๑๙๑ - แผนกที่ ๔ ตั้งอยู่ที่จังหวัดลพบุรี - แผนกที่ ๕ ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา - แผนกที่ ๖ ตั้งอยู่ที่จังหวัดราชบุรี แผนกที่ ๑ มีหน้าที่กำหนดความต้องการรับ – เก็บรักษา แจกจ่าย ควบคุมดำเนินการซ่อมบำรุง ระบบอาวุธนำวิถี รวมทั้งส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ทำลายหัวรบ และกระสุนพิเศษ ตลอดจนการทำให้หมดคุณค่าทางทหารด้วย ๕. หน่วยทหารสรรพาวุธตามแนวการจัดแบบพันธกิจ ( Functional Type ) ปัจจุบันกองทัพบกกำลังดำเนินการตามแผนพัฒนาการจัดตามขั้นตอน เพื่อให้ทันสมัยและ สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แนวความคิดที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง การจัดหน่วยส่งกำลังบำรุงในกองบัญชาการช่วยรบ จากการจัดแบบสายยุทธบริการ ( Technical Service Type ) มาเป็นการจัดแบบพันธกิจ ( Functional Type ) โดย พิจารณาจัดกลุ่มงานรวมเป็นหน่วย ดังนี้ ก. หน่วยงานส่งกำลังและบริการ รวมกันไว้ในรูปของกองพันส่งกำลังและบริการ ข. หน่วยงานซ่อมบำรุงทุกสายงาน รวมกันไว้ในรูปของกองพันซ่อมบำรุง ค. หน่วยงานด้านขนส่ง มารวมกันไว้ในรูปของกองพันทหารขนส่ง ง. หน่วยงานด้านรักษาพยาบาลและการส่งกลับ รวมกันไว้ในรูปของกองพันทหาร เสนารักษ์ จ. หน่วยงานด้านกระสุนวัตถุระเบิด มารวมกันไว้ในรูปของกองพันสรรพาวุธกระสุน ๖. ลักษณะโครงสร้างการจัดหน่วย ลักษณะโครงสร้างการจัดหน่วยของทหารสรรพาวุธที่ควรทราบ ๑. กรมสรรพาวุธทหารบก ๒. ศูนย์อุตสาหการสรรพาวุธ สพ.ทบ. ๓. ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ ๔. กองสรรพาวุธเบากองพล ๕. กองพันซ่อมบำรุง กรม สน. พล.ร.๙, กองพันซ่อมบำรุง กรม สน.พล.ม ๒ และ พล.ร ๒ รอ. ๖. กองพันสรรพาวุธกระสุน บชร. ๗. กองพันซ่อมบำรุง ( พัน ซบร.บชร.) ๘. กองพันส่งกำลังและบริการ ( พัน.สบร.บชร.) ๙. กองพันสรรพาวุธซ่อมบำรุงเขตหลัง
๑๙๒ * * * หมายเหตุ * เป็นหน่วยในอัตราของ “ ทบ.” ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ “ สพ.ทบ.” ** เป็นหน่วยของ สพ.ทบ. แต่ใช้อัตราแยกต่างหาก กรมสรรพำวุธทหำรบก แผนกธุรกำร เส้ น ทำงเดิ น ก ำ ร ซ่ อ ม บ ำรุง หน่วย สนับสนุน โดยตรงนอก อัตรา หน่วยซ่อม บ ารุงระดับคลัง กชส.ศอ.สพ. ทบ. บชร. (พัน ซบร.) ห น่ ว ย ส นับ ส นุ น โ ด ย ต ร ง ใ น อัตรา แผนธุรการ กองก าลังพล กองยุทธการ และการข่าว กองส่งก าลัง กองปลัดบัญชี กองแผนการช่าง กองการเงิน กองวิทยาการ กองจัดหา กองควบคุมสิ่ง อุปกรณ์ กองคลังยุทโธปกรณ์ สรรพาวุธ กองคลังแสง กองบริการ ศูนย์อุตสาหการ สรรพาวุธ โรงเรียน ทหารสรรพาวุธ ศูนย์ซ่อมสร้าง สิ่งอุปกรณ์สาย สรรพาวุธ หน่วยท าลายล้าง วัตถุระเบิด กองพันสรรพาวุธซ่อมบ ารุงเขตหลัง
๑๙๓ อัตราเฉพาะกิจ หมายเลข ๓๘๐๐ ( ผังการจัด อฉก.๓๘๑๐ ใหม่ ) สพ.ทบ.รับโอนโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหารมาจาก บก.ทหารสูงสุดเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ ใช้อัตราเฉพาะกิจ ๓๘๑๐ ซึ่งเป็นอัตราแยกต่างหากจาก สพ.ทบ. ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๕๑ กองทัพบกได้ ปรับปรุงอัตราเฉพาะกิจ ๓๘๑๐ โดยปรับกองโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์สายสรรพาวุธ จว. นครราชสีมา เข้าเป็นหน่วยในบังคับบัญชาของศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ และปรับโรงงานซ่อมยาง เข้าเป็น หน่วยในบังคับบัญชาของกองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย ์ อุตสำหกำรสรรพำวุธ กองนโยบาย และแผน กองโรงงาน ช่างแสง แผนกธุรการ แผนกจัดหา กองพัฒนา สรรพาวุธ กองโรงงาน วัตถุระเบิด ศูนย ์ ซ่อมสร้ำงสิ่งอุปกรณ์สำยสรรพำวุธ กองโรงงานซ่อมสร้าง รถยนต์ทหาร กองโรงงานซ่อมสร้าง ยุทโธปกรณ์สายสรรพาวุธ กองบริการ แผนกธุรการ และก าลังพล แผนกการเงิน แผนกจัดหา กองแผน และโครงการ
๑๙๔ หมายเหตุ การแบ่งมอบ ๑ มว. สนับสนุนส่วนหน้าสามารถแยกปฏิบัติการสนับสนุนต่อ ๑ กรม ๑. อัตรากำลังพล นายทหาร ๒๓ นาย นายสิบ ๒๖๑ นาย พลทหาร ๔๑ นาย กอง สพบ.พล. ทำหน้าที่ส่งกำลังและซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์สายสรรพาวุธแก่ นขต.กองพล และมี ฝ่ายสรรพาวุธทำหน้าที่ฝ่ายกิจการพิเศษของกองพล โดยควบคุมการส่งกำลังและการซ่อมบำรุงให้เป็นไปตาม นโยบายของกองพล ๒. ภารกิจ ให้การสนับสนุนโดยตรงเป็นการบริการสรรพาวุธ อันประกอบด้วย ๒.๑ สนับสนุนการส่งกำลังชิ้นส่วนซ่อมสาย สพ.ให้แก่หน่วย นขต. กองพล ๒.๒ สนับสนุนการซ่อมบำรุงอาวุธยุทโธปกรณ์สาย สพ.ให้แก่หน่วยใช้ในกองพล ( ขั้นที่ ๓ และ ๔ อย่างจำกัด ) ๒.๓ ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่หน่วยในอัตราของกองพล ทั้งด้านการส่ง กำลังและซ่อมบำรุง กองสรรพำวุธ อจย. ๙-๒๕ ( ๑๕ ม.ค.๑๘) เบำ กองพล บก. กอง มว. ส่งก าลัง มว. ซ่อมบ ารุง ส่วนหลัง มว. ซ่อมบ ารุง ส่วนหน้า บก. มว. ตอนสถิติ ตอนคลัง บก. มว. ตอนซ่อม อาวุธ ตอนซ่อม ยานยนต์ ตอนบริการ บก. มว.ตอนส่งก าลัง ตอนซ่อม ยานยนต์ ยนต์ยนต์ ตอนซ่อมอาวุธ และเครื่องควบคุมการยิง
๑๙๕ ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเท่ากับกองพลหรือคล่องแคล่ว ๑๐๐% ๓.๒ สามารถแยกปฏิบัติการเป็นอิสระได้ ๓.๓ สามารถรบได้อย่างทหารราบเมื่อจำเป็น ๓.๔ กองสรรพาวุธเบานี้จะมีขีดความสามารถสนับสนุนโดยตรงต่อกอง พลได้อย่างสมบูรณ์ จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากกองร้อยสนับสนุนโดยตรงนอกอัตรากองพล ๔. การแบ่งมอบ ๑ กอง สพบ. ต่อ ๑ กองพล และ ๑ มว.ซบร.สน. ต่อ ๑ กรม ( เมื่อแยกปฏิบัติการ ) ๕. ขีดจำกัด - มีขีดจำกัดด้วยเวลาในการซ่อม - มีขีดจำกัดด้วยค่าใช้จ่ายในการซ่อม ๑. อัตรากำลังพล ๑.๑ อัตราเต็ม นายทหาร ๓๗ นายสิบ ๓๐๘ พลทหาร ๓๐๖ ๑.๒ ลด นายทหาร ๓๒ นายสิบ ๒๔๖ พลทหาร ๒๗๘ ๑.๓ โครง นายทหาร ๑๖ นายสิบ ๓๗ พลทหาร ๖ ๒. ภารกิจ ปฏิบัติการสนับสนุนทางการส่งกำลังสิ่งอุปกรณ์ประเภท ๕ แก่หน่วยในพื้นที่ รวมทั้ง การบริการทำลายล้างกระสุนวัตถุระเบิด ๓. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของ บชร. หนึ่งกองพันต่อหนึ่ง บชร. หรืออาจจัดให้ กองบัญชาการอื่นตามความเหมาะสม ๔. ขีดความสามารถ ๔.๑ สามารถจัดตำบลส่งกระสุนเพื่อสนับสนุนโดยตรงแก่หน่วยต่าง ๆ ใน พื้นที่รับผิดชอบ ๔.๒ สามารถจัดตั้งคลังกระสุนเพื่อสนับสนุนโดยตรงให้หน่วยต่างๆ ในพื้นที่ข้างหลังของ กองทัพ และเพิ่มเติมกระสุนให้ตำบลส่งกระสุนต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ ๔.๓ สามารถบริการทำลายล้างวัตถุระเบิดในพื้นที่รับผิดชอบ ๔.๔ การเคลื่อนย้ายทั้งหน่วย ต้องได้รับการสนับสนุนยานพาหนะเพิ่มเติม ๔.๕ สามารถทำการป้องกันตนเองได้ กองพันสรรพาวุธกระสุน บชร. บก และ ร้อย บก. กองร้อย สพ. ชุด ทลร. คลังกระสุน กองร้อย รักษาการณ์ กองร้อย สพ. ส่งก าลังกระสุน
๑๙๖ หมายเหตุ * มีเฉพาะ พัน.ซบร.กรม สน.พล.ม.๒ รอ. และ พล.ร.๒ รอ. มี ๓ กองร้อยสนับสนุนส่วนหน้า, ๑ กองร้อย บก. , ๑ กองร้อยสนับสนุน แก้ตามการ ปรับ อจย. ครั้งที่ ๑๔ ปัจจุบัน ๑. อัตรากำลังพล นายทหาร ๔๕ นาย นายสิบ ๒๖๘ นาย พลทหาร ๑๕๑ นาย ๒. ภารกิจ ทำการซ่อมบำรุงสนับสนุนโดยตรงให้แก่ยุทโธปกรณ์ทุกชนิดภายในกอง พล ยกเว้นยุทโธปกรณ์สายแพทย์ และอากาศยาน ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ เมื่อบรรจุเต็มอัตรามีความสามารถ ดังนี้ ก. สามารถซ่อมบำรุงขั้น ๓ ได้ ๗๕% ของอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งสิ้นภายใน กองพล ยกเว้นยุทโธปกรณ์สายแพทย์และอากาศยาน ข. ให้การบริการช่วยเหลือในการบริการทางเทคนิคแก่กองพล * กองพันซ่อมบ ำรุง กรม สน.พล.ร.9 บก.พัน และกองร้อยบังคับการ อจย. ๒๙ – ๓๖ ค. กองร้อยสนับสนุน กองร้อยสนับสนุนส่วนหน้า บก.ร้อย มว.ควบคุม การซ่อม มว.ส่งก าลัง มว.ซ่อม อุปกรณ์ไฟฟ้า มว.ซ่อมบ ารุง มว.บริการ และส่งกลับ มว.ซ่อมบ ารุงอาวุธ และเครื่องควบคุมการยิง มว.ซ่อมบ ารุง ยานยนต์สายพาน บก.ร้อย มว.บริการ มว.ควบคุม การซ่อม มว.ซ่อมบ ารุง มว.ส่งก าลัง
๑๙๗ ค. สนับสนุนการซ่อมบำรุง ซึ่งเกินขีดความสามารถของหน่วยรับการ สนับสนุน ง. จัดหา เก็บรักษา และแจกจ่าย ชิ้นส่วนซ่อมสำหรับยุทโธปกรณ์ทั้งสิ้น ภายในกองพล ยกเว้นยุทโธปกรณ์สายแพทย์และเครื่องบิน จ. จัดให้มีอุปกรณ์สำรองสำหรับยุทธภัณฑ์หลักที่เลิกใช้แล้วเป็นบางรายการ ๓.๒ หน่วยนี้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยอื่นในเรื่องการรักษาพยาบาล ทันตกรรม พิธีการทางศาสนา และธุรการกำลัง พล ๓.๓ กำลังพลของหน่วยนี้ทำการรบอย่างทหารราบได้ สามารถป้องกันตนเองและ ที่ตั้งต่าง ๆ จากการโจมตีของข้าศึกทางพื้นดินได้ ๔. การบรรจุกำลังพล ๔.๑ เมื่อบรรจุเต็มอัตราหน่วยนี้มี นายทหาร ๔๕ นาย นายสิบ ๓๔๓ นาย พลทหาร ๑๕๑ นาย บก.พัน และร้อย บก , ร้อยสนับสนุนล่วงหน้า แต่ละกองร้อยมีนายทหาร ๕ นาย นายสิบ ๖๐ นาย และพลทหาร ๒๔ นาย กองร้อยสนับสนุน ( ร้อยหลัก ) มีกำลังพลเป็น ๑ ½ เท่าของ กองร้อยสนับสนุนส่วนหน้า ๔.๒ กำลังที่บรรจุอยู่ในหน่วยมีเหล่า สพ. , ส.,ช., พธ. และ วศ. แต่มีเหล่า สพ. มากที่สุด คือประมาณ ๖๐% ของกำลังพลทั้งหมด ๕. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราการจัดของกรมสนับสนุนของกองพล ๑. อัตรากำลังพล ๑.๑ อัตราเต็ม นายทหาร ๔๗ นายสิบ ๔๑๘ พลทหาร ๓๐๙ ๑.๒ ลด นายทหาร ๓๖ นายสิบ ๓๑๕ พลทหาร ๒๒๗ ๑.๓ โครง นายทหาร ๓๒ นายสิบ ๙๕ พลทหาร ๑๙ ๒. ภารกิจ ปฏิบัติการสนับสนุนหน่วยทหารในพื้นที่เกี่ยวกับ ๒.๑ ส่งกำลัง สป. ๑,สป. ๒,สป. ๓, และ สป. ๔ ( เว้น สป. ๒-๔ สายแพทย์ ) และชิ้นส่วนซ่อมอากาศยาน ๒.๒ ดำเนินการเรื่อง สป. จำหน่าย ๒.๓ ดำเนินการป้องกัน และการทำลายล้างเกี่ยวกับสงคราม นชค. อย่างจำกัด ๒.๔ จัดบริการด้านทะเบียนการศพ กองพันส่งก าลังและบริการ บชร. บก.และร้อย บก. กองร้อยคลัง สป. กองร้อยบริการสนาม กองร้อยส่งก าลัง สิ่งอุปกรณ์
๑๙๘ ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ เมื่อบรรจุกำลังพลเต็มอัตรา สามารถส่งกำลังและบริการในหน้าที่สนับสนุน ได้ ๒ กองพล หรือมากกว่าเมื่อได้รับการเพิ่มเติมกำลัง ๓.๒ การเคลื่อนย้ายหน่วยกระทำได้อย่างจำกัด ๓.๓ สามารถป้องกันตนเองได้เมื่อจำเป็น ๔. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของ บชร. หนึ่งกองพันต่อหนึ่ง บชร.หรืออาจจัด ให้กองบัญชาการอื่น ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสม ๑. ภารกิจ ๑.๑ ปฏิบัติการซ่อมบำรุง ( ขั้นที่ ๓ และ ๔ ) ดำเนินการกู้ซ่อม และส่งกลับ ยุทโธปกรณ์ของหน่วยในพื้นที่รับผิดชอบ เว้นยุทโธปกรณ์สายแพทย์และอากาศยาน ๑.๒ สนับสนุนการซ่อมบำรุง (ขั้น ๓-๔ ) เป็นส่วนรวม ให้กับหน่วยสนับสนุน โดยตรง ๑.๓ ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่หน่วยในพื้นที่รับผิดชอบ ๑.๔ ทำหน้าที่เป็นตำบลรวบรวมสิ่งอุปกรณ์ หรือการส่งกลับ ๒. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของ บชร. หนึ่งกองพันต่อหนึ่ง บชร. หรืออาจ จัดให้กองบัญชาการอื่น ๆ ได้ตามความเหมาะสม ๓. ขีดความสามารถ ๓.๑ สามารถสนับสนุนการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ของหน่วยกำลังรบได้ ๒ กองพล หรือมากกว่าเมื่อได้รับการเพิ่มเติมกำลัง ๓.๒ การเคลื่อนย้ายหน่วยกระทำได้อย่างจำกัด ๓.๓ สามารถทำการป้องกันตนเองได้เมื่อจำเป็น กองพันซ่อมบ ารุง บชร. บก.และร้อย บก. กองร้อย ซ่อมบ ารุง ยุทโธปกรณ์ ที่ 1 ส่วนควบคุม การซ่อม กองร้อย ซ่อมบ ารุง ยุทโธปกรณ์ที่2 กองร้อย สนับสนุน การซ่อม
๑๙๙ ๑. อัตรากำลังพลทั้งสิ้น ๑,๐๘๑ นาย ลดระดับ ๑ = ๖๘๔ นาย ลดระดับ ๒ = ๕๕๖ นาย อัตราโครง ๒๕๖ นาย ๑.๑ เหล่า สพ. ๑,๐๖๙ นาย ๑.๒ เหล่า กง. ๔ นาย ๑.๓ เหล่า พ ๔ นาย ๑.๔ ไม่จำกัดเหล่า ๔ นาย ๒. ภารกิจ ให้บริการสรรพาวุธสนับสนุนโดยตรงและทั่วไปแก่หน่วยขึ้นตรงของ กองทัพบก ประกอบด้วย ๒.๑ สนับสนุนการส่งกำลังสิ่งอุปกรณ์ประเภท ๒ และ ๔ สายสรรพาวุธ ๒.๒ ซ่อมบำรุง บริการและกู้ซ่อมยุทโธปกรณ์สายสรรพาวุธ (ขั้น ๓ และ ๔) ๒.๓ สนับสนุนการส่งกำลัง และการซ่อมบำรุงที่จำเป็นแก่กองพันซ่อมบำรุงกอง พลและกองทัพภาค ๒.๔ ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่หน่วยที่รับผิดชอบ ๓. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยของกองทัพบกฝากการบังคับบัญชาไว้กับกรมสรรพาวุธ ทหารบก อาจแบ่งมอบให้หน่วยรองได้ตามความเหมาะสม ๔. ขีดความสามารถ ๔.๑ สนับสนุนโดยตรงและทั่วไปในการส่งกำลังและซ่อมบำรุงสิ่งอุปกรณ์ประเภท ๒- ๔ สายสรรพาวุธ (ขั้น ๓ และ ๔ ) ให้หน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ๔.๒ สนับสนุนการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์สายสรรพาวุธแก่กองพันซ่อมบำรุงของ กองพล ๔.๓ เคลื่อนย้ายหน่วยได้อย่างจำกัด ประมาณ ๕๐ % ๔.๔ ป้องกันตนเองได้อย่างจำกัด กองพันสรรพาวุธซ่อมบ ารุงเขตหลัง บก.และ ร้อย บก. กองร้อย ส่งก าลัง สรรพาวุธ ส่วนควบคุม การซ่อม กองร้อย สรรพาวุธซ่อมบ ารุง สนับสนุนโดยตรง กองร้อย สรรพาวุธ ซ่อมบ ารุง สนบัสนุนทวั่ ไป
