The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattarat Juntien, 2023-03-01 03:08:39

จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร (พจนานุกรม บาลี-ไ

พจานานุกรม ฉบับบาลี - ไทย ว่าด้วยเรื่อง จูฬธาตุปัจจยโชติกาออักษร

Keywords: ธรรม

พจนานุกรมบาลี-ไทย ๑๙๙ อภิยุชฺฌิต (ติ.) ตอสู, โตเถียง, ฆาฟน, ทะเลาะ วิ. อภิยุชฺฌีติ อภิยุชฺฌิโต (ผูใดตอสูแลว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อภิยุชฺฌิต), [อภิ + ยุธ ธาตุ สมฺปหาเร ในความตอสู + ย ปจจัยในหมวด ทิว ธาตุ + อิ อาคม + ต ปจจัย เปนกัตตุวาจก, แปลง ธฺย เปน ชฺฌ] หรือสำเร็จรูปเปน อภิยุทฺโธ แปลง ต เปน ธ, แปลง ธ เปน ท อภิโยค (ปุ.) ประกอบ, แตงขึ้น, ปรุงขึ้น, พยายาม, กระทำ วิ. อภิ ปุนปฺปุนํ โยโค อภิโยโค, วายาโม (การประกอบร่ำไป ชื่อวา อภิโยค คือ ความเพียร), [อภิ + ยุช ธาตุ โยเค ในความ ประกอบ + ณ ปจจัย] อภิรต (ติ.) ความยินดียิ่ง, อภิรมย, ผูยินดียิ่ง วิ. อภิรมตีติ อภิรโต (ธรรมชาติใดยอมยินดียิ่ง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อภิรต), [รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ต ปจจัย, ลบที่สุดธาตุ] อภิรติ (อิตฺ.) ความยินดียิ่ง วิ. อภิ อติเรกํ รมณํ อภิรติ (ความยินดียิ่งเกิน ชื่อวา อภิรติ), [อภิ + รมุ ธาตุ กีฬายํ ในความเลน + ติ ปจจัย] วิ. อภิวิเสเสน รมิตพฺพาติ อภิรติ (ภาวะใดอัน เขาพึงยินดีพิเศษยิ่ง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อภิรติ), [อภิ + รมุ ธาตุ + ติ ปจจัย] อภิรทฺธ (ติ.) ผูพอใจ, ถูกใจ, ยินดียิ่ง, ชื่นบาน วิ. อภิราธยิตฺถาติ อภิรทฺโธ (ผูใดยินดีแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ผูยินดีแลว), [อภิ + ราธ ธาตุ อาราธเน ในความยินดี + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ธ, แปลงที่สุดธาตุเปนพยัญชนะสังโยคที่ ๓ คือ ทฺ, รัสสะ อา เปน อ], นัยเดียวกัน อภิรทฺธิ (ความยินดียิ่ง) ติ ปจจัย อภิรทฺธิ(อิต.) ความพอใจ, ความยินดียิ่ง วิ. อภิราธนํ อภิรทฺธิ (ความพอใจ ชื่อวา อภิรทฺธิ), [อภิ + ราธ ธาตุ สํสิทฺธิยํ ใน ความสำเร็จ + ติ ปจจัย, แปลง ต เปน ธ, แปลง ธ ตัวหนาเปน ทฺ, รัสสะ อา เปน อ] อภิรมฺม (กิ.กิตฺ.) ยินดีแลว วิ. อภิรมิตฺวาติ อภิ รมฺม (อภิรมฺม แปลวา ยินดีแลว), [อภิ + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน มฺม, ลบที่สุดธาตุ] วิ. อภิรมิตพฺพนฺติ อภิรมฺมํ (สิ่งใดอันเขาพึงยินดี เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อ วา อภิรมฺม), [อภิ + รมุ ธาตุ รมเณ ในความ ยินดี + ย ปจจัย, แปลง ย เปน ม (ปุพฺพรูป)] อภิราม (ติ.) วิหารนายินดียิ่ง, เปนที่พอใจยิ่ง, งดงามยิ่ง วิ. อติสเยน รมิตพฺโพติ อภิราโม โย วิหาโร (วิหารใด อันบุคคลพึงยินดียิ่ง เหตุนั้น วิหารนั้นชื่อวา อภิราม), [อภิ + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ณ ปจจัย ใชเปนกัมมสาธนะ, พฤทธิ์ อ ที่ ร เปน อา] นัยเดียวกันเชน อภิรมณํ ลง ยุ ปจจัย ในอรรถภาวสาธนะ อภิรูป (ติ.) มีรูปงาม, งาม วิ. อภิรูป เอตสฺสาติ อภิรูโป (รูปงามของคนนั่นมีอยู เหนุนั้น คนนั้น ชื่อวา อภิรูป), [ณ ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต] วิ. อธิกํ รูป อสฺสาติ อภิรูปา (รูปงามยิ่งของหญิง นั้นมีอยู เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา อภิรูปา), พหุพ พีหิสมาส, วิ. อภิรูหิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ขึ้นแลว, งอกขึ้นแลว วิ. อภิรุหิตุนาติ อภิรูหิตฺวา (อภิรูหิตฺวา แปลวา ขึ้นแลว), [รุห ธาตุ ชนเน ในความเกิด + ตฺวา ปจจัย, ทีฆะ อุ เปน อู] อภิลาป (ปุ.) ถอยคำ, การรองเรียก, คำรอง เรียก ๑. คำอันเขากลาว, คำที่กลาว วิ. อภิลปฺปตีติ อภิลาโป (คำใดอันเขากลาว เหตุนั้น คำนั้นชื่อวา อภิลาป), วิ. อภิลปตีติ วา อภิลาโป, อตฺถาภิมุโข หุตฺวา ตํ วทตีติ อตฺโถ, จิตฺตชสทฺทคตอกฺขรสนฺนิเวสกฺกโม (อีกนัยหนึ่ง


๒๐๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ภาวะที่กลาวออกมา เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อภิลาป, หมายความวา ผูที่ประสงคความหมาย กลาวคำนั้นออกมา, ไดแก กระบวนประชุมแหง อักษรที่ประกอบเปนเสียงเกิดจากใจ), [อภิ + ลป ธาตุ กถเน ในความกลาว + ณ ปจจัย] ๒. การกลาว, คำอันเขากลาว วิ. อภิลวนํ อภิลาโป (การกลาว ชื่อวา อภิลาป), [อภิ + ลู ธาตุ เฉทเน ในความตัด ณ ปจจัย, รัสสะ อู แปลงเปน อว, แปลง ว เปน ป, ทีฆะ อ ที่ ล เปน อา] วิ. โย สทฺโท ชเนน อภิลปยติ กถิยติ อิติ ตสฺมา โส สทฺโท อภิลาโป (ศัพทใด อันชน กลาว เหตุนั้น ศัพทนั้น ชื่อวา อภิลาป), [อภิ + ลป ธาตุ กถเน ในความกลาว + ณ ปจจัย กจฺ.๕๒๘ รูป.๕๗๗ วา วิสรุชปทาทิโต ณ] อภิลาว (ปุ.) การเกี่ยว, การตัด, การเก็บเกี่ยว วิ. อภิลวนํ อภิลาโว ลวนํ (การเกี่ยว ชื่อวา อภิลาว), [อภิ + ลู ธาตุ เฉทเน ในความตัด + ณ ปจจัย] อภิลาส (ปุ.) ความอยาก, ความตองการ, ตัณหา เปนเหตุอยากเฉพาะหนา วิ. อภิมุขํ กตฺวา ลสติ เอเตนาติ อภิลาโส อิจฺฉา (บุคคลยอมอยาก เฉพาะหนาดวยกิเลสนั่น เหตุนั้น กิเลสนั้นชอื่วา อภิลาส), [อภิ + ลส ธาตุ กนฺติยํ ในความพอใจ + ณ ปจจัย] อภิวทนฺต (ติ.) กลาวประกาศ, กลาวหมายมั่น, การถือมั่นกลาว, ผูวารายเพราะการถือตัว วิ. ตณฺหาภินิเวสวเสน อภินิวิสฺส วทนฺโตติ อภิวทนฺโต. อภิมาเนน อุปวทนฺโตติ อภิวทนฺโต (ผูใดยึดมั่นกลาวอยู ดวยอำนาจการยึดมั่น เพราะตัณหา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิวทนฺต, ผูใด เขาไปวาราย ดวยความถือตัวจัด เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อภิวทนฺต), [อภิ + วท ธาตุ วิยตฺติยํ วาจายํ ในความกลาว + อ วิกรณปจจัย คือ ปจจัยประจำหมวดธาตุ + อนฺต ปจจัย] อภิวนฺทนา (อิตฺ.) อภิวันทนา, การไหว, การ นอบนอม วิ. อภิ สกฺกจฺจํ วนฺทิยเตติ อภิวนฺทนา (กิริยาอันเขาไหวโดยเคารพยิ่ง เหตุนั้น กิริยานั้น ชื่อวา อภิวนฺทนา), [อภิ + วนฺท ธาตุ อภิวาทเน ในความไหว + ยุ ปจจัย + อา ปจจัย ใน อิตถีลิงค] อภิวนฺทิย (กิ.กิตฺ.) อภิวาท, ไหวแลว, นอบนอมแลว วิ. อภิวนฺทิตฺวา อภิวนฺทิย, อภิ สกฺกจฺจํ อาทเรน วนฺทิตฺวาติ อตฺโถ (ไหวแลว ชื่อวา อภิวนฺทิย, หมายความไว ไหวแลว ดวย ความเคารพเอื้อเฟอ), [วนฺท/วทิ ธาตุ วนฺทเน ใน ความไหว + นิคหิต ในเพราะหมวด รุธ ธาตุ, ตฺ วา ปจจัย + อิ อาคม + ย ปจจัย กจฺ.๕๙๗ รูป. ๖๔๑ วา สพฺเพหิ ตุนทีนํ โย; ตฺวา ปจจัย ใชใน อ ร ร ถ ๕ อ ย  า ง ค ื อ ป ุ พ ฺ พ ก า ล ก ิ ร ิ ย า อปรกาลกิริยา สมานกาลกิริยา เหตุ และลกฺขณ ใน ๕ อยางนี้ ๑.ปุพฺพกาลกิริยา เชน กมฺมํ กตฺวาน คจฺฉติ (เขาทำแลว ซึ่งงาน ยอมไป), ๒. อปรกาลกิริยา เชน ทฺวารํ อปธาย นิกฺขมิ (เขาออกไปแลว ปดประตู), ๓. สมานกาลกิริยา เชน ทณฺโฑ ธกฺกจฺจ ปตติ (ไมเทาหลนทำเสียง ธัง), ๔. เหตุ เชน สปฺป ปตฺวา พลํ โหติ (เขามี กำลัง เพราะดื่มเนยใส), ๕. ลกฺขณ เชน ปุจฺฉ สุตฺวา ชานิสฺสาม (เจาจงถามมาเถิด, เมื่อฟงแลว พวกเราจักรูเอง) ปุพฺพาปเร สมาเน จ ตฺวาทิ เหตุมฺหิ ลกฺขเณ กมฺมํ กตฺวาน คจฺฉติ ทฺวารํ ปธาย นิกฺขมิ ทณฺโฑ ปตติ ธกฺกจฺจ สปฺป ปตฺวา พลํ ภเว ปุจฺฉ สุตฺวา ชานิสฺสาม อิทํ นิทสฺสนํ กมาติ จากที่กลาวมานี้ ตฺวา ปจจัยเปนตน ใชในอรรถ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๐๑ แหงปุพฺพกาลกิริยา อปรกาลกิริยา สมาน กาลกิริยา เหตุ และลกฺขณ มีตัวอยางตามลำดับ ดังนี้เขาทำแลว ซึ่งงาน ยอมไป, เขาออกไปแลว ปดประตู, ไมเทาหลนทำเสียง ธัง, เขามีกำลัง เพราะดื่มเนยใส, เจาจงถามมาเถิด เมื่อฟงแลว พวกเราจักรูเอง พึงดู ตฺวาทิยนฺตกถา สัททนีติ ปทมาลา ฉบับแปล หนา ๑๐๒๐ อภิวาทก (ติ.) ผูเคารพครู, ผูกราบไหวครู, ผูสรรเสริญครู วิ. ครุํ อภิวาเทตีติ อภิวาทโก (ผูใดยอมกราบไหวซึ่งครู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อภิวาทก), [อภิ + วที ธาตุ วนฺทนถเว ในความ กราบไหวสรรเสริญ + เณ ปจจัยในหมวด จุร ธาตุ + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก] นิรุตฺติ.๗๙๑ อภิวาทน (นปุ.) การกราบไหว, การนอบนอม ๑. วิ. อภิวนฺทิยเต เอเตนาติ อภิวาทนํ นมกฺกาโร (เขายอมนอบนอมสรรเสริญดวย อาการนั่น เหตุนั้น อาการนั้น ชื่อวา อภิวาทน คือการนอบนอม), [วนฺท/วที ธาตุ + ยุ ปจจัย, ลบ น, ทีฆะ อา เปน อา] ๒. วิ. อภิมุขํ วาทาปนํ กถาปนํ สุขิโต โหตูติ อภิวาทนํ (การใหกลาว มงคลตอหนาวา จงมีสุขเถิด ดังนี้ ชื่อวา อภิวาทน) นิรุตฺติ. ๖๕๓ ๓. วิ. อภิมุขีกรณาย วาทนํ วาทนํ อภิมุขํ วา วชฺชเต อาสีโส อเนนาติ อภิวาทนํ (การกลาวตอหนา คือความประสงค จะเกิดมีได ดวยอาการนั่น เหตุนั้น อาการนั้น ชื่อวา อภิวาทน), [อภิ + วที ธาตุ วนฺทนถเว ใน ความกราบไหวสรรเสริญ + เณ จุราทิคเณ เณ + ยุ ปจจัย] อภิวาทิย (กิ.กิตฺ.) อภิวาทแลว, ไหวโดยเคารพ แลว, ใหเปลงออกแลว ๑. วิ. อภิวาเทตฺวา อภิวาทิย (อภิวาทแลว ชื่อวา อภิวาทิย), [อภิ + วที ธาตุ วนฺทนถเว ในความกราบไหวสรรเสริญ + เณ ปจจัย ใน จุร ธาตุ + ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม] ๒. กราบไหวแลว วิ. อภิวนฺทิตุนาติ อภิวาทิย (กราบไหวแลว ชื่อวา อภิวาทิย), อภิ ศัพทในที่นี้ มีความหมายพิเศษ ฉะนั้น จึงสอง ความหมายวา วนฺทิตฺวา คือไหวโดยเคารพ เอื้อเฟอ เวนจากการไหวเพราะกลัว เพราะเห็น แกลาภ และเพราะมารยาทในตระกูล อภิวิธิ (นปุ.) แผไป, เปนอรรถอยางหนึ่งของ อา อุปสัค วิ. อภิ พฺยาเปตฺวา วิทธาตีติ อภิวิธิ (ภาวะใดยอมแผเขาไปจัดทำไว เหตุนั้น ภาวะ นั้น ชื่อวา อภิวิธิ), [อภิ + วิ + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + อิ ปจจัย] นิรุตฺติ.๓๑๗ รูป.๓๐๙ อภิวินย (ปุ.) อภิวินัย, อุบายสำหรับฝกหัดกาย และวาจา, ขันธกะและปริวาร ๑. วิ. อภิภวิตฺวา กายวาจํ วิเนตีติ อภิวินโย (อุบายใดยอมขมกาย วาจาแลวนำไปวิเศษ เหตุนั้น อุบายนั้นชื่อวา อภิวินย) ๒. วิ. อภิภวิตฺวา กายวาจํ วิเนติ เอตฺถ เอเตนาติ วา อภิวินโย, สกลวินยปฏกํ (บัณฑิต ยอมขมกายวาจานำไปวิเศษในอุบายนั้น หรือ ดวยอุบายนั้น เหตุนั้น อุบายนั้นชื่อวา อภิวินย), [อภิ + วิ + นี ธาตุ นเย ในความนำไป + อ ปจจัย, แปลง อี เปน อย] อีกอยางหนึ่ง ในขอนี้ บัณฑิตพึงถือเอาใจความวาคำวา วินัย หมายถงึ วิภังคทั้ง ๒ คือภิกขุวิภังค และภิกขุนีวิภังค คำ วา อภิวินัย หมายถึง ขันธกะและปริวาร อภิวุฏ (ปุ.) ๑. ตกแลว, ราดแลว, ถูกเมฆฝน ตกรดแลว วิ. อภิวสฺสีติ อภิวุโ (ฝนใดตกแลว เหตุนั้น ฝนนั้นชื่อวา อภิวุ), [อภิ + วส ธาตุ เสจเน ในความราด + ต ปจจัย กตฺตริ กมฺเม วา เปนกัตตุวาจก หรือกัมมวาจก + แปลง ต กับ ที่สุดธาตุเปน  ดวยสูตร กจฺ.๕๗๓ รูป.๖๒๖


๒๐๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา วา สาทิสนฺตปุจฺฉภนฺชหํสาทีหิ โ, หรือแปลง ว เปน อุ ทีเดียว, ว อาคม (?)] ๒. อยูจำเพาะ แลว, อยูจำแลว, อันเขาอยูแลว วิ. อภิวสิตฺถ อภิวสียิตฺถาติ วา อภิวุโ (ผูใดอยูจำแลว หรือ วิหารใดอันภิกษุอยูอาศัยแลว เหตุนั้น ผูนั้นหรือ วิหารนั้นชื่อวา อภิวุ) [อ + วส ธาตุ นิวาเส ในความอยูอาศัย + ต ปจจัย กตฺตริ กมฺเม วา ในกัตตุวาจกหรือกัมมวาจก, แปลงที่สุดแหง วส เปน อุ] อภิวุฑฺฒ (ติ.) เจริญอยางยิ่ง, งอกงาม, รุงเรอืง, ผูทำใหเจริญ วิ. อภิวฑฺเฒตีติ อภิวุฑฺโฒ (ผูใด ยอมใหเจริญ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิวุฑฺฒ), [อภิ + วฑฺฒ ธาตุ วฑฺฒเน ในความเจริญ + เณ ปจจัย การิตนฺโตคโธ เปนบทที่มีการิตปจจัยใน รูปวิเคราะห + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ฒ, แปลง อ ที่ธาตุเปน อุ ดวยสูตร กจฺ.๕๑๗ รูป. ๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, ลบ ฑฺ, แปลง ฒ เปน ฑฺ ดวยสูตร กจฺ.๖๑๒ รูป.๖๑๕ วา โฑ ฒกาเร], หรือวาโดยนัยแหงสันสกฤตวา อภิวุทฺโธ วิ. อภิวฑฺฒนํ อภิวุทฺโธ (ความเจริญ ยิ่ง ชื่อวา อภิวุทฺธ), [อภิ + วทฺธ ธาตุ วทฺธเน ใน ความเจริญ + ต ปจจัย ในภาวสาธนะ แปลง ต เปน ธ, ลบ ท ดวยสูตร กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน, แปลง ธ เปน ทฺ, แปลง อ เปน อุ], ปาฐะวา อภิพุทฺโธ ก็มี, ความหมาย เดียวกันนั่นเอง, แปลง ว เปน พ ดวย จ ศัพท แหงสูตร กจฺ.๒๐ รูป.๒๗ วา โท ธสฺส จ] อภิสงฺขต (ติ.) ตระเตรียมแลว, ตกแตงแลว, ปรุงแตงแลว วิ. อภิสงฺกรียิตฺถาติ อภิสงฺขโต (สิ่ง ใดอันธรรมชาติเปนตนปรุงแตงแลว เหตุนั้น สิ่ง นั้นชื่อวา อภิสงฺขต), [อภิ + สํ + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ต, แปลง กร เปน ข] นัย เดียวกัน อภิสงฺขริตพฺโพ ลง ตพฺพ ปจจัย, อภิสงฺขรณํ ลง ยุ ปจจัย อภิสงฺขจฺจ (กิ.กิตฺ.)กระทำใหดียิ่ง, รวบรวมแลว, สั่งสมแลว, ซอมแซมแลว วิ. อภิสงฺขริตฺวาติ อภิสงฺขจฺจ (กระทำใหดียิ่ง เหตุนั้น ชื่อวา อภิสงฺขจฺจ), [อภิ + สํ + กร ธาตุ กรเณ ในความ กระทำ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน รจฺจ, แปลง ก เปน ข, ลบ ร] อภิสงฺขารก (ติ.) ผูปรุงแตง วิ. อภิสงฺขโรตีติ อภิสงฺขารโก (สภาวะใดปรุงแตง เหตุนั้น สภาวะ นั้นชื่อวา อภิสงฺขาร), [อภิ + สํ + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ณฺวุ ปจจัย, แปลง ก เปน ข, ทีฆะ อ เปน อา] นัยเดียวกัน อภิสงฺขาโร ณ ปจจัย, ประเภทของ สงฺขาร กลาวไวขางหนา พึงดู สงฺขาร อภิสงฺค (ปุ.) การติดของ, การแชง, การดา วิ. อภิสฺชนํ ลคฺคนํ อภิสงฺโค, ทุมฺโมจนีโย พลวอุปนาโห (การดา การของ ชื่อวา อภิสงฺค) [อภิ + สช/สนฺช ธาตุ สงฺเค ในความเกี่ยวของ + ณ ปจจัย] อภิสํยูหิตฺวา (กิ.กิตฺ.) รวมเขากัน, ยอเขากัน วิ. สํหริตฺวา สมูหํ วา กตฺวาติ อภิสํยูหิตฺวา (รวบรวมมาแลว หรือทำใหเปนกลุม เหตุนั้น ชื่อวา อภิสํยูหิตฺวา), [อภิ + สํ + อูห ธาตุ สฺจเย ในการรวบรวม + ตฺวา ปจจัย + ย อาคม และ อิ อาคม], ปาฐะวา อภิสฺูหิตฺวา ก็มีบาง อภิสชฺชนี (ปุ.) ผูขุนเคือง, ผูดา, ผูขุนมัว, ผูขัดของเพราะความโกรธ วิ. กุชฺฌนวเสเนว อภิสชฺชีติ อภิสชฺชนี (ผูใดขุนเคือง ดวยอำนาจ ความโกรธ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิสชฺชนี), [อภิ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๐๓ + สชฺช ธาตุ สชฺชเน ในความจัดแจง + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน + อี ปจจัย ในอิตถีลิงค ] อภิสฏ (ติ.) ๑. ไหลไปแลว, เขาไปหาแลว วิ. อภิสรีติ อภิสฏํ อภิคตํ (สิ่งใดไปเฉพาะแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิสฏ อภิคตํ), [อภิ + สร คติจินฺตาสุ ในความไปและความคิด + ต ปจจัย, ลบ ร, แปลง ต เปน ฏ] ๒. อันเขาเขาไปแลว, อันเขาแผไปแลว วิ. อภิสรียิตฺถาติ อภิสโฏ อภิคโต ปตฺถโฏ วา (สิ่งใดอันเขาเขาไปแลว เหตุ นั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิสฏ ไดแกเขาไปแลว หรือแผ ไปแลว), [อภิ + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย ในกัมมวาจก] อภิสนฺท (ปุ.) ผล, วิบาก, ผลที่หลั่งออกเปนไป ไมขาดสาย วิ. อภิสนฺทติ อวิจฺเฉเทน ปวตฺตตีติ อภิสนฺโท (ธรรมชาติใดเปนไปไมขาดสาย เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อภิสนฺท), [สนฺท ธาตุ ปวตฺติยํ ในความเปนไป + อ ปจจัย] อภิสนฺธ (ปุ.) ผล, วิบาก, ผลที่หลั่งออกเปนไป ไมขาดสาย วิ. อวิจฺเฉเทน อภิสนฺธติ ปวตฺตตีติ อภิสนฺโธ (ธรรมชาติใดเปนไปไมขาดสาย เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อภิสนฺธ), [อภิ + สนฺธ ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + ณ ปจจัย] อภิสนฺธิ (อิตฺ.) ความประสงค, ธรรมชาติที่ อาศัยจิตนอนอยู, ความมุงหมาย, อัธยาศัย วิ. จิตฺเต อภิสนฺธายเตติ อภิสนฺธิ อธิปฺปาโย (ธรรมชาติใดนอนเนื่องในจิต เหตุนั้น ธรรมชาติ นั้น ชื่อวา อภิสนฺธิ), [อภิ + สํ + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + อิ ปจจัย] อภิสปิตฺวา อภิสมย (ปุ.) ปฏิเวธ, สภาวะอันผูปฏิบัติพึง บรรลุ วิ. อภิสเมตพฺโพ ปฏิวิชฺฌิตพฺโพติ อภิสมโย (สภาวะใดอันบุคคลพึงรูแจงแทง ตลอด เหตุนั้น สภาวะนั้น ชื่อวา อภิสมย), [อภิ + สํ + อิ ธาตุ ปฏิวิชฺฌเน อวคมเน วา, ในการ แทงตลอด หรือการรู + อ ปจจัย) ๒. ธรรมเปน เครื่องบรรลุ วิ. อภิสเมติ เอเตนาติ อภิสมโย (บุคคลยอมรู ดวยธรรมนั้น เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อวา อภิสมย), [อภิ + สํ + อิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ณ ปจจัย] ๓. การตรัสรู, ธรรมที่มุง ตรงไปรูแจงสัจจะ วิ. อภิสเมติ อภิมุขํ จตฺตาริ สจฺจานิ สเมจฺจ อยติ ชานาตีติ อภิสมโย (สภาวะ ใดยอมตรงไปรูแจงสัจจะ ๔ เหตุนั้น สภาวะนั้น ชื่อวา อภิสมย), วิ. อภิมุขภาเวน สมฺมา ตํ ตํ สภาวํ เอติ คจฺฉติ พุชฺฌตีติ อภิสมโย (ธรรมชาติ ใดยอมรูสภาวะนั้น โดยชอบ โดยความเปนธรรม มีเฉพาะหนา เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อภิสมย) อภิสมยตฺถ (ปุ.) อรรถคืออภิสมย, อภิสมัยเปน อรรถ วิ. อภิสมโย เอว อตฺโถ อภิสมยตฺโถ. (อรรถคืออภิสมย ชื่อวา อภิสมยตฺถ) อภิสมฺพุชฺฌ (กิ.กิตฺ.) ตรัสรูแลว, รูยิ่งแลว วิ. อภิสมฺพุชฺฌิตฺวาติ อภิสมฺพุชฺฌ (ตรัสรูแลว เหตุนั้น จึงชื่อวา อภิสมฺพุชฺฌ), [อภิ + พธ ธาตุ าเณ ในความรู + ตฺวา, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, แปลง ธ เปน ฌฺ, แปลง ย เปน ฌ (ปุพฺพรูปตฺตํ), แปลง ฌฺ พยัญชนะที่ ๔ เปน ชฺ พยัญชนะที่ ๓] อภิสมฺพุธาน (กิ.กิตฺ.ติ.) ตรัสรูอยู, รูยิ่งอยู, รูอยู วิ. อภิสมฺพุชฺฌตีติ อภิสมฺพุธาโน (ผูใด ตรัสรูอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิสมฺพุธาน), [อภิ + สํ + พุธ ธาตุ อวโพธเน ในความรู + มาน ปจจัย, แปลง มาน เปน อาน] พุชฺฌนฺโต ชานนฺโตติ อตฺโถ (หมายความวา ตรัสรู คือรูอยู) อภิสมฺโพธิ (อิตฺ.) ธรรมชาติที่รูชัด, ญาณเปน เหตุตรัสรู วิ. อภิมุขภาเวน สมฺมเทว สพฺพธมฺเม พุชฺฌตีติ อภิสมฺโพธิ, สพฺพฺุตฺาณํ


๒๐๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (ธรรมชาติใด ยอมรูชัด ธรรมทั้งปวงโดยชอบ ทีเดียว โดยความปรากฏเฉพาะหนา เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อภิสมฺโพธิ คือพระ สัพพัญุตญาณ), วิ. อภิสมฺพุชฺฌติ เอตายาติ วา อภิสมฺโพธิ (อีกนัยหนึ่ง บัณฑิตยอมตรัสรูดวย ธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อภิสมฺโพธิ), [อภิ + สํ + พุธ ธาตุ อวคมเน ใน ความรู + อิ อาคม] ปาฐะวา สมฺมาสมฺโพธิ สมฺโพธิ ก็มี อภิสมาจาริก (ติ.) ๑. มีในอภิสมาจาร วิ. อภิสมาจาเร ภวํ อภิสมาจาริโก (สิ่งที่มีใน อภิสมาจาร ชื่อวา อภิสมาจาริก), [ณิก ปจจัย] ๒. อภิสมาจาร, มารยาทอันดี, ความประพฤติ อันดี วิ. อภิสมาจาโรว อภิสมาจาริกํ (อภิสมาจารนั่นเอง ชื่อวา อภิสมาจาริก), [ณิก สกัตถ], อภิสมาจาโรติ อุตฺตมสมาจาโร. คำวา อภิสมาจาร หมายถึง มารยาทอันดีงาม ๓. พระบัญญัติที่บัญญัติปรารภอภิสมาจาร วิ. อภิสมาจารํ วา อารพฺภ ปฺตฺตํ อภิสมาจาริกํ (พระบัญญัติที่บัญญัติปรารภอภิสมาจาร ชื่อวา อภิสมาจาริก), [ณิก ปจจัย แทน บัญญัติ] อภิสาป (ปุ.) การดา, การสาปแชง, วัตถุเปน เครื่องสาบ, กอนขาวเปนราง วิ. อภิสปนฺติ เอเตนาติ อภิสาโป, อภิสาปวตฺถุ ปณฺโฑลฺยํ (ผู ทรงวิทยาคุณสาบแชงดวยวัตถุนั่น เหตุนั้น วัตถุ นั้นชื่อวา อภิสาป ไดแก กอนขาวเปนวัตถุ สำหรับสาบ), [อภิ + สป ธาตุ อกฺโกเส ในความ ดา + ณ ปจจัย] ปาฐะวา อภิสโป ก็มี, นัย เดียวกัน อภิสปโถ [ปถ + ถ ปจจัย ในภาวะ กจฺ.๖๒๘ รูป.๖๕๓ วา สมาทีหิ ถมา] อภิสปิต (ติ.) ถูกสาบแชงแลว, ผูอันเขา สาปแชง วิ. อภิสปยิตฺถาติ อภิสปโต (ผูใดอัน เขาแชงแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิสปต), [อภิ + สป ธาตุ อกฺโกเส ในความดา + อิ อาคม + ต ปจจัย ในอรรถกรรม] อภิสมิต (ติ.) ตรัสรู, รูแจงแทงตลอดแลว, ถูกรูแลว วิ. อภิสมียิตฺถาติ อภิสมิโต (ธรรมใด อันบัณฑิตรูแลว เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อวา อภิสมิต), [อภิ + สํ + อิ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป, กฺต ปจจัย] อภิสเมจฺจ (กิ.กิตฺ.) ตรัสรู, บรรลุ, เขาถึง, พิจารณา, ไตรตรอง วิ. สมฺปชฺชิตฺวาอุปปรกิฺขิตฺวา ตีเรตฺวา อภิสเมจฺจ (เขาถึงแลว พิจารณาแลว ไตรตรองแลว ชื่อวา อภิสเมจฺจ), [อภิ + สํ + อิ ธาตุ คติยํ ในความไป + ตฺวา ปจจัย, แปลง นิคหิตเปน ม, แปลง อิ เปน เอ, แปลง ตฺวา เปน รจฺจ ดวยการแบงสูตร หรือ ลง จฺจ ปจจัย หลัง อิ ตามนัยนิรุตติทีปนี], ปาฐะวา อภิสเมตฺวา ก็มี อภิสเมตาวินี (อิตฺ.) พระอริยสาวิกาผูรูยิ่งแลว, เขาถึงแลว, บรรลุแลว วิ. อภิ สมฺมา อิตา คตาติ อภิสเมตาวินี (พระอริยสาวิกาเหลาใด รูแลว บรรลุแลวโดยยิ่ง โดยชอบ เหตุนั้น พระอริย สาวิกาเหลานั้น ชื่อวา อภิสเมตาวินี), [อภิ + สํ + อิ ธาต ในความไป + ตาวี ปจจัย] ๒. พระ อริยสาวิกาผูตรัสรูสัจจะ ๔ วิ. จตฺตาริ สจฺจานิ อภิสมยิ ปฏิวิชฺฌีติ อภิสเมตาวินี, ปฏิวิทฺธจตุ- สจฺจาติ อตฺโถ (ผูใดยอมรูแจงแทงตลอดสัจจะ ๔ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิสเมตาวินี หมายความวา รูแจงสัจจะ ๔), [อภิ + สมุ ธาตุ อุปรเม, ปฏิวิชฺฌเน วา ในความเขาไปยินดี หรือในการรู แจง เพราะธาตุมีหลายความหมาย + ตาวี + อินี ปจจัย]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๐๕ อภิสเมนฺต (ติ.) รูอยู วิ. อภิสเมตีติ อภิสเมนฺโต (ผูใดรูอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อภิสเมนฺต), เชน ทุกฺขาทีนิ อภิสเมนฺเตหิ อภิสเมตพฺพา (อรรถ ทั้งหลาย อันบุคคลผูรูทุกขเปนตน พึงรู) วิภงฺค.อ.๘๙ [อภิ + สํ + อิ ธาตุ คติยํ ในความ ไป + อนฺต ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ, แปลง นิคหิตเปน ม], ธาตุที่มีความหมายวาไป จะมี ความหมายวา รู (พุทฺธิ) เปนไป (ปวตฺติ) และ บรรลุ (ปาปุณ) ไดดวย อภิสาริกา (อิตฺ.) หญิงปรารถนาผัว, หญิงผูไป พบคูรักตามนัด วิ. สงฺเกตํ อภิสรติ คจฺฉตีติ อภิสาริกา ธวตฺถินี (หญิงใดยอมไปตามนัด เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา อภิสาลิกา คือหญิงผู ปรารถนาผัว), [อภิ + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + ณฺวุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อภิสิฺจิยมาน (ติ.) อันเขารดอยู, ถูกสรง วิ. อภิสิฺจิยเตติ อภิสิฺจิยมาน (ธรรมชาติใดอัน เขารดอยู เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อภิสิฺจิยมาน), [อภิ + สิจ ธาตุ สิฺจเน ใน ความรด + นิคหิตอาคม แปลงเปน ฺ + ย และ มาน ปจจัย ในอรรถกรรม + อิ อาคม] อภิเสก (ปุ.) ๑. อภิเษก, ที่เปนที่รด, ผูที่เขารด น้ำอภิเษก วิ. อภิสิฺจติ เอตฺถาติ อภิเสโก (เขา รดลงที่บุคคลนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อภิเษก), [อภิ + สิจ ธาตุ สิฺจเน ในความรด + ณ ปจจัย, แปลง จ เปน ก, แปลง อิ เปน เอ] ๒. การอภิเษก วิ. อภิสิฺจนํ อภิเสโก (การรด ชื่อวา อภิเสก), [อภิ + สิจ ธาตุ สิฺจเน ในความ รด + ฆณฺ ปจจัย] อภิหฏุํ(อพฺ.) ๑. เพ่อือนันำไป, เขานำไปแลว วิ. อภิหริตุนฺติ อภิหุํ (เพื่ออันนำไป, เขานำ มาแลว ชื่อวา อภิหุํ), [อภิ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ตุํ ปจจัย, แปลง รฺต เปน ] ใน ปทรูปสิทฺธิ(รูป.๖๒๕) วา อาเทศ ตุํ ปจจัย เปน รุํ แตใน นิรุตฺติทีปนี วา ในสมาสบาง แหง แปลง ตฺวา เปน ตุํ และ ยาน ดวยสูตรวา (โมคฺ.๕/๑๖๕) ตุํยานา, ปาฐะวา อภิหตฺตุํ ปวาเรยฺย อภิหํ ลบสังโยค ตฺ, แปลง ต เปน ฏ, แตบัณฑิตทั้งหลายสวดกันวา อภิหุํ, พยัญชนะ ตางกัน. แตใน สมนฺตปาสาทิกา วินยกถา วา ประกอบ อภิ อุปสัค, มีความหมายวา เพื่ออัน นำไป (หริตุํ) คือถือเอา (คณฺหิตุํ) ๒. นำไปแลว อีกอยางหนึ่ง ตุํ ปจจัยในที่นี้แปลวา แลว ก็ได เชน ทุํ ในขอวา เนกฺขมฺมํ ทุํ เขมโต (เห็น แลวซึ่งความเกษม โดยความเกษม) ขุ.จู.๓๐/ ๔๐๐/๑๕๐, แม ตุํ ปจจัยในคำวา อภิหุํ ก็แปลวา แลว ดังอธิบายวา อภิหุํ ปวาเรยฺยาติ อภิหริตฺวา ปวาเรยฺย (ขอวา อภิหุํ ปวาเรยฺย มีความวา เขานำไปแลวปวารณา), ฉะนั้น ใน ปาจิตฺยาทิโยชนา ทานอธิบายวา อภิหุํ มี ความหมายวา อภิหริตฺวา คือนำไปแลว ตุํ ปจจัย ใชในอรรถแหง ตฺวา ปจจัย อภิหฏ (ติ.) ๑. อันเขานำไปแลว, ถือไวขางหนา นำไป วิ. อภิหรียิตฺถาติ อภิหฏํ, อุปนีตํ, ปุเรตรํ คเหตฺวา อาหฏํ วา (สิ่งใดอันเขานำมาแลว เหตุ นั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิหฏ, ไดแก อันเขานอมเขา ไปแลว หรือถือไปขางหนานำไป), [อภิ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ต ปจจัย, ลบ ร, แปลง ต เปน ฏ] เชน วาจาย อภิหฏํ ปฏิกฺขิปโต ปวารณา นตฺถิ วินย.อ.๒/๔๐๖ (ภิกษุปฏิเสธภัต ที่เขานำมาดวยวาจา ไมจัดเปนการหาม) ๒. อัน เขาเบียดเบียนแลว, ทำรายแลว วิ. อภิหฺตี ติ อภิหโต วา, พาธิโต, อุปทฺทุโตติ อตฺโถ (ผูใด อันเขาเบียดเบียนแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภิ


๒๐๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา หต ไดแก อันเขาทำลายแลว คือทำให เดือดรอน), [อภิ + หน ธาตุ หนเน ในความฆา + ต ปจจัย, ลบ น, แปลง ต เปน ฏ] อภิหาร (ปุ.) การนำไปยิ่ง, การเคารพ, ของอัน เขานำไป วิ. อภิมุขํ หรณํ อภิหาโร, อภิหรียตีติ วา อภิหาโร (การนำไปตอหนา ชื่อวา อภิหาร หรือวัตถุอันเขานำไป ชื่อวา อภิหาโร), [อภิ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย] อภิหิต (นปุ.,ติ.) คำกลาว, อันเขากลาวแลว วิ. อภิธิยเตติ อภิหิตํ ภาสิตํ (คำใดอันเขากลาว แลว เหตุนั้น คำนั้นชื่อวา อภิหิต คืออันเขา กลาวแลว), [อภิปุพฺพ -ธา ภาสเน, โต, ธสฺส โห. อภิธียิตฺถาติ อภิหิโต, อภิปุพฺพ -ธา ธารเณ, โต, ธาสฺส หิ. อภิอุคฺคต (ติ.) พุงขึ้น, เหาะ, ระบือไป วิ. อภิภวิตฺวา อุคฺคจฺฉตีติ อภิอุคฺคโต [อพฺภุคฺคโต] (สิ่งใดขึ้นไปครอบงำ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภิอุคฺคโต, อพฺภุคฺคต), [อภิ + อุ + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย] อภีต (ติ.) ไมกลัว, กลา, สามารถ วิ. น ภายตีติ อภีโต, ปฏิพโล (ผูใดไมกลัว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อภีต คือคนกลา), [น + ภี ธาตุ ภเย ในความ กลัว + ต ปจจัยเปนกัตตุวาจก, แปลง น เปน อ] อภู (ติ.) (วาจา) ไมมีความเจริญ, ไมมีประโยชน, ไมเคยมี, ไมมีจริง วิ. วฑฺฒิวิรหิตา กถา อภู, น ภูตปุพฺพาติ วา อภู, อภูตปุพฺพา กถา. น ภูตาติ วา อภู, อภูตา กถา, (วาจาเปนเครื่อง กลาวที่เวนจากความเจริญ ชื่อวา อภู, หรือวาจา ที่ไมเคยมี ชื่อวา อภู คือกถาไมเคยมี, วาจาที่ไม มีจริง ชื่อวา อภู คือกถาไมมีจริง), [น + ภู ธาตุ สตฺตายํ ในความมีความเปน + กฺวิ ปจจัย] เชน อภุํ เม กถํ นุ ภณสิ ปาปกํ วต ภาสสิ ขุ.ชา.๒๗/ ๒๕๒๐/๕๖๐ (อยางไรหนอ พระองคจึงทรง รับสั่งความไมเจริญแกขาพระองค), อภูตตพภฺาว (ปุ.) การมีสิ่งที่ไมเคยมี, หลักการ ลง อี ปจจัยในที่ประกอบกับ กร ธาตุ เปนตน นิรุตฺติ. ๕๔๙ วิ.ปุพฺเพ ตสฺส อภูตสฺส วตฺถุโน กทาจิ ตถา ภวนํ อภูตตพฺภาโว (การมีอยางนั้น ในบางครั้ง ของสิ่งนั้นที่ไมเคยมี ชื่อวา อภูตตพฺภาว) อภูโตปมา (อิตฺ.) การเปรียบเทียบดวยวัตถอุนั ไมมีจริง เชน “พระพักตรงามเฉิดฉายดังความ งามของปทุมชาติ” ถาตองการดูความงามแหง พระพักตรก็ตองเก็บปทุมชาตมิารวมกันและดวูา แสงสาดสอง กองปทุมชาตินั้นเปนวัตถุที่ไมจริง วิ. อภูเตน อุปมา อภูโตปมา, อวิชฺชมานวตฺถุโน อุปมิตตฺตา อภูโตปมา (การอุปมาดวยวัตถุอันไม จริง ชื่อวา อภูโตปมา, อธิบายวา ชื่อวา อภูโตปมา เพราะวัตถุที่อุปมานั้นไมมีอยู), สุโพธาลังการมัญชรี, ๑๙๕/๓๙๙ อภูปคม (ปุ.) การปรากฏ, ภาวะที่ปรากฏ, เขาถึงอยางยิ่ง วิ. อภิอุปคจฺฉตีติ อภูปคโม (ภาวะใดยอมเขาถึงอยางยิ่ง เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อภูปคม), [อภิ + อุป + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + อ ปจจัย] อภฺยาส (ติ.) ใกล วิ. อภฺยาสีทตีติ อภฺยาโส อาสนฺโน (สิ่งใดยอมใกล เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อภฺยาส), [อภิ + อา + สท ธาตุ วิสรณคตฺยาวสาเนสุ ในการซาน ไป และถึงที่สุด + กฺวิ ปจจัย, แปลง อิ เปน ยฺ] อมจฺจ (ปุ.) อำมาตย, ผูเปนไปกับพระราชา วิ. สพฺพกิจฺเจสุ รฺา มนฺเตน วา อมา สห ภวตีติ อมจฺโจ (ผูใดยอมเปนไปกับดวยพระราชา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๐๗ หรือดวยการปรึกษาในกิจทั้งปวง เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อมจฺจ), [อม ธาตุ ภวเน ในความเปนไป + จฺจ ปจจัย], อีกนัยหนึ่ง อมา ศัพทเปนนิบาต + จฺจ ปจจัยในอรรถวา รวมกัน (สหตฺเถ) ดวย จ ศัพทในสูตร โมคฺ.๔/๑๑ วา ณ ราคา เตน เปนตน, วิ. ราชกิจฺเจสุ รฺา สห ภวตีติ อมจฺโจ, รชฺชกิจฺจโวสาปนโก (ผูใดเปนไปกับดวยพระราชาใน ราชกิจทั้งหลาย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อมจฺจ คือ ผูชวยใหพระราชกรณียกิจสำเร็จ), [อมา ศัพท + อจฺจ ปจจัย ในอรรถวา มี (ภวตฺเถ) ดวยสูตร โมคฺ.๔/๒๓ วา อมาตฺวจฺโจ]สวนบทวา มหามจฺโจ, มหาอมจฺโจ เปน กัมมธารยสมาส อมต (ติ.) ๑. ผูไมตาย, พระชินเจา, การไมตาย, ผูชนะ วิ. น มรตีติ อมโต, ชิโน (ผูใดไมตาย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อมต คือพระชินเจา), [น + มร ธาตุ ปาณจาเค ในความตาย + ต ปจจัย ใน อรรถกัตตุ, ลบ ร] วิ. มรณธมฺมสฺส นิพฺพตฺตกานํ กิเลสานํอรหตฺตมคฺเคน สมุจฺฉินฺทิตตฺตา ปุน มรณโต วิรหิโตติ วา อมโต (อีกนัยหนึ่ง ชื่อวา อมต เพราะเวนจากความตายอีก เหตุวากิเลสที่ เกิดแตมรณธรรมถูกพระอรหัตตัดขาด), และ ต ปจจัยในนัยนี้ลงในอรรถภาวะ สวน อ ศัพทใช ในอรรถวาเวน (วิรหตฺโถ) ๒. ภาวะมีความไม ตาย, ผูเปนอมตะ, ธนวันตริเทพเปนตน วิ. อมตํ อสฺส อตฺถีติ อมโต (อมตะของภาวะนั้น มีอยู เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อมต), [ณ ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต กจฺ.๓๗๐ รูป.๔๐๕ วา สทฺธาทิโต ณ] ๓. น้ำอมฤต, น้ำดื่มของเทวดา วิ. น มตํ มรณมเนนาติ อมตํ สุธา (ความตายไม มีเพราะสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมต ไดแก น้ำอมฤต) ๔. พระนิพพาน วิ. นตฺถิ มตํ เอตฺถาติ อมตํ นิพฺพานํ, นตฺถิ เอตสฺมึ อธิคเต ปุคฺคลสฺส มตนฺติ อมตํ (ความตายไมมีในภาวะ นั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อมต คือพระ นิพพาน, เมื่อบุคคลถึงพระนิพพานแลว ความ ตายก็ไมมีแกเขา เหตุนั้น จึงชื่อวา อมต) ๕. เทพเทามีธนวันตริเทพเปนตน วิ. มนิยตีติ อมโต (เทพตนใดอันเขาบูชา เหตุนั้น เทพตนนั้น ชื่อวา อมต), [อ อักษรใชเปนตัพภาวะ-ไมมี ความหมายพิเศษอะไร] ๖. มะขามปอม วิ. นตฺถิ มตเมติสฺสํ เหตุภูตายนฺติ อมตา อามลกี (ความตายไมมีในเพราะสิ่งนี้เปนเหตุเหตุนั้น สิ่ง นี้จึงเรียกวา อมตา คือมะขามปอม) อมตป (ปุ.อิตฺ.) เทพ, เทวดา, ผูดื่มน้ำอมฤต วิ. อมตํ ปวนฺตีติ อมตปา สคฺควาสี (เทพเหลาใด ดื่มอมฤต เหตุนั้น เทพเหลานั้น ชื่อวา อมตาปา), สุธาหารสฺส ปาตพฺพสฺสป สมฺภวโต อมตํ อมโตสธํ วา ปวตีติ อมตโป (เทพใด ดื่มมต โอสถ เพราะอันเกิดแหงสุธาหาร อันพึงดื่ม เหตุ นั้น เทพนั้นจึงชื่อวา อมตป), [อมต + ปา ธาตุ ปาเน ในความดื่ม + อ ปจจัย] อมตปท (ปุ.) ทางแหงอมตะ, ทางแหงพระ นิพพาน, ความไมประมาท วิ. นิจฺจตาย นตฺถิ เอตสฺส มตํ ภงฺโค, น วา เอตสฺมึ อธิคเต มรณนฺติ อมตํ, ปชฺชิตพฺพโต ปทฺจาติ อมตปทํ, นิพฺพานํ. (ความตายคือการแตกดับไมมีแกภาวะนั้น เพราะเปนธรรมชาติที่แนนอน หรือเมื่อบรรลุ ภาวะนั้นแลว ความตายก็ไมมี เหตุนั้น ภาวะนั้น จึงชื่อวา อมตะ ดวย ชื่อวาเปน ปท เพราะเปน ทางพึงดำเนินไป ดวย เหตุนั้น จึงชื่อวา อมตปท ไดแก พระนิพพาน), วิ. อมตํ วุจฺจติ นิพฺพานํ. อมตสฺส ปทํ อมตปทํ, อมตสฺส อธิคมุปาโย, อปฺปมาโท (พระนิพพาน เรียกวา อมต, ทางแหง อมตะ ชื่อวา อมตปท, ไดแก อุบายเขาถึงอมตะ


๒๐๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา คือพระนิพพาน คือความไมประมาท), เปนฉัฏฐี- ตัปปุริสสมาส, ปาฐะวา อมตํปทํ ก็มี, นิคหิต เชนคำวา อณุํถูลานิ อมตฺต (นปุ.) ภาชนะ, ๑. ภาชนะใชไดตลอด ชวงเวลาหนึ่ง วิ. อมติ กาลนฺตรํ ปวตฺตตีติ อมตฺตํ ภาชนํ (ภาชนะใดใชไดตลอดชวงเวลา หนึ่ง เหตุนั้น ภาชนะนั้นชื่อวา อมตฺต), [อม ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อตฺต ปจจัย ดวย สูตร โมคฺ.๗/๘๑ วา อมาทีหฺยตฺโต ๒. ภาชนะที่ ใสรับประทาน วิ. อมติ ภุฺชติ เอตฺถาติ อมตฺตํ (บุคคลยอมบริโภคในภาชนะนั้น เหตุนั้น ภาชนะนั้น ชื่อวา อมตฺต), [อม ธาตุ โภชเน ใน ความกิน + อตฺต ปจจัย] อมนุสฺส (ปุ.) ๑. อมนุษย, ยักษ วิ. ภยภาวโต อสทิโส มนุสฺเสนาติ อมนุสฺโส (ผูใดไมเหมือน มนุษย เพราะนากลัว เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อมนุสฺส), อ ในที่นี้ใชในอรรถวา ไมเหมือน (อสทิสตฺโถ), คำวา อมนุสฺส นั้นใชเปนคำเรียก ยักษทั่วไป ๒. เหมือนมนุษย แตไมใชมนุษย วิ. น มนุสฺโส อมนุสฺโส (ไมใชมนุษย ชื่อวา อมนุสฺส), ยักษนั้น แมเที่ยวไป ก็ไปดวยจำแลง เพศเปนมนุษย, บางแหงคำวา อมนุสฺส มี ความหมายวา เหมือนมนุษย, บางแหงคำวา อมนุสฺส มีความหมายวา ยักษ หรือเปรต, และ บางแหง คำวา อมนุสฺส หมายถึง สัตวเดรัจฉาน ก็ได โดยเปนสัตวทั่วไปอื่นจากมนุษยนั้น อมม (ติ.) ผูไมยึดถือสิ่งใดวาเปนของของตน, ไมเขาขางตัว, ผูไมมีความยึดถือ, พระอรหันต วิ. นตฺถิ ตณฺหามมตฺตํ ทิิมมตฺตฺจ เอตสฺสาติ อมโม, โก โส, อรหาเยวาติ วตฺตุํ วฏติ (ความ ยึดมั่นวาของเราคือตัณหา และความยึดมั่นวา ของเราคือทิฐิ ของผูนั้น ไมมี เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อมม, อมฺม นั้น ไดแกอะไร, จะตอบวา ไดแก พระอรหันตนั่นเอง ก็ได), อปจ เย สตณฺหาป สทิฐิป มม อิทนฺติ มมตฺตํ น กโรนฺติ, เตป อมมาเยว (อนึ่ง ชนเหลาใด ทั้งยังมีตัณหา ยังมี ทิฐิ ไมทำความยึดมั่นวา นี้ของเรา, ชนแม เหลานั้นก็ชื่อวา อมม นั่นเอง), ในนัยหลังนี้ เชน มนุสฺสา ตตฺถ ชายนฺติ, อมมา อปริคฺคหาติ ที.ปา.๑๑/๒๑๒/๒๑๒ (ชนที่เกิดในอุตตรกุรุ ทวีปนั้น ไมยึดถือสิ่งใดวาเปนของตน ไมหวง แหนกัน), นี้เปนตัวอยางฝายศาสนา แตในฝาย โลกมีตัวอยางวา อมโม อมโม นิรหงฺกาโร (ไมยึด มั่น ไมยึดมั่น ไมมีความถือวาเรา), ศัพทนี้ใชใน ๓ ลิงค วิ. น มมายตีติ อมโม (ผูใดยอมไม ประพฤติยึดมั่นวาเปนของเรา เหตุนั้นผูนั้นชื่วา อมม), [น + มม ใชเปนนามธาตุ + อ ปจจัย] อมร (ปุ.) เทวดา, ผูไมตาย วิ. มรณํ มโร, โส เยสํ นตฺถิ เต อมรา, เทวตา (การไมตาย ชื่อวา มร, ความตายนั้น ไมมีแกเทพเหลาใด เทพเหลานั้น ชื่อวา อมรา, คือเทวดา), [น + มร ธาตุ ปาณ จาเค ในความตาย + อ ปจจัย] อมราวตี (อิต.) เมืองของพระอินทร วิ. อมรา เอติสฺสํ สนฺตีติ อมรวตีวสฺโสกสารา, สา เจว อมราวตี (เทวดาอยูในบุรีนั่น เหตุนั้น บุรีนั้น ชื่อวา อมรวตี คือเทพบุรีชื่อวัสโสกสารา, อมรวตี นั้นนั่นเอง ชื่อวา อมราวตี), [ทีฆะดวยสูตร กจฺ.๔๐๓ รูป.๓๕๔ วา กฺวจาทิมชฺฌุตฺตรานํ, วนฺตุ ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค] อมราวิกฺเขปิก (ติ.) ผูพูดเหลาะแหละไม ตายตัว, ผูพูดซัดสายเหมือนปลาไหล, ชื่อทิฏฐิ โบราณอยางหนึ่ง ๑. วิ. น มรตีติ อมรา, กา สา? เอวนฺติป เม โนติอาทินา นเยน ปริยนฺตรหิตา ทิิคติกสฺส ทิิ เจว วาจา จ. วิวิโธ เขโปติ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๐๙ วิกฺเขโป, อมราย ทิิยา, วาจาย วา วิกฺเขโปติ อมราวิกฺเขโป, โส เอตสฺส อตฺถีติ อมราวิกฺเขปโก (ทิฏฐิหรือวาจาใดไมตายตัว เหตุนั้น ทิฐิหรือ วาจานั้นชื่อวา อมรา, อมรานั้นคืออะไร, คือทิฐิ และวาจาของผูที่ยึดทิฏฐิ เวนจากการกำหนด ที่สุดตายตัว โดยนัยวา ความเห็นของเราอยางนี้ ก็ไมใช, ที่ชื่อวา วิกฺเขโป เพราะดิ้นไปมีอยาง ตางๆ, ที่ชื่อวา อมราวิกฺเขโป เพราะทิฏฐิและ วาจาดิ้นไดไมตายตัว, สมณะหรือพราหมณ ชื่อวา อมราวิกเขปก เพราะมีทิฏฐิและวาจา ดิ้นไดไมตายตัว), [อมรา + วิ + ขิป ธาตุ เขปเน ในความซัดสายไป + ณ ปจจัยในตัทธิต และลง ณิก ปจจัยซ้ำอีก] ๒. อถวา อมรา นาม มจฺฉชาติ, สา อุมฺมุชฺชนาทิวเสน อุทเก สนฺธาวมานา คาหํ น คจฺฉติ, เอวเมว อยมฺป วาโท อิโต จิโต จ สนฺธาวติ, คาหํ น อุปคจฺฉตีติ อมราวิกฺเขโปติ วุจฺจติ, โส เอเตสํ อตฺถีติ อมราวิกฺเขปกา (อีกนัย หนึ่ง ปลาชนิดหนึ่ง ชื่ออมรา แปลวาปลาไหล. ปลาไหลนั้น เมื่อแลนไปในน้ำดวยการผุดขึ้น และดำลงเปนตน ใครๆ ไมอาจจับได, แมวาทะ นี้ก็เหมือนอยางนั้น แลนไปขางโนนขางนี้, ไม เขาถึงอาการที่จะจับไว เพราะเหตุนั้น จึง เรียกวา อมราวิกเขปะ. สมณะหรือพราหมณที่ ชื่อวา อมราวิกเขปกะ เพราะมีทิฏฐิและวาจาดนิ้ ไดเหมือนปลาไหล), สฺวายํ วาโท มุสาวาทานุ- โยคฉนฺทราคภยโมหภาวเหตุกตาย จตุธา ปวตฺโต (อมราวิกเขปกวาท นี้นั้น เปนไป ๔ อยาง เพราะกลัวมุสาวาท กลัวการซักไซ เพราะ กลัวฉันทราคคืออุปาทาน และเพราะความ หลงใหลฟนเฟอน),บัณฑิตพึงคนดูสารตฺถทีปนี- ฏีกา เปนตน อมล (นปุ.ปุ.) แกวเพทาย, แกวอมล ๑. ไมมี มลทิน วิ. นตฺถิ มลํ อสฺสาติ อมลํ สิลาชตุ (มลทิน ของแกวนั้นไมมี เหตุนั้น แกวนั้นชื่อวา อมล คือ แกวเพทาย), ๒. แกวที่สวางไสวออกไป คือไม มีมลทิน วิ. อมติ คจฺฉตีติ อมลํ อพฺภกํ (แกวใด ยอมสองไป เหตุนั้น แกวนั้นชื่อวา อมล คือแกว เพทาย), [อม ธาตุ คมเน ในความไป + อล ปจจัย] วิ. นตฺถิ มลํ เอตสฺสาติ อมโล (มลทินของ สิ่งนั่นไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมล), เปน พหุพฺพีหิสมาส วิ. น มโล อมโล (ไมใชผูมีมลทิน ชื่อวา อมล), เปน มิสฺสกตปฺปุริสสมาส วิ. มลสสฺ ปฏิปกฺโข อมโล (แกวที่ตรงขามกับมลทิน ชื่อวา อมล), เปน อพฺยยีภาวสมาส; มล ศัพท เปน ๒ ลิงค อมลกาภาส (ติ.) มีแสงแจมจรัสไรมลทิน วิ. อมลโก อาภาโส ยสฺสาติ อมลกาภาโส. (แสง แจมจรัส ไรมลทิน ของดวงจันทรใด เหตุนั้น ดวงจันทรนั้นชื่อวา อมลกาภาส), สุโพธาลังการมัญชรี, ๒๙๐/๕๗๙ อมฺพ (ปุ.) ๑. มะมวง วิ. อมฺพติ อตินาทํ กโรตีติ อมฺโพ จูโต (ผลไมใดที่ทำเสียงบันลือยิ่ง เหตุนั้น ผลไมนั้น ชื่อวา อมฺพ คือมะมวง), [อมฺพ ธาตุ กรเณ ในความทำ + อ ปจจัย] ๒. ผลไมที่ผู ตองการผลไมมุงไป วิ. ผลกาเมหิ ชเนหิ อมียติ คมียตีติ อมฺโพ จูโต. (ผลไมใด อันชนผูตองการ ผลไมมุงไป เหตุนั้น ผลไมนั้นชื่อวา อมฺพ คือ มะมวง) ๓. บิดามารดา, ผูอันบุตรธิดาบูชา (ปุ.อิตฺ.) วิ. ปุตฺตธีตเรหิ อมิยติ ปูชิยตีติ อมฺพา มาตา, อมฺโพ ปตา (ผูใดอันบุตรธิดาเคารพบูชา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อมฺพา-มารดา, อมฺโพ-บิดา), [อม + ปชายํ ในความบูชา + พ ปจจัย กจฺ.๓๙๑ รูป. ๔๒๓ วา ยท เปนตน + อา ปจจัย ในอิตถี


๒๑๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ลิงค] วิ. ปุตฺเตน อมียติ คมียตีติ อมฺพา มาตา, อมฺโพ ปตา (บิดามารดาใด อันบุตรเขาไปหา เหตุนั้น บิดามารดานั้นชื่อวา อมฺพา-มารดา, อมฺ โพ-บิดา), [อม ธาตุ คมเน ในความไป + พ ปจจัย ดวยสูตรแหงโมคคัลลานะ โมคฺ.๗/๑๒๑ วา ครสราทีหิ โพ] ๔. ผลไมที่ไปเร็ว, ผลไมโต เร็ว, ผลไมที่รวง วิ. อมฺพติ สีฆํ คจฺฉตีติ อมฺพํ (ไมใดเปนไปเร็ว เหตุนั้น ไมนั้นชื่อวา อมฺพ), [อมฺพ ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย] วิ. อมฺพสฺส อิทํ อมฺพํ, ผลํ (ผลนี้เปนผลแหงตน มะมวงนั้น เหตุนั้น จึงชื่อวา อมฺพ), [ณ ปจจัย แทน อิทํ, อสฺส] ๕. บิดามารดา, ผูรักษา วิ. อมฺพติ รกฺขตีติ อมฺพา มาตา, อมฺโพ ปตา (ผูใดยอมรักษาเหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อมฺพา มารดา, อมฺโพ-บิดา), [อมฺพ ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + อ, อา ปจจัย ในอิตถีลิงค] ๖. บิดามารดา, ผูอันบุตรธิดาเขาไปหา วิ. อมฺพฺยเต เสฺนเหน อุปคมฺยเต ปุตฺเตน วาอมฺพิยติคธิยติปยิรุปาสิยตตีิ อมฺพา มาตา, อมฺพโก ปตา (ผูใดอันบุตรเขาไป หาเพราะความรัก เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อมฺพามารดา, อมฺพโก-บิดา), [อมฺพ ธาตุ คมเน ใน ความไป + อ, อา ปจจัย ในอิตถีลิงค, ก สกัตถ] ๗. น้ำ วิ. อมฺพติ อภินาทํ กโรตีติ อมฺโพ อมฺพุ (ธรรมชาติใดยอมสงเสียง คือทำเสียงอื้ออึง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อมฺพ คือน้ำ), [อมฺพ ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + อ ปจจัย] อมฺพฏา (อิตฺ.) ๑. ไมลมลุกชนิดหนึ่งชื่อ กรุงเขมา, โกฐเขมา, จิงจอ, ตูมกาเครือ วิ. อมฺพตีติ อมฺพา ปาา (พืชชนิดใดยอมสง เสียง เหตุนั้น พืชชนิดนั้นชื่อวา อมฺพา คือ ตูมกาเครือ), [อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง +  ปจจัย กจฺ.๖๗๒ รูป.๖๘๒ วา กุฏาทีหิ โ + อา ปจจัย ในอิตถีลิงค, ซอน ] ๒. วิชาธนูยิง ไมเขา ชื่อวาอัมพัฏฐะ (อิตฺ) วิ. สตฺตานํ สรีเร อพฺภงฺคํ เปตีติ อมฺพา (วิทยาคมใด ใสสิ่ง พิเศษเขาไปรางสัตว เหตุนั้น วิทยาคมนั้น ชื่อวา อัมพัฏฐะ), หมายความวา วิชาคือมนตที่ไดชื่อ อยางนั้น ก็เพราะทำตัวรูปดวยวิธี นิรุตตินัย, ๓. อัมพัฏฐมาณพ วิ. ยโต อมฺพา วิชฺชา เอตสฺมึ อตฺถีติ กตฺวา กณฺโห อิสิ อมฺพโติ ปฺายิตฺถ, ตพฺพํสชาตตาย ปนายํ มาณโว อมฺพโติ โวหรียติ. (เพราะเหตุที่วิทยาคมชื่อ วาอัมพัฏฐะมีในกัณหฤษีนั้น เหตุนั้น กัณหฤษีจึง ปรากฏชื่อวา อัมพัฏฐะ, สวนมาณพนี้เขาก็เรียน กันวา อัมพัฏฐะ เพราะเกิดแตวงศอัมพัฏฐะ แหงกัณหฤษีนั้น) อมฺพณ (นปุ.) ๑. อัมพณะ, ชื่อมาตราสำหรับ ตวง คือ ๑๑ โทณะ วิ. อมฺพติ อเนนาติ อมฺพณํ, เอกาทส โทณา (ขาวเปลือกเปนตนยอมไปได ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพณ, คือ ๑๑ โทณะ), [อมฺพ ธาตุ คมเน ในความไป + ยุ ปจจัย , แปลงเปน อน, แปลง น เปน ณ], ใน วิภังคฎีกา วา ๔ โทณะ เปน อัมพณะ, บาง อาจารยวา ๖ โทณะ, ๒. รางน้ำ, สัดจอง วิ. อมฺพุํ เนติ เยนาติ อมฺพณํ โทณี (เขานำน้ำไป ดวยสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพณ คือ รางน้ำ), [อมฺพุ + นี ธาตุ นเย ในความนำไป + อ ปจจัย, แปลง อุ เปน อ, แปลง น เปน ณ] อมฺพร (นปุ.ปุ.) ๑. ทองฟา, อากาศ, กลางหาว วิ. อมฺพนฺเต สทฺทายนฺเต เอตฺถาติ อมฺพรํ คคนํ (เมฆรองคำรามอยูในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อมฺพร คือทองฟา), [อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในการ ออกเสียง + อร ปจจัย] วิ. อมฺพํ อสฺส อตฺถีติ อมฺพโร (เสียงแหงที่นั้นมีอยู เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๑๑ อมฺพร), [ร ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต] ๒. ผา วิ. อมฺพียเต สทฺทียเตติ อมฺพรํ วตฺถํ (สิ่งใด อันเขาสงเสียงฮือฮา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพร คือเครื่องนุงหม), [อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในการสง เสียง + อร ปจจัย] อมฺพาฏก (ปุ.) มะมวงปา, มะกอก, ผลมะมวง ปา, ผลมะกอก วิ. อมฺพตีติ อมฺพาฏโก ปตนโก (ไมใดยอมสงเสียง เหตุนั้น ไมนั้น ชื่อวา อมฺพาฏก คือมะมวง), [อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในการ ออกเสียง + อฏ ปจจัย + ก สกัตถ] อมฺพิล (นปุ.ปุ.) รสเปรี้ยว (นปุ.) ๑. วิ. อมฺพนฺติ เอเตนาติ อมฺพิลํ รสวิเสโส (คนทั้งหลายออก เสียงเพราะรสชาดใด เหตุนั้น รสชาดนั้นชื่อวา อมฺพิล คือรสชาดอยางหนึ่ง), [อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในความออกเสียง + อร ปจจัย, แปลง อ เปน อิ, แปลง ร เปน ล, หรือ อิล ปจจัย] ๒. มะนาว (ปุ.) วิ. ชนา อมฺพนฺติ สทฺทํ กโรนฺติ อเนนาติ อมฺพิโล ทนฺตสโ (ชนทั้งหลายสงเสียง เพราะสิ่ง ใด เหตุนั้นสิ่งนั้นชื่อวา อมฺพิล คือมะนาว), [อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง + อิล ปจจัย] อมฺพุ (นปุ.) น้ำ ๑. วิ. อมฺพติ อตินาทํ กโรตีติ อมฺพุ วาริ (สิ่งใดยอมสงเสียง คือทำเสียงอื้ออึง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพุ คือน้ำ), [อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง + อุ ปจจัย] ๒. วิ. อมฺพติ อติสทฺทํ กโรตีติ อมฺพุ (สิ่งใดยอมทำ คือกระทำ เสียงดัง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพุ), [อมฺพ ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + อุ หรือ ณุ ปจจัย] ๓. วิ. อมฺพิยติ สทฺทํ กโรตีติ อมฺพุ(สิ่งใดยอมสง เสียง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพุ), [อพิ/อมฺพ ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง + อุ ปจจัย] ศัพทนี้เปน นปุงสกลิงค อมฺพุช (ปุ.) ปลา, สัตวเกิดในน้ำ, บัว, บงกช วิ. อมฺพุมฺหิ ชาโต อมฺพุโช มจฺโฉ ชลโช จ, ปงฺกโช วา (สัตวที่เกิดในน้ำ ชื่อวา อมฺพุช ไดแก ปลา สัตวน้ำ หรือบงกช), [อมฺพุ + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + กฺวิ ปจจัย, สวนคำวา อมฺพุชินี “สระบัว” หมายถึง สระโบกขรณี อมฺพุชากร (ปุ.) บึง, หนองน้ำ, แหลงเกิดบัว วิ. อมฺพุชานํ ปทุมานํ อากโร อุปฺปตฺติานํ อมฺพุชากโร, วาป. (อากรคือที่เกิดขึ้นแหงหมู ปทุมชาติ ชื่อวา อมฺพุชากร คือบึง) อมฺพุท (นปุ.ปุ.) ๑. การพนัน วิ. อมฺพติ หึสตีติ อมฺพุทํ (สิ่งใดยอมเบียดเบียน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อมฺพุท), [อมฺพ ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + ท ปจจัย, แปลง อ เปน อุ] ๒. เมฆ วิ. อมฺพุํ ชลํ ททาตีติ อมฺพุโท วลาหโก (สิ่งใดยอมใหน้ำฝน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพุท คือเมฆ), [อมฺพุ + ทา ธาตุ ทาเน ในความให กฺวิ ปจจัย] อมฺพุธร (ปุ.) เมฆ วิ อมฺพุมุทกํ ธาเรตีติ อมฺพุธโร ชีมูโต (สิ่งใดยอมทรงไวซึ่งน้ำ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อมฺพุธร คือเมฆ), [อมฺพุ + ธร ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + อ ปจจัย] อมฺภ (ปุ.) ๑. น้ำ วิ. อมฺภติ สทฺทํ กโรตีติ อมฺโภ อุทกํ (สิ่งใดยอมเสียงดัง เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อมฺภ คือน้ำ), ตฺหินิชฺชีวมฺปสมานํโอฆกาลาทสีุ วิสฺสนฺทมานํ อมฺภติ สทฺทํ กโรตีติ อมฺโภติ วุจฺจติ (ความจริง น้ำนั้น เรียกวา อมฺภ เพราะแมไมมี ชีวิต แตก็ไหลสงเสียงดังไป ในหวงน้ำเปนตน), ศัพทที่มีความหมายวา น้ำ มีดังนี้ ปานียํ อุทกํ โตยํ ชลํ ปาโต จ อมฺพุ จ ทกํ กํ สลิสํ วาริ อาโป อมฺโภ ปปมฺป จ นีรฺจ เกปุกํ ปานิ อมตํ เอลเมว จ


