Pa g e | 51 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขั้นตอนการทบทวนแผนพัฒนาท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่3) พ.ศ. 25611) คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นจัดประชุมประชาคมท้องถิ่น ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นรับทราบปัญหาความต้องการ ประเด็นการพัฒนา และประเด็นที่เกี่ยวข้องและแนวทางการปฏิบัติหน้าที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เพื่อนํามากําหนดแนวทางการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น โดยให้นําข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาจากหน่วยงานต่างๆ และข้อมูลในแผนพัฒนาหมู่บ้านหรือแผนชุมชนพิจารณาประกอบการทบทวน แผนพัฒนาท้องถิ่น 2) คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น รวบรวมแนวทางและข้อมูลนํามาวิเคราะห์เพื่อจัดทําร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นแล้วเสนอคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อเสนอผู้บริหารท้องถิ่น3) คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อเสนอผู้บริหารท้องถิ่น4) กรณีเทศบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้ผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาอนุมัติร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น และประกาศใช้แผนพัฒนาท้องถิ่น 5) กรณีองค์การบริหารส่วนตําบลให้ผู้บริหารท้องถิ่นเสนอร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นต่อสภาองค์การบริหารส่วนตําบล เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาอนุมัติและประกาศใช้แผนพัฒนาท้องถิ่น6) หลังจากดําเนินการตามข้อ 1 - 5ให้ดําเนินการตามข้อ 24แห่งระเบียบ-กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่3) พ.ศ. 2561คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่3) พ.ศ. 2561 1. คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น องค์ประกอบให้ผู้บริหารท้องถิ่นแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น ประกอบด้วย (1) ผู้บริหารท้องถิ่น ประธานกรรมการ(2) รองนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกคน กรรมการ(3) สมาชิกสภาที่ท้องถิ่นคัดเลือกจํานวนสามคน กรรมการ(4) ผู้ทรงคุณวุฒิที่ผู้บริหารคัดเลือกจํานวนสามคน กรรมการ(5) ผู้แทนภาคราชการและ/หรือรัฐวิสาหกิจที่ผู้บริหารท้องถิ่นคัดเลือก กรรมการ(6) ผู้แทนประชาคมท้องถิ่นที่ประชาคมท้องถิ่นคัดเลือกจํานวนไม่น้อยกว่า กรรมการสามคนแต่ไม่เกินหกคน (7) ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการและเลขานุการ(8) หัวหน้าส่วนราชการบริหารที่มีหน้าที่จัดทําแผน ผู้ช่วยเลขานุการกรรมการตาม (3) (4) (5) และ (6) ให้มีวาระอยู่ในตําแหน่งคราวละสี่ปีและอาจได้รับการคัดเลือกอีกได้ 45
Pa g e | 52 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีอํานาจหน้าที่ดังนี้ (1) กําหนดแนวทางการพัฒนาท้องถิ่น โดยพิจารณาจาก (1.1) อํานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอํานาจหน้าที่ที่มีผลกระทบ ต่อประโยชน์สุขของประชาชน เช่น การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การผังเมือง (1.2) ภารกิจถ่ายโอนตามกฎหมายกําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจ(1.3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศกลุ่มจังหวัดและจังหวัดโดยเน้นดําเนินการในยุทธศาสตร์ที่สําคัญและมีผลต่อประชาชนโดยตรง เช่น การแก้ไขปัญหาความยากจน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (1.4) กรอบนโยบายทิศทางแนวทางการพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัด (1.5) นโยบายของผู้บริหารท้องถิ่นแถลงต่อสภาท้องถิ่น (1.6) แผนชุมชน ในการนําประเด็นข้างต้นมาจัดทําร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นคํานึงถึงสถานะทางการคลังของท้องถิ่นและความจําเป็นเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการมาประกอบการพิจารณาด้วย (2) ร่วมจัดทําร่างแผนพัฒนา เสนอแนะแนวทางการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจัดทําร่างแผนพัฒนา (3) พิจารณาร่างแผนพัฒนาและร่างแผนดําเนินงาน (4) ให้ความเห็นชอบร่างข้อกําหนดขอบข่ายและรายละเอียดของงานตามข้อ 19(2) แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 (5) พิจารณาให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนา (6) แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานอื่นเพื่อช่วยปฏิบัติงานที่เห็นสมควร(7) ประสานกับประชาคมหมู่บ้านในการรวบรวมวิเคราะห์ปัญหาความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นและจัดทําเป็นโครงการหรือกิจกรรมเพื่อประกอบในการจัดทําแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น2. คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น องค์ประกอบให้ผู้บริหารท้องถิ่นแต่งตั้งคณะกรรมการสนับสนุนการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นประกอบด้วย (1) ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานกรรมการ(2) หัวหน้าส่วนการบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการ(3) ผู้แทนประชาคมท้องถิ่นที่ประชาคมท้องถิ่นที่ประชาคมคัดเลือก กรรมการจํานวนสามคน (4) หัวหน้าส่วนการบริหารมีหน้าที่จัดทําแผน กรรมการและเลขานุการ(5) เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผนหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการที่ผู้บริหารท้องถิ่นมอบหมาย 46
Pa g e | 53 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกรรมการตาม (3) ให้มีวาระอยู่ในตําแหน่งคราวละสี่ปีและอาจได้รับการคัดเลือกอีกได้คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นมีหน้าที่จัดทําร่างแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นกําหนด จัดทําร่างแผนดําเนินงานและจัดทําร่างข้อกําหนดขอบข่ายและรายละเอียดของงานตามข้อ 19 (1) แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 เค้าโครงการแผนพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ.2561-2565) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนที่1 สภาพทั่วไปและข้อมูลพื้นฐาน 1. ด้านกายภาพ 2. ด้านการเมือง/การปกครอง 3. ประชาชน 4. สภาพทางสังคม 5. ระบบบริการพื้นฐาน 6. ระบบเศรษฐกิจ 7. ศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม 8. ทรัพยากรธรรมชาติ9. อื่นๆ (ถ้ามีระบุด้วย) ส่วนที่2 ยุทธศาสตร์องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1. ความสัมพันธ์ระหว่างแผนพัฒนาระดับมหาภาค 2. ยุทธศาสตร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3. การวิเคราะห์เพื่อพัฒนาท้องถิ่น ส่วนที่3 การนําแผนพัฒนาท้องถิ่นไปสู่การปฏิบัติ1. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและแผนงาน 2. บัญชีโครงการพัฒนาท้องถิ่น ส่วนที่4 การติดตามและประเมินผล 1. การติดตามและประเมินผลยุทธศาสตร์2. การติดตามและประเมินผลโครงการ 3. สรุปผลการพัฒนาท้องถิ่น 4. ข้อเสนอแนะในการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นในอนาคต 47
Pa g e | 54 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขั้นตอนการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น 1. คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นจัดประชุมประชาคมท้องถิ่น ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นรับทราบปัญหา ความต้องการ ประเด็นการพัฒนา และประเด็นที่เกี่ยวข้องตลอดจนความช่วยเหลือทางวิชาการ และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เพื่อนํามากําหนดแนวทางการจัดทําแผนพัฒนาการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น โดยให้นําข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาจากหน่วยงานต่างๆ และข้อมูลในแผนพัฒนาหมู่บ้านหรือแผนชุมชนมาพิจารณาประกอบการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น2. คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น รวบรวมแนวทางและข้อมูลนําข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อจัดทําร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น แล้วเสนอคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น 3. คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อเสนอผู้บริหารท้องถิ่น4. ผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาอนุมัติร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น และประกาศใช้แผนพัฒนาท้องถิ่นการเพิ่มเติมแผนพัฒนาท้องถิ่น 1. จัดทําร่าง/ยกร่าง คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น จัดทําร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นที่เพิ่มเติมพร้อมเหตุผลความจําเป็น เสนอคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น 2. ประชุมคณะกรรมการท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นที่เสนอเพิ่มเติม 3. การประชาคมท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นและประชาคมท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นที่เพิ่มเติม สําหรับองค์การบริหารส่วนตําบลให้ส่งร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นที่เพิ่มเติมให้สภาองค์การบริหารส่วนตําบลพิจารณาก่อน และผู้บริหารท้องถิ่นลงนามประกาศใช้การเปลี่ยนแปลงแผนพัฒนาท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ของประชาชนการเปลี่ยนแปลงแผนพัฒนาท้องถิ่นให้เป็นอํานาจของคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น 1. คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นที่เสนอเปลี่ยนแปลง โดยใช้หลักปฏิบัติผู้บริหารท้องถิ่นสั่งให้ดําเนินการ ปลัด สํานัก/กอง ปฏิบัติตามที่ผู้บริหารสั่งการเพื่อเปลี่ยนแปลงแผนพัฒนาท้องถิ่น 2. ผู้บริหารท้องถิ่นให้ความเห็นชอบ โดยใช้หลักปฏิบัติสําหรับเทศบาล เมืองพัทยา และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่นลงนามประกาศใช้โดยปิดประกาศให้ประชาชนทราบโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่า30 วัน 3. องค์การบริหารส่วนตําบลให้ส่งร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นที่เพิ่มเติมให้สภาองค์การส่วนตําบลพิจารณาก่อน โดยใช้หลักปฏิบัติสําหรับองค์การบริหารส่วนตําบลผู้บริหารท้องถิ่นลงนามประกาศใช้ปิดประกาศให้ประชาชนทราบโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่า 30 วัน ปิดประกาศนับแต่วันที่ผู้บริหารท้องถิ่นประกาศใช้ 48
Pa g e | 55 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแผนพัฒนาท้องถิ่น/นโยบายแห่งรัฐ ในกรณีเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแผนพัฒนาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับโครงการพระราชดําริ งานพระราชพิธีรัฐพิธีนโยบายรัฐบาล และนโยบายกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นอํานาจของผู้บริหารท้องถิ่นโครงการที่เป็นนโยบายของ อบต.หรือไม่เคยมีในแผนพัฒนาฯ คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทําแผนฯ ทําร่างแผนพัฒนาฯ ที่เพิ่มเติม พร้อมเหตุผลและความจําเป็น เสนอคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น และประชาคมท้องถิ่น พิจารณาร่างแผนพัฒนาฯ เพิ่มเติม โครงการพระราชดําริงานพระราชพิธีรัฐพิธีนโยบายรัฐบาล และนโยบายกระทรวง ผู้บริหาร สภา อบต. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ผู้บริหารท้องถิ่นประกาศใช้พร้อมทั้ง ปิดประกาศให้ประชาชนทราบกรณีอบต.กรณีเทศบาล 49
