The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำรากองทัพบกและเหล่าทหาร 66 (ฉบับสมบูรณ์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by komkrich vekchalikanon, 2023-04-19 20:54:34

ตำราวิชากองทัพบกและเหล่าทหาร 66

ตำรากองทัพบกและเหล่าทหาร 66 (ฉบับสมบูรณ์)

๙๑ บทที่ ๓ ความรู้เบื้องต้นเหล่าทหารของกองทัพบก เหล่าทหารราบ INFANTRY ๑. กล่าวโดยทั่วไป ทหารราบสืบสายโลหิตมาจากทหารเดินเท้าตั้งแต่สมัยโบราณ ที่มีมือทั้งสองข้างถือดาบและโล่ ป้องกันตัว โดยใช้ดาบฟาดฟันกับข้าศึกกันซึ่งๆหน้า ทำการสู้เพื่อสร้างบ้านกู้เมืองให้เรามีประเทศไทยของเรา อาศัยกันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ ทหารราบยุคปัจจุบันที่สืบสายเลือดจากทาหารเดินเท้าโบราณ ก็ยังคงทำหน้าที่และมีวิธีการรบ ที่ไม่แตกต่างไปจากบรรพบุรุษในอดีตกาลเท่าไรนัก ยังต้องอาศัยร่างกายที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูกและจิตใจที่ เข้มแข็งเข้าต่อสู้กับข้าศึกในระยะประชิดเหมือนเดิม เพียงแต่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการแต่กายและอาวุธเพียง เล็กน้อย ทหารราบปัจจุบันอาศัยหมวกเหล็ก ซึ่งเป็นเกราะป้องกันตนที่สวมใส่อยู่บนศีรษะ และบนแผ่น หลังบรรทุกเครื่องสนามที่หนักอึ้ง ซึ่งบรรจุเครื่องนอนยุทโธปกรณ์ในการรบและอาหารการกิน เท้าทั้งสอง ข้างสวมใส่อยู่บนรองเท้าคอมแบทที่มีพื้นหนาเตอะ และหนักกว่ารองเท้าทั่วไป พร้อมที่จะเหยียบย้ำ และ รอนแรมทุกแห่งหนในสนามรบไม่ว่าพื้นที่นั้นจะเป็นป่า ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง หรืออากาศหนาว ร้อน อย่างไร ทหารราบสามารถไปได้ทุกสถานที่ และรบได้ทุกภูมิประเทศ แต่สำหรับทหารราบแล้ว มีอาวุธประจำกายแต่ละคนที่ถืออยู่ในมือทั้งสองข้าง เพียงปืนเล็กยาว ทีมีขนาดลำกล้องเล็กเท่านิ้วก้อยกระบอกเดี่ยวเท่านั้น พร้อมกับมีดสั้นๆอีกหนึ่งเล่ม ซึ่งมีไว้สำหรับติดปลาย กระบอกปืน ที่เราเรียกว่า ดาบปลายปืน ไว้เพื่อเข้าทิ่มแทงฟาดฟันกับข้าศึกกันซึ่ง ๆ หน้า ตัวต่อตัวในระยะ ตะลุมบอนซึ่งเป็นการต่อสู้กันในวาระสุดท้ายกับข้าศึก เพื่อตัดสินความเป็นความตาย และความแพ้ชนะ เยี่ยง บรรพบุรุษทหารเดินเท้าในอดีตกาล ทหารราบจึงเป็นขวัญใจของทหารทุกเหล่าที่มีอยู่ในกองทัพบก ๑๗ เหล่าด้วยกัน สนามรบทุก หนทุกแห่งจะใช้ทหารเหล่าอื่นรบสักกี่พวกกี่เหล่าก็ตามที ถ้าปราศจากทหารราบแล้วการรบครั้งนั้นจะไม่ได้ รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดจากข้าศึกได้เลย ทหารราบจึงเป็นขวัญใจของทหารทุกเหล่าจนได้รับขนานนามว่า ราชินีแห่งสนามรบ คือ ที่หนึ่งในสนามนั้นเอง ที่กล่าวมาแล้วทหารราบไม่หน้าจะเก่งกาจหรือมีความสำคัญในสมรภูมิการรบ ตามที่ได้กล่าว อวดอ้างมาเลย เพราะมีแต่ปืนกระบอกเล็กๆอยู่กระบอกเดี่ยวกับมีดพกสั้นๆอยู่เล่มหนึ่งเท่านั้น แต่ทหารราบได้สร้างวีรกรรมให้ประจักษ์กับสายตามาแล้ว ทั้งในอดีต และปัจจุบันเพราะทหาร ราบรบด้วยใจ ทหารราบไม่กลัวความเจ็บปวดและความตาย ทหารราบไม่เคยกลัวข้าศึกชาติใด


๙๒ ๒. ประวัติของเหล่าทหารราบ การศึกษาถึงประวัติของทหารราบในประเทศไทยนั้นจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีคนไทยทั้ง ประเทศเป็นทหารราบ เพราะได้ต่อสู้มาตั้งแต่ในสมัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งเรื่องของ ชาติไทยที่ต้องขับเคี่ยวกับชนชาติอื่น เพื่อธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ และเกียรติของชาติไทยผู้เป็นชาตินักรบเดินเท้าเป็น หลัก นั่นคือทหารราบในปัจจุบันนี้เอง เรื่องการรบของชาติไทยซึ่งเป็นวีรกรรมของทหารราบไทยในอดีตนั้น ที่ น่าจะนำมากล่าวเพื่อเตือนใจชาวไทยให้รำลึกถึงเป็นการเทิดเกียรติ ดังนี้ พุทธศักราช ๑๒๙๓ โก๊ะล่อฝง ได้เสวยราชย์ กษัตริย์ไทยองค์นี้เป็นผู้สามารถ ครั้งหลังเสด็จ ประพาสแดนจีน ขุนนางจีนแสดงกริยากระด้างกระเดื่องหมิ่นประมาทพระบรมเดชานุภาพ ทรงขัดเคืองทรง ให้กรีฑาทัพไปแดนจีนได้หัวเมืองจีน ๓๒ หัวเมืองแล้วเสด็จไปตั้งราชธานีที่เมืองฮุนหนำ ตั้งแต่พุทธศักราช ๑๒๙๗ ถึงพุทธศักราช ๑๓๒๒ ไทยสามารถยกทัพไปตีแดนจีนได้อีกมาก และจีนก็ยกทัพมาตีไทยแต่ไทย สามารถตีแตกไปทุกครั้ง พุทธศักราช ๑๓๗๒ พระเจ้าซ่าเจี๋ยน (ไทย) ยกทัพไปตีเมืองซุยจิ๋ว กวาดต้อนผู้คน มาเป็นอันมาก นอกจากนี้ประวัติการยุทธของไทย หรือจะกล่าวอีกในหนึ่งก็คือการยุทธของหารราบไทยใน สมัยต่อมาเป็นเรื่องที่น่าศึกษา และน่าภาคภูมิใจในลักษณะการต่อสู้ที่ไม่ยอมตกเป็นทาสของชาติใดนับตั้งแต่ คนไทยได้อพยพทิ้งถิ่นดั้งเดิมลงมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิในลักษณะมือเปล่า แล้วมาสร้างบ้านแปลงเมืองจน เป็นอาณาจักรปึกแผ่นในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อได้ก่อสร้างราชอาณาจักรลงแล้วก็ยังต้องพลีเลือดออก ป้องกันรักษา อิสรภาพของปะเทศชาติให้พ้นจาการรุกรานกดขี่ของอริราชศัตรูด้วยความทรหดอดทน แม้ บางสมัยจะเสียอิสรภาพไป ดังในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้องเสียกรุงแก่ข้าศึกไปถึง ๒ ครั้งแต่ประชาชนชาวไทย ซึ่งเรียกว่าทหารราบไทย ก็คงไม่ผิดได้ร่วมใจกันกอบกู้เอาเอกราชอิสรภาพของชาติที่ล่มจมลงไปนั้นขึ้นมาได้ อีก เราทราบกันมาแล้วว่าการยุทธของไทยต่ออริราชศัตรูนั้น เป็นการยุทธที่นำโดยองค์ พระมหากษัตริย์องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมจัตุรงค์นำไพร่พลเข้าประจัญบานอริราชศัตรู และ ความหมายของไพร่พลนั้น หมายถึงพลเมืองสามัญทั่วไป เพราะถ้าเกิดศึกเสือเหนือใต้ขึ้นแล้ว พลเมือง จะต้องเป็นทหารทุกคน การรบนั้นผู้นำคือองค์พระมหากษัตริย์ทรงช้างเข้ากระทำยุทธหัตถี และพลเดินเท้า เข้าประหัตประหารกันซึ่งเป็นการแสดงถึงประวัติของทหารราบไทยได้อย่างเด่นชัดอีกประการหนึ่ง การจัดรูปแบบของการทหารในรูปใหม่อันเป็นแบบที่ได้คติมาจากภารตประเทศ เพิ่งมาจัดขึ้นใน สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถมนรัชสมัยของพระมหากษัตริย์องค์นี้ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตรา พระราช กำหนดแบ่งกิจกรรมทหารกับพลเรือนแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด โดย การทหารได้กำหนดเรียกขึ้นเป็น ๔ เหล่า ว่า จตุรงค์เสนาอันได้แก่ พลเท้า (พลานึก), พลม้า (หยนึก), พลช้าง (คชานึก), พลรถ (รถานึก) เป็นต้น ซึ่งคำว่าพลเท้าตรงกับ ทหารราบ ส่วนทหารม้าตรงกับพลม้า และพลช้าง ซึ่งได้แก่พลเท้าที่อาศัยช้างและม้า เป็นพาหนะเข้าทำการรบนั้นเอง ทั้งนี้ตามประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าในสมัยโบราณทหารทุกเหล่า เมื่อเข้า มาประจันข้าศึกไม่ว่าจะอยู่เหล่าไหนจะต้องช่วยรบทั้งหมด แม้แต่เกียกกายยกระบัตรอันเป็นหน้าที่ผู้ช่วยพล รบ ก็ต้องจับอาวุธ หอก,ดาบ,เข้าฟันทิ่มแทงกับเขาด้วย ๓. บทบาท/ภารกิจของเหล่าหารราบ บทบาทของเหล่าทหารราบ ทหารราบเป็นหน่วยที่ปฏิบัติการโดยการเข้าประชิด ใช้อำนาจจ การยิง และการดำเนินกลยุทธเพื่อทำลายกำลังข้าศึก หรือเพื่อยึดภูมิประเทศ ควบคุมประชาชนและ ทรัพยากรในพื้นที่ ที่ยึดได้ ในการป้องกัน และรักษาภูมิประเทศที่ยึดได้ทหารราบจะผลักดันการเข้าตีของ ข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการป้องกัน และปราบปราม


๙๓ การก่อความไม่สงบ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ตลอดจนภารกิจในบทบาทที่เกี่ยวข้องกับการ ปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ภารกิจของเหล่าทหารราบ ภารกิจโดยทั่วไปของเหล่าทหารราบ คือ การเข้าประชิดข้าศึก โดยใช้อำนาจการยิง และการดำเนินกลยุทธ เพื่อทำลาย และจับข้าศึก ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการ ยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ ถ้าเป็นหน่วยระดับกรมขึ้นไป นอกจากภารกิจในการทำลายกำลังข้าศึก แล้ว จะมีขีดความสามารถในการควบคุมพื้นที่ ประชาชน และทรัพยากรในพื้นที่ด้วย ทหารราบมีขีด ความสามารถปฏิบัติการรบได้ทุกสภาพภูมิประเทศ และลมฟ้าอากาศ สามารถใช้อำนาจการทำลายข่มขวัญ ได้ เมื่อใช้ทหารราบยานเกราะและหรือร่วมกับรถถัง ๔. พันธกิจของเหล่าทหารราบ ทหารราบเป็นหน่วยที่ปฏิบัติการโดยการเข้าตีประชิดข้าศึกโดยใช้อำนาจการยิง การดำเนินกล ยุทธ เพื่อทำลายกำลังข้าศึก เพื่อยึดรักษาภูมิประเทศ ทหารราบจะผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ ๕. การจัดหน่วย และหน้าที่ความรับผิดชอบของเหล่าทหารราบ การจัดหน่วย เหล่าทหารราบได้แบ่งรูปแบบการจัดออกเป็นกองพล ๓ รูปแบบ คือ ๕.๑ กองพลทหารราบยานเกราะ เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบในอนาคต เพื่อให้มี ความทันสมัย พร้อมที่จะรับสถานการณ์ได้ทุกรูปแบบ สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติการรบได้ อย่างทันที สอดคล้องกับรูปแบบของสงครามในอนาคต รวมทั้งสงครามนิวเคลียร์ ชีวะ เคมี ๕.๒ กองพลหารราบยานยนต์ เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบในอนาคต มีความมุ่ง หมายที่จะจัดให้เป็น พล.ร.มาตรฐาน ที่มีขีดความสามารถเข้าตี ตั้งรับ และร่นถอย ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ๕.๓ กองพลทหารราบเบา เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบ โดยมีความมุ่งหมายที่จะใช้ ตอบสนองในการรักษาพลประโยชน์ของชาติ ในด้านการรักษาความมั่นคงภายใน การป้องกันประเทศ และ ภารกิจอื่น ๆ ตามความเหมาะสม หน้าที่และความรับผิดชอบ กองพลทหารราบทั้ง ๓ รูปแบบมีหน้าที่ และความรับผิดชอบคล้าย ๆ กัน คือ ทำลายกำลัง ข้าศึกควบคุมพื้นที่ทางบกรวมทั้งประชาชน และทรัพยากร มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการรบต่อกำลัง ทางพื้นดินของข้าศึกที่มียุทโธปกรณ์คล้ายคลึงกัน หรือด้อยกว่า อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานปฏิบัติการ ได้ในสภาพอากาศ และภูมิประเทศที่ยากลำบาก ด้วยการสนับสนุนทางการส่งกำลังบำรุงอันจำกัด สามารถ ควบคุมประชาชนฝ่ายข้าศึกได้ ปฏิบัติการฟื้นฟู และรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ และสามารถ ควบคุมหน่วยดำเนินกลยุทธขนาดกองพันได้ ๑๐ กองพัน แต่กองพลทหารราบก็มีขีดจำกัดในการรบ คือ ไม่ มีขีดความสามารถของการขนส่งทางอากาศด้วยเครื่องมือในอัตรา และมีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ จำกัด การจัด และการใช้หน่วยทหาร การจัดหน่วยทหารราบ บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ที่วางไว้รวมทั้งลักษณะข้อขัดข้อง ที่อาจเกิด ขึ้นกับประเทศไทยได้นั้น เราจะต้องมีโครงสร้างของกองทัพที่เหมาะสม มีความอ่อนตัวและตอบสนองภารกิจ ได้รวดเร็ว กล่าวคือ ต้องมีขีดความสามารถที่จะก่อให้เกิดพลังอำนาจขึ้น ณ ตำบล และเวลาที่ต้องการใน การดำเนินการหลัก ๆ ที่กองทัพบกได้กำหนดในเรื่องนี้คือ การปรับโครงสร้างกองพลทหารราบ ให้


๙๔ XX เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยจัดเป็น ๓ รูปแบบ คือ กองพลทหารราบเบา กองพลทหารราบยานยนต์ และ กองพล ทหารราบยานเกราะ สำหรับการจัดหน่วยทหารราบดังกล่าวมีความมุ่งหมายดังต่อไปนี้ ๑. ทหารราบเบา ( LIGHT INFANTRY ) การจัดหน่วยในรูปแบบนี้จัดตามความมุ่งหมาย และ วัตถุประสงค์ของกองทัพบกโดยเฉพาะ สำหรับใช้ในภารกิจสนองตอบผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง ใน ด้านการรักษาความมั่นคงภายในการป้องกันประเทศ และภารกิจอื่น ๆ ตามความเหมาะสม โดยให้สามารถ ทำการรบเป็นอิสระปฏิบัติการในภูมิประเทศ และลมฟ้าอากาศที่ยากลำบากได้ ๒. ทหารราบยานยนต์( MOTORIZED INFANTRY ) การจัดหน่วยในรูปแบบนี้มีความมุ่ง หมายที่จะให้เป็นแบบมาตรฐานคือ สามารถเข้าตี ตั้งรับ และร่นถอย อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือ สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยยานพาหนะในอัตราได้ ๑๐๐% ๓. ทหารราบยานเกราะ ( MECHANIZED INFANTRY ) การจัดหน่วยในรูปแบบนี้มุ่งหมายที่ จะให้มีความทันสมัย พร้อมที่จะรับสถานการณ์ได้ทุกรูปแบบสอดคล้องกับสภาวสงครามในอนาคต รวมทั้ง รูปแบบของสงครามนิวเคลียร์ ชีวะ เคมี โดยมีลักษณะพิเศษ ได้แก่ อำนาจทำลายขวัญ อำนาจการยิงรุนแรง มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูง มีเกราะกำบัง ต่อสู้รถถัง สามารถผสมเหล่ากับทหารม้าและทหารปืน ใหญ่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผังการจัดกองพลทหารราบเบา ๑๐๕ มม.(ลจ.) ๑๕๕ มม.(ลจ.) บก.และ ร้อย. บก. ลว.. ลว.ไกล บ. สพบ. สห. พธ. ช. ส. สร. บก.และ ร้อย. บก. กรม สน.


๙๕ ภารกิจ ทำลายกำลังข้าศึก และยึดครองพื้นที่ ขีดความสามารถ ๑. ทำการรบเป็นอิสระนาน ๗๒ ชม.โดยไม่ต้องส่งกำลังเพิ่มเติม ๒. ปฏิบัติการรบในภูมิประเทศ และลมฟ้าอากาศที่ยากลำบาก ๓. ปฏิบัติการรบแบบจู่โจม และการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศได้อย่างจำกัด ลักษณะการใช้หน่วยทางยุทธวิธี ๑. หน่วยทหารราบเบาใช้ปฏิบัติการอย่างฉับพลัน และในการแทรกซึมเข้าปฏิบัติการรบ เป็นหน่วย ที่เหมาะสมในการคลี่คลายสถานการณ์ สามารถรุกเข้าประชิดข้าศึก ยึดภูมิประเทศและทำลายหรือจับข้าศึก เป็นเชลย ๒. ภายใต้สภาพการรบตามแบบ ทหารราบเบาจะเป็นหน่วยกำลังรบที่สามารถเข้าปฏิบัติการใน พื้นที่ที่มีความลึก ได้ตลอดทั่วพื้นที่การยุทธ์ ไม่ว่าจะทำการรุกโดยการโอบทางดิ่ง ในทางยุทธศาสตร์ทำการรุก หรือยึดรักษาภูมิประเทศอย่างเหนียวแน่นในยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ ๓. การรักษาความมั่นคงภายใน หน่วยทหารราบเบาได้ถือว่าเป็นกำลังรบที่พึงประสงค์สำหรับการ เข้าเผชิญต่อปัญหาการคุกคาม ที่จะเกิดขึ้นทุกรูปแบบ ด้วยความรวดเร็ว จู่โจม และอ่อนตัวในสถานการณ์การ ป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ (ปปส.) ได้อย่างเหมาะสม ผังการจัดกรมทหารราบเบา ๑. ภารกิจทำลายกำลังรบของข้าศึกเข้ายึด และควบคุมพื้นที่รวมทั้งประชาชนและทรัพยากรใน พื้นที่ ๒. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพลทหารราบ ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ ปฏิบัติการรบอย่างต่อเนื่อง ต่อกำลังรบของข้าศึกที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเดียวกัน หรือต่ำกว่าภายในกรอบของกองพล หรือปฏิบัติการเป็นเป็นอิสระเมื่อได้รับการเพิ่มเติมกำลังอย่างเหมาะสม ๓.๒ ปฏิบัติการในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศหรือสภาพอากาศที่ยากลำบาก ๓.๓ ควบคุมประชากร และฟื้นฟูระเบียบเรียบร้อยในดินแดนที่ยึดได้ ๓.๕ เข้าร่วมในการปฏิบัติการทางทหารเพื่อรักษาความมั่นคงภายใน บก.และ ร้อย บก. ค.หนัก


๙๖ ผังการจัดกองพันทหารราบเบา ๑. ภารกิจ ทำการสู้รบกับข้าศึกที่มีการจัดแบบเบา ในทุกสภาพภูมิประเทศ และข้าศึกที่มีการจัด แบบหนักเฉพาะในสภาพภูมิประเทศแบบปิด ดังนี้ ๑.๑ เข้าประชิดเพื่อทำลายกำลังข้าศึก หรือ ยึดภูมิประเทศ ๑.๒ ป้องกัน รั้งหน่วง และรบกวนเพื่อรักษาภูมิประเทศหรือทำลายกำลังข้าศึก ๑.๓ ดำเนินการปฏิบัติการทางทหารในภูมิประเทศแบบในเมือง ๑.๔ ปฏิบัติการรบหลังแนวข้าศึกหรือเป็นส่วนหนึ่งของการยุทธบรรจบ เมื่อได้รับการเสริมความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ทางยุทธวิธี ๑.๕ ดำเนินการปฏิบัติการทางทหาร เพื่อรักษาความมั่นคงภายใน ๒. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกรมทหารราบ ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ จัดให้มีฐานยิงและดำเนินกลยุทธได้ ๓.๒ ยึดและรักษาภูมิประเทศได้ในห้วงเวลาจำกัด ๓.๓ ให้การยิงสนับสนุนแก่หน่วยในอัตราและหน่วยที่ขึ้นสมทบ ๓.๔ เข้าประชิดและทำลายกำลังทหารราบข้าศึกที่มีการจัดแบบเบา ได้ทั้งในความขัดแย้งระดับ ต่ำถึงระดับกลาง ๓.๕ ปฏิบัติการรบได้ในสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ยากลำบาก ๓.๖ เป็นกองกำลังที่ใช้ในการครองความริเริ่มในการปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว ๓.๗ ปฏิบัติการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศได้ เมื่อได้รับการสนับสนุนอากาศยานเพียงพอ ๓.๘ เข้าร่วมในการปฏิบัติการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบกได้ ๓.๙ ปฏิบัติการเป็นอิสระภายใต้การส่งกำลังบำรุงอย่างจำกัด เป็นเวลานานไม่เกิน ๗๒ ชม. ๓.๑๐ ปฏิบัติการรบในเวลากลางคืนได้เป็นอย่างดี ๓.๑๑ ทำการป้องกันต่อสู้ยานเกราะ รถถัง และอากาศยานได้อย่างจำกัด ๓.๑๒ เคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตราได้เฉพาะ บก.พัน.และ ร้อย. บก. อัตราลด กำลังพล/ยุทโธปกรณ์ที่กำหนดขึ้นไว้สำหรับให้หน่วยบรรจุ ขีดความสามารถลดลง ผังการจัดกองพลทหารราบยานยนต์ พัน.ร. บก.และร้อย บก. ร้อย.อวบ.