๒๑๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อาโปนามานิ เอตานิ อาคตานิ ตโต ตโต (ปานีย, อุทก, โตย, ชล, ปาต, อมฺพุ, ทก, กํ, สลิล, วาริ, อาป, อมฺภ, ปป, นีร, เกปุก, ปานิ, อมต, เอล ศัพทเหลานี้มีความหมายวา น้ำ ทั้งส้นิมีมาในคัมภีรตางๆ) ในบรรดาบทเหลานี้ นำมาแสดงเปนตัวอยาง บางบทเทานั้น เชน วาลคฺเคสุ จ เกปุเก (ที่ ปลายทางชางมงคลดวย ที่สระน้ำมงคลดวย) ฉบับสยามรัฐวา พาลคฺเคสุ, ปวิตฺจ เตสํ ภุสํ โหติ ปานิ (น้ำที่ดื่มลงไป ก็ไดกลายเปนแกลบ ไป) (สัททนีติ ธาตุมาลา ฉบับแปล หนา ๓๔๔) [อมฺภ/อภิ ธาตุ สทฺเท ในการออกเสียง + อ ปจจัย], ๒. หิน วิ. อมฺภติ คจฺฉตีติ อมฺโภ อพฺโภ วา ปาสาโณ (สิ่งใดยอมเปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชอื่ วา อมฺภ, อพฺภ คือหิน), [อมฺภ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + อ ปจจัย]. ๓. ดูกอนทานผูเจริญ ศัพทวา อมฺโภ เปนคำรองเรียกบุรษุใชไดทั้งเอก วจนะ พหุวจนะ อมฺโภช (ติ.นปุ.) สิ่งที่เกิดน้ำ (ติ.), บัว, บงกช (นปุ.) วิ. อมฺภสิ ชาตํ อมฺโภชํ ปงฺกชํ (สิ่งที่เกิดใน น้ำ ชื่อวา อมฺโภช คือบังกช), [อมฺภ + ชน ธาตุ ชนเน ในความเกิด + กฺวิ ปจจัย], อมฺภ ศัพท จัดเปนในมโนคณาทิคณะ, ฉะนั้น เมื่อลบวิภัตติ แลวทำที่สุดศัพทเปน โอ อมฺมา (อิตฺ.) มารดา, ชนนี, แม ๑. ผูอันบุตร ธิดาไปหรือบูชา วิ. ปุตฺตธีตเรหิ อมิยเต คมิยเต ปูชิยเต วาติ อมฺมา ชนนี (หญิงใดอันบุตรธิดาไป หาหรือบูชา เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา อมฺม คือ ชนนี), [อม ธาตุ คติยํ ปูชายํ วา ในความไปหรอ ในการบูชา + ม ปจจัยในอรรถกรรม + อา ปจจัย ในอิตถีลิงค] ๒. มารดา, ผูเปนไปบุตร ดวยความรัก วิ. อเมติ เปเมน ปุตฺตเกสุ ปวตฺตตีติ อมฺมา มาตา (ผูใดยอมเปนไปในบุตรทั้งหลาย ดวยความรัก เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อมฺมา คือ มารดา), [อม ธาตุ คมเน ในความไป + ม ปจจัย + อา ปจจัย ในอิตถีลิงค] ๓. หญิงผูอันบุตร เรียก วิ. อมิยเต ภชิยเต อมฺมา (หญิงใดอันบุตร สงเสียงเรียก เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา อมฺมา), [อม ธาตุ คติปฬาโรคภตฺติสทฺทโภชเนสุ ในความไป เบียดเบียน เปนโรค ภักดี ทำเสียง และบริโภค + ม ปจจัย + อา ปจจัย ในอิตถีลิงค] อมฺห (นปุ.) กอนหิน, ที่ตกไป วิ. อมติ ปวตฺตตีติ อมฺหํ อสฺมา (สิ่งใดยอมเปนไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อมฺห คือกอนหิน), [อม ธาตุ โรคคมเนสุ ใน ความเปนโรคและความไป + ห ปจจัย และมี การอาเทศเปน มฺ, โมคฺ. ๗/๒๒๒ วา ชีวามา โห วมา จ], อีกนัยหนึ่ง อมฺหํ มีความหมายเทากับ เรา ก็มี อมฺหาที (ติ.) ผูปรากฏเหมือนพวกเรา, ผูเหมือนพวกเรา วิ. อมฺเห วิย ทิสฺสนฺตีติ อมฺหาที, อมฺหาทิกฺโข, อมฺหาทิโส (ชนทั้งหลาย เหลาใดยอมปรากฏดุจพวกเรา เหตุนั้น ชน ทั้งหลายเหลานั้น ชื่อวา อมฺหาที, อมฺหาทิกฺโข, อมฺหาทิโส), [อมฺห + ทิส ธาตุ เปกฺขเน ในความ เพงดู + กฺวิ ปจจัย, แปลง ส เปน อี, แปลง ส เปน กฺข บาง] นิรุตฺติ. ๓๙๕. อมา (อิตฺ.อพฺ) ๑. แม, มารดา (อิตฺ.) วิ. เปเมน ปุตฺตเก อเมติ ปวตฺเตตีติ อมา, อม ปวตฺตเน, อปจฺจโย,อา ปจจัย ในอิตถีลิงค ๒. พรอม, กับ, รวมกัน, พรอมกัน (อพฺ.) อถ วา ‘สห สทฺธึ สมํ อมา อิติ สมกฺริยายํ (อีกอยางหนึ่ง ศัพทเหลานี้ เปนนิบาตใชในความหมายวา พรอม, กับ, ทำพรอมกัน (สมกฺริยายํ) คือ สห สทฺธึ สม อมา)


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๑๓ อมาปิย (กิ.กิตฺ.) เนรมิตแลว วิ. มาเปตฺวาติ อมาปย (เนรมิตแลว ชื่อวา อมาปย), [มา ธาตุ ปริมาเณ ในความนับ + ณาเป ปจจัยในอรรถ แหงการิต + ตฺวา ปจจัย แปลงเปน ย + อ อาคม ดวยมหาสูตร], เชน ปณฺณสาลํอมาปยติ. มาเปตฺวาติ อตฺโถ (เนรมิตแลวซึ่งบรรณศาลา, อมาปย หมายความวา มาเปตฺวา-เนรมิตแลว), การลง อ อาคมโดยนัยเดียวกัน เชน อวชฺชํ, น จาป อปุนปฺปุนํ, เอตทกิฺจิ = เอตํ + อกิฺจิ, ยทานิเสโธ = ยํ + อนิเสโธ อมาวสี (อิตฺ.) วันอมาวาสี, วันเดือนดับ, วัน แรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ, วันพระจันทรและพระ อาทิตยอยูพรอมกัน วิ. อมา สห วสนฺติ รวิจนฺทา ยสฺสนฺติ อมาวสี กาฬปกฺขสมฺภูตา ปนฺนรสี จตุทฺทสี วา (พระอาทิตยและพระจันทร ยอมอยูรวมกัน คือดวยกัน ในดิถีใด, ดิถีนั้น ชื่อ วา อมาวสี ไดแก วัน ๑๕ หรือ ๑๔ ค่ำ ขางแรม), [อมา + วส ธาตุ นิวาเส ในความอยู + อี ปจจัย], ปาฐะวา อมาวาสีลง ณี ปจจัย ก็มี อมิตฺต (ปุ.นปุ.) ศัตรู, ขาศึก (ปุ.) วิ. น มิทตีติ อมิตฺโต ริปุ (ผูใดยอมไมเสนหา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อมิตฺต คือขาศึก), [น + มิท ธาตุ สิเนเห ใน ความรัก + ต ปจจัย] วิ. มิตฺตปฏิปกฺโข อมิตฺโต (ผูใดยอมเปนปฏิปกษตอมิตร เหตุนั้น ผู นั้นชื่อวา อมิตร), อ นิบาตใชในอรรถตรงกัน ขาม (ปฏิปกฺขตฺโถ) ๒. ประชุมแหงมิตร (นปุ.) วิ. อมิตฺตานํ สมูโห อมิตฺตํ (ประชุมแหงขาศึก ทั้งหลาย ชื่อวา อมิตฺต), [ณ ปจจัยในสมุหตัทธิต] อมิลาต (ปุ.อิตฺ.) ๑. ดอกบานไมรูโรย (ปุ.) วิ. ปุปฺผมาสุํ น มิลาตมสฺส ภวตีติ อมิลาโต มหาสหา (ดอกไม ไมรวงโรยไป ตลอดเวลา แหง พืชนั้นมีอยู เหตุนั้น พืชนั้นชื่อวา อมิลาต คือ ดอกบานไมรูโรย), พหุพฺพิหิสมาส, [น + มิลาตาล ๒. บัว, สลัดได, วานหางชาง (อิตฺ.) วิ. น มิลาตา อมิลาตา (ธรรมชาติไมรวงโรย ชื่อวา อมิลาต), [น + มิเล ธาตุ มิลายเน ใน ความเหี่ยวเฉา + ต ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถี ลิงค), แปลง เอ เปน อา, อีกนัยหนึ่ง แปลง เอ เปน อาย, ลบ ย เชน คำวา ปลาโต] อมูลมูลํคนฺตฺวา (กิ.กิตฺ.อพฺ.) ไมไปสูรากสูราก, ไมไปทุกราก วิ. มูลํมูลํ น คจฺฉตีติ อมูลมูลํคนฺตฺวา (ธรรมชาติไมไปสูราก สูราก เหตุนั้น ธรรมชาติ นั้น ชื่อวา อมูลมูลํคนฺตฺวา) นิรุตฺติ.๓๔๙, ๖๘๙ บทนี้เปน อยุตฺตตฺถสมาส เชน อจนฺทมุลฺโลกิกานิ มุขานิ (หนาอันไมแหงนดูพระจันทร วิ. จนฺทํ น อุลฺโลเกนฺตีติ อจนฺทมุลฺโลกิกานิ), อสูริยปสฺสา ราชกฺา (ราชกัญญา มีหนาไมเห็นพระ อาทิตย วิ. สูริยํ น ปสฺสตีติ อสูริยปสฺสา), อสทฺธโภชี เขายอมไมกินของที่เขาใหดวย ศรัทธา วิ. สทฺธํ น ภุฺชตีติ อสทฺธโภชี) เปนตน [มูลมูลํ + น + คมุ ธาตุ คมเน ในความไป + ตฺวา ปจจัย] อมุตฺต (นปุ.) อาวุธพกจำพวกไมปลอยจากมือ, ๑ ในอาวุธ ๔ ชนิด อภิธาน.๓๘๗, กฤช วิ. ฉุริกาทิกํ อาวุธํ ปาณิโต น มุตฺตนฺติ อมุตฺตํ, ฉุริกา (อาวุธมีกฤชเปนตน อันบุคคลไมปลอย จากมือ เหตุนั้น อาวุธมีกฤชเปนตนจึงชื่อวา อมุตฺต คือกฤช), วิ. น มุจฺจีติ อมุตฺตํ (อาวุธใด ยอมไมพนไป เหตุนั้น อาวุธนั้นชื่อวา อมุตฺต), [น + มุจ ธาตุ โมจเน ในความพน + ต ปจจัย, แปลง จ เปน ต] อโมห (ปุ.) อโมหะ, ปญญา, ธรรมเปนเหตุ ไมหลง วิ. น มุยฺหเต เอเตนาติ อโมโห ปฺา (บุคคลยอมไมหลงดวยธรรมนั่น เหตุนั้น ธรรมนั้น


๒๑๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ชื่อวา อโมห คือปญญา), ยถาสภาวปฏิเวธลกฺขโณ, อกฺขลิตปฏิเวธลกฺขโณ วา กุสลิสฺสาสขิตฺตอุสุ- ปฏิเวโธ วิย. วิสุทฺธิ.๓/๓๙ (อโมหะ มีความรูแจง แทงตลอดตามสภาพแหงธรรมเปนลักษณะ อีกนัยหนึ่ง มีความรูแจงแทงตลอดไมผิดพลาด เปนลักษณะ ประหนึ่งการแทงทะลุตรงเปา แหงลูกธนูที่นายขมังธนูผูฉลาดยิงไป ฉะนั้น), [น + มุห ธาตุ เวจิตฺเต ในความปราศจากความคิด + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ, พฤทธิ์ อุ เปน โอ] ๒. ภาวะที่หลง, ความหลง วิ. สยํ วา น มุยฺหติ, อมุยฺหนมตฺตเมว วา ตนฺติ อโมโห (ที่ชื่อวา โมหะ เพราะอรรถวาเปนเหตุใหคนหลง หรือ หลงเอง หรือเปนเพียงความหลงเทานั้น) สงฺคิณี.อ.๑๙๙ อย (ปุ.) เหล็ก ๑. วิ. อยติ กมฺมารกิจฺเจสุ อุปโยคํ คจฺฉตีติ อโย (สิ่งใด ยอมถึงการประกอบเขา ใน ประดางานของชางเหล็ก เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อย), [อย ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย] ๒. วิ. ผาลํ อยติ เอตฺถาติ อโย กาฬายสํ (เหล็ก ถึงความเปนแผนในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อย คือเหล็ก), [อย ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย] ๓. สพฺพกิจฺเจสุ โยคํ อยติ คจฺฉตีติ อโย โลโห (สิ่งใด ยอมถึงการประกอบในงานทุกอยาง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อย คือโลหะ), [อย ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย] ๔. บุญ, แดนไป แหงผล, -แหงสุข วิ. ผลํ เอติ คจฺฉติ เอตสฺมาติ อโย. เอติ อิมสฺมา สุขนฺติ อโย ปุฺํ (ผลยอม เป น ไปจากแดนนั ่ น เห ต ุน ั ้น แดนนั้น ชื่อวา อย, สุขยอมเปนไปแตภาวะนี้ เหตุนั้น ภาวะนั้น ชื่อวา อย คือบุญ), [อิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + อ ปจจัย] ๕. สุข, โสมนัส, ความ เจริญ วิ. ปุฺโต อยติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อโย (ธรรมชาติใดยอมเปนไปแตบุญ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว อย), วิ. ปุฺการีหิ อยิตพฺโพ เอตพฺโพ คนฺตพฺโพติ อโย, สุขโสมนสฺสเวทนา (ธรรมใดอันผูกระทำบุญตองถึง เหตุนั้น ธรรม นั้น ชื่อวา อย คือสุขเวทนาและโสมนัสเวทนา), วิ. วิวิธสมฺปตฺติโย อยนฺติ เอเตนาติ อโย, วุฑฺฒิ (สมบัติตางชนิดยอมเปนไปเพราะภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อย คือความเจริญ), [อย ธาตุ คมเน ในความไป + อ ปจจัย] ๖. สุข วิ. อยติ อสฺสาทิยตีติ อโย, สุขํ. (ธรรมชาติใด ยอมพอใจ คือชอบใจ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อย คือความสุข) ๗. การณ, เหตุ วิ. อตฺตโน ผลนิปฺผาทเนน อยติ ปวตฺตติ เอติ วา เอตสฺมา ผลนฺติ อโย ยถา สมุทโยติ, ปรมัตถมัญชุสา ๓/ ๑๗๓ (สิ่งใดยอมเปนไปโดยการยังผลของตนให สำเร็จ, อีกอยางหนึ่ง ผลยอมเปนไปจากสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นจึงชื่อวา อย เชน คำวา สมุทย), [อย/อิ ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อ ปจจัย], อย ที่แปลวา เหล็ก, โลหะ จัดเขาใน มโนคณศัพท, ถาสองความหมายวา เจริญ จัดเขาในปุริสคณะ (แจกแบบปุริส) อยน (ปุ.นปุ.) ทาง, ถนน, ที่ไป, ที่เดิน, การไป, การถึง ๑. วิ. อยติ คจฺฉติ เอเตน เอตฺถาติ วา อยโน อยนํ ปโถ (บุคคลยอมเดินไปดวยที่นั้น หรือไปในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อนโย, อยนํ คือถนน), [อย คติยํ ในความไป + ยุ ปจจัย] ๒. ถนนที่ตรงไป, ที่อันบุคคลพึงไป วิ. อยตีติ วา อยโน, คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อตฺโถ (อีกนัยหนึ่ง ถนนใดไป อธิบายวา เปนไป เหตุนั้น ถนนนั้นชื่อ วา อยน) วิ. อยิตพฺโพ ปฏิปชฺชิตพฺโพติ อยโน (ประเทศใดอันเขาพึงดำเนินไป เหตุนั้น ประเทศ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๑๕ นั้น ชื่อวา อยน), [อย ธาตุ ปฏิปตฺติยํ ในความ ดำเนินไป + ยุ ปจจัย, แปลงเปน อน] อยฺย (ติ.) ผูเปนเจา, ผูเปนใหญ, ผูเจริญ, คนดี, วิ. สปฺปุริเสหิ อยิตพฺโพ อุปคนฺตพฺโพติ อยฺโย สชฺชโน อิสฺสโร จ (ผูใดบันสัตบุรุษพึงเขาไปหา เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อยฺย ไดแก คนดี และผูเปน ใหญ), [อย ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ย ปจจัย] ๒. ผูประเสริฐ วิ. เสภาเวน อยียเต ายเตติ อยฺโย อธิปติ (ผูใดอันเขารูกันเพราะเปนผู ประเสริฐ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อยฺย คือผูเปน ใหญ) ในสันสกฤตวา อรฺยะ, [อย ธาตุ าเณ ใน ความรู + ย ปจจัย], ใน นิรุตฺติทีปนี วา อยฺโย คือ อริโย-ผูประเสริฐ และอธิบายการแปลงรูป อริย เปน อยฺย วา เพราะ ย แปลง ร เปน ยฺเปน ดวยสูตร (นิรุตฺติ.๔๔) นี้วา รตวคฺควรณานํ เย จวคฺคพยา ๓. ปูและตาของบิดาผูลวงลับไป แลว วิ. ใน อรรถกถาแหง ทนฺตโปนสิกฺขาปท (วินย.อ.๒/๔๗๖) อธิบายวา อยฺยาติ วุจฺจนฺติ กาลงฺกตา ปติปตามหา (ปูและตาของบิดาผู ลวงลับไปแลว เรียกวา อัยยะ) อยฺยก (ปุ.) ตา, ปู ๑. ผูควรบูชาพิเศษ วิ. ปูชาวิเสสํ อรหตีติ อยฺยโก ปตามโห (ผูใดยอมควรซึ่ง การบูชาพิเศษ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อยฺยก คือตา, ปู), [อรห ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + ณฺวุ ปจจัย, แปลง รห เปน ย, ซอน ยฺ, แปลง ณฺวุ เปน อก] ๒. ผูมีตาฟาฟางไป วิ. เนตฺเตหิ อยิตพฺโพติ อยฺยโก (ผูแกอันตาพึงฟาฟางไป เหตุนั้น ผูแกนั้นชื่อวา อยฺยก), [อย ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ณฺวุ ปจจัย] อยฺยกานี (อิตฺ.) ยา, ยาย วิ. อยฺยกสฺส ภริยา อยฺยกานี (ภริยาของตา, ปู ชื่อวา อยฺยกานี), [อี ปจจัยในอิตถีลิงค, เพราะ อี ปจจัยอยูหลัง แปลง อ ที่สุดแหง อยฺยก เปน อาน กจฺ.๙๘ รูป. ๑๘๙ วา มาตุลาทีนมานตฺตมีกาเร, อีกนัยหนึ่ง ลง อานี ปจจัย ดวยสูตรแหงนิรุตติทีปนี (นิรุตฺติ.๗๗) วา อถวา มาตุลาทิตฺวานี ภริยายํ, ปาฐะวา อยยฺกา อยฺยิกา ก็มี อยิต (นปุ.) การไป, ไปแลว วิ. อยนํ ปวตฺตนํ อยิตํ (การดำเนินไปชื่อวา อยิต), [อย ธาตุ ปวตฺติยํ ในความเปนไป + ต ปจจัย + อิ อาคม กจฺ.๖๐๕ รูป.๕๔๗ วา ยถาคมมิกาโร] อโยคฺค (ปุ.นุป.) ๑. สาก, สากตำขาว วิ. อโย อคเฺค โกฏิยํ ยสฺส โส อโยคฺโค, มุสโล (เหล็กมีอยู ที่ปลายของสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อโยคฺค คือสาก), ศัพทนี้ไมใชอิตถีลิงค แตเปนปุงลิงค และนปุงสกลิงค ๒. ไมควร, ไมถูกตอง (ติ.) วิ. น โยคฺคํ อโยคฺคํ อปฺปติรูป (สิ่งที่ไมควร ประกอบ ชื่อวา อโยคฺค คือไมรูปไมสมควร), เชน สาสเน ิตานํ อปฺปติรูป อโยคฺคํ, องฺฏี.๒/๓๓๘ (ไมเหมาะ ไมควรสำหรับผูดำรงในพระศาสนา), นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส อโยฆน (ปุ.) คอน, คอนเหล็ก, พะเนินเหล็ก วิ. อยโส อโยมโย วา ฆโน อโยฆโน กูฏํ(คอนปมุ แหงเหล็ก หรือคอนอันเปนวิการแหงเหล็ก ชื่อวา อโยฆน คือคอนเหล็ก), เปน ตปฺปุริสสมาส อีกนัยหนึ่งเปน กมฺมธารยสมาส อโยปตฺต (ปุ.) บาตรเหล็ก วิ. อยสฺส ปตฺโต อโยปตฺโต. อยสา กาฬโลเหน นิพฺพตฺโต ปตฺโต อโยปตฺโต (บาตรแหงเหล็ก ชื่อวา อโยปตฺต, บาตรที่เกิดแตเหล็ก คือโลหะสีดำ ชื่อวา อโยปตฺต) อร (ปุ.) กํา, ซี่ลอรถหรือเกวียน วิ. อรติ ปวตฺตติ อกฺโข เอเตหีติ อรา, อกฺขเตกิลฺลกา*, ปฺจิกา. ๑/๔๘๖ (เกวียนยอมเคลื่อนไปดวยสิ่งเหลานั้น


๒๑๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เหตุนั้น สิ่งเหลานั้นชื่อวา อร คือซี่ลอเกวียน), เชน ปุฺาทิอภิสงฺขารารํวินย.อ.๑/๑๑๖ (สังสารจักร มีกำกลาวคืออภิสังขารมีบุญ เปนตน), สพฺเพ อรา หตาติ อรหํ(พระพุทธเจา ทรงพระนามวา อรหํ เพราะทรงหักกำได ทั้งหมด), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย] อรา (อพฺ.) ไกล แต อรา ศัพท เปนนิบาตใชใน อรรถวา ไกล (ทูรตฺถนิปาโต) เหมือน อารา ศัพท , อรํ (อพฺ.) เร็ว วิ. อรติ คจฺฉตีติ อรํ, สีฆํ (ภาวะ ใดยอมไป เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อรํ คือเร็ว), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย], *บทวา อกฺขเตกิลฺลกา ใน ปฺจิกา. ๑/๔๘๖ ปรากฏเชิงอรรถวา อกฺขคฺเค กิลฺลกาติ มฺเ ฯ โส ปน อกฺขคฺคกีโล อาณีติ วุจฺจติ อโร ฯ (บทวา อกฺขเตกิลฺลกา เห็นจะเปน อกฺขคฺเค กิลฺลกา ฯ ก็ ซี่ลอ นั้น ทานเรียกวา อกฺขคฺคกีล และ อาณิ) อรฺชร (ปุ.) ไห, โองน้ำ, ตุม ๑. วิ. อรํ สีฆํ ชโร อสฺสาติ อรฺชโร, มณกิํ(ความเกาเร็วของสงิ่นั้น มีอยู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อรฺชโร คือไห), ๒. วิ. ชลํ คณฺหิตุํ อลนฺติ อรฺชโร อลฺชโล อลิฺชโร วา, พหุอุทกคณฺหนกา มหาจาฏิ (ภาชนะใดเพียงพอรองรับน้ำได เหตุนั้น ภาชนะ นั้นชื่อวา อรฺชร, อลฺชล, อลิฺจร คือโอง ขนาดใหญ จุน้ำไดมาก), แปลง ล เปน ร ๓. วิ. อติมหนฺตตฺตา อรํ ขิปฺป ชรติ วินาเสตีติ อรฺชโร (ภาชนะใดเกาหรือพินาศไปเร็ว เพราะ ใหญเกินไป เหตุนั้น ภาวชนะนั้นชื่อวา อรฺชร), [อร + ชร ธาตุ วินาเส ในความพินาศ + อ ปจจัย] อรฺ (นปุ.) ปา, หมูไม๑. วิ. ชนา อรนฺติ คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ อรฺํ ทาโย (ชนทั้งหลาย ยอมเที่ยวไปในแดนนั้น เหตุนั้น แดนนั้นชื่อวา อรฺ คือปา), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + อฺ ปจจัย] ๒. อริยเต คจฺฉิยเตติ อรฺํ (ที่อันเขา ไป เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อรฺ), [อร ธาตุ คติมฺหิ ในความไป +  ปจจัย กจฺ.๓๙๑ รูป. ๔๒๓ วา ยท เปนตน + ซอน ฺ, แตใน โมคฺคลฺลาน (โมค.ฺ๗/๕๑) วา ลง อฺ ปจจัย ดวยสูตรวา อรหาฺโ หาสฺส หิรฺ จ] ๓. นตฺถิ ราชา เอตฺถาติ อรฺํ อฏวิ(ราชาคือความสวางในแดนนั้นไมมีเหตนุั้น แดนนั้น ชื่อวา อรฺ คือดง) [น + ราช ธาตุ ทิตฺติมฺหิ ในความรุงเรือง + อ ปจจัย, แปลง ช เปน , รัสสะ อา เปน อ] ปาฐะวา อรฺานี ก็มี, ลง อี ปจจัย กจฺ.๒๓๘ รูป.๑๘๗ วา นทาทิ เปนตน, แปลงที่สุดศัพทเปน อา; แต สทฺทนีติ ปทมาลา (ฉบับแปล หนา ๗๖๘) วา อรฺานี วุจฺจติ มหาอรฺํ, คหปตานีติ ปทมิว อินีปจฺจยวเสน สาเธตพฺพํ ปทํ อิตฺถิลิงฺคฺจ. อรฺานีติ หิ อกถาปาโป ทิสฺสตีติ (ปาใหญ เรียกวา อรฺานี ลง อินี ปจจัย และเปนอิตถีลิงค เหมือนบทวา คหปตานี. อรรถกถาบางแหง ปรากฏปาฐะวา อรฺานี ก็มี) อรณ (นปุ.ติ.) ตรง, การไปคด, ไมมีขาศึก, ไมมี ขาศึกคือกิเลส, ไมมีความชั่ว, ไมมีบาป, ไมมี การรบ, ไมมีเสีย ๑. วิ. อริยเต อรณํ (อันเขา ตรงไป ชื่อวา อรณ), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ยุ ปจจัย], ในอรรถกถา เปตวตฺถุ วา อรณนฺติ อรณิเยหิ เทเวหิ สทิสวณฺโณ อริยาวกาโสติ อตฺโถติ วุตฺตํ. เปตวตฺถุ.อ.๒๘๘ (บทวา อรณํ ความวา มีสีเสมอกับเทพผูไมมีความหมนหมอง คือ เปนแดนอันประเสริฐ) ๒. ผูมีกิเลส (ติ.) วิ. รณนฺติ สตฺเต ราคาทโย จุณฺเณนฺติ ปเฬนฺติ รณา. สตฺตา เอเตหิ กนฺทนฺติ ปริเทวนฺติ วา รณา, กิเลสา (ราคะเปนตนเหลาใดเบียดเบียนสัตว


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๑๗ ทั้งหลาย เหตุนั้น ราคะเปนตนเหลานั้นชื่อวา รณา. สัตวทั้งหลายยอมเศราโศกปริเทวนาดวย กิเลสเหลานั่น เหตุนั้น กิเลสเหลานั้น ชื่อวา รณา คือกิเลส), [รณ ธาตุ สทฺเท ในการออก เสียง + อ ปจจัย], รณ ศัพทใชในความหมายวา กิเลส การรบ การทำใหละเอียด วิ. นตฺถิ รณา กิเลสา เอตสฺสาติ อรโณ (กิเลสชื่อรณา ของ บุคคลนั่นไมมี เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อรณ), อนึ่งในพระอภิธรรมวา สพฺพานิ กุสลาพฺยากตจิตฺตานิ รูปนิพฺพานานิ จ อรณา นาม. (กุสลจิต อัพยากตจิต รูปและนิพพาน ชื่อวา อรณา), ใน สัจจสังเขป ปริเฉทที่ ๒/๙๓ วา สทฺธาทโย วิรมนฺตา อรณา ปฺจวีสติ จาติ (เจตสิก ๒๕ ดวง ศรัทธาเปนตน วิรตีเปนที่สุด ชื่อวา อรณาโสภณเจตสิก) อรณิ (ปุ.อิตฺ.) ไมสีไฟ, เหล็กเพลิง วิ. อริยติ คมิยตีติ อรณิ อคฺคิปนกํ (วัสดุใดอันเขาสี ไปเรื่อยๆ เหตุนั้น วัสดุนั้นชื่อวา อรณิ คือไมสี ไฟ), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + อณิ ปจจัย โมคฺ.๗/๖๒ คหาทีหฺยณิ] ใน ปทรูปสิทฺธิ (รูป. ๖๗๙) วา อร ธาตุ คมเน ในความไป + ยุ ปจจัย + ลง อิ ปจจัยหลังปาฏิปทิกบท อรณี (ปุ.อิตฺ.) ไมสีไฟ, เหล็กเพลิง ๑. วิ. อรียติ คมียตีติ อรณี, นิมฺมนฺถฺยทารุมฺหิ อรณี. (วัสดุใด อันเขาสีไปเรื่อยๆ เหตุนั้น วัสดุนั้นชื่อวา อรณี), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + อณี/อณิ + อี ปจจัยในอิตถีลิงค, ชื่อวา อรณี เพราะสีไม], ใน วินยกถาย อตฺถโยชนา หนา ๑๐๖ วา อร คมเน, พหาทตฺวาณีติ* สุตฺเตน อณีปจฺจโย (อร ธาตุ คมเน ในความไป + อิณี ปจจัย ดวยสูตรวา พหาทตฺวาณี) *พหาทตฺวาณี ปรากฏในโยชนา วินัยที่อาง ยังสืบไมพบวามาจากคมัภีรไวยากรณ เห็นจะเปน อณิ โมคฺ. ๗/๖๒. คหาทีหฺยณิ๒. ใน ปาจิตฺยาทิโยชนา วา วิ. อรียติ อคฺคินิปฺผาทนตฺถํ ฆํสียติ เอตฺถาติ อรณี, เหา นิมฺมนฺถนียทารุ สหิโต ปน วุจฺจติ อุปริ นิมนฺถนทารุ (ไมสำหรับสี ไฟเขาสีที่ไมนั้น เพื่อใหเกิดไฟ เหตุนั้น ไมนั้น ชื่อวา อรณี คือ ไมสีไฟที่ตองสีชิ้นลาง สวนไม สำหรับสีชิ้นบน ชื่อวา สหิต), [อร ธาตุ ฆํสเน ใน ความเสียดสี + อณิ ปจจัย + อี ปจจัย], สวนใน อนุทีปนีปาเ วา อรณี วุจฺจติ อคฺคินิพฺพตฺตกตฺถาย กตา ทฺเว สารฆฏิกา. อธรารณี นาม เหารณี. อุตฺตรารณี นาม อุทฺธารณีติ. อรณิสทฺโท ทฺวีสุ วตฺตติ. (ไมแกน สองชิ้นที่เขาทำเพื่อใหเกิดไฟ เรียกวา อรณี. อรณีชิ้นลาง เรียกวา อธรารณี. ชิ้นบนเรียกวา อุตฺตราธรณี, ทั้ง ๒ ศัพทมี อรณี ศัพทประกอบ) อรณีย (ติ.) อันเขาพึงรู, -พึงเขาไปหา, -พึงบรรลุ วิ. อริตพฺพํ าตพฺพํ ปยิรุปาสิตพฺพํ วาติ อรณียํ (สิ่งใดอันเขาพึงรู หรือพึงเขาไปหา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อรณีย), [อร ธาตุ คมเน ใน ความไป + อนีย ปจจัย, แปลง น เปน ณ] อรติ (อิตฺ.) ๑. ธิดามารชื่อนางอรดี, ผูทำความ ไมยินดีในกุศลธรรมแกผูอื่น, ผูกำหนัด วิ. อรติ ปเรสํกุสเล ธมฺเม อรตึ กโรตีติ อรติ อรตี (ผูใด ยอมทำความไมยินดีกุศลธรรมแกผูอื่น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อรติ, อรตี), [น + รมุ ธาตุ รมเณ ใน ความยินดี + ติ ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค] วิ. ภุโส รมตีติ อรติ, มารธีตุยา อธิวจนเมตํ (ผูใด ยอมยินดีอยางแรงกลา-กำหนดัเหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อรติ, คำนี้เปนชื่อของธิดามาร), [อ ศัพทใน นัยนี้ใชในอรรถวา มาก, เจริญ, กลา (วุทฺธิยํ) + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ติ ปจจัย] ๒. ความไมยินดี, ไมพอใจ วิ. น รมฺยเต อรติ, อโรจนา