Pa g e | 56 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงแผนพัฒนาท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2548ที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่3พ.ศ. 2561ข้อ 10) ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 22/1ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2548เพื่อประโยชน์ของประชาชนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาท้องถิ่นให้เป็นอํานาจของคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น สําหรับองค์การบริหารส่วนตําบลให้ส่งร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น ที่เปลี่ยนแปลงให้สภาองค์การบริหารส่วนตําบลพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน เมื่อแผนพัฒนาท้องถิ่นได้รับความเห็นชอบจากสภา ให้ส่งแผนพัฒนาท้องถิ่นดังกล่วให้ผู้บริหารท้องถิ่นประกาศใช้พร้อมทั้งปิดประกาศให้ประชาชนทราบโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้บริหารท้องถิ่นประกาศใช้คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นพิจารณาเปลี่ยนแปลง แผนพัฒนาท้องถิ่นท้องถิ่น กรณีอบต. กรณีเทศบาล สภา อบต. พิจารณา ให้ความเห็นชอบ ผู้บริหารท้องถิ่นประกาศใช้พร้อมทั้งปิดประกาศให้ประชาชนทราบ 50
Pa g e | 57 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการแก้ไขแผนพัฒนาท้องถิ่น ขั้นตอนในการแก้ไขแผนพัฒนาท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2548 ที่แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่3 พ.ศ. 2561 ข้อ 8) ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 21 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2548ข้อ 21การแก้ไขแผนพัฒนาเป็นอํานาจของผู้บริหารท้องถิ่น เมื่อผู้บริหารท้องถิ่นได้เห็นชอบแผนพัฒนาท้องถิ่นที่แก้ไขแล้วให้ปิดประกาศให้ประชาชน ทราบโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้บริหารท้องถิ่นเห็นชอบพร้อมทั้งแจ้งสภาท้องถิ่น อําเภอ และจังหวัดทราบด้วย หลักการประสานแผนพัฒนาท้องถิ่น ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทําแผนและประสานแผนพัฒนาพื้นที่ในระดับอําเภอและตําบล พ.ศ. 2562 1. ให้นายอําเภอมีหน้าที่กํากับดูแลและให้คําแนะนําในการจัดทําแผนพัฒนาหมู่บ้านแผนชุมชน แผนพัฒนาตําบล แผนพัฒนาท้องถิ่น แผนพัฒนาอําเภอ ที่ดําเนินการในพื้นที่อําเภอเพื่อให้การดําเนินการตามระเบียบนี้เกิดผลสัมฤทธิ์2. เพื่อให้การประสานแผนพัฒนาในพื้นที่เกิดผลสัมฤทธิ์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอํานาจหน้าที่กํากับดูแล และให้คําแนะนําที่เป็นประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ดังนี้2.1 บูรณาการจัดทําแผนพัฒนาในระดับพื้นที่กับทุกภาคส่วนและสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น พิจารณาให้ความเห็นชอบ การแก้ไขแผนพัฒนาท้องถิ่น ปิดประกาศให้ประชาชนทราบ แจ้งสภาฯ อําเภอ จังหวัด 51
Pa g e | 58 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น2.2 ประเมินประสิทธิภาพประสิทธิผลและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประสานแผนพัฒนาในระดับพื้นที่2.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนและการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี2.4 พิจารณาให้หน่วยงานใดเป็นผู้ดําเนินการ ในกรณีที่มีความซ้ําซ้อนในเรื่อง งบประมาณ ระยะเวลาดําเนินการ ผู้ดําเนินการ หรือโครงการ 3. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอกํากับดูแลและให้คําแนะนําเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดําเนินการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นและการประสานแผนท้องถิ่นให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา ในระดับจังหวัดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกฎหมายว่าด้วยการกําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย การจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่3 พ.ศ. 2561 2. หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่มท 0810.3/ว 1239 ลงวันที่21 กุมภาพันธ์2565(17 ประเด็น) 3. หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่มท 0810.3/ว 6086 ลงวันที่19 สิงหาคม 2565(15 ประเด็น) 52
Pa g e | 59 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
Pa g e | 60 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานสรุปสาระสําคัญ หมวดที่2 วิชาเฉพาะตําแหน่ง 1. การบริหารงานบุคคลและความก้าวหน้าสิทธิประโยชน์ของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้บรรยายโดย : นายสถาพร เสนาวงค์นทบ.ชก.สน.บถ.สถ.กระบวนการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น การวางแผนกําลังคน "คน" เป็นทุนมนุษย์และเป็นทรัพยากรในการบริหารที่มีคุณค่าที่สุด การบริหารทุนมนุษย์(Human Capital Management) จึงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในทุนทางปัญญาของคนในองค์การให้มีศักยภาพสูงและมีพลังในการทํางาน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและความสําเร็จขององค์การอย่างยั่งยืนสรรหา Recruitmentวางแผนกําลังคนแสวงหาคนตามคุณลักษณะและเลือกสรรคนดีคนเก่งพัฒนา Development พัฒนาความรู้พัฒนาทักษะและความสามารถ พัฒนาพฤติกรรมรักษาไว้Retention คุณภาพชีวิต ความเป็นธรรมความมั่นคงและมีทางก้าวหน้าในอาชีพใช้ประโยชน์Utilization แต่งตั้งควบคุมให้ทํางานดีประพฤติดีคัดคนที่ใช้ประโยชน์ได้การกําหนดโครงสร้าง ก.ถ. กําหนดมาตรฐานกลางและแนวทางในการรักษาระบบคุณธรรม และพัฒนา HRรองรับการกระจายอํานาจ ก.กลาง (ก.จ. ก.ท. ก.อบต.) กําหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับเกี่ยวกับคุณสมบัติต้องห้ามเบื้องต้นอัตราตําแหน่งและมาตรฐานของตําแหน่ง อัตราเงินเดือนและวิธีการจ่ายเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง การย้าย การโอน การรับโอน การเลื่อนระดับการเลื่อนขั้นเงินเดือน วินัยและการรักษาวินัย การดําเนินการทางวินัย การให้ออกจากราชการ สิทธิการอุทธรณ์การพิจารณาอุทธรณ์และการร้องทุกข์การกําหนดโครงการแบ่งส่วนราชการ วิธีการบริหาร การปฏิบัติงาน และการบริหารงานบุคคล ก.จังหวัด (ก.จ.จ. ก.ท.จ. ก.อบต.จังหวัด) ประกาศหลักเกณฑ์การบริหารงานบุคคลฯแผนอัตรากําลัง 3 ปีแผนอัตรากําลังที่องค์กรปกครองปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทําขึ้น เพื่อเป็นกรอบในการกําหนดตําแหน่ง การสรรหา ตําแหน่ง ใช้ตําแหน่งและพัฒนาข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น โดยคาดคะเนว่าในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้าจะมีการใช้ตําแหน่งใด จํานวนเท่าใด ในส่วนราชการใด และจะพัฒนาข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นไปในแนวทางใด เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการบริหารงานตามภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบได้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน 54
Pa g e | 61 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการกําหนดตําแหน่งข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่น บริหารท้องถิ่น ตําแหน่ง ปลัด อปท. และ รองปลัด อปท. หรือตําแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ก.กลางกําหนดมี3 ระดับ คือ ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง อํานวยการท้องถิ่นตําแหน่งหัวหน้าหน่วยงานระดับฝ่าย ระดับส่วน ระดับกอง ระดับสํานักใน อปท. หรือตําแหน่งระดับที่เรียกชื่ออย่างอื่น ตามที่ก.กลาง กําหนด มี3 ระดับ คือ ระดับต้นระดับกลางและระดับสูง วิชาการตําแหน่งที่จําเป็นต้องใช้ผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามมาตรฐานทั่วไปที่ก.กลางกําหนด เพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตําแหน่งนั้น มี4 ระดับ ได้แก่ระดับปฏิบัติการ ระดับชํานาญการระดับชํานาญการพิเศษ และระดับเชี่ยวชาญ ทั่วไปตําแหน่งที่ไม่ใช่ตําแหน่งประเภทบริหารท้องถิ่น ตําแหน่งประเภทอํานวยการท้องถิ่นและตําแหนง่ ประเภทวิชาการ ตามมาตรฐานทั่วไปที่ก.กลาง กําหนด มี3 ระดับ ได้แก่ระดบั ปฏิบตัิงาน ระดบัชํานาญงานและระดับอาวุโส การสรรหาบุคลากร การสอบแข่งขันหมายถึง การสรรหาบุคคลโดยใช้วิธีการสอบข้อเขียน (อัตนัยและปรนัย) การสอบภาคปฏิบัติและการสอบสัมภาษณ์ซึ่งผู้สอบแข่งขันได้จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลําดับที่ที่สอบแข่งขันได้การคัดเลือก/สอบคัดเลือก หมายถึง การสรรหาบุคคลโดยวิธีการคัดเลือก ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามความเหมาะสม เพื่อเข้ารับราชการ โดยไม่ต้องสอบแข่งขัน เช่น การคัดเลือกจากผู้ได้รับทุนรัฐบาล การคัดเลือกผู้สําเร็จการศึกษาที่เป็นคุณวุฒิขาดแคลน การคัดเลือกกรณีอื่นๆ การคัดเลือกกรณีมีเหตุพิเศษฯ ได้แก่ผู้ที่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง ทุนรัฐบาล หรือทุนของ อปท. ผู้สําเร็จการศึกษาในคุณวุฒิที่ก.กลาง กําหนด ผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ระดับประเทศให้ดํารงตําแหน่งข้าราชการครูอปท. ผู้สําเร็จการศึกษาตามหลักสูตรที่ก.กลาง กําหนด กรณีอื่นๆ ตามที่ก.กลาง กําหนด การคัดเลือกเพื่อรับโอน ได้แก่การรับโอนผู้สอบแข่งขันได้ผู้ได้รับการคัดเลือกเหตุพิเศษในวุฒิที่ก.กลาง กําหนดการรับโอนข้าราชการประเภทอื่นซึ่งมีลักษณะงานเทียบเคียงได้กับตําแหน่งบริหาร การรับโอนข้าราชการประเภทอื่นในตําแหน่งประเภททั่วไปและประเภทวิชาการ ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงาน ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) หมายถึง กระบวนการดําเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อผลักดันให้ผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการบรรลุเป้าหมาย โดยการเชื่อมโยงเป้าหมายผลการปฏิบัติราชการในระดับองค์กร หน่วยงานและระดับบุคคลเข้าด้วยกัน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานกระบวนการความต่อเนื่อง 55
Pa g e | 62 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแผนภาพกระบวนการบริหารผลการปฏิบัติงาน กระบวนการบริหารผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ๕ ขั้นตอนหลัก ดังนี้1) ขั้นตอนการวางแผนเป็นขั้นตอนในช่วงต้นรอบการประเมินที่ผู้บังคับบัญชาหรือผู้ประเมินจะได้มีการมอบหมายงานให้แก่ผู้รับการประเมิน และร่วมกับผู้รับการประเมินวางแผนการปฏิบัติราชการ พร้อมทั้งกําหนดเป้าหมายผลการปฏิบัติราชการร่วมกันในลักษณะตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของงานที่คาดหวังในรอบการประเมินนั้นๆ ทั้งนี้สามารถปรับเปลี่ยนตามเป้าหมายและแผนงานของหน่วยงานหรือส่วนราชการได้ตามความจําเป็น ๒) ขั้นตอนการติดตามเป็นขั้นตอนในระหว่างรอบการประเมินที่ผู้บังคับบัญชาจะทําการติดตามความก้าวหน้าในการปฏิบัติราชการ เพื่อการกํากับดูแลการทํางานให้ได้ตามเป้าหมาย ทําให้ทราบและแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติงาน อันจะทําให้ผลการปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ร่วมกัน ๓) ขั้นตอนการพัฒนาเป็นขั้นตอนที่เป็นผลที่ได้จากการติดตามผลการทํางานและเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาว่างานที่ทําอยู่นั้นต้องมีการปรับปรุงหรือพัฒนาการทํางานอย่างไร และยังเป็นขั้นตอนที่สามารถกําหนดแนวทางการพัฒนาผู้ปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับสภาพการทํางานอีกด้วย ๔) ขั้นตอนการประเมินผลการปฏิบัติราชการเป็นขั้นตอนในช่วงสิ้นรอบการประเมินเพื่อตรวจสอบความสําเร็จของงานอันเป็นผลมาจากการปฏิบัติงานของผู้รับการประเมินรายนั้นๆ ว่าผลการปฏิบัติราชการในระหว่างรอบการประเมินเป็นไปตามผลสัมฤทธิ์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้ตามตัวชี้วัดผลงานหลัก(KPIs)ที่ได้กําหนดไว้ตั้งแต่ต้นรอบการประเมินหรือไม่เพียงใด ตามเกณฑ์มาตรฐานผลงานที่ผู้ประเมินและผู้รับการประเมินร่วมกันกําหนด ๕) ขั้นตอนการให้สิ่งจูงใจเป็นขั้นตอนที่นําผลการประเมินในขั้นตอนการประเมินผลการปฏิบัติราชการ มาพิจารณาให้สิ่งตอบแทนแก่บุคคลที่ได้มีการทุ่มเทการทํางานและได้ผลงานที่ดีเกิดขึ้นแก่หน่วยงานหรือส่วนราชการจากกระบวนการในระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานในส่วนราชการตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก.พ.ได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้เหมาะสมกับการปฏิบัติ 56