๒๐๐ เหล่าทหารสารวัตร MILITARY POLICE กิจการเกี่ยวกับเรื่องสารวัตรทหาร ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยพ่อขุนศรีอินทรา ทิตย์พ่อขุนรามคำแหง และมีผู้ปฏิบัติแล้วอย่างน้อยที่สุดก็คือ แม่ทัพหรือผู้บังคับบัญชาทหาร ซึ่งก็ทำหน้าที่ สารวัตรทหารอยู่แล้ว เรื่องนี้ยอมรับกันได้ไม่ยากนักกล่าวคือ เมื่อเริ่มมีประเทศไทยก็ต้องมีกำลังทหารไว้สู้รบ ทัพจับศึก เมื่อมีทหารเป็นหมู่เป็นพวก ก็ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับขึ้นเป็นกติกาของสังคม และผู้ที่รักษากฎ ระเบียบ ตลอดจนข้อบังคับต่าง ๆ ของหมู่เหล่าทหารนี้ก็คือ สารวัตรทหารนั่นเอง แต่จะเรียกขานกันอย่างไร ไม่ปรากฏไม่สามารถจะค้นคว้าได้แต่คงไม่เกินเลยไปหากจะยืนยันว่ากิจการสารวัตรทหารของไทยนั้น มีมาช้า นานแล้ว นับเริ่มตั้งแต่มีประเทศไทย และมีทหารเป็นหมู่เป็นเหล่าสืบมา ในประวัติศาสตร์สารวัตรทหาร นับว่ามีความจำเป็นและสำคัญมาก ซึ่งมักจะต้องจัดอยู่คู่กับการทหารมาโดยตลอด แม้ว่าจะเคยยุบเลิกหน่วย สารวัตรทหารไปในบางครั้ง แต่ก็ต้องมอบภารกิจให้กับทหารหน่วยใดหน่วยหนึ่งปฏิบัติแทน และอีกไม่ช้าไม่ นานก็เห็นความจำเป็นจนต้องจัดตั้งขึ้นใหม่อีก จากบันทึกที่มีปรากฏอยู่นั้น กิจการสารวัตรทหารได้เจริญและเสื่อมถอยควบคู่กันมา กับการ พัฒนาหรือเสื่อมโทรมมากับกองทัพโดยตลอด ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ปีร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) ในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แล้ว พระองค์ได้ทรงระลึก ถึงความสำคัญของทหาร จึงได้ทรงจัดกิจการทหารโดยวางรูปการใหม่ ได้จัดตั้งกองพันแบบสมัยใหม่ เปลี่ยน เครื่องแบบจากเดิมจากนุ่งผ้าเป็นสวมกางเกงแบบใหม่หมด ตั้งแต่วันที่ ๔ ต.ค.๒๔๓๙ สืบต่อมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๔๐ พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช (จอมพลพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช) ทรงสำเร็จวิชาทหารตามแผนปัจจุบันจากต่างประเทศ และ ได้เสด็จกลับมารับราชการในกระทรวงกลาโหม พระองค์ได้ทรงเป็นผู้ปรับปรุง จัดกิจการทหารบกขึ้นใหม่หลายอย่าง หลายประการ เช่น ตั้งกรมเสนาธิการ ทหารบกขึ้น และตั้งพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร กิจการทหารบกถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นกองทัพที่ ทันสมัย เมื่อกิจการทหารบกจัดกำลังแบบใหม่เป็น กองร้อย กองพัน กองพล จนถึงกองทัพ และการจัดเหล่า ต่างๆ จนสามารถเรียกว่าเป็นกำลังกองทัพบกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนคำบอกคำสั่ง และการฝึกต่าง ๆ ก็เปลี่ยนจากภาษาต่างประเทศมาใช้ภาษาไทย และมีเครื่องแบบ เครื่องหมายสังกัด แต่งเป็นระเบียบ ปรากฏเป็นที่แน่นอน ทั้งตรากฎข้อบังคับ ระเบียบ ซึ่งจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด ดังนี้จึงต้องมีสารวัตรทหาร เพื่อตรวจตราดูแลระเบียบวินัยของทหาร นอกบริเวณโรงทหารตามแบบอย่างต่างประเทศ โดยมีข้อบังคับที่ เกี่ยวข้องกับกิจการสารวัตรทหารฉบับหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสมบัติประวัติศาสตร์ของเหล่า คือ “ ข้อบังคับ หน้าที่สารวัตรใหญ่ทหารบก รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๗ ” ภายใต้เครื่องหมายตราแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ทรงลงนามไว้ตั้งแต่ รศ.๑๒๖ หรือ ๒๗ มีนาคม ๒๔๕๐ ในข้อบังคับนั้นมี สาระสำคัญดังนี้
๒๐๑ ข้อบังคับหน้าที่สารวัตรใหญ่ทหารบก รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ สารวัตรใหญ่ทหารบก ๑. สารวัตรใหญ่ทหารบกนี้ขึ้นตรงต่อกรมยุทธนาธิการ จะตั้งขึ้นสำหรับให้มีหน้าที่ในตำบลใด และกำหนดเขตท้องที่ ๆ จะรักษาการณ์เพียงใด แล้วแต่กรมยุทธนาธิการจะออกคำสั่งกับมีเจ้าหน้าที่และ พนักงานตามสมควร หน้าที่ ๒. มีหน้าที่ตรวจตราทหารบกในเขตซึ่งจะได้กำหนดภายนอกเขตที่ตั้งโรงทหาร ระงับการที่จะ ไม่ให้มีเหตุร้าย และกระทำผิดต่อข้อบังคับและกฎหมายทหาร สืบสวน , ระงับเหตุ , จับกุม ๓. เมื่อบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารได้กระทำผิดลงในท้องที่ของสารวัตรใหญ่ก็ดีหรือเชื่อว่า จะกระทำผิดก็ดีหรือเป็นแต่เพียงสงสัยว่าได้กระทำผิดก็ดีต้องเป็นหน้าที่สืบสวนหาหลักฐานพยาน ในการที่ จะได้ไต่สวนต่อไป และเป็นหน้าที่จะงับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าเป็นการจำเป็นที่จะต้องจับกุมก็มีอำนาจ จับกุมผู้กระทำผิดหรือสงสัยว่าจะกระทำผิดนั้นได้ วิธีจับกุมผู้กระทำผิด ๔. การจับกุมที่ได้กล่าวมาแล้วนี้จะทำได้ต่อเมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาท้องที่อยู่ ณ ที่นั้น แต่ถ้ามี แล้วต้องบอกให้เจ้าหน้าที่รักษาท้องที่นั้นจับกุมให้ตามหน้าที่และต้องช่วยในการจับกุมนี้โดยเต็มกำลัง เมื่อจับ ได้แล้วจะส่งตัวให้เจ้าหน้าที่รักษาท้องที่ส่งกรมทหารตามระเบียบ หรือจะขอรับตัวมาเอง แล้วแต่จะเป็นการ สะดวกในหน้าที่และทางการนั้น รายงานเหตุการณ์ ๕. เมื่อมีเหตุการณ์ซึ่งต้องจับกุมหรือทราบการทำผิดใด ๆ แม้เพียงสงสัยก็ดีก็ให้รีบทำรายงาน แจ้งความไปให้ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาผู้นั้นทราบความไว้ทุกครั้ง อัยการ และยกบัตรศาล ๖. ให้มีอัยการและยกบัตรศาลสำหรับศาลกรมทหารในสารวัตรใหญ่นี้ส่วนหนึ่ง สังกัดขึ้นต่อ สารวัตรใหญ่ทหารบกประจำอยู่เสมอ หน้าที่อัยการ ๗. อัยการทหารบกนี้เป็นหน้าที่ไต่สวนคดีต่าง ๆ ซึ่งผู้กระทำผิดจะต้องขึ้นศาลกรมทหาร เมื่อ ไต่สวนเสร็จ ต้องรายงานเสนอต่อสารวัตรใหญ่ทหารบก สั่งการต่อไป หน้าที่ยกบัตรศาล ๘. คดีใดเมื่อยกบัตรศาลได้รับฟ้องแล้ว ให้นำฟ้องเสนอสารวัตรใหญ่ทหารบกตั้งกรรมการศาล กรมทหาร อำนาจหน้าที่และวิธีซึ่งสารวัตรใหญ่จะตั้งศาลกรมทหาร ๙. สารวัตรใหญ่ทหารบกมีอำนาจตั้งนายทหารที่สังกัดในกรมทหารบก ในจังหวัดที่เป็น กรรมการได้ตามพระธรรมนูญศาลทหารบก แต่ต้องปรึกษาตกลงกับผู้บัญชาการทหารในท้องที่นั้นเสียก่อน เพื่ออย่าให้ขัดข้องแก่การอื่น
๒๐๒ หน้าที่สารวัตรใหญ่จัดการเมื่อคดีถึงที่สุด ๑๐. คำพิพากษาคดีใดถึงที่สุดแล้ว สารวัตรใหญ่ทหารบกต้องส่งสำนวนคดีนั้น ไปยังผู้ บัญชาการมณฑลทหารบก จัดการตามอนุมัติแห่งคำพิพากษานั้นต่อไป ระเบียบหนังสือและรายงาน ๑๑. ต้องจัดระเบียบการหนังสือและรายงานต่างๆ ในหน้าที่สารวัตรใหญ่ทหารบกและสรรพสิ่ง ในหน้าที่นั้นทุกประการ สารวัตรทหารบก ๑๒. ถ้าหัวเมืองใดมีกรมทหารอยู่รวมท้องที่เดียวกันหลายเหล่าหลายกรม ซึ่งเป็นหน้าที่สารวัตร ทหารบกประจำท้องที่เป็นผู้มีอำนาจตั้งศาลกรมทหารนั้น ให้ผู้บัญชาการทหารบกมณฑลนั้น มีอำนาจตั้ง นายทหารชั้นสัญญาบัตรตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใด ทำการในหน้าที่สารวัตรทหารบกเพิ่มขึ้นจากตำแหน่งเดิม นั้นได้ หน้าที่สารวัตรทหารบก ๑๓. หน้าที่สารวัตรทหารบก มีหน้าที่อย่างเดียวกันกับสารวัตรใหญ่ทหารบก ดังได้กล่าวมาแล้ว เปลี่ยนแปลงแต่ท้องที่ซึ่งสารวัตรทหารบกประจำอยู่ที่ใด ต้องตรวจตราและกระทำการตามท้องที่นั้นเท่านั้น ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของผู้ตั้งนั้น ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกรมยุทธนาธิการ ศาลายุทธนาธิการ วันที่ ๒๗ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ จิรประวัติวรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการฯ ข้อบังคับฉบับนี้จึงเป็นต้นประวัติศาสตร์ของเหล่าและได้รับอนุมัติให้ใช้วันที่ ๒๗ มีนาคม ของ ทุกปี เป็นวันทหารสารวัตร มาจนถึงปัจจุบัน ยุคกำเนิด ในสมัยแรก ๆ การรักษาระเบียบวินัยของทหารภายนอกกรมบริเวณโรงทหารนั้นมีคำสั่งกรม ยุทธนาธิการ ให้กรมกองทหารจัดหมู่ตรวจผลัดเปลี่ยนกันตรวจตราบริเวณตลาดและชุมชน ที่สำคัญเช่น หน้า โรงหวย บ่อนถั่วโปต่าง ๆ โดยมีพ.ต.หลวงอรรคสรกิจ (อิ่ม ธรรมานนท์) เป็นสารวัตรใหญ่คนแรก เมื่อ ๑ เม.ย. ร.ศ.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) ภายหลังเลื่อนยศบรรดาศักดิ์เป็น พ.อ.พระยาวิเศษสัจธาดา กิจการสารวัตร ในสมัยนี้ยังไม่มีหลักฐานการปฏิบัติงานเป็นชิ้นเป็นอันอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะเป็นครั้งแรกเริ่มที่จัดกำลัง กองทัพบกแบบใหม่ครั้นต่อมาเมื่อขยายกำลังกองทัพบก ทำการฝึกแบบใหม่ ตลอดทั้งอาวุธที่ใช้ก็เป็นอาวุธ สมัยใหม่ ในปีพ.ศ.๒๔๔๕ เกิดผู้ร้ายเงี้ยวคบคิดกันเป็นขบถขึ้นในมณฑลมหาราษฎร จึงได้สั่งกำลังทหารบก จากกรุงเทพ ฯ ไปปราบปรามขบถเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๑ สงบราบคาบแล้วจึงได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้กรมยุทธนาธิการ ตั้งสารวัตรใหญ่ทหารบกขึ้นสำหรับมณฑลทหารบกกรุงเทพ ฯ พระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้พ.ท.พระวิไชยยุทเดชาคณี (จอน วิภาตะทรรศน์) สำรองราชการกรมยุทธนาธิการ เป็นสารวัตรใหญ่ทหารบก (ภายหลังเปลี่ยนยศบรรดาศักดิ์เป็น พ.อ.พระศรีภวัง) และให้พ.ต.หลวงโหมหัก ปัจ จานึก ออกจากตำแหน่งราชองค์รักษ์ประจำการ ไปเป็นผู้ช่วยสารวัตรใหญ่ทหาร
๒๐๓ ต่อมาเมื่อปี ๒๔๕๒ กรมยุทธนาธิการได้ขยายกิจการสารวัตรอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ให้มีหน้าที่ ทำการตรวจตรา รักษาระเบียบวินัยทหารให้ทั่วกรุงเทพ ฯ พระมหานคร ดังแจ้งความกรมยุทธนาธิการ ความ ว่าด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พ.อ.พระเริง ฤทธิ์สงคราม (ปลั่ง วรรณายน ภายหลังเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาอภัยสงคราม) ผู้บังคับกรม กรมทหารราบที่ ๑๙ เมืองปราจีนบุรีเป็นสารวัตรใหญ่ทหารบก ตั้งแต่ก.ค. ๒๔๕๒ และได้แบ่งเขตตรวจสำหรับพระนครออกเป็น ๓ บริเวณ คือ ๑. พ.อ.พระบรมวงศ์เธอกรมหมื่นชาญไชยบวรยศ เป็นสารวัตรทหารบกฝ่ายเหนือ เขตตรวจตรา ตั้งแต่ฝั่งคลองผดุงกรุงเกษมไปจนถึงสามเสน บางกระบือ บางซื่อ ๒. พ.อ.ม.จ. ชื่น เป็นสารวัตรทหารบกบริเวณพระนคร มีเขตตามแนวคลองผดุงกรุงเกษมถึงหัว ลำโพง สามแยก สะพานพุทธ จดแม่น้ำเจ้าพระยา ๓. พ.ท.หลวงพิสณฑ์ยุทธการ (ปึก) เป็นสารวัตรทหารบกบริเวณใต้ตั้งแต่บริเวณสามแยก ถึง ถนนตก ในสมัยนี้ยังไม่มีสำนักงานที่แน่นอน ถึงเวลาสั่งงานออกตรวจก็นัดให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ไปประชุม ฟังคำสั่งที่ใต้มุข ด้านหลังของมุข ด้านหน้ากระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๕๒ ผลจากการจัดราชการทหารบก ครั้งพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าจิระประวัติวรเดช ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ได้มีการประลอง ยุทธครั้งแรกที่พญาไท แล้วสวนสนามที่หน้าพระลานสวนดุสิต คนทั้งหลายได้เห็นกองทัพทหารไทย พร้อม ด้วยเครื่องศาสตราวุธยุทธภัณฑ์สมัยใหม่ตลอดจนวิธีหัดขบวนรบในครั้งนั้น ถึงกับรัฐบาลฝ่ายฝรั่งเศสแต่งตั้งให้ นายพลแม่ทัพฝรั่งเศส เข้ามาดูการประลองยุทธด้วย ในครั้งนี้กิจการสารวัตรทหารได้เปลี่ยนแปลงตามความ เจริญของกองทัพบก ดังแจ้งความกรมยุทธนาธิการให้พ.อ.พระสุรฤทธิพฤติไกร (สาย ธรรมานนท์ภายหลัง ได้เลื่อนยศบรรดาศักดิ์ เป็น พล.ต. พระยาฤทธิไกร เกรียงหาญ) ผู้ช่วยจเรทหารบก เป็นสารวัตรใหญ่ ทหารบกตั้งแต่เดือน มี.ค.๒๔๕๒ ในระยะนี้ที่ทำงานของสารวัตรใหญ่ทหารบก เปลี่ยนไปอยู่ใต้หอนาฬิกา มุม กระทรวงกลาโหม ด้านสะพานข้างโรงสี(คือ หอกลองในปัจจุบัน) สำหรับการตรวจตราแบ่งเป็นบริเวณตรวจ เช่นเดิม ยุคสร้างสรรค์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ขึ้นครองราชย์สมบัติในปีพ.ศ.๒๔๕๓ พระองค์ได้ทรงแก้ไขกองทัพบก โดยยกเลิกกรมยุทธนาธิการเสียตั้งกระทรวงกลาโหมขึ้น โดยมีพระพี่ยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช เข้าดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เมื่อ ๑๑ ธ.ค. ๒๔๕๓ ทรงแยก ทหารเรือออกจากกระทรวงกลาโหม ตั้งขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือต่างหาก และทรงตั้งสภาป้องกัน ราชอาณาจักรขึ้นเพื่อประสานงานฝ่ายทหารบก ทหารเรือ ให้ดำเนินไปสอดคล้องร่วมกันระยะนี้ กระทรวงกลาโหม แบ่งการปกครองออกเป็น ๑๓ กรมคือ ๑. กรมปลัดทัพบก ๒. กรมยกบัตรทหารบก ๓. กรมจเรทหารบก และกรมปืนเล็กปืนกล ๔. กรมปลัดบัญชีทหารบก ๕. กรมพระธรรมนูญทหารบก ๖. กรมสารวัตรใหญ่ทหารบก ๗. กรมเกียกกายทหารบก ๘. กรมแสงสรรพาวุธ