๒๑๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา รติปฏิปกฺโขติ อตฺโถ. (อันเขาไมยินดี ชื่อวา อรติ ไดแก ความไมยินดี ที่เปนปฏิปกษกับความ ยินดี) วิ. น รติ อรติ, อุกฺกณฺา ปฏิโฆ วา (ความ ยินดี หามิได ชื่อวา อรติ ไดแกความเบื่อหนาย หรือความขุนเคือง), [น + รมุ ธาตุ รมเณ ใน ความยินดี + ติ ปจจัย] วิ. ปนฺตเสนาสเนสุ อธิกุสลธมฺเมสุ จ อรมณํ อรติ. (ความไมยินดีใน เสนาสนะอันสงัด และในกุศลธรรมอันยิ่ง ชื่อวา อรติ), สา อตฺถโต อิสฺสาธิกํ โทมนสฺสสหคตํ ถินมิทฺธาธิกฺจ อุทฺธจฺจํ. ตตฺถ ปุริมํ ปรสมฺปตฺติ วิสยํ, ทุติยํ ปนฺตเสนาสนาทิวิสยนฺติ ทพฺพํ. (วาโดยความหมายวา อรติ นั้น คือ อุทธัจจะ ที่ ยิ่งดวยความริษยา ประกอบดวยความทุกขใจ และที่ยิ่งดวยถีนมิทธะ, ใน ๒ นัยนี้ นัยแรกพึง ทราบวา ที่ยิ่งดวยริษยา มีสมบัติของผูอื่นเปน วิสัย, นัยที่ ๒ ที่ยิ่งดวยถีนมิทธะ มีเสนาสนะอัน สงัดเปนตนเปนวิสัย) ๓. กิเลสที่ดำเนนิไป, การ ดำเนินไป วิ. อรตีติ อรติ(สภาวะใดยอมเปน ไป เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา อรติ), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + ติ ปจจัย] อรวินฺท (นปุ.) อรพินท, บัวหลวง, ปทุมชาติ วิ. อรํ วินฺทตีติ อรวินฺทํ ปทุมํ (พืชใดยอมไดรับ เร็ว เหตุนั้น พืชนั้นชื่อวา อรวินฺท คือบัว), อรานิ จกฺกงฺคานิ อิว ทลานิ วินฺทตีติ วา อรวินฺทํ สโรรุหํ (อีกนัยหนึ่ง พืชใดยอมไดรับใบเหมือนซี่ กำจักร เหตุนั้น พืชนั้นชื่อวา อรวินฺท คือบัว) เชน วิกสิตํ วิย จ อรวินฺทํ อสฺส มุขํ โสภติ สํ.อ.๑/๗๗ (พระพักตรของพระผูมีพระภาคเจา ก็งดงามดุจดอกปทุมกำลังแยมบาน), [อร + วินฺท ธาตุ วินฺทเน ในความประสบ + อ ปจจัย] อรห (ปุ.) พระอรหันต ๑. ผูขจัดขาศึกคือกิเลส วิ. กิเลสา เอว อรโยติ กิเลสารโย, กิเลสารโย หนฺตีติ อรหา (ขาศึกคือกิเลส เหตุนั้นจึงชื่อวา กิเลสาริ, พระอริยบุคคลเหลาใดขจัดขาศึกคือ กิเลส เหตุนั้น พระอริยบุคคลเหลานั้น ชื่อวา อรหา), [อริ + หน ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + กฺวิ ปจจัย, แปลง อิ เปน อ] ๒. ผู ควรซึ่งปจจัยมีจีวรเปนตนและการบูชาพิเศษ วิ. อคฺคทกฺขิเณยฺยตฺตา จีวราทิปจฺจเย ปูชาวเิสสํ จ อรหตีติ อรหํ (ผูใดยอมควรซึ่งปจจัยมีจีวรเปน ตน และซึ่งการบูชาพิเศษ เพราะเปน ทักขิไณยบุคคลชั้นยอด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อรห), [อรห ธาตุ ปูชายํ ในการบูชา + อ ปจจัย] ๓. ผูหักซ่ีแหงสังสารจักร วิ. สํสารจกฺกสฺส อเร หนตีติ อรหํ (ผูใดยอมหักซึ่งซี่สังสารจักร เหตุ นั้น ผูนั้นชื่อวา อรห), [อร + หน ธาตุ หึสายํ ใน ความเบียดเบียน + ณ ปจจัย, แปลง หน เปน ห] ๔. ผูอันสัตบุรุษไมละเลย วิ. สปฺปุริเสหิ น รหิตพฺโพ น ปริจฺจชิตพฺโพติ อรหํ (ผูใดอัน สัตบุรุษทั้งหลายไมละเลยทอดทิ้ง เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อรห), [น + รห ธาตุ จาเค ในการสละ + อนฺต ปจจัย] ๕. ผูสมควร วิ. อรหิยเตติ อรหํ อรหา (อันเขายอมควร เหตุนั้น ชื่อวา อรหํ, อรหา), [อรห ธาตุ โยคฺยจฺยเน ในความควรและ การบูชา + อ ปจจัย] ๖. ผูอันเขาควรบูชา วิ. อรหิตพฺโพ ปูเชตพฺโพติ อรหํ อรหา (ผูใด อันเขาพึงบูชา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อรหํ, อรหา), [อรห ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา + อนฺต ปจจัย] ๗. ผูไมมีกิเลสมีราคะเปนตน วิ. อตฺตหิตํ ปรหิตฺจ ปริปูเรตุํ สมฺมาปฏิปชฺชนฺเตหิ สาธูหิ ทูรโต รหิตพฺพา ปริจฺจชิตพฺพา ปริหาตพฺพาติ รหา ราคาทโย ปาปธมฺมา, น สนฺติ เอตสฺส รหาติ อรหํ (ปาปธรรมเหลาใด อันสาธุชนผู ปฏิบัติชอบเพื่อบำเพ็ญประโยชนตนและ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๑๙ ประโยชนผูอื่นพึงเวนเสียไกล เหตุนั้น บาปธรรม เหลานั้นชื่อวา รหา คือบาปธรรมมีราคะเปนตน , บาปธรรมอันสาธุชนพึงเวน ของบุคคลนั่นไมมี เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อรหํ), ที่เปน อรหํ เพราะ ในเมื่อจะสำเร็จรูปเปน อรโห ก็ทำ โอ เปน อ พรอมอนุสาร ๘. ผูไมมีการไป วิ. รหิยเต รโห (อันเขาไปชื่อวา รห), [รหิ ธาตุ คติยํ ใน ความไป + อ ปจจัย] วิ. รโหติ คมนํ วุจฺจติ, นตถฺิ เอตสฺส รโห คมนํ คตีสุ ปจฺจาชาตีติ อรหํอรหา (การไปเรียกวา รห, การไปคือการกลับไปในคติ ทั้งหลาย ของผูนั้นไมมีเหตุนั้น ผนูั้นชื่อวา อรหํ, อรหา), บัณฑิตพึงคนดูโดยพิสดารใน เวรฺชกณฺฑวณฺณา แหง สารตฺถทีปนีฏีกา สำหรับคำ วา อรหํ กับ อรหา ตางกันดังตอไปนี้ : อรหํ- สทฺโท คุณวาจโก อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ, อรหํ สุคโตติอาทีสุ. อรหาสทฺโท ปน ปณฺณตฺติวาจโก อหฺหิ อรหา โลเก, เอโก อรหาติอาทีสุ. (ศัพท วา อรหํ เปนคุณนาม เชน อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ “พระสัมมาสัมพุทธเจา ผูทรงเปนพระอรหันต”, สวน ศัพทวา อรหา เปนบัญญัติ เชน อหฺหิ อรหา โลเก, เอโก อรหา “เพราะเราชื่อวา อรหันตในโลก เปนเอกอรหันต”) ๙. ผูควรบูชา พิเศษ วิ. อคฺคทกฺขิเณยฺยภาเวน ปูชาวิเสสํ อรหตีติ อรหา (ผูใดยอมควรซึ่งการบูชาพิเศษ เพราะความเปนทักขิไณยชั้นเลิศ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อรหา), [อรห ธาตุ อรเห ในความควร+ อ ปจจัย], บทสำเร็จวา อรหา ในเมื่อจะสำเร็จรูป วา อรโห ทานก็กลาววา อรหา เพราะแจกดวย สิ วิภัตติเปนตน, อีกนัยหนึ่ง ลบ สิ และทีฆะ อ เปน อา ดวยนิปาตนสูตร คือการใหสำเร็จตาม บทที่มีตัวอยาง ๑๐. ผูไกลจากกิเลส วิ. กิเลเสหิ อารกาติ อรหา อรหํ วา อารกาติ วตฺตพฺเพ นิปาตนสุตฺเตน อาการสฺส อการตฺตํ, กการสฺส จ หการตฺตํ สานุสฺสํ กตฺวา เอวํ สิทฺธํ. (ผูใดดำรงอยู ไกลจากกิเลส เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อรหา, อรหํ ในเมื่อจะกลาวบทสำเร็จวา อารกา ทานรัสสะ อา เปน อ, และแปลง ก เปน ห พรอมอนุสารหํ จึงสำเร็จรูปเปน อรหํ อยางนั้น) ๑๑. ผู ทำลายขาศึก, ผูหักกำจักร วิ. อถ วา กิเลส สงฺขาตา อรโย สํสารจกฺกสฺส วา อรา กิเลสา หตา อเนนาติ อรหา (อีกนัยหนึ่ง ขาศึกกลาวคือ กิเลส หรือซี่สังสารจักรคือกิเลส อันผูนั้นกำจัด แลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อรหา) ๑๒. ผูไมมีที่ลับ วิ. ปาปกรเณ รหาภาวโต วา อรหา, อมโก อริยปุคฺคโล. (อีกนัยหนึ่ง ชื่อวา อรหา เพราะไม มีที่ลับในการทำบาป ไดแก พระอริยบุคคลที่ ๘); ตอไปนี้เปนไวพจนของกัน ทานกลาวไวดวย อำนาจแหงธาตุตางๆ กัน ไดแก ๑. อรห ธาตุ อนุจฺฉวิเก ในความสมควร ๒. อริ + หน ธาตุ หึ สายํ ในความเบียดเบียน ๓. อร + หน ธาตุ หึ สายํ ในความเบียดเบียน ๔. น + รห ธาตุ วิเวเก ในความลับ; นักไวยากรณแสดง อรห ศัพทไว หลายประการ อรห, ดังที่ สทฺทนีติธาตุมาลา ฉบับแปล หนา ๙๓๐ วา อรหธาตุโต เยฺยา อรหํสทฺทสณิติ อรารูปปทหน- ธาตุโต วาถวา ปน รหโต รหิโต จาป อการปุพฺพโต อิธ วุจฺจเต อสฺส นิปฺผตฺติ อารกาทิรวสฺสิตาติ (ขาพเจาจะแสดงรูปสำเร็จของ อรหํ ศัพท บัณฑิตพึงทราบความตั้งอยูแหง อรหํ ศัพทโดย อรห ธาตุบาง อร บทหนา หน ธาตุบาง อาร บท หนา หน ธาตุบาง อ บทหนา รห ธาตุบาง อ บท หนา รหิ ธาตุบาง โดยอาศัยศัพทวา อารกา เปน ตนบาง)


๒๒๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา แตขาพเจาจะไมกลาวตอไปอีก เพราะเกรงวา คัมภีรนี้จะหนักเกินไป ผูตองการอรรถทั้งหลาย ควรคนดูในคัมภีรนั้นๆ เถิด อรหตฺต (นปุ.) พระอรหัต, ความเปนแหงพระ อรหันต วิ. อรหโต ภาโว อรหตฺตํ (ความเปน แหงพระอรหันต ชื่อวา อรหตฺต), [ตฺต ปจจัยใน ภาวตัทธิต] ปาฐะวา อรหตฺตนิ ก็มี ดังตัวอยาง วา อรหตฺตนิกูฏํม.อ.๓/๑๒๑ (ซึ่งธรรมเปนยอด แหงพระอรหัต) นิ ปจจัย สกัตถ เชน นิ ปจจัย ในคำวา เทวตานิอภิธาน.๑๒ (เทวดา) เปนตน อรหิต (ติ.) ควรบูชา, อันเขาบูชา วิ. อรหิตพฺโพ ปูเชตพฺโพติ อรหิโต อจฺจิโต (ผูใดอันเขาบูชา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อรหิต คือผูอันเขาควรบูชา), [อรห ธาตุ ปูชายํ ในการบูชา + ต ปจจัย กจฺ.๕๕๖ รูป.๖๒๒ วา ภาวกมฺเมสุ ต + อิ อาคม] อราติ (ปุ.) ขาศึก, ศัตรู วิ. อรติ คจฺฉตีติ อราติ ริปุ (ผูใดยอมเปนไป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อราติ คือขาศึก), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + ติ ปจจัย + ภูวาทิตฺตา อาอาคโม อา อาคม เพราะหมวด ภูธาตุ] อริ (ปุ.) ขาศึก, ศัตรู, ผูมีเวร ๑. ผูเปนเหตุถึง ทุกข วิ. ทุกฺโข อรติ ปวตฺตติ เอเตนาติ อริ สตฺตุ (ทุกขยอมเปนไป เพราะผูนั้น เหตุนั้น ผูนั้นจึง ชื่อวา อริ คือศัตรู), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + อิ ปจจัย] ๒. ผูที่ถึงความเปนขาศึกกัน วิ. อรติ คจฺฉติ ปจฺจตฺถิกภาวนฺติ อริ เวรี (ผูใดยอมถึง ความเปนขาศึกกัน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริ คือผู มีเวร), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + อิ ปจจัย กจฺ.๖๖๙ รูป.๖๗๙ วา มุนาทีหิ จิ] ๓. ผูถึงเวร วิ. เวรํ อรตีติ อริ ปจฺจตฺถิโก (ผูใดยอมถึงความ เปนเวรกัน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริ คือขาศึก), [อร + คมเน ในความไป + อิ ปจจัย], ศัพทนี้ เปนปุงลิงค] ๔. ผูเปนเหตุใหความนารักเหลือ นอย วิ. อปฺปโก รูปาทิปฺจกามคุณสงฺขาโต โร กาโม เอเตนาติ อริ (ร คือความใคร กลาวคือ เบญจกามคุณมีรูปเปนตน เปนสภาพนอย ดวย ธรรมชาตินั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อริ), [ในนัยนี้ ร อักษร ใชในความหมายวา กาม, อ อักษร ใชในความหมายวา นอย] อริฏ (ปุ.นปุ.) ๑. สะเดา วิ. ติตฺตรสตฺตา อริสภาเว ติตีติ อริโ ปุจิมนฺโท (ตนไมใด ตั้งอยูในความเปนศัตรู เพราะมีรสขม เหตุนั้น ตนไมนั้นชื่อวา อริ คือตนสะเดา), [อริ + า ธาตุ คตินิวตฺติมฺหิ ในการหามการไป + กฺวิ ปจจัย, ซอน ] ๒. ประคำดีควาย วิ. หตชนฺตุ- ปโมหสงฺขาตาริผลตาย อริโ เผณิโล (ตนไม ชื่อวา อริ เพราะมีผลเปนขาศึกทำใหสัตวที่ เมา คือประคำดีควย), [อริ + หน แปลงเปน  ตามบทสำเร็จที่ปรากฏ] วิ. ตํโรคาริวนฺตชเนหิ อิจฺฉิตพฺพผลตฺตา วา อริโ. (อีกนัยหนึ่ง ชื่อวา อริ เพราะผลที่ผูมีโรคที่เปนศัตรูกับตนไมนั้น ตองการ) ๓. กา, นกเคา, นกแสก วิ. ริํ มรณลกฺขณํ, ตํ อสฺส นตฺถีติ อริโ กาโก, อลูโก วา. (ลักษณะแหงความตาย ชื่อวา ริ,ลกัษณะ แหงความตายนั้น ของสัตวนั้น ไมมี เหตุนั้น สัตวนั้น ชื่อวา อริ ไดแก กา หรือนกแสก) ๔. ยาดองพิเศษชื่อวาอริฏฐะ อปจ อริสทฺโท นามปฺตฺติเภสชฺชวิเสสาทิวาจโก ปุนฺนปุํสกลิงฺเค วตฺตติ อริฺหิ สุราสทิสวณฺณคนฺธกปฺปยเภสชฺชํ อริํ นาม อามลกผลรสาทีหิ กโต อาสววิเสโส (อีกอยางหนึ่ง อริ ศัพท หมายถึง ชื่อเฉพาะยาดองพิเศษชนิดหนึ่ง เปน ตน เปนปุงลิงคและนปุงสกลิงค สำหรับยาดอง ชื่อวา อริฏฐะ เปนยาที่ควร มีสีและกล่ินเหมือน


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๒๑ สุรา คือยาดองพิเศษที่ดองเครื่องปรุงมีผล มะขามปอมเปนตน) อริตฺต (นปุ.) ถอ, พาย ๑. วิ. อรติ ริจฺจตีติ อริตฺตํ (สิ่งใดยอมละไปเหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อริตฺต), [อร ธาตุ ริจฺจเน ในความละไป + ต ปจจัย, แปลง อ เปน อิ, ซอน ตฺ] ๒. เครื่องชวยพายไป วิ. อรติ เยนาติ อริตฺตํ, ปาชนทณฺโฑ (บุคคลยอมไป ดวย สิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อริตฺต คือไมพาย), [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย กจฺ.๖๕๖ รูป.๖๖๖ วา ฉทาทีหิ ตตฺรณฺ] ๓. ถอ, พาย, เครื่องอำนวยใหเรือลองไป วิ. อรติ คจฺฉติ นาวา เอเตนาติ อริตฺตํ เกนิปาโต (เรือยอมลอง ไปไดดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อริตฺต คือ ไมพาย), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + อตฺต ปจจัย กจฺ.๖๕๐ รูป.๖๕๑ วา กาเล วตฺตมานาตี เต ณฺวาทโย + แปลง อ เปน อิ กจฺ.๕๑๗ รูป. ๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน] อรินฺทม (ปุ.) ผูขมขาศึก, พระราชา วิ. อรึ ทเมตีติ อรินฺทโม (ผใูดยอมขมขี่ขาศึก เหตุนั้น ผู นั้นชื่อวา อรินฺทม), [อริ + ทมุ ธาตุ ทมเน ใน ความทรมาน + อ ปจจัย นีติ.๑๑๐๗ วา สฺายมนฺวาคโม + นุ อาคม, ลบ อํ ที่ อรึ ลบ อุ ที่ ทมุ, แปลง นุ เปน นิคหิตทาย อริ, แปลง นิคหิตเปน นฺ สุดวรรค] เวสฺสนตฺโร, ตณฺหงฺกโร, เมธงฺกโร, สรณงฺกโร, ทีปงฺกโร ก็ทำตัวรูป โดยนัยนี้ อริมทฺทน (นปุ.) เมือง, ที่เปนที่ย่ำยีขาศึก วิ. อรึ มทฺทนฺติ เอตฺถาติ อริมทฺทนํ, นครํ (ชน ทั้งหลายที่ย่ำยี่ขาศึก ในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อ วา อริมทฺทน คือนคร), [อริ + มทฺท ธาตุ มทฺทเน ในความย่ำยี + ยุ ปจจัย อธิกรณสาธนะ, แปลง ยุ เปน อน] อริย (ติ.,ปุ.) ผูประเสริฐ, เจริญ ๑. ผูอันสัตบุรุษ พึงเขาไปหา วิ. สปฺปุริเสหิ อริตพฺโพ โลเกหิ วา อรณีโย อุปคนฺตพฺโพติ อริโย (บุคคลใดอัน สัตบุรุษ หรืออันชาวโลกพึงเขาไปหา เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อริย), ในสันสกฤตวา อารฺยะ, [อร ธาตุ คติยํ ในความไป + ณฺย ปจจัยในอรรถ กรรม + อิ อาคม, หรือ ณิย ปจจัย] ๒. ผูอันโลก กับเทวโลกหมายรูกันวาเปนสรณะ วิ. สเทวเกน โลเกน สรณนฺติ อรณีโย อุปคนฺตพฺโพติอริโย (ผูใด อันโลกกับทั้งเทวโลกหมายรูกันวาเปนสรณะ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริย), [อร ธาตุ าเณ ใน ความรู + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม หรือ อนีย ปจจัย, ลบ ณ, รัสสะ อี ที่อนียเปน อิ] วิ. อถ วา อตฺถกาเมหิ อรณีโย ปยิรุปาสิตพฺโพติ อริโย (อีกนัยหนึ่ง ผูใดอันชนผูมุงประโยชนพึงเขาไป หา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริย) ๓. ผูไมดำเนิน ชีวิตในทางเสื่อม ดำเนินชีวิตในทางเจริญ วิ. อนเย น อิริยติ อเย อิริยตีติ อริโย (ผูใดยอม ไมดำเนินชีวิตในทางเสื่อม ใชชีวิตในทางเจริญ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริย), [อิริย ธาตุ ชีววตฺติยํ ในความเปนไปแหงชีวิต + อ ปจจัย, แปลง อิ เปน อ] ๔. ผูบรรลุมรรคผล วิ. มคฺคผลธมฺเม อรติ อธิคจฺฉตีติ อริโย (ผูใดบรรลุมรรคธรรม และผลธรรม เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริย), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ณฺย ปจจัยในอรรถกัตตา + อิ อาคม] ๕. ผูไมมีปาปธรรม วิ. นตฺถิ ริโย ปาปธมฺโม เอตสฺสาติ อริโย (ริย คือธรรม อันลามก ของบุคคลนั่นไมมี เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อวา อริย) ๖. ผูไกลกิเลส วิ. กิเลเสหิ อารกาติ อริโย (ผูดำรงอยูไกลจากกิเลส เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อริย), [แปลง อารก เปน อริย ดวยสูตร กจฺ.๓๙๑ รูป. ๔๒๓ วา ยท เปนตน] ๗. ผูกำจัด


๒๒๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา กิเลส วิ. กิเลสาทโย หนตีติ อรโห, โสเอว อริโย (ผูใดยอมกำจัดกิเลสเปนตน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อรโห, อรโห นั่นเอง ชื่อวา อริย), [หน ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + อ ปจจัย, แปลง หน เปน อรห] ๘. ผูกำจัดขาศึกคือกิเลส วิ. กิเลสารโย หนฺตีติ อริโห, โสเอว อริโย (ผูใดกำจัดขาศึกคือ กิเลส เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริห, อริห นั่นเอง ชื่อวา อริย), [อริ ศัพท + หน ธาตุ หึสายํ ใน ความเบียดเบียน + กฺวิ ปจจัย, แปลง ริห เปน ริย] ๙. ผูหักกำคือกิเลส วิ. กิเลสาเร หนตีติ อรโห, โสเอว อริโย (ผูใดหักกำคือกิเลส เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อรห, อรห นั่นเอง ชื่อวา อริย), [อร + หน, แปลง รห เปน ริย] ๑๐. ผูหักกำสังสารจักร วิ. สํสารจกฺกสฺส อรา หนนฺตีติ อริยา (ชนเหลา ใดหักกำแหงสังสารจักร เหตุนั้น ชนเหลานั้น ชื่อวา อริย), [อิย ปจจัยแทน หนนฺติ] ๑๑. ผูนี้มี อยูในบรรดาพระอริยบุคคล วิ. อริยานํ อยนฺติ อริโย (ผูนี้ มีในบรรรดาพระอริยบุคคลทั้งหลาย เหตุนั้น ผูนี้ชื่อวา อริย), [ณ ปจจัยในตัทธิตแทน อิทํ] ๑๒. ผูใหอริยผลเกิด วิ. อริยํ ผลํ ลภาเปติ ชเนตีติ อริโย (ผูใดยอมยังอริยผลใหเกิด เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อริย), [ณ ปจจัยในตัทธิตแทน ชเนติ] ปาฐะวา อยิโร ก็มี, สลับอักษร รย เปน ยร, นีติ.๑๕๔ วา ปริยาทีนํ รยาทิวณฺณสฺส ยราทีหิ วิปริยโย. ซอน ย เปน อยยฺิร ก็มี เชน นิรุตฺติ.๕๙ วา วนฺทามิ เต อยฺยิเร ปสนฺน- จิตฺโต (เรามีจิต เลื่อมใสแลวขอไหวพระอริยเจาทั้งหลาย): อริย ศัพท ใชในความหมายวา ผูประเสริฐมีพระ โสดาบัน เปนตน เปน ๓ ลิงค, ใชในความหมาย วา พระอริยบุคคล (ทฺวิเช-ผูเกิด ๒ ครั้ง) เปน ปุงลิงค อริยานิ (นปุ.) อริยสัจ, ความจริงอันประเสริฐ ๑. วิ. พุทฺธาทีหิ อริยนฺติ ายนฺตีติ อริยานิ (สัจจะเหลาใดอันพระพุทธเจาเปนตน ตรัสรู เหตุนั้น สัจจะเหลานั้นชื่อวา อริยานิ), [อร ธาตุ าเณ ในความรู + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม] ๒. วิ. นตฺถิ ริโย เอเตสนฺติ วา อริยานิ. (อีกนัย หนึ่ง ปาปธรรมของสัจจะเหลานั้นไมมี เหตุนั้น สัจจะเหลานั้นชื่อวา อริยานิ) ๓. วิ. อรโย หรนฺตีติ วา อริยานิ (สัจจะเหลาใด นำขาศึกไป เหตุนั้น สัจจเหลานั้นชื่อวา อริยานิ), นัยนี้ เปนตัทธิต ๔. วิ. อริยกรานีติ วา อริยานิ, อริยสจฺจานิ (อีกนัยหนึ่ง สัจจะที่ทำใหเปนพระ อริยะ เหตุนั้น ชื่อวา อริยานิ คือ อริยสจฺจานิ, ลบ สจฺจ เบื้องหลัง), สำหรับคำวา อริยสจฺจานิ ในที่นี้มีวิเคราะหดังตอไปนี้ วิ. อริยานิ จ ตานิ สจฺจานิ จาติ อริยสจฺจานิ (สัจจะทั้งหลายดวย สัจจะเหลานั้นประเสริฐดวย เหตุนั้น จึงชื่อวา อริสจฺจานิ) วิ. อริเยหิ พุชฺฌิตพฺพานิ สจฺจานีติ วา อริยสจฺจานิ (อีกนัยหนึ่ง สัจจะอันพระ อริยบุคคลตรัสรู ชื่อวา อริยสจฺจานิ) วิ. อริเยน สมฺมาสมฺพุทฺเธน เทสิตตฺตา อริยสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สจฺจานีติ วา อริยสจฺจานิ (อีกนัย หนึ่ง สัจจะของพระอริยสัมมาสัมพุทธเจา เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจาผูทรงเปนอริยะ แสดงไว เหตุนั้นจึงชื่อวา อริยสจฺจานิ), บัณฑิต พึงคนดูความพิสดารในอรรถกถาและฎีกาแหง คัมภีรวิสทุธิมรรคเถิด อริส (ปุ.,นปุ.) โรค, ริดสีดวงงอก, ริดสีดวงทวาร ๑. วิ. อรติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อริโส โรโค (โรคใด ยอมเบียดเบียนเปนไป เหตุนั้น โรคนั้นชื่อวา อริส คือโรค), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + อิส ปจจัย ดวยสูตรแหงปทรูปสิทฺธิ รูป.๖๘๓ วา


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๒๓ มนุปูรสุณาทีหิ อุสฺสนุสิสา] ๒. วิ. อริ วิย อีสติ อภิภวตีติ อริสํ (โรคใดยอมย่ำยีเหมือน ขาศึก เหตุนั้น โรคนั้นชื่อวา อริส), [อริ + อีส ธาตุ อภิภวเน ในความครอบงำ + อ ปจจัย] วิ. อริ วิย สสติ หึสตีติ อริสํ ทุนฺนามกํ (โรคใด ยอมเบียดเบียนเหมือนขาศึก เหตุนั้น โรคนั้นชื่อ วา อริส คือโรคริดสีดวงงอก), [อริ + สส ธาตุ หึสายํ ในความเบียดเบียน + กฺวิ ปจจัย, ลบ กฺวิ และ ส ที่สุดธาตุ] อริสส (ปุ.) โรค, ริดสีดวงงอก, ริดสีดวงทวาร วิ. อริโสเอว อริสโส (อริโส-โรคริดสีดวงนั่นเอง ชื่อวา อริสโส), [ส ปจจัย สกัตถ ดวย จ ศัพท แหงสูตร กจฺ.๓๖๔ รูป.๓๙๘ วา ตทสฺสตฺถีติ วี จ] ใน มณิสารมฺชูสา วา อริสํ วุจฺจติ มํสโรโค, ตเมตสฺส อตฺถีติ อริสโส ปุคฺคโลติ วุตฺตํ. (โรค ริดสีดวงงอก เรียกวา อริส, โรคนั้นของบุคคล นั้นมีอยู เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อริสส) อรุ (นปุ.) แผล วิ. อรติ ปูติภาเวน สูนภาเวน วา อุทฺธํ อรติ คจฺฉตีติ อรุ วโณ (สิ่งใดยอมบวมเนา อยูขางบน โดยความเปนสิ่งที่เนาหรือบวม เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อรุ คือแผล), เชน มมฺมานีติ ทุารูนิ ที.ฏี.๑/๔๑๔ (บทวา มมฺมานิ คือแผล เนา) ศัพทนี้เปนนปุงสกลิงค, [อร ธาตุ คมเน ใน ความไป + อุ ปจจัย โมคฺ. ๗/๒ วา ภรมรจรตร อรครหนตนมนภม, หรือ ณุ ปจจัย ไมพฤทธิ์] อรุณ (ปุ.) แสงอรุณ ๑. แสงที่สองไป วิ. อรติ คจฺฉตีติ อรุโณ (แสงใดยอมสองไป เหตุนั้น แสง นั้นชื่อวา อรุณ), เชน โย อรุโณ โส อุปฺปนฺนทิวสนิสฺสิโตติ (อรุณใด อรุณนั้นอาศัยวันที่ เกิดขึ้น, กงฺขาวิตรณี ฉบับแปล เลม ๒ หนา ๑๘๖ [อร ธาตุ คมเน ในความไป + กุน ปจจัย ดวยสูตร โมคฺ. ๗/๑๐๑ วา วรารกรตรทรยม อชฺชมิถสกา กุโน, แปลง น เปน ณ โมคฺ. ๕/ ๑๗๑ วา รา นสฺส โณ] ๒. แสงที่ทอไปทั่วถึง วิ. อา สมนฺตโต อาโลกํ กโรนฺโต อุนติ อุณติ คจฺฉตีติ อรุโณ, สูริยรํสิวิเสโส, สูริยสฺส อุทยโต ปุพฺเพ อุคฺคตรํสิ อรุโณ นามาติ อตฺโถ. (สิ่งใด ยอมสองสวางไปทั่วถึง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อรุณ คือรัศมีของพระอาทิตย, อธิบายวา คำวา อรุณ คือรัศมีที่สองกอนพระอาทิตยอุทัย), [อา + อุน/อุณ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ณ ปจจัย, รัสสะ อา, ลง ร อาคม, แปลง น เปน ณ] ๓. แสงสองไปสีแดงออน วิ. อรุณวณฺณตาย อรติ คจฺฉตีติ อรุโณ อนูรุ, กิฺจิรตฺโต อพฺยตฺตวณฺโณ อรุโณ นาม (ธรรมชาติใดยอมสองไป เพราะมีสีแดงระเรื่อ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อรุณ คือแสงอรุณ, ชื่อวาอรุณ คือแสงสีแดง ระเรือ สีแดงไมจัด), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + อุณ ปจจัย] ๔. กาลสมัยมีแสงทอง วิ.อรติ สุวณฺณภาเวน ปวตฺตตีติ อรุโณ, อรุโณ วณฺโณ เอตสฺสาตฺถีติ อรุโณ (แสงใดยอมสองไปโดย ความเปนสีทอง เหตุนั้น แสงนั้นชื่อวา อรุณ, แสงสีทองของกาลนั้นมีอยู เหตุนั้น กาลนั้นชื่อ วา อรุณ); ศัพทนี้เปนนปุงสกลิงคก็มี เพราะ ปรากฏตัวอยางใน วิสุทธิมรรค ๑/๘ วา อรฺเ อรุณํ อุาเปตพฺพํ (ใหอรุณขึ้นในปา) อรูป (นปุ.) ไมมีรูป, ไมใชรูป, นิพพาน, อรูปภพ, นามขันธ ๔, อรูปตัณหา, อรูปพรหม ๑. ไมมี สัณฐาน วิ. นตฺถิ ทีฆรสฺสาทิกํ รูป สณฺานเมตสฺสาติ อรูป เขมํ (รูปสัณฐานมีสั้นหรือยาวเปนตนของ ภาวะนั่นไมมี เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อรูป คือ นิพพานแดนเกษม) ๒. อรูปภพ วิ. อรูปเมว ภโว อรูปภโว, โสเยว อรูป, จตุโวการภโว, จตฺตาโร นามกฺขนฺธา วา. (ภพคืออรูป ชื่อวา อรูปภโว,


๒๒๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อรูปภโว นั่นเอง ชื่อวา อรูป ไดแก จตุโวการภูมิ หรือนามขันธ ๔) ๓. อรูปตัณหา วิ. อรูเป ภโว อรูป, อรูปตณฺหา (ความตองการในอรูป ชื่อวา อรูป คืออรูปตัณหา), ลบ ตณฺหา เบื้องปลาย; อรูป ศัพทมีความหมายวา นิพพาน และอรูป ขันธเปนตน, นัยเดียวกัน เชน อรูปี, อี ปจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต ๔. อรูปพรหม วิ. น รูป อรูป, ตเมเตสมตฺถีติ อรูปโน. รูปเมเตสมตฺถีติ วา รูป โน, น รูปโน อรูปโน. (ไมใชรูป ชื่อวา อรูป, อรูป ของพรหมเหลานั้นไมมี เหตุนั้น พรหมเหลานั้น ชื่อวา อรูปพรหม, หรือ รูป ของพรหมเหลานั้น มีอยู เหตุนั้น พรหมเหลานั้น ชื่อวา รูปพรหม, พรหมเหลานั้นไมใชรูปพรหม ชื่อวา อรูปพรหม) อรูปวิราค (ปุ.) อรูปวิราคะ, การหนายอรูป วิ. อรูป วิรชฺชติ วินสฺสตีติ อรูปวิราโค (ภาวะใด เบื่อหนายหรือทิ้งอรูป เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อรูปวิราค), [อรูป + วิ + รฺช ธาตุ + ณ ปจจัย, แปลง ฺช เปน ช ดวยการแบงสูตร กจฺ.๕๙๐ รูป.๕๗๙ วา ณมฺหิ รนฺชสฺส โช, แปลง ช เปน ค] อรูปาวจร (นปุ.) อรูปาวจรจิต วิ. นตฺถิ รูป เอตฺถาติ อรูป. (รูปในจิตนั้นไมมี เหตุนั้น จิตนั้น ชื่อวา อรูป), อถวา อรูปภโว อุตฺตรปทโลปวเสน อรูปนฺติ วุตฺตํ. อรูเป อรูปภเว เยภุยฺเยน อวจรตีติ อรูปาวจรํ, จิตฺตํ (อีกนัยหนึ่ง อรูปภพ ทานกลาว วา อรูป ดวยการลบ ภว บททาย, จิตที่เที่ยวไป ในอรูปภพ โดยมาก เหตุนั้น จิตนั้นชื่อวา อรู ป า ว จ ร จ ิ ต ) , [อ ร ู ป + อ ว + จ ร ธ า ตุ อวจรเณ ในการเที่ยวไป + อ ปจจัย] อโรค (ปุ.) ไมมีโรค, แนนอน, ฉันทที่ไมมีโทษ ๑. วิ. นตฺถิ เอตสฺส โรโค ภงฺโคติ อโรโค นิจฺโจ (โรคคือการแตกสลายไปแตภาวะนั้นไมมี เหตุ นั้น ภาวะนั้นชื่อวา อโรค คือภาวะแนนอน), อโรค ศัพทเปนไวพจนของบทวา นิจฺจ (แนนอน), บทนี้เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส, นิจฺจาพาเธน วา อชฺฌตฺตาพาเธน วา กายาพาเธน วา อโรโค โรควิรโห อาโรคฺยํ วา. (อีกนัยหนึ่ง ภาวะที่เวนจากโรค คือความไมมีโรค ชื่อวา อโรค เพราะเปนความอาพาธแนนอน อาพาธใน ภายใน หรืออาพาธทางกาย) ๒. รุชฺชติ ภฺชติ องฺคปจฺจงฺคานีติ โรโค, พฺยาธิ (สิ่งใดยอมทำลาย อวัยวะนอยใหญ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา โรค คือ ความเจ็บไข), [รุช ธาตุ ภงฺเค ในความแตกสลาย + ณ ปจจัย]. วิ. อถ วา รุชฺชติ หึสตีติ โรโค (อีกนัยหนึ่ง ภาวะใดยอมเสียดแทง เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา โรค), [รุช ธาตุ หึสายํ ในความ เบียดเบียน + ณ ปจจัย] วิ. นตฺถิ โรโค ตสฺสาติ อโรโค, ฉนฺนวุติโรคานํ อภาโว โหตีติ อตฺโถ (โรคไมมีแกฉันทนั้น เหตุนั้น ฉันทนั้นชื่อวา อโรค, หมายความวา ไมมีความเสียหายแหง ขอกำหนดในทางฉันทศาสตร) อลก (ปุ.นปุ.) ผมที่แตงคลายตารางหมากรุก ประดับไวที่หนาผาก วิ. อลติ ภูสยติ มุขนฺติ อลโก (ผมใดที่ประดับดวงหนา เหตุนั้น ผมนั้น ชื่อวา อลก), [อล ธาตุ ภูสเน ในความประดับ + ณฺวุ ปจจัย] เถรคาถาอกถา วา อปทากาเรน กตา สฺจิตา ปุริมภาเค เกเส กปฺเปตฺวา นลาฏสฺส ปฏิจฺฉาทนวเสน กตา เกสรจนา อปทํ นาม, ยํ อลกนฺติป วุจฺจตีติ. (การแตงผมที่เขาทำ คือ แตงโดยอาการคลายกระดานสกา คือที่เขาแตง โดยกำหนดเอาผมดานหนาปดหนาผาก ชื่อวา อัฏฐปทะ ซึ่งทานเรียกวา อลกะ ก็มี) อลกา (อิตฺ.) อลกาวิมาน, เมืองอลกา, เมือง แหงกุเวรยักษ วิ. อลํ วิภูสนํ กโรตีติ อลกา อฬกา, อฬกมนฺทา สา กุเวรสฺส ปุรีเยวาติ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๒๕ อตฺโถ (เมืองใดทำการประดับตกแตง เหตุนั้น เมืองนั้นชื่อวา อลกา, อฬกา, อฬกมนฺทา, เมือง นั้นเปนบุรีของยักษชื่อกุเวร), [อล + กร ธาตุ กรเณ ในความทำ + กฺวิ ปจจัย + อา ปจจัยใน อิตถีลิงค] อฬกมนฺทาติ เจตฺถ อฬกา เอว โมทกรณโต อฬกมนฺทา, อุการสฺส อกาโร, นาคโม จาติ อภิธานปฺปทีปกาฏีกายํ วุตฺตํ. (บรรดาชื่อ เมืองที่กลาวแลวนี้ สำหรับคำวา อฬกมนฺทา ใน อภิธานัปปทีปกาฎีกา อธิบายคาถา ๓๒ วา เมืองอฬกานั่นเอง ชื่อวา อฬกมนฺทา เพราะทำ ความยินดีให, แปลง อุ แหง มุท ธาตุ เปน อ และลง นฺ อาคม) อลกฺขี (ปุ.) คนไมมีบุญ, ไมมีสิริ, คนกาฬกิณี ๑. ผูอันเขาไมใสใจ วิ. นินฺทิตพฺพตฺตา น ลกฺขิ ยเตติ อลกฺขี กาฬกณฺณี (ผูใดอันใครๆ ก็ไมสนใจ เพราะเปนผูควรตำหนิ เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อลกฺขี), [น + ลกฺข ธาตุ ทสฺสนงฺเกสุในความเหน็ และความกำหนด + อ ปจจัย + อี ปจจัยในตทัส สัตถิตัทธิต], เทียบ ลกฺขี, ปาฐะวา อลกฺขิโก ก็มี. ๒. ผูอันบัณฑิตไมเหลียวมอง วิ. อฺเหิ สปฺปุริเสหิ น ลกฺขิตพฺโพติ อลกฺขิโก (ผูใดอัน สัตบุรุษเหลาอื่นไมเหลียวมอง เหตุนั้น ผูนั้นชื่อ วา อลกฺขิก), [น + ลกฺข ธาตุ ทสฺสนงฺเกสุ ในการ มองและการกำหนด + ณฺย ปจจัย ในอรรถกกัต ตุและกรรม, แปลง ย เปน ก + อิ อาคม] อลคทฺท (ปุ.) งู, งูเลื้อยเร็ว, งูมีพิษรายแรง ๑. สัตวที่เลื้อยเขาบาน วิ. อรํ สีฆํ คจฺฉตีติ อลคทฺโท สิริสโป (สัตวใดยอมเลื้อยเขาบาน เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อลคทฺท คืองู), [อร + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ท ปจจัย, แปลง ร เปน ล, แปลง ม เปน ท] ๒. สัตวเลื้อยเร็ว วิ. อลํ สีฆํ คจฺฉตีติ อลคทฺโท (สัตวใดยอมเลื้อย ไปเร็ว เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อลคทฺท), [อล + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ท ปจจัย, แปลง ม เปน ท] ๓. สัตวมีพิษปลิดชีวิต วิ. อลํ ชีวิตหรเณ สมตฺโถ คโท วิสํ อสฺสาติ อลคทฺโท (พิษ ของสัตวนั้นสามารถปลิดชีวิตได เหตุนั้น สัตว นั้นชื่อวา อลคทฺท) ๔. สัตวที่พิษกอทุกข วิ. โค วุจฺจติ ทุกฺขํ, ตํ เทตีติ คโท วิสํ, อลํ ปุริปุณฺณํ คทํ เอตสฺสาติ อลคทฺโท, (ทุกขเรียกวา ค, สิ่งที่ให ทุกขนั้นชื่อวา คท คือพิษ, พิษของสัตวนั้นมาก เพียงพอ เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อลคทฺท), อลคฺคโท ก็มี อลคทฺทุปมา, -ทูปมา (อิตฺ.) ปริยัติเหมือน จับงูมีพิษ วิ. อลคทฺทํ หรณํ อุปมา เอติสฺสาติ อลคทฺทุปมา, ปริยตฺติ ทุคฺคหิตา อุปารมฺภาทิ- เหตุ ปริยาปุฏา. อลคทฺทูปมา วา, ทีโฆ. (งูพิษคือ การจับงูพิษเปนเครื่องนำมาเปรียบของปริยัติ นั่น เหตุนั้น ปริยัตินั้นชื่อวา อลคทฺทุปมา ไดแก ปริยัติที่เรียนมาไมดี คือเรียนเพราะมุงจะนำไป โตแยงคัดคานกันเปนเหตุเปนตน, ทีฆะเปน อลคทฺทูมา), สวนใน สารตฺถทีปนี (สารตฺถ.ฏี. ๑/ ๑๒๔) วา อลคทฺโท อลคทฺทคฺคหณํ อุปมา เอติสฺสาติ อลคทฺทูปมา. อลคทฺทสฺส คหณํ เหตฺถ อลคทฺทสทฺเทน วุตฺตนฺติ ทพฺพํ. อาปูปโกติ เอตฺถ อปูปสทฺเทน อปูปขาทนํ วิย อลคทฺทคฺคหเณน คหิตปริยตฺติ อุปมียติ, น ปน อลคทฺเทน. อลคทฺทคฺคหณูปมาติ วา วตฺตพฺเพ มชฺเฌปทโลป กตฺวา อลคทฺทูปมาติ วุตฺตํ โอมุโขติอาทีสุ วิย. อลคทฺโทติ เจตฺถ อาสีวิโส วุจฺจติ. คโทติ หิ วิสสฺส นามํ. ตฺจ ตสฺส อลํ ปริปุณฺณํ อตฺถิ, ตสฺมา อลํ ปริยตฺโต ปริปุณฺโณ คโท อสฺสาติ อนุนาสิกโลป ทการาคมฺจ กตฺวา อลคทฺโทติ วุจฺจตีติ (งูพิษ


๒๒๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ไดแกการจับงูพิษเปนขอเปรียบของปริยัตินี้ เหตุนั้น ปริยัตินั้นจึงชื่อวา อลคทฺทูปมา-ปริยัติ เปรียบดวยงูพิษ) ก็ในที่นี้ การจับงูพิษ พึงเห็นวา ทานกลาวดวยศัพทวา อลคทฺท ปริยัติที่บุคคล เรียนเอา ทานเปรียบดวยการจับงูพิษ แตไมใช เปรียบดวยงูพิษ เหมือนกับในคำวา อาปูปโก นี้ การกินขนม ทานทำไวดวยศัพทวา อปูป นัยหนึ่ง เมื่อควรจะกลาววา อลคทฺทคฺคณุปมา-ปริยัติ เหมือนการจับงูพิษ ทานก็กลาวเสียวา อลคทฺทุปมา-ปริยัติเปรียบดวยการจับงูพิษ เพราะการะทำการลบบททามกลางเสีย เหมือนกับในคำวา โอมุโข-คนมีหนาเหมือน อูฐ ก็คือคนมีหนาเหมือนอูฐ ก็อสรพิษทานกลาว ไวในบทวา อลคทฺโท นี้ ก็บทวา คโท เปนชื่อ ของพิษ และพิษนั้นของงูนั้นก็มีอยูเพียงพอ คือ ครบถวน ฉะนั้น งูนั้นทานจึงเรียกวา อลคทฺโท เพราะทำการลบนิคหิตคือ อลํ และลง ท อักษร อาคม หรือ คท เพราะอรรถวามี คโท-พิษ อลํ- พอ คือเพียงพอ ไดแกครบถวน) อลคฺค (นปุ.) ไมของ, ไมติด, ไมมีขอสงสัย ๑. วิ. ลฺชนํ ลคฺโค (การติดชื่อวา ลคฺค), [ลช ธาตุ สงฺเค ในความของ + ณฺย ปจจัย, แปลง ณฺย กับที่สุดธาตุเปน คฺค] วิ. นตฺถิ ลคฺโค ยสฺสาติ อลคฺคํ (ความของไมมีแกวัตถุใด เหตุนั้น วัตถุนั้น ชื่อวา อลคฺค) บทนี้เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิ สมาส ๒. วิ. ลคิตฺถาติลคฺโค, ปุตฺตทารองฺคชวีติา ทีสุ อนลฺลียนจิตฺโต หุตฺวา (ผูใดติดของแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา ลคฺค, ความวา เปนผูมีจิตไม ติดของในบุตรภรรยาชีวิตรางกาย เปนตน), [ลค ธาตุ ลคฺคเน ในความติดของ + ต ปจจัย + ค ปจจัย, นิรุตฺติ.๕/๑๕๔ โค ภนฺชาทีหีติ] ๓. วิ. น ลคฺโค อลคฺโค, อสตฺโต (ไมใชผูติดของแลว ชื่อวา อลคฺค คือไมติดของแลว), นบุพบทกัมมธารยสมาส ๓. วิ ลคนํ สงฺคนํ ลคฺโค ลคติ สงฺคติ อลฺลยติ วาติ ลคฺโค (การติดของ ชื่อวา ลคฺค อีก นัยหนึ่ง สภาวะที่ติดของอยู ชื่อวา ลคฺค), [ลค ธาตุ สงฺเค อลฺลียเน วา ในความของ หรือใน ความติด + ค ปจจัย] วิ. น ลคฺโค อลคฺโค. (ไมใช ผูติดของ ชื่อวา อลคฺค), วิ. นตฺถิ ลคฺโค เอตฺถ ปุตฺตทารองฺคชีวิตาทีสูติ วา อลคฺโค (อีกนัยหนงึ่ ความติดของในบุตรภรรยาชีวิตรางกาย เปนตน ไมมีในบุคคลนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อวา อลคฺค) อลงฺกต (ติ.) ๑. การประดับ, ประดับประดา, ทำการประดับ วิ. อลงฺกโรติ ภูสนํ กโรตีติ อลงฺกตํ (สิ่งใดยอมทำใหพอ คือทำการประดับ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลงฺกต), [อลํ + กร ธาตุ กรเณ ในการกระทำ + ต ปจจัย ดวยสูตร กจฺ. ๕๕๗ รูป.๖๐๖ วา พุธคมาทิตฺเถ กตฺตริ, ลบ ร ดวยสูตร กจฺ.๕๗ รูป.๖๓๒ วา รกาโร จ] ๒. อันเขาประดับ วิ. อลงฺกริยติ ภูสนํ กริยตีติ อลงฺกตํ (สิ่งใดอันเขาประดับ คือเขาทำการ ตกแตง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลงฺกต), [อลํ + กร ธาตุ กรเณ ในความทำ + ต ปจจัยในอรรถภาว และในอรรถกรรม], ปาฐะวา อาลงฺกโต ก็มี อลงฺกติ (นปุ.) อลังการศาสตร, การประดับ, การตกแตง, การทำใหพอ วิ. อลงฺกรณํ อลงฺกติ, อลงฺการํ (การกระทำใหพอ ชื่อวา อลงฺกติ คือ การตกแตง), [อลํ + กร ธาตุ กรเณ ในความทำ + ติ ปจจัย, ลบ ร], อลงฺกติ ศัพท เปนนปุงสกลิงค เพราะมุงถึงศาสตร อลงฺก (นปุ.) การประดับ, การตกแตง, การทำ ใหพอ วิ. อลํ วิภูสนํ กโรตีติ อลงฺกํ (สภาวะใด ยอมทำการประดับตกแตง เหตุนั้น สภาวะนั้น


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๒๗ ชื่อวา อลงฺก), [อลํ + กร ธาตุ + กฺวิ ปจจัย, ลบ ร] อลงฺการ (ปุ.) อลังการศาสตร, เครื่องประดับ, ๑. เครื่องนุงหม วิ. อลํ วิภูสนํ กรียเต อเนน อลติ วา อลํ ภูสนํ กโรติ เอเตนาติ อลงฺกาโร วิภูสนํ (การประดับตกแตงอันเขายอมกระทำ ดวยสิ่งนั้น หรือบุคคลยอมทำการประดับดวย สิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อลงฺการ คือ เครื่องประดับ), [อลํ + กร ธาตุ + ณ ปจจัย] ๒. การประดับ วิ. อลสฺส วิภูสนสฺส กรณํ อลงฺกาโร (การทำการประดับ ชื่อวา อลงฺกาโร) ๓. เครื่องประดับ วิ. อลงฺกโรนฺติ อตฺตภาวํ อเนนาติ อลงฺกาโร, อาภรณํ เกยูราทิ (ชนทั้งหลาย ยอมประดับซึ่งอัตภาพ ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อลงฺกาโร ไดแก เครื่องประดับ มีทอง ตนแขนเปนตน) ๔. อลังการศาสตร, สุโพธาลังการศาสตร วิ. อลงฺกโรนฺติ พนฺธสรีรํ อเนนาติ อลงฺกาโร, สุโพธาลงฺการสตฺถํ (บัณฑิตทั้งหลาย ยอมแตงบทประพันธดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อลงฺการ หมายถึง สุโพธาลังการศาสตร), [อลํ + กร ธาตุ กรเณ ในความทำ + ณ ปจจัย] ใน สัททนีติ ธาตุมาลาฉบับแปล หนา ๓๐๙ วา สาลงฺกานนโยเคป, สาลงฺกานนวชฺชิตาติ อิมิสฺสฺหิ กวีนํ กพฺพรจนายํ อลงฺกสทฺโท ภูสนวิเสสํ วทติ, เกจิ ปเนตฺถ อล ภูสนปริยาปนวารเณสูติ ธาตุํ ปนฺติ, อลตีติ จ รูป อิจฺฉนฺติ, มยํ ปน อลธาตุสฺส ปริยตฺตินิวารณตฺถวาจกตฺตํ น อิจฺฉาม ปโยคาทสฺสนโต, นิปาตภูโต ปน อลํสทฺโท ปริยตฺติ- นิวารณตฺถวาจโก ทิสฺสติ อลเมตํ สพฺพํ, อลํ เม เตน รชฺเชนาติอาทีสุ (ก็ อลงฺก ศัพทกลาวอรรถ เครื่องประดับพิเศษ พบไดในบทประพันธของ กวีนี้วา สาลงฺกานนโยเคป, สาลงฺกานนวชฺชิตา แมมีเครื่องประดับพักตร หญิงนั้นก็ปราศจาก การตกแตงดวยเครื่องประดบัพักตร อนึ่ง ใน อล  ธาตุนี้ อาจารยบางคนอางธาตุวา อล ภูสนปริยา ปนวารเณสุ -อลธาตุ ใชในความหมายวา ประดับ, สามารถ, หาม และประสงครูปวา อลติ. สวนขาพเจาไมประสงคให อล ธาตุใชใน ความหมายวา สามารถ, หาม เพราะไมพบ ตัวอยาง. อลํ ศัพท ที่เปนนิบาตอาจมีอรรถ ปริยตฺติ และ นิวารณ ได ดังพระบาลีวา อลเมตํ สพฺพํ ทั้งหมด นี้พอละ), อลํ เม เตน รชฺเชน เรา ไมตองการราชสมบัตินั้น อลงฺคล (ปุ.) ชุมเห็ด วิ. อลงฺคํ ททฺทุํ ลุนาตีติ อลงฺคโล (พืชชนิดใด กำจัดโรคหิด เหตุนั้น พืช ชนิดนั้นชื่อวา อลงฺคล), เอฬคโล ก็มี, ศัพทนั้น ก็ควร, [อลงฺค + ลุ ธาตุ ฉินฺทเน ในความตัด + อ ปจจัย] อลชฺชิตาย (ติ.) อันเขาไมพึงละอาย วิ. น ลชฺชิตพฺพนฺติ อลชฺชิตายํ (สิ่งใดอันเขาไมพึง ละอาย เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลชฺชิตาย), [น + ลชฺช ธาตุ ลชฺชเน ในความละอาย + อิ อาคม + ตาย ปจจัย เชน อลชฺชิตาเยติ อลชฺชิตพฺเพน (บทวา อลชฺชิตาเย ไดแก เพราะภาชนะภิกษา อันไมควรละอาย) อลฺชร (ปุ.) ตุมขนาดใหญ, โอง วิ. ชลํคณฺหติํ ุ อลนฺติ อลฺชโร อลฺชโล อรฺชโร วา, อุทกจาฏิ, พหุอุทกคณฺหนโกติ อตฺโถ (ภาชนะใด สามารถบรรจุน้ำได เหตุนั้น ภาชนะนั้นชื่อวา อลฺชร อลฺชล หรือ อรฺชร คือตุมน้ำ หมายถึง โองบรรจุน้ำไดมาก), [อลํ + ชล, หรือ แปลง ล เปน ร] อลํกิริย (กิ.กิตฺ.) ตกแตงแลว, กระทำพอแลว วิ. ภูสนํ อกาสีติ อลํกิริย(กระทำการตกแตงแลว


๒๒๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา ชื่อวา อลํกิริย), กมฺมธารยสมาส, [อลํ + กิริย = กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย + อิ อาคม, แปลง อ เปน อิ], ศัพทมี อลํ เปนตน สมาสกับนามศัพท ที่มีอรรถกิริยาในอรรถวา ภูสน (ประดับ) เปน ตน นิรุตฺติ.๔๑๒ วา ภูสนาทรานาทราทีสฺเวหิ สหา นัยเดียวกัน เชน สกฺกจฺจ, อสกฺกจฺจ, ลง นิคหิตบทหนา อลํวจนียา (อิตฺ.) หญิงผูหยารางสามี วิ. เทสจาริตฺตวเสน ปณฺณทานาทินา ปริจฺจตฺตา อลํวจนียา, สารตฺถ.ฏี.๓/๔๘ (ชื่อวา ผูหยาราง กัน คือผูหยาขาดจากกัน โดยการใหหนังสือเปน ตน ดวยการใหหนังสือเปนตน ตามจารีตของ บานเมือง), สำหรับ อลํ ศัพทในที่นี้ใชในอรรถวา หาม (นิวารณตฺโถ), [วจ ธาตุ วทเน ในความ กลาว + อนีย ปจจัย] เอตฺถ จ ยา หิ ยถา ยถา เยสุ เยสุ ชนปเทสุ ปริจฺจตฺตา ปริจฺจตฺตาว โหติ, ภริยาภาวํ อติกฺกมติ, อยํ อลํวจนียาติ วุจฺจตีติ วุตฺตํ โหติวินย.อ.๒/๕๘ (จริงอยู หญิงใดอันสามี ทิ้งแลวในชนบทใดๆ โดยประการโดๆ ยอมพน ภาวะเปนภรรยา, หญิงนี้ทานเรียกวา ผูหยาราง กัน) มมายนฺติ วา นิคฺคหปคฺคเห วา นิราสงฺกํ วตฺตุํ นาหรตีติ อลํวจนียา, อสฺสามิกา. วินยวินิจฺฉยฏีกา, ๓๗๕ (หญิงใดไมควรเพื่ออันกลาว วา หญิงนี้ของเรา หรือกลาวยกยองและขมขี่ อยางไมสงสัย เหตุนั้น หญิงนั้นชื่อวา อลํวนียา คือหญิงไมมีสามี), ปาฐะวา นนาลํวจนียา มี น ปฏิเสธซอนกัน ๒ ครั้ง ความจึงกลับเปนปกติ อลตฺตก (ปุ.) ครั่ง วิ. อา ภุโส รตฺตํ กโรตีติ อลตฺตโก ลาขา (สิ่งใดยอมทำสีแดงเขม เหตนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลตฺตก คือครั่ง), [อา + รตฺต + กร ธาตุ + กฺวิ ปจจัย, แปลง ร เปน ล, รัสสะ อา เปน อ, ลบที่สุดธาตุ ในเพราะอำนาจ กฺวิ ปจจัย] อลพฺภเนยฺย (ติ.) ๑. ไมพึงได วิ. น ลภิตพฺโพ ติ อลพฺภนีโย (ธรรมใดอันเขาไมพึงได เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อลพฺภนีย), [น + ลภ ธาตุ ลาเภ ในความได + ย ปจจัย + อนีย ปจจัย, แปลง ย เปน ภ แลว, แปลง ภ ตัวหนาเปน พฺ ดวยสูตร กจฺ.๕๑๗ รูป.๔๘๘ วา กฺวจิ ธาตุ เปนตน] วิ. โสเยว อลพฺภเนยฺโย (อลพฺภนีย นั้นนั่นเอง ชื่อวา อลพฺภเนยฺย), แปลง อี เปน เอ ดวยมหาสูตร, ซอน ยฺ เชนการแปลง อี เปน เอ ในคำวา อาชานีโย เอว อาชาเนยฺโย (มาอาชานียนั่นเอง ชื่อวา อาชาเนยฺย) ๒. ไมควรได วิ. ลภียเต วา ลพฺภนํ (อันเขาไดชื่อวา ลพฺภน), [ลภ ธาตุ ลาเภ ในความได + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, ในเพราะ อำนาจสระ อ อยูหลัง ย อาคม ดวยมหาสูตร, แปลง ย เปน ภ, แปลง ภ ตัวหนาเปน พฺ] วิ. ตํ นารหตีติ อลพฺภเนยฺโย (ผูใดยอมไมควรการได นั้น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อลพฺภเนยฺย), [เอยฺย ปจจัยในตัทธิต แทน อรห] อลมฺพุสา (อิตฺ.)๑. นางฟา,นางอัปสร,ผูสามารถใหเทพบุตรสยบอยูในตน วิ. กามรติวเสน เทวปุตฺเต อตฺตนิ วสาเปตุํ อลํ สมตฺถาติ อลมฺพุสา, อจฺฉรา (เทพธิดาใดสามารถใหเทพบุตรสยบอยู ในตน ดวยอำนาจแหงความยินดีในกาม เหตุนั้น เทพธิดานั้นชื่อวา อลมฺพุสา คือนางอัปสร), [อลํ + วส ธาตุ อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อ เปน อุ, แปลง ว เปน พ, แปลง นิคหิต เปน ม] ๒. ผูมีถันเสมอน้ำเตา วิ. อถ วา อลาพุสมา ถนา อลมฺพุสา (อีกนัยหนึ่ง ถันเสมอดวยน้ำเตา ชื่อวา อลมฺพุสา), วุตฺตฺหิ สุวณฺณผลเก ปตสุวณฺณมยวฏอลาพุโน อฑฺเฒน สทิสตาย อฑฺฒ-


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๒๙ ลาพุสมา ถนาติ. (ดังคำอธิบายวา ถันเสมอ น้ำเตาครึ่งผล เพราะเหมือนกับน้ำเตาทองผล กลมกลึงที่เขาวางไวแผนกระดานทอง) อลส (ปุ.) ๑. คนเกียจคราน วิ. น ลสติ น กิฬตีติ อลโส อวิริโย (ผูใดยอมไมกระปรี้กระเปรา เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อลส คือผูไมมีความเพียร), [กระปกระเปรา น + ลส ธาตุ กีฬายํ ในความ เลน + อ ปจจัย] ๒. ผูถนัดในการทำบาป วิ. อลติ ปาปกรเณ สมตฺเถตีติ อลโส (ผูใดสามารถ ในการทำบาป เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อลส), [อล ธาตุ สมตฺเถ ในความสามารถ + อส ปจจัย] ๓. ผูเฉื่อยฉา วิ. อลียติ พนฺธียตีติ อลโส มนฺทการี (ภาวะใดอันเขาติดพัน เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อลโส คือผูทำการอยางเพลา), [อล ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อส ปจจัย โมคฺ.๗/๒๑๗ วา เว ตาตยุปนาลกลจมา] อลฺย (นปุ.) สด, เปยก, วัตถุอันสด วิ. อลติ สมตฺเถตีติ อลฺยํ, อลฺลํ วา (สิ่งใดสามารถเปยก เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลฺยํ หรือ อลฺลํ), [อล ธาตุ ปริสมตฺติมฺหิ ในความเปยก + ย ปจจัย ดวยสูตร ปทรูปสิทธิ รูป.๖๕๖ วา อลกลสเลหิ ลยา] อลฺล (ติ.) อันสด, เปยก, ชื้น, ดิบ ๑. วิ. อลตีติ อลฺโล อามกํ ตินฺโต จ (ภาวะใดยอมสด เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อลฺล คือดิบ หรือสด), [อล ธาตุ เกฺลทเน ในความชื้น + ล ปจจัย] ๒. วิ. อลตีติ อลฺลํ (ภาวะใดยอมใคร เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อลฺล), [อล ธาตุ ปริยตฺติยํ ในความใคร + ล ปจจัย] ๓. วิ. อลติ สมตฺเถตีติ อลฺลํ (สิ่งใดยอม สามารถเปยก เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลฺล), [อล ธาตุ สมตฺเถ ในความสามารถ + ล ปจจัยล ๔. ความพัวพัน วิ. อลฺลติ พนฺธตีติ อลฺลํ (สิ่งใด ยอมพัวพัน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลฺล), [อลิ ธาตุ พนฺเธ ในความพัน + ล ปจจัย] อลฺลิ (อิตฺ.) ตนไม, ไมพุม, ไมกอ วิ.อรติปวตฺตตตีิ อลฺลิ (สิ่งใดยอมเติบโตขึ้นไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อลฺลิ), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + ลิ ปจจัย โมคฺ.๗/๑๙๘ วา อลฺลยฺาทโย, แปลง ร เปน ล] อลฺลีน (ติ.) ติดแนน, อาศัย วิ. อาคนฺตฺวา ลิยนฺติ ฆฏิยนฺตีติ อลฺลีนานิ (ธรรมชาติเหลาใด อันเขามาแลวติดแนน เหตุนั้น ธรรมชาติ เหลานั้นชื่อวา อลฺลียานิ), [อา + ลิ ธาตุ ฆฏเน ในความติด + ยุ ปจจัย, ซอน ลฺ, รัสสะ อา อุปสัค, แปลง ยุ เปน อน, ลบสระ อ หลัง และ ทีฆะสระ อิ หนา], นัยเดียวกัน เชน อลฺลียนํ ลง ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ, ลี ธาตุ ลเย ในความติด, แปลง อี เปน อีย, วิ. อลฺลียิตฺถาติ อลฺลีโน (สิ่งใด อันเขาติดแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลฺลีโน), [อา + ลี ธาตุ ลเย ในความติด + กฺต ปจจัย, แปลง ต เปน น, ซอน ลฺ] นัยเดียวกัน นิลีโน นิ บท หนา, ปฏิลีโน ปฏิ บทหนา, ปฏิสลฺลีโน, ปฏิ-สํ บทหนา อลฺลีย (กิ.กิตฺ.) เขาถึง, ยึดเหนี่ยว, ติดแลว วิ. อลฺลียิตฺวา อลฺลีย (ติดแลว ชื่อวา อลฺลีย), [อา + ลี ธาตุ ลเย ในความติด + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, ซอน ลฺ, รัสสะ อา เปน อ] นัย เดียวกัน เชน อภินิลียิตฺวา, นิลียิตฺวา, อภิ-นิ บทหนา, แปลง อี เปน อีย อลาต (นปุ.) ฟน, ลูกไฟ, ถานไฟ, ดุนไฟ, ประกายไฟ ๑. วิ. อลติ พนฺธตีติ อลาตํ (สิ่งใด ยอมลุกไหมติดกันไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลาต), [อลธาตุพนฺธเน ในความผกู+ ต ปจจัย + อา อาคม] ๒. วิ. อลตีติ อลาตํ อุมฺมุกํ (สิ่งใด ยอมติด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อลาต คือลูกไฟ),