Pa g e | 63 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการกําหนดตัวชี้วัด SMART คือหลักในการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนและมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมทําให้เห็นทิศทางในการปฏิบัติที่เข้าใจได้ง่าย และนําไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคําว่า SMART นั้นเกิดมาจากแนวคิดดังนี้ตลอดจนมีวิธีการปฏิบัติเพื่อการตั้งเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพตามหลักการของ SMART ดังนี้S : Specific – เฉพาะเจาะจง M : Measurable – สามารถวัดได้A : Achievable – บรรลุผลได้R : Realistic – สมเหตุสมผล สอดคล้องสถานการณ์ความเป็นจริง T : Timely – กําหนดช่วงเวลาที่ชัดเจน S : Specific – เฉพาะเจาะจง คือการที่องค์กรหรือบุคคลจะต้องมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไป ไม่กว้างจนเกินไป มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ และต้องระบุให้ชัดเจนได้ว่าต้องการอะไร นั่นจะทําให้เรามีทิศทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนได้ด้วย M : Measurable – สามารถวัดได้สามารถวัดได้ในที่นี้คือต้องวัดผลได้มีหลักการวัดผลวิธีการตลอดจนการคํานวณและสรุปผลออกมาได้อย่างชัดเจน การวัดผลควรสามารถคํานวณออกมาเป็นตัวเลขได้แต่ไม่ใช่การตั้งลอย ๆ หรือมีหลักการประเมินตลอดจนคํานวณไม่ชัดเจน ตัวเลขต้องมีที่ไปที่มามีหลักฐานยืนยันได้หากเราวัดผลออกมาได้ก็จะทําให้เราสามารถรู้ว่าการปฏิบัตินั้นสําเร็จหรือไม่เพียงไรเข้าใกล้เป้าหมายมากน้อยแค่ไหน ยังขาดอะไรอีกเท่าไร และควรจะต้องทําอะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้A : Achievable / Attainable – บรรลุผลได้คือเป้าหมายที่ดีจะต้องสามารถบรรลุผลได้จริงประสบผลสําเร็จได้รวมถึงเป็นเป้าหมายที่ทําได้จริงด้วย บางองค์กรหรือบางคนตั้งเป้าหมายไว้ดีและสวยหรูแต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางบรรลุได้หรือทําได้ยากมากๆ สิ่งนี้ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายที่ดีเลย โดยเฉพาะการตั้งเป้าหมายตามหลักการ SMART ซึ่งควรจะต้องเป็นเป้าหมายที่จับต้องได้มีโอกาสสําเร็จได้และสามารถกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้ในทางตรงกันข้าม หากเป้าหมายยิ่งใหญ่เกินไป มีโอกาสสําเร็จได้ยากหรือมีเป้าหมายที่สูงจนเกินไป ก็จะยิ่งทําให้เกิดการท้อ รู้สึกว่าไม่มีวันเป็นไปได้เสียกําลังใจในการทํางานเป้าหมายที่ไม่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้เกิดพลังในการทํางานนั้นอาจไม่ใช่เป้าหมายที่ดีR : Realistic / Relevant – มีความเป็นจริง สมเหตุสมผล และสอดคล้อง คือเป้าหมายที่ตั้งต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง สถานการณ์จริงกับธุรกิจหรือกิจกรรมต่างๆ ของตน มีความสมเหตุสมผลสอดคล้องกับสถานการณ์นั้นๆ รวมถึงสอดคล้องกับสิ่งที่องค์กรต้องการ หากเป็นการตั้งเป้าหมายย่อยก็ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อส่งเสริมกันให้เกิดความสําเร็จ เป้าหมายควรสัมพันธ์กับธุรกิจและการประกอบการของตน นําข้อมูลจริงมาใช้ในการตั้งเป้าหมาย ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาลอยๆ หรือนําข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับธุรกิจตลอดจนองค์กรเรามาตั้งเป้าหมาย T : Timely – กําหนดช่วงเวลาที่ชัดเจน คือสิ่งสําคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการตั้งเป้าหมายคือการต้องมีการกําหนดเวลาให้ชัดเจน มีการวางแผนให้ชัดเจน มีกรอบระยะเวลาในการปฏิบัติการที่กําหนดไว้ให้รู้ชัดเจนเพื่อการปฏิบัติให้ชัดแจ้ง และการวางแผนปฏิบัติงานในส่วนต่างๆ ด้วย หากไม่มีการกําหนดเวลาที่ชัดเจนเราก็จะไม่รู้ว่าทําไปถึงเมื่อไร วางแผนอย่างไร นั่นอาจเรียกว่าไม่มีเป้าหมายเลยก็เป็นได้ 57
Pa g e | 64 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทักษะที่จําเป็นในงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่น (SKELLS) 1. ทักษะการบริหารข้อมูล 2. ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์3. ทักษะการประสานงาน 4. ทักษะในการสืบสวน 5. ทักษะการบริหารโครงการ 6. ทักษะในการสื่อสาร การนําเสนอ และถ่ายทอดความรู้7. ทักษะการเขียนรายงานและสรุปรายงาน 8. ทักษะการเขียนหนังสือราชการ 9. ทักษะการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์หลักเกณฑ์การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการ 1. การเลื่อนเงินเดือนให้เลื่อนปีละ 2 ครั้งครั้งที่1 เป็นการเลื่อนเงินเดือนสําหรับการปฏิบัติราชการในครึ่งปีแรก (1 ตุลาคม ถึง 31 มีนาคม) โดยให้เลื่อนในวันที่1 เมษายน ของปีที่ได้เลื่อนครั้งที่2เป็นการเลื่อนเงินเดือนสําหรับการปฏิบัติราชการในครึ่งปีหลัง (1 เมษายน ถึง 30 กันยายน)โดยให้เลื่อนในวันที่1ตุลาคมของปีถัดไป 2. การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการแต่ละคนในแต่ละครั้ง ให้เลื่อนได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ6ของฐานในการคํานวณและไม่เกินเงินเดือนสูงสุดตามที่ก.พ. กําหนด อีกทั้งให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจสั่งเลื่อนเงินเดือนประกาศอัตราร้อยละของฐานในการคํานวณที่ได้ใช้เป็นเกณฑ์ในการคํานวณเพื่อเลื่อนเงินเดือน โดยต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไปอย่างช้าที่สุดพร้อมกับการมีคําสั่งเลื่อนเงินเดือน 3. ข้าราชการซึ่งจะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งต้องมีผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการไม่ต่ํากว่าระดับพอใช้หรือร้อยละ 60 4. ข้าราชการที่บรรจุเข้ารับราชการทั้งกรณีบรรจุใหม่และบรรจุกลับ ต้องมีเวลาปฏิบัติราชการในรอบครึ่งปีที่แล้วมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 เดือน กล่าวคือ ถ้าจะอยู่ในเกณฑ์ได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนในวันที่1 เมษายน หรือวันที่1 ตุลาคม จะต้องได้รับการบรรจุเข้ารับราชการภายในวันที่1 ธันวาคมหรือวันที่1มิถุนายน แล้วแต่กรณีสิทธิและสวัสดิการ อื่นๆ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นมีสิทธิและสวัสดิการ ได้แก่เงินเดือน เงินตอบแทน การรักษาพยาบาลการลา เครื่องราชอิสริยาภรณ์บําเหน็จ บํานาญ การเดินทางไปราชการ การศึกษาบุตร เงินรางวัล ค่าเช่าบ้านเงินสวัสดิการพื้นที่พิเศษ เงินค่าทําขวัญ ฯลฯ 58
Pa g e | 65 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบเส้นทางความก้าวหน้า ประเภททั่วไป (สายงาน ๑/๒) เปรียบเทียบเส้นทางความก้าวหน้า ประเภทวิชาการ (สาย ๓/ ๔) 59
Pa g e | 66 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบเส้นทางความก้าวหน้า ประเภทบริหารท้องถิ่น (รอง/ปลัด) การเปลี่ยนตําแหน่ง การเปลี่ยนตําแหน่งจาก ประเภททั่วไป เป็นประเภทวิชาการ 60
Pa g e | 67 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการเปลี่ยนตําแหน่งเป็นประเภทอํานวยการท้องถิ่น 61
Pa g e | 68 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
Pa g e | 69 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานสรุปสาระสําคัญ หมวดที่2 วิชาเฉพาะตําแหน่ง 2. การดําเนินการทางวินัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้บรรยายโดย : นางสาวอมลสิริแหม่มเพชร นก.ปก. สน.บถ.สถ.การดําเนินการทางวินัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น 1. คณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) 2. คณะกรรมการกลางข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น (ก.จ. / ก.ท. / ก.อบต.) 3. คณะกรรมการข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น (ก.จ.จ. / ก.ท.จ. / ก.อบต.จังหวัด) “ วินัยตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2554 ”หมายถึงระเบียบแบบแผนและข้อบังคับข้อปฏิบัติเป็นแบบแผนความประพฤติหรือข้อปฏิบัติที่ข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่นทุกคนพึงกระทํา จุดมุ่งหมาย 1. เพื่อให้การทํางานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 2. เพื่อความเจริญความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ3. เพื่อความผาสุกของประชาชน 4. เพื่อภาพพจน์ที่ดีขององค์กร วินัย ประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนท้องถิ่นเรื่องมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดําเนินการทางวินัยพ.ศ. 2558 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่4) พ.ศ. 2566 63
Pa g e | 70 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นโทษทางวินัย 1. ภาคทัณฑ์2. ตัดเงินเดือน 3. ลดขั้นเงินเดือน 4. ปลดออก 5. ไล่ออกผู้ถูกลงโทษปลดออกจากราชการมีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญ พนักงานส่วนท้องถิ่นต้องรักษาวินัยตามที่กําหนดเป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติไว้ในหมวดนี้โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ 64
Pa g e | 71 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นหลักการ 1. ผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามข้อห้ามและข้อปฏิบัติต้องเป็นพนักงานส่วนท้องถิ่น 2. พฤติการณท์ ี่เป็นการกระทําความผิดวินยัต้องเกิดขึ้นในขณะที่มีสภาพเป็นพนักงานส่วนท้องถิ่น3. ผู้ที่จะถูกดําเนินการทางวินัยและถูกลงโทษทางวินัยต้องเป็นพนักงานส่วนท้องถิ่นเว้นแต่เข้าข้อยกเว้นฯ ข้อยกเว้น 1. การดําเนินการทางวินัยกับผู้ที่ออกจากราชการไปแล้ว (ข้อ 28, 28/1) 2. ศาลพิพากษาว่ากระทําความผิดอาญา 65
Pa g e | 72 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น66
Pa g e | 73 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น67
Pa g e | 74 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น68
Pa g e | 75 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกรณีที่ถือว่ามีมูลกระทําผิดวินัย (กรณีที่ไม่ต้องสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องต้น) 1. กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าพนักงานส่วนท้องถิ่นผู้ใดกระทําผิดวินัยโดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้วตามข้อ 24 ว4 2. กรณีหน่วยงานอื่นได้ดําเนินการสืบสวนแล้วส่งเรื่องให้ดําเนินการ 3. กรณีองค์กรตรวจสอบการใช้อํานาจชี้มูลความผิด ข้อ 24 วรรคสี่เมื่อปรากฏกรณีมมีูลที่ควรกลา่วหาว่าพนักงานส่วนท้องถิ่นผใู้ดกระทําผิดวนิัยโดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้วให้นายกอปท.ดําเนินการทางวินัยทันทีวรรคห้า เมื่อมีการกล่าวหาโดยปรากฏตัวผู้กล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าพนักงานผู้ใดกระทําผิดวินัยโดยยังไม่มีพยานหลักฐานให้นายกอปท. รีบดําเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทําผิดวินัยหรือไม่วรรคหก กรณีเป็นที่สงสัยให้ดําเนินการตามวรรคห้าเฉพาะกรณีดังนี้ (1) ไม่ระบุชื่อผู้กล่าวหาแต่ระบุชื่อหรือตําแหน่งของผู้ถูกกล่าวหาหรือข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะทราบว่ากล่าวหาผู้ใดและข้อเท็จจริงพอที่จะสืบต่อได้วรรคแปด การสืบสวนตามวรรคห้าทําโดย (1) ตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริง (2) ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง (3) ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง คําว่า "การสืบสวน"หมายถึงการสืบหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในเบื้องต้นเพื่อประกอบการพิจารณาของนายกอปท. ว่าพยานหลักฐานเพียงพอที่เชื่อได้ว่าผู้นั้นกระทําผิดวินัยหรือไม่วรรคสิบเอ็ด กรณีมีมูลไม่ร้ายแรงดําเนินการตามข้อ 26 วรรคสามคือ 1. อาจมอบหมายให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาสอบสวนแทน 2. ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างไม่ร้ายแรงก็ได้กรณีมูลร้ายแรงดําเนินการสอบสวนตามหมวด๓ (ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย) วรรคสิบสอง ผู้บังคับบัญชาละเลยหรือไม่สุจริตถือว่าผิดวินัยกรณีเป็นนายกอปท. ถือว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ 69