๒๐๔ ๙. กรมคชบาล ๑๐. กรมแพทย์สุขาภิบาลทหารบก ๑๑. กรมพยาบาลทหารกลาง ๑๒. กรมเสนาธิการทหารบก ๑๓. กรมราชองครักษ์ หมายเหตุ สารวัตรทหารบกแต่เดิมยังมิได้ตั้งเป็นกรม คงมีแต่ตำแหน่งสารวัตรใหญ่ทหารบก ในกรมยุทธนาธิการ เมื่อตั้งเป็นกรมสารวัตรใหญ่ทหารบกแล้ว ผู้เป็นเจ้ากรมสารวัตรใหญ่ทหารคนแรก คือ พ.อ.พระยาฤทธิไกร เกรียงหาญ (สาย ธรรมานนท์) เมื่อปีพ.ศ.๒๔๕๔ ตั้งแต่พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงนคร ไชยศรีสุรเดช ดำรงตำแหน่งเสนาบดี ได้ทำการประชุมทหารในกรุงเทพ ฯ มากกว่าทุกครั้งเคยมีมาทำการสวน สนามในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช ณ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทรงม้าพระที่นั่งตรวจพล พร้อมด้วยเจ้านายต่างประเทศที่มาแทนพระองค์ สมเด็จพระราชาธิราช และสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป และแทนพระองค์สมเด็จพระราชาธิราชญี่ปุ่นมีนายทหารนา ๆ ประเทศที่ เข้ามาครั้งแรกนั้นตามเสด็จตรวจแถวทหารแล้วประทับ ณ ที่รับการเคารพพร้อมด้วยสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ฯ พระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าต่างประเทศ ทูตานุทูตและข้าราชการทั้งปวง ในปีนี้กิจการกรมสารวัตรใหญ่ทหารบก ได้เปลี่ยนตัวนายทหารสารวัตรบางนายเพื่อความเหมาะสม โดยคำสั่ง เสนาบดีกระทรวงกลาโหม คือ ๑. หลวงประจัน สิทธิการ ผู้ช่วยสารวัตรใหญ่ทหารบก เป็นปลัดกรมบัญชาการกองพลที่ ๑ ๒. พ.ท.พระอนุรักษ โยธา (วสน เพ็ญพน) ผู้บังคับการทหารพาหนะกองทัพที่ ๑ เป็นสารวัตร ทหารบกบริเวณฝ่ายเหนือแทน พ.อ.พระวรวงค์เธอกรมหมื่นไชบวรยศ ซึ่งย้ายไปเป็นเจ้ากรมเสบียงทหารบก ๓. พ.อ.หม่อมเจ้าชื่น สารวัตรทหารบก บริเวณพระนคร ออกจากประจำการ พ.ท.หลวงเพชรกำ แหง เป็นสารวัตรทหารบกบริเวณพระนครแทน สมัยนี้สำนักงานกรมสารวัตรใหญ่ทหารบก ย้ายไปอยู่ที่โรงช้างข้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง หน้าที่ ตรวจตราระเบียบวินัยทหาร คงจัดเป็นบริเวณตรวจเช่นเดิม ภายหลังได้มีพระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทหารเรือขึ้น โดยมี เสนาบดีบังคับบัญชาแต่ละกระทรวง สมัยนี้กิจการทหารได้ขยายเพิ่มกำลังเหล่าต่าง ๆ ขึ้นอีกมาก เช่นโปรด เกล้าให้ตั้งกองทหารเสือป่าขึ้น เมื่อวันที่ ๑ พ.ค. ๒๔๕๔ และทรงตั้งกิจการลูกเสือขึ้นเป็นลำดับต่อมา และยัง โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งกรมวังนอกขึ้นเป็น กรมทหารรักษาวัง เมื่อวันที่ ๒ พ.ค.๒๔๕๔ ต่อมาปีพ.ศ.๒๔๕๕ ได้เริ่ม จัดตั้งแผนกการบินขึ้น เมื่อกิจการทหารขยายกว้างขวางมีทั้งทหารบก เรือ และอากาศ กิจการสารวัตรทหารก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยจัดให้มีทหารบก ทหารเรือ มาสังกัด กรมสารวัตรทหาร เพื่อตรวจตราได้ทั่วถึง ฉะนั้นตำแหน่งสารวัตรใหญ่ทหารบก จึงต้องเปลี่ยนเป็นสารวัตร ใหญ่ทหาร ตำแหน่งสารวัตรใหญ่ทหารคือ พล.ต.พระยาฤทธิไกร เกรียงหาญ (สาย ธรรมานนท์) ผู้ช่วย สารวัตร คือ นาวาเอก พระอาษาศัลการ (แวว ไวณุนาวิน) และมีเรือโท ขีด แสนเกษม มาประจำกรมสารวัตร ทหาร กิจการสารวัตรทหารในระยะนี้ได้เพิ่มกำลังและบริเวณตรวจ นอกจาก ๓ บริเวณแล้ว ยังเพิ่มสารวัตร ทหารบริเวณตลาดพลูขึ้น เพื่อได้ตรวจตราในเขตท้องที่ทหารเรือได้ทั่วถึง กิจการสารวัตรทหารสมัย พล.ต. พระยาฤทธิไกร เกรียงหาญ ได้ทำการตรวจตราระเบียบวินัยทหารโดยเคร่งครัด ปรากฏว่านายทหาร นายสิบ พลทหาร ทั้งบก เรือ อากาศ มีความกลัวเกรงสารวัตรทหารเป็นอย่างมาก ต้องระวังการแต่งกายให้เป็น ระเบียบเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบแบบแผน รักษามารยาทวินัยการเคารพโดยเคร่งครัด
๒๐๕ ยุคการหยุดชะงัก วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว รับราชสมบัติสืบสันติวงศ์ (รัชกาลที่ ๗) ในสมัยนี้เหตุการณ์ของโลกด้านสงครามสงบราบคาบ แต่ บังเกิดผลวิบัติในด้านเศรษฐกิจของโลกเกิดขึ้นแทน ทั่วโลกประสพภัยแห่งเศรษฐกิจตกต่ำครั้งนี้ทั่วไป ประเทศ ไทยก็อยู่ในข่ายนั้นด้วย จึงเป็นเหตุให้ข้าราชการทั้งทหารบก เรือ อากาศ พลเรือน ต้องออกจากราชการเป็น จำนวนมาก กับทั้งหน่วยกรมกองทหารที่ตั้งอยู่เดิม เมื่อพิจารณาเห็นความจำเป็นน้อย ก็ยุบเลิกเสียเป็นจำนวน มาก หน่วยสารวัตรทหารซึ่งประจำอยู่ตามมณฑล และจังหวัดทหารบกทุกแห่งยุบเลิกไปด้วย โดยเฉพาะกรม สารวัตรทหาร ได้มีการเปลี่ยนตัวสารวัตรใหญ่เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ พ.ท.พระบำราช อรินทรพ่าย (เทียม สุนทร บุระ) เป็นสารวัตรใหญ่สืบต่อจาก พล.ต.พระยาฤทธิไกร เกรียงหาญ ซึ่งเป็นสารวัตรใหญ่ทหาร ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๒ ถึง พ.ศ.๒๔๗๑ เป็นเวลาถึง ๑๙ ปีย้ายไปรับตำแหน่งจเรทหารภูธร ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๗๒ ตำแหน่งสารวัตรใหญ่ทหาร คือ พ.อ.พระศรีวิชัยบริบูรณ์ (เหมือน อินทรกำแหง) สมัยนี้กิจการสารวัตรทหาร ยังคงเป็นไปตามรูปเดิม แต่ได้ตัดทอนกำลังเหลือน้อยลง เท่าที่จำเป็นในการปฏิบัติงานตรวจตราเท่านั้น ครั้นถึง ๒๔ มิ.ย.๒๔๗๕ มีคณะราษฎร์อันประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ทำ การปฏิวัติยึดการปกครองของรัฐบาลได้กิจการทหารของประเทศไทย ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยกำลังและ ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารเป็นการใหญ่ทั่วประเทศ สำหรับกิจการสารวัตรก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย โดยมีคำสั่ง ให้พ.อ.พระยารามจตุรงค์ (นัด เขมะโยธิน) เป็นสารวัตรใหญ่ทหาร เมื่อ สิงหาคม ๒๔๗๕ พ.ท.พระสรยุทธ โยธาหาร (สุวรรณปัทมานนท์) เป็นรองสารวัตรใหญ่ทหาร การตรวจในหน้าที่สารวัตรทหาร คงแบ่งบริเวณ ตรวจเป็น ๔ บริเวณเช่นเดิม ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๗๖ ทางราชการได้ยุบเลิกกรมสารวัตรทหาร การตรวจในหน้าที่ สารวัตรทหารนั้น ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยกรมกองทหาร จัดสารวัตรตรวจในเขตของแต่ละกรมกอง เมื่อวันที่ ๑๐ ต.ค.๒๔๗๖ เกิดการขบถโดยกำลังทหารภาคอีสาน เข้ามายึดจังหวัดสระบุรี ตลอดจนถึงดอนเมือง ฝ่ายรัฐบาลได้ปราบปรามราบคาบ ภายหลังจากปราบจลาจลสงบเรียบร้อยแล้ว ทาง ราชการเห็นความจำเป็นในกิจการสารวัตรทหาร จึงมีคำสั่งให้ทุกมณฑลทหารบกจัดสารวัตรทหารขึ้น ทำการ ตรวจตราในเขตท้องที่แต่ละมณฑลทหารบก โดยเฉพาะมณฑลทหารบกที่ ๑ ได้แต่งตั้ง พ.ต.หลวงศิลปสารส ราวุธ (เพิ่ม มหานนท์) เป็นสารวัตรประจำมณฑลทหารบกที่ ๑ ที่ทำการมณฑลทหารบกที่ ๑ อยู่ ณ วังบาง ขุนพรหม กำลังสารวัตร นายทหาร นายสิบ พลทหาร จัดจากกองพลทหารบกที่ ๑ แบ่งเขตทำการตรวจพระ นคร และธนบุรีออกเป็น ๑๒ เขต เครื่องหมายสารวัตรทหารเปลี่ยนจากกงจักรสีขาวเป็นกงจักรสีทอง ขนาด ย่อม ติดทับปลอกแขนสักหลาดสีแดง ครั้นถึง ๘ ธ.ค.๒๔๘๔ ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา รัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นลงนามใน สัญญาพันธมิตรร่วมกัน ระยะนี้ทางราชการจำเป็นต้องขยายกิจการสารวัตรทหาร ให้มีกำลังเพียงพอจึงได้สั่ง ยุบเลิกสารวัตรทหารประจำมณฑลทหารบกที่ ๑ ตั้งเป็นกองสารวัตรทหารในมณฑลทหารบกที่ ๑ โดย พ.ท. หลวงศิลปสาร สราวุธ เป็นผู้บังคับกองสารวัตรจัดกำลังนายทหาร นายสิบ จากกองพลทหารบกที่ ๑ มาอยู่ ประจำที่กองสารวัตรทหารในอัตรา ๑ กองร้อย เนื่องจากมีทหารต่างชาติมาอยู่ในประเทศไทย เพื่อความสงบ เรียบร้อย จึงได้จัดตั้งสารวัตรผสมขึ้นอีกส่วนหนึ่ง มีกำลังทหารบก ทหารเรือ ตำรวจ อัตราหน่วยละ ๖ นาย ประจำอยู่ในที่ตั้งกองรักษาการณ์กลาโหมตลอดเวลา มีหน้าที่ระงับเหตุการณ์ทั่วไปในเขตจังหวัดพระนครและ ธนบุรี ครั้นต่อมาทหารญี่ปุ่นได้เพิ่มกำลังเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น และมีเหตุทะเลาะวิวาทอัน เนื่องมาจากพูดภาษาไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจกัน และประกอบกับขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกัน จึงมีเรื่อง เกิดขึ้นเสมอ ทางราชการจึงได้ตั้งกองสารวัตรผสมไทย – ญี่ปุ่น ขึ้นอีก ๓ หน่วย
๒๐๖ ๑. หน่วยสารวัตรผสมไทย - ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ ณ ศาลาแดง ๒. หน่วยสารวัตรผสมไทย - ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ ณ สโมสรไทปิง (ข้างโรงพยาบาลกลาง) ๓. หน่วยสารวัตรผสมไทย - ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ ณ ข้างวงเวียนเล็กธนบุรี เมื่อปลาย พ.ศ.๒๔๘๖ ทางราชการเห็นความจำเป็นในกิจการสารวัตรทหาร ซึ่งต้องปฏิบัติ มากมายหลายอย่าง ในภาวะสงครามจึงได้จัดตั้งกรมสารวัตรทหารขึ้นใหม่ ที่ทำการอยู่ ณ สวนมิสกวัน มี พล.ต.ขุนเรือง วีรยุทธ เป็นสารวัตรใหญ่ทหาร พ.อ.หลวงศิลปสาร สราวุธ เป็นรองสารวัตรใหญ่ทหาร กรม สารวัตรทหาร ได้จัดส่วนบังคับบัญชาและหน้าที่สารวัตรทหาร ได้ขยายกิจการสารวัตรทหารทั่วประเทศ โดย แบ่งเป็น ๕ ภาค คือ.- ๑. ภาคกลาง สารวัตรภาค คือ พ.ท.ชาญ วุฒิรนประมวลธน ๒. ภาคบูรพา สารวัตรภาค คือ นาวาเอก อำพัน ภมรบุตร ๓. ภาคอีสาน สารวัตรภาค คือ พ.อ.หลวงจำรัส โรมรัน ๔. ภาคพายับ สารวัตรภาค คือ พ.ท.ขุนคุ้น ขบวนรถ ๕. ภาคใต้ สารวัตรภาค คือ นาวาอากาศเอก ถนอม วาระรังศรี ทุก ๆ จังหวัดทหารบกและจังหวัดทหารเรือ ให้ตั้งกองสารวัตรทหารประจำทุกแห่ง ครั้นถึง ๒๒ มี.ค.๒๔๘๗ ได้แต่งตั้ง พล.ต.ขุนปลดปรปักษ์พิบูลภาณุวัฒน์เป็นสารวัตรใหญ่ ทหาร กรมสารวัตรทหารย้ายไปอยู่ ณ ที่โรงเรียนฝึกหัดครู(คือที่ตั้ง หน่วย พล.๑ รอ.ในขณะนี้) ส่วนที่สวน มิ สกวันเป็นที่ทำการสารวัตรภาคกลาง ภายหลังที่ทำการสารวัตรภาคกลางย้ายไปรวมอยู่ ณ กรมสารวัตรทหาร วันที่ ๒๘ ส.ค.๒๔๘๗ ได้แต่งตั้ง พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวรสุวรรณชีพ) เป็นสารวัตร ใหญ่ทหาร ในระยะนี้กิจการสารวัตรทหารคงเป็นไปตามเดิมจนถึง ๑๘ สิงหาคม ๒๔๘๘ รัฐบาลไทยได้ ประกาศว่า การประกาศสงครามของไทยเป็นโมฆะ และถือว่าได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติในวันนี้เมื่อสงครามสงบ จึงได้สั่งยุบเลิกสารวัตรผสม ไทย – ญี่ปุ่น ในระยะนี้ทางราชการได้ยุบเลิก กรมเตรียมการทหาร และกิจการ ยุวชนทหาร โอนมาอยู่ในกรมสารวัตรทหาร ทำให้กรมสารวัตรทหารได้กำลัง นายทหาร นายสิบ และพลทหาร เพิ่มขึ้น จนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๙๐ กรมสารวัตรทหาร ได้ขยายหน้าที่และกิจการกว้างขวาง เพิ่มขึ้นอีก เป็น ๓ แผนก กับ อีก ๑ กอง คือ.- ๑. แผนกที่ ๑ มีหน้าที่กำลังพล ๒. แผนกที่ ๒ มีหน้าที่ การสอบสวน ๓. แผนกที่ ๓ มีหน้าที่ วิทยาการ ๔. กองโรงเรียนนายสิบสารวัตรทหาร วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ มีชาวไทยคณะหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยทหารและตำรวจในพระนคร เป็นกำลังสำคัญ ได้ทำการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลสำเร็จ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ของประเทศที่เสื่อมโทรมให้ดี ขึ้น ครั้นถึง ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ ได้เกิดการจลาจลขึ้นในพระนครโดยมีชนหมู่หนึ่ง ผสมด้วยทหารเรือ บางส่วน ทางฝ่ายรัฐบาลได้ปราบปรามสงบราบคาบ ในระยะนี้กรมสารวัตรทหาร ได้ถูกยุบเลิกอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่รัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศเป็นต้นมา กิจการทหารได้เปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติมกำลังทหารให้มีความสามารถป้องกันประเทศได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเพิ่มพูนทั้งกำลังพล และ อาวุธแบบสมัยใหม่ ตลอดทั้งวิทยาการต่าง ๆ เพื่อให้ก้าวหน้าทัดเทียมนา ๆ ประเทศ ซึ่งไม่เคยปรากฏ กิจการด้านสารวัตรก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่เป็น กองสารวัตรมณฑลทหารบกที่ ๑ มีที่ทำการอยู่ที่สวนมิสกวัน มีอำนาจหน้าที่ตรวจตราและรักษาความสงบเรียบร้อย ในเขตมณฑลทหารบกที่ ๑ มีผู้บังคับบัญชาตามลำดับ คือ