๙๗ ภารกิจ ทำลายกำลังข้าศึก และยึดครองพื้นที่ ขีดความสามารถ ๑. ทำการรบเป็นอิสระ ๒. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก และวิธีรับ ๓. ปฏิบัติการรบในภูมิประเทศ และลมฟ้าอากาศที่ยากลำบาก ๔. สามารถต่อสู้รถถังได้ ๕. สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ % ๖. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดำเนินกลยุทธได้ ๑๕ กองพัน ลักษณะการใช้หน่วยทางยุทธวิธี ๑. หน่วยทหารราบยานยนต์ เป็นหน่วยทหารราบมาตรฐานที่ใช้ปฏิบัติการรบตามหลักนิยม ทางยุทธวิธีของทหารราบได้อย่างมีประสิทธิภาพครบทุกประการและเพิ่มลักษณะเฉพาะของหน่วย คือ ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ๒. การพิจารณาใช้ทหารราบยานยนต์เข้าทำการรบที่สำคัญได้แก่ การมุ่งเน้นถึงคุณสมบัติ และการประกอบกำลังอย่างเหมาะสม ๑๐๕ มม. (อจ.) ๑๕๕ มม.(ลจ.) บก.และ ร้อย. บก.ลว. ลว.ไกล ตถ. บ. สห. สน. ช.ส. สบร. ซบร. สร. บก.และ ร้อย. บก. XX บก.และ ร้อย. บก.


๙๘ ๓. ความสำเร็จในการปฏิบัติการรบขึ้นอยู่กับ การรวมอำนาจกำลังรบที่สูงสุด ณ ตำบลและ เวลาที่จะให้เกิดผลแตกหัก ๔. ในการปฏิบัติการรบ สามารถทำการรบได้ทุกสภาพภูมิประเทศ และทุกสภาพลมฟ้า อากาศ ทั้งกลางวันและกลางคืน ๕. ยึดและรักษาภูมิประเทศไว้อย่างเหนียวแน่น ๖. การปฏิบัติเชิงรุกตามลักษณะบทบาทของหน่วย ด้วยการเคลื่อนที่และสนับสนุนแก่กำลังรบ ของทหารราบประเภทอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๗. ขยายผลโดยทันทีทันใดในขั้นสุดท้ายของการรบ ผังการจัดกรมทหารราบยานยนต์ ๑. ภารกิจ ทำลายกำลังรบของข้าศึก เข้ายึดและควบคุมพื้นทั้งรวมทั้งอประชาชนและทรัพยากร ในพื้นที่ ๒. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพลทหารราบ ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ ควบคุมบังคับบัญชา และดำเนินงานทางธุรการต่อกองพันทหารราบ และหน่วยทหารใน อัตรา ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก และการรบด้วยวิธีรับ รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามการก่อความ ไม่สงบ (ปปส.) ๓.๒ ปฏิบัติการรบอย่างต่อเนื่องต่อกำลังรบของข้าศึก ทีมีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเดียวกัน หรือต่ำกว่าภายในกรอบของกองพล หรือปฏิบัติการเป็นเป็นอิสระ เมื่อได้รับการเพิ่มเติมกำลังอย่าง เหมาะสม ๓.๓ ปฏิบัติการในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศหรือสภาพอากาศที่ยากลำบาก ๓.๔ เข้าควบคุมประชากรในดินแดนที่ยึดได้ ๓.๕ ฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ที่ยึดได้ ผังการจัดกองพันทหารราบยานยนต์ บก.และ ร้อย. บก. ค.หนัก ตถ. รสพ.


๙๙ ภารกิจ ๑. เข้าประชิดข้าศึก โดยใช้อำนาจการยิงและการดำเนินกลยุทธเพื่อจับหรือทำลายข้าศึก ๒. ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง และการรบประชิด ขีดความสามารถ ๑. สามารถจัดให้มีฐานยิงและดำเนินกลยุทธได้ ๒. สามารถใช้การยิงและเคลื่อนที่เข้าประชิดและทำลายข้าศึกได้ ๓. สามารถยึดและรักษาภูมิประเทศได้ ๔. สามารถผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด หรือการตีโต้ตอบ ๕. สามารถทำการป้องกันต่อสู้รถถังได้ในลักษณะจำกัด ผังการจัดกองพลทหารราบยานเกราะ พัน.ร. บก./ร้อย. สสก. ร้อย. สสช. ร้อย.อวบ.


๑๐๐ ภารกิจ ทำลายข้าศึกและยึดครองพื้นที่ ขีดความสามารถ ๑. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกและวิธีรับ ๒. สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วในการเจาะลึกและไล่ติดตาม ๓. สามารถกระจายกำลังได้เป็นบริเวณกว้างและรวมกำลังได้อย่างรวดเร็ว ๔. สามารถต่อสู้รถถังได้ ๕. สามารถปฏิบัติการรบเป็นหน่วยกำบัง ๖. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดำเนินกลยุทธได้ ๑๕ กองพัน. ลักษณะการใช้หน่วยทางยุทธวิธี กองพันทหารราบยานเกราะ จากลักษณะโครงสร้างการจัด เหมาะที่จะใช้เป็นหน่วยรุกทางยุทธวิธี การที่จะให้ทหารราบยานเกราะทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดนั้นจะต้อง จัดเป็นกำลังรบเฉพาะกิจผสมเหล่า ที่มีความสมบูรณ์และความอ่อนตัว โดยมีทหารราบยานเกราะเป็นหลัก เหล่าทำหน้าที่สนับสนุน ซึ่งทั้งนี้มีจุดหมายที่แน่ชัดคือ การเข้าทำลายข้าศึกโดยอาศัยคุณลักษณะของยาน XX บก.และ ร้อย. บก.ลว. ลว.ไกล ตถ. บ. สห. สน. ช. ส. ซบร สบร. . สร. บก.และ ร้อย บก. บก.และ ร้อย. บก. ๑๕๕ มม.(อจ.)


๑๐๑ เกราะทั้งหมด หรือการผสมผสานคุณลักษณะของยานเกราะ และทหารราบยานเกราะที่ลงจากรถทำการรบ บนพื้นดิน ในสงครามที่หวังผลแตกหัก หรือในการมุ่งยึดที่หมายที่ต้องใช้ความรุนแรงและรวดเร็วควรใช้ทหาร ราบยานเกราะเพราะมีคุณลักษณะพิเศษ ได้แก่ อำนาจทำลายขวัญ อำนาจการยิงที่รุนแรง เกระกำบังความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ตลอดจนมีทหารราบที่สามารถลงจากยานเกราะทำการรบเดินเท้า เพื่อเข้าประชิด และเข้ายึดรักษาภูมิประเทศ ซึ่งเป็นเสมือนกำลังอันแข็งแรงที่สามารถสร้างความสูญเสียและทำลายความเป็น ปึกแผ่นของข้าศึกลงได้ในทันที่ ผังการจัดกรมทหารราบยานเกราะ กรมทหารราบยานเกราะ นามหน่วย กรมทหารราบที่……… ๑. ภารกิจ ทำลายกำลังของข้าศึก เข้ายึดและควบคุมพื้นที่ รวมทั้งประชาชนและทรัพยากรใน พื้นที่ ๒. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพลทหารราบยานเกราะ ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ ควบคุม บังคับบัญชา และดำเนินงานทางธุรการต่อ กองพันทหารราบยานเกราะ และ หน่วยในอัตราในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกและการรบด้วยวิธีรับ รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามการก่อ ความไม่สงบ ๓.๒ ปฏิบัติการรบอย่างต่อเนื่องต่อกำลังรบของข้าศึก ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเดียวกันหรือ ต่ำกว่า ในกรอบของกองพัน หรือปฏิบัติการเป็นอิสระเมื่อได้รับการเพิ่มเติมกำลังอย่างเหมาะสม ๓.๓ ปฏิบัติในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศหรือสภาพอากาศยากลำบาก ๓.๔ เข้าควบคุมประชากรในดินแดนที่ยึดได้ ๓.๕ ฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ที่ยึดได้ ๓.๖ มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ๑๐๐% บก.และ ร้อย. บก.


๑๐๒ ผังการจัดกองพันทหารราบยานเกราะ ภารกิจ ๑. เข้าประชิดข้าศึกโดยใช้อำนาจการยิงและการดำเนินกลยุทธเพื่อทำลายและจับข้าศึก ๒. ผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ ขีดความสามารถ ๑. จัดให้มีฐานยิงและส่วนดำเนินกลยุทธ ๒. ยึดและรักษาภูมิประเทศได้ ๓. ให้การยิงสนับสนุนหน่วยในอัตรา และหน่วยขึ้นสมทบ ๔. ปฏิบัติการเป็นอิสระในห้วงระยะเวลาจำกัด ๕. ทำการต่อสู้รถถังได้ ๖. ทำการลาดตระเวนระยะไกล เมื่อได้รับการเพิ่มเติมยุทโธปกรณ์อย่างเหมาะสม ๗. เพิ่มขีดความสามารถขึ้น เมื่อเข้าปฏิบัติการด้วยการจัดกำลังรบ เป็นชุดรบทหารราบ รถถัง ๘. มีความคล่องแคล่วในภูมิประเทศ และสามารถเคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตราได้ ๑๐๐ % ๙. ปฏิบัติการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศได้ เมื่อได้รับการสนับสนุนการขนส่งทางอากาศอย่าง เพียงพอ ๑๐. เข้าร่วมปฏิบัติการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบกได้ ๑๑. ทำการต่อสู้อากาศยานได้อย่างจำกัด กองพันทหารราบ ยานเกราะ บก.และ ร้อย บก. กองร้อยสนับสนุนการรบ กองร้อยทหารราบยานเกราะ


๑๐๓ เหล่าทหารม้า CAVALRY ประวัติศาสตร์และเกียรติภูมิของทหารม้าไทย เมื่อพุทธศักราช ๒๓๐๙ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งขณะนั้นทรงพระยศเป็นพระยา วชิร ปราการ ทรงพิจารณาเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาราชธานี คงต้องเสียทีแก่ข้าศึกเป็นแน่แท้ จึงตัดสินพระทัย รวบรวมทหารกล้าได้จำนวนหนึ่ง อันประกอบด้วย ทหารเอก คู่พระทัย ๔ คน คือ หลวงพิชัยอาสา,หลวง พรหมเสนา,ขุนอภัยภักดี และหมื่นราชเสน่หาพร้อมด้วยทหารเดินเท้าและ ครอบครัวอีกประมาณ ๕๐๐ คน ตีวงล้อมของข้าศึกมาทางทิศตะวันออก ครั้นถึงบริเวณบ้านพรานนก ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็เป็นเวลาพลบค่ำพอดี ทรงรับสั่งให้หยุดพักแรมเพื่อให้ทหารที่สู้รบมาตลอดได้ พักผ่อน พยาบาลผู้บาดเจ็บ และหาเสบียง ระหว่างการลาดตระเวนหาข่าวและเสบียง ก็ได้ทราบว่ามีทหารฝ่ายข้าศึกยกกำลังติดตามมา ซึ่ง ส่วนล่วงหน้าเป็นทหารม้าจำนวน ๓๐ ม้า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงเสด็จขึ้นทรงม้า นำทหารเอกคู่ พระทัย ๔ คน และทหารเดินเท้าอีกจำนวนหนึ่งออกสู้รบกับข้าศึกทันที ยังผลให้ทหารม้าของฝ่ายข้าศึกถูก ฆ่าตายทั้งหมด ทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ จุลศักราช ๑๑๒๘ ตรงกับวันที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๓๐๙ ซึ่งทหารม้าไทยได้ยึดถือว่า ในวันที่ ๔ มกราคม ชองทุกปีเป็น วันทหารม้า จากชัยชนะที่บ้านพรานนกในครั้งนั้น ทำให้ทหารไทยมีใจฮึกเหิมและมีกำลังใจในการสู้รบกับข้าศึก ตลอดมา จนในที่สุดก็สามารถกอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืนมาได้ ภายในระยะเวลาเพียง ๗ เดือน เท่านั้น ด้วยพระปรีชาสามารถ วีรกรรมของพระองค์ท่าน ดังได้กล่าวมาเพียงย่อ ๆ นี้ มวลทหารม้าแห่ง กองทัพไทยต่างก็เทิดทูนพระองค์เยี่ยงพระบุรพาจารย์แห่งการสู้รบบนหลังม้า และเป็นพระบิดาแห่งตน สืบ ทอดกันมาช้านานตราบเท่าทุกวันนี้ กล่าวทั่วไป เหล่าทหารม้าตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงทุกวันนี้ ประเทศมหาอำนาจทุกประเทศได้มีการ พัฒนาการจัดและหลักนิยมการใช้โดยแน่นอน โดยถือว่าเป็นส่วนกำลังรบหลัก เป็นหน่วยกำลังทางบกที่ทรง ประสิทธิภาพในการทำลายกำลังทางบกของข้าศึก เป็นเครื่องมือหลักอันสำคัญยิ่งของผู้บังคับบัญชาในการใช้ ตัดสินการยุทธแตกหัก ณ ยุทธบริเวณที่กำหนดทหารม้ามิใช้หน่วยสนับสนุนการรบอย่างที่เคยใจกัน ทหาร ม้าเป็นหน่วยที่ใช้สำหรับดำเนินกลยุทธเข้าทำลายล้างอำนาจกำลังรบของข้าศึก ไม่ยึดพื้นที่เหนียวแน่น จะ ยึดพื้นที่ก็เพื่อปรับกำลังใหม่เพื่อเข้าดำเนินกลยุทธต่อไป ทหารม้าของไทยเรานำหลักนิยม การจัด วิธีรบของหน่วยยายเกราะของกองทัพบกสหรัฐ ฯ มา ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางยุทธการของประเทศ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา หลักนิยม การจัด และวิธีรับ เหล่าทหารม้าของ ทบ.ไทยจึงไม่ได้กำหนดขึ้นโดยแน่ชัด อย่างไรก็ตาม หลัก นิยม และวิธีรบของทหารม้าโดยทั่วไปของทุกชาติดูจะไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กาลเวลา ที่ผ่านมามิได้เปลี่ยนแปลงหลักนิยมพื้นฐานของทหารม้าเลย แต่ได้ทีการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปตามเทคนิคของ


๑๐๔ อาวุธสมัยใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพเหนือฝ่ายตรงข้าม ด้วยคุณลักษณะของความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ทุกสภาพภูมิประเทศ อำนาจการยิงรุนแรง อำนาจการกระแทก หรือกำลังชนรวมกำลังเข้าประชิดข้าศึกได้ อย่างรวดเร็วและรุนแรง ก่อให้เกิดอำนาจการทำลายและข่มขวัญสูง ทำให้ทหารม้ามีหลักนิยมและวิธีรบ เป็นของตนเอง รวมทั้งบทเรียนจากการรบที่ผ่านมาของทั้งกองทัพบกไทย และของประเทศ ทำให้เรา สามารถนำมาพัฒนาเป็นหลักนิยมและวิธีรบของเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทย เพื่อเป็นหลักพื้นฐานอันเป็น แนวทางยึดถือในการปฏิบัติของหน่วยทหารม้าทุกระดับต่อไป หลักนิยม ภารกิจ การจัด กล่าวทั่วไป เหล่าทหารม้าตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศมหาอำนาจทุกประเทศได้มีการพัฒนาการ จัดและหลักนิยมการใช้โดยแน่นอน โดยถือว่าเป็นส่วนกำลังรบหลัก เป็นหน่วยกำลังทางบกที่ทรง ประสิทธิภาพในการทำลายกำลังทางบกของข้าศึก เป็นเครื่องมือหลักอันสำคัญยิ่งของผู้บังคับบัญชาในการใช้ ตัดสินการยุทธแตกหัก ณ ยุทธบริเวณที่กำหนด ทหารม้ามิใช่หน่วยสนับสนุนการรบอย่างที่เคยเข้าใจกัน ทหารม้าเป็นหน่วยที่ใช้สำหรับดำเนินกลยุทธเข้าทำลายล้างอำนาจกำลังรบของข้าศึก ไม่ยึดพื้นที่เหนียวแน่น จะหยุดยึดพื้นที่ก็เพื่อปรับกำลังใหม่เพื่อเข้าดำเนินกลยุทธต่อไป ทหารม้าของไทยเรานำหลักนิยมการจัด วิธีรบ ของหน่วยยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐ ฯ มา ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการยุทธของประเทศ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้น มา หลักนิยม การจัด และวิธีรบ เหล่าทหารม้าของ ทบ.ไทยจึงยังไม่ได้กำหนดขึ้นโดยแน่ชัด อย่างไรก็ ตาม หลักนิยม และวิธีรบของทหารม้าโดยทั่วไปของทุกชาติดูจะไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กาลเวลาที่ผ่านมามิได้เปลี่ยนแปลงหลักนิยมพื้นฐานของทหารม้าเลย แต่ได้มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปตาม เทคนิคของอาวุธสมัยใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพเหนือฝ่ายตรงข้าม ด้วยคุณลักษณะของความคล่องแคล่วใน การเคลื่อนที่ในทุกสภาพภูมิประเทศ อำนาจการยิงที่รุนแรง อำนาจแรงกระแทก หรือกำลังชนรวมกำลังเข้า ประชิดข้าศึกได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ก่อให้เกิดอำนาจการทำลายและข่มขวัญสูง ทำให้ทหารม้ามีหลัก นิยมและวิธีรบเป็นของตนเอง รวมทั้งบทเรียนจากการรบที่ผ่านมาของทั้งกองทัพบกไทย และของ ต่างประเทศ ทำให้เราสามารถนำมาพัฒนาเป็นหลักนิยมและวิธีรบของเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทย เพื่อ เป็นหลักพื้นฐานอันเป็นแนวทางยึดถือในการปฏิบัติของหน่วยทหารม้าทุกระดับต่อไป ทหารม้า เป็นแนวความคิดในการใช้คุณลักษณะของความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ อำนาจการ ยิง และอำนาจการทำลายข่มขวัญ เข้าทำการรบด้วยยานเกราะที่มีอำนาจสูงสุดทำให้กำลังรบข้าศึกพ่ายแพ้ ไป หน่วยทหารม้าจะประกอบด้วย หน่วยรถถัง หน่วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะ หน่วยทหารม้า ลาดตระเวน และหน่วยที่แบ่งมอบให้กับหน่วยทหารม้า ได้แก่ ปืนใหญ่ ทหารช่าง และหน่วยบินทหารบก สนับสนุนด้วยข่ายการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วคล่องตัว และ ระบบการส่งกำลังบำรุงแบบเคลื่อนที่ บทบาทของทหารม้า บทบาทของหน่วยทหารม้าเป็นการปฏิบัติที่ต้องการความเด็ดขาด ในการยุทธเคลื่อนที่เร็วทาง พื้นดินโดยใช้ยานรบทางพื้นดินและทางอากาศ โดยปกติ ทหารม้าจะมีลักษณะที่เข้าทำการรบด้วยวิธีรุกเป็น หลัก และดำรงคุณลักษณะได้ด้วยการใช้ยานรบอย่างชำนาญ บทบาทนี้ปฏิบัติได้โดยใช้ หน่วยทหารม้าใน กองพลทหารม้า และหน่วยทหารม้านอกกองพลทหารม้า บทบาทที่เหมาะสมสำหรับหน่วยทหารม้าสามารถกำหนดให้เห็นเด่นชัดได้ ๒ แบบ คือ


