เชน ขนฺธาทีนํ อพฺโพจฺฉินฺนวเสน นิทฺ.อ.๑๘๖ (ดวย อำนาจการไมตัดขาดขันธเปนตน ), [น + วิ + อว + ฉิท ธาตุ ฉิชฺชเน ในความขาด + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน อนฺน, ลบที่สุดธาตุ, แปลง อว เปน โอ, ซอน จฺ, อาเทศ วฺว เปน พฺพ] อพฺโพสาน (นปุ.) ไมถึงที่สุด, ที่สุดหามิได, ไมใชที่สุด, ไมถมึงตึง, ไมหนานิ่วคิ้วขมวด วิ. น โวสานํ อพฺโพสานํ (ถึงที่สุดหามิได ชื่อวา อพฺโพสาน), [น + อว + สา ธาตุ ตนุกรเณ ใน การทำใหเบาบาง + ยุ ปจจัย, แปลง โอ เปน อว,


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๗๙ ว อาคม, ซอน พฺ, แปลง วฺว เปน พฺพ, แปลง น เปน อ] ใน วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา วา อพฺโพสาเนน ความวา อสงฺโกจเนน (ไมถมึงตึง) อพฺโพหาริก (ติ.) กลาวไมไดวามี, มีแตไม ปรากฏ จึงไมไดโวหารวามี, มีเหมือนไมมี, ๑. สิ่งอันเขาไมควรกลาววา เปนองคแหง อาบัติ วิ. อาปตฺติยา องฺคนฺติ น โวหริตพฺโพ อพฺโพหาริโก, โวหริตุํ น อรหตีติ อตฺโถ (สิ่งอัน เขาไมควรกลาววา เปนองคแหงอาบัติ หมายความวา ไมควรเพื่ออันกลาว), [น + ณิก ปจจัยลงหลัง โวหาร อรหตฺเถ ใชในอรรถวาควร] ๒. สิ่งที่ควรซึ่งโวหารหามิได วิ. โวหรียเตติ โวหาโร (สิ่งใดอันเขากลาว เหตุนั้น สิ่งน้ันชื่อวา โวหาร), [วิ + อว + หร ธาตุ หรเณ ในความ นำไป + ณ ปจจัยในกัมมสาธนะ, ลบสระหนา กจฺ.๑๒ รูป.๑๓ วา สรา สเร โลป, แปลง อว เปน โอ กจฺ.๕๐ รูป.๔๕ วา โอ อวสฺส, พฤทธิ์ อ เปน อา] วิ. โวหารํ คจฺฉนฺตีติ โวหาริกา (สิ่งใด ยอมควรซึ่งโวหาร เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา โวหาริกา), [ณิก ปจจัยแทน คจฺฉติ] วิ. น โวหาริกา อพฺโพหาริกา (สิ่งที่ควรซึ่งโวหารหา มิได ชื่อวา อพฺโพหาริกา), นนิปาตปุพฺพปโท กมฺมธารยสมาส อพฺภ (ปุ.อิตฺ.นปุ.) ๑. เมฆ, สิ่งที่กอน้ำฝน (นปุ.) วิ. อาป ภรตีติ อพฺภํ อมฺพุโท (สิ่งใดยอมเลี้ยง ซึ่งน้ำ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภ คือเมฆ), [อาป + ภร ธาตุ โปสเน ในการเลี้ยง + กฺวิ ปจจัย, ลบ อ ที่ ป, แปลง ป เปน พ, รัสสะ อา เปน อ] ๒. เมฆ, สิ่งที่รักษาเหลาสัตว (นปุ.) วิ. อวติ สตฺเต รกฺขตีติอพฺภํ เมโฆ (สิ่งใดยอมรักษาเหลา สัตว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภ คือเมฆ), [อว ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + ภ ปจจัย โมคฺ. ๗/ ๑๒๘ คราวา โภ, แปลง ว เปน พ] ๓. เมฆ, สิ่งที่ไมหมุนไป (นปุ.) วิ. น ภมตีติ อพฺภํ (สิ่งใด ยอมไมหมุนไป เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อพฺภ), [น + ภมุ ธาตุ อนวเน อนวตฺถาเน วา ในความ หมุน + กฺวิ] ๔. หิน, สิ่งที่ไมไป (ปุ.) วิ. อมติ คจฺฉตีติ อพฺโภ ปาสาโณ (สิ่งใดไมเคลื่อนที่ไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภ คือหิน), [อม ธาตุ คติยํ ในความไป + ภ ปจจัย, แปลง ม เปน พ] ๕. น้ำคาง, เมฆ, หมอก วิ. อพฺภติ อเนกสตปฏโล หุตฺวา คจฺฉตีติ อพฺโภ อพฺภา อพภฺ มหิกา ํ (สิ่งใดกอเปนกลีบหลายรอยชั้นลอยไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภ ไดแก หมอก), [อพฺภ ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย] ๖. น้ำคาง, ทองฟา (ปุ.นปุ.); ใน ธาตฺวตฺถสงฺคหปานิสฺสย, คาถา ๑๒ วิ. อมฺพติ อเนกปฏโล หุตฺวา อุคฺคจฺฉตีติ อพฺโภ (สิ่งใดยอมกอขึ้นเปนกลีบหลายๆ ชั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภ) วิ. น ภวตีติ อพฺภํ คคนํ (สิ่งใดยอมมีหามิได เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภ คือทองฟา), [น + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความ มีความเปน + อ ปจจัย, แปลง น เปน อ, ซอน พฺ] วิ. อา ภุโส ภาติ ทิปฺปตีติ อพฺภํ (สิ่งใดยอม สวาง คือรุงเรืองอยางยิ่งยวด เหตุนั้นน สิ่งนั้น ชื่อวา อพฺภ), [อา + ภา ธาตุ ทิตฺติยํ ในความ รุงเรือง + อ ปจจัย], ใน สทฺทนีติธาตุมาลา (ฉบับ แปล หนา ๓๔๑) วิ. อพฺโภติ เมโฆ. โส หิ อพฺภติ อเนกสตปฏโล หุตฺวา คจฺฉตีติ อพฺโภติ วุจฺจติ. วิชฺชุมาลี สตกฺกกูติ วุตฺตํ. สตกฺกกูตี จ อเนกสตปฏโล. เอตฺถ จ อพฺภสทฺโท ติลิงฺคิโก ทพฺโพ. (คำวา อพฺโภ หมายถึง เมฆ, ก็เมฆนั้น กอเปนกลีบหลายรอยชั้น เรียกวา อพฺภ เชน วิชฺชุมาลี สตกฺกกุ เมฆมีกลีบหลายรอยชั้น มี สายฟาแปลบปลาบ, บทวา สตกฺกกุ ไดแก มี


๑๘๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา หลายรอยชั้น. ก็ในที่นี้ พึงทราบวา อพฺภ ศัพท เปนได ๓ ลิงค) ตถา หิ อยํ อพฺภุิโตว ส ยาติ, ส คจฺฉํ น นิวตฺตตีติ เอตฺถ ปุลฺลิงฺโค (สมดังตัวอยาง ที่เปนปุงลิงค เชนในขอนี้วา สัตว ผูถือปฏิสนธิแลว ยอมไปสูความเปนกลละ เปนตน ยอมไมกลับมาสูความเปนกลละเปนตนอีก ดุจกอนเมฆซึ่งตั้งขึ้นยอมถูกแรงลมซัดไปโดยไม หวนคืน ฉะนั้น) อพฺภา, มหิกา, ธูโม, รโช, ราหูติ เอตฺถ อิตฺถิลิงฺโค (ที่เปนอิตถีลิงค เชนใน ขอวา เมฆ หมอก ควัน ฝุน อสุรินทราหู) อพฺภานิ จนฺทมณฺฑลํ ฉาเทนฺตีติ เอตฺถ นปุํสก-ลิงฺโคติ วุตฺตํ (ที่เปนนปุงสกลิงค เชนในขอวา กลุมเมฆ ยอมปดบังดวงจันทร) อพฺภก (นปุ.) แกวเพทาย, แกวอมล วิ. อพฺภํ อากาโส เมโฆ จ, ตํสฺกตฺตา อพฺภกํ, อมลํ (อัพภะ คือทองฟาและเมฆ, แกวเพทาย ชื่อวา อพฺภก เพราะตั้งชื่อตามเมฆนั้น), [ก ปจจัย สฺายํ ใชในความหมายวาตั้งชื่อ] วิ. อพฺภมิว กาสเต ราชเตติ อพฺภกํ (แกวใดรุงเรืองสุกสกาว เหมือนเมฆ เหตุนั้น แกวนั้นชื่อวา อพฺภก), [อพฺภ + กาส ธาตุ ทิตฺติยํ ในความรุงเรือง + กฺวิ ปจจัย, ลบ ส] กตฺถจิ อพฺภโกติ ฉาปสามฺตฺโถ (บางแหง คำวา อพฺภก หมายถึงลูกสัตวทั่วไป) อพฺภกฺขาน (นปุ.) คำกลาวตู, การกลาวดวย คำไมจริง, การกลาวครอบงำ, การกลาวขม ๑. วิ. อสจฺเจน อกฺขานํ อพฺภกฺขานํ (การกลาว ดวยคำไมจริง ชื่อวา อกฺขาน) ๒. วิ. อภิอกฺขานํ ปริภาสนํ อพฺภกฺขานํ (การดา การบริภาษ ชื่อวา อพฺภกฺขาน), [อภิ + อา + ขา ธาตุ กณเน ในความกลาว + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อพฺภงฺค (นปุ.) อันเขาพึงฉาบ, การฉาบ, การทา, การไล วิ. อพฺภงฺคียตีติ อพฺภงฺคํ, อพฺภฺชนนฺติ อตฺโถ (สิ่งใดอันเขาฉาบทา เหตุ นั้น ชื่อวา อพฺภงฺค, หมายความวา ฉาบเทา), [อภิ + องฺค ธาตุ มาในคัมภีรทัณฑกวา คมเน ใน ความไป + ณ ปจจัยในกัมมวาจก, แปลง อภิ เปน อพฺภ กจฺ.๔๔ รูป.๒๔ วา อพฺโภ อภิ] อพฺภฺชน (นปุ.) ฉาบทา, ไลทา, การไลทา, หยอด วิ. อพฺภฺชิยเต อพฺภฺชนํ (อันเขาฉาบ ทา ชื่อวา อพฺภฺชน) เชน อกฺขพฺภฺชนมิว (เหมือนน้ำหลอดเพลา), [อภิ + อฺช ธาตุ มกฺขเน ในความทา + ยุ ปจจัย, แปลง อภิ เปน อพฺภ กจฺ.๔๔ รูป.๒๔ วา อพฺโภ อภิ, อาเทศ ยุ เปน อน] อพฺภนฺตร (ติ.) ๑.ในระหวาง, ในภายใน, เกิด ในระหวาง วิ. อนฺตเร อนฺโต ชาตํ ภวํ อนฺตรํ, ตเมว อพฺภนฺตรํ อชฺฌตฺตํ (สิ่งที่เกิดมีในภายใน ชื่อวา อนฺตร, อนฺตร นั่นเอง ชื่อวา อพฺภนฺตรํ หมายถึงเปนไปในภายใน) เชน กรุณา อพฺภนฺตรนิทานํ นาม วิ. อนฺตรสฺส โกาสสฺส อนฺโต อพฺภนฺตรํ อพฺภนฺตเร ชาตํ อพฺภนฺตรํ (ภายใน แหงสวน ชื่อวา อพฺภนฺตร สวนใน, เกิดในภาย สวนภายใน ชื่อวา อพฺภนฺตร), วิ. อพฺภนฺตเร อนฺโตโกาเส ชาตํ, น พหิโกาเสติ อพฺภนฺตรํ (สิ่งใดเกิดในภายใน คือในสวนภายใน ไมใชเกิด ในสวนภายนอก เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภนฺตรํ), ยตฺถ ยตฺถ หิ โย โย ิโต นิสินฺโน วา, ตตฺถ ตตฺถ สมนฺตา อิวีสติหตฺถปฺปมาณํ านํ ตสฺส ตสฺส อพฺภนฺตรํ านํ นามํ. สกฺกเฏ อภฺยนฺตมฺ. อพฺภนฺตเร ชาโต อพฺภนฺตโร, ยถา ชฏิลสหสฺสพฺภนฺตโรติ, โณ (ชื่อวา อพฺภนฺตร-รวมใน ไดแก คนใดยืนก็ ตาม นั่งก็ตาม ในที่ใด รอบๆ ที่ซึ่งคนนั้นยืนหรือ นั่งนั้นไปประมาณ ๒๘ ศอก), ภาษาสันสกฤตวา อภฺยนฺตมฺ, ผูเกิดในภายใน ชื่อวา อพฺภนฺตร, เชน คำ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๘๑ วา ภายในชฏิล ๑,๐๐๐ คน, ลง ณ ปจจัย), หรือ เปน อพฺภนฺตริโม ในคำนี้วิเคราะหวา อพฺภนฺตเร ภโว อพฺภนฺตริโม (ผูมีในภายใน ชื่อวา อพฺภนฺตริม) ๒. นบัเขาเนื่องใน, ระแวก, รวมใน วิ. อพฺภนฺตติ อภิพนฺธตีติอพฺภนฺตรํ(ส่งิใดยอมนับเนื่องใน คือ เกี่ยวของ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภนฺตร), [อภิ + อติ ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อร ปจจัย + นิคหิตอาคมตนธาตุ แปลงเปน นฺ ที่สุดวรรค], ในแนวแหงพระวินัย นักศึกษาพึงถือเอา เนื้อความวา อัพภันดร ๑ เทากับ ๒๘ ศอก, นัย เดียวกันเชน อพฺภนฺตริโม ลง อิม ปจจัยแทน ภว แปลวา มี อพฺภาฆาต (นปุ.) ตะแลงแกง, ที่ประหารชีวิต อภิหนนฺติ เอตฺถาติ อพฺภาฆาตํ, การณฆรํ, เวริฆรํ โจรานํ มารณตฺถาย กตนฺติ อตฺโถ (นักฆา ทั้งหลายยอมฆาในที่นั่น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อพฺภาฆาต ไดแก เรือนของเจาพนักงาน คือ เรือนของคนมีเวร ที่เขาสรางไว เพื่อใชเปนที่ฆา พวกโจร), [อภิ + อา + หน ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + ณ ปจจัย, แปลง หน เปน ฆาต, แปลง อภิ เปน อพฺภ กจฺ.๔๔ รูป.๒๔ วา อพฺโภ อภิ] อพฺภาจิกฺขน (นปุ.) การกลาวตู, การพูดดวย คำอันไมจริง วิ. อสจฺเจน อาจิกฺขนํอพฺภาจิกฺขนํ (การกลาวดวยคำอันไมจริง ชื่อวา อพฺภาจิกฺขน), [อภิ + อา + จิกฺข ธาตุ วิยตฺติยํ วาจายํ ในการ กลาว + ยุ ปจจัยภาวสาธนะ อาเทศเปน อน, แปลง อภิ เปน อพฺภ กจฺ.