สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี
เพลงนารีรัตนา พ่อเคยบอกไว้จะท�ำเรื่องใดให้เสร็จดังฝัน เส้นทางเหล่านั้น ไม่เคยลาดโรยด้วยกลีบดอกไม้ แต่แก้วดวงหนึ่งช่างงาม ยังมุ่งเดินตามรอยเท้าพ่อไป ด้วยพลังที่ล้นดวงใจอันเปี่ยมศรัทธา มือจับปากกา สมุดทุกหน้า พากเพียรสร้างสรรค์ อุดมการณ์นั้น ยังคงยึดมั่น ไม่หวั่นปัญหา ป่าเขาล�ำเนาห่างไกล ความรักรินไปด้วยใจเมตตา เพื่อแผ่นดินที่ก�ำเนิดมาร่มเย็นสืบไป * นารีรัตนา แก้วใจประชาคุณค่าส่องใส แก้วงามสะท้อนแสงทองส่องใจ สว่างไสวด้วยหัวใจเพื่อแผ่นดินนี้ นารีรัตนา ผู้ยอมเหนื่อยล้าด้วยแรงที่มี แก้วที่ควรค่าการสดุดีคือหนึ่งนารีผู้เป็นที่รัก (*) ปวงไทยน้อมใจถวายศรัทธา ราชสุดา ผู้เป็นที่รัก... ค�ำร้อง : สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา และ ศิลปินอาสา ในโครงการปทุมมามหาสิกขาลัย วัดปทุมวนาราม ท�ำนอง : เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์ เรียบเรียง : เจษฎา สุขทรามร ขับร้อง : ธนพร แวกประยูร
ผู้รับผิดชอบ พิมพ์ครั้งที่ จ�ำนวน ISBN ออกแบบและพิมพ์ ผศ.ดร.สุภาวรรณ วงค์ค�ำจันทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 398 หมู่ 9 ถ.สวรรค์วิถี ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000 โทรศัพท์ 056-219100-29 แฟกซ์ 056-882522-23 1 (2558) 1000 เล่ม 978-616-406-434-8 หจก. ศุภกฤษการพิมพ์ 49 ถนนอัษฏาธร อ�ำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200 โทร. 053 231019 พรรณไม้ ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
สารจากอธิการบดี พืชมีความส�ำคัญมากเพราะพืชเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกๆ บนโลก พืชสร้างก๊าซ ออกซิเจน อาหาร เชื้อเพลิง และยา ซึ่งท�ำให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่ารวมทั้งมนุษย์ สามารถด�ำรงชีวิตอยู่ได้ แต่เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้น ปริมาณและความต้องการ ในการใช้พืชก็มากขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้พืชบางชนิดมีจ�ำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว และอาจสูญพันธุ์ไปในที่สุดหากเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ไว้ การอนุรักษ์ หมายถึง การใช้ทรัพยากรด้วยวิธีที่ฉลาดและเหมาะสม โดย ใช้อย่างประหยัดและเกิดประโยชน์มากที่สุด สิ่งที่ส�ำคัญ คือ ควรหาวิธีการที่จะ ท�ำให้มีทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ตลอดไป มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ มีนโยบายและโครงการต่างๆ ที่ได้สนอง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริฯ โดยโครงการจัดท�ำหนังสือ "พรรณไม้ใน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์" ฉบับนี้เป็นโครงการที่จัดท�ำขึ้นเนื่องในวโรกาส เฉลิมฉลองพระชนมายุครบ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี โดยมหาวิทยาลัยให้การสนับสนุนทั้งก�ำลังบุคลากร และงบประมาณ ในการจัดท�ำโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี 2557 และได้รับการจัดสรร งบประมาณในปี 2558 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ แก่นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป ( ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บัญญัติ ช�ำนาญกิจ ) อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง การรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ให้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากที่สุด และใช้ได้เป็นระยะเวลานานมากที่สุด ทั้งนี้จะต้องให้มีความสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์น้อยที่สุด แต่ใน ขณะเดียวกันสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนั้นให้คุ้มค่ามากที่สุด หรือ เรียกว่าการใช้อย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ตระหนักถึงความส�ำคัญดังกล่าว จึงได้ เข้าร่วมโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริฯ เพื่อส�ำรวจ ความหลากหลายพรรณพืชในบริเวณมหาวิทยาลัย พร้อมกับหาแนวทางใน การเพาะปลูกขยายพันธุ์และอนุรักษ์ต่อไป หนังสือ “พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์” ฉบับนี้จัดพิมพ์ ขึ้นเพื่อเป็นการสนองพระราชด�ำริตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่อง มาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ได้รับพระราชานุญาตให้สนองงานตาม โครงการดังกล่าว และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา โดยหวัง เป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียน การสอน และการ ค้นคว้าวิจัยทางด้านพฤกษศาสตร์ และการอนุรักษ์พรรณพืชของนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนครู อาจารย์ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยฯ ต่อไป ( ดร.ภิญโญ นิโรจน์ ) นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ สารจากนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ค�ำน�ำ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ได้ด�ำเนินการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช พัฒนาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน สู่เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้บุคคลที่สนใจได้มีโอกาสปฏิบัติงานศึกษาพรรณพืชที่มีอยู่ จ�ำนวนมากด้วยวิธีการเก็บรวบรวมเป็นฐานข้อมูลไว้แล้วผลิตเป็นสื่อในระหว่างสถาบัน และให้มีการ เผยแพร่ผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานและสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ร่วมสนองพระราชด�ำริเป็น ระยะๆ ในรูปแบบต่างๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ได้เข้าร่วมโครงการ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ และได้ให้ความส�ำคัญกับการด�ำเนินโครงการดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง หนังสือ "พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์" จัดท�ำขึ้นเนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลอง พระชนมายุครบ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้ประกอบ การเรียน การสอนสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งใช้ในการวิจัย ตลอดจนฝึกอบรมครู และนักเรียน จากโรงเรียนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร และ ชัยนาท ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ช่วยเหลือให้ด�ำเนินการจัดท�ำหนังสือ และหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ทางการศึกษาต่อไป รองศาสตราจารย์สุชาติ แสงทอง ผู้อ�ำนวยการส�ำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มงานอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและการพัฒนาทรัพยากรไทยมา ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2503 ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสืบสานพระ ราชปณิธานต่อในงานอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรประเทศ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยโครงการ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ ด�ำเนินการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช พัฒนาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน สู่เศรษฐกิจพอเพียง และให้มี การเผยแพร่ผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานและสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ร่วมสนองพระราชด�ำริเป็นระยะๆ ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย ทุกระยะ 2 ปี โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี (อพ.