The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำรากองทัพบกและเหล่าทหาร 66 (ฉบับสมบูรณ์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by komkrich vekchalikanon, 2023-04-19 20:54:34

ตำราวิชากองทัพบกและเหล่าทหาร 66

ตำรากองทัพบกและเหล่าทหาร 66 (ฉบับสมบูรณ์)

๔๑ ๖.ส่วนการศึกษา มีหน้าที่อำนวยการและดำเนินการฝึกและศึกษากำลังพลของกองทัพบกเพื่อให้กำลังพล เหล่านั้นมีความรู้ความสามารถเหมาะสมตามตำแหน่งหน้าที่อันจะทำให้หน่วยต่าง ๆ ของกองทัพบกมี ประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบ ส่วนการฝึกศึกษาและหลักนิยม ประกอบด้วย กรมยุทธศึกษาทหารบก มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน แนะนำ กำกับการ ดำเนินการ สนับสนุน และตรวจตราเกี่ยวกับกิจการสายวิทยาการ การฝึกและศึกษาของกำลังพลเป็นบุคคล และหน่วยต่างๆ ของกองทัพบกทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และกิจการอนุศาสนาจารย์ ให้การฝึก และศึกษาแก่กำลังพลของกองทัพบกและนอกกองทัพบกในหลักสูตรต่าง ๆ ที่กองทัพบกมอบหมาย อำนวยการฝึกและศึกษาวิทยาการทุกเหล่าในกองทัพบกสถาบันการศึกษาและเหล่าสายวิทยาการ วิจัยและ พัฒนา กำหนดหลักนิยม และยุทธศาสตร์ทางทหารทั้งปวงของกองทัพบกที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปกครองบังคับ บัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด มีเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ กรมยุทธศึกษาทหารบก มีหน่วยขึ้นตรง ๗ หน่วย - วิทยาลัยการทัพบก(วทบ.) - โรงเรียนเสนาธิการทหารบก(รร.สธ.ทบ.) - ศูนย์การทหารราบ (ศร.) - ศูนย์การทหารม้า (ศม.) - ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ศป.) - โรงเรียนนายสิบทหารบก(รร.นส.ทบ.) - ศูนย์การฝึกทางยุทธวิธีกองทัพบก (ศฝยว.ทบ.) สถาบันการศึกษาทหารบกชั้นสูง (สบส.) มีหน้าที่ให้การฝึก และศึกษาแก่นายทหารของ กองทัพบก ในทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีเสนาธิการ และการช่วยรบของหน่วยทหารตั้งแต่ระดับกองพลขึ้นไป รวมทั้งวิจัยและพัฒนากำหนดหลักนิยมในวิทยาการที่เกี่ยวข้อง โดยมีหน่วยขึ้นตรงคือ - วิทยาลัยการทัพบก(วทบ.) ทบ. ยศ.ทบ. วทบ. รร.สธ.ทบ. สพ.ทบ. นรด. ศสร. รร.เหล่ำ และ สำยวิทยำกำรต่ำงๆ นสศ.. ศบบ. ศสพ. ศพม. วพม. วพบ. ศร. ศป. ศฝยว.ทบ. พบ. ศม. รร.จปร. รร.นส.ทบ. สบส.


๔๒ - โรงเรียนเสนาธิการทหารบก(รร.สธ.ทบ.) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีหน้าที่ให้การศึกษาอบรม และดำเนินการฝึกนักเรียนนาย ร้อย มีผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการ และ ดำเนินการเกี่ยวกับกิจการกำลังสำรองทั้งปวง กิจการสัสดีโดยมีศูนย์การกำลังสำรอง เป็นหน่วยวางแผน และ ดำเนินการด้านการฝึกศึกษากำลังสำรอง หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการ และ ปฏิบัติการเกี่ยวกับสงครามพิเศษ ดำเนินการฝึกและศึกษาเกี่ยวกับการสงครามพิเศษ การส่งกำลังทางอากาศ และการยุทธส่งทางอากาศและการปฏิบัติการพิเศษอื่นที่กองทัพบกมอบหมาย วิจัยและพัฒนากำหนดหลัก นิยม และทำตำราในทางวิทยาการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหม กำหนด มีผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า มีหน้าที่วางแผน อำนวยการกำกับการด้านการศึกษาด้าน การแพทย์และการพยาบาลของกองทัพยกโดยมีศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าซึ่งมีหน่วยขึ้นตรงคือ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก เป็นหน่วยรับผิดชอบดำเนินการ ศูนย์การบินทหารบก มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ กำกับการ และดำเนินการฝึก และศึกษา เกี่ยวกับกิจการบินของกองทัพบก วิจัยและพัฒนา กำหนดหลักนิยมและตำราในทางวิทยาการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด มีผู้บัญชาการศูนย์การบินทหารบก เป็น ผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ โรงเรียนของเหล่าและหน่วยสายวิทยาการต่าง ๆ ได้แก่ โรงเรียนทหารช่าง, โรงเรียนทหาร สื่อสาร, โรงเรียนทหารขนส่ง ฯลฯ ซึ่งโรงเรียนเหล่านั้นเป็นหน่วยในอัตราของหน่วยที่เป็นหัวหน้าเหล่า และ สายวิชาการนั้น ๗.ส่วนพัฒนาประเทศ ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๖๐ ได้บัญญัติไว้ให้กำลังทหารนั้นมีไว้ เพื่อการพัฒนาประเทศด้วย และตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๘ ได้ บัญญัติไว้ให้กห. มีอำนาจหน้าที่ เพื่อช่วยการพัฒนาประเทศด้วยแต่เดิมมา ทบ. ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การพัฒนาประเทศ ๒ โครงการใหญ่คือ งานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และงานโครงการพัฒนา เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง โดยใช้กำลังพลและยุทโธปกรณ์จากหน่วยต่าง ๆ เข้าปฏิบัติงาน ซึ่งหน่วยเหล่านี้ ไม่ได้มีความชำนาญเกี่ยวกับงานด้านการพัฒนา ก่อให้เกิดภาระผูกพันกับหน่วย และมีผลกระทบต่อความ พร้อมรบของ ทบ. เป็นส่วนรวมอีกด้วย ดังนั้น ทบ. จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานพัฒนาขึ้น เพื่อรับผิดชอบการ ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาโดยเฉพาะ หน่วยสำหรับการพัฒนาประเทศที่ ทบ. ได้จัดตั้งขึ้นนั้นมีอยู่ ๒ ระดับ คือ - ในระดับกองทัพภาค ได้แก่กองพลพัฒนา ๑ กองพลต่อกองทัพภาคเพื่อปฏิบัติงานในพื้นที่ ของกองทัพภาค - ในระดับกองทัพบก ได้แก่ กองพลทหารช่าง เพื่อรับผิดชอบด้านการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่เป็น งานเกินขีดความสามารถของ พล.พัฒนา


๔๓ ภารกิจของกองทัพบก ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ กำหนดไว้ว่า“กองทัพบก มีหน้าที่ เตรียมกำลังกองทัพบก ป้องกันราชอาณาจักร และดำเนินการเกี่ยวกับการใช้กำลังกองทัพบก มีผู้ บัญชาการกองทัพบก เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ” ภารกิจของกองทัพบกดังกล่าว หากพิจารณาแล้ว จะมี หน้าที่และบทบาทที่ต้องปฏิบัติ๒ ประการคือเตรียมกำลังและการป้องกันราชอาณาจักร การเตรียมกำลัง กองทัพบก มีหน้าที่จัดเตรียมหรือเสริมสร้างกำลังกองทัพบก และช่วยเหลือสนับสนุนการ จัดเตรียมกำลังทางบกของส่วนราชการอื่น ๆ ไว้ให้พร้อมตั้งแต่ยามปกติด้วยการพัฒนาเสริมสร้างกำลัง กองทัพตามแนวทางจัดเตรียมกำลัง กำลังพล ยุทโธปกรณ์ และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการฝึก ความสามารถที่จะทำการรบได้อย่างต่อเนื่อง และความทันสมัยของกำลังในทุกด้าน เพื่อให้กองทัพบกมีขีด ความสามารถเพียงพอที่จะเผชิญภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอกได้ทุกรูปแบบ พร้อมกันนี้กองทัพบก ยังมีบทบาทในการจัดเตรียมหรือวางแผนการยุทธที่จะใช้กำลังหลัก กำลังประจำถิ่น/กำลังกึ่งทหาร และกำลัง ประชาชนที่มีอยู่พร้อมทั้งวางแผนระดมสรรพกำลังของกองทัพบกโดยจะเน้นใน ๔ ส่วนหลักได้แก่ โครงสร้าง กำลัง, ความพร้อมรบ, ความต่อเนื่องในการรบ และความทันสมัย การป้องกันราชอาณาจักร กองทัพบก มีหน้าที่ใช้กำลังที่ได้จัดเตรียมไว้ หรือที่จะเรียกระดมสรรพกำลัง เพื่อป้องกัน ราชอาณาจักรจากภัยคุกคามภายในและภายนอกประเทศตามความจำเป็นของสถานการณ์ และโดยที่ปัญหา ภัยคุกคามหรือความมั่นคงของชาติเป็นปัญหา ๒ ด้าน คือ ด้านการใช้กำลังทหาร และการต่อสู้กับความ ยากจน ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติการใช้กำลังกองทัพบก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ มีขอบเขตของภารกิจดังนี้ - การป้องกันประเทศ และพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ - การรักษาความมั่นคงของภายใน - การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ - การพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคง นอกจากนี้กองทัพบกยังมีภาระหน้าที่อื่น ๆ ได้แก่ การปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ทางทหารที่ไม่ใช่ สงคราม และการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยธรรมชาติ เป็นต้น การรักษาความมั่นคงภายใน ภารกิจของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในมีความเกี่ยวเนื่องและสอดคล้องกันอย่าง ใกล้ชิดกับภารกิจของกองทัพบก และใช้ทรัพยากรส่วนใหญ่ร่วมกัน รัฐบาลจึงแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และเสนาธิการทหารบก เป็นเลขาธิการของกองอำนวยการรักษา ความมั่นคงภายใน นอกจากนี้ยังได้แต่ตั้งให้แม่ทัพภาคเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ตาม พื้นที่รับผิดชอบด้วย การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่สงบและกำลังของฝ่ายบ้านเมืองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ รัฐบาล อาจประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการประกาศกฎอัยการศึก โดย มอบหมายให้ฝ่ายทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งกองทัพบกมีศักยภาพพร้อมในการดำเนินการหากเกิดกรณี ดังกล่าว สำหรับการต่อต้านการก่อการร้ายสากลกองทัพบกได้จัดกำลังกองร้อยปฏิบัติการพิเศษ รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ชุดเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิด และชุดปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ พร้อมให้การ สนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ศูนย์อำนวยการร่วมกองบัญชาการทหารสูงสุด


๔๔ การปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ทางทหารที่ใช่สงคราม (MOOTW) Military Operations Other than War กองทัพบกอาจได้รับมอบจากรัฐบาล รวมทั้งได้รับการประสานจากส่วนราชการหรือหน่วยงาน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดโดยตรง หรือสนับสนุนหน่วยงานอื่นในการพิทักษ์ ผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติในรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง ภายใต้สภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในมิติใหม่ในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวนี้ อาจใช้กำลังเฉพาะ กิจที่มีขีดความสามารถเหมาะสมกับภารกิจ โดยมีแผนในการกำหนดความรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนดังนี้ ๑. พิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจัดกำลังถวายความปลอดภัยและถวาย พระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุ วงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งปฏิบัติตามพระราชประสงค์ทุกกรณี ๒.การสนับสนุนโครงการพระราชดำริตามนโยบายของรัฐ โดยถือเป็นความเร่งด่วนลำดับแรก ๓.การช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย โดยหน่วยทหารของกองทัพบก ที่มีที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณเกิด เหตุ สามารถดำเนินการช่วยเหลือขั้นต้นได้ทันที โดยจะมีศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาค และศูนย์ บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกรับผิดชอบงานบรรเทาสาธารณภัยในเขตพื้นที่ของตนเอง ๔.ดำเนินตามนโยบายการทูตโดยฝ่ายทหาร การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อน --------------------------------------------


๔๕ ค่ายทหาร คือ ที่อยู่ของหน่วยทหาร ภายในค่ายหนึ่งนั้น อาจจะมีหน่วยทหารหลายๆเหล่าหรือหลายๆ หน่วยอยู่รวมกันภายในค่ายเดียวกัน ชื่อค่าย หน่วย ที่ตั้ง วันจัดตั้ง ค่ายจักรพงษ์ มทบ.๑๒, ร.๒รอ. อ.เมือง ป.จ. ๑๔ ต.ค. ๖๒ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ศสพ. อ.เมือง ล.บ. ๒๔ มิ.ย. ๘๓ ค่ายสุรนารี ทภ.๒, พล.ร.๓, บชร.๒, มทบ.๒๑ อ.เมือง น.ม. ๘ ส.ค. ๙๔ ค่ายประจักษ์ศิลปาคม มทบ.๒๔ ,ร.๑๓ อ.เมือง อ.ด. ๘ ส.ค. ๙๔ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทภ.๓, พล.ร.๔, ร.๔พัน๓, จทบ.พ.ล. อ.เมือง พ.ล. ๘ ส.ค. ๙๔ ค่ายพิชัยดาบหัก จทบ.อ.ต., ม.๗ อ.เมือง อ.ต. ๘ ส.ค. ๙๔ ค่ายวชิราวุธ ทภ.๔, มทบ.๔๑,ร.๑๕, ป.๕,ป.พัน ๑๕ อ.เมือง น.ศ. ๘ ส.ค. ๙๕ ค่ายพหลโยธิน ศป., ปตอ.พัน.๓, ป.พัน.๓๑ รอ. อ.เมือง ล.บ. ๘ เม.ย. ๙๕ ค่ายจิรประวัติ มทบ.๓๑, ช.พัน.๔, ร.๔, ร.๔ พัน.๒ อ.เมือง น.ว. ๘ เม.ย. ๙๕ ค่ายสุรศักดิ์มนตรี มทบ.๓๒, จทบ.ล.ป., ร.๑๗ พัน.๒ อ.เมือง ล.ป. ๘ เม.ย. ๙๕ ค่ายกาวิละ มทบ.๓๓, ร.๗, ร.๗พัน๑, ป.พัน๗ อ.เมือง ช.ม. ๘ เม.ย. ๙๕ ค่ายเม็งรายมหาราช จทบ.ช.ร.,ร.๑๗ พัน ๓ อ.เมือง ช.ร. ๘ เม.ย. ๙๕ ค่ายธนะรัชต์ ศร., รร.กสร.ทบ. อ.ปราณบุรี ป.ข. ๗ ต.ค. ๐๓ ค่ายภาณุรังสี กช., จทบ.ร.บ. อ.เมือง ร.บ. ๒๘ เม.ย.๐๗ ค่ายเสนาณรงค์ มทบ.๔๒, ร.๕ , ร.๕พัน.๑ อ.หาดใหญ่ ส.ข. ๒๘ เม.ย.๐๗ ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มทบ.๒๒, ป.พัน.๖, ร.๖ อ.วารินชำราบ อ.บ. ๘ ส.ค. ๐๗ ค่ายเพชรบุรีราชศิริธร ร.๑๑พัน๓ รอ. อ.เมือง พ.บ. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายสุรสีห์ พล.๙, จทบ.ก.จ. อ.เมือง ก.จ. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายวชิราลงกรณ์ รพศ.๑ อ.เมือง ล.บ. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายศรีโสธร ช.พัน๒ รอ. อ.เมือง ฉ.ช. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายสุรสิงหนาท ร.๑๒พัน๓ รอ. อ.อรัญประเทศ ส.ก. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายศรีพัชรินทร์ มทบ.๒๓, ม.๖., ร.๘, ร.๘พัน๓ อ.เมือง ข.ก. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายวีรวัฒน์โยธิน จทบ.ส.ร., ร.๒๓พัน.๓ อ.เมือง ส.ร. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายเขตอุดมศักดิ์ จทบ.ช.พ.,ร.๒๕พัน.๑ อ.เมือง ช.พ. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายอิงคยุทธบริการ ร.๕พัน๒, จทบ.ป.น. อ.หนองจิก ป.น. ๒๖ ธ.ค. ๑๑ ค่ายประเสริฐสงคราม จทบ.ร.อ., ร.๑๖พัน๑ อ.เมือง ร.อ. ๘ พ.ย. ๒๙ ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน ส.๑, พัน ส.ซบร เขตหลัง อ.กระทุ่มแบน ส.ค. ๒๐ พ.ค. ๓๐ ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ ศึก จทบ.บ.ร., ร.๒๓พัน๔ อ.เมือง บ.ร. ๒๑ ก.ค. ๓๐ ค่ายโสณบัณฑิตย์ ร.๗พัน๕ อ.ปาย ม.ส. ๒๑ ก.ค. ๓๐ ค่ายสมเด็จพระนั่งเกล้า พล.ร.๑๑ อ.เมือง ฉ.ช. ๑๔ พ.ย. ๓๒ ค่ายอภัยบริรักษ์ ร.๕พัน๕, ช.พัน๔๐๒ อ.เมือง พ.ท. ๑๔ พ.ย. ๓๒ ค่ายอดิศร ศม., จทบ.ส.บ. อ.เมือง ส.บ. ๑๐ ส.ค.๑๒ ค่ายสุริยพงษ์ ม.พัน.๑๐, จทบ.น.น. อ.เมือง น.น. ๑๒ เม.ย.๑๔ ค่ายสมเด็จพระศรีนครินทรา ศบบ. อ.เมือง ล.บ. ๒๙ ส.ค.๒๐ ค่ายนวมินทราชินี มทบ.๑๔, ร.๒๑ รอ. อ.เมือง ช.บ. ๓ ก.ย.๑๙


๔๖ ชื่อค่าย หน่วย ที่ตั้ง วันจัดตั้ง ค่ายพระยอดเมืองขวาง ร.๓พัน.๓, จทบ.น.พ. อ.เมือง น.พ. ๓ ม.ค.๒๑ ค่ายกฤษณ์สีวะรา ร.๓, ร.๓พัน.๑, สพบ.พล.ร.๓ อ.เมือง ส.น. ๑๖ เม.ย.๒๒ ค่ายสิริธร ร.๕พัน.๓ อ.ยะรัง ป.น. ๑๘ ธ.ค.๒๒ ค่ายวชิรปราการ ร.๔พัน.๔ , ร.๔พัน.๕ อ.เมือง ต.ก. ๑๘ ธ.ค.๒๒ ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ บชร.๓, ม.พัน.๙ อ.เมือง พ.ล. ๒๘ ส.ค.๒๓ ค่ายพ่อขุนผาเมือง ม.๓, จทบ.พ.ช., ช.พัน.๘ อ.เมือง พ.ช. ๑๙ ธ.ค.๒๓ ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร พล.ร.๕.บชร.๔,จทบ.ทส. อ.ทุ่งสง น.ศ. ๑๒ มี.ค.๒๔ ค่ายศรีสองรัก ร.๘พัน.๑, ร.๘พัน.๔, จทบ.ล.ย. อ.เมือง ล.ย. ๑๖ พ.ย.๒๔ ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ร.๒๓, ป.พัน๒๓ อ.เมือง น.ม. ๑ ก.ย.๒๖ ค่ายวิภาวดีรังสิต จทบ.ส.ฎ., ร.๒๕, ร.๒๕ พัน.๓ อ.เมือง ส.ฎ. ๑๐ ก.ค.๒๖ ค่ายรัตนรังสรรค์ ร.๒๕ พัน.๒ อ.เมือง ร.น. ๑๔ มี.ค.๒๗ ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลกมหาราช พล.ร.๖, ช.พัน.๖, ป.๖, ม.พัน.๒๑ ร.๑๖ พัน.๑ อ.ศรีสมเด็จ ร.อ. ๑๑ เม.ย.๒๗ ค่ายรัตนพล พล.พัฒนา๔ อ.คลองหอยโข่ง ส.ข. ๙ เม.ย.๒๗ ค่ายขุนจอมธรรม ร.๑๗.พัน.๔ อ.เชียงคำ พ.ย. ๒๓ เม.ย.๒๘ ค่ายพระยาไชยบูรณ์ ม.พัน.๑๒ อ.เด่นชัย พ.ร. ๒๓ เม.ย.๒๘ ค่ายขุนเจืองธรรมิกราช ร.๑๗, ป.พัน.๑๗, ร.๑๗/๑ จทบ. พ.ย. อ.เมือง พ.ย. ๕ มิ.ย.๒๘ ค่ายเทพสิงห์ ร.๗.พัน.๔ อ.เเม่สะเรียง ม.ส. ๕ มิ.ย.๒๘ ค่ายรามราชนิเวศน์ จทบ.พ.บ. อ.เมือง พ.บ. ๕ มิ.ย.๒๘ ค่ายพรหมโยธี พล.ร.๒ รอ. อ.เมือง ป.จ. ๑๒ ก.ค.๒๘ ค่ายไพรีระย่อเดช ร.๑๒รอ., ร.๑๒ พัน.๑ รอ. อ.เมือง ส.ก. ๑๒ ก.ค.๒๘ ค่ายรัษฎานุประดิษฐ์ ร.๑๕ พัน.๔ อ.ห้วยยอด ต.ร. ๑๒ ก.ค.๒๘ ค่ายบดินทรเดชา ร.๑๖, ร.๑๖พัน.๒, ร.๑๖ พัน.๓ อ.เมือง ย.ส. ๒๓ ธ.ค.๒๘ ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ร.๗พัน.๒ อ.วังทอง พ.ล. ๑๗ ก.ย.๑๙ ค่ายพระปกเกล้า ป.พัน.๕ อ.เมือง ส.ข. ๘ พ.ย.๒๙ ค่ายนิมาณกลยุทธ ร.๑๒ รอ., ร.๑๒ พัน.๑ รอ., ร.๑๒ พัน.๒ รอ. อ.วัฒนานคร ส.ก. ๕ มี.ค.๓๓ ค่ายพนัสบดีศรีอุทัย บชร.๑ อ.พนัสนิคม ช.บ. ๒๐ ม.ค.๓๕ ค่ายสีหราชเดโชชัย ร.๘, ร.๘พัน.๓, ป.๘ อ.เมือง ข.ก. ๒๐ ม.ค.๓๕ ค่ายทองฑีฆายุ กส.ทบ. อ.เมือง น.ฐ. ๑๕ ต.ค.๓๕ ค่ายวิชิตสงคราม ศอว.ทบ.(ปัจจุบันขึ้นตรง บก.สส.) อ.เมือง ล.บ. ๑๕ ต.ค.๓๕ ค่ายพิบูลสงคราม พล.ป. อ.เมือง ล.บ. ๒๘ พ.ค.๓๕ ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย พล.ร.๑๖ อ.หัวหิน ป.ข. ๑๑ ม.ค.๓๖ ค่ายเปรมติณสูลานนท์ ม.พัน.๑๔ อ.น้ำพอง ข.ก. ๒๐ ม.ค.๓๕ ค่ายศรีสุริยวงศ์ พล.พัฒนา ๑ อ.เมือง ร.บ. ๑๙ ส.ค.๔๒ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร์ พัน.พัฒนา ๔ อ.เจาะไอร้อง น.ธ. ๒๘ ส.ค.๓๙ ค่ายมหาศักดิ์พลเสพ ร.๘พัน.๒ อ.ชุมแพ ข.ก. ๑๐ ต.ค.๓๙ ค่ายยุทธศิลป์ประสิทธิ์ ป.พัน.๑๓ อ.เมือง อ.ด. ๒๒ ส.ค.๔๐ ค่ายสุนทรธรรมธาดา ร.๑๓พัน.๑ อ.เมือง อ.ด. ๒๒ ส.ค.๔๐


๔๗ ชื่อค่าย หน่วย ที่ตั้ง วันจัดตั้ง ค่ายขุนบางกลางหาว ม.พัน.๒๘ อ.หล่มศักดิ์ พ.ช. ๒๒ มี.ค.๔๑ ค่ายศรีพนมมาศ ป.พัน.๒๐ อ.ลับแล อ.ต. ๑๒ มี.ค.๔๒ ภาคที่ ๑ ภารกิจ การจัด ขีดความสามารถ และข้อจํากัด ทําความเข้าใจ : ในภาคที่ ๑ ของสรุปหลักพื้นฐานทางวิชาการชุดที่ ๑ เรื่องทหารราบนี้จะกล่าวถึง ภารกิจ การจัด ขีดความสามารถ และข้อจํากัดของกองพลทหารราบชนิดต่างๆ ใน ทบ.ไทย ทั้งที่ ใช้อยู่ในปัจจุบัน และแนวความคิดในการปรับปรุงกองพลทหารราบของกองทัพบก ซึ่งจะปรับปรุง โครงสร้าง การจัด พ ล.ร.ให้เห ม าะสม กับ สภ าพ แวด ล้อ ม ใน การรบ โด ย จะป รับ ป รุง โครงสร้างการ จัดออกเป็นสาม รูปแบบ คือ พล.ร.ยานเกราะ พล.ร.ยานยนต์ และ พล.ร. เบาและเพื่อมิให้เกิดการสับสนใน การศึกษาทําความเข้าใจ จึงแบ่งภาคที่ ๑ นี้ออกเป็น ๕ ตอน คือ ตอนที่ ๑ : กล่าวทั่วไป ตอนที่ ๒ : กองพลทหารราบ ในตอนนี้จะกล่าวถึงกองพลทหารราบมาตรฐานทั่วๆ ไปซึ่งมีรูปแบบการจัดตามที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น กองพลที่ ๑ รักษาพระองค์, กองพลทหารราบที่ ๓, ๔, ๕, ๖,๑๑ เป็นต้น คําย่อที่ใช้ในเอกสารเล่มนี้จะใช้ คําว่า "พล.ร." ตอนที่ ๓ : กองพลทหารราบยานเกราะ เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบ เพื่อให้มีความทันสมัยพร้อมที่จะรับสถานการณ์ได้ทุก รูปแบบ สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติการรุกได้ทันทีสอดคล้องกับรูปแบบของสงครามในอนาคต รวมทั้งสงครามนิวเคลียร์ ชีวะ เคมีด้วย ปัจจุบัน หน่วยที่มีรูปแบบการจัดคือ พล.ร.๒ รอ. คําย่อที่ใช้ในเอกสาร เล่มนี้จะใช้คําว่า "พล.ร.ยก." ตอนที่ ๔ : กองพลทหารราบยานยนต์ เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบในอนาคต มุ่งหมายที่จะจัดให้เป็น พล.ร.มาตรฐานที่มีขีด ความสามารถในการ เข้าตี ตั้งรับ และร่นถอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ คําย่อที่ใช้ใน เอกสารเล่มนี้จะใช้คําว่า "พล.ร.ยย " ตอนที่ ๕ : กองพลทหารราบเบา เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบ โดยมีความมุ่งหมายที่จะใช้ตอบสนอง ในการรักษา ผลประโยชน์ของชาติในด้านการรักษาความมั่นคงภายใน การป้องกันประเทศ และภารกิจอื่นๆ ตามความ เหมาะสม ปัจจุบันหน่วยที่มีการจัดรูปแบบนี้ได้แก่ พล.ร.๗, พล.ร.๙ และ พล.ร.๑๕ คําย่อที่ใช้ในเอกสารเล่ม นี้ จะใช้คําว่า "พล.ร.เบา"