๑๐๕ ก. ทำการรบอย่างเป็นปึกแผ่นปฏิบัติการเป็นอิสระ โดยให้ภารกิจขึ้นกับ ความเร็ว อำนาจ การยิง อำนาจการทำลายข่มขวัญ และ รัศมีปฏิบัติการไกล ทำการรบตามหลักนิยมของทหารม้า โดยเป็น อาวุธในอุดมคติสำหรับการตีโต้ตอบ เป็นอาวุธรุกรานทางยุทธศาสตร์เป็นอาวุธที่ผู้บังคับบัญชากองทัพ สามารถใช้สำหรับการรบแตกหัก ตามปกติ บทบาทนี้จะปฏิบัติโดย กองพลทหารม้า กรมทหารม้า และ กรมทหารม้าลาดตระเวนของกองทัพ ข. สนับสนุนทหารราบโดยใกล้ชิด เป็นบทบาทที่หน่วยทหารม้าสนับสนุนภารกิจของทหารราบ เป็นหลัก โดยทำการรบเป็นปึกแผ่นในระดับกองพันทหารม้ารถถัง หรือจัดเป็นชุดรบร่วมกับทหารราบ ทำ การรบเพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารราบ ตามปกติบทบาทนี้ จะปฏิบัติโดยหน่วยทหารม้าที่แบ่งมอบให้กับ หน่วยทหารราบ ภารกิจของทหารม้า ทหารม้า เป็นหน่วยกำลังรบของกองทัพบก ภารกิจของทหารม้าโดยทั่วไปคงเป็นเช่นเดียวกับ ภารกิจของหน่วยรบอื่น ๆ คือ ทำลายและจับข้าศึกเป็นเชลย ยึดรักษาหรือขัดขวางการใช้ภูมิประเทศ ป้องกันกำลังส่วนใหญ่ และหาข่าวสาร ทหารม้า เป็นหน่วยกำลังรบในลักษณะการผสมกำลัง เพื่อให้มีระดับความสามารถสูงในเรื่องความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ อำนาจการยิงที่รุนแรง การติดต่อสื่อสารที่อ่อนตัวรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ด้วยหน่วยยานรบทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ ทหารม้าสามารถทำการรบได้ทุกขั้นตอนของสงคราม ทุก แบบของการรบในสภาพลมฟ้าอากาศที่เลวร้าย และทุกภูมิประเทศ โดยการจัดกำลังผสมให้เหมาะสมกับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ในสงครามที่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ทหารม้าก็เป็นหน่วยที่เหมาะสมที่จะใช้ในการ รบ เนื่องจากมีเกราะป้องกันความร้อนและแรงกดดันอย่างรุนแรง รวมทั้งรังสีจากการระเบิดของอาวุธ นิวเคลียร์สามารถป้องกันพลประจำรถให้ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ทหารม้าสามารถดำเนินกลยุทธและ ต่อสู้ได้ในขณะที่หน่วยทหารเหล่าอื่น ๆ ต้องขุดหลุมกำบังตัว หรือต้องหลีกเลี่ยงจากพื้นที่รังสีตกค้าง จากการที่หน่วยทหารม้า เป็นหน่วยกำลังรบที่มีระดับความสามารถสูงกว่ากำลังรบอื่นในด้านความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ มีอำนาจการยิงอย่างรุนแรงในตัวเอง มีเกราะกำบังซึ่งก่อให้เกิดอำนาจการ ทำลายข่มขวัญสูงสุด รวมทั้งความอ่อนตัวในการจัดด้วยการผสมกำลังได้อย่างเหมาะสม และมีระบบการ ติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อสนองตอบคำสั่งที่ต้องการอำนาจกำลังรบสูงสุดในทุก สถานการณ์ ทหารม้าจึงเหมาะสมที่จะใช้สำหรับปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเข้าประชิดและ ทำลายกำลังข้าศึก ขยายผลแห่งความมีชัย และขยายผลจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ชีวะ เคมี ดังนั้น ภารกิจที่ควรมอบให้ทหารม้า คือ ก. การเจาะลึกและการโอบปีกกว้าง หน่วยทหารม้าขนาดใหญ่ในรูปขบวนรบที่มีความคล่องแคล่วในสนามรบ และมีขีด ความสามารถในการดำเนินกลยุทธอย่างเป็นปึกแผ่นด้วยกำลังเป็นกลุ่มก้อนทั้งหมด หรือเพียงบางส่วนเพื่อ ก่อให้เกิดความกดดันอย่างมหาศาลจากการยิงสนับสนุน ก่อให้เกิดกำลังที่ทรงอำนาจ และมีพลังโถม กระแทก ในการเจาะลึกและโอบปีกกว้าง ในพื้นที่ส่วนหลังของข้าศึกหน่วยทหารม้าส่วนนี้จะมีเสรีในการ ปฏิบัติอย่างยิ่งเมื่อใช้ดำเนินกลยุทธเพื่อยึดที่หมายแตกหักทำลายการติดต่อสื่อสาร ที่บังคับการ ที่ตั้งจรวด ปืนใหญ่ กองหนุนหรือที่ตั้งทางการส่งกำลัง ข. การขยายผลและไล่ติดตาม หน่วยทหารม้า จะมีอำนาจกำลังรบเพียงพอที่จะเลือกโอกาสในการขยายผล หรือไล่ติดตามได้ เอง ทั้งยังเป็นหน่วยกำลังรบแตกหักให้ผู้บังคับบัญชาในการขยายผล หรือไล่ติดตามต่อจากความสำเร็จของ หน่วยอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย


๑๐๖ ค. การตั้งรับแบบคล่องตัว หน่วยทหารม้า เป็นหน่วยในอุดมคติที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการปฏิบัติการตั้งรับแบบ คล่องตัวในพื้นที่กว้างด้านหน้ามาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหน่วยทหารม้ามีพื้นฐานการจัดสำหรับการ ปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก การใช้หน่วยทหารม้าได้ดีที่สุดในการรบด้วยวิธีรับก็คือเป็นกำลังในการตีโต้ตอบ หรือเป็นกองหนุนของหน่วยเหนือที่ทรงอำนาจในการทำลายกำลังเข้าตีของข้าศึก ณ ยุทธบริเวณที่กำหน ง. การทำลายรูปขบวนยานเกราะข้าศึก การทำลายรูปขบวนยานเกราะข้าศึก เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อผลสำเร็จในการรบทาง ภาคพื้นดิน และต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการรบด้วยวิธีรุก และวิธีรับ โดยรถถังของทหารม้าจะเป็น อาวุธเคลื่อนที่หลักในการทำลายยานเกราะข้าศึก จ. การลาดตระเวนและการระวังป้องกัน เนื่องจากอาวุธสมัยใหม่มีระยะยิงไกลขึ้นและมีอำนาจการทำลายมากขึ้น หน่วยต้องกระจาย กำลังกันออกไปเพื่อลดอันตรายที่จะเกิดร่วมกันทำให้ความจำเป็นและความต้องการในการลาดตระเวนและ ระวังป้องกันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภารกิจลาดตระเวนและระวังป้องกันต้องการหน่วยที่มีความสามารถใน การรบทางพื้นดินที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูง ซึ่งในบางสถานการณ์ หน่วยอาจต้องทำการรบใน ขีดความสามารถของตนเอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ และ แจ้งเตือนเกี่ยวกับข้าศึก หน่วยทหารม้า ลาดตระเวนสามารถทำการลาดตระเวนให้กับหน่วยเหนือทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ เป็นกำลังที่เหมาะสม สำหรับผู้บังคับบัญชาใช้ในการลาดตระเวน การกำบัง การคุ้มกัน การทำฉากกำบัง การระวังป้องกันพื้นที่ ส่วนหลังหรือใช้สนับสนุนการปฏิบัติการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศ และยังเป็นหน่วยที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้ ในการต่อต้าน การปฏิบัติการยุทธส่งทางอากาศ การปฏิบัติการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศ และการรบแบบ กองโจร ฉ. การออมกำลัง ทหารม้าลาดตระเวน เป็นการจัดและการประกอบกำลังตามอุดมคติเพื่อปฏิบัติภารกิจการออม กำลัง อำนวยให้ผู้บังคับบัญชาสามารถใช้กำลังรบส่วนใหญ่ ดำเนินกลยุทธในพื้นที่อื่นที่หวังผลแตกหักได้ ช. การสนับสนุนทหารราบอย่างใกล้ชิด ภารกิจนี้ส่วนใหญ่กระทำให้สำเร็จได้โดย กองพันทหารม้ารถถังของกองพลทหารราบไม่ว่าจะ ใช้เป็นหน่วยกองพัน หรือ แยกสมทบกรมทหารราบ กองพันทหารม้ารถถัง จะเพิ่มอำนาจการยิงและความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ให้กับทหารราบในการเข้าตีและตั้งรับและให้มีขีดความสามารถของอำนาจการ ทำลายยานเกราะสูงขึ้น จากภารกิจที่ควรมอบให้ทหารม้าดังกล่าวแล้ว จึงอาจสรุปเป็นภารกิจมูลฐานของทหารม้าได้ คือ ภารกิจ ลาดตระเวน ระวังป้องกัน ออมกำลัง และ การดำเนินกลยุทธหลัก การแบ่งประเภททหารม้า ภารกิจเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่จะกำหนดการจัดกำลังของหน่วยต่าง ๆ ดังนั้นในการจัด หน่วยทหารม้า จึงควรพิจารณาให้เหมาะสมกับภารกิจ คือ ก. ภารกิจในการลาดตระเวน ระวังป้องกัน และออมกำลัง เป็นภารกิจที่ต้องการหน่วยที่สามารถปฏิบัติการเป็นอิสระได้อย่างอ่อนตัวตามสถานการณ์ เฉพาะที่จะเกิดขึ้น และมีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูงกว่าความคล่องแคล่วของกำลังรบฝ่ายเดียวกัน และกำลังรบฝ่ายข้าศึก สามารถทำการสู้รบด้วยยานรบทั้งทางพื้นดินหรือทางอากาศหรือลงรบเดินดิน ซึ่งจะ จัดเป็น หน่วยทหารม้าลาดตระเวน โดยมีโครงสร้างการจัดเป็นชุดรบผสมที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทุก ชนิด คือมี ส่วนลาดตระเวน ส่วนดำเนินกลยุทธทางพื้นดิน ส่วนรถถัง และ ส่วนยิงสนับสนุนในตัวเอง


๑๐๗ ตั้งแต่ระดับหมวดขึ้นไปจนถึงระดับกองพันทำให้สามารถปฏิบัติภารกิจมูลฐานบรรลุผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี โดยอาจพิจารณาใช้เป็นหน่วยลาดตระเวน หน่วยกำบังหรือคุ้มกัน หรือทำฉากกำบังให้กับหน่วยทหารขนาด ใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของกองหนุน เกาะข้าศึก หรือ เป็นหน่วยติดต่อระหว่างกำลังฝ่ายเรา ตั้งรับ รั้งหน่วง เข้าตีโฉบฉวยในพื้นที่ส่วนหลังของข้าศึก รบกวน หรือเข้าตีลวง ฯลฯ หน่วยลาดตระเวนทางอากาศ หรือที่เรียกว่าหน่วยทหารม้าอากาศ ทำให้ขีดความสามารถใน การลาดตระเวน การระวังป้องกัน และการเฝ้าตรวจ ขยายขอบเขตกว้างขวาง และมีผลดียิ่งขึ้นและทำให้ การขนย้ายหน่วยติดอาวุธขนาดเบาทำได้รวดเร็วโดยคำนึงถึงข้อจำกัดของลักษณะภูมิประเทศเพียงเล็กน้อย เท่านั้น ข. ภารกิจในการดำเนินกลยุทธหลัก ภารกิจนี้จะจัดทหารม้าในรูปของหน่วยทหารม้ารถถัง และหน่วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ๑. หน่วยทหารม้ารถถัง มีภารกิจมูลฐานคือ เข้าประชิดและทำลายกำลังข้าศึกด้วยการยิง การดำเนินกลยุทธ และอำนาจการทำลายข่มขวัญ โดยประสานกับกำลังรบหน่วยอื่นหน่วยทหารม้ารถถัง สามารถปฏิบัติได้ทุกรูปแบบของการยุทธ และทุกประเภทของการดำเนินกลยุทธ เพราะว่า หน่วยทหารม้า รถถังมีอำนาจการยิงอยู่ในตัว มีความคล่องแคล่วในการ เคลื่อนที่ มีเกราะกำบัง และ มีอำนาจการ ทำลายข่มขวัญ หน่วยทหารม้ารถถังจึงสามารถพิจารณาใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะของหน่วยได้คือ ดำเนิน กลยุทธภายใต้การยิง ทำลายยานเกราะข้าศึก ขยายผลด้วยการทะลุทะลวงและขยายผลจากการใช้อาวุธ ทำลาย ภายใต้การสนับสนุนด้วยการยิงของอาวุธในอัตราและใช้สนับสนุนหน่วยทหารราบและทหารราบยาน ยนต์ ๒. หน่วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะ มีภารกิจมูลฐานคือ เข้าประชิดข้าศึกด้วยการยิงและ การดำเนินกลยุทธ เพื่อทำลายล้างหรือจับเป็นเชลยหรือเพื่อผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบ ประชิดและการตีโต้ตอบ หน่วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะเหมาะสำหรับการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกเป็นอย่าง ยิ่ง โดยจะไม่ยึดพื้นที่เหนียวแน่น จะหยุดยึดพื้นที่เฉพาะเพื่อปรับกำลังใหม่และเข้าดำเนินกลยุทธต่อไป และ เป็นหน่วยที่สามารถปฏิบัติภารกิจร่วมกับหน่วยทหารม้ารถถังได้อย่างดียิ่ง ดังนั้นเพื่อให้บรรลุภารกิจของเหล่าทหารม้า การจัดหน่วยทหารม้าเพื่อเข้าทำการรบแบบ มาตรฐาน จึงมีการจัดเป็น ๓ ประเภท คือ ทหารม้าลาดตระเวน ทหารม้ารถถัง และทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ซึ่งทั้ง ๓ ประเภทนี้ กองทัพบกเรียกว่า “ ทหารม้า ” ทั้งสิ้น คุณลักษณะของทหารม้า ความสำเร็จในการปฏิบัติการของทหารม้า ขึ้นอยู่กับการใช้คุณลักษณะอย่างเหมาะสมของเกราะ ป้องกันตัว อำนาจการยิง ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ อำนาจการทำลายข่มขวัญ การติดต่อสื่อสารที่ กว้างไกลและอ่อนตัวและการสนองตอบต่อคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว ก. อำนาจการยิงภายใต้เกราะกำบัง หน่วยทหารม้าประกอบด้วยอาวุธเคลื่อนที่ที่มีเกราะป้องกัน ได้แก่ ปืนกล เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่วิถีโค้งและปืนใหญ่รถถัง การใช้ทหารม้าจึงอยู่บนพื้นฐานของการรวบรวมระบบอาวุธ ซึ่งประกอบด้วยอาวุธของ ทหารม้ารถถัง ทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ทหารม้าลาดตระเวนทั้งทางพื้นดิน และทางอากาศ ปืนใหญ่วิถีโค้ง และ อาวุธสนับสนุนอื่น ๆ รถถัง จะเป็นอาวุธหลักของทหารม้าเป็นระบบอาวุธที่สมบูรณ์ในตัวเอง ซึ่งออกแบบให้เข้า ต่อสู้กับเป้าหมายข้าศึกได้ทุกชนิดในการรบบนยานรบ ปืนใหญ่รถถังเป็นอาวุธยิงเล็งตรงโดยใช้เป็นหลักใน


๑๐๘ การต่อสู้รถถังข้าศึกและเป้าหมายที่มีความแข็งแรงอื่น ๆ ปืนกลของรถถังใช้ตัดรอนหรือทำลายกำลังทหาร และเป้าหมายบอบบาง ทหารม้าลาดตระเวนทั้งทางพื้นดิน และทางอากาศเปรียบเสมือน ตาและหู ในการตรวจการณ์ และฟังการณ์ เพื่อกำหนดที่ตั้งข้าศึก ปืนใหญ่ และอาวุธยิงสนับสนุนอื่น ๆ ทำการยิงสนับสนุนเพื่อ ช่วยเหลือ หน่วยทหารม้ารถถังและหน่วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ในการเข้าประชิดและทำลายกำลัง ข้าศึก ส่วนรบ และ ส่วนสนับสนุนการรบของทหารม้า ประกอบด้วย ยานยนต์หุ้มเกราะ ซึ่ง สามารถป้องกันกระสุนปืนเล็ก สะเก็ดระเบิดจากกระสุนปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดของข้าศึก รวมทั้ง ผลจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ชีวะ เคมี ได้จากคุณลักษณะดังกล่าว ทำให้ผู้บังคับบัญชา สามารถใช้ทหาร ม้าเข้าดำเนินกลยุทธภายใต้การยิงของข้าศึก และ สามารถขยายผลได้สูงสุดจากการยิงของอาวุธยิงสนับสนุน ของฝ่ายเรา ข. ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ หน่วยทหารม้ามีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ ๑๐๐ % กำลังพล และ อาวุธ ยุทโธปกรณ์สำคัญได้กำหนดให้บรรทุกบนยานรบ ส่วนรบ และส่วนสนับสนุนการรบ มีความคล่องแคล่วใน การเคลื่อนที่ในภูมิประเทศสูง จากคุณลักษณะดังกล่าวทำให้ผู้บังคับบัญชาโยกย้ายอำนาจการยิง และ เปลี่ยนแปลงการจัดเฉพาะกิจได้อย่างรวดเร็ว และในเวลาอันสั้นที่ทหารม้าสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้ มีประสิทธิภาพในการสู้รบเหนือข้าศึก ณ พื้นที่ต่าง ๆ หน่วยบินทหารบกที่แบ่งมอบให้กับหน่วยทหารม้าจะ เพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของหน่วยทหารม้าให้มากขึ้น โดยให้ปฏิบัติการเฝ้าตรวจ การลาดตระเวน การส่งกำลัง การส่งกลับสายแพทย์อย่างจำกัด และการเคลื่อนย้ายหน่วยทหาร ค. อำนาจการทำลายข่มขวัญ อำนาจการทำลายข่มขวัญ เป็นการผสมอำนาจการทำลายทางวัตถุกับผลทางจิตวิทยาต่อ ข้าศึก ซึ่งเกิดจากการเข้าปะทะอย่างรุนแรง ด้วยอำนาจการยิงภายใต้เกราะกำบังของรถถัง และจากอาวุธ ยิงสนับสนุนของหน่วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะ การรวมอำนาจการยิงอย่างมหาศาล ผสมกับการเคลื่อนที่ ด้วยยานรบอย่างรวดเร็วของทหารม้า ทำให้เกิดอำนาจการทำลายข่มขวัญอย่างรุนแรงต่อข้าศึก อำนาจการ ทำลายข่มขวัญของทหารม้าจะยิ่งสูงขึ้น ถ้าเพิ่มเติมจำนวนรถถังและใช้อย่างเป็นปึกแผ่นเป็นกลุ่มก้อน โดย ผลของอำนาจการทำลายข่มขวัญในการใช้ทหารม้าเข้าโจมตีอย่างเหมาะสมนี้นอกจากจะสามารถให้ผลในการ ทำลายข่มขวัญข้าศึกอย่างเด็ดขาดแล้ว ยังเป็นการบำรุงขวัญทหารฝ่ายเราอีกด้วย ง. การติดต่อสื่อสารที่กว้างไกลและอ่อนตัว วิทยุ เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารหลักของหน่วยทหารม้า ทำให้หน่วยทหารม้ามีระบบการ ติดต่อสื่อสารที่จะนำมาใช้ได้ในทันที และมีความอ่อนตัวสูง ในการติดต่อกับ หน่วยเหนือ หน่วยรอง หน่วยข้างเคียง และหน่วยสนับสนุน การติดต่อสื่อสารเพิ่มเติมจะกำหนดขึ้นและใช้ความต้องการของ สถานการณ์ทางยุทธวิธี จ. ความอ่อนตัว ทหารม้าเป็นหน่วยที่อ่อนตัว หน่วยทหารม้าสามารถจัดกำลังรวมกันหรือแยกหน่วยได้อย่าง รวดเร็วตามความต้องการเมื่อเข้าเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ความคล่องแคล่วในสนามรบของ หน่วยทหารม้าทำให้เปลี่ยนแปลงการจัดเฉพาะกิจได้อย่างรวดเร็ว แม้ในขณะที่หน่วยกำลังปะทะกับข้าศึกใน ภูมิประเทศทุกรูปแบบ มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้หน่วยทหารม้ามีความอ่อนตัว ได้แก่ การจัดหน่วยแยก