๒๐๗ ๑. พ.ท.สุกรี ธนูแผลง พ.ศ.๒๔๙๑ – ๒๔๙๓ ๒. พ.ท.ปุ่น ปุณยฤทธิเสนีย์พ.ศ.๒๔๙๓ ๓. พ.ท.สมัย แววประเสริฐ พ.ศ.๒๔๙๔ – ๒๔๙๕ ๔. พ.ท.จงยุทธ ชูศรี พ.ศ.๒๔๙๕ – ๒๔๙๖ ๕. พ.ต.ศักดิ์ พิศิษฐ์พงศ์ พ.ศ.๒๔๙๖ กองสารวัตรทหารบกที่ ๑ แบ่งการบังคับบัญชา เป็น ๒ กอง กองที่ ๑ มีหน้าที่รักษาความสงบและการจราจร โดยแบ่งสายตรวจออกเป็น ๘ สาย ทั่วพระ นครและธนบุรี กองที่ ๒ มีหน้าที่รักษาสถานที่ราชการ ยุคการวางแนวทางเหล่า ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑ ได้มีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยทหารสารวัตรขึ้นอีก โดยให้ขึ้นการบังคับบัญชา กับ ผบ.มทบ.และ ผบ.จทบ.แต่ละพื้นที่ในขณะนั้น ประเทศไทยได้รับการช่วยเหลือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในด้านวิทยาการและกิจการต่าง ๆ จากหน่วยซึ่งเรียกกันติดปากว่า “จัสแมก” ทำให้หน่วยเกิดความ เจริญก้าวหน้าขึ้นจนได้รับการยกฐานะเป็นเหล่าทหารเหล่าหนึ่ง คือ เหล่าทหารสารวัตร จวบจนกระทั้งถึง วันที่ ๓๐ ก.ค.๒๔๙๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธย ตราพระราชกฤษฎีกาจัด ระเบียบราชการกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ก็ได้ออกข้อบังคับ กระทรวงกลาโหมว่าด้วยการกำหนดหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และส่วนราชการใน กองทัพบก พ.ศ.๒๔๙๕ กำหนดให้มี“กรมการสารวัตรทหารบก” (ด้วยเหตุนี้เองในปัจจุบันทหารเหล่าทหาร สารวัตรจึงได้ถือเอาวันที่ ๓๐ ก.ค.ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันสถาปนากรมการสารวัตรทหารบก) โดยกำหนด หน้าที่ให้มีขอบเขตขยายมากขึ้น ทั้งในยามปกติและยามสงคราม โดยมีหน้าที่ในการกำกับการสารวัตร ใน กิจการเชลยศึก รักษาความสงบเรียบร้อย และ ระเบียบวินัยของทหาร การจราจร การอพยพของผู้หลบภัย การป้องกันและสอบสวนอาชญากรรมภายในกองทัพบก การจับกุมทหารหนีทัพ และผู้ขาดหนีราชการ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่วางแผน และกำกับการในเรื่องการเกณฑ์การอบรม และการใช้หน่วยปกครองฝ่ายทหาร กำกับการและควบคุมข่าวสารที่เกี่ยวกับเชลยศึก มีคำสั่งให้ พ.อ.ขุนชิด ผดุงพล เป็นสารวัตรใหญ่ทหารบก และให้พ.อ.จงยุทธ ชูศรีเป็นรองสารวัตรใหญ่ทหารบก และแบ่งส่วนราชการออกใหม่เป็น ๑. แผนกกลาง ๒. กองการปกครอง ๓. กองการเชลยศึก ๔. โรงเรียนสารวัตรทหารบก ในการตั้งกรมการสารวัตรทหารบกขึ้นใหม่นี้แม้จะมีส่วนราชการต่าง ๆ ขึ้นการบังคับบัญชากับ กรมการสารวัตรทหารบกก็ตาม แต่ทางราชการทหารก็มิได้ยุบกองสารวัตรทหารมณฑลทหารบกที่ ๑ แต่กลับ ขยายเป็นกองพันสารวัตรที่ ๑ โดยขึ้นการบังคับบัญชากับมณฑลทหารบกที่ ๑ เมื่อ ปีพ.ศ.๒๔๙๖ ได้มีคำสั่ง ให้พล.ต.สวัสดิ์สวัสดิ์รณภักดีเป็นสารวัตรใหญ่ทหารบก ต่อจาก พ.อ.ขุนชิด ผดุงพล ซึ่งย้ายไปเป็นรอง ผบ. พล.๒ และ รอง ผบ.มทบ.๒ ตามคำสั่ง กห.ที่ ๖๒/๔๙๗๗ ลง ๒ มี.ค.๙๖ สถานที่ทำงานของกรมการสารวัตร ยังคงต้องอาศัยกองพันสารวัตรที่ ๑ ในสวนมิสกวันเป็นที่ทำงานชั่วคราว กระทั่งเมื่อ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๖ จึงได้ย้ายที่ทำการกรมการสารวัตรทหารบก มาอยู่ที่ตึกไกรฤกษ์ เชิงสะพานกรุงธน ฝั่งพระนคร (ปัจจุบันเป็น สถานที่ราชการของ สตน.ทบ.)
๒๐๘ เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๔๙๗ กรมการสารวัตรทหารบกได้รับอนุมัติให้หน่วยเรือนจำทหารทุกแห่ง ขึ้นตรงต่อกรมการสารวัตรทหารบก ในทางสายวิทยาการและให้ผู้ที่อยู่ในสังกัดหน่วย เรือนจำเป็นเหล่าทหาร สารวัตร ในระยะนี้กิจการสารวัตรยังคงมีอำนาจตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. ๒๔๙๒ เช่นเดิม เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๘ ได้มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมให้ย้าย พ.อ.จงยุทธ ชูศรีรองสารวัตรใหญ่ ทหารบกไปประจำกรมจเรทหารบก และย้าย พล.ต.ประชุม สุวรรณกร รอง จก.สพ.ทบ.มาเป็นรองสารวัตร ใหญ่ทหารบก ตามคำสั่ง กห. ที่ ๓๐๐/๓๕๒๖๔ ลง ๖ ธ.ค.๒๔๙๘ ยุคการปรับปรุงเหล่า ครั้นถึงปีพ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงการจัดอัตรากำลังของกรมการสารวัตรทหารบกไป จากเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมีอำนาจหน้าที่มากยิ่งขึ้น และเป็นแนวทางเดียวกับการจัดหน่วย สารวัตรของสหรัฐฯ จึงได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพบก กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๐๐ เมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๐ โดยให้กรมการสารวัตรทหารบกเป็นหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกองทัพบก มีหน้าที่ วางแผน ประสานงาน และกำกับการอันเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย การจับกุมทหารที่กระทำความผิด การเรือนจำ การจราจรใน กิจการทหาร การรักษาความปลอดภัย การฝึกและศึกษาวิชาการเหล่าทหารสารวัตร การสืบสวนสอบสวน คดีอาญา ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร การป้องกัน การจัดและการวิจัยอาชญากรรมในกองทัพบก ในยาม สงครามมีหน้าที่พิจารณาอำนวยการเกี่ยวกับทหารพลัดหน่วย เชลยศึก ชนชาติศัตรูและผู้ลี้ภัย โดยแบ่งส่วน ราชการออกดังต่อไปนี้ ๑. กองกลาง ๒. กองวางแผนและการฝึก ๓. กองสืบสวนสอบสวน ๔. กองพิสูจน์หลักฐาน ๕. กองเครื่องช่วยฝึก ๖. กองพยาบาล ๗. โรงเรียนสารวัตรทหารบก เมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๑ ได้มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมให้ย้าย พล.ต.สวัสดิ์สวัสดิรณภักดิ์สารวัตรใหญ่ ทหารบกไปประจำ กพ.ทบ.และย้าย พล.ต.ประชุม สุวรรณกร รองสารวัตรใหญ่ทหารบก ขึ้นมาเป็นเจ้า กรมการสารวัตรทหารบก และย้าย พ.อ.สมบูรณ์วิจิตรานุช ผู้ช่วยผู้บัญชาการโรงเรียนสารวัตรทหารบก เป็น รองเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก ตามคำสั่ง กห.ที่ ๔๑/๑๘๕๓ ลง ๒๘ ม.ค.๐๑ และคำสั่ง กห.ที่ ๔๒/๑๘๕๔ ลง ๒๘ ม.ค.๐๑ เมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๓ ได้เกิดสงครามขึ้นในประเทศเกาหลีซึ่งเป็นการรบระหว่างประเทศเกาหลี เหนือและประเทศเกาหลีใต้และถือเป็นการรบระหว่างประเทศโลกเสรีกับประเทศค่ายคอมมิวนิสต์โดย ประเทศไทยได้ส่งทหารเข้าร่วมรบกับประเทศโลกเสรีในการจัดกำลังพลของกองทัพไทย ได้จัดให้มีกองร้อย สารวัตรทหารเข้าร่วมรบในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมระเบียบวินัย นายทหารติดต่อ การจราจรในการเคลื่อนย้าย การควบคุมเชลยศึกในพื้นที่รับผิดชอบของทหารไทย ในสมรภูมิเกาหลีซึ่งนับว่า เป็นก้าวแรกของเหล่าทหารสารวัตรที่ให้มีบทบาทและได้ปฏิบัติงานในสนามอย่างจริงจัง และนับตั้งแต่นั้นมา เหล่าทหารสารวัตร ก็ได้มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการจัดรูปแบบหน่วยทหารสารวัตรของกองทัพ
๒๐๙ สหรัฐอเมริกา และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งนี้เป็นจุกเริ่มต้นกว้างไกลของเหล่าทหารสารวัตร ซึ่ง เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง โดยในสมัย พล.ต.สมบูรณ์วิจิตรานุช เป็นเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ และในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งได้นำทหารสารวัตรมาใช้ในการ รักษาความสงบเรียบร้อยในพระนครเป็นส่วนใหญ่ จนเป็นเหตุทำให้เหล่าทหารสารวัตรในสมัยนั้น เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าไปอย่างมากมาย ในปีนี้กองทัพบกได้ออกกฎกระทรวง (พ.ศ.๒๕๐๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบ ทหาร พ.ศ.๒๔๗๗ ว่าด้วยเครื่องแบบทหารบกฉบับที่ ๓๙ ข้อ ๕๔ ซึ่งได้กำหนดเครื่องแต่งกายของสารวัตร ทหารที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนภารกิจของทหารเหล่าทหารสารวัตรยังคงใช้ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วย สารวัตรทหาร พ.ศ.๒๔๙๒ จวบจนปีพ.ศ.๒๕๐๘ ในสมัย พล.ต.ประวิตร งามอุโฆษ เป็นเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก ได้มี การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสืบต่อจาก พล.ต.สมบูรณ์วิจิตรานุช โดยได้พัฒนาด้านวิชาการ ความสัมพันธ์ กับต่างประเทศ การพัฒนากำลังพล การพัฒนายุทโธปกรณ์ของเหล่าทหารสารวัตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย จึงทำให้เหล่าทหารสารวัตรได้วิวัฒนาการก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดย ได้มีการเปลี่ยนแปลงการแบ่งส่วนราชการ สห.ทบ.ตามคำสั่ง ทบ.(เฉพาะ) ที่ ๖๕/๑๐ เรื่อง อัตรากองทัพบก ๒๕๐๖ (อัตราเฉพาะกิจ) ครั้งที่ ๑๓๑ ลง ๕ มิ.ย.๒๕๑๐ ซึ่งเป็นการแบ่งส่วนราชการเหล่าทหารสารวัตรของ กองทัพไทย มีรูปแบบการจัดที่สมบูรณ์และเป็นการจัดในรูปแบบการจัดเหล่าทหารสารวัตรของกองทัพ สหรัฐอเมริกา อันเป็นแนวทางการจัดของเหล่าทหารสารวัตรของกองทัพไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยแบ่งส่วน ราชการออกเป็น ๑. กองธุรการ ๒. กองควบคุมและรักษาความปลอดภัย ๓. กองแผนและฝึก ๔. กองสืบสวนสอบสวน ๕. กองวิทยาการ ๖. กองร้อยบริการ ๗. โรงเรียนทหารสารวัตร เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๐ ได้เกิดสงครามขึ้นในประเทศเวียดนาม เป็นสงครามระหว่างค่ายโลกเสรีกับ ค่ายคอมมิวนิสต์เป็นการแบ่งประเทศเวียดนามออกเป็นประเทศเวียดนามเหนือและประเทศเวียดนามใต้โดย มีเส้นขนานที่ ๑๗ เป็นเขตแบ่งประเทศ ประเทศเวียดนามเหนือพยายามจะรวมประเทศเวียดนามใต้เข้า ด้วยกัน จึงทำให้เวียดนามทั้งสองต้องทำการสู้รบกัน เพื่อชิงดินแดนกันเกิดขึ้น ในฐานะประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศอภิมหาอำนาจในค่ายโลกเสรีจึงจำเป็นจะต้องช่วยประเทศเวียดนามใต้ทำการสู้รบกับเวียดนาม เหนือด้วย ประเทศไทยเป็นภาคีร่วม จึงเข้าร่วมกับสหรัฐอเมริกาทำการรบในประเทศเวียดนามด้วย กองทัพ ไทยได้ส่งกองพลสนับสนุนในการทำสงครามในเวียดนาม คือ กองพลจงอาจศึก และกองพลเสือดำ และ ยินยอมให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการรบในครั้งนี้ด้วย ในการรบของ กองทัพไทยในสมรภูมิเวียดนามครั้งนี้ได้จัดให้มีกองร้อยทหารสารวัตรเพื่อทำหน้าที่เป็นนายทหารติดต่อ ปกครองกันดูแลระเบียบวินัย การควบคุมเชลยศึก การจราจรในค่ายของทหารไทย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็น นายทหารฝ่ายกฎหมายระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทยอีกด้วย ผลจากการที่ประเทศไทยเข้าร่วมรบในสงคราม เวียดนามและได้ส่งทหารสารวัตรเข้าร่วมในครั้งนี้ทำให้เหล่าทหารสารวัตรได้รับวิทยาการด้านต่าง ๆ จาก กองทัพสหรัฐเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการนำไปสู่การวิวัฒนาการของเหล่าเป็นอย่างดียิ่ง ประกอบกับเจ้ากรมการ สารวัตรทหารบกในสมัยนั้นเป็นผู้ที่มองการไกล จึงได้ศึกษา วางแผนระบบ และระเบียบ ให้สอดคล้องกับการ
๒๑๐ ปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัย จึงได้ผลิตตำราเรียนคู่มือการฝึก และมีความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและ ออสเตรเลีย ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าของเหล่าทหารสารวัตรในยุคนั้น ย่อมเป็นยุคการวิวัฒนาการของเหล่า เป็นอย่างยิ่ง ต่อมาภายหลังสงครามเวียดนาม รัฐบาลได้มีพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๑๓ และพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองทัพบก กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๑๓ ซึ่งแบ่งส่วนราชการในกองทัพบก ตาม มาตรา ๔ ซึ่งจัดกรมการสารวัตรทหารบกเป็นหน่วยที่ (๙) โดยกำหนดหน้าที่ของกรมการสารวัตรทหารบก ตามมาตรา ๕ (๙) ได้กำหนดว่ากรมการสารวัตรทหารบกมีหน้าที่ ก. วางแผน ประสานงานและกำกับการเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย การจับกุมทหารที่กระทำ ผิด การเรือนจำ การจราจรในกิจกรรมทหาร การรักษาความปลอดภัย การฝึก และศึกษาวิชาการเหล่าทหาร สารวัตร การสืบสวนแบสอบสวนคดีอาญา ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร การป้องกันและวิจัยอาชญากรรมใน กองทัพบก ข. พิจารณาอำนวยการในยามสงครามเกี่ยวกับทหารพลัดหน่วย เชลยศึก ชนชาติศัตรูและผู้ลี้ภัย เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๕ กรมการสารวัตรทหารบก สมัย พล.ต.อุดม สุขมาก เป็น จก.สห.ทบ. ได้มี การรายงานขอแก้ไขข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วย สารวัตรทหาร พ.ศ.๒๔๙๒ ทั้งนี้โดยให้เหตุผลว่า ข้อบังคับดังกล่าวนี้ล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับหลักการจัดและกำหนดหน้าที่ของเหล่าทัพในปัจจุบัน ในขณะที่ ปัจจุบัน สห.ทบ. มีกิจการในหน้าที่กว้างขวางขึ้นกว่าแต่ก่อน ประกอบกับข้อบังคับปี๒๔๙๒ นี้มีปัญหา ทางด้านกฎหมาย เพราะกฎหมายที่เป็นแม่บทคือ พระราชกฤษฎีกา จัดวางระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๙๑ ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมีข้อบังคับขึ้นใหม่เพื่อความสมบูรณ์และถูกต้อง และในที่สุดก็ ประสพความสำเร็จ เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๙ ในสมัยที่ พล.ต.ประยูร นุชกาญจนกุล ดำรงตำแหน่ง จก.สห.ทบ.โดย ได้มีข้อบังคับ กห.ว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ.๒๕๑๙ (ฉบับที่ ๒) ต่อมาได้มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.กฤษฎา ง้าวสุวรรณ รอง จก.สห.ทบ. ขึ้นดำรงตำแหน่ง จก.สห.ทบ. ระยะนี้สห.ทบ.ก็ได้พัฒนาเหล่าในส่วนต่างๆ โดยมิได้หยุดชะงักเพื่อความสมบูรณ์และถูกต้องเหมาะสมกับ สถานการณ์บ้านเมือง ทั้งให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงสภาพทางการเมือง และการทหาร ยุคการพัฒนาเหล่า เมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๑ พล.ต.กวีรักษ์งาน รอง จก.สห.ทบ. ขึ้นดำรงตำแหน่ง จก.สห.ทบ. กรมการ สารวัตรทหารก็ได้ย้ายจากที่เดิม ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณตึกหลวงไกรฤกษ์ปลายถนนราชวิถี(ก่อนขึ้นสะพานกรุง ธน) มายังที่ตั้งปกติถาวรจวบจนปัจจุบัน ณ ถนนโยธีแขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวีเมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑ และได้ทำพิธีเปิดกองบัญชาการ กรมการสารวัตรทหารบก เมื่อ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๒ โดยมีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ผบ.ทบ.ในขณะนั้น มาเป็นประธาน พิธี ระยะนี้ได้มีการแก้ไขข้อบังคับ กห.ว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ.๒๕๑๙ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๑ ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเสร็จสมบูรณ์และประกาศใช้ในปีพ.ศ.๒๕๒๒ ในสมัยที่ พล.ต.เกรียงไกร ไกรฤกษ์เป็นเจ้ากรมการสารวัตร ทหารบก ซึ่งเป็นข้อบังคับว่าด้วยสารวัตรทหารให้เป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ จนมาถึงปีพ.ศ.๒๕๒๗ ในสมัยที่ พล.ต.วิเชียร อ่อนนุช ดำรงตำแหน่ง จก.สห.ทบ.ได้มีการ เปลี่ยนแปลงและกำหนดหน้าที่ ภารกิจ ของ สห.ทบ.ตามคำสั่ง ทบ.ลับ (เฉพาะ) ที่ ๒๕๔/๒๗ เรื่อง แก้อัตรา กองทัพบก ๒๕๐๖ (ครั้งที่ ๒๖) ลง ๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๗ ได้กำหนดหน้าที่และอัตรากำลังพล กรมการสารวัตร ทหารบก อัตราเฉพาะกิจ หมายเลข ๒๒๐๐ ดังนี้คือ