๔๘ ตอนที่ ๑ กล่าวทั่วไป ทหารราบเป็นหน่วยที่ปฏิบัติการโดยการเข้าประชิด ใช้อํานาจการยิง และการดําเนิน กลยุทธ์ เข้า ทําลายกําลังข้าศึก หรือเข้ายึดภูมิประเทศ ควบคุมประชาชนและทรัพยากรในพื้นที่ที่ยึดได้ ในการป้องกัน และ รักษาภูมิประเทศที่ยึดได้ ทหารราบจะใช้การผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วย การยิง การรบประชิด และ การ ตีโต้ตอบ ภารกิจโดยทั่วไปของทหารราบ คือ การเข้าประชิดข้าศึกโดยใช้อํานาจการยิงและการดําเนินกลยุทธ์ เพื่อทําลายและจับข้าศึก ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ ในหน่วยระดับกรมทหารราบขึ้นไปนอกจากภารกิจในการทําลายกําลังข้าศึกแล้ว จะมีขีดความ สามารถในการควบคุมพื้นที่ ประชาชนและทรัพยากรในพื้นที่ด้วย ทหารราบมีขีดความสามารถปฏิบัติการรบ ได้ทุกสภาพภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศสามารถใช้อํานาจการทําลายและข่มขวัญได้เมื่อใช้ทหารราบยาน เกราะ และ/หรือ ร่วมกับรถถัง หน่วยทหารราบ นอกจากมีภารกิจในการรบซึ่งเป็นภารกิจหลักแล้วยังมีบทบาทในการปฏิบัติ ภารกิจ อื่น ๆ อีก เช่น การป้องกันและการปราบปรามการก่อความไม่สงบ การรักษาความสงบเรียบร้อย ภายใน ตลอดจนภารกิจในบทบาทที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการเพื่อเสถียรภาพ การจัดหน่วยทหารราบโดยทั่วไปจะมีการจัดเป็นส่วนบังคับบัญชา, ส่วนกําลังรบ และส่วนสนับสนุน การรบ ในหน่วยที่มีขนาดใหญ่ตั้งแต่กองพันขึ้นไปจะมีการจัดครบทั้ง ๕ ส่วน คือ ส่วนบังคับบัญชา, ส่วน ลาดตระเวนและข่าวกรอง, ส่วนกําลังรบ, ส่วนสนับสนุนการรบ และส่วนสนับสนุนการช่วยรบ ในปัจจุบันกองพลทหารราบของ ทบ.ไทย มีจํานวนทั้งสิ้น ๑๐ พล.ร. ได้แก่ ๑. พล.๑ รอ. ตั้งอยู่ที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ๒. พล.ร.๒ รอ. ตั้งอยู่ที่ค่ายพรหมโยธี อ.เมืองปราจีนบุรี ๓. พล.ร.๓ ตั้งอยู่ที่ค่ายสุรนารี อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ๔. พล.ร.๔ ตั้งอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต.บ้านคลอง อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ๕. พล.ร.๕ ตั้งอยู่ที่ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ๖. พล.ร.๖ ตั้งอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต.โพธิ์สัย อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ๗. พล.ร.๗ ตั้งอยู่ที่ค่ายเจ้าขุนเณร ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ๘. พล.ร.๙ ตั้งอยู่ที่ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ๙. พล.ร.๑๑ ตั้งอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระนั่งเกล้า ต.คลองนา อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา ๑๐. พล.ร.๑๕ เป็นกองพลทหารราบชายแดนใต้ ตั้ยอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อ.หนองจิก จ. ปัตตานี


๔๙ ตอนที่ ๒ กองพลทหารราบ การจัด พล.ร.(อจย.๗-๒ ลง๕ ม.ค.๓๓) ประกอบด้วย - กองบัญชาการ และกองร้อยกองบัญชาการกองพล (บก.และ ร้อย บก.พล.) - ๑ กองพันทหารสื่อสารกองพล (พัน.ส.พล.) - ๑ กองพันทหารช่างสนามกองพล (พัน.ช.พล.) - ๑ กองร้อยทหารสารวัตรกองพล (ร้อย.สห.พล.) (ปัจจุบันปรับโครงสร้างหน่วยจัดพัน.สห.ทภ.) - ๑ กองทหารพลาธิการกองพล (กอง พธ.พล.) - ๑ กองสรรพาวุธเบากองพล (กอง สพบ.พล.) - ๑ กองพันเสนารักษ์กองพล (พัน.สร.พล.) - ๑ กองร้อยบินกองพล (ร้อย.บ.พล.) (ปัจจุบันปรับโครงสร้างหน่วยจัดตั้งพัน.บ.) - ๑ กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล (ร้อย.ลว.ไกล) - ๑ กองร้อยทหารม้าลาดตระเวน (ร้อย.ม.ลว.) (พล.๑ รอ., พล.ร.๓, พล.ร.๔, พล.ร.๕ และ พล.ร.๖) หรือ ๑ กองพันทหารม้าลาดตระเวน (พัน.ม.ลว.) (พล.ร.๒ รอ. พล.ร.๙ และ พล.ร.๑๕) - ๑ กองพันรถถัง (พัน.ถ.) - ๑ กรมทหารปืนใหญ่ (กรม ป.) - ๓ กรมทหารราบ (กรม ร.) หน่วยที่เป็นส่วนกําลังรบของกองพล ได้แก่ - ๓ กรม ร. - พัน.ถ. - ร้อย.ม.ลว. หรือ พัน.ม.ลว. - ร้อย.ลว.ไกล. (ใช้ในการลาดตระเวนหาข่าวเป็นหลัก) หน่วยที่เป็นส่วนสนับสนุนการรบของกองพล ได้แก่ - กรม ป. - พัน.ช.พล. - พัน.ส.พล. - ร้อย.บ.พล. หน่วยที่เป็นส่วนสนับสนุนการช่วยรบของกองพล ได้แก่ - กอง พธ.พล. - กอง สพบ.พล.


๕๐ - พัน.สร.พล. - ร้อย.สห.พล. - ร้อย.บ.พล. - พัน.ช.พล. - พัน.ส.พล. หน่วยในอัตราการจัดของ พล.ร. ที่เป็นทั้งส่วนสนับสนุนการรบ และสนับสนุนทางการช่วยรบ ได้แก่ - พัน.ช. - พัน.ส. - ร้อย.บ. ภารกิจของกองพลทหารราบ คือ ทําลายกําลังข้าศึก ควบคุมพื้นที่ทางบก รวมทั้งประชาชน และ ทรัพยากร การแบ่งมอบ : เป็นหน่วยของ ทบ. ซึ่งทบ.สามารถแบ่งมอบให้ขึ้นการบังคับบัญชากับหน่วย ใด ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสม ขีดความสามารถ ก. ปฏิบัติการรบต่อกําลังทางพื้นดินของข้าศึกที่มียุทโธปกรณ์คล้ายคลึงกัน หรือ ด้อยกว่า อย่าง ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ข. ปฏิบัติการได้ในสภาพอากาศและภูมิประเทศที่ยากลําบาก ค. ปฏิบัติการได้ด้วยการสนับสนุนทางการส่งกําลังบํารุงอันจํากัด ง. ควบคุมประชาชนฝ่ายข้าศึกได้ จ. ปฏิบัติการฟื้นฟูและรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ ฉ. สามารถควบคุมหน่วยดําเนินกลยุทธ์ขนาดกองพันได้ ๑๐ กองพัน ขีดจํากัด ก. ไม่มีขีดความสามารถของการขนส่งทางอากาศด้วยเครื่องมือในอัตรา ข. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่จํากัด ค. มีขีดความสามารถในการป้องกันและต่อสู้ยานเกราะจํากัด กองบัญชาการกองพล มีภารกิจในการบังคับบัญชา ควบคุม และดําเนินการทางธุรการของกองพล และหน่วยที่มาขึ้นสมทบ ภายในกองบัญชาการกองพล ประกอบด้วยฝ่ายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ ฝ่ายกําลังพล,ฝ่ายการข่าว , ฝ่ายยุทธการ, ฝ่ายส่งกําลังบํารุง, ฝ่ายกิจการพลเรือน, ฝ่ายสารบรรณ, ฝ่ายการบิน, ฝ่ายการแพทย์, ฝ่าย อนุศาสนาจารย์, ฝ่ายการเงิน, ฝ่ายสวัสดิการ, ฝ่ายการจเร, กองบังคับการ, ฝ่ายสรรพาวุธ, ฝ่ายพลาธิการ,ฝ่าย การสารวัตร, ฝ่ายพระธรรมนูญ, ศาลทหาร, อัยการทหาร, ผู้บังคับทหารปืนใหญ่, ผู้บังคับทหารช่าง และผู้ บังคับทหารสื่อสาร


๕๑ สําหรับผู้บังคับทหารปืนใหญ่, ผู้บังคับทหารช่าง และผู้บังคับทหารสื่อสาร จัดจากหน่วยขึ้น ตรงของ กองพล คือ ผบ.กรม ป., ผบ.พัน.ช. และ ผบ.พัน.ส ตามลําดับ กองร้อยกองบัญชาการกองพล มีภารกิจในการสนับสนุนทางธุรการและการบริการแก่กองบัญชา การกองพล หน่วยขึ้นตรงของกองร้อยกองบัญชาการกองพล จะประกอบด้วย - กองบังคับการกองร้อย - มว.สูทกรรม - มว.ขนส่ง - มว.ป้องกัน - มว.เสนารักษ์ กรมทหารราบ ตาม อจย.๗ - ๑๑(ลง ๒๕ ก.พ.๕๒) ของ ทบ.ไทย ประกอบด้วย - กองบังคับการ และกองร้อยกองบังคับการ (บก.และ ร้อย.บก.) - ๑ กองร้อยเครื่องยิงหนัก (ร้อย.ค.หนัก) - ๑ กองร้อยรถสายพานลําเลียงพล (ร้อย.รสพ.) - ๑ หมวดต่อสู้รถถัง (มว.ตก.) - ๓ กองพันทหารราบ (พัน.ร.) ภารกิจ ของกรมทหารราบตาม อจย. คือ ทําลายกําลังรบของข้าศึก เข้ายึดและควบคุมภูมิประเทศ รวมทั้งประชาชนและทรัพยากรในพื้นที่ การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพลทหารราบ ขีดความสามารถ ก. ควบคุม บังคับบัญชา และดําเนินการทางธุรการ ต่อกองพันทหารราบ และ หน่วยทหารใน อัตราในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก และการรบด้วยวิธีรับรวมทั้งการปราบปรามการก่อความไม่สงบ ข. ปฏิบัติการรบอย่างต่อเนื่อง ต่อกําลังรบของข้าศึกที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่าง เดียวกัน หรือ ต่ํากว่า ภายในกรอบของกองพล หรือปฏิบัติการเป็นอิสระเมื่อได้รับการเพิ่มเติมกําลังอย่าง เหมาะสม ค. ปฏิบัติการในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศ หรือสภาพอากาศยากลําบาก ง. เข้าควบคุมประชากรในดินแดนที่ยึดได้ จ. ฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ที่ยึดได้การจัดกองบังคับการและ กองร้อย กองบังคับการ (บก.และ ร้อย.บก.) ตามอจย.๗-๑๒ ประกอบด้วยก. กองบังคับการกรม ประกอบด้วย ผู้บังคับบัญชา, ฝ่าย อํานวยการ และฝ่ายกิจการพิเศษ จํานวน ๒๔ นาย ดังนี้ - ผู้บังคับการกรม (พ.อ.(พ) ๑ นาย - รองผู้บังคับการกรม (พ.อ.) ๒ นาย - เสนาธิการกรม (พ.อ.) ๑ นาย (เหล่า สธ.) - รองเสนาธิการกรม (พ.ท.) ๑ นาย (เหล่า สธ.)


๕๒ - นายทหารฝ่ายธุรการและกําลังพล (พ.ต.) ๑ นาย - ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายธุรการและกําลังพล (ร.อ.) ๑ นาย - นายทหารฝ่ายการข่าว (พ.ต.) ๑ นาย - ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายการข่าว (ร.อ.) ๑ นาย - นายทหารฝ่ายยุทธการ (พ.ต.) ๑ นาย (ถ้าบรรจุผู้สําเร็จจาก รร.สธ.ทบ. หลักสูตรหลัก ประจํา ให้ถือเป็นอัตรา ฝสธ.) - ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายยุทธการ (ร.อ.) ๒ นาย - ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายยุทธการฝ่ายอากาศ (ร.อ.) ๑ นาย - นายทหารฝ่ายส่งกําลังบํารุง พ.ต.) ๑ นาย - ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายส่งกําลังบํารุง (ร.อ.) ๑ นาย - นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน ๑ นาย - นายทหารฝ่ายการสื่อสาร (ร.อ.) ๑ นาย - อนุศาสนาจารย์(ร.อ.) ๑ นาย (เหล่า สบ.) - นายทหารกระสุน (ร.อ.) ๑ นาย - นายทหารฝ่ายการเงิน (พ.ต.) ๑ นาย (เหล่า กง.) - นายทหารพระธรรมนูญ (ร.อ.) ๑ นาย (เหล่า ธน.) - นายทหารพระธรรมนูญผู้ช่วย (ร.ท.) ๑ นาย (เหล่า ธน.) - นายทหารแผนที่ (ร.อ.) ๑ นาย (เหล่า ผท.) - ผู้ช่วยนายทหารแผนที่ (ร.ท.) ๑ นาย (เหล่า ผท.) - นายแพทย์ (พ.ต.) ๑ นาย (เหล่า พ.) หมายเหตุ ผช.ฝกพ. ทําหน้าที่นายทหารฝ่ายการทะเบียนศพด้วย ผช.ฝยก. ทําหน้าที่นายทหาร ปจว. และนายทหารประชาสัมพันธ์ด้วย นายแพทย์ จะทําหน้าที่ ผบ.มว.สร.ด้วย กองร้อยกองบังคับการ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ - บก.ร้อย - ตอน บก.กรม - ตอน นตต. - มว.สื่อสาร ประกอบด้วย บก.มว., ตอนวิทยุ, ตอนทางสาย - มว.ระวังป้องกัน ประกอบด้วย บก.มว., หมู่อาวุธ, ๓ หมู่ ปล. - มว.ยานยนต์ - มว.เสนารักษ์ประกอบด้วย ตอนที่พยาบาล, ตอนเปล, ตอนรถพยาบาล, ตอน ทันตกรรม กองร้อยเครื่องยิงหนัก มีภารกิจในการจัดเครื่องยิงหนักช่วยหน่วยต่าง ๆ ของ กรม ร. โดยใกล้ชิด


๕๓ ร้อย.ค.หนัก มีขีดความสามารถตามที่ระบุไว้ใน อจย. ดังนี้ ก. สามารถเคลื่อนย้ายบนเส้นทางถนนได้รวดเร็ว แต่มีความคล่องแคล่วจํากัด ใน ขณะเคลื่อนที่ นอกเส้นทาง ข. สามารถเข้าที่ตั้งยิ่งและเปลี่ยนที่ตั้งยิงได้อย่างรวดเร็ว ค. การระวังป้องกันที่ตั้งตนเอง ทําได้อย่างจํากัด ง. สามารถยิงสนับสนุนอย่างรุนแรงได้ในระยะเวลาสั้นเนื่องจากจํากัดในเรื่องการ ลําเลียง กระสุน การจัด ร้อย.ค.หนัก กรม ร. (ตาม อจย.๗ - ๑๔) ประกอบด้วย - บก.ร้อย แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือ ตอน บก.ร้อย มี ผบ.ร้อย, รอง ผบ.ร้อย และเจ้าหน้าที่ - ธุรการต่าง ๆ โดยที่ รอง ผบ.ร้อย จะทําหน้าที่นายทหารลาดตระเวนด้วย, ตอน ยุทธการและ อํานวยการยิง มีนายทหารอํานวยการยิงรับผิดชอบในการจัดตั้งศูนย์อํานวยการยิง, ตอนสื่อสาร - ๓ มว.ค.หนัก แต่ละมว.จะมี ผบ.มว., ผู้ตรวจการณ์หน้า และนายสิบติดต่อ ซึ่ง จะไปประจํา ตาม พัน.ร.ต่าง ๆ ในการทําแผนการยิงสนับสนุน นอกจากนี้ แต่ละมว.จะมี ๔ หมู่ ค.หนัก (การ จัดกําลังใน ยามปกติจะจัดเพียง มว.ละ ๓ หมู่) แต่ละหมู่ ค.หนัก จะมีกําลังพล ดังนี้ คือ ผบ.หมู่, พลยิง, พล ยิ่งผู้ช่วย, พล ขับ และพลกระสุน ๔ นาย เครื่องยิงลูกระเบิดที่ใช้ในร้อย ค.หนัก คือ เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๔.๒ นิ้ว หรือ ค. ขนาด ๑๒๐ มม. จํานวน ๑๒ กระบอก ใช้ลําเลียงบน รยบ. ๑ ๑/๔ ตัน พร้อมรถพ่วง สําหรับ ค. ๑๒๐ มม. สามารถใช้การลากจูงได้ กองร้อยยานเกราะ (ร้อย.ยก.) มีภารกิจ คือปฏิบัติการในภารกิจรบและเตรียมการในด้านการ ลําเลียง พล ร้อย.รสพ มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. สามารถทําการรบเป็นส่วนหนึ่งของชุดทหารราบยานเกราะ ข. สามารถทําการลําเลียงพลหนึ่งกองร้อยอาวุธเบาได้ การจัด ร้อย.ยก. ตาม อจย.๗ - ๑๙ ประกอบด้วย - บก.ร้อย - ตอนซ่อมบํารุง - ๓ มว.ยก แต่ละ มว. จะมี รสพ. จํานวน ๕ คัน รสพ. ๑ คัน สามารถบรรทุก ทหารราบได้ ๑ หมู่ ปล. ดังนั้น ๑ มว.รสพ. จะบรรทุกทหารราบได้ ๑ มว.ปล. ยุทโธปกรณ์ที่สําคัญ ในร้อย รสพ.กรม ร. จะมี รสพ.จํานวน ๑๖ คัน เท่ากับจํานวนรถถัง ใน ๑ กองร้อยรถถัง เพื่อให้สามารถปฏิบัติการรบร่วมกันได้ รสพ.แต่ละคันจะติดตั้ง ปก.๙๓ (ขนาด ๕๐ นิ้ว) จํานวน ๑ กระบอก และ ปก.เอ็ม.๖๐ จํานวน ๒ กระบอก ในแต่ละ มว. รสพ.จะติดตั้งชุดเปลพยาบาล ๑ ชุด กองร้อยลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ (ร้อย.ลว/ฝต.) มีภารกิจ คือ ลาดตระเวนและเฝ้าตรวจให้กรม ทหารราบ มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. สามารถทําลายรถถังข้าศึก


๕๔ ข. ป้องกันรถถังของข้าศึกด้วยการใช้ทุ่นระเบิดดักรถถัง ค. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ ๑๐๐ % การจัด ร้อย.ลว/ฝต. ประกอบด้วย - บก.ร้อย - ๑ มว.ลว. - ๑ มว.ลว.ทางอากาศ - ๑ มว.ตถ. กองพันทหารราบ (พัน.ร.) มีภารกิจตามที่ระบุไว้ใน อจย. ๗ - ๑๕ ลง ๒๕ มิ.ย.๒๒) คือ ก. เข้าประชิดข้าศึกโดยใช้อํานาจการยิง และการดําเนินกลยุทธ์เพื่อจับหรือทําลายข้าศึก ข. ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิงและการรบประชิด พัน.ร. มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. จัดให้มีฐานยิงและดําเนินกลยุทธ์ได้ ข. สามารถใช้การยิงและการเคลื่อนที่เข้าประชิดและทําลายข้าศึกได้ ค. สามารถยึดและรักษาภูมิประเทศได้ ง. สามารถผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด หรือการตีโต้ตอบ จ. สามารถทําการป้องกันต่อสู้รถถังได้ในลักษณะจํากัด การจัด พัน.ร. ประกอบด้วย - กองบังคับการและกองร้อยสนับสนุนการรบ (บก.และ ร้อย.สสก.) (อจย.๗ - ๑๖) - กองร้อยสนับสนุนการช่วยรบ (ร้อย.สสช.) (อจย.๗ - ๑๘) - ๓ กองร้อยอาวุธเบา (ร้อย.อวบ.) (อจย.๗ - ๑๗) การจัด กองบังคับการกองพันทหารราบ (บก.พัน.ร.) ประกอบด้วย ผบ.พัน. (พ.ท.), รอง ผบ.พัน. (พ.ต.), นายทหารฝ่ายธุรการและกําลังพล (ฝอ.๑) (ร.อ.), นายทหารฝ่ายการข่าว (ฝอ.๒) (ร.อ.), ผู้ช่วย นายทหาร ฝ่ายการข่าว (ผช.ฝอ.๒) ร.ท.), นายทหารฝ่ายยุทธการและการฝึก (ฝอ.๓) (พ.ต.), ผู้ช่วยนายทหาร ยุทธการและ การฝึก (ผช.ฝอ.๓) (ร.อ.), นายทหารฝ่ายส่งกําลังบํารุง (ฝอ.๔) (ร.อ.), นายทหารการเงิน (ร.อ.- เหล่า กง.) กองร้อยสนับสนุนการรบ (ร้อย.สสก.) ประกอบด้วย - บก.ร้อย. มี ผบ.ร้อย (ร.อ.), รอง ผบ.ร้อย (ร.ท.) และเจ้าหน้าที่ธุรการต่าง ๆ - ตอน บก.พัน. มี จ่ากองพัน (จ.) และเจ้าหน้าที่ลูกมือของ ฝอ.๒-๓ เช่น เสมียน พิมพ์ดีด, เสมียนข่าวกรอง, นายสิบยุทธการ, ช่างเขียน ฯลฯ - มว.ลาดตระเวน ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ลว. มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ คือ รยบ. ๑/ ๔ ตัน ติดตั้ง ปก.เอ็ม.๖๐ จํานวน ๓ คัน (หมู่ละ ๑ คัน) - มว.สื่อสาร ประกอบด้วย บก.มว., 9 ตอนวิทยุ และ ๑ ตอนทางสาย


๕๕ - มว.อาวุธหนัก ประกอบด้วย * บก.มว. * ๑ ตอน ปรส. ประกอบด้วย บก.ตอน และ ๓ หมู่ ปรส. มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ คือ ปรส. ขนาด ๑๐๖ มม. ติดตั้งบน รยบ.๑/๔ ตัน จํานวน ๓ กระบอก (หมู่ละ ๑ กระบอก) * ๑ ตอน ค. ประกอบด้วย บก.ตอน และ ๓ หมู่ ค. มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ คือ เครื่องยิงลูก ระเบิดขนาด ๘๑ มม. จํานวน ๓ กระบอก (หมู่ละ ๑ กระบอก) - มว.ช่างโยธา ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ช่างโยธา มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ * เครื่องมือชุดทําลาย จุดระเบิดด้วยไฟฟ้าและฝักแค จํานวน ๓ ชุด อยู่ที่ บก.มว. * เครื่องมือชุดทําลาย จุดระเบิดด้วยฝักแค จํานวน ๙ ชุด (หมู่ละ ๓ ชุด) * เครื่องฉีดไฟ เอ็ม.๒ เอ.๑-๗ จํานวน 5 เครื่องอยู่ที่ บก.มว. * จรวด ๗๓ มม. จํานวน ๓ เครื่อง อยู่ที่หมู่ช่างฯ(หมู่ละ ๑ เครื่อง) * เครื่องตรวจค้นทุ่นระเบิด จํานวน ๑๐ ชุด ที่ บก.มว. กองพันทหารราบ (พัน.ร.) มีภารกิจตามที่ระบุไว้ใน อจย. ๗ – ๑๕ (ลง ๒๕ ก.พ.๕๒) คือ ก. เข้าประชิดข้าศึกโดยใช้อํานาจการยิง และการดําเนินกลยุทธ์เพื่อจับหรือทําลายข้าศึก ข. ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิงและการรบประชิด พัน.ร. มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. จัดให้มีฐานยิงและดําเนินกลยุทธ์ได้ ข. สามารถใช้การยิงและการเคลื่อนที่เข้าประชิดและทําลายข้าศึกได้ ค. สามารถยึดและรักษาภูมิประเทศได้ ง. สามารถผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด หรือการตีโต้ตอบ จ. สามารถทําการป้องกันต่อสู้รถถังได้ในลักษณะจํากัด การจัด พัน.ร. ประกอบด้วย - กองบังคับการและกองร้อยสนับสนุนการรบ (บก.และ ร้อย.สสก.) (อจย.๗ - ๑๖) - กองร้อยสนับสนุนการช่วยรบ (ร้อย.สสช.) (อจย.๗ - ๑๘) - ๓ กองร้อยอาวุธเบา (ร้อย.อวบ.) (อจย.๗ - ๑๗) การจัด กองบังคับการกองพันทหารราบ (บก.พัน.ร.) ประกอบด้วย ผบ.พัน. (พ.ท.), รอง ผบ.พัน. (พ.ต.), นายทหารฝ่ายธุรการและกําลังพล (ฝอ.ด) (ร.อ.),นายทหารฝ่ายการข่าว (ฝอ.๒) (ร.อ.), ผู้ช่วย นายทหาร ฝ่ายการข่าว (ผช.ฝอ.๒)(ร.ท.), นายทหารฝ่ายยุทธการและการฝึก (ฝอ.๓) (พ.ต.), ผู้ช่วยนายทหาร ยุทธการและ การฝึก (ผช.ฝอ.๓) (ร.อ.), นายทหารฝ่ายส่งกําลังบํารุง (ฝอ.๔) (ร.อ.),นายทหารฝ่ายกิจการพล เรือน (ฝอ.๕) (ร.อ.) นายทหารการเงิน (ร.อ.- เหล่า กง.)