Pa g e | 76 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นข้อ 4๙ คําสั่งตั้งกรรมการสอบสวนให้ตั้งจากข้าราชการในสังกัดถ้าจําเป็น/ประโยชน์/เป็นธรรมอาจตั้งจากท้องถิ่นอื่นหรือข้าราชการฝ่ายพลเรือนโดยได้รับยินยอมก็ได้ซึ่งประธานตําแหน่งระดับไม่ต่ํากว่าหรือเทียบได้ไม่ต่ํากว่าผู้ถูกกล่าวหาตามที่ก.กลางกําหนด วรรคสอง กรรมการสอบสวนต้องมีนิติกรหรือผู้มีปริญญากฎหมายหรือผ่านอบรมวินัยหรือประสบการณ์วรรคสาม จําเป็นจะต้องมีผู้ช่วยเลขาข้าราชการ/ลูกจ้างประจํา/ภารกิจหรือผู้มีคุณสมบัติตามวรรคสองก็ได้วรรคสี่ความปรากฏแก่ก.จังหวัดว่านายกเป็นคู่กรณีกับผู้ถูกกล่าวหาหรือกล่าวหาร่วมให้ก.จังหวัดตรวจสอบหากพบจริงให้แจ้งขอยินยอมต้นสังกัดแล้วมีมติคัดเลือกกรรมการเพื่อให้นายกออกคําสั่งตามมติวรรคห้า เมื่อมีการแต่งตั้งกรรมการแล้วแม้ภายหลังประธานจะมีตําแหน่งระดับต่ํากว่าหรือเทียบได้ไม่ต่ํากว่าไม่กระทบการแต่งตั้งประธาน สาระสําคัญของคําสั่งตั้งกรรมการสอบสวน ข้อ 50 คําสั่งตั้งกรรมการต้อง 1. ระบุชื่อและตําแหน่งระดับผู้ถูกกล่าวหา 2. เรื่องกล่าวหา 3. ชื่อและตําแหน่งผู้ได้รับตั้ง กก. และผู้ช่วย วรรคสอง การเปลี่ยนตําแหน่งระดับผู้ได้รับแต่งตั้งไม่กระทําถึงการแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งข้อควรระวังอย่างยิ่งในกรณีที่ปรากฏว่าการตั้งกก.สอบสวนไม่ถูกต้องตามข้อ 49 ให้การสอบสวนทั้งหมดเสียไปในกรณีเช่นนี้ให้มีคําสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนใหม่ให้ถูกต้อง การประชุมของคณะกรรมการสอบสวน ประชุมครั้งที่1 เพื่อวางแนวทางการสอบสวน - พิจารณาเรื่องที่กล่าวหา : โดยพิจารณาจาก สว.1 และเอกสารหลักฐานประกอบ- วางแนวทางการสอบสวน : - สอบสวนใคร - เรื่องใด - ประเด็นการสอบสวน - พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สอบสวน - จัดทําแบบ สว.2 - การรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น - การจัดทําบันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหา (สว.2) 70
Pa g e | 77 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการประชุมครั้งที่2 พิจารณาพยานหลักฐานที่สนับสนุนและการแจ้ง สว.3 - พิจารณาพยานหลักฐาน - กระทําการใดเมื่อไรอย่างไร - ผิดกรณีใดตามข้อใด - จัดทําและแจ้ง สว.3 - สาระสําคัญ สว.3 ต้องระบุการกระทําและข้อกล่าวหาว่าผิดกรณีใดข้อใดและต้องสรุปพยานหลักฐานระบุวันเวลาสถานที่- การแจ้ง สว.3 - ต้องมีหนังสือเรียกมาพบแล้วแจ้ง - แจ้งลงนามรับทราบ - แจ้งไม่ยอมลงนามรับทราบ - ไม่มาตามนัด การประชุมครั้งที่3 พิจารณาว่าผิดวินัยหรือไม่- พิจารณาเปรียบเทียบพยานหลักฐาน - ชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย - พิจารณาความผิดและกําหนดโทษทางวินัย - กระทําผิดหรือไม่- ถ้าผิดเป็นการกระผิดกรณีใดตามข้อใด - ควรได้รับโทษสถานใด - ทํา สว.6 อย่างน้อยต้องมี - สรุปข้อเท็จจริง/พยานหลักฐาน - การวินิจฉัยเปรียบเทียบพยานหลักฐาน - ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน การลงโทษทางวินัย มาตรการสุดท้ายเพื่อให้มีการรักษาวินัยนอกเหนือจากการส่งเสริมและป้องกันจุดมุ่งหมาย : 1. เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ระดับโทษ : ร้ายแรง, ไม่ร้ายแรง 2. เพื่อรักษาความประพฤติและสมรรถภาพการทํางาน 3. เพื่อรักษาชื่อเสียงราชการและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการ 4. เพื่อให้ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น 71
Pa g e | 78 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นผู้มีอํานาจ : นายกอปท. ต้นสังกัดปัจจุบัน การสั่งการ : 1. ยุติเรื่อง,งดโทษ : สั่งให้ปรากฏหลักฐานแล้วรายงาน ก.จังหวัด2. ไม่ร้ายแรง :ออกคําสั่ง + แจ้งแล้วรายงานฯ ก.จังหวัด 3. ร้ายแรง :รายงานฯก.จังหวัดแล้วจึงออกคําสั่งตามมติข้อควรจํา : 1. ต้องคํานึงถึงสภาพการเป็นข้าราชการ 2.กรณีตงั้รา้ยแรงแลว้กรรมการสอบสวนและนายกอปท.เห็นต่างในระดับโทษ3. หลักการลงโทษไม่ย้อนหลัง 4. ต้องแจ้งสิทธิปรัชญาในการลงโทษ ข้อ 86 วรรคแรก "ผู้สั่งลงโทษต้องสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับความผิดและมิให้เป็นไปโดยพยาบาทโดยอคติหรือโดยทุจริตหรือลงโทษผู้ที่ไม่มีความผิดในคําสั่งลงโทษให้แสดงให้ชัดเจนจนว่าผู้ถูกลงโทษกระทําผิดวินัยโดยมีข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนพยานหลักฐานและเหตุผลที่สนับสนุนข้อกล่าวหาอย่างไรเป็นการกระทําผิดวินัยกรณีใดตามข้อใด"อํานาจการสั่งลงโทษทางวินัยไม่ร้ายแรง ข้อ 84 ผู้ใดกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงให้นายกฯสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ตัดเงินเดือนหรือลดขั้น/ ลดเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิดถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้แต่สําหรับการลงโทษภาคทัณฑ์ให้ใช้เฉพาะกรณีกระทําผิดวินัยเล็กน้อยหรือมีเหตุอันควรลดหย่อนซึ่งยังไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษตัดเงินเดือนในกรณีกระทําผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษจะงดโทษให้โดยว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือก็ได้กรณีการกระทําในเรื่องเดียวกันแต่เป็นความผิดวินัยหลายฐานความผิดให้สั่งลงโทษในสถานโทษที่หนักที่สุดเพียงสถานเดียวแห่งการกระทํานั้นนายกฯมีอํานาจลงโทษตัดเงินเดือนและลดขั้นเงินเดือน/ลดเงินเดือนพนักงานส่วนท้องถิ่นตามวรรคหนึ่งได้ดังนี้ (๑) ตัดเงินเดือนครั้งหนึ่งไม่เกินร้อยละ๒หรือร้อยละ๔ของเงินเดือนที่ผู้นั้นได้รับในวันที่มีคําสั่งลงโทษเป็นเวลาหนึ่ง, สองหรือสามเดือน (๒) ลดขั้นเงินเดือนครั้งหนึ่งไม่เกินหนึ่งขั้นหรือลดเงินเดือนครั้งหนึ่งในอัตราร้อยละ๒หรือร้อยละ๔ของเงินเดือนที่ผู้นั้นได้รับในวันที่มีคําสั่งลงโทษแล้วแต่กรณีอํานาจการสั่งลงโทษทางวินัยร้ายแรง ข้อ 85 วรรคหนึ่ง "ในกรณีคณะกรรมการสอบสวนที่แต่งตั้งตาม ข้อ ๒๖วรรคหกหรือนายกฯแล้วแต่กรณีเห็นว่าพนักงานผู้ใดกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงสมควรลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการให้นายกฯเสนอก.จังหวัดเพื่อส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการพิจารณาการดําเนินการทางวินัยและการให้ออกจากราชการซึ่งผู้นั้นสังกัดอยู่พิจารณาทําความเห็นเสนอถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้แต่ห้ามมิให้ลงโทษต่ํากว่าปลดออกจากราชการและเมื่อ ก.จังหวัดมีมติเป็นประการใดให้นายกฯสั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น 72
Pa g e | 79 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นผู้มีอํานาจสั่งลงโทษ ผู้บังคับบัญชาตามที่กฎหมายบัญญัติให้อํานาจลงโทษไว้ - พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 - มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดําเนินการทางวินัย"นายกอปท.ต้นสังกัดปัจจุบัน"ผู้ถูกสั่งลงโทษต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ถูกกล่าวหาโอนย้ายระหว่างถูกสอบสวน (ข้อ 74) ให้คณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งไว้เดิมสอบสวนต่อไปให้เสร็จแล้วรายงาน สว.๖ ต่อผู้สั่งแต่งตั้งเพื่อตรวจสอบว่ากระบวนการสอบถูกต้องหรือไม่แต่ไม่ต้องสั่งสํานวนว่าควรลงโทษอย่างไรแล้วส่ง สว.6 ให้นายกอปท. สังกัดใหม่เป็นผู้พิจารณาสั่งสํานวนต่อไปผู้ถูกกล่าวหาโอนย้ายระหว่างก.จังหวัดพิจารณาตั้งคณะกรรมการและนายกอปท. เดิมมีคําสั่งลงโทษกรณีไม่ร้ายแรงแล้วรายงานก.จังหวัดหรือกรณีเห็นว่าผิดร้ายแรงที่ต้องรายงานก.จังหวัดเดิมพิจารณาแล้วต่อมาผู้นั้นโอนไปสังกัดใหม่ก่อนที่ก.จังหวัดเดิมจะพิจารณามีมติถือว่าการสั่งของนายกอปท.เดิมนั้นชอบด้วยกฎหมายในขณะที่สั่งแล้วจึงไม่ต้องส่งเรื่องกลับไปให้นายกอปท.ใหม่พิจารณาเหมือนกรณีที่หนึ่งแต่ต้องส่งเรื่องไปให้ก.จังหวัดสังกัดใหม่พิจารณาก.จังหวัดเดิมพิจารณารายงานวินัยและมีมติแล้วแต่นายกอปท.เดิมยังไม่ได้ปฏิบัติตามมติก.จังหวัดเดิมต่อมาผู้จะถูกลงโทษได้โอนไปสังกัดใหม่ให้ส่งมติก.จังหวัดเดิมและรายงานวินัยไปให้ก.จังหวัดใหม่พิจารณา การสั่งลงโทษต้องไม่ย้อนหลัง หลัก : การสั่งลงโทษทางวินัยจะสั่งลงโทษย้อนหลังก่อนวันออกคําสั่งไม่ได้ข้อยกเว้น : เข้าข้อยกเว้นตามข้อ 86 ของมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัยฯ +หมวด5ของมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการ 1. การลงโทษวินัยอย่างไม่ร้ายแรง - กรณีถูกสั่งพักหรือให้ออกจากราชการเกษียณก่อนสั่งกลับ 2. การลงโทษวินัยร้ายแรง - ผู้ถูกสั่งพักหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการฯ - ผู้ละทิ้งหน้าที่ราชการเกิน ๑๕ วันและไม่กลับฯ - ผู้ต้องโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุด กรณีเปลี่ยนแปลงคําสงั่ใหม่ /กรณีออกจากราชการไปก่อนแลว้ (รวมถึงเกษียณฯ) มีเหตุสมควรอนื่*สภาพการเป็นข้าราชการ หลัก "การดําเนินการทางวนิัยและการสงั่ลงโทษจะมีผลใชบ้งัคับได้ต่อเมอื่ยังมีสภาพเปน็ข้าราชการอยู่"ข้อยกเว้น ข้อ 28, 28/1 "การดําเนินการทางวนิัยและลงโทษทางวินยัแกผู่้ที่ออกจากราชการไปแลว้73
Pa g e | 80 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นประโยชน์ที่ได้รับจากการดําเนินทางวินัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1. ความแตกต่างของกฎหมายอาญาและวินัย - อาญาต้องร้องทุกข์ก่อนและต้องมีหลักฐาน - วินัยหากสามารถระบุได้ว่าผู้กระทําเป็นใครแต่ไม่มีหลักฐานนายกสามารถดําเนินการสอบสวนแต่หากมีหลักฐานนายกสามารถดําเนินการทางวินัยได้ทันที2. ละทิ้งหน้าที่คือตัวเจ้าหน้าที่ไม่อยู่สํานักงาน - ทอดทิ้งคือตัวอยู่สํานักงานแต่ไม่ยอมทํางาน 3. ความผิดทางวินัยที่มากที่สุดคือความผิดทางวินัยเรื่องชู้สาว 4. รู้ทันวินัยปลอดภัยยันเกษียณและหลังเกษียณอีก 3 ปี5. การดําเนินทางวินัยแยกเป็น 2 ข้อคือก่อนออกและหลังออกจากราชการ - ก่อนออกลงโทษภายใน 3 ปี - หลังออกตั้งบทลงโทษใน 1 ปีและลงโทษภายใน 3 ปีแต่หาก ปปช.ส่งเรื่องหลังการออกราชการ 3 ปีแล้วอาจมีสิทธิ์พ้นโทษได้แต่ต้องดูฐานเรื่องก่อน 74
Pa g e | 81 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
Pa g e | 82 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานสรุปสาระสําคัญ หมวดที่2 วิชาเฉพาะตําแหน่ง 3. ความรู้เกี่ยวกับบําเหน็จบํานาญของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้บรรยายโดย : นางสาวอริญรดา เทวิน สน.คท.สถ.ความรู้เกี่ยวกับบําเหน็จบํานาญของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ร.บ.บําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่นพ.ศ. ๒๕๗๗ (แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่๘) พ.ศ.๒๕๕๖ มาตรา ๔ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นหมายความว่าข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดพนักงานเทศบาล พนักงานเมืองพัทยาพนักงานส่วนตําบลแต่ไม่รวมถึงข้าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการ หมายความว่าข้าราชการตามกฎหมายบําเหน็จบํานาญ ราชการส่วนท้องถิ่น หมายความว่า อบจ. เทศบาลเมืองพัทยาอบต. แต่ไม่รวมถึงกทม.เวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญ หมายความวา่เวลาที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นรับราชการหรือปฏิบัติงานมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันสุดท้ายที่ได้รับเงินเดือน เงินเดือนสุดท้าย หมายความว่าเงินเดือนที่ได้รับจากเงินงบประมาณของทางราชการส่วนท้องถิ่นประเภทเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ออกจากราชการ เงินเดือนเดิม หมายความว่า เงินเดือนเดือนสุดท้ายที่เคยได้รับสูงสุดในครั้งใดก่อนออกจากราชการ บําเหน็จ หมายความว่าเงินตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมาซึ่งจ่ายครั้งเดียว บํานาญ หมายความว่าเงินตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมาซึ่งจ่ายเป็นรายเดือนทายาทผู้มีสิทธิหมายความว่า ๑. บุตร และหมายรวมถึงบุตรซึ่งได้มีคําพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย๒. สามีหรือภริยา ๓. บิดามารดา ผู้อุปการะ หมายความว่า ๑. ผู้ที่ได้อุปการะเลี้ยงดูให้มีการศึกษาผู้ตายมาแต่เยาว์ฉันท์บิดามารดากับบุตร ๒. ผู้ที่ได้อุปการะข้าราชการท้องถิ่นหรือข้าราชการบํานาญส่วนท้องถิ่นผู้มีรายได้ไม่เพียงพอแก่อัตภาพหรือได้อุปการะข้าราชการบํานาญส่วนท้องถิ่นผู้ซึ่งป่วยเจ็บทุพลภาพหรือวิกลจริตไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้และต้องเป็นผู้ให้อุปการะประจําเป็นส่วนใหญ่ผู้อยู่ในอุปการะ หมายความว่า ผู้ที่ได้อยู่ในอุปการะของผู้ตายตลอดมาโดยจําเป็นต้องมีผู้อุปการะและความตายของผู้นั้นทําให้ได้รับความเดือดร้อน กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น มาตรา ๖ ให้มีกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อจ่ายบําเหน็จบํานาญแก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นโดยให้ราชการส่วนท้องถิ่นหักเงินจากงบประมาณการรายรับในงบประมาณรายจ่ายประจําปี76