๔๔ รูป.๒๔ วา อพฺโภ อภิ] นัยเดียวกัน อพฺภาจิกฺขโก (ผูกลาวตู) ณฺวุ ปจจัยในกัตตุสาธนะ อาเทศเปน อก อพฺภาน (นปุ.) อัพภาน, การเรียกเขาหมู วิ. อพฺเภนฺติ โอสาเรนฺติ เอเตนาติ อพฺภานํ (ภิกษุ ทั้งหลาย ยอมเรียกเขาหมูดวยกรรมนั่น เหตนุนั้ กรรมนั้นชื่อวา อพฺภาน), [อภิ + อิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, แปลง อภิ เปน อพฺภ กจฺ.๔๔ รูป.๒๔ วา อพฺโภ อภิ] อพฺภาส (ปุ.) การทวนซ้ำ, การซอนกัน, การซำ้ กัน, คำซ้ำ, คำซอนอัพภาสคือซ้ำหรือซอน อักษรลงหนาคำ วิ. ปทํ อลงฺกตฺตุํ อา [อติเรกํ] กตฺวา ภาสียเตติ อพฺภาโส (คำใดอันเขากลาวซ้ำ คือเกินมา เพื่อทำบทสำเร็จ เหตุนั้น คำนั้นชื่อวา อพฺภาส), [อา + ภาส ธาตุ ภาสเน ในการกลาว + ณ ปจจัย, ซอน พฺ, รัสสะ อา เปน อา] อพฺภาหต (ติ.) ๑. อันเขาครอบงำแลว, ถูกครอบงำ, ถูกห้ำหั่น วิ. อพฺภาหฺเตติ อพฺภาหโต (ผูใดอันชาติเปนตนห้ำหั่น เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อพฺภาหต), [อภิ + อา + หน ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + ต ปจจัยใน ๓ กาล, ลบ ณ] ๒. อันเขานำมาเฉพาะแลว, ถูกนำไปแลว วิ. อพฺภาหรียิตฺถาติ อพฺภาหโฏ (สิ่งใดอันเขานำมาเฉพาะแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อพฺภาหฏ), [อภิ + อา + หร ธาตุ หรเณ ใน ความนำไป + ต ปจจัย, ลบ ร, อาเทศ ต เปน ฏ] อพฺภิต (ติ.) ถูกเรียกเขามา, ผูอันเขาเรียกเขามา วิ. อพฺเภตพฺโพติ อพฺภิโต (ผูใดอันเขาเรียกเขา หา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อพฺภิต), เชนวา อพฺภิโตติ สํวาเสน อนฺโต กโต (บทวา อพฺภิโต ความวา อัน สงฆทำไวภายใน ดวยการอยูรวมกัน), [อภิ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป และ อชฺฌายเน การ สาธยาย + ต ปจจัย, แปลง อภิ เปน อพฺภ, ใน นิรุตฺติทีปนี ปรากฏวา อภิโต], คำวา อพฺภิต นี้ มี รูปเหมือน อภิโต ที่เปนนิบาต เชน อภิโต คามํ วสติ (อยูในที่ใกลแหงหมูบาน), อภิโต แปลวา


๑๘๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ในที่ใกล, คำวา คามํ เปนทุติยาวิภัตติ ใชใน อรรถแหงฉัฏฐีวิภัตติ อพฺภุคฺคต (ติ.) ไปขึ้นไปอากาศ, ฟุงขึ้นไป, ไปขางบน, เหาะ ๑. วิ. อา ภุโส ภาติ ทิปฺปตีติ อพฺภํ อากาโส (สิ่งใดยอมรุงเรือง สวางไสวอยาง ยิ่ง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อพฺภ คืออากาศ), [อา + ภา ธาตุ ทิตฺติยํ ในความรุงเรือง + อ ปจจัย] วิ. อพฺภํ อากาสํ อุคฺคโต อพฺภุคฺคโต (ผูพุงขึ้น ไปสูอากาศ ชื่อวา อพฺภุคฺคต) ๒. อภิมุขํ วา อุทฺธํ อากาสํ คโต อพฺภุคฺคโต (ผูใดไปสูอากาศตอหนา คือเบื้องบน ผูนั้นชื่อวา อพฺภุคฺคต) อพฺภุต (ติ.) ๑. มหัศจรรย, ประหลาดใจ, ตื่น ตาตื่นใจ วิ. วิมฺหโยปจยวฑฺฒโน อพฺภุโต (ภาวะ ที่กอเกิดขึ้นจากความตื่นตาตื่นใจ ชื่อวา อพฺภุต), [อพฺภ ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย, แปลง อ เปน อุ] ๒. ความพิศวง, สิ่งที่ ไมเคยมีมากอน วิ. น ปุพฺเพ ภวิตฺถาติ อพฺภุโต อพฺภูโตติ ทีเฆนาป ยุชฺชติ, วิมฺหโย (สิ่งใดไมเคย มีมากอน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภุต, แมจะ ทีฆะเปน อพฺภูโต ก็ได หมายความวา มหัศจรรย), [น + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + ต ปจจัย, รัสสะ อู เปน อุ], ใน สทฺทนีติ ปทมาลา (ฉบับแปล หนา ๘๒๙) อยํ ปน อพฺภุตํ อภูตนฺติ ทฺวินฺนํ วิเสโส. ภูสทฺทสฺส พฺภู. สํโยคปเร ปฏิเสธตฺถวติ ออิตินิปาเต อุปปเท สติ เอกนฺเตน รสฺสตฺตมุปยาติ. กฺวตฺเถ? อภูตปุพฺพํ ภูตนฺติอาทีสฺวตฺเถสุ. ตถาวิเธ อสฺโคปเร รสฺสตฺตํ น อุปยาติ,กฺวตฺเถ?อสจฺจนฺติอาทีสฺวตฺเถส.ุ ตถา หิ อพฺภุตนฺติ ปทสฺส อภูตปุพฺพํ ภูตนฺติป อตฺโถ ภวติ, อพฺภุตกรณนฺติป อตฺโถ ภวติ. อภูตนฺติ ปทสฺส ปน อสจฺจนฺติป อตฺโถ ภวติ, อชาตนฺติป อตฺโถ ภวตีติในฉบับแปล ทานแปลไววา (สวนที่ จะกลาวตอไปนี้เปนลักษณะพิเศษของศัพทสอง ศัพท คือ อพฺภุตํ และ อภูตํ. แปลง ภู ศัพทเปน พฺภู. ในกรณีที่อ นิบาตมีอรรถปฏิเสธเปนอุปบท ตั้งอยูหนาสังโยคใหรัสสะ อู เปน อุ อยาง แนนอน. ถามวา ศัพทเชนนี้ ใชในอรรถอะไร? ตอบวา ใชในอรรถ อภูตปุพฺพํ ภูตํ เปนตน ศัพท เชนนี้ (คือ ภูต ศัพทที่มี อ นิบาตเปนอุปบท= บทหนา) แตไมตั้งอยูหนาสังโยคก็ไมตองทำการ รัสสะ ถาม ศัพทเชนนี้ ใชในอรรถอะไร? ตอบวา ใชในอรรถ อสจฺจํ (คำไมจริง) เปนตน จริงอยาง นั้น บทวา อพฺภุตํ มีความหมายวา อภูตปุพฺพํ ภูตํ (สิ่งที่ไมเคยมีมากอนแตกลับมี = อัศจรรย) ก็ได, มีความหมายวา อพฺภุตกรณํ (การเดิมพัน) ก็ได, สวนบทวา อภูตํ มีความหมายวา อสจฺจํ (คำไมจริง) ก็ได, มีความหมายวา อชาตํ (สิ่งที่ไม เปนจริง) ก็ได, บทวา อพฺภุต เปนวาจจลิงคคือ เปนวิเสสนะบาง เปนอภิเธยยลิงคคือเปนนาม หลักบาง, แต บทวา อพฺภูต เปนวาจจลิงคคือ เปนวิเสสนะบาง บางแหงเปนอภิเธยยลิงคคือ เปนนามหลักบาง ใชดุจ สจฺจ ศัพท ๓. การคา ขาย, การพนัน, เงินเดิมพัน, คาจาง, บำเหน็จ (ปุ.) วิ. อพฺภติ คจฺฉติ อเนนาติ อพฺภโต อพฺภุโต ปโณ (บุคคลยอมดำเนินไปดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺภต, อพฺภุต, ปณ-เงินเดิมพัน), [อพฺภิ ธาตุ คมเน ในความไป + ต ปจจัย, แปลง อิ เปน อ, อุ] อพฺภุสฺสิต (ติ.) ปากฏ, พุงขึ้น, ตั้งขึ้น, ทำใหชัด วิ. อพฺภุสฺสิตพฺพนฺติ อพฺภุสฺสิตํ (อันสิ่งนั้น พึงพุง ขึ้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อพฺภุสฺสิต), [อภิ + อุ + สิ ธาตุ สเย ในความนอน + ต ปจจัย, แปลง อภิ เปน อพฺภ กจฺ.๔๔ รูป.๒๔ วา อพฺโภ อภิ, ซอน สฺ]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๘๓ อพฺภูตธมฺม (ปุ.) อัพภูตธรรม, ธรรมนา อัศจรรย วิ. อพฺภูโต ธมฺโม อพฺภูตธมฺโม (ธรรม อันนาอัศจรรย ชื่อวา อพฺภูตธมฺม), วิ. อพฺภุโต ธมฺโม สภาโว วุตฺโต ยตฺถาติ อพฺภุตธมฺมํ อพฺภูตธมฺมํ วา (สภาวธรรมอันนาอัศจรรย พระพุทธเจาตรัสไวสัตถุศาสนใด เหตุนั้น สัตถุ ศาสนนั้นชื่อวา อพฺภุตธมฺม หรือ อพฺภูตธมฺม), พึงทราบวา พระสูตรทั้งหลายที่ประกอบดวย ธรรมอันนาอัศจรรยทั้งหมด ที่เปนไปโดยนัยวา จตฺตาโรเม ภิกฺขเว อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา อานนฺเท (ที.ม.๑๐/๑๓๕/๑๖๘) (ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย อัพภูตธรรมอันนาอัศจรรย ๔ ประการ นี้ มีอยูในอานนท) เปนตน ชื่อวา อพฺภุตธมฺมํ อพฺเภตพฺพ (ติ.) อันสงฆพึงอัพภาน, อันสงฆ พึงเรียกเขาหมู, อันสงฆพึงรับ วิ. อภิเอตพฺโพ สมฺปฏิจฺฉิตพฺโพ อพฺเภตพฺโพ (ผูอันสงฆพึงเรียก คือพึงรับเขาหมู ชื่อวา อพฺเภตพฺพ), เชน โส ภิกฺขุ อพฺเภตพฺโพ (ภิกษุนั้น อันสงฆพึงเรียกเขา หมู), [อภิ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ตพฺพ ปจจัย] อพฺภานกมฺมวเสน โอสาเรตพฺโพติ วุตฺตํ โหติ, อวฺหาตพฺโพติ วา อตฺโถ (ในขอนี้มีคำที่ทาน อธิบายวา หมายถึง อันสงฆพึงเรียกเขาหมู ดวย อำนาจอัพภานกรรม หรือหมายถึง ผูอันสงฆพึง เรียก) อพฺโภกาส (ปุ.) ที่แจงยิ่งนัก, โอกาสอันยิ่ง, ที่แจง, กลางหาว วิ. อวกสนฺติ ปติหนฺติ เอตฺถาติ โอกาโส (สัตวทั้งหลายยอมดำรงอยูใน ที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา โอกาส), [อว + กส ธาตุ วิเลขเน ปติายํ วา ในความทำใหเปน รอย หรือในความดำรงอยู + ณ ปจจัย ดวยสูตร กจฺ.๕๒๘ รูป.๕๗๗ วา วิสรุชปทาทิโต ณ] วิ. สพฺพาสุ ทิสาสุ อภิมุโข โอกาโส อพฺโภกาโส (โอกาสมีจำเพาะหนา ในทิศทั้งหลายทั้งปวง ชื่อวา อพฺโภกาส), บทนี้เปน กมฺมธารยสมาโส. อพฺโภกาสิโกติ วสติตทฺธิเต ณิกปจฺจโย (เชนคำ วา อพฺโภกาสิก ผูอยูในที่แจง ลง ณิก ปจจัย ในตัทธิต แทน วสติ ศัพท) อพฺยคฺคมนส (ปุ.) มีจิตไมฟุงไป, มีจิตตั้งมั่น, มีจิตมีอารมณเดียวเปนเลิศ, มีจิตไมลังเล วิ. นานารมฺมเณ ปริพฺภมเนน วิวิธํ อคฺคํ อารมฺมณํ ยสฺสาติ พฺยคฺโค, วิกฺเขโป (อารมณ ลังเล เพราะซานไปในอารมณตาง เปนเลิศแหง ภาวะใด เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา พฺยคฺค คือความ ฟุงซาน) ตถา หิ โส อนวานรโส ภนฺตตาปจฺจุปาโน จ วุตฺโต (จริงอยางนั้น พฺยคฺค คือ ความฟุงซานนั้น มีความไมตั้งมั่นเปนรส มีความ แสไปและความใหเดือดรอยเปนปจจุปฏฐาน), ตามคัมภีรสัทศาสตรจัดเปน พาหิรตฺถสมาส วิ. น พฺยคฺโค อพฺยคฺโค, สมาธิ. เอกคฺคตาภาวโต พฺยคฺคปฏิปกฺโขติ อตฺโถ (ไมใชภาวะที่มีอารมณ ฟุงซานเปนเลิศ ชื่อวา อพฺยคฺค คือสมาธิ มี ลักษณะตรงขามกับความฟุงซาน) จัดเปน มิสฺสกตปฺปุริสสมาส วิ. อพฺยคฺโค จ โส มโน จาติ อพฺยคฺคมโน, โส อสฺสตฺถีติ อพฺยคฺคมนโส (ใจ นั้นดวย ไมฟุงไปดวย เหตุนั้นจึงชื่อวา ใจอันไม ฟุงซาน, ใจอันไมฟุงซานนั้น ของผูนั้นมีอยู เหตุ นั้น ผูนั้นชื่อวา อพฺยคฺคมนโส ผูมีใจไมฟุงซาน), [ส ปจจัย ในตัทธิต] เชน อเจตโส อเจตสา, สุเมธโส สุเมธสํ วิ. อพฺยคฺโค มโน ยสฺส โสยํ อพฺยคฺคมนโส (ใจ ไมใชภาวะที่มีอารมณฟุงซาน เปนเลิศ ของผูใดมีอยู ผูนี้นั้นชื่อวา อพฺยคฺคมนโส) จัดเปน พาหิรตฺถสมาส. ในเรื่องนี้ ในคัมภีรนยาสะ สูตร ๑๘๒ [สสฺส โจ] วา จคฺคหเณน อพฺยคฺคมนโส นโรตฺยาทีสุ มนสทฺทโต