๒๓๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา [อล ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อาตกฺ ปจจัย โมคฺ. ๗/๘๐ วา กิราทีหฺยาตกฺ] ๓. วิ. หานิเมว ลาติ, น ิตึ วิเสสฺจาติ อลาตํ (ไฟใดยึดเอาความไหม หมดสิ้นไป ไมยึดเอาความดำรงอยูและความ พิเศษไว เหตุนั้น ไฟนั้นชื่อวา อลาต), [น + ลา ธาตุ อาทาเน ในความถือเอา + ต ปจจัย] สวน ใน ปาจิตฺยาทิ- โยชนา วา อลาตนฺติ อุมฺมุกฺกํ. ตฺหิ อาทิตฺตํ หุตฺวา อติอุณฺหตฺตา น ลาตพฺพํ น คณฺหิตพฺพนฺติ อลาตนฺติ วุจฺจติ (คำวา อลาต คือ ดุนไฟ, สำหรับดุนไฟนั้น ไฟติดแลว ใครๆ ก็จับ ไมได เพราะรอนจัด เหตุนั้น ทานจึงเรียกวา อลาต) อลาพุ (นปุ.) น้ำเตา, ฟกทอง, บวบ วิ. อาลมฺพติ อวสํสตีติ อลาพุ อลาพู ลาพุ, อลาวุ วา (พืชใด ยอมหอยลง เหตุนั้น พืชนั้นชื่อวา อลาพุ, อลาพู, ลาพุ หรือ อลาวุ), [อา + ลมฺพ หรือลพิ ธาตุ อวสํสเน ในความหอย + อุ ปจจัย, ลบ ม, ทีฆะ อุ, รัสสะ อา, อีกนัยหนึ่ง ลง อ ในอรรถเดิมตพฺภาเว], สวนใน นิรุตฺติทีปนี เพราะอำนาจ พยัญชนะ ล ลบสร อา หนา ดวยมหาสูตร นิรุตฺติ.๓๓ วา ตทมินาทีนิ ], อาลาพุ ก็มี อลาพู (อิตฺ.) น้ำเตา, ฟกทอง, บวบ ๑. วิ. อลติ อวสํสตีติ อลาพู (พืชใดยอมหอยลง เหตุนั้น พืช นั้นชื่อวา อลาพู), [อล ธาตุ อวสํสเน ในความ หอย + อู ปจจัย, พ อาคม, ทีฆะ อ เปน อา) ๒. วิ. อาลมฺพติ อวสํสตีติ อลาพู ตุมฺพิ ตุมฺพี (พืช ใดยอมหอยลง เหตุนั้น พืชนั้นชื่อวา อลาพู ไดแก น้ำเตา), [อา + ลมฺพ ธาตุ อวสํสเน ใน ความหอย + อู ปจจัย ดวย โมคคัลลานสูตร โมคฺ.๗/๔ วา ชมฺพาทโย, ลบ ม, ทีฆะ อ ที่ ล เปน อา, รัสสะ อา เปน อ] อลาพุ ลาพุ อลาพู ศัพทเหลานี้เปนอิตถีลิงค อลิ (ปุ.) ผึ้ง, แมลงปอง, เพื่อน วิ. อรติ คจฺฉตีติ อลิ ภมโร วิจฺฉิโก สขา จ (สัตวใดยอมไป เหตุนั้น สัตวนั้นชื่อวา อลิ ไดแก ผึ้ง แมลงปอง และเพื่อน), [อร ธาตุ คมเน ในความไป + อิ ปจจัย + แปลง ร เปน ล], อฬิ อาฬิ ก็มี, อลิ ศัพท อิ การันต ปุงลิงค อลิก (นปุ.) คำเหลาะแหละ, เหลวไหล, ไมจริง ๑. วิ. อลติ เอเตนาติ อลิกํ (บุคคลยอมปกปด ดวยคำนั่น เหตุนั้น คำนั้นชื่อวา อลิก), [อล/อลิ วา ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + กิก ปจจัย] ๒. วิ. อลติ พนฺธติ เอเตนาติอลิกํ อสจฺจํ (บุคคล ยอมปกปดดวยคำนั่น เหตุนั้น คำนั้น ชื่อวา อลิก คือคำไมจริง), [อล ธาตุ พนฺธเน ใน ความผูก + ณฺวุ ปจจัย + แปลง ณฺวุ เปน อก, แปลง อ เปน อิ] ๓. วิ. อลติ พนฺธติ เอเตนาติ อลิกํ (บุคคลยอมปกปดดวยคำนั่น เหตุนั้น คำ นั้น ชื่อวา อลิก คือคำไมจริง), [อล ธาตุ พนฺธเน ในความผูก + อิก], แตใน โมคฺคลฺลาน วา ลง กิก ปจจัย อลิส (ติ.) ๑. หยอน, ยอหยอน วิ. อลติ คจฺฉตีติ อลิโส (สภาวะใดยอมยอหยอนไป เหตุนั้น สภาวะนั้นชื่อวา อลิส), [อล ธาตุ คติยํ ในความ ไป + อิส], ๒. สามารถปดบาป ในบาีลิปกรม วา อลิโส สามารถปดบาป วิ. ปาปจฺเฉทเน สมตฺเถตีติ อลิโส อลีนมน (ติ.) ผูมีใจไมหดหู วิ. อลีโน มโน ยสฺส โสยํ อลีนมโน, อลีนชฺฌาสโย. (จิตของผูใดไม หดหู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อลีนมน คือผูไม อัธยาศรัยไมเฉื่อยฉา), ปาฐะวา อลีนมนโส ก็มี, ใน สทฺทนีติปทมาลา ฉบับแปล หนา ๔๐๒ วา ยตฺถ หิ สมาสวเสน มนสทฺโท เจตสทฺทาทโย จ สกตฺเถ อวตฺติตฺวา อฺตฺเถ วตฺตนฺติ, ตตฺถ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๓๑ สการาคมานํ ปทานํ นามิกปทมาลา ปุริสนเยน จ มโนคเณ มนนเยน จ ยถารหํ ลพฺภติ. นิสฺสการาคมานํ ปน ปุริสนเยเนว ลพฺภติ. ยตฺถ ปน สมาสวิสเยเยว มนาทิสทฺทา สกตฺเถ วตฺตนฺติ, ตตฺถ นิสฺสการาคมานํ นามิกปทมาลา ปุริสนเยน จ มโนคเณ มนนเยน จ ลพฺภติ (ใน กรณีที่ มน ศัพทและกลุมศัพทมี เจต ศัพท เปนตนเขาสมาสแลวไมดำรงอยูในความหมาย เดิมใชในความหมายของบทอื่น (หมายความวา เปนพหุพพิหิสมาสแลวทำหนาที่ขยายคำอื่น), ในกรณีเชนนี้ สำหรับบทที่มีการลง ส อาคมให แจกปทมาลาตามแบบ ปุริส และแจกตามแบบ มน ศัพทซึ่งเปนมโนคณะไดตามสมควร. สำหรับ รูปที่ไมไดลง ส อาคม ใหแจกตามแบบ ปุริส ศัพทอยางเดียว. สวนในกรณีที่ มน ศัพทเปนตน เขาสมาสแลวที่นอกจากพหุพพิหิสมาสและมี อรรถของตนเองเปนประธาน, ในกรณีเชนนี้ สำหรับบทที่ไมมีการลง ส อาคม ใหแจกแบบ ปุริส ศัพท หรือจะแจกตามแบบ มน ศัพทซึ่ง เปนมโนคณะก็ได), พึงคนดูโดยพิสดารเถิด อลุลิ (ปุ.อิตฺ.นปุ.) การไป, ผูดำเนินไป, ผูเปนไป วิ. อรติ ปวตฺตีติ อลุลิ (ธรรมชาติใดยอมเปนไป เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อลุลิ), [อร ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + อุลิ ปจจัย, แปลง ร เปน ล] อโลภ (ปุ.) อโลภะ, ธรรมเปนเหตุใหสัตวไม โลภ, สภาวะที่ไมโลภ, การไมโลภ, ธรรมเปน ปฏิปกษตอโลภ วิ. น ลุพฺภนฺติ สตฺตา สมฺปยุตฺตธมฺมา วา เอเตนาติ อโลโภ, น ลุพฺภตีติ วา อโลโภ. น ลุพฺภนํ วา อโลโภ, โลภปฏิปกฺโข วา อโลโภ. (ธรรมทั้งหลาย หรือสัปยุตธรรม ทั้งหลาย ยอมไมโลภดวยธรรมนั่น เหตุนั้น ธรรม นั้นชื่อวา อโลภะ, ธรรมใดไมโลภ เหตุนั้น ธรรม นั้น ชื่อวา อโลภะ, การไมโลภ ชื่อวา อโลภะ, ธรรม เปนปฏิปกษตอโลภะ ชื่อวา อโลภะ), โส อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อเคธลกฺขโณ, อลคฺคภาวลกฺขโณ วา กมลทเล ชลพินฺทุ วิย. (อโลภะ มีความที่จิตไมกำหนัด ในอารมณเปนลักษณะ นัยหนึ่ง มีความที่จิตไมติดของอยูในอารมณ เปนลกัษณะ ประหนึ่งหยาดน้ำไมติดในกลีบบัว ฉะนั้น), เทียบ โลภ, บทตอไปนี้เปนไวพจนของ อโลภ คือ อลุพฺภนา อลุพฺภิตตฺตํ อสาราโค อสารชฺชนา อสารชฺชิตตตฺํอนภิชฺฌา อวกสฺสิตฺวา (กิ.กิตฺ.) ครามาแลว, ดึงมาแลว วิ. อากฑฺฒิตฺวา อวกสฺสิตฺวา, โอกฺกสฺส (ครา มาแลว ชื่อวา อวกสฺสิตฺวา คือดึงมาแลว), [อว + กสฺส ธาตุ คติยํ ในความไป ตฺวา ปจจัย + อิ อาคม], ปริกสฺสิตฺวา ปริ บทหนา, ปฏิกสฺสิตฺวา ปฏิ บทหนา อวกฺกนฺติ (อิต.) การกาวลง, การหยั่งลง, การ เขาไป, การบังเกิด วิ. อวกฺกมนํ ปวิสนํ อวกฺกนฺติ, โอกฺกนฺติ วา, นิพฺพตฺติ (การกาวลง การเขาไป ชื่อวา อวกฺกนฺติ ไดแก การหยั่งลง การบังเกิด), [อว + กมุ ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ติ ปจจัย, แปลง ติ เปน นฺติ, ลบที่สุดธาตุ, ซอน กฺ] นัย เดียวกัน อวกฺกโม อ ปจจัย, อวกฺกมนํ ยุ ปจจัย อวกาส (ปุ.) ๑. โอกาส, ชองทาง, หอง, ที่เปน ที่ตั้ง วิ. อวกสนฺติ ปติหนฺติ เอตฺถาติ อวกาโส (สัตวทั้งหลายยอมดำรงอยูในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อวกาส), [อว + กส ธาตุ ปติายํ ใน ความดำรงอยู + ณ ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา และ ลบ ณ อนุพันธ] ๒. เหตุ วิ. โอกาโส วิย จสฺส ตํ เตน วินา อฺตฺถ อลิ อภาวโตติ อวกาโส, ปจฺจยการณํ. (เหตุนั้นก็เปนเหมือนโอกาส จึงชื่อวา


๒๓๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อวกาสเพราะความทผี่ลนั้น เวนโอกาสนั้นเสียไม มีในที่อื่น ไดแก เหตุปจจัย), อนวกาส (ปุ.) ไมใชโอกาส, ผูไมมีโอกาส วิ. ตพฺพิปรีตโต อนวกาโส. นตฺถิ อวกาโส อสฺสาติ อนวกาโส (ชื่อวา อนวกาส เพราะตรงขามกับโอกาสนั้น, โอกาสของผูนั้นไมมี เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อนวกาส), นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส อวกิรณ (นปุ.) เรี่ยรายไป, กระจายไป, แยกไป วิ. อวกิริยเต อวกิรณํ (อันเขาเรี่ยรายไป ชื่อวา อวกิรณ), [อว + กิร ธาตุ วิกิรเณ ในความ เรี่ยราย + ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ, แปลง ยุ เปน อน, แปลง น เปน ณ], อวการกํ ก็มี, เชน สิตฺถาวการกํ (โปรยขาวสุก) ก ปจจัย ในอรรถ วิจฉา (คำซ้ำ), ฉะนั้นในอรรถกถาวินัย จึง อธิบายวา สิตฺถานิ อวกิริตฺวา อวกิริตฺวา (โปรย ขาวสุกไปๆ), ก็ดวย ตฺวา ปจจัย ในที่นี้แสดงถึง กิริยาวิเสสนะ อวโกกิล (นปุ.) ปาอันนกดุเหวาละแลว วิ. โกกิลาย อวกุํ วนํ อวโกกิลํ (ปาอันนก กาเหวาละแลว ชื่อวา อวโกกิล), อมาทิปรตปฺ- ปุริสสมาส. อวกุนฺติ ฉฑฺฑิตํ (คำวา อวกุํ แปลวา ละทิ้งแลว), คำวา อวมยูรํ ก็นัยนี้ นิรุตฺติ.๔๑๐ อวคณิต (ปุ.) อันเขาดูหมิ่น, ดูถูก, ดูแคลน วิ. เหา กตฺวา คณียตีติ อวคณิโต อวมานิโต (ผูใดอันเขานับแลวกระทำใหต่ำตอย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวคณิต คือผูอันเขาดูถูกแลว), [อว + คณ ธาตุ สงฺขฺยาเน ในความนับ + ต ปจจัย + อิ อาคม] อวคต (ติ.) ถึง, บรรลุ, รู, การรู วิ. อวคจฺฉิยติ ายตีติ อวคตํ าตํ (อันเขารูแลว เหตุนั้น ชื่อวา อวคต คือรู), [อว + คมุ ธาตุ คติมฺหิ ใน ความไป + ต ปจจัย, ลบ ม] อวจ (ติ.) ต่ำ วิ. อวจียเตติ อวจํ (สิ่งใดอันเขา ลดลง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวจ), [อว + จิ ธาตุ จเย ในความกอ + อ ปจจัย] วิ. จยโต อวคโต วิโยโคติ อวจํ (ภาวะใดถอยหางจากการกอ สูงขึ้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อวจ), เชนคำวา อุจฺจาวจานิ (งานสูงๆ ต่ำๆ), ศัพทนี้เปน ๓ ลิงค, อีกประการหนึ่ง ศัพทวา อวจํ เปนอาขยาตบท ประกอบดวย อํ อัชชัตตนีวิภัตติ อวจฺเฉทน (นปุ.) การตัดขาด, การตัดเปนชิ้น, การขาด วิ. อวจฺฉิชฺชิยเต อวจฺเฉทนํ (อันเขา ตัดขาด ชื่อวา อวจฺเฉทน), [อว + ฉิทิ ธาตุ อวจฺเฉทเน ในการขาด + ยุ ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ, ซอน จฺ, แปลง ยุ เปน อน], นัยเดียวกัน อวจฺเฉทกํ (ตัดออกเปนชิ้นๆ), ณฺวุ ปจจัยใน อรรถกัตตุ อวชฺช (ติ.นปุ.) ๑. มีโทษ วิ. วชฺเชตพฺโพติ วชฺโช, วชฺโชเอว อวชฺโช (ภาวะใดอันบัณฑิตพึงเวน เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา วชฺช, วชฺช นั่นเอง ชื่อวา อวชฺช), [วชฺช ธาตุ จาเค + อ ปจจัย] อ ในคำวา อวชฺช นี้ใชในอรรถเดิม (ตพฺภาว) ไมมี ความหมายเพิ่มขึ้นพิเศษ ตามนัยแหง สัททนีติ สุตตมาลา ฉบับแปล หนา ๑๒๓๖ ดังขอวา ปฏิเสเธ วุทฺธิตพฺภาเว อฺตฺเถ สทิเสป จ วิรุทฺเธ ครเห สุฺเ อกาโร วิรหปฺปเกติ. อ ศัพท วา ปฏิเสธ (การหาม), วุทฺธิ (ความ เจริญ), ตพฺภาว (อรรถของบทที่ตนประกอบ นั้น), อฺตฺถ (เหลานั้น), สทิส (เหมือน), วิรุทฺธ (ตรงกันขาม), ครห (ติเตียน, ตำหนิ), สุฺ (วางเปลา), วิรห (ปราศจาก) และ อปฺปก (นอย) ๒. เลวทราม วิ. ชาตฺยาจาราทีหิ นิหีโนยนฺติ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๓๓ วทิตพฺโพติ อวชฺโช ลามโก (ผูใดอันเขาพึงกลาว วา ทานผูนี้เลวทรามดวยชาติและมารยาทเปน ตน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวชฺช คือคนชั่ว), อ อักษรในที่นี้ในในอรรถตพัภาวะ ไมมีความหมาย พิเศษ [วท ธาตุ วิยตฺติยํ วาจายํ ในการกลาว + ณฺย ปจจัย, แปลง ทฺย เปน ชฺช] ๓. โทษ (นปุ.) วิ. วชฺชเมว อวชฺชํ โทโส (โทษนั่นเอง ชื่อวา อวชฺช คือโทษ), ตพฺภาววุตฺติกมฺมธารยสมาส; คำวา อวชฺช บางแหงแปลวา ไมมีโทษ เชน อวชฺชนฺติ วชฺชรหิตํ, นิทฺโทสนฺติ อตฺโถ (บทวา อวชฺชํ คือเวนจากโทษ คือไมมีโทษ), อนวชฺชํ ก็ ได, สวนใน นิรุตฺติทีปนี วา อ อาคม ดวยมหา สูตร เชน อมาเปตฺวา, เอตทกิฺจิ เสยฺโย. อวจร (ติ.) ชั้น, แดน, วิสัย, เขต วิ. อว สห จรติ ปวตฺตตีติ อวจรา ภูมิ (ธรรมชาติใดยอม เปนไปดวยกัน เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวจรา คือภูมิ-ชั้น), [อว + จร ธาตุ ปวตฺติยํ ใน ความเปนไป + อ ปจจัย + อา ปจจัย ใน อิตถีลิงค วิ. วจรนฺติ เอตฺถาติ อวจโร (ธรรมชาติ ยอมเที่ยวไปในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อวจโร), [อว + จร ธาตุ จรเณ ในความเที่ยวไป + อ ปจจัย] อวชานิย (ติ.) อันเขาพึงรู วิ. อวชานิตพฺพาติ อวชานิยา (ธรรมชาติใดอันเขาพึงรู เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อันเขาพึงรู), [อว + า ธาตุ อวคมเน ในความรู + นา ปจจัยประจำหมวด ธาตุ + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม, แปลง า เปน ชา], อวชานนํ ยุ ปจจัยใสอรรถภาวะ แปลง ยุ เปน อานน, สฺชานนํ สํ บทหนา, วิชานนํ วิ บทหนา อวฏิต (ติ.) มั่นคง, ยั่งยืน, ดำรงอยู, รวมลง วิ. อวติตีติ อวิตํ (สิ่งใดยอมตั้งลง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวิตํ), [อว + า ธาตุ คติ- นิวตฺติยํ ในความหามการไป + ต ปจจัยใน ๓ กาล] วิ. อวานํ วา อวิตํ (การตั้งลง ชื่อวา อวิตํ), [ต ปจจัย ภาวสาธนะ, แปลง อิ เปน อิ ดวยปทรูปสิทธิ สูตร รูป.๖๒๐ วา าปานมิอี จ] อนวฏฺิตํ (ไมตั้งลง, ไมตั้งมั่น) มีความหมาย ตรงกันขาง, นปุพฺพปทกมฺมธารยสมาส. อวฏิติ (อิตฺ.) ความหยุดอยู, ความตั้งอยู, ความดำรงอยู วิ. อารมฺมณํ โอคาเหตฺวา อนุ- ปวิสิตฺวา ติตีติ อวิติ, อวิกฺเขโป (ธรรมชาติ ใดเขาถึงอารมณตั้งอยู เหตุนั้น ธรรมชาติไดชื่อ วา อวิติ คือการไมซัดสายไป) เชน ขุ.นิทฺ. ๒๙/๗๒๙/๔๔๒ วา จิตฺตสฺส ิติ สณฺิติ อวิตีติ [ความตั้งมั่น ความดำรงอยู ความตั้งลง แหง จิต), [อว + า ธาตุ าเน ในความตั้งอยู + ติ ปจจัย, แปลง อา เปน อิ] อฏฺิติ, นปุพฺพปท กมฺมธารยสมาโส. อวฺา (อิตฺ.) ความดูหมิ่น, ความไมเห็นแก กัน วิ. อวชานนํ อวฺา อวมานํ (การดูหมิ่น ชื่อวา อวฺา คือการดูถูก), [อว + า ธาตุ อวโพธเน ในความรู + กฺวิ ปจจัย], ปาฐะวา อุฺา ก็มี เชน วินย.อ.๒/๕๘๗ อุฺายาติ อวฺาย นีจํ กตฺวา ชานนาย (บทวา อุฺาย แปลวา ดวยความดูหมิ่น คือ ดวยความรูกดใหต่ำ) อวฺิต (ติ.) ผูอันเขาดูหมิ่นแลว, ดูถูกแลว, สบประมาทแลว, การดูหมิ่น วิ. เหา กตฺวา ายตีติ อวฺิโต อวฺิตํ, อวมานิโต (ผูใดอัน เขารูกระทำไวต่ำ เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อวฺิโต คือผูอันเขาดูถูกแลว), [อว + า ธาตุ ปริภูเต ในความดูถูก + ต ปจจัย, แปลง อา เปน อิ, หรือลง อิ อาคม], ปาฐะวา อวฺาตํ โอาตํ


๒๓๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อุฺาตํ ก็มี, วมฺเภตฺวา าตนฺติ อตฺโถ (หมายความวา การดูถูกดูหมิ่น) อวตํส (ปุ.) ใบหู, ดอกไมประดับบนศรีษะ, เทริด, มงกุฎ, ภูเขา วิ. อุทฺธํ ตสิยเตติ อวตํโส กณฺณปูโร เสขโร จ (สิ่งใดอันธรรมชาตปิระดบัไว เบื้องบน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวตํส คือใบหู และเทริด), [อว + ตสิ ธาตุ อลงฺกาเร ในการ ประดับ + อ ปจจัย + นิคฺคหิต อาคม], สำหรับ อว ศัพทในที่นี้ สองความหมายวา อุทฺธํ (เบื้อง บน) เพราะอุปสัคและนิบาตมีอรรถมาก, ปาฐะ วา วตํสโก วฏํสโก ก็มี ลบ อ อักษรในเบื้องตน, แปลง ต เปน ฏ, ก สกัตถ วิ. อุทฺธํ ตสียเต อลงฺกรียเตติ วฏํโส (สิ่งใดอันเขาประดับ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา วฏํส), [อุ + ตสิ ธาตุ อลงฺกาเร ใน ความประดับ + อ ปจจัย, แปลง อุ เปน ว, และ แปลง ต เปน ฏ] วิ. โสเยว วฏํสโก, มุทฺธนิ ปลนฺธิโต เอโก อลงฺการวิเสโส (วฏํโส นั้นน่ันเอง ชื่อวา วฏํสโก ไดแก เครื่องประดับพิเศษอยาง หนึ่ง ที่ประดับไวบนเกลา) อุตตฺํโส ก็มี อวตฺถ (ปุ.อิตฺ.) ๑. นิครนถ, ผูไมมีผา, เปลือย วิ. นตฺถิ วตฺถเมตสฺสาติ อวตฺโถ ทิคมฺพโร (ผา ของนักบวชนั้นไมมี เหตุนั้น นักบวชนั้นชื่อวา อวตฺถ คือทิคัมพรนิครนถพวกนุงลมหมฟา), ๒. การกำหนด วิ. อวานํ ววตฺถานํ อวตฺถา (การตั้งลงคือการกำหนด ชื่อวา อวตฺถา), [อว + า ธาตุ คตินิวตฺติย ในการหามการไป + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค), แปลง  เปน ถ, ซอนพยัญชนะมีรูปไมเสอมกันคือ ตฺ] วิ. อวิยเต นิยมิยเต อวตฺถา. อวตฺถาติ เจตฺถ ธมฺมานํ กามตณฺหาทีหิ ปริจฺฉินฺนาปริจฺฉินฺนภาโว, ภูมิ วา านํ วา. (สิ่งอันเขากำหนด ชื่อวา อวตฺ ถา, ก็คำวา อวตฺถา ในที่นี้ หมายถึง ความที่ ธรรมอันกำหนดและกำหนดไมไดดวย กามตัณหาเปนตน ไดแก ชั้น หรือที่) ๓. เขต, ชั้น วิ. อวธิภาเวน าติ ติตีติ อวตฺถา (สิ่งใด ดำรงอยู โดยความเปนเขต เหตุนั้น สิ่งนั้นช่ือวา อวตฺถา), [อว + ถา ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในการหาม การไป + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค], คำ นี้กลาวตามนัยสันสกฤต, ในบาลีควรสะกดดวย อักษรมุทธชะวา อวฏฺา อวตฺถริต (ติ.) ถูกทวมทับ, ทวมทน, ถูกบดบัง วิ. อวตฺถรียิตฺถาติ อวตฺถริโต, อวตฺถโฏ โอตฺถโฏ วา (ผูใดอันธรรมชาตินั้นทวมทับแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวตฺถริต, อวตฺถฏ, โอตฺถฏ), [อว + ถร ธาตุ สนฺถรเณ ในความแผไปพรอม + ต ปจจัย + อิ อาคม], ก็นัยขอนี้มีตัวอยางเชน (สัททนีติ ธาตุมาลา ฉบับแปล หนา ๖) วา วลาห กาวตฺถริโต ปุณฺณจนฺโท วิย (ดุจพระจันทรเต็ม ดวงถูกเมฆบดบัง) อวตฺถาน (นปุ.) การตั้งอยู, ที่ตั้ง, ที่ใชกำหนด, ฐานะ, ตำแหนง วิ. อวตฺถิยเต อวตฺถายติ วา เอตฺถาติ อวตฺถานํ, อวานํ วา (ภาวะนั้นอัน เขากำหนดลงในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา อวตฺถาน, อวาน), [อว + า ธาตุ คตินิวตฺติยํ ในการหามการไป + ยุ ปจจัย, แปลง  เปน ถ, ซอน ตฺ]. สำหรับคำวา อวตฺถาน นี้ ทานกลาว ตามนัยสันสกฤต แตในบาลีควรสะกดดวยอักษร มุทธชะวา อวฏฺานํ, คำวา อนวาน มี ความหมายตรงกันขาม หมายความวา อิติ- ไมตั้งอยู อวตาร (ติ.) อันเขาพึงขามลง, ปกรณชวยให เขาใจ วิ. อวตริตพฺโพติ อวตาโร (ธรรมใดอัน เขาพึงหยั่งลง เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อวตาร), [อว + ตร ธาตุ ตรเณ ในความขาม + ณ ปจจัย]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๓๕ วิ. โอตรนฺติ อเนนาติ อวตารํ (บัณฑิตยอมหยั่ง ลงอรรถพระอภิธรรมดวยปกรณนั้น เหตุนั้น ปกรณนั้นชื่อวา อวตาร) เชน อภิธมฺมาวตารํ นาม ปกรณํ (ปกรณชื่อวาอภิธรรมาวตาร), วิ. อวตรนฺติ เอตฺถาติ วา อวตาโร (ชนทั้งหลายยอม หยั่งลงในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อวตาร), [อว + ตร ธาตุ ตรเณ ในความขาม + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา], อวตาร ศัพท ใชในความหมายวา ที่ขามลง, ทา, ชอง นัย เดียวกันเชน อวตรณํ ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ อวทาต (ติ.) ขาว, สะอาด วิ. อวทายติ สุชฺฌตีติ อวทาโต, โอทาโต วา (สิ่งใดขาวหมดจด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวทาต, โอทาต), [อว + ทา ธาตุ สุทฺธิมฺหิ ในความหมดจด + ต ปจจัย กจฺ. ๕๕๗ รูป.๖๐๖ วา พุธคมาทิตฺเถ กตฺตริ] และคำ วา อวทาตํ โอทาตํ โดยความก็อันเดียวกัน อวทารณ (นปุ.) เครื่องขุด, -เจาะไช, -ทำลาย, จอบ, เสียม, พลั่ว วิ. อวทาริยเต อเนนาติ อวทารณํ ขณิตฺติ (ดินเปนตน เขาขุดดวย อุปกรณนั้น เหตุนั้น อุปกรณนั้นชื่อวา อวทารณ คือจอบ), [อว + ทร ธาตุ อวทารเณ ในความ เจาะ + ยุ ปจจัย, แปลงเปน อน, แปลง น เปน ณ และทีฆะ อ เปน อา) อวเทหก (ติ.) กอขึ้น, เต็ม, เต็มทอง, เต็มอิ่ม วิ. อวเทหตีติ อวเทหก, อุทฺเทหก วา (ภาวะใด ยอมสั่งสม เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา อวเทหก, อุทฺเทหก), [อว + ทิห ธาตุ อุปจเย ในสั่งสม + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก, แปลง อิ เปน เอ, หรือ อุ บทหนา], นัยเดียวกัน อุทฺเทหิตฺวา, อุทฺเทเหตฺวา วา, อุสฺสาเทตฺวา อุเปตฺวา, ตฺวา ปจจัยลงอดีตกาล เปนตน อวธา (อิตฺ.) อื่น, แปรไปเปนอื่น วิ. อฺํ อวจฺฉินฺทิตฺวา ธาเรตีติ อวธา (ธรรมชาติใดแยก ไปแลวทรงสภาพอื่นไว เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวธา), [อว + ธร/ธา ธาตุ ธารเณ ใน ความทรงไว + กฺวิ ปจจัย, ลบ ร, หรือ อ ปจจัย, อา ปจจัยในอิตถีลิงค] อวธาน (นปุ.) การเอาใจใส, การเอื้อเฟอ วิ. โอคาเหตฺวา ธิยเต ปยเต อวธานํ (อันเขา ปลงใจลงตั้งไว ชื่อวา อวธาน), [อว + ธา ธาตุ ทหเน ในความตั้งไว + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อวธารณ (นปุ.) การรับรอง, การรับไว, การกั้น, การกำจัดลง, ความมั่นคง วิ. อวธาริยเตติ อวธารณ (สิ่งใดอันเขากำหนดลง เหตุนั้น สิ่งนั้นชือวา อวธารณ), [อว + ธร ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว+ เณ ปจจันในหมวดจุรธาตุ+ ยุ ปจจัยในภาวะและกรรม แปลงเปน อณ, ทีฆะ อ เปน อา] อวธาริต (ติ.) กำหนดแน, จำกัดลง, เลือก วิ. อวธารียิตฺถาติ อวธาริโต (สิ่งใดอันเขากำหนด แลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวธาริต), [อว + ธร ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + กฺต/ต ปจจัย, เณ ปจจัย ในหมวดจุรธาตุ, พฤทธิ์ อา เปน อา, อิ อาคม, ลบสระ เอ] อวธิ (นปุ.) เขต, แดน, ความจำกัด, หลุม, ที่ต่ำ, เจาะจง ๑. วิ. อวหียติ จชียติ อสฺมาติ อวธิ, โอธิ, มริยาโทติ อตฺโถ (เนื้อความอันทานสละออกจาก ที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อวธิ ไดแก เขต แดน), ปาจิตฺยาทิโยชนาปาิ, [อว + หา ธาตุ จาเค ใน ความสละ + อิ, แปลง ห เปน ธ] ๒. วิ. อวธียติ ปริจฺฉินฺทียติ เอตสฺมาติ อวธิ, อปาทานํ. (เนื้อความอันทานกำหนดจากสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวธิ) ๓. วิ. ปทตฺโถ อวธิยติ ววตฺถิยติ