๒๑๑ ๑. เสนอนโยบาย วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการเกี่ยวกับการ รักษาความ ปลอดภัยการอารักขาบุคคลสำคัญ การจราจรในกิจการทหารกิจการเรือนจำทหารและดำเนิน การเกี่ยวกับ การสืบสวนสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ๒. เสนอแนะและให้คำแนะนำทางวิชาการเกี่ยวกับการทหารสารวัตร ๓. กำหนดหลักนิยม วิจัยและพัฒนาจัดทำตำรา และคู่มือเกี่ยวกับวิทยาการสายทหารสารวัตร ๔. วางแผนอำนวยการจัดหา และปรับปรุงหลักสูตร ตลอดจนดำเนินการให้การศึกษากำลังพล เหล่าทหารสารวัตร ๕. ดำเนินการเกี่ยวกับกิจการทั้งปวงของเหล่าทหารสารวัตร ๖. เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการพิเศษในกิจการทหารสารวัตร ซึ่งมีหน้าที่ดังนี้ ๖.๑ ช่วยเหลือฝ่ายอำนวยการในการทำคำสั่งและแบบธรรมเนียม ๖.๒ ให้ข้อเสนอแนะ คำปรึกษาหารือแก่ผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการ ๖.๓ ควบคุมทางสายวิทยาการที่เกี่ยวกับกิจการทหารสารวัตรในหน่วยต่างๆ ๗. โรงเรียนทหารสารวัตร มีความสามารถปานกลางที่จะรับการฝึกสอนได้ดังนี้ ๗.๑ นายทหารนักเรียน ๖๐ คน ๗.๒ นายสิบนักเรียน ๘๐ คน ๗.๓ นักเรียนนายสิบ ๘๐ คน และกำหนดให้เป็นกรมฝ่ายกิจการพิเศษ ขึ้นตรงกองทัพบก โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑) กองธุรการ ๒) กองแผนและฝึก ๓) กองสืบสวนสอบสวน ๔) กองควบคุมและรักษาความปลอดภัย ๕) กองวิทยาการ ๖) กองร้อยบริการ ๗) โรงเรียนทหารสารวัตร จนมาถึงปีพ.ศ.๒๕๒๙ สมัย พล.ต.วิจิตร กรีเงิน ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก เห็นว่าข้อบังคับว่าด้วยสารวัตรทหารทั้ง ๒ ฉบับ ยังไม่สามารถทำให้เจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ปฏิบัติงานอย่างมี ประสิทธิภาพได้จึงได้ออกระเบียบกองทัพบก ว่าด้วย การสารวัตรทหารบก พ.ศ.๒๕๒๙ เพื่อเป็นแนวทาง ปฏิบัติงานด้านการสารวัตรทหารได้อย่างเหมาะสม ครั้นถึงปีพ.ศ.๒๕๓๑ พล.ต.วิจิตร กรีเงิน ได้พิจารณาเห็นควรจะกำหนดให้มีวันทหารสารวัตร ขึ้นเพื่อเป็นการเทิดทูนพระเกียรติแด่ จอมพลพระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พระเจ้า ลูก ยาเธอพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช) ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ เสนาธิการทหารบกพระองค์แรกของ ทบ. และเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้ทรงวางรากฐานด้านการทหารและได้ทรงกำหนดหน้าที่สารวัตรใหญ่ ทหารบก ทรงลงพระนามเมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๔๕๐ และเพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีขวัญ และกำลังใจ แก่ข้าราชการในเหล่าทหารสารวัตร และเป็นเกียรติประวัติสืบไป (ตามประกาศกองทัพบก เรื่องกำหนดวัน ทหารสารวัตร ลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๑) ซึ่งในยุคการพัฒนา (ปัจจุบันนี้) เหล่าทหารสารวัตรได้ทำการปรับปรุงทางด้านวิทยาการ และ ยุทโธปกรณ์โดยทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอุปกรณ์ประจำการ เจ้าหน้าที่ปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบขึ้นเพื่อ เป็นยุทโธปกรณ์ประจำหน่วยสารวัตรทหาร เพราะว่าในปัจจุบันสถานการณ์ของบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง จากความผันแปรของบ้านเมืองในปัจจุบัน จึงให้กรมการสารวัตร
๒๑๒ ทหารบกต้องเตรียมพร้อมที่จะรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จึงต้องมีการจัดหากำลังพลและยุทโธปกรณ์มาก ขึ้น ทั้งนี้ได้ทำการพัฒนาทางด้านบุคคลากร โดยการส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมประชุมและสัมมนาระหว่างประเทศ มากขึ้น นอกจากภารกิจและหน้าที่ตามสายงานของกรมการสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.) แล้ว ภารกิจ พิเศษเพิ่มขึ้นอีก กล่าวคือ เมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๑ กรมการสารวัตรทหารบกได้รับมอบภารกิจจากกองทัพบกให้ ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษภายในกองทัพบก จึงได้ทำการตั้งศูนย์ ประสานการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดให้โทษของกองทัพบกขึ้น ตามคำสั่งกองทัพบกที่ ๑๘๕/๒๕๒๑ เรื่อง โครงการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดให้โทษในหน่วยทหาร โดยที่ตั้งของศูนย์ฯ อยู่ที่กรมการสารวัตรทหารบก นับว่าการปฏิบัติงานของกรมการสารวัตรทหารบกในยุคการพัฒนา เป็นเครื่องชี้ถึงความก้าวหน้าไปสู่อนาคตที่ ดีและแจ่มใสต่อไป สำหรับความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของกองทัพบกในการจัดตั้งโครงการรณรงค์ด้านยา เสพติดเพื่อ ๑. ป้องกัน ๒. ปราบปราม ๓. การให้การรักษาพยาบาล(บำบัด) ๔. การฟื้นฟูจิตใจ ๕. การอบรม การดำเนินงานของกองทัพบก มิได้เพียงจัดตั้ง ศปท.ทบ.เท่านั้น ยังได้ดำเนินการอย่าง กว้างขวางออกไปอีก โดยให้ส่วนภูมิภาคในส่วนของ ทบ. ได้รับผิดชอบด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้โทษส่วนภูมิภาคขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของ ศปท.ทบ. ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลดีต่อ ทบ. และความมั่นคงของ ประเทศชาติเป็นประการสำคัญ รายนามผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้ากรมการสารวัตร (สวญ.ทหาร) ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ๑. พ.อ.พระยาวิเศษ สัจธาดา สวญ.ทบ. พ.ศ.๒๔๔๐ - ๒๔๕๑ ๒. พ.ท.พระวิไชยยุทธเดชาคณี สวญ.ทบ. พ.ศ.๒๔๐๑ - ๒๔๕๒ ๓. พ.อ.พระเริงฤทธิสงคราม (ปลั่ง วรรณายน) สวญ.ทบ. พ.ศ.๒๔๕๒ - ๒๔๕๓ ๔. พล.ต.พระยาฤทธิไกรเกรียงหาญ (สาย ธรรมนนท์) สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๕๓ - ๒๔๗๑ ๕. พ.ท.พระบำราชอรินทร์พ่าย (เทียม สุนทรบุรน) สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๗๑ - ๒๔๗๓ ๖. พ.อ.พระศรีพิชัยบริบูรณ์(เหมือน อินทรกำแหง) สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๗๓ - ๒๔๗๔ ๗. พ.ท.พระดำรงฤทธิไกร สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๗๔ - ๒๔๗๕ ๘. พ.อ.พระยารามจตุรงค์ สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๔๗๖ ๙. พ.อ.หลางศิลปสารสราวุธ สารวัตรประจำ มทบ.๑ พ.ศ.๒๔๗๖ - ๒๔๘๖ ๑๐. พ.อ.เรือง เรืองวีระยุทธ สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๘๖ - ๒๔๘๗ ๑๑. พล.ต.ปลด ปลดปรปักษ์ สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๘๗ - ๒๔๘๗ ๑๒. พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ สวญ.ทหาร พ.ศ.๒๔๘๗ - ๒๔๙๐ ๑๓. พ.อ.จำรัส จำรัสโรมรัน รรก.สวญ.ทหารพ.ศ.๒๔๙๐-๒๔๙๑ ๑๔. พ.อ.ขุนชิต ผดุงพล สวญ. พ.ศ.๒๔๙๕ - ๒๔๙๖ ๑๕. พล.ต.สวัสดิ์ สวัสดิ์รณภักดิ์ สวญ. พ.ศ.๒๔๙๖ - ๒๕๐๐ ๑๖. พล.ต.ประชุม สุวรรณกร จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๐๐ - ๒๕๐๔ ๑๗. พล.ต.สมบูรณ์ วิจิตรานุช จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๐๔ - ๒๕๐๘ ๑๘. พล.ต.ประวิตร งามอุโฆษ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๐๘ - ๒๕๑๖
๒๑๓ ๑๙. พล.ต.อุดม สุขมาก จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๑๖ - ๒๕๑๗ ๒๐. พล.ต.ประยูร นุทกาญจนกูล จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๑๗ - ๒๕๑๙ ๒๑. พล.ต.กฤษฎา ง้าวสุวรรณ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๑๙ - ๒๕๒๑ ๒๒. พล.ต.กวี รักษ์งาร จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๒๑ - ๒๕๒๒ ๒๓. พล.ต.เกรียงไกร ไกรฤกษ์ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๒๒ - ๒๕๒๖ ๒๔. พล.ต.วิเชียร อ่อนนุช จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๒๖ - ๒๕๒๙ ๒๕. พล.ต.วิจิตร กรีเงิน จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๒๙ - ๒๕๓๒ ๒๖. พล.ต.นิยม รัตนสุต จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๓๒ - ๒๕๓๕ ๒๗. พล.ต.เกรียงไกร เจริญศิริ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๓๕ - ๒๕๓๗ ๒๘. พล.ต.พละ จารุนัฎ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๓๗ - ๒๕๔๑ ๒๙. พล.ต.เผด็จ จารุจินดา จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๔๑ - ๒๕๔๓ ๓๐. พล.ต.เฉลิมศักดิ์ วรกิจโภคาทร จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๔๓ - ๒๕๔๕ ๓๑. พล.ต.คึกฤทธิ์ ลียะวณิช จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๔๕ - ๒๕๔๘ ๓๒. พล.ต.วีระกูล ทองมา จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๔๘ - ๒๕๕๐ ๓๓. พล.ต.เพรียว พินัยนิติศาสตร์ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๕๐ - ๒๕๕๒ ๓๔. พล.ต.ศุภชัย ศรีจักรโคตร จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ๓๕. พล.ต.พันธ์ยศ พันธ์เพิ่มศิริ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ๓๖. พล.ต.ธนะศักดิ์ ชื่นอิ่ม จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๕๘ - ๒๕๖๑ ๓๗. พล.ต.วัชชรินทร์ สุวรรณรินทร์ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๖๑ - ๒๕๖๓ ๓๘. พล.ต.รชต วงษ์อารีย์ จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๖๓ – ๒๕๖๕ ๓๙. พล.ต.สันติพงษ์ มั่นคงดี จก.สห.ทบ. พ.ศ.๒๕๖๖ - การจัดหน่วยทหารสารวัตรของกองทัพบก. ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑. ส่วนกลาง ๒. ส่วนภูมิภาค ๓. ส่วนกำลังรบ มีฝ่ายการสารวัตรซึ่งเป็นฝ่ายกิจการพิเศษขึ้นตรงต่อกองบัญชาการ กองพล สำหรับหน่วยทหารสารวัตร ปัจจุบัน จัดอยู่ใน พัน.สห.ทภ. คือ ร้อย.สห.สนาม ส่วนกลาง ได้แก่ กรมการสารวัตรทหารบก เป็นกรมฝ่ายกิจการพิเศษ ขึ้นตรงต่อกองทัพบก มีเจ้ากรมการสารวัตรทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ที่ตั้งหน่วย
๒๑๔ กรมการสารวัตรทหารบก ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๗๕/๓ ถนนโยธี แขวงทุ่งพญาไท เขตราเทวี กรุงเทพมหานคร ๑๐๔๐๐ ตราสัญลักษณ์กรมการสารวัตรทหารบก เป็นรูป “ท้าวกุเวร” หรือ “ท้าวเวสสุวัณ” ประทับอยู่บนแท่นบรรจุอยู่ในวงกลม หัตถ์ขวาถือ กระบอง หัตถ์ซ้ายในท่าให้อภัย ด้านข้างประกอบด้วยลายกนก เบื้องบนมีชื่อ “กรมการสารวัตรทหารบก” เบื้องล่างมีตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า THE PROVOST MARSHAL GENERAL’S DEPARTMENT มีความ หมายถึงผู้รักษาความปลอดภัย และทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ( ไม่จำกัดสีและขนาด ) หลักฐาน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘๗ ตอนที่ ๗๗ ลง ๑๘ ส.ค.๑๓ หน้า ๕๖๙ ภารกิจ มีหน้าที่วางแผน ประสานงาน และกำกับการอันเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย การ จับกุมทหารที่กระทำความผิด การเรือนจำ การจราจรในกิจการทหาร การรักษาความปลอดภัย การฝึก และศึกษา วิชาการเหล่าทหารสารวัตร การสืบสวนสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร การป้องกัน และการวิจัยอาชญากรรมในกองทัพบกและพิจารณาอำนวยการเกี่ยวกับทหารพลัดหน่วยและเชลยศึกกำหนด หลักนิยมและทำตำรา ตลอดจนการฝึกและศึกษาของเหล่าทหารสารวัตร มีเจ้ากรมการสารวัตรทหารบกเป็น ผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ขอบเขตความรับผิดชอบและหน้าที่ที่สำคัญ ๑. เสนอนโยบาย และแนะนำทางวิชาการเกี่ยวกับกิจการทหารสารวัตร ๒. วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการเกี่ยวกับรักษาความปลอดภัย สถานที่และ บุคคลที่กองทัพบกกำหนด การรักษาระเบียบวินัย การจับกุมทหารที่กระทำความผิด การอารักขาบุคคล สำคัญ การจราจรในกิจการทหาร กิจการเรือนจำ และดำเนินการเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ ในอำนาจศาลทหาร รวมทั้งทหารพลัดหน่วยและเชลยศึก ๓. ดำเนินการเกี่ยวกับกิจการเหล่าทหารสารวัตร ๔. กำหนดหลักนิยม วิจัยและพัฒนา จัดทำตำรา และคู่มือเกี่ยวกับกิจการของเหล่าทหาร สารวัตร