๑๐๙ เป็นส่วน ๆ ระบบการติดต่อสื่อสารที่มีความอ่อนตัวสูง มีหน่วยสนับสนุนการรบและหน่วยสนับสนุนการช่วย รบที่เคลื่อนที่เร็ว และความคล่องแคล่วในจิตใจของผู้บังคับหน่วยทหารม้า ฉ. การตอบสนองคำสั่ง เนื่องจากความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ความอ่อนตัว การติดต่อสื่อสารที่กว้างไกลและอ่อน ตัว ทำให้ทหารม้าสามารถตอบสนองคำสั่งได้เป็นอย่างดี หน่วยทหารม้าสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายต่อคำสั่งแบบมอบภารกิจ ซึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงภารกิจ การจัดเฉพาะกิจ และทิศทางการ เคลื่อนที่ ความง่ายในการติดต่อสื่อสารทำให้การส่งคำแนะนำในการปฏิบัติกระทำได้อย่างรวดเร็วใน ขณะเดียวกันความอ่อนตัวและความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่จะเปิดโอกาสให้สามารถปฏิบัติได้ตามคำสั่ง ในการเปลี่ยนแปลงการจัดหน่วยทางยุทธวิธี และสามารถเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปยังพื้นที่ที่สำคัญ หรือพื้นที่ การรบแตกหัก ขีดความสามารถของทหารม้า ทหารม้าสามารถให้การคุ้มครองพื้นที่ปฏิบัติการที่มีกว้างด้านหน้า และ มีความลึกมากทั้งนี้จาก คุณลักษณะของทหารม้าดังกล่าวแล้ว การใช้หน่วยทหารม้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดควรให้ปฏิบัติด้วยความ กล้าหาญ ตามขีดความสามารถที่สำคัญดังต่อไปนี้ ก. ดำเนินกลยุทธภายใต้การยิงที่มีเกราะป้องกันในสนามรบ ข. เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในพื้นที่หนึ่ง และเข้าปะทะกับข้าศึกเพื่อตัดสินการรบ ณ ตำบลคับขัน ค. กระจายกำลังและรวมกำลังอย่างรวดเร็ว ง. ทนต่อการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ได้ในระดับหนึ่ง จ. เข้าปะทะและผละจากการสู้รบกับข้าศึกได้อย่างรวดเร็ว โดยสูญเสียน้อยที่สุด ฉ. เข้าโจมตีอย่างหนักหน่วงต่อที่มั่นข้าศึก สรุปหลักนิยมวิธีรบของทหารม้า ก. ทำการรบบนยานรบเคลื่อนที่เร็ว ข. ปฏิบัติการเป็นอิสระ โดยใช้ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ แลอำนาจการยิง ค. ทำการรบอย่างแตกหัก หวังผลตัดสินการรบ ง. ไม่รบยืดเยื้อเป็นเวลานาน จ. ทำการรบผสมเหล่าได้สมบูรณ์ในตัวเอง ฉ. ทำการรบแบบใช้กำลังเป็นปึกแผ่น กองพลทหารม้า กองพลทหารม้า เป็นกำลังรบผสมเหล่า ประกอบด้วย ส่วนบังคับบัญชา ส่วนรบ ส่วนสนับสนุน การรบ และ ส่วนสนับสนุนการช่วยรบ โดยมีอัตราการจัดและยุทโธปกรณ์ที่สมบูรณ์ในตัวเอง ทั้งทาง ยุทธการ และ ธุรการ สำหรับปฏิบัติการรบเคลื่อนที่ทางภาคพื้นดิน กองพลมีโครงสร้างการจัดที่ค่อนข้าง ตายตัว ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น ฐานกองพล และ หน่วยดำเนินกลยุทธ ๑. ฐานกองพล จะรวมถึง ส่วนควบคุมบังคับบัญชา ส่วนลาดตระเวน ส่วนสนับสนุนการรบ และ ส่วนสนับสนุนการช่วยรบ ประกอบด้วย - กองบัญชาการกองพลและกองร้อยกองบัญชาการ - กองร้อยสารวัตรทหารกองพล - กองร้อยบินกองพล - กองร้อยต่อสู้รถถังกองพล


๑๑๐ - กองพันลาดตระเวนกองพล - กองพันทหารสื่อสารกองพล - กองพันทหารช่างกองพล - กรมทหารปืนใหญ่กองพล - กรมสนับสนุน ๒. หน่วยดำเนินกลยุทธ กองพลจะได้รับการบรรจุมอบหน่วยดำเนินกลยุทธในจำนวนที่คงตัว คือ ๓ กรมทหารม้า และในกรมทหารม้าจะมีการจัดเหมือนกันทุกกรม เป็นการรวมคุณลักษณะ ขีด ความสามารถ ของทหารม้ารถถัง และทหารม้าบรรทุกยานเกราะเข้าด้วยกันและมีอำนาจการยิงจากอาวุธยิง สนับสนุนในอัตรา กรมทหารม้าจะมีความสมบูรณ์ในตัวเองทั้งด้าน ยุทธการ และธุรการ กรมทหารม้าของ กองพลทุกกรมจะประกอบด้วย - กองบังคับการกรม และกองร้อยกองบังคับการ - กองร้อยเครื่องยิงลูกระเบิด - กองพันรถถัง ( ๑ กองพัน ) - กองพันทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ( ๒ กองพัน )


๑๑๑ กองพลทหารม้ามาตรฐาน XX สห. บก.และ ร้อย บก. คปม. ป.8 นิ้ว บก.และ ร้อย. บก. ค.หนัก ป.155 ปตอ. ถ. ม.(ก) บก.และ ร้อย.บก.


๑๑๒ กรมทหารม้า ภารกิจ เข้าประชิดและทำลายกำลังข้าศึก ด้วยการยิง การดำเนินกลยุทธ และ การข่มขวัญ ขีดความสามารถ ๑. ปฏิบัติการยุทธด้วยอำนาจการยิงที่รุนแรง ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ และมีอำนาจ การข่มขวัญสูง ๒. เข้าตีหรือตีโต้ตอบ ภายใต้การยิงของข้าศึก ๓. ทำลายยานเกราะของข้าศึกด้วยการยิง ๔. จัดให้มีส่วนฐานยิง และ ส่วนดำเนินกลยุทธ ๕. ยึดและรักษาภูมิประเทศ ในห้วงระยะเวลาหนึ่ง ๖. ปฏิบัติการเป็นอิสระได้ในขีดจำกัด ๗. สนับสนุนการยิงด้วยอาวุธวิถีโค้งให้กับหน่วยในอัตราหรือหน่วยที่มาสมทบ ๘. มีความรวดเร็วในการขยายผลแห่งความมีชัย การจัดกรมทหารม้า กองพันทหารม้า (รถถัง) ภารกิจ ๑. เคลื่อนที่เข้าประชิดและทำลายกำลังข้าศึก โดยใช้อำนาจการยิง กลยุทธ และ อำนาจ การทำลายข่มขวัญ ๒. ปฏิบัติการรบร่วมกับทหารเหล่าอื่น ขีดความสามารถ ๑. ปฏิบัติการรบที่ต้องใช้อำนาจการยิง ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ มีเกราะป้องกัน และ อำนาจทำลายข่มขวัญ ๒. เข้าตีหรือตีโต้ตอบภายใต้อำนาจการยิงของข้าศึก ๓. ทำลายยานเกราะของข้าศึกด้วยการยิง ๔. สนับสนุนหน่วยทหารราบยานยนต์ ทหารราบ และ/หรือทหารม้า ด้วยการยิง กลยุทธ และ อำนาจทำลายข่มขวัญ ๕. ขยายผลแห่งความมีชัยหลังการเจาะแนวของข้าศึก โดยใช้ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ในภูมิประเทศได้อย่างสูง บก.และร้อย.บก. ค.


๑๑๓ ๖. ทำการยิงสนับสนุนด้วยอาวุธในอัตราของหน่วย ๗. จัดการในด้านธุรการ การส่งกำลัง การติดต่อสื่อสาร และการซ่อมบำรุงได้สมบูรณ์ในกองพัน เอง ๘. เคลื่อนที่ได้ ๑๐๐ % การจัดกองพันทหารม้า (รถถัง) กองพันทหารม้า (ยานเกราะ) ภารกิจ ๑. เข้าประชิดข้าศึกด้วยการยิงและการดำเนินกลยุทธ เพื่อทำลายหรือจับเป็นเชลย ๒. ทำลายการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิด และการตีโต้ตอบ ขีดความสามารถ ๑. จัดเป็นส่วนยิงและส่วนดำเนินกลยุทธได้ ๒. แย่งยึดพื้นที่ ๓. ปฏิบัติการเป็นอิสระได้ในขีดจำกัด ๔. ป้องกันต่อสู้รถถังได้ในขีดจำกัด ๕. ยิงสนับสนุนด้วยอาวุธวิถีโค้งให้กับหน่วยในอัตราและหน่วยที่มาสมทบ ๖. ปฏิบัติการลาดตระเวนระยะไกลได้เมื่อเพิ่มเติมยุทโธปกรณ์ให้ตามความเหมาะสม ๗. ร่วนในการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศได้เมื่อมีอากาศยานขนส่งให้ ๘. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูง ๙. ชดเชยจุดอ่อนซึ่งกันและกันได้ เมื่อปฏิบัติการร่วมเป็นชุดรบกันหน่วยรถถัง การจัดกองพันทหารม้า (ยานเกราะ) บก.และร้อย.บก. บก.และร้อย. บก. ร้อย. สสช. ร้อย.ม.(ก)


๑๑๔ กองพันทหารม้า ( ลาดตระเวน ) ภารกิจทำการลาดตระเวณ ระวังป้องกัน และเป็นหน่วยออมกำลัง ให้แก่หน่วยเหนือ หรือหน่วย ที่มาขึ้นสมทบ ขีดความสามารถ ๑. ทำการลาดตระเวนและระวังป้องกัน ทั้งในระยะใกล้ และระยะไกล ๒. ปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก รับ หรือ รบหน่วงเวลา ในฐานะเป็นหน่วยออมกำลังเมื่อได้รับการ เพิ่มเติมกำลัง ๓. รวบรวมและดำเนินกรรมวิธีต่อข่าวสาร ๔. ทำการปราบจารจล เมื่อได้รับการสนับสนุนเครื่องมือเครื่องใช้ที่เหมาะสม ๕. จัดการในด้านธุรการ การส่งกำลังบำรุง การรักษาพยาบาลและการส่งกลับ การติดต่อสื่อสาร การซ่อมบำรุงได้สมบูรณ์ในกองพัน ๖. ขยายผลและเพิ่มเติม อำนาจการทำลายด้วยอาวุธยิงให้หน่วย ๗. เมื่อได้รับการเพิ่มเติมกำลังที่เหมาะสม สมารถปฏิบัติการรบเป็นกึ่งอิสระได้ ๘. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ ๑๐๐ % การจัดกองพันทหารม้า ( ลาดตระเวณ ) บก.และ ร้อย.บก.


๑๑๕ เหล่าทหารปืนใหญ่ ARTILLERY ๑. ประวัติและความเป็นมาของ ป.สนาม ประวัติของเครื่องยิงหรืออาวุธยิงนับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงได้ทีละ น้อยและซับซ้อน บางสมัยก็รุ่งเรืองบางสมัยก็หยุดชะงักเพราะอิทธิพลของสิ่งกีดขวางบางประการ จึงแบ่ง ลำดับขั้นการพัฒนาเป็นตอน ๆ คือ - สมัยก่อนมีดินปืน (โบราณ - ค.ศ.๑๒๓๐) - ตอน ป.ลำกล้องเรียบสมัยต้น (ค.ศ.๑๒๓๐ - ๑๖๓๐) - ตอน ป.ลำกล้องเรียบสมัยหลัง (ค.ศ.๑๖๓๐ - ๑๘๖๐) - สมัยหัวเลี้ยวหัวต่อ (ค.ศ.๑๘๖๐ - ๑๘๙๗) - สมัยปัจจุบัน และการพัฒนาต่อมา (ค.ศ.๑๘๙๗ - ปัจจุบัน) ก. สมัยก่อนมีดินปืน (ตั้งแต่โบราณ จนถึง ค.ศ.๑๒๓๐) ในสมัยนี้อาวุธยิงหรือเครื่องยิงต่าง ๆ เป็นกลไกแบบง่าย ๆ ทำงานโดยอาศัยกำลังจาก กล้ามเนื้อเป็นหลัก ซึ่งสมัยก่อนมีดินปืนนี้ หน่วยเครื่องยิงเกือบจะพูดได้ว่า เพียบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่และ อาวุธใหญ่น้อย ซึ่งมีความสามารถเหนือกว่าอาวุธประจำกายที่ยิงด้วยมือ รูปพลังงานที่นำมาใช้มีลักษณะดังนี้ - ใช้หลักการสะสมกำลังงาน - ปลดปล่อยกำลังงานด้วยวิธีง่าย ๆ - เป็นกลไกแบบง่าย ๆ - สามารถลำเลียงเคลื่อนที่ย้ายไปได้ ข. ตอน ป.ลำกล้องเรียบสมัยต้น (ค.ศ.๑๒๓๐ - ๑๖๓๐) การประดิษฐ์ได้เริ่มเมื่อประมาณ ค.ศ.๑๒๕๐ และใน ค.ศ.๑๓๑๐ เบอร์ เธค ชาร์ก (BERTHED CEHWARG) นักบวชชาวเยอรมันได้นำมาใช้เป็นดินส่งกระสุนเป็นครั้งแรก ปืนใหญ่ถูกนำมาใช้ ทำสงครามครั้งแรก ณ สนามรบเมืองคีรซีบี ปี ค.ศ.๑๓๔๖ ผลจากการนำปืนใหญ่มาใช้ทำการรบ ทำให้ บรรดากองทัพชาติต่าง ๆ เริ่มแข่งขันกันในทางอาวุธขนาดใหญ่ขึ้นทุกที การสร้างปืนใหญ่บางชนิดทำด้วย เหล็กหล่อ แต่ส่วนมากเป็นปืนแบบลำกล้องเสริมปลอก เช่น ปืนที่สร้างโดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๖ แห่ง อังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.๑๔๖๐ รูปร่างคล้ายถังไม้ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ จึงเกิดศัพท์คำว่า บาร์เรล (BARREL) แปลว่า ลำกล้องปืนมาจนทุกวันนี้ ในการพัฒนาเกี่ยวกับกระสุนนั้น สมัยก่อนมีดินปืน ลูกกระสุนส่วนมาก จะเป็นก้อนหิน หรือสิ่งอื่นที่ห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ ต่อมาได้พัฒนานำกระสุนเหล็กหล่อมาใช้แต่กระสุนหินยัง อยู่ในความนิยม เพราะน้ำหนักเบาและราคาถูกกว่า ต่อมาประมาณปี ค.ศ.๑๓๗๖ ชาวเวนิช ได้ผลิตระเบิดหยาบ ๆ ทำด้วยหินหรือบรอนซ์ รูปครึ่ง วงกลมสองซีก มีชนวนเรียกว่า "ซีก" (SHEET) เป็นหลอดเหล็ก พร้อมด้วยเชื้อปะทุชนวนดำ บรรจุดินหลวม


๑๑๖ ๆ สำหรับจุดในการทดลอง ต่อมาได้พัฒนาทำเกลียวในลำกล้องปืนขนาดเล็กและประสบผลสำเร็จในอีก ๑๐๐ ปีต่อมา ค. ตอน ป. ลำกล้องเรียบสมัยหลัง (ค.ศ.๑๖๓๐ - ๑๘๖๐) หลังสงครามบริเทนฟิลค์ บรรดาชาติต่างๆ ได้เริ่มแข่งขันกันดัดแปลงตามแนวของพระเจ้า คัส ตาวัสแห่งสวีเดน (พระองค์ได้มีการพัฒนาเกี่ยวกับความคล่องแคล่วของ ป. สนาม และผลิตปืนใหญ่ให้มี ขนาดเล็กลง) ปรากฎว่าปืนหล่อสัมฤทธิ์เป็นที่นิยมเพราะทนความเค้นต่าง ๆ ได้ดี ขนาดกว้างปากลำกล้อง ถือมาตรฐาน ๑" - ๒" การประดิษฐ์ ป.กระสุนวิถีโค้ง ผลจากคุณสมบัติของวิถีกระสุนกับลักษณะการรบ ทำให้เกิด ความต้องการปืนลักษณะรวมๆคือ ป.กระสุนวิถีโค้ง ปืนตามแบบที่ว่านี้ชาวฮอลันดาประดิษฐ์ขึ้นเป็นผลสำเร็จ กลายเป็นอาวุธสำคัญนับแต่นั้นมา และมีการปรับปรุงใช้ม้าเทียมลากปืน เพื่อระบบความอ่อนตัวในการ เคลื่อนย้าย ง. สมัยหัวเลี้ยวหัวต่อ (ค.ศ.๑๘๖๐ - ๑๘๙๗) การพัฒนาการในยุโรป ระหว่าง ค.ศ.๑๘๙๐-๑๘๙๕ ดินส่งกระสุนโดยทั่วไปใช้ไนโตรกลีเซอริน ในสมัยนี้การผลิตปืนใหญ่มีทั้งแบบบรรจุทางท้ายและทางปากลำกล้อง ซึ่งแต่ละชาติก็พัฒนาเพื่อหาข้อยุติ ของตน สหรัฐอเมริกายอมรับว่าปืนใหญ่ของสหรัฐ ฯ ควรเป็นแบบบรรจุทางท้าย จ. สมัยปัจจุบันและการพัฒนาต่อมา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ อังกฤษและเยอรมันนี มีอาวุธยุทโธปกรณ์ในลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่เยอรมันนีจำนวนหน่วยมากกว่า และจัดกองร้อย ป.กระสุนวิถีโค้งจำนวน ๖ กระบอก เยอรมันนีนำ กระสุนเคมีมาใช้ในปี ค.ศ.๑๙๑๕ กระสุนควันปี ค.ศ.๑๙๑๖ มีการตรวจการณ์ด้วยบอลลูนและเครื่องบิน มี การนำเทคนิคต่าง ๆ มาใช้ เช่น การลอดลัดทางแผนที่ ข้อมูลสภาพอากาศประกอบการยิง มีการพราง เป็น ต้น การพัฒนาในระยะต่อมาในสงครามโลกครั้งที่ ๒ สหรัฐอเมริกาผลิตปืนใหญ่ขนาด ๑๐๕ มม. มีปืนใหญ่ที่เคลื่อนที่ด้วยตนเอง เช่น ปืนใหญ่ปราบรถถังแบบ เอ็ม.๗ ขนาด ๑๐๕ มม. และแบบ เอ็ม.๑๓ ขนาด ๑๐๕ มม. และยังมี ป.ขนาดหนักและหนักมากอีกด้วย ในขณะนี้อาวุธกำลังวิวัฒนาการไปไกลมาก เช่น ขีปนาวุธ ซึ่งปัจจัยเวลาจะเป็นผู้บอกถึงความเจริญและการพัฒนาของอาวุธใหม่ต่อไป ฉ. ประวัติปืนใหญ่ของไทย ในสมัยสุโขทัย พ.ศ.๑๘๐๐ และตลอดเวลาเกือบ ๔๐ ปี ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่ ทำสงครามแผ่อาณาเขตออกไป ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีปืนใหญ่แบบกระสุนดินดำ จึงไม่ทราบว่ามีปืนใหญ่ใช้ หรือไม่ในสมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.๑๙๒๘ สมัยสมเด็จพระรามเมศวร พระองค์ได้เสด็จไปตีเมือง เชียงใหม่ ในครั้งนี้ได้มีปืนใหญ่สนามขึ้นไปด้วย และใช้ยิงกำแพงเมืองเชียงใหม่จนพัง นับว่าเป็นการใช้ปืน ใหญ่ในการรบเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ.๒๐๘๑ สมเด็จพระชัยราชา เสด็จไปตีเมืองเชียงกรานคืนจากพม่า ได้จ้างชาว โปรตุเกสไปเป็นทหารปืนใหญ่ร่วมในกองทัพจำนวน ๑๒๐ นาย เมื่อชนะศึกจึงโปรดปรานพระราชทานที่ดิน เหนือคลองตะเคียนให้เป็นที่อยู่และอนุญาตให้สร้างวัดคริสต์ศาสนาได้ด้วย


๑๑๗ ข้อน่าคิด ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ ไทยติดต่อกับฝรั่งชาติปอร์ตุเกสเป็นชาติแรก แต่ในปี พ.ศ. ๑๙๒๘ สมเด็จ พระรามเมศวร ใช้ปืนใหญ่ทำการรบในการตีเมืองเชียงใหม่ จึงเห็นว่าไทยมิได้นำเอาปืนใหญ่จากฝรั่งชาติ ยุโรปไปรบแน่ น่าจะสร้างปืนใหญ่ที่ใช้กระสุนดำได้เอง ซึ่งดินดำน่าจะได้จากการเอาดินที่ชาวจีนได้ทำ ประทัดเข้ามาสู่เมืองไทยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง สมัยพระเจ้าจักรพรรดิ์ ในการรบกับพระเจ้าตะแบงชเวตี้ ไทยเอาปืนใหญ่ลงเรือไล่ยิงจนพม่าไม่ สามารถเข้าตั้งประชิดพระนคร และต้องเลิกทัพกลับไปในที่สุด ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีการใช้ ปืนใหญ่สนามหลายครั้งและครั้งที่มีชื่อ คือ การรบที่บ้านสระเกศ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง กิจการทหาร ปืนใหญ่เราเห็นจะเจริญมาก ทั้งด้านอาวุธและวิธีรบ เพราะหลังจากพระนเรศวรสวรรคต ญี่ปุ่นส่งทูตมา เจริญสัมพันธไมตรีพร้อมกับมีพระราชสาส์นมาขอไม้หอมและปืนใหญ่ ๒-๓ กระบอกพร้อมด้วยดินปืน โดย กล่าวว่า " ดินปืนในประเทศไทยของท่านเป็นชนิดที่ดีอย่างประหลาด " ปืนใหญ่ของไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นแบบหล่อ ด้วยเหล็กหรือทองเหลือง บรรจุทางปากลำกล้องกระสุนเป็นเหล็กกลม จุดชนวนทางท้าย ใช้ดินดำเป็นดิน ปืน ไม่มีล้อตั้งยิงบนแคร่ที่ทำด้วยไม้ การเคลื่อนที่ใช้คนหาม ทหารปืนใหญ่ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีชื่อเสียงมากในการรบสงครามเก้าทัพ ซึ่งสมเด็จกรมพระราชวังบวรได้เสด็จไปตั้งรับทัพหน้าของพระเจ้าประดุงที่ทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี ได้ ใช้ปืนใหญ่ที่มีลูกปืนทำด้วยท่อนไม้ยิงพม่าทุกวัน จนพม่าล้มตายและเข็ดขยาดถอยทัพกลับไป ปืนใหญ่ไทยสมัยใหม่ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในเรื่องปืนใหญ่มาก ได้ทรงแปลตำราแบบฝึกปืนใหญ่จากภาษาฝรั่งมาเป็นภาษาไทย ซึ่งถือว่าเป็นแบบฝึกปืนใหญ่สมัยใหม่ครั้ง แรกของประเทศไทย อันจะนับว่าพระองค์ทรงเป็น "พระบิดาของปืนใหญ่ไทย" แต่พระองค์สนพระทัยด้าน การยิงและอาวุธเท่านั้น เพราะขณะนั้นไทยเรายังไม่มีการจัดทหารแบบยุโรป การจัดหน่วยปืนใหญ่ของกองทัพบกไทยตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๕ มาจนถึงประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๓ จัดเป็น กองพันอิสระ จนถึงจัดเป็นกองพันขึ้นกับกองพลหรือกองทัพ แต่มิได้จัดเป็นหน่วยแบบปืนใหญ่กองพล หรือ กรมทหารปืนใหญ่แบบทุกวันนี้ สำหรับอาวุธนั้น ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ใช้ของญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่หลังจากปี พ.ศ.๒๔๗๕ แล้วใช้ของสวีเดน ๒. ภารกิจโดยทั่วไปของทหารปืนใหญ่สนาม ก. ภารกิจ ภารกิจโดยทั่วไปของทหารปืนใหญ่สนามก็คือ จัดให้มีการยิงสนับสนุนแก่หน่วยกำลังรบ หรือหน่วยดำเนินกลยุทธอย่างแม่นยำ ต่อเนื่อง และทันเวลา ด้วยการยิงทำลาย ยิงตัดรอนกำลัง และยิงข่ม ด้วยปืนใหญ่ประเภทลำกล้อง และ/หรือ อาวุธส่ง ตามลำดับความเร่งด่วนต่อเป้าหมายต่าง ๆ ที่ขัดขวาง ความสำเร็จในภารกิจของหน่วยดำเนินกลยุทธที่รับการสนับสนุน ๑) การยิงทำลาย (Destroy) หมายถึง การทำความเสียหายให้กับเป้าหมาย ตั้งแต่ ๓๐ % ขึ้นไป ซึ่งหน่วยนั้นไม่สามารถจะใช้รบได้อีกต่อไปเป็นการถาวร ๒) การยิงตัดรอนกำลัง (Nutralization) หมายถึง การทำความเสียหายให้แก่เป้าหมาย ประมาณ ๑๐ % ขึ้นไป ซึ่งจะทำให้หน่วยนั้น ๆ ไม่อาจรบได้ต่อไป จนกว่าจะได้เพิ่มเติมกำลังหรือทดแทน ยุทโธปกรณ์ที่เสียหาย ๓) การยิงข่ม (Suppession) หมายถึง การจำกัดหรือลดขีดความสามารถของข้าศึกในการ ปฏิบัติงานเอง เช่น บังคับให้รถถังต้องปิดป้อมหรือใช้ควันกำบังการยิงของพลยิง เป็นต้น