๕๖ กองร้อยสนับสนุนการรบ (ร้อย.สสก.) ประกอบด้วย - บก.ร้อย. มี ผบ.ร้อย (ร.อ.), รอง ผบ.ร้อย (ร.ท.) และเจ้าหน้าที่ธุรการต่าง ๆ - ตอน บก.พัน. มี จ่ากองพัน (จ.) และเจ้าหน้าที่ลูกมือของ ฝอ.๒-๓ เช่น เสมียน พิมพ์ดีด, เสมียนข่าวกรอง, นายสิบยุทธการ, ช่างเขียน ฯลฯ - มว.ลาดตระเวน ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ลว. มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ คือ รยบ. ๑/ ๔ ตัน ติดตั้ง ปก.เอ็ม.๖๐ จํานวน ๓ คัน (หมู่ละ ๑ คัน) - มว.สื่อสาร ประกอบด้วย บก.มว., 9 ตอนวิทยุ และ ๑ ตอนทางสาย - มว.ค.๘๑ ประกอบด้วย - บก.มว. - ๓ หมู่ ค. มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ คือ เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๘๑ มม. จํานวน ๓ กระบอก (หมู่ละ ๑ กระบอก) - มว.ปืนโจมตีประกอบด้วย - บก.มว. - ๓ หมู่ ปรส. มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ คือ ปรส.ขนาด ๗๕ มม. (หมู่ละ ๑ กระบอก ) - มว.ช่างโจมตีประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ช่างโยธา มียุทโธปกรณ์ที่สําคัญ คือ - เครื่องมือชุดทําลาย จุดระเบิดด้วยไฟฟ้าและฝักแค จํานวน ๓ ชุด อยู่ที่ บก.มว. - เครื่องมือชุดทําลาย จุดระเบิดด้วยฝักแค จํานวน ๙ ชุด (หมู่ละ ๓ ชุด) - เครื่องฉีดไฟ เอ็ม.๒ เอ.๑-๗ จํานวน 5 เครื่องอยู่ที่ บก.มว. - จรวด ๗๓ มม. จํานวน ๓ เครื่อง อยู่ที่หมู่ช่างฯ(หมู่ละ ๑ เครื่อง) - เครื่องตรวจค้นทุ่นระเบิด จํานวน ๑๐ ชุด ที่ บก.มว. ตอนที่ ๓ กองพลทหารราบยานเกราะ การจัด พล.ร.ยานเกราะ มีความมุ่งหมายที่จะให้มีความทันสมัย พร้อมที่จะรับสถานการณ์ ได้ทุก รูปแบบ สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะปฏิบัติการรุกได้ทันทีสอดคล้องกับสภาวะสงคราม ใน อนาคต รวมทั้งรูปแบบของสงครามเคมี ชีวะ นิวเคลียร์ ด้วยภารกิจของพล.ร. ยานเกราะ คงเช่นเดียวกับกอง พลทหารราบทั่ว ๆ ไป คือ การทําลายกําลังข้าศึก และควบคุมพื้นที่ รวมทั้งประชาชน และทรัพยากร โดยที่ พล.ร.ยานเกราะ มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ, วิธีรุก และการร่นถอย ข. สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความรวดเร็วในการเคลื่อนที่เข้าปะทะ, การเข้าตีเร่งด่วน และ ประณีต, การขยายผลและการไล่ติดตาม ค. สามารถกระจายกําลังได้เป็นบริเวณกว้าง และรวมกําลังได้อย่างรวดเร็ว


๕๗ ง. สามารถต่อสู้รถถังได้ จ. สามารถปฏิบัติการรบเป็นหน่วยกําบัง ในการรุก รับ และร่นถอย ฉ. ดําเนินการต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศต่ออากาศยานร่อนต่ำได้ ช. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดําเนินกลยุทธ์ได้ ๑๕ กองพัน ข้อจํากัดของ พล.ร.ยานเกราะ คือ การเคลื่อนที่จะถูกจํากัดด้วยป่าที่ทึบ, ที่สูงชัน, ภูมิประเทศที่ ยากลําบาก และ ทางน้ำ พล.ร.ยานเกราะ มีการจัด ดังนี้ - บก.และ ร้อย.บก.พล. - ร้อย.ลว. - ร้อย.ลวไกล - ร้อย.ตก. - ร้อย.บ. - ร้อย.สห. - พัน.ช. - พัน.ส. - พัน.ถ. - กรม สน. - บก.และ ร้อย.บก. - พัน.สบร. - พัน.ซบร. - พัน.สร. - - กรม ป. - บก.และ ร้อย.บก. - ๑ พัน.ปตอ. - ๓ พัน.ป.๑๕๕ มม.(อจ.) - ๓ กรมร.ยก. - บก.และ ร้อย.บก. - ๓ พัน.ร.ยก. พล.ร.ยก. มีการจัดที่แตกต่างจาก พล.ร. คือ ๑. เปลี่ยนจาก กอง ลว. เป็น พัน.ลว. ๒. เพิ่ม ร้อย.ตถ. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้รถถังข้าศึก


๕๘ ๓. เปลี่ยนระบบการส่งกําลังบํารุงจากเดิมที่ใช้การส่งกําลังบํารุงแบบสายยุทธบริการ โดย กอง พธ., กอง สพบ. และ พัน.สร. เป็นแบบพันธกิจ โดย กรม สน. ซึ่งประกอบด้วย บก. และ ร้อย.บก., พัน.สบร., พัน.ซบร. และ พัน.สร. ๔. การจัด กรม ป. ซึ่งเดิมประกอบด้วย ๓ พัน.ป.๑๐๕ มม.(ลจ.) และ ๑ พัน.ป.๑๕๕ มม. (ลจ.) เปลี่ยนเป็น ๔ พัน.ป.๑๕๕ มม.(อจ.) ๕. การจัด กรม ร. ซึ่งเดิมประกอบด้วย บก.และร้อย.บก.ร้อย.ค.หนัก, ร้อย.รสพ. และ ๓ พัน.ร. เปลี่ยนเป็น บก.และ ร้อย.บก. กับอีก ๓ พัน.ร.ยก. ๖. ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่และมีเกราะป้องกันตนเอง กรมทหารราบยานเกราะ (กรม ร.ยก.) มีภารกิจ บังคับบัญชา ควบคุมหน่วยรบและหน่วยสนับสนุน ในอัตราและหน่วยที่มาขึ้นสมทบ มีขีดความสามารถดังนี้ ก. บังคับบัญชา วางแผน ควบคุม และกํากับดูแล กองพันทหารราบยานเกราะ ได้ตั้งแต่ ๒ – ๕ กองพัน ข. จัดให้มีการสนับสนุนการติดต่อสื่อสาร ค. วางการติดต่อกับกองบังคับการหน่วยเหนือและหน่วยข้างเคียง ง. ดําเนินการให้กรมทหารราบยานเกราะปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง จ. ดําเนินการทางธุรการ การเลี้ยงดู การส่งกําลังซ่อมบํารุงขั้นหน่วย การขนส่ง และการบริการ ทางการแพทย์ (เว้นกองพันทหารราบยานเกราะ ) ฉ. จัดการระวังป้องกันที่บังคับการกรม ช. มีความคล่องแคล่วและเคลื่อนที่ด้วยยานพาหนะในอัตราได้ ๑๐๐% กองบังคับการและกองร้อยกองบังคับการกรมทหารราบยานเกราะ (บก.และร้อย.บก.) มี การจัดตาม อจย.๓๗ - ๔๒ ดังนี้ คือ บก.กรม คงเช่นเดียวกับการจัด บก.กรม ร.ตาม อจย.๗-๑๒ ร้อย.บก.กรม ร.ยก. ประกอบด้วย - ตอน บก.กรม - ตอนนายทหารติดต่อ (ตอน นสต.) - มว.สื่อสาร (มว.ส.) ซึ่งประกอบด้วย บก.มว., ตอนศูนย์ข่าว, ตอนวิทยุ, ตอน ทางสาย - มว.สนับสนุนและบริการ (มว.สน./บร.) ซึ่งประกอบด้วย บก.มว. ซึ่งมี ผบ.มว. ทําหน้าที่ นายทหารยานยนต์ของกรม, ตอนรถผู้บังคับบัญชา, ตอนขนส่ง, ตอนซ่อมบํารุง - มว.ระวังป้องกัน (มว.รวป.) ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ปล. - มว.เสนารักษ์(มว.สร.) ประกอบด้วย บก.มว., ตอนพยาบาล, ตอนส่งกลับ, ตอนทันตกรรม การต่อสู้รถถังระดับกรม ร.ยก. ไม่มีหน่วยต่อสู้รถถัง แต่อาจได้รับการสนับสนุนจาก ร้อย.ตถ. พล.ร. ยก ให้ขึ้นมาสมทบได้ ภารกิจ ของร้อย.ตก. คือ ทําการต่อสู้ป้องกันรถถังให้กับ พล.ร. และมีการประกอบกําลัง ดังนี้


๕๙ - บก.ร้อย - ๑ มว.สนับสนุน - ๓ มว.ตถ. ซึ่งแต่ละ มว. ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ ตอน ตถ, ยุทโธปกรณ์ หลักที่ใช้ คือ อาวุธนําวิถีต่อสู้รถถังโทว์ (TOW) จํานวนตอนละ ๒ กระบอก (รวมทั้งกองร้อยมี ๑๘ กระบอก) พัน.ร.ยก. มีการจัดกําลัง ตาม อจย.หมายเลข ๓ - ๔๕ ลง ๒๓ ต.ค.๓๐) ซึ่งกําหนดภารกิจไว้ ดังนี้ ก. เข้าประชิดข้าศึกโดยใช้อํานาจการยิงและการดําเนินกลยุทธ์ เพื่อทําลายและจับข้าศึก ข. ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ พัน.ร.ยก. มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. จัดให้มีฐานยิงและส่วนดําเนินกลยุทธ์ ข. ยึดและรักษาภูมิประเทศได้ ค. ให้การยิงสนับสนุนกับหน่วยในอัตราและหน่วยขึ้นสมทบ ง. ปฏิบัติการเป็นอิสระในห้วงระยะเวลาจํากัด จ. ทําการป้องกันต่อสู้รถถังได้ ฉ. ทําการลาดตระเวนระยะไกลเมื่อได้รับการเพิ่มเติมยุทโธปกรณ์อย่างเหมาะสม ช. เพิ่มขีดความสามารถให้สูงขึ้นได้เมื่อเข้าปฏิบัติการด้วยการจัดกําลังรบเป็นชุดรบ ร.- ถ. ซ. มีความคล่องแคล่วในภูมิประเทศ และสามารถเคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตราได้ ๑๐๐ % ด.ปฏิบัติการยุทธ์เคลื่อนที่ทางอากาศได้เมื่อได้รับการสนับสนุนการขนส่งทางอากาศอย่าง เพียงพอ ต. เข้าร่วมปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบกได้ ถ. ทําการต่อสู้อากาศยานได้อย่างจํากัด พัน.ร.ยก. มีการจัดกำลัง ดังนี้ - กองบังคับการและกองร้อยกองบังคับการ (บก.และร้อย.บก.) - ๑ กองร้อยสนับสนุนการรบ (ร้อย.สสก.) - ๓ กองร้อยทหารราบยานเกราะ (ร้อย.ร.ยก.) บก.พัน. จะประกอบด้วย ผบ.พัน., รอง ผบ.พัน., ฝอ.๑, ฝอ.๒, ฝอ.๓, ผช.ฝอ.๓, ฝอ.๔, นายทหาร ฝ่ายการเงิน, นายแพทย์ และนายทหารยานยนต์ ร้อย.บก. ประกอบด้วย - บก.ร้อย - ตอน บก.พัน - มว.สื่อสาร (มว.ส.) ประกอบด้วย บก.มว., ตอนวิทยุ, ตอนทางสาย - มว.สนับสนุนและบริการ (มว.สน./บร.) - บก.มว.


๖๐ - ตอนรถผู้บังคับบัญชา - ตอนส่งกำลัง - ตอนขนส่ง - ตอนสูทกรรม ประกอบด้วย บก.ตอน และ ๕ ชุดสูทกรรมกองร้อย - มว.ซ่อมบำรุง (มว.ซบร.) ประกอบด้วย บก.มว. และ ๒ ตอน ซบร. - มว.เสนารักษ์ (มว.สร.) ประกอบด้วย บก.มว., ตอนที่พยาบาล, ตอนส่งกลับ ร้อย.สสก.พัน.ร.ยก. มีภารกิจ คือ ให้การสนับสนุนด้วยการลาดตระเวน การยิงจำลอง และการ ป้องกันต่อสู้รถถัง โดยร้อย.สสก.พัน.ร.ยก.มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. ทำการลาดตระเวนทางพื้นดิน ข. จัดให้มีการสนับสนุนด้วยการยิงของเครื่องยิงลูกระเบิด และการป้องกันต่อสู้รถถัง ค. ซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ในอัตราได้ในขั้นหน่วย ง. ดำเนินกลยุทธได้ในทุกสภาพภูมิประเทศและทุกสภาพภูมิอากาศ จ. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ % ร้อย.สสก.พัน.ร.ยก. มีการจัดตาม อจย.๗ - ๔๘ ซึ่งประกอบกำลังดังนี้ - บก.ร้อย. - ตอนซ่อมบำรุง - มว.ลาดตระเวน (มว.ลว.) ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ลว. - มว.ค.หนัก ประกอบด้วย บก.มว., ตอนยุทธการและอำนวยการยิง , ๔ หมู่ ค.หนัก - มว.ตถ. ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ตถ. กองร้อยทหารราบยานเกราะ (ร้อย.ร.ยก.) มีภารกิจดังนี้ คือ ก. เข้าประชิดข้าศึก โดยใช้อำนาจการยิง และการดำเนินกลยุทธ์ เพื่อทำลายและจับข้าศึก ข. ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ ร้อย.ร.ยก. มีขีดความสามารถ ตามที่ระบุไว้ใน อจย.คือ ก. ใช้การยิงและการดำเนินกลยุทธ์เข้าประชิดเพื่อทำลายและจับข้าศึก ข. จัดให้มีฐานยิง และการดำเนินกลยุทธ์ ค. ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด หรือด้วยการตีโต้ตอบ ง. ยึดและรักษาภูมิประเทศได้ จ. ดำเนินกลยุทธ์ได้ทุกภูมิประเทศและทุกสภาพภูมิประเทศ ฉ. ป้องกันต่อสู้รถถังได้อย่างจำกัด ช. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ % ร้อย.ร.ยก. มีการจัดตาม อจย.๗ - ๔๗ ดังนี้ - บก.ร้อย. - ๑ ตอนซ่อมบำรุง - ๑ มว.อาวุธ ประกอบด้วย - บก.มว. - ตอน ค.๘๑ ประกอบด้วย ๓ หมู่ ค.๘๑ - ตอน ตถ.


๖๑ - ๓ มว.ปล. แต่ละ มว. ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ปล. โดยที่ มว.ปล. มี ปก.เอ็ม๖๐ จำนวน ๒ กระบอก พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ที่ บก.มว. ตอนที่ ๔ กองพลทหารราบยานยนต์ การจัด กองพลทหารราบยานยนต์(พล.ร.ยย.) ในรูปแบบนี้มีความมุ่งหมายที่จะจัดให้เป็นแบบ พล.ร.มาตรฐาน ที่มีขีดความสามารถในการ เข้าตีตั้งรับ และร่นถอย อย่างมี ประสิทธิภาพ ภารกิจ ของกอง พลทหารราบยานยนต์คงเป็นเช่นเดียวกับ พล.ร.ยก.ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว คือ การทําลายกําลัง ข้าศึก และการยึดครองพื้นที่ โดยที่ พล.ร.ยย. มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. ทำการรบเป็นอิสระ ข. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับและวิธีรุก ค. ปฏิบัติการรบในภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศที่ยากลําบาก ง. สามารถต่อสู้รถถังได้ จ. สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ % ฉ. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดำเนินกลยุทธ์ได้ ๑๕ กองพัน พล.ร.ยย. มีโครงสร้างการจัดดังนี้คือ - บก.และ ร้อย.บก. - ร้อย.ลว. - ร้อย.ลว.ไกล - ร้อย.ตถ. - ร้อย.บ. - ร้อย.สห. - พัน.ช. - พัน.ส. - พัน.ถ. - กรม สน. ประกอบด้วย - บก.และ ร้อย.บก. - สำนักงานส่งกําลัง - พัน.ขส. - พัน.ซบร. - พัน.สร. - กรม ป. ประกอบด้วย


๖๒ - บก.และ ร้อย.บก./บร. - ๑ พัน.ปตอ. - ๑ พัน.ปกค.๑๕๕ มม. (ลจ.) - ๓ พัน.ป.๑๐๕ มม.(ลจ.) - ๓ กรม ร.ยย. ประกอบด้วย - บก.และ ร้อย.บก. - ๓ พัน.ร.ยย. กรม.ร.ยย. คงมีภารกิจเช่นเดียวกับ กรม ร.ยก. คือ ทำลายกําลังรบของข้าศึก เข้ายึดและ ควบคุม พื้นที่ รวมทั้งประชาชนและทรัพยากรในพื้นที่ที่ยึดได้ โดยที่ กรม ร.ยย. มีขีดความสามารถ ดังนี้ คือ ก. ควบคุมบังคับบัญชา และดําเนินงานทางธุรการ ต่อกองพันทหารราบ และหน่วยในอัตราในการ รบด้วยวิธีรุก การรบด้วยวิธีรับ รวมทั้งการป้องกันและการปราบปรามการก่อความไม่สงบ ข. ปฏิบัติการรบอย่างต่อเนื่องต่อกําลังรบของข้าศึกที่มียุทโธปกรณ์อย่างเดียวกัน หรือ ต่ำกว่า ภายในกรอบของกองพล หรือ ปฏิบัติการเป็นอิสระเมื่อได้รับการเพิ่มเติมกําลังอย่างเหมาะสม ค. ปฏิบัติการในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศหรือสภาพอากาศยากลําบาก ง. เข้าควบคุมประชากรในดินแดนที่ยึดได้ การจัด กรม ร.ยย. ประกอบด้วยหน่วยต่าง ๆ ดังนี้ คือ - บก. และ ร้อย.บก (ตาม อจย.๗-๑๒ พ.) - ๓ พัน.ร.ยย. (ตาม อจย.๗- ๑๕ พ.) กองบังคับการและกองร้อยกองบังคับการ (บก.และ ร้อย.บก.)กรม ร.ยย.มีภารกิจในการบังคับ บัญชา ควบคุมหน่วยรบ และหน่วยสนับสนุนการรบในอัตรา และหน่วยที่ขึ้นสมทบ บก.และร้อย.บก. มีขีดความสามารถดังนี้คือ ก. บังคับบัญชา วางแผน ควบคุม กํากับดูแลการปฏิบัติ กองพันทหารราบ ได้ตั้งแต่ ๒ ถึง ๕ กองพัน และหน่วยที่ขึ้นสมทบ ข. จัดให้มีการสนับสนุนการติดต่อสื่อสาร ค. วางการติดต่อกับกองบังคับการหน่วยเหนือและหน่วยข้างเคียง ง. ดำเนินการให้กรมทหารราบปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องได้ตลอด ๒๔ ชม. จ. ดําเนินการทางธุรการ การเลี้ยงดู การส่งกําลังและซ่อมบํารุงขั้นหน่วย การขนส่งและกา บริการทางการแพทย์ (เว้น กองพันทหารราบ) ฉ. จัดการระวังป้องกันที่บังคับการกรม ช. เคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตราได้ ๑๐๐ % การจัด บก.กรม คงเช่นเดียวกับการจัด บก.กรม ร. อื่น ๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว การจัด ร้อย.บก.กรม ร.ยย. ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้


๖๓ - บก.ร้อย. - ตอน บก.กรม - ตอนนายทหารติดต่อ - มว.สื่อสาร (มว.ส.) ประกอบด้วย บก.มว., ตอนศูนย์ข่าว, ตอนวิทยุ, ตอนทางสาย - มว.สนับสนุนและบริการ (มว.สน./บร.) ประกอบด้วย บก.มว., ตอนขนส่ง, ตอนซ่อมบํารุง - มว.ระวังป้องกัน (มว.รวป.) ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ปล. - มว.เสนารักษ์ (มว.สร.) ประกอบด้วย บก.มว, ตอนที่พยาบาล, ตอนส่งกลับ, ตอนทันตกรรม พัน.ร.ยย. คงมีภารกิจเช่นเดียวกับ พัน.ร.ยก. หรือ พัน.ร. และมีขีดความสามารถดังนี้ คือ ก. จัดให้มีฐานยิงและส่วนดำเนินกลยุทธ์ ข. ยึดและรักษาภูมิประเทศได้ ค. ให้การยิงสนับสนุนแก่หน่วยในอัตราและหน่วยที่ขึ้นสมทบ การจัด บก.กรม คงเช่นเดียวกับการจัด บก.กรม ร. อื่น ๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ง. ดำเนินกลยุทธ์ได้ทุกสภาพภูมิประเทศและทุกสภาพภูมิอากาศ จ. ทำการป้องกันต่อสู้รถถัง และอากาศยานได้อย่างจํากัด ฉ. ปฏิบัติการยุทธ์เคลื่อนที่ทางอากาศได้เมื่อได้รับการสนับสนุนการขนส่งทางอากาศ อย่าง เพียงพอ ช. เข้าปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบกได้ ซ. เคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตราได้ ๑๐๐ % เว้น ๖ มว.ปล. พัน.ร.ยย. มีการจัดตาม อจย. ๗ - ๑๕ พ. ซึ่งประกอบด้วยหน่วยต่าง ๆ ดังนี้ - บก.และร้อย.บก. (อจย.๗-๑๖ พ.) - ร้อย.สสก. (อจย.๗-๑๘ พ.) - ๓ ร้อย.อวบ.(อจย.๗-๑๗ พ.) บก.และ ร้อย.บก. พัน.ร.ยย. มีภารกิจ คือ บังคับบัญชา ควบคุมและกํากับดูแลการปฏิบัติของกอง พัน ทหารราบและหน่วยขึ้นสมทบ มีขีดความสามารถดังนี้ ก. บังคับบัญชา ควบคุม วางแผน และกํากับดูแลการปฏิบัติการของหน่วยในอัตรา และหน่วย ขึ้นสมทบ ข. จัดให้มีการสนับสนุนการติดต่อสื่อสาร ค. รับและจ่ายสิ่งอุปกรณ์ของกองพัน ง. ซ่อมบํารุงขั้นหน่วยให้แก่หน่วยในอัตราของกองพัน จ. จัดประกอบเลี้ยงให้กับหน่วยในอัตราของกองพันได้ทั้งแบบรวมการและแยกการ ฉ. ให้บริการทางการแพทย์กับหน่วยในอัตราของกองพัน


๖๔ ช. จัดให้มีการสนับสนุนการขนส่งแก่กองร้อยอาวุธเบาได้ ๑ กองร้อย การจัด บก.พัน. คงเช่นเดียวกับ บก.พัน.ร.ยก การจัด ร้อย บก. ประกอบด้วยหน่วยต่าง ๆ ดังนี้ - บก.ร้อย. - ตอน บก.พัน. - มว.ส. ประกอบด้วย บก.มว., ตอนวิทยุ, ตอนทางสาย - มว.สน./บร. ประกอบด้วย บก.มว, ตอนส่งกําลัง, ตอนขนส่ง, ตอนสูทกรรม - มว.ซบร, ประกอบด้วย บก.มว, และ ๒ ตอนซ่อมบํารุง - มว.สร. ประกอบด้วย บก.มว., ตอนที่พยาบาล, ตอนส่งกลับ ร้อย.สสก.พันร.ยย. มีภารกิจให้การสนับสนุนด้วยการลาดตระเวน การยิงเล็งจําลอง และการป้อง กัน ต่อสู้รถถัง มีการประกอบกําลัง ดังนี้ - บก.ร้อย. - มว.ลว. ประกอบด้วย บก.มว.และ ๓ หมู่ ลว. - มว.ค.หนัก ประกอบด้วย บก.มว., ตอนยุทธการและอํานวยการยิง, ๓ หมู่ ค.หนัก - มว.ตถ. ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ตถ. ร้อย.อวบ. มีภารกิจ คือ เข้าประชิดข้าศึก โดยใช้อํานาจการยิง และการดําเนินกลยุทธ์ เพื่อทําลายและ จับ ข้าศึก และผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิดและการตีโต้ตอบ ร้อย.อวบ.สามารถ เคลื่อนที่ ได้ ๑๐๐ % เว้น ๒ มว.ปล. ร้อย.อวบ.มีการประกอบกําลังดังนี้คือ - บก.ร้อย. - มว.อาวุธ ประกอบด้วย บก.มว., ตอน ค.๘๑ มม.ซึ่งมี บก.ตอน และ ๓ หมู่ ค. - ๘๑ มม., ตอน ตถ, ซึ่งมีบก.ตอน. และ ๒ หมู่ ตถ. - มว.ปล. ประกอบด้วย บก.มว.และ ๓ หมู่ ปล. ร้อย.อวบ.พัน.ร.ยย. ต่างจาก ร้อย.ร.ยก.พัน.ร.ยก. ดังนี้ คือ - ร้อย.ร.ยก.พัน.ร.ยก. มี ตอน ซบร. แต่ ร้อย.อวบ.พัน.ร.ยย ไม่มี - ร้อย.ร.ยก.พัน.ร.ยก. เคลื่อนที่ได้ ๑๐๐ % - ร้อย.ร.ยก.พัน.ร.ยก. สามารถตั้งยิงอาวุธยิงสนับสนุนบน รสพ.ได้


๖๕ ตอนที่ ๕ กองพลทหารราบเบา การจัดกองพลทหารราบเบาของ ทบ.ไทย จัดตามความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของ ทบ.โดย เฉพาะ สําหรับใช้ในภารกิจสนองตอบผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริงในด้านการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งหมาย รวมถึงการ ปปส.และภารกิจอื่น ๆ ปัจจุบันมี พล.ร.๔ , ๗, ๙ และ ๑๕ มีการจัดหน่วยตาม อจย, ๗- ๒ ภารกิจของกองพลทหารราบเบา คงเป็นเช่นเดียวกับ พล.ร.ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว คือ การทําลายกําลัง ข้าศึกและการยึดครองพื้นที่ โดยที่ พล.ร.เบา มีขีดความสามารถ ดังนี้ ก. ทําการรบเป็นอิสระ ข. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับและวิธีรุก ค. ปฏิบัติการรบในภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศที่ยากลําบาก ง. สามารถต่อสู้รถถังได้ จ. สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ % ฉ. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดําเนินกลยุทธ์ได้๑๕ กองพัน พล.ร.เบา. มีโครงสร้างการจัดดังนี้ คือ - บก.และ ร้อย.บก. - พัน,ม.ลว. - ร้อย.ลวไกล - ร้อย.บ. - ร้อย.สห. - พัน.ช. - พัน.ส. - กรม สน. ประกอบด้วย - บก.และ ร้อย.บก. - สํานักงานส่งกําลัง - พัน.ขส. - พัน.ซบร. - พัน.สร. - กรม ป. ประกอบด้วย - บก.และ ร้อย.บก./บร. - ๑ พัน.ปตอ. - ๑ พัน.ปกค.๑๕๕ มม. (ลจ.)