สธ.) ปัจจุบันมี 8 กิจกรรม โดยแบ่งตามกรอบด�ำเนินงาน 3 กรอบ ได้แก่ กรอบการเรียนรู้ ทรัพยากร (กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมปกปักพันธุกรรมพืช, กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมส�ำรวจรวบรวมพันธุกรรมพืช และกิจกรรมที่ 3 กิจกรรมปลูกรักษาพันธุกรรมพืช), 2) กรอบการใช้ประโยชน์ (กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์พันธุกรรมพืช, กิจกรรมที่ 5 กิจกรรมศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมพืช และกิจกรรมที่ 6 กิจกรรม วางแผนพัฒนาพันธุ์พืช) และ 3) กรอบการสร้างจิตส�ำนึก (กิจกรรมที่ 7 กิจกรรมสร้างจิตส�ำนึกการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืช และกิจกรรมที่ 8 กิจกรรมพิเศษสนับสนุนการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช) ทั้งนี้มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครสวรรค์ได้สนองพระราชด�ำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาตั้งแต่ระยะ 5 ปีที่ห้า (1 ตุลาคม 2554 - 30 กันยายน 2559) จนถึง ปัจจุบัน โดยการสนองพระราชด�ำริที่จะมุ่งเน้นทางด้านการศึกษา วิจัย ส่งเสริมและสืบสานโครงการอันเนื่อง มาจากแนวพระราชด�ำริเพื่อเป็นมหาวิทยาลัยพัฒนาท้องถิ่น นอกจากนี้แล้วยังสามารถบูรณาการโครงการ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริฯ กับการเรียนการสอนในรายวิชาสวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียน (School Botanical Garden) โครงงานชีววิทยา และวิชาความหลากหลายทางชีวภาพ และ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการจัดท�ำหนังสือพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ขอขอบคุณผู้บริหาร คณาจารย์ และ เจ้าหน้าที่ศูนย์ความหลากหลายฯ ทุกคน ที่มีส่วนช่วยเหลือในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางสาวพนิดา สีชมพู และนางสาวณฐมน จันทร เจ้าหน้าที่ประจ�ำศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมพรรณไม้ที่ส�ำรวจได้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ รวมทั้งศูนย์ การเรียนรู้ย่านมัทรี จ�ำนวน 300 ชนิด เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน การวิจัยการบริการวิชาการ และ เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชนทั่วไป รวมทั้งเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ 60 พรรษา (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภาวรรณ วงค์ค�ำจันทร์) สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ บทน�ำ
Content สารบัญ ก กรรณิการ์ 13 กรวยป่า 14 กระเจียน 15 กระเจี๊ยบเขียว 16 กระเชา 17 กระเช้าถุงทอง 18 กระดังงาไทย 19 กระดังงาสงขลา 20 กระดุมทอง 21 กระโดน 22 กระถินณรงค์ 23 กระทกรก 24 กระทงลาย 25 กระท้อน 26 กระทิง 27 กระทุ่ม 28 กระบก 29 กระบาก 30 กระบือเจ็ดตัว 31 กระเบา 32 กระพี้เขาควาย 33 กระพี้เครือ 34 กระพี้จั่น 35 กร่าง 36 กฤษณา 37 กล้วยน�้ำว้า 38 กล้วยพัด 39 กลอย 40 กลาย 41 ก้อม 42 กันเกรา 43 กัลปพฤกษ์ 44 การเวก 45 กาสะลองค�ำ 46 ก�ำแพงเจ็ดชั้น 47 กุ่มน�้ำ 48 กุ่มบก 48 เกด 50 เกล็ดกระโห้ 51 แก้ว 52 แก้วเจ้าจอม 53 แก้วตาไว 54 ข ขจร 55 ขนุน 56 ขมิ้นเครือ 57 ขลู่ 58 ข่อย 59 ขันทองพยาบาท 60 ขานาง 61 ข้าวตาก 62 ข้าวหลามดง 63 ขี้หนอน 64 ขี้เหล็กบ้าน 65 เขยตาย 66 เขือง 67 ไข่ดาว 68 ไข่เน่า 69 ค คงคาเดือด 70 คนทา 71 ค้อนกลอง 72 คอร์เดีย 73 คาง 74 ค�ำมอกหลวง 75 ค�ำรอก 76 เครือตดหมูตดหมา 77 เครือปลาสงแดง 78 แคเขา 79 แค 80 แคนา 81 แคแสด 82 แคหางค่าง 83 โคกกระออม 84 ไคร้ย้อย 85 ง งัวเลีย 86 ง้าว 87 งิ้ว 88 จ จั๋งจีน 89 จัน 90 จันทน์กะพ้อ 91 จันทน์ผา 92 จันทนาใบเล็ก 93 จามจุรี 94 จ�ำปา 95 จ�ำปี 96 จ�ำปีสิรินธร 97 จิกดง 98 จิกทะเล 99 จิกนา 100 แจง 101 ฉ ฉนวน 102 ช ชงโคดอกเหลือง 103 ชมพู่ 104 ชมพูพันธุ์ทิพย์ 105 ชมพู่มะเหมี่ยว 106 ชวนชม 107 ชะมวง 108 ช้างน้าว 109 ช�ำมะเลียง 110 ชิงชี่ 111 ชุมแสง 112 เชอรี่ 113 ด ดองดึง 114 ดอนญ่า 115 ดาหลา 116 ดีหมี 117 เดหลี 118 แดง 119 ต ต้อยติ่งเทศ 120 ตะโกนา 121 ตะโกพนม 122 ตะโกสวน 123 ตะขบบ้าน 124 ตะขบป่า 125 ตะขบฝรั่ง 126 ตะคร้อ 127 ตะคร้อหนาม 128 ตะคร�้ำ 129
ตะเคียนทอง 130 ตะแบกนา 131 ตะลิงปลิง 132 ตานด�ำ 133 ตานนม 134 ตาเบเหลือง 135 ตาลฟ้า 136 ต�ำลึง 137 ติ้วเกลี้ยง 138 ติ้วขน 139 ติ้วส้ม 140 ตีนเป็ดทะเล 141 เต็ง 142 ถ 143 ท ทองกวาว 144 ทองพันช่าง 145 ทองหลางลาย 146 เท้ายายม่อม 147 ไทรย้อยใบทู่ 148 ไทรย้อยใบแหลม 149 ธ ธนนไชย 150 น นนทรี 151 นมแมว 152 นมแมวซ้อน 153 น้อยหน่า 154 น้อยโหน่ง 155 น�้ำใจใคร่ 156 นีออน 157 บ บัวสวรรค์ 158 บานเช้าสีเหลือง 159 บานบุรีสีเหลือง 160 บาหยา 161 บุนนาค 162 บุหงาส่าหรี 163 ป ประดู่แดง 164 ประดู่บ้าน 165 ประดู่ป่า 166 ประยงค์ 167 ปรู๋ 168 ปลาไหลเผือก 169 ปอเต่าไห้ 170 ปาล์มน�้ำมัน 171 ปีบ 172 ปีบยูนาน 173 เปราะป่า 174 เปล้าน้อย 175 เปล้าใหญ่ 176 แปลงล้างขวด 177 ผ ไผ่ซางทอง 178 ไผ่รวก 179 ฝ ฝรั่ง 180 ฝาง 181 ฝ้ายค�ำ 182 พ พญาไร้ใบ 183 พนมสวรรค์ 184 พฤกษ์ 185 พลองเหมือด 186 พลับพลา 187 พลับพลึง 188 พวงชมพู 189 พวงแสดต้น 190 พะยอม 191 พะยุง 192 พิกุล 193 พุดดง 194 พุดฝรั่ง 195 พุดพิชญา 196 พุดร้อยมาลัย 197 พู่อมร 198 เพกา 199 แพงพวยฝรั่ง 200 โพ 201 โพทะเล 202 โพศรี 203 เฟื่องฟ้า 204 ม มะกรูด 205 มะกอก 206 มะกอกเกลื้อน 207 มะกอกน�้ำ 208 มะกัก 209 มะกา 210 มะเกลือ 211 มะเกลือเลือด 212 มะขวิด 213 มะขาม 214 มะเขือเปราะ 215 มะค่าแต้ 216 มะซาง 217 มะดัน 218 มะดูก 219 มะเดื่อปล้อง 220 มะเดื่ออุทุมพร 221 มะตาด 222 มะตูม 223 มะพร้าว 224 มะพอก 225 มะเฟือง 226 มะไฟ 227 มะม่วง 228 มะม่วงหัวแมลงวัน 229 มะม่วงหาวมะนาวโห่ 230 มะเม่าควาย 231 มะยม 232 มะริด 233 มะรุม 234 มะละกอ 235 มะลิไส้ไก่ก้านแดง 236 มะสัง 237 มะหวด 238 มะหาด 239 มะฮอกกานีใบเล็ก 240 มะฮอกกานีใบใหญ่ 241 เม่าสร้อย 242 โมกแดง 243 โมกบ้าน 244 โมกมัน 245 โมกราชินี 246 ย ยมหิน 247