Pa g e | 83 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น(ก.บ.ท.) ๑. ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการ ๒. อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รองประธาน ๓. อธิบดีกรมการปกครอง กรรมการ ๔. ที่ปรึกษาด้านกฎหมายกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ๕. ผู้แทนกระทรวงการครั้ง กรรมการ ๖. ผู้แทนคกก.กลางข้าราชการอบจ. ๒ คน กรรมการ ๗. ผู้แทนคกก.พนักงานเทศบาล ๒ คน กรรมการ ๘. ผู้แทนคกก.พนักงานส่วนตําบล ๒ คน กรรมการ มาตรา ๘ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่นให้รวมประเภทเงินดังนี้เงินดอกผลที่เกิดจากก.บ.ท. ตามกฎหมายนี้และเงินที่มีผู้อุทิศสมทบ ก.บ.ท.มาตรา ๙ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นออกออกจากราชการให้จ่ายบําเหน็จบํานาญจากก.บ.ท.และวรรคสองกําหนดว่าสทิธิในบําเหน็จบํานาญเป็นสิทธิเฉพาะตัวจะโอนไม่ได้มาตรา ๑๐ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งจะได้รับบําเหน็จบํานาญเมื่อก่อนออกจากราชการต้องได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือน มาตรา ๑๑ บุคคลที่ไม่มีสิทธไิด้รับบําเหน็จบํานาญจาก พ.ร.บ.นี้๑. ผู้ถูกไล่ออกจากราชการเพราะมีความผิด ๒. ข้าราชการส่วนท้องถิ่นวิสามัญหรือลูกจ้าง ๓. ผู้ซึ่งราชการส่วนท้องถิ่นกําหนดเงินอย่างอื่นไว้ให้แทนบําเหน็จบํานาญ๔. ผู้ซึ่งมีเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญไม่ครบ ๑ ปีบริบูรณ์๕. ผู้ซึ่งไม่เคยรับราชการมาก่อนแต่ได้เป็นทหารกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหารเมื่อปลดเป็นกองหนุนแล้วและได้เข้ารับราชการอีกยังไม่ครบ ๑ ปีบริบูรณ์มาตรา ๑๒ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นมีสิทธไิด้รับบําเหน็จบํานาญปกติด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง- บําเหน็จบํานาญทดแทน - บําเหน็จบํานาญเหตุทุพลภาพ - บําเหน็จบํานาญเหตุสูงอายุ- บําเหน็จบํานาญเหตุรับราชการนาน สิทธิในการขอรับบําเหน็จบํานาญ มาตรา ๑๓ สิทธใินการขอรับบํานาญปกติพ.ร.บ.นี้ให้มีอายุความ ๓ ปีมาตรา 33 เมื่อได้แจ้งคํานวณบําเหน็จบํานาญปกติให้ผู้มีสิทธิรับทราบล่วงพ้น 2ปีแล้วให้ถือว่าการคํานวณนั้นเป็นอันเด็ดขาด 77
Pa g e | 84 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมาตรา ๑๔ บําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนให้แก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งออกจากราชการเพราะ- เลิกหรือยุบตําแหน่ง - หรือไปดํารงตําแหน่งทางการเมือง - หรือซึ่งมีคําสั่งให้ออกโดยไม่มีความผิด มาตรา ๑๕ บําเหน็จบํานาญเหตุผลทุพลภาพให้แก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้เจ็บป่วยทุพลภาพซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจแสดงความเห็นว่า ไม่สามารถจะรับราชการในตําแหน่งหน้าที่ซึ่งปฏิบัติอยู่นั้นต่อไป มาตรา ๑๖ บําเหน็จบํานาญเหตุสูงอายุให้แก่- ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีอายุ๖๐ ปีบริบูรณ์- ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีอายุ๕๐ ปีบริบูรณ์มาตรา ๑๗ บําเหน็จบํานาญเหตุรับราชการนานให้แก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ซึ่งมีเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญครบ 30 ปีบริบูรณ์แล้ว ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ซึ่งมีเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญ๒๕ปีบริบูรณ์ประสงค์ลาออกให้ผู้มีอํานาจสั่งอนุญาตให้ออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุรับราชการนาน มาตรา ๑๘ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญไม่ถึง๑๐ปีบริบูรณ์มีสิทธิได้รับบําเหน็จมีเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญตั้งแต่๑๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปมีสิทธิได้รับบํานาญ มาตรา ๑๙ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีสิทธิได้รับบํานาญจะขอรับบําเหน็จตามเกณฑ์ในมาตรา๓๒แทนบํานาญก็ได้มาตรา ๒๐ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ใด - มีเวลาสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญครบ ๑๐ ปีบริบูรณ์- ออกจากราชการเพราะลาออกและไม่มีสิทธิที่จะได้รับบําเหน็จบํานาญปกติตามความในมาตรา๑๒ (ไม่เข้า ๔ เหตุ)- ให้ได้รับบําเหน็จตามเกณฑ์ในมาตรา ๓๒ (มาตรา ๓๒ มีวิธีคํานวณบําเหน็จบํานาญ) หลักเกณฑ์การพิจารณาสทิธิที่จะขอรับบําเหน็จบํานาญ สิทธิที่จะได้รับบํานาญปกติ๑. ออกหรือพ้นจากราชการด้วยเหตุหนึ่งใน ๔เหตุ๒. มีเวลาราชการอย่างน้อย ๑๐ ปีบริบูรณ์๓. ไม่ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ 78
Pa g e | 85 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสิทธิที่ได้รับบําเหน็จปกติ๑. ออกจากราชการโดยไม่เข้าเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๔ เหตุต้องมีเวลาราชการอย่างน้อย ๑๐ปีบริบูรณ์หรือ ๒. ถ้าเข้าเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๔ เหตุแต่มีเวลาราชการไม่ถึง ๑๐ ปีบริบูรณ์หรือ ๓. มีสิทธิรับบํานาญจะเปลี่ยนเป็นรับบําเหน็จปกติแทนได้และ ๔. ไม่ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ เวลาราชการและการนับเวลาราชการสําหรับคํานวณ มาตรา 21 ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว เป็นอันพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณที่อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์มาตรา ๒๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมเกษียณอายุราชการของข้าราชการส่วนท้องถิ่นก่อนสิ้นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณเจ้าหน้าที่ควบคุมเกษียณอายุยื่นบัญชีรายชื่อข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่ทีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญซึ่งจะมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณถัดไป มาตรา 23 ก่อนสิ้นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณเจ้าหน้าที่ควบคุมเกษียณอายุยื่นบัญชีรายชื่อข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่มีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญซึ่งจะมีอายุครบ๖๐ ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณถัดไปมาตรา ๒๕ การนับเวลาราชการ ให้นับตั้งแต่วันที่รับราชการและรับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือน วรรคสอง ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประเภทวิสามัญ ที่ติดต่อกันกับวันที่ได้มีการยกฐานะหรือการเปลี่ยนสถานะเป็นเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญได้วรรคสาม ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งทํางานหรือรับราชการก่อนอายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์ให้เริ่มนับเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญตั้งแต่วันที่มีอายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์วรรคสี่ผู้ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนทหารกองประจําการให้มีสิทธินับเวลาราชการตั้งแต่วันขึ้นทะเบียนกองประจําการ มาตรา ๒๖ ผู้ซึ่งกระทําหน้าที่กระทรวงกลาโหมกําหนด - ในระหว่างเวลาที่มีการรบหรือการสงครามหรือมีการปราบจราจลหรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน - ให้นับเวลาราชการที่ปฏิบัติตามคําสั่งเป็นทวีคูณ - แม้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจะไม่ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณประเภทเงินเดือน- กรณีที่มีประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตที่ได้มีประกาศได้รับการนับเวลาราชการในระหว่างนั้นเป็นทวีคูณ 79
Pa g e | 86 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นวิธีคํานวณบําเหน็จบํานาญ มาตรา ๓๑ วรรคแรกเงินเดือนที่ใช้ในการคํานวณ - การคํานวณฯให้ตั้งเงินเดือนเดือนสุดท้ายเป็นเกณฑ์คํานวณ - กรณีการคํานวณฯของผู้พ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุใช้เงินเดือนที่ได้เลื่อนในวันสุดท้ายของปีงบประมาณนั้นด้วย วรรคสอง การเลื่อนเงินเดือนในวันสุดท้ายของปีงบประมาณนั้นไม่ก่อให้เกิดสิทธิในการรับเงินเดือนที่ได้เลื่อนแต่เงินเดือนได้เลื่อนนั้นให้ถึงเสมือนว่าเป็นเงินเดือนเดิม มาตรา ๓๒ วิธีการคํานวณบําเหน็จบํานาญ ๑. บําเหน็จ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x จํานวนปีเวลาราชการ ๒. บํานาญ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x จํานวนปีเวลาราชการ ๕๐ บําเหน็จบํานาญพิเศษ มาตรา ๓๕ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประสบเหตุถึงทุพลภาพให้จ่ายบําเหน็จบํานาญพิเศษวรรคสอง สิทธิในบําเหน็จบํานาญพิเศษเป็นสิทธิเฉพาะตัวจะโอนไม่ได้มาตรา ๓๖ ได้รับอันตรายจนพิการหรือเจ็บป่วยทุพลภาพโดยแพทย์รับรองหรือถูกประทุษร้ายรับราชการต่อไปไม่ได้ - ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับอันตรายจนพิการ - เสียแขนเสียขาหูหนวกทั้งสองข้างตาบอด - ได้รับการเจ็บป่วยซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจแล้วแสดงว่าถึงทุพลภาพไม่สามารถจะรับราชการต่อไปได้อีกเพราะเหตุจากการปฏิบัติหน้าที่- หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทําตามหน้าหน้าที่- ให้ผู้นั้นได้รับบําเหน็จบํานาญปกตอและบํานาญพิเศษ - เว้นแต่การได้รับอันตราย ได้รับการเจ็บป่วยหรือถูกประทุษร้ายเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเกิดจากความผิดของตนเอง มาตรา 37 รับบําเหน็จบํานาญแล้วทุพพลภาพภายใน 3 ปีนับแต่วันที่ออกได้รับบํานาญปกติและบํานาญพิเศษ มาตรา 38การคํานวณบํานาญพิเศษให้กระทรวงมหาดไทยเป็นกําหนดตามเหตุการณ์ประกอบความพิการหรือทุพพลภาพของผู้นั้น มาตรา 39 กรณีมีสิทธิได้รับบํานาญพิเศษแม้ยังไม่มีสิทธิรับบํานาญปกติให้ได้รับบํานาญปกติได้บวกกับบํานาญพิเศษด้วย มาตรา 40 กรณีได้รบัอันตรายถึงทุพพลภาพและถึงแก่ความตายก่อนได้รับบํานาญพิเศษให้จ่ายบําเหน็จตกทอดและบํานาญพิเศษให้แก่ทายาทกรณีได้รับอันตรายถึงทุพพลภาพและถึงแก่ความตาย มาตรา 41 ได้รับการเจ็บป่วยทุพพลภาพใน มาตรา 36 เพราะเหตุ(1) ต้องไปปฏิบัติราชการเป็นครั้งคราวนอกตําบลที่ตั้งสํานักงาน 80
Pa g e | 87 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(2) ต้องประจําปฏิบัติราชการในท้องที่กันดารที่จะต้องเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บซึ่งท้องที่นั้นได้กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา มาตรา 42 ข้าราชการส่วนท้องถิ่นสูญหายไปและมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้นั้นได้รับอันตรายตามที่กําหนดในมาตรา 36 ถึงตายเมื่อพ้นกําหนด 2 เดือนนับแต่วันสูญหายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเพื่อประโยชน์แห่ง พ.ร.บ.นี้ว่าผู้นั้นถึงแก่ความตายในวันที่สูญหายและให้จ่ายบํานาญพิเศษตามเกณฑ์ในมาตรา 40ถ้ามิได้ตายก็ให้งดจ่ายบํานาญพิเศษ ถ้าต้องจ่ายเงินเดือนให้ในระหว่างเวลาที่สันนิษฐานว่าถึงแก่ความตายให้หักจํานวนเงินทั้งหมดที่จ่ายไปแล้วออกจากจํานวนเงินที่ต้องจ่าย มาตรา 43 การจ่ายบํานาญพิเศษกรณีได้รับอันตรายถึงทุพพลภาพและถึงแก่ความตายจ่ายให้ทายาทดังนี้ (1) บุตรให้ได้รับ 2 ส่วนถ้าบุตร 3 คนขึ้นไปให้ได้รับ 3 ส่วน (2) สามีหรือภริยาให้ได้รับ 1 ส่วน (3) บิดามารดาหรือบิดามารดาที่มีชีวิตอยู่ให้ได้รับหนึ่งส่วน การจ่ายบํานาญพิเศษกรณีได้รับอันตรายถึงทุพพลภาพและถึงแก่ความตายไม่มีทายาทหรือทายาทตายก่อน ให้แบ่งบํานาญพิเศษนั้นระหว่างทายาทผู้มีสิทธิตามส่วนในอนุมาตรที่มีทายาทผู้มีสิทธิได้รับบํานาญพิเศษ การจ่ายบํานาญพิเศษกรณีได้รับอันตรายถึงทุพพลภาพและถึงแก่ความตาย - หักเอาคืนจากทายาทไม่ได้จังหวัดไม่ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินบํานาญพิเศษให้แก่บุตรตามคําพิพากษาของศาล - ไม่มีทายาท และ ผวจ.ได้พิจารณาจ่ายบํานาญพิเศษให้แก่ผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะแล้วปรากฏมีบุตรตามคําพิพากษาภายหลังให้สั่งจ่ายบํานาญพิเศษให้แก่บุตรตามคําพิพากษา กรณีนี้ให้จังหวัดหักเอาจากทายาทกรณีหักหรือเรียกคืนไม่ได้จังหวัดไม่ต้องรับผิดชอบ - บุคคลซึ่งได้รับบํานาญพิเศษตายหรือหมดสิทธิไปให้ส่วนที่ผู้นั้นได้รับอยู่เป็นอันยุติลง มาตรา 44 กําหนดเวลาและเงื่อนไขการจ่าย (1) บุตร รับได้จนถึงอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์- บุตร รับได้จนถึงอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์กรณีศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมอุดมศึกษา หรือชั้นเตรียมอุดมศึกษา หรือชั้นการศึกษาที่ทางราชการ (2) สามีหรือภรรยา ให้ได้รับตลอดชีวิต เว้นแต่ทําการสมรสใหม่(3) บิดามารดา ให้ได้รับตลอดชีวิต (4) บุคคลอื่นนอกจากที่กล่าว ถ้าไม่ถึงอายุ20 ปีบริบูรณ์อย่างบุตรแล้วแต่กรณีถ้าไม่เข้าลักษณะให้รับอยู่เพียง 10 ปีวรรคสอง กรณีผู้มีสิทธิรับบํานาญพิเศษพิการถึงทุพพลภาพอยู่ก่อนแล้วหรือในระหว่างที่มีสิทธิรับให้รับตลอดเวลาที่ทุพพลภาพ 81