๑๘๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา สิวจนสฺโสการาเทโส โหติ (แปลง สิ วิภัตติหลัง มน ศัพท เปน โอ ดวย จ ศัพท เชนในคำวา อพฺยคฺคมนโส นโร (คนมีจิตฟุงซานไปเปนเลิศ), ในนิรุตฺติทีปนี (นิรุตฺติ.๑๑๗) ยทา ปน สมาสนฺเต มหาวุตฺตินา สฺยาทีสุ วิภตฺตีสุ สาคโม โหติ ตทา ปุริสาทิคโณป โหติ (เมื่อมีการลง ส อาคมทาย สมาส ในเพราะวิภัตติ ท. มี สิ เปนตน ดวยมหา สูตร จะมีรูปเหมือน ปุริสาทิคณะ-กลุมนามศัพท มีปุริสเปนตน บาง), ใน สทฺทนีติ (นีติ.๓๗๖) มโนคณโต สเร สาคโมติ มโนคณโต วิภตฺตาเทเส วา ปจฺจเย วา สเร ปเร สการาคโม โหติ วา จ มโนคเณ ปริยาปนฺนสทฺทานํ สมาสํ ปตฺวา อพฺยคฺคมนโส นโร (นรชนผูมีใจดำรงมั่นอยูใน อารมณเดียว เพราะสมาสเขากับศัพทที่เนื่องใน มโนคณะ ในเพราะสระที่แปลงมาจากวิภัตติ หรือสระที่เปนปจจัยอยูเบื้องหลัง ลง ส อักษร อาคมหลังมโนคณศัพทบาง), และทานกลาวไว เชนนั้นวา รูปศัพทแมอื่นๆ ก็มี ทั้ง ๓ ลิงค เชน ถิรเจตสํ กุลํ, สทฺเธยฺยวจสา อุปาสิกา ใน ปทรูป สิทฺธิมหานิสฺสย วา ควรไดรูป อพฺยคฺคมานโส วิ. มโนเยว มานสํ, อพฺยคฺคํ มานสํ ยสฺสาติ อพฺยคฺคมานโส (ใจนั่นเอง ชื่อวา มานส, ใจอัน ลังเล ของบุคคลใด มีอยู เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อ วา อพฺยคฺคมานส) อพฺยคฺคมนโสติ เอกคฺคจิตฺโต. อพฺยคฺคมโนติป ปาโ (บทวา อพฺยคฺคมนโส มี ความหมายวา ผูมีจิตมีอารมณเดียวเปนเลิศ), ปาฐะวา อพฺยคฺคมโน ก็มี, ก็ความโดยพิสดารใน ขอนี้ ทานกลาวไวในสัททนีติปทมาลา บัณฑิต พึงคนดูในสัททนีติปทมาลานั้นเถิด, นัยเดียวกัน เชน พฺยาสตฺตมโน, อพฺยาวฏมโน, พฺยาสตฺตมนโส, พฺยาสตฺตมานโส, สมุสฺสาหิตมานโส, ปสนฺนมานโส อพฺยเปต (ติ.) อัพยเปตยมก, ยมกไมมีพยางค อื่นแทรก, ๑ ใน ๓ ชนิดแหงยมก ตามหลัก อลังการ (สุโพธาลังการมัญชรี, ๒๖/๔๒) วิ. วิสทิเสน วณฺเณน อเปตํ พฺยเปตํ, น พฺยเปตํ อพฺยเปตํ (ยมกที่มีพยางคตางกันแทรก ชื่อวา พฺยเปต, ไมใชยมกที่มีพยางคตางกันแทรก ชื่อวา อพฺยเปต), [น + วิ + อป + อิ ธาตุ คติมฺหิ ใน ความไป + ต, แปลง น เปน อ, แปลง วิ เปน วฺย, แปลง ว เปน พ, แปลง อิ เปน เอ] อพฺยภิจาริต (ติ.) การเปนไปไมแยกตางหาก, เกี่ยวของกันไมแยกกัน วิ. วิเสเสน อภิมุขํ จรณํ พฺยภิจาโร (การเปนไปเฉพาะหนาโดยพิเศษ ชื่อวา พฺยภิจาร), [วิ + อภิ + จร ธาตุ จรเณ ใน ความไป + ณ ปจจัย] วิ. พฺยภิจาโร เอว พฺยภิจาริโต (การเปนไปเฉพาะหนาโดยพิเศษ นั่นเอง ชื่อวา พฺยภิจาริต), ลง อิต ปจจัยสกัตถ วิ. น พฺยภิจาริโต อพฺยภิจาริโต (การเปนไป เฉพาะหนาโดยพิเศษหามิได ชื่อวา อพฺยภิจาริต) หมายความวา มีความสัมพันธกันไมแยกกัน อพฺยภิจารี(ติ.) ตายตัว, ไมวิปริตคลาดเคลอื่น วิ. อพฺยยํ อปริวตฺติ หุตฺวา ทพฺพาภิมุขํ นิรุตฺติ- สทฺทาภิมุขํ วา จรติ ปวตฺตตีติอพฺยภิจารี (ภาวะ ใดเปนภาวะที่ไมแปรผัน ไมเปนไปคลาดเคลื่อน เปนไปมุงตรงทัพพะและศัพททางภาษา เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อพฺยภิจารี), [อพฺยย + อภิ + จร ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + ณี ปจจัย, ลบ ย เปนตน] วิ. อพฺยภิจาโร อสฺสาติ อพฺยภิจารี (ภาวะที่เปนไปไมคลาดเคลื่อนของโวหารเปนตน นั้นมีอยู เหตุนั้น โวหารเปนตนนั้น ชื่อวา อพฺยภิจารี) วิ. วิเสเสน อภิมุขํ จรณํ พฺยภิจารี, น พฺยภิจารี อพฺยภิจารี โวหาโร สภาวนิรุตฺติ, เอกนฺตภูโต วา (การเปนไปเฉพาะหนาโดยพิเศษ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๘๕ ชื่อวา พฺยาภิจารี, การเปนไปเฉพาะหนาโดย พิเศษ หามิได ชื่อวา อพฺยภิจารี ไดแก โวหาร คือภาษาที่ใชกันตามสภาวะ), [น + วิ + อภิ + จร ธาตุ จรเณ ในการเที่ยวไป + ณี ปจจัย, แปลง น เปน อ, แปลง อิ ที่ วิ เปน ย, อาเทศ ว เปน พ] อพฺยย (นปุ.ปุ.) การไมพินาศไป, การไมผันแปร ไปตามลิงคเปนตน ๑. วิ. ตีสุ ลิงฺเคสุ ทฺวีสุ จ วจเนสุ วินาสํ, วิการํ วา วิสทิสํ วา นอยนตฺตา นคมนตฺตา อพฺยยํ นาม (การไมยอยยับไป ใน ลิงคทั้ง ๓ และใน ๒ วจนะ ชื่อวา อพฺยย เพราะ ไมถึงความแปลกจากของเดิม หรือความตางกนั) ดู ปาจิตฺยาทิโยชนาปาิ, [น + วิ + อย ธาตุ คติมฺหิ ในความไปความถึง + อ ปจจัย, อาเทศ อิ เปน ย, แปลง น เปน อ, อาเทศ ว เปน พ]. ๒. วิ. พฺยยนํ พฺยโย วินาโส วิกาโร วา, น พฺยโย อพฺยโย (การยอยยับ ชื่อวา พฺยย ไดแก เสื่อม สิ้น พินาศ หรือทำใหผิดจากของเดิม, ไมใชการ ยอยยับ ชื่อวา อพฺยย) ๓. วิ. พฺยเยติ พฺยยยตีติ พฺยโย วินาโส (ศัพทใดยอมยอยยับไป เหตุนั้น ศัพทนั้นชื่อวา พฺยย ไดแก ความพินาศ), [พฺยย ธาตุ ขเย ในความสิ้นไป + อ ปจจัย] วิ. น พฺยโย อพฺยโย (ศัพทที่ยอยยับไปหามิได เหตุนั้น ชื่อวา อพฺยย), นปุพฺพปโท กมฺมธารยสมาส อพฺยยีภาว (ปุ.) ๑. อัพยยีภาวสมาส, สมาสที่ ยังเนื้อความแหงอัพยยศัพทใหปรากฏ วิ. อพฺยยานํ อตฺถํ ภาเวตีติ อพฺยยีภาโว (สมาสใด ยอมยังเนื้อความแหงอัพยยศัพทใหปรากฏ เหตุนั้น สมาสนั้นชื่อวา อพฺยยีภาว), รูป.๓๓๐. เปนสมาสมีกิตกเปนที่สุด [อพฺยย + ภู ธาตุ ปกาสเน ในความประกาศ + เณ + ณ ปจจัย, อี อาคม กจฺ.๓๙๑ รูป. ๔๒๓ วา ยทนุปปนฺนา นิปาตนา สิชฺฌนฺติ, ลบ อตฺถ ศัพท เปน มชฺเฌ โลป กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ วา เตสุ วุทฺธิ เปนตน] ๒. สมาสที่ศัพทไมแจกรูป วิ. พฺยโย วุจฺจติ วิกาโร, นตฺถิ พฺยโย เอตสฺสาติ อพฺยโย, อพฺยโย หุตฺวา ภวตีติ อพฺยยีภาโว (การทำใหผิดจากรูป เดิม ชื่อวา อพฺยย, การทำใหผิดจากรูปเดิม แหง ศัพทนั้น ไมมี เหตุนั้น ศัพทนั้นชื่อวา อพฺยย, สมาสใดมีศัพทที่ไมมีการทำใหผิดจากรูปเดิม เหตุนั้น สมาสนั้นชื่อวา อพฺยยีภาว), นานาลิงฺควิภตฺติวจเนสุ รูปวิการรหิโต หุตฺวา ภวตีติ อตฺโถ (หมายถึง สมาสที่เวนจากการผันรูปลิงค วิภัตติ และวจนะ),สพฺพลิงฺควิภตฺติวจเนสุป เยภุยฺเยน เอกรูเปน ปวตฺตตีติ วุตฺตํ โหติ (มีคำที่ ทานอธิบายไววา อัพยยศัพท เปนไปรูปเดียว โดยมาก ในลิงค วิภัตติ และวจนะทั้งหลาย, [ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + ณ ปจจัย, อี อาคม ดวยมหาสูตรใน นิรุตฺติทีปนี๓. สมาสที่มี บทไมใชอัพยยกลายเปนอัพยยะ วิ. อพฺยยนฺติ วา อุปสคฺคนิปาตานํ เอว นามํ, อยํ ปน ปกติ อพฺยยํ น โหติ, อสงฺขฺเยหิ สห เอกตฺถตาวเสน อพฺยยํ โหติ, อิติ อนพฺยยํป อพฺยยํ ภวตีติ อพฺยยี- ภาโว, รูป. ๓๓๐ (อีกนัยหนึ่ง คำวา อพฺยย เปน ชื่อของอุปสัคและนิบาต, แตสมาสนี้ไมใชปกติ อัพยยะ, จะเปนอัพยยะ ก็ดวยการรวมเขาเปน ความหมายเดียวกับบทที่นับไมได, ดวยประการ ดังนี้ สมาสใดเปนหมูบทที่ไมใชอัพยยะ กลายเปนอัพยยะ เหตุนั้น สมาสนั้น ชื่อวา อพฺยยีภาว), จัดเปนกัมมธายสมาสมีกิตกเปน ที่สุด, [อพฺพย + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + ณ ปจจัย], ในคำวา อพฺยยีภาว นี้ พึงทราบวา ลง อี ปจจัยในที่มี กร และ ภู ธาตุ ในความหมายที่เปลี่ยนไปจากไมมีแลวมี นัย.นิ


๑๘๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา รุตฺติ. ๕๔๙ ลง อี ปจจัยดวยสูตร กจฺ.๕๗๑ รูป. ๖๒๔ วา ปจฺจยาทนิา นิปาตนา สิชฺฌนฺติบท สำเร็จ เชน เตน พหุลีกตํ (อันเขาทำใหมาก แลว), พหุลีกโรนฺติ (พวกเขาทำใหมาก), แตใน โมคฺคลฺลาน (โมคฺ. ๔/๑๑๙) วา ลง จี (อี) ปจจัย วา อภูตตพฺภาเว กราสภูโยเค วิการา จี อพฺยากต (ติ.) อัพยากฤต, เปนกลางๆ ไม กลาววาเปนสิ่งนี้ วิ. น พฺยากตาติ อพฺยากตา, กุสลากุสลภาเวน อกถิตาติ อตฺโถ (ธรรมเหลาใด อันทานไมพยากรณ อธิบายวาไมกลาว โดย ความเปนกุศลหรืออกุศล เหตุนั้น ธรรมเหลานั้น ชื่อวา อพฺยากต), [น + วิ + อา + กร ธาตุ + ต ปจจัย, ลบ ร เปนตน] วิ. กุสลากุสลภาเวน น พฺยากตนฺติ อพฺยากตํ (สิ่งใดอันเขาไมพยากรณ วาเปนกุศลหรืออกุศล เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อพฺยากต อถวา), วิ ศัพท วิโรธิวจโน กลาวความ แตกตาง, อา ศัพทกลาวความมีตอหนา, เพราะ เหตุนั้น อตฺตโน ปจฺจเยหิ อฺมฺวิโรธาภิ- มุขตํ กตํ ลกฺขณวิโรธโต ปหายกปหาตพฺพโต วาติ พฺยากตํ, กุสลากุสลํ. พฺยากตโต อฺํ อพฺยากตํ (กุศลและอกุศล อันปจจัยทั้งหลาย ของตนกระทำใหมีหนาเฉพาะตอกันโดยผิด แปลกกันและกัน โดยมีลักษณะที่ผิดแปลกกัน และโดยเปนสิ่งที่ละและสิ่งที่ตองละ, สิ่งที่อื่น จากกุศลและอกุศลซึ่งเปนพยากตนั้น ชื่อวา อัพยากฤต), อภิธมฺมาตาร-ปุราณฏีกา [วิ + อา + กร ธาตุ กถเน ในความกลาว + ต ปจจัย, ลบ ที่สุดธาตุ, แปลง อิ เปน ย, แปลง ว เปน พ], อ ศัพทในที่นี้ อฺตฺโถ มีความหมายวาอื่น อพฺยาปชฺช (ติ.) ๑. ภาวะที่ไมมีความพยาบาท, ไมมีความเบียดเบียน, พระนิพพาน วิ. นตฺถิ พฺยาปชฺชํ ยสฺมินฺติ อพฺยาปชฺชํ อพฺยาปชฺฌํ นิพฺพานํ (ความพยาบาท ความเบียดเบียน ไมมี ในภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อพฺยาปชฺช, อพฺยาปชฺฌ), [น + วิ + อา + ปท ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ณฺย ปจจัย, อาเทศ ทฺย เปน ชฺช เปนตน], ๒. ความไมมีทุกข, โลก, รูปภพที่ไมมี ความเบียดเบียนจิตใจ วิ. พฺยาพาธนเน พฺยาพาโธ, พฺยาพาโธว พฺยาพชฺฌํ, ทุกฺขนฺติ อตฺโถ (ชื่อวา พฺยาพาธ เพราะอรรถวา เบียดเบียน, พฺยาพาธ นั่นเอง ชื่อวา พฺยาพชฺฌ อธิบายวา ทุกข), [วิ + อา + พาธ ธาตุ พฺยาฆาเต ในความเบียดเบียน + ณ ปจจัย, อาเทศ อิ เปน ย, อาเทศ ว เปน พ + ณฺย สกัตถ, แปลง ธฺย เปน ชฺฌ, รัสสะ อา เปน อ เปน พฺยาพชฺฌํ] วิ. นตฺถิ เอตฺถ พฺยาพชฺฌนฺติ อพฺยาพชฺฌํ, นิทฺทุกฺขตา (ความเบียดเบียนไมมีในภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อพฺยาพชฺฌํ, คือความ ไมมีทุกข), บทนี้เปนน ปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส, วิ. จิตฺตํ พฺยาปาเทติ หึสตีติ พฺยาปาโท, พฺยาปาโทเยว พฺยาปชฺฌํ, โทมนสฺสสงฺขาตํ ทุกฺขํ. นตฺถิ พฺยาปชฺฌํ ยสฺมินฺติ อพฺยาปชฺโฌ โลโก, รูปภโวติ อธิปฺปาโย. อพฺยาพชฺชนฺติป ปาโ (ภาวะใดยอมเบียดเบียนจิตใจ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา พยาบาท, พยาบาทนั่นเอง ชื่อ วา พฺยาปชฺฌ, ไดแก ทุกข กลาวคือ โทมนัส, ภาวะที่เบียดเบียนจิตใดไมมีในที่นั้น เหตุนั้น ที่ นั้น ชื่อวา อัพยาปชฌะ ไดแก โลก อธิบายวา รูปภพ), ปาฐะวา อพฺยาพชฺชํ ก็มี, ๓. พระ นิพพาน, ไมมีความเบียดเบียน วิ. นัยเดียวกัน ทานแสดงไวใน อภิธานปฺปทีปกาฏีกา คาถาที่ ๘ วา วิ. พฺยาพาธตีติ พฺยาพาโธ, โส เอว พฺยาพาโท ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺส ภาโว พฺยาพชฺชํ, ทุกฺขสฺส ปฬนาทฺยตฺโถ, ตํ ยตฺถ นตฺถิ, ตํ อพฺยาพชฺชํ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๘๗ (ภาวะใดยอมเบียดเบียน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา พฺยาพาธ, พฺยาพาธ นั่นเอง ชื่อวา พฺยาปาท, ไดแกทุกขสัจ, ความเปนแหงภาวะที่เบยีดเบียน นั้น ชื่อวา พฺยาพชฺฌ, ไดแก ทุกขมีความหมาย วาบีบคั้น เปนตน, ความเบียดเบียนนั้น ไมมีใน ภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อพฺยาพชฺฌ) ปาฐะวา อพฺยาปชฺฌํ ก็มี, ตตฺถ พฺยาปชฺชนฺติ วินสฺสนฺตีติ พฺยาปาทา, สงฺขตา, เตสํ ภาโว พฺยาปชฺฌํ, สงฺขตานํ วินสฺสนภาโว, ตํ ยตฺถ นตฺถิ, ตํ อพฺยาปชฺฌนฺติ เอวมตฺโถ เวทิตพฺโพ (ในขอนั้น บัณฑิตพึงทราบอธิบายวา ภาวะทั้งหลายที่ เบียดเบียน คือพินาศ เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา พยาบาท คือ สังขตธรรม, ความเปนแหงภาวะที่ เบียดเบียนนั้น ชื่อวา พฺยาปชฺฌ, ไดแก ความ พินาศไปแหงสังขตธรรม, ความเบียดเบียนนั้น ไมมีในพระนิพพานใด พระนิพพานนั้น ชื่อวา อพฺยาปชฺฌ), ก็วาตามนิรุตตินัย แปลง ทฺย เปน ชฺฌ), ตปจฺจเย ปน วิหิเต อพฺยาปนฺโนติ รูป ภวติ (แตเมื่อประกอบ ต ปจจัย รูปเปน อพฺยาปนฺโน) อพฺยาปาร (นปุ.) การไมพยายาม, การไม อุตสาหะ, ไมกระฉับกระเฉง วิ. พฺยาปาริยติ วายมิยเตติ พฺยาปารํ (อันเขาไมพยายาม เหตุนั้น ชื่อวา พฺยาปาร), [วิ + อา + ปร ธาตุ วายาเม ในความพยายาม + ณ ปจจัย, แปลง อิ เปน ย, แปลง ว เปน พ] วิ. น พฺยาปารํ อพฺยาปารํ (การพยายามหามิได ชื่อวา อพฺยาปาร), นัยนี้ เปน นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส วิ. นตฺถิ พฺยาปารํ อสฺสาติ อพฺยาปาโร (การพยายามของผูนั้นไมมี เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อพฺยาปาร), นัยนี้เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส อพฺยาวฏ (ติ.) ไมขวนขวาย, ไมอุตสาหะ, ไมกระตือรือรน วิ. พฺยาวฏติ อุสฺสุกฺกมาปชฺชตีติ พฺยาวโฏ (ผูใดยอมขวนขวาย คือถึงความ ขวนขวาย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา พฺยาวฏ), [วิ + อา + วฏ ธาตุ อาวฏเน ในความหมุนไปทั่ว + อ ปจจัย, อาเทศ อิ เปน ย, อาเทศ ว เปน พ] วิ. น พฺยาวโฏ อพฺยาวโฏ (ผูขวนขวายหามิได ชื่อวา อพฺยาวฏ), บทนี้เปน นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส อพฺยาเสก (นปุ.) นาสนใจ, เจริญตาเจริญใจ, ดึงดูดใจ, มีเสนห วิ. น พฺยาสิฺจนฺติ นกฺขรนฺติ นยนมนานิ อสฺมาติ อพฺยาเสกํ อเสจนํ (ดวงตา และดวงใจไมละ ไมปลอย จากสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อพฺยาเสกํ คือสิ่งที่นาสนใจ), [น + วิ + อา + สิจ ธาตุ ปคฺฆรเณ ในความไหลไป + ณ, แปลง น เปน อ, แปลง อิ เปน ย, แปลง ว เปน พ, แปลง จ เปน ก และพฤทธิ์ อิ เปน เอ] วิ. น พฺยาสิฺจนฺติ ยสฺมึ อาคนฺตุกภูตานิ อฺรสานีติ วา อพฺยาเสกํ (นัยหนึ่ง รสอันเปนสิ่งที่จรมา ไมละ ในที่ใด เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อพฺยาเสก) อพฺรหฺมจริย (นปุ.) การประพฤติของคนไม ประเสริฐ, การพฤติไมประเสริฐ วิ. อพฺรหฺมานํ นิหีนานํ อพฺรหฺมํ วา นิหีนํ จริยํ วตฺติ อพฺรหฺมจริยํ เมถุนธมฺโม (การประพฤติของคนไมประเสริฐคือ ต่ำทราม หรือการประพฤติไมประเสริฐคือต่ำ ทราม ชื่อวา อพฺรหฺมจริย คือเมถุนธรรม) มี อธิบายวา อเสานํ จริยํ, อเสํ วา จริยํ (การ ประพฤติของคนไมประเสริฐ หรือการประพฤติ ไมประเสริฐ), เปน ฉีตปฺปุริส หรือ กมฺมธารย สมาส, พฺรหฺม ศัพท ในที่นี้ เสวาจโก มี ความหมายวาประเสริฐ, อธิบายวา ทฺวยทฺวยสมาปตฺติเมถุนปฺปฏิเสวนา กายทฺวารปฺปวตฺตา อสทฺธมฺมปฺปฏิเสวนานวีติกฺกมเจตนา อพฺรหฺมจริยํ ตสฺส เทฺว องฺคานิ เสวนจิตฺตฺจ มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปาทนฺจาติ กงฺขาวิตรณี (การ


๑๘๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เสพเมถุนที่ถึงความเปนคูๆ เจตนาเปตเหตุกาว ลวงโดยประสงคจะเสพอสัทธรรม ซึ่งเปนไปทาง กายทวาร ชื่อวา อพรหมจรรย, ในกังขาวิตรณี วา อพรหมจรรยนั้น มีองค ๒ คือ จิตคิดจะเสพ และการจรดมรรคดวยมรรค), สวนในอรรถ กถาขุททกปาฐะวา อพรหมจรรยมีองค ๔ ไดแก วัตถุที่จะพึงประพฤติลวง, จิตคิดจะเสพปรากฏ ในอัชฌาจริยวัตถุนั้น, เพราะคิดจะเสพ จึงมี ความพยายาม และผูเสพยินดี) อพุทฺธิก (ปุ.) ผูไมมีความรู วิ. น วิชฺชเต พุทฺธิ เอตฺถาติ อพุทฺธิโก (ความรู ไมมีในบุคคลนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อพุทฺธิก), ลง ก ปจจัย ทายสมาส, ปาฐะวา อพุทฺธี ก็มี วิ. นตฺถิ เอเตสํ พุทฺธีติ อพุทฺธี (ความรู ไมมี แกชนเหลานั้น เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา อพุทฺธิ), นัยนี้เปน นปุพพบทพหุพพิหิสมาส วิ. พุทฺเธ ปสนฺโน พุทฺธิโก (ผูเลื่อมใสในพระพุทธเจา ชื่อวา พุทฺธิก), [ณิก ปจจัยในตัทธิต], วิ. พุทฺธสฺส สนฺตโก วา พุทฺธิโก, น พุทฺธิโก อพุทฺธิโก (นัย หนึ่ง ของมีอยูของพระพุทธเจา ชื่อวา พุทฺธิก, ไมใชของมีอยูของพระพุทธเจา ชื่อวา อพุทฺธิก), นัยนี้เปนนปุพพบทกัมมธารยสมาส อภงฺค (ปุ.) พระสุคตเจา, ผูไมทำลายไปดวย มาร ๑. มาเรน เยน เกนจิ ภฺชิตุํ น สกฺโกตีติ อภงฺโค, เตน วา น ภฺชิยติ น วิทฺธสิยตีติ อภงฺโค, สุคโต (พระสุคตเจา ไมสามารถทำลาย ไป เพราะมารตนใดตนหนึ่ง เหตุนั้น พระองคจึง พระนามวา อภงฺค, อีกนัยหนึ่ง พระสุคตเจา พระองคใด อันมารนั้นทำลายไปไมได เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระนามวา อภงฺค), [น + ภนฺช ธาตุ ภฺชเน ในการหัด + ต ปจจัย, แปลง ช ที่สุดธาตุและต เปน ค, แปลง น เปนนิคหิต, แปลงนิคหิตเปนที่สดุวรรค] ๒. ผูไมมีมาร วิ. อถ วา ภนฺชติ วิทฺธํสตีติ ภงฺโค, มาโร, โย โกจิ วา (ผูใดยอมทำลายไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ภงฺค ไดแก มาร หรือคนทั่วไป), [ภนฺช ธาตุ วิทฺธํสเน ในการขจัด + ณ ปจจัย, อาเทศ ช เปน ค, แปลง น เปนนิคหิต, อาเทศนิคหิตเปนพยัญชนะที่สุด วรรค คือ งฺ] วิ. นตฺถิ ภงฺโค มาโร โย โกจิ วา ยสฺสาติ อภงฺโค, สุคโต (มารที่ชื่อวาผูทำลาย ไม มีแกพระสุคตเจาพระองคใด เหตุนั้น พระองค จึงทรงพระนามวา อภงฺค) ๓. พระมุนีผูไม ทำลายไป วิ. ภฺชิยเต ภงฺโค, น ภงฺโค อภงฺโค (ผูใดอันเขาทำลาย ผูนั้นชื่อวา ภงฺค, ผูอันเขา ทำลายไมได ชื่อวา อภงฺค), อถวา มารเสนาย น ภฺชิยตีติ อภงฺโค มารเสนาย ภฺชิตุํ น อรหตีติ อตฺโถ. มารเสนา ภฺชิตุํ น สมตฺโถติ วา อภงฺโค, มุนินฺโท. (อีกนัยหนึ่ง พระสุคตใดอันเสนามาร ทำลายไมได เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระนามวา อภงฺค, หมายความวา ไมควรทำลายไปเพราะ เสนามาร หรือผูไมอาจจะทำลายเพราะเสนา มาร, ไดแก พระมุนินทเจา) อภพฺพ (ติ.) ๑. ผูไมควร, ผูไมเหมาะ, ผูควรหา มิได วิ. ภวิตพฺโพติ ภพฺโพ (สัตวใดควรเปน เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา ภพฺโพ), ภู ธาตุ, หลัง ภู ธาตุ แปลง ณฺย ปจจัย กับ อู ของ ภู ธาตุเปน อพฺพ ดวยสูตรสัททนีติ นีติ.๑๑๒๘ วา ภูโต ณฺยสฺสพฺพูกาเรน, วิ. น ภพฺโพ อภพฺโพ (สัตวผู ควรหามิได ชื่อวา อภพฺพ), นัยนี้เปน นปุพฺพปท กมฺมธารยสมาส ๒. ผูไมมีอยู, ผูไมเปนอยู วิ. ภวตีติ ภพฺโพ (สัตวใดยอมมี เหตุนั้น สัตวนั้น ชื่อวา ภพฺโพ), [ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความ เปน ลง ย ปจจัยในกัตตุสาธนะ โมคฺ.๕/๓๑ วา กิจฺจฆจฺจภจฺจภพฺพเลยฺยา, ในเพราะ ย แปลง อุ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๘๙ เปน อวฺ, แปลง ย เปน ว, แปลง วฺว เปน พฺพ] วิ.