ยอบ้าน 248 ยอป่า 249 ยางนา 250 ยางพารา 251 ย่านาง 252 ยูคาลิปตัส 253 ร รัก 254 รัง 255 รัตนพฤกษ์ 256 รากสามสิบ 257 ราชดัด 258 ราชพฤกษ์ 259 ราตรี 260 รามใหญ่ 261 ร�ำเพย 262 ล ลั่นทมขาว 263 ลั่นทมแดง 264 ล�ำดวน 265 เล็บมือนาง 266 เล็บเหยี่ยว 267 ศ ศรีตรัง 268 ส สมอไทย 269 สมอพิเภก 270 ส้มโอ 271 สวอง 272 สะแกเถา 273 สะแกนา 274 สะเดา 275 สะแอะ 276 สัก 277 สัตบรรณ 278 สาเก 279 สาธร 280 ส้านชะวา 281 สารภี 282 สาละ 283 เสลดพังพอนตัวผู้ 284 โสกเขา 285 โสกน�้ำ 286 ห หนวดปลาหมึก 287 หนามเกี่ยวไก่ 288 หนามแท่ง 289 หนามพรม 290 หนุมานประสานกาย 291 หม่อน 292 หมาก 293 หมามุ่ย 294 หมีเหม็น 295 หว้า 296 หางนกยูงฝรั่ง 297 หูกระจง 298 หูกวาง 299 เหมือดโลด 300 เหลืองอินเดีย 301 เหียง 302 อ อบเชย 303 อโศกอินเดีย 304 อ้อยช้าง 305 อินทนิลน�้ำ 306 อินทนิลบก 307 อินทผลัม 308 อินทรชิต 309 อุโลก 310 เอื้องทอง 311 เอื้องหมายนา 312 ดรรชนีชื่อพื้นเมืองและชื่อไทย 313 ดรรชนีชื่อวิทยาศาสตร์ 320 ดรรชนีชื่อวงศ์ 323 บรรณานุกรม 325
ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 13 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ลักษณะทั่วไป กรรณิการ์มีถิ่นก�ำเนิดในอินเดีย เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง ล�ำต้นและกิ่งก้านจะเป็นเหลี่ยม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ ใบสากดอกช่อ สีขาว โคนกลีบดอกเป็นหลอดสีส้มแดง ดอกของกรรณิการ์มีกลิ่นหอม แรง บานกลางคืนออกดอกตลอดปี ผลแบนรูปไข่กลับ เมื่อแห้งแตกได้ การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และการปักช�ำกิ่ง ประโยชน์ รากมีสรรพคุณขับลม บ�ำรุงผิวหนังให้สดใส บ�ำรุงก�ำลัง แก้ผมหงอก ต้นมีสรรพคุณแก้ ปวดศีรษะ แก้ไข้ ใบมีสรรพคุณบ�ำรุงน�้ำดี ขับน�้ำดี แก้ปวดตามข้อ เป็นยาระบาย เป็นยาเจริญอาหาร แก้ปวดท้อง แก้ไข้ ดอกมีสรรพคุณแก้ไข้ บ�ำรุงหัวใจ แก้พิษทั้งปวง บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์ การเรียนรู้ย่านมัทรี กรรณิการ์ Nyctanthes arbor-tristis L. OLEACEAE กณิการ์ กรณิการ์
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดเล็กถึงกลาง ล�ำต้นเปลาตรง เปลือกนอกสีเทาปนน�้ำตาล เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด เปลือกในสีน�้ำตาลแดง ใบเดี่ยวเรียงสลับ โคนใบมนปลายใบแหลมทู่หรือมน ด้านบนใบเกลี้ยงเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างใบมีขนสีเทานุ่ม ขอบใบหยักเป็นคลื่นมนๆ แผ่นใบเมื่อส่องกับแดด จะเห็นต่อมโปร่งแสงมีลักษณะ กระจายทั่วไป ดอกขนาดเล็กสีเขียวอ่อน ออกเป็นกระจุกตามกิ่ง กลีบรองดอกมี 4 กลีบ รูปงองุ้มแต่ละกลีบไม่ ติดกัน ด้านนอกมีขนหนาแน่น ส่วนด้านในเกลี้ยง ไม่มีกลีบดอก ผลรูปรี โต ผลแก่จัดสีเหลือง ผิวเป็นมัน การขยาย พันธุ์การเพาะเมล็ด ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ท�ำด้ามเครื่องมือทางการเกษตร เปลือกมีสรรพคุณเป็นยาบ�ำรุง ก�ำลัง แก้ท้องเสีย ใบมีสรรพคุณรักษาโรคพิษกาฬโรคผิวหนัง แก้ไข้ เมล็ดให้น�้ำมันมีสรรพคุณทารักษาโรคผิวหนัง รักษาริดสีดวงทวาร ใช้เบื่อปลา บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 14 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ Casearia grewiifolia Vent. var. grewiifolia FABACEAE สีเสื้อหลวง ก้วย (เหนือ) ขุนเหยิง (สกลนคร) คอแลน (อีสาน) ตวย (เพชรบุรี) หมากผ่าสาม (นครพนม อุดรธานี) กรวยป่า
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 12 - 20 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปใบหอกหรือรูปรี ดอกสีเขียวแกมเหลือง ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ 2 - 3 ดอก ดอกย่อยที่ซอกใบ มีขนเล็กน้อย ผลกลุ่มมีหลายผลย่อยรวมเป็นช่อ ผลย่อย ทรงรูปไข่ เมื่อสุกสีแดง การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ รากต้มน�้ำดื่ม แก้กษัย (อาการป่วยที่เกิดจาก หลายสาเหตุ ท�ำให้ร่างกายเสื่อมโทรมซูบผอม โลหิตจาง ปวดเมื่อย) บริเวณที่พบศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 15 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) กระเจียน Polyalthia cerasoides (Roxb.) Benth. ex Bedd. ANNONACEAE ค่าสามซีก (เชียงใหม่) แคหาง (ราชบุรี) จันทน์ดง ทรายเด่น (ขอนแก่น) กะเจียน พญารากด�ำ (ชลบุรี) โมดดง (ระยอง) สะบันงาป่า (ภาคเหนือ) เสโพลส่า (ไทยใหญ่-แม่ฮ่องสอน) เหลือง (ล�ำปาง)
Abelmoschus esculentus L. MALVACEAE กระต้าด (สมุทรปราการ) กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือ มะเขือมอญ มะเขือทะวาย ทวาย (ภาคกลาง) มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือละโว้ มะเขือขื่น มะเขือมื่น (ภาคเหนือ) ถั่วเละ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กระเจี๊ยบเขียว ลักษณะทั่วไป พืชยืนต้น อายุประมาณ 1 ปี ล�ำต้นมีขนหยาบและมีความสูงประมาณ 1 - 2 เมตร ลักษณะใบเป็น ใบเดี่ยว คล้ายฝ่ามือ ปลายแหลมเหมือนหอกใบเรียงสลับกัน และมีขนหยาบ กลีบดอกมีสีเหลือง ที่โคนกลีบด้านใน มีสีม่วงออกแดง ออกตามซอกใบ ฝักดูคล้ายนิ้วมือผู้หญิงมีขนอ่อนๆ สีขาวอยู่ทั่วฝัก มีสันเป็นเหลี่ยมตามยาว 5 เหลี่ยม ฝักกระเจี๊ยบมีทรงยาวสีเขียว การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ รักษาโรคกระเพาะอาหารและ ล�ำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะ อาหารและล�ำไส้ ช่วยในการระบายและสามารถแก้พยาธิตัวจี๊ดได้ บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 16 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
กระเชา Holoptelea intergrifolia Planch. ULMACEAE กระเชา (ภาคกลาง) กระเจา กระเจ้า (ภาคกลาง ภาคใต้) กระเจาะ ขจาว ขเจา ขะเจา (ภาคใต้) กระเช้า (กาญจนบุรี) กระเชาะ (ราชบุรี) กาซาว (เพชรบูรณ์) ขะจาวแจง ฮังคาว (ภาคเหนือ) พูคาว (นครพนม) มหาเหนียว (นครราชสีมา) ฮ้างคาว (เชียงราย อุดรธานี ชัยภูมิ) ตะสี่แค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นผลัดใบ สูง 15 - 30 เมตร เรือนยอดรูปไข่ค่อนข้างทึบ ล�ำต้นเปลาตรง เปลือกสีน�้ำตาล ปนเทา แตกเป็นร่องตามยาวล�ำต้น ใบเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียว ใบรูปไข่ ขอบใบเรียบ ดอกสีม่วงเข้ม ดอกมี ขนาดเล็ก ออกรวมเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามง่ามใบ กลีบเลี้ยงสีเหลืองอ่อน 3 - 5 กลีบ ไม่มีกลีบดอก ผลแห้ง มีปีกล้อมรอบ ทรงกลมและแบน ปลายแยกเป็นสองแฉกสีเขียวอ่อน ผลแห้งสีน�้ำตาล เมล็ดรูปรีเส้นนูนล้อมรอบ เมล็ด การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ ใบและเปลือกปรุงเป็นยาแก้ปวดข้อ โรคเรื้อน ก�ำจัดเห็บ และ หมัด บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 17 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