๑๑๘ ข. พันธกิจ การที่จะประสบผลสำเร็จในภารกิจที่กล่าวมาแล้วนั้น ทหารปืนใหญ่สนามจะต้อง ๑) สนับสนุนหน่วยดำเนินกลยุทธ ด้วยการยิงอย่างใกล้ชิด ทันเวลาต่อเนื่อง และแม่นยำ ต่อฝ่ายข้าศึก ๒) ทำการยิงต่อต้านปืนใหญ่ข้าศึก และระบบค้นหาเป้าหมายของข้าศึก ด้วยการปฏิบัติงาน เต็มขีดความสามารถของระบบอาวุธทุกชนิด ๓) เพิ่มความลึกในการรบ ด้วยการยิงไปที่ตั้งตำบลส่งกำลังบำรุงกองหนุน ที่บังคับการ เครื่องมือเครื่องใช้ในการติดต่อสื่อสารและเป้าหมายอื่น ๆ ทั่วบริเวณพื้นที่ที่มีอิทธิพลต่อการรบ ๔) วางแผนการยิงและประสานการยิง ในการใช้อาวุธยิงสนับสนุนอื่น ๆ เช่น การระดมยิง ด้วยปืนเรือ การสนับสนุนทางอากาศใกล้ชิด (ของ ทอ.) การใช้บ.ปีกหมุน โจมตี(ของ ทบ.) ฯลฯ อันจะ ทำให้การวางแผนใช้อาวุธยิงสนับสนุนทั้งสิ้นในสนามรบมีเอกภาพเป็นไปในทางเดียวกัน ๓. การจัดหน่วยปืนใหญ่สนามของกองทัพบกไทย การจัดหน่วยปืนใหญ่สนามของกองทัพบกไทย มีปัจจัยที่นำมาเป็นข้อพิจารณาในการจัด คือ ภารกิจและขนาดกว้างปากลำกล้องปืน ทั้งนี้ เพื่อให้ทรงไว้ซึ่งลักษณะทางยุทธวิธีของทหารปืนใหญ่สนาม ของ ทบ.ไทย สามารถสนับสนุนหน่วยดำเนินกลยุทธ/กำลังรบได้อย่างมีประสิทธิผลและออมกำลังมากที่สุด หน่วยปืนใหญ่สนามแบ่งการจัดเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ก. ปืนใหญ่สนามของกองพลดำเนินกลยุทธ ปัจจุบันจัดเป็น กรม ป. ในอัตราของกองพล ร. หรือ พล.ม. ๑) กรม ป. จะประกอบด้วย พัน.ป.ขนาด ๑๐๕ มม. ทำหน้าที่เป็นพัน.ป.ช่วยโดยตรงต่อ กรม ร./ม. โดยมีจำนวน พัน.ป.๑๐๕ มม.เท่ากับจำนวน กรม ร./ม. ที่มีในกองพลนั้น นอกจากนั้น ใน กรม ป. ของกองพล ยังมี ๑ พัน.ป.๑๕๕ มม. เพื่อทำหน้าที่เป็น พัน.ป.ช่วยส่วนรวมของกองพล และ ๑ พัน.ปตอ. ทำหน้าที่ป้องกันภัยทางอากาศของกองพล ๒) ปืนใหญ่สนามของกองพล ร./ม. จัดไว้เพื่อให้การสนับสนุนทางภาคพื้นทั้งปวงที่จะมี ในกองพลด้วย ๓) ปืนใหญ่สนามของ พล.ร. จะจัดเป็นหน่วยลากจูง (ลจ.) แต่ของ พล.ม. จะจัดเป็น หน่วยอัตราจร (อจ.) ข. ปืนใหญ่สนามนอกกองพล เป็นหน่วยทหารปืนใหญ่สนามที่จัดไว้ที่อื่น ๆ นอกกองพล ร./ ม. เช่น แผนกทหารปืนใหญ่ของกองทัพภาค กองพลทหารปืนใหญ่ เป็นต้น ภารกิจทางยุทธวิธีอาจจะเป็นใน รูปสมทบ ทภ. หรือไปเพิ่มเติมกำลังยิง กรม ป.ของกองพล ก็ได้ ทั้งนี้เพื่อให้การใช้ป.ทางยุทธวิธีจะได้มี ความอ่อนตัวมากยิ่งขึ้น เพราะสถานการณ์รบของแต่ละกองพลจะมีความหนักเบาไม่เหมือนกัน บางกองพล หรือบาง ทภ. อาจจะมีปืนใหญ่ในอัตราไม่พอเพียงที่จะสนับสนุนการรบได้ ดังนั้น จึงต้องมีหน่วย ป.นอก กองพล ไว้เพื่อแก้ปัญหาของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ๑) แผนกทหารปืนใหญ่ ทภ. ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของ มทภ. ในกิจการเกี่ยวกับ ป. เท่านั้น ยังไม่มีหน่วย ป.ของ ทภ. แต่ ทบ.มีแผนจะจัดตั้งในอนาคต ๒) กองพลทหารปืนใหญ่ จะมีโครงสร้างการจัดหน่วยที่อ่อนตัวสอดคล้องกับภารกิจ สามารถควบคุมบังคับบัญชา กรม ป.๒-๕ กรม ป. และหน่วยที่มีความจำเป็นอื่น ๆ ตามความเหมาะสม


๑๑๙ ๔. กรมทหารปืนใหญ่ (กรม ป.) กรมทหารปืนใหญ่ ประกอบด้วย กองบังคับการและกองร้อยกองบังคับการ กรมทหารปืน ใหญ่หน่วยอื่น ๆ ที่เป็นหน่วยในอัตราของกรมทหารปืนใหญ่ และหน่วยปืนใหญ่ที่จัดสมทบให้แก่ กรม ป. กรมทหารปืนใหญ่จะจัดกำลังเข้าทำการรบเพื่อสนับสนุนการรบของกองพล และจะมอบหมายภารกิจทาง ยุทธวิธีอย่างเหมาะสมให้แก่หน่วยต่าง ๆ ของกรมทหารปืนใหญ่ อันจะทำให้เกิดความอ่อนตัวในการใช้ หน่วยป. เหล่านั้น การเพิ่มพูนอำนาจการยิงให้แก่ กรม ป.นั้น ตามปกติจะกระทำโดยจัดหน่วยปืนใหญ่ สมทบกับกองพล หรือโดยจัดปืนใหญ่หน่วยอื่นเพิ่มเติมกำลังยิงให้แก่ กรม ป. การจัดกรม ป. ในอัตรา กองพล ร. ก. ภารกิจ ทำการสนับสนุนกองพลด้วยการยิง ได้แก่การยิงตัดรอนกำลัง หรือการยิงทำลายลำดับ ความเร่งด่วนต่อเป้าหมายต่าง ๆ ที่คุกคามทันทีทันใดต่อการบรรลุภารกิจของหน่วยรับการสนับสนุน กรม ทหารปืนใหญ่ให้ความลึกแก่สนามรบด้วยการยิง ป.ข้าศึก ยิงต่อกองหนุนข้าศึก จำกัดการเคลื่อนย้ายไปใน พื้นที่ข้างหลัง และโดยการก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงเสียระเบียบต่อองค์การบังคับบัญชาและที่ตั้งทางทหารอื่น ๆ ของข้าศึก ๕. กองพันทหารปืนใหญ่ กองพันทหารปืนใหญ่เป็นทั้งหน่วยทางยุทธวิธีและธุรการ ที่สามารถสนับสนุนตนเองได้ กอง พันทหารปืนใหญ่ที่จัดอยู่ในอัตราของ กรม ป.หนึ่ง จะเรียกว่าเป็นกองพันปืนใหญ่ประจำ กรม ป.นั้น ส่วนกองพันไม่จัดอยู่ในอัตราของ กรม ป. ใดเรียกว่าเป็นกองพันแยกอิสระ (ปกติมักฝากการบังคับบัญชากับ ศูนย์การทหารปืนใหญ่) จำนวนกองร้อยยิงและกองร้อยที่ไม่ใช่หน่วยยิงในกองพันต่าง ๆ จะถูกกำหนดไว้โดย อัตราการจัดกำลังและยุทโธปกรณ์ที่ขึ้นอยู่กับภารกิจ และแนวทางการบรรจุมอบของกองพันนั้น 155 มม. 12.7/40 มม. 105 มม. XX บก.และ ร้อย บก. ลว.ไกล สห. บก. และร้อย บก. พัน.ปบค.๙๕ ขนำด ๑๐๕ มม. บก.พัน. และ ร้อย.บก.บร.ร้อย. ปบค.๙๕ ขนาด ๑๐๕ มม. ( ป. ๖ กระบอก)


๑๒๐ ก. ภารกิจ ทำหน้าที่เป็นปืนใหญ่ช่วยโดยตรงต่อ กรม ร.และเพิ่มเติมกำลังยิงให้แก่หน่วยทหาร ปืนใหญ่สนามอื่น ๆ ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของ กรม ป.พล.ร. ๖. การจัดกองร้อย ปบค.105 มม. ก. กองร้อย ปบค.105 มม. ประกอบด้วนส่วนสำคัญ ๕ ส่วน อันได้แก่ ๑) บก.ร้อย ๒) หมู่สูทกรรม ๓) หมวดเจ้าหน้าที่กองร้อย ๔) ส่วนยิง ๕) หมู่ตรวจการณ์หน้า ข. ผู้บังคับกองร้อยปืนใหญ่ ๑) ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของกองร้อย เป็นผลสะท้อนมาจากการเป็นผู้นำ และความรู้ทางวิชาชีพของผู้บังคับกองร้อย ๒) เมื่อกองร้อย ไม่อยู่ในความควบคุมทางยุทธการของกองพันปืนใหญ่สนาม ความ รับผิดชอบของผู้บังคับกองร้อยเทียบกับความรับผิดชอบต่าง ๆ ของผู้บังคับกองพัน ตามที่ได้กล่าวไว้ใน รส.๖- ๒๐ และ รส.๖-๒๑ เมื่อกองร้อยอยู่ในความควบคุมทางยุทธการของกองพันปืนใหญ่สนาม ผู้บังคับกองร้อยรับผิดชอบ ในการ ก) ฝึกกองร้อยให้สอดคล้องกับกำหนดการฝึกของกองพัน และให้บรรลุความมุ่งหมายใน การฝึกที่ได้วางไว้ ข) บำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธยุทโธปกรณ์ ค) รักษามาตรฐานของวินัยและขวัญให้อยู่ในระดับสูง ง) ดูแลสุขภาพและอนามัยของกำลังพลในกองร้อย กองร้อย ปบค. ๑๐๕ มม. บก.ร้อย หมู่ตรวจการณ์หน้า มว.จนท.กองร้อย หมู่สูทกรรม ส่วนยิง หมู่แผนที่ หมู่สื่อสาร บก.ส่วนยิง หมู่ปื น หมู่กระสุน อจย. ๖-๒๗ (๒ พ.ค.๒๙)


๑๒๑ จ) จัดให้กองร้อยพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ฉ) มั่นใจได้ว่าได้ปฏิบัติตามข้อระมัดระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยที่ถูกต้อง ช) มั่นใจว่า กองร้อยได้ปฏิบัติงานตามระเบียบและนโยบายของผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือ ซ) ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ในกองร้อยทราบสถานการณ์ทั่วไปและสถานการณ์เฉพาะอยู่ เสมอ ค. เจ้าหน้าที่ภายในกองร้อยปืนใหญ่ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หลักดังนี้ ๑) รองผู้บังคับกองร้อยทำหน้าที่บังคับบัญชาส่วนยิง และเป็นคนที่สองในการบังคับบัญชา กองร้อย ช่วยเหลือผู้บังคับกองร้อยในงานธุรการ ออกตารางฝึกและดูแลการฝึกทั้งหมดในสนาม สั่งการ ทั้งหมดในส่วนยิงและบังคับบัญชากองร้อยในเมื่อผู้บังคับกองร้อยไม่อยู่ในพื้นที่กองร้อย ๒) ผู้ช่วยรองผู้บังคับกองร้อย ทำหน้าที่ช่วยเหลือรองผู้บังคับกองร้อยและเป็นนายทหารยาน ยนต์ของกองร้อย ๓) นายทหารลาดตระเวนและแผนที่ ทำหน้าที่บังคับบัญชาหมวดเจ้าหน้าที่กองร้อย ปฏิบัติการลาดตระเวน เตรียมแผนงานแผนที่ และกำกับดูแลการปฏิบัติงานแผนที่ และการวางการ ติดต่อสื่อสาร กำกับดูแลการฝึกและการทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในหมวด ประจำที่ตรวจการณ์ของกอง พันเพื่อได้รับคำสั่งรับผิดชอบในการใช้ และการซ่อมบำรุงยานพาหนะและยุทธภัณฑ์ของหมวดเจ้าหน้าที่ กองร้อยให้เหมาะสม ๔) ผู้ตรวจการณ์หน้า (๓ นาย) ปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจการณ์หน้าเมื่อภารกิจทางยุทธวิธีบ่งหรือ ตามความต้องการของหน่วยรับการสนับสนุน และประจำที่ตรวจการณ์ของกองร้อยหรือกองพันตามคำสั่ง กำกับดูแลการปฏิบัติของหมู่ตรวจการณ์หน้าและการซ่อมบำรุงยานพาหนะ และยุทธภัณฑ์ ๕) จ่ากองร้อย ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้บังคับกองร้อยปฏิบัติเชื่อมต่อระหว่างผู้ บังคับกองร้อยและนายสิบ พลทหาร ช่วยเหลือผู้บังคับกองร้อยในด้านธุรการ จัดทำและกำกับดูแลตารางการ จัดเวร การรายงานประจำวันและใบลาป่วย จ่ากองร้อยควรมีความรู้ในหน้าที่ต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่กองร้อยทุก คนปฏิบัติ และรู้จักคุณวุฒิของแต่ละบุคคล เมื่ออยู่ในสนามจ่ากองร้อยจะช่วยเหลือผู้บังคับกองร้อยในการจัด ระเบียบบริเวณที่ตั้งของกองร้อย ๖) เสมียนกองร้อย ทำงานอยู่ในการกำกับดูแลของจ่ากองร้อยเกี่ยวกับการโต้ตอบหนังสือ และการรายงานของกองร้อย ตลอดจนแยกเก็บเอกสารแจกให้นายทหารทราบกำหนดนัด เช่น ตรวจโรค ประจำเดือน ฟังอนุศาสนาจารย์การชมมโหรสพต่าง ๆ เป็นต้น ช่วยเหลือทหารเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัว ๗) นายสิบสูทกรรม ทำหน้าที่เบิกรับเสบียง จัดรายการอาหารเก็บรักษาบันทึกบัญชี ประกอบเลี้ยง มั่นใจได้ว่าได้เก็บอาหารไว้เหมาะสมและใช้อย่างประหยัด การจัดโต๊ะอาหารและการ รับประทานอาหารอยู่สภาพดีที่สุด กำกับดูแลการจัดทำและการจัดโต๊ะอาหาร ตลอดจนการเก็บบำรุงรักษา เครื่องมือประกอบเลี้ยงและยานพาหนะ และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ควบคุมโรงหุงต้มและโรง เลี้ยง การทำความสะอาดและสุขาภิบาลโรงหุงต้ม ตลอดจนพื้นที่โดยรอบ ๘) นายสิบส่งกำลัง ทำหน้าที่รับจ่ายและส่งคืนสิ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในกองร้อย รักษาสิ่งอุปกรณ์ที่ มีอยู่ในคลังส่งกำลัง รับและสำรวจสิ่งของทั้งหมดของส่วนตัวของทหารที่พ้นหน้าที่ไปจากกองร้อย ทหาร ขาดหนี ต้องโทษ ไปราชการพิเศษ ฯลฯ ส่งเสริมและปฏิบัติตามทางการประหยัดทางการส่งกำลัง รวมทั้ง การส่งคืนของเกิน ๙) นายสิบยานยนต์ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของผู้ช่วยรองผู้บังคับกองร้อย (ทำหน้าที่ เป็นนายทหารยานยนต์ของกองร้อย) กำกับดูแลเครื่องยนต์โรงรถ และงานธุรการ รวมทั้งการกำหนดตาราง การซ่อมบำรุงในกองร้อยให้ประสานกับตารางกำหนดการซ่อมบำรุงของกองพัน กำกับดูแลการใช้รถ การ


๑๒๒ ซ่อม หรือการลากจูงรถที่เสียในขบวน ตลอดจนการเบิกชิ้นส่วนและเครื่องมือช่วยเหลือในการตรวจรายงาน เหตุการณ์เกี่ยวกับการขาดความระมัดระวังการปล่อยปละละเลยหรือการใช้ยานพาหนะและยุทธภัณฑ์ในทาง ที่ผิดแก่นายทหารยานยนต์ ค้นหาข้อขัดข้องของเครื่องยนต์ และให้คำแนะนำแก่ช่างเครื่องยนต์เพื่อแก้ไข ข้อขัดข้องเมื่อจำเป็น ช่วยกำกับดูแลการฝึกพลขับและการซ่อมบำรุง ๑๐) นายสิบหัวหน้าเจ้าหน้าที่กองร้อย ทำหน้าที่ช่วยนายทหารลาดตระเวนแผนที่ ๑๑) นายสิบเครื่องมือแผนที่ ใช้และบำรุงรักษาเครื่องมือที่ได้รับสอบค่าของมุมโดยให้ เจ้าหน้าที่บันทึกงานแผนที่ ใช้เทคนิคการขานตอบ และมั่นใจว่าหลักเล็งตั้งตรงดิ่งในระหว่างการปฏิบัติใน สนาม ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่วัดระยะในการรักษาให้ตรงทิศทางในระหว่างการวัดระยะ ๑๒) เจ้าหน้าที่คำนวณแผนที่ เก็บรักษาแบบฟอร์มมาตรฐานในการคำนวณแผนที่ทั้งสิ้น ทำการคำนวณแยกกันและอย่างประณีต เปรียบเทียบหลักฐานกันเฉพาะเมื่องานในสนามเสร็จแล้ว ถ้ามีข้อ แตกต่างเกิดขึ้นในการคำนวณ เจ้าหน้าที่คำนวณต้องแก้ไขทันที ๑๓) เจ้าหน้าที่บันทึกงานแผนที่ ดำรงรักษาสมุดงานแผนที่ในสนามด้วยการบันทึกหลักฐาน ทั้งสิ้น ทั้งที่กำหนดให้และที่จัดหาได้จากการปฏิบัติจากแผนที่ ตรวจสอบความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือ ตรวจสอบการวัดระยะด้วยการนับก้าวให้หลักฐานที่ต้องการแก่เจ้าหน้าที่คำนวณ ๑๔) นายสิบสื่อสาร ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับหมู่สื่อสาร อำนวยการจัดตั้งการปฏิบัติและการ บำรุงรักษา การติดต่อสื่อสารของกองร้อย กำกับดูแลการฝึกของเจ้าหน้าที่สื่อสารทั้งสิ้น รวมทั้งพนักงาน วิทยุโทรทัศน์ทุกนาย กำกับดูแลการซ่อมยุทธภัณฑ์และยานพาหนะของหมู่ ตลอดจนเครื่องมือสื่อสารของ กองร้อยทั้งหมดเบิกจ่ายและส่งคืนยุทธภัณฑ์ ๑๕) ผู้บังคับหมู่กระสุน กำกับดูแล เบิก รับ การบรรทุก การลำเลียงการแจกจ่ายกระสุน และมั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัย อำนวยการรักษากระสุนและยานพาหนะและ ยุทธภัณฑ์ที่ได้รับและใช้ไป ๑๖) นายสิบบันทึกหลักฐาน (เจ้าหน้าที่บันทึก) ทำหน้าที่ช่วยเหลือรองผู้บังคับกองร้อย บันทึกหลักฐานการยิงของ ป.แต่ละกระบอก ขานหลักฐานที่ถูกต้องให้หมู่ปืนเมื่อต้องการบันทึกมุมสูงต่ำสุด รักษาจำนวนกระสุนที่ได้รับและใช้ไป ๑๗) นายสิบหัวหน้าส่วนยิง (นายสิบเจ้าหน้าที่ส่วนยิง) เป็นนายสิบอาวุโสของส่วนยิง ทำหน้าที่ช่วยเหลือ รองผู้บังคับกองร้อย และควบคุมบังคับหมู่ปืนต่าง ๆ กำกับดูแลเจ้าหน้าที่อำนวยการยิง สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ของรองผู้บังคับกองร้อยได้ ๑๘) นายสิบเครื่องมือ (เจ้าหน้าที่เครื่องมือ) จัดตั้งกล้องกองร้อยให้ตรงทิศ ช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่อำนวยการยิง ควรสามารถปฏิบัติหน้าที่อำนวยการยิงใด ๆ ก็ได้ ๑๙) เจ้าหน้าที่คำนวณ ทำหน้าที่คำนวณหาหลักฐานการยิง คำนวณตัวแก้ข่าวสภาพอากาศ และความเร็วต้น (ตร.๐) บันทึกการยิง และส่งคำขอยิงและส่งคำสั่งยิงไปยังหมู่ปืนต่าง ๆ เมื่อได้รับคำสั่ง ๒๐) เจ้าหน้าที่หลักฐาน (เจ้าหน้าที่แผ่นเรขา) ทำหน้าที่รักษาแผ่นเรขายิง แผนที่ สถานการณ์ และบันทึกเป้าหมาย ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามคำสั่ง ๒๑) ผู้บังคับหมู่ปืน ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามคำสั่งยิงในหมู่ของตน อำนวยการให้ ปืนใหญ่เข้าที่ตั้งยิง จัดทำแผนวัดระยะและรักษาการตรวจการณ์ในเขตรับผิดชอบของตน กำกับดูแลการซ่อม บำรุงปืนใหญ่ รถลากปืนใหญ่ และยุทธภัณฑ์มั่นใจว่าเครื่องเล็ง และเครื่องมือในการตั้งปืนตรงทิศได้รับการ ปรับอย่างถูกต้อง รักษาสมุดประวัติปืนใหญ่ให้ถูกต้องอยู่เสมอ ๒๒) นายสิบลาดตระเวน ทำหน้าที่ช่วยผู้ตรวจการณ์หน้าต้องสามารถรับตำแหน่งผู้ตรวจ การณ์หน้าได้