น ภพฺโพ อภพฺโพ (สัตวมีอยูหามิได ชื่อวา อภพฺพ) ๓. สัตวผูไมควรเพื่ออันเปนอยู วิ. ภวิตุํ อรหตีติ ภพฺโพ, ภวิตุมนุจฺฉวิโก (สัตวใดยอมควร เพื่ออันเปนอยู เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา ภพฺพ, คือ ควรเพื่ออันเปนอยู), [ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมี ความเปน + ตพฺพ อรหตฺเถ ปจจัยเปนกัตตุวาจก มีความหมายวาควร, อาเทศปจจัยพรอมทั้งธาตุ เปน ภพฺพ] วิ. น ภพฺโพ อภพฺโพ (ผูควรเพื่ออัน เปนอยู หามิได ชื่อวา อภพฺพ) ๔. ผูอันเขาไม เบียดเบียน วิ. ภพฺพียตีติ ภพฺโพ (ผูใดอันเขา เบียดเบียน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ภพฺพ), [ภพฺพ ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + อ ปจจัย] วิ. น ภพฺโพ อภพฺโพ (ผูอันเขาเบียดเบียน หา มิได ชื่อวา อภพฺพ) อภย (อิตฺ.ปุ.นปุ.) ๑. สมอไทย, ไมมีโรค (อิตฺ.) วิ. น วิชฺชเต โรคภยํ, โรคพฺยโถ โจปยุชฺชมานายมสฺสนฺติ อภยา, หรีตกี (ภัยจากโรคและ การคุกคามจากโรค ไมมีในยาที่ปรุงรักษานั้น เหตุนั้น ยานั้น ชื่อวา อภยา คือสมอไทย) ๒. พระพุทธเจา (ปุ.) วิ. นตฺถิ ภยานิ เอตสฺสาติ อภโย, พุทฺโธ (ภัยทั้งหลาย ของพระพุทธเจา พระองคนั่นไมมี เหตุนั้น พระองคจึงทรงพระ นามวา อภย คือพระพุทธเจา) ๓. มิตร วิ. น อิโต เต ภยมุปฺปนฺนนฺติ อภโย, โก โส? มิตฺโต ชา.อ.๓/๖๙ (ภัยไมเกิดแกทานจากผูนี้ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อภย ไมมีภัย, ผูนั้นคือใคร, ผูนั้นคือ มิตร) ๔. พระนิพพาน วิ. นตฺถิ เอตฺถ ภยํ, อสฺมึ วา อธิคเต ปุคฺคลสฺส นตฺถิ ภยนฺติ อภยํ (ภัยไมมี ในภาวะนั้น, หรือภัยไมมีแกบุคคล เพราะบรรลุ ภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้น จึงชื่อวา อภย), นิพฺพานํ อตฺตานุวาทาทิภยานํ วฏภยสฺส จ สพฺพโส อภาวา อภยํ (พระนิพพานไดชื่อวา อภย เพราะไมมีอัตตานุวาทภัยเปนตน และภัย ในวัฏฏะโดยประการทั้งปวง) อภว (ปุ.) ความไมมี, ความไมเปน, ความวิบัติ, ความเสื่อม, ความขาดสิ้น, ความชั่ว วิ. น ภโว อภโว (ไมใชความเจริญ เปนตน ชื่อวา อภโว), [น + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + อ ปจจัย], ในภาษาบาลีใช อตฺถ ศัพท ๔ ความหมาย ไดแก วิปตฺติ (ความวิบัติ), หานิ (ความเสื่อม), อุจฺเฉโท (ความขาดสูญ), ปาป (ความชั่ว) อภาสน (นปุ.) การไมพูด, ความนิ่ง วิ. น ภาสนํ อภาสนํ (การไมพูด ชื่อวา อภาสน), [น + ภาส ธาตุ วิยตฺติยํ วาจายํ ในการพูดใหชัด + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อภิกงฺขิต (ติ.) อันเขาปรารถนา, อันเขาจำนง, อันเขาหวัง, ความปรารถนา วิ. อภิกงฺขิยเตติ อภิกงฺขิตํ (ความปรารถนาใดอันเขาปรารถนา เหตุนั้น ความปรารถนานั้น ชื่อวา อภิกงฺขิต), [อภิ + กงฺข ธาตุ อิจฺฉายํ ในความปรารถนา + ต ปจจัย ใน ๓ กาล + อิ อาคม] อภิกฺกนฺต (ติ.) ลวงเลย, สิ้นไป, ดี, งาม, อนุโมทนา วิ. อภิวิเสสโต กมิตพฺโพติ อภิกฺกนฺโต (สิ่งใดพึงปรารถนาอยางยิ่ง โดยความเปนของดี ยิ่ง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิกฺกนฺต), วิ. อภิกฺกมีติ อภิกฺกนฺโต (ผูใดกาวไปแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา กาวไปแลว), [อภิ + กมุ ธาตุ อิจฺฉายํ ในความ ปรารถนา + ต ปจจัย, แปลง ม เปน น, ซอน กฺ] วิ. อภิกฺกมนํ อภิกฺกนฺตํ (การกาวไป ชื่อวา อภิกฺกนฺต), [อภิ + กมุ ธาตุ ปกวิกฺเขเป ในความ กาวไป + ต ปจจัย ในภาวะสาธนะ), ใน สัททนตีิ ธาตุมาลา (ฉบับแปล หนา ๘๕๓) ทานอธิบายไว


๑๙๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา วา อิทานิ อภิกฺกนฺตสทฺทสฺส ภูวาทิ-คเณ ‘กมุ ปทวิกฺเขเปติ โวหารสีเสน วุตฺตสฺส กมุธาตุสฺส วเสน อิธ จ ‘กมุ อิจฺฉากนฺตีสูติ วุตฺตสฺส กมุ ธาตุสฺส วเสน อตฺถุทฺธารํ กถยาม. (บัดนี้ขาพเจา จะกลาวอธิบาย อภิกฺกนฺต ศัพท โดยสำเร็จมา จาก กมุ ธาตุ ที่กลาวกันเปนหลักวา กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในความกาวไป จัดเขาในหมวด ภู ธาตุ และ กมุ ธาตุ ที่กลาวไวในที่นี้วา กมุ ธาตุ อิจฺฉากนฺตีสุ ในความปรารถนารักใคร จัดเขาใน หมวด จุร ธาตุ), อภิกฺกนฺตสทฺโท ขยสุนฺทราภิ- รูปอพฺภนุโมทเนสุ ทิสฺสติ. (อภิกฺกนฺต ศัพท ปรากฏในความหมายวา ขย-สิ้นไป, สุนฺทร-ดี, อภิรูป-งาม, อพฺภนุโมทน-อนุโมทนา) อภิกฺกนฺต -ใชในอรรถวา ขย-สิ้นไป เชน อภิกฺกนฺตา ภนฺเต รตฺติ, นิกฺขนฺโต ปโม ยาโม, จิรนิสินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ (ขาแตพระองคผูเจริญ ราตรีสิ้นไป แลว, ปฐมยามผานไปแลว, ภิกษุสงฆนั่งนาน แลว), -ใชในอรรถวา สุนฺทร-ดี เชน อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จ (บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลนี้ดีกวา และ งดงามกวา), -ใชในอรรถวา อภิรูป-งาม เชน โก เม วนฺทติ ปาทานิ อิทฺธิยา ยสฺสา ชลํ อภิกฺกนเฺตน วณฺเณน สพฺพา โอภาสยํทิสา (ใครรุงเรืองอยูดวยฤทธิ์และยศ มีรูปงาม ยัง ทิศทั้งปวงใหสวางอยู ไหวเทาของเราอยู) -ใชในอรรถวา อพฺภนุโมทนา-อนุโมทนา เชน อภิกฺกนฺตํ ภนฺเต (ขาแตพระองคผูเจริญ พระ พุทธพจนนั้น นาอนุโมทนา) อภิกฺกนฺตตร (ติ.) ลวงเลยไปกวา, สิ้นไปกวา, ดีกวา, งามกวา, อนุโมทนากวา, คุณนามชั้น พิเศษ (กวา) ของ อภิกฺกนฺต วิ. อภิกฺกนฺตานํ วิเสเสน อภิกฺกนฺโตติ อภิกฺกนฺตตโร (สิ่งนี้ดีกวา เปนตน กวาสิ่งที่ดีทั้งหลาย เหตุนั้น สิ่งนั้นช่ือวา อภิกฺกนฺตตร), [ตร ปจจัย] อภิกฺกม (ปุ.) การเดิน, การกาวไปขางหนา วิ. อภิมุขํ กมนํ อภิกฺกโม ปุรโต กายาภิหาโร (การกาวไปขางหนา ชื่อวา อภิกฺกม ไดแก เคลื่อนรางกายไปขางหนา), [อภิ + กมุ ธาตุ ปทวิกฺเขเป ในการกาวเทา + อ ปจจัย, ซอน กฺ] อภิกฺกมฺม (กิ.กิตฺ.) เดินไปแลว, กาวไปขางหนา แลว วิ. อภิกฺกมิตฺวาติ อภิกฺกมฺม (กาวไปแลว ชื่อวา อภิกฺกมฺม), [อภิ + กมุ ธาตุ ปทคมเน ใน การกาวเดิน + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง ย เปน ม (ยสฺส ปุพฺพรูปตฺตํ), ซอน มฺ], นัย เดียวกันเชน อภิกฺกมนฺโต ลง อนฺต ปจจัย ใน ปจจุบันกาล อภิกฺกมนีย (ติ.) พึงกาวไปขางหนา, พึง ดำเนินไป, พึงกาวไปใกล วิ. อภิกฺกมิตพฺโพติ อภิกฺกมนีโย [อภิ + กมุ ธาตุ ปทคมเน ในกาว เดิน + อนีย ปจจัย, ซอน กฺ], นัยเดียวกันเชน อภิกฺกนฺตพฺโพ นี้ ลง ตพฺพ ปจจัย, อติกฺกนฺตพฺโพ บทนี้ อติ อุปสัค แปลง ม เปนนิคหิต, เพราะ อำนาจ ต พยัญชนะที่สุดวรรค แปลงนคิหิตเปน นฺ พยัญชนะที่สุดวรรค ดวยสูตรปทรูปสิทธิ กจฺ.๒๙ รูป.๔๒ วา วคฺคนฺตํ วา วคฺเค. อภิกฺขฺ (อพฺ.) เนืองๆ, เสมอๆ, ร่ำไป, ประจำ วิ. อภิกฺขณเมว อภิกฺขฺํ อภิณฺหํ, ปุนปฺปุนนฺติ อตฺโถ อาภิกฺขฺํวา (เนืองๆ ชื่อวา อภิกฺขฺ แปลวา ประจำ, บอยๆ หรือสำเร็จรปู เปน อาภิกฺขฺ) เชนในขอวา วิจฺฉาภิกขฺฺเสุ เทฺว [ณฺย ปจจัย สกัตถ, แปลง ณฺ เปน ฺ, แปลง ย เปน  (ยสฺส ปุพฺพรูปตฺตํ)] วิ.อภิกฺขณสฺส ภาโว อาภิกฺขฺํ (ความเปนแหงเนื่องๆ ชื่อวา อาภิกฺขฺํ], คำนี้เปนภาวตัทธิต, ปุนปฺปุนกฺริยา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๙๑ อภิกฺขฺํ (การทำซ้ำๆ ชื่อวา อภิกฺขฺํ) เชน ภตฺตํ ปจติ ปจติ (หุงขาวซ้ำ), ภุตฺวา ภุตฺวา นิปชฺชนฺติ (กินแลวกินอีกแลวก็นอน) อภิคิชฺฌน (นปุ.) ความปรารถนา, ความ กำหนัด, ความริษยา, ละโมบอยางยิ่ง วิ. อภิคิชฺฌิยเต อภิคิชฺฌนํ (ความตองการอยาง ยิ่ง ชื่อวา อภิคิชฺฌน), [อภิ + คิธุ ธาตุ อภิกาเม ในความใคร + ย ประจำหมวดธาตุ, อาเทศ ธฺย เปน ชฺฌ + ยุ ปจจัย อาเทศเปน อน] นัย เดียวกัน เชน อภิคิทฺธิ ลง ติ ปจจัย, การจำแนก ธาตุ และปจจัยจะกลาวตอไป พึงดูที่ คิทฺธิ อภิคิทฺธ (ติ.) ผูติดของ, ผูอยากไดแลว, ผูกำหนัดนัก วิ. อภิคิชฺฌิตฺถาติ อภิคิทฺโธ (ผูใด กำหนัดนัก เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิคิทฺธ), [อภิ + คิธ ธาตุ เคเธ ในความกำหนัด + ต ปจจัย, อาเทศ ต เปน ธ โมคฺ.๕/๑๔๕ วา โธ ธภเหหิ, อาเทศ ธ ตัวตนเปน ทฺ] อภิฆาต (นปุ., ปุ.) การฆา, อุบายหรือวัตถุ สำหรับเบียดเบียน, เครื่องทำลาย, การตี ๑. วิ. อภิหนนํ อภิฆาตํ (การเขนฆา ชื่อวา อภิฆาต) ๒. วิ. อภิหนนฺติ เอเตนาติ อภิฆาโต (บุคคลยอมเขนฆาเบียดเบียนกันดวยอุบายหรือ วัตถุนั่น เหตุนั้น อุบายหรือวัตถุนั้นชื่อวา อภิฆาต), [อภิ + หน ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + ณ ปจจัย, อาเทศ หน เปน ฆาต] ๓. การเขนฆา, กิริยาที่ประหาร วิ. อภิหฺเต ปหริยเต อภิฆาโต ปหรณกิริยา (อันเขาเขนฆา คือประการ ชื่อวา อภิฆาต ไดแก กิริยาที่ ประหาร) อภิฆาตี (ปุ.) ผูทำลาย, ศัตรู, ฆาตกร, โจร วิ. สีเลน อภิฆาเตตีติ อภิฆาตี ทิโส (ผูใดยอมทำ รายโดยปกติ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิฆาตี คือ โจร), [อภิ + หน ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + ณี ปจจัย, แปลง หน เปน ฆาต ลบ ณ อนุพันธ] อภิจฺฉา (อิตฺ.) ความปรารถนายิ่ง วิ. อภิเอสนํ อภิจฺฉา (ความอยากยิ่ง ชื่อวา อภิจฺฉา), [อภิ + อิสุ ธาตุ อิจฺฉากนฺตีสุ ในความปรารถนารักใคร + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลงที่สุด ธาตุเปน จฺฉ] อภิจฺฉิต (ติ.) ความปรารถนา, ความตองการ, อันเขาตองการยิ่ง วิ. อภิ อติเรกํ อิจฺฉิตพฺพนฺติ อภิจฺฉิตํ (สิ่งใดอันเขาตองการเหลือเกิน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิจฺฉิต), [อภิ + อิสุ ธาตุ + ต ปจจัย, แปลงพยัญชนะที่สุดธาตุเปน จฺฉ, กจฺ. ๕๒๒ รูป.๔๗๖ วา อิสุยมูนมนฺโต จฺโฉ วา + อิ อาคม] อภิชน (ปุ.) ผูเกิดกอน, วงศ, ตระกูล วิ. อภิมุขํ ชเนตีติ อภิชโน วํโส กุลํ จ (ชนใดเกิดกอน เหตุนั้น ชนนั้นชื่อวา อภิชน), [อภิ + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + อ ปจจัย] อภิชปฺปา (อิตฺ.) ตัณหาคอยกระซิบ ๑. วิ. เอวํ เม โหตูติ อภินิวิสนวเสน ชปฺปตีติ อภิชปฺปา สารตฺถ.ฏี.๑/๓๓๑ (ตัณหาใดยอมกระซิบ ดวย อำนาจความยึดมั่นวา จงมีแกเราอยางนี้เหตุนนั้ ตัณหานั้นชื่อวา อภิชปฺปา) ๒. วิ. ตํ มมาติ ปตฺถนาภิภวนียมนสีเสน ชปฺเปตีติ อภิชปฺปา (ตัณหาใดยอมกระซิบ ดวยมุงจะสมใจปรารถนา นึกวา สิ่งนี้จงเปนของเรา เหตุนั้น ตัณหานั้น ชื่อ วา อภิชปฺปา), [อภิ + ชปฺป ธาตุ ปหายํ ในความ ปรารถนา + อ ปจจัย, อา ปจจัย ในอิตถีลิงค] อภิชฺฌา (อิตฺ.) ๑. อภิชฌา, ความเพงเล็งอยาก ไดของเขา วิ. ปรสมฺปตฺตึ อภิมุขํ ฌายติ โลภวเสน จินฺเตตีติ อภิชฺฌา ปรสมฺปตฺตีสุ โลโภ,