Aristolochia pothieri Pierre ex Lecomte ARISTOLOCHIACEAE กระเช้าพรรคมาร กระเช้าสีดา กระเช้าถุงทอง ลักษณะทั่วไป ไม้เถาล้มลุก ใบเดี่ยวรูปสามเหลี่ยมมีหยักลึก 2 ข้าง ปลายใบแหลม ดอกออกเป็นช่อออกตาม ง่ามใบ 8 - 20 ดอก กลีบรวมสีน�้ำตาลแดงหรือม่วงอมน�้ำตาล โคนเป็นกระเปาะ ส่วนปลายแบน ผลแห้งแล้วแตก ลักษณะเป็นกระเช้ามีเมล็ดแบนจ�ำนวนมาก การขยายพันธุ์ ใช้เหง้า การเพาะเมล็ด ประโยชน์ หัวใต้ดินฝานเป็น แว่นต้มดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ ฝนทาหัวฝี บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 18 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
กระดังงาไทย Cananga odorata (Lam.) Hook.f. & Thomson ANNONACEAE กระดังงาใบใหญ่ (กลาง) สะบันงา สะบันงาต้น (เหนือ) ลักษณะทั่วไป ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข่ยาว ปลายแหลม โคนมนหรือเว้า ขอบเรียบ หรือเป็นคลื่น ช่อดอกสั้น ออกห้อยรวมกันบนกิ่งเหนือรอยแผลใบ ดอกอ่อนกลีบสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีคล�้ำจนเกือบด�ำ เมล็ดสีน�้ำตาลอ่อน รูปไข่แบน การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง ประโยชน์ รากมีสรรพคุณคุมก�ำเนิด ต้นและเนื้อไม้มีสรรพคุณขับปัสสาวะ ใบมี สรรพคุณรักษาโรคผิวหนัง ขับปัสสาวะ ดอกมีสรรพคุณแก้ลมวิงเวียน บ�ำรุงร่างกาย บ�ำรุงหัวใจ บ�ำรุงเลือด แก้ไข้ เกสรมีสรรพคุณแก้กระหายน�้ำ แก้ไข้ ช่วยให้เจริญอาหาร บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 19 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
Cananga odorata (Lam.) Hook.f. & Thomson var. fruticosa (craib) Comer ANNONACEAE กระดังงาสาขา (กรุงเทพฯ) กระดังงางอ (ยะลา-มลายู) กระดังงาเบา (ภาคใต้) กระดังงอ (มาเลย์ - ยะลา) ดังงา กระดังงาสงขลา ลักษณะทั่วไป กระดังงาสงขลามีถิ่นก�ำเนิดที่สงขลา เป็นไม้พุ่มสูง 1 - 2.5 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่หรือ รูปขอบขนาน กว้าง 7 - 9 ซม. ยาว 10 - 18 ซม. ดอกช่อออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเรียงยาว บิดเป็นเกลียว เรียงหลายชั้น ชั้นละ 3 กลีบ สีเขียวแกมเหลือง กลิ่นอ่อน ผลเป็นผลกลุ่ม การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง ประโยชน์ ดอกมีสรรพคุณเป็นยาบ�ำรุงหัวใจ ใช้ได้เช่นเดียวกับกระดังงาไทย เนื้อไม้และใบไม้ใช้เป็น ยาขับปัสสาวะ บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 20 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
กระดุมทอง Melampodium divaricatum (Rich. ex Pers.) DC. ASTERACEAE กระดุมทอง พิกุลทอง (กรุงเทพฯ) ลักษณะทั่วไป ล�ำต้นตั้ง สูง 30 - 50 ซม. ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีกว้างหรือรูปไข่ ปลายแหลม โคนสอบ ขอบใบเรียบหรือหยักซี่ฟัน ช่อดอกแบบช่อกระจุก ออกเดี่ยวๆ หรือออกเป็นคู่ตามง่ามใบใกล้ยอด ดอกวงนอกเป็น ดอกเพศเมียมี 8 - 12 ดอก กลีบดอกสีเหลือง รูปรี ดอกวงใน ลักษณะเหมือนดอกเพศเมียแต่รังไข่ไม่สมบูรณ์ ดอกเพศผู้ขนาดเล็กมากและเป็นหมัน อยู่กลางกระจุกดอก ผลรูปสามเหลี่ยม ยอดแบน เมล็ดเล็ก สีด�ำเป็นมัน การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ รักษาโรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันได้เป็นอย่างดี บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 21 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
Careya sphaerica Roxb. LECYTHIDACEAE กระโดนโคก กระโดนบก ปุย (ใต้ เหนือ) ปุยกระโดน (ใต้) ปุยขาว ผ้าฮาด (เหนือ) หูกวาง (จันทบุรี) ต้นจิก (ภาคกลาง) พุย (เชียงใหม่) ขุย กะนอน กระโดน ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 10 - 20 เมตร ผลัดใบก่อนออกดอก เปลือกล�ำต้นสีน�้ำตาลเทาหรือด�ำ ทรงพุ่มรูปไข่ ใบเดี่ยวเรียงเวียนที่ปลายกิ่ง ใบรูปไข่ รูปขอบขนาน ขอบใบหยัก ปลายใบมน ใบค่อนข้างอวบน�้ำ ดอกช่อแบบกระจุก ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอก 4 กลีบ สีเขียวอ่อน เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนมาก ก้านชูอับเรณูสีขาว สีแดง เรียงเป็นสามชั้น ทั้งสามชั้นเชื่อมติดกัน ผลสดรูปกลม หรือรี มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ เมล็ดมีรูปร่างแบน สีน�้ำตาล อ่อน การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ เปลือกต้น รสฝาดเมา แช่น�้ำดื่มแก้ปวดท้อง ท้องเสีย แก้พิษงู แก้อักเสบจากงูกัด ใช้เป็นยาสมานแผล แก้เคล็ดเมื่อย ใบ รสฝาด ใช้รักษาแผลสด โดยนึ่งให้สุกใช้ปิดแผล หรือ ปรุงเป็นน�้ำมันสมานแผล ดอก รสสุขุมบ�ำรุงร่างกายหลังคลอดบุตร แก้หวัด แก้ไอ ท�ำให้ชุ่มคอ ผล รสจืดเย็น ช่วยย่อยอาหาร บ�ำรุงหลังคลอด บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 22 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
กระถินณรงค์ Acacia auriculiformis A. Cunn. ex Benth. FABACEAE กระถินป่าหรือ กระถินแดง ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมทึบ กิ่งห้อยย้อย เปลือกสีน�้ำตาลถึงสีน�้ำตาลเข้ม ใบประกอบเเบบขนนกสองชั้น เมื่อยังเป็นกล้าอยู่และร่วงไปเมื่อโตขึ้นเหลือเพียงก้านใบแล้วเปลี่ยนรูปคล้ายเเผ่นใบ เรียง สลับถี่และห่างเป็นระยะ ใบรูปขอบขนานกว้าง 1 - 6 ซม. ยาว 8 - 20 ซม. ปลายและโคนใบเรียวแหลม โค้งเป็นรูปเคียว แผ่นใบหนา สีเขียว ดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อแยกเเขนงเป็นคู่ๆ ที่ซอกใบและปลายกิ่งยาว 4 - 10 ซม. มีดอกย่อยขนาดเล็กจ�ำนวนมาก โคนกลีบเลี้ยงติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนกลีบดอกติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก โค้ง กลับลง เกสรเพศผู้สีเหลืองจ�ำนวนมาก ผลแห้งเเตกเป็นฝักแบนสีเขียว ม้วนบิดเป็นวง 1 - 3 วง เมื่อแก่มีสีน�้ำตาลและ แตกออกทั้งสองด้าน เมล็ดสีน�้ำตาลด�ำเป็นมัน 5 - 12 เมล็ด การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ ใช้เป็นพืชเบิกน�ำ ในการปลูกป่าในพื้นดินเสื่อมโทรม ใช้ตัดฟันเป็นไม้ฟืนเชื้อเพลิงและประโยชน์อื่นๆ เช่นเผาถ่าน ท�ำเฟอร์นิเจอร์ และเป็น วัตถุดิบส�ำหรับอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 23 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