๒๑๕ ๕. วางแผน อำนวยการ จัดทำและปรับปรุงหลักสูตร ตลอดจนดำเนินการให้การฝึกศึกษา กำลังพลเหล่าทหารสารวัตร การแบ่งส่วนราชการและหน้าที่กรมการสารวัตรทหารบก แบ่งส่วนราชการออกได้ดังนี้.- การจัดกรมการสารวัตรทหารบก สห.ทบ. อฉก. หมายเลข ๒๒๐๐ ๑. แผนกการเงิน มีหน้าที่ดำเนินการเบิก รับ จ่าย เก็บรักษาเงิน และการบัญชีของหน่วย ให้ เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ให้ข้อเสนอแนะ และคำปรึกษาด้านการเงินและการบัญชีแก่ ผู้บังคับบัญชา บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๒. แผนกธุรการ มีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการธุรการ การสารบรรณ และการกำลังพลของ กรมการสารวัตรทหารบก บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๓. กองแผนและฝึก มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน และกำกับดูแลการ ดำเนินการด้านการฝึกศึกษา การจัดการกำลังพลของเหล่าทหารสารวัตร งานเทคโนโลยีสารสนเทศ งาน โครงการ และ กพร. บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๔. กองสืบสวนสอบสวน มีหน้าที่กำกับการ และดำเนินการสืบสวนอาชญากรรม การสืบสวน ข้อเท็จจริง และการสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารตรวจสอบสำนวนการสอบสวน กำกับการคดี และวางโครงการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม วางแผน เสนอแนะและดำเนินการเกี่ยวกับวิทยาการสืบสวน สอบสวน และการทะเบียนประวัติผู้ต้องหาคดีอาญา ตรวจสอบและเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม ปรับปรุง กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ และคำสั่งเกี่ยวกับกิจการทหารสารวัตรและกิจการสารวัตร ดำเนินการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับกระบวนการยุติธรรมฝ่ายพลเรือน ฝ่ายตำรวจ และ ฝ่ายทหาร และองค์กรอิสระต่างๆ ในหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๕. กองควบคุมและรักษาความปลอดภัย มีหน้าที่วางแผนดำเนินการสำรวจและตรวจตราการ รักษาความปลอดภัยทางวัตถุ และการอารักขาบุคคลสำคัญของกองทัพบก วางแผนการรักษาความปลอดภัย เกี่ยวกับบุคคลเอและสถานที่ ตามนโยบายที่กองทัพบกกำหนด วางแผน ประสานงานและกำกับการเกี่ยวกับ การป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาของบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร วางแผน ประสานงาน และกำกับการเกี่ยวกับเชลยศึก และทหารพลัดหน่วย เสนอแนะ กำหนดวิธีการกำกับดูแลการ ปกครองบังคับบัญชาเรือนจำทหาร และควบคุม รวมทั้งการฝึกอาชีพ การอบรม และสวัสดิการผู้ต้องขัง
๒๑๖ กำกับดูแลเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย และการจับกุมทหารที่กระทำผิดภายนอกกรมกอง กำกับดูแล เกี่ยวกับการดำเนินการจราจรในกิจการทหาร กำกับดูแลเหล่าทหารสารวัตรของหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพบก บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๖. กองวิทยาการ มีหน้าที่ให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ และดำเนินการเกี่ยวกับวิทยาการของ เหล่าทหารสารวัตร กำหนดหลักนิยม วิจัยและพัฒนา ตลอดจนเผยแพร่วิทยาการของเหล่าทหารสารวัตร ดำเนินการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ของเหล่าทหารสารวัตร และจัดห้องสมุดของกรมการ สารวัตรทหารบก จัดทำตำรา เอกสารคู่มือ ตลอดจนหลักสูตรการฝึก การตรวจสอบของเหล่าทหารสารวัตร บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๗. กองบริการ มีหน้าที่ดำเนินการสนับสนุนหน่วยต่าง ๆ ของกรมการสารวัตรทหารบก เกี่ยวกับการสวัสดิการ การพลาธิการ การรักษาความปลอดภัย รวมทั้งการบริการแรงงาน และบริการอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบ บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๘. โรงเรียนทหารสารวัตร มีหน้าที่อำนวยการและดำเนินการฝึกศึกษาให้กับกำลังพลของเหล่า ทหารสารวัตร และทหารเหล่าอื่นๆ ตามนโยบายของกองทัพบก ปกครองบังคับบัญชาผู้เข้ารับการศึกษา ส่วนภูมิภาค ได้แก่ หน่วยทหารสารวัตร ที่ขึ้นตรงต่อ กองทัพภาค (ทภ.) มณฑลทหารบก ( มทบ. ) กองทัพภาค ได้แก่ แผนกสารวัตร , แผนกสืบสวนสอบสวน และ หน่วยทหารสารวัตร พัน.สห.ทภ. (ฝากการบังคับบัญชากับ มทบ.) มณฑลทหารบก ได้แก่ ฝ่ายการสารวัตร , ฝ่ายการสืบสวนสอบสวน , หน่วยทหารสารวัตร และ เรือนจำทหาร ๑. แผนกสารวัตร เป็นฝ่ายกิจการพิเศษในกองบัญชาการกองทัพภาค มีหน้าที่และความ รับผิดชอบดังต่อไปนี้.- ๑.๑ ให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการข่าวกรอง ในเรื่องความสงบเรียบร้อย และ การในหน้าที่อื่นๆ ของทหารสารวัตร ๑.๒ พิจารณาให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการใช้หน่วยทหารสารวัตร รวมทั้ง ประสานงานกับตำรวจและส่วนราชการที่มีหน้าที่รักษากฎหมายฝ่ายพลเรือนอื่น ๆ ๑.๓ กำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนการฝึกศึกษาของหน่วยทหารสารวัตร ๑.๔ วางแผนและกำกับดูแลการปฏิบัติงานของทหารสารวัตร ๑.๕ การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่ง ๑.๖ การจับกุมทหารขาดหนีราชการ และทหารที่กระทำความผิดในที่ตั้งหน่วยทหาร ตาม คำสั่งของผู้บังคับบัญชา
๒๑๗ ๑.๗ การคุมขัง , ดูแลรักษา , อบรมดัดนิสัย และการฝึกอาชีพผู้ต้องขังในเรือนจำ ที่ควบคุม และเรือนคนไข้นักโทษของโรงพยาบาล (ถ้ามี) ๑.๘ ควบคุมการสัญจร และตรวจพิสูจน์บุคคลที่เป็นทหารหรือพลเรือนซึ่งอยู่ในความควบคุม ของทหาร ๑.๙ การควบคุมจราจรในกิจการทหาร ๑.๑๐ การรักษาความปลอดภัยทางวัตถุ ๑.๑๑ การปฏิบัติการต่อเชลยศึก ทหารพลัดหน่วย พลเรือน ผู้ถูกกักกัน ชนชาติศัตรูผู้ลี้ภัย ๑.๑๒ ป้องกันทรัพย์สิน สิ่งอุปกรณ์ของทางราชการมิให้ถูกโจรกรรม ๑.๑๓ วางมาตรการและประสานงาน เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือฝ่ายพลเรือน ในเรื่อง การก่อความไม่สงบของประชาชน และการบรรเทาสาธารณภัย ๑.๑๔ การลงหลักฐานรถยนต์และอาวุธของบุคคลในหน่วยตามนโยบายผู้บังคับบัญชา ๑.๑๕ การปฏิบัติงานทางธุรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. แผนกสืบสวนสอบสวน เป็นฝ่ายกิจการพิเศษในกองบัญชาการกองทัพภาค มีหน้าที่และ ความรับผิดชอบดังนี้.- ๒.๑ ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม ๒.๒ วางโครงการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม และดำเนินการสืบสวนสอบสวน คดีอาญาซึ่ง อยู่ในอำนาจศาลทหาร ๒.๓ ร่วมมือการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ ปฏิบัติและการประสานงานกรณีทหารถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด พ.ศ. ๒๕๔๔ ๒.๔ ดำเนินการให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินตามคำพิพากษา ๒.๕ เก็บรักษาเอกสาร พยานวัตถุและของกลางอื่น ๆ ๒.๖ ตรวจพิสูจน์ร่องรอยหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับอาชญากรรม ๒.๗ ถ่ายภาพวัตถุพยานและภาพอื่น ๆ ที่ต้องพิสูจน์ลักษณะจำเพาะที่มีประจำตัวบุคคล ๒.๘ บันทึกและรายงานสถิติผลงาน ๒.๙ ดำเนินการสำรวจป้องกันอาชญากรรมหรือสำรวจการรักษาความปลอดภัยทางวัตถุ ๒.๑๐ ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ๓. หน่วยทหารสารวัตร จัดกำลังเป็นหน่วยขนาดกองพันขึ้นตรงต่อกองทัพภาค และมณฑล ทหารบก ๓.๑ ทภ.๑ ได้แก่ พัน.สห.๑๒ ๓.๒ ทภ.๒ ได้แก่ พัน.สห.๒๑ ๓.๓ ทภ.๓ ได้แก่ พัน.สห.๓๑ ๓.๔ ทภ.๔ ได้แก่ พัน.สห.๔๑ ๓.๕ มทบ.๑๑ ได้แก่ พัน.สห.๑๑ ๓.๖ มทบ. อื่น ๆ นอกจาก มทบ.๑๑ แล้ว จัดหน่วยทหารสารวัตรขนาดกองร้อย ขึ้นตรงต่อ มณฑลทหารบก
๒๑๘ ภารกิจ ๑. ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย ๒. การควบคุมการจราจรในกิจการทหาร ๓. การสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม ๔. การักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลสำคัญ อาคารสถานที่ ที่ตั้งและสิ่งอำนวยความสะดวกทาง ทหาร รวมถึงการปฏิบัติการควบคุมการก่อความไม่สงบในพื้นที่เขตหลัง ๕. การสนับสนุนการรบให้หน่วยดำเนินกลยุทธ์ของกองทัพภาค และปฏิบัติการเกี่ยวกับกิจการ สารวัตรทหาร ด้านอื่น ๆ ในลักษณะรวมการให้กับกองทัพภาคหรือที่ได้รับมอบหมาย ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ และแบบธรรมเนียมทหาร ๒. อารักขาและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และบุคคลสำคัญตามที่ได้รับ มอบหมาย ๓. กำหนดมาตรการและดำเนินการรักษาความปลอดภัยที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหาร และการขนส่ง ๔. จับกุมทหารหรือบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารที่กระทำความผิด เสนอแนะมาตรการ และ ป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่ทหาร ๕. อำนวยการและควบคุมการจราจรทางทหารในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ๖. สนับสนุนการปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง ๗. ดำเนินการต่อเชลยศึก หรือบุคคลพลเรือนที่ถูกกักกันเมื่อได้รับมอบหมาย ๘. ร่วมมือในการปฏิบัติการแบบตำรวจทั้งการปฏิบัติการร่วมและผสม ๙. ซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ในอัตราขั้นหน่วยได้ ๑๐. ทำการรบอย่างทหารราบได้เมื่อจำเป็น
๒๑๙ ภารกิจ ปกครอง บังคับบัญชา อำนวยการ และกำกับดูแลเกี่ยวกับการบริหารงาน การฝึก การ ปฏิบัติงาน และการส่งกำลังบำรุงให้กับหน่วยในอัตรา และหน่วยที่มาขึ้นสมทบ และดำเนินการสอบสวน อาชญากรรม ขีดความสามารถ ๑. ปกครอง บังคับบัญชา และอำนวยการการปฏิบัติของหน่วยในอัตรา และหน่วยที่มาขึ้นสมทบ ได้ ๓ – ๕ กองร้อย ๒. ดำเนินการติดต่อสื่อสาร การขนส่ง ส่งกำลังและซ่อมบำรุงขั้นหน่วย และการเลี้ยงดูแก่หน่วย ในอัตรา และหน่วยที่มาขึ้นสมทบ ๓. สนับสนุนการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมภายในเขตรับผิดชอบ ๔. วางแผนการปฏิบัติการให้แก่กองพัน รวมทั้งการให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความต้องการการใช้ หน่วย และกำลังพลสารวัตรทหาร ๕. จัดยานยนต์เพื่อเป็นหน่วยนำขบวน และสายตรวจ ๖. อารักขาและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และบุคคลสำคัญตามที่ได้รับ มอบหมาย
๒๒๐ ภารกิจ ปฏิบัติงานในกิจการสารวัตรทหาร ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ และแบบธรรมเนียมของทหาร ๒. อารักขาและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และบุคคลสำคัญที่ได้รับมอบหมาย ๓. รักษาความปลอดภัย ที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหาร และการขนส่ง ๔. จับกุมทหารและบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารที่กระทำความผิด และป้องกันอาชญากรรม ในเขตพื้นที่ทหาร ๕. อำนวยการและควบคุมการจราจรทางทหาร ๖. สนับสนุนการปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง ๗. ดำเนินการต่อเชลยศึก หรือบุคคลพลเรือนที่ถูกกักกัน เมื่อได้รับมอบหมาย ๘. ซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ในอัตราขั้นหน่วยได้ ๙. ทำการรบอย่างทหารราบได้เมื่อจำเป็น ๑๐. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ ๓๐ เปอร์เซ็นต์
๒๒๑ ภารกิจ รักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลสำคัญ อาคารสถานที่ ที่ตั้งทางทหาร สิ่งอำนวยความ สะดวกและยุทโธปกรณ์ รวมถึงควบคุมการก่อความไม่สงบในพื้นที่เขตหลัง และการปฏิบัติการในหน้าที่ที่ เกี่ยวข้องกับกิจการสารวัตรทหาร ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ และแบบธรรมเนียมของทหาร ๒. อารักขาและรักษาความปลอดภัยผู้บังคับบัญชา ที่ตั้งทางทหาร อาคารสถานที่สำคัญ หรือ บุคคลสำคัญ ตามที่ได้รับมอบหมาย ๓. จับกุมทหารหรือบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารที่กระทำความผิด และป้องกันอาชญากรรม ในเขตพื้นที่ทหาร ๔. ควบคุมบุคคล ยานพาหนะ และกำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยและจราจร ตลอดจนจัด เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา ประสานงานด้านการรักษาความปลอดภัย และจราจรกับหน่วยงานต่าง ๆ ๕. คุ้มกันและรักษาความปลอดภัยในการขนส่งยุทโธปกรณ์ และการเคลื่อนย้ายทางทหาร ๖. มีขีดความสามารถต่อต้านพลซุ่มยิง ๗. เป็นหน่วยสนับสนุนการปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลังเมื่อได้รับคำสั่ง ๘. สามารถเคลื่อนที่ด้วยยานยนต์ในอัตราได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๙. ทำการรบอย่างทหารราบได้เมื่อจำเป็น