๖๖ - ๓ พัน.ป.๑๐๕ มม.(ลจ.) - ๓ กรม ร. ประกอบด้วย - บก.และ ร้อย.บก. - ๓ พัน.ร. ภาคที่ ๒ การปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก การปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก เป็นการปฏิบัติการในลักษณะที่ฝ่ายเรานํากําลังเคลื่อนที่ เข้าหาข้าศึก เพื่อ หักล้างการต้านทานของข้าศึก เมื่อข้าศึกถอยก็ไล่ติดตาม ทําลายเสียให้สิ้นเชิง โดยการรบด้วยวิธีรุกมี วัตถุประสงค์ หลักคือ การทําลายหรือเอาชนะกําลังฝ่ายข้าศึก สําหรับวัตถุประสงค์อื่น ๆ ของการรบด้วยวิธีรุก คือ ๑) ควบคุมภูมิประเทศสําคัญ และภูมิประเทศสําคัญยิ่ง ๒) ขัดขวางมิให้ข้าศึกใช้ทรัพยากร ๓) ลวงและหันเหข้าศึก ๔) ให้ได้มาซึ่งข่าวสาร ๕) ตรึงข้าศึกให้อยู่ในที่มั่น ๖) ขัดขวางการเข้าตีของข้าศึก คุณลักษณะของการรบด้วยวิธีรุก การจู่โจม ได้มาจากการโจมตีข้าศึก ณ เวลา หรือตําบล หรือในลักษณะซึ่งข้าศึกไม่คาดคิดหรือไม่ได้ เตรียมการไว้ก่อน การจู่โจมเกิดขึ้นได้ยากเมื่อได้เริ่มต่อสู้กันแล้ว อย่างไรก็ตาม การ จู่โจมอาจกระทําได้โดย การปฏิบัติการที่ตรงข้ามกับที่ข้าศึกได้คาดคิดเอาไว้การเปลี่ยนแปลงลักษณะหรือจังหวะของการรบอย่าง รวดเร็ว และไม่คาดคิด จะช่วยเพิ่มความรู้สึกของการถูกคุกคามแก่ข้าศึกอย่างรุนแรงและทันทีทันใด สามารถ สร้างความกลัว และความสับสนให้แก่ข้าศึก ซึ่งอาจทําให้ข้าศึกหยุดชะงักการปฏิบัติลงได้นอกจากนี้ การจู่ โจมอาจได้มาโดยการทําให้ข้าศึกคาดคะเนผิดพลาดด้วย การลวง, การเข้าตีลวง และด้วยกลอุบาย การรวมกําลัง การรวมการปฏิบัติเข้าด้วยกัน เป็นสิ่งสําคัญที่จะให้บรรลุซึ่งการจู่โจมและการขยาย ผล การปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกในปัจจุบัน มีลักษณะของการรวมกําลังอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยการขยายผล ในทาง ลึก สําหรับเทคโนโลยีสมัยใหม่จะทําให้การรวมกําลังเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ล่อแหลมต่ออันตราย จากการ ตรวจพบและจากการโจมตีของข้าศึก การรุกทางพื้นดินและทางอากาศช่วยให้ฝ่ายเข้าตีรวมกําลังได้ อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ฝ่ายตั้งรับโต้ตอบได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ จะเพิ่ม การคุกคามต่อการรวมกําลังเป็นอย่างมาก ผู้บังคับหน่วยเข้าตีต้องผสมผสานการรวมกําลังทั้งของฝ่ายเราและฝ่ายข้าศึก ให้เกื้อกูลต่อการเข้าตี ประการแรก คือ การกระจายกําลังเพื่อขยายแนวตั้งรับของข้าศึกและหลีกเลี่ยงการเป็นเป้าหมายที่คุ้มค่าต่อ การยิงระยะไกลของข้าศึก ขั้นต่อมาจึงรวมกําลังอย่างรวดเร็ว โดยเคลื่อนที่ตามแนวทางเคลื่อนที่ที่สอบเข้าหา กันเพื่อบดขยี้ข้าศึก


๖๗ ในทุกระดับหน่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วหน่วยระดับกองพลและสูงกว่า จะต้องพยายาม ปกปิด การรวมกําลังเอาไว้เป็นพิเศษ จนกระทั่งข้าศึกไม่มีเวลาที่จะตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสําเร็จในการ รวม กําลังสําหรับการเข้าตี คือ ความเร็ว การรักษาความลับ และ การลวง ความเร็ว เป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งยวดต่อการประสบความสําเร็จ ความเร็วช่วยให้เกิดการจู่โจม ทําให้ ข้าศึกเสียสมดุล เกิดความปลอดภัยแก่กําลังเข้าตีป้องกันไม่ให้ฝ่ายตั้งรับใช้มาตรการตอบโต้อย่างมี ประสิทธิภาพ สร้างความสับสนและตรึงฝ่ายตั้งรับ และสามารถชดเชยการขาดแคลนกําลังเป็นกลุ่มก้อนให้ สามารถมีแรงหนุนเนื่องพอเพียงสําหรับการเข้าตี ความเร็วในการปฏิบัติ การรบ เกิดจากการวางแผนอย่าง รอบคอบ, การพิสูจน์ทราบ , แนวทางเคลื่อนที่เข้าตีที่ดีที่สุด, วางแผนปฏิบัติการรบทางลึกให้มีการขยายผล และ ไล่ติดตามเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว และการรวมกําลังผสมเหล่าเข้าปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ ความเร็วที่ได้จะขึ้นอยู่กับ การปฏิบัติที่รุนแรงตามแผนโดยหน่วยยิง และหน่วยดําเนินกลยุทธ์ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ต่อไปนี้ - การเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชาอย่างถ่องแท้ - การใช้ทหารช่างที่มีอยู่ - การใช้หน่วยทหารม้า ทางพื้นดิน และทหารม้าอากาศ - การดํารงไว้ซึ่งการป้องกันภัยทางอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ - การตอบสนองการสนับสนุนทางการส่งกําลังบํารุงต่อกําลังรบ - การใช้เครื่องมือข่าวกรองทางทหารและสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างมีประสิทธิภาพ - การควบคุมบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ ความอ่อนตัว การเข้าตีจะต้องอ่อนตัว ผู้บังคับหน่วยต้องคาดการณ์ล่วงหน้าว่าการรบจะพัฒนาไป อย่างไร (ให้ไกลเท่าที่จะทําได้) อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับหน่วยต้องคํานึงถึงความ ไม่แน่นอนซึ่งอาจจะ เกิดขึ้น เพื่อดํารงไว้ซึ่งความประสานสอดคล้องของสนามรบที่ผันแปรไปตลอดเวลา หน่วยรองต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ ของหน่วยเหนือเป็นอย่างดีสามารถยืนหยัดตนเองให้ได้ในสภาพแวดล้อมทุกอย่าง สามารถเปลี่ยนทิศทาง อย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้การรวมกําลังหรือความสอดคล้องที่ได้จังหวะต้องสูญเสียไป ความห้าวหาญ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทําให้การปฏิบัติการรุกประสบผลสําเร็จ การเข้าตีที่ปราชัย เพราะว่าขาดความห้าวหาญมากกว่าเหตุผลอื่นๆ ความห้าวหาญสามารถนํามาใช้ในการปฏิบัติการรบทุก ขั้นตอน ทุกชนิดของหลักนิยม การรบอากาศพื้นดิน (หลักนิยมการรบอากาศพื้นดิน ประกอบด้วย ความริเริ่ม, ความว่องไว, ความลึก และความประสานสอดคล้อง) ลําดับขั้นของการรบด้วยวิธีรุก การปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกมักเกิดขึ้นเป็นขั้น ๆ ต่อเนื่องกันไป ถึงแม้ว่า ช่วงเวลาและลักษณะการ ปฏิบัติของแต่ละขั้นจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันก็ตาม แต่ขั้นต่าง ๆ เหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ ลําดับขั้นการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก มี ๔ ขั้น คือ การเตรียมการ การเข้าตี การขยายผล และการ ไล่ติดตาม การเตรียมการ เกี่ยวข้องกับการรวมกําลังของฝ่ายที่เข้าตี, การสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง และการเคลื่อน


๖๘ ที่เข้าปะทะกับข้าศึก รวมถึงการปฏิบัติในขั้นต้นเพื่อหันเหกําลังข้าศึกก่อนการเข้าตี และการยิงเตรียม ขอบเขตและลักษณะของขั้นการเตรียมการขึ้นอยู่กับความพร้อมของฝ่ายตรงข้ามที่ปะทะกับฝ่ายเรา รวมถึง ท่าทีของ ข้าศึกในขณะนั้น การเคลื่อนที่เข้าปะทะ เป็นกิจกรรมหนึ่งในขั้นการเตรียมการ กระทําเพื่อเข้าปะทะหรือกลับเข้า ปะทะ กับข้าศึกใหม่ โดยทั่วไปแล้วการเคลื่อนที่เข้าปะทะจะเกี่ยวกันกับการเคลื่อนที่ของทั้งสองฝ่ายเพื่อ ช่วง ชิงความ ริเริ่ม ดังนั้นการเคลื่อนที่เข้าปะทะจึงเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่อยู่ใกล้กัน การเคลื่อนที่เข้าปะทะเป็นการเคลื่อนที่อย่างเร็ว ตามเส้น หลักการรุก หลายเส้นทาง ควบคุมแบบแยกการ พร้อมที่จะแปรรูปขบวนผสมเหล่าไป สู่การรบปะทะ แต่ละ ฝ่ายจะพยายามครองความริเริ่ม และบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องตั้งรับ ไม่ว่ากรณีใดๆ ส่วนสำคัญของการเคลื่อนที่เข้าปะทะ คือ การระวังป้องกันทั้งทางด้านหน้า และทาง ปีก การเคลื่อนที่เข้าปะทะ สิ้นสุดเมื่อข้าศึกต้านทาน และบีบบังคับให้ฝ่ายเรา ต้องแปรรูปขบวนเข้าตี มีการ แบ่งกำลัง และการประสานการปฏิบัติ เมื่อบังคับให้ข้าศึกตั้งรับได้การเคลื่อนที่เข้าปะทะมักจะนําไปสู่การรบปะทะ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะ พยายามครองความริเริ่ม และบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องตั้งรับ ไม่ว่ากรณีใดๆ ส่วนสําคัญของการเคลื่อนที่เข้า ปะทะ คือ การระวังป้องกันทั้งทางด้านหน้าและทางปีก การเคลื่อนที่เข้าปะทะ สิ้นสุดเมื่อข้าศึกต้านทาน และ บีบบังคับให้ฝ่ายเรา ต้องแปรรูปขบวนเข้าตี มีการแบ่ง กําลัง และการประสานการปฏิบัติ เมื่อบังคับให้ข้าศึก ตั้งรับได้ จะมีการปะทะกันบ่อยขึ้น เพราะข้าศึกพยายามจะผละออกจากการรบ หรือผละจากการตั้งรับได้ การเข้าตีเร่งด่วนจะบังคับให้ข้าศึกทําการรบก่อนที่จะสามารถสถาปนาการตั้งรับที่เหนียวแน่นได้ การเข้าตีการเคลื่อนที่เข้าปะทะตามปกติ จะติดตามด้วยการเข้าตีเร่งด่วน ซึ่งใช้กําลังที่มีอยู่ขณะ นั้น และใช้การเตรียมการเพียงเล็กน้อยที่สุด เพื่อทําลายกําลังข้าศึกก่อนที่ฝ่ายข้าศึกจะสามารถรวมกําลัง กัน หรือจัดการตั้งรับขึ้นมาได้ การเข้าตีเร่งด่วนนํามาใช้บ่อยครั้งในการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ, การเข้าตีจาก ขบวนเดินหรือส่วนกําบัง การเข้าตีเร่งด่วนทําให้ได้มาซึ่งความคล่องแคล่ว โดยไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียความ สอดคล้องได้จังหวะ หน่วยที่เข้าตีเร่งด่วนจะต้องใช้รูปขบวนที่เป็นมาตรฐาน และฝึกซ้อมจนเข้าใจ สามารถ ปฏิบัติให้เกิดผลสูงสุด หน่วยหรือเหล่าทัพอื่นที่ให้การสนับสนุนต้องสามารถตอบสนองความต้องการได้อย่าง รวดเร็ว การเข้าตีเร่งด่วนอาจไม่ประสบผลสําเร็จเสมอไป อาจต้องใช้การเข้าตีประณีต ซึ่งเป็นการเข้าตีที่ ต้องการประสานที่ได้จังหวะอย่างสมบูรณ์ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าต่อสู้กับการตั้งรับของข้าศึก และใช้ เวลาที่เพียงพอในการเตรียมการ ดังนั้น การเข้าตีประณีตจึงควรที่จะสงวนไว้สําหรับใช้ในสถานการณ์ ที่ไม่ สามารถเอาชนะข้าศึกได้ด้วยการเข้าตีเร่งด่วน การขยายผล การเข้าตีซึ่งสามารถทําลายกําลังข้าศึกได้อย่างสมบูรณ์ณ พื้นที่ตั้งรับของข้าศึกเป็น ไปได้ยาก ทั้งนี้เพราะข้าศึกจะต้องพยายามผละจากการรบ หรือถอนตัวเมื่อสามารถกระทําได้ ดังนั้น หากไม่มี ข้อจํากัดจากหน่วยเหนือ หรือไม่ขาดแคลนกําลังรบ จึงควรขยายผลอย่างรวดเร็ว และรุนแรง เพื่อ ดํารงความ กดดันต่อข้าศึกเอาไว้ ทําให้ข้าศึกเสียรูปการจัดกําลังที่เหมาะสมในการตั้งรับใหม่รวมทั้งไม่ ให้ข้าศึกถอน ตัวอย่างมีระเบียบ และทําลายขวัญกําลังใจของข้าศึก เป้าหมายสูงสุดของการขยายผล ก็คือ ทําให้ข้าศึกแตก กระจายจนถึงจุดซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากยอมจํานน หรือหนีไป สิ่งบอกเหตุที่สามารถบ่งบอกถึงโอกาสของการขยายผลได้มีดังนี้ ๑. จับเชลยได้มากขึ้น


๖๙ ๒. ข้าศึกละทิ้งยุทโธปกรณ์มากขึ้น ๓. เมื่อฝ่ายเราสามารถยึดที่ตั้งทางการบังคับบัญชา, ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุน, คลังสิ่งอุปกรณ์ฯลฯ ของข้าศึกได้ การไล่ติดตาม วัตถุประสงค์ของการไล่ติดตาม คือ การทําลายล้างกําลังฝ่ายตรงข้าม ปฏิบัติโดยใช้ กําลังโอบล้อมกําลังข้าศึก ที่กําลังผละหนีต่อเนื่องไปเป็นขั้นตอน เพื่อทําลายหรือจับเป็นเชลย ปกติแล้วการ ขยายผลและไล่ติดตามจะมีลักษณะการควบคุมแบบแยกการอย่างกว้าง ๆ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่การไล่ ติดตาม ยากที่จะคาดคิดไว้ก่อน และหน่วยมักจะไม่ได้เตรียมการไว้ แบบของการรบด้วยวิธีรุก (TYPES OF OFFENSIVE OPERATION) แบบของการรบด้วยวิธีรุก มี ๕ แบบได้แก่ ๑. การเคลื่อนที่เข้าปะทะ ๒. การเข้าตีเร่งด่วน ๓. การเข้าตีประณีต ๔. การขยายผล ๕. การไล่ติดตาม การเคลื่อนที่เข้าปะทะ มีความมุ่งหมายเพื่อให้มีการปะทะกับข้าศึก หรือเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ กระทําในลักษณะที่สามารถดํารงเสรีในการปฏิบัติของผู้บังคับหน่วยเอาไว้ได้เมื่อการปะทะเกิดขึ้นความอ่อน ตัว จําเป็นต่อการดํารงความริเริ่มและมีรากฐานมาจากหลักการดังต่อไปนี้ ๑. การจัดรูปขบวนที่นําด้วยส่วนกําบัง ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความคล่องแคล่วในการรบ และสนับสนุน ตนเองได้เพื่อกําหนดที่ตั้ง และตรึงข้าศึก ๒. กําลังที่เข้าปฏิบัติการ จัดแบบผสมเหล่า พร้อมที่จะแปรกําลังเข้าตีอย่างรวดเร็ว โดยที่กําลังส่วน ใหญ่นี้ต้องห่างส่วนกําบังเพียงพอที่จะดําเนินกลยุทธ์ได้โดยปราศจากการรบติดพันโดยไม่ได้ตั้งใจ ๓. รูปขบวนมีการระวังป้องกันรอบตัว และการป้องกันภัยทางอากาศ ๔. เคลื่อนที่อย่างห้าวหาญ ด้วยความเร็วสูงสุด ๕. มอบอํานาจให้ผู้บังคับหน่วยที่อยู่ข้างหน้า และทางปีก โดยให้ปฏิบัติการแบบแยกการ เมื่อรูปขบวนเคลื่อนที่เข้าปะทะจัดให้มีการระวังป้องกันรอบตัว เหตุที่ต้องเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว แทนที่จะเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง เพราะการเคลื่อนที่ช้า ๆ ด้วยความระมัดระวังจนเกินไป จะก่อให้เกิดอันตรายจากการถูกโอบปีก หรือตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีได้ง่าย การจัดกําลังในการ เคลื่อนที่ เข้าปะทะ จะประกอบด้วย ส่วนกําบัง กองระวังหน้า ส่วนใหญ่ กองกระหนาบ กองระวังหลัง ส่วนกําบัง อาจมีอิทธิพลต่อการรบทั้งหมดได้ การจัดและการประกอบกําลังจึงต้องมีกําลังรบ, ส่วน สนับสนุนการรบ และส่วนสนับสนุนทางการช่วยรบ พอเพียงที่จะทําการรบเป็นอิสระได้ส่วนกําบังต้องมีความ คล่องแคล่วและสมดุลย์เป็นอย่างดีอยู่ข้างหน้าส่วนใหญ่ให้ไกลเพียงพอ เพื่อให้ผู้บังคับหน่วยกําลังส่วนใหญ่มี เวลาและระยะทางในการตอบโต้เมื่อปะทะกับข้าศึก


๗๐ ภารกิจที่มอบให้แก่ส่วนกําบังได้แก่ ๑. ลาดตระเวนตรวจภูมิประเทศในเขต ข้างหน้าของส่วนใหญ่ ๒. คลี่คลายสถานการณ์ข้าศึก ๓. ให้การระวังป้องกันแก่ส่วนใหญ่ ๔. เข้าตีเพื่อทําลายการต้านทานของข้าศึก ๕. ระวังป้องกันหรือควบคุมภูมิประเทศสําคัญ ๖. ตรึงหน่วยใหญ่ของข้าศึก กองระวังหน้า เป็นส่วนระวังป้องกันที่จัดมาจากกําลังส่วนใหญ่ ปฏิบัติการอยู่หน้าส่วนใหญ่เพื่อให้ แน่ใจว่าการเคลื่อนที่ของส่วนใหญ่จะไม่ถูกขัดขวางจากฝ่ายตรงข้าม ป้องกันส่วนใหญ่จากการถูกโจมตีแบบจู่ โจม และช่วยเหลือการรุกคืบหน้าของส่วนใหญ่ ระยะห่างของกองระวังหน้ากับส่วนใหญ่ต้องไกลเพียงพอที่ผู้ บังคับหน่วยกองระวังหน้ามีเสรีในการปฏิบัติแต่อย่างไรก็ตามต้องไม่ไกลเกินไปจนทําให้ถูกทําลายก่อนที่ความ ช่วยเหลือจะมาถึง ปกติแล้วกองระวังหน้าจะเคลื่อนที่ด้วยรูปขบวนแถวตอนอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นห้วง ๆ จนกว่าจะเกิดการปะทะ สําหรับหน่วยที่เหมาะที่สุดที่จะใช้เป็นกองระวังหน้า คือ หน่วยทหารราบยานเกราะ ทหารม้า และ หน่วยยาน เกราะสนับสนุนด้วยหน่วยทหารช่าง กําลังส่วนใหญ่ ประกอบด้วย กําลังรบผสมเหล่าที่เตรียมพร้อมจะเข้าปฏิบัติการได้ทันที กรม กอง พล และกองทัพน้อย จะใช้การเคลื่อนที่ในเส้นทางคู่ขนานหลาย ๆ เส้นทาง เพื่อให้เกิดความอ่อนตัวและ เพื่อ ลดเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายลง ความเร็ว, แรงหนุนเนื่อง, การกระจายรูปขบวน และการจํากัดการสื่อสาร จะทําให้ข้าศึกค้นหาเป้าหมาย (ฝ่ายเรา) ได้ยากยิ่งขึ้น เมื่อเกิดการปะทะ หน่วยจะรวมกําลังอย่างรวดเร็วเข้า บดขยี้ข้าศึก เสร็จแล้วจะกระจายกําลังออกทันทีที่สามารถทําลายการต้าน ทานของข้าศึกลงได้ ในการ เคลื่อนที่เข้าปะทะ ผู้บังคับหน่วยดําเนินกลยุทธ์ควรอยู่ค่อนไปข้างหน้าของขบวน และสามารถไปยังตําบล ที่มี การปะทะได้อย่างรวดเร็ว การเคลื่อนที่เข้าปะทะมักติดตามมาด้วยการรบปะทะ ด้วยเหตุที่มักจะเผชิญกับข้าศึกโดยบังเอิญ หรือ อาจเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงใจเข้าตีโดยปราศจากการรีรอ เพื่อให้ได้มาซึ่งความ ได้เปรียบในการวาง กําลัง , ให้ได้มาซึ่งภูมิประเทศสําคัญยิ่ง และเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ การรบอาจเกิดขึ้นเมื่อฝ่าย หนึ่งกําลังแปรกําลังอย่างรีบเร่งเพื่อตั้งรับ ขณะที่อีกฝ่ายไม่ต้องการให้ตั้งรับได้ความสําเร็จของการรบปะทะที่ มีประสิทธิภาพ ผู้บังคับหน่วยต้องใช้ความพยายามในการ ๑. ครองความริเริ่มแต่เนิ่น ๒. คลี่คลายสถานการณ์ และริเริ่มดําเนินกลยุทธ์ในทันทีทันใด ๓. เข้าตีอย่างรุนแรง และหนักแน่น ๔. รักษาแรงหนุนเนื่องโดยการประสานการปฏิบัติของส่วนกําลังรบ สนับสนุนการรบ และส่วน สนับสนุนการช่วยรบ การเข้าตีเร่งด่วน และการเข้าตีประณีต การเข้าตี อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นระหว่างการดําเนินการรบ หรืออาจจะถูกสร้างให้เกิดขึ้นด้วยความ