Passiflora foetida L. PASSIFLORACEAE ผักแคบฝรั่ง (ภาคเหนือ) รก (ภาคกลาง) กระโปรงทอง (ภาคใต้) กระทกรก ลักษณะทั่วไป ไม้เถาเลื้อย กลิ่นเหม็นเขียว ทุกส่วนมีขน ใบเดี่ยว เรียงสลับ มี 3 - 5 พู ขอบมีขน แบนราบ ดอกเดี่ยว ขนาด 5 ซม. รองรับด้วยวงใบระดับ 3 ใบ ซึ่งเป็นใบละเอียดฝอยมีตุ่มติดอยู่ ตามขอบ กลีบเลี้ยงสีขาวมีเส้นสีเขียวแทรก รูปไข่ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาว รูปขอบขนาน รยางค์ สีขาว ผลกลมขนาด 2.5 ซม. ยอดรับประทานเป็นผัก ผลสุกรับประทานได้ พบขึ้นทั่วไปทุกภาค การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ รากแก้ความดันโลหิตสูง เถา และรากสด ต้มเป็นยาแก้ปัสสาวะขุ่นข้น บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 24 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
กระทงลาย Celastrus paniculatus Willd. CELASTRACEAE นางแตก (นครราชสีมา) มะแตก มะแตกเครือ มักแตก (ภาคเหนือ ภาคอีสาน) กระทงลาย กระทุงลาย โชด (ภาคกลาง) หมากแตก ลักษณะทั่วไป ไม้เถารอเลื้อย เนื้อแข็ง ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปวงรีหรือรูปวงรีแกมขอบขนาน ดอกช่อออกดอก ที่ปลายกิ่งและซอกใบ กลีบดอกสีเขียว ผลแห้งแตกได้รูปทรงกลมหรือรูปไข่ เมล็ดมีเยื่อสีน�้ำตาลแดง การขยาย พันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ รากใบและเถามีสรรพคุณแก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ไข้ บ�ำรุงน�้ำนมหลังคลอดบุตร เนื้อไม้มีสรรพคุณแก้วัณโรค ผลและเมล็ดมีสรรพคุณรักษาโรคปวดตามข้อ รักษาโรคเหน็บชา ขับเหงื่อ น�้ำมันมี สรรพคุณแก้เหน็บชาและขับเหงื่อ บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 25 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 26 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ลักษณะทั่วไป ไม้ยืนต้น สูง 15 - 30 เมตร ใบ เป็นใบประกอบมี 3 ใบย่อย ออกใกล้ปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ ปลายใบ แหลม ขอบใบเรียบใบอ่อนมีขนนุ่มปกคลุม ดอก เป็นดอกช่อแบบแยกแขนง ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยงมีขนหนา ก้านดอก กลีบปลายแยกเป็น 5 พู กลีบดอกแยกกันมี 5 กลีบ เกสรเพศผู้เชื่อมกันเป็นหลอดมีขน อับเรณู 10 อัน ผลมีเปลือกหนาสีน�้ำตาลหุ้มผล เมล็ดมีเนื้อคล้ายวุ้นห่อหุ้ม การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง การเสียบยอด และการติดตา ประโยชน์ ราก แก้ไข้ แก้ท้องเสีย เปลือกต้น ต้มน�้ำดื่มแก้ท้องเสีย รักษา กลากเกลื้อน แก้ฝี ใบแก้ไข้ ดอกแก้ท้องเสีย แก้บวม ผลแก้ท้องเสียแก้บวม แก้พยาธิ บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Sandoricum koetjape Merr. MELIACEAE สะตู สตียา (นราธิวาส) สะโต (ปัตตานี) เตียนล่อน สะท้อน (ภาคใต้) มะติ๋น (ภาคเหนือ) มะต้อง (อุดรธานี ภาคเหนือ) กระท้อน
ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 27 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ลักษณะทั่วไป ไม้ต้น สูงได้ถึง 20 เมตร ล�ำต้นค่อนข้างสั้น แตกกิ่งต�่ำ เปลือกสีน�้ำตาลอมเทา เป็นสะเก็ด ยอดอ่อน มีขนสีน�้ำตาลแดงประปราย ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่กลับหรือรูปรี ปลายใบหยักเว้าเล็กน้อยเส้นแขนงใบชิด และขนานกัน ดอกสีขาว กลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นช่อกระจะตามซอกใบ และปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงและกลีบดอก มี 4 กลีบ แต่ละชนิดเรียงเป็นคู่สองชั้น ผลกลมแบบผลมีเนื้อ เมล็ดเดี่ยวแข็ง การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด และ วิธีการตอนกิ่ง ประโยชน์ ดอกมีสรรพคุณบ�ำรุงหัวใจ เมล็ดหุงเป็นน�้ำมันแก้ปวดข้อ เปลือกต้นแก้คันสมานแผล บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี กระทิง Calophyllum inophyllum L. CALOPHYLLACEAE ทิง เนาวกาน สารภีทะเล สารภีแนน
ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 28 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร กิ่งออกเกือบตั้งฉากกับล�ำต้น แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม สั้นอยู่ด้านล่าง ดอกสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อกระจุกแน่น กลม ดอกเล็กอัดกันแน่น กลีบเลี้ยงเป็น หลอดสั้นกลีบดอกสีเหลือง เชื่อมกันเป็นหลอดยาวรูปดอกเข้ม ผลเป็นกระจุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีน�้ำตาล การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ ใบและเปลือกต้น ลดความดันโลหิต ต้มน�้ำกินแก้ไข้ แก้ปวดมดลูก แก้โรคล�ำไส้ และอมกลั้วคอแก้อาการอักเสบของเยื่อเมือกในปาก ราก ฝนหรือต้มรับประทานเป็นยาเย็นดับพิษไข้ ทั้งปวง แก้ตัวร้อน ผลเป็นยาฝาดสมานแก้ท้องร่วง บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Anthocephalus chinensis (Lamk.) A. Rich. ex Walp. RUBIACEAE ตับเต่าต้น ตานควาย (อุบลราชธานี) กระทุ่มหูกวาง (ราชบุรี) หูกวาง (พิษณุโลก) ตุ้มหูกวาง ตุ้มปึง ตุ้มโป่ง ตับควาย จับล่อ (เหนือ) ละลาย (นครราชสีมา) หลุมปัง (สุราษฎร์ธานี) ตับเต่าน้อย เต้าแล้ง ตองแล้ง กระทุ่ม
ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 29 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 30 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือรูปไข่ ปลายใบ แหลม โคนใบมน ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ดอกย่อยขนาดเล็กจ�ำนวนมาก มี 5 กลีบ สีขาว แกมเหลือง ผลสด ทรงกลมรี มีเมล็ดเดียว ผลสุกสีเหลือง การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ ล�ำต้น ต้มน�้ำดื่ม รักษาโรคปอดพิการ แก้ไอเป็นเลือด ผสมเหง้าขมิ้นอ้อย รากทองแมว เมล็ดงา ครั่ง มดแดง และเกลือ ต้มน�้ำดื่ม แก้เคล็ดยอก เปลือกต้น ผสมล�ำต้นเหมือดโลด ใบหวด หม่อน ล�ำต้นเม่าหลวง และเปลือกต้นมะรุม ต�ำพอก แก้ปวด บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี กระบก Irvingia malayana Oliv. ex A.W. Benn. IRVINGIACEAE กะบก จะบก (ภาเหนือ) หมากบก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มะมื่น (ภาคเหนือ) มะลื่น หมักลื่น (สุโขทัย นครราชศรีมา)