๒๒๒ ภารกิจ ปฏิบัติงานในกิจการสารวัตรทหาร ด้านการสนับสนุนการรบ การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพันทหารสารวัตรกองทัพภาค โดยอาจกำหนดขึ้นสมทบ หรือขึ้นควบคุมทางยุทธการกองพลทหารราบหรือกองพลทหารม้า หรือหน่วยอื่น ๆ ได้ตามความจำเป็น ทางด้านยุทธการ ขีดความสามารถ ๑. ดำเนินการควบคุมการหมุนเวียนการจราจรยานพาหนะรวมทั้งขบวนเดินต่าง ๆ ขบวนผู้ อพยพ การอพยพเป็นบุคคล การพิทักษ์ประชาชนและทรัพยากร ตลอดจนควบคุมเส้นทางคมนาคม ๒. ลาดตระเวนด้วยยานยนต์ จัดตั้งตำบลควบคุมจราจร และตำบลควบคุมทหารพลัดหน่วย หรือผสมกัน ๓. ปฏิบัติการลาดตระเวนเส้นทาง การคุ้มกันขบวนเดิน การระวังป้องกัน การลำเลียงขนส่ง และการป้องกันการเคลื่อนย้ายที่มีความเร่งด่วนสูง ๔. ปฏิบัติการระวังป้องกันให้กับที่บังคับการ รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลที่ ได้รับมอบหมาย ๕. ดำเนินการสอบสวนและการกำหนดมาตรการป้องกันอาชญากรรม ๖. ดำเนินการ ณ ตำบลรวบรวมเชลยศึก และตำบลรวบรวมพลเรือนผู้ถูกกักกัน ทั้งที่ตำบล รวบรวมกลาง และส่วนหน้า ซึ่งตั้งอยู่ในเขตของกรมดำเนินกลยุทธ์ในแนวหน้าได้๒ กรม เมื่อไปสนับสนุน การรบให้กับกองพล ๗. ดำเนินการรักษาความปลอดภัยให้กับเชลยศึก และพลเรือนผู้ถูกกักกัน ในระหว่างการ ส่งกลับจากตำบลรวบรวมเชลยศึกหน้า มายัง ตำบลรวบรวมเชลยศึกกลางของกองพล เมื่อไปสนับสนุนการรบ ให้กับกองพล ๘. ควบคุมนักโทษทหารชั่วคราว ๙. ร่วมมือในการปฏิบัติการแบบตำรวจทั้งการปฏิบัติการร่วมและผสม ๑๐. ดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และวินัยในพื้นที่สู้รบ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำและนโยบายของผู้บังคับบัญชา ๑๑. กองร้อยปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่กำหนดในพื้นที่ระหว่างเส้นเขตหลังของกรม และเส้น เขตหลังของกองพล เมื่อไปสนับสนุนการรบให้กับกองพล ๑๒. สนับสนุนการปฏิบัติการด้านการรักษาความมั่นคงภายใน การป้องกันและปราบปรามการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่ส่วนหลัง เมื่อได้รับการสนับสนุนเครื่องมือที่เหมาะสม
๒๒๓ กองพันทหารสารวัตรที่ ๑๑ อจย.๑๙-๒๐๕ (๒๔ มิ.ย.๓๒) ภารกิจ ปฏิบัติงานในกิจการสารวัตรทหารให้แก่มณฑลทหารบกที่ ๑๑ การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของมณฑลทหารบกที่ ๑๑ ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับและแบบธรรมเนียมของทหาร ๒. อารักขาและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงและบุคคลสำคัญตามที่ได้รับ มอบหมาย ๓. รักษาความปลอดภัยที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารและการขนส่ง ภารกิจ ปฏิบัติงานในกิจการสารวัตรทหารให้แก่มณฑลทหารบกที่ ๑๑ การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของมณฑลทหารบกที่ ๑๑ ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ คำสั่งข้อบังคับและแบบธรรมเนียมของทหาร ๒. อารักขาและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และบุคคลสำคัญตามที่ได้รับ มอบหมาย ๓. รักษาความปลอดภัยที่ตั้งและสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารและการขนส่ง ๔. จับกุมทหาร , ข้าราชการกลาโหมพลเรือนสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ที่กระทำผิด และป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่ทางทหาร ๕. อำนวยการและควบคุมการจราจรทางทหาร ๖. สนับสนุนการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง
๒๒๔ ๗. ดำเนินการต่อเชลยศึก บุคคลพลเรือนชาติอื่นที่ถูกกักกันเมื่อได้รับมอบหมาย ๘. ทำการรบอย่างทหารราบได้เมื่อจำเป็น ๙. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ๕๐ % ร้อย.สห.หญิง. ( อจย.๑๙ – ๒๐๘ ) ภารกิจ ปฏิบัติงานในกิจการสารวัตรทหาร ให้แก่ มณฑลทหารบกที่ ๑๑ การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของ พัน.สห.๑๑ มทบ.๑๑ ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับและแบบธรรมเนียมของทหาร ๒.อารักขาและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และบุคคลสำคัญตามที่ได้รับมอบหมาย ๓.รักษาความปลอดภัยที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารและการขนส่ง ๔. จับกุมทหาร , ข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ที่กระทำ ความผิด และป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่ทางทหาร ๕. อำนวยการและควบคุมการจราจรทางทหาร ๖. สนับสนุนการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ๗. ดำเนินการต่อเชลยศึก บุคคลพลเรือนที่ถูกกักกัน เมื่อได้รับมอบหมาย ๘. ซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ในอัตราขั้นของหน่วยได้ ๙. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์
๒๒๕ ภารกิจ ดำเนินการรักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลสำคัญ อาคารสถานที่ ที่ตั้งทางทหาร สิ่งอำนวยความ สะดวกและยุทโธปกรณ์ ทั้งในขณะอยู่กับที่ และขณะเคลื่อนย้ายหรือเดินทาง รวมถึงการปฏิบัติ การควบคุม การก่อความไม่สงบในพื้นที่เขตหลัง และการปฏิบัติการในหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ สารวัตรทหาร การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของ พัน.สห.๑๑ มทบ.๑๑ ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ และแบบธรรมเนียมของ ทหาร ๒. อารักขาและรักษาความปลอดภัยผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และบุคคลสำคัญตามที่ได้รับ มอบหมาย ๓. รักษาความปลอดภัยต่อที่ตั้งทางทหาร และอาคารสถานที่สำคัญ โดยสามารถตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อควบคุม ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบุคคล และยานพาหนะ ในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย ๔. จับกุมทหาร ข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ที่ กระทำความผิด และป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่ทหาร ๕. ควบคุมบุคคล ยานพาหนะ และกำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัย และจราจร ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา ประสานงานด้านการรักษาความปลอดภัย และจราจรกับหน่วยงาน ต่าง ๆ ๖. คุ้มกัน และรักษาความปลอดภัยในการขนส่งยุทโธปกรณ์ และการเคลื่อนย้ายทางทหาร ๗. เป็นหน่วยตอบโต้พิเศษเคลื่อนที่เร็ว ตามหลักนิยมได้ภายในพื้นที่ปฏิบัติการ ๘. มีขีดความสามารถต่อต้านพลซุ่มยิง ๙. ปฏิบัติการเป็นหน่วยพิทักษ์พื้นที่เขตหลังเมื่อได้รับคำสั่ง
๒๒๖ ๑๐. ปฏิบัติการลาดตระเวน หรือสายตรวจร่วมทั้งทางบก และทางลำน้ำ โดยสามารถ เคลื่อนที่ด้วย ยานยนต์ในอัตราได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๑. ทำการรบอย่างทหารราบได้เมื่อจำเป็น หมายเหตุ - ทภ.๑ ( พัน.สห.๑๒ ) - ทภ.๒ ( พัน.สห.๒๑ ) - ทภ.๓ ( พัน.สห.๓๑ ) - ทภ.๔ ( พัน.สห.๔๑ ) และ มทบ.๑๑ ( พัน.สห.๑๑ ) จัดหน่วยขนาดกองพัน มณฑลทหารบก ได้แก่ ฝ่ายการสารวัตร , ฝ่ายการสืบสวนสอบสวน , หน่วยทหารสารวัตร และ เรือนจำทหาร ๑. ฝ่ายการสารวัตร เป็นฝ่ายกิจการพิเศษในกองบัญชาการมณฑลทหารบก มีหน้าที่และความ รับผิดชอบดังต่อไปนี้.- ๑.๑ ให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการข่าวกรอง ในเรื่องความสงบเรียบร้อย และ การในหน้าที่อื่นๆ ของทหารสารวัตร ๑.๒ พิจารณาให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการใช้หน่วยทหารสารวัตร รวมทั้ง ประสานงานกับตำรวจและส่วนราชการที่มีหน้าที่รักษากฎหมายฝ่ายพลเรือนอื่น ๆ ๑.๓ กำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนการฝึกศึกษาของหน่วยทหารสารวัตร ๑.๔ วางแผน และกำกับดูแลการปฏิบัติงานของทหารสารวัตร ๑.๕ การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่ง ๑.๖ การจับกุมทหารขาดหนีราชการ และทหารที่กระทำความผิดในที่ตั้งหน่วยทหาร ตามคำสั่ง ของผู้บังคับบัญชา ๑.๗ การคุมขัง , ดูแลรักษา , อบรมดัดนิสัย และการฝึกอาชีพผู้ต้องขังในเรือนจำ ที่ควบคุม และ เรือนคนไข้นักโทษของโรงพยาบาล (ถ้ามี) ๑.๘ ควบคุมการสัญจร และตรวจพิสูจน์บุคคลที่เป็นทหารหรือพลเรือนซึ่งอยู่ในความควบคุมของ ทหาร ๑.๙ การควบคุมจราจรในกิจการทหาร ๑.๑๐ การรักษาความปลอดภัยทางวัตถุ ๑.๑๑ การปฏิบัติการต่อเชลยศึก ทหารพลัดหน่วย พลเรือน ผู้ถูกกักกัน ชนชาติศัตรู ผู้ลี้ภัย ๑.๑๒ ป้องกันทรัพย์สิน สิ่งอุปกรณ์ของทางราชการมิให้ถูกโจรกรรม
๒๒๗ ๑.๑๓ วางมาตรการและประสานงาน เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือฝ่ายพลเรือนในเรื่อง การก่อความไม่สงบของประชาชน และการบรรเทาสาธารณภัย ๑.๑๔ การลงหลักฐานรถยนต์และอาวุธของบุคคลในหน่วยตามนโยบายผู้บังคับบัญชา ๑.๑๕ การปฏิบัติงานทางธุรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. ฝ่ายการสืบสวนสอบสวน เป็นฝ่ายกิจการพิเศษในกองบัญชาการมณฑลทหารบก มีหน้าที่และ ความรับผิดชอบดังนี้.- ๒.๑ ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม ๒.๒ วางโครงการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม และดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ ในอำนาจศาลทหาร ๒.๓ ร่วมมือการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการ ปฏิบัติและการประสานงานกรณีทหารถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด พ.ศ. ๒๕๔๔ ๒.๔ ดำเนินการให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินตามคำพิพากษา ๒.๕ เก็บรักษาเอกสาร พยานวัตถุและของกลางอื่น ๆ ๒.๖ ตรวจพิสูจน์ร่องรอยหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับอาชญากรรม ๒.๗ ถ่ายภาพวัตถุพยานและภาพอื่น ๆ ที่ต้องพิสูจน์ลักษณะจำเพาะที่มีประจำตัวบุคคล ๒.๘ บันทึกและรายงานสถิติผลงาน ๒.๙ ดำเนินการสำรวจป้องกันอาชญากรรมหรือสำรวจการรักษาความปลอดภัยทางวัตถุ ๒.๑๐ ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ๓. หน่วยทหารสารวัตร จัดกำลังเป็นหน่วยขนาดกองร้อยขึ้นตรงต่อมณฑลทหารบก ( ยกเว้น มทบ.๑๑ ) กองร้อยทหารสารวัตร มณฑลทหารบก อจย.๑๙-๓๐๗ (๒๔ มิ.ย.๓๒) ผังการจัด ร้อย.สห.มทบ. อจย. ๑๙ - ๓๐๗ ( ๒๔ มิ.ย.๓๒ ) ร้อย.สห.มทบ. บก.ร้อย. มว.สห. หมู่สห. บก.มว.
๒๒๘ กองร้อยทหารสารวัตร มณฑลทหารบก อจย.๑๙-๓๐๗ (๒๔ มิ.ย.๓๒) ภารกิจ ปฏิบัติงานในกิจการสารวัตรทหารให้แก่มณฑลทหารบก การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของมณฑลทหารบก ขีดความสามารถ ๑. บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ และแบบธรรมเนียมของทหาร ๒. อารักขาและรักษาความปลอดภัยแก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และบุคคลสำคัญตามที่ได้รับ มอบหมาย ๓. รักษาความปลอดภัยที่ตั้งและสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารและการขนส่ง ๔. จับกุมทหาร ข้าราชการกลาโหมพลเรือนสังกัดกระทรวง กลาโหม ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ที่กระทำความผิด และป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่ทางทหาร ๕. อำนวยการและควบคุมการจราจรทางทหาร ๖. สนับสนุนการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ๗. ดำเนินการต่อเชลยศึก บุคคลพลเรือนชาติอื่นที่ถูกกักกันเมื่อได้รับมอบหมาย ๘. ทำการรบอย่างทหารราบได้เมื่อจำเป็น ๙. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ๒๕ % ๔. เรือนจำทหาร จัดเป็นหน่วยในอัตราของมณฑลทหารบก โดยมีผู้บัญชาการมณฑลทหารบกเป็นผู้ บัญชาการรับผิดชอบ และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเรือนจำ โดยตำแหน่ง การปฏิบัติตามสายวิทยาการ อยู่ใน ความควบคุม และกำกับดูแลด้านสายวิทยาการ ของ นายทหารฝ่ายการสารวัตร ( นสห.) กอง รจ.มทบ. จัดตาม อจย. ๑๙ – ๒๑๕ ( ๕ ต.ค. ๓๒) คำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ที่ ๑๖๓/๓๓ ลง ๑๓ ก.ย.๓๓ เรื่อง แก้อัตราการจัดและยุทโธปกรณ์ (ครั้งที่ ๒๑) มทบ.๑๑ กอง.รจ.มทบ.๑๑ บก.กอง มว.ที่ควบคุม ตอนรักษาการณ์ มว.พยาบาล ฝธก. ฝพธ.