๗๑ ชํานาญของผู้บังคับหน่วย การเข้าที่อาจจะเริ่มจากการเคลื่อนที่เข้าปะทะ, จากการตั้งรับ, จากข้างหลังของ กําลัฝ่ายเราที่ตั้งรับอยู่ ระหว่างการขยายผลหรือไล่ติดตาม ไม่ว่าจะมีลักษณะการเกิดมาจากสิ่งใด การเข้าตี ต้อง กระทําอย่างรวดเร็ว, รุนแรง, หนักแน่น, ฉลาดหลักแหลม และมีการประสานกันอย่างได้จังหวะการเข้าตี แบบพื้นฐานมี๒ แบบ คือ การเข้าตีเร่งด่วน และการเข้าตีประณีต การเข้าตีเร่งด่วน มีผลมาจากการปะทะหรือความสําเร็จในการตั้งรับ (สามารถตรวจพบจุดอ่อน ของ ข้าศึกที่กําลังเข้าตี) ผู้บังคับหน่วยทําการเข้าตีอย่างรวดเร็วจากการวางกําลังที่เป็นอยู่ขณะนั้น เพื่อให้ ได้เปรียบ ข้าศึก หรือเพื่อไม่ให้ข้าศึกจัดการต้านทานขึ้นมาได้ การเข้าตีประณีต จําเป็นเมื่อฝ่ายตั้งรับจัดระเบียบการตั้งรับอย่างดีฝ่ายเราไม่สามารถใช้การเข้าตี เร่งด่วนหรืออ้อมผ่าน การเข้าตีประณีตต้องวางแผนในรายละเอียดโดยตลอด ลักษณะของการเข้าตีประณีต คือ - ปริมาณการยิงสูง - ใช้สงครามอิเล็กทรอนิกส์ - ข่าวกรองทันเวลา - การสงครามนอกแบบ - เตรียมการอย่างดี - การปฏิบัติการจิตวิทยา - แผนการลวงวางไว้อย่างดี ฝ่ายเข้าตีต้องจัดรูปขบวนในทางลึกเพื่อให้ได้มาซึ่งความอ่อนตัวในการเข้าตีควรใช้แนวทาง เคลื่อนที่ อ้อมไปหาข้าศึก เพื่อให้บังเกิดผลจู่โจม และเลี่ยงการรวมการยิงของข้าศึก กองหนุนต้องปกปิดเอาไว้ หรืออยู่ในที่มั่นซ่อนพราง ผู้บังคับหน่วยกองหนุนควรกําหนดเส้นทางเคลื่อนที่ที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด และปกปิดมากที่สุดซึ่งจะอํานวยให้สามารถเคลื่อนที่ไปที่ใดก็ได้ถ้าเป็นไปได้ก่อนเข้าตีควรมีการซักซ้อม ในการตั้งรับอาจมีการเข้าตีโต้ตอบ หรือการเข้าตีทําลายการเข้าตีแผนการดําเนินกลยุทธ์และการ สนับสนุนที่จําเป็นต้องวางไว้ล่วงหน้าให้แน่ใจว่าสามารถปฏิบัติได้ทันเวลา และมีผลมากที่สุด ในทางปฏิบัติมัก ไม่เห็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนนักระหว่างการเข้าตีเร่งด่วนและการเข้าตีประณีต ความแตกต่างที่พอจะเห็นชัด ได้แก่ ๑. ปริมาณงานในการวางแผน ๒. การประสานงาน ๓. การเตรียมการ การขยายผลและการไล่ติดตาม มักกระทําต่อจากการเข้าตี โดยปฏิบัติอย่างห้าวหาญ หลังประสบ ผลสําเร็จในการเข้าตีขั้นต้น แล้วไล่ติดตามทําลายข้าศึกอย่างไม่ลดละหรือไล่จับข้าศึก ที่กําลังหลบหนี (เนื่องจากหมดความสามารถในการต้านทานไปแล้ว) กําลังขยายผล จะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปยังที่หมายที่อยู่ ลึกไปข้างหลัง ยึดที่บังคับการ, ตัดเส้นทางหลบหนีและโจมตีต่อกองหนุน, ปืนใหญ่และหน่วยสนับสนุนการรบ อื่น ๆ ในการเข้าที่จะต้องมีการวางแผนเพื่อการขยายผลไว้ด้วยเสมอ วางแผนคร่าว ๆ ไว้ก่อนด้วยการ กําหนดกําลัง, ที่หมาย และขอบเขตของการขยายผล ก่อนการเข้าตีจะเริ่มขึ้น หน่วยรองจะต้องสอดส่องและ สังเกตสิ่งบอกเหตุในการถอนตัวของข้าศึก เพื่อหาโอกาสที่จะขยายผล กําลังที่ใช้ขยายผลควรมีขนาดใหญ่ และค่อนข้าง สมบูรณ์ในตัวเอง โดยแบ่งกําลังออกเป็น ๒ ส่วนสําคัญคือ ๑. ส่วนขยายผล


๗๒ ๒. ส่วนเคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุน การปฏิบัติการขยายผล เป็นการปฏิบัติแบบแยกการ ผู้บังคับหน่วยขยายผลต้องได้รับเสรีในการ ปฏิบัติอย่างมากที่สุด ส่วนขยายผลจะรุกคืบหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยกว้างด้านหน้าที่มาก ไปยังที่หมายต่าง ๆ และจะมีการเก็บกองหนุนของตนไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้เกิดความอ่อนตัวในการปฏิบัติ, การรักษาแรงหนุนเนื่อง รวมทั้งการระวังป้องกันที่จําเป็น กองพันยานเกราะ และ กองพันทหารราบยานเกราะเฉพาะกิจ เป็นหน่วยที่ เหมาะที่สุดในภารกิจขยายผลทางพื้นดิน ส่วน (กําลัง) เคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุน เป็นกําลังส่วนหนึ่งของกําลังขยายผล แต่ไม่ใช่กองหนุน ของส่วนขยายผล ส่วนเคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุนจะถูกนํามาใช้ขยายผลในการ - ขยายหรือยึดรักษาบ่าการเจาะ - ทําลายกําลังข้าศึกที่ถูกอ้อมผ่าน - ทดแทนหน่วยรับการสนับสนุนซึ่งหยุดตรึงกําลังของข้าศึก - สกัดกั้นการเคลื่อนที่ในการเพิ่มเติมกําลังของข้าศึก - เปิด และระวังป้องกันเส้นทางคมนาคม - ควบคุมเชลยศึก พื้นที่สําคัญ และที่ตั้งต่างๆ - ควบคุมผู้อพยพ หน่วยทหารราบ หน่วยทหารราบยานเกราะ มักจัดเป็นส่วนเคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุน และต้อง จัดให้มีการสนับสนุนด้วย ปืนใหญ่, ทหารช่าง และ ปตอ. อย่างเหมาะสม แม้การขยายผลจะปฏิบัติแบบแยกการ แต่ผู้บังคับหน่วยโดยส่วนรวมต้องดํารงการควบคุมไว้อย่าง เพียงพอ วัตถุประสงค์ของการขยายผล เพื่อป้องกันข้าศึกไม่ให้จัดระเบียบการตั้งรับที่มีประสิทธิภาพขึ้นใหม่ สิ่งบอกเหตุของข้าศึก ที่จะบ่งบอกถึงโอกาสขยายผลได้ มีดังนี้ ๑. จับเชลยได้มากขึ้น ๒. ข้าศึกละทิ้งยุทโธปกรณ์มากขึ้น ๓. ยึดที่ตั้งทางการบังคับบัญชา, ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุน, คลังสิ่งอุปกรณ์ ฯลฯ ของข้าศึกได้ เหตุที่ผู้ บังคับหน่วยโดยส่วนรวมต้องดํารงการควบคุมไว้อย่างเพียงพอ (ทั้งที่การขยายผลเป็นการปฏิบัติแบบ แยก การ) เพราะ ๑. สามารถเปลี่ยนทิศทางขยายผลได้ ๒. ป้องกันไม่ให้ขยายผลลึกจนเกินไป ๓. ไม่ให้เกินขีดความสามารถของการส่งกําลังบํารุงที่สนับสนุนกําลังขยายผลอยู่ การไล่ติดตาม เป็นการทําลายกําลังข้าศึกที่กําลังหลบหนี ความสําเร็จของการไล่ติดตามขึ้นอยู่กับ การ กดดันต่อข้าศึกอย่างไม่ลดละเพื่อไม่ให้ข้าศึกหลบหนี หรือปรับกําลังได้ การไล่ ติดตามเป็นการปฏิบัติที่ ยอมรับเกณฑ์การเสี่ยงมากกว่าการปฏิบัติแบบอื่นของการรบวิธีรุก เนื่องจากปฏิบัติแบบแยกการในลักษณะ การรุกราน ต้องใช้กําลังทหารและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มขีดความสามารถ จนถึงขีดจํากัดสูงสุดตลอดเวลา ทั้ง กลางวันและ กลางคืน


๗๓ การปฏิบัติการไล่ติดตามจะกดดันโดยตรงต่อกําลังข้าศึกที่กําลังถอยหนีอย่างระส่ําระสายอย่างไม่ ลดละ และจะโอบล้อมข้าศึกเพื่อไม่ให้ถอยหนีได้ในเวลาเดียวกันจนกว่ากําลังของข้าศึกถูกทําลายหมดสิ้นหรือ จนกว่า ข้าศึกจะผละหนีออกไปและสถาปนาการตั้งรับที่แข็งแรงได้ การไล่ติดตามจัดกําลังเป็น ๒ ส่วนคือ ๑. กําลังกดดันโดยตรง และ ๒. กําลังโอบล้อม แต่ละส่วนมี หน้าที่ดังนี้ กําลังกดดันโดยตรง ทําให้ข้าศึกต้องถอยหนีตลอดเวลา ไม่มีโอกาสพักผ่อน รวมกําลัง หรือส่งกําลัง บํารุงเพิ่มเติม และทําลายข้าศึก กําลังโอบล้อม โอบล้อมกําลังข้าศึก ตัดเส้นทางถอยหนี และทําลายกําลังข้าศึกร่วมกับกําลังกดดัน โดยตรง แบบของการดําเนินกลยุทธ์(FORMS OF MANEUVER) แบบของการดําเนินกลยุทธ์ในการรบด้วยวิธีรุก มี ๕ แบบ ได้แก่ การตีโอบ การตีตลบ การแทรก ซึม การตีเจาะ และ การเข้าตีตรงหน้า การเข้าตีโอบ เป็นแบบพื้นฐานในทุกหลักนิยม ใช้ความแข็งแกร่งเข้าต่อสู้กับจุดอ่อน เลี่ยงข้าศึกที่ อยู่ ตรงหน้า โดยใช้การเข้าตีสนับสนุนต่อข้าศึกด้านหน้า แล้วเข้าตีหลักทางปีก หรือด้านหลังข้าศึก ด้วยการ ดําเนินกลยุทธ์, อ้อมผ่าน หรือข้ามผ่าน การโอบกระทําได้ทั้ง โอบปีกเดียว หรือโอบสองปีก ซึ่งทั้งสองลักษณะ สามารถพัฒนาไปสู่การโอบล้อม การตีโอบต้องอาศัยความว่องไว สําหรับความสําเร็จในการตีโอบจะขึ้นอยู่กับ การเคลื่อนที่เข้าสู่ส่วนหลังของข้าศึกที่ล่อแหลมได้ก่อนที่ข้าศึกจะโยกย้ายกําลังและการยิงของตนออกไป การเข้าตีตลบ เป็นการแปรรูปของการตีโอบ ฝ่ายเข้าตีพยายามหลีกเลี่ยงการตั้งรับของข้าศึกอย่าง สิ้นเชิง เข้าควบคุมภูมิประเทศสําคัญลึกเข้าไปข้างหลัง ตามเส้นทางคมนาคมของข้าศึก การที่ข้าศึกต้อง เผชิญหน้ากับการคุกคามที่สําคัญในส่วนหลัง เป็นผลให้ข้าศึกต้อง “หันกลับ” จากที่มั่นตั้งรับและถูกบังคับให้ เข้าตีมาทางด้านหลังด้วยความเสียเปรียบ กําลังยกพลขึ้นบก, กําลังส่งทางอากาศ และกําลังเคลื่อนที่ทาง อากาศ มีคุณค่ามากในการตีตลบ อย่างไรก็ตาม การตีตลบต้องการการสนับสนุนทางอากาศและ/หรือทางเรือ อย่างมากและต่อเนื่อง เนื่องจากต้องทําการรบพ้นระยะการสนับสนุนทางพื้นดินอื่น ๆ การเข้าตีโอบ ๑. หลีกเลี่ยงข้าศึกตรงหน้า ๒. ใช้ส่วนเข้าตีสนับสนุนตรงข้าศึกด้านหน้า ส่วนเข้าที่หลักอ้อมผ่าน/ข้ามผ่าน แล้วเข้าตีต่อปีก/หลัง ข้าศึก ๓. อยู่ในระยะการสนับสนุนทางพื้นดิน การตีตลบ ๑. เลี่ยงการตั้งรับของข้าศึกโดยสิ้นเชิง ๒. กําลังทั้งหมดเข้าควบคุมภูมิประเทศข้างหลัง บังคับให้ข้าศึก “หันกลับ” เผชิญกับการเข้าตีของ ฝ่ายเรา ๓. ต้องการการสนับสนุนทางอากาศ/เรืออย่างมาก เนื่องจากพ้นระยะการสนับสนุนทางพื้นดิน การแทรกซึม เป็นวิธีการเข้าถึงส่วนหลังข้าศึกวิธีการหนึ่ง โดยหลีกเลี่ยงการตั้งรับของข้าศึก ที่ได้


๗๔ เตรียม ไว้แล้ว ด้วยการเคลื่อนที่แบบปกปิดของกําลังบางส่วนหรือทั้งหมด หลีกเลี่ยงการตรวจพบและหลีก เลี่ยงการ ปะทะให้มากที่สุด ลักษณะการปฏิบัติเช่นนี้ทําให้จํากัดขนาดและกําลังของหน่วยแทรกซึม ดังนั้น จึง เป็นการ ยากที่การแทรกซึมเพียงอย่างเดียวจะเอาชนะข้าศึกได้การแทรกซึมอาจถูกนํามาใช้เข้าควบคุม ภูมิ ประเทศ สําคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติหลัก หรือใช้รบกวนขัดขวางการปฏิบัติงานในส่วนหลังของข้าศึก การเข้าตีเจาะ ใช้เมื่อปีกของข้าศึกไม่เปิด, ปัจจัยเวลาไม่อํานวยให้ใช้การดําเนินกลยุทธ์แบบอื่น การเข้าที่เจาะเป็นความพยายามในการเจาะช่องการตั้งรับของข้าศึก ด้วยความกว้างด้านหน้าแคบ ทําให้ปีก ทั้งสอง ข้างของช่องเจาะเปิด และมีช่องทางพุ่งสู่ส่วนหลังของข้าศึกได้การเข้าตีเจาะโดยทั่วไปประกอบด้วย ๓ ขั้น เริ่มแรกเป็นการเจาะช่องในแนวที่มั่นของข้าศึก ติดตามด้วยการขยายบ่าการเจาะทั้งสองด้าน และ ขยายผลเพื่อ ยึดที่หมายลึกเข้าไปด้านหลัง การเข้าตีเจาะจะล่อแหลมต่อการถูกข้าศึกเข้าตีทางปีกของตนเอง โดยเฉพาะในขั้นแรกดังนั้น ส่วน เข้า ตีเจาะต้องเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และกําลังติดตามต้องเคลื่อนที่ตามส่วนเข้าตีเจาะอย่างใกล้ชิด เพื่อยึด รักษา และขยายบ่าการเจาะให้กว้างขึ้น การเข้าตีเจาะอาจใช้แนวทางเดียวหรือหลายแนวทางก็ได้ การเข้าตีตรงหน้า เป็นการโจมตีข้าศึกตลอดกว้างด้านหน้า ด้วยแนวทางเคลื่อนที่ที่ตรงที่สุด การ เข้าตีตรงหน้าเป็นการ ดําเนินการยุทธ์ที่ประหยัดน้อยที่สุด เพราะเปิดเผยกําลังของฝ่ายเข้าตี, ล่อแหลมต่อการ ระดมยิงของฝ่ายตั้งรับ และจํากัดประสิทธิภาพการยิงของฝ่ายเข้าตีเอง การเข้าตีตรงหน้า เป็นแบบการดําเนินกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุด จึงเหมาะนํามาใช้บดขยี้การ ตั้งรับที่เบา บาง ส่วนกําบังของข้าศึกหรือกําลังข้าศึกที่กําลังเสียรูปขบวน การเข้าตีตรงหน้าต้องใช้ความเร็วและความง่าย จึงเป็นการดําเนินกลยุทธ์ที่ดีที่สุด สําหรับการเข้าตีเร่งด่วน, การรบปะทะ, การขยายผลจากการยิงด้วยอาวุธ นิวเคลียร์/เคมีหรืออาจนํามาใช้ขยายผลและไล่ติดตามด้วยเหมือนกัน โครงร่างของการรบด้วยวิธีรุก มี ๕ ส่วน คือ ๑. การปฏิบัติการทางลึก ๒. การปฏิบัติระวังป้องกัน ๓. การปฏิบัติการรบระยะใกล้ ๔. การปฏิบัติในพื้นที่ส่วนหลัง ๕. กองหนุน ผู้บังคับหน่วยจะจัดส่วนต่าง ๆ ตามโครงร่างของการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก เพื่อให้ทําหน้าที่เสริม ส่ง ซึ่งกันและกันได้ครบ (ในการปฏิบัติการเข้าตีของตน) ดังนี้ การปฏิบัติการทางลึก กระทําเพื่อให้แนวตั้งรับของข้าศึกถูกโดดเดี่ยว, ทําลายความเป็นระเบียบ ของ กองหนุน, ขัดขวางการสนับสนุนของข้าศึก ส่วนระวังป้องกัน จัดตั้งขึ้นเพื่อกําหนดที่ตั้งข้าศึก และค้นหาช่องว่างในการตั้งรับของข้าศึก ป้องกัน ส่วนใหญ่จากการถูกจู่โจม คลี่คลายสถานการณ์รั้งหน่วงข้าศึกให้ได้เวลาและระยะทางให้ผู้บังคับบัญชา มี เวลาและมีพื้นที่ในการตอบโต้ข้าศึก การรบระยะใกล้ส่วนเข้าที่หลัก และส่วนเข้าตีสนับสนุน จะเอาชนะข้าศึกได้ด้วยการดําเนินกลยุทธ์


๗๕ ตามแบบการดําเนินกลยุทธ์อ้อมผ่านหรือเจาะผ่านการตั้งรับของข้าศึกเพื่อเข้ายึดที่หมาย กองหนุนในการเข้าตีจัดขึ้นเพื่อใช้ขยายผลแห่งความสําเร็จ เพิ่มเติมหรือรักษาแรง หนุนเนื่องใน การเข้าตี ทําลายการตีโต้ตอบของข้าศึก ให้การระวังป้องกัน, ทําลายกําลังข้าศึกให้หมดสิ้น และยึดที่หมาย ทางลึก การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง จะช่วยเหลือการรบระยะใกล้ และการเข้าตี โดยจะประกันเสรีใน การ ปฏิบัติของกําลังที่เข้าปฏิบัติการแล้ว และที่ยังไม่เข้าปฏิบัติการ และป้องกันไม่ให้การสนับสนุนการรบ, การสนับสนุนทางการช่วยรบที่จําเป็นต้องหยุดชะงัก มาตรการในการควบคุมในการเข้าตีได้แก่ ที่หมาย, แนวออกตี, เวลาออกตี, เขตปฏิบัติการ, เส้น หลักการรุก, ทิศทางเข้าตี, ที่รวมพล, ฐานออกตี, แนวขั้นการปฏิบัติ, จุดตรวจสอบ, จุดติดต่อ และช่องทาง แทรกซึม มาตรการควบคุมเหล่านี้ควรกําหนดให้น้อยที่สุดเท่าที่จําเป็น เพื่อไม่ให้เป็นการจํากัดเสรีการปฏิบัติ ของหน่วยรอง ในการรบด้วยวิธีรุก กองพลจะจัดปืนใหญ่ช่วยโดยตรง (ชต.) หรือขึ้นสมทบกับ กรม ร.ก็ได้ ผบ.กรม ร. จะควบคุมการใช้ปืนใหญ่ โดยการสนธิปืนใหญ่เข้ากับรูปขบวนเข้าตีและ กําหนดลําดับ ความ เร่งด่วนใน การยิงให้ ในการเคลื่อนที่เข้าปะทะ ในการขยายผล หรือเมื่อ ที่หมายมีความลึก ปชต. มักจะเคลื่อนที่ ติดตาม ส่วนดําเนินกลยุทธ์ให้อยู่ในระยะที่สามารถให้การสนับสนุนได้ กองพลจะจัด ๑ กองร้อยทหารช่างสนับสนุนโดยตรงหรือขึ้นสมทบกับกรม ร. ก็ได้เมื่อกรมได้รับ การ สมทบ ผบ.กรม ร. อาจใช้ทหารช่างในการสนับสนุนส่วนรวมหรือให้ มว.ช. ขึ้นสมทบ พัน.ร. เมื่อกรมไม่ สามารถควบคุมแบบรวมการได้ เช่น เมื่อ กรม ร. ต้องปฏิบัติการที่เคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว การจัดให้มีร้อย.ร. ยานเกราะสนับสนุน กรม ร. ในการเข้าตี มักจะใช้เป็นหน่วยสนับสนุนเป็น ส่วนรวม ให้กับ พัน.ร. ในการเคลื่อนย้ายทางยุทธวิธี เช่น การขยายผล การไล่ติดตาม หรือในการปฏิบัติเป็น หน่วยรบเฉพาะกิจร่วมกับรถถัง นอกจากนั้นยังใช้เป็นกองหนุนเคลื่อนที่เร็วได้อีกด้วย การยิงสนับสนุน ในการเข้าตีประกอบด้วยการยิง ๔ ชนิด คือ การยิงก่อนการยิงเตรียม, การยิง เตรียม การยิงระหว่างการเข้าตี และการยิงระหว่างการจัดระเบียบใหม่และเสริมความมั่นคง แนวออกตีควรจะมีลักษณะโดยทั่วไปตั้งฉากกับทิศทางเข้าตี, สังเกตและจดจําได้ง่ายใน ภูมิ ประเทศ และใกล้ข้าศึกเท่าที่สามารถทําได้ควรได้รับการป้องกันจากการยิงด้วยอาวุธเบาและกระสุนวิถีราบ อื่น ๆ และ อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยทหารฝ่ายเดียวกัน เมื่อหน่วยปะทะอยู่กับข้าศึก อาจกําหนดแนว ปะทะเป็น แนวออกตีส่วนหน่วยที่ไม่ได้ปะทะก็กําหนดขึ้นโดยอาศัยภูมิประเทศ ถ้า กรม ร. วางกําลังกระจาย กันอยู่ทั้ง ทางกว้างและทางลึก ผบ.กรม ร. อาจจะแยกกําหนดแนวออกตีและเวลาออกตีให้กับกองพันที่เข้าตี แตกต่าง กัน เขตปฏิบัติการ คือ เขตรับผิดชอบที่หน่วยเหนือกําหนดให้มีลักษณะเป็นภูมิประเทศ ซึ่งล้อมรอบ ด้วย เส้นแบ่งเขต แนวออกตี ที่หมาย และแนวจํากัดการรุก เส้นแบ่งเขตนี้ต้องสังเกตได้ง่ายในภูมิประเทศ หากจําเป็น หน่วยอาจเคลื่อนที่เข้าไปในเขตปฏิบัติการของหน่วยข้างเคียงได้แต่ต้องหลังจากที่ได้ประสานงาน กับ ผบ.หน่วยนั้นแล้ว และต้องรายงานให้กับหน่วยเหนือทราบ เส้นหลักการรุก เป็นเครื่องหมายแสดงทิศทางโดยทั่วไปของการเคลื่อนที่ของหน่วยหากหน่วย เคลื่อนที่ออกนอกแนวทางไปมากจะต้องรายงาน และถ้าจําเป็นก็ต้องมีการประสานการปฏิบัติกันด้วย หน่วย ที่ทําการรุกไปตามเส้นหลักการรุกนี้ไม่ต้องทําการกวาดล้างข้าศึกนอกแนวเส้นหลักการรุก อาจอ้อมผ่าน และ