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดใหญ่ ล�ำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอก เปลือกนอกหนาสีน�้ำตาลเทา แตกร่องและเป็นสะเก็ด เปลือกในสีน�้ำตาลแดงสลับเหลือง ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบขอบขนาน ปลายใบมนทู่หรือเป็น ติ่งสั้นๆ โคนใบสอบมน ขอบใบหยักเว้าเล็กน้อย ผิวใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนสีน�้ำตาลแกมเหลือง เส้นแขนง ใบ 16 - 27 คู่ ปลายเส้นโค้งจรดกันก่อนถึงขอบใบ ดอกสีขาวถึงเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ผลค่อนข้าง กลม มีปีกยาว 2 ปีก ปีกสั้น 3 ปีก การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ เนื้อไม้สีน�้ำตาลอมเหลืองถึง สีน�้ำตาลแก่ใช้ในการก่อสร้างในร่ม ท�ำไม้แบบ และหีบใส่ของ บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์ การเรียนรู้ย่านมัทรี Anisoptera costata Korth. DIPTEROCARPACEAE กระบาก ตะบาก (ล�ำปาง) กระบากขาว (ชลบุรี ชุมพร ระนอง) กระบากโคก (ตรัง) กระบากช่อ กระบากด้าง กระบากด�ำ (ชุมพร) กระบากแดง (ชุมพร ระนอง) ชอวาตาผ่อ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) บาก (ชุมพร) ประดิก (เขมร-สุรินทร์) พนอง (จันทบุรี ตราด) หมีดังว่า (กะเหรี่ยง-ล�ำปาง) กระบาก ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 30 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบเรียงสลับเวียนรอบกิ่ง รูปใบหอก หรือรูปใบหอกแกมรูปไข่ หลังใบสีเขียวเป็นมัน ท้องใบสีแดง ดอกช่อเป็นดอกเล็กสีเหลืองออกที่ปลายกิ่ง ผลแห้ง แตกได้ การขยายพันธุ์ การปักช�ำกิ่ง ประโยชน์ ใบมีสรรพคุณขับเลือด ขับน�้ำคาวปลา แก้ไข้ แก้ฟกช�้ำ ด�ำเขียว แก้พิษบาดทะยัก กระพี้และเนื้อไม้มีสรรพคุณลดไข้ ถอนพิษ ส่วนยางมีสรรพคุณใช้เบื่อปลา บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี กระบือเจ็ดตัว Excoecaria cochinchinensis Lour. var. cochinchinensis EUPHORBIACEAE กระบือเจ็ดตัว (ภาคกลาง) บัว บัวลา กระทู้ กระทู้เจ็ดแบก (ภาคเหนือ) ต้นลิ้นควาย ตาตุ่มไก่ ตาตุ่มนก ก�ำลังกระบือ ลิ้นกระบือ ลิ้นกระบือขาว ใบท้องแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 31 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป กระเบาใหญ่เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนาน ดอกเดี่ยวหรือช่อสั้น ออกดอก ที่ซอกใบ แยกเพศอยู่คนละต้น ต้นตัวเมียเรียกกระเบา ต้นตัวผู้เรียกแก้วกาหลง กลีบดอกสีม่วงจาง ผลเป็นผลสด รูปกลม เปลือกหนา มีขนก�ำมะหยี่สีน�้ำตาล มีเมล็ดจ�ำนวนมาก การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ เมล็ด และเมล็ดในมีสรรพคุณแก้โรคผิวหนังผื่นคัน รักษาโรคบนศีรษะ รักษาโรคเรื้อนและวัณโรค เป็นยาถ่ายพยาธิ บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Hydnocarpus anthelminthicus Pierre. ex Laness FABACEAE กระเบา กระเบาน�้ำ กระเบาข้าวแข็ง กระเบาข้าวเหนียว กระตงดง (เชียงใหม่) ดงกะเปา (ล�ำปาง) กระเบาใหญ่ (นครราชสีมา) หัวค่าง (ประจวบคีรีขันธ์) เบา (สุราษฎร์ธานี) กุลา กาหลง (ปัตตานี) มะกูลอ (ภาคเหนือ) กระเบาเบ้าแข็ง กระเบาใหญ่ กาหลง แก้วกาหลง (ภาคกลาง) เบา (ภาคใต้) กระเบา ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 32 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ เรือนยอดเป็นทรงพุ่มสูง เปลือกนอกสีน�้ำตาลเทา เรียบหรือแตก เป็นสะเก็ด เปลือกในเมื่อถากมีสีแดง ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายหยักเว้า โคนสอบรูปลิ่ม หรือมนเล็กน้อย ใบแก่เกลี้ยง ดอกสีขาวชมพู ออกพร้อมผลิใบใหม่ เป็นช่อตามง่ามใบใกล้ยอด ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน ปลายและโคนมน ส่วนใหญ่มีเพียง 1 เมล็ด บางครั้งมี 4 เมล็ด การขยายพันธุ์ การ เพาะเมล็ด ประโยชน์ เนื้อไม้สีน�้ำตาลอ่อน แก่นสีน�้ำตาล มีเส้นสีเข้ม เสี้ยนตรง แข็งและเหนียวทนทานมาก เลื่อยไสกบตกแต่งยาก แต่ขัดมันได้ดี ใช้ท�ำเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องกลึง เครื่องแกะสลัก ด้ามเครื่องมือ ต่างๆ เช่น กลอง จะเข้ ขลุ่ย รางระนาด ลูกระนาด และพานท้ายปืนได้สวยงาม และมีราคาแพง บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี กระพี้เขาควาย Dalbergia cultrata Graham ex Benth. FABACEAE กระพี้ (ภาคกลาง) ก�ำพี้ (เพชรบูรณ์) จักจั่น เวียด (เงี้ยว เชียงใหม่) อีเม็งใบมน (อุดรธานี) เก็ดด�ำ อีเฒ่า เก็ดเขาควาย (ภาคเหนือ) แดงดง (เลย) ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 33 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป ไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5 - 9 ใบ เรียงสลับ รูปไข่กลับหรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายมน เว้าตรงกลางเล็กน้อยหรือมีติ่งแหลมสั้นๆ โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา ช่อดอกแยกแขนงสั้นๆ ที่ปลายกิ่ง ดอกเล็ก รูปดอกถั่วมีจ�ำนวนมาก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ติดกันเป็น หลอดสั้นๆ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาว เกสรเพศผู้ 9 อัน ก้านชูอับเรณูติดกันเป็นแผ่น รังไข่มีขนประปราย ฝักแบน รูปขอบขนาน ปลายแหลมหรือมน ฝักแก่ไม่แตก มี 1 - 2 เมล็ด เมล็ดสีน�้ำตาล รูปไต แบน การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ ล�ำต้นใช้ต้มกับน�้ำดื่มเป็นยาแก้ผิดส�ำแดง บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Dalbergia foliacea Wall. ex Benth. FABACEAE ระพี้เครือ (กาญจนบุรี ภาคเหนือ) ถ่อนเครือ (นครราชสีมา) ประดู่แล้ง (เลย) หางไหลเถา (ราชบุรี) กระพี้เครือ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 34 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 8 - 20 เมตร ผลัดใบแต่ผลิใบใหม่เร็ว เปลือกค่อนข้างเรียบ สีเทาอมน�้ำตาล แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ เรียงสลับ ใบย่อย 6 - 8 คู่ เรียงตรงข้าม ใบย่อยรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ เส้นแขนงข้างละ 6 - 10 เส้น ดอกสีม่วงแกมขาว ออกเป็นช่อแบบ ช่อแยกแขนงตามปลายกิ่งและเหนือรอยแผลใบ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันคล้ายรูประฆัง ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีม่วงด�ำ กลีบดอก 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 10 อัน ผลเป็นฝักแห้งแตก ทรงขอบขนานปลายแหลม ขอบฝักเป็นเส้นหนาแข็ง สีน�้ำตาลแกมเหลือง เมล็ดกลมแบน การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้าง ท�ำด้ามเครื่องมือ แกะสลักท�ำดินสอ และเยื่อกระดาษ ใบอ่อนรับประทานได้ บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ ย่านมัทรี กระพี้จั่น Millettia brandisiana Kurz FABACEAE จั่น ปี้จั่น ปี๊จั่น พี้จั่น ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 35 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้น แตกกิ่งต�่ำ เรือนยอดกว้าง มียางขาวและมีรากอากาศ ล�ำต้น กิ่งและใบเกลี้ยง ใบเรียงเวียน รูปรี หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ช่อดอกมีรูปร่างคล้ายผล ผลแบบมะเดื่อ รูปไข่ ผลสุกสีเหลือง การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด หรือโดยวิธีทางธรรมชาติที่ นก หรือ ค้างคาวจะกินผลแล้วถ่ายมูลที่มีเมล็ดติดอยู่ไปยังที่ต่างๆ หรือ จะขยายพันธุ์ด้วยการปักช�ำ หรือการตอนกิ่ง ประโยชน์ ผลสุกใช้รับประทานมีฤทธิ์เป็นยาระบาย รากน�ำมาเคี้ยว เพื่อช่วยป้องกันโรคเหงือกบวม บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Ficus altissima Blume MORACEAE นิโครธ หรือ ไทรนิโครธ (กรุงเทพฯ) ภาษาสันสกฤตเรียกว่า “บันยัน” (Banyan) ในภาษาฮินดูเรียกว่า “บาร์คาด” (Bargad) ส่วน “กร่าง” ภาคกลาง กร่าง ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 36 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้น ใบเรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข่กลับ ก้านดอกยาว ผลค่อนข้างกลมและมีขนประปราย ที่โคน ผลมีกลีบเลี้ยงติดทน ซึ่งมีขนาดขยายใหญ่ขึ้น เมล็ดกว้างประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 1 ซม. การขยายพันธุ์ การตอนกิ่ง และการปักช�ำ ประโยชน์ เนื้อไม้และแก่นมีสรรพคุณบ�ำรุงหัวใจ บ�ำรุงก�ำลัง บ�ำรุงโลหิต แก้ลม แก้ไข้ บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี กฤษณา Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte THYMELAEACEAE สีเสียดน�้ำ (บุรีรัมย์) ตะเกราน�้ำ (จันทบุรี) ไม้หอม (ภาคตะวันออก ภาคใต้) ไม้พวง มะพร้าว (ภาคใต้) กายูการู กายูกาฮู กายูดึงปู (ปัตตานี มาเลเซีย) ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 37 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป พืชใบเลี้ยงเดี่ยว ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร ล�ำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นล�ำต้นเทียมสี เขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 25 - 40 ซม. ยาว 1 - 2 เมตร ปลายใบมน ขอบใบ เรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีนวลสีขาว เส้นใบขนานกันในแนวขวาง ก้านใบเป็นร่องแคบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลาย ยอดห้อยลง เรียกว่าหัวปลี มีใบประดับขนาดใหญ่หุ้มสีแดงเข้มเมื่อบานจะม้วนงอขึ้น ด้านนอกมีนวล ด้านในเกลี้ยง ผล รูปรี ยาว 11 - 13 ซม. ผิวเรียบ ปลายเป็นจุก เนื้อในมีสีขาว พอสุกเปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน รับประทานได้ หวีหนึ่ง มี 10 - 16 ผล บางครั้งมีเมล็ด เมล็ดกลม สีด�ำ การขยายพันธุ์ การแยกหน่อ ประโยชน์ รากแก้ขัดเบา ต้นห้ามเลือด แก้ โรคไส้เลื่อน ใบ รักษาแผลสุนัขกัด ห้ามเลือด ยางจากใบ ห้ามเลือด สมานแผล ผลดิบหรือห่าม ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผล และแก้ท้องเสียไม่รุนแรง ผลสุก ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้ท้องอืด ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคเลือดออก ตามไรฟัน บ�ำรุงกระดูก ฟัน และเหงือกให้แข็งแรง ลดการเจ็บคอ เจ็บหน้าอกที่มีการไอแห้งร่วม บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Musa sapientum L. MUSACEAE กล้วยมะลิอ่อง (จันทบุรี) กล้วยใต้ (เชียงใหม่ เชียงราย) กล้วยอ่อง (ชัยภูมิ) กล้วยตานีอ่อง (อุบลราชธานี) กล้วยน�้ำว้า ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 38 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้น ล�ำต้นตรงกลม มีข้อสั้นๆ คล้ายตาล สูงถึง 20 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่มากคล้าย ใบกล้วย รูปใบขอบขนาน เรียงกันเป็นสองทาง สลับซ้ายขวาจนถึงยอด ท�ำให้มีลักษณะคล้ายพัดขนาดใหญ่ ก้านใบยาวและหุ้มล�ำต้นไว้ ดอกสีขาวออกเป็นช่อตามซอกใบ ใบประดับแข็งๆ เป็นกาบคล้ายเรือหุ้มช่อดอก โดยกาบนี้จะเรียงสลับกันซ้ายขวา เป็นช่อแบนๆ ดอกย่อยเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีหลายดอกในแต่ละใบประดับ การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การแยกหน่อ ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี กล้วยพัด Ravenala madagascariensis F. J. Sonn. STRELITZIACEAE กล้วยฝรั่ง กล้วยลังกา กล้วยศาสนา ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 39 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป ไม้เถาล้มลุก ล�ำต้นมีหัวใต้ดิน ใบประกอบ มี 3 ใบย่อย เรียงสลับ ใบย่อยรูปรีหรือรีแกมขอบขนาน หรือไข่กลับ ดอกออกเป็นช่อ แยกเพศคนละต้น ออกดอกที่ซอกใบ ห้อยลง ดอกช่อตัวผู้ยาวถึง 40 ซม. ออกเป็น ช่อซ้อนกัน 2 - 3 ชั้น ดอกตัวเมียเป็นช่อเดี่ยว กลีบรวมสีเหลือง ผลแห้งมีปีก 3 ปีก การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด เหง้า ประโยชน์ หัวใต้ดินแก้อาการเถาดาน หุงเป็นน�้ำมันใส่แผล กัดฝ้า กัดหนอง หัวใต้ดินมีสารพิษหลายชนิด ที่ท�ำให้เกิดอาการเมา บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Dioscorea hispida Dennst. var. hispida DIOSCOREACEAE มันกลอย กลอยข้าวเหนียว กลอยหัวเหนียว (นครราชสีมา) กลอยนก (เหนือ) กลอยไข่ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) กลอย ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 40 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2 - 4 เมตร เปลือกต้นสีน�้ำตาลอมด�ำ แตกเป็นร่องเล็กๆ ตามยาว แตกกิ่งน้อย กิ่งขนานกับพื้นดิน ทรงพุ่มโปร่ง เนื้อไม้เหนียว ใบเดียว เรียงสลับ รูปขอบขนานดอกออกตรงข้ามใบ เมื่อเริ่มบาน จะมีสีเหลืองนวล ช่วงใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมอ่อน ผลกลุ่ม มีผลย่อย 4 - 7 ผล ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีขาวนวล ทยอยออกดอกตลอดทั้งปี พบขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทางภาคกลาง และ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ การขยายพันธุ์ การปักช�ำกิ่ง และการเพาะเมล็ด ประโยชน์ เปลือกเนื้อไม้ ใช้เป็นยาขับ ระดูขาวของสตรี ขับเลือดร้ายในเรือนไฟของสตรีหลังคลอดบุตร บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี กลาย Mitrephora keithii Ridl. ANNONACEAE มหาพรม (ประจวบคีรีขันธ์) กล้วยค่าง ล�ำดวนเหลือง ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 41 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นผลัดใบ เปลือกเรียบสีเทา ใบเดี่ยวรูปไข่เรียงสลับ ปลายใบแหลม โคนใบมน หน้าใบ เป็นมัน ดอกสีขาวถึงเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกซ้อนตามปลายกิ่ง โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็น รูประฆัง ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีขนทั่วไป โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายเว้าเป็น 5 แฉก ผลสด แบบมีเนื้อ ผลกลม ปลายผลแหลมเล็กน้อย สีเขียว ผิวเรียบ เป็นมัน เมล็ดรูปกลม การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การปักช�ำกิ่ง ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงา บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Ehretia