Pa g e | 88 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมาตรา 45 กรณีรับบํานาญพิเศษเหตุทุพพลภาพรวมกับบํานาญปกติ - รวมแล้วรับไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท - ให้ได้รับบํานาญพิเศษเพิ่มขึ้นจนครบ 15,000 บาท - ขอเปลี่ยนเป็นการรับบําเหน็จพิเศษทนได้จํานวนเงินเท่ากับบํานาญพิเศษ 60เดือนมาตรา 46 ขอรับบํานาญพิเศษต้องแสดงรายงานแพทย์ที่ทางราชการรับรองกับรายงานแสดงที่ต้องรับอันตรายได้รับการเจ็บป่วยหรือถูกประทุษร้ายนั้นและให้แสดงถึงเหตุการณ์อันทําให้ควรเชื่อได้ว่าผู้นั้นได้รับอันตราย ม.46/1 บําเหน็จดํารงชีพได้แก่เงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับบํานาญเพื่อช่วยเหลือการดํารงชีพให้จ่ายให้ครั้งเดียว - จ่ายให้ผู้ได้รับบํานาญปกติหรือผู้รับบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ - จ่ายไม่เกิน 15 เท่าของบํานาญรายเดือนแต่ต้องไม่เกิน 5 แสน - กรณีรับไปแล้วกลับเข้ารับราชการใหม่ออกจากราชการครั้งหลังเลือกรับบํานาญไม่มีสิทธิรับอีก- ผู้รับบํานาญได้รับบําเหน็จดํารงชีพไปแล้วกลับเข้ารับราชการใหม่มีสิทธินับเวลาสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญต่อเนื่องเมื่อออกจากกราชการครั้งหลังเลือกรับบําเหน็จให้หักเงินออกจากบําเหน็จที่จะได้รับเท่ากับเงินบําเหน็จดํารงชีพ - กรณีแสดงเจตนาขอรับบําเหน็จดํารงชีพไว้แล้วแต่ได้ถึงแก่ความตายก่อนได้รับให้การจ่ายเงินดังกล่าวระงับไป กฎกระทรวงการกําหนดอัตราและวิธีการรับบําเหน็จดํารงชีพ พ.ศ. 2548 ข้อ 1 บําเหน็จดํารงชีพให้จ่ายในอัตราสิบห้าเท่าของบํานาญรายเดือนที่ได้รับแต่ไม่เกิน500,000 บาท ให้มีสิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้ดังต่อไปนี้ (1) ผู้รับบํานาญซึ่งมีอายุต่ํากว่า 65 ปีบริบูรณ์ให้มีสิทธิขอรับเงินบําเหน็จดํารงชีพได้ไม่เกิน200,000 บาท (2) ผู้รับบํานาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ซึ่งมีอายุตั้งแต่65 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 70 ปีให้มีสิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้ไม่เกิน 400,000 บาทแต่ถ้าผู้รับบํานาญนั้นได้ใช้สิทธิตาม (1) ไปแล้วให้ขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้ไม่เกินส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้นแต่รวมกันแล้วไม่เกิน 400,000 บาท (3) ผู้รับบํานาญซึ่งมีอายุตั้งแต่70 ปีขึ้นไปให้มีสิทธิขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้ไม่เกิน500,000บาทแต่ถ้าผู้รับบํานาญนั้นได้ใช้สิทธิตาม (1) หรือ (2) ไปแล้วให้ขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้ไม่เกินส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้นแต่รวมกันแล้วไม่เกิน 500,000 บาท ข้อ 2 ผู้รับบํานาญซึ่งประสงค์จะรับบําเหน็จดํารงชีพให้ขอรับได้รับตั้งแต่วันที่5ก.พ.2548ถึงวันที่30 เมษายน2548ในกรณีที่ผู้รับบํานาญคนใดมิได้ขอรับภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าวให้ขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้ตั้งแต่วันที่1 ต.ค. ถึงวันที่31 ธนัวาคม ของทุกปีข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งออกจากราชการและเลือกรับบํานาญหรือจะขอรับบําเหน็จดํารงชีพพร้อมกับการขอรับบํานาญก็ได้ในกรณีที่ยังไม่ขอรับบําเหน็จดํารงชีพพร้อมกับการขอรับบํานาญหากภายหลังจะขอเข้ารับบําเหน็จดํารงชีพให้ขอรับได้ตามระยะเวลาที่กําหนด 82
Pa g e | 89 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นข้อ 3 ในกรณีที่ผู้รับบํานาญหรือข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งออกจากราชการมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทําผิดวินัยหรืออาญาก่อนออกจากราชการมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทําผิดวินัยหรืออาญาก่อนออกจากราชการจะขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้เมื่อกรณีหรือคดีถึงที่สุดและมีสิทธิรับบํานาญโดยขอรับตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ในข้อ 2 บําเหน็จตกทอด มาตรา 47 วรรคแรก ข้าราชการส่วนท้องถิ่นตายโดยการตายมิได้เกิดจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงของตนเอง - จ่ายบําเหน็จตกทอดแก่ทายาทเงินเดือนเดือนสุดท้าย*จํานวนปีเวลาราชการ วรรคสอง จ่ายบําเหน็จตกทอดแล้วปรากฏบุตรชอบด้วยกฎหมายโดยคําพิพากษาให้เรียกคืนจากทายาทซึ่งได้รับบําเหน็จตกทอดไปแล้วตามระเบียบที่มท.กําหนดเรียกคืนไม่ได้จังหวัดไม่ต้องรับผิดชอบมาตรา 48 ผู้รับบํานาญปกติหรือผู้มีสิทธิจําได้รับบํานาญปกติหรือผู้รับบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพถึงแก่ความตายจ่ายบําเหน็จตกทอดจํานวน 30 เท่าของบํานาญรายเดือนรวมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) ที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับบําเหน็จดํารงชีพตกทอดที่จะได้รับเท่ากับเงินบําเหน็จดํารงชีพที่รับไปแล้ว มาตรา 49 บําเหน็จตกทอดคํานวณแล้วไม่ถึง 3,000 บาทให้จ่าย 3,000 บาทการพิจารณาสั่งจ่ายบําเหน็จบํานาญ มาตรา 50 ราชการส่วนท้องถิ่นได้รับเรื่องราวขอรับบําเหน็จบํานาญแล้วให้รีบตรวจสอบและนําส่งให้ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ภายใน 30 วันนับแต่วันรับและให้ผวจ.รีบพิจารณาสั่งจ่ายภายใน 21วันนับแต่วันรับเว้นแต่ความล่าช้าเป็นเพราะความผิดของผู้ขอหรือราชการส่วนท้องถิ่นเจ้าสังกัด การเสียสิทธิรับบํานาญ มาตรา 52 กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นถึงแก่ความตายก่อนได้รับการวินิจฉัยเรื่องกระทําผิดวินัยให้คณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่นพิจารณาวินิจฉัยว่าถ้าผู้นั้นจะต้องได้รับโทษถึงไล่ออกหรือไม่ถ้าเห็นว่าผู้นั้นจะต้องได้รับโทษถึงไล่ออกทายาทไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จตกทอด มาตรา 53 กรณีกระทําผิดอาญาและถึงแก่ความตายก่อนมีคดีหรือก่อนคดีถึงที่สุดให้คณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่นพิจารณาวินิจฉัยว่าผู้นั้นกระทําความผิดซึ่งกฎหมายกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงไว้เกินกว่าหนึ่งปีแล้วทายาทไม่สิทธิได้รับบํานาญ มาตรา 54 ทายาทไม่มีสิทธิได้รับ (1) ผู้ต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทําหรือพยายามกระทําให้เจ้าบํานาญหรือผู้ที่จะก่อให้เกิดสิทธริับบํานาญแก่ตนถึงตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (2) ทายาทตาม มาตรา 43 ต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทําให้เจ้าบํานาญหรือผู้ที่จะก่อให้เกิดสิทธิรับบํานาญแก่ตนถึงตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (3) ผู้ใดฟ้องเจ้าบํานาญหาว่าทําความผิดโทษประหารชีวิตและตนเองกล้องต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือทําพยานเท็จ 83
Pa g e | 90 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการคํานวณเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น เงินบําเหน็จปกติ เงินที่ทางราชการจ่ายให้แก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมาซึ่งจ่ายครั้งเดียว (เป็นเงินก้อน) เงินบําเหน็จปกติ= เงินเดือนเดือนสุดท้าย*จํานวนปีเวลาราชการ เงินบํานาญปกติ= (เงินเดือนเดือนสุดท้าย*จํานวนปีเวลาราชการ)/50 บําเหน็จดํารงชีพ จ่ายให้แก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้รับบํานาญไม่เกิน 15 เท่าของบํานาญรายเดือนแต่ไม่เกิน500,000 บาท (1) รับครั้งแรกอายุต่ํากว่า 65 ปีไม่เกิน 200,000 บาท (2) ขอรับครั้งที่2 อายุ65 ปีขึ้นไปแต่ไม่เกิน 70 ปีขอรับได้400,000 บาท (3) ขอรับครั้งที่3 อายุ70 ปีขึ้นไปขอรับได้ไม่เกิน 500,000 บาท เงินบําเหน็จตกทอด ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่รับราชการตายให้จ่ายบําเหน็จตกทอดให้แก่ทายาทของข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่ตายระหว่างรับราชการ ถ้าความตายนั้นมิได้เกิดขึ้นเนื่องจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงของตนเอง=เงินเดือนเดินสุดท้าย*จํานวนปีเวลาราชการ ผู้รับบํานาญปกติตายให้จ่ายบําเหน็จตกทอดให้แก่ทายาทของข้าราชการบํานาญส่วนท้องถิ่นที่ตายจํานวน 30 เท่าของบํานาญรายเดือนรวมช.ค.บ. (ถ้ามี) และหักส่วนที่มีการรับบําเหน็จดํารงชีพไปแล้ว=(เงินบํานาญรายเดือน+ช.ค.บ.)*30 -บําเหน็จดํารงชีพที่รับแล้ว การนับเวลาราชการ - นับเวลาราชการให้ในวันที่ได้รับเงินเดือน - นับเวลาราชการตั้งแต่อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์- ขึ้นทะเบียนทหารกองประจําการนับตั้งแต่ขึ้นทะเบียนทหาร - กรณีป่วยลาพักราชการถ้าได้เงินเดือนนับเวลาราชการเต็ม - กรณีได้รับการคัดเลือกสอบคัดเลือกไปดูงานศึกษาวิชาการในต่างประเทศให้นับเวลาราชการเต็มเวลาเวลาราชการ สําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญนับจํานวนปี - นับ 12 เดือนเป็น 1 ปี - เศษของปีถ้าถึงครึ่งนับเป็น 1 ปี - วันมีหลายระยะนับ 30 วันเป็น 1 เดือน 84
Pa g e | 91 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นการนับอายุบุคคล - การนับอายุตามป.พ.พ. มาตรา 16 ใช้ระบบ “วันชนวันเดือนชนเดือนปีบวกปี”แต่จะครบกําหนดปีบริบูรณ์ก่อนวันที่เกิดหนึ่งวัน มาตรา 16 การนับอายุของบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิดในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใดแต่ถ้าไม่รู้วันเกิดให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิดแต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใดให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทิน (1 มกราคมซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด) เกษียณอายุราชการ พ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณที่อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์การนับเวลาเพื่อคํานวณอายุบุคคลป.พ.พ.มาตรา 16ให้นับวันเกิดเป็นวันแรกแห่งการคํานวณอายุเงินบํานาญพิเศษ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่มีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญพิเศษเนื่องจากประสบเหตุต่างๆดังต่อไปนี้ก. กรณีที่ปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทําการตามหน้าที่ที่ทําให้ได้รับอันตรายจนพิการเสียแขนหรือขาหูหนวกทั้งสองข้างตาบอดหรอได้รับการป่วยเจ็บซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจแล้วและแสดงว่าถึงทุพพลภาพไม่สามารถจะรับราชการต่อไปได้อีกให้ได้รับบํานาญพิเศษกับทั้งบํานาญปกติด้วยเว้นแต่ด้รับอันตรายได้รับการป่วยเจ็บหรือการถูกประทุษร้ายนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือจากความผิดของตนเอง (มาตรา ๓๖) ข. กรณีที่ได้รับบําเหน็จหรือบํานาญไปแล้วถ้าภายใน ๓ ปีนับแต่วันที่ออกจากราชการหากปรากฎว่าป่วยเจ็บทุพพลภาพโดยปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าการป่วยเจ็บถึงทุพลภาพดังกล่าวเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการในระหว่างที่รับราชการก็จะมีสิทธิได้รับบํานาญพิเศษโดยจ่ายให้นับแต่วันขอถ้าได้รับบํานาญไปแล้วก็ให้ได้รับบํานาญพิเศษด้วยถ้ารับบําเหน็จไปแล้วให้จ่ายเฉพาะบํานาญพิเศษ (มาตา ๓๗) ค. กรณีได้รับการป่วยเจ็บทุพพลภาพเพราะเหตุต้องไปปฏิบัติราชการเป็นครั้งคราวนอกตําบลที่ตั้งสํานักงานประจํา หรือต้องประจําปฏิบัติราชการในท้องที่กันดารที่จะต้องเสี่ยต่อโรคภัยไข้เจ็บซึ่งท้องที่นั้นได้กําหนดไว้โดยพระราชกฤษฎีกาและข้าราชการส่วนท้องถิ่นเกิดป่วยเจ็บทุพลภาพดังเช่นข้อ ก.มีสิทธิได้รับบํานาญพิเศษ(มาตรา ๔๑) เงินเพิ่มจากเงินบํานาญ ระเบียบมท.ว่าด้วยเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๖ - สาระสําคัญตามระเบียบฯข้อ ๓๙ กล่าวถึงการจ่ายเงินเพิ่มจากเงินบํานาญในอัตราร้อยละ๒๕ของเงินบํานาญปกติหรือบํานาญพิเศษแล้วแต่กรณีโดยสรุปดังนี้ (๑) ออกก่อน ๑ ม.ค. ๒๕๐๙ ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มจากเงินบํานาญร้อยละ ๒๕(๒) นับแต่๑ ม.ค. ๒๕๐๙ เป็นต้นไปถ้าออกโดยมีสิทธิรับบํานาญจะได้รับเงินบํานาญและเงินเพิ่มจากเงินบํานาญร้อยละ ๒๕ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่สูงกว่าเงินเดือนเดือนสุดท้าย 85