๒๓๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เอตสฺมาติ อวธิ (เนื้อความแหงบท อันทาน กำหนดจากสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวธิ), [อว + ธิ ธาตุ ววตฺถเน ในความกำหดน + อิ ปจจัย] ๔. วิ. อวทหติ อวทธาติ วา ปริจฺฉินฺทตีติ อวธิ (สิ่งใดยอมกำหนด เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวธิ), [อว + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + อิ ปจจัย] อวนทฺธ (ติ.) ผูกมัดแลว, หอหุมแลว, ผูกติด แลว วิ. อวนยฺหิตฺถาติ อวนทฺโธ, โอนทฺโธ วา (สิ่งนั้นเขาหอหุมแลว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวนทฺธ, โอนทฺธ), [อว + นห ธาตุ พนฺธเน ใน ความผูก + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ธ, แปลง ห เปน ท] นัยเดียวกัน นทฺโธ ต ปจจัย, นทฺธวา วนฺตุ ปจจัย อวนฺตี (อิตฺ.ปุ.) แควนอวันตี, ชนบทปองกัน รักษา ๑. วิ. อวติ รกฺขตีติ อวนฺตี, ชนปโท (แควนใดยอมรักษาปองกัน เหตุนั้น แควนนั้น ชื่อวา อวนฺตี คือชนบท) เชน อสฺสกา จ อวนฺติยา จ ขุ.จุฬ.๒๒/๔๑๙/๒๐๐ (แตอัสสกะ และอวันตีชนบท), [อว + รกฺขเน ในความรักษา + อนฺต ปจจัย, โมคฺ.๗/๗๖ วสาทีหฺยนฺโต + อี ปจจัย]. ๒. ปราชิเตหิ ยาจิเตหิป อตฺตนา ขาทิตํ ลฺชํ ปุน น วมนฺตีติ อวนฺติ อวนฺตี (ชาวเมืองใด ไมยอมคืนสินบนที่ตนใชสอยแลว แมผูแพคดีจะ ขอคืนก็ตาม เหตุนั้น ชาวเมืองนั้นชื่อวา อวนฺติ, อวนฺตี), [น + วมุ ธาตุ อุคฺคิรเณ ในความคาย + ติ ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค], ศัพทนี้เปน ๒ ลิงค, สทฺทนีติปทมาลา ฉบับแปล หนา ๘๕๓ แสดงชื่อชนบท แมเปนเอกวจนะ แตก็ประกอบ เปนพหุวจนะเพราะเปนรุฬหีศัพทวา กาสี กาสิโย เปนตน. แตในอภิธาน แสดงไวเปน ปุงลิงคพหุวจนะวา กุรู สกฺกา เปนตน อวนฺทิย (ติ.) ผูไมควรกราบไหว, ผูอันเขาไม ควรไหว วิ. น วนฺเทตพฺโพติ อวนฺทิโย, วนฺทิตุํ น อรโหติ อตฺโถ (ผูใดอันเขาไมควรไหว คือไมควร เพื่อจะไหว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวนฺทิย), [น + วทิ ธาตุ วนฺทเน ในความไหว + ณฺย ปจจัย + อิ อาคม, แปลง น เปน อ, เพราะเปนรุธธาตุ ลง นิหคหิตอาคม] อวนิ (อิตฺ.) แผนดิน วิ. สตฺเต อวติ รกฺขตีติ อวนิ มหี (ธรรมชาติใดยอมรักษาสัตวทั้งหลาย เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวนิ คือแผนดิน), ศัพทนี้เปนอิตถีลิงค, [อว ธาตุ รกฺขเน ในความ รักษา + อนิ โมคฺ. ๗/๑๑๒ วา วตฺตาฏาวธมา เสหฺยนิ], ใน ปทรูปสิทฺธิ (รูป.๖๗๙) วิ. สตฺเต อวติ รกฺขตีติ อวนา (ธรรมชาติใดยอมรักษา เหลาสัตว เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวนา), [อว ธาตุ รกฺขเณ ในความรักษา + ยุ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค], วิ. สาเยว อวนิ (อวนา นั้นนั่นเอง ชื่อวา อวนิ), อิ ปจจัย หลังปาฏิปทิก บท, นัยเดียวกัน อวนํ (การรักษา) อว ธาตุ รกฺขเณ ในความรักษา + ยุ ปจจัยในภาวสาธนะ หมายความวา รกฺขณา-การรักษา อวนี (อิตฺ.) แผนดิน, ธรณี วิ. อตฺเถ อวติ รกฺขตีติ อวนี ธรณี (ธรรมชาติใดยอมรักษาประโยชนไว เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวนี คือแผนดิน), [อว ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + ยุ ปจจัย + อิ ปจจัย, ทีฆะ อิ กจฺ.๔๐๓ รูป.๓๕๔ วา กฺวจาทิ เปนตน, หรือ อี ปจจัย กจฺ.๒๓๘ รูป.๑๘๗ วา นทาทิโต วา อี] ใน ธาตฺวตฺถสงฺคห วิ. สตฺเต อวติ รกฺขตีติ อวนิ (ธรรมชาติใดยอมรักษาสัตว เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวนิ) อวปูรณ (นปุ.) กุญแจ, ลูกดาล, เครื่องเปด, เครื่องไข วิ. อวปูรติ วิวรติ เอเตนาติ อวปูรณํ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๓๗ (บุคคลยอมเปด ดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวปูรณ), [อว + ปูร ธาตุ สํวรเณ ในความ ปองกัน + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน แปลง น เปน ณ] อวโพธ (ปุ.) ๑. ธรรมเปนเหตุตรัสรู วิ. อวพุชฺฌติ เอเตนาติ อวโพโธ (บุคคลยอมตรัสรู ดวยธรรมนั้น เหตุนั้น ธรรมนั้นชื่อวา อวโพธ), [อว + พุธ ธาตุ าเณ ในความรู + ณ ปจจัย], ๒. การตรัสรู, การใหรูทั่วถึง วิ. อวโพธาปนํ อวโพโธ (การใหรูทั่วถึง ชื่อวา อวโพธ), [อว + พุธ ธาตุ าเณ + ณ ปจจัย, จัดเปนการิตใหทราบ) อวภาสน (นปุ.) การสองแสง, การปราศรัย วิ. อวภาสตีติ อวภาสนํ, โอภาสนํ วา (สิ่งใดยอม สองสวาง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวภาสน, โอภาสน), [อว + ภาส ธาตุ ทิตฺติยํ ในความสองสวาง + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] นัยเดียวกัน อวภาโส โอภาโส เชน วณฺณปฺาวภาเสหิ, ณ ปจจัย ในอรรถกัตตุ อวภาสิต (นปุ.ติ.) ๑. การสองสวาง, โชติชวง (นปุ.) วิ. โอภาสตีติ อวภาสิตํ (สิ่งใดยอมสอง สวาง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวภาสิต), [อุ + ภาส ธาตุ ทิตฺติมฺหิ ในความสองสวาง + ต ปจจัยใน อรรถกัตตุ + อิ อาคม, แปลง อุ เปน โอ, แปลง โอ เปน อว] ๒. อันเขากลาวแลว, สองแลว วิ. โอภาสียิตฺถาติ อวภาสิตํ, โอภาสิตํ วา, [อว + ภาส ธาตุ ทิตฺติมฺหิ ในความสอง + ต ปจจัยใน อรรถกรรม, อิ อาคม] อวมฺ (กิ.กิตฺ.) ดูหมิ่นแลว, ดูถูกแลว วิ. อวมนฺตฺวาติ อวมฺ, อวมฺิตฺวา วา (ดู หมิ่นแลว ชื่อวา อวมฺ, อวมฺิตฺวา), [อว + มน ธาตุ าเณ ในความรู + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ย, แปลง นฺย เปน , ซอน ฺ], สวน บทวา อวมฺิตฺวา ลง ย ปจจัย, อิ อาคม, อวมานํ อวมฺํ อุฺาตํ, อว + มน ธาตุ าเณ ในความรู + ณฺย ปจจัย แปลง นฺย เปน , ซอน ฺ อวมทฺทน (นปุ.) การย่ำยี, ขมขี่, เบียดเบียน วิ. อวมทฺทียเต อวมทฺทนํ(อันเขาเบียดเบยีน ชื่อ วา อวมทฺทน), [อว + มทฺท ธาตุ มทฺทเน ใน ความย่ำยี่+ ยุปจจัย ภาวสาธนะ, แปลง ยุเปน อน], อวมทฺทิตํ โอมทฺทิตํก็นัยเดียวกัน ลง ต ปจจัยในอรรถภาวะและกรรมวาจก, อวมทฺทิ- ตพฺพํ ตพฺพ ปจจัย, อวมทฺทิตฺวา โอมทฺทิตฺวา ลง ตฺวา ปจจัย อวมาน (นปุ.) การดูหมิ่น, การสบประมาท วิ. เหา กตฺวา ชานนํ อวมานํ (การรูกระทำให ต่ำตอย), [อว + มนธาตุ + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา] อวมานิต (ติ.) ถูกดูหมิ่น, ผูอันเขาดูหมิ่น วิ. เหา กตฺวา มฺตีติ อวมานิโต, อวคณิโต (ผูใดอันเขาดูหมิ่นใหต่ำตอย เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวมานิต, อวคณิต), [อว + มน ธาตุ าเณ ใน ความรู + ต ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา, อิ อาคม, หรือ มาน ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา] อวยว (ปุ.นปุ.) อวัยวะ วิ. วิสุํ วิสุํ ยวตีติ อวยโว, โกาโส (สิ่งใดแยกไปเปนสวนๆ เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวยว คือสวนรางกาย), [อว + ยุ ธาตุ ปวตฺตเน ในความไป + อ ปจจัย, แปลง อุ เปน อว] อว ศัพทในที่นี้สองอรรถ วิสุํ, ศัพทนี้ เปนปุงสกลิงคก็มีบาง เชน องฺคานีติ อวยวานิ อวยาคมน (ติ.) ต่ำ, ถึงความเปนของต่ำ, เบื้องต่ำ, คลอย วิ. อวหีนภาเวน อาคจฺฉิยเตติ อวยาคมนํ (อันสิ่งนั้นถึงความเปนของต่ำ เหตุ


๒๓๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา นั้น ชื่อวา อวยาคมน), [อว + อา + คมุธาตุ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน + ย อาคม] อวรุทฺธ (ติ.) ปดแลว, หามแลว, ไลออกแลว, ว.ิ อวรุนฺธียิตฺถาติ อวรุทฺโธ, โอรุทฺโธ วา (ผูใดอัน เขาขับไลแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวรุทฺธ, โอรุทฺธ), [อว + รุธ ธาตุ อาวรเณ ปดกั้น + ต ปจจัย, แปลง ต เปน ธ, แปลงที่สุดธาตุเปน พยัญชนะที่ ๓ คือ ทฺ], อวรุทฺธโก ก็มี, ลง ก สกัตถ นัยเดียวกันเชน อวโรโธ ลง ณ ปจจัย ภาวสาธนะ, อวโรธนํ ลง ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ, อวโรธโก ลง ณฺวุ กัตตุสาธนะ อวลมฺพ (กิ.กิตฺ.) หอยลงแลว, ยึดหนวงแลว วิ. อวลมฺพิตฺถาติ อวลมฺพ, โอลมฺพ อวลมฺพิตฺวา อวลมฺพิย วา (หอยลงแลว ชื่อวา อวลมฺพ, โอลมฺพ อวลมฺพิตฺวา อวลมฺพิย), [อว + ลพิ ธาตุ อวสํสเน ในความหอยลง + แปลง ตฺวา เปน ย, ลบ ย, นิคหิตอาคม] นัยเดียวกัน อาลมฺพ อา บทหนา, วิลมฺพ วิ บทหนา อวลมฺพน (นปุ.) การหอยยอย, การยึดหนวง วิ. อวสํสนํ อวลมฺพนํ, [อว + ลพิ ธาตุ อวสํสเน ในความหอย + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, นิคหิต ตนธาตุ แปลงเปน มฺ] อวลิตฺต (ติ.) อวลิมฺปยิตฺถาติ อวลิตฺโต (สิ่งใดอัน เขาฉาบทาภายนอก เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อว ลิตฺต), [อว + ลิป ธาตุ ลิมฺปเน ในความฉาบทา + ต ปจจัย, แปลง ป เปน ต] สวนในวินัยวา อว ลิตฺตาติ พหิลิตฺตา (อวลิตฺตา ความวา ฉาบทา ภายนอก), อโธมุขํ ลิตฺตา อวลิตฺตา (อันเขาฉาบ ลงขางลาง ชื่อวา อวลิตฺตา), พหิ ลิมฺปนฺตา หิ เอวํ ลิมฺปนฺตีติ วุตฺตํ โหติ. (ความวา ก็เมื่อฉาบ ขางนอก ชื่อวาฉาบอยางนี้) อวเลขน (นปุ.) การขูดออก, การลบออก, อุปกรณสำหรับขูด วิ. อวเลขติ อเนนาติ อวเลขนํ (เขายอมขูดดวยสิ่งนั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวเลขน), [อว + ลขิธาตุเลขเน ในความ เขียน + ยุ ปจจัย แปลง อิ เปน เอ, แปลง ยุ เปน อน] นัยเดีวกันเชน อวเลขิตพฺพํ ตพฺพ ปจจัย กรรมวาจก + อิ อาคม อวเลป (ปุ.) การชโลม, การลูบไล, ความถือตัว, ความจองหอง, ความหยิ่งพยอง วิ. อวเลปนํ อวเลโป เลโป คพฺโพ จ (การปายลง ชื่อวา อวเลป ไดแก การลูบไล และการถือตัว), [อว + ลิป ธาตุ ลิมฺปเน ในความฉาบ + ณ ปจจัย] นัย เดียวกัน อวลิตฺตํ ต ปจจัย, เทียบ อุลฺลิตฺต อวโลกิต (ติ.) ผูอันเขาแลดูแลว, ตรวจดูแลว วิ. อวโลกียิตฺถาติ อวโลกิโต, โอโลกิโต วา (ผูใด อันเขาแลดูแลว เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวโลกิต, โอโลกิต), [อว + โลก ธาตุ ทสฺสเน ในความเห็น + ต ปจจัย + อิ อาคม, หรือ โอ บทหนา แปลง เปน อว] อวส (ติ.) ผูไมมีอำนาจ, ไมมีความเปนตัวเอง, ผูกลัวตาย วิ. นตฺถิ วโส อายตฺโต ปเรสํ เอตสฺมึ สรีรภูเตติ อวโส วิวโส (อำนาจคือความเปน ตัวเองเหนือผูอื่นไมมีในผูนั้น เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวส คือไรอำนาจ), นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส, [น + วส] วิ. น วโส อวโส, อพโล (ผูมีอำนาจหา มิได ชื่อวา อวส คือไมมีพลัง), นปุพฺพปทกมฺม ธารยสมาส อวสร (ปุ.) ขณะ, โอกาส วิ. อวสรตีติ อวสโร ขณปฺปตฺติ โอกาโส จ (สมัยใดดำเนินมาถึง เหตุนั้น สมัยนั้นชื่อวา อวสร ไดแกขณะที่เวียน มาถึง และโอกาส), [อว + สร ธาตุ คติยํ ใน ความไป + อ ปจจัย]


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๓๙ อวสาณ (นปุ.) อวสาน, การสิ้นสุด วิ. อวสรณํ อวสาณํ (การสิ้นสุดชื่อวา อวสาณ), [อว + สร ธาตุ วิสรณคตฺยาวสาเนสุ ในการแลนไปและ สิ้นสุด + ยุ ปจจัย, ลบ ร, แปลงเปน อณ เปนตน] อวสาน (นปุ.) อวสิยติ อเนนาติ อวสานํ (การ งานหยุดพักดวยสมัยนั้น เหตุนั้น สมัยนั้นชื่อวา อวสาน), [อว + สิธาตุพนฺธเน ในความผกู+ ยุ ปจจัย] โอสายเตติ อวสานํ (อันเวลาเบาบางลง ชื่อวา อวสาน, โอสานํ, โวสานํ), [อว + สา ธาตุ ตนุกรเณ ในความทำใหเบาบาง + ยุ ปจจัย] วิ. อวสฺยเต อวสานํ (อันเขาทำใหเบาบาง ชื่อวา อวสาน), [อว + โส ธาตุ นิสานนาสเน ในการทำ ใหบาง + ยุ ปจจัย] วิ. อวสรณํ อวสานํ (การ สิ้นสุด ชื่อวา อวสาน), [อว + สร ธาตุ วิสรณคตฺยาวสาเนสุ ในความแลนไปและในที่สุด + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน] อวสิสฺสน (นปุ.) การเหือดแหง วิ. อวสิสฺสิยเตติ อวสิสฺสน (อันเนื้อเปนตนเหือดแหงไป เหตุนั้น จึงชื่อวา อวสิสฺสน), [อว + สิส ธาตุ อสพฺพโยเค ในความไมประกอบทั้งหมด + ย ปจจัยประจำ หมวดธาตุ + ยุ ปจจัยแปลงเปน อ, แปลง ย เปน ส] อวสิฏฺ (ติ.) เหลือ, คงเหลืออยู, คางอยูแลว ๑. วิ. อวเสสิตพฺพนฺติ อวสิํ (อันสิ่งนั้นเหลือ ลง เหตุนั้น ชื่อวา อวสิํ), [อว + สิส ธาตุ สิส เน ในความเหลือ + ต ปจจัย, กจฺ.๕๗๓ รูป. ๖๒๖ วา สาทิสนฺตปุจฺฉภนฺชหํสาทีหิ โ] ๒. เหลือลงแลว วิ. อวเสสิตฺถาติ อวสิโ (เดือนเปนตนใดเหลือลงแลว เหตุนั้น เดือน เปนตนนั้น ชื่อวา อวสิ), [อว + สิส ธาตุ เสเส ในความเหลือ + ต ปจจัย, แปลง ต เปน , แปลง ส เปน ฏ] อวสิต (ติ.) สำเร็จแลว, กำหนดรูชัดแลว วิ. อวสิยเตติ อวสิตํ อวสานคตํ, โอสิตํ วา, (สิ่งใดอันเขาทำใหเบาบางลง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อ วา อวสิต คือสำเร็จแลว หรือถึงที่สุดแลว), [อว + สา ธาตุ ตนุกรณาวสาเนสุ ในความทำใหเบา บางและที่สุด + ต ปจจัย + แปลง อา เปน อิ, แปลง โอ เปน อว] วิ. อวสฺยิตฺถาติ อวสิตํ าตํ (สิ่งใดอันเขาทำใหเบาบางแลว เหตุนั้น ส่งินั้นชอื่ วา อวสิต ไดแก รูชัดแลว), [อว + โส ธาตุ นิสานนาสเน ในการทำใหบาง + ต ปจจัย + อิ อาคม], ศัพทนี้เปน ๓ ลิงค อวสีทน (นปุ.) จมลง, ดิ่งลง วิ. อวสีทตีติ อวสีทนํ (ธรรมชาติใดยอมจมลง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวสีทน), [อว + สีท ธาตุ อวสีทเน ในการจมลง ตามนัย สทฺทนีติ ธาตุ มาลา + ยุ ปจจัยในอรรถกัตตุ แปลงเปน อน] อวสฺสการี (ติ.) ผูจะตองทำอยางนั้นแนนอน วิ. อวสฺสํ กโรตีติ อวสฺสการี (ผูใดยอมกระทำแน แท เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวสฺสการี), [อวสฺส + กร ธาตุ กรเณ ในความกระทำ + ณี ปจจัย, ทีฆะ อ เปน อา] นัยเดียวกัน อุณฺหโภชี (ผูบริโภคของ รอนเปนปกติ), ภุช ธาตุ พฺยวหรเณ ในการกิน. ภายี(ผูกลัวโดยปกติ), ภี/เภ ธาตุในความกลัว ปลายี (ผูหนีไปเปนปกติ) ปเล ธาตุ คติยํ ใน ความไป ติณลายี (ผูตัดซึ่งหญาเปนปกติ) เล ธาตุ เฉทเน ในความตัด. ภูมิสายี (ผูนอนบนพื้น เปนปกติ) สิ/สี ธาตุ สเย ในความนอน, เชาปจายี (ผูบูชาผูเจริญเปนปกติ) เจ ธาตุ ปูชายํ ในความบูชา, แปลง เอ เปน อาย อทินฺนาทายี (ผูถือเอาของที่เขาไมใหเปนปกติ), อนฺนทายี


๒๔๐ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา (ผูใหขาวเปนปกติ) ทา ธาตุ ทาเน ในความให. มชฺชปายี (ผูดื่มน้ำเมาเปนปกติ) ขีรปายี (ผูดื่ม น้ำนมเปนปกติ) ปา ธาตุ ปาเน ในความดื่ม, ลง ณี ปจจัย โมคฺ.๕/๕๓ สีลาภิกฺขฺาวสฺสเกสุ ณี, ในเพราะ อา ลง ย อาคม โมคฺ.๕/๙๑ วา อาสฺ- สาณาปมฺหิ ยุกฺ] อวสฺสกนฺติ อายตึ อวสฺสํภาวี อวสฺสกํ. (สำหรับในคำวา อวสฺสกํ วิ. ความเปน อยางนั้นแนแทตอๆ ไป ชื่อวา อวสสฺก) อวสฺสย (ปุ.) ที่พึ่ง, ที่อาศัย, ที่พึ่งอาศัย วิ. อวสฺสยติ เอตฺถาติ อวสฺสโย, ปติา (เขา ยอมอาศัยในที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อวสฺสย คือที่พึ่ง), [อว + สิ/สี ธาตุ สเย ในความนอน + อ ปจจัย, แปลง อิวัณณะ เปน อย, ซอน สฺ] อวสฺสฏ (ติ.) ผูออกไป, ผูเขารีตเดียรถีย วิ. อวสฺสรีติ อวสฺสฏา, ติตฺถายนํ สงฺกนฺตาติ อตฺโถ (ภิกษุณีใดออกไปแลว เหตุนั้น ภิกษุณีนั้น ชื่อวา อวสฺสฏา หมายถึง ภิกษุณีไปเขารีต เดียรถีย), [อว + สร ธาตุ คติมฺหิ ในความไป + ต ปจจัย, ลบ ร, แปลง ต เปน ฏ] อวสฺสาย (กิ.กิตฺ.) พึ่งพิงแลว, อาศัยแลว วิ. อวสฺสยิตฺวาติ อวสฺสาย (พึ่งแลว ชื่อวา อวสฺสาย), [อว + สิ ธาตุ สเย ในความนอน + ตฺวา ปจจัย, แปลง ตฺวา เปน ปฺย, ในเพราะ อำนาจ ปฺย แปลง อิ เปน อา] นัยเดียวกัน อวสฺสยิตฺวา (พึ่งพิงแลว) แปลง อิ เปน อย นิรุตฺติ.๗๖๓ อวสฺสุต (ติ.) ชุม, เปยก, ชื้น วิ. อวสฺสูยเตติ อวสฺสุตํ ตินฺโต (สิ่งใดอันน้ำชุมไหลออกอยู เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวสฺสุต คือเปยก), [อว + สุ ธาตุ อวสฺสุเต ในความชื้น หรือ สุท ธาตุ ปคฺฆรเณ ในความไหลออก + ต ปจจัย] สวนใน วินัย วา ฉหิ ทฺวาเรหิ ราคาทิกิเลสานุสฺสวเนน ตินฺตตฺตา อวสฺสุโตติ (ชื่อวาผูอันกิเลสใหชุม เพราะชุมดวยกิเลสมีราคะเปนตนไหลอาบเขา ทางทวาร ๖), อนวสฺสุโต (ไมถูกราคะเปนตน ใหชุม) ดวย น ปฏิเสธ, ปฏิฆอวสฺสเวน ราคาวสฺสเวน วา อนวสฺสุโตติ อตฺโถ.(ความวา ไมถูกทำใหชุม ดวยอาสวะคือปฏิฆะ หรือดวย อาสวะคือราคะ), นัยเดียวกัน อวสฺสโว อ ปจจัย, อวสฺสวนํ ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ อวเสจก (ติ.) อันเขาราดขึ้นขางบน, อันเขาซัด สาดไป วิ. อุทฺธํ สิฺจิยเตติ อวเสจโก (สิ่งใดอัน เขาราดขึ้นขางบน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวเสจก), [อุ + สิจ ธาตุ สิฺจเน ในความราด + ณฺวุ ปจจัย แปลงเปน อก, แปลง อุ เปน โอ แปลง โอ เปน อว, แปลง อิ เปน เอ] อวเสส (ติ.) อันเหลือลง, เหลือ วิ. อวสิสฺสตีติ อวเสโส อวเสสํ (สิ่งใดยอมเหลือลง เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวเสส), [อว + สิส ธาตุ อสพฺพโยเค ในความเหลือคือไมประกอบหมด + ณ ปจจัย, แปลง อิ เปน เอ, ลบ ณ อนุพันธ] อวหฏ (ติ.) นำแลว, ลักแลว, อันเขานำไปแลว, อันเขาลักไปแลว วิ. อวหริตฺถ อวหรียิตฺถาติ วา อวหโฏ (ผูใดนำไปแลว หรือสิ่งใดอันเขานำไป แลว เหตุนั้นชื่อวา อวหฏ), [อว + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ต ปจจัย, ลบ ร, แปลง ต เปน ฏ], นัยเดียวกัน อวหริตพฺพํ (อันเขาพึง นำไป) ตพฺพ ปจจัย แตในบางแหง ความหมาย วา เหา หริตพฺพํ ปาเตตพฺพํ(สิ่งที่เขานำไปคอื ใหตกไปขางลาง) อวหน (นปุ.) การบูชา วิ. อวหุติ อวหนํ ปูชา (การเซนสรวงบูชา ชื่อวา อวหน คือการบูชา), [อว + หุ ธาตุ ปูชายํ ในการบูชา + ยุ ปจจัย] ปาหุนํ ป บทหนา, อาหุนํ อา บทหนา ก็นัยนี้


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๔๑ อวหรนฺต (ติ.) ถือไป, นำไป, ลักไป วิ. อวหรตีติ อวหรนฺโต (ผูใดนำไปอยู เหตุนั้น ผูนั้น ชื่อวา อว หรนฺต), [อว + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + อนฺต ปจจัยกัตตุวาจก] อวหรมาโน (นำไปอยู) มาน ปจจัย, อวหริยมาโน (อันเขานำไปอยู) ย และ มาน ปจจัยในอรรถกรรม + อิ อาคม อวหานิ (นปุ.) ความเสื่อมลง, การลดลง วิ. อวหิยฺยเต อวหานิ(อันส่งินั้นลดลง ชื่อวา อว หานิ), [อว + หา ธาตุ จาเค ในความสละ + นิ ปจจัย โมคฺ.๕/๕๐ วา ชาหาหิ นิ] นัยเดียวกัน ปริหานิ (ความเสื่อมรอบ) ปริ บทหนา ชานิ (ความเสื่อม) ชา ธาตุ หานิยํ ในความเสื่อม + นิ ปจจัย วิ. ชิยฺยเต ชานิ(อันสิ่งนั้นเสื่อมอยู ชื่อวา ชานิ) วิ. อวหายนํ อวหานิ (ความเสื่อม ชื่อวา อวหานิ), [อว + หา ธาตุ ปริหานิยํ ในความ เสื่อม + ติ ปจจัย แปลงเปน นิ] อวหาร (ปุ.) การลัก, การขโมย วิ. เหา กตวฺา หรณํ อวหาโร, โจรกมฺมํ, โอหาโร วา (การ กระทำไวภายใตนำไป ชื่อวา อวหาร ไดแก โจรกรรม หรือปลงลง), [อว + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ, พฤทธิ์ อ เปน อา] นัยเดียวกัน สํหาโร สํ บท หนา, อวหรณํ ยุ ปจจัย อวฺหย (ปุ.) ชื่อ, นาม, คำเรียก ๑. วิ. อวฺหยเตติ อวฺหโย นามํ (สิ่งใดอันเขาเรียก เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวฺหย คือชื่อ), [อวฺห ธาตุ โวหาเร ในการ เรียก + ณฺย ปจจัย] ๒. วิ. อหฺวายเตติ อวฺหโย (ชื่อใดอันเขาเรียก เหตุนั้น ชื่อนั้นชื่อวา อวฺหย), [อา + วฺเห ธาตุ อวฺหายเน ในความเรียก + ย ปจจัย กรรมวาจก, รัสสะ อา, แปลง เอ เปน อ] ในวิเคราะห คำวา อหฺวายเต นั้น ห อักษรเปน วิปลลาส คือสลับอักษร ๓. วิ. วฺหียตีติ วฺหโย นามํ (คำใดอันเขาเรียก เหตุนั้น คำนั้นชื่อวา วฺหย), [วฺเห ธาตุ อวฺหาเน ในการรองเรียก + อณ ปจจัย นิรุตฺติ.๗๘๔ วา กฺวจณ, แปลง เอ เปน อา ดวยมหาสูตร แลวรัสสะ], อา บทหนา สำเร็จรูปเปน อวฺหโย, รัสสะ อา อุปสัค ๔. วิ. อาวฺหาตพฺโพติ อวฺหโย (สิ่งใดอันเขาพึง รองเรียก เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวฺหย) ๕. ใน สทฺทนีติสุตฺตมาลา วิ. อวฺหาตพฺพนฺติ อวฺหยํ, นามํ (คำใดอันเขาพึงเรียก เหตุนั้น คำ นั้นชื่อวา อวฺหย คือชื่อ) เชน กุมาโร จนฺทสวฺหโย (พระกุมารมีพระนามวาจันทะ) ในตัวอยางนี้ จนฺทสวฺหโย วิ. จนฺโท อิติ สห อวฺหเยน วตฺตติ โย กุมาโร โส จนฺทสวฺหโย (พระกุมารใดเปนไป กับดวยพระนามวา จันทะ พระกุมารนั้น มีพระ นามวา จันทะ), ลบ ห แหง สห หรือแปลง สห เปน ส ดวยสูตร กจฺ.๔๐๔ รูป.๓๗๐ เตสุ วุทฺธิ เปนตน, สวนพระอรรถกถาจารยอธิบายไววา จนฺทสวฺหโยติ จนฺทสทฺเทน อวฺหาตพฺโพ (ขอวา มีพระนามวาจันทะ หมายความวา พระการอัน เขาพึงเรียกดวยศัพทวา จันทะ, ในที่นี้เปน ประดุจกลาวการลบ ทฺท แหง สทฺท อวฺหา (อิตฺ.นปุ.) ชื่อ, สมัญญา ๑. วิ. อวฺหายเต เอตายาติ อวฺหา สมฺา (บุคคลเขาเรียกดวย วาจานั่น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวฺหา คือ สมัญญา), [อา + เวฺห ธาตุ อวฺหายเน ในการ เรียก + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, รัสสะ อา เปน อ] ๒. วิ. อหฺวยเต เอตายาติ อวฺหา (บุคคลอันเขาสงเสียงเรียกดวยวาจานั่น เหตุนนั้ วาจานั้น ชื่อวา อวฺหา), [อา + หุ ธาตุ สทฺเท ใน การออกเสียง + อ ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค, แปลง อุ เปน อว, สลับ หว เปน วห เชน พหฺวา พาโธ สลับเปน พวฺหาพาโธ ๓. วิ. อวฺเหตพฺพํ


๒๔๒ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา โวหริตพฺพนฺติ อวฺหํ (คำใดอันเขาพึงเรียก เหตุนั้น คำนั้น ชื่อวา อวฺหํ), [อา + วฺเห ธาตุ อวฺหยเน ใน การเรียก + กฺวิ ปจจัย, เพราะมีพยัญชนะอยู หลัง รัสสะ อา เปน อ], อวฺหาตพฺโพ (อันเขาพึง เรียก) ตพฺพ กรรมวาจก, แปลง เอ เปน อา, อวฺหิโต (อันเขาเรียกแลว) ต กรรมวาจก, อิ อาคม อวาจี (อิตฺ.) ทิศใต ๑. วิ. อวฺจติ อโธมุขี ภวติ ยสฺสํ รวิ สา อวาจี, อปาจี (พระอาทิตยคลอยไป คือกมหนาไปในทิศใด ทิศนั้นชื่อวา อวาจี, อปาจี), [อว + อฺจ ธาตุ อโธมุขีภาเว ในความ กมหนาไป + อ ปจจัย + อี ปจจัยในอิตถีลิงค, ลบ  และทีฆะ อ เปน อา] วิ. มชฺเฌ อปายํ อฺจติ ยสฺสํ รวิ, สา อปาจี (พระอาทิตยไป ทามกลาง ในทิศใด ทิศนั้นชื่อวา อปาจี), อป ศัพทในที่นี้ใชในอรรถวา ทามกลาง เชน อปทิสนฺติ ๒.วิ.อุณฺหาทิเกวาตพฺพิโยเคกโรนโฺต ยสฺสํ รวิ อฺจติ, สา อวาจี (พระอาทิตยทำหนา ปราศจากความรอน เปนตน เคลื่อนไป ในทิศใด เหตุนั้น ทิศนั้นชื่อวา อวาจี ไดแก ทิศใต) อวาฏ (ปุ.) บอ, หลุม, โพรงใตดิน วิ. อุทกํ อวติ รกฺขตีติ อวาโฏ กาสุ (สิ่งใดยอมรักษาน้ำไว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวาฏ คือหลุม), [อว ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + อาฏ ปจจัย], เทียบ อาวาฏ อวาปุรณ (นปุ.) กุญแจ ๑. วิ. อวาปุรติ วิวรติ ทฺวารํ เอเตนาติ อวาปุรณํ กุฺจิกา (บุคคลยอม เปดประตูดวยอุปกรณนั่น เหตุนั้น อุปกรณนั้น ชื่อวา อวาปุรณ คือกุญแจ), [อว-อา + ปุร ธาตุ อคฺคคมเน ในการไปขางหนา + ยุ ปจจัยแปลง เปน อน, แปลงเปน ณ] ๒. วิ. อววุโณติ สํวรติ ทฺวารํ เอเตนาติอวาปูรณํ ตาโฬ (บุคคลยอมปด ประตูดวยอุปกรณนั่น เหตุนั้น อุปกรณนั้นชื่อวา อวาปูรณ), [อว + วุ ธาตุ สํวรเณ ในความปด + ยุ ปจจัย, ทีฆะ อ ที่ ว แหง อว อุปสัค, ทีฆะ อุ เปน อู, แปลง ว เปน ป, ร อาคม] ๓. วิ. อววรติ วิวรติ เอเตนาติ อวาปุรณํ (เขายอมเปดดวยสิ่ง นั้น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวาปุรณ), [อว + วร ธาตุ สํวรเณ ในความปด + ยุ, แปลง ว เปน ป, แปลง อ เปน อุ, ทีฆะ อ ที่ ว เปน อา] ๔. แตใน สทฺทนีติ ธาตุมาลา ฉบับแปล หนา ๔๒๐ วา อวาปุรนฺติ วิวรนฺติ ทฺวารํ เอเตนาติ อวาปุรณํ, ยํ กุฺจิกาติป ตาโฬติป วุจฺจตีติ. (ชนทั้งหลายยอม เปดประตูดวยสิ่งนั่น เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวาปุรณํ ซึ่งเรียกวา กุญแจ บาง ลูกดาล บาง), สำหรับใน อวาปุรณ นี้ ประกอบดวย [อว + อา + ปุร ธาตุ ในความเปด + ยุ ปจจัย] ๕. ใน อภิธานปฺปทีปกาฏีกา วา อวาปุรติ วิวรติ เยนาติ อวาปุรณํ (ชนยอมเปดดวยสิ่งใด เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวาปุรณ), [วร ธาตุ สํวรเณ ในความปด + ยุ ปจจัย, แปลง ว เปน ป, แปลง อ เปน อุ, ทีฆะ อ ที่ อว อุปสัค], ลง ปุร ธาตุ ในความเปด ก็ได เพราะตัวอยางวา อปารุตา เตสํ อมตสฺส ทฺวารา (ประตูแหงพระนิพพานอันทานเหลานั้น เปดแลว) ปาร ธาตุในความปด ก็วา, วุ ธาตุ มี อว เปนบทหนาในความปด (สํวรเณ) แปลง ว เปน ร, ทีฆะอุปสัค สำเร็จรูปเปน อปารุตา สวน บทสำเรจ็แปลง ว เปน ป เชน สงฺฆาฏึ ปารุปตฺวา (หมสังฆาฏิ) อวิ (ปุ.) ๑. ภูเขา, กำแพง วิ. อวติ รกฺขตีติ อวิ ปพฺพโต ปากาโร จ (ธรรมชาติใดยอมรักษา คุมครอง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวิ ไดแก ภูเขา และกำแพง), [อว ธาตุ รกฺขเน ในความ รักษา + อิ ปจจัย] ๒. แกะ วิ. อวียเต รกฺขียเตติ อวิ เมโส (สัตวใดอันเขายอมรักษาคุมครอง เหตุ