๗๖ รายงานกําลังข้าศึกซึ่งไม่คุกคามต่อการบรรลุภารกิจ เมื่อกรมได้รับมอบเส้นหลักการรุก กรม ร. อาจเลือกการ เข้าตีด้วยรูปขบวนสองกองพันเคียงกัน หรืออาจกําหนดเส้นหลักการรุกให้แก่ พัน.ร. ที่ทําการเข้าตีได้ เมื่อหน่วยเหนือกําหนดทิศทางเข้าตีให้หน่วยรองจะต้องเข้าตีด้วยการให้ส่วนเข้าที่หลัก หรือศูนย์ กลาง ของกําลังเข้าตีไปตามทิศทางที่กําหนดไว้เนื่องจากทิศทางเข้าตีมีลักษณะจํากัดเสรีในการปฏิบัติ จึงไม่ ค่อยใช้ในการรบด้วยวิธีรุก เว้นแต่ในการตีโต้ตอบและการเข้าตีในเวลากลางคืน นอกจากนั้น อาจกําหนดให้ กับการเข้าตี สนับสนุนเพื่อให้บังเกิดผลสูงสุดแก่การเข้าตีหลัก ที่รวมพล คือ พื้นที่ที่หน่วยใดหน่วยหนึ่งเข้ารวมพลเพื่อเตรียมปฏิบัติการต่อไป โดยปกติ พล.ร. เป็น ผู้กําหนดที่ตั้งโดยทั่วไปของที่รวมพลของ กรม ร. สําหรับภายในพื้นที่รวมพล กรม ร. จะกําหนดที่ตั้งที่แน่นอน ให้หน่วยรองของตน ซึ่งจะมีการสั่งการ, การส่งกําลัง, ซ่อมบํารุง และการจัดกําลังเข้าทําการรบให้สมบูรณ์ ฐานออกตีใช้เพื่ออํานวยความสะดวกในการแปรรูปขบวนและประสานงานขั้นสุดท้ายก่อนผ่าน แนวออกตี โดยปกติ กรม.ร.จะไม่ใช้ฐานออกตี ในการควบคุมหน่วยรอง แนวขั้นการปฏิบัติ(PHASE LINE) ใช้เพื่อประสานการเคลื่อนที่ของหน่วยไปข้างหน้า และอาจใช้ เพื่อควบคุมความเร็วในการเคลื่อนที่การรุกของหน่วยที่เข้าตีแนวขั้นการปฏิบัตินี้ ควรกําหนดบนภูมิประเทศที่ สังเกตได้ง่าย และหน่วยจะรายงานเมื่อถึงแนวขั้นที่กําหนด แต่ไม่ต้องหยุดการเคลื่อนที่ถ้าไม่ได้รับคําสั่งให้หยุด กรม ร.จะใช้มาตรการทั้งเชิงรุก และเชิงรับก่อนการเข้าตี เพื่อป้องกันมิให้ข้าศึกสามารถกําหนด เวลาและตําบลที่จะทําการเข้าตี และในระหว่างการเข้าตีการระวังป้องกันจะได้จากการเคลื่อนที่อย่างห้าว หาญและรวดเร็ว, ด้วยการเข้าควบคุมภูมิประเทศสําคัญ, ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือเฝ้าตรวจทุก ชนิด, ด้วยการยิงสนับสนุน และด้วยการใช้ส่วนระวังป้องกัน เมื่อ กรม ร. เข้าตีด้วยกว้างด้านหน้ามาก อาจเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างกองพัน ภายในกรมเอง และระหว่างกรมข้างเคียง ความรับผิดชอบในการควบคุมช่องว่างเหล่านี้ต้องระบุให้แน่ชัด ถ้าเป็นภายในกรม ผบ.กรม ร. จะเป็นผู้กําหนดให้หน่วยรองของตน การควบคุม ช่องว่างกระทําได้โดยใช้หน่วยลาดตระเวน, โดย การเฝ้าตรวจทางอากาศ ทางพื้นดิน และโดยการยิงเป็นหลัก ภาคที่ ๓ การปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ วัตถุประสงค์หลัก วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ เพื่อให้ได้มาซึ่งการบรรลุภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย อย่างดังต่อไปนี้ - ทําลายการเข้าตีของข้าศึก หรือทําให้การเข้าตีของข้าศึกไม่ประสบผลสําเร็จ - ทําให้ข้าศึกอ่อนกําลัง เพื่อที่จะเปลี่ยนไปสู่การรุก - ให้ได้เวลา - รวมกําลัง ณ ตําบลอื่น - ควบคุมภูมิประเทศสําคัญ หรือภูมิประเทศ สําคัญยิ่ง - ยึดรักษาที่หมาย


๗๗ คุณลักษณะของการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ คุณลักษณะของการรบด้วยวิธีรับมี๕ ประการ คือ การเตรียมการ การแบ่งแยกและทําลาย การ รวมกําลัง ความอ่อนตัว และการระวังป้องกัน กรมจะทําการตั้งรับโดย ผสมผสานการยิง, การใช้เครื่องกีดขวาง และการดําเนินกลยุทธ์เพื่อก่อให้ เกิดปีกเปิด หรือช่องว่างทางด้านหลังของข้าศึก และทําการขยายผล การยิงเล็งจําลอง จะหน่วงเหนียวและตัดรอนกําลังข้าศึก ทําให้ข้าศึกต้องปิดป้อมหรือเปลี่ยน แนวทางเคลื่อนที่ และจํากัดขีดความสามารถในการส่งกําลัง และเพิ่มเติมกําลัง กรมจะใช้เครื่องกีดขวาง ทั้งที่มีอยู่และที่สร้างขึ้นเพื่อรบกวน ชักจูง และกําหนดรูปขบวนการ เข้าตี ของ ข้าศึกโดยการบีบบังคับข้าศึกให้เข้าไปในพื้นที่ที่ไม่เกื้อกูล ที่ซึ่งกําลังเฉพาะกิจผสมเหล่าจะสามารถ รวม การยิง ตรงหน้าและทางปีกได้จากที่มั่นรบที่มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในขณะที่กําลังเฉพาะกิจอื่นๆ ทํา การโจมตี ข้าศึกในทางลึก ในบางภารกิจหรือบางสถานการณ์กรมอาจได้รับการสนับสนุน หน่วยหรืออาวุธยุทโธปกรณ์พิเศษ ดังต่อไปนี้ - ฮ.โจมตีจะใช้ทําการคุ้มกันกําลังขณะตีโต้ตอบหรือกําลังที่ปฏิบัติการรบหน่วงเวลา โจมตีต่อกําลัง ข้าศึกในระลอกที่ตามมาในทางลึก - สงครามอิเล็กทรอนิกส์จะใช้ในการทําลายขีดความสามารถของข้าศึกในการบังคับบัญชาและ ควบคุมหน่วย รวมทั้งทําลายความประสานสอดคล้องของ ป.สนาม และการสนับสนุนทางอากาศของข้าศึก - ควัน จะใช้ในการกําบังที่ตั้งของฝ่ายเรา ตัดแยกกําลังระลอกต่างๆของข้าศึก ลดขีดความสามารถ ในการค้นหาเป้าหมายของข้าศึกและหน่วงเหนี่ยวการดําเนินกลยุทธ์ของข้าศึกเมื่อแรงหนุนเนื่องในการรุก ของข้าศึกเริ่มช้าลง ฝ่ายตั้งรับจะฉวยโอกาสในการเข้าตีด้วยกําลังจํานวนน้อย หรือกําลังที่ยังไม่ได้ใช้(โดย จะต้องอยู่ในเจตนารมณ์ของหน่วยเหนือ) ฝ่ายตั้งรับจะได้มาซึ่งความริเริ่มใน การปฏิบัติการทางยุทธวิธีด้วย การผสมผสานการทําลายอํานาจกําลังรบของข้าศึกร่วมกับการปฏิบัติการ จิตวิทยา เพื่อทําลายกําลังใจ ในการ สู้รบของข้าศึก ความมีเสรีในการปฏิบัติการรุกในขณะตั้งรับ จะขึ้นอยู่กับ เจตนารมณ์ของ ผบ.หน่วย เหนือ ซึ่ง บางครั้งกรมอาจได้รับคําสั่งให้ควบคุมภูมิประเทศสําคัญถ้าภูมิประเทศนั้น เกื้อกูล หรือก่อให้เกิด โอกาส สําหรับหน่วยเหนือที่จะเปลี่ยนไปสู่การรุก การตั้งรับของกรมจะต้องดํารง จุดมุ่งหมายในการให้ได้มา ซึ่งความ ริเริ่ม หรือก่อให้เกิดโอกาสสําหรับหน่วยเหนือที่จะเปลี่ยนไปสู่ การรุก หลักพื้นฐานการตั้งรับ การปฏิบัติการตั้งรับที่เหมาะสมจะใช้โอกาสทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อครองความริเริ่ม เมื่อข้าศึกที่เข้าตีได้ เริ่มปฏิบัติการ และเคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่ตั้งรับ ผบ.กรมจะทําการโจมตีข้าศึกด้วยการยิงและการตีโต้ตอบที่ รุนแรง ภายในพื้นที่ที่ได้เตรียมไว้ โดยขึ้นอยู่กับการประมาณสถานการณ์ของ ผบ.กรมเอง และแนวทางในการ ปฏิบัติของ ผบ.หน่วยเหนือ, ผบ.กรมจะตกลงใจว่าจะรวมกําลังตั้งรับหลัก ณ ที่ใด และจะออมกําลัง ณ ที่ใด จากนั้นก็จะกําหนดภารกิจ จัดวางกําลัง การยิง และการสนับสนุนอื่นๆ และจัดลําดับความเร่งด่วนของหน่วย ต่าง ๆ ในการรบ ผบ.กรมอาจเลือกที่จะทําการตั้งรับหน้าแนวหรือในทางลึกโดยขึ้นอยู่กับปัจจัย METT-TC สําหรับการตั้งรับด้านหน้าเขตรับผิดชอบ สามารถทําได้ ทั้งโดยการใช้กําลังในแนวหน้าในขั้นต้น


๗๘ หรือ โดยการวางแผนที่โต้ตอบค่อนไปข้างหน้าของพื้นที่ตั้งรับหลัก หรือข้างหน้าพื้นที่ตั้งรับหลักก็ตาม การตั้ง รับในทางลึก อาจใช้เมื่อภารกิจมีข้อจํากัดน้อย, เขตการตั้งรับมีความลึก และมีภูมิประเทศสําคัญ กระจายอยู่ ในทางลึกของเขตปฏิบัติการ การตั้งรับในทางลึกจะขึ้นอยู่กับกําลังส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ระวังป้องกัน และกําลัง ส่วนหน้าในพื้นที่ตั้งรับหลักที่จะค้นหา ที่ตั้งของส่วนปฏิบัติการหลักของข้าศึก ปีกของส่วนปฏิบัติการหลักของ ข้าศึก จะถูกตีโต้ตอบ เพื่อให้โดดเดี่ยวและถูกทําลายใน พื้นที่ตั้งรับหลัก แบบหลักของการตั้งรับ แบบหลักของการตั้งรับ มี ๒ แบบ คือ การตั้งรับแบบคล่องตัว และ การตั้งรับแบบยึดพื้นที่ เมื่อ กรมเป็นหน่วยในการตั้งรับแบบคล่องตัว กรมอาจถูกใช้ในบทบาทรั้งหน่วงและ/หรือเป็นกองหนุนของกองพล สําหรับการตั้งรับแบบยึดพื้นที่ กรมอาจจะวางกําลังในพื้นที่ตั้งรับหน้า หรือเป็นกองหนุน การตั้งรับแบบคล่องตัว จะใช้กองหนุนขนาดใหญ่เพื่อตีโต้ตอบ และทําลายกําลังของข้าศึก การตั้งรับแบบยึดพื้นที่จะมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การยึดภูมิประเทศ และทําลายกําลังข้าศึกด้วยการยิง จาก ที่มั่น ซึ่งมีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน การตั้งรับทั้ง ๒ แบบ จะใช้ทั้งกําลังที่อยู่กับที่ และกําลังที่เคลื่อนที่ เพื่อกําหนดรูปแบบของสนามรบ ข้อได้เปรียบหลักของฝ่ายตั้งรับ ก็คือ เวลาในการเตรียมการและความคุ้นเคยกับภูมิประเทศ ฝ่ายตั้งรับจะตี โต้ตอบเพื่อทําลายกําลังข้าศึกที่หยุดชะงัก และเสียระเบียบ โดยได้รับการป้องกันจากที่มั่นตั้งรับต่าง ๆ ของตน ผบ.กรม จัดพื้นที่การรบในการตั้งรับโดยอาจกําหนดเขตรับผิดชอบ, ที่มั่นรบ, จุดต้านทานแข็งแรง หรือทั้ง ๓ แบบผสมกันให้แก่กองพันที่เป็นหน่วยรอง เขตรับผิดชอบ จะเป็นมาตรการควบคุมที่จํากัดน้อยที่สุดซึ่งจะทําให้กองพันมีเสรีในการวาง แผนการดําเนินกลยุทธ์และการยิงแบบแยกการ ผบ.พัน. ต่าง ๆ จะมีเสรีอย่างเต็มที่ในการกําหนดที่มั่นหรือ ดําเนินกล ยุทธ์ภายในเขตของตน แต่จะต้องป้องกันการเจาะในเขตหลังของตนไว้ด้วย ที่มั่นรบ จะใช้เมื่อ ผบ.กรม ต้องการระดับการควบคุมที่สูงขึ้นในการดําเนินกลยุทธ์และการกําหนด ที่ตั้งกองพันต่าง ๆ จุดต้านทานแข็งแรง เป็นที่มั่นตั้งรับที่มีการดัดแปลงเป็นป้อมค่าย จุดต้านทานเป็นที่มั่นต่อสู้รถถังที่ สําคัญยิ่ง ซึ่งรถถังจะไม่สามารถบดขยี้หรืออ้อมผ่านได้อย่างง่ายดายและจุดต้านทานที่แข็งแรง สามารถ ทําลาย ได้ก็ด้วยทหารราบเท่านั้น รวมทั้งต้องใช้เวลา และกําลังที่เหนือกว่าอย่างมาก จุดต้านทานแข็งแรงจะ ตั้งอยู่บริเวณภูมิประเทศที่สําคัญต่อการตั้งรับ หรือที่ตั้งซึ่งจะขัดขวางต่อข้าศึก จุดต้านทานแข็งแรงสามารถใช้ เพื่อ บังคับ, ยับยั้ง หรือตรึงฝ่ายเข้าตีและจําเป็นต้องใช้การสนับสนุนจากหน่วยทหารช่างเป็นอย่างมาก เพื่อ จัดตั้งจุด ต้านทานแข็งแรงที่สามารถบรรลุภารกิจได้อย่างแท้จริง กองหนุนอาจถูกจัดให้อยู่ในที่รวมพลหรือในที่มั่นรบก็ได้ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับภารกิจของกองหนุน สําหรับ ที่รวมพลจะถูกใช้เมื่อแผนการใช้กองหนุนมีการเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่แห่งอื่น และที่มั่นรบจะถูกกําหนด ขึ้นเมื่อ ต้องใช้กองหนุนตั้งรับในทางลึกตามแผนเผชิญเหตุ โครงร่างของการตั้งรับ การปฏิบัติการตั้งรับจะถูกจัดออกเป็น ๕ ส่วน ซึ่งมีความประสานสอดคล้องกัน คือ - การปฏิบัติการทางลึกในพื้นที่ข้างหน้าแนวหน้าการวางกําลังฝ่ายเดียวกัน (FLOT) - การปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกันออกไปข้างหน้าและทางปีกของกําลังตั้งรับ


๗๙ - การปฏิบัติการตั้งรับในพื้นที่ตั้งรับหลัก - การปฏิบัติการของกองหนุนเพื่อสนับสนุนกําลังในพื้นที่ตั้งรับหลัก - การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง กรมอาจปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ กันภายในโครงร่างของการตั้งรับทั้ง ๕ ส่วนนี้ การปฏิบัติการทางลึก ที่กรมควบคุมส่วนใหญ่จะได้แก่ การขัดขวางทางอากาศในสนามรบ การใช้ ป. สนาม และสงครามอิเล็กทรอนิกส์หรือกรมอาจทําการเข้าตีผ่านแนวหน้า การวางกําลังฝ่ายเดียวกัน ในการ ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติการทางลึกของหน่วยเหนือ สําหรับการปฏิบัติการทางลึกของกองพันนั้น สามารถ ใช้เครื่องยิง ลูกระเบิดที่มีอยู่ในอัตรา ทําการยิงต่อกําลังระลอกสอง (ระดับกองร้อย) ของฝ่ายตรงข้ามได้ ส่วนระวังป้องกัน ให้กับหน่วยเหนือ โดยเป็นส่วนหนึ่งของส่วนระวังป้องกัน หรืออาจทําการระวัง ป้องกันตนเอง (แม้ว่าจะไม่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์) โดยปกติกรมจะตั้งรับภายในพื้นที่ตั้งรับหลัก หรือปฏิบัติเป็น กองหนุนให้กับหน่วยเหนือ การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง ของกรมจะรวมถึงการป้องกันตนเองของหน่วยต่าง ๆ รวมทั้ง การ ป้องกัน และรักษาเส้นทางการคมนาคม กรมมักจะกําหนดกําลังทางยุทธวิธี (ระดับกองร้อย) ขึ้น เพื่อ ตอบโต้ การคุกคาม ของข้าศึก หรือกรมอาจถูกกําหนดให้เป็นกําลังทางยุทธวิธีเพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการ ของ หน่วยเหนือ โดยไม่คํานึงถึงว่ากรมกําลังปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับอยู่ ณ ที่ใด กรมจะทําการตั้งรับ รั้งหน่วง เข้าตี หรือ เป็นฉากกําบัง โดยเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งรับของหน่วยเหนือ แผนการตั้งรับของกรมจะต้องมีความ ประสาน สอดคล้องต่อระบบปฏิบัติการในสนามรบ โดยตลอดพื้นที่ ปฏิบัติการตั้งรับ ซึ่งระบบปฏิบัติการใน สนามรบ ประกอบด้วย การข่าวกรอง การดําเนินกลยุทธ์ การสนับสนุน ทางอากาศ การสนับสนุนจาก ป. สนาม การ ป้องกันภัยทางอากาศ การสนับสนุนทางการช่าง การสนับสนุน การรบ/การสนับสนุนการช่วยรบ และการบังคับ บัญชาและการควบคุม การแบ่งพื้นที่ในการตั้งรับ พื้นที่ในการตั้งรับ แบ่งออกเป็น ๔ พื้นที่ คือ ๑. พื้นที่ทางลึก ๒. พื้นที่ส่วนระวังป้องกัน ๓. พื้นที่ตั้งรับหลัก ๔. พื้นที่ส่วนหลัง การวางแผนการตั้งรับ ผบ.กรม ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเจตนารมณ์ของผบ.พล.และแม่ทัพน้อย และกําหนดแผนการ ปฏิบัติการของกรมให้สอดคล้องกับแผนโดยส่วนรวม เจตนารมณ์ของ ผบ.พล จะแจ้งอย่างละเอียดทั้งด้วย วาจา และ/หรือ ลายลักษณ์อักษร ซึ่งจะกําหนดบทบาทของกรมไว้ในการปฏิบัติการรบภายในกรอบของกอง พล การเข้าใจในเจตนารมณ์ของ ผบ.พล. กิจเฉพาะและกิจแฝงต่างๆ จะก่อให้เกิดความริเริ่มและ ประกันถึงความสําเร็จของภารกิจ และในทํานองเดียวกัน ผบ.กรม ก็จะแจ้งเจตนารมณ์ของตนต่อ


๘๐ หน่วยรองต่อไป ผบ.กรม ควรวางแผนในส่วนที่สําคัญของแนวตั้งรับร่วมกับ ผบ.พัน ทุกคนของตน ซึ่งถ้าไม่สามารถ ทํา ได้อย่างน้อยที่สุดควรให้หน่วยรองต่างๆ บรรยายสรุปกลับให้ตนทราบถึงแผนเหล่านั้น ซึ่งจะเป็นการ ประกันว่า หน่วยรองต่างๆ เข้าใจในเจตนารมณ์ของตน และจะช่วยเสริมแผนต่างๆ ให้สอดคล้อง กับแนวทาง ในการตั้งรับ ส่วนรวมทั้งหมด และอย่างน้อยที่สุด ผบ.กรม จะต้องพิจารณาถึง: - การจัดเตรียมสนามรบด้านการข่าว - อํานาจกําลังรบของหน่วยดําเนินกลยุทธ์ของฝ่ายเรา - ที่ตั้งกองหนุนและแผนการดําเนินกลยุทธ์ของฝ่ายเรา - ความล่อแหลมต่ออาวุธนิวเคลียร์และเคมีของข้าศึก - ผลกระทบของการปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลังและในทางลึก - การใช้อํานาจกําลังรบเพิ่มเติม - การยิง, เครื่องกีดขวาง, สงครามอิเล็กทรอนิกส์, บ.ทบ. - ความสามารถในการสนับสนุนทางการส่งกําลังในแต่ละหนทางปฏิบัติ - ปัจจัยด้านบุคคล - การฝึก, ขวัญ, ประสบการณ์ของหน่วยรอง การปฏิบัติการตั้งรับของกรม การต่อต้านการลาดตระเวน ลําดับแรกที่กรมจะต้องเอาชนะในการปฏิบัติการรบในการตั้งรับ ก็คือ การต่อต้านการลาด ตระเวน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในภารกิจระวังป้องกันของกรม จุดมุ่งหมายในการลาดตระเวนของข้าศึก ก็เพื่อ ยืนยันหรือปฏิเสธความตั้งใจ และการวางกําลังของหน่วยที่ข้าศึกจะเข้าตี การต่อต้านการ ลว.ประกอบด้วย มาตรการ เชิงรุกที่กําหนดขึ้น เพื่อค้นหา, ตรึง และทําลายพร้อมกับมาตรการเชิงรับที่กําหนดขึ้นเพื่อ ปกปิด, ลวง และทําให้หน่วยลาดตระเวนของข้าศึกสับสน กรมจะต้องรวมมาตรการเหล่านี้เข้ากับแผนการ ลว. และ การเฝ้าตรวจที่กําหนดขึ้น เพื่อป้องกันข้าศึกจากการตรวจการณ์และรายงาน การประกอบกําลัง และที่ตั้งของ กรมรวมทั้ง เครื่องกีดขวางต่าง ๆ ข้อเพ่งเล็งหลักของกรมในการต่อต้านการลาดตระเวนก็คือ การให้และการ ประสานด้าน ข่าวกรอง และการยิงสนับสนุน เพื่อช่วยกองพันต่าง ๆ ในการพิสูจน์ทราบ, ตรึงและทําลาย กําลังลาดตระเวน ของข้าศึก การปฏิบัติการในทางลึก ในการตั้งรับการปฏิบัติการในทางลึกจะป้องกันมิให้ข้าศึกรวมอํานาจกําลังรบในการเข้าบดขยี้กําลัง ฝ่ายเรา โดยการรบกวนแรงหนุนเนื่องของข้าศึก และทําลายความเป็นปึกแผ่นในการเข้าตีของข้าศึก การใช้ การยิงสนับสนุนและสงครามอิเล็กทรอนิกส์เข้าโจมตีทางลึกอย่างได้ผลจะขึ้นอยู่กับ การจัดเตรียมสนามรบ ด้านการ ข่าวและการวางแผนอย่างละเอียด และต่อเนื่อง เพื่อให้การปฏิบัติการในทางลึกได้ผล นยส., ฝอ.๓ และ ฝอ. ๒ ต้องประสานการปฏิบัติกันอย่างเต็มที่และกําหนดการปฏิบัติการในทางลึกต่าง ๆ ในทุกขั้นของ การตั้งรับ การปฏิบัติการระวังป้องกัน กรม สามารถปฏิบัติการเป็นส่วนระวังป้องกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตั้งรับ ของกองพลหรือ กองทัพน้อย การปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกัน ประกอบด้วยส่วนกําบัง (COVER) การคุ้มกัน (GUARD)