Pa g e | 92 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(๓) กรณีโอนหรือถูกสั่งให้ไปรับราชการส่วนทองถิ่นซึ่งจะมีสิทธิได้นับเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญติดต่อกันให้ได้รับเงินเพิ่มจากเงินบํานาญร้อยละ ๕ ตามสัดส่วนระยะเวลาที่เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น (๔) ข้าราชการที่เข้ารับราชการในราชการส่วนท้องถิ่นนับแต่๑ ต.ค. ๒๕๓๕ เป็นต้นไปเมื่อออกหรือพ้นจากราชการและมีสิทธิได้รับบํานาญไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มร้อยละ ๒๕ จากเงินบํานาญปกติหรือเงินบํานาญพิเศษ เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่นพ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่๑ ธ.ค. ๒๕๕๗ โดยให้ผู้มีสทิธิได้รับหรือผู้รับบํานาญทุกประเภทอยู่แล้วในวันที่๑ ธ.ค. ๒๕๕๗ ให้ได้รัช.ค.บ. เพิ่มอีก ๔% ของจํานวนเงินบํานาญหรือและเงินบํานาญและ ช.ค.บ.ที่ได้รับ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่นพ.ศ. ๒๕๖๒(ฉบับที่๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่๑ มิ.ย. ๒๕๖๒ เป็นต้นไปสาระสําคัญโดยสรุปคือกรณีผู้มีสิทธิได้รับหรือผู้รับเงินบํานาญทุกประเภท (ไม่นับรวมเงินเพิ่ม ๒๕%) เมื่อรวมกับ ช.ค.บ.(ทุกฉบับ) แล้วต่ํากว่า ๑๐,๐๐๐ บาทต่อเดือนให้ได้รับเงิน ช.ค.บ เพิ่มขึ้นในอัตราเท่ากับส่วนต่างของจํานวนเงิน ๑๐,๐๐๐บาทหักด้วยจํานวนบํานาญทุกประเภทและ ช.ค.บ. ที่ได้รับหรอมีสิทธิได้รับ การยื่นเรื่องและแบบพิมพ์ต่าง ๆ ในการขอรับบําเหน็จบํานาญข้าราชการท้องถิ่น ๑. บําเหน็จปกติ๒. บํานาญปกติ๓. บํานาญพิเศษหรือบําเหน็จพิเศษ ๔. บําเหน็จตกทอด ๕. บําเหน็จดํารงชีพ ๖. เงินเพิ่มจากเงินบํานาญปกติ๗. เงินช่วยพิเศษ ๘. เงินช่วยค่าครองชีพผู้ได้รับบํานาญ (ช.ค.บ) บําเหน็จบํานาญปกติผู้มีสิทธิได้รับ - เป็นข้าราชการท้องถิ่นตามกฎหมาย - รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณรายจ่าย - เข้าเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๔ เหตุตามมาตรา ๑๒ - ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้มีสิทธิ 86
Pa g e | 93 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นบําเหน็จบํานาญพิเศษ พฤติการณ์- ได้รับอันตรายจนพิการ - ได้รับการเจ็บป่วย - ถึงแก่ความตาย - แพทย์ลงความเห็นว่าไม่สามารถรับราชการต่อไปได้อีกเลย สาเหตุ- ปฏิบัติราชการในหน้าที่- ถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทําการตามหน้าที่บําเหน็จตกทอด ข้าราชการส่วนท้องถิ่นตาย ๑. เหตุปกติ เป็นโรคหรือเจ็บป่วย ๒. เหตุผิดปกติธรรมชาติอุบัติเหตุกระทําหรือถูกกระทําถึงแก่ความตายซึ่งมิได้เกิดจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงของตน บําเหน็จตกทอด = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x เวลาราชการ บําเหน็จดํารงชีพ - จ่ายให้แก่ผู้ที่ได้รับบํานาญปกติหรือผู้ได้รับบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพลภาพ - ยื่นแบบ บ.ท.๑๖ ขอรับพร้อมกับบํานาญเมื่อเกษียณหรือลาออก - หลักการจ่ายคือจ่ายให้แก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ได้รับบํานาญไม่เกิน ๑๕เท่าของบํานาญรายเดือนแต่ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑. ผู้รับบํานาญอายุต่ํากว่า ๖๕ ปีให้ขอรับได้ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ผู้รับบํานาญอายุ๖๕ ปีขึ้นไปแต่ไม่เกิน ๗๐ ปีให้ขอรับไม่เกิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท๓. ผู้รับบํานาญอายุ๗๐ ปีขึ้นไปให้ขอรับได้ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท - กรณีรับทั้งบํานาญปกติและบํานาญพิเศษทุพลภาพให้นําบํานาญทั้ง ๒ รายการรวมเป็นบํานาญรายเดือนเพื่อคํานวณจ่ายบําเหน็จดํารงชีพ - ถ้ารับบําเหน็จดํารงชีพแล้วออกจากราชการแล้วกลับเข้ามาใหม่การออกจากราชการครั้งหลังจะไม่มีสิทธิได้รับเงินบําเหน็จดํารงชีพอีก เงินเพิ่มจากเงินบํานาญ ตรวจสอบจากทะเบียนประวัติหรือคําสั่งบรรจุหรือคําสั่งรับโอนผู้มีสิทธิได้เงินเพิ่มร้อยละ๒๕ของเงินบํานาญได้แก่ 87
Pa g e | 94 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น๑. ต้องเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นและเป็นผู้มีสิทธิได้รับบํานาญ ๒. ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งออกหรือพ้นจากราชการตั้งแต่วันที่๑ ม.ค. ๒๕๐๙เป็นต้นไปมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มร้อยละ ๒๕ ของเงินบํานาญปกติหรือเงินบํานาญพิเศษเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่สูงกว่าเงินเดือนเดือนสดุท้าย ๓. กรณีโอนหรือถูกสั่งไปรับราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งจะมีสิทธิได้นับเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญติดต่อกันให้ได้รับเงินเพิ่มจากเงินบํานาญร้อยละ ๒๕ ตามสัดส่วนระยะเวลาที่เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ไม่มีสิทธิได้เงินเพิ่มร้อยละ ๒๕ ได้แก่๑. ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งออกหรือพ้นจากราชการก่อนวันที่๑ มกราคม ๒๕๐๙ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม ๒. ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งบรรจุหรือโอนมาเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นตั้งแต่วันที่๑ต.ค.๒๕๓๕ เป็นต้นไปเมื่อออกหรือพ้นฯไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม ๓. ข้าราชการโอนมาอปท. ตาม พ.ร.บ.ถ่ายโอน (ช่วงตั้งแต่ปี๒๕๔๕ เป็นต้นมา) ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม ๔. ลูกจ้างประจําของอปท. ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม เงินช่วยพิเศษ หลักเกณฑ์ทั่วไปมีดังต่อไปนี้ - กรณีได้แสดงเจตนาไว้ให้จ่ายให้กับบุคคลที่แสดงเจตนาไว้ตามแบบ บ.ท.10 - กรณีมิได้แสดงเจตนาไว้หรือได้แสดงเจตนาไว้แต่บุคคลดังกล่าวได้ตายก่อน ให้จ่ายแก่คู่สมรสบุตรบิดามารดาตามลําดับถ้าลําดับก่อนมีชีวิตลําดับถัดไปไม่มีสิทธิ - กรณีผู้มีสิทธิรับเงินช่วยพิเศษมีมากกว่า 1 คนให้จ่ายบุคคลที่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือหรือบุคคลหนี่งบุคคลใดที่จัดการศพ - กรณีที่อปท. มีความจําเป็นต้องเข้าจัดการศพเพราะไม่มีผู้ใดเข้าจัดการในเวลาอันสมควรให้อปท.หักค่าใช้จ่ายจากเงินช่วยพิเศษเท่าที่จ่ายจริงส่วนที่เหลือ(ถ้ามี) ให้ทายาทผู้มีสิทธิตามข้อ 30- การขอรับเงินช่วยพิเศษให้กระทําภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับถึงแก่ความตาย การจ่ายเงินช่วยพิเศษมีรายละเอียดดังนี้1. ข้าราชการท้องถิ่นเสียชีวิตในตําแหน่งเบิกจ่ายจากแหล่งเงิน งบประมาณที่ตั้งจ่ายเงินเดือน = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x 3 2. ผู้รับบํานาญเสียชีวิต บํานาญ + เงินเพิ่มจากบํานาญ(ถ้ามี) + ช.ค.บ (ถ้าม)ีx 3 3 บุคคลที่ระบุตัวไว้ในหนังสือแสดงเจตนา (แบบ บ.ท.10) หรือผู้มีสิทธิตามระเบียบข้อ30ยี่นแบบคําขอรับเงินช่วยพิเศษกรณีผู้รับบํานาญข้าราชการท้องถิ่นถึงแก่ความตายโดยแนบเอกสารเกี่ยวกับการตายเช่นใบมรณบัตรต่ออปท. ที่ผู้ถึงแก่ความตายสังกัด 88
Pa g e | 95 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่นถึงฉบับที่๑๗ ในฉบับที่๑๗ ข้อ ๔ (ประกันรายได้ขั้นต่ํา)ได้รับบํานาญรวมกับ ช.ค.บ. ต่ํากว่าเดือนละ๑๐,๐๐๐บาท ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของจํานวนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท - ผู้รับบํานาญจะได้รับเงินบํานาญรายเดือนปัจจุบันมีการกําหนดระเบียบมท.ว่าด้วยเงินค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่นรวม ๑๗ ฉบับ - การจ่าย ช.ค.บ.ให้นํากฎหมายว่าด้วยการจ่ายเงินเงินปีบําเหน็จบํานาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกันมาใช้บังคับโดยอนุโลม - ให้เบิกจ่าย ช.ค.บ. จากงบประมาณรายจ่ายแผนงาน/งานงบกลางรายการเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.) - ออกจากราชการที่ใด อปท.นั้นเป็นผู้เบิกจ่าย ช.ค.บ. กรณีมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่รับบํานาญอปท.ที่ผู้รับบํานาญออกจากราชการเป็นผู้เบิกจ่าย ช.ค.บ. - เมื่อมีการเพิ่มเงิน ช.ค.บ. เป็นหน้าที่อปท. ผู้เบิกจ่ายเงินบํานาญในการคํานวณเงินช.ค.บ.ที่เพิ่มขึ้นเพื่อเบิกจ่ายรวมกับเงินบํานาญรายเดือน งบประมาณในการเบิกจ่ายเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น ๑. เงินอุดหนุนจากรัฐบาล = ครูครูถ่ายโอนภารโรงโรงเรียนข้าราชการถ่ายโอน (ส่วนที่รัฐรับภาระ) ๒. เงินกองทุน = ข้าราชการส่วนท้องถิ่นตําแหน่งอื่นเงินเพิ่ม ๒๕% ครูข้าราชการถ่ายโอน(ส่วนที่ท้องถิ่นรับภาระ) ๓. งบประมาณอปท. = เงินช่วยค่าครองชีพ (ช.ค.บ.) เงินค่าตอบแทนลูกจ้างเงินช่วยพิเศษ89
Pa g e | 96 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
Pa g e | 97 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานสรุปสาระสําคัญ หมวดที่2 วิชาเฉพาะตําแหน่ง 4. หลักการบริการประชาชน และพระราชบัญญัติอํานวยความสะดวก ในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ผู้บรรยายโดย : นางสาวจอมขวัญ ศรีศิลป์นก.ชพ.สถ จ.ลพบุรีสาระสําคัญพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตทางราชการ พ.ศ. 2558ปัจจุบันมีกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตจํานวนมาก การประกอบกิจการของประชาชนจะต้องขออนุญาตจากส่วนราชการหลายแห่ง อีกทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตบางฉบับไม่ได้กําหนดระยะเวลาเอกสารและหลักฐานที่จําเป็น รวมถึงขั้นตอนในการพิจารณาไว้ทําให้เป็นอุปสรรคต่อประชาชนในการยื่นคําขออนุญาตดําเนินการต่างๆ ดังนั้น เพื่อให้มีกฎหมายกลางที่จะกําหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตและมีการจัดตั้งศูนย์บริการร่วมเพื่อรับคําร้องและศูนย์รับคําขออนุญาต ณ จุดเดียว เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการขออนุญาตซึ่งจะเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินั้นพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 180 วันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลใช้บังคับนับตั้งแต่วันที่21 กรกฎาคม 2558เป็นต้นไป) เว้นแต่มาตรา ๑๗ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (เรื่องการจัดทําคู่มือสําหรับประชาชน) มาตรา ๓ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับบรรดาการอนุญาต การจดทะเบียนหรือการแจ้งที่มีกฎหมายหรือกฎกําหนดให้ต้องขออนุญาต จดทะเบียน หรือแจ้ง ก่อนจะดําเนินการใด บทบัญญัติของกฎหมายหรือกฎใดที่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้“เจ้าหน้าที่” หมายความว่า เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง “อนุญาต” หมายความว่า การที่เจ้าหน้าที่ยินยอมให้บุคคลใดกระทําการใดที่มีกฎหมายกําหนดให้ต้องได้รับความยินยอมก่อนกระทําการนั้น และให้หมายความรวมถึงการออกใบอนุญาตการอนุมัติการจดทะเบียน การขึ้นทะเบียน การรับแจ้ง การให้ประทานบัตรและการให้อาชญาบัตรด้วย“ผู้อนุญาต” หมายความว่า ผู้ซึ่งกฎหมายกําหนดให้มีอํานาจในการอนุญาต “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาต “กฎหมายว่าด้วยการอนุญาต” หมายความว่า บรรดากฎหมายที่มีบทบัญญัติกําหนดให้การดําเนินการใดหรือการประกอบกิจการใดจะต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะดําเนินการได้“คําขอ” หมายความว่า คําขออนุญาต มาตรา ๕ พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่(๑) รัฐสภาและคณะรัฐมนตรี (๒) การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลและการดําเนินงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาคดีการบังคับคดีและการวางทรัพย์(๓) การดําเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (๔) การอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 91