laevis Roxb. BORAGINACEAE ก้อม (เชียงใหม่) ก่ายคอม ต่ายควาย (ภาคกลาง) ค่อม (ประจวบคีรีขันธ์) ค้อม (ปราจีนบุรี) ตังบี้ (นครราชสีมา) น�้ำลายควาย (สงขลา) หมัน (แพร่) ก้อม ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 42 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ต้นสูงประมาณ 15 - 20 เมตร เปลือกต้นสีน�้ำตาล ผิวเรียบ เมื่อล�ำต้นแก่จะแตกเป็นร่องลึกตามยาว แก่นมีความแข็งแรง คงทน แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การปักช�ำกิ่ง การตอนกิ่ง ประโยชน์ ใบ แก้ไข้มาลาเรีย แก้หอบหืด บ�ำรุงธาตุ และ รักษาโรคผิวหนังพุพอง แก่นรสมันฝาดขม บ�ำรุงร่างกาย บ�ำรุงธาตุ บ�ำรุงไขมัน เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ไข้จับสั่น หืด ไอ แก้ริดสีดวง แก้ท้องมาน แก้ท้องเดิน มูกเลือด แก้พิษฝีกาฬ แก้แน่นหน้าอก บ�ำรุงม้าม บ�ำรุงโลหิต ขับลม แก้โลหิตพิการ แก้ปวดแสบปวดร้อน ตามผิวหนังและร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ ย่านมัทรี กันเกรา Fagraea fragrans Roxb. GENTIANACEAE มันปลา (ภาคเหนือ ภาคอีสาน) ต�ำแสง ต�ำเสา ท�ำเสา (ภาคใต้) ตาเตรา (เขมร-ภาคตะวันออก) ต�ำมูซู ตะมะซู (มลายู-ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 43 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นสูง 10 - 15 เมตร ล�ำต้นสีน�้ำตาล ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5 - 15 คู่ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 1.5 - 2.5 ซม. ยาว 2.5 - 5 ซม. ปลายใบมน โคนใบกลม ใบด้านล่างมีขนละเอียด ดอก เป็นดอกช่อออกตามซอกใบ ออกดอกเมื่อใบร่วง ดอกเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 ซม. กลีบเลี้ยงสีแดง หรือแดงปนน�้ำตาล มีขน กลีบดอกสีชมพูหรือชมพูอ่อนเกือบขาว มี 5 กลีบแยกกัน เกสร เพศผู้ 3 อันยาวกว่าอันอื่น ตรงกลางของก้านเกสรพองเป็นกระเปาะ ผล เป็นฝักกลมทรงกระบอกสีน�้ำตาลด�ำ ยาว 20 - 60 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 - 1.5 ซม. เมื่อแก่ไม่แตกมีเมล็ดจ�ำนวนมาก การขยายพันธุ์ การ เพาะเมล็ด การตอนกิ่ง ประโยชน์ เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อนๆ บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Cassia bakeriana Craib FABACEAE กัลปพฤกษ์ (ภาคกลาง ภาคเหนือ) การล์ (เขมร-สุรินทร์) เปลือกขม (ปราจีนบุรี) กัลปพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 44 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่กลับ โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ สีเขียว เข้มเป็นมัน ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ออกเป็นช่อตรงข้ามใบ ก้านดอกแบนและโค้งงอเป็น ตะขอ กลีบดอกเรียงเป็นสองชั้น รูปรีปลายแหลม แต่ละกลีบหนา ผลเป็นผลกลุ่ม รูปกลมแกมรี ปลายผลเป็น ติ่ง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีเหลือง การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การปักช�ำกิ่ง ประโยชน์ ใบมี สรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ ดอกหอมแก้วิงเวียน ใช้ท�ำน�้ำหอม บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี การเวก Artabotrys hexapetalus (L.f.) Bhandari ANNONACEAE กระดังงาป่า กระดังงาเถา กระดังงัว หนามควายนอน ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 45 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นผลัดใบ สูง 6 - 20 เมตร ล�ำต้นเปลา ทรงแคบ ใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้ามใบย่อย 2 - 5 คู่ รูปรีแกมรูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก ปลายเป็นติ่ง โคนแหลม ดอกสีเหลืองทองหรืออมส้ม ออกเป็นกระจุกที่กิ่งและล�ำต้น กระจุกละ 5 - 10 ดอก ทยอยบาน กลีบรองกลีบดอกเป็นถ้วยสีม่วงอมแดง กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ส่วนกลางป่องเป็นกระเปาะ ปลายเป็นแฉกสั้นๆ 5 แฉก เกสรเพศผู้ 4 อัน ผลเป็น ฝักยาว เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีปีก การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การปักช�ำกิ่ง ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ บริเวณที่พบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Radermachera ignea (Kurz) Steenis BIGNONIACEAE กากี ส�ำเภาหลามต้น จางจืด สะเภา อ้อยช้าง ปีบทอง กาสะลองค�ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 46 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ลักษณะทั่วไป ไม้พุ่มรอเลื้อย เกาะเกี่ยวต้นไม้อื่นขึ้นไป เปลือกล�ำต้นเรียบสีน�้ำตาล ใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปรี ปลายใบรูปหอก โคนใบสอบ หลังใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ขอบใบเป็นรอยหยักห่างๆ ตื้นๆ ดอกเดี่ยวออก ตามซอกใบ สีเขียวอมเหลือง กลีบดอก 5 กลีบ โคนดอกติดกัน กลีบดอกบิดเล็กน้อย ปลายเกสรชนกันเป็นยอด แหลม ผลทรงกลม ขนาดเล็ก ผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง เมล็ดเดียว การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การปักช�ำกิ่ง การตอนกิ่ง ประโยชน์ ล�ำต้นต้มน�้ำดื่มแก้ปวดเมื่อย เป็นยาระบาย บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี ก�ำแพงเจ็ดชั้น Salacia chinensis L. CELASTRACEAE ตะลุ่มนก (ราชุบรี) ตาไก้ ตาใกล้ (พิษณุโลก) ขอบกระด้ง พรองนก (อ่างทอง) กระดุมนก (ประจวบคีรีขันธ์) น�้ำนอง มะต่อมไก่ (ภาคเหนือ) ขาวไก่ ตาไก่ ตากวาง เครือตากวาง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) หลุมนก (ภาคใต้) กลุมนก ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 47 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)
ลักษณะทั่วไป ไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 20 เมตร เปลือกล�ำต้นค่อนข้างเรียบ สีเทา จะผลัดใบร่วงหมดทั้งต้นเมื่อ จะออกดอก ใบประกอบแบบนิ้วมือ ใบย่อย 3 ใบ รูปวงรีหรือรูปไข่ การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การปักช�ำกิ่ง ประโยชน์ ใบ รสขมหอม ขับเหงื่อ แก้ไข้ เจริญอาหาร ระบาย บ�ำรุงธาตุ ขับพยาธิ แก้ปวดเส้น แก้อัมพาต ดอก รสเย็น แก้เจ็บในตา แก้ไข้ครั่นเนื้อครั่นตัว แก้เจ็บคอ ผล รสขม แก้ไข้ เปลือกต้น รสขมหอม แก้สะอึก แก้ไข้ แก้อาเจียน แก่น รสร้อน แก้นิ่ว ราก แช่น�้ำกิน บ�ำรุงธาตุ บริเวณที่พบ ศูนย์การเรียนรู้ย่านมัทรี Crateva magna (Lour.) DC. CAPPARACEAE กุ่ม (เลย) อ�ำเภอ (สุพรรณบุรี) ผักกุ่ม ก่าม (ตะวันออกเฉียงเหนือ) กุ่มน�้ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่น ๆ 48 พรรณไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์