๘๑ และ ฉากกําบัง (SCREEN) แต่ภารกิจที่จะปฏิบัติได้ดีที่สุด ก็คือ การเป็นส่วนกําบัง จุดประสงค์พื้นฐานของ ส่วนกําบังในการตั้งรับก็เพื่อ - เอาชนะและทําลายส่วนลาดตระเวนของข้าศึกที่พยายามเจาะผ่านพื้นที่ของส่วนระวังป้องกัน - บังคับให้ข้าศึกต้องกระจายกําลังรวมทั้งบีบบังคับทิศทางเข้าตีของข้าศึกให้เข้าสู่พื้นที่การวางกําลัง ส่วน ใหญ่ของฝ่ายเรา - ให้เวลาแก่ส่วนใหญ่ในการปรับกําลังไปข้างหน้าและในเวลาต่อไป - ทําลายกําลังข้าศึกในพื้นที่ระวังป้องกันตามภารกิจ และขีดความสามารถของส่วนกําบัง เพื่อปฏิบัติเช่นนี้กรมจะตั้งรับ หรือรั้งหน่วงเพื่อตัดแยกส่วนลาดตระเวนต่างๆของข้าศึก ทําลายกอง ระวังหน้า บังคับให้ข้าศึกต้องกระจายกําลังส่วนใหญ่ และทําให้ข้าศึกต้องใช้ ป. และกําลังระลอกที่เข้าร่วมใน การเข้าตีต่อกําลังที่ตั้งรับ เมื่อข้าศึกได้เคลื่อนย้ายกําลัง ใช้ ป.สนาม และรวมกําลังต่าง ๆ สําหรับการเข้าตี หลัก ก็จะเป็นการเปิดเผยถึงส่วนเข้าตีหลักต่อฝ่ายเรา ส่วนระวังป้องกันของกรมควรพยายาม ไม่ให้ข้าศึก ทราบถึงตําแหน่งที่แท้จริงของพื้นที่ตั้งรับหลัก ในการปฏิบัติเช่นนี้กรมจะทําการรบข้างหน้าพื้นที่ตั้งรับหลัก ให้ ไกลออกไป ให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้เพื่อให้สามารถเตรียมพื้นที่ตั้งรับหลักได้อย่างสมบูรณ์ หน่วยเหนือ จะ เป็นผู้กําหนด พื้นที่ระวังป้องกันโดยเริ่มจากแนวที่คาดว่าจะเริ่มปะทะกับข้าศึก และเลยมาข้างหลัง ถึงแนว โอนการรบ (BHOL) กรมเมื่อทําการรบในฐานะเป็นส่วนระวังป้องกัน จะทําการรบตามลําดับจากเขตหรือที่มั่นรบ ต่าง ๆ ที่มีการประสานกันเป็นอย่างดีและมีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เมื่อได้รับคําสั่งกรมจะส่งมอบการรบ ให้แก่กําลัง ในพื้นที่ตั้งรับหลัก จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่กําหนด และเตรียมที่จะปฏิบัติการ อื่น ๆ ต่อไป โดยปกติที่รวมพลของกรมมักจะอยู่ค่อนไปข้างหลังแต่ยังคงอยู่ในพื้นที่ตั้งรับหลัก ณ ที่รวมพลนี้ กรมจะ เพิ่มเติมอาวุธ น้ำมันเชื้อเพลิง จัดกําลังใหม่ และเตรียมกลับเข้าปฏิบัติการรบต่อไป ระดับของการบังคับบัญชาที่ใช้ควบคุมส่วนระวังป้องกัน มักจะขึ้นอยู่กับความกว้าง และความลึก ของ พื้นที่ระวังป้องกัน, ขีดความสามารถของ ผบ.หน่วย ในการติดต่อสื่อสารกับหน่วยรอง บก.ควบคุมที่มีอยู่ และ จํานวนของหน่วยระดับกองพันที่ปฏิบัติการในพื้นที่ระวังป้องกัน โดยปกติกองพลหรือกองทัพน้อย จะ เป็น ผู้ควบคุมส่วนระวังป้องกัน การปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกัน ขนาดและการประกอบกําลังของส่วนระวังป้องกัน จะขึ้นอยู่กับการประมาณสถานการณ์ ของ ผบ. หน่วย ซึ่งมีผลมาจากปัจจัย METT-T โดยปกติส่วนระวังป้องกันมักจะจัดรถถังเป็นหลัก กรมซึ่งเป็นส่วนระวัง ป้องกัน ของกองพลอาจประกอบด้วย พัน.ฉก. ที่มี ถ. เป็นหลักถึง ๔ กองพัน สมทบด้วยหน่วยลาดตระเวน, ฮ.โจมตี, ป. สนาม, ปตอ., หน่วยข่าวกรอง และ ช. รวมทั้งอาจ เพิ่มเติมการสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด เพื่อเพิ่มเติมอํานาจกําลังรบของหน่วยดําเนินกลยุทธ์ในพื้นที่ระวังป้องกัน หน่วย ป.สนาม ในพื้นที่ตั้งรับหลัก จะตั้งล้ำไป ข้างหน้า เพื่อสนับสนุนให้แก่หน่วยในพื้นที่ระวังป้องกัน เมื่อกรมได้รับภารกิจให้เป็นส่วนระวัง ป้องกัน หน่วย รองต่าง ๆ จะปฏิบัติภารกิจตามที่ ผบ.กรม กําหนด เนื่องจากการระวังป้องกันจะได้มาก็โดย การให้หน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลักมีเวลาที่จะตอบโต้ และมีพื้นที่ในการดําเนินกลยุทธ์ดังนั้นความลึกของพื้นที่ ระวังป้องกันก็จะมีผลต่อการแบ่งมอบกําลังและภารกิจ เมื่อเปรียบเทียบเวลา กับระยะทางที่ต้องการ กรม สามารถแบ่งมอบกําลัง แก่ส่วนระวังป้องกันให้มากขึ้น หรืออาจมอบระยะทางให้มากขึ้นในพื้นที่ระวังป้องกันก็ ได้โดยถือเป็นหลักข้อหนึ่งซึ่งอย่างน้อยที่สุดพื้นที่ระวังป้องกันในการตั้งรับควรมีความลึก ๒๐ กม. เพื่อบังคับ


๘๒ ให้ข้าศึกต้องใช้กําลัง สนับสนุน การรบก่อนการเข้าตีต่อพื้นที่ตั้งรับหลัก การเคลื่อนย้ายที่ตั้งของ ป. และ ปตอ.ข้าศึก จะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงส่วนปฏิบัติการหลัก เมื่อพื้นที่ระวังป้องกันค่อนข้างตื้น ส่วนระวัง ป้องกันอาจจะทําได้ก็แต่เพียง แจ้งเตือนล่วงหน้าถึงการเข้าตีหลัก และขับไล่ส่วนลาดตระเวนของข้าศึกเท่านั้น ส่วนระวัง ป้องกันไม่จําเป็นต้อง ถอนตัวออกมาทั้งหมดโดยทันทีเมื่อกําลังข้าศึกส่วนแรกเคลื่อนที่ถึงพื้นที่ตั้ง รับหลัก การถอนตัวแบบทยอยจะช่วยให้โอกาสแห่งความสําเร็จของส่วนรวมดีขึ้น แม้ว่ากําลังบางส่วน ของ ส่วนระวัง ป้องกันได้ถอนตัวตาม แนวทางเคลื่อนที่ต่าง ๆ เข้ามาแล้ว กําลังส่วนระวังป้องกันที่เหลือก็จะทํา การรบต่อไป และดํารงการเฝ้าตรวจ ต่อไปข้างหน้าพื้นที่ตั้งรับหลัก ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการรบกวนการประสานงาน และการ ลาดตระเวนของข้าศึก การถอนตัวแบบทยอยของส่วนระวังป้องกัน จะสามารถเกื้อกูลต่อการตี โต้ตอบหน้าพื้นที่ตั้งรับหลักได้โดยรายงานการตรวจการณ์และแจ้งถึงปีกเปิดของข้าศึกที่เจาะเข้ามา ใน บางครั้งส่วนระวัง ป้องกันสามารถใช้โจมตีต่อ ด้านหลังของกําลังระลอกแรกก็ได้หรืออาจใช้ระหว่างกําลัง ระลอกต่าง ๆ เพื่อตัดแยกหน่วยนําของข้าศึกก็ได้ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ฮ.โจมตีจะเป็นกองหนุนในการ ตีโต้ตอบในเวลากลางวันที่ดียิ่งของส่วนระวังป้องกัน การโอนการรบ กรมในพื้นที่ตั้งรับหลักเข้ารับผิดชอบการรบ เมื่อส่วนระวังป้องกันต่าง ๆ เริ่มถอนกําลังรบผ่านแนว โอนการรบ ซึ่ง ผบ.หน่วยเหนือจะเป็นผู้กําหนดแนวโอนการรบ ส่วน ผบ.หน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลัก และ ผบ. หน่วย ระวังป้องกันจะประสานแนวโอนการรบที่แน่นอน และเสนอแนะการเปลี่ยนแปลงต่อ ผบ.หน่วยเหนือ แนวโอนการรบเป็นแนวที่กําหนดขึ้นบนภูมิประเทศในลักษณะของแนวขั้น และจะกําหนดไว้ในแผน/คําสั่ง ยุทธการ หรือคําสั่งเป็นส่วน ๆ ตามความเหมาะสม รวมทั้งจะต้องกําหนดมาตรการควบคุมบนภูมิประเทศ ใน การผ่านแนวมาข้างหลังขึ้นด้วย แนวโอนการรบจะเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างพื้นที่ของส่วนระวังป้องกัน และ พื้นที่ของหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลัก กําลังส่วนใหญ่ของหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลักมักจะวางกําลังอยู่ระหว่าง ขน พร.และเส้นเขตหลังของ กรม แต่อย่างไรก็ตาม ผบ.หน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลักจะควบคุมพื้นที่หน้าแนว ขนพร. ไปจนถึงแนวโอนการรบ ผบ.พื้นที่ตั้งรับหลักสามารถจัดส่วนระวังป้องกัน, เครื่องกีดขวาง และการยิงใน พื้นที่ นี้เพื่อหันเหข้าศึกหรือเพื่อช่วยในการถอนตัวของส่วนระวังป้องกัน แนวโอนการรบจะแสดงถึงตําบล ที่ส่วน ระวังป้องกันจะส่งมอบการควบคุมการรบให้กับกําลังในพื้นที่ตั้งรับหลัก แนวโอนการรบมักจะอยู่ในระยะ ๒-๔ กม.หน้าแนว ขนพร ซึ่ง กําลังในพื้นที่ตั้งรับหลักจะสามารถใช้การยิงเล็งตรง และการยิงเล็งจําลองที่มีการ ตรวจการณ์ต่อข้าศึก เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติต่างๆ ของส่วนระวังป้องกันตามความเหมาะสม เช่น การผละ จากการรบ, การถอนตัว, หรือการผ่านแนว) และหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลักจะประสานช่องทางผ่านแนว และ รายละเอียดอื่นๆ ถ้าทําได้ ควรกําหนดเส้นแบ่งเขตทางข้างของหน่วยที่เป็นส่วนระวังป้องกันให้สอดคล้อง กัน กับเส้นแบ่งเขตของกรมต่างๆ ในพื้นที่ตั้งรับหลัก กรมจะใช้ข้อพิจารณาเดียวกันนี้ในการจัด และควบคุมส่วน ระวังป้องกันของตน ส่วนระวัง ป้องกันจะยังคงดํารงเสรีในการดําเนินกลยุทธ์ไว้ จนกว่าจะได้ผ่านแนวโอนการ รบ ส่วนระวังป้องกันควรถอนตัวผ่านหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลักให้เร็วที่สุดเท่าที่ทําได้โดยการใช้จุดผ่านหลายๆ จุด หน่วย ป.ชร. และ ป.ชร.- พย. ในพื้นที่ระวัง ป้องกันจะผ่านจุดผ่านต่างๆ ก่อนหน่วย ปชต., ป.พย. และที่ ขึ้นสมทบในพื้นที่ระวัง ป้องกัน เมื่อหน่วย ป.ชร และป.ชร - พย. อยู่ในที่ตั้งพร้อมที่จะสนับสนุนแล้ว หน่วย ป. ที่ยังเหลืออยู่ก็จะผ่านจุดผ่านต่าง ๆ ก่อนกําลังส่วนดําเนินกลยุทธ์ และเมื่อหลังจากส่งมอบการรบ การจัด ป. เข้าทําการรบ และความรับผิดชอบในการยิง สนับสนุนก็จะเปลี่ยนไปเท่าที่จําเป็น เพื่อสนับสนุนพื้นที่ตั้งรับ หลัก


๘๓ พื้นที่ตั้งรับหลัก ส่วนมากผลของการรบมักจะตัดสินกันในพื้นที่ตั้งรับหลัก กรมต่างๆ จะต้องปรับการปฏิบัติของส่วน ตั้งรับหลัก เพื่อทําลายการเข้าตีโดยขึ้นอยู่กับข่าวสารที่ได้รับในระหว่างการปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกัน กรมที่ปฏิบัติการตั้งรับจะรวบรวมกําลังที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่ทําได้เพื่อการปฏิบัติการแตกหักต่อ ส่วนเข้าตีหลัก ของข้าศึก และใช้หน่วยเหล่านี้ปฏิบัติด้วยความรุนแรงที่สุดเท่าที่จะทําได้เมื่อข้าศึกเข้าปฏิบัติการในพื้นที่ตั้ง รับหลัก กรมต่าง ๆ จะอํานวยการ และควบคุมการรบโดยใช้การยิงเล็งตรง, การยิงเล็งจําลอง และการดําเนิน กลยุทธ์ต่อ ข้าศึกที่เข้าโจมตีการสนับสนุนทางอากาศ, สงครามอิเล็กทรอนิกส์, ฮ.โจมตี, ช.สนาม, อาวุธ ต่อสู้ อากาศยาน การยิงสนับสนุนจากกําลังทางเรือ, ป.ชร. และ ป.ชต. จะช่วยกองพันดําเนินกลยุทธ์ในการ ทําลาย กรมของข้าศึก ที่ทําการเข้าตีกองพลจะสนับสนุนการสู้รบของกรมได้โดยการเพิ่มเติมกําลัง, การ สนับสนุนการ รบ และการสนับสนุนการช่วยรบ, อํานวยการปฏิบัติการของกรมในแนวหน้า และใช้กองหนุน ของกองพลเมื่อจําเป็น พร้อมกันนี้กองพลจะปฏิบัติการรบต่อกําลังระลอกหลังของข้าศึก, อํานวยการในเรื่อง ฉากขัดขวางของ ช.พล และการยิงต่อต้าน ป. การปฏิบัติการของกรมจะเน้นในการปฏิบัติการตามแผนของ กองพันต่างๆ ซึ่งอยู่ในแนวทางการปฏิบัติเป็นส่วนรวมของกรม และใช้ความริเริ่มของแต่ละกองพันให้ สอดคล้องกับภารกิจต่างๆ ตามคําสั่ง กรมจะกําหนดส่วนปฏิบัติการหลักขึ้นหนึ่งส่วน โดยที่แผนของกองพัน ต่างๆ และการปฏิบัติของหน่วยสนับสนุนการรบ จะ ต้องสอดคล้องกันเพื่อสนับสนุนส่วนปฏิบัติการหลักนี้ ผบ.กรม และ ผบ.พัน. จะวางแผน และลาดตระเวนเขตรับผิดชอบ, ที่หมายตีโต้ตอบ, เส้นทางที่โต้ตอบและที่ มั่นรบต่างๆ ในทางลึกโดยตลอดพื้นที่ปฏิบัติการของตน ผบ.หน่วยจะอํานวยการรบได้โดยการกําหนดเขตหรือ ที่มั่นที่จะให้หน่วยต่างๆ เข้ายึดครอง, กําหนดสิ่งที่หน่วย ต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติ ณ ที่มั่นเหล่านั้น (ตั้งรับ, รบ หน่วงเวลา, เข้าตีหรือระวัง ป้องกัน) และกรรมวิธีในการยิง สนับสนุน ซึ่งจะสนธิรวมเข้ากับการรบในแต่ละ พื้นที่ กรมจะทําการตั้งรับ โดย ทําให้ข้าศึกต้องเผชิญกับกองพันที่เข้มแข็งซึ่งตั้งอยู่ในเขตของกรม เมื่อหน่วย เข้าตีของข้าศึกเคลื่อนที่เข้าสู่ พื้นที่ตั้งรับหลัก กรมก็จะทําการหน่วงเหนียว, ยับยั้ง, แยก, หรือโจมตีต่อข้าศึก โดยกรมจะใช้การยิงตรงหน้า และทางปีกจาก พัน.ฉก.ที่อยู่ในที่ตั้ง และ ฮ. โจมตีการซุ่มโจมตีและการใช้ กองหนุนต่อปีก และหลังของข้าศึก และการรวมการยิงสนับสนุนที่เป็นกลุ่มก้อน เครื่องกีดขวางต่าง ๆ จะถูก ใช้เพื่อหน่วงเหนี่ยว, ชักจูง และรบกวนการปฏิบัติของข้าศึก เครื่องกีดขวาง และการยิงจะเป็นส่วนสําคัญยิ่งใน การ ตัดแยกการรวมกําลังของ ข้าศึก, ลดขีดความสามารถในการเคลื่อนย้าย และทําให้การบังคับบัญชา และ การควบคุมของข้าศึกสับสน โดยบังคับให้ข้าศึกต้องทําการรบหลายทิศทาง แผนของ ผบ.กรม มักจะรวมการ ตั้งรับในพื้นที่โล่งแจ้ง และ ตําบลบังคับต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การตีโต้ตอบจะถูกใช้เพื่อขยายผลต่อกําลังข้าศึกที่ แยกจากกัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเสมอ ผบ.กรม และผู้วางแผนจะต้องตระหนักถึงความเป็นไปได้ของ การเจาะใน พื้นที่ตั้งรับหลัก เมื่อกรมสู้รบ กับหน่วยเคลื่อนที่เร็วขนาดใหญ่ ผบ.กรมอาจอนุญาตให้มีการเจาะในบางส่วน ตามแนวความคิดในการปฏิบัติถ้าการเจาะในพื้นที่ตั้งรับหลักหรือการแยกจากกันของหน่วยข้างเคียง เกิดขึ้น กําลังในพื้นที่ตั้งรับหลัก ก็จะต้อง ทําการสู้รบต่อไปภายในเจตนารมณ์ของ ผบ.หน่วย ซึ่งแต่ละหน่วยจะ ทํา การป้องกันปีกของตนเอง ผบ.กรม จะย้ายการยิงสนับสนุนเพื่อลดขีดความ สามารถของข้าศึกในการใช้ ประโยชน์จากการเจาะนั้น การเตรียมแผน การตีโต้ตอบจะถูกรวมเข้าไว้กับการต่อสู้ในพื้นที่การรบหลัก การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง พื้นที่ส่วนหลังของกรม จะเริ่มจากเส้นเขตหลังของกองพันในแนวหน้าไปยังเส้นเขตหลังของกรม หน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่ส่วนหลังของกรมจะรับผิดชอบในการวางแผนป้องกันต่อการคุกคามของข้าศึก การ ปฏิบัติต่าง ๆ ต่อการคุกคามในพื้นที่ส่วนหลังจะมีผลทําให้ภารกิจของกรมต้องเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก การ ยิงสนับสนุนซึ่ง มีขีดความสามารถในการย้ายการยิงในพื้นที่การรบได้เร็วกว่าอํานาจกําลังรบแบบอื่น ๆ จะ


๘๔ เป็นหัวใจสําคัญใน การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง ภาคที่ ๔ การปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย การปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย เป็นการเคลื่อนย้ายกําลังลงไปข้างหลังหรือออกห่างจากข้าศึก อาจ เป็น การปฏิบัติที่ถูกบีบบังคับ หรือด้วยความสมัครใจก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องได้รับการอนุมัติจาก ผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือก่อนเสมอ การรบด้วยวิธีร่นถอย แบ่งออกเป็น ๓ แบบ คือ ๑) การรบหน่วงเวลา ๒) การถอนตัว ๓) การถอย การถอนตัวนอกความกดดันของข้าศึก กองพันในแนวหน้าจะต้องกําหนดให้มีกําลังส่วนที่เหลือไว้ปะทะ ทําหน้าที่ป้องกันในระหว่างการ ถอนตัวของกําลังส่วนใหญ่ ซึ่งกําลังส่วนที่เหลือไว้ปะทะ จะปฏิบัติภารกิจให้สําเร็จได้ ต้องอาศัยการรักษา ความลับ และการลวง รวมทั้งการต้านทานตามขีดความสามารถของตน ผบ.กรม ร. จะเป็นผู้กําหนดเวลาการถอนตัวของส่วนที่เหลือไว้ปะทะทั้งหมดของกรม ร. โดยให้ถอน ตัวตามคําสั่ง, ถอนตัวตามเวลาที่กําหนดเอาไว้ หรือถอนตัวเมื่อมีเหตุการณ์ที่มิได้คาดคิดเกิดขึ้น ผบ.พัน.ร. เป็นผู้กําหนดขนาด และการประกอบกําลังของส่วนที่เหลือไว้ปะทะของกองพัน ภายใต้ข้อจํากัด ที่ ผบ.กรม กําหนดเอาไว้ปกติจะมีกําลังไม่เกินหนึ่งในสามของกําลัง ถือปืนเล็กของ ร้อย อวบ.ในแนวหน้า เพิ่มเติมด้วย กําลังหนึ่งในสองของอาวุธยิงสนับสนุน กําลังส่วนที่เหลือไว้ปะทะจะต้องพยายามปฏิบัติการต่างๆ ให้เหมือนกับกําลังส่วนใหญ่ยังอยู่ให้มาก ที่สุด พัน.ร.จะต้องจัดให้มีกําลังหนึ่งในสองของอาวุธยิงสนับสนุน เพื่อทําการยิงสนับสนุนให้แก่ส่วนที่เหลือไว้ ปะทะ ปกติมว.ลว.พัน.ร. จะปฏิบัติหน้าที่เป็นกองหนุนของส่วนที่เหลือไว้ปะทะ สําหรับผู้บังคับบัญชาของ กําลังส่วนที่เหลือไว้ปะทะ มักจะเป็น รอง ผบ.พัน.ร. การถอนตัวภายใต้การกดดันของข้าศึก ถ้าสามารถทําได้ควรหลีกเลี่ยงการถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึก หากจําเป็นต้องปฏิบัติ กอง พันในแนว ขนพร. จะต้องจัดให้มีส่วนกําบังเพื่อให้การป้องกันแก่ส่วนที่ทําการถอนตัว กําลังของหน่วยต่าง ๆ ในแนวหน้าทุกหน่วยคงทําการถอนตัวออกมาพร้อมกันทั้งหมด โดยไม่ต้องเหลือกําลังไว้เป็นส่วนที่เหลือไว้ ปะทะ ความสําเร็จของการถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึกส่วนใหญ่ย่อมขึ้นอยู่กับ การครองอากาศ เฉพาะบริเวณ เป็นการชั่วคราว และการใช้ส่วนกําบังต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ตามปกติส่วนกําบังของกองพัน ก็คือ กองหนุนของกองพันที่ได้รับการเพิ่มเติมกําลังด้วยหน่วย ดําเนินกลยุทธ์และอาวุธยิงสนับสนุนต่างๆ ภารกิจหลัก คือ การจัดการระวังป้องกันให้กับการถอนตัว ของ กองร้อยต่าง ๆ ในแนวหน้า แต่ถ้ามีความจําเป็นอาจจะต้องใช้ส่วนกําบังเพื่อช่วยเหลือหน่วยต่าง ๆ ในการ ผละออกจากข้าศึก และปฏิบัติการเชิงรุกต่อที่หมายจํากัดด้วยก็ได้ ในการถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึก ผบ.พัน.ร. จะเป็นผู้กําหนดลําดับความเร่งด่วนในการ


๘๕ ถอนตัว ให้กับกองร้อยในแนวหน้า แต่ถ้าสถานการณ์ข้าศึกและภูมิประเทศอํานวยแล้ว หน่วยต่าง ๆ ในแนว หน้าทุก หน่วยควรจะทําการถอนตัวพร้อมกัน ซึ่งหากไม่สามารถทําได้จะต้องให้หน่วยที่มีการรบติดพันน้อย ที่สุด หรือถูกข้าศึกกดดันน้อยที่สุด ทําการถอนตัวก่อนเป็นอันดับแรก พัน.ร.อาจได้รับภารกิจให้ปฏิบัติการเป็นส่วนกําบังของ กรม ร.ในการถอนตัวภายใต้การกดดันของ ข้าศึก พัน.ร.จะปฏิบัติภารกิจนี้ให้สําเร็จได้โดย ๑) หน่วงเหนี่ยวข้าศึกด้วยการใช้ระเบิดทําลาย และเครื่องกีดขวาง ๒) ใช้การยิงระยะไกล ๓) ทําการตีโต้ตอบเมื่อสถานการณ์อํานวย ๔) คุ้มครองการถอนตัวของตนเอง การรบหน่วงเวลา เป็นการรบที่จะต้องพยายามทําความสูญเสียและหน่วงเหนี่ยวให้ข้าศึกเสียเวลา ให้มากที่สุด โดยไม่ทําการรบติดพันแตกหัก พัน.ร.อาจจะปฏิบัติการรบหน่วงเวลาเป็นอิสระ หรืออาจจะ ปฏิบัติการ เป็นส่วนหนึ่งของกําลังส่วนใหญ่ก็ได้ในการรบหน่วงเวลา พัน.ร.มักจะได้รับมอบกว้างด้านหน้า มากกว่าการตั้งรับแบบยึดพื้นที่ กองพันจึงจัดระเบียบที่มั่น โดยวางกําลังหมวดต่าง ๆ ไว้บนแนว ขนพร. ให้ มากขึ้น ร้อย.อวบ. วางกําลัง ๓ มว.ปล.เคียงกัน หรือโดยยอมให้เกิดช่องว่างระหว่างหมวดและกองร้อยให้มาก ขึ้น ก็ได้แต่ต้องคุ้มครองช่องว่างด้วยการใช้การ ลาดตระเวน, ที่ตรวจการณ์, ที่ฟังการณ์, การยิง หรือวิธีอื่น ๆ ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอยนั้นจะนําเอาหลักการของการรบด้วยวิธีรุก, รับ และรบหน่วงเวลา มาใช้ อย่างเหมาะสม และจะต้องขยายผลต่อข้าศึกที่ได้รับความเสียหายทันทีเมื่อมีโอกาส การปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย แบ่งออกเป็น ๓ แบบ คือ การรบหน่วงเวลา, การถอนตัว และ การถอย ซึ่งการปฏิบัติการทั้ง ๓ แบบ สามารถที่จะปฏิบัติการไปพร้อม ๆ กันได้ ด้วยกําลังส่วนต่าง ๆ ของ กรม ร. ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย เมื่อข้าศึกทําการรุกคืบหน้าเร็วเกินไป และขยายแนวกว้างมาก ทําให้เกิดช่องว่างในการวางกําลัง ในสถานการณ์เช่นนี้ ผบ.กรม ร.จะต้องเข้าตีและทําลายกําลังข้าศึกด้วย ส่วนดําเนินกลยุทธ์ ในการพิจารณาเลือกภูมิประเทศที่จะใช้ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอยในแง่ของการยิงและการ ตรวจการณ์นั้น ฝ่ายเราจะต้องพิจารณาเลือกภูมิประเทศที่สามารถอํานวยให้ทําการตรวจการณ์และทําการยิง ได้ในระยะไกล ซึ่งจะทําให้ฝ่ายเราสามารถที่จะปะทะกับข้าศึกได้ตั้งแต่ข้าศึกยังอยู่ห่างไกล ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย จะต้องพยายามใช้เครื่องกีดขวางทั้งตามธรรมชาติและที่สร้าง ขึ้นให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายเราให้มากที่สุด เพื่อช่วยให้การรั้งหน่วงข้าศึก, ป้องกันปีก, คุ้มครองช่องว่าง และ ช่วยในการผละจากการรบ การควบคุมภูมิประเทศสําคัญ และแนวทางเคลื่อนที่ จะทําให้ลดความสามารถของ ข้าศึกในการที่จะโอบล้อม หรือทําการสู้รบแตกหักกับฝ่ายเราได้ แผนการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอยจะต้องกระทําแบบรวมการ แต่ปฏิบัติแบบแยกการ เนื่องจาก มักจะเป็นการปฏิบัติในพื้นที่กว้างขวาง และมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งจะก่อให้เกิดความยุ่งยากในเรื่องการ ติดต่อสื่อสารและ การควบคุมบังคับบัญชา ดังนั้น แผนจึงต้องมีรายละเอียดเพียงพอ และมีความอ่อนตัว เพื่อให้หน่วยรองสามารถปฏิบัติภารกิจได้ แม้ว่าจะขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือก็ตาม ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย ไม่ว่าจะเป็นแบบใด และในสถานการณ์ใดก็ตามก่อนการ