๑๒๓ ๒๓) นายสิบติดต่อ เป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการณ์หน้าในการปฏิบัติงานติดต่อในวันที่จะประสาน การสนับสนุนของทหารปืนใหญ่เข้ากับการปฏิบัติการยุทธของทหารราบหรือยานเกราะ เตรียมและลงแผนที่ สถานการณ์และแผนผังต่าง ๆ จากผู้ตรวจการณ์หน้าจากหน่วยอื่นๆช่วยทำแผนการยิงปืนใหญ่เมื่อจำเป็น ๗. กองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง ๑๕๕ มม. ก. ภารกิจ ดำเนินการยิงสนับสนุนด้วยปืนใหญ่สนาม โดยทำหน้าที่เป็นปืนใหญ่ช่วยส่วนรวมให้แก่กอง พลทหารราบ หรือเพิ่มเติมกำลังยิงให้แก่หน่วยทหารปืนใหญ่สนามอื่น ๆ ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกรมทหารปืนใหญ่กองพลทหารราบ อจย.๖-๑๓๕ (๒๓ ต.ค.๓๑) ๘. กองร้อยปืนใหญ่สนามขนาดกลาง ๑๕๕ มม (อจย.๖-๑๓๗) ๒๓ ต.ค.๓๑ ก. ภารกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยยิงของกองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง กรมทหารปืนใหญ่ กองพลทหาร ราบ กองบังคับการกองพัน และกองร้อยกองบังคับการ กองร้อยปื นใหญ่กลางลากจูง กองพันทหารปื นใหญ่กลางลากจูง กองร้อยบริการ หมู่สูทกรรม หมู่สื่อสาร กองร้อยปื นใหญ่กลางลากจูง กองบังคับการ กองร้อย กองพันทหำรปื นใหญ่ กลำงลำกจูง ส่วนยิง หมู่ซ่อมบ ารุง กองบังคับการ กองร้อย หมู่ปื น หมู่กระสุน


๑๒๔ ๙. กองพลทหารปืนใหญ่ ก. ภารกิจ วางแผน อำนวยการ และกำกับดูแล ในการสนับสนุนด้วยการยิงให้แก่หน่วยดำเนิน กล ยุทธ และปฏิบัติการอื่น ๆ ตามที่กองทัพบกกำหนด ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองทัพบก ๑๐. กองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง กรมทหารปืนใหญ่ กองพลทหารปืนใหญ่ ก. ภารกิจ ดำเนินการยิงสนับสนุนด้วยปืนใหญ่สนามให้แก่กองพลดำเนินกลยุทธหรือกองทัพน้อย/ กองทัพภาค ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของ กรมทหารปืนใหญ่ กองพลทหารปืนใหญ่ และอาจจัดขึ้นสมทบ กับกรมทหารปืนใหญ่อื่นได้ตามความเหมาะสม XX กองบังคับการกองพัน และกองร้อยกองบังคับการ กองร้อยบริการ บก.และ ร้อย บก. กองร้อยปืนใหญ่กลางลากจูง จรวด กองพันทหารปื นใหญ่ กลางลากจูง คปม. อจย. ๖-๔๒๕ (๖ พ.ค.๓๑) บก.และ ร้อย บก. บก.และ ร้อย บก. บก.และ ร้อย บก. คปม.


๑๒๕ ๑๑. กองร้อยปืนใหญ่กลางลากจูง กองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง กรมทหารปืนใหญ่ กองพลทหารปืนใหญ่ (อจย.๖-๔๒๗) ๖ พ.ค.๓๑ ก. ภารกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยยิงของกองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง กรมทหารปืนใหญ่ กองพลทหาร ปืนใหญ ๑๒. กองพันทหารปืนใหญ่ค้นหาเป้าหมาย (อจย.๖-๑๐๕) ๒๕ ส.ค.๒๙ ก. ภารกิจ ค้นหาเป้าหมายและเฝ้าตรวจสนามรบ ในเขตรับผิดชอบของกองทัพภาค/กองทัพน้อย ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยของกองทัพบก อาจบรรจุให้แก่กองพลทหารปืนใหญ่ หรือกองทัพภาค หรือ กองทัพน้อยได้ตามความเหมาะสม กองร้อยปื นใหญ่กลางลากจูง กองพันทหารปืนใหญ่กลางลากจูง กองบังคับการ กองร้อย หมู่สื่อสาร หมู่สูทกรรม ส่วนยิง หมู่ซ่อมบ ารุง กองบังคับการส่วนยิง หมู่ปื น หมู่กระสุน กองพันทหารปืนใหญ่ค้นหาเป้าหมาย กองบังคับการ กองร้อยกองบังคับการ และบริการ กองร้อยทหารปืนใหญ่ค้นหา เป้าหมาย


๑๒๖ ๑๓. กองร้อยปืนใหญ่ค้นหาเป้าหมาย ก. ภารกิจ ค้นหาเป้าหมาย และเฝ้าตรวจสนามรบ ในเขตรับผิดชอบของกองพลดำเนินกลยุทธ - บก.มว. - หมู่ทางสาย - หมู่วิทยุ - บก.มว. - ๑ ศูนย์ควบคุม - ๓ หมู่ตรวจเรดาห์แสงเสียง ๑๔. กองพันจรวดหลายลำกล้องขนาดกลาง (อจย.๖-๕๒๕) ๒๕ ม.ค.๓๐ ก. ภารกิจ สนับสนุนการยิงให้แก่หน่วยกำลังรบระดับกองพันดำเนินกลยุทธขึ้นไป ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยของกองทัพบก อาจบรรจุมอบให้แก่กองพลทหารปืนใหญ่หรือกองทัพได้ตาม ความเหมาะสม กองพันจรวดหลายล ากล้อง ขนาดกลาง กองบังคับการกองร้อยบังคับการ และบริการ กองร้อยจรวดหลายล ากล้องขนาดกลาง ร้อย ป.คปม. บก.ร้อย หมวดสื่อสาร มว.กา หนดที่ต้ง ั ด้วยแสงและเสียง มว.ป.คปม. ชุดเครื่องบินเล็ก ควบคุมระยะไกล หมวดแผนที่ - บก.มว. - ๑ ชุดเรดาห์ ก าหนดที่ต้งั เป้าหมาย เคลื่อนที่ - ๓ ชุดเรดาห์ ก าหนด ที่ต้งั ป. และ ค. หมู่สูทกรรม ตอนด าเนิน กรรมวิธี มว.หาทิศวิทยุ


๑๒๗ ๑๕. กองร้อยจรวดหลายลำกล้องขนาดกลาง ก. ภารกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยยิงหน่วยหนึ่งของกองพันจรวดหลายลำกล้องขนาดกลาง ข. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพันจรวดหลายลำกล้องขนาดกลาง ๑๖. ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ศป.) เป็นหน่วยงานสายวิทยาการของทหารปืนใหญ่ มีหน้าที่แนะนำ กำกับการและดำเนินงาน ในวิชาการและกิจการของเหล่าทหารปืนใหญ่ทั้งปวงในกองทัพบก ปัจจุบันเป็นหน่วยขึ้นตรงกรมยุทธศึกษา ทหารบก 3 กองร้อยจรวดหลายล ากล้องขนาดกลาง หมู่สูทกรรม ศูนย์อ านวยการยิง หมู่กระสุน หมู่แผนที่ หมู่สื่อสาร หมวดจรวด กองบังคับการหมวด หมู่จรวด บก.ร้อย ศป. กองบัญชาการ กองวิทยาการ กองเครื่อง ช่วยฝึ ก กองสนามยิงปื น หน่วยตรวจโรค โรงเรียนทหาร ปื นใหญ่ หน่วยที่ ฝากการบังคับบัญชา กองบริการ มว.พักฟ้ืนสัตวเ์จ็บ พัน.ขส.ซบร.บ.ทบ.


๑๒๘ เหล่าทหารช่าง ENGINEER ประวัติทหารช่าง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงใช้พระปรีชาญาณอัน สุขุม ด้วยการปฏิรูปการปกครองประเทศที่ยังไม่เหมาะสมทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านการทหาร ทรงมี วัตถุประสงค์ ๒ ปะการ คือ เพื่อความมั่งคงแห่งราชอาณาจักร และเพื่อความเจริญทางด้านการทหารให้ เหมาะสมกับกาลสมัย และสามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติได้ซึ่งผลปฏิรูปทางทหารนอกจาก จะช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเมืองภายในให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง แล้วยังสามารถสร้างกำลังกองทัพของชาติที่ ทันสมัย และมีประสิทธิภาพเพียงพอแก่การรักษาความสงบภายใน การป้องกันภัยจากการคุกคามของ ต่างประเทศ ตลอดจนสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองได้ หน่วยทหารช่างก็เป็นหน่วยหนึ่งที่มีบทบาท สำคัญในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม ความเป็นมาของทหารช่าง ในสมัยโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดเกี่ยวกับการแบ่งกองทหารสุโขทัย แต่จากที่พบใน มัง รายศาสตร์ มีการจัดแบ่งตามความสำคัญของเหล่าทหารออกเป็น เหล่าพลช้าง เหล่าพลม้า และเหล่าราบ ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงได้ปรากฏหลักฐานว่า กองทัพไทย ได้จัดแบ่งทหารออกเป็น ๔ เหล่า เรียกว่า “ จตุรงค์เสนา “ ได้แก่ ทหารราบหรือพลเท้า ( พลานึก ) ซึ่งรวมทหารปืนใหญ่เข้าไว้ด้วย ทหารม้า หรือพลม้า( หัยนึก ) ทหารช้างหรือพลช้าง( คชานึก ) และทหารช่าง ซึ่งตามคติพราหมณ์ไม่ได้จัดทหารช่าง แต่จัดทหารเหล่ารถรบ( รถานึก) จะเห็นได้ว่าไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดเกี่ยวกับทหารช่างในสมัยโบราณ จนกระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จขึ้นเสวยราชย์ ได้ทรงจัดตั้งกรมทหารช่างต่าง ๆ ซึ่งดัดแปลงจากการจัดทหารของชาวยุโรป พระบาทมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ทรงมีปณิธานแน่วแน่ที่จะปรับปรุงทหารของชาติให้ทัดเทียม กับนานาประเทศ ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จกลับจากประพาสประเทศสิงคโปร์และอินเดียในปี พ.ศ.๒๔๑๕ แล้ว ได้ทรงจัดการทหารตามแบบอย่างที่ชาวยุโรปใช้ปฏิบัติอยู่ มาดัดแปลงแก้ไขใช้ให้เหมาะสมกับประเทศ ไทย ความรู้ที่เกี่ยวกับวิชาช่างนั้นเท่าที่มีหลักฐาน เริ่มต้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้ทรงมอบหมายให้ชาวอังกฤษชื่อ มร.เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ ซึ่งรับราชการในสังกัดกรมทหาร มหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นผู้สอนวิชาต่าง ๆ เช่น แผนที่ ไฟฟ้า และโทรเลข เป็นต้นให้แก่นายทหาร มหาดเล็ก ในปี พ.ศ.๒๔๑๗ ชาวอังกฤษชื่อ มร.เฮนรี่ รีด ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดตั้ง บริษัท เพื่อสัมปทานการก่อสร้างและบำรุงรักษาเส้นทางสายโทรเลข ตามหัวเมืองต่าง ๆ ในประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ไม่สามารถดำเนินการได้มาแล้วครั้งหนึ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ แต่


๑๒๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ไม่ทรงโปรด แต่ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้ง กองทหารอินยิเนีย ขึ้นเมื่อ วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๘ เพื่อให้ทำหน้าที่ในการกรุยแนวปักเสา และวางสายโทรเลขจากกรุงเทพ ฯ ไปยังจังหวัดสมุทรปราการ เป็นระยะทาง ๒๘ กิโลเมตร ทำให้ประเทศไทยมีเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยเป็น ครั้งแรก โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กรมพระกลาโหมเป็นผู้ดำเนินการ และมีหม่อมเทวาธิราชเป็น ผู้อำการนวยการสร้างสายโทรเลข กองทหารอินยิเนียนี้ จึงเป็นหน่วยกำเนิดของเหล่าทหารช่าง และเหล่า ทหารสื่อสารในปัจจุบัน ( ซึ่งหน่วยทหารช่างสัญญาได้แยกตัวออกไปตั้งเป็นเหล่าทหารสื่อสารเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๗๖ ) หลังจากนั้นเป็นต้นมา “ กองทหารอินยิเนีย ” ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมาจนถึง ปัจจุบันตามลำดับ ดังนี้ - พ.ศ. ๒๔๔๗ กองทหารอินยิเนีย แปรสภาพเป็น กรมทหารช่าง ดำเนินการฝึกอบรมตามแบบ วิชาทหารช่างสมัยใหม่ - พ.ศ. ๒๔๔๙ กรมทหารช่างได้รับการสถาปนาเป็น กรมทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ย้าย หน่วยจากที่ตั้งเดิมในศาลาว่าการกลาโหมเข้าที่ตั้งใหม่ สะพานแดง บางซื่อ - พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ พันเอก พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นกำแพงเพชรอัครโยธิน ( พระโอรสองค์ที่ ๓๕ ) เป็นจเรทหารช่างเป็น ครั้งแรก และในปีเดียวกันได้ทรงกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีกองทหารช่างประจำอยู่ตามกองพลทหารบกต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรคือ กรมทหารช่างรักษาพระองค์ กองทหารช่างที่ ๔, กองทหารช่างที่ ๕, กองทหารช่างที่ ๖, กองทหารช่างที่ ๗ และ กองทหารช่างที่ ๙ ต่อมากองทหารช่างต่าง ๆ เหล่านี้ได้ยุบรวมและจัดตั้งเป็นกรมทหารช่าง คือ กรมทหารช่างที่ ๑ และกรมทหารช่างที่ ๒ ( ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นทหารช่างกองพันที่ ๒ ) - พ.ศ.๒๔๕๔ ได้ตั้งแผนกจเรทหารช่าง ขึ้นการบังคับบัญชาต่อเสนาบดีกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่ใน การปกครองตรวจการฝึกอาวุธกับเครื่องมือช่าง ตรวจการช่างของกองทัพบก อำนวยการฝึกซ้อมวิชาทหารช่าง จัดทำและอำนวยการโรงเรียนฝึกหัดการช่าง ตลอดจนเรียบเรียงตำราแบบฝึกทหารช่าง นับได้เป็นจุดกำเนิด ของกรมการทหารช่างในปัจจุบัน - พ.ศ.๒๔๕๖ ได้ขยายแผนกจเรทหารช่าง เป็น กรมจเรทหารช่าง ขึ้นการบังคับบัญชาต่อเสนาบดี กระทรวงกลาโหม - พ.ศ. ๒๔๕๗ เปลี่ยนชื่อจาก กรมจเรทหารช่าง เป็น กรมจเรช่างทหารบก ขึ้นตรงต่อ กระทรวงกลาโหม - พ.ศ.๒๔๕๙ เปลี่ยนชื่อโรงเรียนฝึกหัดทหารช่าง ซึ่งจัดตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔ เป็นโรงเรียนการช่าง และให้ขึ้นกับกรมจเรทหารบก - พ.ศ. ๒๔๖๐ ไทยประกาศสงครามกับเยอรมัน เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๐ ได้มี ประกาศกระทรวงกลาโหมยกเลิกกองทหารช่างทั้งหมด คงจัดให้มีเพียง ๓ กรมทหารช่างเท่านั้น คือ กรม ทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์,กรมทหารช่างที่ ๒ และกรมทหารช่างที่ ๓ นอกจากนี้ได้มีการกำหนดหน้าที่กรม จเรต่าง ๆ ในกระทรวงกลาโหม ตามข้อบังคับสำหรับทหารบก พ.ศ.๒๔๖๐ โดยให้มี กรมจเรช่างทหารบก มี หน้าที่เกี่ยวกับทหารช่างและเครื่องมือช่างต่าง ๆ มีจเรช่างทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชาสิทธิ์ขาด ขึ้นตรงต่อ เสนาบดีกระทรวงกลาโหม - พ.ศ. ๒๔๖๕ กรมจเรช่างทหารบก ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กรมจเรทหารช่าง ขึ้นอยู่กับ กระทรวงกลาโหม - พ.ศ.๒๔๖๖ หน่วยทหารช่างปรับปรุงหน่วยเป็น


๑๓๐ - กรมจเรทหารช่าง - กรมทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ ซึ่งประกอบด้วย ๒ กองพัน คือ กองพันทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ กองพันทหารช่างที่ ๒ ช่างเครื่องสัญญา - กรมทหารช่างที่ ๒ ช่างสะพาน - กรมทหารช่างที่ ๓ ช่างรถไฟ - พ.ศ.๒๔๖๙ กรมจเรทหารช่างไปขึ้นกับกรมจเรทหารบก ในสมัยนี้กิจการทหารช่างได้มีการ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต่อมาได้โอนกรมจเรทหารช่าง มาอยู่ในบังคับบัญชาของกรมเสนาธิการทหารบก นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมาได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดหน่วยทหารช่างใหม่ โดยยุบกรมจเรทหารช่าง เป็นกองบังคับการทหรช่างและสื่อสาร ขึ้นตรงต่อกองทัพบกมีหน่วยบังคับบัญชาคือ - กองพันทหารช่างที่ ๑ - กองพันทหารช่างที่ ๒ - กองพันทหารสื่อสารที่ ๑ - กองพันทหารสื่อสารที่ ๒ ต่อมาในช่วงปี พ.ศ.๒๔๗๗ – ๒๔๘๓ กองบังคับการทหารช่างและสื่อสาร ได้แปรสภาพเป็น แผนกที่ ๔ ของกรมจเรทหารบก ซึ่งจัดแบ่งหน่วยเป็น แผนกที่ ๑ ทหารราบ, แผนกที่ ๒ ทหารม้า, แผนก ที่ ๓ ทหารปืนใหญ่, แผนกที่ ๔ ทหารช่าง, แผนกที่ ๕ ทหารสื่อสาร ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๔ แผนกที่ ๔ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นแผนกทหารช่าง ขึ้นตรงต่อกรมเสนาธิ การทหารบก ตามคำสั่งทหารที่ ๒๓๑/๒๒๒๖๕ ลง ๕ มิ.ย. ๘๔ โดยมีการจัดหน่วยใหม่ดังนี้คือ กอง บังคับการ, กองการศึกษา, กองฝึก, กองวิทยาการ, หมวดสัมภาระ, หมวดเสนารักษ์, โรงเรียนทหารช่าง, กอง โรงเรียนทหารช่าง, กองโรงเรียนนายสิบทหารช่าง และในช่วงนี้เอง แผนกทหารช่างได้ย้ายจากจังหวัดพระ นครไปตั้งที่อยู่จังหวัดราชบุรี - พ.ศ. ๒๔๘๘ แผนกทหารช่าง แปรสภาพเป็น กรมจเรทหารช่าง ขึ้นตรงต่อกรมจเร ทหารบก ตั้งอยู่จังหวัดราชบุรี ตามคำสั่ง ทบ.พิเศษ ลับ - ด่วน ที่ ๒๔๐ ลง๔ ธ.ค.๘๘ เรื่องการ เตรียมการจัดกำลังตามอัตรากองทัพบก ๘๙ และ การยุบหน่วยตามอัตรากองทัพบก ๘๖ มีการจัดหน่วยดังนี้ กองบังคับการกรม, แผนกเทคนิค, แผนกศึกษาและแผนกคลัง จนถึงเดือนมีนาคม ๒๔๙๓ ได้มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมพิเศษที่ ๑๓/๔๖๖๙ ลง ๒๐ มี.ค.๙๓ ให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดหน่วย โดยจัดส่วนราชการออกเป็น กองบังคับการกรม, แผนกที่ ๑,แผนกที่ ๒, แผนกที่ ๓ และแผนกที่ ๔ - พ.ศ. ๒๔๙๕ กรมจเรทหารช่าง ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กรมการทหารช่าง ขึ้นตรงต่อกองทัพบกตาม คำสั่งกระทรวงกลาโหม ( พิเศษ ) ที่ ๕๙/๒๓๖๔๐ เรื่อง แก้อัตรากองทัพบก ๙๑ ( ครั้งที ๕๓ ) ลง ๑๙ พ.ย.๙๕ มีการจัดส่วนราชการดังนี้ - กองบังคับการกรม - กองกลาง - กองวิทยาการ - กองฝึกและศึกษา - กองเครื่องอุปกรณ์การช่าง - ศูนย์การฝึกทหารช่าง - กองยุทธโยธา - กองเสนารักษ์ - พ.ศ.๒๔๙๗ ได้ปรับปรุงอัตราการจัดกรมการทหารช่างใหม่ โดยแบ่งกิจการทหารช่างออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ คือ กองบังคับการกรมการทหารช่างกับโรงเรียนทหารช่าง แบ่งส่วนราชการออกเป็น - กองบังคับการกรม