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๔๓ นั้น สัตวนั้นชื่อวา อวิ คือแกะ), [อว ธาตุ รกฺขเณ ในความรักษา + อิ ปจจัย], ปาฐะวา อชี ก็มี, อวิ ศัพทเปนอิการันตในปุงลิงค อวิกล (ติ.) ไมวิกล, ไมผิดรูป, ไมบกพรอง, บริบูรณ วิ. วิรูป กลติ คจฺฉตีติ วิกโล (สิ่งใดไป ผิดรูป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา วิกล), [วิ + กล ธาตุ คติยํ ในความไป + อ ปจจัย] วิ. นตฺถิ กิฺจิ วิกลํ เอติสฺสา ราชิยาติ อวิกลา, ปาทราชิ. (ความผิด รูปหนอยหนึ่งแหงรอยพระบาทนั่น ไมมี เหตุนั้น รอยพระบาทนั้น ชื่อวา อวิกลา), ปาททฺวเย ปริพฺยตฺตํ สณฺานรูป กิฺจิ วิกลํ นตฺถีติ อตฺโถ. (ความวา รูปสัณฐานชัดเจนที่พระบาททั้งสอง ความพิกลหนอยหนึ่งก็ไมมี) นมกฺการฏีกา.๑๔ อวิกฺเขป (ปุ.) สมาธิ, เอกัคคตา, ไมมีความ ฟุงซาน ๑. วิ. นตฺถิ วิกฺเขโป เอตฺถาติ อวิกฺเขโป สมาธิ(ความฟุงซานไมมีในธรรมชาตนิั้น เหตุนนั้ ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวิกฺเขป คือสมาธิ), ๒. อวิกฺเขปนํ อวิกฺเขโป เอกคฺคตา (ความไม ฟุงซานไป ขื่อวา อวิกฺเขป คือความที่จิตดี อารมณเดียวเปนเลิศ), [น + วิ + ขิป ธาตุ ขิปเน ในความซัดไป + ณ ปจจัย] ๓. วิ. สยํ น วิกฺขิปติ, สมฺปยุตฺตา วา น วิกฺขิปนฺติ เอเตนาติ อวิกฺเขโป, ยถา อวิกฺเขปลกฺขโณ สมาธีติ (ธรรมชาติใด ไมซัดสายไปเสียเอง หรือไมเปน เหตุซัดซายไปแหงสัมปยุตธรรม เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวิกฺเขป), [น + วิ + ขิป ธาตุ ขิปเน ในความซัดซายไป + ณ], ปาฐะวา อวิกฺขิตฺตํ ก็มี ความหมายเดียวกัน บทนี้ลง ต ปจจัย, ในคำวา อวิกฺขิตฺต นี้มีความหมายวา จิต ที่ไมซัดซายไป คือกุศลจิต วิ. วิวิเธ อารมฺมเณ ขิตฺตํ เปสิตํ วิกฺขิตฺตํ, อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาทิปเรตํ อสมาหิตํ จิตฺตํ, น วิกฺขิตฺตํ อวิกฺขิตฺตํ, ตปฺปฏิปกฺขํ สมาหิตํ กุสลจิตฺตํ. (จิตที่ซัดซายไปในอารมณ ตางๆ ชื่อวา วิกฺขิตฺต, คือจิตที่ไมตั้งมั่น ถูก อุทธัจจและวิจิกิจฉาเปนตนครอบงำ, จิตที่ไมซัด ซายไปชื่อวา อวิกฺขิตฺต, คือ กุศลจิต ที่ตั้งมั่น ตรงกับขามอกุศลจิตนั้น) อวิคฺคห (ปุ.) ๑. กิเลสมาร, มารที่ไมมีราง วิ. นตฺถิ วิคฺคโห สรีรเมตสฺสาติ อวิคฺคโห มาโร. (รางกายของมารนั่นไมมี เหตุนั้น มารนั้นชื่อวา อวิคฺคห คือมาร), เปน นปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส. ๒. ไมผิด, ไมเปนปฏิปกษ ในที่บางแหง อวิคฺคห หมายถึง อวิโรโธ (ไมผิด) อปฺปฏิปกฺโข สภาโว (สภาวะที่ไมเปนปฏิปกษ) และบางแหง อวิคฺค โห เปนรุฬหีนาม อวิจฺเฉท (ปุ.) ตอเน่อืง, ไมมีชองวาง, ไมขาดสาย ๑. วิ. นตฺถิ วิจฺเฉโท เอตสฺสาติ อวิจฺเฉโท (การ ขาดเปนชอง ของธรรมชาตินั่นไมมี เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวิจฺเฉท) ๒. วิ. วิจฺฉิชฺชตีติ วิจฺเฉโท (ธรรมชาติใดขาดไป เหตุนั้น ธรรมชาติ นั้นชื่อวา วิจฺเฉท), [วิ + ฉิทิ ธาตุ วิจฺเฉทเน ใน ความขาดไป + ณ ปจจัย, พฤทธิ์ อิ เปน เอ, ซอน จฺ] วิ. น วิจฺเฉโท อวิจฺเฉโท (การขาดไปหา มิได ชื่อวา อวิจฺเฉท), แปลง น เปน อ อวิจาริต (ติ.) ไมวิจารณ, ไมพิจารณา, หุนหัน พลันแลน วิ. น วิจาริตํ อวิจาริตํ (การไม พิจารณา ชื่อวา อวิจาริต), [น + วิ + จร ธาตุ วิจารเณ ในการพิจารณา + เณ ปจจัยในหมวด จุร ธาตุ + ต ปจจัย กรรมวาจก + อิ อาคม, ลบ ณ อนุพันธ และพฤทธิ์ อ เปน อา, ลบสระหนา คือ เอ ที่ เณ) อวิชฺชา (อิตฺ.) อวิชชา ๑. การไมรูตามสภาพ วิ. ธมฺมานํ ยถาสภาวํ น วิชานาตีติ อวิชฺชา, อฺาณํ. (ธรรมชาติใดไมรูธรรมตามสภาพที่


๒๔๔ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา เปน เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวิชฺชา คือ ความไมรู), [น + วิ + า ธาตุ าเณ ในความรู + อ ปจจัย กจฺ.๕๕๓ รูป.๕๙๙ วา อิตฺถยมติยโว วา, แปลง า เปน ชา, ซอน ชฺ, แปลง น เปน อ] ๒. การไมรูสัจจะ ๔ เปนตน วิ. จตุสจฺจาทิกํ วิชานาตีติ วิชฺชา, น วิชฺชา อวิชฺชา (ธรรมชาติใด รูสัจจะ ๔ เปนตน เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา วิชฺชา, ธรรมชาติที่รูหามิไดชื่อวา อวิชฺชา), นัยนี้ วิเคราะหสมาสมีกิตกเปนทอง ๓. การไมประสพ กายสุจริต วิ. วินฺทิยํ กายสุจริตํ น วินฺทตีติ อวิชฺชา (ธรรมชาติใด ไมประสพกายสุจริต อันควรประสพ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวิชฺชา), [น + วินฺท ธาตุ ลาเภ ในความได + ณฺย ปจจัย, ลบ นฺ, กจฺ. ๖๓๘ รูป. ๖๖๐ วา วชาทีหิ ปพฺพชฺชาทโย นิปจฺจนฺเต] วิ. อวินฺทิยํ วา กายทุจฺจริตาทึ วินฺทติ ปฏิลภตีติ อวิชฺชา (ธรรมชาติใดประสพกายทุจริตเปนตน อันไม ควรประสบ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวิชฺชา) อวินฺทิยนฺติ ทุจฺจริตํ ปุคฺคเลน ปูเรตุํ ยุตฺตเน อลทฺธพฺพํ (คำวา อวินฺทิย หมายถึง ทุจริต อันบุคคลไมพึงได เพราะอรรถวาไมควร บำเพ็ญ), อวินฺทิยวินฺทาติ วตฺตพฺเพ วณฺณาคมวิปริยายวิการวินาสธาตุอตฺถวิเสสโยเคหิ ปฺจวิธสฺส นิรุตฺติลกฺขณสฺส วเสน ปุริมปเท อการวิกาเร, ปจฺฉิมปเท ทการฺจ คเหตฺวา, ปุริมปเท วา อการเมว, ปจฺฉิมปเท วิการทกาเร จ คเหตฺวา, อฺเสฺจ วณฺณานํ โลป, ยการสฺส จ อาคมํ, ตํสหิตสฺส จ ทการสฺส ชการํ, ตสฺส จ ทฺวิตฺตํ กตฺวา อวิชฺชาติ วุตฺตํ. (คำวา อวิชฺชา นี้ ที่จริงควรสำเร็จเปน อวินฺทิยวินฺทา แตดวย อำนาจแหงนิรุตตินัย ๕ อยางคืออาคม สลับ อักษร เปลี่ยนอักษร ลบอักษร และประกอบดวย อรรถพิเศษของธาตุ ทานจึงถือเอา อ อักษร วิ อักษร ในบทตน และ ท อักษรในบททาย หรือ อ อักษรนั่นเอง วิ และ ท อักษรในบททาย แลว ลบอักษรที่เหลือทั้งหมด แลวลง ย อาคม แปลง ท และ ย ที่ประกอบกันเปนช ซอน ชฺสำเร็จรูป เปน อวิชฺชา) ๔. อวิชชา, สภาพยังหมูสัตวให แลนไปในสงสารอันปราศจากที่สุด วิ. อนฺตวิรหิเต สํสาเร สพฺพโยนิคติวิฺาณ- ิติสตฺตาวาเสสุ สตฺเต ชวาเปตีติ อวิชฺชา (ธรรมชาติใดยังหมูสัตวใหแลนไปในกำเนิด ภพ คติ วิญญาณฐิติ และสัตตาวาสทั้งปวงในสงสาร อันปราศจากที่สุด เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวิชฺชา), [อนฺตวิรหิต + ชุ ธาตุ คติมฺหิ ในความ ไป + อ ปจจัย], ตามนัยนี้ควรสำเร็จรูปตามปกติ วา อนฺตรวิรหิตชวา แตทานก็ทำใหสำเร็จเปน อวิชฺชา โดยนิรุตตินัย ๕. ความไมรู วิ. น วิทตีติ อวิชฺชา (ธรรมชาติใดไมรู เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวิชฺชา), [น + วิท ธาตุ าเณ ในความรู + ย ปจจัย อา ปจจัยในอิตถีลิงค] ๖. ธรรมชาติ ทำอรรถแหงอริยสัจไมใหปรากฏ วิ. ขนฺธานํ ราสํ, อายตนานํ อายตนํ, ธาตูนํ สุฺํ, สจฺจานํ ตถํ, อินฺทริยานํ อธิปติยํ อวิทิตํ กโรตีติ อวิชฺชา (ธรรมชาติใด ทำอรรถคือความ เปนกองแหงขันธ ไมใหปรากฏ ทำอรรถคือ ความเปนเครื่องสืบตอแหงอายตนะ ไมให ปรากฏ ทำอรรถคือความวางเปลาแหงธาตุ ไมใหปรากฏ ทำอรรถคือความจริงแหงสัจจะ ไมใหปรากฏ ทำอรรถคือความเปนใหญแหง อินทรีย ไมใหปรากฏ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อ วา อวิชฺชา) วิ. ทุกฺขาทีนํ ปฬนาทิวเสน วุตฺตํ จตุพฺพิธํ อตฺถํ อวิทิตํ กโรตีติ อวิชฺชา โมโห (ธรรมชาติใดยอมทำอรรถ ๔ อยาง ที่กลาว


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๔๕ มาแลว ดวยสามารถแหงอาการมีความบีบคั้น เปนตนแหงสัจจะมีทุกขเปนตน ไมใหปรากฏ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวิชฺชา คือ โมหะ), นัยนี้ ควรสำเร็จรูปเปน อวิทิตกรา แตสำเร็จรูป เปน อวิชฺชา โดยนิรุตตินัย ๗. ธรรมชาติแลนไป ในหญิงชายเปนตน ไมแลนไปในขันธเปนตน วิ. ปรมตฺถโต อวิชฺชมาเนสุ อิตฺถีปุริสาทีสุ ชวติ วิชฺชมาเนสุป ขนฺธาทีสุ น ชวตีติ อวิชฺชา (ธรรมชาติใดยอมแลนไปในหญิงชายเปนตน อัน ไมมีอยูโดยปรมัตถ ยอมไมแลนไปในธรรมมีขันธ เปนตน แมอันเปนของมีอยู เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวา อวิชฺชา), [อวิชฺชมาน + ชุ ธาตุ ปวตฺตเน ในความเปนไป + ณ ปจจัย], นัยนี้ควรสำเร็จรปู เปน อวิชฺชมานชวา แตสำเร็จรูปเปน อวิชฺชา โดยนิรุตตินัย ๘. ธรรมชาติที่ทำใหไมปรากฏ วิ. อตฺตนิสฺสิตานํ จกฺขุวิฺาณาทีนํ ปวตฺตาปนํ อุปฺปาทนํ อายนํ, สมฺโมหภาเวเนว อนภิสมยภูตตฺตา อวิทิตํ อฺาณีกโรติ อนฺตวิรเหเต ชวาเปตีติ อวิชฺชา (ธรรมชาติใดทำที่เกิดแหง จักษุวิญญาณเปนตนซึ่งอาศัยตน ใหไมปรากฏ เพราะไมรูชัด เพราะความหลงนั่นเอง ใหสัตว เหลานั่นแลนไปในสงสารอันปราศจากที่สุด เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวา อวิชฺชา), วณฺณาคมวิปริยายวิการวินาสธาตุอตฺถวิเสสโยโคหิ ปฺจวิธสฺส นิรุตฺติลกฺขณสฺส วเสน ตีสุป ปเทสุ อการวิการชกาเร คเหตฺวา อฺเสํ วณฺณานํ โลป กตฺวา ชการสฺส จ ทุติยสฺส อาคมํ กตฺวา อวิชฺชมานชวา อวิจาริตวิชฺชมานนชวาติวตฺตพฺเพ นิรุตฺตินเยน อวิชฺชาติ วุตฺตํ. (ควรสำเร็จรูปเปน อวิชฺชมานชวา อวิจาริตวิชฺชมานนชวา แตทานก็ใหสำเร็จรูปเปน อวิชฺชา โดยนิรุตตินัย เพราะการถือเอา อ อักษร วิ อักษร ช อักษร จาก ๓ บท ดวยอำนาจแหงนิรัตตินัย ๕ อยาง คืออาคม สลับอักษร เปลี่ยนอักษร ลบอักษร และประกอบดวยอรรถพิเศษของธาตุ แลวซอน ชฺ) ๙. ธรรมชาติที่ปดปฏิจจสมุปบาท วิ. อปจ จกฺขุวิฺาณาทีนํ วตฺถารมฺมณปฏิจฺจสมุปฺปาทปฏิจฺจสมุปฺปนฺนานํ ธมฺมานํ ฉาทนโตป อวิชฺชา (ชื่อวา อวิชฺชา เพราะปกปดวัตถุและอารมณมี จักขุวิญญาณเปนตน และธรรมคือปฏิจจสมุปบาท); ในที่นี้ อวิชฺชา เปนอนิปผันนปาฏิปทิกบท คือบทที่ไมตองแยกองคประกอบออก มีความหมายวาปกปด โดยคือถือเปนไวพจนกัน คือ โมโห (ความหลง) อวิชฺชา (ความไมรูที่ ปดบัง) มิจฺฉาาณํ (ความเห็นผิด), อรรถกถาวา คำวา มิจฺฉาาณํ ไดแก โมหะ ที่เปนไปดวย การคิดหาอุบายทำบาป, แตใน ปรมตฺถทีปนีฏีกา วา อวิชฺชาย จ อปฺปฏิปตฺติมิจฺฉาปฏิปตฺติวเสน ทุวิธภาโว วุตฺโต. เอตฺถ จ อปฺปฏิปตฺตีติ กลฺยาณปกฺเข อฺาณเมว วุจฺจติ. มิจฺฉาปฏิ- ปตฺตีติ ปาปปกฺเข มิจฺฉาาณเมว วุจฺจตีติ. ตถา หิ ปาปปกฺขํ ปตฺวา ปฺจธมฺมา าณคติกา โหนฺติ โมโห โลโภ ทิิ วิตกฺโก วิจาโรติ. จิตฺเตน ปน สทฺธึ ฉพฺพิธา โหนฺติ. (อวิชชามี ๒ อยางคือ การ ไมปฏิบัติและการปฏิบัติผิด คำวา การไมปฏิบัติ ในที่นี้ หมายถึง การไมรู ในฝายดี คำวา การ ปฏิบัติผิด หมายถึง การรูผิด ในฝายไมดี, ฉะนั้น ญาณคติธรรม ๕ อยาง มีคติคลายปญหา แต เปนธรรมฝายไมดี คือโมหะ โลภะ ทิฏฐิ วิตก และวิจาร แตรวมกับจิตเปน ๖) เตหิ ปกติยา วิฺุชาติเกสุ สุตปริยตฺติสมฺปนฺเนสุ จ อุปฺปนฺนา ปาปกิริยาสุ ตํตํอุปายทสฺสนวเสน เตสํ ตตฺถ เฉกภาวํ ปฏิพลภาวฺจ สาเธนฺตีติ. (โดยปกติ ในบรรดาผูที่มีชาติแหงผูรูและสมบูรณดวย


๒๔๖ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา การศึกษาเลาเรียนมา สัตวที่เกิดขึ้น เพราะญาณ คติธรรมเหลานั้น ก็สามารถใหพวกเขาสำเร็จ เปนผถูนัดและสามารถในการทำบาปนั้น เพราะ เห็นอุบายนั้นๆ ในการทำบาป) อวิชฺชาปจฺจย (ปุ.) อวิชชาปจจัย, อวิชชาเปน ปจจัย วิ. อวิชฺชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโย (อวิชชานั้นดวย เปนปจจัยดวย เหตุนั้น ชื่อวา อวิชฺชาปจฺจย), นัยเดียวกัน วินยปริยตฺติ, วินยปฏกํ, สีลคุโณ, สีลปติา เปนตน, สำหรับ วิเคราะหในกรณีเชนนี้ ศัพททั้งหลายในบท วิเคราะหแมลิงควจนะตางกัน แตสมาสเปน ความเดียวกัน ทานถือเปน ตุลฺยาธิกรณ อวิต (ติ.) อันเขารักษา, คุมครองแลว, ดูแลแลว วิ. อวิยเตติ อวิตํ, ปาลิตํ (สิ่งใด อันเขารักษา เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวิต คือรักษาแลว), [อว ธาตุ รกฺขเน ในความรักษา + ต ปจจัย กรรมวาจก + อิ อาคม] อวิตถ (ติ.นปุ.) สัจจะ, ความจริง, ไมใชภาวะที่ ไมมีความจริง วิ. นตฺถิ ตถํ สจฺจมตฺราติ วิตถํ, น วิตถํ อวิตถํ, สจฺจํ (ความจริง ไมมี ในภาวะนั้น เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา วิตถ, ไมใชภาวะที่ไมมี ความจริง ชื่อวา อวิตถ คือสัจจะ) อวิเธยฺย (ติ.) ไมควรเพื่อจะทำ, ไมควรดำรงไวได, ยกขึ้นไมไหว, ใชการไมได, อนัตตลักษณะ วิ. วิธาตุํ อรหตีติ วิเธยฺยํ, น วิเธยฺยํ อวิเธยฺยํ, อนตฺตลกฺขณํ (สิ่งใดควรเพื่ออันทำ เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา วิเธยฺย, ไมใชสิ่งที่ควรเพื่ออันทำ ชื่อวา อวิเธยฺย คืออนัตตลักษณะ), [น + วิ + ธา ธาตุ ธารเณ ในความทรงไว + ฆฺยณฺ ปจจัย, แปลง อา เปน เอ, ซอน ยฺ] อวินิพฺโภค (ติ.) อันแบงไมได, แยกไมได, ไมแนชัด ๑. วิ. นิภุชฺชนํ ปวตฺตนํ นิโภโค. นิโภโคว นิพฺโภโค. วิสุํ วิสุํ นิพฺโภโค วินิพฺโภโค (การแบง การเปนไป ชื่อวา นิโภโค, การแบง นั่นเอง ชื่อวา นิพฺโภโค, การแบงเปนสวนๆ ชื่อ วา วินิพฺโภโค), [วิ + นิ + ภุช ธาตุ ปวตฺตเน ใน ความเปนไป + ณ ปจจัย, แปลง ช เปน ค, กจฺ.๖๒๓ รูป.๕๕๔ วากคา จชานํ ] วิ. นตฺถิ วินิพฺโภโค เอตสฺสาติ อวินิพฺโภคํ (การแยกเปน สวนๆ ของสิ่งนั้นไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวิ นิพฺโภค), นปุพฺพปท พหุพฺพีหิสมาส. ๒. ใน มณิสารมัญชูสา วา อถวา ภุชนํ ปวตฺตนํ โภโค, โสเยว นิพฺโภโค, วิสุํ วิสุํ นิพฺโภโค วินิพฺโภโค, นตฺถิ วินิพฺโภโค เอตสฺสาติ อวินิพฺโภคํ (อีกนัยหนึ่ง การแบง การเปนไป ชื่อวา โภโค, การแบงนั้นนั่นเอง ชื่อวา นิพฺโภโค, การแบงเปน สวนๆ ชื่อวา วินิพฺโภโค, การแบงเปนสวนๆ ของ สิ่งนั่นไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวินิพฺโภค), นัยเดียวกัน อวินิพฺภุตฺตํ (อันเขาไมแบงแลว), [วิ + นิ + ภุช ธาตุ ต ปจจัย, ลบ ช, ซอน ตฺ] อวิปชฺชน (นปุ.) ความไมวิบัติ วิ. น วิปชฺชิยเต อวิปชฺชนํ(อันสิ่งนั้น ไมวิบัติอยูชื่อวาอวิปชฺชน)ํ, [น + วิ + ปท ธาตุ คติยํ ในความไป + ย ปจจัย ประจำหมวดธาตุ + ยุ ปจจัย แปลงเปน อน, แปลง ทฺย เปน ชฺช เปนตน], อวิปชฺช (ไมวิบัติ แลว) ตฺวา ปจจัย, การแยกธาตุปจจัยเปนตนพึง ดู วิปชฺช ขางหนา อวิปฺปฏิสาร (นปุ.) ความไมเดือดรอน วิ. วิรูโป ปฏิสาโร วิปฺปฏิสาโร (ความเดือนรอนผิดปกติ ชื่อวา วิปฺปฏิสาโร), [วิ + ปฏิ + สร ธาตุ จินฺตาย ในความคิด + ณ, ลบ ณ อนุพันธ, พฤทธิ์ อ เปน อา] วิ. น วิปฺปฏิสาโร อวิปฺปฏิสาโร (ไมใชความ เดือดรอนผิดปกติ ชื่อวา อวิปฺปฏิสาร), น ในที่นี้ เปน ปสัชชัปปฏิเสธ (ปฏิเสธที่กลาวโดยตรง


พจนานุกรมบาลี-ไทย ๒๔๗ อยางสิ้นเชิง) ปาปปุฺานํ กตากตานุโสจนวเสน ปวตฺตจิตฺตวิปฺปฏิสาราภาโวติ อตฺโถ (อวิปฺปฏิสาโร หมายถึง ไมมีความเดือดรอนแหง จิตที่เปนไปดวยอำนาจแหงการทำบาปและไมได ทำบุญ), เอตฺถ จ ปฏิอุปสคฺโค ปาิภาสานยํ คเหตฺวา ปติสฺส ปฏิอาเทสวเสน ตถา วุตฺโตติ ทพฺโพ. สกฺกตภาสานเยน ปน ปฺรติ ปติ อิติ รูป ภวติ. (สำหรับ ปฏิ ในที่นี้ ถือตามนัยแหง ภาษาบาลี พึงทราบวาเปนอยางนั้นเพราะ อาเทศ ปติ เปน ปฏิ, แตวาตามนัยแหงภาษา สันสกฤต ไดรูปวา ปฺรติ ปติ) อวิรต (ติ.) เที่ยง, ทุกเมื่อ, เนืองๆ วิ. น วิรมตีติ อวิรตํ ธุวํ (สิ่งใดยอมไมวางเวน เหตุนั้น สิ่งนั้น ชื่อวา อวิรต คือแนนอน), [น + วิ + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + ต ปจจัย, แปลง น เปน อ, ลบ ม], นัยเดียวกัน อนารตํ [น + อา บทหนา] อวิรมิต (ติ.) ไมงดเวน วิ. น วิรมตีติ อวิรมิโต (ผูใดยอมไมงดเวน เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา อวิรมิต), [น + วิ + รมุ ธาตุ รมเน ในความยินดี + ต ปจจัยใชใน ๓ กาล เปนกัตตุวาจก + อิ อาคม] อวิรฬ (ติ.) ไมเวน, ตอเนื่อง, อเวจี, ไมทำลาย, ไมมีชองวาง วิ. วิรมตีติ วิรฬํ (สิ่งใดยอมเวน เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา วิรฬํ), [วิ + รมุ ธาตุ รมเณ ในความยินดี + อ ปจจัย, แปลง ม เปน ฬ] วิ. วีรฬตีติ วิรโฬ (สิ่งใดยอมไมทำลายไป เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา วิรโฬ), [วีรฬ ธาตุ เขปลชฺช เนสุ ในความซัดและความทำลาย + อ ปจจัย, รัสสะ อี เปน อิ] วิ. น วิรโฬ อวิรโฬ, อวีจิ (นรก ที่ไมทำลายไป ชื่อวา อวิรฬ คืออเวจี), วิ. วิวรติ ผุลฺลตีติ วิรโฬ (ที่ใดยอมแยมบาน เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อวา วิรฬ), [วร ธาตุผุลฺลเน ในความแยมบาน + ฬ, แปลง อ เปน อิ] วิ. น วิรโฬ อวิรโฬ. นตฺถิ วิรโฬ เอตสฺสาติ อวิรโฬ, อวิวโร (ไมใช สิ่งที่ แยมบาน ชื่อวา อวิรฬ, การแยมบานของที่นั่น ไมมี เหตุนั้น ที่นั้นชื่อวา อวิรฬ คือไมมีชองวาง) อวิรุทฺธ (ติ.) ไมผิด, ไมขัดของ วิ. น วิรุชฺฌตีติ อวิรุทฺโธ อปณฺณโก (สิ่งใดยอมไมผิด เหตุนั้น สิ่ง นั้นชื่อวา อวิรุทฺธ คือไมผิด), [น + วิ + รุธิ ธาตุ อาวรเณ ในความปด + ต ปจจัย, แปลง น เปน อ, แ ป ลง ต เป  น ธ, แป ลง ธ เป น ท ], อวิโรธนํ, ยุ ปจจัย แปลงเปน อน อวิโรธิ (ปุ.) ไมผิด, ไมมีความผิด วิ. วิรุชฺฌตีติ วิโรธิ (ภาวะใดยอมผิด เหตุนั้น ภาวะนั้นชื่อวา วิโรธิ), [วิ + รุธิ ธาตุ อาวรเณ ในความผิด + อิ ปจจัย กจฺ.๖๖๙ รูป.๖๗๙ วา มุนาทีหิ จิ + แปลง อุ เปน อ กจฺ.๔๘๕ รูป.๔๓๔ วา อฺเสุ จ] วิ. น วิโรธิ อวิโรธิ (ไมใชความผิด ชื่อวา อวิโรธิ), นัยเดียวกัน อวิโรโธ ณ ปจจัย, หมายถึง อวิคฺคโห (ไมใชความโตเถียง) อวิลงฺฆนียา (ติ.) โลกบัญญัติที่ไมควรขามไป, ไมควรมองขาม วิ. น วิลงฺฆนียา อวิลงฺฆนียา, [น + วิ + ลฆิ ธาตุ คตฺยกฺเขเป ในความกระโดด ขามไป + อนีย ปจจัย + อา ปจจัยในอิตถีลิงค + นิคหิตอาคม แปลงเปน งฺ สุดวรรค, อีก ประการหนึ่งลง อวิลงฺฆน + อีโย ปจจัยในอรรถ วาควร], ปาฐะวา อวิลงฺฆนิยา ลง อิย ปจจัย สัททนีติ ปทมาลา ฉบับแปล หนา ๒๕๐ อวิลมฺพิต (ติ.) ไมลาหลัง, ไมชา, เร็ว, ดวน วิ. น วิลมฺพียติ น โอหียตีติ อวิลมฺพิตํ ตุริตํ (สิ่ง ใดอันเขาไมหนวงเหนียวไว เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวิลมฺพิต คือเร็ว), [น + วิ + ลพิ ธาตุ อวสํสเน ในความหอยลง + ต ปจจัย, นิคหิตอาคม แปลง เปนพยัญชนะ มฺ + อิ อาคม]


๒๔๘ จฬูธาตุปัจจยโชตกิา อวิสฏ (ติ.) ไมซานไป, ไมแผกระจายไป วิ. อวิปฺปกิณฺณํ อวิกฺขิตฺตํ อวิสฏํ (สิ่งที่ไม กระจายไป ชื่อวา อวิกฺขิตฺต คือไมซานไป), [น + วิ + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + ต ปจจัย, ลบ ร, แปลง ฏ เปน ต วิ. นตฺถิ วิสฏํ อสฺสาติ อวิสฏํ, อวิตฺถตํ อวิตฺถิณฺณํ (การซานไปของสิ่งนั้นไมมี เหตุนั้น สิ่งนั้นชื่อวา อวิสฏ ไดแก ปกมั่น ไม แผซานไป) อวิสหนฺต (ติ.) ไมอดทน, ไมอดกลั้น วิ. วิสหตีติ วิสหนฺโต (ผูใดอดทนอยู เหตุนั้น ผูนั้นชื่อวา วิสหนฺต), [วิ + สห ธาตุ ปริสหเน ในความอดทน + อนฺต ปจจัย] วิ. น วิสหนฺโต อวิสหนฺโต (ผูไม อดทน ชื่อวา อวิสหนฺต), นปุพฺพปทกมฺมธารย สมาส, แปลง น เปน อ; อวิสหมาโน (ไมอด กลั้นอยู), มาน ปจจัย อวิสาร (ปุ.) ไมพรา, ไมแผกระจายขยายไป วิ. อวิสรณสภาโว อวิสาโร, วิสารสฺส พฺยคฺคภาวสฺส ปฏิปกฺโข สภาโว (สภาวะไมแผกระจาย ขยายไป ชื่อวา อวิสาร ไดแก สภาวะที่ตรงขาม กับการกระจายไป), [น + วิ + สร ธาตุ คติยํ ใน ความไป + ณ ปจจัย, ลบ ณ, ทีฆะ อ เปน อา, อวิสรณํ, ยุ ปจจัย ภาวสาธนะ อวิสารี (ติ.) เสียงไมเครือพรา วิ. พหิทฺธาปริสา องฺคุลิมตฺตมฺป น วิสรติ น คจฺฉตีติ อวิสารี (เสียง ใดไมพราไปจากบริษัท แมเพียงองคุลีเดียว เหตุ นั้น เสียงนั้นชื่อวา อวิสารี), [ณี ปจจัย] วิ. วิวิเธน น สรตีติ อวิสารี, ฉินฺนสฺสรานํ วิย เทฺวธา น โหตีตฺยตฺโถ (เสียงใดไมแตกพราไป อยางตางๆ เหตุนั้น เสียงนั้นชื่อวา อวิสารี หมายถึงเสียงที่ขาดกระทอนกระแทน), [น + วิ + สร ธาตุ คติยํ ในความไป + ณี ปจจัย, ลบ ณ อนุพันธ, พฤทธิ์ อ เปน อา, แปลง น เปน อ] อวิสาหาร (ปุ.) ความไมสาย, ความแนวแน วิ.อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาวเสน ปวตฺตสฺส วิสาหารสฺส ปฏิปกฺขโต อวิสาหาโร, อวิสาหรณนฺติ อตฺโถ. (ชื่อวา อวิสาหาร เพราะตรงขามกับการสายไป ดวยอำนาจอุทธัจจและวิจิกิจฉา หมายความวา ไมซานไป), ปฏิสํ.อ.๒/๑๓๗ วิ. อถ วา สหชาตธมฺเม น วิสาหรตีติ อวิสาหาโร, (อีกอยางหนึ่ง ในสหชาตธรรมจิตใดไมสายไป เหตุนั้น จิตนั้น ชื่อวา อวิสาหาร), สงฺคณี.อ.๓๐๙ [น + วิ + สํ + หร ธาตุ หรเณ ในความนำไป + ณ ปจจัย, แปลง น เปน อ, ลบนิคหิตแหง สํ ทีฆะ อ เปน อา ดวยสูตรแหง สทฺทนีติสตุ ฺเตน นีติ.สุตฺต.๑๕๕ วา สํสทฺเท ปรโลเป ปุพฺโพ ทีฆํ เชน สาราโค, สารตฺโตติ, ลบ ณ และทีฆะ อ ที่ อ เปน อา] วิ. วิวิเธน จิตฺตสฺส สหรณํ วิสาหาโร. น วิสาหาโร อวิสาหาโร (การรวบจิตไปอยางตางๆ ชื่อวา วิสาหาร, ไมใชการรวบจิตไปอยางตางๆ ชื่อวา อวิสาหาร), วิเคราะหนี้เปนสมาสมีกิตกในเปน ทอง อวิห (ปุ.) อวิหาพรหม, ชื่อพรหมชั้นสุทธาวาส ชั้นแรก, ๑. พรหมไมละที่ของตนแมชั่วเวลา เล็กนอย วิ. ปมตลวาสิโน อปฺปเกน กาเลน อตฺตโน านํ น วิชหนฺตีติ อวิหา (พวกพรหมผู อยูในชั้นที่ ๑ ชื่อวาอวิหา เพราะอรรถวา ไมละ ที่อยูของตนโดยกาลเล็กนอย), [น + วิ + หา ธาตุ จาเค ในความละ + อ ปจจัย] ๒. พรหมไม เสื่อมจากสมบัติของตน วิ. อตฺตโน สมฺปตฺติยา น วิหายนฺติ น หายนฺตีติ อวิหา (พรหมเหลาใด ไมละ คือไมเสื่อมจากสมบัติของตน เหตุนั้น พรหมเหลานั้นชื่อวา อวิหา) ที.อ.๒/๗๗ [น + วิ + หา ธาตุ จาเค ในความสละ + กฺวิ ปจจัย] ๓. พรหมผูที่ไมมีความลำบากใจ วิ. อถ วา


Click to View FlipBook Version