Pa g e | 98 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(๕) การอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารด้านยุทธการ รวมทั้งตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมยุทธภัณฑ์และกฎหมายว่าด้วยโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน การยกเว้นไม่ให้นําบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่การดําเนินกิจการใดหรือกับ หน่วยงานใดนอกจากที่กําหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา มาตรา ๖ ทุกห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้อนุญาตพิจารณากฎหมายที่ให้อํานาจในการอนุญาตว่าสมควรปรับปรุงกฎหมายนั้นเพื่อยกเลิกการอนุญาตหรือจัดให้มีมาตรการอื่นแทนการอนุญาตหรือไม่ทั้งนี้ในกรณีที่มีความจําเป็นผู้อนุญาตจะพิจารณาปรับปรุงกฎหมายหรือจัดให้มีมาตรการอื่นแทนในกําหนดระยะเวลาที่เร็วกว่านั้นก็ได้มาตรา 7 วรรคสี่เพื่อประโยชน์ในการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ให้ส่วนราชการจัดให้มีศูนย์บริการร่วม เพื่อรับคําขอและชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการอนุญาตต่างๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตไว้ณ ที่เดียวกันตามแนวทางที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกําหนด พระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558มีจุดมุ่งหมายสําคัญ คือ การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการแก่ประชาชนให้ติดต่อกับทางราชการให้เร็วขึ้น (faster) ง่ายขึ้น (easier) และถูกลง (cheaper) รวมทั้งมุ่งให้การปฏิบัติราชการ เป็นไปอย่างโปร่งใส รับผิดชอบ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดประโยชน์สุขกับประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลผลิตหลักเพื่ออํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการแก่ประชาชน ดังนี้1. คู่มือสําหรับประชาชน พระราชบัญญัติฉบับนี้กําหนดให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องจัดทําคู่มือสําหรับประชาชน ให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาคู่มือสําหรับประชาชนเป็นคู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ต่อประชาชน โดยมีองค์ประกอบดังนี้1) หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข (ถ้ามี) ในการยื่นคําขอ 2) ขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาต 3) รายการเอกสารหรือหลักฐานที่ผู้ขออนุญาตจะต้องยื่นมาพร้อมกับคําขอ ทั้งนี้หน่วยงานของรัฐจะต้องมีการเผยแพร่คู่มือสําหรับประชาชนด้วยวิธีปิดประกาศคู่มือสําหรับประชาชนไว้ณ สถานที่ที่กําหนดให้ยื่นคําขออนุญาตในเรื่องนั้นๆ และเผยแพร่ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยเพื่อให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง อนึ่ง หากประชาชนต้องการสําเนาคู่มือสําหรับประชาชน เจ้าหน้าที่ต้องจัดทําสําเนาให้โดยจะคิดค่าใช้จ่ายตามที่ระบุไว้ในคู่มือสําหรับประชาชน และหน่วยงานของรัฐอาจจะกําหนดให้ประชาชนสามารถยื่นคําขออนุญาตผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์แทนการมายื่นคําขอด้วยตนเองได้2. ศูนย์บริการร่วม ส่วนราชการจะจัดให้มีศูนย์บริการร่วมเพื่อให้บริการประชาชนโดยจัดให้มีศูนย์บริการร่วมภายในส่วนราชการนั้นๆ เพื่อทําหน้าที่รับคําขอและชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการอนุญาตต่างๆตามกฎหมาย ว่าด้วยการอนุญาตที่มีความเกี่ยวเนื่องกับหลายส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมาไว้ณที่เดียวกันเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ประชาชนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการร่วมเพื่อดําเนินการได้หลายเรื่อง พร้อมกันในครั้งเดียว เช่น การติดต่อสอบถามข้อมูล การขออนุญาต การขออนุมัติเป็นต้น92
Pa g e | 99 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น3. ศูนย์รับคําขออนุญาต ศูนย์รับคําขออนุญาตจะเกิดขึ้นในกรณีจําเป็นและสมควร เพื่อประโยชน์ในการอํานวยความสะดวก แก่ประชาชน โดยคณะรัฐมนตรีอาจมีมติให้จัดตั้งศูนย์รับคําขออนุญาตขึ้นได้และให้มีฐานะเป็นส่วนราชการ อยู่ในสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีศูนย์รับคําขออนุญาตหรือสาขาของศูนย์ประจํากระทรวงหรือประจําจังหวัดถือเป็นศูนย์กลางในการรับคําขอเฉพาะเรื่องที่พระราชกฤษฎีกากําหนดรายชื่อกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตที่อยู่ภายใต้การดําเนินการของศูนย์รับคําขออนุญาตเท่านั้นโดยทําหน้าที่ดังนี้1) รับคําขอ ค่าธรรมเนียม และคําอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาต 2) ให้ข้อมูล ชี้แจง และแนะนําผู้ยื่นคําขอหรือประชาชนให้ทราบถึงหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขในการขออนุญาต 3) ส่งคําขอ คําอุทธรณ์เอกสาร และหลักฐานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และติดตามเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดําเนินการอย่างถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด 4) ในกรณีที่เห็นว่าหลักเกณฑ์หรือวิธีการในการยื่นคําขอ มีการกําหนดให้ต้องส่งเอกสารที่ไม่จําเป็นหรือเป็นภาระเกินสมควรแก่ประชาชน ให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 5) รวบรวมปัญหาและอุปสรรคจากการอนุญาตและการดําเนินการของศูนย์รับคําขออนุญาตเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 6) เสนอแนะการพัฒนาหรือปรับปรุงกระบวนการ ขั้นตอน ระยะเวลา เกี่ยวกับการอนุญาตต่างๆ รวมถึงข้อเสนอในการออกกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือกําหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการอนุญาตเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้น 4. การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และผู้อนุญาต 1) การตรวจสอบความถูกต้องของคําขอและเอกสาร โดยสามารถแบ่งเป็น3กรณีดังนี้ - กรณีคําขอไม่ถูกต้องหรือเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งให้ผู้ยื่นคําขอทราบทันทีในกรณีที่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ในขณะนั้น ให้แจ้งผู้ยื่นคําขอดําเนินการให้ครบถ้วนแต่ในกรณีที่ไม่สามารถดําเนินการได้ในขณะนั้น ให้บันทึกความบกพร่อง รายการเอกสาร หลักฐานที่ต้องยื่นเพิ่มเติมและกําหนดระยะเวลา ที่ผู้ยื่นคําขอต้องดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติมลงในบันทึก รวมทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ยื่นคําขอ ต้องลงนามในบันทึกนั้นด้วย และมอบสําเนาบันทึกให้ผู้ยื่นคําขอเก็บไว้เป็นหลักฐาน - กรณีคําขอถูกต้องหรือเอกสารหลักฐานครบถ้วน หรือกรณีผู้ยื่นคําขอได้ดําเนินการแก้ไข เพิ่มเติมเอกสารหลักฐานจนครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเรียกเอกสารหรือหลักฐานอื่นเพิ่มอีกหรือไม่สามารถปฏิเสธการพิจารณาคําขอโดยอ้างเหตุความไม่สมบูรณ์ของคําขอหรือความไม่ครบถ้วนของเอกสารหลักฐาน- กรณีผู้ยื่นคําขอไม่ดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหลักฐานตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งเจ้าหน้าที่จะคืนคําขอพร้อมแจ้งสาเหตุเป็นหนังสือแก่ผู้ยื่นคําขอ และผู้ยื่นคําขอมีสิทธิยื่นอุทธรณ์การแจ้งของเจ้าหน้าที่แต่ในกรณีที่กฎหมายกําหนดให้ต้องยื่นคําขอใดภายในระยะเวลาที่กําหนด ผู้ยื่นคําขอต้องยื่นคําขอใหม่ภายในระยะเวลาดังกล่าว 93
Pa ge | 100 รายงานผลการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าพนักงานธุรการ รุ่นที่16๗ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น2) ระยะเวลาการดําเนินการ - กรณีผู้อนุญาตพิจารณาเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ในคู่มือสําหรับประชาชนให้แจ้งผู้รับคําขอทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่พิจารณาเสร็จ - กรณีผู้อนุญาตพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ในคู่มือสําหรับประชาชน ต้องแจ้งสาเหตุที่ล่าช้าเป็นหนังสือแก่ผู้ยื่นคําขอทุก 7 วัน จนกว่าจะพิจารณาเสร็จ 3) ความรับผิด - ความรับผิดของเจ้าหน้าที่กรณีคําขอถูกต้องหรือเอกสารหลักฐานครบถ้วน หรือกรณีผู้ยื่นคําขอได้ดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหลักฐานจนครบถ้วนแล้ว แต่เกิดกรณีคําขอไม่ถูกต้องสมบูรณ์หรือเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน จากการที่เจ้าหน้าที่ประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจนเป็นผลให้ไม่อาจอนุญาตได้กรณีนี้ให้ผู้อนุญาตสั่งการได้ตามที่เห็นสมควรและให้ดําเนินการทางวินัยหรือดําเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว - ความรับผิดของผู้อนุญาต กรณีผู้อนุญาตพิจารณาเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ในคู่มือสําหรับประชาชนและที่ต้องแจ้งผู้รับคําขอทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่พิจารณาเสร็จ และกรณีผู้อนุญาตพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ในคู่มือสําหรับประชาชนและต้องแจ้งสาเหตุที่ล่าช้าเป็นหนังสือแก่ผู้ยื่นคําขอทุก 7 วันจนกว่าจะพิจารณาเสร็จและให้ส่งสําเนาการแจ้งให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการทราบทุกครั้งนั้น กรณีดังกล่าวหากผู้อนุญาตไม่แจ้งให้ถือว่ากระทําการหรือละเว้นกระทําการเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เว้นแต่จะเป็นเพราะมีเหตุสุดวิสัย4) การกํากับ - กรณีผู้อนุญาตพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ในคู่มือสําหรับประชาชนและต้องแจ้งสาเหตุที่ล่าช้าเป็นหนังสือแก่ผู้ยื่นคําขอทุก 7 วัน จนกว่าจะพิจารณาเสร็จ รวมทั้งให้ส่งสําเนาการแจ้ง ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการทราบทุกครั้งนั้น กรณีนี้หากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเห็นว่าความล่าช้าเกินสมควรแก่เหตุหรือเกิดจากการขาดประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของหน่วยงานของผู้อนุญาต ให้รายงานและเสนอแนะให้พัฒนาหรือปรับปรุงหน่วยงานหรือระบบการปฏิบัติราชการของหน่วยงานต่อคณะรัฐมนตรีประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 มีดังนี้1. ประชาชนได้รับการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อราชการอย่างโปร่งใสชัดเจนโดยประชาชนสามารถเข้าถึงและรับทราบข้อมูลการให้บริการ ขั้นตอน ระยะเวลาที่ต้องใช้และช่องทางในการให้บริการต่างๆ ของภาครัฐ ที่ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจนผ่านคู่มือสําหรับประชาชน ทําให้สามารถจัดเตรียมเอกสารต่างๆ และค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้ได้อย่างครบถ้วน ทําให้ไม่ต้องเสียเวลาติดต่อหน่วยงานของรัฐหลายครั้ง 2. ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็วในการติดต่อกับทางราชการ โดยประชาชนจะได้รับการอนุมัติคําขออย่างถูกต้อง ตรงเวลาภายในระยะเวลาที่กําหนด 3. ประชาชนมีกฎหมายกลางที่จะกําหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตเพื่อกําหนดระยะเวลา เอกสารและหลักฐานที่จําเป็น รวมถึงขั้นตอนในการพิจารณาของทางราชการ ลดอุปสรรคต่อประชาชนในการยื่นคําขออนุญาตดําเนินการต่างๆ 94