๑๓๑ - กองเครื่องช่วยฝึก - กองบริการ - กองเครื่องอุปกรณ์การช่าง - กองเสนารักษ์ - กองร้อยรักษาการณ์ - โรงเรียนทหารช่าง - พ.ศ. ๒๔๙๘ กรมทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ (ได้รับสถาปนาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๙ ) ได้มาขึ้นต่อ กรมการทหารช่าง ราชบุรี มีหน่วยขึ้นตรง ๓ กองพัน คือ กองพันทหารช่างที่ ๔ ( ภายหลังแปรสภาพ เป็นกองพันทหารช่างที่ ๖ ) กองพันทหารช่างที่ ๔ , กรมทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ.๒๕๐๗ ที่ตั้งของกรมทหารช่างและจังหวัดทหารบกราชบุรีได้รับพระราชทานชื่อ ค่ายว่า “ ค่ายภาณุรังษี ” - พ.ศ.๒๕๑๑ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการจัดของกรมการทหารช่าง ตามคำสั่ง ทบ.( เฉพาะ ) ลับ ที่ ๗๕/๑๑ ลง ๒๙ ก.ค.๑๑ ซึ่งเป็นการจัดส่วนราชการตามอัตราเฉพาะกิจหมายเลข ๓๒๐๐ และ ยังใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ หน่วยทหารช่างที่กระทรวงกลาโหมกำหนด - พัน.ช.กช. มีหน้าที่เป็นหน่วยลูกมือของกรมทหารช่าง ในการสนับสนุนการฝึกศึกษาและ ปฏิบัติงานช่างที่จำเป็น - กองพลทหารช่าง ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งกองทัพบก( เฉพาะ ) ลับ ที่ ๑๖๙/๓๒ ลง ๒๕ ก.ย.๓๒ เรื่องจัดตั้ง กองพลทหารช่าง มีหน้าที่รับผิดชอบในงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่เกินขีดความสามารถของกองพล พัฒนา( กองทัพภาค ) และเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพบก ด้านการพัฒนาประเทศให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้น หน่วยที่ ทบ.ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ กช. - กรมทหารช่างที่ ๒๑ เป็นหน่วยส่งกำลังและซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์สาย ช. - ร้อย.ช.ซบร.สนาม มีภารกิจซ่อมบำรุงสนับสนุนโดยตรงต่อยุทโธปกรณ์สาย ช.ให้กับหน่วยนอก กองทัพภาค ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ ๑ และหน่วยทหารซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี กช.ได้ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ กรมการทหารช่างที่ ๒๑ - ร้อย.ช.ซบร.หนัก มีภารกิจในการซ่อมบำรุงสนับสนุนทั่วไป ต่อยุทโธปกรณ์สาย ช. และระดับ คลัง กช.ได้ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ กรมทหารช่างที่ ๒๑ - ตอนทหารช่างประปาสนาม มีภารกิจสนับสนุนส่วนรบให้กับกองทัพบก ในเรื่องการบริการ น้ำประปาในสนาม เพื่อเพิ่มเติมขีดความสามารถให้กับ พัน.ช.สนาม กช.ได้ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ กรม ทหารช่างที่ ๒๑ - กองพันทหารช่างที่ ๕๑ เป็นกองพันทหารช่างสนามของกองทัพตาม อจย.๕ -๓๕ ภารกิจ หน้าที่กรมการทหารช่าง ๑. ภารกิจ กรมการทหารช่างมีหน้าที่ ๑.๑ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน แนะนำ กำกับการ ดำเนินการวิจัยและพัฒนา เกี่ยวกับการผลิต จัดหา ส่งกำลัง ซ่อมบำรุงและการบริการสิ่งอุปกรณ์สายทหารช่าง ๑.๒ วางแผน อำนวยการ ประสานงานกำกับการ และดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้าง รวมทั้งซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างตามที่ได้รับมอบหมาย


๑๓๒ ๑.๓ กำหนดหลักนิยมและทำตำรา ตลอดทั้งการฝึกและศึกษาของเหล่าหารช่างมีเจ้ากรมทหาร ช่างเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ๒. การแบ่งมอบ เป็นส่วนราชที่ขึ้นตรงกองทัพบก ๓. ขอบเขตรับผิดชอบและหน้าที่ที่สำคัญ ๓.๑ เสนอแนะและให้คำแนะนำทางวิชาการเกี่ยวกับกิจการทหารช่าง ๓.๒ เสนอนโยบายวางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการ และดำเนินการเกี่ยวกับ การส่งกำลัง และซ่อมบำรุงสิ่งอุปกรณ์สายทหารช่างให้กับหน่วยต่าง ๆ ของกองทัพบก ๓.๓ วิจัย พัฒนา กำหนดหลักนิยม จัดทำตำรา และคู่มือเกี่ยวกับวิทยาการและสิ่งอุปกรณ์ สายทหารช่าง ๓.๔ วางแผน อำนวยการ จัดทำหลักสูตรแนวสอน และดำเนินการฝึกศึกษากำลังพลเหล่า ทหารช่างและเหล่าทหารอื่น ตามที่ได้รับมอบหมาย ๓.๕ ดำเนินการผลิตและควบคุมกำลังพลเหล่าทหารช่าง ๓.๖ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการ และดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้าง รวมทั้งซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างตามที่ได้รับมอบหมาย ๔. การแบ่งส่วนราชการและหน้าที่ ๔.๑ แผนกธุรการ มีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับ การธุรการ การสารบรรณ และการธุรการ กำลังพลของกรมการทหารช่าง ๔.๒ กองกำลังพล มีหน้าที่วางแผนอำนวยการประสานงาน กำกับการ และดำเนินการเกี่ยว กิจการกำลังพลเหล่าทหารช่าง ๔.๓ กองยุทธการและการข่าว มีหน้าที่ เสนอแนะนโยบายวางแผนอำนวยการประสานงาน และกำกับการเกี่ยวกับการปฏิบัติทางยุทธการ การจัดหน่วย การฝึกและศึกษาของเหล่าทหารช่าง รวมทั้ง การข่าว การรักษาความปลอดภัย และกิจการพลเรือนของกรมการทหารช่าง ๔.๔ กองส่งกำลังบำรุง มีหน้าที่ ๔.๔.๑ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน และกำกับการเกี่ยวการส่งกำลังบำรุง และ ซ่อมบำรุงสิ่งอุปกรณ์สายช่างให้กับหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพบก ๔.๔.๒ อำนวยการกำกับการเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงของกรมการทหารช่าง ๔.๕ กองโครงการและงบประมาณ มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน และ ดำเนินการเกี่ยวกับการงบประมาณ และการตรวจสอบวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนแผนการปฏิบัติงานของหน่วย ๔.๖ แผนกจัดหา มีหน้าที่ ดำเนินการจัดหาสิ่งอุปกรณ์สายช่าง ตามแผนจัดหาที่ได้รับอนุมัติ ๔.๗ กองบริการ มีหน้าที่ ดำเนินการสนับสนุนหน่วยต่าง ๆ ของกรมการทหารช่าง เกี่ยวกับการ สวัสดิการ การขนส่ง การพลาธิการ การสรรพาวุธ และการบริการอื่น ๆ รวมทั้งจัดการรักษาการณ์ตามที่ ได้รับมอบมาย ๔.๘ กองเครื่องช่วยฝึก มีหน้าที่ ๔.๘.๑ ดำเนินการสร้างและซ่อมเครื่องช่วยฝึก ให้เหมาะสมกับการฝึกและศึกษาเพื่อ สนับสนุนหน่วยต่าง ๆ ของเหล่าทหารช่าง ๔.๘.๒ วิจัย พัฒนา และปรับปรุงเครื่องช่วยฝึกให้ทันสมัย ๔.๘.๓ ให้คำแนะนำการใช้เครื่องช่วยฝึก รวมทั้งการเก็บรักษาและแจกจ่าย ๔.๙ กองวิทยาการ มีหน้าที่ ๔.๙.๑ ให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ และดำเนินการเกี่ยวกับวิทยาการของเหล่า ทหารช่าง


๑๓๓ ๔.๙.๒ วิจัย พัฒนา กำหนดหลักนิยมและจักทำสถิติ ตลอดจนเผยแพร่วิทยาการทหาร ช่าง ๔.๙.๓ ดำเนินการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์ทหารช่างและจัดห้องสมุดของ กรมการทหารช่าง ๔.๑๐ กองคลังทหารช่าง มีหน้าที่ ดำเนินการและกำกับการบริหารงานคลังการซ่อมบำรุง และการจำหน่ายสิ่งปกรณ์สายช่าง เพื่อสนับสนุนหน่วยต่าง ๆ ของกองทัพบกและหน่วยอื่น ๆ ที่ได้รับ มอบหมาย ๔.๑๑ กองการก่อสร้าง มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการและ ดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้าง รวมทั้งซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างตามที่ได้รับมอบหมาย ๔.๑๒ โรงเรียนทหารช่าง มีหน้าที่อำนวยการ ดำเนินการฝึกศึกษาให้กับกำลังพลเหล่าทหาร ช่าง และเหล่าอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบ รวมทั้งปกครองบังคับบัญชาผู้เข้ารับการฝึกศึกษาตามหลักสูตรของ โรงเรียนทหารช่าง ๔.๑๓ ฝ่ายกิจการพิเศษ ได้แก่ อศจ.กช., นธน.กช., ฝกง.กช., จเร.กช. และ พญ.กช. กองพลทหารช่าง ๑. ความมุ่งหมายและหลักการ ๑.๑ เพื่อให้มีหน่วยงานรับผิดชอบงานด้านก่อสร้างขนาดใหญ่เป็นงานพิเศษซึ่งเกินขีด ความสามารถของหน่วย ช. และกองพลพัฒนา ทั้งด้านการควบคุมบังคับบัญชาและการปฏิบัติเพื่อส่งเสริม สนับสนุนงานพัฒนาประเทศในยามปกติ รวมทั้งสนับสนุนงานช่างในยุทธบริเวณ ๑.๒ การจัดตั้ง พล.ช.จะทำให้ผู้บังคับบัญชาในระดับต่าง ๆ ของ ทบ.มีหน่วยทหารช่างในอัตรา ที่เหมาะสม สอดคล้องกับหลักนิยมในการใช้งานดังนี้คือ ๑.๒.๑ ระดังกองพล มีหน่วย พัน ช.พล เป็นหน่วยอัตรารับผิดชอบการปฏิบัติงานช่าง สนามสนับสนุนกองพล ๑.๒.๒ ระดับ ทภ. มีหน่วย ๑.๒.๒.๑ กรม ช.ทภ.รับการปฏิบัติงานช่างสนามด้านยุทธการ ๑.๒.๒.๒ พล.พัฒนา รับผิดชอบการปฏิบัติงานช่างด้านการพัฒนาประเทศ ๑.๒.๓ ระดับ ทบ.จะมีหน่วย ช.ของ ทบ.ได้แก่ พล.ช.ที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่นี้รับผิดชอบ การปฏิบัติงานช่างด้านการพัฒนาประเทศ โดยบรรจุมอบให้หน่วยขึ้นการบังคับบัญชาโดยตรงกับ กช. ๒. ภารกิจของกองพลทหารช่าง ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาประเทศในเรื่องการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เป็นงานพิเศษ เช่น การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก, อุโมงค์, การส่งกำลังทางท่อ, สนามบิน, เขื่อน, เส้นทางคมนาคมทั้งทางถนน, ทาง รถไฟ, ทางน้ำ, คลังน้ำมันขนาดใหญ่ และงานพิเศษอื่น ๆ ๓. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยขึ้นตรงของกรมการทหารช่าง ๔. ขีดความสามารถ ๔.๑ วางแผน ประสานงาน กำกับดูแล และดำเนินการ ก่อสร้างในเรื่องสิ่งอำนวยความ สะดวก อันได้แก่ ท่าเรือน้ำลึก, อุโมงค์,ระบบการส่งกำลังทางท่อ,เส้นทางคมนาคม ( ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ ), คลังน้ำมันขนาดใหญ่, เขื่อน และค่ายทหาร ๔.๒ สามารถแบ่งมอบหน่วย ช. และวัสดุอุปกรณ์แก่โครงการก่อสร้างต่าง ๆ รวมทั้งให้ คำแนะนำช่วยเหลือทางเทคนิคแก่หน่วยที่ดำเนินการ


๑๓๔ ๔.๓ ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยที่ได้รับการบรรจุมอบ หรือหน่วยขึ้นสมทบระดับ กรม ช.ได้ ๒- ๔ กรม ทั้งในด้านเทคนิค, ด้านยุทธการและด้านธุรการ ๔.๔ กำกับดูแลสัญญาก่อร้าง และการจ้างแรงงานตลอดจนควบคุมเทคนิคและมาตรฐานการ ก่อสร้างพิเศษตามที่ได้รับมอบ ๕. โครงสร้างการจัดหน่วยและการประกอบกำลัง พล.ช.มีรูปแบบการจัดและการประกอบกำลังคล้ายคลึงกับพลพัฒนา เพียงแต่เพิ่มขีด ความสามารถให้สูงขึ้น เพื่อรับผิดชอบงานก่อสร้างพิเศษ ซึ่งแตกต่างไปจากพลพัฒนา ซึ่งมีการจัด ประกอบด้วย ๕.๑ บก.และร้อย บก.พล.ช.ทำหน้าทีเป็น บก.ควบคุม ๕.๒ กรม.ช.จำนวน ๒-๔ กรม ทำหน้าที่ บก.ควบคุมประกอบด้วย ๕.๒.๑ บก.และร้อย บก. ๕.๒.๒ กองพันทหารช่างก่อสร้าง จำนวน ๒-๓ กองพัน มีหน้าที่ปฏิบัติงานพัฒนาใน ส่วนที่เป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เป็นงานพิเศษ ๕.๓ หน่วยทหารอื่น ๆ มีความสำคัญและจำเป็นในการปฏิบัติงานก่อสร้างพิเศษบรรจุมอบให้ ตามความเหมาะสม ซึ่งหน่วยหลัก คือ กองพันทหารช่างเครื่องมือพิเศษ จำนวน ๑ - ๒ กองพันมีหน้าที่เข้า ร่วมและสนับสนุนงานก่อสร้างพิเศษสำหรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในด้านเครื่องมือช่างพิเศษและกำลังพล ให้กับ พัน.ช.ก่อสร้าง การประกอบกำลังของกองพันทหารช่างเครื่องมือช่างพิเศษจะประกอบด้วย บก.พัน. และ ๓ กองร้อย ช. เครื่องมือพิเศษ ๖. ผังการจัดกองพลทหารช่าง จัดตั้งตามคำสั่งกองทัพบก ( เฉพาะ) ลับ ที่ ๑๖๙/๓๒ ลง ๒๕ ก.ย.๓๒ เรื่อง การจัดตั้งกองพลทหารช่าง กองพล ทหารช่าง บก.และร้อย.บก. บก.และร้อย.บก. ช.๑๑ พัน.ช.เครื่องมือพิเศษ ช.๑๑๑ ช.พัน.๖๐๒ ร้อย.ช. บรรทุกเทท้าย ร้อย.ช.สนับสนุน การก่อสร้างสนับสนุน ร้อย.ช. สะพานผสม (ช.ร้อย.๑๔) (ช.ร้อย.๑๑๕) (ช.ร้อย.๑๘)


๑๓๕ เหล่าทหารสื่อสาร SIGNAL การสื่อสารทั่วไป ๑. กล่าวโดยทั่วไป การวิวัฒนาการของทหารสื่อสาร กองทัพบกไทยเมื่อก่อนสงครามโลก ครั้งที่ ๒ เปรียบเทียบ ทหารสื่อสารเหมือนเส้นประสาทกองทัพ เป็นสื่อรับบัญชาจากสมองสั่งการแก่อวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานได้ตาม ความประสงค์ ปัจจุบันเราเปรียบทหารสื่อสารเป็น ” เสียงของผู้บังคับบัญชา ” หรือลดความสำคัญลง กว่าเดิม “ แผนการยุทธของฝ่ายอำนวยการ ที่วางไว้อย่างดีเยี่ยมเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่าแผนการ สื่อสารไม่สามารถสนับสนุนได้แล้ว แผนการยุทธอันนั้นก็ต้องล้มเหลว ” ทหารสื่อสารเป็นผู้สื่อสารสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายอำนวยการกับผู้บังคับบัญชา และผู้บังคับบัญชา กับหน่วยใต้บังคับบัญชา ระหว่างหน่วยเหนือกับหน่วยรองและหน่วยข้างเคียง การวิวัฒนาการทางอาวุธในปัจจุบัน ทำให้ยุทธวิธีและการจัดหน่วยต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่น การ ยุทธใช้อาวุธปรมาณู เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้หน่วยทหารต้องกระจายออกไปทั้งทางกว้างและทางลึก การ ติดต่อสื่อสารซึ่งเป็นเสียงของผู้บังคับบัญชาที่จะสั่งงานและบัญชาการ ต้องแน่นแฟ้นและมั่นคงเป็นที่เชื่อถือ และมั่นใจได้ว่า สามารถจะควบคุมและอำนวยการให้หน่วยต่าง ๆ ที่แยกกระจายอยู่นั้นปฏิบัติตามคำสั่งได้ ทหารสื่อสารเป็นหน่วยยุทธบริการ มีหน้าที่สำคัญในการร่วมทำแผนยุทธการและแผนส่งกำลัง บำรุงกับฝ่ายอำนวยการอย่างใกล้ชิด เป็นฝ่ายกิจการพิเศษที่จะให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารแก่ ฝ่ายเสนาธิการและผู้บังคับบัญชา ทหารสื่อสารจึงมีความสำคัญต่อผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการเป็นอย่าง มาก ๒. ประวัติทหารสื่อสาร การสื่อสารของกองทัพบกก่อนสมัย ร.ศ.๑๒๖ ใช้เครื่องมือเรียกว่า ” เครื่องสัญญา ” มี เจ้าหน้าที่ในกรมทหารช่างเป็นผู้ปฏิบัติการหลัก ในการใช้เครื่องสัญญา หน่วยทหารเหล่าอื่นต้องจัดทหารขึ้น ใช้เครื่องสัญญาของตนเอง โดยกรมยุทธนาธิการออกข้อบังคับให้ใช้เครื่องสัญญาประกอบกับสมุดโค๊ตโทรเลข ทหารบก เครื่องหมายเลขสัญญาสำหรับธงคู่ และธงเดี่ยวขึ้นเป็นแนวทางปฏิบัติ - พ.ศ.๒๔๖๐ ได้จัดตั้งกรมจเรการช่างทหารบกขึ้น ให้มีหน้าที่เกี่ยวกับทหารช่างและเครื่องมือ - พ.ศ.๒๔๖๒ ได้กำหนดให้หน่วยระดับกองบังคับการกรม, กองพันและกองร้อย ทุกกองของ หน่วยทหารในเวลาออกทำการสนาม ให้จัดอัตรามีพลสัญญาอย่างน้อย ๑ พวก แต่ละพวกมี ๓ คน ตั้งเป็น สถานี “ เครื่องสัญญา ” ส่งข้อความจากพวกหนึ่งไปยังอีกพวกหนึ่ง - พ.ศ.๒๔๖๓ นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนกำแพงเพชรอัครโยธิน จเรการช่าง ทหารบก ได้มอบเครื่องมือสื่อสารไฟฟ้าแบบทันสมัย ที่นักประดิษฐ์คิดสร้างสำเร็จใหม่ๆ ซึ่งซื้อมาจากบริษัท มาร์โคนี่ ประเทศอังกฤษ ให้ทหารทดลองเพื่อฝึกใช้ในราชการ