๑๙๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา วิสมโลโภติ อตฺโถ (ธรรมชาติใดยอมจดจอสมบัติ ผูอื่น คือเพงเล็งดวยความอยากได เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อภิชฌา ไดแก อยากได สมบัติผูอื่น หมายถึง วิสมโลภะ), [อภิ + เฌ ธาตุ จินฺตายํ ในความคิด + อ ปจจัย, ซอนพยัญชนะ ที่มีรูปไมเสมอกัน คือ ชฺ, ลง อา ปจจัยอิตถีโชตก คือปจจัยแสดงความเปนอิตถีลิงค] ๒. เพ็งเล็ง จดจอสมบัติผูอื่น วิ. ปรสมฺปตฺตึ อภิมุขํ กตฺวา ฌายตีติ อภิชฺฌา (ธรรมชาติใดจดจอสมบัติผูอื่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อภิชฌา), [อภิ + เฌ ธาตุ + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๓. กิเลสเปนเครื่องเพ็งเล็งอยากได, โลภะ วิ. อภิชฺฌายติ ตายาติ อภิชฺฌา (บุคคลยอม อยากไดจัด ดวยธรรมชาตินนั้เหตุนั้น ธรรมชาติ นั้นชื่อวา อภิชฺฌา) วิ. อภิชฺฌายนํอภิชฺฌา (การ เพงเล็งอยากได ชื่อวา อภิชฺฌา) วิ. อภิชฺฌายตีติ อภิชฺฌา, โลโภ (ภาวะใดยอมเพงเล็งอยากได เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อภิชฺฌา คือโลภะ), [อภิ + ฌา ธาตุ วิจินฺตเน ในความคิดฟุงซาน + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] วิ. อภิชฺฌายเต คิชฺฌติ อภิสงฺขติ เอตายาติ อภิชฺฌา (บุคคลยอม เพ็งเล็ง อยากได หมายจะเอา ดวยธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อภิชฺฌา) แตในฎีกา อธิบายวา อภิ บทหนา ฌา ธาตุ ลุพฺภเน ใน ความละโมบ พึงทราบวาเปนบทที่มีความหมาย ที่งอกเงยขึ้น (นิรุฬฺห), นัยเดียวกันเชน อภิชฺฌายนํ (การเพงจองอยากไดจัด) บทนี้ลง ยุ ปจจัย, อาเทศเปน อน, อภิชฺฌายนฺโต (เพงจอง อยากไดจัดอยู) บทนี้ลง อนฺต ปจจัย, อภิชฺฌาตา (ผูเพงจองอยากไดจัด) บทนี้ลง ตุ ปจจัยในกัตตุ สาธนะ, อภิชฺฌายี (ผูมีปกติเพงจองอยากไดจัด) ลง ณี ปจจัย, อภิชฺฌิตํ หรือ อภิชฺฌายิตํ (วัตถุ อันเขาเพงจองอยากไดจัด) ลง ต ปจจัยในอรรถ กัมมวาจก, แตบทวา อภิชฺฌานํ พึงเทียบกับ ศัพทวา อุชฺฌาน ขางหนา อภิชฺฌาย (กิ.กิตฺ.) เพงเล็งแลว วิ. อภิชฺฌายิตฺวาติ อภิชฺฌาย (เพงเล็งแลว ชื่อวา อภิชฺฌาย), [อภิ + เฌ ธาตุ จินฺตายํ ในความคิด + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง เอ เปน อา] อภิชฺฌาลุ (ปุ.) ผูมีอภิชฌามาก, คนโลภมาก วิ. อภิชฺฌา อธิกา อสฺส อตฺถีติ อภิชฺฌาลุ (อภิชฌา ของบุคคลนั้นมีมาก เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อภิชฺฌาลุ), [อาลุ ปจจัยในตทัสสัตถิตัทธิต ลงหลัง อภิชฺฌา เปนตน], นัยเดียวกัน สีตาลุ (มี ความหนาวมาก) ธชาลุ (มีธงมาก) ทยาลุ (มี ความเอ็นดูมาก) ปุริสาลุ (มีบุรุษมาก) สำเร็จรูป เปน อภิชฺฌาลุโก ก็มีบาง ในคำวา อภิชฺฌาลุก นี้ ลง ก อาคมซ้ำอีก ดวยศัพทวา สพฺพโต ใน สูตร กจฺ.๑๗๘ รูป.๒๒๔ นี้วา สพฺพโต โก, สำเร็จรูปเปน อภิชฺฌาลุโน, อภิชฺฌาลโว ก็ได วิ. อภิชฺฌายนฺตีติ อภิชฺฌาลุโน, อภิชฺฌาลโว วา (ชนเหลาใดเพงจองอยากไดจัด เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อภิชฺฌาลุโน อภิชฺฌาลโว ผูอยากไดจัด) ปรภณฺเฑ ลุพฺภนสีลาติ อตฺโถ (ความวา มีปกติละโมบอยากไดของคนอื่น), [อภิ + ฌา ธาตุ วิจินฺตเน ในความคิด, ลง อาลุ ปจจัย ในอรรถหแหงตัสสีละ ดวยมหาสูตร] อภิชาต (ติ.) มีกำเนิดสูง, ผูเกิดดียิ่งกวา, สุภาพบุรุษ วิ. อภิชเนตีติ อภิชาโต (ผูใดยอม เกิดโดยยิ่งกวา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิชาต), อติชาโต สุทฺธชาโต(คือผูเกิดแลวบรสิุทธิ สูงสง), ์ [อภิ + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด, ต ปจจัย ใน ๓ กาล, แปลง น เปน อ] ปาฐะวา อภิชจฺจ ก็มี บาง เชน อภิชจฺจํ ขตฺติยํ (กษัตริยผูมีพระชาติ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๙๓ สูงสง) ลง ณฺย ปจจัยสกัตถ, แปลง ตฺย เปน จฺจ, รัสสะ อา เปน อ อภิฺา (อิตฺ.,กิ.กิตฺ.,ติ.) ๑. ธรรมที่รูยิ่งยวด (อิตฺ.) วิ. อภิ วิเสสโต วิสิา อธิกา หุตฺวา วา ชานาตีติ อภิฺา (ธรรมชาติใด ประเสริฐ ยิ่งยวดยอมรู โดยพิเศษ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อภิฺา), [อภิ + า ธาตุ าเณ ใน ความรู + อ ปจจัย + อา ปจจัย ในอิตถีลิงค] ๒. รูยิ่งแลว (กิ.กิตฺ.) วิ. อภิชานิตฺวาติ อภิฺา (รูยิ่งแลว ชื่อวา อภิฺา), [อภิ + า ธาตุ าเณ ในความรู + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, ลบ ย, กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุวุทธฺิ เปนตน, คลายการแปลง นิคหิตกับ ย เปน , กจฺ.๓๓ รูป.๕๑ วา ส เย จ; กจฺจายนตฺถทีปนี วา ลบ ย ดวยสูตรวา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, ก็ในคำวา อภิฺา นี้ พึงเห็นวา มีการลบอักษร ย เพื่อการ สวดสะดวก ฉะนั้น จึงสำเร็จรูป ดังตัวอยางวา ปฏิสงฺขาย โยนิโส - ปฏิสงฺขา โยนิโส, สยํ อภิฺาย สจฺฉิกตฺวา - สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา, ปริเยสนาย - ปริเยสนา เปนตน ๓. ผูรูยิ่ง, ผูมี- ความชำนาญ, ผูมีอภิญญา (ติ.) วิ.อภิชานาตีติ อภิฺโ กตหตฺโถ (ผูใดยอมรูยิ่ง เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อภิฺโ คือผูมีฝมือ), [อภิ + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + กฺวิ ปจจัย] วิ. อภิฺา อสฺส อตฺถีติ อภิฺโ (อภิญญาของบุคคลนั้นมี อยู เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อภิฺ), [ณ ปจจัย] อภิฺาณ (นปุ.) ลักษณะเปนเครื่องหมายรู, เครื่องหมาย, รอย วิ. อภิ วิเสสํ ชานาติ เอเตนาติ อภิฺาณํ ลกฺขณํ (บุคคลยอมรูยิ่งคือ โดยพิเศษ ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิฺาณํ คือลักษณะ), [อภิ + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + ยุ ปจจัย] อภิฺาต (ติ.) อันเขารู, ปรากฏ, มีชื่อเสียง วิ. อภิฺายเตติ อภิฺาโต วิสฺสุโต (บุคคลใด อันเขารู เหตุนั้น บุคคลชื่อวา อภิฺาต), [อภิ + า ธาตุ + ต ปจจัย] อภิฺาย (กิ.กิตฺ.) รูยิ่ง, รูยิ่งแลว วิ. อภิวิเสเสน ชานิตุนาติ อภิฺาย (รูแลว โดยพิเศษยิ่ง ชื่อวา อภิฺาย), [า ธาตุ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย กจฺ.๕๙๗ รูป.๖๔๑ วา สพฺเพหิ ตุนทีนํ โย, ตัวอยางเชน สยํ อภิฺาย กมุทฺทิเสยฺยํ วินย.๔/๑๑/๑๔ (เรารูยิ่งเอง จะพึง อางใครเลา) อภิฺเยฺย (ติ.) พึงรูยิ่ง, ควรรูยิ่ง วิ. อภิชานิตุํ อรหตีติ อภิฺเยฺยํ (สิ่งใดควรเพื่อจะรูยิ่ง เหตุ นั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อภิฺเยฺยํ), [อภิ + า ธาตุ อวคมเน ในความรู + ฆฺยณฺ ปจจัย, แปลง อา เปน เอ, ซอน ยฺ] อภิตฺถวนา (อิตฺ.) ยกยองอยางยิ่ง, สรรเสริญ วิ. อภิตฺถวิยเต อภิตฺถวนา (อันเขายกยองยิ่งกวา ชื่อวา อภิตฺถวนา), [อภิ + ถุ ธาตุ ถุติยํ ในความ ชมเชย + ยุ ปจจัย + อา ปจจัย ในอิตถีลิงค] อภิตฺถวนฺต (ติ.) ชมเชยอยู, สรรเสริญอยู วิ. อภิตฺถวตีติ อภิตฺถวนฺโต (ผูคนใดเชยชมอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิตฺถวนฺต), [อภิ + ถุ ธาตุ ถุติยํ ในความชมเชย + อนฺต ปจจัย], คำวา อภิตฺถวมาโน (ชมเชยอยู) ก็นัยนี้, ในกรรมวาจก เปน อภิตฺถวียมาโน (ผูอันเขาสรรเสริญอยู) ลง มาน ปจจัย อภิตฺถวนีย (ติ.) สิ่งควรชมเชย, ผูอันเขาพึง ชมเชย วิ. อภิตฺถวิตพฺพนฺติ อภิตฺถวนียํ (สิ่งใด อันเขาพึงชมเชย เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิตฺถวนีย), [อภิ + ถุ ธาตุ อภิตฺถวเน ในความ