๒๒๙ กองเรือนจำ ภารกิจ ๑. ให้คำปรึกษา เสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชา และฝ่ายอำนวยการเกี่ยวกับกิจการเรือนจำ ๒. ปกครองบังคับบัญชาผู้ต้องขังให้เป็นไปตามข้อบังคับ และระเบียบว่าด้วยเรือนจำทหาร อำนวยการและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎและระเบียบเกี่ยวกับการคุมขัง การใช้แรงงานและการฝึกอาชีพ ๓. ฝึกอบรมเพื่อฟื้นฟูจิตใจของผู้ต้องขังให้กลับตนเป็นพลเมืองดี ๔. รวบรวมสถิติและประวัติของนักโทษเพื่อประโยชน์ในการวิจัย และการป้องกันอาชญากรรม ของกองทัพบก ๕. ประสานงานโดยใกล้ชิดกับฝ่ายการสารวัตรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ๖. ปฏิบัติงานตามระเบียบ แบบธรรมเนียมที่สายวิทยาการกำหนด การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองทัพบก กอง รจ.มทบ. จัดตาม อจย. ๑๙ – ๒๑๗ ( ๕ ต.ค. ๓๒) มี มทบ.๑๒ , ๑๓ , ๑๔ , ๑๕ , ๒๑ , ๒๒ , ๒๓ , ๒๔ , ๓๑ , ๓๒ , ๓๓ , ๔๑ , ๔๒ รจ. มทบ. อจย. ๕๑ – ๒๐๑ ( ลง ๕ ต.ค. ๓๑ ) มี มทบ.๑๖ , ๑๗ , ๑๘ , ๑๙ ๒๕ , ๒๖ , ๒๗ , ๒๘ , ๒๙ , ๒๑๐ , ๓๔ , ๓๕ , ๓๖ , ๓๗ , ๓๘ , ๓๙ , ๓๑๐ , ๔๓ , ๔๔ , ๔๕ , ๔๖ เรือนจำกรมกองทหาร ปัจจุบันมีเรือนจำเดียวเดียว คือ เรือนจำกองบริการศูนย์การทหารราบ อฉก. หมายเลข ๔๑๑๐ คำสั่ง ศร.(เฉพาะ) ลับ ที่ ๑ / ๒๕ ลง ๔ ม.ค. ๒๕ มทบ. รจ.มทบ. กบร. รจ. ศร. กอง รจ. มทบ.
๒๓๐ ส่วนกำลังรบ มีฝ่ายการสารวัตร เป็นฝ่ายกิจการพิเศษในกองบัญชาการกองพล มีหน้าที่และความรับผิดชอบดังนี้.- ๑. การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และแบบธรรมเนียมต่างๆ ๒. เสนอแนะและให้คำปรึกษา คำชี้แจงเกี่ยวกับการใช้กองร้อยทหารสารวัตรกองพล แก่ ผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการอื่นๆ ๓. วางแผน ควบคุม และกำกับดูแลเกี่ยวกับการจัดทหารสารวัตร ทำการตรวจ และควบคุม ตามจุดหรือตำบลต่างๆ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ๔. การป้องกันและการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมในเขตพื้นที่ ๕. การติดต่อประสานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน เพื่อร่วมวางแผนในการควบคุมการก่อความ ไม่สงบ การรักษาความปลอดภัย และการบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ ๖. วางแผน การกำกับการปฏิบัติงานของทหารสารวัตรในเรื่อง ๖.๑ การดำเนินการต่อเชลยศึก ณ ตำบลรวบรวมเชลยศึก ๖.๒ การอำนวยความสะดวกทางการจราจรในการเคลื่อนย้ายของหน่วยทหาร ๖.๓ การควบคุมการเคลื่อนไหวของบุคคลและทหารพลัดหน่วย ๖.๔ การจับกุมทหารหรือบุคคลพลเรือนที่กระทำผิดในพื้นที่เขตรับผิดชอบ ๖.๕ การรักษาความปลอดภัย ๖.๖ การควบคุมการจราจร ๖.๗ การดำเนินการการต่อนักโทษ ๖.๘ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง กองร้อยทหารสารวัตรสนาม กองพันทหารสารวัตรกองทัพภาค อจย. ๑๙ – ๓๗ (๖ ก.ค.๕๙)
๒๓๑ ภารกิจ ปฏิบัติงานในกิจการสารวัตรทหาร ด้านการสนับสนุนการรบ การแบ่งมอบ เป็นหน่วยในอัตราของกองพันทหารสารวัตรกองทัพภาค โดยอาจกำหนดขึ้นสมทบ หรือขึ้นควบคุมทางยุทธการกองพลทหารราบหรือกองพลทหารม้า หรือหน่วยอื่น ๆ ได้ตามความจำเป็น ทางด้านยุทธการ ขีดความสามารถ ๑. ดำเนินการควบคุมการหมุนเวียนการจราจรยานพาหนะรวมทั้งขบวนเดินต่าง ๆ ขบวนผู้อพยพ การ อพยพเป็นบุคคล การพิทักษ์ประชาชนและทรัพยากร ตลอดจนควบคุมเส้นทางคมนาคม ๒. ลาดตระเวนด้วยยานยนต์ จัดตั้งตำบลควบคุมจราจร และตำบลควบคุมทหารพลัดหน่วย หรือผสม กัน ๓. ปฏิบัติการลาดตระเวนเส้นทาง การคุ้มกันขบวนเดิน การระวังป้องกัน การลำเลียงขนส่ง และการ ป้องกันการเคลื่อนย้ายที่มีความเร่งด่วนสูง ๔. ปฏิบัติการระวังป้องกันให้กับที่บังคับการ รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลที่ได้รับ มอบหมาย ๕. ดำเนินการสอบสวนและการกำหนดมาตรการป้องกันอาชญากรรม ๖. ดำเนินการ ณ ตำบลรวบรวมเชลยศึก และตำบลรวบรวมพลเรือนผู้ถูกกักกัน ทั้งที่ตำบลรวบรวม กลาง และส่วนหน้า ซึ่งตั้งอยู่ในเขตของกรมดำเนินกลยุทธ์ในแนวหน้าได้ ๒ กรม เมื่อไปสนับสนุนการรบ ให้กับกองพล ๗. ดำเนินการรักษาความปลอดภัยให้กับเชลยศึก และพลเรือนผู้ถูกกักกัน ในระหว่างการส่งกลับจาก ตำบลรวบรวมเชลยศึกหน้ามายังตำบลรวบรวมเชลยศึกกลางของกองพล เมื่อไปสนับสนุนการรบให้กับกองพล ๘. ควบคุมนักโทษทหารชั่วคราว ๙. ร่วมมือในการปฏิบัติการแบบตำรวจทั้งการปฏิบัติการร่วมและผสม ๑๐. ดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และวินัยในพื้นที่สู้รบ โดย ปฏิบัติตามคำแนะนำและนโยบายของผู้บังคับ บัญชา ๑๑. กองร้อยปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่กำหนดในพื้นที่ระหว่างเส้นเขตหลังของกรม และเส้นเขตหลัง ของกองพล เมื่อไปสนับสนุนการรบให้กับกองพล ๑๒. สนับสนุนการปฏิบัติการด้านการรักษาความมั่นคงภายใน การป้องกันและปราบปรามการก่อ ความไม่สงบในพื้นที่ส่วนหลัง เมื่อได้รับการสนับสนุนเครื่องมือที่เหมาะสม
๒๓๒ ภารกิจทั่วไปของทหารสารวัตร ในการสู้รบ มี ๔ ประการ คือ ๑. การควบคุมการหมุนเวียนการจราจรในสนามรบ - การลาดตระเวนเส้นทางและการสะกดรอย - การบังคับใช้เส้นทางการส่งกลับ - การควบคุมทหารพลัดหน่วยและผู้ลี้ภัย - การปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย คำสั่ง ๒. การรักษาความปลอดภัยพื้นที่ - การลาดตระเวนพื้นที่ - การปฏิบัติการรบในพื้นที่ส่วนหลัง - การรักษาความปลอดภัยบุคคล , หน่วย , ขบวนลำเลียง , สถานที่ , สิ่งอำนวย ความสะดวก และตำบลสำคัญ บนเส้นหลักการส่งกำลัง - การปฏิบัติการควบคุมความเสียหายเป็นพื้นที่ - การรวบรวมข่าวสารและการรายงาน - การควบคุมสงครามเคมี,ชีวะ,รังสีและการรายงาน ๓. ความรับผิดชอบในเรื่องเชลยศึก - การรวบรวมและการส่งกลับเชลยศึก - การแลกเปลี่ยนเชลยศึก ๔. การปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและคำสั่ง - การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย - การสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม - การเรือนจำ
๒๓๓ ทหารสารวัตร หมายถึง ทหารเหล่าทหารสารวัตร ที่บรรจุในอัตรากำลังของหน่วยต่าง ๆ ส่วนคำว่า สารวัตรทหาร หมายถึง ทหารสารวัตร หรือเหล่าอื่น หรือพรรคอื่น ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สารวัตรทหาร ตามคำสั่งผู้ มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหาร โดยมีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการภายในเขตพื้นที่ที่ผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตร ทหาร โดยมีหน้าที่รับผิดชอบ หรือตามอำนาจหน้าที่ ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย หรือแบบธรรมเนียมของทหาร เพื่อให้การรักษาระเบียบวินัยดำเนินการไปโดยเคร่งครัดรวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อย และ ศีลธรรมอันดี ให้สารวัตรทหารมีหน้าที่ดังนี้ ๑. สอดส่อง ตรวจตราให้ทหาร ข้าราชการกลาโหมพลเรือน และคนงาน ในสังกัด กระทรวงกลาโหม อยู่ในระเบียบวินัยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ๒. ว่ากล่าวตักเตือน และจับกุมทหาร ข้าราชการกลาโหมพลเรือน และคนงานในสังกัด กระทรวงกลาโหมที่กระทำผิด ๓. สืบสวนสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ๔. ควบคุมการจราจรในกิจการทหาร ๕. รักษาความปลอดภัยทางวัตถุและอารักขาบุคคลสำคัญ ๖. ปฏิบัติการเกี่ยวกับการเรือนจำทหาร และเชลยศึก ทหารพลัดหน่วย พลเรือนผู้ถูกกักกันใน ยามสงคราม ตามที่กฎหมาย กฎข้อบังคับกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ๗. กำหนดมาตรการป้องกันอาชญากรรมในวงการทหาร
๒๓๔ ๘. หน้าที่อื่นตามที่กระทรวงกลาโหมหรือผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหารจะกำหนด สารวัตรทหาร มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารได้ ตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง ภายใต้บทบัญญัติแห่ง กฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร อำนาจหน้าที่ของสารวัตรทหาร อาศัยอำนาจตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. ๒๕๕๕ สารวัตรทหารมี อำนาจที่จะปฏิบัติต่อทหาร ข้าราชการกลาโหมพลเรือน และคนงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ผู้ซึ่งไม่อยู่ใน ระเบียบวินัย ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี อยู่ภายนอกที่ตั้งหน่วยทหารหรือสถานที่ทำงานตามควร แก่กรณีดังนี้ ๑. ว่ากล่าวตักเตือน ๒. จับกุม ๓. ตรวจค้นผู้ถูกจับกุม เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีสิ่งของที่ผิดกฎหมาย หรือเพื่อใช้ในการ กระทำที่ผิดกฎหมาย ถ้าผู้ถูกจับกุมเป็นหญิง ให้หญิงอื่นเป็นผู้ตรวจค้น ๔. ยึดสิ่งของ หรือสิ่งของที่อาจเป็นภัยอันตราย หรือที่ใช้เป็นพยานหลักฐานในการกระทำผิดนั้น ได้ ๕. ในระหว่างที่ยังไม่มีการรับตัว ให้สารวัตรทหารควบคุม หรือจัดการเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกัน มิให้ผู้ถูกจับกุมหลบหนี ๖. สืบสวนคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ในการจับกุม สารวัตรทหาร ต้องแจ้งเหตุที่จะจับกุม ให้ผู้ถูกจับกุมทราบ และการจับกุมให้กระทำ โดยละม่อม ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เครื่องพันธนาการ หรือใช้อาวุธเพื่อป้องกันตน ก็ให้กระทำได้แต่ต้องไม่เกิน สมควรแก่เหตุ เมื่อสารวัตรทหารจับกุมผู้ใดแล้ว ให้ปฏิบัติดังนี้ ๑. รายงานให้ผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหารทราบ โดยเร็ว ๒. ผู้ถูกจับกุม สังกัดอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ของหน่วยสารวัตรทหารที่จับกุม ให้นำตัวผู้ถูก จับกุม ส่งหน่วยทหารต้นสังกัดของผู้นั้น แล้วรีบแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกจับกุมทราบโดยเร็ว เพื่อรับตัว ในกรณีนี้ให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ไปรับตัวผู้ถูกจับกุมนั้นโดยเร็วและต้องไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ได้รับแจ้ง
๒๓๕ ๓. ผู้ถูกจับกุม สังกัดอยู่นอกเขตพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยสารวัตรทหารที่จับกุม ให้รีบแจ้งให้ ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกจับกุมทราบโดยเร็วเพื่อรับตัวไป ในกรณีนี้ให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ที่บังคับบัญชา มอบหมาย ไปรับตัวผู้ถูกจับกุมนั้นโดยเร็ว และต้องไม่เกิน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ในเขตพื้นที่ใดมีหน่วยทหารต่างเหล่าทัพตั้งอยู่ เมื่อเห็นเป็นการสมควร ผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตร ทหารในเขตพื้นที่นั้น อาจจัดสารวัตรทหารร่วมกันปฏิบัติภารกิจในบังคับบัญชาของนายทหารเหล่าทัพใดก็ ได้ ทั้งนี้ให้ทำความตกลงกันเป็นหนังสือ สารวัตรทหาร นับว่ามีความสำคัญ และจำเป็นมาก ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันท่ามกลางความ ขัดแย้ง ความแตกต่างทางความคิด บางครั้งเกิดความรุนแรงในบ้านเมือง สารวัตรทหาร ยังได้รับมอบภารกิจ สำคัญ ๆ ในการดูแลความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัย ให้กับบุคคลสำคัญ ระดับสูง ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ในส่วนอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แม้จะมีภารกิจ เป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับจำนวนกำลังพลที่มีอยู่ แต่ทหารสารวัตรทุกนาย ก็พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ด้วยความเสียสละ เข้มแข็ง สมกับคำกล่าวที่ว่า ทหารสารวัตร คือ ผู้พิทักษ์รักษาภาพลักษณ์ของกองทัพ
๒๓๖
๒๓๗
๒๓๘
๒๓๙
๒๔๐ เหล่าทหารขนส่ง TRANSPORTATION ประวัติโดยสังเขป “ กรมการขนส่งทหารบก ” ถือกำเนิดมาในกองทัพบกไทย เป็นครั้งแรกในนาม ” กรมพาหนะ ” เมื่อ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๘ ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาที่ ประเทศไทยเริ่มพัฒนากองทัพไทยให้เป็นไปตามแบบอย่าง ของประเทศในภาคพื้นยุโรป และได้มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการเรื่อยมา จนบางคราวก็ไม่ปรากฏนาม ของ ” กรมพาหนะ ” อยู่ในทำเนียบการจัดกำลัง บางสมัยก็เป็นหน่วยงานเล็ก ๆ แฝงอยู่กับกรมกองอื่น ประกอบการวิวัฒนาการทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนยานพาหนะประเภทต่าง ๆ ก็ได้รับการพัฒนาให้ ก้าวหน้าไปด้วย ฉะนั้น หากจะพิจารณากล่าวถึง กรมการขนส่งทหารบก ตามยุคตามสมัย ตามความเจริญ และความเสื่อมแล้ว อาจแบ่งได้เป็น ๓ ยุคด้วยกัน คือ ยุคแรกกำเนิด ยุคจัดตั้งกรมพาหนะทหารบก และ ยุคเปลี่ยนแปลงเป็นกรมการขนส่งทหารบก ยุคแรกกำเนิด ในยุคแรกกำเนิด โดยกำหนดตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ” กรมพาหนะ ” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ตามแจ้งความ กรมยุทธนาธิการ ลง ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๘ โดยหน่วยขึ้นตรงต่อกรมบัญชาการทหาร มณฑล กรุงเทพ และได้วิวัฒนาการเรื่อยมาจนกระทั้ง พ.ศ.๒๔๕๑ ได้เปลี่ยนเป็น ” กรมทหารพาหนะรักษา พระองค์” ขึ้นตรงต่อกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ.๒๔๕๓ ได้มีการเปลี่ยนการบังคับบัญชา กรมพาหนะรักษาพระองค์ใหม่ โดยไปขึ้นการ บังคับบัญชาต่อกองทัพที่ ๑ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ” กองทหารพาหนะกองทัพที่ ๑ ” และเปลี่ยนเป็น ” กรมทหารพาหนะ กองทัพที่ ๑ ” ในภายหลัง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๖ ” กรมทหารพาหนะ ” จึงได้กลับไป ขึ้นกับ กองพลที่ ๑ ตามเดิม - พ.ศ.๒๔๕๖ – ๒๔๕๘ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการบังคับบัญชาใหม่โดยให้ ” กรมทหารพาหนะ ” ไปขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพน้อยทหารบกที่ ๑ - ๑๙ มิ.ย.๒๔๖๑ ประเทศไทยได้จัดส่งกองทหารบกรถยนต์ไปร่วมรบกับกองทัพพันธมิตร ณ ประเทศฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ จนกระทั่งสงครามยุติจากการปฏิบัติการร่วมรบ กองทหารบก รถยนต์ได้สร้างเกียรติประวัติอันงดงามจนกระทั่งรัฐบาลฝรั่งเศส ได้มอบตราอันมีนามว่า “ครัว เดอะ แกร์” ประดับธงชัยเฉลิมพลเป็นเกียรติยศ และเมื่อกลับถึงประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดีประดับธงชัยเฉลิมพลอีกด้วย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้ยุติลง ต่างประเทศได้เร่งปรับปรุงกิจการทหาร โดยเฉพาะในด้าน การขนส่งให้พัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยอาศัยบทเรียนจากมหาสงครามโลก แต่สำหรับประเทศไทยไม่อยู่ใน