๑๓๖ - พ.ศ.๒๔๖๕ ได้กำหนดหน้าที่ให้กรมจเรการช่างทหารบก ให้มีแผนกที่ ๒ มีหน้าที่เกี่ยวกับ การใช้เครื่องสัญญา เครื่องสัญญาที่ใช้ตามหลักฐานที่ระบุไว้มี โทรเลข โทรศัพท์ วิทยุโทรเลข วิทยุโทรศัพท์ โคมสัญญา กระจกสัญญา ธงสัญญา แผ่นเกล็ดสัญญาณ มือและแขนสัญญาอื่น ๆ วันที่ ๒๗ พ.ศ.๒๔๖๗ ได้มีคำสั่งตั้งทหารสื่อสารขึ้น กำหนดให้มี” ชนิดทหารสื่อสาร ” มีสีเม็ดมะปรางเป็นสัญญลักษณ์ของทหารสื่อสาร โดยจัดให้มีกองโรงเรียนทหารสื่อสารขึ้น ในกรมจเรการ ช่างทหารบก และแก้ไขถ้อยคำที่เคยใช้เรียกว่า พลสัญญา,เครื่องสัญญา เป็น พลสื่อสาร การสื่อสาร และ ทหารสื่อสาร กำหนดหน้าที่ของแผนกที่ ๒ กรมจเรการช่างทหารบกให้มีหน้าที่การสื่อสารและปฏิบัติงาน เกี่ยวกับทหารสื่อสาร การจัดตั้งดังกล่าวได้แปรสภาพกองพันทหารช่างที่ ๒ ช่างเครื่องสัญญาของกรมช่าง ทหารบกที่ ๑ เป็น ” กองโรงเรียนทหารสื่อสาร ” และแปรสภาพกองร้อยที่ ๒ ของกองพันที่ ๒ ช่างเครื่อง สัญญา เป็น ” กองทหารสื่อสาร ” ให้ตรงกรมจเรการช่างทหารบก ตั้งอยู่ที่เลขที่ ๑๔๙ ถนนพระราม ๕ ตำบลถนนนครไชยศรี ( สะพานแดง บางซื่อ ) อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร - พ.ศ.๒๔๖๙ ได้จัดตั้งกองทหารสื่อสารขึ้นอีกกองหนึ่ง คือกองทหารสื่อสารในกองพลทหารบกที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ.๒๔๗๐ มีการเปลี่ยนแปลงการจัดหน่วยทหารสื่อสารใหม่ โดยแปรสภาพกองโรงเรียน ทหารสื่อสาร เป็นกองพันทหารสื่อสารที่ ๑ รักษาพระองค์ มีกองทหารสื่อสารเป็นกองร้อยที่ ๒ โอนกอง ทหารสื่อสาร กองพลทหารบกที่ ๑ รักษาพระองค์ที่จัดขึ้นใหม่นี้ขึ้นตรงกับกรมช่างทหารบกที่ ๑ รักษา พระองค์ ตั้งหน่วยอยู่ ณ สถานที่เดิม กับให้แปรสภาพกองพันที่ ๒ กรมช่างทหารบกที่ ๒ เป็นกองพัน ทหารสื่อสารที่ ๒ ขึ้นตรงกับกรมช่างทหารบกที่ ๒ ตั้งอยู่ที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเดือน ก.ค.พ.ศ.๒๔๗๕ เปลี่ยนนามกรมจเรการช่างทหารบกเป็น กองบังคับการทหารช่าง และสื่อสาร ตั้งสำนักงานอยู่ที่กระทรวงกลาโหม ครั้นถึงเดือน ส.ค. ได้ยุบกรมช่างทหารบกทั้งหมด จัด กำลังเป็นหน่วยกองพันขึ้นตรงต่อกองบังคับการทหารช่างและสื่อสาร มีกำลัง เป็น ๔ กองพัน คือ - กองพันทหารช่างที่ ๑ ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนคร - กองพันทหารช่างที่ ๒ ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา - กงพันทหารสื่อสารที่ ๑ ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนคร - กองพันทหารสื่อสาที่ ๒ ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนอกจากนี้ ยังจัดให้มีโรงเรียนนายสิบพลรบขึ้นตรงอยู่ด้วย โดยตั้งอยู่ที่ สะพานแดง บางซื่อ ต่อมาเป็นต้นกำเนิดโรงเรียนนายสิบทหารสื่อสาร ปลายปี พ.ศ.๒๔๗๖ ยุบเลิกกองบังคับการทหารช่างและสื่อสาร ตั้งเป็นกรมจเรทหารบก มี แผนกที่ ๕ กรมจเรทหารบก เรียกชื่อย่อว่า “ จร.๕ ” มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการสื่อสาร แผนกนี้ตั้งสำนักงาน อยู่ในกระทรวงกลาโหม และการเปลี่ยนแปลงนี้ได้แยกทหารช่างกับทหารสื่อสารออกจากกัน โดยย้ายกองพัน ทหารสื่อสารที่ ๒ จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาอยู่ที่ถนนปฏิพัทธ์ภูบาล ตำบลสามเสนใน อำเภอดุสิต ( กรมช่างอากาศปัจจุบัน ) สะพานแดงบางซื่อ และย้ายหน่วยหารช่างออกไปจากเลขที่ ๑๔๙ ถนนพระราม ๕ เป็นอันว่าทหารสื่อสารได้กลับมาเป็นหน่วยทหารที่มีภารกิจของตนเองโดยเฉพาะ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๘ ได้ย้ายแผนกที่ ๕ กรมจเรทหารบก จากกระทรวงกลาโหม มาตั้งสำนักงานอยู่ที่เลขที่ ๑๔๙ ถนนพระราม ๕ และจัดตั้งกองทหารสื่อสารขึ้นอีกโดยเฉพาะ แปรสภาพ จากกองพันทหารสื่อสารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันเป็นหน่วยขึ้นตรง ในพื้นที่เดียวกันนี้มีหน่วยทหารสื่อสาร อยู่ในบังคับบัญชาของแผนกที่ ๕ กรมจเรทหารบก คือ กองโรงเรียนทหารสื่อสาร, กองทหารสื่อสาร มณฑล ทหารบกที่ ๑, กองทหารสื่อสาร กรมป้องกันต่อสู้อากาศยาน


๑๓๗ ในปีนี้ยุบเลิกกองพันทหารสื่อสารที่ ๒ และจัดตั้งกองทหารสื่อสารขึ้นใหม่ คือ กองทหารสื่อสาร กรมป้องกันต่อสู้อากาศยาน กองทหารสื่อสารที่ ๑ ขึ้นกับมณฑลทหารบกที่ ๑ กองทหารสื่อสารที่ ๒ ขึ้นกับมณฑลทหารบกที่ ๒ กองทหารสื่อสารที่ ๓ ขึ้นกับมณฑลทหารบกที่ ๓ กองทหารสื่อสารที่ ๔ ขึ้นกับมณฑลทหารบกที่ ๔ กองทหารสื่อสารที่ ๕ ขึ้นกับมณฑลทหารบกที่ ๕ จนถึงปี พ.ศ.๒๔๙๗ ได้จัดตั้งหมวดทหารสื่อสาร ไปประจำกองพันทหารราบ ๓ แห่ง คือ กองพันทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ กองพันทหารราบที่ ๔ และกองพันทหารราบที่ ๑๐ ในปีนี้ได้จัดตั้ง กองโรงงานทหารสื่อสาร ขึ้นตรงแผนกที่ ๕ กรมจเรทหารบก ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน กองนี้มีหน้าที่ออกแบบ และผลิตเครื่องมือสื่อสารประเภทต่าง ๆ ขึ้นไว้ใช้ในกองทัพบก - พ.ศ.๒๔๘๓ ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์สงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ในกรณีเรียกร้อง ดินแดนคืน ได้จัดกำลังทหารสื่อสารเพิ่มเติม คือ กองพันทหารสื่อสารกองทัพบก กองพันทหารสื่อสารกอง พลพระนคร กองพันทหารสื่อสารกองพลธนบุรี หน่วยซ่อมเครื่องมือสื่อสารกองทัพบูรพา หน่วยซ่อม เครื่องมือสื่อสารกองทัพอีสาน - พ.ศ.๒๔๘๔ ยุบกรมจเรทหารบก แปรสภาพแผนกที่ ๕ กรมจเรทหารบก เป็น แผนกสื่อสาร กรมเสนาธิการทหารบก เครื่องมือสื่อสารที่ผลิตและออกแบบโดยกองโรงงานทหารสื่อสาร มีธงสัญญาณ พลุ สัญญาณ เครื่องโทรศัพท์สนาม เครื่องวิทยุรับส่งเรียกชื่อย่อว่า รส.๓, รส.๔ และ รส.๕ และผลิตหม้อประจุ ไฟฟ้าใช้กับเครื่องโทรศัพท์ มีหม้อไฟฟ้าประเภทที่ ๑ และประเภทที่ ๒ ( ถ่านไฟฉายและ หม้อเลอคลังเช่ ) กับเครื่องยนต์ทำไฟฟ้าใช้กับเครื่องรับส่งวิทยุอีกด้วย การสื่อสารระหว่างหน่วยทหารในพระนครและ ต่างจังหวัด ในเวลาปกติใช้การสื่อสารท้องถิ่นซึ่งเป็นภารกิจของกรมไปรษณีย์โทรเลข เมื่อหมดสถานะสงครามอินโดจีน ได้เกิดสถานะสงครามมหาเอเซียบูรพา มีกองพันและหน่วยต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการยุบเลิกไป และได้จัดตั้งกองพันทหารสื่อสารกองทัพพายัพจากพระนคร ไปสังกัดกองทัพ พายัพ - พ.ศ.๒๔๘๙ ปรับปรุงกิจการทหารสื่อสารใหม่ แปรสภาพแผนกสื่อสาร กรมเสนาธิการ ทหารบก เป็นกรมจเรทหารสื่อสารขึ้นตรงต่อกรมจเรทหารบก - พ.ศ.๒๔๙๑ จัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง จส.๑ ใน กรมทหารสื่อสาร - พ.ศ.๒๔๙๕ ได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐอเมริกา กรมจเรทหารสื่อสารได้รับหน้าที่ เป็นแหล่งรับเครื่องมือสื่อสารชนิดใหม่ แจกจ่ายให้หน่วยทหารตามโครงการช่วยเหลือ ตลอดจนฝึกอบรมและ ให้การศึกษาเครื่องมือชนิดใหม่แก่หน่วยที่ได้รับแจกจ่าย จึงได้รับการปรับปรุงกิจการและอัตราใหม่ ตั้งแต่ ๖ ส.ค.๒๔๙๕ แปรสภาพเป็น “ กรมทหารสื่อสาร ” มี “ เจ้ากรมทหารสื่อสาร ” เป็นผู้บังคับบัญชาและเป็น หัวหน้าเหล่าสายวิทยาการสื่อสาร ดำเนินการเหล่าทหารสื่อสารมาจนถึงปัจจุบัน การจัดและภารกิจของ หน่วยสื่อสารและหน่วยทหารสื่อสาร ๑. กล่าวทั่วไป หน่วยสื่อสาร หมายถึง หน่วยทหารเหล่าใดก็ได้ ( เว้นแต่เหล่าทหารสื่อสาร ที่ทำหน้าที่ ทางการสื่อสาร ) โดยปกติหน่วยสื่อสารจะมีขนาดหมวดหรือหมู่ เช่น หมวดสื่อสารกองพันทหารราบ, หมวด สื่อสารกองพันทหารปืนใหญ่, หมวดสื่อสารกองพัน ปตอ., หมวดสื่อสาร ป.พล., หมู่สื่อสารกองพันทหารช่าง สนาม


๑๓๘ หน่วยทหารสื่อสาร หมายถึง หน่วยทหารที่เป็นทหารเหล่าสื่อสาร ทำหน้าที่ทางการสื่อสาร หรือทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจกรรมของเหล่าทหารสื่อสาร โดยปกติหน่วยทหารสื่อสารจะมีขนาดเป็น ชุด กองร้อย กองพัน กรม และกองพลน้อย เช่น ชุดการภาพ, ชุดข่าวกรองสื่อสารทางเทคนิค, พัน.ส.พล, พัน.ส.ทภ., กรม.ส. เป็นต้น ๒. หน่วยสื่อสารและหน่วยทหารสื่อสาร ก. หน่วยทหารบกที่มีการจัดตาม อจย.ทุกหน่วย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยเล็กหรือหน่วยใหญ่ มีอัตรา เครื่องมือสื่อสารของตนเอง บางหน่วยอาจมีอัตราเจ้าหน้าที่สื่อสารด้วย หน่วยใดที่อัตราเครื่องมือสื่อสาร แต่ ไม่มีอัตราเจ้าหน้าที่สื่อสาร ก็หมายความว่า เจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในหน่วยนั้นเป็นผู้ติดตั้ง ใช้งาน และบำรุงรักษา เอง เครื่องมือสื่อสารบางชนิดผู้ใช้ต้องใช้ด้วยตนเอง เช่น โทรศัพท์ ข. ในหน่วยทหารบกขนาดจะมีอัตราหน่วยสื่อสาร เพื่อให้การสนับสนุนทางการสื่อสารแก่หน่วย นั้น ค. หน่วยระดับกองร้อยและเล็กกว่า จะมีเครื่องมือสื่อสารของตนเองและอาจมีหรือไม่มี เจ้าหน้าที่สื่อสารก็ได้ เช่น กองร้อยปืนเล็ก มีทั้งเครื่องมือสื่อสารและเจ้าหน้าที่สื่อสาร เช่น พลทางสาย แต่ หมวดปืนเล็กมีเครื่องมือสื่อสารแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่สื่อสารทำหน้าที่ ง. หน่วยระดับกองพัน เช่น พัน.ร., พัน.ถ., พัน.ป. เป็นต้น จะมีหน่วยสื่อสารขนาดหมวดหน่วย ละ ๑ หมวด เจ้าหน้าที่สื่อสารของหน่วยสื่อสารเหล่านั้น เป็นเหล่าเดียวกันกับหน่วยหลักของตน เช่น มว.ส. พัน.ร. จะเป็นทหารราบ มว.ส.พัน.ป.จะเป็นทหารปืนใหญ่ เป็นต้น มว.ส.กองพันขึ้นตรงกับ บก.และร้อย บก. ของกองพัน จ. หน่วยระดับกรม เช่น กรม.ร., กรม.ป. เป็นต้น จะมีหน่วยสื่อสารขนาดหมวดหน่วยละ ๑ หมวด เจ้าหน้าที่สื่อสารของหมวดสื่อสารเป็นเหล่าเดียวกันกับหน่วยหลักของตน เช่น มว.ส.กรม.ร. จะเป็น ทหารราบ เป็นต้น มว.ส.ของ กรม ขึ้นตรงกับ บก.และร้อย บก.ของ กรม ฉ. หน่วยระดับกองพล จะมีพัน.ส.พล.ซึ่งเป็นหน่วยอัตราของกองพล และให้การสนับสนุนการ รบด้วยการสื่อสารแก่กองพล ช. หน่วยระดับกองทัพภาค จะมี พัน.ส.ทภ. ซึ่งเป็นหน่วยในอัตราของกองทัพภาค ให้การ สนับสนุนการรบด้วยการสื่อสารแก่กองทัพภาค ซ. หน่วยระดับกองทัพบก จะมีหน่วยทหารสื่อสารขนาด กรม ส. ให้การสนับสนุนการรบด้วย การสื่อสารแก่กองทัพบก ฌ. หน่วยระดับกองบัญชาการทหารสูงสุด จะมี พัน ส.บก.ทหารสูงสุด ให้การสนับสนุนการรบ ด้วยการสื่อสารแก่กองบัญชาการทหารสูงสุด ๓. ภารกิจหลักของหน่วยสื่อสารและหน่วยทหารสื่อสาร ภารกิจหลักของหน่วยสื่อสารและหน่วยทหารสื่อสาร คือ ให้การสื่อสารภายในบริเวณ ที่ตั้ง ทก.และจัดให้มีการสื่อสารระหว่าง ทก.เพื่อสนับสนุน ผบ.หน่วยและฝ่ายอำนวยการในการสื่อสาร ภายในหน่วยและระหว่างหน่วย และเมื่อจำเป็นก็ให้การสนับสนุนทางการสื่อสารแก่หน่วยรองหรือหน่วยอื่น


๑๓๙ ๔. การจัดและภารกิจของหมวดสื่อสารของกองพันทหารราบ ก. การจัด ข. ภารกิจ มว.ส.พัน.ร.มีภารกิจในการจัดตั้ง ดำเนินงาน และดำรงไว้ซึ่งระบบการสื่อสารภายในที่บังคับ การกองพัน หมวดนี้รับผิดชอบในการสื่อสารไปกองร้อยต่าง ๆ ซึ่งมิใช่กองร้อยนั้น ๆ ๕. การจัดและภารกิจของหมวดสื่อสารกรมทหารราบ ก.การจัด *ยกเว้น มว.ส.ของกรมทหารราบยานเกราะจะมีตอนศูนย์ข่าว เพิ่มขึ้นมาด้วย ข. ภารกิจ มว.ส.กรม.ร.มีภารกิจในการจัดตั้ง ปฏิบัติงาน และบำรุงรักษาเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ให้กับกองบังคับการกรม ทั้งยังจัดตั้งและดำรงรักษาการสื่อสารไปยังกองพัน กองร้อย ขึ้นตรง และหน่วย สมทบอีกด้วยแต่ไม่ถึงจัดการสื่อสารภายในหน่วยเหล่านี้ หมวดสื่อสารจะต้องจัดให้มีการสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพต่อเนื่องกันไปด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด ๖. กองพันทหารสื่อสารกองพล ( อจย.๑๑–๓๕ : ๒๕ ก.ค.๒๗ ) ก. การจัด กองพันทหารสื่อสารกองพล ( อจย.๑๑– ๓๕ ) เป็นหน่วยในอัตราของกองพลกองพันนี้เป็น ส่วนหนึ่งของหน่วยผสมเหล่าให้การสนับสนุนการรบด้วยการสื่อสารแก่กองพล การจัดกองพันทหารสื่อสารของกองพล ประกอบด้วย กองบังคับการกองพัน และกองร้อย กองบังคับการ กองร้อยวิทยุศูนย์ข่าว กองร้อยสายและวิทยุถ่ายทอด มว.ส. บก.มว. ตอนวิทยุ ตอนทางสาย มว.ส. บก.มว. ตอนวิทยุ ตอนทางสาย กองพันทหารสื่อสารอกองพล บก.และร้อย บก. กองร้อยวิทยุและศูนย์ข่าว กองร้อยสายและวิทยุถ่ายทอด


๑๔๐ ข. ภารกิจ ๑. จัดการสื่อสารให้แก่กองบัญชาการกองพล รวมทั้งการสื่อสารไปยังหน่วยต่าง ๆ ที่ ปฏิบัติงานภายใต้การบังคับบัญชาของกองพล ๒. จัดบริการการภาพการส่งกำลัง และการซ่อมบำรุงสายสื่อสารแก่เครื่องสื่อของกองพล ค. ขีดความสามารถ ขีดความสามารถของกองพลเต็มอัตรา เพื่อให้บรรลุความต้องการตามภารกิจ (ข้อ ๒ ) กอง พันทหารสื่อสารกองพลมีขีดความสามารถ ดังนี้ ๑. การวางแผนของฝ่ายอำนวยการกำกับดูแลการฝึกการปฏิบัติการสื่อสารและกิจการ สื่อสารอื่น ๆ ๒. ติดตั้ง ปฏิบัติงานและดำรงการสื่อสารประเภทสายและวิทยุไปยังหน่วยต่าง ๆ ปฏิบัติงาน ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการกองพล ๓. ปฏิบัติการสื่อสารด้วยวิทยุถ่ายนทอดให้แก่กองพล รวมทั้งการเชื่อมต่อการสื่อสารของ กองพลให้เข้ากับระบบโทรคมนาคมในพื้นที่ ตามความจำเป็น ๔. บริการส่งกำลังและซ่อมบำรุง ประเภทการซ่อมบำรุงในสนามสายสื่อสารแก่เครื่อง สื่อสารของกองพล ๕. บริการศูนย์การสื่อสารให้แก่กองบัญชาการกองพล และบริการนำสารด้วยยานยนต์ ๖. บริการภาพนิ่ง รวมทั้งล้าง อัด ขยายภาพนิ่ง ๗. ทำการรบอย่างทหารราบเมื่อจำเป็น ๗. กองพันทหารสื่อสารกองทัพภาค ( อจย.หมายเลข ๑๑–๕๕ ) ก. การจัด ข. ภารกิจ จัดวางการสื่อสารประเภทวิทยุ การสื่อสารประเภทสาย และจัดตั้งศูนย์ข่าว ให้กับ กองบัญชาการกองทัพภาค รวมทั้งวางการสื่อสารด้วยวิทยุถ่ายทอด จากกองบัญชาการกองทัพภาคไปยัง หน่วยรองหลักของกองทัพภาค และหน่วยอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ค. ขีดความสามารถ ๑. สามารถให้การสนับสนุนการติดต่อสื่อสารแก่กองทัพภาคที่มี ๒-๔ กองพล ๒. ติดตั้ง ปฏิบัติการและดำรงการสื่อสารประเภทวิทยุ ชุดวิทยุโทรพิมพ์ไม่เกิน ๑๕ ชุด พร้อมกันต่อหนึ่งหมวดวิทยุ ๓. จัดชุดวิทยุสนับสนุนส่วนบังคับบัญชา และอำนวยการกองบัญชาการกองทัพภาคได้ไม่เกิน ๖ ชุด ต่อหนึ่งหมวดวิทยุ ๔. จัดตั้งศูนย์ข่าว พร้อมบริการนำสารด้วยยานยนต์ได้ ๑ ศูนย์ข่าว กองพันทหารสื่อสารกองทัพภาค บก.และร้อย บก. กองร้อยวิทยุและศูนย์ข่าว กองร้อยสายและวิทยุถ่ายทอด


Click to View FlipBook Version