๑๙๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ชมเชย + อนีย ปจจัย] นัยเดียวกัน อภิตฺถเวยฺยํ (สิ่งควรชมเชย) ฆฺยณฺ ปจจัย อภิตฺถวิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ชมเชยแลว, สรรเสริญ แลว วิ. อภิตฺถวิตฺถาติ อภิตฺถวิตฺวา (อภิตฺถวิตฺวา แปลวา ชมเชยแลว), [อภิ + ถุ ธาตุ อภิตฺถวเน ชในความชมเชย + ตฺวา ปจจัย] อภิตฺถตุ (ติ.) อันเขาชมเชยแลว, อันเขาเชยชม แลว วิ. อภิตฺถวียิตฺถาติ อภิตฺถุโต, อภิตฺถวิโต (ผูใดอันเขาชมเชยแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิตฺถุต, อภิตฺถวิต), [อภิ + ถุ ธาตุ อภิตฺถวเน ในความชมเชย + ต ปจจัย], นัยเดียวกัน อภิตฺถุติ ลง ติ ปจจัย อภิโทส (ปุ.) ความเริ่มแหงราตรี, พลบค่ำ, เวลาเย็น ๑. ความเริ่มตนแหงราตรี วิ. โทสาย รตฺติยา อารมฺโภ อภิโทโส ปโทโส ปมยาโม (ความเริ่มตนแหงโทสกาล คือราตรี ชื่อวา อภิโทส ไดแก พลบคร่ำ คือปฐมยาม) ๒. สมัย ใหหยุดทำงาน วิ. อภิทุสฺสนฺติ ยตฺถ สพฺพกมฺมานีติ อภิโทโส (การงานทั้งปวง ถูก ประทุษราย ในกาลใด เหตุนั้น กาลนั้น ชื่อวา อภิโทส), [อภิ + ทุส ธาตุ ทุสฺสเน ในความ ประทุษราย + ณ ปจจัย] อภิธมฺม (ปุ.) อภิธรรม ๑ ธรรมอันยิ่งเกิน, ธรรมอันประเสริฐ วิ. อภิ อติเรโก ธมฺโม อภิธมฺโม (ธรรมอันยิ่งเกิน ชื่อวา อภิธมฺม), อภิ วิเสโส วิสิโ วา ธมฺโม อภิธมฺโม (อีกนัยหนึ่ง ธรรมอันประเสริฐพิเศษ ชื่อวา อภิธมฺม), [อภิ + ธร ธาตุ ธารเณ ในความทางไว + รมฺม ปจจัย] ๒. ที่ซึ่งมีธรรมอันยิ่งเกิน, อภิธรรมปฎก, ธรรม อันเหนือขึ้นไปจากพระสูตรและพระวินัย วิ. อภิ อติเรโก ธมฺโม เอตฺถาติ วา อภิธมฺโม, (อีกนัยหนึ่ง ธรรมอันยิ่งเกินมีอยูในที่นี้ เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อภิธรรม), ธมฺม ในนัยนี้หมายถึง บาลี ฉะนั้นใน สงฺเขปวณฺณาฏีกา จึงอธิบายวา สุตฺตนฺตวินยาธิกา ปาีติ อตฺโถ (คำวา บาลี คือ บาลีที่เกินจากพระสูตรและพระวินัย) ๓. อภิธรรมปฎก วิ. นิพฺพฏิตปรมตฺถภาเวน อภิ วิสิา ธมฺมา เอตฺถาติ อภิธมฺโม อภิธมฺมปฏกํ (ธรรมทั้งหลายอันประเสริฐยิ่ง เพราะความเปน ปรมัตถธรรมนำออกจากวัฏ มีอยูในปฎกนั้น เหตุนั้น ปฎกนั้น ชื่อวา อภิธมฺม คือ อภิธมฺมปฏก) อภิธมฺมตฺถสงฺคห (ปุ.) คัมภีรอภิธัมมัตถสังคหะ, คัมภีรที่รวบรวมเนื้อความแหงพระ อภิธรรม วิ. อภิธมฺเม วุตฺตา อตฺถา อภิธมฺมตฺถา (เนื้อความอันทานกลาวไวในพระอภิธรรม ชื่อวา อภิธมฺมตฺถ), บทนี้เปน มชฺเฌโลปตปฺปุริสสมาส วิ. อภิธมฺมตฺถา สงฺคยฺหนฺติ เอตฺถาติ อภิธมฺมตฺถสงฺคหํ, อภิธมฺมตฺถา สงฺคยฺหนฺติ เอเตนาติ วา อภิธมฺมตฺถสงฺคหํ, ปกรณํ. อภิธมฺมตฺถสงฺคโห วา, คนฺโถ. (เนื้อความอันทานกลาวไวในพระ อภิธรรม อันทานรวบรวมไวในที่นั้น เหตุนั้น ที่ นั้นชื่อวา อภิธมฺมตฺถสงฺคห, อีกนัยหนึ่ง เนื้อความอันทานกลาวไวในพระอภิธรรม อัน ทานรวบรวมไว ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิธมฺมตฺถสงฺคห ไดแก ปกรณ หรือ คัมภีรชื่อ อภิธมฺมตฺถสงฺคห) อภิธาน (นปุ.) ชื่อ, คำกลาว, คำเรียก, คำเปน เครื่องเรียก วิ. อภิธียเต ภาสียเต เอเตน อตฺโถติ อภิธานํ (ความหมายอันบุคคลยอมกลาวเรียก ดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิธาน), [อภิ + ธา ธาตุ กถเน ในความกลาว + ยุ ปจจัย กจฺ. ๕๔๘ รูป.๕๙๗ วา กตฺตุกรณปเทเสสุ จา] อภิธายก (ติ.) ผูกลาว, บอก วิ. อภิธาติภาสตตีิ อภิธายกํ (ธรรมชาติใดบอกกลาว เหตุนั้น


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๙๕ ธรรมชาตินั้นชื่อวา อภิธายก), [อภิ + ธา ธาตุ ภาสเน ในความกลาว + ณฺวุ ปจจัย, แปลง อา เปน อาย] อภิเธยฺย (ติ.) อันเขากลาว, ชื่อ, คำพูด, นาม วิ. อภิธิยเต ภาสิยเตติ อภิเธยฺโย (ชื่อใดอันเขา กลาว เหตุนั้น ชื่อนั้น ชื่อวา อภิเธยฺย), [อภิ + ธา ธาตุ ภาสเน ในความกลาว + ณฺย ปจจัย, แปลง ณฺย กับที่สุดธาตุเปน เอยฺย กจฺ.๕๔๔ รูป.๕๕๖ วา วทมทคมุยุชครหาการทีหิ] วิ. อภิธาตพฺพํ กเถตพฺพนฺติ อภิเธยฺยํ (คำใดอันเขาพึงกลาว เหตุนั้น คำนั้นชื่อวา อภิเธยฺย), [อภิ + ธา ธาตุ ภาสเน ในความกลาว + ฆฺยณฺ ปจจัย + แปลง อา เปน เอ, ซอน ยฺ] อภินนฺทน (นปุ.) การยินดียิ่ง, ความชื่นชอบ, ความชอบใจ วิ. อติวิย นนฺทิยเตติ อภินนฺทนํ (อภิ + นนฺท ธาตุ นนฺทเน ในความยินดี + ยุ ปจจัย) อภินย (ปุ.) การนำไปยิ่ง, การนำไปเฉพาะ. การแสดงทาทาง, การแสดงละคร, การแสดง กล วิ. ปสฺสนฺตานํ อภิมุขํ นยนํ ปาปนํ อภินโย (การแสดงตอหนาผูชม ชื่อวา อภินย), [อภิ + นี ธานุ ปาปุณเน ในความใหถึง + อ ปจจัย] อภินว (ติ.) ใหม, สด, หนุม, อันเขาเชยชม, ยกยอง, สรรเสริญ วิ. อภินวียเตติ อภินโว นูตโน (สิ่งใดอันเขาเชยชม เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภินว คือใหม), [อภิ + นุ ธาตุ ถุติยํ ในความ สรรเสริญ + อ ปจจัย], อภิมโต ปสตฺโถ นโว อภินโว (อันเขาชมเชย สรรเสริญ ใหม ยกยอง) อภินิปฺผตฺติ (อิตฺ.) ความสำเร็จ, เผด็จผล วิ. อภินิปฺผชฺชนํ อภินิปฺผตฺติ (ความสำเร็จ ชื่อวา อภินิปฺผตฺติ), [อภิ + ปท ธาตุ + ติ, แปลง ป เปน ผ ดวย จ ศัพทในสูตร กจฺ.๒๐ รูป.๒๗ วา โท ธสฺส จ] อภินิปฺผนฺน (ติ.) สำเร็จแลว, ปรากฏขึ้นแลว, ยังการกระทำใหถึง วิ. กฺริยํ นิปฺผาเทตีติ อภินิปฺผนฺนํ (สิ่งใดยังการกระทำใหถึง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภินิปฺผนฺน), [อภิ + นิ + ปท ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย] อภินิปฺผาทน (นปุ.) ผลสำเร็จ, การใหผล, ผล, เผล็ดผล วิ. อภินิปฺผาเทตีติ อภินิปฺผาทนํ (ภาวะ ใดยังการกระทำใหถึงเฉพาะ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อภินิปฺผาทน), [อภิ + นิ + ปท ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + เณ ปจจัย ในอรรถแหงการิต (ให) + ยุ ปจจัย] อภินิมฺมทน (นปุ.) การขจัด, การบรรเทา, การ ย่ำยี วิ. อภินิมฺมทียเต อภินิมฺมทนํ (อันเขาย่ำยี ชื่อวา อภินิมฺมทน), [อภิ + นิ + มท ธาตุ มทฺทเน ในความย่ำยี่ + ยุ ปจจัย] อภินิโรปน (นปุ.) การยกขึ้นเฉพาะ, การยกขึ้น วิ. อภินิโรปยเต อภินิโรปนํ (อันเขา ยกขึ้นเฉพาะ ชื่อวา อภินิโรปน), เชน วิตกฺกสฺส อภินิโรปนลกฺขณํ,อารมฺมเณ จิตฺตสฺสอาโรปนนตฺิ อตฺโถ (วิตกมีลักษณะยกขึ้นเฉพาะ, หมายถึง ยกจิตขึ้นอารมณ), [อภิ + นิ + รุป ธาตุ โรปเน ในความยก + ยุ ปจจัย, พฤทธิ์ อุ เปน โอ, แปลง ยุ เปน อน] อภินิวิสฺส (กิ.กิตฺ.) หยั่งลงแลว, ใสใจแลว, พิจารณาแลว, ตั้งอยูแลว, ประดิษฐานแลว, ปรารภแลว วิ. อภินิวิสิตฺวาติ อภินิวิสฺส (หยั่งลง แลว เหตุนั้น ชื่อวา อภินิวิสฺส), [อภิ + นิ + วิส ธาตุ ปเวสเน ในความเขาไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง ย เปน ส (ยสฺส ปุพฺพรูปตฺตํ)]


๑๙๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อภินิวีสน (นปุ.) ความยึดมั่น, ความใสใจ วิ. อภินิวีสิยเต อภินิวีสนํ (อันเขายึดมั่น ชื่อวา อภินิวีสน), [อภิ + นิ + วีส ธาตุ ปเวสเน ใน ความเขาไป + ยุ ปจจัย] อภินิเวส (ปุ.) ความยึดมั่น, ความโนมนาว, ความประสงค วิ. นิจฺจาทิวเสน อภินิวิสตีติ อภินิเวโส, มิจฺฉาภินิเวโส, อตฺตโน วา กมฺมกรณตปฺผลานุภวนากาเรน สงฺขาเรสุ ทฬฺหคฺ- คาโห (ภาวะใดเขาไปยึดถืดดวยความเปนของ เที่ยงแทเปนตน เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อภินิเวส, ไดแก การยึดถือผิด หรือการถือมั่น ในสังขาร ทั้งหลาย ดวยอาการคือการทำกรรมและเสวย ผลกรรมนั้นของตน), [อภิ + นิ + วิส ธาตุ ปเวสเน ในการเขาไป + ณ ปจจัย และพฤทธิ์ อิ เปน เอ] กตฺถจิ ปน อภินิเวโสติ อนุปฺปเวโส, อารมฺโภ, วิปสฺสนาภินิเวโสติอาทิ อตฺโถ (แตในบางแหง คำวา อภินิเวโส หมายถึง การเขาไป การเริ่ม หมายความวา การเริ่มวิปสนาเปนตน) อภินิเวสน (นปุ.) ความยึดมั่น, ความใสใจ วิ.อภินิเวโส อภินิเวสนํ (ความยึดมั่น ชื่อวา อภินิเวสน), [อภิ + นิ + วิส ธาตุ ปเวสเน ใน ความเขาไป + ยุ ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ] อภินิสฺสฏ (ติ.) หนีไป, สลัดออก, สลัดแลว วิ. อภินิสฺสริตฺถาติ อภินิสฺสโฏ (ภาวะใด สลัด แลว เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อภินิสฺสฏ), [อภิ + นิ + สร ธาตุ คติจินฺตาสุ ในความไปและ ความคิด + ต ปจจัย] (สุโพธาลังการมัญชรี, ๒๕๖/๕๑๗) อภินีหาร (ปุ.) การนำออก, ความปรารถนา ที่ตั้งใจจริง, ปณิธาน, อํานาจบุญที่สรางสมไว,  อํานาจเหนือปรกติธรรมดา วิ. อภินีหารยเต อภินีหาโร (อันเขานำออก ชื่อวา อภินีหาร), [อภิ + นี + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย] อภินีหรณ (ปุ.) การนำออก, ความปรารถนา ที่ตั้งใจจริง, ปณิธาน, อํานาจบุญที่สรางสมไว อภินีหริยเต อภินีหรณํ (อันเขานำออก ชื่อวา อภินีหาร), [อภิ + นี + หร ธาตุ หรเณ ในความ นำไป + ยุ ปจจัย, แปลงเปน อน, แปลง น เปน ณ] อภิปสิทฺธิ (อิตฺ.) ความสำเร็จ, ความปรากฏ, ความชำนาญ วิ. อภิปสิชฺฌนํ อภิปสิทฺธิ (อภิ + ป + สิธ ธาตุ สํสิทฺธิมฺหิ สํราธเน วา ใน ความสำเร็จดวยดี หรือในความยินดี + ติ ปจจัย) อภิปฺปสนฺน (ติ.) อันเลื่อมใสยิ่ง, อันผองใสยิ่ง วิ. อภิปฺปสีทิตฺถาติ อภิปฺปสนฺโน (ผูใดเลื่อมใส แลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิปฺปสนฺน), [อภิ + ป + สท ธาตุ วิสรณคตฺยาวสาเนสุ ในความซานไป และที่สุด + กฺต ปจจัย, แปลง ต เปน น, ซอน นฺ] อภิภวน (นปุ.) การครอบงำ, การกดขี่, ความ ครอบงำ, ความกดขี่ วิ. อภิภูยเต อภิภวนํ (อัน เขาครอบงำ ชื่อวา อภิภวน), [อภิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + ยุ ปจจัย, แปลง อุ เปน โอ แปลง โอ เปน อว และแปลง ยุ เปน อน] นัยเดียวกันเชน อภิภโว (ผูมีอำนาจ, ผู ครอบงำ) อ ปจจัย, อภิภวนฺโต (ครอบงำอยู) ลง อนฺต ปจจัยในอรรถกัตตุวาจก เปนปจจุบันกาล อภิภวิตพฺพ (ติ.) อันเขาครอบงำ วิ. อภิภูยเต อภิภูยิตฺถ อภิภูยิสฺสเตติ อภิภวิตพฺโพ (สิ่งใดอัน เขาครอบงำอยู ครอบงำแลว จักครอบงำ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิภวิตพฺพ), [ภู ธาตุ สตฺตายํ ใน ความมีความเปน + ตพฺพ ปจจัย กจฺ.๕๔๐ รูป.