๘๖ ปฏิบัติการ จะต้องได้รับอนุมัติจาก ผบ.หน่วยเหนือ ก่อนเสมอ และในการปฏิบัติอาจจะเริ่มต้นด้วยการ ปฏิบัติการ แบบใด แบบหนึ่งก่อน หรืออาจจะปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันก็ได้แต่ถ้าเป็นหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหน้า จะต้องเริ่ม ด้วยการรบหน่วงเวลา หรือถอนตัวก่อนเสมอ ในการจัดกําลังเข้าทําการรบในการรบด้วยวิธีร่นถอย จะต้องประกันว่าได้ก่อให้เกิดความอ่อนตัว อย่างสูงสุด และสามารถใช้ประโยชน์จากกําลังต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยสอดคล้องกับแบบของการ ปฏิบัติการ และภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ผบ.หน่วย ควรสมทบหน่วยสนับสนุนทางการช่วยรบให้กับหน่วยดําเนินกลยุทธ์ เพราะการร่นถอยมักจะต้องปฏิบัติด้วยความรวดเร็ว การรบหน่วงเวลา เป็นการปฏิบัติการที่ยอมเสียพื้นที่ให้ได้เวลา แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะ ทําความเสียหายให้แก่กําลังของฝ่ายข้าศึกให้มากที่สุด โดยจะหลีกเลี่ยงการรบติดพันแตกหักกับข้าศึก การรบ หน่วงเวลาอาจกระทําได้ ๒ วิธี คือ การรบหน่วงเวลา ณ ที่มั่นตามลําดับขั้น และการรบหน่วงเวลา ณ ที่มั่น สลับขั้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทั้ง ๒ วิธีผสมกัน และทําการรบหน่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง มาตรการควบคุมในการรบหน่วงเวลา อาจรวมทั้งการกําหนดที่มั่นรั้งหน่วง, เขตปฏิบัติการ และ เส้นทาง ในการเคลื่อนที่ ถ้าถนนมีจํานวนจํากัด จะต้องกําหนดลําดับความเร่งด่วนในการ ใช้เส้นทางเหล่านั้น เอา ไว้ด้วย กองพลอาจกําหนดมาตรการควบคุมไว้แต่เพียงเขตปฏิบัติการและแนวขั้นการปฏิบัติโดย กําหนดให้ยึดรักษาที่มั่นเอาไว้ในช่วงระยะเวลาที่แน่นอน หรือจนกว่าสถานการณ์ที่กําหนดจะเกิดขึ้น ในการรบหน่วงเวลา ควรมีการใช้การติดต่อสื่อสารทางสายให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้โดยเฉพาะ ณ ที่ มั่นหน่วงเวลาขั้นต้น ส่วนการส่งข่าวทางวิทยุนั้นควรใช้ให้น้อย เพื่อป้องกันมิให้ข้าศึกสามารถกําหนดที่ตั้ง ของ ฝ่ายเราได้ ในภูมิประเทศที่อํานวยต่อการดําเนินกลยุทธ์หน่วยบรรทุกยานเกราะ และหน่วยยานเกราะ เป็น หน่วยที่ เหมาะสมที่สุดในการรบหน่วงเวลา สําหรับในสภาพการณ์ทั่ว ๆ ไป หรือภูมิประเทศ ที่ไม่ราบเรียบ การผสมหน่วยทหารราบ กับหน่วยบรรทุกยานยนต์หุ้มเกราะ และหน่วยยานเกราะ จะทําให้สามารถดําเนิน การปฏิบัติการอย่างได้ผล กรม ร. อาจดําเนินการรบหน่วงเวลาเป็นอิสระ หรือเป็นส่วนหนึ่งของกําลังส่วนใหญ่ และอาจจะ ปฏิบัติการรบได้๒ กรณี คือ ทําหน้าที่เป็นส่วนกําบังของกองทัพ หรือเป็นกําลังส่วนใหญ่ของกําลังในพื้นที่ตั้ง รับหน้าของกองพล ในการดําเนินการรบหน่วงเวลานั้น เมื่อกว้างด้านหน้ามาก, กําลังที่ใช้รบหน่วงเวลามีน้อย และมีความคล่องแคล่วอยู่ในระดับสูง ก็อาจทําการรบหน่วงเวลา ณ ที่มันตามลําดับขั้น แต่ถ้าภูมิประเทศไม่ อํานวย, เขตปฏิบัติการแคบ, มีกําลังที่ใช้รบหน่วงเวลามาก ข้าศึกมีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูงกว่า ฝ่าย เราก็ควรใช้การรบหน่วงเวลา ณ ที่มั่นสลับขั้น ตามปกติการรบหน่วงเวลามักจะเป็นการปฏิบัติที่กระทําต่อจากการบด้วยวิธีรับ ผู้บังคับหน่วยที่ ปฏิบัติการรบหน่วงเวลา จัดกําลังออกเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนระวังป้องกัน, ส่วนรบหน่วงเวลา และส่วน กองหนุน คําสั่งการรบหน่วงเวลาที่ กรม ร. ได้รับจาก บก.หน่วยเหนือนั้น ตามธรรมดาจะระบุเส้นแบ่งเขต, แนวขั้นการปฏิบัติ, กําหนดเวลาที่ต้องการสําหรับให้หน่วยทําการรบหน่วงเวลา, ที่มั่นรบหน่วงเวลาขั้นแรก และ แนวซึ่งการรบหน่วงเวลาขั้นสุดท้าย ในคําสั่งฯ อาจจะกล่าวถึงที่มั่นรบหน่วงเวลาระหว่างแนวแรกกับแนว สุดท้ายด้วยก็ได้ ผบ.กรม ร. จะประเมินค่าพื้นที่ซึ่งหน่วยจะต้องปฏิบัติการรบหน่วงเวลาภายในนั้น โดยพิจารณา เปรียบเทียบความสามารถในการจราจร, เครื่องกีดขวาง, ภูมิประเทศสําคัญ, ข่ายถนน และเส้นทางถอนตัว,


๘๗ ความสามารถในการป้องกันพื้นที่ และความกว้างของพื้นที่ ในการเลือกที่มั่นในการรบหน่วงเวลา ควรพิจารณาภูมิประเทศที่มีลักษณะ ดังนี้ คือ (๑) เป็นสันเนินทอดขวางแนวรุกของข้าศึก (๒) มีลําน้ำลุยข้ามไม่ได้ ที่ลุ่ม ทะเลสาบ และเครื่องกีดขวางอื่นทั้งทางหน้า และทางปีก (๓) เป็นที่สูงมีการตรวจการณ์ดีและพื้นยิงไกล (๔) เส้นทางถอนตัวที่มีการกําบังและซ่อนพราง (๕) ข่ายถนนและ/หรือพื้นที่ซึ่งให้ความสามารถในการจราจรดี โดยปกติการรบหน่วงเวลาจะมีกว้างด้านหน้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของการตั้งรับแบบยึดพื้นที่ (ลงไป จนถึงหน่วยระดับกองร้อย) สําหรับหน่วยระดับหมวดลงไปคงมีกว้างด้านหน้าเท่ากับการตั้งรับตามปกติ กองร้อย อาจจะวางกําลังสามหมวดเคียงกันหรืออาจจะเพิ่มระยะเคียงระหว่างหมวดให้มากขึ้น ระยะเคียงที่ เกิดขึ้นนี้ รักษาได้ด้วยการยิง, การตรวจการณ์ และเครื่องกีดขวาง ผบ.กรม ร.จะจัดวางกองหนุนของกรม ณ ตําบล ที่สามารถใช้กําลังป้องกันปีก และคุ้มครองการ ถอนตัว ของหน่วยจากแนวรบหน่วงเวลาหน้าได้ผบ.กรม จะกําหนดกําลัง และการประกอบกําลังของ กองหนุนของกรม โดยยึดถือเอาความจําเป็นในการป้องกันปีกข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างเป็นพื้นฐานขั้นต้น ในกรณีที่หน่วยข้างเคียง (ในการปฏิบัติการถอนตัว) ไม่ได้จัดกําลังในลักษณะที่จะป้องกันการโอบ ของข้าศึกต่อหน่วยที่ทําการถอนตัวแล้ว ผบ.กรม ร. จะต้องส่งกองหนุนออกไปปฏิบัติหน้าที่นี้ในกรณีที่กําลัง ส่วนที่รั้งหน่วงถูกข้าศึกเจาะที่มั่นรบหน่วงเวลาเข้ามาได้และถูกบังคับให้ละทิ้งที่มั่น ผบ.กรม ร. จะต้อง ประมาณกําลังของข้าศึกที่เผชิญอยู่ถ้ามีหนทางเป็นไปได้และเหมาะสม อาจสั่งการเข้าตีโต้ตอบเพื่อยับยั้งการ เจาะของข้าศึก การเจาะขนาดเล็ก อาจถูกทําลายได้ด้วยการยิง หรือการตีโต้ตอบ หรือ การตรึงเพื่อคอยการ ปฏิบัติการถอนตัวของกําลังส่วนใหญ่ กรม ร. จะไม่ละทิ้งที่มั่นรบหน่วงเวลาโดยการ พิจารณาการเจาะแต่ เพียงลําพังเพียงอย่างเดียว เว้นเสียแต่ว่าการเจาะนั้นจะมีขนาดใหญ่จนเป็นอันตรายต่อที่มั่นทั้งแนวได้ การถอนตัว คือ การปฏิบัติซึ่งกําลังทั้งหมดหรือบางส่วนของหน่วยซึ่งปะทะอยู่กับข้าศึก ผละออก จาก การรบ อาจจะเป็นการปฏิบัติด้วยความสมัครใจ หรือถูกบีบบังคับจากข้าศึก โดยกําลังบางส่วนจะยังคง ดํารงการปะทะอยู่กับข้าศึก เพื่อความมุ่งหมายในการลวง และการระวังป้องกันให้แก่กําลังส่วนที่ถอนตัว ใน การถอน ตัวของกองพล กรม ร.อาจได้รับมอบให้ควบคุมกําลังทั้งหมดหรือบางส่วนที่ทําการถอนตัว หรือ อาจ ได้รับมอบ ให้จัดส่วนกําบัง เพื่อทําหน้าที่ให้การระวังป้องกันแก่กําลังที่ทําการถอนตัวก็ได้ แบบของการถอนตัวโดยทั่วไปจะมีอยู่ ๒ แบบ คือ การถอนตัวภายใต้การกดดัน และการถอนตัว นอก ความกดดัน โดยการถอนตัวทั้งสองแบบนี้อาจจะทําการถอนตัวโดยได้รับความช่วยเหลือ หรืออาจไม่ได้ รับความช่วยเหลือจากกําลังส่วนอื่น ๆ ก็ได้ การถอนตัวทั้ง ๒ แบบนั้น หากสถานการณ์อํานวยให้แล้ว การถอนตัวนอกความกดดันจะดีกว่าการ ถอนตัวภายใต้ความกดดัน เพราะจะทําให้ลดการสูญเสีย, หน่วยมีเสรีในการปฏิบัติ, สะดวกในการลวง และลด อันตรายจากการตรวจการณ์และการยิงของข้าศึก ส่วนการถอนตัวภายใต้ความกดดันนั้น ฝ่ายเราจะต้องมี อํานาจ การยิง และความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูงกว่าข้าศึก, มีการป้องกันต่อสู้ยานเกราะที่ดี และครอง ความเป็น เจ้าอากาศเฉพาะบริเวณด้วย ดังนั้น การถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึก โดยปกติหน่วยจtไม่ ปฏิบัติเว้นแต่เมื่อพิจารณาแล้วว่า ถ้าหากไม่ทําการถอนตัวแล้ว จะทําให้ได้รับการสูญเสียมาก


๘๘ มาตรการควบคุมที่กําหนดขึ้นใช้สําหรับการถอนตัวนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะซึ่งคาดว่า จะมีการถอนตัว เมื่อทําการถอนตัวในห้วงเวลาที่มีทัศนะวิสัยจํากัด และคาดว่าจะมีการกดดันของข้าศึกด้วย จะใช้มาตรการควบคุมที่มีความเข้มงวดสูง ถ้าทําการถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึกในเวลากลางวันแล้ว มาตรการควบคุมจะจํากัดเพียงเท่าที่จะใช้ในการปฏิบัติการรบหน่วงเวลา โดยธรรมดา ผบ.หน่วยเหนือ จะเป็นผู้กําหนดเวลา และเงื่อนไขของการถอนตัวให้แก่ กรม ร. ผบ. กรม ร. ก็จะออกคําสั่งการถอนตัวของกรม โดยยึดถือคําสั่งของกองพล ถ้ามีเวลามาก ก็ออกคําสั่งการถอน ตัว แบบสมบูรณ์ ได้ หากไม่มีเวลาก็ใช้คําสั่งเตือน และออกคําสั่งเป็นส่วน ๆ ภายหลังความสําเร็จในการถอนตัว นอกความกดดันขึ้นอยู่กับการรักษาความลับ และการลวง รวมทั้งการควบคุม อย่างแน่นแฟ้น เพื่อให้เกิดผล ใน เรื่องการรักษาความลับ และการลวง ผบ.หน่วยควรจะพิจารณาใช้เวลาค่ำมืด และเวลาที่มีทัศนวิสัยจํากัด ในการถอนตัว การถอนตัวจะเริ่มทันทีที่การตรวจการณ์ของข้าศึกลดลงถึงระดับที่ไม่ สามารถทําการยิงด้วย การ ตรวจการณ์ได้ โดยปกติจะกระทําภายหลังสิ้นแสงทางทหาร เพื่อให้มีเวลาปฏิบัติการในระหว่างเวลาค่ำ มืด มากที่สุด การจัดกําลังในการถอนตัวนอกความกดดันของข้าศึกจะแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ กําลังส่วนใหญ่ และ ส่วนที่เหลือไว้ปะทะ กําลังส่วนที่เหลือไว้ปะทะนี้จะประกอบด้วยกําลัง ๑ ใน ๓ ของกําลังส่วนดําเนิน กล ยุทธ์ใน แนวหน้า และ ๑ ใน ๒ ของอาวุธยิงสนับสนุน สําหรับรถถัง และ รสพ. ถ้ามีการคุกคามจากยาน เกราะของข้าศึก หรือถ้าหากว่ารถถังถอนตัวก่อนจะทําให้เสียผลในการลวง และการรักษาความลับ ก็จะคง ให้ ตั้งอยู่ในพื้นที่ตั้งรับหน้าต่อไป แต่ถ้าไม่มีการคุกคามจากรถถัง หรือยานเกราะของข้าศึก ก็จะให้เล็ดลอด ทยอยแยกกันออกเป็น หน่วยเล็กๆ ถอนตัวไปก่อนกําลังส่วนใหญ่ โดยปกติจะมอบให้ รอง ผบ.กรม ร. เป็น ผบ.ส่วนที่เหลือไว้ปะทะ ของ กรม ร. โดยธรรมดา กรม ร.จะเหลือกองหนุนส่วนหนึ่งไว้ในที่มั่นปัจจุบัน เพื่อยังคงให้มีระบบการติดต่อกับ กองหนุน และลวงให้เห็นว่ากองหนุนของกรมยังคงปฏิบัติการอยู่ตามปกติและเพื่อช่วยการถอนตัวของส่วนที่ เหลือไว้ปะทะ กําลังส่วนนี้จะถือว่าเป็นกองหนุนของส่วนที่เหลือไว้ปะทะ หน่วยที่ทําการถอนตัวนอกความกดดัน มักจะกําหนดที่รวมพลขึ้นหลังที่มั่นแห่งแรก ซึ่งให้การ ปกปิด กําบัง หน่วยระดับ พัน.ร. และต่ำกว่า มักจะกําหนดที่รวมพลขึ้นเพื่อใช้ในการควบคุมส่วนต่าง ๆ ก่อนที่จะจัด ขบวนเดิน สําหรับหน่วยระดับ กรม ร.มักจะไม่นิยมใช้ที่รวมพล เมื่อกองพล หรือ บก.ที่ควบคุมการถอนตัวจัดส่วนกําบังขึ้น กองหนุนของ กรม ร จะถอนตัวก่อน การ เคลื่อนที่ของส่วนข้างหน้าไปดัดแปลง และเตรียมที่มันแห่งใหม่เพื่อให้กรมเข้าวางกําลังภายหลังการถอน ตัว แต่ถ้ากองพลไม่จัดส่วนกําบัง และ ผบ.กรม พิจารณาเห็นว่าเป็นสิ่งจําเป็นแล้ว กรมก็จะจัดส่วนกําบังขึ้น เองจาก กองหนุนของกรม และให้เข้าประจําที่มั่นเพื่อให้การระวังป้องกันแก่ส่วนใหญ่ เมื่อส่วนใหญ่ถอนตัว ผ่านส่วน กําบังไปแล้วก็ให้ส่วนกําบังปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบต่อไป ในกรณีที่ ผบ.หน่วยเหนือ ไม่ได้ให้แนวทางในเรื่องการถอนตัวของส่วนที่เหลือไว้ปะทะ ผบ.กรมร. จะเป็น ผู้กําหนดเพื่อให้ ผบ.ส่วนที่เหลือไว้ปะทะทราบถึงสภาพส่วนที่เหลือไว้ปะทะจะทําการถอนตัว ซึ่งอาจ จะเริ่ม ถอนตัวตามคําสั่งของ ผบ.กรม ร.หรือตามเวลาที่กําหนดไว้ การปฏิบัติการถอนตัวนอกความกดดันของข้าศึกในเวลากลางวันหรือเมื่อทัศนวิสัยดีมักจะไม่ค่อย กระทํา เนื่องจากไม่เกิดผลในการลวงและการรักษาความลับ หน่วยปฏิบัติการถอนตัวอาจถูกไล่ ติดตาม, ถูก โจมตีจากข้าศึกและเป็นอันตรายได้ง่าย ถ้ามีความจําเป็นต้องปฏิบัติ ก็จะต้องจัดให้มีฉากควันขึ้นเพื่อกําบังการ ถอนตัวหรือใช้ห้วงเวลาที่ทัศนวิสัยจํากัด


๘๙ มาตรการควบคุมในการถอนตัวนอกความกดดันของข้าศึก ได้แก่ เส้นทางถอนตัวหลัก และสํารอง รวมทั้งลําดับความเร่งด่วนในการใช้เส้นทาง, เส้นแบ่งเขต และ/หรือเขตการถอนตัว, ที่รวมพล, จุดตรวจสอบ จุดเริ่มต้น, จุดปล่อย และตําบลควบคุมการจราจร การถอนตัวภายใต้การกดดันของข้าศึก ในเวลากลางวันนั้น กรม ร.จะใช้ยุทธวิธีการรบหน่วงเวลา เพื่อสู้พลางถอยพลางไปข้างหลัง ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ที่เหนือกว่าข้าศึก และอํานาจการยิงของ อาวุธยิงสนับสนุนที่ไกลกว่าของกรม ย่อมทําให้ขีดความสามารถ และความสําเร็จในการถอนตัวภายใต้ความ กดดันมีมากขึ้น มาตรการควบคุมที่ใช้ในการถอนตัวภายใต้การกดดัน (เวลากลางวัน) คงเช่นเดียวกับการถอนตัว นอกความกดดัน จะมีแตกต่างกันก็เพียงแต่ใช้เขตปฏิบัติการแทนเส้นทางการถอนตัว และการใช้หน่วยทาง ยุทธวิธีแต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเส้นทางเคลื่อนที่ในเขตปฏิบัติการของหน่วยรองมีจํากัด ก็จะกําหนดเส้นทางถอน ตัวขึ้น และควบคุมการเคลื่อนย้ายของกําลังส่วนที่ใช้เส้นทางนั้น ในการถอนตัวภายใต้การกดดันของข้าศึกในเวลากลางวัน จะไม่มีการจัดส่วนที่เหลือไว้ปะทะ แต่ กองหนุนทุกระดับหน่วยจะถูกใช้ให้ทําหน้าที่กําบังการถอนตัวของส่วนที่อยู่ข้างหน้าเมื่อถอนตัว นอกจากนี้ โดย ธรรมดาจะใช้กําลังบางส่วนของกองหนุน เพื่อช่วยปลดเปลื้องหน่วยที่ติดพันกับข้าศึกอย่างหนัก ให้หลุด จากการปะทะ ตามปกติในการถอนตัวภายใต้การกดดันของข้าศึกในเวลากลางวัน กองพลจะจัดส่วนกําบังขึ้นจาก กองหนุนของกองพล ส่วนกําบังนี้อาจจะปฏิบัติภารกิจการกําบังบริเวณหน้าแนวที่เป็นที่มั่นแห่งใหม่ หรือพื้นที่ อื่นที่อยู่ข้างหน้าก็ได้ ภารกิจหลักของส่วนกําบัง ก็คือ การช่วยหน่วยในแนวหน้าในการผละออกจากข้าศึก และช่วยรั้งหน่วงการติดตามของข้าศึก ผบ.กรม ร. จะกําหนดลําดับการถอนตัวของกองพันต่าง ๆ ในแนวหน้า เมื่อภูมิประเทศ และสถานการณ์อํานวย โดยปกติหน่วยที่ติดพันน้อยที่สุดจะทําการถอนตัวก่อน หน่วยที่รบติด พัน กับข้าศึกมากจะถอนตัวภายใต้การกําบังของกองหนุน และใช้การยิงเป็นกลุ่มก้อน หรือโดยใช้กองหนุนทํา การตีโต้ตอบ โดยธรรมดาแล้ว ในการถอนตัวเวลากลางวันภายใต้การกดดันนั้น มักจะกําหนดให้กองพันในแนว หน้าจัดกําลังเป็นส่วนกําบังหน้าแนวที่มั่นแห่งใหม่ เพราะเหตุว่ากองพันในพื้นที่ตั้งรับหน้าเป็นส่วนแรกที่ทํา การถอนตัว การใช้อาวุธยิงสนับสนุนของกรมในการถอนตัว มักจะให้อยู่ในความควบคุมของกรมเป็นส่วนรวม แต่ถ้าส่วนกําบังของกรมได้รับมอบภารกิจกองระวังหลัง ก็อาจสมทบส่วนต่าง ๆ ให้กับส่วนกําบัง หรือให้ สนับสนุน โดยตรงแก่ส่วนกําบังก็ได้ ในการวางแผนการถอนตัว กรม ร.ควรจะได้วางแผนเพื่อเตรียมการถอนตัวภายใต้การกดดันของ ข้าศึกในเวลากลางคืนไว้ด้วย และควรแจ้งให้ ผบ.หน่วยรอง ทราบถึงแผนสํารองนี้เมื่อกรมต้องปฏิบัติการ ถอนตัวภายใต้การกดดันของข้าศึกในเวลากลางคืน หรือเมื่อทัศนวิสัยจํากัด ก็ให้ส่วนต่าง ๆ ของ กรม ร. ดําเนินการ ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการถอนตัวภายใต้การ กดดันของข้าศึกในเวลากลางวัน เมื่อหน่วยต่าง ๆ ของ กรม ร. (เว้นส่วนที่เหลือไว้ปะทะ) ได้ผละจากข้าศึก และจัดรูปขบวนเดินแล้ว ถือว่าเป็นการสิ้นสุดการถอนตัว ส่วนการเคลื่อนย้ายต่อไปข้างหลังออกห่างจากข้าศึกนั้นเรียกว่า การถอย คือ การปฏิบัติของกําลังที่ไม่ได้ปะทะอยู่กับข้าศึก เคลื่อนย้ายไปข้างหลังออกห่างจาก ข้าศึก ปกติจะเป็นการเคลื่อนย้ายทางยุทธวิธีการถอยอาจจะกระทําต่อจากการถอนตัวหรือเมื่อยังไม่มีการ ปะทะกับ ข้าศึกอย่างแท้จริง สําหรับกรณีที่มีการปะทะกับข้าศึกอยู่ การถอยจะไม่สามารถดําเนินการได้


๙๐ ในทันทีแต่จะต้องทําการถอนตัวจากการรบหรือการรบปะทะกับข้าศึกเสียก่อน การถอยจะเริ่มขึ้นอย่าง แท้จริงหลังจากที่กําลังส่วนใหญ่ได้ผละจากการปะทะกับข้าศึก และได้จัดรูปขบวนเดินแล้ว หน่วยที่ปฏิบัติการถอยอาจถูกรบกวนจากข้าศึก เช่น การโจมตีจากกองโจร, หน่วยเคลื่อนที่ทาง อากาศ , จากการยิงระยะไกล และอาจถูกขัดขวางจากประชาชนที่อพยพ ดังนั้น หน่วยที่ปฏิบัติการถอยควร จะ ทําการ เคลื่อนย้ายในเวลากลางคืน หรือเวลาที่ทัศนะวิสัยจํากัด ถ้าเคลื่อนย้ายในเวลากลางวันอาจกระทํา ด้วยการแยก เป็นหน่วยเล็ก ๆ ทยอยเคลื่อนย้ายลงไปข้างหลัง ในการถอย เนื่องจากไม่คาดว่าจะประสบกับการต้านทานของข้าศึกอย่างเข้มแข็ง โดยปกติจึง กําหนด มาตรการควบคุมแต่เพียง เส้นทางเคลื่อนที่, แนวขั้นการปฏิบัติและตําบลควบคุมการจราจร


Click to View FlipBook Version