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๙๗ ๕๔๕ วา ภาวกมฺเมสุ ตพฺพานียา + อิ อาคม กจฺ. ๖๐๕ รูป.๕๔๗ วา ยถาคมมิกาโร, รัสสะ อู เปน อุ พฤทธิ์ อุ เปน โอ กจฺ.๔๘๕ รูป.๔๓๔ วา อฺเสุ จา, แปลง โอ เปน อว กจฺ.๕๑๓ รูป.๔๓๕ วา โอ อว สเร, นำไปประกอบกัน กจฺ.๑๑ รูป.๑๔ วา นเย ปรํ ยุตฺเต] อภิภวิตุ (ติ.) ผูครอบงำผูอื่น, ผูปกครอง, ผูชนะ วิ. อภิภวตีติ อภิภวิตา, ปรํ อภิภวนฺโต โย โกจิ (ผูใดยอมครอบงำ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิภวิตา ไดแก คนใดคนหนึ่งที่ครอบงำผูอื่น), [อภิ + ภู ธาตุ + ตุ ปจจัย] อภิภวนีย (ติ.) อันเขาครอบงำ, ครอบครอง, พึงชนะ วิ. อภิภูยเต อภิภูยิตฺถ อภิภูยิสฺสเตติ อภิภวนียํ(ส่งิใดอันเขาครอบงำอยูครอบงำแลว จักครอบครอง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อภิภวนีย), [อภิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + อนีย ปจจัย, รัสสะเปน อุ แปลงเปน อว], บทนี้ เปนวิเสสนะ บัณฑิตพึงนำไปประกอบกับศัพท วา ปุริส กฺา จิตฺต เปนตน อภิภายตน (นปุ.) ๑. ฌาน, ภาวะมีบริกรรม หรือญาณเปนเหตุ วิ. อภิภวตีติ อภิภุ, ปริกมฺมํ าณํ วา (ภาวะใดยอมครอบงำ เหตุนั้น ภาวะ นั้นชื่อวา อภิภุ ไดแกบริกรรม และญาณ), เพราะเปนนปุงสกลิงคจึงรัสสะ วิ. อภิภุ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํ, ฌานํ (บริกรรมหรือญาณ เปนเหตุแหงภาวะนั่น เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อภิภายตน คือ ฌาน) พหุพพีหิสมาส ๒. ฌานที่มี อารมณที่จะพึงครอบงำเปนเหตุ วิ. อภิภวิตพฺพํ วา อารมฺมณสงฺขาตํ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํ (วัตถุกลาวคืออารมณ อันจะพึง ครอบงำ เปนเหตุ แหงฌานนั้น เหตุนั้นฌานนั้น ชื่อวา อภิภายตน) ๓. ฌานที่เปนทั้งการ ครอบงำและเปนเหตุ วิ. อารมฺมณาภิภวนโต อภิภุ จ ตํ อายตนฺจ โยคิโน สุขวิเสสานํ อธิานภาวโต มนายตนธมฺมายตนภาวโต วาติป สสมฺปยุตฺตํ ฌานํ อภิภายตนํ (ฌานพรอม ทั้งสมั ปยุตธรรม ชื่อวา อภิภายตนะ เพราะอรรถ วาเปนการครอบงำ เพราะครอบงำอารมณดวย ฌานนั้นเปนเหตุ เพราะปนที่ตั้งแหงความสุข พิเศษของพระโยคีดวย หรือเพราะความเปน มนายตนะและธรรมายตนะ) อภิภาว (ปุ.) ภาวะที่ใหเจริญยิ่ง, การครอบงำ วิ. อภิภาเวตีติ อภิภาโว (ภาวะใดยอมยังให เจริญ เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อภิภาว), [อภิ + ภู ธาตุ อภิภาเว ในความครอบงำ + ณ ปจจัย] อภิภุยฺย (กิ.กิตฺ.) ครอบงำ, ทวมทับ, บังคับ, ขมขืนแลว วิ. อภิภวิตฺวาติ อภิภุยฺย (ครอบงำ แลว ชื่อวา อภิภุยฺย), [อภิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ใน ความมีความเปน + ตฺวา ปจจัย แปลงเปน ย, กจฺ.๕๙๗ รูป.๖๔๑ วา สพฺเพหิ ตุนาทีนํ โย, รัสสะ อู และซอน ยฺ] นัยเดียวกัน อธิภุยฺย, อธิ บทหนา อภิภุยฺยมาน (ติ.) ถูกครอบงำอยู, อันกิเลส เปนตนครอบงำอยู วิ. อภิภวิยเตติ อภิภูยมาโน อภิภุยฺยมาโน (ผูใดอันกิเลสเปนตนครอบงำ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิภุยฺยมาน), [อภิ + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + ย ปจจัย + มาน ปจจัย, รัสสะ อู, ซอน ยฺ] อภิภู (ปุ.) ผูเปนยิ่ง, พระพุทธเจา, ผูยิ่งใหญ, อสัญญสัตว วิ. อภิภวิตฺวา ภวตีติ อภิภู อสฺ- สตฺโต (ผูใดเปนใหญเหนือผูอื่น เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อภิภู คืออสัญญสัตว) เชน อภิภุํ อภิภุโต มฺติ (ยอมสำคัญอสัญญสัตววาเปนอสัญญ สัตว) กึ โส อภิภวิ? จตฺตาโร ขนฺเธ อรูปโน (ถาม


๑๙๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา วา ครอบงำอะไร ตอบวา ครอบงำพวกอรูป พรหมทั้ง ๔) สัททนีติปทมาลา (ฉบับ แปล หนา ๒๖๘ วา) อถวา อภิภวตีติ อภิภู, ปเรสมภิภวิตา โย โกจิ (อีกนัยหนึ่ง ผูใดยอมยิ่งใหญเหนือผูอื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิภู, ไดแก ผูใดผูหนึ่งที่เปน ใหญเหนือผูอื่น) นามปฺตฺติยํ วา สิขีสมฺมาสมฺ พุทฺธสฺส สาวกภูโต ภิกฺขุ, วิเสสโต ปน ตถาคโต เยว อภิภู (อีกนัยหนึ่ง คำวา อภิภู ใชเปนนาม บัญญัติเปนชื่อเฉพาะ ไดแกภิกษุสาวกของพระ สิขีสัมมาสัมพุทธเจา), แตโดยพิเศษ อภิภู หมายถึง พระตถาคตนั่นเอง) วุตฺตฺเหตํ ภควตา ตถาคโต ภิกฺขเว อภิภู อนภิภูโต อฺทตฺถุทโส วสวตฺตีติ, เกจิ ปน อภิภู นาม สหสฺโส พฺรหฺมาติ วทนฺติ (สมดังที่พระผูมีพระภาค ตรัสไวในวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ตถาคต เปนใหญเหนือ บุคคลอื่น ไมมีใครที่จะสามารถเอาชนะได เปนผู เห็นทุกสิ่งทุกอยาง และสามารถโนมนาวใหผูอื่น คลอยตามไดอยางแทจรงิ,สวนอาจารยบางทาน กลาววา อภิภู หมายถึง ทาวสหัสสพรหม), [อภิ + ภู ธาตุ + กฺวิ ปจจัย] ปเร อภิภวติ คุเณน อชฺโฌตฺถรติ อธิโก ภวตีติ อภิภู (ผูใดยอม ครอบงำผูอื่น คือยิ่งใหญเหนือผูอื่นดวยคุณ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิภู) อภิมาน (ปุ.) ๑. อภิมานะ, การถือตัวอยางยิ่ง, ความสำคัญตัว วิ. อภิ วิเสสโต มาเนตีติ อภิมาโน อหํกาโร (ผูใดถือตัวอยางยิ่ง หรือ โดยพิเศษ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิมาโน), [อภิ + มาน ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + อ ปจจัย] ๒. มานะจัด, ถือตัวยิ่ง, ถือตัว, จองหอง วิ. อตฺตานํ อภิมฺติ เอเตนาติ อภิมาโน คพฺโพ (บุคคลยอมสำคัญตนดวยกิเลสนั่น เหตุนั้น กิเลสนั้นชื่อวา อภิมาน คือการจองหอง), [อภิ + มน ธาตุ าเณ ในความรู + ณ ปจจัย] อภิมาร (ติ.) โจร, นักปลน, ผูทำลาย, นายขมัง ธนูผูมุงทำลาย วิ. อภิคนฺตฺวา มาเรสฺสนฺตีติ อภิมารา (นายขมังธนูเหลาใด อันเขาใชให เจาะจงไปฆา เหตุนั้น นายขมังธนูเหลานั้น ชื่อวา อภิมาร), วิ. อภินิลยีิตฺวา ธนุนา มาเรนฺตีติ อภิมารา (นายขมังธนูเหลาใด อันเขาใชใหหลบ ซุมยิงใหตายดวยธนู เหตุนั้น นายขมังธนู เหลานั้น ชื่อวา อภิมาร), [อภิ + มร ธาตุ ปาณจาเค ในการเสียชีวิต + ณ ปจจัย] อภิยาจิต (ติ.) ออนวอนแลว, ถูกออนวอนแลว, ผูอันเขาออนวอนแลว วิ. อภิยาจิยิตฺถาติ อภิยาจิโต, อาทรคารเวน ยาจิโต, อภิมุขํ วา ยาจิโต, อนุตฺตรํ กตฺวา ยาจิโต, อุทฺทิสฺส วา ยาจิโต, ครุตรํ กตฺวา ยาจิโตติ อตฺโถ (ผูใดอันเขา ออนวอนแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิยาจิต, หมายความวา ขอโดยเคารพเอื้อเฟอ, ขอตอ หนา, ทำใหไมมีใครยิ่งกวาแลวขอ, หรือเจาะจง ขอ, ทำความเคารพแลวขอ), [อภิ + ยาจ ธาตุ ยาจเน ในความขอ + ต ปจจัย + อิ อาคม] แต ใน มณิสารมฺชูสาฏีกา วา อภิยาจิตนฺติ วิเสเสน อติสเยน สกฺกจฺจมาทเรน วา อภิมุเขน วา หุตฺวา ยาจิตนฺติ (คำวา อภิยาจิต หมายถึง การขอโดย เปนผูมีความเคารพเอื้อเฟออยางพิเศษยิ่ง หรือ อยูตอหนา) อภิยาต (ติ.) ผูไปเฉพาะ, ผูไปปราบปราม, ผูไป ตอสู วิ. อภิยนฺตีติ อภิยาตา (ชนเหลาใดไป ปราบปราม เหตุนั้น ชนเหลานั้นชื่อวา อภิยาต), [อภิ + ยา ธาตุ คติปาปุเณสุ ในความไปความถึง + ต ปจจัย] นัยเดียวกันเชน อภิยาตุ บทนี้ลง ตุ ปจจัย เปนตน


Click to View FlipBook Version